แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อดทน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อดทน แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

2561-03-31 สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์

西元二〇一八年嵗次戊戌二月十五日              仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๓๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑       สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
  เรือแล่นถึงฝั่งย่อมอยู่ที่คนพาย         ชีวิตมีเป้าหมายอยู่ที่ใจหนา
มีดไม่ตีไม่ลับก็เหล็กธรรมดา              ผู้ไม่หาญกล้าลำบากสู้ยากสำเร็จจริง
                   เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                      ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  คนบำเพ็ญมีนิสัยเป็นตัวถ่วง            โอกาสล่วงเวลาวันวันผ่านหาย
สบายไปไม่ได้คิดทำอะไร                 ประมาทไปเลยผิดแต่เรื่องเดิม
รู้ว่าคิดก็ยังสนุกคิด                       คิดเป็นอะไรกว่าคิดที่ฮึกเหิม
อารักขาหาไม่จะสายกว่าเดิม             สติเริ่มตัวรู้เกินไม่ไกล
ชอบรับรับไปจนเป็นภาระ               ชอบให้จะอยากให้ไม่สงสัย
คนไม่มีประเสริฐก่อนฝึกนิสัย             สภาพเดิมเหมือนเป็นไทเมื่อบำเพ็ญ
รู้ไม่สู้ทำใจให้สว่าง                        ใจมีทางวันที่แสนลำเค็ญ
ทำดีให้พรุ่งนี้สุดน่าบำเพ็ญ               ชีวิตคนชีวิตน้ำเย็นเป็นธารา
ชีวิตแสนสั้นดุจหมอกลมฝน              ฝนลมหล่นใส่หน้าเคล้าน้ำตา
จำต้องเพียงค้างคาใจอนิจจา             หลงไปไม่แจ้งปัญญาจิตวุ่นวาย
เกือบถึงพื้นล่างแล้วเจ้าบุปผา            เกิดตั้งอยู่ไม่ช้าต้องสลาย
กายดั่งเรือนระวังกายระวังใจ            ใจที่ไหม้ไฟอะไรแผดเผาตน
                                                                      ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ



อยู่ในโลกไม่มีเรื่องง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากประสบความสำเร็จ
ก็ต้องมีความพากเพียรวิริยะ ฝ่าฟันความยากลำบาก ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้ววันนี้อยากฟังธรรมจนสำเร็จหรือฟังธรรมแค่ครึ่งๆ กลางๆ (ฟังจนสำเร็จ)  ฟังจนสำเร็จอย่างนั้นลำบากก็ต้อง (อดทน)  สู้ไม่ถอยใช่ไหม (ใช่)  เหนื่อยอย่างไรก็ต้อง (อดทน)  อดทนอย่างเดียวเลยใช่ไหม (ใช่)  เจอเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
ไม่ยุติธรรมก็ใช้คำว่า “อดทน” ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)


มนุษย์อยู่ในโลกนี้จำง่ายกว่าลืม ใช่ไหม (ใช่, ไม่ใช่)  บางคนบอกว่าลืมง่ายกว่าจำ ใช่ไหม (ใช่)  ความจำได้เป็นความฉลาด ความลืมได้เป็นปัญญา แต่ท่านว่าท่านจำแล้วลืม บางทีก็ไม่จำแล้วก็ไม่ลืมอะไรได้เลย อย่างนั้นความดีของผู้อื่นจำได้ง่ายกว่าหรือความไม่ดีของผู้อื่นจำได้ง่ายกว่า
ถ้าท่านเข้าใจสิ่งที่เราพูดตั้งแต่แรก ท่านจะรู้ว่าความจำได้เป็นความฉลาด แต่การลืมได้เป็นปัญญา แต่มนุษย์เราถ้าใจกว้างจะจำแต่สิ่งที่ดีของผู้อื่น
แต่เมื่อไรเราจุกจิกจู้จี้ ถือนั่นถือนี่ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าใจแคบ เราจะจำความไม่ดีของผู้อื่นได้ง่ายกว่า


ฉะนั้นตอนนี้จำความดีหรือไม่ดีของผู้อื่นเยอะกว่ากัน ในใจลึกๆ ความดีของคนอื่นใครทำกับเราจำไม่ได้ แต่ใครทำไม่ดีกับเราจำได้ แล้วยังจำได้แม่นด้วยใช่ไหม ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า ผู้ที่รู้จักจำความดีของผู้อื่นได้ เรียกว่าผู้ใจกว้าง แต่ผู้ที่เอาแต่จำความไม่ดีของผู้อื่นได้มาก แปลว่าเป็นคนใจคับแคบ มักถือสาหาความ แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม
เรามักไม่ยอมรับใช่หรือไม่  ฉะนั้นถ้าความดีของคนอื่นจำไม่ได้ ความไม่ดีของคนอื่นจำได้ จึงมีคำกล่าวต่อว่า ความดีของคนอื่นถ้าจำไม่ได้ ก็ยากจะเป็นคนอยู่ในโลกแล้วมีจิตสำนึกคุณ ความไม่ดีของผู้อื่นไม่ควรจำแต่จำได้ก็ยากจะอยู่บนโลกได้อย่างสงบสุข  แล้วเราสงบสุขไหม แล้วเราใจกว้างไหม


ฉะนั้นอยากเป็นคนที่รู้จักมีสำนึกคุณ ต้องเรียนรู้ที่จะจำความดีของผู้อื่น ถ้าอยากรู้จักที่จะมีชีวิตสุขสบาย ไม่ถือสาหาความก็อย่าจำความไม่ดีของผู้อื่นเก็บไว้ แต่เราเป็นแบบนั้นไหม  ฉะนั้นเราจึงเกิดเป็นคนที่ลืมบุญคุณคน และยากจะมีความสุขจริงหรือไม่ เพราะแค่เห็นคนที่ไม่ดีอยู่ในสายตาก็หงุดหงิด เห็นใครทำอะไรไม่ถูกต้องไม่ถูกใจก็รำคาญใจ แต่ถ้ามองเขามีดีเราก็จะเห็นแต่คนมีคุณค่า แต่ถ้าเราเอาแต่มองเขาไม่มีดี เราก็อยู่กับเขาอย่าง
ไม่มีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)


แล้วคนในโลกมีดีหรือไม่มีดี แล้วทุกวันที่บ่นๆ โลกดีหรือโลกไม่ดี แล้วทุกวันที่บ่นๆ คนดีหรือคนไม่ดี แปลว่าถ้ามองคนไม่ดีโลกไม่ดีแปลว่าใจเราคับแคบ อยากรู้จักใจตนเองไม่จำเป็นต้องไปมองที่คนอื่น หันกลับไปมองที่ตัวเรา เลือกจำดีหรือเลือกจำไม่ดี ให้นึกถึงพ่อแม่ ก็นึกแต่นิสัยไม่ดีของพ่อแม่ ให้พูดถึงเพื่อนก็มองแต่เพื่อนไม่ดีอย่างไร ให้พูดถึงสามีก็นึกถึงแต่ข้อเสียของสามี ให้พูดถึงภรรยาก็นึกถึงแต่ข้อไม่ดีของภรรยาใช่ไหม ให้นึกถึง
ครูบาอาจารย์ เคยนึกถึงดีหรือนึกถึงไม่ดี (ดี/ไม่ดี)  แต่รู้สึกว่าไม่ดีจะมากกว่าดี แล้วที่นึกออกเห็นชัดก็คือไม่ดีชัดกว่าดี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราอยู่ในโลกนี้จะเกิดสิ่งที่เรียกว่าสำนึกคุณ จะเกิดสิ่งที่ดีงามได้อย่างไร ในเมื่อเริ่มต้นใจของท่านก็เอาแต่จับผิดมากกว่าจับสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ถูกไหม


อย่างนั้นเราถามท่านนะ ในโลกนี้ถ้ามีเพื่อน มีสามี มีภรรยา ซื่อตรงรับผิดชอบต่อหน้าที่ จริงใจมีน้ำใจ ท่านว่าดีไหม (ดี)  แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเพื่อนของท่าน สามีของท่าน ภรรยาของท่าน ไม่มีความจริงใจ ไม่มีความซื่อตรง ไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และไม่มีความเมตตาปรานีในจิตใจ ท่านชอบไหม (ไม่ชอบ)  แล้วถ้าถามท่านว่าระหว่างคนสองประเภท
ท่านอยากได้คนประเภทใดเป็นมิตร เป็นคู่ครอง คนที่ซื่อตรงจริงใจ มีน้ำใจ รับผิดชอบต่อหน้าที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)

แต่ท่านเคยได้ยินมนุษย์ชอบพูดคำหนึ่งไหม “ผีเห็นผี”  ว่าเขาเป็นอย่างไร เราก็ได้อย่างนั้น ยิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอ สิ่งที่ได้เป็นอย่างไร นั้นใช่ไม่ใช่เพราะใจท่านเป็นอย่างนั้น สิ่งที่ดึงดูดก็เป็นแบบนั้นเข้าชิดหา ถ้าเราเป็นพุทธะ มีหรือพุทธะไม่เข้าหา แต่กลัวว่าเราจะเป็นผี ผีก็เลยเข้าหา  ฉะนั้นว่าเขาไม่ดี ว่าเขาไม่ซื่อตรง ว่าเขาไม่จริงใจ เพื่อนเป็นอย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น เราชอบแบบใด เราก็เจอแบบนั้น ฉะนั้นก่อนจะว่าใคร ควรว่า (ตัวเอง)  ซื่อตรงหรือยัง รับผิดชอบต่อหน้าที่ไหม จริงใจหรือเปล่า ใช่หรือไม่ ฉะนั้นไปว่าเขาไม่ได้ ถ้าผีตัวแรกไม่ปรากฏก่อน จะมีผีตัวที่สองตัวที่สามตามมาหรือไม่ (ไม่)

ฉะนั้นไม่อยากได้สิ่งใด จงถามใจตัวเองก่อนว่า เรามีสิ่งนั้นหรือไม่
ถูกหรือเปล่า (ถูก)  คนโดยส่วนใหญ่อยากได้ผีมาอยู่ใกล้หรืออยากได้คนดีมาอยู่ใกล้ (อยากได้คนดี)  อยากได้คนดีแต่ทำไมผีชอบวิ่งหาผี ในเมื่อท่านคิดว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนปรารถนาหรือแม้แต่ตัวท่านเองก็ยังปรารถนาความซื่อตรง ความเมตตา การรับผิดชอบต่อหน้าที่ สิ่งต่างๆ ที่เราพูดมานี้ เรียกว่า คุณธรรมของความเป็นคน ใช่หรือไม่ (ใช่)


วันนี้ท่านนั่งฟังธรรมมาค่อนวันแล้ว คงอดตั้งคำถามในใจไม่ได้ว่า “ทำไมต้องปฏิบัติธรรม ทำได้แค่นี้ก็ดีแล้ว แค่เอาตัวให้รอดก็ยากแล้ว
จะปฏิบัติธรรมไปทำไม” เราต้องการจะบอกท่านว่า การปฏิบัติธรรมคือคุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคนในการอยู่ร่วมกัน เราต้องการคนเมตตาไหม (ต้องการ)  เราต้องการคนดูถูกเหยียดหยามเราไหม (ไม่ต้องการ)
เราต้องการคนโกหกไหม (ไม่ต้องการ)  เราต้องการคนเจ้าเล่ห์เพทุบายไหม (ไม่ต้องการ)  แล้วคนที่ซื่อตรง มีเมตตา มีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คือคนที่ปฏิบัติธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วไยมนุษย์จึงไม่คิดปฏิบัติธรรม (เข้าไม่ถึง)  การรับผิดชอบต่อหน้าที่ทำยากไหม (ไม่ยาก)  มีเมตตาในจิตใจทำยากไหม (ไม่ยาก)  ซื่อตรงยากไหม (ไม่ยาก)  แล้วทำไมต้องเข้าถึง ก็แค่ทำเลย
ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อยู่ที่ว่าเราทำหรือไม่ทำ


ท่านเคยได้ยินคนโบราณพูดไหมว่า “วาจาที่สุภาพ การกระทำที่เมตตาปรานีเปรียบเหมือนดนตรีที่สร้างสันติสุขให้กับผู้คน” ท่านชอบคนเอะอะมะเทิ่งไหม (ไม่ชอบ)  ชอบคนพูดหยาบกระด้างไหม (ไม่ชอบ)  ฉะนั้นการปฏิบัติหรือการพูดสิ่งที่ดีงามทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยสันติ ถูกไหม (ถูก)  และวาจาสุภาพนุ่มนวลเปรียบเหมือนดนตรีอันไพเราะ
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนถ้ารู้จักกล่าววาจาสุภาพเรียบร้อย ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส มีอัธยาศัยไมตรี เคารพให้เกียรติ ย่อมจะนำพาให้อยู่ร่วมกันได้อย่างร่มเย็น

ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องยากไหม (ไม่ยาก)  และผู้ใดที่หาญกล้าปฏิบัติธรรมและหยัดยืนในสิ่งที่ถูกต้อง ย่อมสามารถยังความสว่างให้กับโลกอันมืดมิดได้ จริงไหม (จริง)  แต่หลายคนก็มักจะกล่าวว่า ทำไมเราต้องทำดี ทำไมฉันต้องดีก่อน ถูกหรือไม่ (ถูก)  หรือว่าคนอื่นขี้เกียจ ฉันก็ (ขี้เกียจ)  แล้วจะทำดีทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าชีวิตคนเหมือนตะเกียง จะเอาตะเกียงมานำทางสว่าง หรือเอาไฟของตะเกียงนั้นมาจุดแผดเผาใจตัวเองแล้วจุดแผดเผาใจผู้อื่น (มานำทางสว่าง)  แล้วการโกหก เอาเปรียบ ฉ้อฉล ไม่มีความเมตตา ไม่มีความรับผิดชอบ นั่นคือการเอาไฟของตะเกียงมาเผาตัวเองและเผาผู้คน หรือเอาไฟตะเกียงมานำพาให้ตัวเองสว่าง (เผาตัวเอง)  เมื่อเปรียบชีวิตเหมือนตะเกียงและถ้าเราเลือกปฏิบัติดี รับผิดชอบ ซื่อตรง มีคุณธรรม นอกจากเอาตะเกียงมานำพาให้ชีวิตสว่างแล้ว ยังสามารถนำพาให้ผู้อื่นสว่างและเป็นสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วชีวิตนี้เราเอาตะเกียงแห่งชีวิตมาเผาหรือนำพาความสว่างให้ตน (นำพาให้สว่าง)  ถ้าเช่นนั้นคงไม่ต้องถามเราว่าทำไมต้องเป็นคนดี
ชีวิตนี้ท่านอยากมีสุขหรืออยากมีทุกข์ (อยากมีสุข)  ถ้าใครเขาร้อนมาเราร้อนกลับ ชีวิตจะพบแต่สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  เมื่อเขาด่ามาเราก็ด่ากลับ ชีวิตจะเป็นสุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  จริงๆ แล้วเราอยากได้สุขหรืออยากได้ทุกข์ (อยากได้สุข)  แต่การปฏิบัติของเราจะทำให้ชีวิตเรามีสุขหรือทุกข์ (มีสุข)  เราปฏิบัติต่อเขาเพื่อความสุขเพื่อความร่มเย็น หรือเพื่อทุกข์และเวรภัย

ฉะนั้นพอเข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องปฏิบัติธรรม (เข้าใจ)  แล้วการปฏิบัติธรรมยากหรือไม่ (ไม่ยาก)  แต่ยากอย่างเดียวตรงที่ รู้แล้วไม่ยอม (ทำ)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะใจของมนุษย์สามารถเอาความดีมาชนะใจที่ต่ำได้ เอาความดีชนะใจที่คิดร้ายได้ เมื่อท่านเห็นเรา ท่านคิดดีหรือคิดร้าย
(คิดดี)  สิ่งที่น่ากลัวก็คือคิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น คิดอย่างไรก็เห็นอย่างนั้น ถ้าเราไม่สามารถเอาคุณธรรมมาชำระใจได้ ใจมนุษย์ก็ง่ายที่จะคิดร้ายมากกว่าคิดดี เมื่อคิดอย่างไรก็เห็นอย่างนั้น เมื่อเห็นอย่างไรก็ทำเช่นนั้น เพราะกิเลสอารมณ์ล้วนมาจากความคิด ฉะนั้นจะยับยั้งได้อย่างไรถ้าไม่เคยปฏิบัติธรรม


แล้วเราจะเอาชนะได้อย่างไร ก็ต้องถามใจตัวเองว่าอยากมีชีวิตที่เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ อยากมีชีวิตที่สันติหรือมีแต่หาเรื่องหาราว อยากมีชีวิตที่สร้างบุญหรือสร้างบาป อยากมีชีวิตเพื่อสันติสุขหรือภัยอันตราย อนาคตเราไม่รู้ แต่สิ่งที่เรารู้ได้คือสิ่งที่เราทำออกมาจากปากและการกระทำของเรา
ถ้าวันนี้ทำไม่ดี ต่อไปก็จะพบเจอแต่สิ่งไม่ดีแน่ จริงหรือไม่ แต่ถ้าวันนี้ปฏิบัติได้ดี ในอนาคตจะดีไหมเล่า (ดี)  เช่นนั้นไยจึงไม่ประพฤติปฏิบัติอยู่ในครรลองคลองธรรม ท่านไม่เคยได้ยินหรือ เจอเรื่องราวอะไรนิดๆ หน่อยๆ
ก็มุทะลุใจร้อนวู่วาม เช่นนี้ย่อมพบอันตราย ทำอะไรก็ยากสำเร็จ แต่เมื่อเจอเรื่องราวอะไรใจเย็น มีธรรมเตือนใจ เชื่อไหมว่าไปอยู่ที่ไหนโชคก็จะหนุนนำหนุนเนื่อง


แต่ในปัจจุบันเราใจร้อนหรือใจเย็น เป็นผู้ที่ยอมหรือไม่ยอม อารมณ์มีค่าและสำคัญกว่าคุณธรรมความเป็นคนใช่ไหม (ไม่ใช่)  อารมณ์มีค่าเท่าคุณธรรมความเป็นคนถูกไหม (ไม่ถูก)  การรู้จักยอมและเรามีเมตตา
การรู้จักยอมแล้วทำให้เราจบเรื่องจบราว การรู้จักยอมแล้วทำให้เราสันติทำไมเราจึงไม่ยอมถูกไหม (ถูก)  กลัวผู้อื่นได้เปรียบใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)
กลัวเขาได้เปรียบกว่าตัวเอง กลัวเราโง่เขลาเบาปัญญาปล่อยให้เขาหลอกใช้ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนเราเป็นผู้แพ้แต่จริงๆ เราชนะ เหมือนเราอ่อนแต่จริงๆ เราเข้มแข็ง ชนะใครไม่รู้แต่เราชนะใจตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)
ดูเหมือนเราอ่อนให้กับผู้อื่นแต่เราเข้มแข็งในใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วมนุษย์ยอมได้หรือเปล่า ยอมได้ไหม


เหมือนเราถามท่านว่า วันนี้สิ่งที่เราพูดมาคือการประพฤติปฏิบัติดี ถูกไหม (ถูก)  ทำดีก็มีค่า แต่หลายคนทำดีมักเหมือนรู้สึกว่าไร้ค่า ทำดีไปคนไม่เห็น ทำทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราถามหน่อย ทำชั่วทำไม่ดี มีสุขไหม (ไม่มี)  กินแรง เอาเปรียบ คดโกง มีสุขไหม (ไม่)  ซื่อตรง ถูกต้อง รับผิดชอบต่อหน้าที่ มีสุขไหม (มีสุข)  อย่างนั้นเหตุใดจึงบอกว่าทำดีไม่มีค่า อย่างน้อยเราทำดี ใจเราสงบ  แต่ถ้าเมื่อไรเราประพฤติผิดประพฤติชั่ว ใจเรา (ไม่สุข)  อย่างนั้นทำดีมีค่าไหม (มีค่า)  ทำดีมีค่าตรงไหน คนพูดได้ทำได้ เรียกว่าคนศักดิ์สิทธิ์ พูดได้แล้วรักษาคำพูดได้ แล้วทำได้ดั่งที่พูดเรียกว่าวาจาศักดิ์สิทธิ์ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเราทำสิ่งที่ถูกต้อง มีหรือจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ มีหรือจะไม่มีค่า ฉันใดก็ฉันนั้น พูดได้แล้วรักษาคำพูดได้
คนนั้นก็มีคุณค่าในความเป็นคน ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่พูดได้ ทำไม่ได้ไม่อาจเรียกว่าศักดิ์สิทธิ์และมีค่า จริงไหม (จริง)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม พูดได้แต่ไม่ยอมทำ ไม่ใช่ทำไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ถามว่าเขาเดือดร้อน
เราคิดจะเข้าไปช่วยไหม แค่คิดแต่ไม่ทำ พูดดีๆ ดีกว่าพูดไม่ดี พูดไหม (พูด)  ให้ทำดีทำไหม เดี๋ยวก่อน ฉะนั้นคุณค่าชีวิตจะมีได้อย่างไร ในเมื่อทุกอย่างยังไม่คิดลงมือจริงๆ จังๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)

วันนี้มาฟังธรรม มาแค่ฟังใช่ไหม (ไม่ใช่)  เรานึกว่ามาแค่ฟังแต่ยังไม่ปฏิบัติ เราถามท่านหน่อยว่าถ้าเกิดเป็นคน การมีเมตตาธรรมสักนิดหน่อยเป็นเรื่องยากไหม (ไม่ยาก)  อย่างนั้นทำดียากไหม (ไม่ยาก)  ทำไหม (ทำ)  ระหว่างยิ้มให้กับทำหน้าบึ้งให้ อันไหนยากกว่ากัน ระหว่างพูดดีๆ กับด่าทอใส่ อะไรยากกว่ากัน ด่าทอ ยากกว่า ใช่หรือไม่ ระหว่างมีเมตตาต่อกันกับใจคอคับแคบอะไรยากกว่ากัน การปฏิบัติธรรมยากหรือไม่ยาก ทำหรือไม่ทำ ทำตอนไหน ใครบึ้งเรายิ้มใครด่าเรายิ้ม ยากไหม

แล้วถ้าเจอคนไม่ดีทำอย่างไร เราให้ท่านฝึกคุณธรรมง่ายๆ เป็นรากฐานของคุณธรรมทั้งมวล และเป็นต้นของคุณธรรมทั้งมวลที่จะเกิดได้ ถ้าขาดคุณธรรมข้อนี้ท่านก็ไม่สามารถที่จะมีคุณธรรมอื่นๆ เกิดขึ้นได้ในจิตใจ นั่นคือคำว่า อดทน อดทนได้ก็เมตตาได้ อดทนไม่ได้ก็ไร้เมตตา
พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า ผู้ใดที่อยากฝึกความอดทน จะต้องฝึกใจ ๔ ชนิด อยากลองฝึกใจแบบนี้หรือไม่ ถ้าฝึกใจ ๔ ชนิดได้ ก็จะสามารถเป็นรากฐานของคุณธรรมทั้งมวลได้


๑. ใจที่เหมือนดิน โดนใครขุดโดนใครรื้อเรื่องไม่ดีขุดรากถอนโคน
เอามาว่าสาดเสียเทเสีย ใจก็ยังหนักแน่นไม่หวั่นไหว โดนเขาขุดว่าสิ่งที่ไม่ดีอย่างไรก็ยังหนักแน่นไม่กล่าวประทุษร้ายกลับไป ยังมีใจอนุเคราะห์เมตตาอยู่เนืองๆ นี่แหละเรียกว่าอดทนได้ดั่งใจดิน ขุดพ่อแม่มาว่า ขุดเรื่องเก่าๆ มาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก อดทนอย่างดินได้ไหม ยังไม่ทันขุดมาว่าแค่อ้าปากก็เถียงกลับแล้วใช่ไหม เมื่อเมตตาไม่ได้ อดทนก็ไม่มีวันได้เหมือนกัน เมื่ออดทนไม่ได้ เมตตาก็หามีได้ฉันนั้น


๒. ใจที่เหมือนฟ้า คือ ใครจะว่าอย่างสาดเสียเทเสียอย่างไร ใจฟ้าก็ไม่อาจถูกย้อมให้เปลี่ยนแปลงได้ มีใครย้อมฟ้าได้ไหม (ไม่ได้)  มีใครเปลี่ยนสีฟ้าได้ไหม (ไม่ได้)  แม้เมฆจะมาบดบังให้มืดครึ้มแต่สักวันฟ้าก็กลับมา
(ใสสว่าง)  แม้ใจเราจะถูกคนกล่าวหา ถูกคนเข้าใจผิด ถูกคนนินทาให้เราไม่ดีแต่เราก็ยังเป็นใจฟ้าที่ยังมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ใจฟ้าคือใจที่กว้างใหญ่สุดประมาณ อยากอดทนได้ต้องใจกว้าง อยากอดทนได้ต้องใจ
หนักแน่น ถ้าไม่หนักแน่น ไม่ใจกว้าง ก็อดทนไม่ได้จริงไหม (จริง)  เมื่อไรที่เราอดทนได้นั่นคือรากฐานของคุณธรรมและสามารถก่อเกิดบุญบารมีสั่งสมให้กับชีวิตได้เช่นกัน ใครต่อใครหลายคนบอกว่าเกิดมาไม่มีบุญ ถ้าอย่างนั้นก็หมั่นสร้างบุญด้วยการประกอบคุณงามความดีจริงไหม (จริง)


๓. ใจที่เย็นเหมือนน้ำ หากอยากอดทนได้ ต้องมีใจที่เย็นแบบน้ำ
น้ำนั้นต่อให้ใครเอาไฟมาจุดก็ไม่มีวัน (ติด)  ติดไหม (ไม่ติด)  เราใจเย็นเช่นน้ำไหม ไม่มีใครทำได้เลยหรือ ทำได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นอยากอดทนได้ต้องหนักแน่นไหม (หนักแน่น)  ใจกว้างไหม (กว้าง)  ใจเย็นไหม (เย็น)


๔. ใจที่เหมือนถุงหนังที่ถูกฟอกจนนิ่ม ถ้าอยากอดทนให้ได้ ท่านพูดว่าร่างกายนี้เหมือนถุงหนัง ถ้าเราตีถุงหนังก็จะเสียงดังใช่ไหม (ใช่)  แต่ถุงหนังที่ฟอกจนนุ่มแล้ว ฟอกจนสะอาดนุ่มที่สุดแล้วตีอย่างไรก็จะไม่ดัง ไม่ใช่ไม่เจ็บ ถ้าไม่เจ็บก็อัมพฤกษ์อัมพาตแล้วนะ เจ็บได้แต่เราไม่เคืองโกรธ  มีคำพูดคำหนึ่งที่เราอยากจะบอกไว้ สังขารเป็นของโลก จิตเป็นของฟ้า
แต่ความคิดเป็นของคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเอาสังขารไปไม่ได้แต่เราเปลี่ยนความคิดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามนุษย์ประพฤติปฏิบัติให้ตัวเองมีใจที่อดทนเช่นธรรมชาติสี่อย่างนี้ได้ มีหรือที่เราจะเกิดเป็นคนดีที่มุ่งมั่นปฏิบัติไม่ได้ใช่ไหม


เราถามท่านว่ามนุษย์อยากมีทุกข์หรืออยากมีสุข (อยากสุข)  อยากมีเวรภัยหรือไร้เวรภัย (ไร้เวรภัย)  แล้วรู้ไหมว่าการปฏิบัติตัวเอง เอาแต่ใจตัว
เอาแต่กิเลสอารมณ์ จะหนีไม่พ้นเวรภัย แต่การปฏิบัติตัวด้วยการประพฤติปฏิบัติมีคุณธรรมแห่งความเป็นคนจะทำให้ชำระล้างจิตให้ผ่องใสและเป็นสุข คนจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่การกระทำใช่หรือไม่ (ใช่)  โชคลาภวาสนาอยู่ที่การประพฤติปฏิบัติตน ถ้าทุกวันเอาแต่ตามกิเลสตามอารมณ์ ก็หนีไม่พ้นบาปเวรกรรมและเคราะห์ภัย แต่ถ้าทุกวันปฏิบัติต่อคุณธรรม เมตตาธรรม
สัตยธรรม รับผิดชอบ ซื่อตรง มีหรือจิตใจจะไม่ผ่องใสและเป็นสุข ใช่ไหม


ยังมีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “แม้น้ำมนต์จากพระเก้าวัด ก็ล้างคนให้บริสุทธิ์สะอาดไม่ได้” อยากบริสุทธิ์ พ้นจากกรรมชั่วได้ ก็ต่อเมื่อประพฤติปฏิบัติดี อยู่ในศีลในธรรม ไม่เบียดเบียน ไม่โกหก ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิด มีศรัทธาต่อความดีงาม ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว คนเช่นนี้ดื่มน้ำอะไรน้ำนั้น
ก็ศักดิ์สิทธิ์ ปฏิบัติได้เช่นนี้ทุกวันก็เป็นมงคล ไยต้องไปหาน้ำมนต์มาล้างใจ สู้ห้ามใจตัวเองดีกว่า จริงหรือไม่ (จริง)

(ผู้ดำเนินรายการพูดถึงการยอมให้ผู้อื่น “หากมีคนตบหน้าเราข้างหนึ่ง ให้ยื่นหน้าอีกข้างให้เขาตบด้วย”)

เราไม่ได้สอนให้ยื่นให้เขาไปตบอีกนะ เพราะทำอย่างนั้นกลายเป็นยิ่งยุยงให้เขาสร้างกรรมเพิ่มใช่ไหม (ใช่)  มิสู้นิ่งๆ แล้วยอมรับความจริง
ใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่มนุษย์ได้เจอกันทุกคนล้วนมีบุญกรรมสัมพันธ์กัน  ฉะนั้นจะกรรมดีหรือว่าเป็นกรรมชั่วก็อยู่ที่เราสร้างมา มนุษย์ทุกคนไม่อยากได้กรรมแต่อยากได้บุญวาสนา ฉะนั้นอดีตเราเปลี่ยนไม่ได้ แต่เราทำปัจจุบันและอนาคตให้ดีได้ อยู่ที่เราเลือกประพฤติปฏิบัติสิ่งใด ใช่หรือไม่ (ใช่)

วันนี้เรามาผูกบุญกับท่านเพียงสั้นๆ แค่นี้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ดีหรือไม่ (ดี)  ยังเหลืออีกหนึ่งวัน หรือสองวัน ชีวิตนี้เหลือหนึ่งวันเองหรือ เราไม่อาจหยั่งรู้ได้  ฉะนั้นทำวันนี้ให้ดีที่สุด ใช่ไหม (ใช่)  กับคนที่เราเจอตรงหน้า ใครคือคนที่ประเสริฐที่สุด คนที่เจอตรงหน้า และเวลาใดคือเวลาที่ดีที่สุด เวลาตรงนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าทุกวันทำตรงนี้ให้ดี และปฏิบัติต่อคนตรงหน้าให้ประเสริฐสุด ชีวิตนี้จะไม่เจอเรื่องดีๆ หรอกหรือ แล้ววันนี้ทำหรือยัง ปฏิบัติด้วยกันอย่างดีที่สุดหรือยัง หรือจำใจขอไปที ใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่าลืมนะผีเห็นผี ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเราเป็นผีเราเลยเห็นผี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราเป็นพุทธะเราก็เห็นใครเป็น (พุทธะ)  ถ้าเรามีสุขทุกคนก็ (มีสุข)  ถ้าเราประพฤติปฏิบัติดี คนที่อยู่รอบข้างสักวันก็ต้อง (ปฏิบัติดี)  ขอแค่เพียงเราอดทนให้ได้ เข้าใจคนให้กว้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมตตาให้กว้างพอ ใจเย็นให้หนักแน่นพอ เสียสละให้เต็มที่พอ เชื่อเถอะ ความดีแม้ตกผลช้า แต่เมื่อให้ผล มันน่าปลื้มใจ ความชั่วเมื่อให้ผล มีแต่เรื่องเศร้าเสียใจ แล้วไยไม่ทำดีจริงไหม (จริง)

วันอาทิตย์ที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๑     สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ยิ่งพูดก็ยิ่งจำไม่ยอมจบ                             ยิ่งคิดก็มีแต่ลบมองแง่ร้าย
ไม่ถือสายอมรับก็เบาสบาย                        เมื่อเข้าใจปลดปลงก็เช่นนั้นเอง
                   เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก น้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว              ถามศิษย์รักทุกคนฟังธรรมะรู้เรื่องหรือเปล่า

แค่ทำ ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ ถึงได้ในที่สุด ไม่ผิดจากนี้ไป ไม่ทำ หลักธรรมจะเป็นอะไรชัดเจน ก็ไม่มีความหมายใด
สิ่งใดรู้แล้วไม่เดินหน้าไปต่อ แค่เห็นธรรมไม่เห็นทำ อยู่กับความคิด อยู่กับภาระ ไม่เป็นไปตามต้องการ ต้องเหนื่อยกับเรื่องนี้ ต้องเหนื่อยกับเรื่องนั้น อยู่ไปแค่วันวัน ขว้างงูไม่พ้นคอ
หลายคนไม่ขยันได้แค่รู้ เพราะว่าความขี้เกียจ พลาดอย่างน่าเสียดาย ทั้งวันไม่ทำอะไรเป็นการทบทวน โทษฟ้าโทษฝนทุกที

ทำนองเพลง: ไม่แข่งยิ่งแพ้
ชื่อเพลง: แค่ทำไยไม่ทำ

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
รักษาจิตหนึ่งใจเดียวให้มั่นคง อันนี้เป็นเรื่องยาก ใช่หรือไม่ แต่ถ้าทำได้ในทุกขณะเราจะมุ่งมั่นบำเพ็ญได้ถึงเป้าหมาย แต่ถ้าจิตแตกเป็นสองแตกเป็นสาม เอาไม่เอา ไม่ชอบคนนั้น มีเรื่องคนนี้ เราก็ไม่สามารถไปถึงเป้าหมาย แต่เรารักษาจิตหนึ่งได้ตลอดเวลาหรือเปล่า เดี๋ยวคิดนั่นเดี๋ยวคิดนี่ อยากมีนั่นอยากมีนี่ เป้าหมายในการบำเพ็ญก็เลยสั่นคลอน ใช่หรือไม่
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนในชั้น)
วันนี้มานั่งฟังธรรมหรือมานั่งหลับ (นั่งฟังธรรม)  ไม่เห็นคุยเลยว่าฟังธรรมแล้วดี คุยแต่ว่าหลับไปกี่นาที มาฟังธรรมเพื่อหลับหรือมาฟังธรรมเพื่อตื่น (เพื่อตื่น)  อยากคุยกับเราไหม ไม่ฝืนใจนะ บางครั้งต้องรู้จักฝืนใจตนเองบ้าง ตามใจตนเองมาทั้งชีวิตแล้ว แค่ฝืนบ้างจะเป็นอะไรไป บางเรื่องราวในโลก หากเราพบสิ่งใดที่ไม่ใช่อย่างที่เราคิด หรือไม่ใช่อย่างที่เราหวัง ถ้าเราคิดมากเกินไปก็มีแต่ทุกข์ใจ มัวแต่มุ่งจับผิด ก็มองเห็นแต่ด้านร้ายของเขา อยู่ร่วมกันก็ไม่เป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราคิดว่า ช่างเถอะอย่าถือเลย ช่างเถอะเขาก็เป็นอย่างนั้น เป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง เรื่องก็จบ มองอะไรก็ราบรื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่โดยส่วนใหญ่เราถือสาไหม (ถือ)  แล้วหนักไหม (หนัก)  แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  รู้ว่าถือแล้วก็หนัก แล้วก็ทุกข์แต่ก็ยังถือ ทำไมไม่เปลี่ยนการถือให้เป็นการวางบ้าง เหมือนที่เรารู้ว่า ในโลกนี้มนุษย์ทุกคนก็ปรารถนาที่จะมีความสุขมากกว่ามีความทุกข์ แต่โดยส่วนใหญ่ เราสุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  สุขจะน้อยกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้อาจารย์ก็ขอเริ่มต้นคุยเรื่องง่ายๆ ก่อน ถามว่า รังเกียจความจนไหม (ไม่)  รังเกียจความไม่งามไหม (ไม่)  ศิษย์รู้ไหมว่า ศิษย์มีอาจารย์รูปไม่งาม และไม่รวย ดังนั้นอย่าคิดว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์จี้กงแล้วจะรวยแล้วจะงาม นั้นไม่ใช่นะ  แล้วถ้าเป็นศิษย์ของพระอาจารย์จี้กงแล้วไม่รวย และไม่งาม ศิษย์เป็นทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เกิดเป็นคนจน คนไม่สวยอายไหม (ไม่อาย)  จริงหรือ (จริง) เกิดเป็นคนหน้าตาไม่ดี ไม่สวยแล้วมีความสุขได้ไหม (ได้)  เกิดเป็นคนจนแล้วมีความสุขได้ไหม (ได้)
อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า คนที่บอกว่าไม่ทุกข์กับความไม่สวย แล้วจะแต่งหน้าทำไม แล้วจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ทำไม ใช่ไหม (ใช่)  แล้วไม่หล่อและไม่อาย แต่ทำไมมองกระจกทุกวันก่อนที่จะออกจากบ้าน เมื่อถูกว่า ว่าขี้เหร่ อย่างนี้รับได้ไหม (ได้)  ได้จริงหรือ ฉะนั้นอยากจะบอกกับศิษย์ว่า ในโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดน่าอาย แต่ถ้าต้องหนีความจน แล้วไปทำผิดศีลผิดธรรม ถ้าต้องหนีความไม่สวยไม่หล่อ แล้วต้องไปผิดศีลขาดธรรม อย่างนี้ก็น่าอายนะ
ถ้าโดนเขาว่า ว่าจนไม่มีเงิน ไม่หล่อแล้วต้องไปมีเรื่องมีราวกับใครเพราะรับไม่ได้ที่โดนว่าอย่างนี้น่าอาย  อาจารย์ก็จน อาจารย์ก็อัปลักษณ์ไม่เห็นเป็นไรเลย แค่รู้ตัวว่าชีวิตเราเป็นคนที่ทำแล้วมีชีวิตถูกต้องมีศีลไม่ขาดธรรม อายอะไร ดีกว่าสวยแล้วผิดคุณธรรม ดีกว่าหล่อแล้วขาดธรรม ดีกว่าเพื่อความรวยแล้วกลายเป็นคนโป้ปดมดเท็จหลอกลวงผู้อื่นอย่างนี้น่าอายกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคำพูดคำหนึ่งที่มนุษย์ชอบพูดบอกว่า “ความจนไม่น่ากลัว แต่จนความขยัน จนปัญญาในการค้นคว้าหาตัวเองในการขยันเรียนรู้นี่สิน่ากลัวกว่า” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความจนไม่น่ากลัว ความไม่สวยก็ไม่ใช่น่ากลัว แต่ใจที่ไม่สู้กับความไม่สวย ใจที่ไม่ยอมรับกับความจนนี่สิ น่ากลัวกว่า จริงไหม (จริง)
ทุกคนในโลกนี้มีปัญหาทุกคนไหม (มี)  มีใครไหมไม่มีปัญหา (ไม่มี)  ทุกคนมีปัญหาหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  มัวแต่แก้ปัญหาแต่ทำไมไม่คิดที่จะหยุดสร้างปัญหาบ้าง เหมือนถามว่าทุกคนกลัวทุกข์ไหม (ไม่กลัว)  อยากมีทุกข์ไหม ก็ไม่อยากมี แต่หยุดสร้างทุกข์ไหม ไม่หยุด แล้วจริงๆ กลัวทุกข์ไหม (กลัว)  อย่างนั้นถ้าเวลาเราเจอปัญหา ศิษย์เคยได้ยินไหม คนที่เขาไม่ยอมแพ้ต่อชีวิต เมื่อเวลาเขาเจอสิ่งที่แย่ที่สุด คนที่ไม่ยอมแพ้ต่อชีวิต คนที่มีปัญญาจะพยายามเอาชนะให้ได้ เขาจะแปรสิ่งที่น่าเกลียดที่สุดให้กลายเป็นสิ่งที่มีค่า และกลับมาสวยงามได้ ถูกไหม (ถูก)
สมมติว่าดอกไม้ ใบไม้ ต้นไม้ ถ้ารู้จักจัด มันก็สวย แต่ถ้าไม่จัดมันก็สวยไปอีกแบบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเราก็เหมือนกันถ้ามนุษย์ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต รู้จักขยัน รู้จักพากเพียร สิ่งที่ไม่ดีเราจะแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ดีได้ไหม (ได้)  มันอยู่ที่ใจ ถูกไหม (ถูก)  เราเปลี่ยนโลก เราเปลี่ยนชะตาชีวิตข้างหน้าไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องจำไว้ศิษย์เปลี่ยนได้ คืออะไรรู้ไหม เราเปลี่ยนใจตัวเองได้ว่า เมื่อเราเจอปัญหา เราจะยอมแพ้กับปัญหา หรือสู้จนถึงที่สุด (สู้จนถึงที่สุด)  ถูกไหม (ถูก)  เมื่อเราเจอทุกข์ เราจะทุกข์มาก ทุกข์น้อยหรือไม่ทุกข์ (ไม่ทุกข์)  ทำไมตอนนี้ตอบอาจารย์ได้ ฉะนั้นปัญหาไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือใจศิษย์สู้ไม่สู้เมื่อเจอปัญหา แล้วสู้แบบไหน สู้แบบคนจมกับทุกข์ หรือไม่มีวันจะทุกข์กับมันอีก
อายุปาเข้าไปค่อนชีวิตแล้วนะ ทำไมยังทุกข์กับเรื่องเดิมๆ ทำไมยังเจ็บกับเรื่องเดิมๆ ทำไมยังโง่และผิดกับเรื่องเดิมๆ ทำไมไม่เอาเรื่องเดิมมาทำให้ชีวิตฉลาดขึ้น ทำไมไม่เอาเรื่องเดิมมาทำให้พ้นทุกข์ ยังกลับไปเวียนทุกข์อีกถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นทุกข์ไม่ได้น่ากลัว แล้วใจเราจะสู้ทุกข์หรือไม่สู้ทุกข์ (สู้ทุกข์ ไม่สู้ทุกข์)  จะทุกข์มากหรือไม่ทุกข์ (ไม่ทุกข์)  จะทุกข์เหมือนเดิมหรือพ้นทุกข์ต่อไป (พ้นทุกข์ต่อไป)  ตอบอาจารย์ได้แต่เมื่อถึงเวลา (ทำไม่ได้)
บางครั้งเราต้องรู้จักส่งบุญต่อ ดีกว่าเก็บไว้เพื่อตนเอง บางทีการพูดภาษาเดียวกันแต่บางคนคิดไม่เหมือนกัน ฉะนั้นอย่าไปเคืองโกรธเลย ถ้าเราพูดอย่างหนึ่งแล้วเขาไปอีกอย่างหนึ่ง ในโลกใบนี้มันมีหลายเรื่องราวที่ทำให้เราทุกข์ และมีหลายปัญหาที่ทำให้เราไม่สบายใจ และบางครั้งปัญหานั้นหรือความทุกข์นั้นเกิดจากการสูญเสีย ศิษย์ทำใจได้ไหม มันทำใจยากนะใช่หรือไม่ เมื่อเจอปัญหาเจอเรื่องราวทุกข์มากหรือไม่ทุกข์ เรื่องราวมันทำให้เราทุกข์แล้ว และเราจะซ้ำเติมใจให้ทุกข์อีกไหม หามาแทบตายโดนเขาเอาไปหมดทุกข์ไหม ปลูกมาแทบแย่นึกว่าจะได้เก็บเกี่ยวผล มาถูกขโมยไปหมดทุกข์ไหม (ทุกข์)  อาจารย์จึงบอกศิษย์ตั้งแต่ต้น ความจนไม่น่ากลัว แต่ความจนใจจนปัญญาที่จะสู้ต่อน่ากลัวกว่า จริงไหม (จริง)  ยังมีแรงมีกำลังก็ลุกสู้ใหม่ ถือว่าฟาดเคราะห์ไป
ศิษย์เอ๋ย ถามจริงๆ ของในโลกนี้เราหามาแล้วใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  สมมติว่าอาจารย์หาเงินก้อนนี้ได้ เป็นของอาจารย์ไหม อาจารย์หามาแทบตายเลยนี่คือเงินของอาจารย์ใช่ไหม มันเหมือนเป็นของอาจารย์แต่ถึงที่สุดใช่ของอาจารย์ไหม (ไม่ใช่)  เหมือนเวลาอาจารย์ได้พัดมาใบหนึ่ง ตอนนี้อาจารย์ครอบครองมันได้แต่ถึงที่สุดแล้วมันเป็นของอาจารย์จริงๆ ไหม (ไม่ใช่)  ทำไมล่ะ ก็อาจารย์ซื้อมาก็ต้องของอาจารย์สิ ทำไมบอกไม่ใช่ของอาจารย์ล่ะ เสื้อผ้านี่ก็ของอาจารย์ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ทำไมล่ะ (อาจารย์ไม่ได้เป็นคนทำ)  แต่มันอยู่บนตัวอาจารย์ก็ต้องเป็นของอาจารย์สิ อยู่ในมืออาจารย์ก็ของอาจารย์สิ
อาจารย์ถามหน่อยนะศิษย์ ทำไมอาจารย์บอกว่าสิ่งที่ศิษย์บอกว่ามันเป็นของศิษย์ ศิษย์หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง จริงๆ แล้วมันใช่ของศิษย์ไหม ก่อนที่จะมาเป็นของศิษย์มันเป็นของใคร แล้วมันจะอยู่กับอาจารย์ตลอดไหม (ไม่อยู่)  ถึงเวลามันก็ต้อง (ไป)  ไม่มันไปเราก็ไป ฉะนั้นเราไปก่อนหรือมันไปก่อนดี ให้มันไปก่อนเรา หรือเราไปก่อนมันดี (ให้มันไปก่อน)  ให้มันไปก่อนดีใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้น เวลาเขาเอาไปแล้วทำไมเราเสียใจล่ะ ดีแล้วมันไปก่อน ดีกว่าเราไปก่อนแล้วไม่ได้ใช้มัน จริงไหม (จริง)  ศิษย์เอ๋ย ในโลกนี้ความจนไม่น่ากลัว แต่จนปัญญาจนใจที่จะสู้ต่อนั่นแหละน่ากลัวกว่า การสูญเสียไม่ได้น่ากลัว แต่การรับไม่ได้ที่ชีวิตนี้ต้องสูญเสียน่ากลัวกว่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  ความน่าเกลียดความไม่สวยก็มิใช่น่ากลัว แต่ใจที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองไม่สวยนั้นน่ากลัวกว่า ไม่สวยแล้วเป็นอย่างไรล่ะ ฉันไม่สวยก็ดีออก เพราะฉันไม่สวยแกเลยสวยมาก ถูกไหม (ถูก)  ดำแล้วเป็นอย่างไรล่ะ ดีกว่าขาว ดำดีสีไม่ตก ขาวสกปรกคบไม่ได้
ฉะนั้นถ้าเรารู้คุณค่าในสิ่งที่ตัวเราเองเป็น จะได้มาจะเสียไปไม่ใช่ความทุกข์ ขอเพียงเราไม่จนใจจนปัญญา และลุกขึ้นสู้ใหม่ เราเกิดมาตัวเปล่า มาแบบมีสามี มีลูก มีทรัพย์สิน มีบ้าน มีที่ดิน มีรถไหม มันมาทีหลังใช่ไหม แล้วถึงเวลาตอนนี้เรากลับไปสู่ความไม่มีเหมือนเดิมดีไหมล่ะ มันต้องดี เพราะวันใดวันหนึ่งศิษย์ต้องเจอ เพราะตายไปแล้วศิษย์เอาไปได้ไหม แล้ววันนี้ขอบใจที่ทำให้ฉันรู้จักวาง ขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้จักสู้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง แล้วของบนโลกใบนี้มันเป็นของที่มาจากธรรมชาติแล้วทุกสิ่งก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติ ฉะนั้นเราคือคนที่ไปขโมยธรรมชาติมา ถ้าธรรมชาติจะเอาคืนเราโกรธไหม โมโหไหม เขาเอาของเราไปโกรธไหม เขาก็ธรรมชาติใช่หรือไม่ มนุษย์มักจะขี้ตู่ โลกนี้เป็นโลกของธรรมชาติ ไม่มีใครเป็นเจ้าของได้อย่างแท้จริง สมบัติผลัดกันชม ทรัพย์สินเปลี่ยนมือเจ้าของไปกี่เจ้าแล้ว แล้วชีวิตเราไม่ผลัดเปลี่ยนหรือ เราเปลี่ยนมากี่ร่างแล้วรู้ไหม แล้วเราอยากจะจบแค่ร่างนี้ หรือเปลี่ยนไปไม่จบสิ้น ถ้าเรารู้ว่าสมบัติผลัดกันชม ชีวิตมันเปลี่ยนแปลงไม่จบสิ้น เราควรจะไปตู่เอาธรรมชาติมาเป็นของเราหรือไม่ สังขารก็ของธรรมชาติ ทรัพย์สินก็ของธรรมชาติ แล้วอะไรเป็นของเรา (ไม่มี)  แปลว่าเราคิดไปเอง ฉะนั้นมองให้ดี ถ้าศิษย์เข้าใจก็จะรู้ว่าโลกใบนี้จริงๆ ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือใจที่ไม่สู้ และไม่ยอมรับความจริง
ถ้าอาจารย์ถามว่าการศึกษาธรรม เราศึกษาธรรมเพื่อนำพาให้เราพ้นทุกข์ เพื่อหาทางค้นพบความสงบให้กับชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่โดยส่วนใหญ่คนเรามักจะมองว่า ธรรมะหรือการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของคนบวชชีบวชพระ หรือเป็นคนที่เคร่งครัดปฏิบัติ แต่เราลืมมองไปว่าจริงๆ แล้วถ้าพูดถึงธรรม ธรรมควรจะเป็นสิ่งที่ทุกคนก็ปฏิบัติได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และทุกคนก็ควรจะนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ด้วยธรรมะ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเราจะศึกษาธรรมแล้วธรรมที่เราศึกษานั้นเป็นธรรมที่ควรจะอยู่แต่ในหนังสือ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  อยู่แต่ที่พระเป็นคนพูด ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แต่ควรจะเป็นธรรมที่ในทุกๆ ที่ก็มีธรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วเราจะค้นพบธรรมได้อย่างไร
(ใช้สติและปัญญา, ตัวของเรา, ด้วยจิตที่ศรัทธาเชื่อมั่นในความถูกต้องและดีงาม)
แปลว่าธรรมะไม่ได้ค้นที่ภายนอก แต่ธรรมะสามารถพบได้ที่ภายใน ฉะนั้นถ้าอยากพบธรรม ควรย้อนมองส่องตนแต่ส่วนใหญ่เราพบธรรมในตัวเองไหม (ไม่)  พอเราย้อนมองเข้ามาในตัวเอง เราเคยเห็นธรรมในตัวเองไหม (เคย)  เห็นธรรมหรือเห็นกิเลส เห็นอะไร เห็นกิเลสมากกว่าเห็นธรรม ถูกไหม (ถูก)  ตื่นขึ้นมาก็เห็นกิเลสแล้วว่าอยากกินอะไร อยากไปเที่ยวไหน อยากได้อะไร ฉะนั้นเราจึงไม่เห็นธรรมในตัวของเราเองเลย แต่รู้ไหมว่า นั่นก็เป็นธรรมชนิดหนึ่งแต่เป็นธรรมที่ให้ผลเป็นบาปเป็นทุกข์ และวิบากกรรม
ทุกชีวิตของเราที่เกิดขึ้นมา คือ การวิ่งไปตามกิเลส วิ่งไปตามความอยาก แล้วเมื่อไรที่ยึดความอยาก ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ต้องรองรับ เหมือนตอนนี้เราอยากกินข้าว ดูที่โต๊ะแล้วไม่มีข้าว อย่างนี้หงุดหงิดไหม (หงุดหงิด)  แล้วเมื่อหงุดหงิดแล้ว เจอแม่บ่นไหม (บ่น)  เกิดกรรมดี หรือกรรมชั่ว (กรรมชั่ว)  แล้วถ้าแม่ไม่อยู่แอบด่าพ่อแม่ไหม ด่าภรรยาไหม (ด่า)
ฉะนั้นชีวิตของเรา ธรรมะมีสองทาง ทางหนึ่งคือ การเวียนว่ายแห่งกรรม เวียนเกิด เวียนทุกข์ เวียนสุข เวียนดี ไม่จบสิ้น แต่มีธรรมอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อทำแล้วพ้นทุกข์ พ้นเวียนว่าย พ้นกรรม ถ้าชีวิตเราเลือกได้ เราเลือกธรรมแบบไหน ระหว่างธรรมที่เวียนทุกข์เวียนสุข หรือธรรมที่พ้นทุกข์พ้นสุข (ธรรมที่พ้นทุกข์พ้นสุข)  แต่ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้เราเสียสละชีวิตมา เพื่อสนองตัณหาสนองความอยาก แล้วเราพ้นทุกข์ไหม (ไม่พ้น)  แปลว่าชีวิตที่ศิษย์มีมาทั้งหมด ทั้งชีวิต ศิษย์ยอมสละเพื่อธรรมที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่ไหม แปลว่ากิเลสตัณหาและสิ่งที่ศิษย์อยากได้มีค่ามากกว่าชีวิตใช่ไหม (ไม่ใช่)  ก็ทั้งชีวิตมีมาเพื่อสนองกิเลสตัณหา กิเลสตัณหามาก็วิ่งไปตามความอยาก แล้วก็ดีบ้าง ร้ายบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ตลอดชีวิตศิษย์สละชีวิตเพื่อสิ่งนี้มาตลอดถูกไหม (ถูก)  ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตคือกิเลสอารมณ์ที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ดังนั้น พิจารณาให้ดีว่าทุกวันที่เราทำอยู่นี้เพื่อสนองกิเลสจริงไหม (จริง)
พระพุทธะกล่าวไว้ว่าสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิตคือธรรม เมื่อไม่เคยพบธรรมเลยสิ่งที่เราได้คือกิเลส แล้วก็สุข ทุกข์ แล้วก็วนกลับมาที่กิเลส  แล้วก็สุข ทุกข์จริงไหม (จริง)  แปลว่าทั้งชีวิตศิษย์เสียสละชีวิตได้เพื่อกิเลสไม่ใช่เพื่อธรรมถูกไหม (ถูก)  แล้วคำว่าเพื่อธรรมเป็นอย่างไรละ
สิ่งใดที่ทำแล้วทำให้ศิษย์ต้องยึดแล้ววางไม่ได้ สุขไม่ได้ แล้วหนีไม่พ้นทุกข์ สิ่งนั้นเรียกว่ากรรม อะไรก็ตามที่ศิษย์ทำแล้วสามารถปล่อยได้ พ้นทุกข์ได้ วางได้ สิ่งนั้นเรียกว่าธรรม ถ้าอย่างนั้นตลอดชีวิตที่ศิษย์เดินมา เสียสละมา ยึดแล้ววางไม่ได้ แล้วทำให้เกิดทุกข์และสุขใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราอยากเกิดมาเพื่อเวียนว่ายใช้กรรมหรือหมดกรรม (หมดกรรม)  อยากเมื่อไรก็ต้องสร้างเวรให้ต้องไปยึดถืออยู่ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากศึกษาปฏิบัติธรรม ธรรมจึงสอนไว้ว่า จงอยู่อย่างที่สามารถมีแล้วไม่ยึด มีแล้วสามารถปล่อยวาง มีแล้วไม่ทุกข์ มีแล้วสามารถพ้นทุกข์ นั่นเรียกว่า หนทางธรรม แต่ถ้าเมื่อไรมีแล้วต้องยึด มีแล้วต้องหนีไม่พ้นวิบากกรรม มีแล้วต้องหนีไม่พ้นทุกข์สุข นั่นก็เรียกว่ามีแล้วสร้างเวรกรรม เมื่อเกิดมาก็เสวยสุขให้เต็มที่ ถึงเวลาตายแล้วก็ช่างมัน ใช่ไหม  มันไม่ได้จบง่ายๆ อย่างนั้นสิ ถ้ามนุษย์เรายังยึดถือก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายและวิบากกรรมที่เราต้องไปรับ ถูกไหม (ถูก)
ขึ้นชื่อว่ากิเลส ขึ้นชื่อว่าอารมณ์ ล้วนหนีไม่พ้นเป็นทางมาแห่งบาปและกรรมชั่ว แล้วร้ายที่สุดคือวัฏสงสารที่หนีไม่พ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนศิษย์ไปด่าเขา ไปตีเขา แล้วก็บอกว่า ช่างเขาไม่เกี่ยวอะไรกับเรา แต่ศิษย์รู้ไหมว่าคนที่เราไปด่าไปตีนั้น ถ้าเขาอยากจะจองเวรจองกรรมศิษย์ล่ะ กี่ภพกี่ชาติจะต้องแก้แค้น เอาไหมล่ะ (ไม่เอา)  อย่างนั้นเราควรมีกิเลสอารมณ์ไหม กิเลสอารมณ์มันมาจากไหน ศิษย์รู้ไหมว่ากิเลสอารมณ์มาจากความนึกคิดแห่งตัวตน คิดว่าแบบนี้ฉันชอบ คิดว่าแบบนี้ฉันเกลียด คิดว่าแบบนี้ฉันไม่ด่า คิดว่าแบบนี้ฉันต้องด่า ฉะนั้นถ้าเราหยุดความคิดไม่ได้ เราก็หยุดกิเลสและอารมณ์ไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่จะยับยั้งกิเลสอารมณ์ไม่ก่อเกิดเป็นทุกข์ บาป และวิบากกรรม คืออะไรที่ช่วยยับยั้งไม่ให้ความคิดนั้นเตลิดคือ (สติ)  ถูกต้อง ยิ่งคิดมันยิ่งไหลไปตามอารมณ์ สิ่งที่จะช่วยดึงความคิดได้คือสติ สติทำให้เรากลับมาสู่ความเป็นกลางและมองเห็นความจริง เวลาเจออะไรอย่าเอาแต่คิดเพราะความคิดมันง่ายที่จะไหลไปตามกิเลสและอารมณ์ แต่จงทำอะไรอย่างคนที่เข้าใจในธรรม หรือมองเข้าข้างในแล้วจะเห็นธรรม เมื่อไรที่เราสามารถมองเข้าข้างในเราจะเห็นธรรมอันลึกซึ้ง ธรรมอันเป็นความจริงที่พระพุทธะค้นหาและพบเจอ แต่เรามองเห็นแต่สิ่งที่เราอยากเห็น ถ้าเราอยากเห็นธรรมจงอย่าเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองคิด หรือสิ่งที่ตัวเองจำได้หมายรู้ แต่จงเห็นในสิ่งที่มากกว่าเห็น มากกว่ารู้ เพราะในโลกนี้ทุกเรื่องราวทุกลักษณะ มักมีลักษณะแท้ซ่อนอยู่ภายในเสมอ
ถ้าเราอยากจะเอาชนะกิเลส แล้วเห็นโลกแบบคนเห็นธรรมแล้วดับทุกข์ได้ จงเห็นมากกว่าสิ่งที่เห็นคือเห็นภายใน
สมมติว่าแอปเปิลนี้ไปอยู่ที่มือใคร คนนั้นจะถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งเอาไหม (เอา) เห็นอะไรในแอปเปิล อยากเห็นอะไรก็เห็นอย่างนั้นใช่หรือไม่ สมมติใหม่ว่าถ้าใครได้แอปเปิลลูกนี้ไปนอกจากถูกลอตเตอรี่แล้วชีวิตจะสั้นลง เอาไหม (ไม่เอา)  ยังเห็นอะไรอีก เห็นแค่ตามที่อาจารย์ให้เห็นหรือเห็นมากกว่าที่ควรจะเห็น ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าใครได้แอปเปิลนี้ไปจะสุขที่สุดไม่มีวันทุกข์ เอาหรือไม่ (เอา)  ศิษย์เอ๋ย ชีวิตอยู่ที่ตัวศิษย์กำหนดหรืออยู่ที่อาจารย์เป็นคนพูด (ตัวเรากำหนด)  ชีวิตอยู่ที่แอปเปิลหรืออยู่ที่ตัวเราเอง (ตัวเราเอง)  เชื่อไหมว่าแค่อาจารย์พูดถึงแอปเปิลสามสี่แบบ อาจารย์ก็เห็นใจของศิษย์ว่าขึ้นๆ ลงๆ หาความเป็นตัวของตัวเองไม่ได้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เชื่อไหมว่า ยิ่งศิษย์เป็นแบบนั้น อาจารย์จึงเห็นความจริงแท้ที่อยู่ภายใน ทุกสิ่งทุกอย่างมีหลักแท้ที่ซ่อนอยู่ภายใน เมื่อยึดกุมหลักแท้ได้ศิษย์จะค้นพบธรรม และนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์หยุดสร้างเวรสร้างกรรมและจบเวรจบกรรมได้
เห็นอะไรที่จะทำให้เราพบธรรมและพ้นทุกข์ และเห็นอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ไม่จบสิ้น
เห็นธรรมอะไรในลูกแอปเปิลอีก (เห็นความดี)  แล้วเราจะส่งความดีต่อ หรือจะเก็บความดีไว้กับตนเอง (ส่งต่อให้ญาติ)  ทำให้ได้นะ (เห็นความเป็นจริงในตัวเราเอง)  เห็นความจริงอะไรในตัวเอง (ความอยากได้อยากมี)  อาจารย์คิดว่าเห็นความเป็นจริงในตัวเองที่โลเลไม่แน่นอน ใช่ไหม (ใช่) 
(ความไม่เที่ยงของสิ่งต่างๆ ที่เรามองเห็น)  เห็นความไม่เที่ยงในแอปเปิล เห็นความไม่เที่ยงในใจตัวเอง และเห็นความไม่เที่ยงของอาจารย์ ซึ่งเป็นลักษณะแท้ที่ซ่อนอยู่ในทุกลักษณะของชีวิต ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเรียกว่ารูปหรือนาม ผู้ใดที่ค้นพบลักษณะแท้นั้น นั่นเรียกว่าค้นพบแก่นหรือหลักของใจทั้งมวล แล้วเรียกแก่นและหลักอันนั้นว่า “หลักสัจธรรม” ใช่หรือไม่ (ใช่)
(เห็นความเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป)  ที่เรียกว่าความไม่เที่ยง ไม่เที่ยงในใจเราในทุกขณะ
(เห็นความว่างเปล่า)  ตอบได้ดีแต่ปฏิบัติได้ยากนะ แล้วก็ทำได้ยาก เพราะเห็นแล้วก็ยังเห็นอยู่ แต่อาจารย์จะบอกให้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ศิษย์เห็น มันเกิดขึ้นตั้งอยู่แค่ชั่วคราว ไม่มีอะไรถาวร จริงไหม (จริง)  เมื่อมีใครด่าว่าเรา ถึงเวลาเขาก็ไป ใช่ไหม (ใช่)  แต่เราไม่ยอมจบ ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเรามองเห็นว่าถึงเวลาไม่มีอะไรตั้งอยู่ถาวร คนที่ดีกว่าเรา คนที่สวยกว่าเรา คนที่เก่งกว่า เขาก็เป็นสิ่งนั้นแค่ชั่วคราวถึงเวลาก็มีคนเหนือกว่าเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรามองจนถึงที่สุดแล้วมันก็ว่างเปล่า แล้วเราจะเอาอะไรกับความว่างเปล่า แล้วจะยึดอะไรในความว่างนั้น
(ความเห็นแก่ตัวและความมีเมตตา)  ในใจเราหรือในใจเขา (ทั้งใจเราและใจเขา)  ถ้าเอาแอปเปิลแล้วเรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัว เราก็ให้เขาดีกว่าใช่หรือไม่ ตอบได้ดีนะ ถ้าทุกขณะที่เราอยากสิ่งใดก็ตาม เห็นสิ่งใดก็ตามแต่เราไม่ได้เห็นแค่ความอยาก แต่เราสามารถเห็นแล้วทะลุทะลวง เห็นแล้วแจ่มแจ้งชัดทั้งใจตนและใจคน แล้วชั่งใจดูว่าเราจะไปตามกรรมหรือไปตามธรรม เราเห็นแล้วเราจะไปตามกิเลสหรือจะไปตามธรรม เห็นแล้วจะเห็นแก่ตัวหรือเมตตาให้เขาต่อ (ทั้งสองอย่าง) แปลว่าครึ่งหนึ่งจะเก็บไว้กินอีกครึ่งหนึ่งจะให้เขาใช่ไหม (การปล่อยวาง)  เห็นซึ่งการปล่อยวาง ยิ่งยึดมั่นถือมั่นก็มีแต่ทุกข์ใช่หรือไม่ ปล่อยก็แปลว่า (เบาสบาย)  ปล่อยแปลว่าไม่ถือ
ถ้าศิษย์สามารถเอาความไม่เที่ยงมาใช้กับทุกผู้ทุกคน เอาความไม่เที่ยงมาใช้กับทุกอย่าง ศิษย์จะเกิดความอยากไหม (ไม่อยาก)  ศิษย์จะหลงความสวยไหม (ไม่หลง)  ศิษย์จะเกลียดคนน่าเกลียดไหม (ไม่เกลียด)  ศิษย์จะมองเห็นทุกสิ่งเป็นอะไร เมื่อเราเห็นทุกสิ่งทุกอย่างว่าไม่มีอะไรเที่ยงตอนนี้สวยไม่นานก็ไม่สวย วันนี้ดีเดี๋ยวมันก็ร้ายได้ ใช่ไหม (ใช่)   เมื่อเราเห็นความไม่เที่ยงไปเรื่อยๆ เราจะมองเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา เมื่อธรรมดาเราก็จะไม่อยาก เมื่อธรรมดาเราก็จะไม่ยึด เมื่อธรรมดาเราก็จะไม่ผูกพัน จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นการศึกษาธรรมคือการมองภายใน ถ้าอยากเข้าถึงธรรมจงมองภายในแล้วถือภายในพินิจพิจารณาเป็นหลัก เมื่อเห็นเป็นหลักความอยากจะไม่เกิด ความโลภจะไม่มี ความเกลียดจะไม่เกิด ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นธรรม เมื่อเป็นธรรมก็เป็นกลาง เมื่อเป็นกลางก็หมดกรรม เมื่อหมดกรรมก็ไม่มีกิเลส เมื่อไม่มีกิเลสก็สิ้นทุกข์ แต่เราเคยเห็นบางสิ่งแล้วหมดกรรมหมดอยากไหม ยังเห็นแต่สวย หล่อ ไม่หล่อใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่า (พระอาจารย์เมตตาเรียกนักเรียนในชั้นคนสูงวัยหนึ่งคน วัยหนุ่มหนึ่งคนยืนคู่กัน)  ถ้าเรามองเห็นสิ่งที่เรียกว่าแก่นแท้ของทุกชีวิตคือความไม่เที่ยง ความทุกข์ความว่างเปล่า ไม่ว่าจะเป็นแบบหนุ่มหรือแบบสูงอายุก็จะไม่เอา เพราะแม้ตอนนี้หนุ่มต่อไปก็ต้องแก่ลง
ถ้าชีวิตนี้จะมีแต่ความหนุ่ม ไม่ต้องการความแก่ เเสดงว่าศิษย์ก็ตายทั้งยังหนุ่ม มนุษย์เราพอเห็นความแก่ก็ไม่ชอบใช่ไหม (ใช่)  ชอบแต่ความหนุ่มสาวใช่ไหม นั่นเพราะว่าเรามองเห็นแค่ภายนอกแล้วไม่เห็นภายในใช่ไหม (ใช่)  แต่เมื่อไรที่เราเข้าใจถึงภายในว่า มีแก่นแท้เดียวกันคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราจะเอาทั้งสองแบบไหม (ไม่)  แล้วเราจะยึดทั้งสองแบบไหม (ไม่ยึด)  เมื่อไม่ยึดแล้วจะมีอะไรที่เราอยากไหม (ไม่มี)  เมื่อไม่ยึดแล้วจะมีอะไรที่เราเกลียดไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นธรรมดา เมื่อเป็นธรรมดาเราก็พบธรรม ไม่ใช่พบกรรม ไม่ใช่พบกิเลส
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาวงพระโอวาท)
มีอะไรซ่อนอยู่ในกลอนนี้อีก เหมือนเวลาที่เรามองสิ่งใด อย่ามองเห็นแค่สิ่งที่เราอยากเห็น อย่ามองเห็นแค่กิเลส แค่ความอยาก แต่มองให้เห็นมากกว่ากิเลสและความอยากนั่นคือธรรม สภาวธรรมซ่อนอยู่ในทุกสิ่ง แต่มนุษย์นั้นอยู่เพื่อแสวงกิเลสหรืออยู่เพื่อค้นหาธรรม 
ในตัวเรานี้สิ่งใดที่เรียกว่าธรรมอันดีงาม และสิ่งใดที่เรียกว่ากิเลสอันน่ากลัวที่สุด ตอบได้ไหม
(จิตใจ ปัญญา ความคิด)  สิ่งที่ดีที่สุดคือคุณธรรมของความเป็นคนที่เราควรมี และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือเรายอมทิ้งธรรมเพื่อความอยาก ใช่ไหม 

(จิตใจทั้งดีและไม่ดี)  ฉะนั้นสิ่งที่ควรจะมายับยั้งจิตใจได้ดีที่สุด คือมโนธรรมสำนึกและสติ ถ้าทำอะไรไม่มีมโนธรรมสำนึก บาปเราก็ทำได้ แต่ถ้าทำอะไรมีมโนธรรมสำนึก มีสติ คุณธรรมก็ก่อเกิดได้ ฉะนั้น อย่าแค่
ตักบาตรเก่ง อย่าทำบุญเก่ง แต่ถึงเวลากลับปฏิบัติธรรมไม่เก่ง 

(จิตใจเรา ถ้าเราไม่มั่นคงเราก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้ตลอด)  ถ้าเราไม่ศรัทธาในความถูกต้องดีงาม จิตเราก็พร้อมจะหวั่นไหวและเปลี่ยนเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด ถูกไหม เชื่อมั่นในความดีตัวเองไหม เชื่อมั่นว่าตัวเองเป็นคนดีที่สุดได้ไหม (ได้)  ถ้าได้แล้วทำไมต้องกลัว กลัวแต่เพียงไม่เชื่อมั่น ใช่หรือไม่ ยังยึดติดทำดีต้องหวังผล ยังยึดติดทำดีต้องมีคนชม จำเป็นหรือ เรารู้ตัวเราเป็นอย่างไรก็พอแล้ว

สัจธรรมคือความเป็นจริงอันไม่เที่ยงแท้ ฉะนั้นความไม่เที่ยงแท้ที่เป็นสัจธรรมที่เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วความเป็นจริงนี้ดีหรือไม่ดี (ดี)  แล้วเมื่อสักครู่ ศิษย์ตอบว่า (ดีและไม่ดี ถ้าตัวเรานำไปปฏิบัติไม่ถูกต้อง) เช่น ถ้าเราเห็นว่าคนไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไป หลายใจ เอาแน่เอานอนไม่ได้ เป็นคนไม่ดี นั่นมิใช่เพราะว่าเขามีสัจธรรมที่ไม่ดี ศิษย์ต้องแยกให้ออกระหว่างความเป็นจริง กับนิสัยของคน เพราะมนุษย์มีความเป็นจริงคือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และว่างเปล่า และความเป็นจริงนี้ คือ ความเป็นจริงอันเป็นกลาง แต่สิ่งที่ทำให้เรามองไม่เห็นความเป็นกลาง เพราะใจที่เรายึดติด เราชอบความมั่นคง แต่คนไม่มั่นคง เราชอบคนซื่อตรง แต่คนมัก
คดโกง แต่การยึดติดความเป็นจริงอันนั้น อาจารย์ถามว่า จะเป็นไปได้ไหมที่เราจะเลือกให้ทุกคนเป็นดั่งที่ใจของเรา (ไม่ได้)  แล้วจะเป็นไปได้ไหมที่ทุกคนจะเป็นอย่างที่เราคิด (เป็นไปไม่ได้)  ฉะนั้นการยอมรับความจริงว่าทุกสิ่งนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์และว่างเปล่า นั้นจะทำให้เราพบธรรมและไม่โกรธเกลียดคน ดังนั้นศิษย์ต้องแยกให้ออก ระหว่างนิสัยกับความจริง ระหว่างสิ่งที่ยึดติดกับสิ่งที่เรียกว่าสภาวธรรม ถ้าศิษย์ยึดติดศิษย์จะไม่เห็นธรรม เพราะศิษย์จะมองเห็นเฉพาะสิ่งที่ศิษย์คิด ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากมองให้เห็นธรรมก็จงวางความคิดแล้วใช้สติ และมองให้เห็นความจริงมากกว่าสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเอง ในโลกนี้มีใครเป็นดั่งใจเรา มีใครดีที่สุด ถ้ายอมรับว่ามันเป็นเช่นนั้นเองมันก็แค่นั้น แต่ถ้าไม่ยอมรับแล้วโกรธเกลียด ผูกใจเจ็บ มันก็ก่อเกิดเป็นวิบากกรรม ฉะนั้นเราควรจะยอมรับและวาง ทำตัวเองให้ดีที่สุด ส่วนคนอื่นไม่ใช่หน้าที่เราที่ต้องแก้ไขเขา จริงไหม (จริง)  ทำให้ได้นะ รักษาความซื่อตรง เป็นเกียรติเป็นคุณแก่ชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)

(ความคิดคือสิ่งที่ดีและไม่ดี)  คิดดีก็ขึ้นสวรรค์ คิดไม่ดีก็ตกนรก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าพ้นจากความคิดก็คือความเป็นกลาง ศิษย์ก็พ้นทุกข์
ศิษย์เคยได้ยินไหม ธรรมะมีอีกสายหนึ่งเรียกว่า ทางสายกลาง ไม่ชั่วไม่ดีแต่เป็นกลาง และมีแต่สายกลางเท่านั้นที่จะพ้นทุกข์  ถ้าเรายังติดชั่วติดไม่ดีติดแบ่งแยก เราก็หนีไม่พ้นกรรมดีกรรมร้ายจริงหรือไม่ (ความศรัทธา)  คือสิ่งที่ดีที่สุดในตัวเรา (คือสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดี ความศรัทธาที่ดีก็จะนำทางเราได้ แต่ถ้าเราศรัทธาสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็จะทำให้เราตกต่ำลง)  
ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกต้องดีงามเป็นสิ่งที่ดีแต่บางครั้งเรามักศรัทธาในความคิดผิดของตัวเองนั่นแหละคือสิ่งที่น่ากลัว คิดว่าตัวเองได้แค่นี้ ทำได้แค่นี้ ดีแค่นี้ นั่นเป็นศรัทธาที่น่ากลัว เป็นความเชื่อที่น่ากลัวใช่หรือไม่  แล้วมนุษย์ในโลกนี้ก็มักจะคิดแบบนี้ ว่าตัวเองทำดีได้แค่นี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ซึ่งจริงๆ แล้วมันถูกไหม (ไม่ถูก)  เรายังทำได้มากกว่านี้ ฉะนั้นสิ่งที่ไม่ดีในตัวเราคือกิเลสตัณหาและความอยาก ความมีตัวตน และความคึกคะนอง ความดื้อดึง ความไม่ฟังใคร ความรักสนุกใช่ไหม (ใช่)  ไม่สนใจพ่อแม่ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่ดีในตัวเราคือจิตใต้สำนึกและความเกรงกลัวต่อบาป) ศิษย์ตอบได้ดีนะ ถ้าศิษย์มีมโนธรรมสำนึกและเกรงกลัวต่อบาปกรรม กรรมชั่วทั้งหลายในโลกนี้ศิษย์จะไม่กระทำเลยแต่กลัวอย่างเดียวคือ ดื้อ ใช่ไหม (ใช่)  ชีวิตนี้มีแค่หนึ่งนะไม่ได้มีเก้าชีวิตฉะนั้นอย่าประมาทนะศิษย์
ศิษย์เอย ศิษย์ที่มาฟังธรรมตามคำบอกของอาจารย์ ไม่รู้ว่าเขาให้มาฟังอะไร แต่อาจารย์บอกอย่างหนึ่งให้ศิษย์รู้ก็คือ เขาอยากให้ศิษย์อยู่ในโลกแล้วไม่มีทุกข์ อยู่ในโลกแล้วมีหลักในการดำเนินชีวิต เมื่อไรที่ศิษย์ต้องออกไปเจอความเป็นจริงของชีวิตที่ยากเกินรับ การรู้จักมีธรรมยับยั้งใจจะช่วยทำให้เรามีสติ เมื่อเจอเรื่องพลิกผัน แต่หลายต่อหลายคนที่มาแล้วก็ผ่านไปเพราะไม่เข้าใจ ไม่เห็นถึงจิตใจของเขาที่อยากช่วยศิษย์ เห็นแค่เพียงว่า “ถูกอาจารย์บังคับให้มา ไม่มาเดี๋ยวเกรดหนูไม่ขึ้น ไม่มาเดี๋ยวหนูไม่ได้คะแนนจิตพิสัยดี” อย่ามาเพราะอย่างนั้นเลยนะศิษย์ แต่มาเพราะเราเห็นความตั้งใจดีของผู้ที่ชวนมาเพราะเขาอยากให้เราเข้าใจธรรม และอยู่บนโลกนี้ไม่มีทุกข์ อาจารย์รู้ว่าช่วยคนมันเหนื่อย ช่วยคนมันยาก แต่ถ้าศิษย์ไม่หนักแน่ ศิษย์ไม่มั่นคง ศิษย์จะช่วยใครไม่ได้ ตัวเองก็ยังยืนไม่ไหว แม้แต่จะอ้าปากไปเรียกใครก็ยังพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะมันท้อ มันเหนื่อย มันล้า ช่วยกี่คนๆ ก็เหมือนเดิม ใช่ไหม แต่อาจารย์เข้าใจศิษย์นะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “น้ำค้างต้องลม”)
ศิษย์เข้าใจความหมายของพระโอวาทไหม “น้ำค้างต้องลม” ชีวิตคนเหมือนน้ำค้าง น้ำค้างตามปกติเมื่อหล่นร่วงลงดินก็หายไป แต่น้ำค้างนี้เจอลม ไม่มีโอกาสได้สัมผัสดิน มันก็แตกสลายและแห้งเหือดไป ความหมายคือ ชีวิตของคน ถ้าวันหนึ่งต้องเจอเรื่องที่ไม่คาดคิด ไม่คาดฝัน เมื่อถึงวันนั้น ศิษย์จะเหลืออะไร เหลือแต่บาป กรรม กิเลส หรือเหลือธรรม ถามใจตัวเอง ชีวิตนี้เกิดมาเพื่อสนองกิเลส หรือเกิดมาเพื่อค้นพบธรรม สละชีวิตเพื่อธรรม หรือสละชีวิตเพื่อสนองกิเลสเวรกรรม ถามใจตัวเองว่าเกิดมาแค่นี้ แล้วก็ได้แค่นี้จริงๆ หรือ เรามีค่ามากกว่านี้ไม่ได้หรือ ธรรมะเป็นเรื่องที่ยากเกินความเข้าใจหรือไม่ (ไม่)  อยู่ที่ศิษย์จะให้โอกาสกับตัวเองหรือไม่ ลองนำสิ่งที่อาจารย์พูดในวันนี้ไปศึกษาดูนะ หากมีโอกาสก็กลับมาบ้างนะ ได้ไหม (ได้)
วันนี้อาจารย์คงต้องกลับแล้ว อาจารย์มีความหวังสักเล็กน้อยก็ยังดี หวังให้ศิษย์เข้าถึงธรรม เพราะถ้าเมื่อไรศิษย์เข้าถึงธรรม ศิษย์จะไม่ทุกข์อะไรกับโลกใบนี้ และศิษย์จะมองเห็นความจริงว่า แม้แต่สังขารก็ไม่เที่ยง ยึดอะไรไม่ได้ เอาเป็นหลักพึ่งพิงอะไรก็ไม่ได้ แต่สิ่งที่จะทำได้ก็คือการประพฤติปฏิบัติดี นำพาให้เราพบความสุข ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วชีวิตนี้เราปฏิบัติดีแล้วหรือยัง เรามีศีลมีธรรมไหม เรารู้จักรับผิดชอบหน้าที่ไหม เราเป็นคนซื่อตรงจริงใจหรือไม่ เรามีเมตตาจิตไหม เรารู้จักถ้อยทีถ้อยอาศัยรู้จักอภัยผู้อื่นหรือเปล่า ก่อนจะเรียกร้องคนอื่น ถามใจของศิษย์เองว่า เราทำได้ดีที่สุดแล้วหรือยัง โลกใบนี้ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือใจที่ไม่ยอมรับความจริง และไม่พยายามทำให้ดีที่สุด ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าดีที่สุดแล้ว จะต้องกลัวอะไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนดีไม่กลัวถูกไฟหลอม คนดีจริงไม่กลัวความยากลำบาก คนดีจริงไม่กลัวคำต่อว่า คนดีจริงต้องมุ่งมั่นปฏิบัติให้ถึงที่สุดแม้จะต้องสูญเสียบ้างก็ตาม ใช่ไหม (ใช่)  เพราะชีวิต ที่จริงแล้วเราไม่เคยได้อะไรมาแล้วเราจะกำลังสูญเสียอะไรไป (ไม่มี)  เราเพียงแค่เกิดมาเพื่อยืมใช้ เมื่อถึงเวลาก็คืนเขาไป เราไม่เคยครอบครองอะไรได้สักอย่างหรอกนะศิษย์เอย ถ้าบอกว่าครอบครองได้ แล้วสังขารเคยฟังศิษย์ไหม (ไม่เคย)  ถ้าบอกว่าเป็นเจ้าของได้ แล้วลาภ ยศ เงิน ทอง เคยอยู่กับศิษย์ไหม (ไม่เคย)  แล้วเราเกิดมาเพื่ออะไร เพื่อสร้างความดีเพื่อค้นพบทางแห่งความพ้นทุกข์ นำพาชีวิตสู่ความสงบสุข แล้วสุขที่แท้อยู่ที่ไหน คือใจที่เข้าถึงสภาวธรรมอันเป็นกลาง ไม่มีโลภ ไม่มีหลง มีแต่ความเป็นอย่างนั้น ใจที่มองเป็นกลาง เพราะทุกสิ่งไม่ต่างกัน ต่างเพียงภายนอกแต่แก่นแท้เหมือนกันคือความไม่เที่ยง ฉะนั้นถ้ามองเห็นความเหมือนกันในความไม่เที่ยง อะไรจะทำให้เราโกรธ อะไรจะทำให้เราอยาก ก็ไม่มี แต่ศิษย์ต้องพิจารณาธรรมเนื่องๆ ถ้าปฏิบัติก็ยังไม่ปฏิบัติ มีธรรมก็ไม่เคยนำมาคิดไตร่ตรอง แล้วจะพบธรรมได้ที่ไหน แค่ฟังอย่างเดียวนั้นไม่ทำให้รู้หรอก ใช่หรือไม่ศิษย์
อาจารย์คงต้องไปแล้วนะ ลองศึกษาดู ทางธรรมคือทางสายกลาง อย่าทำเหมือนเดิมเลยศิษย์ เปลี่ยนแปลงตนเอง มุ่งมั่นอย่างจริงจัง อุทิศเสียสละ อย่ารู้แล้วทำตัวเหมือนเดิม น่าเสียดายนะ มุ่งมั่นให้ถึงที่สุดนะ ตั้งใจทำให้ดีนะ ขอให้เพลงที่อาจารย์ให้นี้เป็นเพลงที่ทำให้อาจารย์มองเห็นใจศิษย์ แต่ให้แล้วอาจารย์ก็ช้ำใจ เพราะเห็นศิษย์หลายคนแค่เห็นธรรม แต่ไม่เคยทำจริงๆ รู้แต่ปฏิบัติธรรมแต่ไม่เคยลงแรงที่ใจ ถ้าศิษย์ลงแรงที่ใจเข้าถึงธรรม มันจะไม่มีใครที่เรียกว่ามาทดสอบใจศิษย์หรอก มันมีแต่ใจศิษย์เองที่ทดสอบตัวเองใช่หรือไม่ ไม่มีใครร้ายหรอก มีแต่ใจศิษย์เองที่ไม่ยอมรับความจริง และไม่มีเรื่องอะไรที่แย่หรอกมีแต่ใจที่ไม่ยอมสู้ต่างหากจริงหรือไม่ ในโลกนี้มีใครแย่ มองไปมองมาเรานี่แหละแย่ที่สุด ยึดมั่นไม่ปล่อยวาง ถามจริงๆ ว่าใครที่นิสัยไม่ดี ถ้าว่าเขาไม่ดี เราก็ไม่ดี เราดีจริงๆ หรือยัง เราดีไม่จริงเลย แล้วจะไปว่าคนอื่นทำไม การปฏิบัติธรรมคือการลงแรงที่ใจ อย่าปฏิบัติแต่ภายนอก แต่ใจศิษย์ไม่เคยมองเห็นตัวเอง ไม่แก้ไขตัวเอง เห็นธรรมแต่ไม่เคยทำ รู้ธรรม รู้อยู่เต็มอกแต่ก็ยังเหมือนเดิม อาจารย์พูดย้ำแล้วย้ำอีก เมื่อไรศิษย์ลองลุกขึ้นมาแล้วมีชีวิตเพื่อเข้าถึงธรรม ลดละกิเลสลง เสียสละเพื่อผู้คน ทำตัวเองให้เป็นประโยชน์ต่อผู้คน ยากนักหรือ
ไม่ยากนะใช่ไหม (ใช่)  แต่การสนองกิเลสตัณหาแล้วทำให้เราหนีไม่พ้นวัฏสงสารน่ากลัวยิ่งกว่าอะไรในโลกจริงไหม (จริง)  แล้วทำไมไม่ยั้งใจตัวเอง แล้วทำไมไม่เอาธรรมมายั้งคิด แล้วทำไมไม่มีสติ ไม่มีมโนธรรมสำนึกในใจเลยหรือ ความดีจะชนะความชั่วได้ยังไงในเมื่อคนคนดียังไม่เคยดีจริงใช่ไหม (ใช่)

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “น้ำค้างต้องลม”
    วันเวลาล่วงเลยไปไม่ได้คิด                  เรื่องผิดก็คิดว่าไม่เป็นไร
กว่าจะรู้ตัวเริ่มสายเกินไป                        อยากจะให้เป็นเหมือนเดิมไม่มีทาง
ไม่สู้ทำวันนี้ให้ดีที่สุด                              ชีวิตคนแสนสั้นดุจน้ำค้าง
เพียงต้องลมหล่นไปไม่ถึงพื้นล่าง               จงระวังดั่งอยู่เรือนที่ไหม้ไฟ


พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาทงานประชุมธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา วันที่ 23-25 มีนาคม พ.ศ.2561
หน้า 14 เดิม “นำธรรมพบธรรม นำธรรมพบธรรม จิตหนึ่งเสมอ ตามธรรมะเดิน จิตเป็นสวรรค์”
แก้เป็น “ตามธรรมะเดิน ตามธรรมะเดิน จิตเป็นสวรรค์ ความวุ่นใจคลายลดลง”


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554

2554-12-24 สถานธรรมหงเต้า จ.เชียงราย


西元二0一一年歲次辛卯十一月三日                仙佛慈
วันเสาร์ที่ ๒๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔   สถานธรรมหงเต้า จ.เชียงราย
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านจางกั๋วเหล่าต้าเซียน

คนฉลาดคิดอะไรก็คิดออก แต่บางทีก็ชอบออกนอกความคิด
บางทีคนฉลาดมากก็ทุกข์จิต เป็นคนหวิดโง่หน่อยหน่อยก็สุขดี

เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนจางกั๋วเหล่า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

ในวันนี้กำลังกลายเป็นวันวาน ธรรมกับญาณอันหนึ่งเดียวพุทธจิต
เกี่ยวใจเกี่ยวโอวาทมาเป็นเข็มทิศ ใฝ่ดีนี้ครึ่งชีวิตไม่รามือ
ขอให้ตรองปีนี้ฝึกแค่ไหน ระลึกไหมได้คิดไม่มีให้ซื้อ
ตั้งใจเข้าให้เบาความยึดถือ บำเพ็ญจริงบำเพ็ญซื่อซื่อแต่มีแนว
ไม่ว่างหากการคิดยังไม่ดับ ไม่ดับถ้าเกิดขึ้นยังไม่แล้ว
แรงไม่ใส่จะเรียกใครช่วยแจว ตั้งใจแล้วอะไรว่างรู้ที่เดิม
เมื่อโลกนี้ไม่มีสิ่งใดอันจริงแท้ เพราะทุกสิ่งเปลี่ยนแปรมีลดเพิ่ม
หยั่งให้รู้ความจริงสงบเป็นทุนเดิม ด้วยคุณธรรมส่งเสริมใจภายใน
โลกใบนี้สิ่งสมมุติเป็นของหยาบ อย่าได้จาบจ้วงกิเลสให้เกิดร้าย
สรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยงยึดมั่นใด หวังไม่หวังเพื่อแจ้งในสิ่งมายา

ฮา  ฮา  หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านจางกั๋วเหล่าต้าเซียน
อากาศเย็นจึงทำให้เรารู้ว่า ต้นไม้ต้นใดที่ทนทานความเหน็บหนาว มนุษย์ถ้าไม่เจอความทุกข์ความลำบากก็ไม่สามารถหยั่งรู้จิตใจตัวเองว่าเข้มแข็งหรืออ่อนแอเพียงใด
อายุมากแล้วอะไรก็ดูไม่ดี ทุกอย่างดูถอย ดูช้าไปหมดใช่หรือเปล่า (ใช่)  คงนึกหน้าเราไม่ออกก็คิดว่าเราคือคนแก่คนหนึ่ง ส่วนใหญ่มนุษย์นั้นไม่ชอบอยู่ใกล้คนแก่ ใช่ไหม (ใช่)  ส่วนใหญ่อยากอยู่ใกล้เด็กๆ  คนแก่มักถูกทอดทิ้งเป็นอย่างนั้นใช่ไหม
มีโอกาสได้มาเจอพวกท่านสักทีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เป็นธรรมดาอาจจะมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ เราไม่ว่าอะไร แต่ว่าอยู่กับเราเวลาฟังหรือว่าเวลาต้องการอะไรอาจจะช้าไปสักนิดหนึ่ง ช้าๆ หน่อยบางทีก็ดีไม่ใช่หรือ ไวไปก็รู้สึกว่าผิดพลาดเยอะ จริงไหม  อยู่กับคนแก่ไม่เบื่อจริงๆ หรือเปล่า มีเบื่อบางครั้งใช่ไหม คนแก่ชอบขี้บ่นไหม เราไม่ขี้บ่นนะ แต่อาจจะชอบพูดเรื่องอดีต เวลาก็เริ่มคล้อยแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนต้องกลับไปสู่การเริ่มต้นใหม่ ขึ้นไปสูงสักเพียงใดก็ต้องกลับมาสู่จุดเริ่ม เหมือนร่างกายของเรา บางทียิ่งอายุมากก็ยิ่งเดินเข้าไปสู่ความเสื่อมถอยและโรยรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อเสื่อมถอยโรยราแล้วมีอะไรดีบ้าง บางคนก็บอกว่าแก่แล้วไม่มีอะไรดีเลยจริงหรือ แก่แล้วไม่มีอะไรดีจริงไหม เราว่าแก่แล้วมีดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ได้ปลด ได้ปลง ได้ปล่อย ได้วาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอะไรก็มีสติแก่ตัวเองมากขึ้น ทำอะไรก็คิดได้รอบคอบชัดเจนขึ้น แม้จะไม่ไวเหมือนเด็กหนุ่มๆ สาวๆ ก็ตาม ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
ถึงเราจะอายุมากแต่ใจเรายังแข็งแรง ถึงกายเราจะไม่ไหว แต่พลังจิตใจของเรานั้นไหวเสมอ แต่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น กายไม่แข็งแรง ใจก็ไม่แข็งแรง เมื่อกายไม่ไหว ใจก็ไม่ไหวใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างนี้ก็เดินเข้าสู่ความเสื่อมถอยอย่างแท้จริงแน่ๆ ฉะนั้นถึงกายไม่แข็งแรง แต่ใจต้องไหว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราอาจจะดูหน้าเด็ก แต่จริงๆ แล้วเราแก่แล้วนะ คนส่วนใหญ่ชอบไม่ใช่หรือ แก่แล้วแต่หน้าเด็ก อันนี้ก็เป็นเพียงเปลือกนอกอันจอมปลอม สิ่งที่เป็นแก่นแท้คืออะไร
มนุษย์ทุกคนแสวงหา ความหวัง ความมั่นคง ความศรัทธาเชื่อมั่น เรามีชีวิตอยู่ต้องมีหวัง ต้องมีความเชื่อมั่น ต้องมีความมั่นคง แล้วถ้าวันหนึ่งสิ่งที่มั่นคงที่สุด กลายเป็นอดีต สิ่งที่เข้มแข็งที่สุดกลายเป็นความโรยรา สิ่งที่เราเคยคิดว่ามั่งมีที่สุดกลายเป็นความธรรมดา แล้วเราจะอยู่อย่างไร ทุกวันมีแต่ความเสื่อมถอย ทุกวันมีแต่ความถอยหลัง ความหวังไม่มีอีกแล้ว ความสุขไม่มีอีกแล้ว แต่ชีวิตยังต้องหายใจอยู่ เราจะอยู่อย่างไร
ลองถามใจตัวเองดู อายุมากแล้วอะไรคือความสุข บางทีเหมือนจะไม่มีเลยใช่ไหม  ลูกหลานคือความหวังของคนอายุมาก แต่บางทีก็หวังไม่ได้เลยใช่ไหม อะไรที่เคยสุข อะไรที่เคยหวัง อะไรที่เคยอร่อย แต่ก่อนเคยมีคนล้อมหน้าล้อมตาเยอะแยะ กลายเป็นว่าเหลือเราตัวคนเดียว โดดเดี่ยว ถูกไหม (ถูก)  อายุมากๆ แล้วอยู่ตัวคนเดียวไม่มีอะไรให้หวัง ไม่มีอะไรให้สุขใช่ไหม (ใช่)  ชีวิตมีแต่ความดับสิ้นแล้ว จิตใจเราจะหดหู่หมดหวังไปด้วยไหม เราเคยคิดไหม ตอนเรายังเด็กเราก็ทำได้ อะไรอยากเราก็ไปหาใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าอายุมาก อยากขนาดไหนก็ไปไม่ได้แล้ว แล้วเราจะทำอย่างไร เราต้องตายทั้งเป็นกับความสิ้นหวังหรือ เคยคิดไหม ลองมองดูคนแก่ที่ท่านไม่เคยอยากมองเลย มองแล้วเป็นอย่างไร มองดูช่างหดหู่ มองดูไม่ค่อยมีความสุขเลย มองดูเหมือนตัวคนเดียว ใช่ไหม (ใช่) แล้วถึงเวลาถ้าชีวิตวันหนึ่งหมดหวังเหลือตัวคนเดียว เราทำได้ไหม เรายังจะอยู่ได้หรือเปล่า (อยู่ได้โดยปลง)  แล้วก็ปล่อยให้ชีวิตหายใจไปวันๆ แค่นั้นใช่ไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิตคืออะไร ทำไมพระพุทธะจึงบอกว่าท่านสามารถสูงส่งได้แม้ไม่มีเกียรติยศ แม้ไม่มีลาภสักการะ ท่านสูงส่งด้วยคุณธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทำไมท่านจึงเข้มแข็งได้แม้ไม่มีอำนาจ แม้ไม่มีอะไรให้ยึดพึ่งพิง แต่ท่านเข้มแข็งได้ด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง ในชีวิตและสัจธรรม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำไมท่านจึงยิ่งใหญ่ได้ ทำไมท่านดูมีพลังเยอะแยะเหลือเฟือ เพราะท่านมีจิตเมตตาที่ยิ่งใหญ่ที่ให้คนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ให้คนได้ไม่รู้จักกลัวท้อกลัวลำบาก 
ชีวิตของมนุษย์เกิดมาเพื่อแสวงหาความมั่นคง ความหวัง ความสุข นั่นคือสิ่งจริงแท้หรือไม่ คนในวันนี้ก็กำลังจะกลายเป็นคนแก่ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเตรียมตัวแก่หรือยัง (เตรียมตัวแล้ว)  หรือว่าหนีความแก่ (ไม่หนี)  ถ้ามนุษย์เกิดมามีชีวิตอยู่เพื่อความหวัง แล้วถ้าวันใดวันหนึ่งไม่มีอะไรให้หวัง เราจะอยู่กันได้ไหม อยู่ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกวันนี้เรามีหวัง เราจึงมีชีวิต แต่ชีวิตไม่ใช่ความหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความหวังเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้นเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งเราได้เรียนรู้ความเป็นจริงแห่งชีวิต แล้วเราจะรู้ว่าสิ่งที่เราควรจะมีชีวิตอยู่ และทำให้ชีวิตนั้นประเสริฐที่สุด แล้วทำให้ชีวิตของเราเป็นชีวิตที่อมตะ ไม่มีวันตาย คืออะไรรู้ไหม นั่นคือคุณงามความดีและอุดมการณ์ที่จะมุ่งมั่นทำความดีนั้นให้ถึงที่สุด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ปัจจุบันมนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น ปัจจุบันมนุษย์มีชีวิตอยู่เพื่อแสวงหาความอยาก ถมความอยากให้เต็ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่จริงๆแล้วความอยากนั้นล้วนไม่เที่ยง ความอยากนั้นล้วนไม่แน่นอน ความอยากนั้นล้วนต้องมีวันผิดหวัง แต่เราก็ยังหวังที่จะอยากกันอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราก็พร้อมที่จะเสี่ยง ถูกหรือเปล่า (ถูก) 
ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่ากลัวความเปลี่ยนแปลง เพราะความเปลี่ยนแปลงนั่นแหละทำให้เรารู้จักชีวิตอย่างแท้จริง เกิดเป็นคน ถ้าคิดจะหวังก็อย่ากลัวที่จะผิดหวัง เพราะความผิดหวังทำให้เรารู้ว่าหวังอย่างไรจะได้ไม่ต้องเจ็บปวด จริงไหม (จริง) 
ถ้าถามท่านว่า ระหว่างชีวิตกับเงินทองอะไรสำคัญกว่ากัน (ชีวิต)  ระหว่างคุณธรรมกับเงินทองอะไรมีค่ามากกว่ากัน (คุณธรรม)  อย่าหลอกคนแก่ให้ดีใจเลย พูดว่าคุณธรรมมีค่ากว่าเงินทอง แต่ถึงเวลาชวนมาฟังธรรมไม่ค่อยจะมา ใช่หรือเปล่า ถ้าเราเสกเงินเสกทองให้ท่านใช้ แต่เงินทองที่เราเสกให้ท่านนั้นมีอายุจำกัด ตอนเช้าจะเป็นทอง ตกกลางวันจะกลายเป็นเงิน แต่พอตกกลางคืนจะกลายเป็นหิน ถามท่านว่าท่านอยากได้ไหม (ไม่อยากได้)  แต่ก็มีคนอยากได้อยู่ดีนะ เก็บไว้เป็นมงคลใช่หรือเปล่า แต่เราจะบอกท่านว่า ถ้าเกิดสิ่งที่ท่านเก็บไว้เป็นมงคล ท่านมองเห็นชัดเจนว่า ตอนท้ายมันเป็นอย่างไร แล้วปรากฏว่า ลูกหลานท่านไม่รู้ต้น ไม่รู้ท้าย ไม่รู้กลาง เห็นแต่ตอนเช้าที่เป็นทองแล้วเอาไปซื้อของ ลูกเราอาจจะโดนทำร้ายกลับมาใช่หรือเปล่า
ฉะนั้นถ้ามนุษย์มีสติรู้จักยั้งคิด มองเห็นความเป็นจริงของสรรพสิ่งให้รอบคอบ เราจะไม่ถูกโลกใบนี้หลอกลวง แต่มนุษย์เห็นว่าชีวิตยังอีกยาวไกล หาเงินก่อน คุณธรรมไว้ทีหลัง หาสิ่งบำรุงบำเรอสุขภายนอกกายก่อน แต่สุขที่แท้ของหัวใจมีเมื่อไรก็ได้ ใช่ไหม แล้วผลสุดท้ายคนที่ต้องทุกข์ใจ แล้วก็รับกับใจที่ยอมรับความจริงไม่ได้คือใคร (ตัวเราเอง)  ใช่ไหม แล้วคิดว่าสิ่งที่เราเสกให้นั้นดี แน่ใจหรือ เหมือนที่วันนี้มนุษย์พยายามแสวงหาอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นหาเงิน หาความรัก หาชื่อเสียง หาตำแหน่ง คิดว่านั่นคือความสุข คิดว่านั่นคือความมั่นคง แต่พอถึงที่สุดแล้วมันไม่มั่นคง มันกลายเป็นอดีต มันกลายเป็นความว่างเปล่า ใครล่ะจะช่วยหัวใจเราได้ แล้วใจเราเคยฝึกฝนให้เข้มแข็งไหม  เราฝึกแค่ไหน แล้วเอาอะไรมาฝึก เราไม่เคยเรียนรู้ที่จะฝึกใจตัวเอง  เราไม่เคยเรียนรู้ที่จะย้อนมองสิ่งใดแล้วให้เห็นความจริง เรามองสรรพสิ่งแค่เพียงฉาบฉวย คิดแค่ว่ามันคงมีความสุข คิดแค่ว่าทุกข์มันคงไม่มี แต่ ณ วันหนึ่งชีวิตต้องเจอทุกข์ ชีวิตต้องเจอความผิดหวังแล้วเราทำใจให้เข้มแข็งได้ไหม บอกใจให้รับได้ไหม ถ้าวันหนึ่งต้องเสียสามี วันหนึ่งลูกต้องเจ็บป่วยพิการ วันหนึ่งเราเกิดต้องป่วยรักษาไม่หาย ทำใจได้ไหม  ไม่ได้ใช่ไหม 
ฉะนั้นวันนี้เรามาฟังธรรมะ ไม่ใช่ฟังเพื่อเป็นคนดี แต่เรามาฟังเพื่ออบรมขัดเกลาจิตใจให้มองเห็นความจริง ในชีวิตของเรา ตัวเราที่ชอบหนีความจริง ตัวเราที่ไม่สู้กับความจริง ตัวเราที่ชอบเลือกที่รักมักที่ชัง ชอบเด็ก เกลียดคนแก่ ชอบสุขเกลียดทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อันที่จริงแล้ว ถ้าเราหยั่งลงให้ดีๆ ด้วยสายตาที่มองให้ชัดๆแล้ว  เราจะเห็นว่าโลกที่แตกต่างระหว่างสุขกับทุกข์ แท้จริงคือสิ่งเดียวกัน โลกที่แตกต่างระหว่างความเกิดกับความตาย แท้จริงคือสิ่งที่มันอยู่ด้วยกัน แต่เราจะมองเห็นได้อย่างไรล่ะ ถ้าใจเรายังไม่สงบพอ ถ้าใจเรายังไม่ผ่อนคลาย ใช่ไหม 
ยกตัวอย่างว่า  ถ้าเราสงบนิ่งพอให้หยั่งลึกให้ถึงที่สุด  เราจะไม่เอาเงินอันนี้ เงินที่เช้าเป็นทอง กลางวันเป็นเงิน ตกเย็นเป็นดิน พรุ่งนี้จะกลายเป็นอะไร เป็นทองอีกไหม ถ้าเราบอกว่าเป็นทองแค่วันเดียว ท่านทำอย่างไร เอาหินไปบูชาใช่หรือเปล่า
ฉะนั้นเมื่อเรามองสิ่งใดอย่ามองติดแค่ฉาบฉวย แต่ต้องมองให้ถึงที่สุด เราไม่อยากโดนคนหลอก  ฉะนั้นเราอย่าทำตาให้หลอกใจ อย่าฝืนให้บิดเบือนตัวเอง มองอะไรมองให้เห็นแก่นแท้ ทุกสิ่งหนีไม่พ้นความไม่เที่ยงไม่ใช่หรือ ถ้าไม่เที่ยงเราจะยึดมั่นทำไม ถ้าไม่เที่ยงเราจะหาความมั่นคงได้จากที่ใด ฉะนั้นวันนี้เรามาฟังธรรมะ สิ่งที่มั่นคงที่สุดก็คือความตื่นรู้อันแท้จริง
เรื่องจริงเกี่ยวกับชีวิตและตัวตนเองที่หนีไม่พ้นความไม่เที่ยงแต่มีสัจจะอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเข้าถึงและพ้นทุกข์ได้นิรันดร์ คือ ไร้รูปเพื่อเป็นนายเหนือรูปลักษณ์ทั้งปวง ฟังแล้วเข้าใจยากใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้ามนุษย์หยั่งถึงด้วยใจสงบและกายที่ผ่อนคลายเราจะเข้าใจได้แท้จริง แต่ มนุษย์ไม่สามารถสงบได้แท้จริงเพราะอะไร  เพราะมนุษย์เต็มไปด้วยความคิด ความโลภ กิเลส และความอยาก เมื่อไหร่ที่เรามีความอยากสักอย่างหนึ่ง เราจะไม่บริสุทธิ์ เราจะติดพันและเราจะลำเอียงจริงไหม (จริง)  เหมือนถ้าเราอยากได้เงิน เราจะบริสุทธิ์ไหม เราก็ต้องคิดว่าทำอย่างไรจะได้เงินเยอะๆ ลงทุนน้อยๆ กำไรเยอะๆ ใช่ไหม ของถูกๆ แต่ทำให้มีราคาแพง ใช่ไหม แค่คิดอยากก็มีใจไม่ค่อยบริสุทธิ์แล้วใช่ไหม (ใช่)  ทำอย่างไรให้เขารักเรา เราก็แสร้งทำตัวดีๆ ทั้งที่ตัวเราก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่เพราะอยากจะให้เขารัก จึงเอาความดีออกมาก่อน สิ่งร้ายๆเก็บไว้ทีหลัง เห็นไหมแค่ความอยากเองนะ ยังทำให้เราไม่สามารถเที่ยงตรงได้ กลายเป็นคนลำเอียงและโกหกมดเท็จได้ ใช่หรือไม่ เมื่อเราอยากแต่ยังไม่สำเร็จ เราก็ต้องกลัวว่าเขาจะรู้เบื้องหลังเราไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็มีความหวาดระแวง เมื่อหวาดระแวงปัญญาเราก็จะไม่ค่อยเกิด เมื่อปัญญาไม่เกิดเราก็มีความกลัว กลัวเขาจะจับได้ ถ้าเขาจับได้เราจะทำอย่างไรดี หรือเลยตามเลยแต่งกับเราไปแล้วนี่  พูดไปแล้วนี่ กลายเป็นว่าเมตตาไม่มี ปัญญาไม่เกิด ก็เลยกล้าทำผิดๆไป ใช่หรือเปล่า
พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า เมื่อไรที่มนุษย์มีความอยากแล้วติดในความอยาก กลายเป็นความชอบความชัง มนุษย์จะไม่สามารถเดินได้อยู่บนทางสายตรง มนุษย์จะไม่สามารถเดินไปสู่ความเป็นกลางและบริสุทธิ์ได้ เพราะความชอบและความชังคือส่วนเกินของความพอดีของชีวิต ใช่ไหม (ใช่)  เคยไหมชอบอะไรมากๆ แล้วกลายเป็นโทษ แต่ไม่ชอบไม่ชังอะไรเลยเรากลับได้พอดีๆ จริงไหม (จริง) เหมือนคนที่ว่ายน้ำเก่งมากที่สุด เป็นนักว่ายน้ำที่เก่งที่สุด แต่ผลสุดท้ายน้ำก็ทำให้เขาตายได้เหมือนกัน ทำให้เขาเกือบจมได้เหมือนกัน คนที่เชี่ยวชาญในการขี่ม้า ควบม้า แต่ถ้าเขาประมาทสักนิดหนึ่ง เขาก็อาจตกม้าและเจ็บปางตายได้เช่นกัน จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นจึงมีคำกล่าวว่า ความชอบความชังคือส่วนเกินของความพอดี ความอยากจะทำให้มนุษย์กลายเป็นคนที่ไม่สามารถรักษาความเที่ยงตรง ไม่สามารถเกิดปัญญามองเห็นอะไรได้แจ่มชัด และไม่สามารถที่จะกลายเป็นคนที่กล้าอย่างถูกต้อง แต่เป็นกล้าอย่างบ้าบิ่นและผิดๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นสิ่งที่มนุษย์แสวงหา ยังทำร้ายใจเราได้ขนาดนี้ แต่เราก็ยังอยากกันอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  เคยไหมอยากมีความสุขมากๆ แต่ยิ่งหากลับกลายเป็นยิ่งทุกข์ อยากหนีทุกข์มากๆ แต่ยิ่งหนีก็ยิ่งทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  เวลาเรารักเขา เราหวังว่าเขาต้องรักเรา เรารักเขาขนาดนี้แล้ว ทำไมเขาไม่รักเรา กลายเป็นว่า ยิ่งเราให้ความรักเขา เขากลับรำคาญและรังเกียจ เคยไหมที่ห่วงลูกห่วงหลาน รักเขามาก ห่วงเขามากแต่เขากลับบอกว่า “พ่อแก่แล้ว แม่แก่แล้ว อย่ามายุ่งกับผม” ใช่ไหม (ใช่)  แต่ในขณะที่บางสิ่งบางอย่างเราไม่รักเลย เราไม่ชอบเลย แต่เขากลับยิ่งรักเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นหวังจะแสวงหาอะไรในโลก เมื่อมีความอยากแล้ว ความอยากจะทำให้เราไม่เที่ยงตรง ทำให้อับจนปัญญา ทำให้กล้าบ้าบิ่นแล้วบางครั้งอยากไปอยากมาทั้งที่จะสมอยากกลับไม่สมอยาก แต่ยังหวังไหม (หวัง)  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เคยเห็นคนอยากสวยมากๆ ไม่อยากแก่ จึงพยายามทำตัวเองให้สวยและไม่แก่ แต่กลับยิ่งดูน่าเกลียดและแก่มากขึ้น ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นมนุษย์หวังอยากมีความสุข แต่ทำไมยิ่งหากลับยิ่งทุกข์ แต่ก็ยังหา ใช่หรือเปล่า( ใช่)  เราอยากรวย หาเงินเยอะๆ จะได้รวย แต่ทำไมยิ่งมีกลับยิ่ง (ทุกข์)  ยิ่งมีกลับยิ่งรู้สึกยังไม่รวย หาแล้วก็หาอีก รวยไหม (ไม่รวย)  ยิ่งหาก็กลับยิ่งรู้สึกเหมือนไม่มีสักที ถ้าคิดอยากแสวงหาเงินทองก็ต้องรู้ว่า ถ้าวันหนึ่งเงินทองมันเล่นตลกกับชีวิต เราจะทำใจได้ไหม (ได้)  เราคิดว่าหาเงินแล้วจะได้มีเงินแล้วมีความมั่นคงในชีวิต แต่ก็เคยเห็นหลายๆคนหาแล้วกลายเป็นหนี้ชีวิต ใช่ไหม (ใช่)  นึกว่ามีความรักแล้วจะมีความสุข แต่มีรักแล้วเป็นอย่างไร ทุกข์ใช่หรือเปล่า
ฉะนั้นเราบำเพ็ญธรรมเราบำเพ็ญไปเพื่ออะไร เราบำเพ็ญธรรมเพื่อมองเห็นแจ้งในชีวิต แม้ว่าตอนนี้เราจะแสวงหาขนาดไหน แต่จะเห็นแจ้งอย่างไร ถ้าในขณะที่แสวงหาเราสร้างเหตุที่ดีที่สุดแล้ว ถึงเวลาจะเกิดผลได้หรือเสีย เราก็จะทำใจรับได้เพราะสิ่งนั้นคือสิ่งที่ดีของชีวิต เมื่อเราทำใจได้เราก็จะไม่ทุกข์กับมันเพราะเราเห็นมันชัดแล้ว  รู้จักมันดีแล้วใช่ไหม เหมือนเวลาเราเห็นคน อย่างเช่นเพื่อนเราขี้โมโห ขี้โวยวาย  ฉะนั้นถ้าเขาพูดอะไรโดยโมโหไปโวยวายไปเรารู้สึกว่าก็ไม่เป็นไร เพราะเรารู้จักเขาดีแล้ว ใช่ไหม ทำไมเราไม่โกรธ เพราะเราเข้าใจเขาใช่ไหม เราไม่โกรธเขา เขาจะด่าเราขนาดไหน เราก็ไม่โกรธ เพราะว่าเรารู้จักเขาดี เขาก็เป็นอย่างนี้โกรธเดี๋ยวเดียวก็หาย “มันบ้าเดี๋ยวเดียว มันก็กลับมาง้อฉัน” ใช่ไหม ถ้าเราเข้าใจแม้สิ่งนั้นจะร้ายขนาดไหน เราก็มีความสุข
เช่นเดียวกันถ้าเรามองเห็นชีวิตชัด เรามองเห็นความจริงชัด เราเข้าใจจิตใจเราชัด ไม่เอาใจไปผูกยึดติดกับอะไร เพราะสิ่งที่เอาไปผูกไปยึดติดไม่มีความแน่นอน เมื่อเราเห็นชัด จะมาซ้าย ขวา ตลบหน้าเรา หรือจะเล่นกลกับเรา เราก็รู้ว่า “ฉันรู้อยู่แล้ว” หากวันนี้หาเงิน ทั้งที่จริงๆแล้วน่าจะได้กำไร ปรากฏว่ากลับขาดทุน ก็เป็นธรรมดาเพราะเรารู้อยู่แล้วใช่ไหม ฉะนั้นเราทำดีแล้วโดนคนด่า ฉันก็รู้อยู่แล้วมันเป็นธรรมดา มีด่าเป็นธรรมดา
ฉะนั้นอย่ามองคนอื่นชัด แต่มองโลกไม่ชัด อย่ารู้จักคนอื่นถ่องแท้ แต่ไม่ยอมรับใจให้ถ่องแท้  ใจที่ถ่องแท้คือใจที่อยู่กับสุขก็ได้ ทุกข์ก็ดี โชคร้ายก็ไม่น่ากลัว โชคดีก็ไม่น่าหลงใหล เพราะมันเป็นความไม่เที่ยงจริงไหม
ฉะนั้นถ้าเรารู้ชัด อะไรคือความทุกข์ก็จะไม่เป็นทุกข์เลย แต่มันคือความไม่เที่ยง จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าออกไปโดนคนด่าก็ “ฉันรู้อยู่แล้ว” ใช่ไหม กลับบ้านไปแล้วน้ำท่วมก็ “ฉันรู้อยู่แล้ว”  ใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นจำไว้นะอย่าให้สรรพสิ่งมันเล่นตลกกับหัวใจเรา เราไม่อยากให้สรรพสิ่งเล่นตลกทำร้ายใจ เราจะต้องมองให้รู้ชัด มองให้เห็น เหมือนเรารู้จัก แมวเป็นอย่างไร สุนัขเป็นอย่างไร เพื่อนชื่อดำมันเป็นอย่างไร เพื่อนชื่อแดงมันเป็นอย่างไร ทำไมเรารู้ล่ะ แต่เรื่องที่เราต้องเจอกับชีวิตและหัวใจตัวเอง ทำไมเราไม่รีบรู้ ใช่ไหม
เมื่อยกันหรือยัง (ยัง)  พึงไร้รูปเพื่อเป็นนายเหนือรูป แต่มนุษย์เราก็ยังติดในรูปลักษณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้วรูปลักษณ์เป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกับธาตุทั้งสี่ แต่หัวใจไม่ได้เกี่ยวพันกับธาตุทั้งสี่ เลยใช่ไหม (ใช่)  รูปลักษณ์ยังติดอยู่ใน ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งบางทีต้องมีวันแตกสลาย แต่หัวใจหรือจิตญาณของมนุษย์ไม่ได้เกี่ยวกับ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสิ่งที่นอกเหนือการ เกิด-ดับ ฉะนั้น กายอาจจะเจ็บป่วยได้แต่ใจไม่มีวันเจ็บป่วย ใจเป็นอมตะได้นะ ถ้าเราสามารถหยั่งเห็นว่านี่เป็นแค่กายและอีกอันหนึ่งเป็นใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นกายมีวันเปลี่ยนแปลงแต่จิตญาณเดิมแท้ของมนุษย์ไม่มีวันเปลี่ยน แต่เมื่อไหร่จิตญาณเดิมแท้ไปรวมกับอารมณ์กิเลส จึงเป็นใจ ใจที่เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไรใจมนุษย์พ้นจากกิเลส สภาวะอารมณ์นั้นเรียกว่า สภาวะจิตเดิมแท้  เรามีชีวิตอยู่ เราเต็มไปด้วยความอยาก แล้วความอยากทำให้เราไม่สงบใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่จริงแล้วมนุษย์ทุกคนอยากมีความสงบบ้าง อยากผ่อนคลายบ้าง  เราจะสงบได้อย่างไร ไม่ยากเลย  เมื่อใดที่จิตใจเราว่างจากความอยาก เมื่อนั้นความสงบก็เป็นอันมีขึ้นได้ เมื่อไรกายเราไม่หมกมุ่นกับธุระจนเกินไป เมื่อนั้นความผ่อนคลายก็เกิดขึ้นได้
ความปกติของคนนั้นมีความอยากตลอด ๒๔ ชั่วโมงไหม (ไม่ใช่)  เราอยากเป็นพักๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อเวลาที่เราไม่อยาก แปลว่าเราก็สามารถกลับคืนสู่ความสงบได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรากลับมาสู่ความสงบแล้วเราเคยหันมามองตัวเองไหม  เรากลับกลายเป็นคนที่อยากจะสงบแต่กลัวสงบ จริงไหม
เวลาที่กายไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับธุระอะไร เราจะได้ผ่อนคลายแต่เรากลับไม่ผ่อนคลาย เรากลับ จะทำอย่างไรดี มันไม่มีอะไรทำเลย ทำอย่างไรดีล่ะมันไม่มีอะไรอยากเลย ทั้งที่จริงๆแล้ว เป็นแบบนี้ดีแล้ว ที่ไม่ต้องมีอะไร ดีแล้วที่ได้นิ่งเฉยๆแล้วผ่อนคลาย ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องกลัวความอยากบีบรัด เมื่อเวลาอยากแล้วก็ไม่ต้องกังวลว่า จะสมอยากไหม มันจะผิดหวังไหม แต่เรากลับกลัว เรากลับไม่เอา ทั้งๆที่ได้กลับมาอยู่บ้านเดิมที่มีแต่ชีวิตและใจเดิม ที่ไม่อยาก ไม่หมกมุ่น ไม่ทำอะไรจนวุ่นวาย แล้วบ้านเดิมนี่แหละคือบ้านที่ทำให้เราสามารถเป็นสุขได้แต่เราหลับบอกว่า “ทำอย่างไรดี ไม่รู้จะทำอะไร เบื่อ เหงา” ใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่จริงๆแล้ว กลับคืนมาสู่บ้านเดิมแท้ที่ได้ สงบ เลิกวุ่นวาย เลิกกังวล เลิกห่วงได้ เมื่อไหร่ที่ก้าวออกบ้าน เมื่อไหร่ที่ใจก้าวไปแตะความคิด  เราก็จะเริ่มกังวล “ลูกจะเป็นอย่างไร จะดีไหม จะสบายไหม ทั้งที่จริงแล้วไม่ต้องคิดอะไรบ้าง ก็สงบแล้ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย เราทำจนถึงที่สุด ห่วงเขาก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเราหวังดี ชี้นิ้วให้ไปทางดีแต่ลูกอยากไปทางร้ายเราคิดไปก็มีแต่แช่งเขา ใช่ไหม ลูกจะรถคว่ำไหม ลูกจะปลอดภัยไหม คิดอย่างนี้เท่ากับคิดแช่งใช่ไหม (ใช่)  แล้วคิดไหม (คิด)   รู้ไหมว่าพ่อแม่เป็นพรอันประเสริฐ ถ้าคิดร้ายลูกก็ได้ร้าย
ฉะนั้นเมื่อเราได้กลับมาสู่จิต กลับมาสู่บ้านเดิมอันว่างเปล่า เราก็ต้องทำใจได้ และยอมรับสภาพไร้ เพราะสภาพไร้คือใจเดิมแท้ที่จะพาเรากลับเบื้องบนได้ แต่สภาพใจที่เต็มไปด้วยความคิดร้อยพันมายา หมื่นพันเงื่อนปม แสนพันความยึดติดกลับทำให้เราทุกข์ไม่จบสิ้น จริงไหม (จริง)  ในใจเราร้อยพันมายาไหม หมื่นพันเงื่อนปมหรือเปล่า แสนปมยึดติดใช่ไหม (ใช่)  ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้  ทั้งทีจริงๆ แล้วสุขที่แท้จริงก็คือไม่มีอะไรให้ต้องคิด ไม่มีอะไรให้ต้องห่วง ปล่อยได้แล้ว วางได้แล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คือความเบาที่สุด คือใจที่ว่างที่สุด ทำไมเมื่อเรากลับไปสู่ใจนั้น เรากลับกลัว จริงไหม
ฉะนั้นวันนี้ได้หันกลับมาดูใจตัวเองดีไหม เราปล่อยใจให้เหนื่อยมากแค่ไหน เราปล่อยใจให้ผูกพันไปมากเพียงใด ทั้งที่ถึงเวลาจริงๆแล้วก็ต่างคนต่างไป  เราเคยคิดว่าเรามีชีวิตอยู่ได้เพราะว่ามีคนทำให้เรารัก ทำให้เรามีความสุข แล้วถ้าวันหนึ่งไม่มีใครให้รักแล้ว เหลือตัวคนเดียวแล้วเราสุขไม่ได้เลยหรือ ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นเราจึงอยากบอกตั้งแต่ต้น พุทธะสูงส่งที่คุณธรรม เข้มแข็งที่ความรู้แจ้งเห็นจริง และยิ่งใหญ่ตรงที่มีแต่จะให้ แต่ไม่คิดหวังผลและรับเอา เราก็เชื่อว่าทุกท่านในที่นี้ก็คงจะทำได้ ใช่ไหม (ใช่) 
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านอีกนะ อยู่ในโลกนี้อย่ารังเกียจคนแก่ เพราะคนแก่ทำให้เรามองเห็นความจริง ความแก่และความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งก็ทำให้เราหยั่งรู้และเข้าใจ ไม่หลอกตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้เราคงต้องไปแล้ว ขอให้อดทนนะ เราเป็นคนแก่ เรายังอดทนใจสู้เลย ฉะนั้นท่านยังอายุน้อยก็อย่ายอมแพ้นะ ได้ไหม (ได้) มีโอกาสคงมาผูกบุญกันอีกนะ








วันอาทิตย์ที่ ๒๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ผู้คนทิ้งราก  ไม่รู้จักหลักจับแต่ปลาย  ธรรมกี่ข้อคล้ายคล้ายย่อมต่างที่ผลการลงมือใกล้ชิดมักตาลาย พูดไม่รู้เรื่อง อย่าพึ่งเคืองให้วุ่นวาย
โกรธไม่หายนั้น  สติจะสั้น รั้นจะยาว แวดล้อมจะเหมือนกาว  ไม่คอยยุใส่เสี้ยมเขาให้ชน  บำเพ็ญได้ระยะ ผู้ไม่เห็นธรรมก็ทำหน้าเศร้าเหมือนจะตาย

เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหงเต้า แฝงกายกราบ
องค์มารดา   ถามศิษย์รักทุกคน ยินดีต้อนรับอาจารย์หรือเปล่า

บำเพ็ญรู้ทันการเกิดกิเลสภายใน มุ่งรู้แจ้งบำเพ็ญใจดั่งแรกเริ่ม
ปัญญาก่อนจะโตเลิกปรุงแต่งเติม เที่ยงได้ให้ตัวเดิมได้ธรรมจริง
ตาสะดุดสิ่งสมมติตาเห็นของหยาบ ปล่อยฤดีใจเปิดรับจับทุกสิ่ง
คนไม่เห็นคนมีธรรมน่าประวิง เปิดตาแต่ปิดอายตนะนิ่งอย่าประมาท
ไยใจจึงลำเค็ญทุกข์สุขมิเกิด อภัยเปิดบำเพ็ญคนต่างมีผิดพลาด
เคร่งแต่ภายนอกญาติธรรมจะจำกัด เคร่งใจในชัดญาติธรรมทำตาม

ฮา  ฮา  หยุด



ผู้คนทิ้งราก  ไม่รู้จักหลักจับแต่ปลาย  ธรรมกี่ข้อคล้ายคล้ายย่อมต่างที่ผลการลงมือใกล้ชิดมักตาลาย พูดไม่รู้เรื่อง อย่าพึ่งเคืองให้วุ่นวาย
โกรธไม่หายนั้น  สติจะสั้น รั้นจะยาว แวดล้อมจะเหมือนกาว  ไม่คอยยุใส่เสี้ยมเขาให้ชน  บำเพ็ญได้ระยะ ผู้ไม่เห็นธรรมก็ทำหน้าเศร้าเหมือนจะตาย

ชื่อเพลง : อย่าขี้โมโห
ทำนองเพลง : กุหลาบในมือเธอ



(หมายเหตุ :  เนื้อเพลงพระโอวาทมาจากกลอนนำของพระอาจารย์จี้กง)

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
 ฟังธรรมะอิ่มใจหรืออิ่มท้อง (อิ่มใจ) ฟังแล้วอิ่มใจก็ต้องสดชื่น กระปรี้กระเปร่าแล้วต้องไม่หลับใช่ไหม (ใช่) สิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์คือ เวลาทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด จึงไม่มีวันได้ทำสิ่งที่ถูกต้องสักที ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์เคยไหม เวลามีคนมาชี้ข้อผิดพลาด เราก็บอกไม่อยากฟัง แต่เวลาเราส่องกระจกสะท้อนเงาชัดเจนว่าเราอัปลักษณ์ตรงไหน สวยตรงไหน หล่อตรงไหน ตีนกาขึ้นตรงไหน เราบอกว่ากระจกนี้ดี ใช่ไหม (ใช่) แต่พอมีคนมาบอกว่าเธอไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ เราบอกว่าไม่รู้เรื่อง ใช่หรือเปล่า
ฉะนั้นถ้ามนุษย์อยู่ร่วมกับคนแล้วไม่เอาอัตตามาเกี่ยวข้อง เราก็คงไม่ถูกใครลากลงต่ำได้ และตัวเราก็คงไม่ลากตัวเองลงต่ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูดไหม พอเป็นกระจกสะท้อนไม่ว่าเงาจะน่าเกลียด สวย อัปลักษณ์ หรือมีอาหารติดฟัน เราก็จะบอกว่าเป็นกระจกดี แต่เวลามีคนมาชี้บอกว่า แก่แล้ว เหี่ยวแล้ว ผมก็หงอก ไม่สวยเหมือนเมื่อก่อน หุ่นดูแย่แล้วนะ เรากลับรับไม่ได้ แล้วบอกว่า “เธอไม่ดี มาว่าฉันทำไม” ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
ฉะนั้นมนุษย์เมื่อมีอัตตาตัวตนเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ง่ายที่จะไหลลงต่ำและทำให้เกิดเรื่องราวมากมาย แต่ถ้าเรามองว่าเขาคือกระจก เราจะโกรธเขาไหม (ไม่โกรธ)  แต่ส่วนใหญ่เรามักมองว่าเขาต่อว่าเรา อาจารย์จึงบอกศิษย์ไว้ครั้งหนึ่งว่า ในโลกนี้คนปัจจุบันต่อว่ากันไม่ค่อยได้ ถามว่าใครต่อว่าศิษย์ได้บ้าง ใครสอนศิษย์ได้บ้าง สมัยนี้ใครพูดแล้วศิษย์ฟังบ้าง ศิษย์บอกคนจะมาสอนศิษย์ได้ต้องมีความรู้สูงๆ หน้าตาดูดี ภูมิฐาน ศิษย์จึงจะเชื่อฟัง ใช่ไหม แต่เวลาหมอดูทำนายว่าวาสนาเราจะเป็นอย่างไร ทำไมเชื่อเขาจังเลย เคยถามไหมว่าหมอดูจบอะไรมา (ไม่เคยถาม) แต่ทำไมถึงเชื่อเขา (เขาพูดถูกใจ)  เวลาคนอื่นเขาพูดว่าเราไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ เขาว่าได้ถูกแต่มันไม่ถูกใจใช่ไหม ศิษย์เคยได้ยินไหม “คำจริงมักไม่เคยไพเราะ คำไพเราะมักไม่จริง” 
ฉะนั้นเราอยากให้คนพูดตรงๆกับเราหรือเราอยากให้คนพูดอ้อมแล้วเราค่อยเข้าใจ (พูดตรงๆ)  พูดตรงไปก็รับไม่ได้ พูดอ้อมเกินไปก็ฟังไม่รู้เรื่อง (พูดกลางๆ)  ชมก่อนแล้วค่อยว่ากัน  ก็บอกว่าตบหัวแล้วค่อยลูบหลัง อีกมนุษย์เดี๋ยวนี้สอนกันยาก พูดกันยาก การที่เราจะมีชีวิตที่เกี่ยวเนื่องกับคนจึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายที่เราจะ อยู่แล้วมีความสุข ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า  “สิ่งภายนอกต่างๆ ไม่สามารถยั่วยวนคนที่รู้จักใจตนเองได้ อันตรายภายนอกไม่สามารถบีบคั้นคนที่เข้าใจชีวิตและความตายได้” ศิษย์จำคำนี้ไว้เลยนะว่า ไม่มีสิ่งใดมายั่วยวนใจเราได้ถ้าเรารู้จักหัวใจเราเอง อันตรายภายนอกก็ไม่สามารถมาบีบคั้นหัวใจเรา  ถ้าเราเข้าใจว่า ชีวิตและความตายคืออะไร อาจารย์ถามว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ร่วมกับคนก็ยากแล้ว แล้วมีชีวิตอยู่ก็ยากอีก  อนาคตจะเป็นอย่างไรเดาไม่ออก ถามว่าโลกจะเกิดภัยพิบัติไหม ศิษย์อย่าเพิ่งถามไกล ถามว่าออกไปข้างนอกแล้วเราจะรอดหรือเปล่าก่อน ถ้าศิษย์เข้าใจคำที่อาจารย์พูดตั้งแต่ต้น ศิษย์ก็จะไม่กลัวว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่มีสิ่งใดยั่วยุคนที่รู้จักใจตนเองได้ อันตรายภายนอกไม่สามารถบีบคั้นคนที่เข้าใจชีวิตและความตาย จริงหรือไม่ (จริง)  หรือถ้าเทียบแบบปราชญ์โบราณ “ไม่มีต้นโพธิ์ไม่มีกระจกเงา แล้วฝุ่นจะเกาะอะไร” ศิษย์เคยได้ยินไหม (ไม่เคย)
ศิษย์เคยได้ยินไหม “สิ่งที่มีรูปร่างคนมักเอาชนะได้ สิ่งที่มีรูปทรงคนมักตีโต้ได้ แต่ปราชญ์ดำรงตนอยู่ในความสูญ และวางใจเหินอยู่บนความว่างเปล่า จึงไม่ถูกกระทบกระเทือนได้” เข้าใจไหม  ถ้าอาจารย์เทียบแบบง่ายๆอีก ช้างตัวใหญ่ เสือที่ดุจนน่ากลัว หรือสิงโตที่เป็นสัตว์ร้ายประจำป่า ศิษย์กลัวไหม (กลัว)  แต่ทำไมมนุษย์จึงสามารถจับได้อยู่หมัด เลี้ยงจนเชื่อง และทำให้กลายเป็นทาสของเราได้ เพราะว่ามันมีนิสัยความเคยชิน และมีความเป็นตัวตนของเสือและช้าง ดังนั้นโซ่เส้นเล็กๆยังเอาอยู่ หรือไม่มีโซ่เราก็ยังขังช้างในกรงไม้ธรรมดาได้ ทั้งที่ถ้ามันเตะทีเดียวก็หลุดจากกรงได้แล้ว แต่ทำไมจึงคุมมันได้ ใช่ไหม (ใช่)

ฉะนั้นถ้ามนุษย์มีความเป็นตัวตน มีนิสัยความเคยชิน กิเลสและโลภก็จับมนุษย์ได้  แต่ถ้าเมื่อใดมนุษย์ไร้ตัวตน ไม่มีสิ่งที่ชอบ ไม่มีสิ่งที่ชัง โลกใบนี้ก็จับต้องเราไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วปัจจุบันนี้ศิษย์ตกเป็นทาสของโลกใบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลกที่ให้ศิษย์ไปซ้ายศิษย์ก็ไปซ้าย ให้ศิษย์ไปขวาศิษย์ก็ไปขวา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรม ก็เพื่อรู้จักพลิกโลกและพลิกชีวิตให้เป็น ไม่ใช่ถูกโลกพลิก เข้าใจไหม (เข้าใจ)  นั่นคือการวางตนให้เป็น
อย่างนั้นวันนี้อาจารย์จะให้ศิษย์รู้จักพลิกโลกพลิกชีวิตให้เป็น ด้วยการที่กล้าเรียนรู้ที่จะอยู่กับชีวิตในโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่ศิษย์กลัวกันมากที่สุด คือกลัวตาย กลัวทุกข์ กลัวจน ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอโลกทำให้ศิษย์จน ศิษย์ก็จน พอโลกทำให้ศิษย์ทุกข์ศิษย์ก็ทุกข์ ความทุกข์เป็นสิ่งที่ศิษย์เกลียดกันที่สุดเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ศิษย์รู้ไหมว่าสิ่งที่ทุกข์ที่สุดนั้นพุทธะกลับทำให้กลายเป็นสิ่งที่ สว่างและบรรลุความเป็นพุทธะ   แต่พุทธะเอาความทุกข์นั้นมาเป็นหนทางแห่งการตื่นรู้อันแท้จริง และนำพาชีวิตไปสู่ความหลุดพ้นหรือสุขอันนิรันดร์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
สิ่งที่ศิษย์กลัวอีกอย่างหนึ่งก็คือกลัวกรรม ใช่ไหม (ใช่)  กลัวไหมเคราะห์กรรม (กลัว)  แต่ทำไมพระพุทธะไม่กลัว พระพุทธะบอกว่ากรรมเป็นสิ่งพิสูจน์คุณธรรมและส่งเสริมให้ท่านยิ่งมีคุณธรรมสูงส่ง  ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย เรายังจะกลัวทุกข์ กลัวกรรมไหม (ไม่กลัว)  ฉะนั้นเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์จี้กง อย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวกรรม แต่สิ่งที่เราควรกลัวคือ อะไร อาจารย์ให้เวลาคิด
(กลัวใจตัวเอง, กลัวการกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก, กลัวบาป, กลัวความวุ่นวาย, กลัวเจ้ากรรมนายเวร)  กลัวทำไมเจ้ากรรมนายเวร เจ้ากรรมนายเวรเป็นตัวฝึกทำให้เรารู้จักตัวเองดีขึ้นว่า เราจะมีคุณธรรมหรือเราจะไร้คุณธรรม เราจะได้เป็นพุทธะหรือเราจะเป็นพญามารใช่หรือไม่ (ใช่)  กลัวใจตัวเอง กลัวใจเราอ่อนแอเกินไปใช่ไหม
เมื่อวานท่านจางกั๋วเหล่ามา ทำให้ศิษย์ในที่นี้กลายเป็นคนแก่ไปเลยใช่ไหม อาจารย์ว่าคนแก่ก็ดี เพราะการเป็นคนแก่ทำให้เราหูตึงฟังอะไรก็ไม่ค่อยชัด ชัดมากๆ ก็มีแต่เรื่อง ตาก็มองไม่ชัด เห็นมากๆ ก็เรื่องเยอะ ใช่ไหม พูดไม่ค่อยได้เพราะฟันร่วงไปหมด พูดมากๆ น้ำลายจะกระเด็น  ฉะนั้นยิ่งแก่ยิ่งบ่งบอกว่า ฟังให้น้อย มองให้น้อย พูดให้น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเราโลภมามากแล้ว อายุมากก็ให้สิ่งเหล่านี้น้อยลงดีไหม แต่ใจยังโลภอีกใช่หรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาให้คนที่ตอบคำถามได้ให้นั่งลง คนที่ยังไม่ตอบคำถามให้ยืนต่อไป)
ถ้าอยากให้อาจารย์ช่วยศิษย์ ศิษย์ต้องรู้จักช่วยตนเองก่อน พุทธะย่อมต้องช่วยคนที่ช่วยตนเอง คนที่เอาแต่งอมืองอเท้ารอให้ฟ้าบันดาลนั่นเรียกว่า ไม่รู้จักพุทธะแท้จริง เรียกว่างมงายใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์งมงายต้องรู้จักลงแรงให้เต็มที่ แล้วฟ้าจะช่วยคนที่รู้จักไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ก็มีสิทธิ์ช่วยคนได้ เช่น ถ้าศิษย์ตอบได้แล้วศิษย์บอกว่า ผมไม่นั่งยอมให้คนอื่นได้นั่ง แต่ตัวเองไม่นั่ง ฉันให้คนอื่นนั่ง เขาเรียกว่าสร้างบุญแล้วยังต่อด้วยกุศลใช่หรือไม่ (ใช่) 
วันนี้อาจารย์ให้โอกาสศิษย์ได้แลกเปลี่ยน สิ่งที่น่ากลัวกว่าความตาย ความทุกข์ ความลำบาก คืออะไร (การไม่สามารถหลุดพ้นการเวียว่ายตายเกิด) การไม่สามารถหลุดพ้นโลกมายาใบนี้ หลุดพ้นตัวตนที่ยึดติด ยึดมั่นถือมั่นได้ใช่ไหม
(กลัวกิเลสตัณหา)  ยกตัวอย่างง่ายๆ ศิษย์เคยเห็นคนกินเหล้าไหม (เคย)  คนที่เคยกินเหล้า เวลาเดินผ่านร้านเหล้า อะไรที่กวักเรียกมือ (เหล้า)  เหล้าข้างนอกหรือเหล้าข้างใน (เหล้าข้างใน)  แล้วถ้าในทางกลับกัน คนที่ไม่เคยกินเลย เมื่อเดินผ่านร้านเหล้าจะรู้สึกอะไร (ไม่รู้สึก)  อาจารย์จึงบอกว่า โลกภายนอกไม่น่ากลัว แต่โลกที่ติดอยู่ภายในใจของเรา ที่ทำให้เราเมื่อผ่านอะไรก็อยากได้ ผ่านอะไรก็อยากเอา นั่นน่ากลัวยิ่งกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจอะไรที่น่ากลัว (ใจตัวเอง) 
สิ่งที่สำคัญก็คือจิตสำนึกแห่งความดีงาม ถ้ามีคนๆ หนึ่ง ทำความดีให้แก่เรา เราจะนิ่งเฉยแล้วนั่งสบายใจ ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นเมื่อมีคนทำดี เราก็ต้องรีบช่วยคนที่ทำดี  แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่ เมื่อเห็นใครทำดีก็ให้ทำไป ไม่เกี่ยวกับเรา ใช่ไหม  หรือคิดว่าคนทำดี ก็เพราะเขาอยากเอาหน้า ใช่ไหม
สิ่งที่น่ากลัวของใจมนุษย์อีกอย่างหนึ่งก็คือ เวลาที่ใครทำดีแทนที่เราจะวางใจเป็นกลาง ยินดีที่เขาได้ดี แต่เรากลับระแวงสงสัย และแอบจับผิดว่าต้องมีอะไรเคลือบแฝงแน่ๆ ทำให้คนดีไม่อยากทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น)
มนุษย์ชอบกลับไปกลับมา เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  ตอนแรกก็ดี แต่พอเริ่มอารมณ์ไม่ดีหงุดหงิด ก็คิดว่าช่างเถอะ ไม่เกี่ยวกับเรา ตอนแรกก็เห็นใจ แต่พอตัวเองทุกข์ขึ้นมา ใครก็ไม่สนแล้ว ขอเอาตัวเองรอดก่อน ถูกไหม (ถูก)  เราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  ตอนเราสบาย เราก็อยากให้คนอื่นสบาย แต่พอเราทุกข์ ก็คิดว่าเขาต้องทุกข์กับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) และเขาจะต้องแย่กว่าเรา แล้วเราถึงจะมีความสุข ใช่ไหม
อาจารย์ยกตัวอย่างนะ สมมติว่าศิษย์ถูกลอตเตอรี่กินไปหนึ่งร้อย แต่เพื่อนบ้านถูกกินไปสองร้อย ทำไมเราดีใจ เราซื้อรถมาห้าแสนแต่เพื่อนซื้อมาหกแสน เราหัวเราะดีใจใช่ไหม ทำไมเราดีใจ โลกนี้มันเป็นโลกที่ถ้าศิษย์ไม่รู้จักพลิกใจดีๆ เราก็จะถูกโลกพลิก สิ่งที่เสียก็กลายเป็นได้ สิ่งที่ได้ก็เหมือนกลายเป็นเสีย เหมือนอาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าลูกหรือคนที่รู้จักของศิษย์เรียนจบ ดีใจไหม (ดีใจ)  แต่เพื่อนบ้านบอกลูกหลานฉันก็เรียนจบนะ แต่ลูกหลานฉันได้เกียรตินิยม ความดีใจของเราก็หดทันทีเลย เพราะอะไรสิ่งที่ได้มันกลับกลายเป็นเสีย เพราะใครแข่งกับใคร เพราะเขาพูดผิดหรือว่าใจเรามันผิดเอง (ใจเรา)
ฉะนั้นศิษย์อยากถูกโลกพลิกหรือศิษย์อยากพลิกโลก สิ่งสำคัญมันไม่ใช่แค่เกิดมาทำบุญ สวดมนต์เก่ง ทำบุญเก่ง เท่านั้นยังไม่พอนะศิษย์ สิ่งสำคัญของการฝึกฝนบำเพ็ญ ก็คือการลงแรงใจให้ถูกต้องด้วย ศิษย์มักจะบอกว่า เป็นพุทธศาสนิกชนทำบุญเป็น ถวายสังฆทานเป็น สวดมนต์คล่อง ท่องคาถาชินบัญชรได้จบท่องถอยหลังได้ก็เก่งแล้ว เก่งมีประโยชน์อะไร ถ้าถึงเวลาเรากลับพลิกชีวิตไม่เป็น เรากลับดำรงใจของตัวเองไม่ถูก ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเรามาฝึกฝนบำเพ็ญ ไม่ใช่ฝึกฝนให้ทำบุญเก่ง สวดมนต์เก่ง ช่วยคนเก่งไม่พอ สิ่งที่จะต้องให้เก่งคือ ใจเราต้องเก่งด้วย เก่งคือวางใจให้ถูก วางอย่างไรไม่ให้โลกมันพลิก และวางอย่างไรไม่ให้ถูกคนพลิกหงายหลังท้องตึง จากที่จะเป็นความสุขกลับทุกข์ทันที ใช่ไหม (ใช่) 
อาจารย์ถามนะ ถูกสามตัวดีใจไหม (ดีใจ)  แต่เราซื้อสามตัวมาใบเดียว เพื่อนเขาซื้อมาเป็นสิบใบเป็นยังไง (เสียใจ)  ทำไมเสียใจ โดนใครพลิก กองสลากพลิกหรือ โลกพลิกหรือ ไม่ใช่ ใจเรามันพลิกเราเอง ถูกหรือไม่ แล้วเขาผิดไหมที่เขามาพูดให้เราฟัง (ไม่ผิด)  แต่บางที เขามาบอกฉันทำไม มาบอกฉันทำไม ฉันถูกฉันก็ดีใจอยู่แล้ว ใช่ไหม
ฉะนั้นอย่าปล่อยให้คนอื่นพลิกใจเราเป็นว่าเล่น แล้วไปโทษคนอื่น ไม่ใช่ ต้องถามใจเราเอง เราพลิกใจเป็นไหม เราวางใจได้ดีหรือเปล่า เหมือนที่อาจารย์บอกตั้งแต่ต้น ถ้าเรามีรูปทรง เราก็ถูกคนเอาชนะได้ ถ้าใจและชีวิตเรามีรูปแบบ เราก็ถูกคนตีโต้ให้เจ็บปวดได้ แต่ถ้าเมื่อไรเราวางชีวิตอยู่ในคำว่าสูญ วางใจให้เหินในความว่างเปล่า ฝุ่นธุลีในโลกจะจับต้องอะไรใจเราได้ จริงไหม ความทุกข์ในโลกจะทำร้ายหรือบีบคั้นใจศิษย์ได้ไหม (ไม่ได้)  แม้อาจารย์จี้กงจะให้ศิษย์ยืนสักครึ่งชั่วโมงศิษย์ก็ไม่เมื่อย  ถ้าใจไม่จดจ่อกับขาก็ไม่เมื่อยใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่าให้ศิษย์เดินหนึ่งชั่วโมงไหวไหม (ไม่ไหว)  ถ้าบอกศิษย์ให้ไปห้างสรรพสินค้าหนึ่งชั่วโมงก็เดินไหว เหมือนกันหากให้ฝ่ายชายเดินช็อปปิ้งก็เดินไม่ไหว แต่ยืนดูมวยดูฟุตบอลเป็นชั่วโมงก็ยืนได้ เพราะใจไม่ได้จดจ่อตรงขา เพราะใจจดจ่ออยู่ที่อื่นเราจึงลืมความเจ็บปวด ลืมความเมื่อยได้ ถ้าเรารู้จักมองชีวิตให้ดี เข้าใจชีวิตให้ดีเราก็จะไม่ถูกทำให้ทุกข์ได้ ใช่ไหม (ใช่)
สิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์อีกอย่างหนึ่งคือไม่ค่อยยอมแพ้ โดนใครสบประมาทไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) ยิ่งดูถูกว่า ไม่ดีหรอก แกแพ้แน่ๆ เรื่องอะไรฉันจะยอมแพ้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แค่คิดอย่างนี้ก็แพ้ตั้งแต่ต้นแล้วนะ สู้พูดว่าเอาเถอะอาจารย์จี้กงชนะไปเถอะศิษย์ยอมแพ้ อย่างนี้เรียกว่าชนะแล้ว เคยได้ยินไหมว่าขุนศึกที่รบชนะที่แท้จริงคือคนที่ไม่ยอมรบเลย จึงจะเป็นผู้ชนะที่แท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเขาชนะใจ ชนะใจตรงไหน เราอยู่โลกนี้บางทีเราไปไม่ถึงซึ่งความดีงามและถูกต้อง เพราะเราขาดเพียงไม่กี่สิ่ง แล้วสิ่งที่ขาดนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าศิษย์สามารถทำได้จนครบสมบูรณ์ ความดีงามที่ถ่องแท้ หรือคุณธรรมที่ถ่องแท้ก็จะไม่หายไปจากใจเรา แต่เรามักจะขาดสองสิ่งนี้อยู่เสมอ นั่นคืออะไร
อาจารย์จี้กงทิ้งให้ศิษย์คิดอีกเรื่องแล้วคือ เราจะอยู่กับความตายอย่างไร เราอยู่ในโลกนี้เราไม่ค่อยยอมเป็นคนแพ้ใช่หรือไม่ แต่อาจารย์บอกว่า ยอมแพ้อาจจะได้รับ การพยายามเอาชนะอาจจะสูญเสียมากกว่าที่คิดก็ได้ แค่พยายามจะเอาชนะศิษย์ก็เสียความเชื่อมั่น ฉันจะชนะได้ไหมแล้วทำอย่างไรฉันจึงจะชนะ ฉันมีดีอะไรจึงจะชนะ ฉะนั้นอยู่กับอาจารย์ต้องมีปัญญาเยอะๆ คิดให้มากๆ  อาจารย์ให้เล่นเกมง่าย คือ แข่งกันหาน้ำ ใครหาน้ำได้มากที่สุดคนนั้นชนะ ไม่ต้องแข่งกับอาจารย์ แข่งกับตัวเองนะเอาไหม (เอา)  อาจารย์ให้เวลาสิบนาทีให้ศิษย์ไปหาน้ำให้ได้มากที่สุด ใครหาได้น้อยคนนั้นเป็นผู้แพ้ น้ำอะไรก็ได้ที่ศิษย์คิดว่าหาได้มากกว่าอีกสองคน แต่ก่อนที่จะพยายามเอาชนะคนอื่นได้ ต้องพยายามเอาชนะตนเองให้ได้ก่อนแก้ปัญหานี้ให้ถูก ถ้าศิษย์แก้ปัญหานี้ถูก ศิษย์ก็ชนะได้โดยไม่ต้องลงแรง เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม
พร้อมหรือยัง (พร้อม)  เราช่วยกันนับหนึ่งถึงสิบ เจอหรือยัง น้ำอะไรที่ศิษย์สามารถชนะเขาได้ (น้ำใจ)  น้ำใจแบบนี้เท่ากันหมด ไม่มีใครแพ้ใครชนะ อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า น้ำที่มีเยอะที่สุด คือน้ำอะไร น้ำที่มีอยู่ในตัวเราที่รู้จักที่จะให้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำใจไมตรี ไม่ว่าจะเป็นน้ำแห่งการให้อภัย ไม่ว่าน้ำนั้นจะเป็นน้ำแห่งความเมตตา ใช่หรือไม่ (ใช่) 
มนุษย์ทุกคนมีน้ำหรือน้ำที่รู้จักโอนอ่อนผ่อนตาม น้ำที่รู้จักยอมอะลุ้มอล่วย มนุษย์มีน้ำที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ น้ำใจที่ศิษย์บอกก็ใช่ แต่ถ้าศิษย์บอกแล้วยิ่งใหญ่กว่าคนอื่นคืออะไรรู้ไหม คือน้ำใจที่ศิษย์มีให้ทุกๆ คนไม่มีวันเบื่อ ใหญ่กว่าไหม เยอะกว่าไหม ใช่หรือไม่
ฉะนั้นเวลาเราเจอปัญหาอะไร ก่อนจะไปสู้กับใคร ต้องเอาชนะขบคิดปัญหาด้วยตัวเอง และเอาชนะตัวเองให้ได้ก่อน แล้วปัญหาที่ศิษย์จะไปเผชิญนั้น อาจจะไม่ได้น่ากลัวเลย จริงหรือไม่ (จริง)  ขอเพียงศิษย์รู้จักอะไร ตอบคำถามสุดท้ายก่อนแล้วค่อยมาคุยเรื่องความทุกข์การพ้นทุกข์ นั่นคืออะไรรู้ไหม นั่นคือความรู้จักอดทนอดกลั้นและสงบนิ่งเป็น จริงไหม
อยู่ในโลกนี้ ถ้าศิษย์ขาดคำเดียวคือคำว่าอดทนศิษย์ก็อยู่กับใครได้ไม่รอด แต่ถ้าศิษย์อดทนจนถึงที่สุด ศิษย์จะสามารถสร้างคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ได้ และฉุดโปรดคนที่เลวร้ายให้กลายเป็นคนดีได้ และอดทนอย่างไรถึงเรียกว่าเข้าถึงความอดทนจนถึงที่สุด ไม่ยากเลยนะ อยากเอาไหม (เอา) แต่เจ็บนิดๆ นั่นก็คือแม้เขาจะเอาเลื่อยมาเลื่อยศิษย์เป็นท่อนๆ แต่ในใจศิษย์นั้นรู้แต่เพียงว่าอดทน ให้อภัย และแผ่เมตตาให้เขา และยังแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์อย่าหลงผิดเหมือนคนนี้ และขอให้เขานี้มีจิตรู้ตื่นพ้นทุกข์เหมือนกับฉัน ที่แม้จะโดนคนทำร้ายจนเจ็บขนาดไหนก็ยังมีใจเมตตา ไม่ได้เผื่อให้คนที่ร้ายที่สุด แต่เผื่อให้คนทั้งโลกได้คิดได้รู้ตื่น ถ้าศิษย์สามารถมีคำว่าอดทนเป็นของขวัญชีวิต และใช้ตลอดชีวิต แม้เขาจะเลื่อยศิษย์เป็นชิ้นๆ ศิษย์ก็ยังแผ่เมตตาได้ ศิษย์ก็ยังยิ้มได้ ไม่โกรธได้ ประโยชน์ของคำว่าอดทนจะนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์และพ้นหนี้กรรมได้
ฉะนั้นเมื่อไรที่ศิษย์เจอกรรมที่ร้ายที่สุด แต่ศิษย์อดทนและแผ่เมตตา ไม่โกรธ ศิษย์คือคนที่สามารถชำระหนี้กรรมได้จบเลยนะ แต่ในทางกลับกันถ้าศิษย์แค้น หรือด่า หรือผูกใจเจ็บศิษย์ก็คือคนที่ต่อเวรต่อกรรมไม่จบสิ้น วันนี้เรามีชีวิตเจอคนด่า เจอคนรังแก เจอคนทำร้าย ศิษย์ไม่ต้องเสียใจเพราะนั่นเป็นโอกาสดีที่เราจะได้สร้างคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ และชำระบาปเวรให้จบตั้งแต่ตอนนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นของขวัญที่อาจารย์จะให้ศิษย์ก่อนจะวันปีใหม่คือคำว่าอดทน ดีไหม (ดี)  ดีกว่าของขวัญใดๆ ในโลก แต่ขอให้ศิษย์ทำให้ถึง ถ้าศิษย์ทำได้ถึงคุณธรรมที่ประเสริฐศิษย์ก็จะมีวันพบได้ หนทางแห่งการพ้นทุกข์และเวียนว่ายตายเกิด เราก็สามารถเดินไปถึงได้ ฉะนั้นใครด่าศิษย์ว่าโง่ โกรธไหม (ไม่โกรธ) ขอเงินหน่อยให้ไหม ให้ไปสิบบาท กลับบอกให้เราให้มากกว่านี้อีก เราจะให้ไหม (ให้)  ถ้าจะเมตตาก็ต้องเมตตาให้ดี เมตตาให้ถูกคน ถ้าเขาเป็นอันธพาลก็ไม่ต้องไปสอนเขา แต่ถ้าเขาเป็นลูกเป็นหลานเราต้องไม่สอนเขาให้เคยชินผิดๆ เมตตาลูกจนเขาเป็นลูกช่างขอ คนในบ้านใจดีด้วยแต่คนนอกบ้านคิดแล้วคิดอีกใช่หรือไม่ (ใช่) 
ของขวัญที่อาจารย์อยากให้คืออีกอันหนึ่ง ความสงบนิ่ง เราสงบนิ่งได้ไหม (ได้) แค่เห็นบุหรี่ก็กระสัน เห็นเหล้าก็เปรี้ยวปาก ถ้าศิษย์อยากจะสงบนิ่งได้ ศิษย์ต้องพยายามชำระใจให้บริสุทธิ์ ถ้าใจไม่บริสุทธิ์ก็ง่ายที่จะเป็นทาสของทุกสิ่งใช่หรือไม่ ศิษย์เคยได้ยินพระพุทธเจ้าสอนไหม ละชั่ว หมั่นทำบุญกุศล และเดินไปถึงซึ่งความบริสุทธิ์ แต่มนุษย์ไปไม่เคยถึงสักที
ทำอย่างไรให้ใจบริสุทธิ์  ร่างกายนี้อาจารย์เปรียบเทียบเหมือนขัน ถ้าได้น้ำดีเราก็กล้าดื่มกินแต่ถ้าได้น้ำสกปรกเราก็ไม่กล้าดื่มกิน ถ้าขันและน้ำนี้เปรียบได้กับกายและใจ ถ้าขันสกปรกแม้ศิษย์จะเอาน้ำจากยอดเขาหิมาลัยศิษย์จะดื่มกินลงไหม  (ไม่ลง) ขันสกปรกหรือน้ำสกปรก (ขันสกปรก)  มันง่ายตรงที่เรามองออกมาขันหรือน้ำสกปรก แต่บางเรื่องราวในโลกนี้ดูได้ยากไม่รู้ว่าน้ำสกปรกหรือใจสกปรกกันแน่ เราจึงดูไม่ออก ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการที่จะนิ่งได้นั้น สิ่งสำคัญก็คือต้องอะไรล่ะ (รักษาศีลให้บริสุทธิ์)  รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ถูกต้องไหม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าเราอยากรู้ว่าน้ำมันสะอาด หรือขันเราสกปรก ก็ให้ตรวจสอบตรงที่การประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเรามีการดำรงชีวิตที่รู้จักสำรวมระมัดระวัง โดยใช้ศีลธรรมเป็นกรอบในการดำเนินชีวิต เราก็จะรู้ได้เลยว่า สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่นั้น หรือสิ่งที่เรากำลังประสบพบเจอนั้น มันสะอาดหรือสกปรก
ถ้าจิตเรานิ่ง เราย่อมสามารถสะท้อนเงาสรรพสิ่งได้อย่างแจ่มชัด ฉะนั้นจิตนิ่งจึงสามารถรับมือกับความตื่นเต้นได้ จิตที่สงบจึงสามารถรับการรุกเร้าและการโต้ที่เจ็บปวดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ จึงอยากให้ศิษย์มีสิ่งๆ นี้ แต่จะมีได้นั้น ศิษย์ต้องรู้จักสำรวมความประพฤติ ถ้าเราไม่รู้จักสำรวมความประพฤติปฏิบัติ กายใจก็อาจจะแปดเปื้อนได้ ถูกหรือไม่ (ถูก) 
สิ่งที่เราต้องควบคุมสำรวมคือ ศีลธรรม ใช่ไหม (ใช่)  แล้วศีลธรรมมีอะไรบ้างหรือ ตอบอาจารย์ได้ไหม แล้วศิษย์รู้ไหม ข้อดีของศีลยังสามารถทำให้ควบคุมชะตากรรม และให้กรรมมันอยู่ในกำมือเราได้ด้วยนะ มนุษย์กลัวกรรมไม่ใช่หรือ เคยไหมคนเราเกิดมาพร้อมๆ กัน เรียนมาด้วยกัน แต่ทำไมวาสนาเขาดีกว่าฉัน  เพราะอะไร ศิษย์บอกว่าเพราะกรรม ใช่หรือไม่ แล้วกรรมทำอย่างไร กรรมเราถึงจะควบคุมได้ ไม่ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม เราก็ต้องรู้จักสำรวมระมัดระวังความประพฤติ แต่คนส่วนใหญ่ถามว่ามีศีลห้าครบไหม
ศีลธรรมมีอะไรบ้าง อาจารย์จะบอกว่าห้าข้อนี้มีผลดีกับชีวิตเราอย่างไร แล้วทำไมเราต้องมีและต้องจำให้ได้ เพราะศีลสามารถเป็นตัวกำหนดชะตากรรมในอนาคตของศิษย์ได้ แล้วรู้ไหม อาจารย์จะบอกว่ามีศีลดีตรงไหน และทำให้เราไม่ต้องกลัวอนาคต แต่อนาคตจะอยู่ที่กำมือเราเป็นคนคุม แต่สิ่งที่เราควรจะกลัวคืออดีตที่เราเคยทำมา
อาจารย์จะยกตัวอย่างง่ายๆ ศิษย์เคยเห็นไหมพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้า มีท่านหนึ่งที่จะบรรลุเป็นอรหันต์ จะสำเร็จแล้วยังไม่สำเร็จ ต้องรอคนทุบจนตาย (พระโมคคัลลานะ)  เพราะอะไร (กรรมเก่าที่ท่านฆ่าพ่อฆ่าแม่)   กรรมเก่าที่ท่านฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฉะนั้นถ้าปัจจุบันนี้แม้ท่านจะบรรลุสำเร็จแล้ว กรรมเก่าที่ยังมีแรงเฉื่อยอยู่ท่านก็ยังไม่สามารถที่จะล้างให้สิ้นได้ ท่านจะล้างสิ้นได้ก็ต่อเมื่อท่านต้องยอมรับการให้คนทุบตีจนตายแล้วถึงจะบรรลุขึ้นไป  เห็นไหมแม้ว่าท่านจะบำเพ็ญจนเป็นพระอัครสาวกของพระพุทธองค์แล้ว ก็ยังหนีกรรมไม่พ้น ซึ่งกรรมนั้นก็เป็นกรรมที่เป็นอดีต ไม่ใช่ปัจจุบันชาติด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นมนุษย์มักจะกลัวผล แต่พระพุทธะมักจะกลัวเหตุ ถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่าแล้วเราจะทำอย่างไร ในเมื่อกรรมในอดีตเราก็ไม่รู้ อนาคตเราก็ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์เกิดเป็นคนแล้วควรบำเพ็ญก็คือต้องรักษาศีลให้ครบแล้วเราจะสามารถควบคุมชะตากรรมได้
แล้วรู้ไหมว่าตอนจบของพระโมคคัลลานะท่านเป็นอย่างไร ท่านสามารถหลบหนีได้ทุกรอบ แต่พระพุทธเจ้าบอกท่านว่าไม่ต้องหนี จะได้จบๆ กันสักที ยอมรับเสีย การยอมรับทำให้ท่านได้ตัดขาดจากร่างกายด้วย ให้ปลดปลงร่างกายเสียที ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อท่านถูกตีจนแหลกเหลว ท่านยังสามารถประสานร่างกลับมาแล้วเหาะขึ้นไปสู่เบื้องบน แล้วถวายอภิวาทพระพุทธเจ้า แล้วกลับคืนสู่แดนนิพพาน ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์ไม่ใช่อะไรเลย แต่คือการกระทำของเราที่ไม่รู้จักสำรวมระมัดระวัง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์อย่ามองข้ามศีล อย่าดูเบาศีล และอย่าคิดไม่มีศีล เพราะเมื่อไรถ้าศิษย์ไม่มีศีล ศิษย์จะต้องเจอกรรมที่น่ากลัวยิ่งกว่าพระโมคคัลลานะ ใช่ไหม (ใช่) 
 ถ้าศิษย์มองแค่นี้ ศิษย์ก็คงคิดว่าแล้วจะช่วยตัดกรรมอย่างไรแล้วช่วยกำหนดชะตาเราได้ไหม ถ้าพูดอย่างนี้ก็คงไม่ใช่อาจารย์จี้กงนะศิษย์ ถูกหรือไม่ ถูกทั้งหมดใช่ไหม ต้องรอให้ศิษย์ช่วยไข อาจารย์ถามถ้าเราไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจะช่วยอะไรเราได้ อาจารย์ให้โอกาสหัวหน้าเลือกคนมาช่วยไขปัญหาห้าข้อนี้
ศีลห้าข้อนี้กำหนดชะตากรรมเราอย่างไร และทำให้เราพ้นทุกข์ได้อย่างไร แล้วจะสามารถควบคุมชะตาชีวิตได้อย่างไร
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานเพลงพระโอวาท “อย่าขี้โมโห”)
ศิษย์บอกอาจารย์สิว่าศีลห้าข้อนี้จะช่วยกำหนดอนาคตหรือชะตากรรมได้อย่างไร อย่างข้อสี่  ไม่พูดปด พูดจริงทำจริง เรียกว่า ศักดิ์สิทธิ์ เป็นคนรักษาคำพูด พูดคำไหนเป็นคำนั้น พูดได้ทำได้ คนนั้นเรียกว่า คนศักดิ์สิทธิ์ ข้อนี้ข้อเดียวก็ทำให้เป็นพุทธะได้
ข้อที่เหลือล่ะ (ไม่ฆ่าสัตว์ก็ถือว่ามีเมตตาสูง)  ข้อหนึ่ง ศิษย์เคารพนับถือ กราบไหว้พระพุทธะ ท่านมีอะไรที่ดีและสุดยอดที่สุด นั่นก็คือจิตเมตตา มหาเมตตา และเป็นเมตตาที่เท่าเทียมกันทุกคน ไม่แบ่งแยกไม่ว่าคนหรือสัตว์ ที่เราเคารพกราบไหว้ท่านเพราะว่าท่านเมตตา มหาเมตตา ฉะนั้นถ้าเราเข้าถึงความเมตตา เราก็คือคนที่ดำเนินหนทางแห่งโพธิสัตว์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ข้อสอง (ไม่ลักทรัพย์คือความซื่อตรง เป็นคนที่ซื่อตรง ไม่ลักทรัพย์ไม่ใช่แค่ไม่ขโมย ไม่คอรัปชั่น ไม่ขโมยเวลา ไม่โกงเวลา นี่คือความซื่อตรง ซึ่งความซื่อตรงคือความกล้าหาญ กล้าหาญที่จะซื่อตรง เพราะบางอย่างเราต้องสวนกระแส ฉะนั้นไม่ลักทรัพย์มากกว่าการไม่ขโมย แต่ไม่เอาทุกอย่างที่ไม่ใช่ของตัวเอง แม้ว่าทรัพย์สินนั้นมันจะเป็นของลูกของเมีย ฉะนั้นคุณธรรมข้อนี้คือความซื่อสัตย์ค่ะ)  เข้าใจไหม ข้อนี้จะยากนิดหนึ่ง เพราะว่าการไม่ลักทรัพย์ก็คือ ไม่อยากได้ของเขามาเป็นของเรา ถูกหรือไม่ (ถูก) 
ศิษย์มักจะถามอาจารย์ว่า “อาจารย์ แล้วศิษย์จะทำอย่างไร ศิษย์ยังต้องค้าขาย แล้วศิษย์จะค้าขายอย่างไร ที่จะเรียกว่าไม่เป็นการลักทรัพย์ แล้วไม่เป็นการอยากได้เงินของคนอื่นมาเป็นของเรา” สิ่งนี้เป็นเรื่องยาก ถูกไหม แต่อาจารย์จะบอกให้ว่าไม่ง่าย ศิษย์ลองคิดดู ถ้าวันนี้ศิษย์ทำขนมอร่อย แล้วศิษย์ก็ทำจนสุดความสามารถแล้วก็ออกมาเป็นขนมอร่อย แล้วศิษย์กำลังอยากจะแลกเปลี่ยนขนมอร่อยให้คนอื่นกิน ศิษย์บอกไปว่าศิษย์ไม่ได้ขาย แต่ศิษย์อยากนำเสนอของที่อร่อยที่สุดให้เขาได้กิน ส่วนเขาจะซื้อไม่ซื้อไม่เป็นไร นี่แหละเรียกว่าไม่อยากได้เงินของคนอื่นมาเป็นของเรา แต่เราทำเพื่อเป็นการแค่แลกเปลี่ยน ฉะนั้นเหมือนเราค้าขาย ถ้าศิษย์อยากได้เงินเขาแต่ทำอย่างไรเราจะบริสุทธิ์ในการค้าขาย ของที่ศิษย์เอามาขายเป็นของที่ดีจริงๆ ไหม แล้วศิษย์ดูแล้วคุณภาพมันดีไหม ราคาสมไหม และเราขายตามราคา อะไรที่ไม่ดี เราก็ขายราคาถูก ถ้าเขามีเงินเราก็บอกไปเลย คุณซื้ออันนี้ดีที่สุด สภาพไม่ค่อยดีนะ ถ้าจะเอา เอาอันนี้ดีไหม ถ้ายังไม่มีเงินไม่เป็นไร รอได้ผ่อนได้ พูดตามความจริง นั่นคือความเที่ยงตรง ถ้าเกิดเป็นคน เรามีความเที่ยงตรง ในโลกนี้เราก็จะไม่เบียดเบียนทำร้ายใคร ใช่หรือไม่ และเราก็จะไม่โดนใครทำร้าย เพราะเรารักษาความซื่อตรงได้ ซึ่งคนปัจจุบันนี้ซื่อตรงไหม (ไม่) คนปัจจุบันมักจะต้นตรงปลายคด
ข้อสาม (ไม่ประพฤติผิดในกาม ที่เข้าใจคือ ไม่ไปละเมิดลูกเขาเมียใคร หรือว่าไม่ไปมีเมียน้อย หรือ ชู้ทางใจ ชู้ทางสายตา ถ้าทำข้อนี้ได้ก็เหมือนเป็นการซื่อสัตย์ต่อตัวเอง เพราะฉะนั้นข้อนี้จะเป็นธรรมที่คุ้มครองตนเองในความผิดเรื่องชู้สาว ไม่พาเข้าไปสู่เวรกรรมอีกหลายเรื่อง หากว่าเราตัดต้นตอของรากแห่งปัญหาได้)
ไม่ประพฤติผิดในกาม ก็คือเคารพและให้เกียรติความเป็นคนของคนๆ หนึ่ง  ฉะนั้นถ้าเรารู้จักให้เกียรติเคารพ ไม่ดูถูกกัน เราก็คือคนที่ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน เพราะเราเคารพให้เกียรติกัน
ศีลทั้งห้าข้อนี้ยังมีธรรมทั้งห้าด้วยคือ
๑. ไม่ฆ่าสัตว์ ก็คือมีเมตตา จึงทำให้อายุยืน
๒. ไม่ลักทรัพย์ ก็คือไม่เบียดเบียนใคร ให้เขาทุกข์ทั้งกายและใจจึงทำให้เราไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บง่ายๆ
๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม คือรู้จักเคารพให้เกียรติทุกผู้คน จะทำให้ครอบครัวสมาน สงบ ร่มเย็น
๔. ไม่พูดปด คือมีสัจจะวาจา จะพูดอะไรก็ศักดิ์สิทธิ์
๕. ไม่ดื่มเครื่องมึนเมา ทำให้เกิดปัญญา อาจารย์เพิ่มเติมว่า รู้จักเคารพผู้มีความรู้ จะทำให้เกิดปัญญายิ่งขึ้นไปอีก
ฉะนั้นถ้าศิษย์ทำได้ครบทั้งห้าข้อ อนาคตจะเป็นอย่างไร อายุยืนหรืออายุสั้น ก็อยู่ในนี้  ครอบครัวจะร่มเย็นหรือสมานไมตรีก็อยู่ในนี้ ปัญญาจะมีหรือไม่มี ก็อยู่ในนี้ และในนี้ก็สามารถนำไปสู่หนทางแห่งความหลุดพ้นได้ แค่เพียงถือข้อใดข้อหนึ่ง ใช่หรือไม่
คนโดยส่วนใหญ่ทุกคนที่บอกว่าไม่กลัวตายเพราะคิดว่ายังอีกนาน ศิษย์ยังเด็กๆ  ไม่ตายง่ายๆ แน่ใจหรือ อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ ถึงอาจารย์จะเมาแต่อาจารย์ไม่เมาชีวิต ไม่เมาในร่างกายนี้ อาจารย์ยังดำรงความไม่ประมาทอยู่เสมอ อาจารย์จะสอนวิธีตายก่อนตาย ดีไหม (ดี)  ตายก่อนตายคืออย่างไร ตายจากความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน ตายจากความรู้สึก ถ้าศิษย์สามารถตายก่อนตายนี้ได้ ศิษย์ก็จะไม่ต้องกลัวตายอีกต่อไป ยาก ใช่หรือไม่ เพราะสิ่งที่ทำให้มนุษย์ยึดมั่นถือมั่นและเป็นทุกข์ และต้องเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้ไม่จบสิ้นเพราะเรามีตัวตนและยึดมั่นตัวตนที่ใจไปตามความรู้สึกดี ร้าย ได้ เสีย สุข ทุกข์ ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่เที่ยงเลย
แล้วถึงที่สุดจริงๆ แล้วร่างกายตัวนี้ไม่ใช่ของศิษย์เลย ศิษย์เพียงแค่มายืม อาจารย์เรียกว่าถุงขี้ พระพุทธะเรียกว่าจอมปลวก ศิษย์รู้ไหม ไม่รู้ หรือตามหลักธรรมะเรียกว่ากองของขันธ์ ขันธ์ทั้งห้า ซึ่งมองไปจนถึงที่สุดแล้วคือความว่างเปล่า แต่มนุษย์ยึดมั่นถือมั่นและสร้างความเคยชินและกำหนดเป็นตัวตนเรียกว่า ตัวเรา ตัวฉัน เมื่อกำหนดเป็นตัวตนแล้วจึงมีที่ให้ทุกข์ มีแดนเกิดและมีแดนเวียนว่าย แต่ถ้าเรามองไปจนถึงที่สุด เราจะรู้ว่าตัวนี้ไม่เที่ยง ใจที่แกว่งไปตามอารมณ์ก็ไม่แน่นอน
ฉะนั้นถ้าเราเห็น ตายไปสักทีความรู้สึก ตายไปสักทีความยึดมั่น เราตายก่อนตาย เราก็จะพ้นทุกข์ได้ทันที เข้าถึงความตายไหม ไม่เข้าถึง ตายคืออะไร ตายคือการสิ้นสูญไม่เกิดอีกแล้ว ไม่เกิดอย่างไร สิ่งที่มีรูปทรงมักถูกเอาชนะ สิ่งที่มีรูปแบบมักถูกตีโต้ ฉะนั้นปราชญ์จึงดำรงตนอยู่ในความสูญและวางใจอยู่ในความว่าง ถ้าศิษย์เข้าใจตรงนี้ ศิษย์ก็จะสามารถตายก่อนตายได้ อย่าแค่ฟัง ธรรมจะไม่ไปถึงธรรมถ้าเราไม่ลงมือปฏิบัติ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์พูดธรรมก็ยังเป็นธรรมอยู่ มนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ ต่อเมื่อมนุษย์เอาธรรมมาปฏิบัติ แล้วมนุษย์ก็คือสภาวธรรมที่เรียกว่าความว่าง ฟังยากไหม  อาจารย์ว่าอาจารย์ย่อยสิ่งที่ยากให้ง่ายที่สุดในมือศิษย์แล้วนะ ใช่หรือไม่ นี่ง่ายที่สุดแล้ว ศิษย์ลองไปเปิดพระไตรปิฎก มีแต่ภาษาบาลีทั้งนั้น ศิษย์อ่านแทบจะไม่รู้เรื่องใช่ไหม ฉะนั้นอาจารย์ย่อยให้ศิษย์ง่ายที่สุดแล้ว ยังไปไม่ถึงใช่ไหม ถึงอาจารย์บอกให้ตายก่อนตาย ศิษย์ก็ยังไม่ตายสักทีใช่ไหม อย่างนั้นอาจารย์ยกตัวอย่างให้ง่ายอีก เราจะตายก็ต่อเมื่อเราเบื่อ เมื่อเบื่อเราจะคลายความยึดมั่น เมื่อคลายความยึดมั่นเราจะปล่อยวาง ใช่หรือไม่ แล้วศิษย์เบื่อตัวเองหรือยัง เบื่อโลกใบนี้หรือยัง ยังสนุกอยู่ใช่ไหม ตอนจะตายศิษย์ค่อยทำใจใช่ใหม
ตอนนี้ทำอย่างไรไม่ต้องกลัวจน ไม่ต้องกลัวลำบากศิษย์อยากได้แบบนี้มากที่สุด อยู่ในโลกทำอย่างไรไม่จน แต่อาจารย์จะบอกให้ศิษย์ดีใจอย่างหนึ่งว่าศิษย์ทุกคนรวยกว่าอาจารย์จี้กง ตอนนี้ในกระเป๋าศิษย์มีเงินเท่าไหร่แต่อาจารย์มีแค่พัดเก่าๆ น้ำเต้าหนึ่งใบ เสื้อหนึ่งชุดรองเท้าขาดๆ อีกข้างหนึ่งแต่อาจารย์สามารถเดินได้ทั่วโลกเพราะอาจารย์มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้อาจารย์ไม่มีวันจนและพ้นทุกสิ่งได้ คือ ปัญญาที่เป็นอริยทรัพย์ ปัญญาแห่งการตื่นรู้อย่างแท้จริงและพ้นทุกข์ไม่ว่าโลกนี้หรือโลกไหน แล้วศิษย์คิดว่าเงินหรือปัญญาที่เป็นอริยทรัพย์ (ปัญญา)  แล้ววันนี้ศิษย์หาเงินหรือหาปัญญา ตามหลักพุทธศาสนาอยากมีปัญญาต้องมีศีลบริสุทธิ์และมั่นคงในศีล จึงเกิดปัญญา มนุษย์เรียกว่าหมั่นภาวนาจึงเกิดปัญญา วันนี้อาจารย์พูดธรรมะยากหรือเปล่า คนบางคนรู้เรื่องแต่บางคนยังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง  มนุษย์พยายามทำบุญเพื่อให้ได้ทรัพย์สมบัติในภายภาคหน้า อาจารย์จะบอกว่าไม่สู้ได้ปัญญา ทำให้ศิษย์พ้นจากภพและชาติไหนๆ 
บุญทำให้ได้โภคทรัพย์ สวดมนต์และรักษาศีลทำให้ได้ทิพย์สมบัติ แต่ถ้าศิษย์เข้าถึงปัญญาจะได้อริยทรัพย์ คน ส่วนใหญ่บ้าบุญ ทำบุญเยอะๆชาติหน้าจะได้รวย ระวังเป็นจิ้งจกเฝ้าสมบัตินะเพราะบุญไม่ถึง หรือมีเงินเยอะๆแต่ไม่กล้าใช้เงินตัวเอง ให้ลูกผลาญจนหมด ทำบุญแล้วต้องลงแรงที่จิตใจด้วย ศิษย์กลัวความทุกข์ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์เฉลยความทุกข์ไปแล้วนะ
อาจารย์เฉลยตั้งแต่ต้นแล้วว่า ความทุกข์ไม่น่ากลัว ต้องถามศิษย์ว่า ศิษย์กำลังเปรียบเทียบความทุกข์กับอะไร ถ้าคิดว่าอาจารย์เตี้ย ไม่สูงเหมือนคนอื่น อาจารย์ก็ทุกข์ใช่ไหม เพราะอาจารย์กำลังเปรียบเทียบกับคนสูง แต่ถ้าอาจารย์เปรียบเทียบกับคนที่เตี้ยกว่า อาจารย์จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ศิษย์ทุกข์เพราะศิษย์กำลังเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับอะไร ศิษย์บอกว่าศิษย์ค้าขายเสียแล้วก็ขาดทุน ศิษย์กำลังเปรียบตนเองกับอนาคตหรือเปรียบตนเองกับอดีตที่ขายแล้วได้กำไรใช่ ไหม ลูกไม่น่ารัก สามีไม่เห็นหวานเหมือนเมื่อก่อนเลย เรากำลังเอาสามีไปเปรียบเทียบกับอดีตที่เพิ่งรักกันใหม่ๆ ใช่ไหม
ฉะนั้นทุกข์หรือสุขอยู่ที่ใจเรากำลังเปรียบเทียบกับอะไร  ถ้าเรายอมรับกับปัจจุบันและทำใจยอมรับกับปัจจุบันได้ สามีจะทำหน้าอย่างไรเราก็รัก  ภรรยาจะเหี่ยวอย่างไรเราก็รักใช่ไหม (ใช่) เราต้องทำใจเพราะเป็นธรรมดาโดยสัญชาตญาณของมนุษย์อยากมองของสวยๆสดๆ ตึงๆ ดังนั้นถ้าสามีอยากมีชู้ภรรยาก็จะต้องอดทน แม้ว่าจะไปมีชู้แต่ขอให้เป็นคนดีในบ้าน แต่เลิกได้ก็ดีใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นสุขหรือทุกข์ศิษย์กำลังเอาตนเองไปเปรียบกับอะไร จริงๆอาจจะไม่ใช่ทุกข์แต่เป็นความจริงเพราะโลกใบนี้เป็นโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง ตัวเราเองยังไม่แน่นอนเลยแล้วสิ่งที่เรากำลังยึดติดย่อมไม่แน่นอน ให้ถอนใจออกมา ปล่อยให้ตัวเองเดินไปสู่ความว่าง ที่เรียกว่า สภาวะธรรม ดีไหม (ดี)
อยากฝึกแบบอาจารย์จี้กงไหม อยากฝึกเข้าสู่ความว่าง จะตายก่อนตายและพ้นทุกข์ได้จริงๆ (อยาก)  ต้องจำไว้ แม้ในกองขี้ ศิษย์ก็สามารถผึ่งพุงและสบายใจได้ แม้ในชุดเน่าๆ เหม็นๆ ศิษย์ก็สามารถเดินได้ทั่วโลก ถ้าสิ่งที่แย่ที่สุด ศิษย์สามารถมีความสุขได้ แล้วโลกนี้จะมีความทุกข์อะไรที่มากกว่าอีกใช่หรือไม่ ในสิ่งที่แย่ที่สุด เหม็นที่สุด ศิษย์ยังสามารถนอนผึ่งพุงได้ แล้วเราจะกลัวอะไรใดๆในโลก ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์มีแต่ความอยาก เมื่อไรจะหยุดอยาก อายุปูนนี้แล้ว ถ้าเราอยากให้โลกเป็นสุข อยากให้โลกนี้มีสันติสุข อย่าไปกลัวภาวะแวดล้อม เพราะอาจารย์บอกแล้วสิ่งภายนอกยั่วยวนใจไม่ได้ถ้าศิษย์เข้าใจตัวตนเอง อันตรายภายนอกบีบคั้นชีวิตเราไม่ได้  ถ้าเราเข้าใจชีวิต เข้าใจการเกิดและตายเป็นอย่างไร ศิษย์แน่ใจหรือว่าตอนนี้ศิษย์กำลังภูมิใจกับการมีชีวิต แต่ใช่ไม่ใช่ศิษย์กำลังหลงลืมบ้านเก่า การตายคือการได้กลับสู่บ้านเก่า เราลืมไปหรือเปล่า จริงไหม
ทำไมต้องกลัวตาย ทำไมต้องกลัวทุกข์ ทำไมต้องกลัวลำบาก ถ้าเรามีปัญญา ความลำบากไม่น่ากลัว ถ้าเรารู้จักมีคุณธรรม ความทุกข์จะนำพาให้เราพ้นทุกข์ คนจะเลวจะร้ายขนาดไหนไม่สำคัญ สำคัญที่ตัวศิษย์อดทนและสงบนิ่งได้ไหม อาจารย์บอกแล้วเหล้าไม่น่ากลัว ความโกรธ ความเกลียดไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือเหล้าที่อยู่ในใจ ความโกรธ ความเกลียดที่มันอยู่ในใจ ที่มันอยู่ในสัญญา ถ้ามันทำท่าอย่างนี้ฉันจะเกลียดมัน ถ้ามันทำท่าอย่างนี้ฉันจะรักมัน นี่คือความยึดมั่นถือมั่น ทั้งที่จริงๆแล้วเมื่อไรที่มนุษย์มีรัก มีชัง เมื่อนั้นมนุษย์ก็จะถูกโลกควบคุมและปั่นป่วนได้ แต่ถ้าเมื่อใดมนุษย์พ้นรัก พ้นชัง มนุษย์จะสามารถพลิกโลกได้ เชื่ออาจารย์เถอะนะ แล้วศิษย์จะได้พ้นทุกข์จากโลกใบนี้สักทีด้วยปัญญาของศิษย์เอง ไม่ใช่ปัญญาของอาจารย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์รู้ว่ายังมีบางคนไม่รู้เรื่องนะ ไหนใครกล้ายอมรับกับอาจารย์ว่าตั้งแต่อาจารย์มาจนอาจารย์จะกลับฟังไม่รู้เรื่องเลย ยกมือขึ้น ไม่กล้ายกมือหรือ ถ้ายกมืออาจารย์จะได้ช่วยสรุปให้
อาจารย์ถามศิษย์นะว่า วันนี้ศิษย์มาฟังอาจารย์ อยากรักษาใจให้บริสุทธิ์เพื่อจะได้สงบนิ่งและโต้รับกับเรื่องราวในโลกนี้ได้ อาจารย์อยากจะถามศิษย์ว่า อยากจะล้างอะไรออกไปจากใจ
(อยากล้างความโกรธ) จะไม่โกรธได้ก็ต่อเมื่อเรายอมรับทุกๆ สิ่งที่เกิดขึ้น อย่าไปตีกรอบคนมากเกินไป
(อยากล้างความคิดที่ไม่ดี) เมื่อไรที่คิดไม่ดี คิดเสียว่าระวังได้แต่อย่าระแวง อยู่ร่วมกับคน ถ้าเรามีความระแวงเขา เราจะรักใครได้ไม่เต็มที่ และเราจะปฏิบัติต่อใครได้ไม่จริงใจ
(ความอยาก)  รู้จักพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ จะได้ไม่ต้องทุกข์
(ความกลัวความเจ็บป่วย)  ถ้าเราทำวันนี้ให้ดีที่สุด อนาคตก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว จงกล้าเผชิญด้วยปัญญา และถือเมตตาเป็นพื้นฐาน
(ล้างความคิดมาก) ล้างความคิดมาก คิดในสิ่งที่ควรคิด เพราะคิดมากไปเราก็นอนไม่หลับและเป็นทุกข์ ยิ่งอยากได้อยากมีก็เป็นทุกข์ แถมไม่คุ้มด้วย เคยไหม ของที่เคยมีก็กลายเป็นมีค่า แต่ยิ่งอยากของที่เคยมีก็กลายเป็นไร้ค่า คิดดีขึ้นสวรรค์
(ล้างในใจให้บริสุทธิ์)  ก่อนจะล้างในใจให้บริสุทธิ์ ต้องละเลิกเหล้า บุหรี่ก่อน
(โลภ โกรธ หลง ห่วงคนที่อยู่ข้างหลัง คนรอบข้าง ผู้ให้กำเนิด) ดูแลท่านให้เต็มที่ ถึงเวลาท่านก็มีทางที่ท่านไป ขอเพียงเราทำสิ่งที่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ ห่วงที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ห่วงลูก ห่วงหลาน ห่วงตัวเอง แต่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า ศิษย์เคยได้ยินไหม ถ้าพ่อแม่สร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ ลูกหลานจะได้ผลบุญนั้น แต่ถ้าพ่อแม่สร้างเงินทองอันยิ่งใหญ่ แต่ลูกหลานอาจไม่มีปัญญาได้บุญอันนั้น ตั้งใจทำให้ดีที่สุดแล้ว ทำให้ดีสอนลูกด้วยคุณธรรมประเสริฐกว่าสอนลูกด้วยเงิน
อย่าไปผูกใจเจ็บเลยเพราะว่าบางทีใจเราทั้งที่น่าจะสะสมความดี กลายเป็นสะสมเรื่องของคนนั้น เรื่องของคนนี้ ไม่ดีเลย ทิ้งได้ก็จงทิ้ง ฝึกแผ่เมตตาเยอะๆ
(ความโลภ ความโกรธ ความหลง) รู้จักพอได้บ้างเป็นบางครั้งบางคราว ทำอะไรสร้างเหตุให้ดีที่สุด ส่วนผลจะเป็นอย่างไร อย่าไปคิดอย่าไปหวังให้มาก เพราะไม่อย่างนั้นจะผิดหวัง ถ้าสร้างเหตุดีแล้วผลจะเป็นอย่างไรก็จงรับให้ได้
(อยาก ให้จิตสงบ มีปัญญา)  อยากจิตสงบก็อย่าฟุ้งซ่าน วางได้จงวาง ปล่อยได้จงปล่อย ตั้งใจให้ดี ทำอะไรก็ขอให้มีสติ แล้วเมื่อมีสติแล้วจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ให้จิตอยู่กับตัว
(กิเลสตัณหาออกจากใจ)  จะล้างได้ไหม อายุยังน้อยอยู่ ก็ทำสิ่งที่ถูกเต็มที่ แล้วก็แล้วแต่ฟ้าจะดลให้เป็นไป
(อยากให้ไม่มีปัญหา)  จริงๆ ถ้าเราหยุดอยากได้ ปัญหาก็หมดได้ ใช่ไหม ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า อยากจะสยบมารร้ายข้างนอก ต้องสยบมารร้ายในใจ อยากจะกำราบภัยภายนอก ต้องกำราบภัยภายใน เหมือนกับถ้าเขาด่าเรา แต่เราบอกว่าเฉยๆ ธรรมดา เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  แต่ถ้าพอเขาด่าเรา แล้วเราโกรธ ก็จะกลายเป็นปัญหา
(ไม่ยึดมั่นถือมั่น แม้กระทั่งความคิดของตัวเอง)  ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ในความคิด ในหน้าตา ในวัยวุฒิ ถ้าอย่างนั้นก่อนโมโห คิดให้ดีๆ แล้วจะได้ไม่เสียใจภายหลัง
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “2554 ล้างใจเก่า”)
คำที่อาจารย์ให้ศิษย์มาวงคนละคำ รวมได้คำว่า “2554 ล้างใจเก่า” ล้างใจที่เต็มไปด้วยเรื่องไม่ดีของคนอื่น ใจที่ชอบคิดมาก ที่ช่างน้อยใจ ขี้บ่น อาจารย์บอกว่าเกิดเป็นคนอย่าขี้เรี่ยราด ขี้บ่น ขี้น้อยใจ ขี้หงุดหงิด เพราะจะทำให้คนอื่นไม่รัก บำเพ็ญธรรมต้องรู้จักสำรวมความประพฤติ ไม่สร้างปัญหาให้กับสังคม ปีนี้ล้างใจเก่าทิ้งแล้วเริ่มต้นใหม่ทำแต่สิ่งที่ถูกต้องโดยใช้ศีลธรรมเป็นกรอบของการดำเนินชีวิตและมองโลกนี้ให้แจ่มชัดไม่ต้องกลัวทุกข์ ไม่ต้องกลัวตาย ไม่กลัวลำบาก ถ้าศิษย์เข้าใจถึงปัญญาแห่งการดำเนินชีวิต
อาจารย์รู้คนเหนือชอบเล่นหวย ชอบเล่นไพ่ ใช่หรือไม่ อาจารย์ให้ศิษย์ถูกกิน ดีไหม เพราะว่าความร่ำรวยทำให้ศิษย์หลง อำนาจทำให้คนฟุ้งเฟ้อ แต่ความลำบากและความทุกข์ทำให้คนเห็นแจ้งและเข้าถึงความจริงในโลกมากกว่า ฉะนั้นเป็นศิษย์อาจารย์จี้กง อย่ากลัวลำบาก อย่ากลัวทุกข์ เพราะความลำบากและความทุกข์คือหนทางอันประเสริฐ คือหนทางที่ทำให้เรามีคุณธรรมที่แท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
วันนี้อาจารย์คงต้องกลับแล้ว มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ อย่าทิ้งโอกาสตัวเอง อยากมีปัญญาต้องเรียนรู้และศึกษา เพราะปัญญาทำให้ศิษย์ได้พ้นทุกข์ และปัญญาทำให้เราไม่ต้องลำบากได้ การเป็นผู้นำคนเป็นเรื่องยาก แต่ถ้ารู้จักนำได้ดี เราก็สามารถดำเนินชีวิตและพาคนรอบข้างได้ดีได้ ใช่หรือไม่ จับมือลา ไม่ได้ตอบก็ไม่เป็นไร ให้รู้จักดำเนินอยู่ในศีลธรรมนะศิษย์นะ  นำพาชีวิตให้ถูกต้อง อย่าคิดว่าอาจารย์มาหลอกลวงเลยนะ มีโอกาสกลับมาศึกษาอีกนะ ใช่ไหม คนดื้อ ยังดื้ออีกหรือ อย่าไปแล้วไปเลยได้ไหม อาจารย์อยากให้ศิษย์พ้นทุกข์ ไม่ต้องลำบากบนโลกใบนี้อีกต่อไป ขอให้รู้จักทำสิ่งที่ถูกต้อง
ทำให้ได้นะ อย่าไปแล้วไปลับนะ มีโอกาสกลับมาอีกนะศิษย์ อย่าทิ้งอาจารย์เลย อย่าทิ้งอาจารย์เพียงเพราะคำพูด อย่าทิ้งอาจารย์เพียงเพราะว่าน้อยใจคนบางคน อย่าทิ้งอาจารย์เพียงเพราะโดนคำพูดที่เจ็บปวดเพียงบางคำ เข้มแข็งอดทนนะ อย่าน้อยใจแค่คำพูดบางคำ อย่าทุกข์กับแค่คำพูดที่ไม่น่าฟัง แต่ต้องอดทนและรับให้ได้นะศิษย์ ดูแลตัวเองดีๆ นะ อยากให้หายก็ต้องดูแลตัวเอง ตั้งใจบำเพ็ญอย่ากลัวอุปสรรค
อาจารย์อยากดูแลศิษย์ทุกคน แต่ศิษย์ต้องรู้จักดูแลบำรุงจิตใจของตนเองให้เข้มแข็ง อย่ายอมแพ้กับคำพูดเพียงบางคำ อย่าทิ้งอาจารย์เพียงเพราะโดนพูดแค่คำบางคำ อย่าทิ้งอาจารย์เพียงเพราะเห็นอะไรขัดใจ อย่าเลิกบำเพ็ญเพียงเพราะใครพูดไม่ถูกใจ อย่าเป็นศิษย์ที่ขี้น้อยใจแต่ต้องเป็นศิษย์ที่เข้มแข็งนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์ รับให้ได้กับคนทุกแบบ อดทนให้ได้กับคนทุกลักษณะนะศิษย์นะ ตั้งใจบำเพ็ญ ทำให้เต็มที่
อาจารย์รู้ว่าศิษย์อยากทำให้ดีที่สุด แต่เรื่องบางเรื่องต้องใช้เวลา ใช่หรือไม่ และเรื่องบางเรื่องต้องใช้ความอดทนและให้อภัย เข้มแข็งนะศิษย์ ตั้งใจบำเพ็ญ ไปให้ถึงที่สุดและกลับไปหาอาจารย์ อย่ายอมแพ้ อย่ามัวหลงแสงสี อย่ามัวหลงวัตถุ ธรรมะประเสริฐกว่าสิ่งใด ใช่หรือไม่ แต่ขอรักษาใจให้ดี
เวลามีไม่มากแล้วนะศิษย์นะ ตั้งใจทำในสิ่งที่ถูกต้องนะศิษย์ มีจุดมุ่งหมายที่ดีเพื่อนำพาชีวิตได้หรือไม่ อะไรดีแล้วก็จงรักษาไว้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันนะศิษย์นะ ทำให้ได้ยังไม่ต้องรีบรับปาก กลัวอย่างเดียวกลัวคนดื้อ ไม่เป็นไรนะเราจับมือกันแล้วศิษย์เอย
ตั้งใจบำเพ็ญนะ อย่าหนีอาจารย์เพียงเพราะคำพูดของคนบางคน อย่าเลิกบำเพ็ญเพียงเพราะคำพูดไม่น่าฟัง ยิ่งคำพูดไม่น่าฟังยิ่งต้องฝึกฝนตัวเองให้เข้มแข็งอดทนนะ อาจารย์ไม่เคยทิ้งศิษย์ กลัวอย่างเดียวกลัวศิษย์ทิ้งอาจารย์ อาจารย์เอาศิษย์ทุกคนแต่กลัวอย่างเดียว ศิษย์ไม่เอาอาจารย์เอง อยู่บนโลกนี้ถ้าวันใดศิษย์ไม่เอาอาจารย์ แต่ขอให้จำไว้ว่าจงเข้มแข็งและมีปัญญารับให้ได้กับทุกเรื่อง อย่าแพ้ใจตัวเอง









วันจันทร์ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔
พระโอวาทพระนาจาเมตตา

เมื่อคนหลงดึงเท่าไรก็ไม่ขึ้น เมื่อคนมึนผิดหรือถูกแยกไม่ออก
เมื่อคนดีแต่เปลือกทองชุบลอก เมื่อคิดนอกปัญญาธรรมไม่เกิด
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา   รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว  ถามศิษย์น้องทุกคนดีใจไหม

คนคนคนวุ่นวายจริงหนอคน  บ่นบ่นบ่นไม่เห็นตนเองหนอ
เอาแต่ว่าไม่เห็นใครดีพอ  ยิ่งหนักข้อมากขึ้นไปทุกวัน
อย่าทำตัวเป็นปัญหาของคนอื่น  จงหยิบยื่นมิตรภาพเป็นบัตรผ่าน
ทำอะไรตามใจตัวเป็นสำคัญ  ทุกเรื่องนั้นใช่สำเร็จเพียงคนเดียว
หากพูดแล้วเขาไม่ฟังเขาไม่ตาม  จงปล่อยวางอย่ายิ่งถามอย่ายิ่งเกี่ยว
สู้ทำใจตรองสักนิดคิดสักเดี๋ยว  จะยิ่งฝืนยิ่งเข็ญเคี่ยวเขาทำไม
ทุกสิ่งล้วนมีหนทางเป็นของตน  จะนำคนสิ่งสำคัญครองจิตใจ
หากไม่รักไม่เข้าใจเอาทำไม  แต่ถ้ารักเข้าใจแล้วสู้จนตาย

ฮิ ฮิ หยุด



พระโอวาทพระนาจา
“เมื่อคนดีแต่เปลือกทองชุบลอก”
เราดีแค่เปลือกหรือเปล่า ปากชอบบอกให้คนอื่นดี แต่จริงๆ ใจเราก็แอบไม่ดีเหมือนกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ปากเรียกให้คนอื่นดี แต่ใจเราดีหรือยัง (ยัง)  คนดีที่แท้จริงต้องรับให้ได้ทุกสภาพ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้เราจะเจอคนที่มีหรือไม่มีสัมมาคารวะ แม้จะเจอคนพูดดีหรือพูดไม่ดี เราก็ต้องรับให้ได้ ดูดอกไม้สิจะสวยได้ยังต้องมีหลายๆ แบบถึงจะเรียกว่าดอกไม้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าโลกนี้ดอกไม้ออกมาแบบเดียวกันหมดมันก็คงมองแล้วดูน่าเบื่อ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นในโลกนี้ก็ต้องมีคนหลายๆ อย่าง บางคนพูดเพราะ บางคนพูดช้า บางคนพูดเร็ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็ต้องเข้าใจว่านั่นคือคนๆ หนึ่ง ถ้าเรายอมรับได้ เราก็จะมองเห็นความเป็นจริงของโลกที่แม้จะแตกต่างแต่ถ้าเกิดว่ามีความเป็นหนึ่งเดียว ก็ประสานกันได้น่าดูเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  ท่านว่าเป็นอย่างไรถึงเรียกว่าคนแก่ (อายุมาก)  อย่างนั้นดูสิว่ารองหัวหน้าแก่ไหม เราว่ายังดูไม่แก่นะ ฉะนั้นคำว่าแก่ ไม่แก่ที่เราเห็น บางทีจะต่างจากที่เราเห็น ต่างจากที่เราเข้าใจก็ได้ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นมองอะไรก็อย่าไปยึดมั่นตายตัว รักชอบอะไรก็อย่าไปติดตายตัวไม่อย่างนั้นจะทำให้เราทุกข์ 
เราเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์จี้กง เป็นศิษย์พี่ของท่าน เป็นพี่รังแกน้องได้ไหม พี่ใช้น้องไม่ผิดใช่ไหม พี่ว่าน้องไม่ผิดใช่ไหม (ไม่ใช่) พี่ต้องรักน้องนะ
เวลาเรามีอายุมากแล้วเรามักจะเป็นกันก็คือเรามักจะมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ใช่ไหม แล้วก็มั่นใจว่าสิ่งที่เราเคยรู้อยู่ว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดี ใช่หรือไม่  พอเราเห็นก่อน รู้ก่อนและพอจะรู้ว่าถ้ามีใครสักคนเดินไปทางที่ไม่ดี เราก็พยายามจะบอกให้กลับมาเพราะมันไม่ดี แต่ถ้าเขากลับบอกว่ายังไงก็จะไป เราจะทำอย่างไร เหมือนกับลูกของเรา ถ้าเราบอกว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี  แล้วลูกไม่เชื่อ เราจะทำอย่างไร ถ้าเราพูดแล้วหลายรอบ แต่เขาก็ยังยืนยันว่า “จะทำดีไปทำไม อยากจะทำเหมือนเดิมอย่างนี้ ศีลธรรมจะมีหรือไม่มีก็ไม่เห็นเป็นไร”
(เราต้องทำดีให้เป็นตัวอย่าง) ทำดีเป็นตัวอย่างแต่ถ้าเขามองไม่เห็น เขาบอกว่า “พ่อก็ไปของพ่อ นั่นคือทางของพ่อ  ผมยังเด็ก ผมไม่เอา แบบนั้นของคนแก่”  ถ้าเป็นศิษย์พี่ ศิษย์พี่จะบอกว่า “ทำไปเถิดแต่ถ้าจะล้มเหลวหรือจะแย่ จำไว้ว่าพ่อจะคอยให้กำลังใจอยู่ตรงนี้” ทำให้เขารู้ไปเลยว่า ในเมื่อพ่อบอกไปแล้วว่าสิ่งนั้นไม่ดีแต่ลูกไม่เชื่อและยังอยากทำ อย่างนั้นพ่อสนับสนุนก็ได้ ให้ลูกทำให้ถึงที่สุด แต่ถ้าล้มเหลวหรือแย่ หรือโดนคนอื่นว่า จำไว้ว่าลูกยังมีพ่อ มีแม่ เธอยังมีฉันที่คอยเป็นกำลังใจว่าแม้เธอจะผิดพลาดไป ฉันคอยเธออยู่ตรงนี้ และคอยที่จะเติมกำลังใจให้เธอกลับมาสู้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง
สังเกตว่าคนทุกคนล้วนมีความคิดเป็นของตัวเอง  แม้เราจะรู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่บางครั้งความอยาก อยากลองสักครั้งหนึ่ง อยากเลวสักรอบหนึ่ง อยากชั่วให้มันรู้ไปเลยใช่ไหม (ใช่) “ก็เกิดมาเป็นคนไม่โกรธเลยก็ดูผิดปกตินะท่าน ไม่อยากเลยก็ดูชอบกลๆ ไม่หลงเลยก็ดูทะแม่งๆ” ฉะนั้นลองปล่อยให้ผมโลภ โกรธ หลง ปล่อยให้อยากให้เต็มที่ก่อนแล้วพอทุกข์แล้วค่อยกลับมาได้ไหม แต่จำไว้นะศิษย์น้องอยากไปโลภ โกรธ หลงมากแค่ไหนก็ตาม จงจำไว้ว่าอะไรเสียก็เสียได้แต่สำคัญใจอย่าเสีย อะไรเสีย อะไรเสียศูนย์ไปได้ แต่ขอใจอย่าเสียศูนย์ได้ไหม
ฉะนั้นวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายแล้วถึงแม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะพูดดีมากขนาดไหนแต่ถ้าถึงเวลาศิษย์น้องไม่ได้เอาคำที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาลองปฏิบัติหรือมาคิดมาทบทวน สักพักหนึ่งเราก็จะกลับมาเป็นคนๆ เดิมที่ดื้อรั้น ที่มีความคิดเป็นของตัวเองที่เดี๋ยวก็รักดี เดี๋ยวก็รักชั่ว  ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จำไว้ว่าใจนี้ไม่ใช่สลายแล้วจะกลับมาตั้งเหมือนใหม่ไม่ได้ ชีวิตนี้ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ จำไว้ว่าถึงจะชั่วขนาดไหนก็ยังกลับมาเป็นคนดีได้ ถึงจะผิดพลาดขนาดไหน ถึงจะเลวขนาดไหน จำไว้ว่าแต่ถ้ายังมีลมหายใจ ฟ้ายังให้โอกาสเราแก้ตัว ฟ้ายังให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดีขอให้มีความคิดได้และสำนึกตื่นรู้
ฟังธรรมะและเรียนรู้ธรรมมาก็มาก แต่สิ่งหนึ่งที่ปลุกให้ขึ้นไม่ได้ก็คือจิตสำนึกแห่งความผิดชอบชั่วดี เพราะถ้าใครปลุกตัวนี้ตื่นขึ้นแล้วเชื่อไหมว่า ไม่จำเป็นต้องรอใครบอก เขาจะรู้เองว่าอันนี้ดีอันนี้ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ซึ่งสังคมปัจจุบันนี้ขาดจิตสำนึกแห่งความผิดชอบชั่วดี ถ้าคนมีจิตสำนึกรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่  ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดคิดว่าคนๆ หนึ่งจะทำร้ายคนๆ หนึ่งไหม (ไม่) คนๆ หนึ่งจะทำให้อีกคนหนึ่งเจ็บปวดไหม (ไม่)  ฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือจิตสำนึกแห่งการรู้ผิดชอบชั่วดี ซึ่งปลุกยากและจะปลุกได้ก็ต่อเมื่อคนๆ นั้นต้องตื่นรู้ด้วยตัวเอง เราเป็นคนคนหนึ่ง ใครทำดีเราก็ชอบ ใครทำไม่ดีเราก็เกลียด แล้วทำไมเราถึงทำไม่ดีกับคนอื่น
ชีวิตเหมือนสายธารสายหนึ่ง ศิษย์น้องพยายามจะคว้า จับอะไรในน้ำได้ไหม เหมือนจะจับได้ แต่พยายามจับอย่างไรก็จับไม่อยู่ ศิษย์น้องจับชีวิตได้ไหม คุมอยู่ไหม ถ้าจับได้ต้องไม่ให้มันแก่ ต้องให้มันอยู่อย่างนั้น มันต้องไม่ตาย เป็นแบบไหนต้องเป็นแบบนั้น ยิ่งพยายามกั้นน้ำให้เป็นตัวเป็นตนเป็นของฉัน เป็นแบบฉัน ยิ่งกั้นมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งเน่ามากเท่านั้น
ชีวิตคือสายธารที่ต้องไหลไปเรื่อยๆ แต่ถ้าวันใดเรามีขอบเขต นี่ของฉัน นี่แบบฉัน ก็เหมือนการเอาคานมากั้นเป็นลำคลองหรือกั้นเป็นอ่างอะไรสักอย่างหนึ่งแล้ว ไม่ต้องให้ไหลเวียน ยิ่งกั้นมากเท่าไหร่ ยิ่งมีขอบของความเป็นตัวตนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งใกล้กับความเหม็นเน่า  ไม่เป็นธรรมชาติและก็จะไม่มีใครเอา
แต่ถ้าเราปล่อยให้สายธารไหลไปตามความเป็นจริงและรู้จักไหลเพื่อผู้อื่น หยั่งล้นไปสู่ที่ต่ำ กล้าที่จะล้างสิ่งสกปรกเพื่อคืนความสะอาด น้ำนั้นจะเป็นที่ต้องการของทุกๆ คน ฉะนั้นศิษย์น้องมีชีวิตเพื่อเป็นในแบบของตนเองหรือเป็นชีวิตที่รู้จักไหลรินไปเพื่อประชา
ลองมองให้ดี บางคนอยากไปนั่งสมาธิ  เพื่อไปให้ถึงความว่าง ศิษย์พี่ว่าไม่ต้องนั่งหรอกเพราะทุกวันก็ว่างอยู่แล้ว สิ่งที่วิ่งคือความคิดของเรา ใจเราวิ่ง ก็เลยไม่ว่าง ทุกสิ่งล้วนเดินไปสู่ความว่าง ทุกขณะเรากำลังเดินไปสู่ความว่าง การเกิดหนึ่งครั้งคือการตายหนึ่งครั้ง หนึ่งขวบปีที่เกิดขึ้นคือหนึ่งขวบปีที่ตาย  ฉะนั้นเกิดปุ๊บก็ดับทันที  เพราะทุกขณะศิษย์น้องมีความว่างอยู่ แต่เราไม่เคยหยั่งถึงความว่าง พอมันจะว่างก็คิดต่อ ฉะนั้นการบีบบังคับจึงเปรียบเหมือนการจะบีบน้ำให้ยาว มันเป็นธรรมชาติไหม (ไม่)
วันนี้ศิษย์พี่ใส่เสื้อลายหมี เมื่อวานพระอาจารย์มาแล้วถอดเสื้อลายหมีออก ศิษย์พี่ถามพระอาจารย์ว่าเมื่อวานถอดทำไม พระอาจารย์เมตตาตอบว่า ใส่แล้วคนจะดูไม่ศักดิ์สิทธิ์ ใช่ไหม ชุดภายนอกการแต่งตัวภายนอกก็มีผลต่อภายในเหมือนกัน แต่พระอาจารย์ก็รู้ว่าศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ศักดิ์สิทธิ์มันไม่ได้อยู่ที่การกระทำภายนอก แต่คนส่วนใหญ่ชอบวัดกันเพียงภายนอก ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเวลาเราจะเปลี่ยนแปลงใครสักคนหนึ่ง เราหวังว่าให้เขาต้องเป็นแบบนี้ แต่เขาไม่เป็นแบบนี้ตาม เราจะไปพูด พูดไปบางทีก็เปล่าประโยชน์ สู้ทำอย่างไรดี (ปล่อยไปตามทางของเขา)  ปล่อยให้ทำกันไปเลย แล้วค่อยกลับมาพึ่งเราอีกทีหนึ่ง ต้องพูดให้เขาเข้าใจนะ อยากทำอะไรก็ได้ แต่ถึงเวลาก็ยังมีพ่อมีแม่มีพี่เป็นกำลังใจเสมอ แต่ขอให้คิดให้ดีๆ เพราะว่าการทำความดีกว่าจะทำให้คนเชื่อถือนั้นทำยาก แต่ความชั่วทำแป๊บเดียว ที่ดีมาทั้งหมดมันหายไปทันที ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าลูกตัดสินใจจะทำอะไรแล้ว ถ้าคุณตัดสินใจจะทำอะไรแล้ว คุณต้องรับผิดชอบไหวนะกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าไม่ไหวก็เผื่อใจไว้บ้าง เพราะโลกนี้ไม่ใช่มีแค่สำเร็จ โลกนี้ก่อนจะสำเร็จต้องมีคำว่าล้มเหลว ใช่ไหม
(ศิษย์พี่เมตตาให้เล่นเกมส์ส่งของจากหัวไปท้าย แล้วก็จากท้ายกลับมาหัว)
เราอยู่ในโลกนี้เราต้องเกี่ยวเนื่องกับคนหลายๆ แบบและหลายๆ อย่าง บางครั้งถ้าเราทำงานร่วมกันได้สำเร็จก็รอดตัวไป แต่ถ้าเราทำงานแล้วล้มเหลว เราจะเอาแต่โทษคนอื่นไม่ได้ เพราะงานหนึ่งงานจะสำเร็จได้ต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกๆ คน 
ปีใหม่แล้วเราต้องรู้จักส่งมอบความสุขให้ทุกคนได้ยิ้ม การยอมเสียสละเพื่อลดอัตตาตัวตนและมอบความสุขให้กับคนอื่นได้มันก็ดีไม่ใช่ หรือ ถ้าเราไม่กลัวความลำบาก เราไม่กลัวโทษ แถมยังให้คนอื่นได้เป็นตัวอย่าง และมีความสุขก็น่าจะทำนะ 
ฉะนั้นใจเราถ้าสามารถคล้องได้เป็นหนึ่งเดียว ถึงแม้จะฟุ้งซ่าน เราก็สามารถเก็บได้ง่าย แต่ถ้ามีเยอะ ฟุ้งมาก ก็ยิ่งคุมยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) จิตถ้ามีสิ่งคุ้มครอง จิตนั้นเวลาโดนอะไรกระทบก็จะฟุ้งซ่านยาก แต่ถ้าจิตไม่มีธรรมะคุ้มครอง ก็ง่ายที่จะรั่วและฟุ้งซ่าน ใช่หรือไม่

ศิษย์พี่กลับแล้วนะ มีโอกาสคงมาผูกบุญกันอีกดีไหม มาไม่นาน มีโอกาสกลับมาอีกนะ อย่าปล่อยให้โลกนี้ทำร้ายจิตใจ จนกลายเป็นคนไม่มีกำลังใจและไม่อยากมีชีวิตต่อนะ อย่าแพ้กับมายาบนโลกใบนี้ โลกใบนี้ไม่เที่ยง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเดินไปสู่ความว่างเปล่า
ฉะนั้นต้องทำใจว่างๆ ไว้บ้าง ดีไหม (ดี) อย่าไปยึดมั่นถือมั่นจนเกินไป เพราะว่าไม่มีอะไรในโลกแน่นอน สิ่งที่แน่นอนอย่างเดียวคือคุณงามความดีและความมุ่งมั่นในตัวเรา ใช่ไหม และความมุ่งมั่นและคุณงามนี้ที่จะนำพาให้เรากลับไปเจอกันข้างบน แต่ถ้าท่านไม่สามารถถือคุณงามความมุ่งมั่นที่เรียกว่าคุณธรรมได้ท่านก็อาจจะ ไม่เจอศิษย์พี่อีกเลยใช่ไหม (ใช่)
จำไว้นะไม่ต้องพยายามทำตัวเองให้ว่าง จริงๆ แล้วเราว่างได้อยู่ทุกขณะ ขอเพียงหยุดคิดหยุดอยากบ้าง ใช่หรือไม่ และกลับมาอยู่กับตัวเองบ้าง ตัวเองที่เป็นตัวเดิมแท้ที่สงบที่บริสุทธิ์ ไม่ฟุ้งซ่าน และเป็นจิตใจที่รู้จักอะลุ้มอล่วย อย่าแข็งเกินไป ความแข็งคือสิ่งที่ใกล้เคียงกับความตายแต่ความอ่อนนุ่มและรู้จักยืดหยุ่นตามสภาวะนั่นคือคนที่สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างกลมกลืนและสอดคล้อง ได้ไหม (ได้) 
ใกล้จะปีใหม่ขอให้ทุกคนแข็งแรงทั้งกายและใจ ศิษย์พี่ขออย่างหนึ่งนะ ถ้าเกิดว่าเขาไม่เชื่อไม่ทำตาม ปล่อยเขาไปนะ ศิษย์พี่เข้าใจเมื่อสักครู่ศิษย์พี่ก็บอกแล้วบางทีเรารักเขาอยากให้เขาเป็นไปตามที่เราคิด แต่ถ้าเขาไม่เชื่อ เขาไม่ตาม เราก็ต้องปล่อยให้เขาไปเจอตามสภาวะ ใช่หรือไม่ ถึงจะเรียกว่ามหาเมตตา พูดแล้วไม่เชื่อก็ต้องปล่อยให้ไปเจอ แต่จำไว้ว่ายังมีศิษย์พี่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมื่อยามที่ศิษย์น้องทุกข์ ศิษย์น้องท้อ ว่างๆ ก็กลับมานะ ท้อเมื่อไรทุกข์เมื่อไรจำไว้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์รอเป็นกำลังใจให้ ไปแล้วนะ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “2554 ล้างใจเก่า”

อันโอวาทเกี่ยวกับใจครึ่งปีนี้
ตรองให้ดีคิดให้ได้เข้าใจไหม
การบำเพ็ญหากถ้าว่าไม่ใส่ใจ
แล้วอะไรจะเรียกว่าการบำเพ็ญ
จงรู้ตัวให้ได้ก่อนจะสะดุด
สิ่งสมมุติตาเห็นได้ใจไม่เห็น
คนเปิดตาแต่ปิดใจจึงลำเค็ญ
คนบำเพ็ญเปิดตานอกชัดในใจ



เบญจศีล (ศีลห้า) เบญจธรรม (คุณธรรมสามัญห้า)
๑. งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ เมตตาธรรม
๒. งดเว้นจากการลักทรัพย์ มโนธรรม
๓. งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม จริยธรรม
๔. งดเว้นจากการพูดเท็จ สัตยธรรม
๕. งดเว้นจากการเสพสุราเมรัย ปัญญาธรรม










อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา