แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บาป แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บาป แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2558

2558-04-18 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ



西元二一五年 歲次乙未二月三十日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

เหตุผลเป็นแดนเกิดแห่งความจริง แต่ความจริงอยู่เหนือเหตุผลไซร้
มีเหตุผลนั่นคือพิสูจน์ได้ แต่พิสูจน์ได้ใช่สิ้นสุดแห่งความจริง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ปล่อยอารมณ์เพียงชั่ววูบเพราะไม่คิด ต้องพลาดผิดสุดท้ายต้องรับผล
คนเคยชินปล่อยอารมณ์ตามใจตน ไม่เคยยั้งเหตุต้นผลบานปลาย
ความหลงผิดเป็นเหตุแห่งทุกข์ทน เป็นภัยของใจคนที่ซ่อนไว้
โลภโกรธหลงอารมณ์ช่างแสนวุ่นวาย ชอบพันพัวยามกลัวหน่ายถอยไม่ทันความไม่เที่ยงเจนตาใครล่วงพ้น แจ่มใสหมองสับสนหม่นเร็วเปลี่ยนผัน
คนสุดขั้วยามร้ายน่าหวาดหวั่น ทำจิตเบิกบานสงบเย็นคือคนเดิม
รู้ยอมช่างยอดคนวางใจเย็น การบำเพ็ญฝึกใจทางธรรมส่งเสริม
ช่วยงานฟ้าธรรมนำคนสู่เผดิม คืนใจเดิมอันแท้ไร้ตัวตน
ตะแกรงฟ้ากระชอนถี่คว้าหาคนจริง ไม่ต้องวิ่งแต่ปฏิบัติและฝึกฝน
ทำงานฟ้าเดินงานธรรมอุทิศตน สำรวมตนขัดเกลานิสัยให้งดงาม
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
“เหตุผลเป็นแดนเกิดแห่งความจริง แต่ความจริงอยู่เหนือเหตุผลไซร้
มีเหตุผลนั่นคือพิสูจน์ได้ แต่พิสูจน์ได้ใช่สิ้นสุดแห่งความจริง”
เราถามท่านง่ายๆ หนึ่งบวกหนึ่งเป็น (สอง) หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสามได้ไหม (ไม่ได้)  อย่ามัวมองแต่เหตุผลจนลืมความจริง อย่ามัวแต่ยึดอยู่กับหลักสูตรหรือหลักการจนลืมหรือมองข้ามความเป็นจริง ไม่อย่างนั้นหนึ่งบวกหนึ่งไม่เป็นสามหรอกจริงไหม (จริง)  เราจะเห็นแต่สิ่งที่เราอยากเห็นก็ได้ หรือเราจะเห็นมากกว่าที่เราเห็นก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับใจ ความคิดและภูมิปัญญาของเรา ว่าเราจะตีกรอบชีวิตให้ตายตัวไหม อย่างนั้นเราถามใหม่ หนึ่งบวกหนึ่งเป็น (สอง)  ถ้าเราบอกว่าหนึ่งบวกหนึ่งเป็นศูนย์ได้ไหม (ได้)  หนึ่งบวกหนึ่งกลายเป็นติดลบได้ไหม (ได้)  เราอย่าลืมนะว่าบางครั้งเรารู้ เราเข้าใจหมด แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงก็มีสิ่งที่อยู่เหนือความรู้ ความเข้าใจและความคิด ใช่ไหม (ใช่)
ยกตัวอย่างง่ายๆ ทำไมเราบอกว่าหนึ่งบวกหนึ่งอาจจะเป็นสาม ผู้ชายกับผู้หญิงเมื่อรักกันเป็นสามได้ไหม (ได้) เห็นไหม อย่างนั้นถ้าผู้ชายกับผู้หญิงเกิดตอนนี้รักกันเป็นสอง แต่ถ้าต่อไปเขาไม่รักกันอาจจะเป็นตัวใครตัวเขา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเรายืนอยู่บนโลก เรากำลังยึดอะไรในการดำเนินชีวิต แต่ปัจจุบันนี้เรามองแต่สิ่งที่เราอยากเห็น เราจึงมองไม่เห็นความจริง เราเป็นแต่สิ่งที่เราอยากเป็นจนเราลืมไปว่าเราควรจะเป็นอะไร ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมจึงไม่ได้สอนให้ท่านแค่ทำบุญ แค่ตักบาตร แค่ให้อภัยคน แค่สวดมนต์ไหว้พระ เราอย่ามองธรรมเป็นแค่บุญบาป ดีร้าย อภัย เมตตา แต่ธรรมะมีค่ายิ่งกว่านั้น ค่าที่มนุษย์ลืมไปและมองไม่เห็น แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์มองค่าธรรมได้เห็นชัด มนุษย์จะไม่ถูกอารมณ์ครอบงำและไม่ถูกสภาวะแวดล้อมพลิกผันให้ตัวเองต้องทุกข์ใจเลย เราเคยเห็นธรรมมากกว่านี้ไหมเคยเห็นมากกว่าบุญบาป พระสวดมนต์ ขอพร เราเคยเห็นมากกว่านั้นไหม (เคย)  เคยเห็นแค่ศักดิ์สิทธิ์ กับไม่ศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม ได้ผลหรือไม่ได้ผล ใช่ไหม(ใช่)  น่าเสียดายนะ ธรรมมีค่ามากกว่านั้น มากกว่าตรงไหน อยากรู้ไหม (อยากรู้)  ฉะนั้นต้องมองกว่าที่มองเห็น อย่ามองแค่สิ่งที่ใจอยากเห็น ไม่อย่างนั้นท่านจะไม่มีวันพบธรรมได้เลย และธรรมก็ไม่ได้อยู่ที่เราพูด แต่มันอยู่ในใจของท่านเอง จะตื่นรู้และประจักษ์ชัดได้เช่นไร ถ้าตื่นได้ รู้แจ้งได้ ธรรมนั้นก็นำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์พ้นโศกได้เช่นกัน
เรามีสิ่งที่ชอบ มีสิ่งที่ชัง มีสิ่งที่ดี มีสิ่งที่ร้าย ถ้าร่างกายนี้คือเนื้อนาบุญ ทุกวันเราปลูกแต่อารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉันชอบแบบนี้ ฉันเกลียดแบบนั้น ฉันเป็นแบบนี้ ฉันเป็นแบบนั้น แล้วก็สร้างตัวตนขังตน จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเราเข้าใจว่าตัวมนุษย์คือเนื้อนาบุญที่ปลูกอะไร ก็ได้อย่างนั้น แล้วทำไมเราจึงไม่ปลูกสติที่เข้าถึงธรรมล่ะ แต่เรากลับปลูกอารมณ์ ชอบอย่างนั้น ชังอย่างนี้ ใส่เข้าไปในตัวตนเองทุกวัน ผลสุดท้ายตัวเองก็เป็นคนที่ชอบชังเกลียด แล้วก็เต็มไปด้วยอารมณ์ จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นถ้าตัวตนคือเนื้อนาบุญที่ประเสริฐ ทำไมเราไม่ปลูกสติ ปลูกความตื่นรู้ในธรรม เพื่อถึงที่สุดเราก็คือธรรม ธรรมก็คือเรา ใช่ไหม (ใช่)  แต่ปัจจุบันเรากลับปลูกอะไรลงไปในชีวิต (อารมณ์)  ใส่อะไรเข้าไปในตัวเอง ถ้าตัวตนนี้คือเนื้อนาบุญอันประเสริฐ ปลูกแตงย่อมได้แตง ปลูกอารมณ์ชอบชังก็ย่อมได้อารมณ์ชอบชัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เช่นนั้นแล้วทำไมเราถึงไม่ปลูกสติที่เข้าถึงธรรมเล่า เราก็จะได้มหาสติที่เป็นธรรมในตัวตน แต่ตอนนี้เรากลับไม่เป็นเช่นนั้น เรากลับปลูกความชอบ ความชัง ความโลภ ความโกรธ ความหลง และตอกย้ำตัวเองว่านี่แหละตัวตน ผลสุดท้ายเราก็คือคนที่สร้างกรงขังตน จริงไหม (จริง)
ถ้าเช่นนั้นตอนนี้เรายังอยากปลูกอะไรในตัวเราเล่า ปลูกสติ ปลูกมหาธรรม หรือปลูกอารมณ์ความเป็นตัวฉัน เหมือนวันนี้นั่งเพื่อนั่งให้เข้าถึงธรรม หรือนั่งเพื่อยังคงเป็นตัวฉัน หลายคนชอบพูดว่า “ฉันไม่ชอบ” “ฉันเบื่อ” ใช่ไหม ปลูกแตงย่อมได้แตง ปลูกความสุขย่อมได้ความสุข ปลูกความเบื่อหน่ายชิงชังแม้นั่งอยู่ต่อหน้าพระ ท่านก็ได้คำว่าเบื่อหน่ายชิงชัง ใช่ไหม เช่นนั้นเราลืมปลูกสติหรือเปล่า แล้วเราลืมปลูกต้นธรรมหรือไม่ เขาหว่านเมล็ดธรรมให้ท่าน ท่านเก็บไหม ท่านไม่เก็บแถมยังรำคาญเขาด้วย จริงไหม ฉะนั้นก่อนจะโทษคนอื่นหันกลับมามองตน ที่มนุษย์ชอบพูดไม่ใช่หรือว่า “เรายิ้ม เขาก็ต้องยิ้ม ถ้าเราหน้าบึ้งเขาจะยิ้มไหม”
มีใครบ้างไม่ชอบ ความโลภ โกรธ หลง สมัครเป็นสมาชิกกันทั้งนั้นเลยใช่ไหม และเห็นทำยอดทะลุเป้ากันตลอดเลย ยิ่งขายตรงอีกใช่หรือเปล่า ไม่ต้องโปรโมทใครๆ ก็อยากสมัครใช่หรือไม่ แต่แปลกนะพอให้ชวนมาทำความดีต้องโน้มน้าวต้องมีเหตุผลถึงจะทำ แต่พอเรื่อง โลภ โกรธ หลง ที่มันไม่ค่อยจะดีเลย ไม่ต้องโน้มน้าวไม่ต้องมีเหตุผลก็สมัครใจทำ บอกให้เลิกสมัครเป็นสมาชิกเลิกไหม (ไม่เลิก)  แล้วรู้ว่ามีประโยชน์ไหม (มี,ไม่มี)  มีเหมือนกันใช่ไหม มีที่ทำให้มีความสุขเล็กๆ แต่ผลสุดท้ายก็ต้องมานั่งทุกข์ใหญ่ๆ แต่ถ้ามนุษย์ยังไม่เห็นโทษอย่างแท้จริงก็ไม่มีวันที่จะปล่อยมือหรือเลิกราได้จริงหรือไม่
“โลภโกรธหลงอารมณ์ช่างแสนวุ่นวาย  ชอบพันพัวยามกลัวหน่ายถอยไม่ทัน”
รู้ว่ามีโลภ โกรธ หลง แล้ววุ่นวายใจ แต่เราก็ยังชอบที่จะพันพัว แต่พอถึงเวลากลัวแล้วเราถอยทันไหม (ไม่ทัน)  เพราะอะไร โกรธไปแล้ว โลภไปแล้ว ใช่หรือเปล่า จึงมีคำกล่าวที่มนุษย์ชอบพูดกันคือ “มนุษย์ทำอะไรก็ได้เยอะแยะ แต่สิ่งที่ทำไม่ได้คือ คุมหัวใจตัวเอง” ฉะนั้นคิดเสียว่าสองวันนี้มาฝึกเรียนรู้การคุมใจตัวเองดีไหม (ดี)  เราเคยคุมใจตัวเองอยู่ไหม (ไม่อยู่)  เราเคยยั้งใจตัวเองได้ไหม (ไม่ได้)  ช่างน่ากลัวนะ เราคุมใจตัวเองไม่ได้เลยหรือ เรายั้งใจตัวเองทันไหม มีทั้งทันและไม่ทันใช่หรือไม่ แต่ส่วนใหญ่มักจะทำไปเรียบร้อยแล้วค่อยคิดได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วอย่างนี้ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  ไม่ดีเพราะอะไร เพราะเราเคยชินแต่การตามใจ ตามอารมณ์ แต่วันนี้เราบอกให้ท่านเปลี่ยนจากการตามใจ ตามอารมณ์ มาเป็นตามสติและตามธรรมให้ทัน ดีกว่าไหม (ดีกว่า)  เพราะปกติเวลาอะไรมากระทบเราเกิดอารมณ์แทบทันที เพราะเราเห็นแบบว่าแค่อยากเห็น เราไม่เคยเห็นมากกว่าเห็น จริงไหม (จริง)  ตอนนี้อยากยืนหรืออยากนั่ง (นั่ง)  เห็นแต่ใจตัวเองหรือเปล่านะ
ถ้าอยากเห็นมากกว่าที่เห็น เราจะยกตัวอย่างง่ายๆ อยู่เรื่องหนึ่ง มีชายสองคนคนหนึ่งขายโลงศพ ท่านรู้จักโลงศพไหม (รู้จัก)  โลงศพเป็นที่ที่เราทุกคนต้องไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเป็นที่ที่ทุกคนต้องอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  อีกคนหนึ่งขายรถ วันหนึ่งคนขายโลงศพกับคนขายรถก็จุดธูปอธิษฐานต่อฟ้าดิน คนขายโลงศพอธิษฐานว่า “ขอให้มีคนตาย” แต่คนขายรถอธิษฐานว่า “ขอให้คนรวย รวย รวย” ท่านว่าสองท่านดีไหม สองท่านดีเป็นไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  การเรียนรู้เข้าถึงธรรมอย่าเห็นแต่สิ่งที่อยากเห็น อย่ายอมเป็นในสิ่งที่มันต้องเป็น บางครั้งอาจจะเป็นได้มากกว่านั้น จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะทุกอย่างเราเป็นผู้กำหนด โลกนี้เราเป็นคนที่สมมตินะ ตัวเราเป็นคนสมมติทุกอย่าง สมมติว่าแบบนี้ฉันชอบและสมมติว่าแบบนี้ฉันไม่ชอบ กำหนดว่าแบบนี้ฉันรัก กำหนดว่าแบบนี้ฉันไม่รัก ฉะนั้นอย่าเอาสิ่งที่ตัวเองกำลังสมมติ กำลังกำหนดมาฆ่าตัวเองตาย อย่าเอาสิ่งที่ตัวเองชอบชังมาทำให้ตัวเองต้องทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำอีก ใช่ไหม
ใครบอกให้ท่านรัก ไม่มี ท่านรักด้วยตัวเอง ใครบอกให้ท่านเกลียด ก็ไม่มี ถามสิว่าเชื่อใครบ้าง ไม่เชื่อใครเลยใช่ไหม (ใช่)  เชื่ออย่างเดียวคือเชื่อใจมันเต้นตุ๊บ ตุ๊บ แล้วบอกว่าชอบ ใช่ไหม (ใช่)  ตุ๊บ ตุ๊บ แล้วบอกว่าเกลียด ใช่ไหม (ใช่)  แล้วใครพูดถูกใจเรา เราก็จะบอกว่า ใช่ ใช่ แต่ถ้าใครพูดไม่ถูกใจ ไม่พอใจ ขัดหู เราก็บอกว่าไม่ใช่ ฉะนั้นถ้าเราถามท่านว่าแล้วเรื่องเมื่อสักครู่ใครคือคนน่าเกลียด ใครคือคนดี มีไหม (ไม่มี)  คนขายโลงศพเป็นคนไม่ดีแช่งให้คนตาย คนขายรถอวยพรให้คนรวยเป็นคนดีใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วทำไมเราจึงยึดติดแต่สิ่งที่เรารู้ เราเห็น ทำไมเราไม่มองให้มากกว่านั้น ถ้าเราเห็นแล้วเรามองได้มากกว่านั้น เราคงไม่ถูกโลกจับเราพลิกซ้ายพลิกขวา หรือโดนคำพูดคนทำให้เราเจ็บปวดและเจ็บใจได้ ใช่ไหม (ใช่)  
ดังคำกล่าวที่ว่าถ้าหัวใจเรากว้างสุดประมาณจะมีสิ่งใดเกินเลยไปบ้าง ถ้าหัวใจเรางดงามและยิ่งใหญ่พอ จะมีใครขาดไปบ้าง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราเข้าถึงธรรมพอ จะมีใครที่เราต้องเกลียดและต้องพยายามให้อภัยบ้าง ถ้าเราเข้าถึงธรรมพอ จะมีอะไรในโลกที่ทำให้เราอยากจนหัวปักหัวปำ ทั้งที่จริงๆแล้วทุกสิ่งก็ล้วนเปลี่ยนไป ถ้าเราเข้าถึงธรรมพอ เราจะยึดมั่นถือมั่นกับตัวตนไหม (ไม่)  ถ้าเราเข้าถึงธรรมพอเราจะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางแล้วตัดสินใครได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าเราเข้าถึงธรรมพอ โลกใบนี้ยังมีอะไรให้เราต้องอยากอีกหรือ (ไม่มี)  ถ้าเราเข้าถึงธรรมพอ จะมีใครในโลกหรือที่น่าเกลียด ถ้าเราใจกว้างพอจะมีใครหรือที่เราต้องพยายามให้อภัย ใช่ไหม (ใช่)  และคงไม่มีใครที่เรารู้สึกว่า ทำเกินไปแล้วนะ และถ้าเราจิตใจยิ่งใหญ่พอ กว้างพอ ใครหรือที่น่าโมโห ใครหรือที่เลวร้าย ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจพอ จะสามารถจบได้ทุกอย่างเลยนะ ไม่ต้องอธิบายอะไรต่อก็เข้าใจ แม้ผิดก็เข้าใจ แม้ด่าเราก็เข้าใจ จริงไหม (จริง)  
หากเราเข้าใจเขาว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เขาด่าเรา เพราะอะไร จะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  จะเกลียดไหม (ไม่เกลียด)  จะแช่งชักหักกระดูกไหม (ไม่แช่ง)  จะโมโหไหม (ไม่โมโห)  แล้วถ้าเราใจกว้างพอ เขาเอาของเราไปแล้วไม่คืนเราจะทวงไหม (ไม่ทวง)  เขาจะเอาแฟนเราไปก็ไม่ทวงใช่ไหม
(ใช่,ไม่ใช่)  ไม่ใช่หรือ ที่เรายังโกรธ ที่เรายังเกลียด ที่เรายังชอบ ที่เรายังชัง เป็นเพราะเรายังเข้าไม่ถึงธรรม และเข้าไม่ถึงตัวตนเอง เลยมองโลกและคนไม่เคยชัด เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม ถ้าเราเห็นตัวชัด ก็จะเห็นโลกชัด ถ้าเราเข้าใจตัวเอง เราก็จะเข้าใจโลกและผู้คน เคยได้ยินไหม (เคย)  เคยได้ยิน แต่เราทำแบบนั้นไหม (ไม่)  เอาแต่เห็นคนอื่นชัดแต่เห็นตัวเองไม่ชัด นั่นเป็นเพราะเราเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองอยากเห็น เราจึงไม่เคยเห็นมากกว่าเห็น และเป็นอะไรได้มากกว่าที่กำลังเป็นกันอยู่
ธรรมที่เราพูดยากไหม มีบางคนยังไม่เข้าใจนะ อย่างนั้นเดี๋ยวเราจะเทียบอะไรง่ายๆ อีก อันนี้ 1 ไหม(สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชี้ที่ตะกร้าดอกไม้) อันนี้ 1 ไหม (สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชี้ที่ตัวท่าน) ตัวท่าน 1 ไหม ในหนึ่งมีหลากหลายไหม แล้วในหลากหลายและในหนึ่งมีคำว่าจบสิ้นไหม แล้วในหนึ่งที่หลากหลายมีคำว่าจบสิ้นไหม (ไม่มี) มีไหม (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาชูตะกร้าดอกไม้)  นี่เรียกว่าอะไร (หนึ่ง)  เมื่อสักครู่คุยกันเรื่องเป็นหนึ่งเลยต้องเป็นหนึ่งใช่ไหม ไม่เป็นตะกร้าดอกไม้แล้วหรือ นี่แหละนะเขาชี้อะไรเราก็เป็นอย่างนั้น ก็อาจจะทำให้เราทุกข์ได้นะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
อย่างนั้นเราถามท่านใหม่ว่า สิ่งนี้เรียกว่า (ตะกร้าดอกไม้)  ตะกร้าดอกไม้มีความหลากหลายอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในความหลากหลายนั้นก็มีความเป็นหนึ่งอยู่รวมกันคือเรียกว่า หนึ่งตะกร้า ฉะนั้นเราจะเรียกว่าดอกไม้ หรือเรียกว่าตะกร้า หรือเรียกว่าหนึ่งก็เรียกได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะในนี้มีความหลากหลายอยู่และมีความเป็นหนึ่งอยู่ ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นถ้าเราบอกว่าเป็นตะกร้าดอกไม้ก็ได้ ดอกไม้อย่างเดียวก็ได้ และก็เป็นอะไรได้หลายอย่างแล้วแต่เราจะคิดแล้วแต่เราจะจินตนาการ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นตัวเราเป็นหนึ่งหรือเป็นหลากหลาย (เป็นหนึ่ง, เป็นหลากหลาย) เป็นหลากหลายอารมณ์แล้วก็เป็นหนึ่งได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดถอนตัวเรา ใครจะพูดอย่างไรเราก็ไม่รู้สึกใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยเห็นคนบ้าเวลาบ่นไหม (เคย) พอไม่มีคนรองรับคนที่พูดก็กลายเป็นคนบ้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  จำไว้นะ ถ้าเกิดท่านกำลังว่าใครคนนั้นไม่รองรับท่านก็จะกลายเป็นคนบ้า ถูกหรือไม่ (ถูก)  ในทุกๆ เรื่องเพราะมีตัวตนซ่อนอยู่เราจึงต้องแบกรับสิ่งที่ถูกกระทบ แต่ถ้าเกิดเราดึงตัวเราออก สิ่งนั้นก็กลายเป็นความว่างเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
ที่มนุษย์ยังทุกข์อยู่ทุกวันนี้ เพราะเรายังยึดมั่นถือมั่นในตัวตน มองไม่เห็นว่าในความเป็นหนึ่งนั้นมีความหลากหลาย และในความหลากหลายก็สามารถกลับสู่หนึ่งได้ และในความหลากหลายหรือความเป็นหนึ่งผลสุดท้ายก็คือความว่างเปล่า ถึงจะหลากหลายแค่ไหน ผลสุดท้ายในความหลากหลายก็คือความว่างเปล่า สิ้นสุด ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรม ธรรมจะทำให้เรามองเห็นความจริง เราจะเข้าใจธรรมได้อย่างไร ถ้าเราเอาแต่มองออกแต่ไม่ย้อนกลับมามองที่ตัวเอง ใช่หรือไม่
เรามักจะถามท่านว่า ระหว่างดอกไม้กับตัวคน ท่านเลือกอะไร (เลือกคน)  เลือกคนแต่บางครั้งหลังๆ ก็ดอกไม้ ใช่ไหม ไหนใครอยากได้ดอกไม้ยกมือขึ้น เราถามท่านนะทำไมถึงอยากได้ดอกไม้ เพราะว่ามันสวย ใช่ไหม สงสัยเราสวยสู้ดอกไม้ไม่ได้ อยากได้เราก็ให้นะ แต่อย่าลืมตั้งชื่อให้ดอกไม้ ดอกไม้สะท้อนความจริงของชีวิตคือ ทุกสิ่งทุกอย่างมีเวลา และมีวันหมดเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างมีวันถึงที่สุด วันนี้เราจะสุขกับเขา แต่วันต่อไปทุกข์เราก็ต้องทำใจให้ได้ ใช่ไหม (ใช่)  อยากได้ดอกไม้ใช่ไหม เพราะเขาอยากซื้อใช่ไหม อยากซื้อเราก็ให้นะ ชีวิตที่อยากซื้อแต่ถึงที่สุดแล้วก็ต้องกลับสู่ความว่างใช่ไหม (ใช่)  อยากได้เพราะ (มีสีสันสวยงามหลากสี)  สวยงามแต่ที่จริงแล้วมีความร่วงโรยอยู่ สวยหรือไม่สวยมองให้เห็นชัด ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เห็นจะทำให้เราต้องทุกข์ใจ เมื่อถึงวันที่เราไม่ได้เห็นสิ่งที่มากกว่านั้น เหมือนเราชอบแต่ถึงเวลาสิ่งที่เราชอบล้วนมีการเปลี่ยนแปลงได้ ใช่ไหม (ใช่)  
ถ้ามนุษย์มองเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองอยากเห็น มนุษย์จะไม่มีวันเห็นมากกว่าที่เห็นได้เลย เราเห็นอะไรมากกว่าดอกไม้ไหม เราเห็นอะไรมากกว่าผู้คนไหม ถ้าเราสามารถเห็นได้เราจะรู้ว่าใดๆ ในโลกล้วนไม่น่าอยากได้เลยและล้วนไม่น่าหวังจะมีเลย จริงหรือไม่ (จริง) แต่ในโลกมนุษย์ทุกคนล้วนยังอยากได้อยู่ ใช่ไหม (ใช่)  อยากได้แต่ไม่อยาก (เสีย)  เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  อยากได้ดอกไม้ มีเหตุผลที่อยากได้ไหม (เพราะว่าดอกไม้มีหลายอย่าง สวยงามมากและบางดอกก็มีกลิ่นหอม)  บางครั้งชีวิตอย่าเป็นไปตามคนขีดไว้อย่างเดียว เราต้องรู้จักขีดเส้นให้กับชีวิตตัวเราเองด้วย มีหลายคนที่เราชวนคุยด้วยแต่ไม่ค่อยอยากไปกับเราเลย เอาแต่ก้มหน้า อย่างนั้นเราจะเข้าเรื่องต่อแล้วนะ ที่เราชวนคุยมานั้นเป็นเรื่องราวไม่ใช่ไร้สาระเลย และเป็นเรื่องที่เราคิดไม่ถึงด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
สิ่งหนึ่งที่เรารู้ก็คือ ทุกชีวิตล้วนคือธรรม ธรรมอันเป็นธรรมชาติ และในธรรมอันเป็นธรรมชาติ ล้วนแฝงสัจธรรมอยู่ ผู้ใดที่ประจักษ์แจ้งในสัจธรรมภายใน ย่อมพบความจริงสู่ภายนอก ทุกชีวิตเรียกว่าธรรมชาติ ในธรรมชาติล้วนมีหลักแห่งสัจธรรมอยู่ เมื่อไหร่ที่เราประจักษ์ชัดหลักสัจธรรม เราจะพบความจริงที่นำพาให้มนุษย์เป็นอิสระ และบริสุทธิ์ได้อย่างแท้จริง เราเรียนรู้ธรรมะ ธรรมะสอนให้ละชั่วทำดี เข้าถึงความบริสุทธิ์ แต่มนุษย์ยังติดอยู่แค่ดีชั่วเลยไปไม่ถึง (ความสุข)
ทุกสิ่งล้วนมีหลักสัจธรรม ทุกสิ่งคือธรรมชาติที่ล้วนมีหลักสัจธรรมซ่อนอยู่ ผู้ใดประจักษ์ชัดในหลักสัจธรรมจะพบความจริงที่จะนำพาให้มนุษย์พบอิสระ และบริสุทธิ์ที่แท้จริง เป็นประโยคที่เราอยากให้ท่านรู้ เพราะว่าแค่พูดแล้วท่านไม่เอาไปขบคิด หรือไม่ไตร่ตรอง ท่านจะมองไม่เห็นสิ่งที่เรากำลังจะสื่อให้ท่านเห็น ถามว่าตอนนี้จำได้ไหมที่เราพูดอะไรจำไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะมนุษย์ยังเห็นดอกไม้เป็นแค่ (ดอกไม้)  ตัวคนเป็นแค่ (ตัวคน)  แล้วเราเคยเห็นดอกไม้มากกว่าดอกไม้ ตัวคนมากกว่าตัวคนไหม (ไม่เคย) ในตัวดอกไม้มีความไม่เที่ยงอยู่ไหม (มี) ความไม่เที่ยงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าหลักสัจธรรม ในตัวคนมีความเที่ยงอยู่ไหม (ไม่มี) ในความไม่เที่ยงของตัวคน เรียกว่า (สัจธรรม)  เมื่อเห็นความไม่เที่ยงในตัวตนแล้วจะช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้ไหม (ได้) ถ้าได้แล้วตอนนี้พ้นหรือยัง (ยัง) เพราะอะไรถึงยังไม่พ้น (ยึดติด) เพราะทุกครั้งที่โดนกระทบจะยึดติดแค่เพียงอารมณ์ชอบชัง แต่ไม่เคยเข้าถึงหลักสัจธรรม จริงไหม (จริง) โดนว่าทีหนึ่งเรามองเห็นเป็นความไม่เที่ยงไหม
เมื่อเราโดนว่าทีหนึ่งเราก็เห็นแต่อารมณ์ การจะฝึกจิตต้องมองเห็นมากกว่าที่เห็น โดนว่าทีหนึ่งต้องมองให้เห็นธรรม ถ้าเห็นตัวตนก็เป็นตัวตนเห็นคนก็เป็นคน แต่ถ้าเห็นธรรมในคนเราก็จะมีวันพบธรรมได้ ดอกไม้นี้เหี่ยวเสียแล้ว แถมร่วงด้วยแล้วท่านอยากจะเอาไปทำไมนะ ในโลกใบนี้สิ่งที่ท่านกำลังอยากมันไม่เหี่ยวได้หรือ ในโลกใบนี้สิ่งที่ท่านกำลังโมโหและกำลังดิ้นรนไขว่คว้า มันไม่มีวันสูญสลายได้หรือ มีวันสูญสลาย มีวันร่วงโรย มีวันเหี่ยวเฉา มีวันตายไป แล้วจะอยากทำไม หรือจะอยากแล้วรู้จักทำใจไว้ก่อนดีไหม แต่เราทำใจไหม เห็นสามียังเป็นสามี เห็นลูกยังเป็นลูก เห็นเงินยังเป็นเงิน แต่พุทธะไม่ใช่ พุทธะสอนให้เห็นมากกว่าที่เห็น แล้วจงเห็นให้บังเกิดธรรม เห็นบ่อยๆ แล้วธรรมก็จะกลับมาสู่ใจเรา ในตัวเรามีธรรมชาติ ในธรรมชาติมีหลักสัจธรรม หากเข้าใจในหลักสัจธรรมนั้น เราจะสามารถพบความจริงอันเป็นอิสระและบริสุทธิ์ที่แท้จริง แล้วเราเคยเห็นไหม
ถ้าวันนี้เราบอกว่าเราจะให้เลขสองตัวสนใจไหม (สนใจ)  แปลว่าที่ฟังมาไม่ได้เข้าใจเลย ถ้าได้ไปแล้วเป็นอย่างไร มันไม่เที่ยง มันมีวันหมด และมันมีวันเปลี่ยนแปลง ได้แล้วอย่าลืมนะทุกสิ่งก่อนที่เราจะได้เราต้องเสียแล้วจึงได้ ไม่มีอะไรในโลกได้มาฟรีๆ ท่านต้องเสียก่อนแล้วจึงได้ แล้วจะได้เพื่อเสียหรือเสียเพื่อได้ ยังสับสนอีกนะ เราอยู่ในโลกนี้เราต้องเสียก่อนแล้วจึงได้ แล้วจะได้เพื่อเสียหรือเสียเพื่อได้ (เสียเพื่อได้) ทั้งได้ทั้งเสียก็ไม่เอา เพราะถึงที่สุดแล้วเราไม่เคยได้อะไรเลยและไม่เคยเสียอะไรเลย นี่คือความจริงที่ท่านลืมไป คิดให้ดีๆ นะสิ่งที่ท่านบอกว่าท่านมีแท้จริงแล้วคือท่านกำลังไม่มีและไม่มีอยู่ทุกขณะ แล้วสิ่งที่ท่านบอกว่าท่านกำลังได้ จริงๆ แล้วท่านไม่ได้ แต่ท่านกำลังจะเสีย
เพราะขึ้นชื่อว่าชีวิตล้วนเดินไปสู่ความตาย และทุกขณะเราคือคนที่กำลังตาย อย่ามองว่าตัวเองเป็น มองให้ถูก เพราะคิดว่าตัวเองเป็น ปัจจุบันนี้ถึงประมาท ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นแหละคือกำลังตาย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเราคิดอย่างนี้เราจะอยากได้อะไรไหม (ไม่อยาก)  ถ้าเราคิดอย่างนี้เราจะเอาเปรียบใครไหม (ไม่)  ท่านจงจำไว้ว่าหลักสัจธรรมที่มนุษย์ชอบ คือการให้นำมาซึ่งความสุข การเอาเปรียบนำมาซึ่งความทุกข์ อยากให้ใครมีสุขจงรู้จักให้ แล้วคนที่ให้ก็จะสุขด้วย วันนี้ท่านอาจจะพูดว่า ดีใจได้กำไร ดีใจได้มากกว่าคนอื่น ดีใจฉันได้กำไรมากกว่าคนอื่น ดีใจฉันได้เยอะกว่าคนอื่น แต่เราจะบอกให้นะ ใต้หล้าฟ้านี้ไม่มีใครได้กำไรมากกว่าใคร เอาเปรียบเขามากแค่ไหน ท่านก็เสียเปรียบเขามากเท่านั้น ได้มากแค่ไหน แท้จริงแล้วท่านก็ต้องเสียมากเท่านั้น ฉะนั้นมองให้เห็นธรรม อย่ามีชีวิตมองเห็นแต่อารมณ์ เพราะธรรมจะนำพาเราให้พ้นทุกข์ และไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้ตัวตนนี้ เจ็บก็ไม่ทุกข์ เพราะมันไม่ใช่ของเรา ป่วยก็ไม่ทุกข์ เพราะมันไม่เคยเที่ยง พลัดพรากก็ไม่ทุกข์ เพราะเราไม่เคยมี ได้มาก็ไม่ได้ดีใจ เพราะเราไม่เคยมีอะไรเป็นของเราแท้จริง ตัวเรานี้ของเราหรือ เสื้อผ้านี้ของเราหรือ คนที่รักนี่ของเราหรือ แล้วอะไรทำให้ท่านลืมไปล่ะ เพราะมนุษย์ใช้แต่อารมณ์มากกว่าสติและการเข้าถึงธรรม ทุกวันเราจึงปฏิบัติแล้วได้แต่อารมณ์มากกว่าได้หลักสัจธรรม เราจึงเข้าไม่ถึงความบริสุทธิ์ เมื่อได้อารมณ์ก็ดี ก็ร้าย ก็ได้ ก็เสีย ก็ชอบ ก็ชัง แต่เมื่อใดที่เราได้หลักธรรม เราจะพบความอิสระและบริสุทธิ์ เกิดมาเพื่อจบ ไม่ได้เกิดมาเพื่อเกาะเกี่ยวผูกพันให้เกิดวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ยังอยากวอนขออะไรจากเราไหม (ไม่)  ไหนใครกราบพระแล้วอยากขอบุญขอวาสนาบ้าง ยังอยากไหม (อยาก)  ถ้าอย่างนั้นจำไว้นะว่า เรื่องของวันนี้ล้วนเกิดจากการกระทำของเมื่อวานนี้ เรื่องของชีวิตวันนี้สุขหรือทุกข์ล้วนเกิดจากการสั่งสมในจิตใจเราที่กำหนดตัวตน ฉะนั้นวันนี้จะเป็นเช่นไร ขึ้นอยู่กับเมื่อวานนี้ ชีวิตตอนนี้จะสุขหรือทุกข์อย่างไร ขึ้นอยู่กับเรากำหนดตัวตนนี้ทั้งสิ้น
ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาจากการวอนขอ ล้วนได้เพราะการกระทำ และไม่มีอะไรในโลกที่เป็นเหตุทำให้เราเจอแบบนี้ นอกจากตัวเราเอง ไม่ใช่คนอื่น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ดังที่มนุษย์มักจะกล่าวว่า มนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม กรรมชั่วย่อมหนุนนำคนชั่วให้ได้ชั่ว กรรมดีย่อมหนุนนำคนดีให้ได้รับผลดี แต่เกรงอย่างเดียวว่าคนดีจะดีไม่จริง มือทำบุญแต่ใจอาฆาต ปากให้อภัยแต่ใจยังจดจำไม่ลืมเลือน ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นชีวิตจะเป็นเช่นไร ไม่ใช่อยู่ที่ฟ้า ไม่ใช่อยู่ที่หมอดู แต่อยู่ที่เราคิดพูดและทำอะไร วันนี้อยู่ที่เมื่อวานและวันหน้าก็อยู่ที่วันนี้ เราเรียนรู้หลักธรรม ไม่ใช่เพื่อให้หลงงมงาย ไม่ใช่ให้หลงในทางปฏิบัติธรรม แต่เรียนรู้หลักธรรมเพื่อรู้แจ้งเห็นจริงในตัวตนและมองโลกให้แจ่มชัด เพื่อทำให้ตัวเองไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป โดยไม่ต้องพึ่งใคร พึ่งตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  เช่นนี้ถ้าโดนคนว่าแล้วจะกลับไปต่อว่าเขากลับไหม (ไม่)  โดนเขาด่าจะกลับไปด่าเขากลับไหม (ไม่) เพราะอะไรที่ไม่คิดจะด่าเขากลับแล้ว เพราะว่ากลัวเป็นคนบ้าหรือเปล่า
วันนี้เรามาคุยกับท่านสั้นๆ เพียงแค่นี้ รบกวนเวลาแค่นี้ได้หรือไม่ (ได้)  เราขอกลับก็คงไม่เป็นไรใช่หรือไม่ (อยากได้วิธีปลุกสติ)  อยากได้วิธีปลุกสติหรือ ไม่ยากเลยนะ ทุกครั้งที่โดนกระทบจงนิ่ง ก่อนวิ่งไปตามอารมณ์ นิ่งแล้วมองให้เห็นธรรม เพราะความนิ่งเป็นรากฐานของสติ แต่ทุกครั้งที่เราโดนกระทบ เราไม่นิ่งและเราก็วิ่งไปตามอารมณ์ทันที ฉะนั้นทุกครั้งที่โดนกระทบนิ่งสักหน่อย ช้าสักนิดแล้วหยั่งให้ถึงธรรม แต่อย่าเอาแค่เห็น เพราะความคิด อารมณ์ ความรู้สึกล้วนนำพาให้มนุษย์ขังเป็นตัวตน แต่ถ้าเวลาโดนกระทบใช้คำว่า “พิจารณา” ให้บังเกิดธรรม การพิจารณาก็เรียกว่า “ภาวนา” หรือเรียกว่าทำความสงบให้เกิดจนบังเกิดเป็นสมาธิแล้วก่อเกิดเป็นปัญญา ต้องลงมือกระทำนะ แค่เราพูดไม่ได้ เพราะธรรมะเหมือนที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่าเป็น “ปัจจัตตัง” ทำเอง รู้เอง สำเร็จเอง เอาแต่ฟังแล้วไม่ทำ ไม่มีวันค้นพบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจะเกิดมาเพียงเพื่อตัวตนขังอารมณ์ตน หรือเราจะเกิดมาเพื่อค้นพบธรรมที่มากกว่านั้น
สุดท้ายแล้วนะ ขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง มนุษย์ประกอบไปด้วยกาย ใจและจิต พระพุทธะบอกว่าในกายใจและจิตมีเนื้อนาบุญอยู่ ปลูกแตงย่อมได้แตง ปลูกอารมณ์ย่อมได้อารมณ์ที่เรียกว่าตัวตน แต่ถ้าเมื่อไรเราปลูกสติและปลูกธรรม เราย่อมเข้าถึงธรรมที่ทำให้เราพ้นทุกข์ นับจากนี้คิดให้ดีๆ ว่าจะมีชีวิตอยู่วิ่งไปตามอารมณ์ หรือมีชีวิตอยู่แล้วรู้จักมีสติพิจารณาให้เข้าถึงธรรม เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทาสอารมณ์ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์ไม่จบสิ้นหรอกนะ แต่พุทธะต้องการให้ท่านรู้ว่ามนุษย์มีสิ่งประเสริฐที่เรียกว่า “มหาธรรมอันยิ่งใหญ่” ไม่ได้อยู่ที่พระพุทธองค์ ไม่ใช่อยู่ที่องค์พระ ไม่ใช่อยู่ที่พระไตรปิฎก แต่อยู่ที่ตัวเรา นิ่งแล้วหยั่งให้ถึงซึ่งธรรมอันแท้จริง แล้วธรรมนั้นจะนำพาให้เราพบธรรม เริ่มต้นวิธีปฏิบัติง่ายๆ นะ ทำอะไรมีเมตตาไหม ถ้าทำแล้วไม่มีเมตตาอย่าทำ ง่ายไหม (ง่าย)
โมโหไปแล้วเรียกว่าเมตตาไหม ด่าไปแล้วเรียกว่าเมตตาไหม ความอยากเกิดแล้วเรียกว่าคนมีเมตตาไหม ฉะนั้นพิจารณาให้ได้ธรรม และธรรมจะมาสู่เรา และธรรมนั่นจะนำพาให้เราพ้นทุกข์และเป็นอิสระอย่างแท้จริงบนโลกใบนี้ เราไม่สามารถทำให้ท่านเชื่อได้ถ้าท่านยังตีกรอบตัวเองว่าไม่เชื่อ แต่อย่าลืมนะกรอบที่ท่านสร้างมันก็แค่สิ่งสมมติ แล้วทำไมเราปล่อยให้ชีวิตอยู่กับสิ่งสมมติ และเอาสิ่งสมมตินั้นครอบงำจนชีวิตมองไม่เห็นความจริง เงินทองเป็นสิ่งสมมติไหม คำชมคำด่าเป็นสิ่งสมมติไหม เราไม่เคยได้อะไรเลย เราไม่เคยเสียอะไรเลย เพราะเราไม่เคยมีอะไรเลย  ดังคำที่กล่าวว่า “เรามาตัวเปล่า ไปก็ไปตัวเปล่า เรามาคนเดียว ไปก็ไปคนเดียว” แล้วจะเกี่ยวคนอื่นให้เกิดกรรมและวิบากกรรมทำไม ทำไมไม่เกิดมาเพื่อจบแม้จะเลวร้ายก็ดีใจที่ได้ชดใช้กรรม แม้จะเลวร้ายและเจ็บปวดก็ดีใจที่ได้ชดใช้กรรม ไม่เคยเคืองโกรธไม่เคยด่าทอไม่เคยสูญเสียความดีในใจ
วันนี้ลองกลับไปพิจารณาให้ดีนะ อย่าเห็นแต่สิ่งที่อยากเห็นเลย ธรรมมีค่ามากกว่านั้น อย่าเอาคนมาวัดธรรม อย่าตีกรอบคนจนมองไม่เห็นธรรม น่าเสียดายนะ เพราะมนุษย์มีสิ่งที่มีค่ามากกว่านั้น มากกว่าเงินทอง มากกว่าชีวิต นั่นคือมีชีวิตเพื่อเข้าถึงธรรม และนำพาให้ผู้คนพ้นทุกข์ นี่คือการปรกโปรดยุคสาม จะช่วยคนแปรเปลี่ยนจิตใจได้อย่างไร ถ้าตัวเรายังชั่วร้ายอยู่ จะทำโลกให้ดีได้อย่างไรถ้าตัวเรายังไม่ดีอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  เปลี่ยนโลกเปลี่ยนคนต้องเปลี่ยนที่ตัวเอง เริ่มต้นที่เรานะ ใจกว้างพอไม่มีใครเกินไปหรอก ใจกว้างพอไม่มีใครแย่หรอก ใจดีพอก็ไม่มีใครต้องให้อภัยหรอก ใช่ไหม (ใช่) เพราะใจเรากว้างไม่พอหรือเปล่า จึงยังมีคนที่เราต้องพยายามให้อภัย คิดดูให้ดีนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก


วันอาทิตย์ที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มองทุกสิ่งอย่าติดยึดต้องดีร้าย ความอยากไม่หวั่นไหวไม่สับสน
ถูกกระทบก็เข้าใจความเป็นคน ความทุกข์ทนไม่เคยทำทุกข์ใจ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคน ยังเบื่อฟังธรรมะไหม

คนที่แข็งไม่มีน้ำตา  ในด้านชาซ่อนความขี้แพ้ความอาย  บทจะทำเฉยเมย   เงียบจนสร้างปัญหา  เรื่องความคิด เรื่องจำเป็น  
* ตอนช่วยคนเจ้าอย่าเต๊ะไป  ยักท่าไปอะไรไม่ได้คุยกัน  น่าอึดอัดเหลือเกิน  ต้องอกไหม้ไส้ขม  เหมือนทุกครั้งที่แล้วมา  
** หัวยอมก้มลงมาหน่อยไหม  เรื่องเยอะแยะพูดแบบไหน  มีหัวใจด้วยไหม  ช่วยคนต้องไม่หยิ่งเกินไป  ให้คนมาพึ่งเจ้าเหงาคลาย  ยิ่งยศไม่ถือศักดิ์  
*** คนเข้มแข็งไม่ยืนเหนือคน  ไร้ผู้คนไม่มีเรื่องการบำเพ็ญ  มีธรรมในหัวใจ  ประกาศธรรมแทนฟ้าด้วยปัญญาทุกเรื่องราว
(ซ้ำ *, **,**)
ทำนองเพลง :ลมซ่อนรัก
ชื่อเพลง :ช่วยคนต้องเข้าหาคน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตากับผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ยังต้องให้พูดอะไรอีกหรือ ฝึกฝนบำเพ็ญต้องเรียนรู้ให้มาก ไม่ว่าจะเป็นฟังมาก อ่านมาก และปฏิบัติให้มากด้วย ไม่ใช่ฟังแต่ไม่ปฏิบัติ ไม่ใช่ปฏิบัติแต่ภายนอกแต่ลืมลงแรงปฏิบัติภายใน การประจักษ์แจ้งหลักธรรมต้องตื่นรู้ด้วยตัวเองนะศิษย์ ตื่นรู้ในความจริงแท้ของความเป็นคน คนที่เรามักมองเห็นแค่เป็นคน แต่เราต้องมองให้เห็นจนเป็นธรรม จนเอาธรรมจากคนมาได้ ไม่ใช่เห็นคนก็ยังเป็นคน เราก็จะยังต้องคนไม่จบสิ้น ต้องให้เห็นคนจนเห็นเป็นธรรม แล้วเราก็จะได้ธรรมอยู่ในตัวเรา จนตัวเราไม่มี แล้วเราก็คือธรรม อย่ายิ่งเห็นคนแล้วก็ยังคนไม่จบ
(พระอาจารย์เมตตานักเรียน)
มนุษย์ส่วนใหญ่ในโลกมีความทุกข์กันทั้งนั้นเลยใช่ไหม (ใช่) เช่นนั้นวันนี้มาหาวิธีปลดทุกข์ดีหรือเปล่า (ดี)
“มองทุกสิ่งอย่าติดยึดต้องดีร้าย ความอยากไม่หวั่นไหวไม่สับสน
ถูกกระทบก็เข้าใจความเป็นคน ความทุกข์ทนไม่เคยทำทุกข์ใจ”
มองทุกสิ่งไม่ยึดติดว่าจะต้องดีต้องร้าย ไม่ไปตัดสินใครดีใครไม่ดี ใครร้ายใครดี เห็นก็แค่เห็น มองก็แค่มอง แต่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น อันนี้ไม่ดี อันนี้แย่ ไม่ได้เรื่อง ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อมีดีมีแย่ ก็กลายเป็นมีบุญมีบาปมีเวรมีกรรม แต่ถ้าเกิดไม่มีดีไม่มีแย่ บุญก็ไม่ต้องยึดติด บาปก็ไม่ต้องเกี่ยวกรรม ใช่ไหม (ใช่)  แต่เห็นก็อดไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเริ่มต้นคิดอย่างนี้มันก็วุ่นไม่จบ แต่ถ้าเริ่มต้นเห็นแค่เพียงเห็นใครพูดโดนใจก็โดนใจ ใครพูดขัดใจก็เจ็บ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเริ่มต้นเราไม่ตัดสินดีไม่ดี เลวไม่เลว เห็นก็แค่เห็นไม่ต้องเริ่มมันก็จบ จริงไหม (จริง)  จบตั้งแต่ยังไม่เกิดเลย พระพุทธะจึงสอนว่า เกิดทุกทีก็ทุกข์ทุกที เกิดเป็นอะไร เกิดเป็นตัวตนที่เราชอบแบบนั้นเกลียดแบบนี้ เอาแบบนั้นไม่เอาแบบนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นไม่ต้องเริ่มก็จบ เห็นก็สักว่าเห็น สวยแล้วเป็นอย่างไร สวยแล้วมีสวยกว่าไหม ดีแล้วมีดีกว่าไหม แย่แล้วมีแย่กว่าไหม หล่อแล้วมีหล่อกว่าไหม ใช่ไหม (ใช่)  อย่าลืมนะทุกสิ่งมันแค่อยู่ชั่วขณะ ดีแค่ขณะหนึ่งแค่นั้นเอง อาจารย์ถามว่า ศิษย์เคยเห็นม้าไหม เขาจะบังคับให้ม้าเดินแบบป้องตาอย่างนี้ตลอดใช่ไหม แล้วเราชอบเป็นแบบนี้ไหม (ไม่ชอบ)  มองแล้วต้องอย่างนี้เราชอบไหม มองแล้วมองได้ไม่กว้าง ชอบไหม (ไม่ชอบ)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  เป็น กรอบของศิษย์นะมีเลย แบบนี้ดีแบบนี้ไม่ดี แล้วกรอบแบบนี้ใครมาแตะไม่ได้ แล้วเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ใช่ไหม (ใช่)  พอใครมาแตะหน่อย มาว่าฉันทำไม ฉันดี ดีก็ยังมีกรรมที่ติดยึด เลวก็ยังมีกรรมที่ยังผูกพัน ฉะนั้นถ้าจะเข้าถึงธรรม เห็นแค่เห็น รู้แค่รู้ กินแค่กิน ได้ไหม (ได้)  แล้วถ้ากินแล้วอร่อยล่ะอาจารย์ ใครเป็นแม่ครัวเนี่ยขอเห็นหน้าหน่อยเถอะ กินแล้วอร่อยคราวหน้าทำให้ได้อย่างนี้อีกนะ พอทำได้อย่างนี้ทำไมอร่อยเหมือนเดิม เริ่มมีเวรมีกรรมไหม อร่อยแล้วอยากมากินอีกไหม (อยาก)  มาฟังธรรมะกินเจอร่อยไหม ฉะนั้นอย่าทำให้มันก่อเกิดเวรกรรม กรรมที่ไม่จบสิ้น กรรมที่เป็นตัวตนสร้างตัวตนคือเราเอง แล้วก็หนีไม่พ้นอะไร พ้นตัวตนที่ตัวเองสร้างไว้ติดยึด อย่างที่อาจารย์บอกมองทุกสิ่งอย่าติดยึดว่าต้องดีต้องร้าย มองแค่มอง มีความอยากอะไร มันก็แค่นั้น สวยแล้วอย่างไร ดีแล้วอย่างไร รวยแล้วอย่างไร ใช่ไหม (ใช่)  ต่อไปจะไม่ซื้อเสื้อผ้าเพิ่มอีกใช่ไหม จะไม่อยากมากกว่านี้แล้วใช่ไหม (ใช่) รู้แล้วก็เท่านี้ อย่างไรก็ยังเหมือนเดิมใช่หรือเปล่า ฉะนั้นถ้าเรายิ่งยึดติดต้องดีต้องร้าย ยิ่งยึดติดว่าต้องอยากได้ยิ่งอยากได้ ต้องได้ไม่เสีย ฉะนั้นเวลาเราถูกใครกระทบก็ตาม เราก็เข้าใจแล้วว่ามันก็แค่นั้น เราไม่ได้โกรธ เราไม่ได้ตัดสินและไม่ได้ยึดติด ถึงจะทุกข์ขนาดไหนมันก็ไม่ได้ทุกข์ใจใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นอยู่ในโลกถ้าไม่อยากทุกข์ทนลองถอนตัวเองออกมาจากการยึดมั่นถือมั่นนั้นนะศิษย์ และคนที่จะตีเราก็จะไม่ทำให้เราเจ็บ แต่มนุษย์อดไม่ได้ต้องยึดต้องถือ แล้วก็ต้องทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราเกิดมาต้องทุกข์จริงไหม (จริง) หัวหน้าจริงไหม เราเกิดมาเราต้องทุกข์จริงไหม เราเลือกได้นะศิษย์ ของเรายังเลือกดีที่สุด ถ้ารู้ว่าคิดมากคิดทำไมเล่า วิ่งหนีหรือ ทำไมล่ะ จริงๆ เรื่องมันเกิดและจบแล้วนะ เรื่องมันเกิดและจบไปนานแล้ว แต่สิ่งที่ไม่จบคือสิ่งที่มันคิดอยู่ในสมอง ฉะนั้นถ้าไม่อยากจะทุกข์ไม่ใช่ปล่อยวางเขา แต่ต้องปล่อยความคิด ด้วยการรู้เท่าทันความคิดตน ว่าคิดแล้วมันทุกข์คิดทำไม จริงไหมคิดแล้วมันมีแต่วิตกทุกข์ร้อน ก็ก้มหน้ายอมรับสิ จะทุกข์อีกสักกี่ที โดนด่าเจ็บไหม (ไม่เจ็บ) ไม่เจ็บ แต่จำไม่ลืม ฉะนั้นคำว่าปล่อยวางศิษย์ต้องใช้ให้ถูก ไม่ใช่ปล่อยเขา แต่ต้องปล่อยความคิดด้วยการรู้เท่าทันใจตน อยากดับทุกข์สิ่งสำคัญคืออะไร (ปล่อยวาง)
เราจะดับทุกข์ได้อย่างไร (ปล่อยวาง)  ศิษย์เอยทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดและดับอยู่ทุกขณะ แล้วยังจะต้องไปปล่อยอะไร มันเกิดและจบไปแล้ว แต่คนที่ไม่เคยยอมจบอะไรง่ายๆ ก็คือตัวศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าบางทีที่ศิษย์ทุกข์หรือกลุ้มกังวลอยู่อย่างนี้ เป็นเพราะเรื่องอดีตกับอนาคต ใช่หรือไม่ (ใช่)  และก็ทุกข์อยู่กับความคิด ความคิดที่เป็นอย่างไร ช่วยตอบอาจารย์หน่อยนะ อาจารย์จะช่วยให้ศิษย์ได้คิด ตอนนี้ศิษย์จะต้องพึ่งตัวเองแล้วนะ อย่าเอาแต่วอนขออาจารย์ อาจารย์จะสอนให้ศิษย์รู้จักพึ่งตัวเอง เพราะเมื่อถึงเวลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถช่วยได้ถ้าเราไม่รู้จักก้าว และไม่รู้จักคิดให้เป็น คำพูดดีขนาดไหน หรือคำอวยพรจะเลิศประเสริฐขนาดไหน แต่ถ้าเรายังคิดไม่ได้มันก็พ้นไม่ได้ อะไรดีๆ ศิษย์รู้ไปหมด อันนี้ถูกใจ อันนี้ดีใจ แต่เวลาทุกข์ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอะไรล่ะศิษย์ที่จะนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้  เราต้องจับจุดให้ออก  ถ้าเราจับจุดออก  การจะพลิกก็ง่าย  แต่ถ้าจับจุดไม่ออก เอาไปแก้ที่ปลายเหตุ เอาแต่โทษคนอื่น ถูกไหม (ไม่ถูก)  ฟ้าไม่ยุติธรรมใช่ไหม (ไม่ใช่)  ทำไมหนูต้องมาเจอกับคนแบบนี้  ทำไมเขาต้องทำกับหนูแบบนี้  อาจารย์บอกไว้ก่อนนะศิษย์ ทุกเรื่องบนโลกใบนี้ล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย  ไม่มีเรื่องบังเอิญ  สิ่งที่ศิษย์ได้รับนั่นล่ะคือความยุติธรรมที่สุดแล้ว  แต่เราแค่ไม่สามารถเดาได้ว่าเราไปทำอะไรมา กรรมถึงต้องเป็นแบบนี้  แต่ถ้าศิษย์คิดให้ดีๆ ไตร่ตรองให้ดีๆ มองนิสัยมองความเป็นตัวตนก็จะรู้เลยว่าที่ต้องเป็นแบบนี้เพราะนิสัยฉันแท้ๆ  เพราะสิ่งที่ฉันกินสิ่งที่ฉันพูดแท้ๆ เลย  อย่าโทษคนอื่น ตัวเองล้วนๆ เลยจริงไหม (จริง)  ทุกข์ก็เพราะปากตัวเองเจ็บก็เพราะปากตัวเอง  ทุกข์ก็เพราะใจตัวเองเจ็บก็เพราะใจตัวเอง  ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนว่าให้อะไรล่ะถึงจะพ้นทุกข์ อะไรก็ให้ทำใจกับให้ปลง  มันก็เลยทั้งทำใจและปลงไม่เคยได้ ปัญหาอยู่ที่ใจนะ  สมมติว่าเราหนีคนนี้ได้แต่ถ้าใจเราติดเรื่องนี้เดี๋ยวก็ต้องไปเจอใหม่  ฉะนั้นเราต้องรู้อะไรล่ะ ถึงจะพ้นทุกข์ (รู้ทันความคิดตนเอง  รู้ทันจิตตนเอง  รู้ทันในตัวเอง  รู้เท่าทันใจตัวเอง  หยุดที่ความคิดของเราเอง  มีสติและรู้เท่าทันตัวเอง)  คนตอบได้อยากนั่งไหม  ไหนใครตอบได้ออกมาหาอาจารย์หน่อย  คนตอบไม่ได้ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ต่อไป คนที่ตอบ  ตอบได้ดี  อาจารย์ถามคนที่ตอบได้ ถ้าศิษย์ตอบได้ ศิษย์จะยอมยืนแล้วให้ทุกคนนั่ง หรือศิษย์จะนั่งแล้วปล่อยให้ทุกคนยืน หรือจะรู้จักส่งต่อ (ส่งต่อดีกว่าครับ เพราะไม่อยากเอาเปรียบกัน) ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ให้ศิษย์หาคนมาช่วยตอบ ศิษย์ฝ่ายหญิงว่าอย่างไร (ยืนก็ยืนด้วยกัน นั่งก็นั่งด้วยกัน) ศิษย์ที่เหลือล่ะ (ยอมยืนแทน) ตอบได้ดี คนที่ส่งต่อเพราะไม่อยากตัดสินอะไรใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็ไปยืนกับเขานะ บางครั้งชีวิตต้องรู้จักเลือกตัดสินนะศิษย์ เพราะถ้าคิดว่าดีก็ไม่เอา แย่ก็ไม่เอา อย่างนี้เรียกว่าไม่ได้เรื่องเลยนะ จะดีก็ไม่ดีให้ถึงที่สุด จะแย่ก็ไม่แย่ให้ถึงที่สุด คนแบบนี้คบยากนะ จะพูดว่า “ผมไม่ตัดสิน ส่งต่อให้คนอื่นรับผิดชอบไปเลย” ได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าคิดให้ดีก่อนนะ ทั้งที่จะทำให้ตัวเองพ้นทุกข์กลายเป็นโยนทุกข์ให้คนอื่นต่ออีก ศิษย์ฝ่ายหญิงยอมให้เขานั่งแล้วเรายืนใช่ไหม (ใช่) นักเรียนในชั้นยอมนั่งไหม (ไม่ยอม) นี่แหละศิษย์ จำไว้เวลาใครมาดีกับเรา เราอย่าเอาเปรียบ เรายังต้องรู้จักดีตอบและแผ่ขยายความดีให้ยิ่งใหญ่ขึ้น ไม่ใช่แค่ขอบใจแล้วปล่อยให้คนอื่นยืนต่อไป อย่างนั้นแล้วจะทำให้คนดีไม่มีกำลังใจ นั่งด้วยกัน ยืนด้วยกัน อย่างนี้ถึงจะเรียกว่า ยุติธรรม อย่างนั้นก็ไม่ต้องนั่งกันทั้งชั้นแล้วนะวันนี้ ดีไหม (ดี) อาจารย์ให้แอปเปิลเป็นรางวัลก่อนนะ ถ้ารางวัลเอาไปแล้ว มีแต่ความแก่ แล้วเจ็บ แล้วตาย เอาไหม (ทานก็ตาย ไม่ทานก็ตาย)  ตอบได้ดีมาก อย่างนี้เรียกว่าฟังธรรมไม่เสียหลายนะศิษย์ อย่าไปยึดแค่คำพูดคนกินแล้วตาย คนเราอย่างไรเสียก็ต้องตาย กินแล้วต้องเจ็บ แล้วศิษย์จะเอาไหม (เอา)  มนุษย์ถึงได้ทุกข์ทุกวันนี้ แค่เกิดแก่เจ็บตายไม่พอ ยังเอามาเพิ่มให้ยิ่งแก่ยิ่งเจ็บ คิดให้ดีๆ นะศิษย์ ของศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่อยู่ที่คนให้ แต่อยู่ที่ตัวเราดลบันดาลให้เป็นไป ถึงจะถือพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ปานใด แต่ถ้าใจมีสิ่งสกปรกมีกิเลสมีราคี ถือไปก็บาปเปล่าๆ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ที่การปฏิบัติถ้าศิษย์ปฏิบัติได้ดีปฏิบัติได้ชอบมีศีลบริสุทธิ์ ดำรงตนได้งดงาม ไม่ต้องแขวนอะไรก็ศักดิ์สิทธิ์ ผีก็คุ้มครอง เชื่อไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่งลง)
อาจารย์ยังไม่ทันเริ่มพูดธรรมะศิษย์ก็จบแล้ว อาจารย์พูดเริ่มก็จบทันทีเลย ใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่างนั้นทำอย่างไรล่ะที่เราจะสามารถดับทุกข์ได้ ถ้าตามหลักพระพุทธศาสนาท่านก็สอนไว้ว่าอวิชชาก่อเกิดจึงตามมาด้วยตัณหาและอุปาทาน เมื่อไม่รู้จึงอยากแล้วก็ยึด แต่ถ้ารู้แล้วเราจะอยาก เราจะยึดไหม (ไม่ยึด) อยากไหม (ไม่อยาก) แล้วเราไม่รู้อะไร  ไม่รู้เท่าทันความคิดหนึ่ง ไม่รู้เท่าทันนิสัยอารมณ์ตนอีกหนึ่งใช่ไหม อีกหนึ่งคือ ไม่รู้ความเป็นจริงแห่งคำว่าตัวตนที่กำลังอยาก และหลงอยู่ใช่หรือไม่ เราเคยรู้ทันไหม ไม่เคยรู้เลย ดังนั้น พระพุทธะจึงสอนเป็นขั้นๆ เมื่อไม่รู้ก็ต้องทำให้รู้ด้วยการมีสติระลึกรู้ แล้วรู้อะไรที่จะทำให้เราไม่ประมาท แล้วหลงผิด แล้วเป็นทุกข์ (รู้เหตุ) รู้เหตุเพื่อหาทางดับผลใช่หรือไม่ ธรรมเกิดจากเหตุถ้าอยากดับก็ต้องดับที่ต้นเหตุถูกไหม (ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่มีผล) ถ้าไม่มีเหตุก็ไม่เกิดทุกข์จริงไหม อาจารย์ว่าถึงไม่มีเหตุมันก็มีทุกข์อยู่ทุกขณะนะ เพราะความทุกข์เป็นธรรมดาของโลก และเป็นธรรมดาของทุกสิ่งที่ต้องมี เราลืมไปหรือเปล่า ฉะนั้น ถ้าศิษย์อยากจะรู้แล้วไม่ทุกข์ รู้อะไร นั่นคือ “ระลึกรู้” หรือเรียกว่า “มีสติรู้” สติรู้ระลึกรู้อะไร (รู้ทันความคิด) รู้ทันความคิดที่เกิดขึ้นในใจ รู้ทันสิ่งที่มากระทบ รู้ทันสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่รับรู้ทางกลิ่นหรือรับรู้ทางประสาทสัมผัสใช่ไหม รู้แค่นั้นพอไหม เห็นสักแต่เห็น รู้สักแต่รู้ พอไหม พอให้เราดับทุกข์และปลงตกได้ไหม ต้องรู้อะไร สิ่งที่พระพุทธะสอนให้ไว้มีสติระลึกรู้ นั่นคือ รู้ว่าคนเรามีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็น (ธรรมดา) มีความตายเป็น (ธรรมดา) มีกรรมเป็น (ธรรมดา)พลัดพรากจากสิ่งที่รัก และต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่รักเป็นเรื่องธรรมดา มีได้มีเสียเป็นเรื่อง (ธรรมดา)  มีสุขมีทุกข์เป็นเรื่อง (ธรรมดา)  ศิษย์ก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนเวลาที่ศิษย์ดูหนังจนจบ ก็ไม่สนุกอีกแล้ว ก็เหมือนกับที่เรามองชีวิตจนจบเห็นจนชัด มันจะพลิกซ้าย พลิกขวา เดินหน้า ถอยหลัง ให้รู้ว่ามันธรรมดา เพราะอาจารย์จี้กงเคยบอกแล้ว แต่ศิษย์มักลืมสติ ความระลึกรู้ พอถึงเวลาก็คิดว่า เขาด่าฉันทำไม ทั้งที่จริงๆ แล้วมีชมก็มีคนด่าเป็นเรื่อง (ธรรมดา)  แต่เราไม่ยอมทำให้เป็นเรื่องธรรมดา เราก็เลยกลายเป็นคนผิดปกติ และกลายเป็นคนขาดศีล ฉะนั้นความธรรมดา จะทำให้เรามีศีลโดยที่ไม่ต้องพยายามถือศีล แต่เมื่อไหร่ที่เรามองความธรรมดาเป็นไม่ธรรมดา เราก็เริ่มเป็นคนผิดปกติ ใจมันเต้น ตามันยอมไม่ได้ อย่างนี้แหละเรียกว่าไม่ธรรมดา ฉะนั้นถ้าเรามีสติระลึกรู้มองเห็นความเป็นจริงของทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เราจะรู้มันเป็นธรรมดา มันก็แค่นั้น
และสติระลึกรู้ยังสอนอีกว่า มนุษย์มีกรรมเป็นต้นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ใครทำกรรมร้ายหรือกรรมดีอย่างไร จะต้องรับผลกรรมอันนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรารู้เราก็ไม่ต้องเกี่ยวกรรม แต่ถ้าเรายังไม่รู้เราก็ยังอดสร้างวิบากกรรมไม่ได้ ถ้าศิษย์ศึกษาหลักธรรม อย่าอ่านแค่อ่าน แต่อ่านแล้วพิจารณาหยั่งให้ลึก มองให้ถึง เพราะทุกประโยคมีความหมายหมด ถ้าเราระลึกรู้แล้วว่ามันเป็นธรรมดา เราก็จะจบได้ตั้งแต่ตอนนั้น แต่ที่จบไม่ได้ก็เป็นเพราะว่า เรายังไม่ยอม เมื่อยังไม่ยอมเราก็เลยต้องเกี่ยวกรรม เมื่อเกี่ยวกรรมแล้ว ทำแล้ว ก่อเกิดเป็นดีกับไม่ดี ดีก็เรียกว่าบุญ ไม่ดีก็เรียกว่าบาป จำไม่ลืมก็เรียกว่าจองเวร ฉะนั้นทุกขณะศิษย์สามารถทำบุญได้ และก็ทำบาปได้โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ที่วัด บุญคือสิ่งที่ทำแล้วใจมันฟูใจมันอิ่ม บาปคือสิ่งที่ทำแล้วใจมันแฟบ ดังนั้นเวลาด่าแล้วใจมันแฟบนั่นแปลว่าทำบาป แต่เวลาที่ทำอะไรแล้วมันสุขใจ อิ่มใจ นั่นคือกำลังทำบุญ เหมือนศิษย์ทำงานที่รับผิดชอบงานด้วยหน้าที่ ทำแล้วสบายใจ ทำแล้วมีความสุข นั่นคือทำงานด้วยบุญแต่ถ้าทำแล้วเจ้านายว่าอย่างนั้นว่าอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ ทำไปก็บาปไป ทำไปก็ด่าไป สวรรค์มีอยู่วันเดียวคือวันรับเงินเดือน นอกนั้นนรกหมดเลย ใช่ไหม (ใช่)  นรกทุกวันเลยหรือ น่าสงสารนะศิษย์เอ๋ย ฉะนั้นเมื่อมีบุญมีบาปก็ยังมีการก่อเกิดเป็นตัวตนที่ต้องรับผลบาปและผลบุญนั้น บุญทำไมทำแล้วไม่ได้ดี เพราะบุญถ้ายังอิงแอบไปด้วยกิเลสตัณหาราคะความยึดมั่นความหลง บุญนั้นก็ยังเต็มไปด้วยบาปอยู่นะศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมศิษย์ทำบุญแล้วไม่ได้บุญก็เพราะว่าบุญที่ศิษย์ทำนั้นยังเป็นการโอบรัดเพื่อกลับคืนมาเป็นตัวตนให้เกิดทุกข์ ถ้าอยากจะเข้าถึงบุญที่แท้จริง บุญต้องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ พระพุทธะจึงสอนต่อไปว่า ในเมื่อมีดีมีร้ายอยู่ ยังมีอีกทางหนึ่ง ทางนั้นเรียกว่า ทางที่แผ้วถางกิเลส ความยึดมั่นถือมั่นในดีชั่ว เป็นทางสายกลางที่เรียกว่า กุศล ถ้าทำแล้วมันแผ้วถางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ถ้าทำแล้วมันชำระล้างกิเลสในใจตนแล้วยกจิตให้สูงขึ้น นั่นเรียกว่ากุศล แล้วกุศลนี่แหละที่จะทำแล้วเรียกว่าเป็นอกรรม ไม่มีตัวตนมารองรับผลต่ออีก แต่ถ้าทำบุญแล้วขอให้ร่ำรวย ขอให้ร่มเย็น ขอให้ลูกเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ คือทำบุญเพื่อมารองรับกลับมาเกิดใหม่ เราเป็นอย่างนั้นไหม ถ้ายังหวังอย่างนั้นก็คือยังมีตัวตนให้ต้องไปรับทุกข์รับผลกรรมดีอยู่ ยังไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด แล้วแค่ทำแค่นี้แน่ใจได้หรือว่ารับผลแล้วจะได้ดี ไม่มีทางหรอกนะศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)  อยากกลับมาเกิดเป็นคน ศีลห้าต้องครบ การทำบุญต้องยิ่งใหญ่พอ เพราะถ้าเกิดมาเป็นคนแล้วยากจนเอาไหม ฉะนั้นถ้าอยากกลับมาเกิดเป็นคนแล้วรวยอีก ต้องทำบุญเยอะๆ แบบไม่หวังผล ทำแบบปิดทองหลังพระ
ทำไปเลย แต่อาจารย์ขอเลือกทางนี้ ทำแล้วไม่ต้องกลับมารับอีก อาจารย์มาเพื่ออยากให้ศิษย์รู้ว่า เมื่อเราเรียนรู้หลักธรรมชีวิตมีทางให้เลือก แต่เราอย่าหลงกับการปฏิบัติธรรมหรืออย่ายึดมั่นกับธรรมอย่างตายตัว ธรรมมีค่ามากกว่านั้น ใช่ไหมมันมีบุญ มีบาป มีเวรกรรม กับอีกทางหนึ่งที่อาจารย์บอก คือ ทางที่พ้นไม่มีกรรมมารองรับแล้ว ไม่มีตัวตนให้ยึดถือ ทำแล้วสละตัวตนได้ ยิ่งหลุดพ้นกรอบแห่งความยึดมั่นในตัวตนได้ จึงเรียกว่า กุศล จะทำแบบนี้ไหม หรือจะทำแบบเดิมเอาไหม (ไม่เอา) ศิษย์มักจะพูดกับอาจารย์เสมอว่าทำบุญแล้วไม่เห็นได้ดีเลย ทำไมยังโดนคนว่า ทำไมยังโดนเคราะห์ภัยอยู่ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะยกตัวอย่างง่ายๆ (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาหน้าชั้น) อาจารย์บอกว่า ศิษย์มักจะชอบทำบุญ ทำบุญคือทำที่วัด แต่เวลาศิษย์ทำบาปศิษย์ทำที่ไหน อย่างเช่นง่าย ๆ อาจารย์ตบหัวเขา อาจารย์ด่าเขา อาจารย์เตะเขา แล้วอาจารย์ก็ไปวัด “สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย” เจอหน้าก็ไล่เขา รังเกียจเขา เราเป็นอย่างนั้นไหม เราเป็นคนดีแค่อยู่ในวัดไหม เราสงบนิ่งมากๆ เลย ยุบหนอ พองหนอ แต่พอเจอเขาโมโหหนอ ใช่ไหม บุญล้างบาปไม่ได้นะ แล้วอาจารย์ก็ย้ำเสมอว่า อย่าล้อเล่นกับความรู้สึกคน ถ้าคนชิงชังแล้ว เจ็บแค้นแล้ว โกรธแล้ว เคืองแล้ว ต่อให้เราไปลูบหัวขอโทษเขา หายไหม (ไม่หาย) ศิษย์ยังไม่หายเลย แล้วศิษย์ไปเอาเขาถึงชีวิต กินหน่อย กินนิด ด่าหน่อย ด่านิด ไม่เป็นไรนะ เพื่อนกันหยิกหน่อยไม่เป็นไรนะ ความรู้สึกคนน่ากลัวนะ ยิ่งถ้าเป็นจิตที่อาฆาตมาดร้ายแล้วถึงขนาดจำแล้วจองเวรจองกรรม แม้ศิษย์จะทำดีขนาดไหนเขาก็ไม่ปล่อยเพราะทำเขาเจ็บไว้ใช่ไหมแล้วเขาจะเอาแค่ให้ศิษย์ร้องไห้หรือ แค่นั้นหรือจะสาแก่ใจ บางทีเขาไม่ทำกับเรา แต่เขาทำกับคนที่ศิษย์รักที่สุด มันเจ็บปวดมากนะ ฉะนั้นอย่าล้อเล่นกับชีวิตคนและชีวิตใคร คิดให้ดีๆ อย่าเพียงเพราะอยาก โมโห หมั่นไส้ แล้วทำไป เดี๋ยวค่อยไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ทีหลัง ไม่มีใครชะล้างกันได้หรอกนะศิษย์ อย่าล้อเล่นกับความรู้สึกใคร และอย่าล้อเล่นกับชีวิตใคร เพราะกรรมเมื่อมันเกี่ยวแล้ว ปล่อยไม่เคยง่าย เหมือนอาจารย์ถามศิษย์ว่ารักแล้วปล่อยง่ายไหม ห่วงแล้ววางลงไหม ยึดแล้วทิ้งได้ไหม (ไม่ได้) พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า เมื่อมีโลภ มีโกรธ มีหลง ยังทำใจไม่ได้ เลิกไม่ได้ ท่านก็เลยสอนว่าโลภมากๆ ก็ต้องรู้จักให้ทาน โกรธมากๆ ก็จงรู้จักรักษาศีล หลงมากๆ ก็จงรู้จักมีสติปัญญา แต่นั่นมันเป็นหลายเหตุจากการที่ศิษย์ไปกระทำมาเรียบร้อยแล้ว ใช่ไหม (ใช่) แล้วทำไมจึงไม่แก้ตั้งแต่ต้นเล่าศิษย์ ให้เห็นก็แค่เห็น อย่าก่อเกิดจนเกี่ยวกรรมแล้วบอกว่าไม่เป็นไรหนูทำใจได้ หนูรับไหว เกี่ยวมาแล้วเป็นอย่างไร แรกๆ คิดว่าบุญพาวาสนาส่งให้เธอกับฉันมาเจอกัน สักพักอยู่กันไปกลับคิดว่า “บุญ” หรือ “กรรม” กันแน่ จริงไหม (จริง) แล้วตอนนั้นระวังจะจบไม่ลง คิดให้ดีๆ นะ ก่อนที่จะอยาก ก่อนที่จะยึด จงมีสติระลึกอยู่เสมอว่าสิ่งที่เราอยากยึดหนีไม่พ้นความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก การต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก มันเป็นธรรมดาใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่าจงมีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา และมองให้เห็นด้านความเป็นจริง อย่าเอาแต่ตามใจ นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องตามจริงมากกว่าตามใจ ถ้าตามใจมันไม่ใช่ธรรมแต่มันเป็นกรรม กรรมที่หนีไม่พ้นไม่ว่าดีไม่ว่าร้าย ไม่ว่าวิบากกรรม ไม่ว่าจองเวรจองกรรม
ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมก็คือการปฏิบัติที่ทำให้เราสามารถชำระล้างความยึดมั่นถือมั่น ความหลง กิเลส อวิชชา ตัณหาทั้งหมดสิ้น จึงมีกิเลสตัวตนให้ยึดถือ ฉะนั้นเรามองชีวิตให้รู้ อย่างที่อาจารย์พูดบ่อยๆ วันเกิดจริงๆ ไม่ใช่ แต่เรากำลังตายอยู่ทุกขณะ แล้วเพื่อนที่อยู่ในโลกก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์กันจะเบียดเบียนทำร้ายกันไปทำไม ใช่หรือไม่ มีสติระลึกรู้แล้วตัวเราก็จะไม่ต้องสร้างกรงแห่งความทุกข์ขังตัวเอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง “ช่วยคนต้องเข้าหาคน” ทำนองเพลง “ลมซ่อนรัก”)
ยังมีใครคิดว่าอาจารย์ท่องมาอีกไหม จะได้ให้มาท่องแข่งกับอาจารย์ดีไหม มีนักเรียนคนไหนร้องได้ไหม
“หัวยอมก้มลงมาหน่อยไหม เรื่องเยอะแยะพูดแบบไหน มีหัวใจด้วยไหม ช่วยคนต้องไม่หยิ่งเกินไป ให้คนมาพึ่งเจ้าเหงาคลาย ยิ่งยศไม่ถือศักดิ์”
คนโดยส่วนใหญ่เป็นคนหัวแข็ง ไม่ค่อยยอมกันง่ายๆ แล้วก็ไม่ยอมก้มหัวให้กันง่ายๆ ใช่หรือไม่ แต่ถ้าศิษย์อยากได้ใจของใคร อยากช่วยใจของใคร หัวเราต้องรู้จักอ่อนน้อม เพราะความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคุณธรรมในการอยู่ร่วมกับคนในสังคม อยากไปไหนก็เป็นคนที่มีแต่คนรักก็จงรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน
ตอนนี้เปลี่ยนเป็นอาจารย์ถามแล้วศิษย์ตอบคำถามอาจารย์ดีไหม (ดี)  ถ้าตอบได้อาจารย์มีรางวัลให้เป็นการเพิ่มความแก่ ความเจ็บ ความตาย เอาไหม (ไม่เอา, เอา)  อาจารย์มีผลไม้สองลูก ลูกหนึ่งอาจารย์รู้ชัดทุกอย่างว่าถ้ากินแล้วจะเป็นอย่างไรแล้วจะมีผลอย่างไร กับอีกลูกหนึ่งกินแล้วไม่รู้อะไรเลย ถ้าเป็นศิษย์มีชีวิตอยู่ ศิษย์จะเลือกแบบคนที่รู้ทุกขณะที่กำลังทำ หรือไม่รู้อะไรเลย (รู้ทุกขณะที่กำลังทำ)  รู้ผลไม้หรือรู้สิ่งที่กระทบชัดหรือรู้ตัวเองชัด (รู้ตัวเอง)  ศิษย์เอยนอกจากรู้ตัวเองไม่พอยังต้องรู้สิ่งที่มากระทบด้วยว่ามันไม่เที่ยงไม่แท้ไม่ทนเหมือนกัน เลือกแบบไหนรู้ชัดหรือไม่ชัด จะรู้ชัดได้ก็ต่อเมื่อต้องมีสติเมื่อเวลาจะทำอะไร แต่คนโดยส่วนใหญ่ในโลกเลือกที่จะปล่อยให้ตัวเองไม่รู้แล้วปฏิบัติ ดำรงชีวิตอย่างคนไม่รู้ แต่ตอนนี้ต้องรู้แล้วนะ (เลือกเอาแบบที่ไม่รู้)  ทำไมหรือ (เพราะมันไม่ทุกข์  ไม่รู้อะไรเลยก็ไม่ทุกข์)  จริงไหม บางทีรู้มากก็ทุกข์มากตอบได้ดี บางทีไม่รู้อะไรเลยดีที่สุด แต่ความเป็นจริงเราจะไม่รู้ไม่ได้ แต่บางครั้งไม่รู้นั่นแหละดีกว่า ฉะนั้นต้องแยกให้ออก ระหว่างความจริงแห่งคนความจริงแห่งชีวิต กับรู้ในสิ่งที่เขาเป็นตัวเป็นตนแบบนั้น บางทีไม่รู้ดีกว่า รู้มากก็เจ็บมาก  รู้จริงก็ทุกข์จริงๆ ใช่ไหม (ใช่)  เขาตอบได้ดีนะบางอย่างไม่รู้ดีกว่า ไม่รู้อะไร ไม่รู้จักความเป็นคนของคนๆ นี้  นิสัยแบบนี้  รู้ชัดมากก็เจ็บมากใช่ไหม (ใช่)รู้แล้วทำเป็นไม่รู้ยิ่งเจ็บใหญ่ เขาคิดว่าเราไม่รู้หรือ ที่จริงเรารู้ ฉะนั้น บางทีไม่รู้ก็ดี ฉะนั้น จงเลือกใช้ธรรมให้ถูก สิ่งที่อาจารย์ให้รู้คือ ระลึกรู้ความเป็นจริงของคำว่า “ชีวิต” และ “ธรรมชาติ” ที่มันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลง มันหาความแน่นอนไม่ได้ ถึงเราจะรู้ว่าเขาเป็นแบบนี้ แต่ศิษย์คิดว่าเขาไม่เปลี่ยนหรือ ใจเรายังมีวันเปลี่ยน คนก็ยังมีวันเปลี่ยนไป ฉะนั้นอย่าตอกย้ำว่าแบบนี้มันเจ็บ ไม่แน่เขาเปลี่ยนไปแล้วแต่เรายังพูดว่าเป็นแบบนี้ เขาก็เลยยังเป็นแบบนี้ให้ศิษย์จริงไหม เหมือนที่ท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียนพูดไว้ เห็นในสิ่งที่อยากเห็น บางทีเขาเปลี่ยนไปแล้ว แต่ตาเรายังปักใจเชื่อว่าเขาเป็นแบบนี้ จริงไหม
มีใครจะตอบอาจารย์อีก (เลือกเอาแบบที่รู้) รู้ด้วยอะไร (ถ้ารู้แล้วจะได้หาทางแก้ไข) รู้ให้ดี รู้ให้ชัดนะ อย่ารู้อย่างคนหูเบานะศิษย์ ให้ฟังหูไว้หู (ถ้าเรารับรู้สติ รับรู้สิ่งที่มากระทบ สมมติว่าถ้าแอปเปิลมีพิษเราก็คงไม่รับ เรามีสิทธิที่เราเลือก ส่วนแอปเปิลที่ว่างเปล่าที่เราไม่รู้ว่าคืออะไร ตรงนั้นเรารับมาแล้วเราพิจารณาระลึกได้เราก็จะมีความสุขกับการได้รับ)  ศิษย์ตอบได้ดี ศิษย์ตอบว่า แม้อันนี้ยังไม่รู้ แต่ถ้าคิดว่าจะเอาก็ต้องพยายามรู้ให้จงได้ เพื่อทำให้สิ่งที่ไม่รู้กลายเป็นสิ่งที่รู้แล้วไม่ทำให้ทุกข์ จำไว้นะศิษย์ แม้มันจะเป็นพิษ แต่คนที่มีปัญญา พิษก็กลายเป็นยาได้ ทุกข์ก็กลายเป็นความพ้นทุกข์ได้ ศีล สมาธิไม่สู้ปัญญา ปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตและสรรพสิ่ง
(บางครั้งสิ่งที่เรารู้อาจเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ก็ได้) ตอบได้ดีนะ เพราะบางครั้งสิ่งที่เรารู้ ถึงที่สุดก็เหมือนไม่รู้ และสิ่งที่ไม่รู้บางทีถ้าเพ่งดีๆ มองดีๆ เราก็จะได้รู้ ฉะนั้น อย่าวางใจว่าเรารู้ไปหมด บางครั้งรู้ก็เหมือนไม่รู้ ฉะนั้น มองธรรมอย่ามองอย่างตายด้าน มองธรรมอย่ามองอย่างยึดติด แต่จงมองแล้วสามารถทะลุทะลวงจนเกิดปัญญาแจ่มชัด จึงเรียกว่ามีธรรมแล้วใช้ธรรมเป็น ไม่เห็นหนึ่งเป็นแค่หนึ่ง ตอบได้ดีนะ
เอาหนึ่งลูกหรือสองลูกดี (เอาสองลูก เพราะเอาอีกลูกให้คนที่รักครับ)  เอาลูกที่รู้หรือไม่รู้ให้คนที่รัก คิดให้ดีๆ นะ (เอาลูกที่รู้ให้)  แน่ใจนะเพราะบางทีคิดว่ารู้ นั่นแหละอาจจะไม่รู้ รับผลไม้นะ บางทีจับอะไรสองอย่างไม่ได้นะศิษย์ ต้องวางสักอย่างหนึ่งก่อนนะ  มีใครจะตอบอาจารย์อีกบ้าง เวลาใกล้หมดแล้วนะ (ไม่อยากเลือกอะไร เพราะบางอย่างเรารู้แล้วว่าไม่ดีแต่ก็ยังทำ เช่น ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ หรือบางอย่างที่เราไม่รู้ เราก็ทำเฉยๆ ไป)  ตอบได้ดีมีปัญญาปรบมือหน่อยนะ บางครั้งถ้ารู้ก็เจ็บปวด ถ้าไม่รู้ก็ไม่ต้องรับรู้ ว่ามันจะทุกข์หรือสุข อย่างนั้นก็ไม่รู้เลยดีกว่า แต่ชีวิตของศิษย์ถ้ารักษาอย่างนี้ไว้ได้ก็ดี แปลว่าเป็นคนที่รู้จักพอ ไม่มีเพิ่ม และแม้ถึงจะลดก็ไม่เป็นไร ถ้าทำได้อย่างนี้ พอได้จึงดี เพราะไม่พอจึงไม่ดี
(เลือกทั้งที่รู้และเลือกทั้งที่ไม่รู้ เพราะจะเอามาเปรียบเทียบว่ายังมีอะไรที่เรายังไม่รู้)  อาจารย์ขอเปลี่ยนความคิดนิดหน่อยนะ เลือกทั้งสองอย่างเพราะทุกขณะชีวิตเรา มีสิ่งที่รู้และไม่รู้อยู่ตลอดเวลา แต่บางครั้งก็เปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะว่าบางอย่างอยู่กันคนละเรื่อง อยู่คนละเหตุปัจจัย สู้เอาไว้เป็นแง่คิดว่าบางอย่างในชีวิตเรารู้ แต่บางอย่างในชีวิตทำอย่างไรก็ไม่รู้
(ไม่เลือก เพราะถ้าเราเลือก เรายังไม่รู้จักปล่อยวาง ละความคิดในจิตใจของเรา เรายังมีความโลภ เรายังไม่มีที่สิ้นสุดแล้วเราก็เดินสู่ทางธรรมไม่ได้)  ไม่เลือกทั้งรู้และไม่รู้หรือ ไม่ได้นะ เพราะว่าเราอยากดับทุกข์ สิ่งสำคัญคือต้องรู้ แต่สิ่งที่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์คือขอไม่รู้ภายนอกแต่ขอรู้ภายใน เลือกที่จะไม่รู้ใครแต่เลือกที่จะรู้ใจ อย่างนี้ดีกว่าไหม
(เลือกทั้งรู้และไม่รู้ แล้วแต่ช่วงสถานการณ์ที่เจอเรื่องหลายๆ อย่าง บางครั้งรู้ก็อาจจะมีประโยชน์กับเรา ไม่รู้ก็อาจจะเป็นประโยชน์กับเราก็ได้ ซึ่งในช่วงชีวิตมีทั้งรู้และไม่รู้)  ตอบได้ดี นั่นคือขอให้มีใจอยู่ทุกขณะที่บางครั้งแม้รู้ก็เหมือนไม่รู้ แม้ไม่รู้แต่บางทีก็ต้องพยายามรู้ในบางเรื่องที่ควรเป็นนะ
(เลือกไม่รู้)  เพื่อที่จะได้รู้ ใช่ไหม แต่ถ้าขาดสติเดี๋ยวไม่รู้ก็จะไม่รู้ไปเรื่อยๆ ฉะนั้นถ้าไม่รู้แล้วก็ต้องพยายามที่จะรู้ เพราะเราเริ่มต้นจากความไม่รู้เพื่อเดินไปสู่ความรู้
(เลือกรู้ทุกเรื่อง เพราะต้องรู้จักยอมรับ)  แล้วทุกเรื่องเราจะรู้ได้เราต้องมีสติและยอมโง่ก่อน ถ้าไม่โง่ความรู้ก็จะไม่มีวันไหลเข้ามา ถ้าเอาแต่อวดว่าตัวเองรู้ เราก็จะไม่มีวันได้รู้ อยากรู้เยอะต้องยอมโง่ อยากรู้เยอะต้องฝึกฟังให้มากถึงจะรู้เยอะ
(ไม่รู้ เพราะว่าคนเราเหมือนแก้วหนึ่งใบที่ว่างเปล่าแล้วก็จะมีคนมาคอยเติมให้เราเต็ม)  ถ้าศิษย์คิดอย่างนี้ ศิษย์ก็เป็นคนที่พร่องอยู่ตลอดเวลานะ มันก็ดีแต่บางครั้งเราต้องบอกตัวเราเองว่าเราพร้อมจะเป็นแก้วว่างและเราพร้อมจะเป็นแก้วเต็ม อย่าตายตัวกับความรู้ และอย่าตายตัวกับความไม่รู้ ไม่อย่างนั้นกลายเป็นแก้วพร่องที่รอคนมาเติมเต็ม ศิษย์ก็ไม่มีวันมีสุขเลยนะ จริงไหม
(เลือกเปิดใจรู้และก็ไม่รู้ ถ้าเรารู้จริง ก็แนะนำคนอื่นได้ ถ้าสิ่งที่เรายังไม่รู้ แล้วเราไปศึกษาเราก็จะได้รู้)  ตอบได้ดีนะ แต่บางครั้งจำไว้นะศิษย์ แม้จะรู้ชัดขนาดไหน แต่ทุกสิ่งพร้อมจะเปลี่ยนไป ถึงรู้แล้วก็อย่ามั่นใจว่าสิ่งที่เรารู้มันจริง
(เลือกไม่รู้ เพราะบางสิ่งบางอย่างเราก็ไม่สมควรที่จะรู้ หรือว่าถ้าเรารู้ไปก็อาจจะส่งผลไม่ดี)  ก็ดีนะ บางครั้งสิ่งที่ไม่ควรรู้ก็อย่าไปรู้ สิ่งที่ควรเรียนรู้ก็ต้องเรียนรู้
(เลือกรู้ เพราะว่าอดีตที่เรารู้แล้ว เราก็จะได้แก้ไข และอนาคตก็จะได้ไม่เกิดซ้ำอีก)  เอาสิ่งที่รู้มาเป็นประสบการณ์สอนชีวิต อย่างนั้นจงเลือกที่จะจดจำสิ่งที่ดีนะ อย่าจดจำในสิ่งที่เลวร้าย ไม่อย่างนั้นจะทำให้เราทุกข์ใจ เพราะคนเราเวลาจำแล้วลืมยาก ใช่ไหม (ใช่)
(เลือกที่รู้ เพราะว่าเราจะได้ทำใจยอมรับกับมัน เพื่อเจ็บก็รู้ว่าเจ็บ ทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ ในเมื่อรู้แล้วก็จะได้ทำใจยอมรับกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ แล้วทำให้เราไม่เป็นทุกข์)  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่ทำให้มนุษย์ทุกข์ไม่จบสิ้นคืออะไรรู้ไหม (เราไม่ยอมรับกับมัน)  ไม่ยอมรับความจริง ใจไม่สู้พอ ทั้งที่จริงแล้วความจริงทุกคนก็เป็น
(เลือกที่จะรู้ ต้องรู้แล้วก็ควรระวัง เพื่อก้าวไปข้างหน้า)  เพื่อทำให้สิ่งที่เรารู้ไม่ทำให้เราทุกข์ใจและกล้าที่จะยอมรับกับมัน
(เลือกไม่รู้ เพราะว่าเรายังไม่รู้ว่าพรุ่งนี้หรือวินาทีต่อไปจะเป็นอย่างไร)  แต่บางครั้งศิษย์ก็ต้องพยายามมีความรู้ไว้บ้างเป็นพื้นฐาน ใช่เรายังไม่รู้อนาคตเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าชีวิตมีเกิดมีตายมีร้ายมีเสียมีดีมีแย่ ต้องมีรู้ไว้บ้างนะ
(เลือกที่จะรู้ โดยศึกษาจากสิ่งที่ไม่รู้แล้วนำมาทำตาม)  ตอบได้ดีแต่ต้องพิจารณาให้ดีนะ สิ่งที่ทำตามบางครั้งมันก็มีเปลี่ยนแปลงได้ เขาบอกดีเราทำตาม แต่ถ้าไม่ดีอย่าไปโกรธเขา (ถ้าเรารู้ว่าเราไม่รู้เรื่องธรรมะ เราก็มาศึกษา แต่บางครั้งผู้ที่ใกล้ชิดเขาบอกเราว่าเขาไม่รู้ว่าเขาไม่รู้อะไร อย่างนี้ต้องทำอย่างไร)  เหมือนอาจารย์อยากให้ศิษย์ในห้องนี้รับรู้ในสิ่งที่อาจารย์บอก แต่อาจารย์ก็อยากบอกว่าบางคนเหมือนแอปเปิลที่เราปลูกและหวังให้ตกดอกออกผลอย่างที่เราหวัง ซึ่งมันเป็นไปได้ มันมีวาระบุญ วาระเหตุปัจจัย ฉะนั้นเราต้องใจเย็นๆ และอดทนรอ รากบุญของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนพูดปุ๊บเข้าใจปั๊บ แต่บางคนพูดแล้วก็ยังไม่รู้เรื่อง ฉะนั้นศิษย์ต้องใจเย็นและอดทนรอ ใช้ธรรมค่อยๆ กัดกร่อนความไม่รู้ ให้เขาได้รู้
(เลือกที่จะรู้ เพราะความลับบางอย่างที่คนใกล้ตัวเราไม่อยากให้เรารู้เพราะกลัวว่าเราจะทุกข์ ทั้งที่แท้จริงแล้วถ้าเขาบอกเราเขาจะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เรารับได้ จึงเลือกที่จะรับรู้ดีกว่า ถ้าไม่รับรู้จะทุกข์มากเพราะใจมันอยากรู้)  แต่บางทีอาจารย์ก็อยากจะบอกศิษย์นะว่าถ้าเขาไม่ให้เรารู้ เราก็ไม่ต้องไปพยายามรู้ เราจะได้ไม่ทุกข์เพราะความพยายามอยากจะรู้ แต่ให้เปลี่ยนความคิดว่าเขารักเราจริง เรื่องที่แย่เขาถึงไม่อยากให้เรารู้ อาจารย์พูดตามตรงเพราะถ้าศิษย์รู้ว่าเขาไม่ดีจริงๆ ศิษย์รับได้จริงหรือ ลองใจถามใจลึกๆ ของศิษย์ดู เหมือนเรารู้ว่าเขาไม่ชอบและเกลียดนิสัยแบบนี้ของเรามากๆ เลย ศิษย์จะรับได้ไหม (ไม่ได้)  คิดให้ดีๆ นะ มองตัวเองต้องมองให้ชัดนะศิษย์
(เลือกที่ไม่รู้)  ทุกขณะเราเหมือนคนที่ไม่รู้ตลอดเวลา ดูเหมือนจะรู้แต่แท้จริงแล้วไม่รู้ ฉะนั้นเมื่อใดที่เราเจอสิ่งไม่รู้เราจงใช้สติทุกขณะและพิจารณาให้ออก ถ้ามันไม่ได้ก็จงกล้ายอมรับ เพราะคนในโลกเป็นโรคติดดี ร้ายไม่ได้ มันต้องดี และก็ต้องดี ฉะนั้นเราทุกข์ในวันนี้ก็เพราะว่าเราติดดี ต้องดี มีดี ได้ดี ถ้าไม่ดีไม่เอา
(เลือกที่รู้แต่จะรู้ธรรมะที่ถ่องแท้)  ต้องค่อยเป็นค่อยไปใจเย็นๆ บางครั้งไม่รู้ก็มีความสุขกว่ารู้เยอะใช่ไหม (ใช่)  (จะรู้หรือไม่รู้ก็ช่างมัน เดี๋ยวมันก็ดับไป)  ตอบได้ดีนะ ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้พอถึงเวลาก็ช่างมัน เข้าโครงการนี้ไหมศิษย์ โครงการชั่งหัวมัน บางทีรู้หรือไม่รู้ก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงที่สุดก็ให้ช่างมัน มนุษย์ที่ทุกข์อยู่ทุกวันนี้ เพราะว่าติดดีเกินไป พอเราศึกษาธรรมเราก็คิดว่าชีวิตเราต้องดี ต้องมีแต่ดี ร้ายไม่ได้ แย่ไม่ได้ โดนด่าไม่ได้ เสียไม่ได้ อาจารย์อยากสรุปว่า จริงๆ แล้วควรมีไว้ทั้งสองอย่าง แล้วใช้อย่างไรที่ทำให้เราไม่ทุกข์ ถ้ารู้แล้วมันทุกข์บางครั้งก็ไม่รู้ดีกว่า แต่ถ้าไม่รู้แล้วทำให้เราทุกข์ก็ต้องเรียนรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(หาตัวเองไม่เจอ)  บางครั้งการรู้จักตัวตนชัดก็ไม่ดี เพราะยิ่งเห็นตัวตนชัดก็ยิ่งมีกรอบเยอะ พอเวลาจะทลายกรอบมันยาก  อย่าพยายามหาเลยว่าตัวเองเป็นอย่างไร แต่ควรมองให้ชัดว่าตัวเองคืออะไร ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง มีทุกข์และว่างเปล่า ในความไม่เที่ยงมีทุกข์มีว่างเปล่า เรามีสิ่งที่ประเสริฐมากกว่ากายและหัวใจที่เต้นอยู่ นั่นคือ “จิต” จิตที่เหนือพ้นการเวียนว่ายตายเกิด จิตที่บริสุทธิ์และสะอาด อยู่พ้นกฎของไตรลักษณ์ที่เรียกว่าความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน จิตนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการรูปลักษณ์ ไม่ต้องการที่อยู่ ขอเพียงแค่ตื่นรู้ และจิตนั้นจะนำพาให้ศิษย์กลับมาสู่อาจารย์ ความเป็นพุทธะที่อยู่ในตัวศิษย์ จงหาจิตนั้นให้เจอ สังขารมันไม่เที่ยง สังขารมีวันเสื่อมสลาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเสื่อมสลายและคงอยู่ในใจ และทำให้อาจารย์ต้องกลับมาหาศิษย์ นั่นคือจิต จิตที่บริสุทธิ์ จิตที่ดีงาม จิตที่นำพาให้ศิษย์ทุกคนพ้นทุกข์ได้ แต่เรามักติดอยู่กับสังขารและใจที่ชอบรู้สึกนั่นรู้สึกนี่ อาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่า อยู่ในโลกจงใช้จิตมากกว่าใช้ใจ เพราะจิตคือธรรม แต่ใจคืออารมณ์ความเป็นตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ทุกคนแค่หยั่งก็รู้แล้ว  ถ้าทำแล้วมันไม่มีเมตตา  ทำแล้วมันดูถูกดูหมิ่นคน  ทำแล้วมันไม่ให้เกียรติคน  ทำแล้วขาดปัญญา  เราไม่ทำหรอกจริงไหม  แต่บางครั้งเราไม่เคยหยั่งลงไปในธรรมลึกๆ ในใจ  เราเอาแต่ใช้ใจใช้อารมณ์ใช้ความรู้สึก  คราวหน้าลองหยั่งเข้าไปในใจสิว่ามันอยากทำร้ายคน  อยากด่าคนไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “คุมใจ”)
ศิษย์ต้องรู้จักฝึกคุมใจตัวเองให้อยู่  ไม่เช่นนั้นคนดีของอาจารย์ก็พร้อมจะเป็นปีศาจร้ายในคราบมนุษย์ได้จริงไหม (จริง)  เวลาร้ายก็ร้ายน่ากลัว  เวลาเย็นก็เย็นจนไม่น่าเชื่อเลยนะ
อาจารย์ฝากไปให้กำลังใจคนที่นั่นหน่อย  อาจารย์ขอเปลี่ยนเป็นขนมแล้วกัน  ไม่ได้ให้ขนมกลัวเป็นโรคอีก  เอาแอปเปิ้ลดีกว่า  อาจารย์เห็นเขากินกันมานานแล้ว  แต่บอกเขาว่ากินแอปเปิ้ลมากกว่ากินหวาน  ฝากไปให้กำลังใจทุกคนที่ลงแรง  ทุกคนที่อ่อนล้า  คนที่เหนื่อยบอกว่าอาจารย์เป็นห่วง  อาจารย์ให้กำลังใจอย่าเพิ่งยอมแพ้  ก้าวเดินต่อไปทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดมามีเหตุมีผล  เรามาเพื่อใช้กรรม  ถ้าละลายกรรมได้ก็ละลาย  ถ้าอดทนได้ก็อดทน  ถ้าอดทนไม่ได้ก็พักสักหน่อยแล้วกลับมาสู้ใหม่นะ
ถ้าศิษย์มีโอกาส จะมีการเปิดห้องพระที่จังหวัดลำปาง มีโอกาสไปร่วมกันนะศิษย์ ถ้ามีโอกาสกลับมาอีกนะ จงตื่นรู้ด้วยสตินะศิษย์เอ๋ย ชีวิตเราเราเลือกเอง ฉะนั้นไม่ว่าจะเจออะไรเราก็ต้องสู้ อย่ายอมแพ้ กรรมใครก็ต้องรับเอาเอง ถ้าไม่อยากรับกรรมจงพิจารณาก่อนกระทำ แล้วเราจะได้ไม่ต้องรับผลของการกระทำของเรา อย่างที่อาจารย์บอกตั้งแต่ต้น เห็นสักแต่เห็นได้ไหม ได้ยินสักแต่ได้ยินโดยไม่ตัดสินว่าใครดีใครร้าย ได้หรือเปล่า เพราะเราเกิดมาบนโลกนี้เพียงแค่ยืมใช้ ถึงเวลาเราต้องคืนเขาไป ทำไมไม่ยืมใช้ให้เต็มที่ ไม่ใช่ยืมใช้แล้วยึดติดว่าเป็นของเรา อะไรก็ของเราหมด ทุกข์ก็เราทุกข์ ทั้งที่จริงๆ แล้วสังขารมันไม่เที่ยง ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งสุดท้ายที่อาจารย์อยากพูดกับศิษย์  ความเป็นจริงที่เรียกว่ากฎแห่งไตรลักษณ์ ที่ศิษย์ต้องรับรู้ไว้แล้วหนีไม่ได้ ต้องเจอกันอยู่ทุกขณะนั่นคือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และถึงที่สุดคือว่างเปล่าจากตัวตน ที่เรียกว่าสังขารที่ศิษย์ยึดติด สังขารนี้ ร่างกาย สิ่งของ อะไรก็ตามล้วนหนีไม่พ้นความไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ซึ่งมันเป็นธรรมดาอยู่ทุกชีวิต ถ้าสังขารนี้ไม่เที่ยงแล้วมีทุกข์เป็นธรรมดา เราควรยึดเป็นของเราไหม (ไม่ควร)  แล้วควรรักมันไหม (ไม่ควร)  เห็นทั้งยึด ทั้งรัก ทั้งหลงเลย ใช่หรือไม่
พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ถ้ามนุษย์รู้ว่าสิ่งนี้มันไม่เที่ยง ไม่แท้ ไม่ทน ความไม่เที่ยงก็คือเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ มันมีอยู่แค่ชั่วคราว เราเห็นว่ามันมีอยู่ แต่ถึงเวลามันเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน) คำว่าเปลี่ยน และทนได้ยากได้นั่นคือทุกข์ แล้วเราควรไปทุกข์กับมันไหม (ไม่) เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน จะไปทุกข์ทำไม ถ้าเราไปเผลอยึด เราก็กำลังยึดกับความทุกข์และความเปลี่ยนแปลงที่หาตัวตนไม่ได้เลย ศิษย์เอยธรรมะจะทำให้เราเข้าถึง พอเข้าถึงก็รู้ว่ามันไม่เที่ยง มันไม่เที่ยงก็ไม่เอาแล้ว พอรู้ว่ามันไม่ทน พอไม่ทนก็ไม่โกรธแล้ว เดี๋ยวมันก็ตาย จะโกรธทำไมเดี๋ยวมันก็ตาย เมื่อไม่อยาก เมื่อไม่โกรธ แล้วมองเห็นมันว่างเปล่าจากตัวตนมันก็ไม่หลง เพราะอะไร สวยขนาดไหน ไหนล่ะตัวตนที่แท้จริง นี่คือหน้าตาที่หล่อที่สุดไหม ไม่จริง พอมองเห็นว่าหาตัวตนไม่ได้เราก็ไม่หลง เมื่อไม่อยาก ไม่โกรธ ไม่หลงเราก็บริสุทธิ์ ฉะนั้นความเกิดกับความตายจึงไม่ทำให้เราหวั่นไหว ความดีกับความร้ายจึงทำให้เราไม่ทุกข์ทน เพราะเราเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง เมื่อไรที่ศิษย์กระจ่างแจ้งความเป็นเช่นนั้นเองในสัจธรรม ศิษย์จะพบธรรมในนี้ ธรรมที่เรียกว่า พุทธจิตธรรมญาณ ไม่ได้อยู่ข้างนอกแต่มันอยู่ในนี้ รอศิษย์ที่นั่งทำตาปริบๆ เมื่อไรศิษย์จะพบพุทธะในตน เมื่อพบได้ศิษย์ก็ทำโลกนี้ให้เป็นแดนพุทธะ เมื่อไม่พบศิษย์ก็ยังต้องทุกข์ทน คิดให้ดีๆ นะว่าอาจารย์มาครั้งนี้มาปลุกมาฟื้นฟูพุทธจิตธรรมญาณให้ศิษย์ตื่นจากการหลับใหล รีบๆ ตื่นแล้วกลับคืนบ้านเดิมกันนะ ศิษย์มีบ้านเดิมที่ยิ่งใหญ่ บ้านเดิมที่พ้นทุกข์ ไม่ใช่แค่สวรรค์ แต่คือนิพพาน มันไม่ไกล อยู่แค่ชั่วขณะจิต เราเข้าถึงปุ๊บก็ถึงทันที เราเกิดมาเพียงแค่ยืมใช้แล้วใช้กรรมเท่านั้นนะศิษย์ ไม่ว่าจะร้ายขนาดไหน ดีแล้วได้ใช้กรรม ดีแล้วได้จบกรรม ดีแล้วได้หมดเวรกรรม ไม่ต้องไปโกรธเขาจริงไหม ได้ไหม (ได้)
ฉะนั้นจงมีสติระลึกอยู่ทุกขณะนะศิษย์เอ๋ย แล้วศิษย์กับอาจารย์จะได้เจอกันอย่างแท้จริง เจอที่ไม่ใช่เรียกว่าตัวตน แต่เจอคือธรรมเจอธรรม ธรรมที่นำทางให้ศิษย์พ้นทุกข์ น้ำตาของศิษย์ไหลมากพอแล้วนะ ความทุกข์ของศิษย์มันเยอะแล้วนะ จะหยุดได้อย่างไร หยุดที่ตัวเอง หยุดด้วยการตื่นรู้ ไม่ต้องรอชาติหน้าชาตินี้ ใครไม่ดีก็ช่าง ฉันจะดีให้ได้ ฉันจะทุกข์แค่ไหน ฉันจะพ้นทุกข์ให้ได้ อย่ารอ ยิ่งรอมันยิ่งไม่ถึง ไม่ต้องกลัว เกิดเป็นคนต้องสู้ กลัวทำไมกับความทุกข์ กลัวทำไมกับความเจ็บ กลัวทำไมกับความตาย สังขารไม่เที่ยง มันไม่ใช่ของเรา สิ่งที่ยิ่งใหญ่คือพุทธจิตที่อยู่ในตัวศิษย์ ที่นำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ แต่เรายึดติดแค่เพียงใจ ใจที่มีอารมณ์ ใจที่ชอบใจที่ชัง มันไม่เที่ยงเลย มันไม่เหมือนจิตนะศิษย์ จิตมันประเสริฐกว่านั้น มันยิ่งใหญ่กว่านั้น ขอแค่เพียงตื่นรู้แค่นั้นเอง แล้วเราจะได้กลับบ้านเดิมกันนะ บ้านที่แท้จริง บ้านที่สงบจริง บ้านที่รักกันจริง บ้านที่เข้าใจกันจริงๆ กลับบ้านเถอะนะศิษย์ ห่วงแค่ไหนก็ต้องวาง รักแค่ไหนก็ต้องทิ้ง ใช่หรือไม่


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “คุมใจ”
อารมณ์ของใจคนช่างน่ากลัว
ยามพันพัวหม่นหมองจนสับสน
ยามเบิกบานสงบเย็นช่างยอดคน
วางใจคนคือใจฟ้าธรรมนำทาง


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา