แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สติ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สติ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2561

2561-06-30 สถานธรรมฉือเหริน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช

西元二○一八年歲次戊戌五月十七日                                                                                      仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑               สถานธรรมฉือเหริน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

  เรื่องในหัวธรรมในใจสารพัน           เท็จจริงเป็นตามอำนาจแห่งคติ
คนในโลกล้วนมากมีคติ                          รู้เช่นนี้ต้องรีบกำราบใจ
                                เราคือ                                                                             
  ศิษย์พี่นาจา                          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                      ถามศิษย์น้องทุกคนหายง่วงหรือยัง

  ทบทวนตนมากกว่าโทษใครผิด         คนรู้ผิดปัญหาจึงแก้ได้
คนแกล้วกล้าหน้าที่คือวินัย              ยอมแก้ไขจึงก้าวหน้าชี้ที่พลาด
ข้อบกพร่องให้เตือนตนพัฒนาดู          ไขทุกข้อรู้รู้ไม่ประมาท
ยอมให้สอนทุกข์เตือนมิตรปรามาส[1]     คนฉลาดดูแต่สิ่งมีคุณ
การมองที่ย้อนไปได้อะไร                 เพื่อเข้าใจว่าชีวิตต้องยืดหยุ่น
เมื่อสนิทไม่รู้เกรงใจกลายวุ่น             มีความห่างอาจสมดุลสัมพันธ์ดี
คนรู้คนจริงอะไรอะไรจริง                รู้จักจริงรู้จักตนเรียนเรื่องนี้
บำเพ็ญไม่หยุดนิ่งการทำดี                หมู่คนดีอยู่รู้เคารพกัน
ธรรมพร้อมไหนเที่ยวทุกข์และสับสน        งดฝึกฝนยิ่งทุกข์หลายสถาน
บัณฑิตงามหลงตนยิ่งน่าสงสาร          อย่ายิ่งทุกข์พลาดสวรรค์ชีวิตจริง
                                                                                                 ฮิ ฮิ หยุด



[1] ปรามาส : ดูถูก, ดูหมิ่น

พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
ท่านมาฟังธรรมหรือมาปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมคือต้องมีสติ รู้เท่าทันความคิด และสามารถนำพาชีวิตให้ก่อเกิดปัญญาและเข้าถึงความบริสุทธิ์ นั่นแหละเรียกว่าฟังธรรมด้วยปฏิบัติธรรมด้วย แต่เราฟังอย่างเดียวใช่ไหม (ใช่)  ปฏิบัติธรรมคือมีสติ รู้เท่าทันความคิดและสามารถยับยั้งอารมณ์นิสัยตน จนก่อเกิดปัญญาเห็นแจ้ง เข้าถึงความบริสุทธิ์สงบเย็นใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่ามองว่าการปฏิบัติธรรมคือต้องนั่งสมาธิอย่างเดียว หรือต้องเดินจงกลม หรือแค่ใส่บาตรทำบุญถวายสังฆทาน แต่เราสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกที่ ถ้าทุกขณะที่เราทำงาน เรามีสติ เรามีความบริสุทธิ์ใจ เรามีความแจ่มชัด เราไม่มีอารมณ์หรือนิสัยความเคยชินเป็นใหญ่ อยู่ที่ไหนเราก็ปฏิบัติธรรมได้ จริงไหม (จริง)
เราอยู่ร่วมกับคนเราปฏิบัติธรรม หรือปฏิบัติต่อกันด้วยนิสัยและอารมณ์ ถ้าอยู่กับเขาด้วยคุณธรรม ปฏิบัติต่อเขาด้วยการมีธรรม ปฏิบัติต่อเขาด้วยการให้ธรรม นั่นคือ อยู่ที่ไหนเราก็ปฏิบัติธรรมได้ อยู่กับใครเราก็สร้างบุญให้ธรรมได้ แล้วเราเป็นประเภทไหน เราเป็นประเภทปฏิบัติธรรมหรือปฏิบัติตามอารมณ์ตามใจ ถ้าเราปฏิบัติตามอารมณ์ตามใจ สิ่งที่เราได้คือนิสัยความเป็นตัวตน แต่ถ้าเราปฏิบัติธรรม สิ่งที่เราได้ก็คือธรรมและธรรม นั่นก็คือความสงบและร่มเย็นใจ แต่ทำไมปฏิบัติกับใครแล้วมีแต่ความร้อน ไม่เย็นเลย เหมือนเราถามผู้ปฏิบัติงานธรรม มาทำงานธรรมหรือมาปฏิบัติธรรม (ปฏิบัติธรรม)  มาทำอะไรตามใจตัวเองหรือมาขัดเกลาใจตัวเอง (ขัดเกลาใจตัวเอง)  ปฏิบัติธรรมคือการลดละนิสัย กิเลส อัตตา ความเคยชินให้เบาบาง ถูกไหม แต่ถ้ายังนั่งแล้วนิสัยยังพอกพูน เหนื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว อยากกลับ อย่างนี้แปลว่าไม่ได้ปฏิบัติเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าฟังแล้วเข้าใจ ใจเย็น สงบ ขอบคุณ อนุโมทนาบุญ นั่นคือการปฏิบัติธรรม
ท่านชอบทำบุญไม่ใช่หรือ ใครพูดดีแล้วเราอนุโมทนาบุญด้วยก็เป็นบุญถูกไหม (ถูก)  ถ้าช่วงที่อนุโมทนาบุญยังรู้จักอุทิศบุญ ขอให้บุญแห่งการเข้าใจธรรมนี้แผ่ไปยังทุกคน แผ่ไปยังวิญญาณทั้งหลาย แผ่ไปยังสรรพสิ่งทั้งหลาย ขอให้เขามีใจที่สงบเย็นเหมือนข้าพเจ้าตอนนี้ ฉะนั้นทุกที่ทุกขณะเราสร้างบุญได้ ทุกที่ทุกคนเราปฏิบัติธรรมได้ แล้วท่านชอบคนลำเอียงไหม (ไม่ชอบ)  ชอบคนปากว่าตาขยิบไหม (ไม่)  ชอบคนปากหวานก้นเปรี้ยวไหม (ไม่)  ชอบคนที่ดีจริงๆ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นเราเป็นคนที่ทำดีกับพระ แต่กับคนเราไม่ทำใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราทำบุญแต่กับพระแต่กับคนเราไม่ให้บุญเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)
ฉะนั้นต้องเข้าใจการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เป็นการแสดงออกเพียงภายนอก แต่การปฏิบัติธรรมต้องมีทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกปฏิบัติ ภายในก็มีสติรู้เท่าทัน และเห็นแจ้งในความเป็นจริงจนเกิดปัญญา นำพาชีวิตพบความสงบ ถูกไหม (ถูก)  เคยได้ยินบ้างไหม เพราะจุดใหญ่ของการปฏิบัติคือพบความสงบเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  สุดท้ายคือทุกขณะที่ทำมีความสงบเย็นและถึงที่สุดก็พบความสงบเย็น หลักในการปฏิบัติธรรมก็มีแค่นี้ คือทำอะไรก็ตามทำแล้วให้เรามีความสงบเย็น ฉะนั้นถ้าเราสามารถปฏิบัติธรรมด้วยการฟังไปอย่างมีสติรู้เท่าทัน เกิดปัญญามองเห็นความจริง และนำพาชีวิตกลับคืนความบริสุทธิ์สงบเย็น นั่นก็คือฟังธรรมด้วยปฏิบัติธรรมลงแรงที่ใจด้วย  ยากไหม (ไม่ยาก)  ทำได้ไหม (ทำได้)
ใจเป็นต้นธารของความรู้ เมื่อเรามีใจบริสุทธิ์ ความรู้ก็แจ่มชัด  และความรู้ก็เป็นหลักสำคัญหนึ่งของหัวใจ  ถ้ารู้อย่างแจ่มชัดแล้วไร้อคติ หัวใจก็จะสงบ หรือพูดง่ายๆ ตามที่มนุษย์พูดกันคือเราเป็นตามสิ่งที่เราคิด เราเป็นตามสิ่งที่เราเชื่อ และเราก็ต้องได้รับผลของสิ่งที่เรากระทำ ฉะนั้นตัวคนจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่ที่ว่าเราคิดเราเชื่อและเรารู้สึกอย่างไร เหมือนตอนนี้ เราบอกว่าเราไม่ชอบท่าน เมื่อคิดไม่ชอบ มองยังไงก็ไม่ชอบ ปัญหาอยู่ที่ท่านหรืออยู่ที่เรา ฉะนั้นไม่ว่าท่านจะยิ้มสวยงามขนาดไหน ยิ้มน่ารักขนาดไหน ถ้าใจเราไม่ชอบ ยังไงก็ไม่ชอบใช่ไหม (ใช่)  ยังไงก็ (ไม่ดี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนกัน ถ้าตอนนี้ใจเรากำลังสบายใจเรากำลังรู้สึกดี มองอะไรมันก็ (ดี)  ใช่หรือไม่ ฉะนั้นที่เขาไม่ดีเพราะใจเราไม่ดีหรือเขาไม่ดี (ใจเราไม่ดี)  จริงหรือ เห็นถึงเวลาโทษเขาไม่โทษใจเรา ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าใจเราบริสุทธิ์ เหมือนเราตอนนี้ ถ้าใจท่านสบายใจ มองอะไรมันก็ดูสบายไปหมด ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าตอนนี้ท่านอารมณ์ไม่ดี  ใครพูดอะไรก็ไม่ดีหมด แต่ถ้าตอนนี้ท่านสบายใจ เขาพูดไม่ดีท่านก็ยังรู้สึก (ดี) ไม่เป็นไร ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าท่านรู้สึกไม่ดี แล้วใครพูดดี ท่านก็บอกมีอะไรหรือเปล่า จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นโลกจะเป็นอย่างไร ชีวิตเราจะเป็นอย่างไรอย่าได้โทษฟ้า อย่าได้โทษดิน อย่าได้ก่นว่าผู้คน จงหันกลับมาถามใจตนว่าคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร จึงว่าเขาเป็นเช่นนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้นั่งสบายหรือไม่สบาย (สบาย)  รีบพูดทันทีเลย กลัวบอกว่าไม่สบายเพราะใจท่านมีปัญหา ใช่หรือไม่ (ใช่)
การแต่งตัวก็มีอิทธิพลต่อจิตใจนะ จริงไหม (จริง)  ลองแต่งตัวแบบใส่ชุดทหารสิ ใจมันรู้สึกฮึกเหิม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้ชายลองแอบใส่กระโปรงสิ ใจมันรู้สึกตุ้งติ้งทันทีเลย ฉะนั้นอย่าพูดว่าการแต่งตัวไม่มีผลต่อจิตใจ ก็มีผลเหมือนกัน ถูกหรือไม่ (ถูก)  เราแต่งตัวสุภาพก็มองดูสุภาพน่าเคารพ เราแต่งตัวล่อแหลมก็มองดูไม่น่าดู ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าจิตบริสุทธิ์ความรู้ก็แจ่มชัดใช่หรือไม่ (ใช่)  ความรู้ก็เป็นหลักสำคัญของหัวใจ ถ้ารู้อย่างชัดเจนไร้อคติ ใจนั้นก็จะสงบสุขถูกหรือไม่ (ถูก)  หรือที่พูดง่ายๆ ว่าเราเป็นไปตามสิ่งที่เราคิด และเราต้องรับสิ่งที่เราทำ เพราะเราเป็นคนสร้างใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเราเป็นไปตามสิ่งที่เราเชื่อ เราคิดเราเชื่ออย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นชีวิตของเรา หนึ่งมาจากพ่อแม่ แต่อีกหนึ่งที่จะเป็นไป และเป็นอย่างไร ล้วนเกิดมาจากความรู้ ความคิด ความเข้าใจแห่งตัวตนถูกหรือไม่ (ถูก)  ตัวตนเป็นอย่างไร ก็ดูที่ความคิด ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่วันนี้เราทำอะไรใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “อยากรู้ว่าเมื่อก่อนทำอะไร ให้ดูปัจจุบัน อยากรู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไร ให้ดูการกระทำปัจจุบัน”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากรู้อดีตเราทำอะไรมา ให้ดูผลของปัจจุบันที่เราได้รับใช่หรือไม่ (ใช่)  และอยากรู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ก็ดูวันนี้เราทำเช่นไรใช่หรือเปล่า (ใช่)
มนุษย์ทุกคนอยากทุกข์หรือเปล่า (ไม่อยาก)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ถ้าไม่อยากทุกข์ก็จงอย่าทำบาปทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง เพราะบาปมีผลคือความทุกข์ และน่ากลัวที่สุดยิ่งกว่าทุกข์ก็คือ การเวียนว่ายรับผลแห่งการกระทำของตน ที่เรียกว่า วัฏสงสาร ถ้าเราไม่อยากรับทุกข์ เราก็อย่าทำบาปและรากเหง้าของบาปคือ โลภ โกรธ หลง การยึดติดตัวตน ตัณหา อบายมุข ราคะ กิเลสทั้งหลาย
ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์จงอย่าสร้าง (บาป) ถ้าไม่อยากทุกข์ก็อย่าตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ ความยึดติดตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวท่านเอง อย่างที่เราบอกตั้งแต่ต้น ใครทำอะไรก็ต้องได้อย่างนั้น เพราะโลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล ถ้าเราไม่สร้างเหตุ เราจะได้รับผลไหม (ไม่)  ถ้าเราไม่ทำผิด เราจะได้รับทุกข์ไหม (ไม่)
ในโลกนี้สิ่งที่เราเชื่อมักเป็นอย่างที่เราคิดเสมอไหม (ไม่)  คนไม่ดี ไม่ดีตลอดใช่ไหม (ไม่ใช่)  คนดี ดีตลอดใช่ไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นเวลาเจอคนไม่ดีเราควรโกรธไหม (ไม่ควร)  ควรด่าไหม (ไม่ควร)  แล้วเวลาเจอคนดี เราควรหลงไหม (ไม่หลง)  ถ้าเราคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างที่เราคิด การดำเนินชีวิตก็อาจจะผิดพลาดได้เพราะหลายครั้งสิ่งที่เห็นอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราเข้าใจ ถูกไหม เหมือนวันนี้เราชนะ พรุ่งนี้เราชนะไหม หรือต่อไปเราจะชนะไหม (ไม่)  มีชนะก็มีแพ้ มีดีก็มีไม่ดี ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจว่าในโลกของความเป็นจริงนั้นเปลี่ยนแปลงได้ เรารู้ว่าในคนไม่ดี อาจจะดีได้ เราจะเกลียดไหม (ไม่เกลียด)  เมื่อไม่เกลียดเราจะบาปไหม (ไม่บาป)  เมื่อไม่บาปเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แล้วตอนนี้เราเกลียด เราบาป เราทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ท่านต้องระวังก็คือ เมื่อศึกษาธรรมอย่าให้ความคิดความเข้าใจมาบดบังความจริงเพราะความจริงทำให้เราเห็นธรรมและพ้นทุกข์ แต่ถ้าเราเอาแต่ความคิดจนไม่มองความจริง จะทำให้เราไม่มีวันพบธรรมและพ้นทุกข์ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทำอย่างไรที่เราจะสามารถมองเห็นความจริงมากกว่าสิ่งที่เราคิดและเข้าใจ ถูกไหม (ถูก)  ก่อนจะโทษคนอื่นต้องหัดมามองดูตัวเรา ทำอย่างไรที่จะไม่ปล่อยให้ความคิดมาครอบงำเราจนลืมมองความเป็นจริง เพราะส่วนใหญ่มนุษย์มักจะยึดติดความคิดความเข้าใจ จนทำให้เรามองไม่เห็นความเป็นจริงที่เรียกว่าธรรมะ ถ้าอย่างนั้นเรามาดูกันว่าอะไรมาบดบังจนทำให้เรามองไม่เห็น
ถามลึกๆ  ในตัวตนคนมีความเป็นจริงที่เหมือนๆ กันอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นในโลกก็เหมือนกัน ดูอาจจะร้าย แต่ดี ดูเหมือนดีจริงๆ แอบร้าย ใช่ไหม (ใช่)  เรานี่แหละเป็นเลยจริงไหม
ถ้าอย่างนั้นเรามาดูว่าอะไรบดบังจนทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความจริงและตื่นรู้ในความจริงจนเกิดปัญญาแจ่มแจ้งได้ วิสัยของมนุษย์ที่เหมือนๆ กัน

ข้อแรก ว่าไม่ได้ ผิดไม่ได้ จริงไหม ลองโดนว่าซิ เธอนะไม่ดี รับไหม ไม่รับเสียงสูงเลยใช่ไหม ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ขวางกั้นทำให้เรามองไม่เห็นความจริงคือผิดไม่เป็น ว่าไม่ได้ ร้ายไม่ได้ ใช่ไหม
อย่างที่สอง ยอมไม่เป็น ถ้าคนที่เราบอกว่าเขาไม่ดี มันไม่ดี แต่จริงๆ แล้วเขามีดีอยู่ แต่ถึงเวลาพอเขาไม่ดีกับเรา เรายอมไหม (ไม่ยอม)  เมื่อไม่ยอมเราก็เลยไม่สามารถปฏิบัติกับเขาด้วยธรรมได้ นี่แหละยอมไม่เป็น  เมื่อยอมไม่เป็น ให้ก่อนเป็นไหม (ไม่เป็น )
ข้อสาม ให้ก่อนไม่ได้ เธอไม่ดีกับฉันก่อนแล้วทำไมฉันต้องดีกับเธอก่อน เธอไม่เคยให้อะไรฉันเลยทำไมฉันต้องให้เธอก่อน ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นใช่ไหม แล้วเมื่อเป็นอย่างนั้นเราจะสามารถทำดีกับใครได้ไหม แล้วเราจะปฏิบัติธรรมได้ไหม แล้วเราจะมองเห็นความจริงไหม
ฉะนั้นสิ่งเลวร้ายที่ขวางกั้นทำให้มนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงความจริงและมองเห็นธรรมะได้ คือ นิสัยความเป็นคนของเราที่ง่ายที่จะไหลลงต่ำ คือ ว่าไม่ได้ ผิดไม่ได้ ยอมไม่ได้ ให้ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเราทำตรงนี้ไม่ได้ จะปฏิบัติธรรมกับใครไม่ได้ เมื่อเราปฏิบัติธรรมกับใครไม่ได้ แล้วจะมองเห็นความเป็นจริงในโลกได้หรือ ถ้าว่าได้ ผิดได้ ก็ดีขึ้นได้ แต่ถ้าว่าไม่ได้ ผิดไม่ได้ ก็ไม่มีวันเป็นคนดีได้ ใช่หรือไม่ ทะเลยิ่งใหญ่เพราะกล้ารองรับทุกสรรพสิ่ง น้ำเล็กกระจ้อยร่อยเพราะไม่เคยคิดรองรับสิ่งใด ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ปิดกั้นตนไม่เคยรับฟังคำพูดใครและไม่เคยเปลี่ยนแปลงนิสัยใจตน สักวันหนึ่งจะต้องกลายเป็นน้ำเน่าที่ไร้ใครอยากใกล้ชิด และรากฐานของการเป็นคนที่ดีและสามารถปฏิบัติธรรมได้ก็คือต้องยอมให้เป็น และต้องให้ก่อนให้ได้ เขาด่าเราแต่เราอดทน เรายอม เราให้ความเมตตากลับ อยู่ในโลกนี้เราไปเอาก่อนแล้วค่อยให้หรือให้ก่อนแล้วค่อยเอา ไปทำร้ายเขาแล้วค่อยมาทำดีตอบ แก้กันได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าเป็นอย่างนั้นสู้ไปเอามาน้อยๆ แล้วให้เยอะๆ อย่างไหนดีกว่ากัน หรือไม่เอาเลย คนดีจริงต้องให้ก่อน และเมื่อให้จนถึงที่สุดมีหรือจะไม่ได้ มีแต่ไปเอาจนถึงที่สุด แล้ววันไหนจะได้ ฉะนั้นถ้าเกิดท่านไม่สามารถเอาชนะใจที่ไหลลงต่ำอย่างนี้ได้ ท่านก็ไม่มีวันเป็นคนดี และเข้าถึงธรรมได้ จริงไหม (จริง)  ทำได้ไหม (ได้)  เมื่อท่านยังปล่อยตัวเองเป็นแบบนี้ท่านก็เลยอดตัดพ้อต่อว่าไม่ได้ว่า ทำไมเขาไม่เมตตาฉัน
พื้นฐานของความเป็นจริงของคน
อันดับที่ ๑ มีเมตตา ทำไมเขาไม่เมตตา แต่เราลืมเมตตากับเขา และลืมเมตตากับตัวเอง 
อันดับที่ ๒ มีมโนธรรม ทำไมเขาไม่มีมโนธรรมสำนึกเลย ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเลย แล้วตัวเราเองล่ะ
อันดับที่ ๓ มีจริยธรรม ทำไมทำตัวไม่น่ารักเลย แล้วตัวเองน่ารักไหม เป็นผู้ใหญ่เสียเปล่า พูดได้แต่ทำ (ไม่ได้)
อันดับที่ ๔ มีสัตยธรรม  พูดแล้วได้อย่างที่พูดไหม พูดแล้วไม่เห็นทำได้เลย ขี้โม้เสียเปล่า และเมื่อถึงที่สุด
อันดับที่ ๕ มีปัญญา แต่ถ้าเมื่อไรท่านว่าได้ ท่านผิดได้ ท่านยอมได้ ท่านให้ได้ทั้งเมตตาธรรม มโนธรรม จริยธรรม สัตยธรรม และปัญญาธรรม สิ่งเหล่านี้ก็จะมาโดยไม่ต้องมีการบังคับเลยจริงไหม (จริง)  ให้ได้ก็เมตตาได้ ยอมได้ก็มีมโนธรรมได้ ผิดได้ก็มีสัตยธรรมได้ ยอมได้ ผิดได้ ให้ได้ก็มีปัญญาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ายอมไม่ได้ ผิดไม่ได้ ให้ไม่ได้ ว่าไม่ได้ แบบนี้เรียกว่าไม่มีสิ่งเหล่านั้นเลย เข้าใจไหม ฉะนั้นอยากละบาป โลภ โกรธ หลง ยังเป็นกิเลสอย่างหยาบ แต่บาปที่เกิดจากการยอมไม่ได้ ผิดไม่ได้ ให้ไม่ได้ ว่าไม่ได้ แล้วหวังว่าทุกสิ่งต้องเป็นอย่างใจ นั่นแหละที่เป็นกิเลสที่เป็นแก่นแท้ในใจของเรา แก่นแท้ของเรามันมีอยู่ ๒ แก่น หนึ่ง คือแก่นที่ไม่ดี กับ สอง คือแก่นที่ดี ลึกๆ ชอบคนเมตตาไหม (ชอบ)  ชอบคนที่เคารพให้เกียรติไหม (ชอบ)  ชอบคนพูดได้ทำได้ไหม (ชอบ)  ชอบคนมีปัญญาดีไหม (ชอบ)  แล้วเรามีชีวิตอยู่ อยู่กับคนโง่หรือคนฉลาด (ฉลาด)  อย่างนั้นหรือ เห็นเลือกคนโง่ เพื่อที่จะกดขี่ และว่าได้ ใช่ไหม คนที่เลือกเพื่อนโง่กว่า นั่นแหละเรียกว่าคนโง่ที่สุดแล้ว จริงไหม (จริง)  ถ้าอย่างนั้นลองหันกลับไปดูนะ ว่าเราโง่หรือเราฉลาด ดูที่เพื่อนเรา
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาให้เขียนบนกระดานว่า)
สิ่งที่ควรละ  { ละบาป }   ได้แก่
1. ผิดไม่ได้ ว่าไม่ได้
2. ยอมไม่เป็น
3. ให้ก่อนไม่ได้                   
4. ตามใจ ตามอารมณ์
สิ่งที่ควรมี  { บำเพ็ญบุญ  }   ได้แก่
1. ต้องมีเมตตาธรรม
2. ต้องมีมโนธรรม
3. ต้องมีจริยธรรม
4. ต้องมีสัตยธรรม
5. ต้องมีปัญญาธรรม

ถ้าสิ่งนี้ท่านละได้ สิ่งนี้ท่านก็มีได้ ถ้าสิ่งนี้ท่านทำได้สิ่งนี้ท่านก็ไม่ต้องพยายาม มันก็มีขึ้นเอง จริงไหม (จริง) แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม ดังที่พระพุทธะสอนไว้ ท่านเป็นคนนับถือศาสนาพุทธถูกไหม “ละบาปก็บำเพ็ญบุญ”  เมื่อละบาปบำเพ็ญบุญ ก็สามารถเข้าถึงความบริสุทธิ์ มันยังมีแก่นธรรมของความเป็นจริงอีกแก่นหนึ่งคือ นอกจากเห็นสิ่งที่ต้องละและสิ่งที่ต้องปรากฏให้มี ยังมีอีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าทำสองสิ่งนี้ได้ และเข้าใจความจริงแห่งโลกอีกสิ่งหนึ่ง จะสามารถเกิดปัญญา และเข้าถึงความบริสุทธิ์ที่เรียกว่า “สภาวธรรม” ยากไหม (ไม่ยาก)  ถ้าอย่างนั้นตั้งใจฟังก่อนนะ หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมเราถึงต้องศึกษา ปฏิบัติบำเพ็ญธรรมใช่ไหม (ใช่)  แค่นี้ก็เอาตัวไม่รอดแล้วใช่ไหม แค่นี้ก็ทุกข์แล้วใช่หรือไม่ แต่การเลือกทำในสิ่งที่ถูก ผลจะนำพามาให้ทุกขณะที่ทำมีความสุข แต่ถ้าเราเลือกทำสิ่งที่เรียกว่า กิเลส อารมณ์ ผลที่ตามมาคือจุดไฟเผาตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขึ้นชื่อว่าธรรมคือชื่อแห่งความสงบสุข ขึ้นชื่อว่ากิเลส คือชื่อของความทุกข์และความเผาร้อนจิตใจตนใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าทำไมต้องเป็นคนดี เป็นคนดีเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ทำดีโดยไม่หวังผล เข้าใจจุดประสงค์ของการทำดีไม่มีวันเหนื่อย แต่ถ้าทำดีแบบยึดติดว่า ไม่ยอม ไม่ได้ ฉันต้องได้ ฉันต้องอย่างนี้ ทำไปแล้วจะเหนื่อยใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนนั่งฟังไปแล้วเหนื่อยใช่ไหม (ไม่ใช่)
เมื่อสามารถทำได้แบบนี้ รู้ไหมว่าการทำได้แบบนี้ ยังเป็นสาเหตุของการสร้างเหตุที่ดี เมื่อเรามีเมตตา ไม่เคยเบียดเบียนใคร จะถูกใครเบียดเบียนไหม (ไม่)  เมื่อเรารู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่เคยอยากได้ของใครมาเป็นของเรา ใครจะมาเอาอะไรจากเราไหม (ไม่)  เพราะเราไม่เคยอยากได้ของใครมาก่อนถูกไหม (ถูก)  ถ้าเกิดว่าท่านอยากได้เมตตา ถามซิว่าท่านเคยเมตตาใครไหม ถ้าท่านเมตตามากๆ ก็จะอายุยืน คนมีมโนธรรมสำนึกดีก็จะเป็นที่รัก ที่น่าเคารพนับถือ  คนที่พูดจริงทำจริง ก็จะศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นอยากสร้างเหตุที่ดี ถามซิว่าเรามีเหตุอันนี้ที่ครบหรือไม่ อยากได้ครอบครัวร่มเย็นก็ถามว่าเรามีมโนธรรมสำนึกไหม เราเคยให้เกียรติคนในครอบครัวไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือรากฐานของความเป็นคนที่ทุกคนควรมี
แต่จิตใจมักง่ายที่จะไหลลงต่ำ มากกว่าขึ้นสูง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราฝืนได้เราก็จะพบธรรมได้ และเมื่อเราพบธรรมได้ เราก็จะเกิดปัญญาเห็นแจ่มแจ้งได้ ที่เรียกว่าความเป็นจริงอันเป็นหนึ่งเดียวกันเรียกว่า (นิพพาน)  นิพพานคือความสงบเย็น สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราไม่พ้นทุกข์แม้เราจะดีขนาดไหน แม้จะละบาป บำเพ็ญบุญ  ละบาปเพื่อสร้างคุณธรรม ซึ่งทำได้แค่นี้ก็คือคนที่ประเสริฐในโลก ดังพระพุทธะบนแดนดิน แต่ยังไม่พ้นทุกข์นะ จริงไหม (จริง)
เมื่อไรที่ใจเราเที่ยงตรงจะได้รับความเคารพจากผู้อื่น
เมื่อไรที่เรามีใจเมตตา เราจะได้ใจที่สงบร่มเย็นกับทุกคน และกับตัวเรา
เมื่อไรที่เราสามารถใจกว้างเราจึงสามารถรักษาความสมดุลระหว่างดี ร้าย ได้ เสียได้
แต่ถ้าเมื่อไรที่ใจเรากระจ่างแจ่มชัดความเป็นจริง เมื่อนั้นแหละใจเราจะเป็นอิสระ และกลับคืนสู่สภาวธรรม แต่ไปไม่ถึงเลยใช่ไหม ฉะนั้นถ้าท่านทำได้อย่างที่เราพูด  เราก็จะบอกต่ออีกอย่างหนึ่งว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกสิ่งเหมือนกันนั่นก็คือ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” นั่นคือความเป็นจริงอีกอันหนึ่งที่ท่านพิจารณาอยู่เนืองๆ จะบังเกิดธรรมและปลดปล่อยความผิดทั้งหลายให้เบาบางลงได้ ความจริงแห่งธรรมอีกอันหนึ่งที่ทำให้ทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกันและกลับคืนสู่ความเป็นจริงก็คือ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”
ศิษย์พี่ถามหน่อยนะ ในความเป็นจริงแห่งคน ถ้าเราหมั่นเตือนตนอยู่เสมอว่าโลกนี้มันไม่เที่ยง คนมีวันเปลี่ยนแปลง เราจะโกรธจะเกลียดใครไหม (ไม่)  เราจะหลงใครไหม (ไม่)  ถ้าลึกๆ เรารู้เสมอว่ามันไม่เคยมีอะไรจริง แล้วเราหลงไหมตอนนี้ หลงไม่หลง (ไม่หลง)  ไม่เข้าใจใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นค่อยๆ พูดทีละเรื่องนะ ถามหน่อยเรามีวันแก่ไหม (แก่)  เรามีวันเหี่ยวไหม (เหี่ยว)  เรามีวันตายไหม (ตาย)  ถ้าอย่างนั้นเราน่ารักหรือน่าเกลียด (น่ารัก)  ไม่แน่ ก็เมื่อสักครู่ท่านยังบอกเลยว่าเรามีวันเหี่ยว เรามีวันตาย ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเราน่ารักหรือน่าเกลียด (ไม่แน่)  ถูกไหม เราถามหน่อย เราดีไหม เราร้ายไหม ใช่หรือไม่
(ศิษย์พี่เมตตา ให้นักเรียนชายท่านหนึ่งยืนให้นักเรียนในชั้นดูหน้าตา) ท่านนี้ยืนดูหน้าตาหน่อยนะ หันมาโชว์ให้เขาดูหน่อย หน้าตาร้ายไหม ร้ายไหม ไม่แน่นะ ถ้าไม่แน่เราสามารถมั่นใจได้ไหมว่าเขาไม่ดี เราสามารถหลงได้ไหมว่าเขาดี (ไม่ได้)  ใช่หรือไม่ เมื่อไม่ได้แล้วเราจะเกลียดเขาไหม (ไม่)  เมื่อไม่แน่ใจว่าเขาจะดีหรือเปล่าเราจะรักเขาไหม (ไม่)  ถ้าอย่างนั้นเราถามจริงๆ คนที่ท่านบอกว่ารัก คนที่ท่านบอกว่าเกลียด เขาดีจริงๆ ไหม เขาน่ารักจริงๆ ไหม (ไม่แน่)  เมื่อไม่แน่แล้วเราควรรักไหม (ไม่ควร)  ใช่หรือไม่ ถ้าท่านเข้าใจความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ท่านจะไม่ทุกข์กับคนในโลก และไม่ก่อเกิดโลภ โกรธ หลงและไม่มีอะไรในโลกที่ทำให้ใจทุกข์เลย จริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อเราเข้าใจความเป็นจริงอันเป็นแก่นแท้ที่ทำให้ทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียว โลภ โกรธ หลงจะไม่บังเกิด เพราะมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และมันก็ว่างเปล่า ฉะนั้นถ้าตามใจตามอารมณ์ ธรรมจึงไม่เกิด ปัญญาจึงไม่มี ความเห็นแจ้งในโลกความเป็นจริงจึงไม่เคยชัด ทุกวันนี้สิ่งที่เราทำคือ ตามใจตามอารมณ์ ใช่ไหม จึงหนีไม่พ้นวัฏฏะแห่งความทุกข์ ทำไมเขาต้องทำให้ฉันเจ็บ ทำไมเขาต้องพูดแบบนี้ ทำไมเขาต้องลวงฉันอย่างนี้ แต่ถ้าท่านเข้าใจความเป็นจริงและทำสิ่งที่ถูกต้อง เราจะไม่ถามว่าทำไม แต่เราจะเข้าใจเพราะเราก็เคยเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยด่าเขาไหม เคยโกงเขาไหม เคยหลอกเขาไหม เคยผิดคำพูดกับเขาไหม ใช่หรือไม่ แล้วตัวเองให้อภัยตัวเองไหม แล้วเคยว่าตัวเองแล้วแก้ไขไหม ฉะนั้นถ้าแก้ไขไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์

สิ่งที่เราพูดคือแก่นความเป็นจริงของคนใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคำกล่าวสอนไว้ว่า เมื่อไรที่เราเข้าใจความเป็นคนในตัวเรา เราจะเข้าใจความเป็นคนในผู้คน เมื่อไรเข้าใจนิสัยของความเป็นคนอันแท้จริง เราจะเข้าใจนิสัยของความเป็นคนในโลกได้ เมื่อไรที่เราเห็นชัดในตัวตน เราจะสามารถเห็นชัดในผู้คน ดังคำกล่าวว่า ไม่ต้องออกนอกบ้าน ถ้าเข้าใจตนก็เข้าใจในมวลสรรพสิ่งในชีวิต แต่ถ้ายังไม่เข้าใจตนก็ยากที่จะเข้าใจผู้คนได้ เหมือนที่มนุษย์ชอบเป็นกันคือ เอาแต่รอว่าใครจะมารักฉัน เอาแต่รอว่าใครหนอจะเคารพฉัน แล้วก็รอว่าใครหนอจะทำให้ฉันมีความสุข ถูกไหม แต่ผู้ที่เข้าใจธรรม ทำตัวเองให้น่าเคารพ ทำตัวเองให้น่ารัก และรู้จักรักคนอื่นให้เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาแต่รอคนมารักสู้รู้จักรักตัวเองให้เป็นและรักคนอื่นให้เป็นดีกว่าแล้วจะเหงาไหม (ไม่เหงา)  รู้จักเคารพให้เกียรติตัวเองและเคารพให้เกียรติผู้อื่น ใครจะมาดูถูกเราไหม (ไม่)  รู้จักมีสุขไม่ต้องรอสุขในอนาคต เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
ฉะนั้นอย่ามัวรอจงเริ่มทำที่ตัวเราเองก่อน วันนี้เราก็มาแค่นี้ ขอทวนหน่อยนะ ทำอะไรต้องรู้จักมีสติ มีธรรมยั้งคิดนะดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นอย่าดูเบาตัวเองว่าสิ่งที่เราพูดไกลเกินเอื้อม อย่าดูเบาตัวเองว่าสิ่งที่เราพูดท่านทำไม่ได้ ไม่ลองจะรู้หรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สุขทุกข์ไม่ได้อยู่ที่ใครเป็นคนกำหนด แต่อยู่ที่เราสร้าง ขอเพียงเราเข้าใจและเห็นแจ้งความเป็นจริงในตัวเอง ธรรมะไม่ได้อยู่ข้างนอก ธรรมะไม่ได้อยู่ในหนังสือ แต่ธรรมะต้องค้นหาที่ใจเรา และเริ่มทำออกจากใจเรา เพราะถ้าเราสงบคนอื่นก็เป็นสุข ถ้าเราทุกข์คนอื่นก็เป็นทุกข์จริงหรือไม่ (จริง)  ยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นลองไปดูนะสิ่งที่เราพูดไม่ใช่เรื่องยากไกลเกินเอื้อมใช่ไหม (ใช่)
เวลาทำอะไรถามตัวเองก่อนนะ อยากปฏิบัติธรรมและพ้นทุกข์จริงไหม ถ้าไม่อยากปฏิบัติก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ถ้าอยากปฏิบัติแล้วพ้นทุกข์ พบธรรม ลองไตร่ตรองสิ่งที่เราพูดวันนี้ว่า สิ่งที่ท่านทำ สิ่งที่ท่านคิด สิ่งที่ท่านพูดยอมให้ใครไหม ให้ไหม สิ่งที่ยอมให้มีธรรมบ้างไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากพบธรรมในผู้คน ต้องเริ่มจากพบธรรมในใจตน อยากมีธรรมในผู้คน ก็ต้องเริ่มมีธรรมในใจตน ใครไม่มีเรื่องของเขา เราจะมี ใครไม่เป็นเรื่องของเขา เราจะเป็นธรรมที่ถูกต้องและดีงามให้ได้ คนปัจจุบันนี้ขาดคนดีจริงนะ โลกปัจจุบันขาดคนมุ่งมั่นปฏิบัติจริง เก่งแต่พูดแต่ไม่เก่งกระทำใช่ไหม (ใช่)  ดีแต่ปากไม่เอา อยากให้ดีที่การกระทำ และขอเป็นคนดีจริง ดีที่สุด ดีจนลมหายใจสุดท้าย แล้วท่านจะรู้ว่าชีวิตมันมีค่า ทุกเวลาประมาทไม่ได้ เพราะผิดกับเขาไปแล้ว ทำดีอย่างไรก็แก้ไม่ทันจริงไหม (จริง)  ถามใจท่านดู ใครว่าเราผิดใจนิดหนึ่ง ขอโทษหายไหม (ไม่หาย)  ฉะนั้นยอมก่อนไม่ดีกว่าหรือ สร้างธรรมให้บังเกิด อย่าเป็นทุกข์แล้วค่อยมีธรรม จงมีธรรมเพื่อไม่ต้องมีทุกข์ อย่ามีทุกข์แล้วค่อยมีธรรม จงมีธรรมเพื่อจะได้ไม่สร้างทุกข์ ขอให้มีสติ ทำอะไรยั้งคิด ไปแล้วนะ

วันอาทิตย์ที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ สถานธรรมฉือเหริน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  อิงมองตามจริงโลกอยู่ลำบาก              เจออุปสรรคต้องเข้าใจชีวิตยิ่ง
หอบสติไปข้างนอกได้พึ่งพิง                   คาถาเรียกใจนิ่งไม่จ่ายแพง
สติตรองครองใจใช้เป็นประจำ                 คิดพูดทำเป็นธรรมบารมีแกร่ง
ฟังได้กลางกลางกำราบมารจำแลง           ตื่นใจแจ้งในโลกสร้างบารมี
                        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา         ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                 ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

อยู่ไปอยู่มาชีวิตไม่เป็นของเรา  เกิดแต่เรื่องเหนือคาดเดา กำกับเราคือนิสัยตน  ปัญหาซ้ำซ้ำเป็นตัวเองง่ายง่ายกลับสับสน  ขาดธรรมในเรื่องตน (อึดอัดในเรื่องของใคร)
บำเพ็ญหมดแล้วเรื่องทุกข์ก็ยังไม่เบา ไม่มีวันเว้นศุกร์เสาร์ดูฌานเราบำเพ็ญถึงไหน ได้เห็นว่าทุกข์ก็พบว่าธรรมมีที่หัวใจ ธรรมะสมบูรณ์จิตใจ สุขทุกข์กลายช่วยให้กระจ่าง
* คนบำเพ็ญหัวร้อนรับกันไม่ไหว รู้มากไปถึงรับแบกให้เป็นปัญหาตัว ติดใจสงสัยกันแล้ววุ่นวายหนักหัว ตระหนักรักตัวต่างคนบำเพ็ญจิตให้มากพอ
** ผู้บำเพ็ญนั้นสติอยู่พร้อมเหมือนเพื่อน เสียงที่ไม่ตักเตือนแม้แค่ฟังก็เจอทางพ้น โลกไม่พ้นทางคิดถึงปัญหาตกตกหล่นหล่น เสียงคือเสียงบ่นชีวิตไม่เพียรไม่ใช่ของเรา      ซ้ำ (*, **,      )

ทำนองเพลง : เธอเป็นแฟนฉันแล้ว
ชื่อเพลง : ชีวิตไม่เพียรไม่เป็นของเรา


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มาแล้วยังดีกว่ามาช้า มาช้ายังดีกว่า (ไม่มา)  ตกลงมาช้าดี หรือมาช้าไม่ดี  ดีกว่าไม่มาเลยใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ไม่มาดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าอย่างนั้นก็ต้องอยู่ที่ตัวศิษย์แล้วนะ ถ้าตั้งใจคุยกันเราก็อยู่กันนานๆ แต่ถ้าไม่ตั้งใจคุยกัน  มาสักครู่ก็หายไปดีไหม (ไม่ดี)  อะไรก็ดีอยู่ในโลกนี้จะได้ไม่ทุกข์จริงไหม ถ้าเลือกที่รักมักที่ชังเราก็จะมีความทุกข์ แต่ถ้าคิดว่าอะไรมันก็ดี เขาด่าก็ดี เขาชมก็ (ดี)  เขาเอาเงินไปไม่คืนก็ (ดี)  ให้พูดได้อย่างนี้ตลอดๆ นะ สามีไปไม่กลับบ้านก็ (ดี)  จริงหรือ  แต่ผลสุดท้ายก็มานั่งเสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เก่งจริงนี่นา
อยู่ในโลกนี้อยู่ยากไหม (อยู่ยาก)  บางคนบอกยาก บางคนบอกไม่ยาก ถ้าอยู่แล้วใส่ใจ กังวลทุกคนมันก็ยากนะ แต่ถ้าอยู่แล้วเป็นตัวของตัวเอง ไม่สนใจใครมันก็ง่ายใช่ไหม (ใช่)  ใช่หรือ แล้วศิษย์เป็นประเภทไหน

อาจารย์ว่าบางทีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงนี้บางทีก็อยู่ยาก เพราะในโลกคนส่วนใหญ่มักจะสอนว่า ต้องเป็นคนเก่ง ต้องเป็นคนดี และต้องมีแต่ได้ ใช่ไหม (ใช่)
เรามักจะถูกสอนว่าอยู่ในโลกนี้ต้องเป็นคนเก่ง ต้องให้ดี ต้องให้ได้ ต้องให้เด่นให้ดัง ใช่ไหม (ใช่)  สอนลูกว่าต้องเก่ง ลูกต้องดี ทำอะไรก็ต้องได้ และต้องดังใช่ไหม ถ้าลูกไม่ดีไม่เด่นไม่ดัง ไม่เอาใช่ไหม (เอา)  เราถูกสอนมาเป็นแบบนี้ แต่ธรรมะกลับสอนในด้านตรงกันข้าม ไม่จำเป็นต้องเก่ง ไม่ดีก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ธรรมดาก็ดี เราเคยสอนลูกแบบนี้ไหม เราเคยบอกตัวเองให้เป็นแบบนี้บ้างไหม เราบอกแค่เพียงว่าลูกต้องเก่ง ถ้าลูกไม่เก่งจะยืนบนโลกนี้ไม่ได้ จริงไหม (ไม่จริง)  แล้วเราสอนอย่างไร เราสอนเราบอกตัวเราเองเสมอ ฉันต้องเก่ง ต้องได้ ต้องดี แต่เมื่อเราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงเราเริ่มรู้แล้วว่า บางครั้งไม่จำเป็นต้องเก่ง บางครั้งยอมไม่ดีบ้าง เพื่อให้คนอื่นได้ดีไม่เป็นไร บางครั้งยอมเสียสละ ยอมที่จะไม่ได้บ้าง เพื่อให้ผู้อื่นได้ เพื่อให้มีสุข บางครั้งไม่ต้องเด่นไม่ต้องดัง อยู่ธรรมดาเรียบๆ ง่ายๆ ก็อยู่กับใครได้ เป็นสุขมากกว่าถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วทำไมเวลาใช้ชีวิตเวลาเจอความจริง เราถึงไม่บอกกับลูก บอกกับหลาน บอกกับคนที่เรารัก บอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร แต่กลับยัดเยียดให้กับลูกว่า ลูกต้องเป็น ลูกต้องได้ ต้องดี จริงไหม (จริง)  แล้วเราเคยสอนเขาแบบนั้นไหม ไม่เก่ง แม่ก็รัก พ่อก็รัก ไม่ดีไม่เป็นไร เดี๋ยวกลับมาดีได้ แม่ก็ให้อภัย พ่อก็รัก เคยบอกกันอย่างนี้ไหม (ไม่เคย)
ขอบใจนะที่กล้ายอมรับ เพราะอาจารย์ว่าอาจารย์ก็ไม่เคยเห็นใครพูดแบบนี้เลย น้อยมาก ส่วนใหญ่รอให้เขาไปผิดพลาดมาแล้วถึงค่อยบอก ถ้าเกิดลูกเขาพูดได้เขาคงบอกว่าทำไมแม่ไม่บอกผมตั้งแต่แรก ทำไมพี่ไม่บอกหนูตั้งแต่แรก ทำไมเพื่อนไม่บอกฉันตั้งแต่แรกว่าฉันเป็นแบบนี้ก็ได้ เคยบอกไหมว่าแกไม่ต้องดีที่สุดแต่ขอแกจริงใจกับฉันก็พอ ใช่ไหม (ใช่)  แกไม่ต้องเก่งที่สุดแต่ขอแกเข้าใจฉันเวลาฉันแย่ก็พอ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องการเวลาเราอยู่ร่วมกันคืออะไร ความจริงใจ ความเข้าใจ กำลังใจ และการเห็นใจ เวลาเราอยู่ในโลกเราเคยเข้าใจใครไหม เราเคยเห็นใจใครจริงๆ ไหม และเราเคยทำได้บ้างไหม เรามักจะตรงกันข้ามใช่ไหม (ใช่)  แกต้องเก่งแกไม่เก่งไม่ใช่เพื่อนฉัน แกไม่ใช่ลูกฉัน เธอไม่ใช่สามีฉัน ไม่ได้เรื่อง ใช่ไหม แต่จริงๆ แล้วชีวิตเรา เราต้องการคนที่เข้าใจเวลาเราแย่ที่สุด คนที่รับเราได้เวลาที่เราไม่เหลืออะไรและไม่มีอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้ความสุขหาง่ายขอเพียงเห็นใจบ้างหรือยัง เข้าใจบ้างหรือยัง จริงใจหรือยัง และรับเขาได้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ไหม ถ้ารับได้ เข้าใจได้ เห็นใจได้ และทนได้ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ความสุขก็จะเกิดขึ้นในชีวิต ฉะนั้นถ้าเราอยากได้สังคมที่ร่มเย็น ครอบครัวที่อบอุ่น เพื่อนที่น่ารัก ลูกที่น่ารัก สามีที่ดี ถามตัวเราเองก่อน เห็นใจเขาบ้างไหม จริงใจกับเขาแค่ไหน แล้วชีวิตที่ร่มเย็น ชีวิตที่เป็นสุขก็ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่อยู่ที่ตัวเราพร้อมจะเรียนรู้และเข้าใจคนรอบข้างอย่างจริงใจหรือไม่
อาจารย์ให้กลอนนำ มีคาถาเรียกใจที่ทำให้ใจนิ่งและไม่ต้องจ่ายแพง นั่นคืออะไร (ต้องมีสติ,มีสติสัมปชัญญะในการดำเนินชีวิต)  มีสติสัมปชัญญะในการดำเนินชีวิตใช่ไหม (ใช่)  เป็นคาถาเรียกใจที่เราไม่ต้องจ่ายเลยใช่ไหม (ใช่)  เวลาอารมณ์ร้อนใช้สติ สติจะช่วยยับยั้งให้เราใจเย็นคิดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลารู้สึกแย่ รู้สึกไม่ดี จงมีสติ สติจะดึงใจให้เรากลับมาให้เราเป็นปกติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสติเป็นสิ่งที่ดี แต่เรามีสติไหม (ไม่มี)  ถ้าทำอะไรขาดสติบ่อยๆ ก็ง่ายจะตกเป็นทาสอารมณ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่ปล่อยตัวไปตามอารมณ์คือคนที่ไม่เคยมีสติอยู่กับตัวถูกไหม (ถูก)  แต่คนที่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ และยั้งตัวเองได้แปลว่ารู้จักมีสติใช้กับตัวใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสติจึงเป็นสิ่งที่มีค่าไม่ต้องเสียเงินเลยด้วยซ้ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาไปใช้บ่อยๆ เวลาไปอยู่กับใคร หรือต้องเผชิญกับสิ่งใด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบถูกไหม (ถูก)  แปลว่าอาจารย์ต้องอยู่ต่อหรือกลับ (อยู่ต่อ)  นึกว่ากลับ ถ้าตอบถูก แล้วตอบได้ แล้วตอบเป็น อาจารย์ก็ไม่ต้องสอนอะไรแล้วจริงไหม (ไม่จริง)  ก็รู้แล้วไม่ต้องบอกอะไรแล้ว จริงไหม (ไม่จริง)  ในโลกใบนี้สิ่งที่จริงก็ไม่จริงได้ใช่หรือไม่ (ใช่)   แล้วสิ่งที่ไม่จริงก็จริงได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
พูดเอง ก็ต้องรับผิดชอบกับผลที่ตัวเองพูด นั่งก็ (ดี)  ไม่นั่งก็ (ดี)  ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่ายืนเป็นเพื่อนอาจารย์ก็ (ดี)  ถ้าอย่างนั้นก็ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ต่อไป ได้ไหม (ได้)  ศิษย์เอยถ้าเราอยู่ในโลกอย่าผลักดันให้ใครทุกข์ อย่าผลักดันให้ใครเจ็บปวด แม้ศิษย์บอกว่ามันเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา แต่ศิษย์จงจำไว้อย่างหนึ่ง ถ้าศิษย์ทำเขาเจ็บ เขาจะทำเราเจ็บยิ่งกว่า ถ้าศิษย์ทำเขาทุกข์ เขาจะกลับทำเราทุกข์ยิ่งกว่า อาจารย์ถามก่อนถ้าเรามีชีวิตแล้วขอได้หนึ่งอย่าง เราอยากขออะไรให้กับชีวิตก่อนจะนั่งดีไหม (ดี)  ขออะไรให้กับชีวิต ขอได้อย่างเดียวและขออีกไม่ได้แล้ว และถ้าตอบแล้วถอนคำพูดไม่ได้แล้วนะ ระหว่างขอให้รวย ขอให้แข็งแรง และขอให้มีปัญญา ตอบแล้วถอนคำพูดไม่ได้แล้วนะ ไหนใครอยากขอให้รวยยกมือขึ้น ในใจก็อยากยกแต่ไม่มีใครยกมือเลย พูดมาตามตรงเถอะอาจารย์ไม่ว่า ยกมือไหม ไม่ยกหรือ ขอแล้วขออีกไม่ได้แล้วนะ ใครขอให้แข็งแรงยกมือขึ้น ยกได้ครั้งเดียว แล้วยกไม่ได้แล้วนะ อยากได้แข็งแรงเอามือลง ใครอยากขอให้มีปัญญา ยกมือขึ้น อย่ายกซ้ำนะศิษย์เอย เอามือลง ถ้าใครขอให้มีปัญญาอาจารย์อยู่คุยต่อ แต่ถ้าใครขอแข็งแรงและรวย อาจารย์จะกลับศิษย์ไปหาเอาเองดีไหม (ไม่ดี)  อาจารย์พูดตรงๆ  ทำไมอาจารย์อยากให้ศิษย์เลือกปัญญารู้ไหม มีเงินแต่ไร้ปัญญา มันก็จนได้ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีเงินแต่มีปัญญาก็รวยได้จริงไหม (จริง)  แล้วทำไมถึงเลือกอยากรวยก่อนแล้วถึงเลือกมีปัญญา ปัญญาเกิดได้จากการศึกษาเรียนรู้ แล้วยิ่งเรียนวิชาธรรมะด้วย กลับไม่เคยคิดอยากเอา แล้วจะได้ปัญญาไหม ถูกไหม (ถูก)  แล้วศิษย์เอารวยหรือเอาปัญญา (ปัญญา)
ไหนใครบอกเอาแข็งแรง อาจารย์จะบอกเอาแข็งแรงแต่ถ้าไม่มีปัญญาสู้กับความอ่อนแอ แข็งแรงมันก็กลับไปอ่อนแอได้ จริงไหม (จริง)  แต่คนมีปัญญาเมื่ออ่อนแอเขาจะทำตัวเองให้เข้มแข็งจงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคน ควรเลือกเมื่อจะดำเนินชีวิต เราจะก้าวไปตรงไหนเราต้องถามจุดเริ่มต้นเรา ถ้าเราเริ่มต้นผิดชีวิตมันก็เดินผิดทาง แต่ถ้าเราเริ่มต้นถูก ชีวิตมันก็เดินไปได้ มันก็สู้ได้ตลอดทาง แล้วมันมีทางออกตลอดทาง จริงไหม (จริง)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามจริงๆ ชีวิตศิษย์เอาเงินก่อนเอาปัญญา ใช่ไหม เงินก่อนปัญญาไว้ที่หลัง ใช่ไหม  เหมือนวันนี้เขาบอกให้มาฟังธรรม 3 วัน เดี๋ยวนะค้าขายดีขายก่อน ใช่หรือไม่ จริงๆ นะศิษย์เอยถ้าเราอยู่ในโลกนี้ไม่อยากเจอคนคับแคบ อย่าตีใจคับแคบ ถ้าอยากอยู่บนโลกกว้างจงเปิดใจกว้าง อะไรก็ได้ อะไรก็ดี เราก็จะมองเห็นโลกกว้าง แต่ถ้าเราตีตนคับแคบ มันต้องอย่างนั้นมันต้องอย่างนี้ เราก็จะเจอแต่คนคับแคบโลกคับแคบ จริงไหม
ถ้าศิษย์เกิดอยากมีปัญญา ศิษย์ก็ต้องรู้จักหมั่นเรียนรู้ แต่บางครั้งการยึดติดยึดมั่นทำให้เราขาดปัญญา และทำให้ไม่สามารถทำอะไรด้วยปัญญาที่แจ่มชัดได้ เหมือนเวลาเรายึดความคิดของเรา เราว่าความคิดของเราถูกต้อง เราก็จะไม่สามารถมีปัญญามองเห็นอะไรแจ่มชัด เหมือนเราคิดว่าคนนี้เป็นคนผิด เราจะมองให้เขาถูกมันก็ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะความคิดของเรามันบดบังปัญญา ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวก็คือ อยากมีปัญญาจงอย่ายึดถือความคิดตนเป็นเด็ดขาด เพราะถ้ายึดถือความคิดตน ปัญญาจะบกพร่องทันที เข้าใจนะ (เข้าใจ)
ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยกันต่อ หลายคนอาจสงสัยว่า ธรรมะที่ฟังไปในวันนี้ มันแตกต่างกับสิ่งที่ผมหรือหนูเคยเรียนรู้เคยเรียนรู้กันมา ต่างไหม (ไม่ต่าง)  เรามาตกลงกันก่อนนะ อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา อาจารย์แค่พูดเรื่องธรรมะ ที่เราจะเอาไปใช้ในการดำเนินชีวิต และที่สุดของการปฏิบัติธรรม ก็คืออยู่กับทุกข์ เข้าใจทุกข์ และสามารถไม่เป็นทุกข์ได้ นั่นคือจุดประสงค์หลักของการศึกษาและเรียนรู้ธรรม แต่โดยส่วนใหญ่เราศึกษาและเรียนรู้ธรรม เรามักจะเข้าใจว่าจุดประสงค์หลักของการปฏิบัติธรรมคือการทำบุญ ทำทาน และเป็นคนดี
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนในชั้นเรียนว่าใครชอบทำบุญบ้าง)
ที่บอกว่าชอบนี่ทำบ่อยๆ หรือนานๆ ที (บ่อย)  คนทำบุญติดบุญไหม ขอบุญไหม หลงบุญไหม จุดประสงค์หลักของการศึกษาธรรมหรือการปฏิบัติธรรมอย่างแรก ศิษย์คิดว่าถ้าจะปฏิบัติธรรมต้องทำบุญเยอะๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จุดประสงค์ส่วนใหญ่ในการทำบุญของเราคือ เราทำบุญเพื่อให้ใจสบาย เพื่อสละ เพื่อความโล่งเบา โปร่งเบาในจิตใจ ใช่หรือไม่ ทำบุญเพื่อให้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมเวลาทำบุญเสร็จ ขอๆๆ อย่างนี้เรียกว่าให้หรือขอ ตกลงว่าทำบุญหรือขอบุญ (ขอบุญ)  จุดประสงค์หลักของการทำบุญคือ ทำบุญเพื่อสละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน สละความโลภหลงในทรัพย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไปทำแล้วยังขอ เรียกว่าสละหรือกลับไปยึดเหมือนเดิม ฉะนั้นไม่ได้อยู่ที่เงินเป็นสำคัญแต่อยู่ที่ใจใช่หรือไม่ เราทำเพื่อความสละไม่ยึดมั่นถือมั่น ที่แล้วมาทำเพื่อให้หรือทำเพื่อเอา ฉะนั้นถ้าศิษย์จะเริ่มต้นศิษย์ก็ต้องเริ่มต้นให้ถูก หลักของการปฏิบัติธรรมคือ ทำบุญเพื่อให้ ทำบุญเพื่อสละ ทำบุญเพื่อไม่ยึดถือ ทำสิบบาทขอร้อยบาทถูกไหม (ไม่ถูก)  ถ้าทำเพื่อยึดจะกลายเป็นทำแล้วยังมีกิเลสแอบแฝง ยังมีเจตนามุ่งหวังไม่บริสุทธิ์ ทำบุญแบบนี้ไม่ได้ไปสวรรค์ ใช่ไหม (ใช่)  จะขอต้องขอที่ตัวเอง ขอพระคุณเจ้าให้ร่มเย็นเป็นสุข แต่ทุกวันด่าๆ จะร่มเย็นเป็นสุขไหม (ไม่)  ทุกวันเอาแต่จับเข่านินทา เล่นหวย เล่นพนัน จะมีความสุขไหม (ไม่)  ฉะนั้นอยากขอให้ตัวเองมีความสุข ทำไมไม่ถามที่ตัวเราเอง เพราะจุดประสงค์หลักของการศึกษาธรรมคือทำเพื่อให้ ทำเพื่อละ ใช่หรือไม่
เป็นคนดีที่ชอบเอาความดีว่าตัวเองดี แล้วไปข่มคนอื่นถูกไหม (ไม่ถูก)  เราเป็นคนดีที่ชอบวิพากวิจารณ์ คนนั้นไม่ดีใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราเป็นคนดีที่ชอบเอาความดีของเราไปตัดสินว่า คนนั้นแย่ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เราเป็นคนดีที่ไม่เคยวิพากวิจารณ์ใคร ไม่เคยไปตัดสินใคร ไม่เคยเรียกร้อง ไม่เคยบีบบังคับใครใช่ไหม (ใช่)  เราทำดีจุดประสงค์หลักของการทำดีคือ ไม่ประพฤติชั่ว เราทำดีเพื่อกางกั้นใจของตัวเองไม่ให้ทำผิด เราทำบุญทำทานเพื่อป้องกันให้ใจไม่หลงยึดติด ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจให้ได้ก่อน เพราะถ้าศิษย์ไม่เข้าใจกลายเป็นว่าทำบุญแล้วก็ยังไปหลงยึดเหมือนเดิม อย่างนี้ก็ไม่ได้ละอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีแล้วยังไปทำบาปอีกอย่างนี้ก็ไม่ได้เรียกว่าดี ทำดีเท่าไรก็ไม่เคยได้ดีใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเวลาเราดีแล้วใครไม่ดีว่าไหม (ว่า)  อาจารย์ ศิษย์ไม่ว่าเลย แต่แช่งมันให้ตายจมดินเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหยียบให้ตายเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อย คนดีแล้วมีสิทธิ์ไหมที่บังคับให้ทุกคนต้องดีกับตัวเอง (ไม่มี)  เรียกร้องให้ทุกคนต้องดี คนนั้นไม่ดี ไม่ได้เรื่อง ฉันดีอยู่คนเดียวเอง เหนื่อย เป็นแบบนี้ไหม (ไม่, เมื่อก่อนเป็นแต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็น)  หลังจากอาจารย์พูดอยากไม่เป็นทันทีเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจ ถ้าศิษย์ศึกษาปฏิบัติธรรม บุญยังไม่เข้าใจ การเป็นคนดียังไม่เข้าใจ ศิษย์ก็ยังก้าวต่อไปไม่ได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)
หลักสำคัญอันที่สองของการเป็นคนดีก็คือ ทำดีเพื่อให้ตัวเองไม่ประพฤติชั่ว แต่ไม่ใช่ทำดีแล้วเอาชั่วไปให้คนอื่น ไม่ใช่ทำดีแล้วเพื่อบอกว่าคนนั้นชั่ว แล้วตัวเองดี๊ดีถูกไหม (ไม่ถูก)  ฉะนั้นคนดีจริงยังไงก็ไม่ต้องไปว่าคนไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เชื่อไหม ถ้าศิษย์เป็นคนดี ศิษย์ยืนเฉยๆ ให้เขาชั่วไปเถอะ ยิ่งเขาชั่วเท่าไร เรายิ่งสุกใสสว่างปิ๊งปั๊งจริงไหม (จริง)  ไม่ต้องไปด่าเขาเลย ยิ่งเขาชั่วเท่าไร ฉันสะอาดโดยไม่ต้องทำอะไรเลยจริงไหม (จริง)  แล้วจะไปด่าทำไมให้ตัวเองสกปรกตามใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถามตัวเอง     ถ้าศิษย์อยากเป็นคนหนึ่งที่ปฏิบัติแล้วไม่อยากชั่ว ไม่อยากเลว ไม่อยากร้าย ถ้าจะเป็นคนดีก็อย่าเอาความดีของตัวเองไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น แล้วอย่าไปคิดว่าตัวเองดีนักหนาถึงได้สามารถตัดสินคนอื่นได้ว่า คนนั้นไม่ดี คนนั้นแย่ แน่ใจหรือว่าตัวเองดีจริงๆ (ไม่แน่ใจ)  ไม่แน่ใจแล้วเรามีสิทธิ์ว่าใครไหม (ไม่มี)  จำไว้นะ อย่าว่านะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะถ้าว่าเมื่อไร ศิษย์ก็เกี่ยวกรรมกับคนเมื่อนั้น ไม่ว่าศิษย์จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่เมื่อว่าแล้วอย่าบอกว่าไม่ตั้งใจ ตั้งใจทั้งนั้นแหละใช่ไหม (ใช่)  อย่าบอกว่าไม่เจตนา เจตนาทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่เจตนาจะว่าไม่ออกหรอกจริงไหม (จริง)  แล้วคนส่วนใหญ่ชอบมาคิดว่าที่ว่าคนอื่นได้ มักคิดว่าตัวเองดีเลิศ ประเสริฐศรีใช่ไหม (ใช่)  ถึงคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์จะว่าคนนั้นมันไม่ดี คนนี้มันไม่ดี แต่อาจารย์ถามจริงๆ คนที่เขารู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนดี แต่ยังดีไม่พอ เขาจะว่าใครไหม     (ไม่ว่า)  เขาจะวิพากษ์วิจารณ์ใครไหม (ไม่)  ถ้าเขารู้ตัวเองว่า จริงๆ แล้วตัวเองก็ยังไม่ได้ดีจริง เขาจะว่าใครไหม (ไม่ว่า)  เขารู้ว่าตัวเองดีหรือยัง (ยัง)  ที่เขานินทา เราเคยนินทาไหม (เคย)  ที่เขาทำผิด เราเคยทำผิดไหม (เคย)  ที่เขายักยอกของๆ คนอื่น ฉ้อฉล โกง ทุจริต เราไม่เคยโกงเลยหรือ (ไม่เคย)  ถามจริงๆ ตอนเด็กๆ ใครบ้างพูดได้เลยไม่เคยขโมยเงินพ่อแม่ (หยิบไม่บอก) หยิบไม่บอกเรียกว่าขโมย อย่าพูดว่าไม่ขโมย บางทีเห็นดอกไม้ข้างๆ ทาง เห็นไม่มีเจ้าของเด็ดมาดมเฉยเลย แล้วก็ถือกลับบ้าน อย่างนี้เขาเรียกว่าขโมย สิ่งที่ไม่ควรมองเราก็ไปแอบมอง ไปแอบรู้ นั่นแหละเขาเรียกว่าขโมย อย่าบอกว่าตัวเองไม่ขโมย ฉะนั้นถ้าเราตรวจสอบจริงๆ เราจะไม่เห็นใจ คนไม่ดีหรือ เราจะว่าคนไม่ดีได้หรือ เพราะตัวเองดีหรือยัง (ยัง)  ฉะนั้นเมื่อตัวเองดีไม่พอ จึงพยามยามทำดีเพื่อไม่ทำชั่ว ใช่หรือไม่ ฉะนั้นคนที่พยายามยกว่าตัวเองว่าดี จริงๆ นั้นดีไหม (ไม่ดี)  แล้วคนที่ว่าคนอื่นไม่ดี ตัวเองดีไหม (ไม่ดี)  แล้วตอนนี้ตัวเองดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ดีไหม ดีหรือยัง ตัวเองดีไหม ไหนใครกล้าบอกว่าตัวเองไม่ดียกมือขึ้น (นักเรียนทั้งห้องยกมือ)
อาจารย์ทั้งดีใจและเสียใจ เพราะไม่ดีเต็มห้องเลย แต่อีกอันหนึ่งก็ดีใจว่า คนที่กล้ายอมรับว่าตัวเองไม่ดี  คนนั้นแหละพร้อมจะเป็นคนดี ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นมาคุยต่อ สิ่งที่อยากคุยคือ จุดประสงค์ใหญ่ในการศึกษาธรรมนอกจากเรารู้จักทำบุญเป็นคนดีแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือ ศึกษาธรรมเพื่อจะได้ทำให้เรารู้ทุกข์ เข้าใจทุกข์ และไม่ต้องทำให้เราทุกข์กับโลกใบนี้ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามให้ศิษย์ตอบแล้วมีรางวัลให้ แต่รางวัลนั้นอาจารย์อยากจะบอกว่า กินแล้วทุกข์เหลือเกิน กินแล้วเจ็บจี๊ด เข้าไปถึงใจ เอาไหม (เอา)  นี่แหละสาเหตุหนึ่งของความทุกข์  รู้แล้วว่ามีแล้วทุกข์ ก็อยากมี รู้ว่ามีแล้วว่าเจ็บจิ๊ด ไปถึงใจก็อยากเอา จริงไหม (จริง)  สามีแต่ก่อนมีไหม    (ไม่มี)  ก่อนเคยมีไหม (ไม่มี)  แล้วมีไหม เป็นอย่างไรล่ะ เจ็บจิ๊ดไหม ทุกข์ไหม เอาไหม เอาไปแล้วถอนตัวไม่ได้ รอแต่เพียงเขาไม่เอาเรา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นต้นเหตุอย่างแรกที่มนุษย์ทุกคนในโลกล้วนหนีไม่พ้นทุกข์ก็คือ หนูอยู่ในโลกคนเดียวไม่เป็น อยู่ว่างๆ ไม่ได้ แล้วจะได้รู้ว่าขึ้นสวรรค์แล้วลงนรกอย่างไร ถูกไหม (ถูก)  ไม่ต้องถามผู้หญิงถามผู้ชายก็ได้ ถ้าอยากรู้ว่าสวรรค์นั้นอยู่ตรงไหน ก็ลองมีสักคนหนึ่ง บุญพาวาสนาส่งใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าอยู่นานไปนานมา กรรมอะไรของฉัน
สิ่งแรกที่ทำให้มนุษย์ทุกข์ก็คือ ความไม่พอใจกับความไม่มี ไม่พอใจกับความว่างเปล่า ไม่พอใจกับความโดดเดี่ยว ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกชีวิตล้วนต้องกลับคืนสู่ความว่างเปล่า โดดเดี่ยว และไม่มี ฉะนั้นถึงศิษย์จะพยายามหาแค่ไหน ศิษย์ก็ต้องวางมันลง มีมันแค่ไหน ศิษย์ก็ต้องเรียนรู้และเข้าใจ แล้วก็ต้องวางลงให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นคนที่จะต้องเจ็บก็คือ (เรา)  คนที่ต้องเจ็บและต้องทุกข์ก็คือคนที่พยายามอยากจะเอา อยากจะมี และอยากจะยึดให้มากที่สุด แล้วผลสุดท้ายถึงเวลา ศิษย์ก็แบกมันไปไม่เคยได้ เราต้องอยู่กับคำว่า (ว่างเปล่า)  ใช่ไหม
ฉะนั้นอาจารย์ถามนะศิษย์ ถ้าไม่มีแล้วอยากมีจนมันเจ็บ แล้วค่อยเรียนรู้การวางให้ได้ หรือไม่ต้องมีก็อยู่ได้ หรือมีแต่อยู่ให้ได้วางให้เป็น (อยู่ให้ได้วางให้เป็น)  แต่ละคนเจอไม่เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จึงได้ถามศิษย์ว่า เมื่อศิษย์จะเลือกดำเนินชีวิต มีอะไรบ้างในโลก มีแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)  มีแล้วไม่เคยเจ็บ (ไม่มี)  มีแล้วไม่เคยผิดพลาด (ไม่มี)  มีแล้วไม่ต้องพลัดพรากสูญเสีย (ไม่มี)  ฉะนั้นถ้ามันไม่มีศิษย์อยากจะเจอมันอีกไหม    ในตัวของเราก็หนีไม่พ้นแล้วใช่ไหม (ใช่)  เอาอีกตัวหนึ่งดีไหม (ดี)  แน่ใจหรือ ถ้าอยากจะมีอีกตัว ศิษย์ก็ต้องเรียนรู้ทุกข์อีกรอบหนึ่ง เจ็บอีกรอบหนึ่ง เหนื่อยอีกรอบหนึ่ง ช้ำอีกรอบหนึ่ง เสียใจอีกรอบหนึ่ง แล้วมันใช่รอบเดียวไหม (ไม่ใช่)  มันอาจจะมารอบแล้วรอบเล่า เมื่อไรจะหมดกรรมต่อกันสักที มันอาจจะมาแล้วมาอีก อาจารย์จึงบอกว่าหลักสำคัญในการบำเพ็ญธรรมคือ อยู่กับทุกข์ เข้าใจทุกข์ เห็นทุกข์ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์ ยากไหม (ไม่ยาก)  เหมือนเวลาลูกบอลมันมา  ถ้ามันมาแล้วมันเจ็บ  เอาไม่เอา  (ไม่เอา)  แล้วเวลาเมื่อมันมาแล้วมันทุกข์ รับไม่รับ (ไม่รับ)  แต่ชีวิตจริงรับแล้วเอาใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์เคยได้ยินคำหนึ่งไหม ที่มนุษย์บอกว่าเขาจะทำอะไร แย่ขนาดไหน มันไม่เคยอยู่ในสายตาฉันเลย มันจะเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  เขาจะทำอะไร เขาจะแย่ขนาดไหน ฉันไม่เคยเอาเขามาใส่ใจฉันเลย ฉันจะทุกข์ไหม      (ไม่ทุกข์)  นั่นแหละทำได้ไหมถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้วมันทุกข์ รับมันมาแล้วมันเจ็บ มีแล้ว คิดแล้ว มันก็ช้ำ แล้วทำไมโง่เอามันมา สู้เอาไป (ทิ้ง)  ไม่ต้องทิ้งหรอก เดี๋ยวเขาก็ไปตามทางของเขา โลกใบนี้ไม่เขาจากเราไป เราก็จากเขาไป ฉะนั้นเหตุการณ์จบแล้วเราควรวางมันจากใจดีไหม เหมือนที่อาจารย์บอก สิ่งที่เขาทำออกจากปากเราเรียกว่าขี้ปาก ออกจากตาของเราก็เรียกว่าขี้ตา สิ่งที่เขาทำแล้วมันก็เหมือนขี้ แล้วเราจะเก็บขี้มาไว้ในใจไหม (ไม่เก็บ)  แล้วเราเผลอเอาขี้มาเล่นไหม (ไม่)  ทำไมเขาด่าหนู ทำไมเขาว่าหนู ทำไมเขาทำแบบนี้กับหนู แล้วเราก็เอาขี้ไปแบ่งให้คนอื่น ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ถ้ามันทุกข์ อย่าใส่ใจ ถ้ามันเจ็บ อย่าเก็บไว้ในใจ เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์ เราเกิดมาเพื่อเห็นทุกข์ แต่ไม่ต้องเอาทุกข์มาทำร้ายใจ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นธรรมะสอนให้เราแค่รู้แต่ไม่ต้องไปเป็น แค่เห็นแต่ไม่คิดอยากจะเอา ยากไหม (ไม่ยาก)
(พระอาจารย์เมตตาให้เพลงพระโอวาท ทำนองเพลงเธอเป็นแฟนฉันแล้ว)
ดูสิมีใครจะร้องเพลงได้บ้าง เพลงนี้อาจารย์ให้ประจำชั้นนักเรียนชั้นนี้นะ นิสัยขี้ตู่เราชอบเป็นไหม เราเป็นคนขี้ตู่ไหม เห็นเขายิ้ม คิดไปเองว่าเขาต้องชอบฉันแน่เลย เคยเป็นไหม เห็นเขาส่งตาหวาน   คิดไปเองว่าเขามีใจให้ฉัน เราเป็นแบบนั้นไหม มันขี้ตู่ชัดๆ เลย ถูกไหม คิดไปเองว่าเขาเป็นแฟนเรา แล้วค่อยมาถามว่า แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้เป็นแฟนของเธอ ใช่ไหม ศิษย์ก็เป็นไหม (เป็น)  เราทุกข์ในโลกก็เพราะเราขี้ตู่ชอบไปเอาสิ่งที่ไม่ใช่ของเรามาเป็นของเรา ถูกหรือไม่ อาจารย์ถามจริงๆ สังขารนี้ของเราใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วทำไมหลงได้หลงดี ถึงเวลามันก็กลับคืนสู่ ดิน น้ำ ลม ไฟ      ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อรู้ว่ามันเป็นธรรมชาติแล้วเราหลงมันไหม (ไม่หลง)
อาจารย์ถามจริงๆ  ศิษย์รักเป็นศิษย์ขี้ตู่ไหม เงินมาจากธรรมชาติไหม เสื้อผ้ามาจากธรรมชาติไหม (ใช่)  เราทุกข์เพราะเรารักธรรมชาติใช่ไหม แต่ถึงที่สุดเราเอาอะไรไปได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราต้องงกไหม (ไม่)  แล้วผลสุดท้ายเราต้องทุกข์เพราะความงก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเรายังงกอีกไหม ยอมรับมาตรงๆ  ฉะนั้นเราเข้าใจแล้วว่าทุกสิ่งต้องคืนธรรมชาติ เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  อาจารย์เป็นห่วงนะ อยากหลังตรงอยากแข็งแรง ก็ต้องนั่งหลังตรง พออาจารย์พูดก็นั่งตรง แล้วศิษย์ในนี้ทุกข์เพราะอะไรอยากให้อาจารย์ช่วยแก้ บอกมา ศิษย์รู้ไหม ถ้าเรารู้เราเห็นทุกข์ ถ้าเราไม่ยึดมั่นกับทุกข์เราก็จะพบทางออกของทุกข์ ถ้าเราสามารถอยู่ในโลกเราเห็นทุกข์ชัดแล้วไม่ยึดมั่นกับความทุกข์ เราจะเห็นทางของความพ้นทุกข์ เมื่อเราทุกข์ เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยน จากที่คิดว่าทำไมต้องทำกับฉัน เปลี่ยนเป็นไม่เป็นไร อยากเอาไปก็เอาไปเลย จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
ฉะนั้นถ้าอยากไม่ทุกข์จะต้องรู้จักเปลี่ยนความคิด ถ้าคิดแบบนี้แล้วมันเจ็บ ทำไมไม่เปลี่ยนความคิดไปอีกด้านหนึ่ง ถ้ามองเห็นชัดแล้วพบทางออก ทำไมไม่ปล่อยวางแล้วมองให้ชัด ทุกข์อะไร ถ้าอยากพ้นทุกข์จะยังยืนยันเอาความคิดของตัวเอง หรือจะยอมรับความจริง ห้ามแก่ เจ็บ ตาย ห้ามได้ไหม (ไม่ได้)  ทุกข์ไหม แก่ เจ็บ ใจก็สู้ไม่ถอยนะ แปลว่าอย่างน้อยชีวิตนี้ตายแล้วไม่อายฟ้า ไม่อายดิน ไม่ผิดต่อผู้คน ไม่เห็นต้องกลัวตายเลยใช่ไหม แต่ถ้าทำแล้วยังอายฟ้า อายดิน ไม่ถูกกับผู้คน อย่าเพิ่งตายเดี๋ยวจะตกนรก ใช่ไหม (ใช่)  คนที่ตอบอาจารย์อยากได้แอปเปิลเพิ่มความทุกข์เอาไหม ในเมื่อตัวเองมีปัญญาแล้ว แม้เจอทุกข์ก็จงแปลทุกข์ ให้ใช้เป็นทางพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่  ศิษย์มีปัญญาอย่าดูเบาปัญญาคนอื่น ชีวิตไม่ใช่อาจารย์กำหนด ไม่ใช่ใครกำหนด แต่เรากำหนดตัวเองได้ ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกแอปเปิลกินแล้วทุกข์ แต่ถ้าศิษย์จะมีสุขก็เป็นเรื่องของศิษย์ ใช่ไหม (ใช่)  กลัวไหมกับแอปเปิลทุกข์ (ไม่กลัว, ทุกข์เพราะไม่ยอมปล่อยวาง)  แล้วคราวนี้จะปล่อยไหม ทำให้เต็มที่ก่อน ถ้าทำเต็มที่แล้วเราก็ต้องยอมรับ อะไรจะเกิดก็ต้องกล้ารับ ถ้ายังไม่เต็มที่อย่าเพิ่งปล่อย ไม่อย่างนั้นเขาจะว่าเราไม่รับผิดชอบ (ทุกข์เพราะยึดติด)  แล้วคราวนี้จะยังยึดติดอีกไหม ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เรายึดติดได้ ยิ่งยึดติดปัญญาก็ไม่เกิด ทุกข์ก็จะเจ็บ เวลายึดติดมากๆ หันกลับมามองที่มือ เมื่อไรที่มือมันยึดนั่นคือมือเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต แต่ชีวิตคือสิ่งที่ยืดหยุ่นพลิกแพลงได้ ถ้ายึดมันก็คือป่วย มันก็คือทุกข์ มันก็คือเจ็บจริงไหม (จริง, ทุกข์เพราะคิดมาก)  คิดแล้วได้อะไร คิดแล้วดีขึ้นไหม   สู้แปลความคิดเป็นกล้ารับความจริงดีกว่าไหม แล้วบางทีคิดไปก็กลายเป็นแช่งคนรอบข้าง ถ้าเกิดจะคิด สมมติลูกไปรบ ลูกไปทำงาน ลูกขับรถออกไป ก็ขอให้เขาปลอดภัย คิดแบบนี้ดีกว่า แล้วอะไรจะเกิดก็ต้องกล้ารับให้ไหว
(ทุกข์เพราะความเป็นห่วง)  ห่วงไปมันไม่ทำให้อะไรมันดีขึ้นสู้อวยพรให้เขาปลอดภัยดีกว่า มองในแง่ดีมันก็ทำให้เขาไปดีกว่า ยิ่งถ้าเป็นพ่อแม่คนแล้ว รู้ใช่ไหม พ่อแม่คือสิ่งที่เป็นพุทธะบนบ้าน ถ้าพุทธะคิดว่าลูกจะรอดไหมๆ ลูกไม่รอดแน่ มีใครจะตอบอีก ตอบว่า (เมื่อเวลาเป็นทุกข์ทำไมถึงวางยากจัง)  ตกลงถามหรือตอบอาจารย์ (ถามอาจารย์)  ถามว่าทำไมวางยาก วางยากเพราะว่าใจเราไม่ยอมปล่อย ใจเราไม่กล้ารับความจริง  ถ้าใจเรากล้ารับความจริง มันจะไม่ต้องวาง ทุกสิ่งมันเกิดมาจากจิตทุกขณะ จริงไหม เหมือนเขาว่าเราจบหรือยัง ถ้าจบแล้ว เรื่องที่เราทำจบหรือยัง จบแล้ว เราแก้ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  สิ่งที่ทำได้คือ สู้กับความเป็นจริง ยังไม่ต้องปล่อย แค่สู้กับความจริงให้ได้ เปลี่ยนจากความหวาดกลัวเป็นหัวใจที่สู้ แล้วจะไม่ทุกข์ อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดแล้ว ล้มได้ก็ลุกขึ้นมาได้ ผิดได้ก็ต้องแก้ใหม่ได้
ฉะนั้นเมื่อไรจะเลิกบุหรี่ (ทุกข์เพราะระแวง)  ระแวงไม่ดีนะ สู้ระวังตัวเองดีกว่า เพราะระแวงมันอยู่กับใครก็ไม่มีความสุข อยู่กับแฟนก็ไม่มีความสุข ขอเพียงแค่เราทำดีพร้อม เขาจะเป็นอย่างไรก็ต้องยอมรับ ศิษย์จำไว้นะ ทุกสิ่งในโลกนี้ ถ้ามันเป็นของเราอย่างไรมันก็เป็นของเรา แต่ถ้าไม่ได้เป็นของเรา อย่างไรมันก็ต้องไป จริงไหม (จริง)  แล้วจะไปรั้งทำไมให้เจ็บ แล้วจะไประแวงทำไมให้ทุกข์ อยากไปไปเลย ถูกไหม (ถูก)  เพราะถึงที่สุดเขาตายกับเราไหม (ไม่)  เขาเจ็บกับเราไหม (ไม่)  เขาไปกับเราไหม (ไม่ไป)  อย่ารักคนอื่นจนลืมรักตัวเอง
(ยังไม่มีเรื่องก็ทุกข์แล้ว)  ยังไม่มีเรื่องก็คิดไปแล้ว  เอ๊ะ! มันจะมีเรื่องไหม ศิษย์เป็นไหม (เป็น)  ฉะนั้นต่อไป (ทำให้ดีที่สุด)  ทำให้ดีที่สุด รับผิดชอบให้ดีที่สุด และกล้าที่จะสู้กับความจริง ธรรมะสอนให้เรามีภูมิคุ้มกัน ยอมรับความจริงให้ได้นะ
(ทุกข์เพราะอยากครอบครอง)  ฉะนั้นลองหันไปดูมือ เราครอบครองอะไรได้ เรายึดอะไรได้ ถึงที่สุดเราก็มาตัวเปล่า แล้วก็ไปตัวเปล่า ฉะนั้นไม่เคยมีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริงนะ
(ห่วงลูกห่วงหลาน)  แก้ไม่ได้นะสิ่งนี้ อย่างที่อาจารย์บอกว่า ห่วงได้ แต่ห่วงอย่างให้กำลังใจ ห่วงอย่างเข้าใจ และห่วงอย่างรัก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้ารักเขาเต็มที่ดูแลเขาเต็มที่ ถึงเวลาศิษย์ต้องยอมรับ คนทุกคนมีหนทาง ศิษย์ไปห่วงเขาตลอดไม่ได้ ถึงเวลาเราก็ต้องปล่อยให้เขาเป็นไป จริงไหม (จริง)  เข้มแข็งนะ 
(ทุกข์เพราะมีความห่วง)  อายุปูนนี้แล้วก็ไม่ต้องห่วงเขาแล้ว ห่วงตัวเองดีกว่า เพราะเขาไปถึงไหนแล้วไม่เคยกลับมาดูแลเราเลยใช่ไหม (อยากได้)  ศิษย์เอยไม่มีใครในโลกที่มีความอยากแล้วไม่อยากทำผิดมีน้อยมาก แล้วพยายามอยากน้อยที่สุดเพื่อให้ไม่ผิดเลยก็ไม่มี ใช่หรือไม่ ฉะนั้นควรพอใจในสิ่งที่มีบ้าง ไม่อย่างนั้นความอยากจะทำให้เราเจ็บ แล้วก็เจ็บ ฉะนั้นรู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี
(ไม่ยอมปล่อยวาง)  แล้วตอนนี้รู้จักปล่อยได้หรือยัง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เกิด ดับอยู่ตลอดเวลาไม่ต้องพยายามไปปล่อยมันหรอก พอถึงเวลามันก็ต้องไปตามทางของมัน ขอเพียงเราเข้าใจหลักของความเป็นจริง เราไม่ต้องพยายามบังคับใจให้ปล่อย แต่มันจะตื่นรู้ด้วยตัวเองว่าสิ่งที่เกิดมันก็จบอยู่ทุกขณะ จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
(คำพูดคน)  คำพูดคนก็เหมือนขี้ปาก ใช่ไหม เก็บมาก็เหมือนเก็บขี้มาไว้ในตัว แล้วเอามาคิดก็เหมือนเล่นขี้ แล้วเอาไปเล่าคนอื่นก็เอาขี้ไปป้ายคนอื่นอีกใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นยังสนขี้ปากคนอีกไหม (ไม่สน)  แต่บางทีก็เอามาพิจารณาเขาพูดจริงไหม พูดจริงเราก็เอามาแก้ไข พูดไม่จริงก็ปล่อยมันไป อย่าเก็บขี้เอาไว้ในใจ (กลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง)
(กลัวในสิ่งที่มาไม่ถึง)  อายุเท่าไหร่แล้วศิษย์ ตัวใหญ่ๆ  กลัวอะไร กลัวแพ้ พ่าย ผิด แต่อาจารย์ถามหน่อยคนในโลกใครไม่แพ้ ไม่พ่าย ไม่ผิด (ไม่มี)  เมื่อรู้ว่าไม่มี จงเข้มแข็งเมื่อยามแพ้ จงมุ่งมั่นเมื่อยามเจ็บ และจงอดทนเมื่อยามทุกข์ท้อ ดีหรือไม่ (ดี)  อายุเท่าไหร่แล้วเรา
มีใครตอบอีก (คิดมาก)  แล้วคิดดีไหม ความคิดมันง่ายที่จะไหลลงต่ำ ง่ายที่จะฟุ้งซ่าน คิดร้ายมากกว่าคิดดี ฉะนั้นเวลาความคิดมา จงใช้สติ สติจะดึงความคิดมาสู่ความเป็นกลาง และมองเห็นความจริง ฉะนั้นเราคิดมีสติ เวลาคิดได้มีสติ เวลาแย่มีสติ ทำให้ได้นะ
(จะถามอาจารย์หนูมีความทุกข์มากเลยแต่ว่าไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะว่าหนูอยากมาอบรมมาเรียนให้ครบทั้ง 3 วันแต่พรุ่งนี้หนูมาไม่ได้เพราะมีความจำเป็น หนูจะถามอาจารย์ว่าถ้าหนูสะสมไว้ 2 วันแล้วค่อยไปอบรมใหม่อีกวันเป็น 3 วันได้ไหม ทุกข์มากเลยอาจารย์)  เดี๋ยวก่อนนะ ไม่ต้องทุกข์ๆ เดี๋ยวคราวหน้ามีอบรมอีก มาซ้ำอีกรอบ รับรองยิ่งจำแม่นแน่นอนเลย ไม่ทุกข์ด้วย ดีไหม (ดี)  ยิ่งฟังยิ่งได้ปัญญาแม้จะเข้าใจไม่เข้าใจแต่ปัญญาธรรมสั่งสมไว้ สักวันหนึ่งมันจะปิ๊งออกมาทันทีเลย ฉะนั้นอย่ากลัวการฟังธรรมะนะ ไม่ต้องทุกข์ ดีใจออกได้ฟังอีกรอบหนึ่ง ไม่เป็นไร คราวหน้ามีโอกาสก็มาให้ครบนะ ได้ไหม (ได้)  ได้ตอบไหม (แต่ว่าต้องเป็นวันหยุดอีก)  อ่อ ตกลงว่ามันเป็นปัญหาของอาจารย์ใช่ไหมนี่ ว่าอาจารย์จะยอมให้เขาจบหรือไม่ยอมให้เขาจบใช่ไหม มันต้องมีสักครั้งหนึ่งนะที่มันจะครบทั้ง 3 วันและเป็นวันหยุด เอานะไม่ลองดูจะรู้หรือ ใช่ไหม แล้วถ้าสู้ไม่ถอยมีหรือเขาจะไม่ยอมให้จบ ใช่ไหม ไม่ต้องทุกข์ศิษย์เอ๋ย เรื่องเล็กๆ
(ยอมให้คนอื่นเก่งบ้าง)  แต่มันทำได้ไหม บางครั้งสิ่งที่ดีก็คือเราต้องให้โอกาสคนได้เก่งบ้างอย่าเก่งคนเดียว เก่งคนเดียวมันเหนื่อยให้คนอื่นเก่งแล้วเรายอมไม่เก่งบ้างนั่นแหละเราจึงอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ ใช่ไหม  ตั้งใจดีก็ดีแล้ว
(อยากปลดห่วงแต่ปลดไม่ได้)  เมื่อปลดไม่ได้ก็ต้องอยู่กับสิ่งที่มีให้เข้าใจ คนบางคนมีร้ายมากกว่าดีหรือคนบางคนมีร้ายแค่หนึ่งแต่มีดีเป็นร้อยมันอยู่ที่ศิษย์จะเห็นร้ายแล้วจ้องจับผิดหรือจะเอาความดีมากลบความร้าย ใช่ไหม แล้วศิษย์ก็จะได้ไม่ต้องห่วงไม่ต้องกังวลอีก ถ้าเรายอมรับนะ
เราทุกข์เพราะว่าอะไรหรือ มีความสุขดีอยู่กันสองคนไม่ค่อยทุกข์อะไร ใช่ไหม (ลูกอยู่กรุงเทพฯหมด)  ไม่ค่อยทุกข์อะไรใช่ไหม ฉะนั้นโชคดีฉะนั้นเลยไม่อยาก
ศิษย์ไม่มีทุกข์อะไรใช่ไหม ดีแล้วนะ ยินดีด้วย เขาบอกเขามีความสุขดีไม่ทุกข์อะไร โชคดีนะ ใช่ไหม หันมายิ้มหน่อยนะศิษย์ ฉะนั้นศิษย์พูดว่ามีความสุขดีไม่ทุกข์อะไร ไม่เคยทุกข์อะไร ใช่ไหม (อยู่กันสองคน คนหนึ่ง 81 อีกคน 80)  นี่ 80 นะนี่ แข็งแรงดี สบายดี ใช่ไหม (ลูกสามคน)  ถ้าวันหนึ่งต้องสูญเสียก็จงยังสุขอยู่นะ เข้าใจที่อาจารย์พูดนะ
(เราพูดแล้วลูกไม่เชื่อฟัง)  เราพูดรู้เรื่องไหม เราพูดแต่สิ่งที่เราคิด แล้วเราเคยฟังที่ลูกเป็นบ้างไหม ฉะนั้นถ้าอยากไม่มีปัญหากับลูก ลูกจะเป็นอย่างไรไม่ต้องเรียกร้อง บอกกับลูกว่าลูกจะเป็นอย่างไรแม่ก็รัก แต่ขออย่างเดียวลูกโตแล้วนะถึงเวลาแม่ก็เลี้ยงดูลูกไม่ไหวแล้ว
(ทุกข์เพราะความคิด)  ทุกข์เพราะความคิดความรู้ เพราะคิดว่าตัวเองรู้และเข้าใจ แต่จริงๆ บางทีอาจจะไม่รู้และไม่เข้าใจ ฉะนั้นต้องรู้จักเปิดใจกว้างบ้าง และรับฟังเรื่องราวของคนให้มากๆ
(ทุกข์กับคนรอบข้าง)  ถ้ามีเพียงคนเดียวที่ศิษย์พูดกับเขาแล้วไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ความผิดเรา แต่ถ้าทุกคน ศิษย์พูดกับเขาไม่รู้เรื่อง แบบนี้ความผิดศิษย์แล้วนะ เราต้องถามตัวเราเองว่าเราเคยฟังใครบ้างไหม ทุกคนมีแนวความคิดของตัวเอง ทุกคนมีทางเดินของตัวเอง ขอแค่เพียงเราทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ต้องไปเรียกร้องอะไร
(ทุกข์เพราะยึดติดความผิดของตนเอง)  ถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์อย่ามัวจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เราต้องกล้าที่จะมองความจริงที่เกิดขึ้นกับเราตอนนี้ ถ้ากล้ายอมรับเราก็ไม่ทุกข์ใช่หรือเปล่า
(ทุกข์เพราะไม่เป็นตัวของตัวเอง)  เลียนแบบคนอื่นไม่ได้ทำให้เราดีขึ้น ค้นหาตัวเองให้เจอและรักษาความดีของตัวเองให้ได้ เป็นหญิงจำคำพูดของอาจารย์ไว้ อย่าทำตัวเป็นของสาธารณะ
(ทุกข์เพราะว่าเป็นห่วงแม่)  เราทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด ดูแลตัวเองให้เข้มแข็งสมบูรณ์ที่สุด แบบนี้แม่ก็หายห่วง ว่างๆ โทรไปบอกว่าผมสบายดี ว่างๆ โทรไปบอกว่าผมรักแม่ ผมคิดถึงแม่ แค่นี้ก็ดีแล้ว ดูแลตัวเองให้ดีให้เข้มแข็งให้รอดปลอดภัย
(ทุกข์เพราะเป็นห่วงลูก)  ถึงเวลาต้องปล่อยเขาและยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น
(ทุกข์เพราะการกระทำ)  ทำอะไรไปไม่คิด ใจร้อน เอาแต่ใจ วิ่งไปหาความรัก จนลืมรักตัวเองใช่ไหม (ใช่)  เข้มแข็งนะ รักตัวเองให้มาก อย่ารักคนอื่นจนทำร้ายตัวเองเข้าใจไหมสาวๆ
(ทุกข์เพราะครอบครัว)  ทุกข์เพราะครอบครัวใช่ไหม แล้วทำอย่างไร แก้อะไรไม่ได้ เปลี่ยนอะไรไม่ได้ เข้มแข็งอดทนรักษาความดีไว้เข้าใจไหม (เข้าใจ)
(อยากให้ลูกมาบำเพ็ญด้วย)  อยากให้ลูกมาบำเพ็ญ สิ่งสำคัญคือ เราต้องทำตัวเองให้ถูกต้องดีงาม แล้วเขาจะเดินตามมาโดยที่เราไม่ต้องเรียกหรือบังคับเลยจริงไหม (จริง)  ทำตัวเราให้กว้างที่สุด ให้เย็นที่สุด ให้นิ่งที่สุด ไม่ว่าลูกจะเป็นยังไง รับเขาให้ได้มากที่สุด
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร้องเพลงพระโอวาท)
อยากได้รางวัลไหม (ไม่อยากได้)  ศิษย์ยังไม่ได้อะไร เขาได้แล้วอาจารย์ไม่ให้นะ เอาไหม (ไม่เอา)  เอานะ ชีวิตจะได้รู้จักทุกข์เป็นอย่างไร
ในเนื้อเพลงอาจารย์ถามคำถามนะ เสียงที่ไม่ตักเตือน แม้แค่ฟังก็เจอทางพ้น ศิษย์ว่า เสียงที่ไม่ตักเตือน แม้แค่ฟังก็เจอทางพ้น คือเสียงของอะไร ใครตอบอาจารย์ได้บ้าง (สติ)  เพราะสติเป็นเสียงที่ไม่มีเสียงถูกไหม (ถูก)  ถ้าเรานิ่งฟังจะเตือนเราให้พบทางออกว่า อย่าใจร้อน ใจเย็นๆ เป็นเสียงที่รอเราฟังอยู่ เมื่อไรที่เราเจอปัญหาจงนิ่ง แล้วสติจะมา เมื่อสติมาปัญญาจะเกิด อย่าเอาแต่คิดฟุ้งซ่าน เพราะเสียงที่บ่นอยู่คือเสียงของความคิดที่ไม่รับความจริง แต่สติเป็นเสียงที่ไม่มีเสียง จะบอกเราว่าหยุดเถอะ พอแล้วมองความจริงใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถึงเวลาต้องรู้จักมีสตินะใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทำอะไรอย่าใช้อารมณ์เป็นใหญ่
ตอนนี้มีใครอยากตอบคำถามอาจารย์อีกไหม สักครู่อาจารย์เล่นเกมส่งแอปเปิลดีกว่า แอปเปิลไปตกที่ใครต้องตอบคำถามอาจารย์ดีไหม (ดี)  เพราะอย่างไรเราอยู่บนโลกใบนี้ เราก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์กันใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ให้ทุกข์ดีกว่าทำให้ตัวเองทุกข์นะดีไหม
(นักเรียนในชั้นขอกอดพระอาจารย์)  ทำไมหรือ (คิดถึงพ่อ)  เข้มแข็งๆ ตอนมีชีวิตอยู่ไม่ทำให้ดี ตอนไปแล้วมาเสียใจ มันน่าตีไหม ตั้งใจทำสิ่งที่ดีงามถูกต้องเพื่อเป็นบุญกุศลให้กับพ่อแม่ที่ล่วงลับ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนเล่นเกม โดยเปลี่ยนจากแอปเปิลเป็นสับปะรด)
อาจารย์ถามคำถามเดียวอะไรที่ทำให้ทุกข์บ่อยที่สุด ไม่ต้องส่งสับปะรดก็ตอบเลยนะ (ใจ)  แน่ใจนะ เพราะทำอะไรก็เอาแต่อารมณ์  จริงๆ แล้วในทุกข์มีทางพ้นทุกข์ผู้มีปัญญาย่อมพบทางออกในความทุกข์ ดั่งที่เขาเรียกว่ากิเลสมาปัญญาเกิด วางดาบพลันก็พลันเห็นพุทธะ ฉะนั้นอย่ากลัวการตอบอาจารย์ เพราะอาจารย์อยากร่วมบุญกับศิษย์
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)  อาจารย์ดีใจและปลื้มใจที่คนทางใต้น่ารัก และมีใจใฝ่ธรรมะ และมีใจอุทิศเสียสละ และมีใจที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะหวั่นไหวอะไรไปบ้างก็ตาม หลักสำคัญในการศึกษาธรรม คือเรียนรู้เข้าใจความทุกข์ และอยู่กับทุกข์อย่างคนไม่ทุกข์ เพราะชีวิตเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นทุกข์  และสาเหตุเกิดแก่เจ็บตายก็เป็นทุกข์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ทั้งที่จริงๆ แล้วถึงที่สุด แม้ตัวเราก็ยึดไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่ต้องเข้าใจก็คือ
เรารู้ว่าเนื้อตัวเรายึดไม่ได้ แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าบำเพ็ญแล้วไม่ยึด ไม่เผลอหลงยึดตัวเองไปสร้างวิบากกรรม สิ่งแรกก็คือหมั่นทำอะไรโดยใช้คุณธรรมเป็นหลัก อย่าทำอะไรเอาแต่ใจเอาแต่อารมณ์ เพราะถ้าทำอะไรเอาแต่ใจเอาแต่อารมณ์ หนีไม่พ้นกรรมชั่ว แต่ถ้าทำอะไรปฏิบัติกับใครด้วยคุณธรรม ด้วยความเมตตา ด้วยความซื่อตรง ด้วยความเห็นใจ ด้วยธรรม สิ่งที่ได้ก็คือธรรม ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าศิษย์ทำอะไรด้วยตัวเอง เพราะตัวเองชอบ เพราะตัวเองคิดแบบนี้ เพราะตัวเองอยากได้แบบนี้ ผลสุดท้ายสิ่งที่ได้ก็คือความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และหนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว แต่บำเพ็ญธรรมสอนให้เราถือคุณธรรมเป็นหลัก เพื่อยับยั้งการหลงยึดมั่นถือมั่นและเผลอตามใจตัวเอง   ฉะนั้นปฏิบัติกับเขาเคารพไหม     ปฏิบัติกับเขาเมตตาไหม ปฏิบัติกับเขาจริงใจไหม ปฏิบัติกับเขาไม่ยึดมั่นถือมั่นหรือไม่ ถ้าปฏิบัติกับเขาทุกวันมีแต่ให้ธรรม สิ่งที่ได้ก็คือธรรม    แต่ถ้าทุกวันศิษย์อยากกินอะไร ชอบอะไร อยากได้อะไร จะทำอะไร ทุกวันที่ได้ก็คืออัตตาตัวตน ซึ่งทำให้เราไม่สามารถกลับคืนสู่สภาวะธรรมได้ แต่กลายเป็นว่าเรายึดติดตัวตนใช่ไหม อาจารย์ถามว่า เรากินเพื่ออยู่ หรืออยู่เพื่อกิน ใส่เพื่ออุ่นหรือใส่เพื่อสวยงาม ฉะนั้นเรามีชีวิตอยู่เพื่อกลับคืนสู่ธรรม หรือเพื่อเป็นตัวของตน ถ้ากลับคืนสู่ธรรมทุกขณะเราต้องมีธรรม แบบนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรมเป็นทาน แต่ถ้าทุกขณะ ฉันอยากได้แบบนี้ ฉันเป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ ทำไมเขาพูดแบบนั้น ทำไมเขาพูดแบบนี้ นั่นคือการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และหนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว ถึงที่สุดก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด ฉะนั้นยิ่งศิษย์ยังไม่ได้กินเจด้วย บางคนกรรมก็ไม่ถูกตัด กรรมเก่าก็ยังไม่หมด กรรมใหม่ก็สร้างอีก แล้วแบบนี้จะพ้นทุกข์ไหม (ไม่พ้น)  แล้วเรียกอาจารย์ช่วยได้ไหม เพราะตัวศิษย์เองยังไม่คิดช่วยตัวเอง ยังตามใจลิ้น กินแล้วสร้างบาป กินแล้วเกี่ยวกรรม อยากกินอีกเหรอ ละได้ก็ต้องละ บาปที่ตัดได้ง่ายที่สุดคือบาปที่ละออกจากปาก ไม่เอาภัยเข้าสู่ตัว และไม่เอาภัยออกจากปาก ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากบำเพ็ญไปให้ถึง เราต้องละวางตัวตนและถือธรรมเป็นหลักในการปฏิบัติ ฉะนั้นถ้าใจเราเย็นอยู่ที่ไหนก็เย็น ถ้าใจเราร้อนแม้อยู่ที่เย็นก็ร้อน ใช่ไหม ฉะนั้นขอให้ทำอะไรไตร่ตรองในธรรมให้หนัก ถือธรรมเป็นที่พึ่ง อย่าถือนิสัยตนเป็นอารมณ์เพราะไม่อย่างนั้นศิษย์จะไม่มีวันพบคำว่า ธรรมของตน ฉะนั้นปฏิบัติกับใครถือธรรมเป็นหลัก เมตตาไว้ จริงใจไว้ ให้เกียรติเคารพไว้ มีธรรมไว้ ซื่อตรงไว้ ไม่ใช่เรื่องยากถูกไหม (ถูก)  แต่ตามใจตัวเอง เอาแต่ใจตัวเองมีแต่ทุกข์และมีแต่กรรมใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจงถือธรรมเป็นที่พึ่ง รักษาความดีงามในใจของตนให้ได้นะ
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟัง)
อาจารย์อยากเห็นศิษย์อยู่ในโลก แต่ไม่ทุกข์กับโลก อยู่ในโลกไม่ทุกข์เพราะคำพูดคน อยู่ในโลกไม่เจ็บเพราะการกระทำของคน แต่เข้าใจความเป็นจริง ใครจะเป็นอย่างไรไม่ใช่หน้าที่เราจะไปแก้ไข สิ่งที่เราทำได้คือรักษาจิตให้ปกติและดีงามมีธรรมอยู่เสมอเท่านั้นเป็นพอใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์อยากโอบกอดศิษย์ทุกคน อยากให้กำลังใจศิษย์ทุกคน มุ่งมั่นบำเพ็ญไปให้ถึงที่สุด อย่าล้า อย่าท้อ อย่ายอมแพ้ใจตัวเองนะได้ไหม (ได้)  ให้ได้จริงๆ นะ มีโอกาสกลับมาศึกษา เรียนรู้ เข้าใจตัวเองให้มากๆ นะศิษย์ได้ไหม เข้มแข็ง อดทน กล้าหาญ ก้าวหน้า เดินทางธรรมให้ถึงที่สุดนะได้ไหม (ได้)  ไม่รู้จะพูดอะไร มันตื้นตันใจไปหมด แค่เห็นศิษย์กลับมาก็ดีใจแล้ว แต่จะดีใจมากกว่านี้ ถ้ามุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีอย่างคนดีแท้จริง มุ่งมั่นปฏิบัติธรรมอย่างคนมีธรรมแท้จริงใช่ไหม (ใช่)
ไม่ต้องขอบคุณอาจารย์หรอกนะ อาจารย์รอวันศิษย์เดินได้และปฏิบัติได้จริง และกลับไปหาอาจารย์อย่างคนที่ทำถึงธรรม ทำเข้าถึงธรรมนะ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  พระอาจารย์ไปแล้วนะ รู้จักคิด รู้จักพูด รู้จักทำ อย่าเป็นเด็กดื้อของอาจารย์ เข้มแข็ง นำพาคนให้ได้ด้วยหัวใจที่เด็ดเดี่ยว สู้ไม่ถอยนะ
ใครที่ตอบแล้ว นั่งลงก็ได้นะ ใครที่ยังไม่ตอบ ยืนตอบอาจารย์ใช่ไหม อะไรที่ทำให้เราทุกข์  ความดื้อหรือเปล่านะ (ความคิด)  ตอบได้ดีนะ ฉะนั้นถ้าคิดแล้วคิดไม่ถูก จงใช้สติยั้งคิด (ความไม่มีสติ ใช้แต่อารมณ์)  อายุเท่านี้แล้วนะ ต้องอารมณ์เย็นขึ้น ใจเย็นขึ้น ใช้ธรรมกำกับความคิดนะ                  (ไม่รักดี)  ชอบดื้อใช่ไหม (จิตใจ)  จิตใจเป็นอย่างไร ใจร้ายมากกว่าใจดี (ใจร้าย)  จริงหรือ คนแบบนี้ใจร้ายไหมศิษย์ ดูไม่ร้ายนะ ใจดีออกใช่หรือไม่ ฉะนั้นพยายามใจดี อย่าใจนักเลง แล้วรู้จักมีศีลมีธรรมได้ไหม (ได้)  อายุเท่านี้แล้วโรคภัยก็เยอะแล้วนะ ไม่รักตัวเองหรือ อยากตกนรกไหม (ไม่)  กลัวตายไหม (กลัว)  แล้วทำดีหรือยัง (ทำ)  ทำอะไร ศีลห้าครบไหม (ไม่ครบ)  ศีลห้ายังไม่ครบเลย
(มีสติทุกขณะที่คิด พูด ทำ)  รู้จักเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องก็พอแล้วนะศิษย์ อะไรที่มันผิดรีบแก้ไขก่อนที่มันจะก่อภัยก่อทุกข์ อาจารย์เตือนได้แค่นี้นะ
(ใครร้ายร้ายตอบ ใครแรงมาแรงตอบ)  เจ๊งแน่ๆ นะศิษย์ ต่อไปยอมได้ยอมนะศิษย์ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวชีวิตมันจะสั้นจริงไหม (จริง)
(สติความคิด)  ทุกข์เพราะการกระทำของตนที่ไม่มีสติยั้งคิดใช่ไหม (ใช่)  ชอบกินเหล้า ชอบดูดบุหรี่ ชอบไปดูแข่งนก ชอบดูชนวัว ใช่ไหม (ใช่)  ควรทำอีกไหม (ไม่)  ควรเข้าวัดเข้าวาบ้างนะ อายุปูนนี้แล้ว อบายมุขนำไปสู่นรก เปรตและเดรัจฉานนะศิษย์  มีลมหายใจจงเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องก่อนที่หมดลมหายใจแล้วแก้อะไรไม่ได้นะศิษย์
(ดื้อ)  ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ ขี้เกียจ ต่อไปต้องขยัน กล้ารับผิดชอบ อย่าอู้ มีน้ำใจช่วยเหลือพ่อแม่ พูดดังๆ ว่าผมจะ (ขยัน)  และจะรัก (พ่อ แม่)  ดังๆ  เรื่องดีเราต้องกล้า เรื่องไม่ดี เราต้องหด ต้องทำให้ได้นะ วาจาบางทีก็ไม่สำคัญเท่าการกระทำนะศิษย์
(การมีทิฐิมานะของตน, ไม่รู้)  รู้ก็ทุกข์ ไม่รู้ก็ทุกข์ แต่สิ่งที่สำคัญคือไม่รู้คนอื่นไม่เป็นไร ขอให้ศิษย์รู้และเท่าทันใจตนเอง อย่าตกเป็นทาสอารมณ์ แล้วต่อไปนี้ อย่ามองแต่ตัวเอง ถ้าสงสารตัวเองมาก เราจะไม่สงสารใคร ถ้าคิดถึงตัวเองมากเราจะลืมคิดถึงคนอื่น มีเราได้ทุกวันนี้ ก็จะต้องมีอีกคนที่เหนื่อยเพราะเรา ฉะนั้นอย่าลืมคนที่เขาห่วงเรา รักคนที่เขารักเราด้วย อย่ามัวแต่รักตัวเอง
(อารมณ์ร้อน)  ถ้าอย่างนั้นใจเย็นนะ (พูดไม่ค่อยคิด)  ตอบได้ดี
รู้จักมีความสุขตลอดยิ้มได้ในทุกเรื่อง ทุกข์มันก็ไม่มี จริงไหม
(ทุกข์เพราะว่าโลภ โกรธ หลง)  โลภ โกรธ หลงยังตัดไม่ได้สักทีนะ อายุเท่านี้แล้วนะ โลภยังตัดไม่ได้ ยังโลภอยู่อีกหรือ ยังโกรธอยู่อีกหรือ หลงหลาน โมโหหลาน แล้วก็โกรธหลาน ช่างเขาเราดูแลก็พอ อย่าไปทุกข์ใจเลย ทุกข์ใจก็เปล่าประโยชน์ ไม่อย่างนั้นก็เลี้ยงเองเลย เขาจะได้ไม่ด่า ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องไปทุกข์ ทำให้ดีที่สุดเพราะว่าสุดมือแล้วเราก็ควบคุมอะไรไม่ได้ จริงไหม เราเปลี่ยนโลกให้เป็นดั่งใจไม่ได้ เปลี่ยนคนให้เป็นดั่งคิดไม่ได้ ขอแค่เพียงตัวเราทำตัวเองให้ดี ใครจะเป็นอย่างไรเราห้ามไม่ได้ จริงไหม
(อยู่คนเดียว)  อดไม่ได้ที่ฟุ้งซ่าน เหงาไหม ไม่เหงาใช่ไหม อาจารย์อุตส่าห์ดีใจนึกว่าอยู่คนเดียวนี่คือไม่เหงาแล้วอยู่คนเดียวได้ ศิษย์เอ๋ย ถึงที่สุดศิษย์ไม่เคยพลัดพราก ศิษย์ไม่เคยมีคู่ เวลาคนที่เขามีคู่แล้วเขาพลัดพรากมันเจ็บ แล้วการที่เคยอยู่กับคู่มาตลอดแล้ววันหนึ่งต้องอยู่คนเดียวไม่มีคู่ อาจารย์ไม่เคยเห็นใครเข้มแข็งสักที แต่ศิษย์เข้มแข็งได้ ขอแค่เพียงยอมรับ อย่าฟุ้งซ่าน เมื่อไรที่ฟุ้งซ่านจงมองด้วยสติ อยู่มาตั้งยี่สิบกว่าปี อยู่มาตั้งสี่สิบปี ทำไมอยู่ไม่ได้ พรุ่งนี้ฉันจำเป็นจะต้องมีหรือ ไม่มีฉันจะอยู่ให้ได้ ฟุ้งซ่านเมื่อไร สวดมนต์ ฟุ้งซ่านเมื่อไรไปทำบุญใส่บาตร ฟุ้งซ่านเมื่อไรนั่งสมาธิ มันอยากฟุ้งๆ ไปแต่ฉันจะสงบ ฉันจะเด็ดเดี่ยว ทำให้ได้นะ
(เป็นห่วงลูก)  ศิษย์เอ๋ย คนเป็นลูกนี่ทำไมไม่ทำตัวให้น่ารักนะ แต่อาจารย์ถามจริงๆ อยากให้ลูกเป็นดังใจ หรือยอมรับให้ลูกเป็นอย่างที่เขาเป็นอย่างไหนสุขกว่ากัน เห็นเขาดีกว่าไม่เห็นเขา ถ้าแม่เอาแต่บ่น แม่เอาแต่ว่า ไม่มีประโยชน์ ถ้าเขาหนีไปเราก็ช้ำใจ ฉะนั้นรับให้ได้ลูกจะเป็นอย่างไรบอกคำเดียวว่าแม่ก็รักหนูตลอด ไม่ว่าหนูจะถูกจะผิดแม่ก็รัก ไม่ต้องบ่นไม่มีประโยชน์ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะเด็กดื้อเหลือเกิน ถ้าพูดถึงคนโบราณจะกล่าวไว้ว่า ตำแหน่งจะมีได้ก็ต่อเมื่อมีคุณธรรมบารมีถึงพร้อม แต่ถ้าคุณธรรมบารมีไม่ถึงพร้อมก็ไม่สามารถเป็นจ้าคนนายคนได้ ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญอยู่ที่ตัวเรา แล้วถ้าเขาเป็นเจ้าคนนายคนแล้วเขาโดนกดดัน โดนด่า โดนยัดเยียด ถึงตอนนั้นศิษย์จะบอกว่าให้เขาเป็นคนธรรมดาพอแล้ว
(ชอบคิดกังวล)  ถ้าทำให้ดีที่สุดทำไมต้องคิดกังวล ทำเต็มที่ที่สุดทำไมต้องหวาดกลัว เต็มที่หรือยัง ใช่หรือไม่ (ทุกข์เพราะเป็นห่วงแม่)  ตัวเองดูแลตัวเองให้ดี ถ้าเราเข้มแข็งเราก็มีแรงดูแลแม่ได้ แต่ถ้าเราไม่เข้มแข็งเรายอมแพ้เราบ่น แม่ก็เฉาใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอแค่เพียงมุ่งมั่นเข้มเเข็งสิ่งที่ดีเราก็ช่วยแม่แล้ว (ไม่ทุกข์เพราะพยายามมีศีลประจำใจ)  ยุงมา เราไม่ตบ เราแค่ขยี้เฉยๆ คนมีศีลประจำใจ ความเมตตาจะทำให้เรามีอายุยืน (ทุกข์เพราะคิดมากสับสน)  เมื่อวานศิษย์พี่นาจาเมตตาว่าความคิดง่ายที่จะไหลลงที่ต่ำมากกว่าขึ้นสูง คิดร้ายง่ายกว่าคิดดี ใช่หรือไม่
(อยากให้แม่แข็งแรง)  ชีวิตนี้หนีไม่พ้นความแก่ ความเจ็บ และความตายใช่ไหม ฉะนั้นเราเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ หน้าที่ของเราคือทำให้ดีที่สุด เราห้ามความแก่ ความเจ็บ ความตายไม่ได้ แต่ขอให้มีปัญญาสู้กับความแก่ ความเจ็บ ความตาย ด้วยการดำรงชีวิตอย่างถูกต้องมีธรรม แม้ตายก็ไม่น่ากลัว แม้เจ็บก็ไม่ใช่เรื่องที่โหดร้าย แต่ทำให้เรารู้จักปลดปลงสังขารลงได้ด้วยการไม่ยึดติด และกลับคืนสู่สภาวธรรมที่เราจากมา แต่การยึดมั่นถือมั่นและการห่วงอันนั้นห่วงอันนี้ คิดอย่างนั้นคิดอย่างนี้วางไม่ลง นั่นคือการนำพาให้ตัวเองทุกข์ และเวียนว่ายในกรรมที่เราสร้างร่วมกับผู้คน
(สติมาปัญญาเกิด)  สติเตลิด (จะเกิดปัญหา)  ฉะนั้นขอให้ทำอะไรมีสติ ศิษย์เอ๋ย ปัญหา ความทุกข์ ความผิดพลาด ทำให้เรารู้จักตน สิ่งที่เราคิดว่าเราเข้มแข็ง สิ่งที่เราคิดว่าเรารู้ แต่เมื่อเจอปัญหา เราจึงได้เห็นชัดว่า เราไม่เคยเข้มแข็ง เราไม่เคยรู้ และเราไม่เคยเข้าใจอะไรจริงๆ
ฉะนั้นมนุษย์กลัวปัญหา กลัวความผิด กลัวความทุกข์ แต่พุทธะไม่เคยกลัวปัญหา ไม่เคยกลัวความผิด ไม่เคยกลัวความทุกข์ เพราะปัญหา ความผิด และความทุกข์ ทำให้เรามองเห็นใจเราชัดเจนขึ้น ว่าจริงๆ เราเข้มแข็ง หรือจริงๆ เราไม่ได้เข้มแข็ง จริงๆ เรารู้หรือจริงๆ เราไม่รู้ เหมือนเราฟังธรรมเข้าใจว่า อดทน ให้อภัย มีเมตตา แต่ถึงเวลาอดทนไหม เมตตาไหม เข้าใจคนอื่นหรือไม่ ทำไม่ได้เลยต่างหาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ลองเอาไปศึกษาดูนะศิษย์ สิ่งที่อาจารย์ให้คือกลอนสามบทนี้ ถ้าเรามีบุญกันอยู่ เราคงได้เจอกันอีกดีไหม (ดี)  จำไว้นะศิษย์ อยู่ในโลกสร้างบุญ อย่าสร้างบาป อยู่กับใคร จงอยู่อย่างคนมีบุญร่วมกัน อย่าอยู่อย่างมีบาปกรรมร่วมกันเลย  บุญ คือสิ่งที่ให้ไปแล้วทำให้จิตเบา จิตว่าง จิตโปร่ง จิตใส แต่ บาป คืออยู่ด้วยกันแล้วมีแต่หนัก มีแต่ทุกข์ มีแต่เจ็บ แล้วศิษย์อยากอยู่กับคนบนโลกด้วยบุญหรือด้วยบาป (ด้วยบุญ)  แล้วเราให้บุญหรือเราให้บาป (ให้บุญ)  ถ้าให้ความทุกข์ ให้ความเจ็บปวด ก็ให้บาป แต่ถ้าให้ความเมตตา ให้ความจริงใจ ให้ความซื่อตรง ให้ความเข้าใจ นั่นก็คือการให้บุญ ปฏิบัติธรรมเริ่มที่ตัวเรา เอาธรรมออกจากใจ เอาธรรมยื่นให้ผู้คน อยู่อย่างคนมีธรรมและให้ธรรม เราก็จะกลับคืนสู่ธรรมได้ แต่ถ้าอยู่อย่างคนมีอัตตาตัวตน ศิษย์ก็หนีไม่พ้นกรรมดี กรรมชั่ว และหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เรียกว่า นรก สวรรค์ และอบายภูมิ ถามตัวเองนะ วันนี้ที่เราทำพ้นเวียนว่ายตายเกิดไหม วันนี้ที่เราทำพ้นทุกข์มีธรรมหรือไม่ อย่าประมาทการดำเนินชีวิต ตายเกิดแล้วไม่จบ ถ้ายังยึดมั่นไม่ปล่อยวาง ตายแล้วไม่มีวันหมด ถ้ายังมีกรรมและไม่ชำระสะสางให้สิ้นกรรม ฉะนั้นจงอยู่อย่างคนไม่สร้างกรรมใหม่ ใช้กรรมเก่าโดยการมีธรรม ไม่มีกรรม ปฏิบัติธรรมไม่สร้างกรรม แล้วทำอย่างไรล่ะ ก็แค่ทำด้วยธรรม อย่าทำด้วยอารมณ์ความเป็นตัวตน เพราะจะกลายเป็นกรรม ยากไหม (ไม่ยาก)  พอเข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูดนะ
อาจารย์คงต้องกลับแล้วนะ ถึงเวลาเป็นเรื่องปกตินะ มีพบก็มีพราก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าทุกวันศิษย์ทำดีที่สุดแล้ว เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติต่อผู้คนไม่ขาดซึ่งคุณธรรมความเป็นคน เจ็บก็ไม่ต้องกลัว ตายก็ไม่เสียดาย เพราะเต็มที่ที่สุดแล้ว แล้วศิษย์ล่ะเต็มที่หรือยัง ดีแบบคนพ้นกรรมไหม หรือยังอยากเวียนว่ายตายเกิดในทุกข์ไม่จบสิ้น ถ้าไม่อยากลองเอาธรรมที่อาจารย์พูดไปปฏิบัติ ยากไหม (ไม่ยาก)  ถือคุณธรรมเป็นหลัก ไม่ถือตัวเองเป็นหลัก ถือความเมตตาเป็นหลัก ไม่ถืออารมณ์นิสัยเป็นหลัก ทำอะไรด้วยสติยั้งคิด ได้ไหม (ได้)  ลองตรองดูสิ่งที่ทำ มีเมตตาไหม จริงใจไหม เห็นใจไหม รู้จักเข้าใจคนอื่นไหม ไม่ยากเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตั้งใจนะ ตั้งใจทำในสิ่งที่ดีงาม รู้คุณค่าของตัวเอง อย่าดูถูกคุณค่าของตัวเอง รู้จักรักชีวิตตัวเองนะ ทำให้ได้นะ บุญรักษา ความดีนำพา เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง อาจารย์คงต้องไปแล้วนะ รักษาบุญรักษาโอกาส ดูแลตัวเองให้ได้ เข้มแข็งให้เป็น อย่าดื้อดึง ทำให้ได้ อย่าดื้อมาก รู้จักรักตัวเอง อย่าหลงคำพูดคน จนลืมความมุ่งมั่นของตัวเอง ในสิ่งที่ถูกต้องและดีงามนะ บุญรักษา นำพาให้ชีวิตร่มเย็น ลำบากไหม เมื่อยไหม เหนื่อยไหม รู้เรื่องหรือเปล่า กินผักนะ ชีวิตจะเป็นอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่ชีวิตต้องมุ่งมั่นสู้ มีโอกาสมาฟังอีกนะ ได้ไหม อาจารย์ต้องให้กำลังใจอะไรอีกไหม ไม่ต้องแล้วใช่ไหม เจอเรื่องราวอะไร ขอให้ผ่านไปได้ด้วยหัวใจที่เข้มแข็งนะ รักษาความถูกต้องดีงามด้วยหัวใจที่ตื่นรู้ด้วยความเป็นจริง ชีวิตจะเป็นอย่างไร ผ่านให้ได้นะ
ต่อไปเดินหน้าสู้ ระวังคำพูด ศิษย์ก็คือคนสำคัญ แต่คำพูดเราก็สำคัญ อย่าให้คำพูดเราทำร้ายใคร ศิษย์ต้องเข้มแข็ง มุ่งมั่น เชื่อมั่น อย่ายอมแพ้ อย่าให้อาจารย์ต้องห่วงอีก หนทางธรรมไม่ยาก สิ่งที่ยากคือหัวใจที่ชอบไม่ยอม หนทางธรรมไม่เคยยาก แต่ที่ยากคือหัวใจที่ดื้อรั้นและไม่ยอมฟังอะไรง่ายๆ อะไรจะเกิดก็เกิด ขอแค่เพียงเราเข้าใจและมองเห็นความเป็นจริง มุ่งมั่นแล้ว ไปให้ถึง ดีแล้วดีให้สุด อย่ายอมแพ้ ร่วมมือกันนำพากันให้ถูกทาง ไม่แข่งกัน ก้าวไปพร้อมกันได้ไหม แม้จะลำบากก็ฟันฝ่าให้ได้ แม้จะทุกข์ก็อย่าท้อ แม้จะล้าก็ไม่มีวันถอย เข้มแข็งได้จริงๆ ไหม มีโอกาสมาฟังธรรมให้เข้าใจ ศิษย์ล้วนมีบุญนะ อย่าดูเบาบุญของตัวเอง เดินหน้าแล้วไปให้ถึงที่สุด อย่าปล่อยให้ความร้ายมาทำร้ายความดีในใจตนเอง ศิษย์ตั้งใจบำเพ็ญด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น ไม่ใช่หวั่นไหวอะไรนิดหน่อยก็ยอมแพ้แบบนี้ไม่ไหวนะ ไปให้ถึงที่สุดได้ด้วยหัวใจเด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง เลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้องก่อนที่จะสายเกินแก้ ความดีของตัวเองคืออะไร คือความมั่นใจและรู้คุณค่าของตัวเอง ศิษย์มีคุณค่าแต่ศิษย์ชอบดูเบาคุณค่าตัวเอง รู้จักรักตัวเองนะศิษย์ อย่าทำร้ายตัวเองในสิ่งที่ผิดเลย
เมื่อไรจะทำให้อาจารย์หายห่วง เมื่อไรจะเข้มแข็งมุ่งมั่นแล้วทำให้อาจารย์มั่นใจว่าข้างหน้าอาจารย์ไม่ต้องห่วงศิษย์แล้ว ถามใจตัวเอง ถึงที่สุดหรือยัง ถ้ายังไม่ที่สุด ลงมือให้ที่สุด ถ้ายังไม่ที่สุด ทำให้ที่สุด
กลับแล้วนะ มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามไปให้ถึงที่สุด เต็มกำลังที่สุดในชีวิตหนึ่งที่ศิษย์จะทำได้ แล้วศิษย์จะไม่มีวันเสียดายเลยที่เกิดมา แม้จะต้องตายไปในวันนี้ เชื่ออาจารย์เถิดนะ แล้วเราจะรู้ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาเพื่อกลับสู่ความเป็นจริงและยอมรับความเป็นจริงที่เรียกว่า “ธรรมะ” ธรรมะที่นำพาไปสู่ความว่าง สงบ เย็น ไม่ยึดมั่นถือมั่น   


          พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สติมาปัญญาเกิด”
    รู้ผิดกล้าแก้ไขจึงก้าวหน้า              ปัญหาชี้ข้อบกพร่องให้ตนรู้
ทุกข์สอนให้ตนรู้ตนย้อนมองดู             ที่เข้าใจว่ารู้อาจห่างความจริง
คนรู้จริงไม่หยุดนิ่งการเรียนรู้              คนดีอยู่ที่ไหนพร้อมฝึกฝนยิ่ง
ธรรมงดงามหลงตนพลาดทุกข์ยิ่ง          มองตามจริงอย่าอิงเข้าข้างไป

    สติเรียกใจนิ่งตรอง                      ครองใจเป็นกลางลงได้
ใช้ธรรมกำราบหัวใจ         แจ้งในธรรมตามเป็นจริง


 แก้ไขเพลงพระโอวาทที่ท่านเสี่ยวผีเซียนถง เมตตาให้ไว้ ณ สถานธรรมจินจง เมื่อวันที่ 16-18 มิถุนายน 2561    

จากเดิม  เมื่อยังไม่ถาม เจ้าลืมหรือเปล่า
แก้เป็น  เมื่อยังไม่ถาม ท่านลืมหรือเปล่า

เดือนดาวจ้องมองดูเรา ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด ใต้แสงแห่งธรรมฉายส่อง ท่านต้องบำเพ็ญให้มั่นใจ
ไม่มีสุขทุกข์ใด...ยั่งยืน ตื่นเถิดใจนี้ รักษาทุกวันให้ดี จงอย่าได้ไร้ปัญญา
* ที่มองที่เห็น ที่เป็นทุกอย่าง อะไรที่ทำทุกข์ใจ ไม่ปลงไม่พ้น รีบปลงไม่สาย ปัญหาหามาถือไว้เอง
เมื่อยังไม่ถาม ท่านลืมหรือเปล่า ความคิดอย่าได้แค่คิด ทบทวนด้วยใจ กันด้วยธรรม เห็นด้วยธรรม สุขที่ใจ คล้ายวิมาน
ทำนองเพลง หนึ่งคำที่ล้นใจ
ชื่อเพลง ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด


อ่านต่อ...

วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2561

2561-03-16 สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช

西元二〇一八年嵗次戊戌正月二十九日              仙佛慈悲訓
วันศุกร์ที่ ๑๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑   สถานธรรมฉือฮุ่ย  จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

  อย่าลืมใจเริ่มแรกเมื่อแรกเริ่ม             ในคนเดิมที่ใจสู้ไม่ถอยหนี
อายุมากยังรักษาซึ่งความดี                  ชีวิตนี้เสียสละฉุดช่วยคน
                        เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่พุทธสถานฉือฮุ่ย แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                  ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ           

  เพราะคร่ำหวอดทางธรรมเวลานาน       ด้วยประสบการณ์การฝึกกำลังแคล่วคล่อง
อย่าปล่อยจิตให้มีนั้นลำพอง                  ความดีต้องหมั่นทำมีวินัย
ไม่วุ่นเพิ่มคือจิตสติขบ                          ความคิดสงบให้ใจระลึกได้
แก่นความรู้สัมปชัญญะครบเป็นหัวใจ       ทิฐิไม่พบพานย่อมรวมพลัง
ไหลรวมธรรมทั้งหลายหล่อหลอมใจ        ทำหัวใจสุขุมเย็นอารมณ์ว่างว่าง
รู้ปัจจุบันให้เป็นสติเป็นกำลัง                  มืดสว่างจิตนิ่งไม่หมุนตาม
ยึดความเห็นใช้อารมณ์ไปทำไม              คนส่วนใหญ่โทษเป็นคนประจำ
ไม่อุเบกขาแต่ว่ากล้ามีกรรม                   สัญญาจำลงวางย่อมต่อปาก
โทสะเผาได้ย่อมร้อนแล้วสำแดง             ฟ้าอยากแจ้งใจคนวู่วามนัก
ทุกชีวิตมีดีแต่ไม่รัก                              แม้ลำบากไม่ไปวู่วามตามใจ
                                                                                         ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ 

ใจแรกเริ่มที่บริสุทธิ์ ไม่คิดมาก ไม่ทุกข์มาก ไม่ต้องกลุ้มกังวลมากกับใจตอนนี้ที่ต้องคิดเยอะกลุ้มเยอะ ทุกข์เยอะ ท่านว่าใจดวงไหนดีกว่ากัน  (ใจแรกเริ่ม)  ท่านว่าเปลี่ยนทันไหม (ทัน)  กลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ไหม (ได้)  พูดได้แต่ทำไมทำไม่ได้ แล้วทำไมไม่คิดทำ ใช่หรือไม่ มีคำหนึ่งที่มนุษย์มักจะกล่าวว่า บางครั้งการฟังธรรมก็ช่วยล้างใจให้สะอาด การปฏิบัติธรรมก็ช่วยทำให้หัวใจได้กลับมาบริสุทธิ์ ฉะนั้นวันนี้นั่งฟังธรรมมาเกือบครึ่งวันแล้ว ธรรมะได้ทำให้ใจเราสะอาดบ้างไหม ธรรมะได้กล่อมเกลาให้ใจเรารู้สึกใสบริสุทธิ์บ้างไหม (ได้)  หรือยังขุ่นเหมือนเดิม
มานั่งฟังเพื่อทนฟังหรือมานั่งฟังอย่างคนมีจุดหมาย (นั่งฟังอย่างมีจุดหมาย)  แล้วจุดหมายของท่านที่ฟังวันนี้คืออะไร (อยากไปสู่หนทางนิพพาน)  บางท่านก็บอกว่าไกลเกินเอื้อม แต่ไม่แน่นะใช่ไหม (ใช่)  เราขอเวลาท่าน จากตลอดชีวิตขอเวลาแค่สามวันลองศึกษาธรรมดู ศึกษาธรรมเพื่อล้างใจ เพื่อกลับคืนสู่ใจดวงเดิม ลองดูสักตั้งไหม (ลองดู)  โดยส่วนใหญ่ที่เรามองเห็นหรือเล็งเห็น มนุษย์ศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรมไม่ได้เพื่อกลับคืนสู่ใจเดิม ไม่ได้เพื่อพระนิพพานแต่เพื่อขอให้รวย ขอให้อยู่ดีมีสุข ขอให้มีโชคลาภ ขอพรให้ทำอะไรก็สำเร็จ ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าปฏิบัติธรรมแล้วต้องเจอสิ่งที่ดี อย่าเจอสิ่งที่ร้าย ต้องมีแต่โชค ไม่มีเคราะห์ภัย แล้วต้องมีแต่สุขไม่มีทุกข์ เป็นจริงเช่นนั้นไหม คิดอย่างนั้นตลอดใช่ไหม แต่ถามหน่อยนะ เหล่าพระพุทธะที่ท่านกราบไหว้มีท่านไหนไหมที่สอนว่า ชีวิตนี้เจอแต่ดี ไม่เจอร้าย (ไม่มี)  ชีวิตนี้มีแต่สุขไม่มีทุกข์ (ไม่มี)  ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า ท่านกำลังเข้าใจผิด คิดว่าปฏิบัติดี แล้วต้องเจอแต่สิ่งที่ดี เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า “ทำดีต้องได้ดี” พอไม่ได้ดีก็ว่าฟ้าไม่ยุติธรรม สวรรค์ลำเอียง
อย่าลืมใจเริ่มแรกเมื่อแรกเริ่ม             ในคนเดิมที่ใจสู้ไม่ถอยหนี
อายุมากยังรักษาซึ่งความดี      ชีวิตนี้เสียสละฉุดช่วยคน
กลอนบทนี้ให้มีสองความหมาย ความหมายแรกสำหรับคนที่ยังไม่เริ่มปฏิบัติ เสียสละ ในอดีตตอนเด็กๆ เรามุ่งมั่นอยากทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ถามหัวใจทุกคน ตอนเราเป็นเด็กเราอยากเป็นคนดีที่สุด แล้วถ้าทำได้จะทำตัวให้เป็นคนดี และมุ่งมั่นทำดีให้ถึงที่สุดถูกไหม แต่ตอนนี้เป็นอย่างไร ความมุ่งมั่นหายไปไหน คนดีที่อยากจะทำดี ทำไมกลายเป็นคนร้าย เหมือนผู้ปฏิบัติธรรม แรกเริ่มอยากอุทิศเสียสละ ช่วยผู้คนให้มากที่สุด แต่พอเวลายาวนาน หัวใจเริ่มท้อ ความดีเริ่มอ่อนแอ น่าเสียดายนะ ทำไมเราจึงไม่รักษาใจเดิมอันนี้ไว้ล่ะ ในเมื่อมันเป็นใจที่ดี จริงไหม
การเรียนรู้ธรรมทำให้เราเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตว่าในโลกแห่งคำว่าธรรม และในโลกแห่งมนุษย์เราหนีไม่พ้นสุขทุกข์ ดีร้าย ได้เสีย ล้วนเป็นธรรมดาใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นผู้ยอมรับความเป็นธรรมดาได้ย่อมรับความเป็นจริงอันหลีกหนีไม่พ้นได้ ก็คงทุกข์น้อยลง แต่ใจมนุษย์ส่วนใหญ่มักจะหวังว่าชีวิตต้องมีดีไม่มีเสีย ต้องมีถูกไม่มีผิด ต้องมีสุขไม่มีทุกข์ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าจริงๆ แล้วเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) แต่เราก็ยังหวัง ฉะนั้นเราจึงหนีไม่พ้นทุกข์ เมื่อมีทุกข์ก็เลยหันหน้าเข้าหาธรรมและคิดว่าการปฏิบัติธรรมจะทำให้สุขแล้วไม่ทุกข์ ทำให้ดีแล้วไม่ร้าย แล้วเป็นจริงอย่างนั้นไหม (ไม่) 
อย่างนี้เรามาลองดูกันก่อนว่า ทำไมเราพยายามมุ่งมั่นปฏิบัติดีแล้ว แต่ทำไมยังโชคไม่ดี ทำไมยังไม่มีสุข ทำไมยังทำอะไรมักไม่สำเร็จ เคยได้ยินคนโบราณพูดไหม อยากเป็นคนทำอะไรสำเร็จ ถามตัวเองว่าขยันหรือ   ขี้เกียจ อยากเป็นคนทำอะไรประสบผลสำเร็จ ถามตัวเองว่าอดทนหรือไม่อดทน อยากเป็นคนทำอะไรก็ประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงาน ถามตัวเองว่ามีความเพียรในสิ่งที่ยากเพียรยากทนหรือไม่ ถ้าทำได้ครบสามอย่างนี้ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม อดทนได้ไหม ขยันหรือเปล่า  มีความเพียรเป็นเอกเป็นกำลัง เพียรในสิ่งที่ยากเพียร ยากทนหรือไม่      ใช่ไหม (ใช่)  อยากทำอะไรก็สำเร็จ ฉะนั้นขอพระไม่สู้ขอใจตน บำเพ็ญแล้วอยากเป็นคนมีความสุข บำเพ็ญแล้วอยากได้ครอบครัวร่มเย็น แต่บำเพ็ญแล้วปากยังเปราะ อารมณ์ยังร้อน บำเพ็ญแล้วจะสุขไหม (ไม่สุข)  รู้จักคนปากเปราะไหม (รู้จัก)  ชอบโกหก ชอบเอาเปรียบ ชอบเห็นแก่ได้ ชอบดูถูกดูแคลน ปฏิบัติธรรมใส่บาตรก็แล้วสวดมนต์ก็แล้ว แต่นิสัยไม่ดีไม่แก้ไข จะสุขไหม (ไม่สุข)  อย่างนั้นควรขอพระให้เรามีสุขหรือขอตัวเราให้รู้จักแก้ไขนิสัย (ขอตัวเรา)  แล้วถึงเวลาขอตัวเองไหม
อยากเป็นคนมีโชคมีวาสนาดี มีบุญบารมีเหมือนคนอื่นเขา ถามตัวท่านว่า มีชีวิตอยู่สร้างบุญมากกว่าหรือสร้างบาปมากกว่า (สร้างบุญมากกว่า)  อยากโชคดีไม่อยากโชคร้าย อยากไม่มีเคราะห์ร้ายไม่มีภัย รู้ไหมว่าคนผิดศีลขาดธรรมประพฤติตัวตามอารมณ์ตามนิสัย หนีไม่พ้นเคราะห์บาปเวรกรรม มือหนึ่งทำบุญแต่อีกมือหนึ่งยังผิดศีลขาดธรรม เช่นนี้ปฏิบัติดีแล้วจะโชคดีไหม (ไม่)  แล้วท่านชอบทำบุญใส่บาตรใช่ไหม (ใช่)  แต่ศีลธรรมมีครบไหม (ไม่ครบ)  ถ้าอย่างนั้นจะเรียกว่าปฏิบัติดีได้ไหม (ไม่ได้)  ก่อนที่จะไปว่าฟ้าลำเอียง คนไม่ยุติธรรม ถามใจตัวเองก่อน เที่ยงตรงไหม  ดีจริงหรือเปล่า ปฏิบัติได้สุดจิตสุดใจหรือยัง แล้วจะมาพูดบ่นไม่ได้ว่า ทำดีไม่ได้ดี ต้องถามใจตัวเองก่อนว่า ดีจริงๆ ไหม ยังเอาเปรียบคนอื่นอยู่เลย  ยังโป้ปดอยู่เลย ยังเบียดเบียนชีวิตคนอื่นเพื่อชีวิตตนเองอยู่เลย แล้วอย่างนี้จะบอกว่าตัวเองเป็นคนดีมีศีลธรรมได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ไม่ได้ เมื่อก่อนเห็นบอกว่าตัวเองดี ตอนนี้ยังดีจริงๆ หรือ อยากมีความสุข แต่เจอหน้า ก็เอาแต่บ่น เอาแต่ติ อยากได้ครอบครัวร่มเย็น นิดๆ หน่อยๆ ก็ถือสาไม่ยอมความ อยากได้เพื่อนรักสามัคคี แต่ก็ชอบเป็นคนคดโกง เอาเปรียบเพื่อน แล้วอยู่ที่ไหนจะมีความสุขไหม อยากได้ชีวิตร่มเย็น แต่ตื่นขึ้นมาก็คิดเบียดเบียนว่าจะเอาอะไรจากใคร บุญบารมีเกิดจากการให้ โชคลาภวาสนาเกิดจากการอุทิศเสียสละ แต่บาปเคราะห์กรรมเกิดจากการที่คิดแต่จะเอา ถ้าอย่างนั้นเราเกิดมาเรามีบุญหรือมีบาปกรรม ก็ดูที่ว่าคิดให้หรือคิดเอา แล้วปกติเราคิดให้หรือคิดเอา (ให้, เอา)  ไม่อยากให้คนอื่นลำเอียง เราอย่าลำเอียง     ไม่อยากเจอคนโป้ปด ตัวเราอย่าโป้ปดใจตนเอง ไม่อยากได้คนหลอกลวง เราก็อย่าหลอกลวงใจตน ฟ้าชัดเจนเสมอ ตาข่ายฟ้ายิ่งแจ่มชัดยิ่งนัก      ทำอะไรได้อย่างนั้น แต่ถามใจท่านก่อนว่า ใจท่านเที่ยงตรง ซื่อตรง ดีจริงหรือไม่
ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองดีหรือไม่ดี เมื่อไรที่กล้ายอมรับว่าตัวเองไม่ดี   นั่นคือเริ่มเป็นคนดี แต่ถ้าเมื่อไรคิดว่าตัวเองนั้นดี นั่นแปลว่ายังไม่ดี      ลองไตร่ตรองสิ่งที่เราพูดดูว่าจริงไหม เพราะไม่ดีจึงพยายามทำให้ดียิ่งขึ้น แต่เพราะคิดว่าตัวเองดีจึงไม่ก้าวหน้าขึ้นเลย อย่างนั้นตอนนี้ดีหรือไม่ดี    (ไม่ดี) 
วันนี้ทุกท่านฟังธรรมอย่างหนึ่งที่ในใจท่านอยากได้มากที่สุดก็คือ   ฟังธรรมอย่างไรจะช่วยให้เราพ้นทุกข์ ท่านเคยได้ยินไหมว่ามนุษย์หนีไม่พ้นทุกข์ แต่พุทธะกลับพูดว่า ทุกข์แท้จริงหามีไม่ เคยได้ยินคำพูดนี้ไหม ไม่เคยใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามาดูหน่อยนะว่าเราจะแก้ทุกข์นี้กันอย่างไร
เรายกตัวอย่างเรื่องๆ หนึ่ง ท่านรู้จักพระจันทร์ไหม พระจันทร์มืดหรือสว่าง (สว่าง, มืด)  อยู่ในโลกนี้เป็นคนต้องหูตากว้างไกล รู้อะไรต้องรู้ให้จริง เห็นอะไรต้องเห็นให้แจ่มชัด จะได้ไม่ถูกหลอก พระจันทร์มืดหรือสว่าง (สว่าง, มืด)  ถ้าเราไม่เคยเรียนรู้มาก่อน เราก็มองว่าพระจันทร์ มีทั้งมืดและสว่าง หรือพระจันทร์แล้วแต่ว่าวันไหนสว่างน้อยสว่างมากก็ขึ้นอยู่กับข้างขึ้น ข้างแรม
ทำไมเราถึงยกตัวอย่างเรื่องพระจันทร์ ถ้าพระจันทร์เปรียบเหมือนใจของเรา เมฆ อากาศ ที่อยู่ข้างนอกเหมือนสังขารของเรา อย่างนั้นใจเราจริงๆ มืดหรือสว่าง (มืด, สว่าง)  ผู้ปฏิบัติงานธรรมแล้วใจเราล่ะ มืดหรือสว่าง (สว่าง)  ท่านเคยได้ยินไหมว่า ใจเรามืดหรือสว่างไม่อาจหยั่งรู้ได้ แต่ถ้าเราบอกว่า ใจเราก็เหมือนพระจันทร์ แท้จริงแล้วไม่สว่างและก็ไม่มืด เป็นสภาวธรรมสภาวะหนึ่ง แต่มืดไปหรือสว่างไปนั้นเพราะอะไร เทียบง่ายๆ พระจันทร์เวลาเต็มดวงสวยและสุกสกาว แต่พอมีเมฆมาบังเป็นอย่างไร (มืด)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นแท้จริงพระจันทร์ไม่มืดและไม่สว่าง พระจันทร์เดิมเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง แต่สภาวะเหตุการณ์ทำให้เราอยู่บนโลกแล้วมองเห็นจันทร์สว่าง และบางเหตุการณ์ทำให้เรามองเห็นจันทร์มืด ถูกไหม (ถูก) 
ฉันใดก็ฉันนั้น ใจเดิมแท้ของมนุษย์ไม่เคยมืดบอด แล้วไม่เคยสว่าง แต่ที่เราเห็นว่าสว่างเพราะเหตุการณ์บางเหตุการณ์มาโดนใจ ทำให้ใจเรารู้สึกดี บางเหตุการณ์มาโดนใจทำให้ใจเรารู้สึกหดหู่ แต่ถามจริงๆ ใจจริงๆ มืดหรือสว่าง (ไม่มืดไม่สว่าง)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกว่าแท้จริงใจมนุษย์ไม่ได้ทุกข์ แต่มนุษย์ทุกข์เพราะความคิดไม่ยอมรับความจริงของใจที่กำลังเผชิญ เหมือนที่เราถามว่าจันทร์มืดไหม ก็ไม่ได้มืด จันทร์สว่างไหม ก็ไม่ได้สว่าง ใจท่านก็เหมือนกัน ร้ายไหม ก็ไม่ได้ร้าย ดีไหม (ไม่ดี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันเวลาท่านทุกข์ ถามจริงๆ ใจท่านทุกข์หรือความคิดที่ไม่ยอมรับเหตุการณ์ตอนนั้นมันทำให้เราทุกข์ (ความคิด)  ใจเราไม่ได้ทุกข์ แต่เราทุกข์เพราะความคิดที่ไม่ยอมรับความจริง
ฉะนั้นเวลาเจอเรื่องสูญเสีย ใจเราสูญเสียหรือความคิดทำให้เรารู้สึกสูญเสีย (ความคิด)  เวลาเราเจ็บใจ เราเจ็บหรือความคิดที่ไม่ยอมเจ็บทำให้เรายิ่งเจ็บ (ความคิด)  ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นสามีทิ้งเรา ใจเราถูกทิ้งหรือความคิดเรารับไม่ได้ที่ถูกทิ้ง (ความคิดเรารับไม่ได้ที่ถูกทิ้ง) ถามกลับ สามีถ้าภรรยาด่าเรา เราโกรธเขาเพราะใจเราหรือความคิดเราไม่รับว่าภรรยาบ่นด่า ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ กายจะแยกออกจากใจ ใจจะหลุดพ้นจากความทุกข์แห่งสังขารที่หนีไม่พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราจะลาออกจากความทุกข์ได้ทันที เราจะมีทุกข์แค่สังขาร แต่ไม่ลงไปที่ใจ เพราะใจเราไม่ได้ทุกข์ ที่ทุกข์เพราะความคิดที่ไม่ยอมรับความจริงที่เป็นไปตามกฎแห่งกรรมของสังขาร ถ้าท่านเข้าใจธรรมตรงนี้ ท่านจะลาออกจากความทุกข์ได้ทันที ใจท่านจะอยู่เหนือกาย กายทุกข์แต่ใจไม่ทุกข์ กายโดนด่า ใจไม่ได้โดนด่า กายสูญเสีย ใจไม่ได้สูญเสีย มองเห็นจันทร์ก็เห็นใจ ใจเราไม่ได้มืด ใจเราไม่ได้สว่าง แต่ใจเราคือสภาวธรรมหนึ่ง ที่ว่างจากตัวตน แต่ความคิดที่ไม่ยอมและยึดติดว่าต้องมีตัวตนทำให้เราทุกข์ หรือเทียบง่ายๆ เราพูดไปตามอารมณ์ และอารมณ์เป็นไปตามความคิด ฉะนั้นถ้าอารมณ์คิดดีแล้วก็พูดดี ถ้าตอนนี้เราไม่คิด เราจะพูดไหม (ไม่พูด)  ฉะนั้นวาจาเป็นดั่งใจ และใจก็เป็นอยู่ที่ความคิด ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นคนวาจาดี ใจดีใช่ไหม วาจาเป็นไปตามอารมณ์ อารมณ์หมุนเวียนไปตามความคิด ฉะนั้นวาจาดีใจดีจริงไหม วาจาร้ายใจร้าย จริงไหม (ไม่จริง)  ฉะนั้นเจอใครปากร้ายเขาใจร้ายใช่ไหม (ไม่ใช่)  คิดให้ได้อย่างนี้  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวบางครั้งจึงไม่ได้อยู่ที่การพูด แต่อยู่ที่ความคิด ถึงพูดดีแต่ประสงค์คิดร้ายก็ไม่ดี ถึงพูดร้ายแต่ใจเขาไม่ได้คิดร้ายใจเขาหวังดีก็อาจจะเรียกว่าไม่ร้ายจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้ามนุษย์มองออกชัด มองใจตัวเองชัด เราจะเห็นผู้อื่นชัดว่า ถึงปากเขาจะเป็นอย่างนี้ ถึงการกระทำเขาจะเป็นอย่างนี้ แต่ใจเขาอาจจะไม่ใช่ ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งเราต้องสูญเสีย ใจเราจะเสียสูญไหม เสียไหม (ไม่เสีย)  เพราะอะไร เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดกัน เห็นแต่ไม่คิด เห็นก็เหมือนไม่เห็น จริงไหม เหมือนผีไม่เห็น แต่อดคิดไม่ได้ว่ามีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทุกสิ่งเป็นไปตามความคิด ความคิดเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตและทุกข์สุขเรา ไม่ใช่ผู้อื่น ฉะนั้นอยากเปลี่ยนชีวิตจงเปลี่ยนความคิด
เขาด่า ใจไม่คิด เห็นก็เหมือน (ไม่เห็น)  เขาเลิกด่าแต่ใจคิด ไม่เห็นก็เหมือน (เห็น)  ไม่โดนว่าก็เหมือน (โดนว่า)  เพราะใจ (คิด)  ฉะนั้นถ้าเราแยกความคิดออกจากใจ เป็นแค่ความคิดไม่ใช่ใจ ความคิดมาจากไหน    มาจากใจที่ไม่รู้ชัด ใจที่มองไม่เห็นชัด ฉะนั้นถามท่านนะ เกิดเป็นคนมีตา ควรสายตาสั้นหรือสายตายาว (สายตายาว)  มีใจควรใจกว้างหรือใจแคบ (ใจกว้าง)  เมื่อมองอะไรควรมองให้รอบคอบหรือมองเล็กนิดหน่อย (มองให้รอบคอบ)  ก็พูดเองนะ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรามีตาแล้วสายตาสั้น มีใจแล้ว ใจแคบ มองอะไรแล้วมองไม่เห็น เคยไหมคนอยู่ใกล้กัน คนอื่น รู้ชัด แต่เราไม่รู้จัก เคยไหม (เคย)  ทำไมคนอื่นรู้จักลูกเราดีกว่าเรา ทำไมคนอื่นรู้จักเราดีกว่าตัวเรา เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมนุษย์เป็นโรคอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความจริงได้ นั่นคือชอบเป็นโรคคาดหวัง หวั่นวิตก และยึดติด เห็นเขาไม่ชัด เพราะหวังว่าเขาต้องดี พอไม่ดีก็เลยไม่เคยเห็นว่า   เขาอาจจะมีดีกว่าที่เราคิด แต่ใจมันคิดว่าไม่ดีๆ เราก็เลยไม่เคยเห็นความดี เหมือนตัวเราเอง เคยเห็นตัวเราไหม (ไม่เห็น)  ก็เพราะไม่เคยมองเลย     ใช่ไหม (ใช่)  เอาแต่เวลาไปมองคนอื่น
อยากอยู่กับโลกใบนี้แล้วมีแต่สุขและไม่วิตกทุกข์ร้อน พระพุทธะสอนไว้ว่า “ตำหนิผู้อื่นให้น้อย ตำหนิตัวเองให้เยอะ แล้วชีวิตนี้จะไม่ต้องมีเรื่องวิตกทุกข์ร้อน” ฉะนั้นอยากอยู่ในโลกแล้วมองเห็นแจ่มชัด ลองมองดูใจตัวเอง วันหนึ่งเราต้องสูญเสีย ซึ่งเป็นไปตามปกติแห่งธรรมดาของสังขาร   มีใครในโลกไม่ทุกข์ ไม่สูญเสีย ไม่เจ็บป่วย (ไม่มี)  แล้วมีใครในโลกไม่ตาย (ไม่มี)  ฉะนั้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ สุข ดี ร้าย ล้วนเป็นไปตามสภาวะเปลี่ยนไปแห่งธรรมชาติ และหนีไม่พ้นคือสังขาร หรือแม้กระทั่งความคิด แต่มีสิ่งหนึ่งที่พ้นสภาวะหลักธรรมแห่งความเปลี่ยนแปลง นั่นคือใจ หรือ จิตเดิมแท้ แต่คงไปไม่ถึงนะ เมื่อไรที่ท่านเข้าใจ จะเห็นชัดเลยว่า ใจจะหลุดพ้นจากความทุกข์ และเป็นอิสระจากสังขาร เราจะทุกข์เพียงกาย แต่ไม่ทุกข์ใจ เพราะเราเห็นชัดแล้วว่า ที่เราทุกข์เพราะความคิด ความคิดที่ไม่ยอมรับความจริง ฉะนั้นถ้าเรายอมรับความจริงว่า เกิดมาแก่ก็ได้ เจ็บก็ได้ ตายก็ได้ สูญเสียก็ได้ เพราะเป็นเรื่องธรรมดา แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถพ้นได้คือใจ ใจที่เป็นอิสระจากสังขาร และพ้นจากความยึดติดทางความคิด     ถูกไหม (ถูก)
แต่ส่วนใหญ่มักจะหยุดความคิดไม่ได้ และก็ห้ามความคิดไม่ได้ สิ่งที่ง่ายที่สุดก็คือ ตั้งความคิดให้ถูกต้องมีศีลธรรมเป็นหลัก เมื่อหยุดคิดความคิดก็จางหายไป แต่เราจะทำอย่างไร ให้เราเข้าใจความคิด สิ่งสำคัญเราต้องกล้ายอมรับความจริงให้ได้ก่อน สุขได้ก็ทุกข์ได้ ทุกข์ได้ก็สุขได้ มีได้ก็มีเสีย เข้มแข็งได้ก็ (อ่อนแอได้)  อ่อนแอได้ก็เข้มแข็งได้ ถ้ากล้ายอมรับความจริง ความทุกข์เป็นสิ่งที่น่ากลัวไหม (ไม่)  แล้วเราจะทุกข์เพราะความคิดอีกไหม (ไม่)  แต่ทำไมยังทุกข์กันอีก
อย่างนั้นเรามีวิธีง่ายๆ ความคิดของมนุษย์ชอบไหลไปอยู่สองทาง  ไม่ทางดีก็ทางร้าย ท่านเคยได้ยินทางสายกลาง ท่านไม่อยากทุกข์ก็อย่าไปคิดร้าย เพราะบางทีคิดดีก็ (ทุกข์)  ฉะนั้นคิดอย่างคนพ้นทุกข์ คือคิดอย่างคนไม่ดี ไม่ร้าย ไม่สุข ไม่ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราถามจริงๆ คนที่เขาชมเราคิดอย่างเข้าข้างตัวเอง สุขหรือทุกข์ (สุข)  แต่ถ้าคิดอย่างคนเป็นกลาง  ทุกข์หรือสุข เขาชมเราว่าสวย พอวันไหนไม่สวย ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เขาชมเราว่าหล่อ หน้ายังดูอ่อนเลยทั้งๆ ที่ผมขาวแล้ว ทุกข์ไหม ฉะนั้นถ้าเกิดความคิดทำให้เรายึดติดดีร้ายได้เสีย ทำไมไม่วางความคิดให้อยู่ตรงกลาง เมื่ออยู่ตรงกลางเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เราจะสุขไหม (ไม่สุข)  แต่เราเป็นกลาง คือความสงบเย็น เขาชมเรา ไม่ทุกข์ไม่สุข เขาว่าเราไม่มีทุกข์ไม่มีสุข วันนี้เราถูกลอตเตอรี่ ทุกข์หรือสุข เสียไปเท่าไรกว่าจะถูกหนึ่งตัว ใช่ไหม สุขดีใจถูกลอตเตอรี่แต่ที่เสียไปไม่เคยนับเลยใช่ไหม (ใช่)  เขาชมเราว่าสวย ทุกข์หรือสุข ตอนที่เขาชมใหม่ๆ สุข แต่พอนานไป พอไม่สวย ทุกข์แล้ว   ใช่ไหม (ใช่) 
ดีใจไหม ตอนเสียเงิน (เสียใจ)  จริงๆ แล้วได้หรือเสีย ถามจริงๆ     ที่ได้มาต้องเสียไปเท่าไหร่ ฉะนั้นทุกข์หรือสุข ไม่มีทุกข์และไม่มีสุข ถามใจท่านเอง อะไรสุขอะไรทุกข์ ทุกสิ่งล้วนเป็นกลางอยู่แล้ว แต่ใจเราต่างหากที่ชอบคิดว่าชมคือสุข ได้คือสุข เสียคือทุกข์ ด่าคือทุกข์ ทั้งที่จริงๆ แล้วชมอาจจะทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นที่มนุษย์มีตาแต่มองไม่เห็น สายตาสั้นมากกว่าสายตายาว มีใจแต่ใจไม่เปิดกว้างก็เพราะยึดติดกับความคิดจนลืมมองความจริง
เวลาเราเจ็บป่วยทุกข์หรือสุข ส่วนใหญ่มักจะพูดว่าทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  ลองมองให้ดีๆ ท่านจะเห็นว่าความเจ็บป่วยทำให้เราบางทีได้รู้ซึ้งน้ำใจคน และความเจ็บป่วยทำให้เรารู้ว่าร่างกายเริ่มมีสิ่งผิดปกติ ถ้าเราไม่หันกลับมาดูแล เราจะใกล้สู่ความตาย เจ็บก่อนดีกว่าไม่เจ็บแล้วตายนะ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรามองให้ดีอย่ายึดติดความคิด เพราะใจเดิมมันไม่ได้ทุกข์ แต่เราทุกข์เพราะความคิดที่ยึดติด ถ้าเราไม่ยึดติด ไม่คาดหวัง มองโลกให้เห็นความเป็นจริง แล้วเราจะเห็นชัดได้ว่าไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มันคิดไปเองทั้งนั้น จริงไหม เมื่อเราเห็นชัดว่าไม่มีทุกข์ไม่มีสุข โลกจริงเป็นกลาง เมื่อเป็นกลางแล้วเราจะสร้างวิบากกรรมได้อย่างไร แต่เมื่อเราเห็นแล้วยึดติดมีทุกข์ มีสุข มีดี มีร้าย มีได้ มีเสีย จึงก่อเกิดกรรมดีกรรมชั่ว จึงก่อเกิดวิบากกรรม      ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อพ้นทุกข์แล้วก็พ้นกรรมได้เพราะทุกสิ่งเราเห็นเป็นกลาง ไม่มีอะไรที่เราจะต้องพยายามให้ดีที่สุด และไม่มีอะไรที่เรารู้สึกว่าร้ายที่สุด เมื่อใจเราเป็นกลางเราก็เป็นอิสระจากการยึดติดผูกมัดของภาวะทุกข์สุข  ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราโดนเขาว่า ใจเราคิดยึดติดดีร้ายได้เสีย โดนเขาว่าเราเริ่มสร้างกรรมปากแล้ว อยากว่ากลับ ก่อเกิดเป็นวิบากกรรมไม่ดีถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าใจเราไม่คิดร้าย แล้วก็ไม่คิดดี เราจะทำดีเพื่อหวังผลขึ้นสวรรค์ไหม        เราจะยึดดีเพื่อหวังผลแล้วจะได้ไปเสวยบุญต่อไหม ภพชาติเราจบ ทุกข์เราสิ้น กรรมเราหมด เหลือแต่ใช้กรรมเก่า ถูกไหม (ถูก)  เข้าใจไหม (เข้าใจ)    แจ่มแจ้งไหม (แจ่มแจ้ง)  แต่มนุษย์เราทำไม่ได้ ยังอดติดความคิด โดนว่าก็เกลียดโกรธ โดนชมก็หลงรักชอบใจ โดนใครเอาไปก็ต่อว่าด่าทอ ช่างน่าเสียดายนะ ชีวิตเรามีสิ่งที่ดี แต่ถึงเวลาเรากลับไม่รัก จริงหรือเปล่า
วันนี้เรามาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านสั้นๆ แค่นี้ พอรู้เรื่องไหม (รู้เรื่อง)  ถ้าเรายึดติดสังขาร เราก็หนีไม่พ้นความเจ็บป่วย แต่ถ้าเมื่อไรเราดึงจิตออกจากสังขาร เราก็จะเห็นว่า แท้จริงแล้วพระจันทร์ไม่ได้มืดไม่ได้สว่าง แล้วก็ไม่ได้เว้าแหว่ง ยังกลมอยู่อย่างนั้น แต่ที่ยังเห็นว่าเว้าแหว่ง ที่เห็นว่าสูญเสียไป นั่นเป็นเพราะภาวะเหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่ทำให้เราหลงผิดเท่านั้นเอง ชีวิตก็เหมือนกัน ใจก็เหมือนกัน ใจเราไม่เคยสูญเสีย ใจเราไม่เคยแก่ ใจเราไม่เคยเจ็บป่วย แต่เมื่อไรที่เรายึดติดสังขาร เราจะมองไม่เห็นใจเดิมแท้ น่าเสียดายนะถ้าฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ถ้าวันนี้ไม่รู้จะอดทนให้สำเร็จไหม (อดทน)  แปลว่าพรุ่งนี้จะ (มา)  ลองพยายามดูสักตั้งหนึ่งนะ ดีหรือไม่ (ดี)  วันนี้ไม่เข้าใจ พรุ่งนี้จะต้องเข้าใจยิ่งขึ้น พรุ่งนี้เข้าใจแล้ว วันมะรืนก็ยิ่งต้องแจ่มชัดยิ่งขึ้น เพราะวันนี้มาศึกษาธรรมเพื่อเรียนรู้ใจ เราไม่เคยรู้ใจตัวเองเลย เพราะวันๆ เอาแต่มองออกแล้วก็ไปตามความคิดจนลืมดูใจ เมื่อไรที่ใจทุกข์ เมื่อไรที่ใจท้อ จงหันไปมองจันทร์ แล้วถามจันทร์ว่า จันทร์แหว่งหรือจันทร์เต็ม จันทร์มืดหรือจันทร์สว่าง ใจเราก็เช่นกัน ไม่ได้แหว่ง ไม่ได้หาย ไม่ได้มืด ไม่ได้สว่าง แต่เป็นสภาวธรรมว่างเปล่า จะยึดความมีให้ทุกข์ทำไม    จริงไหม (จริง)  เพราะถึงที่สุด ทั้งสังขารและชีวิตก็ต้องไหลเวียนกลับไปสู่ความว่าง ใครบ้างหนีพ้นความตาย (ไม่มี)  ใครบ้างหนีพ้นความไม่มี (ไม่มี) 
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ ดีหรือไม่ (ดี)  รักษาโอกาสนี้ให้ดี มีเวลาหมั่นนำธรรมมาพิจารณาชำระล้างใจ ล้างใจที่หลงผิดไหลไปตามความคิด มีโอกาสคงได้ผูกบุญกันอีกนะ


วันเสาร์ที่ ๑๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑        สถานธรรมฉือฮุ่ย จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  บำเพ็ญธรรมต้องมีเสมอต้นปลาย        บำเพ็ญจิตต่อไปไม่ขาดช่วง
อายตนะเชื่อแล้วย่อมถูกลวง               เมื่อพ้นบ่วงมายาพบสัจธรรม
                        เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา         ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                 ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม
  โลกวุ่นต้องนิ่งให้เป็น                         ใจเย็นสตินำทาง
รับฟังความคิดที่ต่าง                            กระจ่างสุขุมในตน
ต้องกล้าในทางถูกต้อง                         สอดคล้องในธรรมแห่งตน
เรื่องวุ่นที่เวียนวกวน                            มองตนไม่คิดโทษใคร
ต้องมองตามความเป็นจริง                     ไม่อิงเอาแต่นิสัย
ใจนิ่งก็เย็นสบาย                                 ถือไว้ต้องทุกข์ต้องทน
โกรธไปเป็นบาปแก่ใจ                          ร้ายไปเป็นกรรมแก่ตน
แค้นไปชิงชังตกผล                              สร้างทุกข์จำทนไม่ดี
สติดึงใจให้กลาง                                 บนทางตื่นรู้ใจนี้
สำนึกประพฤติทำดี                             อย่ามีอารมณ์นำพา                                                            ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อาจารย์เคยเห็นโดยส่วนใหญ่ ก่อนที่เราจะคุยเรื่องอะไรกันก็ตาม เราต้องมีเครื่องวัดระดับจิตใจกันสักหน่อย อาจารย์จะได้รู้ว่าจะพูดธรรมะลึกหรือตื้นแค่ไหนให้ศิษย์ได้ ดังนั้นอาจารย์มีเกมที่จะวัดระดับจิตใจของศิษย์แต่ละคน ดูว่าศิษย์ของอาจารย์แต่ละคนจะตอบอาจารย์ว่าอย่างไร  ทุกคนมีสิทธิ์ตอบได้หมดในเกมอันนี้ ดีไหม (ดี)  เกมนี้ไม่มีแพ้ไม่มีชนะนะ เกมของอาจารย์ง่ายๆ
ถ้าถามว่า ตอนนี้อาจารย์มีต้นไม้สองต้น ต้นหนึ่งคือต้นกล้วยอีกต้นหนึ่งคือต้นทุเรียน ศิษย์อยากปลูกต้นอะไร ศิษย์จะตอบอะไรก็ได้เพราะอาจารย์อยากวัดระดับจิตของศิษย์ อยากจะเลือกต้นทุเรียนก็ได้ อยากจะเลือกต้นกล้วยก็ได้ หรือจะไม่เลือกสักต้นก็ไม่ผิด หรือจะเลือกทั้งสองต้นก็ได้ ใครเลือกต้นกล้วย ส่วนใหญ่จะเลือกต้นกล้วย เพราะอะไร (เพราะจะได้ง่ายๆ )  เห็นไหมดูระดับจิตได้เลย อะไรง่ายๆ เอาไว้ก่อน อะไรยากๆ ไม่เอา ใช่ไหมศิษย์ แค่ถามก็รู้ใจศิษย์แล้ว ฉะนั้นไม่ต้องถามอะไรมาก อยากดูใจตัวเองก็ดูเรื่องนี้ อย่างนั้นอาจารย์ถามใครอยากปลูกต้นทุเรียน ทำไมอยากปลูกต้นทุเรียนทั้งๆ ที่รู้ว่าปลูกยาก (ทุเรียนปลูกช้า กินได้นาน กินได้หลายปี)  แต่กล้วยมันกินได้ไม่หลายปีหรือ จริงไหม (จริง)  ถึงแม้ง่ายแต่ก็ต้องหมั่นปลูกบ่อยๆ เพราะต้นอ่อนใหม่เกิดขึ้นต้นเก่าก็จะตาย คิดง่ายๆ ถ้าไม่ขยันปลูกต่อก็ไม่มีกล้วยให้กิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดยากๆ เพราะแอบคิดลึกๆ คือไม่ต้องปลูกบ่อยๆ หรือพูดง่ายๆ ลงทุนทีเดียว สบายไปอีกนาน หรือพูดง่ายๆ อีกคือแอบขี้เกียจเล็กๆ อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ เหมือนกัน มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกัน อาจจะแตกต่างกันก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  กล้วยก็คิดแบบหนึ่ง ทุเรียนก็คิดอีกแบบหนึ่ง แต่ถ้าคิดถึงผลประโยชน์ มองการณ์ไกล ทุเรียนดีกว่า แต่ถ้าคิดระยะทุกๆ วันมีกิน หรือมีโอกาสกินได้ทุกเมื่อและบ่อยๆ ไม่ต้องรอเป็นปี
กว่ามันจะออก แล้วกล้วยมันมีประโยชน์ตั้งแต่หัวยัน (ราก)  แต่ถามจริงๆ ลึกๆ ถ้าให้เลือกปลูกอะไร (ปลูกกล้วย)  ถ้าอย่างนั้นป่านนี้อาจารย์คงเห็นคนใต้ปลูกกล้วย จริงไหม (จริง)  อาจารย์อุตส่าห์ไม่พูดนะว่าระหว่างปลูกกล้วยกับปลูกต้นยางจะปลูกอะไร
ฉันใดก็ฉันนั้นศิษย์เอ๋ย ชีวิตของมนุษย์เรามีโอกาสเลือกที่จะมีสุขได้ในทุกๆ วัน แต่ไยชอบมองสุขไกลโพ้น มีโอกาสทำดีได้ทุกๆ วัน แต่ไยต้องรอทำดีใหญ่ๆ ในวันข้างหน้า เหมือนกันเรามีโอกาสทำดีกับทุกๆ คนได้ แต่ไยไม่ทำเลย ชอบเอาแต่รอ เรามีโอกาสสำเร็จในทุกๆ ก้าว แต่ไยต้องไปสำเร็จในวันข้างหน้า จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นชีวิตก็เหมือนกัน ศิษย์บอกว่าชีวิตมันทุกข์เหลือเกิน ถ้าอย่างนั้นสุขของศิษย์อยู่ที่คำว่า “ไกลโพ้น” หรือสุขของศิษย์อยู่ที่คำว่า “เดี๋ยวนี้ ตรงนี้ และตอนนี้” จบชั้นเมื่อไร เดี๋ยวจะไปสุขให้เต็มที่ ทำไมเราไม่ทำทุกที่ทุกเวลา อะไรก็ได้ฉันก็สามารถมีสุข ทำไมต้องไปรอ ศิษย์อยากพ้นทุกข์ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมไม่ทำทุกขณะให้มันมีสุขล่ะ ยังได้หายใจ ยังมีอากาศให้หายใจ ดีแล้ว สุขแล้ว มีแค่นี้ดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  หรือว่าเหี่ยวไปแล้ว ก็ดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตราบใดเรายังมีลมหายใจ ทำไมเราไม่เลือกสุข แต่ไยจึงเลือกทุกข์ ทำไมเราไม่เลือกสิ่งดีให้กับชีวิต ทำไมเราเลือกทำร้ายชีวิตด้วยการคิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ทำสุขให้เกิดขึ้นทุกวันล่ะ และทำอะไรก็ได้ให้มันมีสุขในตัวเราไม่ได้หรือ แล้วเราเห็นใครเป็นต้นกล้วยล่ะ ไม่ดีหรือ เห็นเขามีประโยชน์ตั้งแต่หัวยันเท้าเลย ดีไหม (ดี)  แต่คนบางคนชอบเป็นทุเรียน มันออกดอกอีกนาน แต่มันออกดอกที เฮ้อ! ชื่นใจ แต่กว่าจะให้มันชื่นใจเรานะ เมื่อไรมันจะดีสักทีนะ ถูกไหม (ถูก)  แล้วศิษย์อยากให้เป็นต้นกล้วย หรือต้นทุเรียน (ต้นกล้วย)  อย่างนั้นหรือ แล้วศิษย์ปลูกต้นกล้วยกับเขาหรือปลูกต้นทุเรียน หวังเขาเสียสูงลิบ แล้วเมื่อไรมันจะได้ทุเรียนออกผล หวังเอาต้นกล้วย แค่มันยิ้มก็น่ารักแล้วหรือมันแค่เหี่ยวๆ ก็ดีหนักหนาแล้ว หรือแค่เขาจะด่าเรา ก็ดีแล้วที่เขายังมีลมหายใจให้ด่าเรา ถ้าเขาไม่ห่วงไม่รัก เขาก็คงไม่ด่าเราหรอกนะ แม่บ่นไป ดีใจ แม่ยังอยู่ แม่ไม่อยู่พ่อก็แย่เหมือนกันนะ นั่นซิพ่ออยากไปไปเลย แต่ยังกลับมาบ้าน ยังมาซุกหัวนอนก็ดีแล้ว ดีกว่าไปแล้วไปลับไม่กลับมาใช่ไหม (ใช่)  เหมือนกันศิษย์เอ๋ย ถ้าศิษย์เห็นเขามีคุณค่า อะไรมันก็มีคุณค่า ถ้าศิษย์เห็นเขาว่าดี มองอย่างไรมันก็ดี มันก็ชื่นใจ แต่ถ้าศิษย์บอกว่า ทุเรียนเอ๋ย เมื่อไรมันจะออกดอก เอาใจก็แล้ว ชมก็แล้ว ว่าก็แล้ว มันก็ไม่เคยตกผลให้ชื่นใจสักทีเลย แล้วเราล่ะเป็นทุเรียนหรือเป็นต้นกล้วย (ต้นกล้วย)  อย่างนั้นหรือ อาจารย์ว่าเป็นทุเรียนมากกว่า
คุยแบบนี้ฟังง่ายไหม  (ง่าย)  ถ้าอย่างนั้นลองหันไปถามตัวเองแล้วมองกระจกนะ ว่าตัวเองทำตัวเองให้มีคุณค่าเหมือนต้นกล้วย หรือทำตัวเองนานๆ ที จะดีสักครั้งหนึ่งใช่ไหม (ใช่)  เพราะไม่ใช่นานธรรมดา อาจารย์จะพูดว่า ถ้าอาจารย์ยังไม่หมดลมหายใจจะบอกว่า นาน มากๆกว่าจะดีสักครั้งให้เราชื่นใจ
อาจารย์ถามต่อว่า ระหว่างเงินกับคน เลือกอะไร (คน) ระหว่างรถกับคนเลือกอะไร (คน)  เลือกคนหรือเงิน (คน) จริงหรือ เราไม่เลือกเงินใช่ไหม อาจารย์ว่าโกหก ถึงเวลาอาจารย์เห็นเลือกเงินมากกว่าคน เลือกรถมากกว่าคน ยิ่งเมื่อเวลามีคนมาทำร้ายรถเรา เราเป็นยังไง เลือกรถใช่ไหม ยอมรับมาตรงๆ เถอะ  เลือกเงินมากกว่ารถ เลือกเงินมากกว่าเลือกคน เลือกรถมากกว่าเลือกคนใช่ไหม (ใช่) รู้ไหม เลือกเงินมากกว่าเลือกคน เลือกรถมากกว่าเลือกคน ผลที่สุด คนนั้นแหละจะทำให้เราสูญเสียทั้งเงินและรถ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถ้าเรารู้ มีจิตใจรักษาคนไว้ คนนั้นแหละจะทำให้เราได้ทั้งทั้งรถ และเงิน
เราอยู่เพื่อเงินหรืออยู่เพื่อช่วยคน (เพื่อช่วยคน)  พูดจริงหรือ (จริง)  อาจารย์เห็นนะ โดยส่วนใหญ่ยังเอาตัวไม่รอดเลยจะไปช่วยเขาทำไม ไม่ช่วยเขาแล้วยังไปเบียดเบียนเขาอีก ทำไหม (ไม่ทำ)  ไม่จริง ทำทั้งเพเลยใช่หรือเปล่า ยอมรับมาเถอะ ชีวิตนี้เลือกเงินมากกว่าเลือกคนอีกใช่ไหม ถ้าเลือกคุณธรรมระหว่างความเป็นคน เราจะเลือกเงินน้อย เลือกรถน้อย          แต่เลือกคนมากกว่า อย่าลืมนะ เงินมันซื้อความซื่อตรงไม่ได้ เงินมันซื้อคนจริงใจไม่ได้ ถ้าคนนี้ยังไม่เคยจริงใจกับใคร เงินมันซื้อมิตรแท้ไม่ได้ถ้าคนๆ นี้ยังไม่เคยเป็นมิตรแท้กับใคร แต่ถ้าเราเสียเงินแล้วเราได้มิตร ทำไมเราไม่ยอมเสีย รถเราบุบนิดหน่อยเราจะไม่ได้ศัตรู แต่เราได้เพื่อน ถ้าเรายอม    ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนปัจจุบันนี้เห็นวัตถุมีมากกว่าน้ำใจคน เห็นวัตถุมีค่าและสูงส่งกว่าคุณธรรมที่ควรมีต่อคน ซึ่งไม่ต้องถามใครที่ไหน เรานั่นแหละที่เป็น เจอใครแล้งน้ำใจ เจอใครคดโกงและเจอใครเอาเปรียบเราว่าไหม  แต่ตัวเองคดโกงเอาเปรียบว่าตัวเองไหม ว่าเขาเสียงดังแต่ว่าตัวเองไม่มีเสียงเลย เช่นนี้แล้วถูกไหม (ไม่ถูก)  แล้วจะแก้ไหม (แก้)  ค่อยชื่นใจหน่อย
ยิ่งเล่นเกมก็ยิ่งเห็นใจตัวเองว่าเป็นอย่างไร ถ้าอยู่ในโลก เสียเปรียบกับได้เปรียบ ยอมเป็นคนแบบไหน ถามจากใจลึกๆ ระหว่างเสียเปรียบคนอื่นอยู่ตลอด ต้องยอมคนอื่นตลอด กับได้เปรียบคนอื่น กินแรงคนอื่นได้ เราเป็นแบบไหน เราเลือกแบบไหนในความเป็นจริง ฝั่งชาย (ได้เปรียบ)  แน่ล่ะฝั่งชายได้เปรียบเสมอ ฝั่งหญิงเสียเปรียบตลอดใช่ไหม (ใช่)  อย่าคิดมากน่ะ
โดยส่วนใหญ่ถ้าเรามีชีวิตอยู่ เราอยากเป็นคนที่เสียเปรียบหรือได้เปรียบผู้อื่น เราอยากเป็นคนที่กินแรงเอาเปรียบคนหรือว่ายอมเสียเปรียบช่วยคน (ยอมเสียเปรียบช่วยคน)  อาจารย์ไม่เข้าใจจริงๆ เลย  ต่อหน้าอาจารย์ทำไมพูดดี แต่ถึงเวลาทำจริงๆ ไม่เห็นดีสักราย ทำตรงข้ามตลอดเลย จริงไหม ถึงเวลาเราเอาเปรียบหรือเราได้เปรียบเขา ใครกินแรงหน่อย เรายอมไหม (ไม่ยอม)  สมมติมีเงินอยู่ร้อยหนึ่ง เขาเอาไปเจ็ดเหลือเราสาม ยอมไหม (ไม่ยอม)  เห็นไหมทันทีเลย ทำก็ทำเท่ากันถึงเวลาได้แค่สามเขาได้ตั้งเจ็ด เอาไหม (ไม่เอา)  อ้าวไหนบอกว่ายอม ศิษย์เอยอยากจะรู้ว่าคนนั้นเป็นคนทำบุญเก่ง หรือว่าเป็นคนดีหรือไม่ดี ต้องดูที่ว่าเขาเสียเปรียบอยู่ร่ำไปหรือเอาเปรียบอยู่ร่ำไป คนที่กล้าให้ผู้อื่นเสมอแปลว่า คนนั้นมีรากฐานที่ดีคือไม่อยากมีเรื่องราว แต่คนที่ไม่ยอมเสียเปรียบผู้อื่นอยู่ร่ำไปเป็นคนที่จะทำดียากจริงไหม ฉะนั้นอยากดูจิตใจตัวเองว่าดีจริงแท้  แค่ไหน ก็ดูที่ว่าศิษย์กล้าที่จะยอมเสียเปรียบและยอมให้ผู้อื่นอยู่ร่ำไปหรือไม่ อย่างนั้นตอนนี้ดีหรือไม่ดี (ดี)  ยังบอกตัวเองว่าดีอีก ยอมแบบไม่ค่อยเต็มใจ ยอมแบบด่าเขาในใจอีก อย่างนี้เรียกว่ายอมไหม (ไม่ยอม)
ยอมก็เพราะจำใจยอม พูดไม่ได้ บ่นไม่ได้ แต่แอบด่าในใจ อย่างนั้นก็ไม่เรียกว่าดีนะ ถ้ายอมก็ต้องยอมสุดจิตสุดใจ นั่นแหละที่เรียกว่าคนดีที่หนึ่ง แต่คนในโลกนี้ มีหรือจะยอมกันจริง อาจารย์ถามหน่อย คนที่ได้เปรียบคนอื่น แท้จริงเขาได้เปรียบใครไหม ถ้ามองให้กว้าง เปิดใจให้กว้าง แท้จริงแล้วในโลกนี้ไม่มีใครได้มากกว่าใคร แต่กลัวศิษย์ตาบอด อารมณ์เป็นใหญ่เลยมองไม่เห็นความจริง  ศิษย์หลายคนมักพูดว่า อาจารย์เราอยู่ในโลกนี้เป็นคนดีก็พอแล้วทำไมยังต้องปฏิบัติธรรมอีก มีใครคิดแบบนี้ไหม (มี) แค่เป็นคนดีก็ยากจะแย่แล้ว แล้วตอนนี้ให้มาฟังธรรม แล้วปฏิบัติธรรมอีก ยากไปหน่อย สาเหตุหลักที่มนุษย์คิดปฏิบัติธรรมก็คือ เราอยากพ้นทุกข์ อยากไปสวรรค์ ไม่อยากเวียนว่ายตายเกิด แต่เป็นแค่คนดีจะพ้นทุกข์ไหม (ไม่พ้น)  ก็รู้นี่ การเป็นคนดีอย่างสุดจิตสุดใจก็ยากแล้ว น่าจะพ้น อย่างน้อยไม่พ้นทุกข์แต่ขึ้นสวรรค์ก็ยังดี มักจะเข้าใจว่า แค่คนดีที่สุดก็หนักหนาแล้ว       จะปฏิบัติธรรม แต่ความดีมันทำให้เราพ้นทุกข์ ยังไม่ได้ อาจารย์เทียบง่ายๆ คนดีก็ยังมีทุกข์ของความดี อย่างเช่น เวลาเราทำดีเจอคนไม่ดีตอบ ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทำดีแล้วไม่ได้ดีตอบทุกข์ไหม (ทุกข์)  แค่ปฏิบัติดีพ้นทุกข์ไหม (ไม่)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า ทำดีอย่างไรถึงจะพ้นทุกข์ได้ ทำดีโดยไม่ต้องหวังผล ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทุกครั้งทำดีขอพรไหม รู้อยู่เต็มอกก็อดปากไม่ได้ ขอสักนิดเถอะอาจารย์ ถึงเวลาเรากลับทำไม่ได้ช่างน่าเสียดาย ศิษย์เอย หลักธรรมของทุกศาสนามีหลักธรรมอันเดียวกันคือ ทำแล้ว ต้องมีจิตที่เบา จิตมีอิสระ ทำแล้วจิตไม่ยึดติด ทำแล้วต้องละวาง ถ้าทำดีแล้วยึดติด แสดงว่าเรากำลังทำดีผิดทาง เพราะหลักของธรรมะสอนไว้ว่า ทำแล้วต้องไม่ยึดติด ทำแล้วต้องละวาง ทำแล้วใจมันต้องเบา       แต่ทำไมใจยังหนักอึ้ง ทำแล้วใจมันยังหลง ทำแล้วใจยังโลภ อย่างนี้เรียกว่าความดีที่มีกิเลสแอบแฝง ฉะนั้นถ้าจะทำดีแล้ว เป็นความดีที่แท้จริง ต้องไม่มีกิเลสนอนเนื่องในจิตใจ ไม่มี โลภ หลง  ทำแล้วต้องเบา แต่ทำไมทำแล้วยังกลุ้มกังวลใจ แล้วจะได้ไหม ถูกไหม
ฉะนั้นถ้าศิษย์ทำดีแล้ว ศิษย์อยากพ้น ศิษย์ไม่อยากทุกข์ ศิษย์ต้องทำแล้วไม่หวังผล ทำเต็มที่แล้วสู้สุดจิตสุดใจแล้ว ทำให้เขาเต็มที่แล้ว เขาจะว่าอย่างไรก็ (ช่าง)  ไหนว่าไม่ยึดติดแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีแล้ว ถึงที่สุดแล้วก็ปล่อยวาง เพราะเราถือไปแล้วถึงเวลามันจะได้อะไรไหม กลุ้มกังวลไปแล้วได้อะไรไหม กลายเป็นทำดีก็ทุกข์ใจเพราะจะได้รับคำชมไหม จะหน้าบานไหม ใครจะเห็นไหมว่าเราทำบุญตั้งหนึ่งร้อย ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นถ้าทำดีเเล้วหวังว่ายังมีหน้า ทำดีแล้วต้องมีคนให้ความสำคัญ ทำดีแล้วคนต้องประกาศชื่อ อย่างนี้ยังไม่เรียกว่าทำดีแล้วพ้นทุกข์ เพราะการทำดีแล้วอยากพ้นทุกข์ เราต้องไม่ยึดติดใดๆ ทำแล้วสามารถสละตัวตน เบาบางด้วยการเจือไปด้วยกิเลสนอนเนื่องในใจได้ นี่แหละเรียกว่าทำดีแล้วมาถูกทาง จะมาจะเดินก็ต้องเดินให้ถูก ฉะนั้นต่อไปนี้จะขออีกไหม ก็ยังไม่แน่ ถูกหรือเปล่า
อาจารย์ถามหน่อย ถ้าทำดีที่สุดแล้ว พระพุทธรูปปั้นสวยมีไหมที่ไม่มีคนติ ไม่มีคนว่า (ไม่มี)  อาจารย์ถามกลับศิษย์ทำดีที่สุดแล้ว มีไหมไม่มีคนบ่น ไม่มีคนด่า (ไม่มี)  แล้วจะทุกข์ทำไม ฉะนั้นทำดีที่สุดแล้วก็ไม่เป็นไรใช่หรือไม่ เรารู้อยู่แก่ใจเขาอยากว่าช่างปากเขา หมาเห่าใบตอง (แห้ง)  แต่ศิษย์รู้ไหมเขาเป็นหมาเราก็เป็นหมาเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  ทำดีต่อแล้วเราจะปฏิบัติอย่างไรที่จะทำให้เราสามารถพ้นทุกข์ได้ ถ้าเกิดว่าทำดีแล้วยังยึดติดมันดีไหม ไม่ดี ถูกไหม จึงมีคำกล่าวคำหนึ่งที่พระพุทธะ มักจะพูดไว้เสมอๆ ก็คือ เมื่อใดที่เรายังยึดติด เราก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่จะต้องไปรองรับ เหมือนเรายึดติดว่าเราทำดี เราเป็นคนดีเราก็หนีไม่พ้น ฉันอยากรับผลดี แล้วหนีพ้นไหม แปลว่าเราอยากมารับบุญต่อ เราอยากมาเกิดต่อใช่ไหม ถ้าศิษย์บอกว่าชาตินี้พอแล้ว ไม่อยากเกิดแล้ว ฉะนั้นทำดีก็ต้องไม่หวังผล ฉะนั้นเมื่อเราไม่ยึดติดจะมีวิบากกรรมต้องไปรองรับไหม จะมีคำว่าตัวตนที่มีกรรมต้องมารับผลอีกไหม (ไม่)  ฉะนั้นถ้าไม่อยากเกิดอีกจะทำดีหวังผลไหม คิดให้ดีๆ นะ ถ้ายังยึดติดก็แปลว่าเราอยากกลับมาเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับผลบุญในการกระทำนั้น แต่ถ้าทำแล้วไม่ยึดติดเราก็จบแล้วจบกัน แถมทำแล้วได้สละความเป็นตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วผู้ปฏิบัติธรรมยิ่งปฏิบัติแล้วใจเบาขึ้นไหม (เบา)
ยิ่งปฏิบัติจิตใจยิ่งใสขึ้นไหม (ใส)  ยิ่งปฏิบัติจิตใจยิ่งมีอิสระเสรีไหม (มี)  อาจารย์ว่ามันตรงกันข้ามกันหมดเลย ยิ่งปฏิบัติเดี๋ยวก็ติดคนนั้น เดี๋ยวก็ติดคนนี้ เดี๋ยวก็มีปัญหากับคนนั้น เดี๋ยวก็มีเรื่องกับคนนี้ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติถูกหรือปฏิบัติผิด (ปฏิบัติผิด)  ถ้ามีปัญหาแล้วเอาแต่แก้ที่เขา แก้ที่คนอื่นไม่ได้แก้ตัวเอง ปฏิบัติอย่างไรก็ไปไม่รอด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องเข้าใจให้ถูก การปฏิบัติธรรมหลักสำคัญก็คือ หนึ่งปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ถ้าปฏิบัติดีแล้วยังทุกข์กับคนนั้น ยังมีปัญหากับคนนี้ อย่างนี้คือปฏิบัติผิด ยังไม่ชอบคนนั้น ไม่ชอบคนนี้ อาจารย์ทำไมยังเป็นแบบนั้น ทำไมผู้บรรยายถึงพูดแบบนี้ นั่นเรียกว่าปฏิบัติผิดทาง เพราะปฏิบัติแล้วยังยึดติด ถูกไหม (ถูก)  รู้อยู่แก่ใจ แต่ปากมันพูดอีกอย่างหนึ่ง เพราะปากไม่เคยตรงกับใจ เราปฏิบัติธรรมปฏิบัติเพื่อใช้ธรรมในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสันติสุข เราปฏิบัติธรรมเพื่อเอาธรรมมายับยั้งชั่งใจ ไม่ให้เราก่อเกิดกิเลสและกรรมที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายกับเขาไม่จบสิ้น เราเอาธรรมมาปฏิบัติเพื่อย้ำเตือนใจไม่ปล่อยให้ความอยากความโลภมาทำให้เราก่อวิบากกรรมแล้วเวียนว่ายในวัฏสงสารไม่จบสิ้น เราปฏิบัติธรรมเพื่อเอาธรรมะมาประพฤติในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสันติสุข เข้าใจคำว่าปฏิบัติหรือยัง (เข้าใจแล้ว)
ปฏิบัติธรรมอย่างไรล่ะอาจารย์ถึงจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสันติ ศิษย์ชอบทำบุญไหม (ชอบ)  บุญที่เรียกว่าสังฆทานเป็นบุญที่ใหญ่ อยากสะเดาะอะไรก็ไปทำ (สังฆทาน)  ถ้าอยากทำทานที่ช่วยสะเดาะเคราะห์ที่ทำให้เราไม่มีภัยกับใครก็คือ ทำทานแบบไม่เจาะจงใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีทานใดประเสริฐเท่ากับการให้ (ธรรมะเป็นทาน)  ให้ธรรมะเป็นทาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอาจารย์ถามศิษย์รอไปสะเดาะเคราะห์ที่วัด กับศิษย์สะเดาะเคราะห์กับทุกๆ คน ไม่เจาะจงกับใคร ศิษย์ก็ให้ธรรมะเป็นทาน กับใครศิษย์ก็มีเมตตา มีความเอื้อเฟื้อ ซื่อตรง และเคารพให้เกียรติ อย่างนี้ศิษย์ไม่เรียกว่าศิษย์ทำบุญทุกวันหรือ และศิษย์ก็กำลังทำสังฆทานทุกวันใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่เพราะศิษย์ทำบาปกับเขาทุกวันเลย ไม่พอใจก็ด่า เกลียดก็บ่น อยากกินแรงเอาเปรียบ ก็กินแรงเอาเปรียบ อาจารย์จึงบอกว่า การปฏิบัติธรรมหลักสำคัญก็คือ สามารถปฏิบัติธรรมแล้วไปอยู่กับใครก็ได้เราก็ปฏิบัติได้ทุกเมื่อ และการปฏิบัติธรรมที่ดีทีสุด คือเราซื่อตรงกับเขาไหม เราเมตตาจริงใจไหม เรามีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เรารู้จักเคารพให้เกียรติไหม เรารู้จักเป็นมิตรสนิท ชิดเชื้อให้ความจริงใจหรือเปล่า ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราทำไหม
เจอใครเราก็มีเมตตากับเขา เจอผู้ใหญ่ก็เคารพให้เกียรติ เจอเด็กก็มีเมตตาจริงใจ เจอเพื่อนก็ซื่อตรง ถ้าทำอย่างนี้เราจะมีทุกข์ไหม (ไม่มี)     เราจะสร้างกรรมไหม (ไม่สร้าง)  เราจะเบียดเบียนใครไหม (ไม่เบียดเบียน)  มันก็ยังไม่แน่นะอาจารย์ มันต้องดูบางอารมณ์ใช่ไหม อารมณ์ดีก็ใจดี อารมณ์ร้ายอย่าให้ขึ้นเชียวอาจารย์ หัวหงอกหัวดำ เอาหมด ใช่ไหม (ใช่) 
แล้วการปฏิบัติธรรมหรือมีธรรมตลอดเวลาในจิตใจ ยังมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือจะคอยช่วยย้ำเตือนใจเวลาที่ชีวิตเราต้องเจอเรื่องร้ายๆ หรือเจอเรื่องแรงๆ เราจะมีภูมิคุ้มกัน เหมือนเราย้ำเตือนใจ ชีวิตมันไม่แน่นอน ชีวิตมันแปรเปลี่ยน มีดีก็มี (ไม่ดี)  มีร้ายก็มี (ดี)  เราหมั่นเตือนใจอยู่ตลอด เราหมั่นเอาธรรมมาสอนใจตลอด เวลาเราเจอเรื่องที่ร้ายมากๆ เจอเรื่องที่หนักมากๆ ใจเรามันจะคอยบอกตัวเองว่า มันเป็นอย่างนี้แหละ ใจเรามันจะเข้มแข็งขึ้น ใจเรามันจะมีพลังขึ้น ฉะนั้น “การหมั่นปฏิบัติธรรมจึงเป็นสิ่งที่ควรมีไว้ในชีวิต อย่าเป็นแค่คนดี แต่ควรมีธรรมสอนใจอยู่ทุกนาที เพราะยิ่งมีทุกวันๆ ภูมิต้านทานเราในการเจอกับความเป็นจริง มันจะทำให้เราแข็งแกร่ง แต่ถ้าเราไม่เคยมีธรรมเลย ไม่เคยเอาธรรมมาเตือนใจเลย เวลาเราเจอชีวิตที่มันพลิกผัน ศิษย์รับไหวไหม (ไม่ไหว)  เวลาชีวิตมันพลิกแพลงไปอีกอย่างหนึ่ง ศิษย์ทนได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะอะไร เพราะเราไม่เคยเตรียมใจ และเราไม่เคยฝึกใจเราก่อน ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า อย่าเป็นแค่คนดี แต่ต้องเป็นคนดีที่พร้อมปฏิบัติธรรม มีธรรมอยู่เนืองๆ ในใจ แล้วมันจะทำให้เรามองโลก และเห็นโลกชัด ไม่ทุกข์กับโลกอีกต่อไป
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ให้มนต์บทหนึ่งเอาไว้ท่องเตือนใจ เวลาเจอเรื่องอะไรที่น่ายินดี ศิษย์ก็จะท่องไว้เสมอ “ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่น่ายินดีหรือยินร้าย” ท่องไว้ทุกครั้งที่เวลาเจอใคร เวลาเจอใครดี เจอเรื่องดีๆ จะได้จำไว้ว่า (ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่น่ายินดีหรือยินร้าย)  เจอคนไม่ดีเราก็ท่องไว้ว่า (ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่น่ายินดีหรือยินร้าย)  ดีไหม (ดี)  บอกชีวิตไว้เสมอๆ และเมื่อไรที่ชีวิตต้องเจอเรื่องที่หนักเกินรับมือ ศิษย์จะได้จำไว้ว่า (ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่น่ายินดีหรือยินร้าย)  แต่พอกลับบ้านก็ลืมเลยใช่ไหม ใช่หรือเปล่า (ไม่ลืม)  ขอให้ไม่ลืมจริงๆ เถอะนะ แล้วอย่างไรล่ะเรียกว่าปฏิบัติ การหมั่นพิจารณาธรรมอยู่เนืองๆ จะทำให้เรามีธรรมยั้งคิด และธรรมช่วยให้เรายับยั้งทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ สิ่งที่อาจารย์พูดเป็นธรรมไหม (เป็น)  ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง   ไม่มีอะไรที่น่ายินดีหรือยินร้าย เวลามีคนชมก็ท่องไว้ว่า (ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่น่ายินดีหรือยินร้าย)  สมมติว่าตอนนี้เราอยากจะปฏิบัติธรรมบ้างแล้ว หรือว่ายังเหมือนเดิม เวลาเราปฏิบัติธรรมแล้วเจอเรื่องที่มันไม่เป็นดั่งใจ โดยส่วนใหญ่ศิษย์จะร้ายมาก็ (ร้ายไป)  ด่ามาก็    (ด่าไป)  ศิษย์อาจารย์น่ากลัวจริงเลย ถ้าเกิดว่าชีวิตเราอยากปฏิบัติธรรม แต่เจอคนที่ไม่เข้าตาเรา หรือเจอคนที่หลอกลวงเรา โกงเรา ทำร้ายเรา   เรายังอยากที่จะปฏิบัติธรรมกับเขาได้ไหม ทำกับคนแบบนี้ได้ไหม (ได้)  ศิษย์ว่าได้นะ แต่จะจบแบบไหน เลือกแบบไหน อันนี้สำคัญ จะเกี่ยวกรรมกันต่อไป หรือจะจบเวรจบกรรม หรือหมดเรื่องหมดราว ถูกหรือไม่
(อาจารย์เลือกนักเรียนมายืนข้างหน้าสองคน แล้วให้นักเรียนในชั้นเรียนเลือกว่าคนไหนน่าจะดี และไม่ดี)
คนสองคนนี้ คนใดดูน่าจะหาเรื่องหาราวกับเรามากกว่ากัน โดยให้ศิษย์กลับหลังไม่ให้ดูหน้า แล้วให้เลือกว่าคนไหนน่าจะดี และไม่ดี  แล้วหันหน้ามา อาจารย์บอกแล้วว่าโดยส่วนใหญ่มนุษย์มองทุกสิ่งทุกอย่าง มักจะเห็นคุณค่าแตกต่างกันออกไป แล้วแต่ใจเรายึดสำคัญมั่นหมายอย่างไร    ถ้าเรายึดว่าแบบนี้หาเรื่อง มองอย่างไรก็มีเรื่อง  แบบนี้ดูไม่น่ามีเรื่อง     มองอย่างไรก็ไม่น่ามีเรื่อง มันขึ้นกับสิ่งที่มั่นหมายในใจเรา หรืออยู่ที่ตัวเขา (เรา)  เวลาเรามีเรื่องมีราว สิ่งสำคัญมันขึ้นอยู่กับสิ่งที่มั่นหมายในใจเรา หรืออยู่ที่ตัวเขา (ตัวเรา)  อยู่ที่ตัวเรา
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนสองคน แสดงบทบาทต่างกัน ให้อีกคนแสดงทำตัวให้น่ารัก และให้อีกคนเดินไปอีกทาง ทำตัวให้เหมือนจิ๊กโก๋ที่สุด ตรงกันข้ามกับสิ่งที่คนอื่นคิดไว้)
ศิษย์ลองดูคนที่ศิษย์คิดว่าเขาน่ารักพอเขาทำตัวไม่น่ารักจะเป็นอย่างไร ดีไหม (ดี)  ก็ในเมื่อในโลกของความเป็นจริงล้วนหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ถ้าเรายึดมั่นถือมั่น ในความคิดเราว่าเขาไม่ดี แน่ใจหรือว่าเขาไม่ดีไปตลอด แล้วถ้าศิษย์ปักใจเชื่อว่าเขาดี แน่ใจหรือ ว่าเขาจะดีไปตลอด
ศิษย์เอ๋ยนี้น่ารักที่สุดแล้วใช่ไหม เพราะการไม่มีเรื่องไม่มีราวกับใครก็เป็นสิ่งที่น่ารักที่สุดนะ เดินไปเจียมตัว กลับมาแบบเจียมๆ ตัว ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ต้องพูดไม่ต้องทำอะไร ปลอดภัยที่สุด ถูกไหม (ถูก)  น่ารักไหม (น่ารัก)  น่ารักในแบบ (ของเขา)  ฉะนั้นถ้าเราไม่คาดหวังเยอะเราก็คงไม่ผิดหวังใช่ไหม (ใช่)  ไหนใครคาดหวังเหมือนอาจารย์บ้าง อาจารย์นึกว่าจะได้มากกว่านี้นะ อีกทีไหมศิษย์ (ไม่)  ไม่แล้วหรือ ไม่ยากอาจารย์บอกง่ายๆ นะ     เวลาเดินไปแล้วพูดว่า “สวัสดีครับ สบายดีไหมครับ คุณยายน่ารักจังเลย คุณตาน่ารักจังเลย” ง่ายไหม ไหนลองทำสิ จริงๆ เขาน่ารักอยู่แล้วนะ ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่าบางครั้งเวลาเราอยู่บนโลกใบนี้สิ่งที่เราคาดหวังและเรายึดติด บางทีมันก็อาจไม่เป็นอย่างนั้น ถูกไหม (ถูก)    ฉะนั้นถ้าเราไม่ปักใจเชื่อเสียอย่าง บางทีเราอาจเห็นมุมมองที่ดีในใจของเขาก็ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าเราไม่ปักใจเชื่อว่าเขาร้ายอย่างเดียว บางครั้งเราอาจเห็นอะไรที่น่ารักๆ ในตัวของเขาก็เป็นได้ ฉะนั้นที่มนุษย์ทุกวันนี้มีปัญหากัน มีทุกข์กัน หรือต่างถือทิฐิใส่กัน เราต่างไม่ยอมทำสิ่งที่ควรปฏิบัติให้แก่กัน   ใช่ไหม (ใช่)  เวลาทำชั่วเรากล้าทำ แต่น่าแปลกนะ เวลาทำดีก็อาย อายไหม (ไม่อาย) แน่ใจนะ ถ้าแน่ใจเดินไปสวัสดีให้ทั่วห้องเลยนะ
การปฏิบัติธรรมอย่างไรนะ ที่จะทำให้เราช่วยดับทุกข์ในใจของเราได้ เรามีทุกข์ไหม (มี)  ทุกข์มากทุกข์น้อย (ทุกข์มาก ทุกข์น้อย)  อยู่กับอาจารย์ยังทุกข์อีกหรือ แล้วเราจะดับทุกข์ในใจของเราได้อย่างไร อาจารย์ถามหน่อย ส่วนใหญ่ถ้าเราอยากจะดับทุกข์ได้ ศิษย์เคยได้ยินประโยคนี้ไหม “ถ้าใจเราว่าง ทุกสิ่งก็ว่าง ถ้าใจเรานิ่ง ทุกสิ่งวุ่นวายขนาดไหน เราก็สามารถทำให้มันนิ่งได้” ใช่หรือไม่ (ใช่)  “แต่ถ้าเกิดโลกภายนอกมันนิ่ง แต่ถ้าใจเราวุ่น เราก็สามารถทำสิ่งที่นิ่งให้วุ่นวายได้ เพราะใจเรา” ฉะนั้นเหมือนกันถ้าเราคิด ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็มี แต่ถ้าเราไม่คิด ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เหมือน (ไม่มี)  ฉะนั้นถ้าเราเห็นแล้วไม่คิดมันจะมีเรื่องไหม (ไม่มี)  เห็นแล้วไม่ถือสา จะมีเรื่องไหม (ไม่มี)  เห็นแล้วใจเราไม่วุ่น จะมีเรื่องไหม (ไม่มี)  ถ้าเราเห็นเขาว่าง ใจเราก็ (ว่าง)  ถ้าเราเห็นเขาวุ่น ใจเราก็ (วุ่น)  อยากปฏิบัติธรรม ถ้าเห็นเขาวุ่น ใจเราต้องพยายามนิ่ง เมื่อนิ่งจึงรับมือกับความวุ่นได้ ถ้าวันหนึ่งศิษย์เจอคนที่โกง หลอกลวงศิษย์ เจอคนที่ด่าศิษย์ ศิษย์จะแก้อย่างไร ศิษย์บอกว่าคิดดีไว้อาจารย์ ทำอะไรไม่ได้ ให้อภัย หรือไม่ก็ทำมันกลับสักทีหนึ่ง ใช่ไหม (ใช่ ไม่ใช่) เวลาเราเจอคนโกง คนร้าย เราจะร้ายกลับดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าร้ายกลับแสดงว่าเราต้องอยากเกี่ยวกรรมต่อเนื่องใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นเราต้องคิดดีเข้าไว้ ดีไหม (ดี)  โดยส่วนใหญ่ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมักจะบอกว่า วิธีปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรก็ให้คิดดีเข้าไว้ แต่ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ทุกข์เพราะความคิด  ฉะนั้นเมื่อศิษย์พยายามคิดดีเข้าไว้ ความคิดนั้นทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ไหม มนุษย์ทุกข์เพราะความคิด เมื่อเจอเรื่องราวอะไรก็ตาม เราใช้อารมณ์ ใช้ความคิด มันจะวุ่นไม่จบ แต่ถ้าเมื่อไร เราเจอเรื่องราวเราใช้สติ จะพบความสงบ แต่มนุษย์ไม่ใช่ เจออะไรคิดดีไว้ก่อน  อาจารย์ถามหน่อย ถ้าเขาโกง คิดดีช่างมันเถอะจะได้หมดเวรหมดกรรม แต่ความคิดมันจบไหม (ไม่จบ)  พอถึงเวลาทำไมมันโกงล่ะอาจารย์ ก็พยายามอภัยแล้วนะ แต่ทำไมยังโกงอีก ฉะนั้นถึงจะใช้คำว่าคิดดี ก็ยังไม่พ้นทุกข์  แล้วคิดอย่างไรที่จะพ้นทุกข์ (ให้อภัยเขาทุกอย่าง)  ศิษย์เอยถ้าเมื่อไรที่ศิษย์ยังคิดว่าต้องพยายามให้อภัยแปลว่าในใจศิษย์ยังไม่ชอบใจอยู่ใช่ไหม  ถ้าอย่างนั้นทำอย่างไรดี เวลาเจอเรื่องราวที่ไม่เป็นดังใจเราให้อภัย
คิดให้อภัยเป็นการแก้ที่ดีที่สุดใช่ไหม (ใช่)  ใช่หรือ เพราะเมื่อไรที่เราพยายามคิดดีเข้าไว้ คิดให้อภัย แล้วถ้าเกิดเขาไม่เป็นดั่งใจ เขายังเป็นซ้ำอีก อภัยลงไหม ถ้าสมมติว่าเขาทำไม่ดีกับเรา เราพยายามคิดให้อภัย คิดบวกเข้าไว้ คิดดีเข้าไว้ เขายังทำอีก (ไม่ถือสา)  ตอบได้ดี (ไม่ต้องคิดเลย)  เพราะคิดดีเขาก็ไม่ดี คิดร้ายก็มีแต่ทำให้ใจเราเจ็บปวด อย่างนั้นอย่าคิดเลย ใช่หรือไม่ เพราะคนทั้งโลกเขาไม่เเกล้งแต่เขามาแกล้งเรา คนทั้งโลกเขาไม่หลอกลวง แต่เขามาหลอกลวงเรา คนทั้งโลกเขาไม่โกง เขาโกงเรา แปลว่ามันต้องมีกรรมเกี่ยวกันมา ใช่ไหม ฉะนั้นคิดให้สบายใจก็ช่างมัน อย่าไปคิดดีกว่า คิดเเล้วก็เจ็บช้ำน้ำใจใช่ไหม
(พูดกับเพื่อนแรง ไม่รู้ว่าจะกลับไปดีกับเขาอย่างไร)  เพื่อนกันถึงร้ายกันยังไงก็ตัดไม่ขาดใช่ไหม ง่ายๆ คำเดียวสั้นๆ ขอโทษ แค่ “ขอโทษ” เมื่อสักครู่ศิษย์ก็พูดเองว่าศิษย์พูดแรง พูดหนักด้วย และทำเพื่อนเขาเจ็บด้วยใช่ไหม รักเพื่อนไม่ใช่หรือ แค่พูดว่า “ขอโทษ” ไม่ยากหรอก ผิดก็ยอมรับผิด ทำเลยไม่ต้องคิด เพราะถ้าคิดจะไม่ได้ทำ และถ้ายิ่งคิดมันก็ยิ่งไม่ทำ ฉะนั้นอาจารย์จะบอกให้นะศิษย์อยากอยู่บนโลกแล้วไม่มีปัญหากับใคร เวลาเจอเรื่องที่มันกระทบใจแล้วจะก่อเกิดเป็นกิเลสอารมณ์ อย่าใช้ความคิดเพราะความคิดมันง่ายที่จะไหลไปตามนิสัย กิเลส อารมณ์ และมันง่ายที่จะลำเอียงเข้าข้างตัวเอง และความคิดมันง่ายที่จะเหมือนสาดน้ำมันใส่อารมณ์ โกรธไหม ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะด่า ใช่ไหม ฉะนั้นเมื่อใดที่ใจต้องกระทบแล้วเกิดอารมณ์ จำไว้อย่าใช้ความคิดแต่จงใช้สติ สติจะดึงใจให้กลับมาสู่ความเป็นกลาง
รู้จักเอาสติ ดึงสติมา ไม่ใช่อาจารย์บอกว่าปฏิบัติธรรม ไม่ต้องคิดไม่ใช่นะ แต่ถ้าเกิดว่าต้องทำงานรู้จักใช้สมองนั้นแหละต้องคิด แต่ถ้ามีเรื่องอะไรกระทบใจ อย่าคิด เพราะความคิดมันเป็นกิเลสอารมณ์ง่าย ศิษย์เคยได้ยินไหม อารมณ์หมุนเปลี่ยนไปตามความคิด ความคิดเป็นสิ่งที่นอนเนื่อง ก่อเกิดให้กิเลสอารมณ์ ฉะนั้นถ้าเจออะไรมากระทบใจ ไม่อยากก่อเกิดเป็นวิบากกรรมแล้วทำให้ต้องทุกข์ จงอย่าใช้ความคิดแต่จงใช้สติ สติจะดึงใจให้กลับมาสู่ความเป็นกลางและมองเห็นความจริงอย่างแจ่มชัด
ฉะนั้นเราเจอเรื่องราวอะไรจำไว้นะศิษย์ อะไรที่มากระทบแล้วจะก่อเกิดเป็นกิเลสอารมณ์ “อย่าคิด” ถึงแม้การคิดนั้นจะเป็นการคิดบวกก็ตาม มันก็ทำให้เราหนีไม่พ้นทุกข์ เพราะเวลาเราคิดบวก “ช่างมันเถอะๆ” ความคิดก็คือความทุกข์ ความทุกข์ก็คือความคิด ถ้าเรายังไม่เห็นชัดในความคิดเราก็หนีไม่พ้นทุกข์ ถูกไหม (ถูก)  เข้าใจไหม ฉะนั้นเวลาเจออะไรให้ใช้ (สติ)  ใช้สติแล้วถ้าคิด คิดให้มันกลาง อย่าคิดดีและอย่าคิดร้าย เพราะถ้าคิดดีมันก็หลงรัก พอหลงรักไม่เป็นดังรักมันก็โกรธ โกรธเสร็จก็เกลียด เกลียดเสร็จด่า ด่าเสร็จก็เกี่ยวกรรม พอเห็นแล้วคิดร้าย คิดร้ายก็จองเวรจองกรรมอีก มันพ้นกรรมไหม (ไม่พ้น)  แล้วเราอยากอยู่อย่างมีกรรมหรืออยากอยู่อย่างหมดกรรม (หมดกรรม)  แล้วตอนนี้เราทำอย่างคนมีกรรมหรือหมดกรรม (หมดกรรม)  เห็นเกี่ยวกรรมตลอดเลย ฉะนั้นเจออะไรพยายามอย่าคิดบวกหรือคิดลบ มองเขาเป็นกลาง ดีไหม (ดี)  เวลาเจอใครแบบไหนก็มองเป็น (กลาง)  เราจะผิดหวัง เราจะทุกข์ และเราจะเสียใจไหม (ไม่)  คำว่ากลางนั้นก็คือไม่ยินดียินร้าย เพราะทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปรผัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนท่านหนึ่งออกมาหน้าชั้น)
อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ถ้าเจอหน้าแบบนี้กลางไหม ห้ามยิ้มนะ บึ้งไว้ มองหน้าแบบนี้กลางไหม (กลาง)  อดคิดไม่ได้หน้าเขาก็ดูน่ากลัวเหมือนกันนะอาจารย์ ฉะนั้นเจอเรื่องราวจะเป็นอย่างไร มองให้เป็นกลางไว้ เพราะถึงที่สุดร้ายก็มี (ดี)  ในดีก็มี (ร้าย)  ในสุขก็มี (ทุกข์)  ในแย่มี (ดี)  ในไม่หล่อก็มี (หล่อ)  จะหล่อมากๆ เลย ถ้าไม่ติดเหล้าไม่ติดบุหรี่ ขยันทำมาหากิน ทำได้ไหม แล้วยังกินเหล้าสูบบุหรี่ไหม สูบหรือ กลับไปยังสูบไหม (ไม่สูบ)  แน่นะ เอาแอปเปิลมาเลยเร็ว ถ้ารู้จักรักตัวเองเป็น เรื่องอะไรจะรักคนอื่นไม่เป็น แต่ถ้าเขายังทำร้ายตัวเอง และเรายังโง่ไปเลือกเขามาเป็นสามี ศิษย์นั่นเหละโง่ที่สุดแล้ว ใช่ไหม
 (พระอาจารย์เมตตาแจกแอปเปิลให้กับคนที่ตอบคำถาม)  กินแอปเปิลยังมีวันหมด แต่ถ้าเอาธรรมะของอาจารย์ไปปฏิบัติไม่มีวันหมด หมดอย่างเดียวคือช่วยหมดทุกข์ เอาแอปเปิลหรือเอาธรรม (เอาสองอย่าง)  ศิษย์ฉลาด
อาจารย์ถามหน่อยโดยส่วนใหญ่มนุษย์ปรารถนาความสงบหรือความวุ่นวาย (ความสงบ)  จริงหรือ อาจารย์ลงไปข้างล่างดีไหม (ไม่ดี)  ไม่ได้ เกิดเป็นคนต้องรู้จักเสียสละ ถ้าไม่เสียสละชีวิตจะไม่มีวันสงบ ชีวิตนี้เคยมีความสงบสบายใจบ้างไหม (มีบ้าง)  เราปรารถนาความสงบหรือเราปรารถนาความวุ่นวาย (ความสงบ)  จริงหรือ ถ้าปรารถนาความสงบชีวิตเราคงไม่ไปหาเรื่องใครให้วุ่นวายหรอก  สงบแปลง่ายๆ แปลว่ายอมจบ ถ้าไม่ยอมจบก็แปลว่าไม่มีวันสงบ ถูกไหมศิษย์ แล้วชีวิตนี้ศิษย์ยอมจบบ้างไหม ใครว่าเรายอมจบไหม ใครโกงเรายอมไหม ฉะนั้นถ้าเราอยากมีชีวิตแล้วไม่อยากมีกรรมต่อ อยากมีชีวิต คนเราเกิดมาพร้อมกับกรรมถูกไหมศิษย์ และมีทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี แล้วเราอยากเพิ่มกรรมดีหรือเพิ่มกรรมชั่ว (กรรมดี)  อยากมีกรรมต่อหรือ ทั้งกรรมดีและกรรมชั่วก็ไม่อยากเพิ่มแล้วใช่ไหม เพราะถ้าเพิ่มก็แปลว่าเรายังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก แล้วถ้าหากว่าเรามาเวียนว่ายตายเกิดแล้วศีลเรามีไม่ครบ ความเป็นคนเราปฏิบัติได้ไม่ดี การกลับมาเกิดก็ไม่สามารถจะทำให้เราเกิดเป็นคนได้ ฉะนั้นเราอยากจบกรรมไหม ถ้าอยากจบเจอเรื่องราวอะไรควรจบ พอจบจะพบความสงบ   แต่ถ้าไม่จบมันจะวุ่นวาย ฉะนั้นถ้าชีวิตนี้ทำอะไรเอาแต่ใช้อารมณ์ความรู้สึกก็หนีไม่พ้นความวุ่นวาย แต่ถ้าชีวิตนี้ทำอะไรใช้สติ ก็จะพบความสงบและจบได้ แต่ถึงเวลาพอเราเจอเรื่องราว เราจบและสงบจริงไหม แต่โดยส่วนใหญ่เรามักชอบความวุ่นวายมากกว่าความสงบใช่ไหม (ใช่)  พอถึงเวลาให้เข้าวัดกับไปผับไปไหน (วัด)  ไม่อยากมีเรื่องวุ่นวายในใจ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามีเรื่องราวอะไร ถ้าเรารู้จักจบให้ไว มันก็วุ่นวายน้อย แต่ถ้าจบช้า มันก็วุ่นวายมาก หรือพูดให้ยากเข้าไปอีกหน่อย ถ้าทำอะไรเอาแต่ใช้อารมณ์เป็นหลักเราก็หนีไม่พ้นความวุ่นวาย แต่ถ้าทำอะไรรู้จักใช้สติเป็นหลักเราก็มีความสุขสงบได้
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย คำว่า “สติ” แปลว่าอะไร (การยับยั้งชั่งคิด, ปัญญา)  สติแปลว่าปัญญา มีสติจึงมีปัญญา ถ้าสติไม่มี ปัญญาก็ไม่เกิดนะศิษย์ แต่สติไม่ได้แปลว่าปัญญา (สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดปัญญาไม่มี)  ต้องได้อย่างนี้แหละ แต่ถึงเวลาไม่เห็นมีสติเลย สติแปลว่า (ความยับยั้งชั่งใจ, ความระลึกได้)  ระลึกอะไรได้ (ความดีความชั่ว)  สติแปลว่า ความระลึกได้ ตั้งตนให้อยู่ในศีลในธรรม ระลึกในศีล ระลึกในธรรม (คิดก่อนแล้วค่อยทำ)  แต่ความคิดมันง่ายที่จะไหลไปตามนิสัยและอารมณ์นะ แล้วสติมันจะช่วยยับยั้งชั่งใจอย่างไร ถ้าสติมันไหลไปตามความคิด จริงไหม (จริง)  อาจารย์เพิ่งพูดเองว่า ถ้าเกิดเราเจอเรื่องอะไร อย่าใช้ความคิด เพราะความคิดมันง่ายที่จะไหลและตกไปเป็นทาสของอารมณ์ ถ้าอะไรมากระทบใจแล้วมันจะก่อเกิดเป็นกิเลส อารมณ์ อย่าใช้ความคิด เพราะความคิดนั้นมันไหล มันง่ายที่จะไหลไปตามนิสัยของใจคน แต่สติมันทำให้เราระลึก รู้ผิดชอบชั่วดี รู้พิจารณาความเป็นจริง รู้ให้กลับมาสู่ความเป็นกลาง
สติกับสมาธิ  ศิษย์จะถามอาจารย์ว่าอันไหนมาก่อน สติทำให้เรานิ่งกลับสู่ภาวะกลาง และภาวะกลางถ้ารักษาได้ตลอดจะเกิดสมาธิ และเมื่อสามารถรักษาสติให้เกิดสมาธิหรือสงบจนเป็นกำลัง จนก่อเกิดเป็นปัญญา เป็นปัญญาที่สามารถดับทุกข์สิ้นกิเลส แต่มนุษย์ไม่ใช้สติ ชอบใช้ความคิด เมื่อใช้ความคิดก็หนีไม่พ้นความวุ่นวาย และไม่สามารถมีสมาธิได้ และไม่สามารถเกิดปัญญาที่เห็นแจ่มชัดได้ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจก่อนว่าสติแปลว่า ระลึกรู้ กายในกาย ใจในใจ จิตในจิต ว่าสิ่งที่มันมากระทบมันไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลง ไม่น่ายินดี ไม่น่ายินร้าย เมื่อรักษาสติได้ตลอดเนื่องๆ จึงก่อเกิดเป็นสมาธิที่เรียกว่าสงบไม่หวั่นไหว เมื่อโดนกระทบมีสติไหม รักษาสติได้ตลอดไหม สติคือการกลับมาดึงใจเราให้ระลึกได้ว่า มันไม่เที่ยง คนที่ตีเรามันก็ไม่แน่ วันนี้ตี เดี๋ยววันต่อไป ขอโทษ แล้ววันนี้คนที่เราบอกว่าเขาน่ารัก บางทีอาจจะตีเราก็ได้
ศิษย์เอ๋ยคนที่นั่งสมาธิแล้วก่อเกิดปัญญาต้องนั่งกี่ชั่วโมง อาจารย์ไม่สามารถตอบได้ แล้วแต่ภูมิธรรมในจิตของเราเอง การที่เราฝึกสติบ่อยๆ เป็นคุณธรรมข้อหนึ่งที่พระพุทธองค์ให้คำยืนยันว่า มันสามารถจะกำหนดหนทางพ้นทุกข์ได้ แต่ขอเริ่มต้นให้มีสติ เมื่อเวลาที่ถูกกระทบ มีสติแล้วรักษาความสงบได้ไหม แล้วมองเห็นแจ้งจนตื่นรู้และสิ้นทุกข์ได้หรือเปล่า ถึงแม้ศิษย์จะไปนั่งสมาธิในป่า  ไม่โดนคนว่า คนด่าเลย ศิษย์สงบ แต่พอกลับมา โดนคนด่า คนว่า ศิษย์ยังมีสติไหม เอาอีกแล้วหรือ ฉะนั้นถึงจะนั่งในป่าสงบ แต่ถ้าอยู่ในเมืองแล้วศิษย์ไม่สงบก็เปล่าประโยชน์ ฉะนั้นสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก แต่มันอยู่ที่ข้างใน ศิษย์ทำแล้วยัง ให้ทำ อย่ามัวแต่ถาม  คนที่ตัดสินความ ถ้าเขามีปัญญา เขาก็จะสามารถตัดสินคนไม่ผิดพลาด อยากให้เป็นอย่างนั้น อาจารย์พูดตามตรง คนในโลกถึงแม้ศิษย์จะหวังให้เขาไปปฏิบัติธรรม แต่เมื่อลืมตาก็อดเห็นไม่ได้ ใจก็เอนเอียง     ถึงเราจะยุติธรรมขนาดไหน แต่เราบอกว่าคนนี้ผิด แต่ถามจริงๆ เขาผิดจริงไหม ไม่สามารถตัดสินใจได้ เราไม่สามารถตีความได้ว่าใครผิดหรือถูก ฉะนั้น การศึกษาธรรม จึงสอนให้รู้ว่า ไม่มีคดีความ ไม่ตัดสินใครผิด  ใครถูก ดีที่สุด เพราะถึงที่สุดแล้วถ้ายังมีลมหายใจ คนนั้นก็ยังมีวันเปลี่ยนแปลง
อย่าลืมว่าคนเราในโลกใบนี้หรือมนุษย์ในโลกใบนี้มีหลายอย่างที่พูดอย่างทำอย่าง ทำอย่างแต่ใจคิดอีกอย่าง จริงไหม แล้วเราจะบอกว่าคนที่พูดดีแล้วดีจริงไหม แล้วคนพูดถูกแล้วถูกจริงไหม เราไม่สามารถตอบได้     แล้วเราไม่สามารถตัดสินได้ ใช่หรือไม่ อาจารย์จึงอยากบอกกับศิษย์ให้รู้ว่าเหตุผลไม่ใช่ที่สิ้นสุดของคำตอบ แต่คำตอบที่แท้จริงที่สุดคือใจของศิษย์เอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เจตจำนงนั่นแหละที่ศิษย์พูดศิษย์ทำ ดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด ใช่หรือเปล่า เอามนุษย์เป็นกฎเกณฑ์ไม่ได้หรอกนะศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สติเป็นกำลัง”
มี “สติเป็นกำลัง” เป็นคำโบราณที่เขาพูดกันในหลักธรรม ศิษย์เคยได้ยินไหม คำโบราณกล่าวไว้ว่า ผู้ใดมีสติ ผู้นั้นเจริญทุกเมื่อ ผู้ใดมีสติ ผู้นั้นมีความสงบสุข ผู้ใดมีสติ ผู้นั้นทำชีวิตให้เป็นผู้ประเสริฐ แต่ปัจจุบันนี้มนุษย์ทุกคนมักใช้อารมณ์มากกว่าใช้สติ ใช่หรือไม่ มีอารมณ์เป็นกำลังของใจ ไม่ได้มีสติเป็นกำลังของชีวิต ฉะนั้นมีโอกาสจงทำอะไรด้วยสติ สติแปลว่าระลึกรู้ในศีลธรรม ระลึกรู้ในความถูกต้องแห่งธรรม เจอเรื่องอะไรจงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์ ความคิด ได้ไหม ยากไหม (ไม่ยาก)  เมื่อเราใช้สติอยู่เนืองๆ สติจะก่อเกิดเป็นพลังที่ทำให้เราสงบ เมื่อสงบอยู่เนืองๆ กำลังของพลังแห่งความสงบจะก่อเกิดเป็นปัญญาที่ทำให้เรามองเห็นโลกแจ้งชัด และสามารถตัดกิเลสและดับทุกข์ได้ แต่สติจะมาได้อย่างไร ต้องเริ่มต้นถามศิษย์ก่อนว่าศิษย์เป็นคนมีศีลหรือยัง สติทำให้เราสงบใช่ไหม (ใช่)  ถ้ามีสติแต่ขาดศีลก็ไม่สงบ ถูกหรือไม่ ฉะนั้นมีสติแล้วอยากสงบต้องมีศีล แล้วศีลครบไหม (ไม่)  ไม่ครบหรือ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากมีสติแล้วกลับคืนสู่ความสงบได้ ศิษย์ต้องมีศีล ศิษย์รู้ไหม ศีลเป็นธรรมที่มีคุณ เพราะเป็นธรรมที่สามารถนำพาให้ชีวิตกลับคืนสู่ความพ้นทุกข์ได้ และผู้ที่จะมีศีลได้ เรียกว่ามนุษย์ เทวดา พรหม แต่ศิษย์ไม่เคยมีศีล ศิษย์ก็เลยไม่ใช่มนุษย์ ถูกไหม ฉะนั้นรักษาศีลให้ครบ ถ้าศีลไม่ครบศิษย์ก็เป็นสัตว์ในคราบมนุษย์ วิธีฝึกจิตให้มีกำลังต้องหมั่นทำจิตใจนั้นให้สงบ
“มีสติระลึกรู้สัมปชัญญะครบ ย่อมพานพบธรรมทั้งหลายหลอมรวมใจ”
ฉะนั้นเวลามีอะไรเกิดขึ้นต้องพยายามฝึกอารมณ์ให้เย็นและมีความสุขุมในใจให้มาก และเมื่อเราอารมณ์เย็นแล้ว สุขุมแล้ว สติจะทำให้เรามองเห็นว่าการมีอารมณ์นั้นเป็นโทษ ไม่ควรจะมีไว้ แปลกนะมนุษย์ฝึกอะไรฝึกได้ แต่ฝึกไม่ได้อยู่อย่างหนึ่งคือ ใจตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ฝึกให้เย็นได้ไหม ทำไมเวลาอารมณ์ร้อนไม่เห็นต้องฝึกทุกคนก็เป็นแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ต้องเรียนเลย ด่าปุ๊บร้อนปั๊บ ติดทันทีเลย ฉะนั้นพยายามนะศิษย์เอย
(อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมขอพระอาจารย์เมตตาชื่อสถานธรรมที่เปิดใหม่)
อาจารย์ถามศิษย์นะ หมดรุ่นศิษย์แล้วมีรุ่นต่อไปมีไหม เงียบเชียว ศิษย์เอยสร้างห้องพระขึ้นมายังต้องดูแลต่อเนื่องจนถึงที่สุด ถ้าไม่มีรุ่นต่อไป การสร้างห้องพระมาจะเป็นภาระที่สร้างแล้วถูกทิ้งวางไว้ น่าเสียดายใช่หรือไม่ ฉะนั้นไม่ใช่แค่เราเข้มแข็งแต่เราต้องสร้างบุคลากรต่อไปให้เข้มแข็ง และดูแลห้องพระต่อไปได้ด้วยและมีจิตใจที่เสียสละอุทิศช่วยคนเหมือนศิษย์ด้วย ถูกหรือไม่ ฉะนั้นภาระในการสร้างห้องพระยากแล้ว แต่ทำห้องพระให้อยู่ยงมีคนสืบต่อ และฉุดช่วยคนต่อยากยิ่งกว่า ไหวนะ (ไหว)  แน่นะ จะไม่ทะเลากันนะ จะไม่น้อยใจกันนะ จะไม่แอบหนีหน้ากันนะ รับแล้วต้องรับเลยนะ มาถอดใจไม่ได้นะ มาบอกอาจารย์จี้กง หนูขอลาออกไม่ได้แล้วนะ ถ้าไม่หนักแน่นอาจารย์ให้ชื่อชั่วคราวไปก่อน มั่นใจไหม (มั่นใจ) 
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อสถานธรรมที่ อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช)  ให้ชื่อว่า “เสวียนเจวี๋ย” (玄覺佛堂) มีจิตตื่นรู้ในความแยบยลแห่งธรรมในใจตน มนุษย์มีธรรมที่แฝงอยู่ในตัวแต่เรามักมองไม่เห็นเพราะความหลงและความยึดติดที่คิดว่าตัวเองป่วยตลอดเวลา      ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมพระพุทธะจึงสอนว่าจงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน แปลว่าอดีตมันผ่านไปแล้ว ฉะนั้นจงอยู่กับปัจจุบัน เมื่อวานเราป่วยแต่วันนี้ความป่วยมาด้วยไหม (ไม่)  แต่ใจทำไมลากมันมาล่ะ เรามีแค่ปัจจุบันวันนี้ เมื่อวานเราป่วย แต่วันนี้ไม่ป่วย เมื่อวานเจ็บแต่วันนี้ไม่ต้องเจ็บ แต่ศิษย์ของอาจารย์ชอบลากความเจ็บมาแล้วตอกย้ำซ้ำเติมตัวเองว่าเจ็บ ทั้งที่เจ็บเมื่อตอนไหน เจ็บเมื่อสองปีที่แล้ว แต่วันนี้ยังเจ็บอยู่อาจารย์ ปวดขายังปวดอยู่และยังปวดทุกวันเมื่อนึกได้ โง่หรือฉลาดศิษย์
ไม่จำ ที่ไม่ควรจำ จำเอา จำเอา แล้วก็ทำให้ตัวเองต้องทุกข์ ฉลาดหรือโง่ (โง่)  แล้วชีวิตควรอยู่กับปัจจุบัน หรือจมอยู่กับอดีต (ปัจจุบัน)  ส่วนคนที่จมอยู่กับอดีตคือคนที่อยากตาย เพราะคนที่ตายเท่านั้น ไม่มีปัจจุบัน  มีแต่อดีต ฉะนั้น ศิษย์มัวแต่จมอยู่ว่าตัวเองป่วย นั้นก็แปลว่าตัวเองอยากตาย แล้วก็โง่ เพราะจมอยู่กับอดีต เราปวดขาเมื่อไหร่ ทุกข์เมื่อไหร่ เจ็บเมื่อสามวันที่แล้ว แต่วันนี้ยังเจ็บอยู่อาจารย์ ควรเจ็บไหม (ไม่ควร)  เราปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเพื่อซ้ำเติมให้ตัวเองเป็นทุกข์ อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติผิด แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม มองให้เต็มตาหน่อย เป็นทุกคน แล้วจะช่วยใครได้ในเมื่อช่วยตัวเองยังช่วยผิดเลย
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับผู้ดูแลพุทธสถานที่จะเปิดในเดือนมิถุนายน ที่ อำเภอบางแก้ว จังหวัดสงขลา) 
เอาแอปเปิลเป็นกำลังใจ ให้สิ่งที่หวังราบรื่นสำเร็จนะ เยอะขนาดนี้ จะไม่น้อยใจกัน ถือสาหาความกัน สมัครสมานกันสามัคคีร่วมช่วยคน และจะมีจิตหนึ่งใจเดียวสู้ไม่ถอยได้ไหมศิษย์  ปณิธานนี้เป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่และยิ่งมีห้องพระและจะพายเรือนำพาเวไนย หัวเรือต้องเข้มแข็ง ฝีพายต้องหนักแน่น ถ้าหัวเรือก็ไม่เข้มแข็ง ฝีพายก็ไม่หนักแน่น ศิษย์ก็จะช่วยใครไม่ได้ แม้กระทั่งตัวเอง ฉะนั้นอาจารย์ให้คำว่า “ปัญญา” รู้ตื่นในความมีปัญญา ฮุ่ยเจวี๋ย” (慧覺佛堂) ขอให้สำเร็จดังหวังตั้งใจในความดีงามนะ มุ่งมั่นไม่ย่อท้อ อย่าขอลาออกจากอาจารย์นะ ตั้งใจแล้วช่วยให้ดีที่สุดนะ ทำให้สมกับความตั้งใจในวันนี้ รักษาใจที่มุ่งมั่นนี้ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าเจออะไรถือว่ามาขัดเกลาใจ ถือว่ามาชำระละลายหนี้บาปเวรกรรมในใจ ไม่ว่าเรื่องจะยากแค่ไหน เรื่องจะแย่แค่ไหน ถือว่าจะได้หมดเวรหมดกรรม และกลับคืนหาอาจารย์ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ใส งานหนักนะศิษย์เอย เสียสละตัวเองให้คนอื่น เสียสละเวลาความสุขเพื่อช่วยคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้วใช่ไหม
นอกจากรู้จากมีสติแล้วจะนำพาชีวิตให้พบความสงบ พบปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในชีวิตแล้ว เราต้องมีศีลเป็นข้อแรก    ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราควรมีอะไรเป็นข้อที่สอง (มีศีลมีธรรม)  ตอบได้ดีนะ (มีธรรม)  ธรรมอะไรหรือ (ธรรมะ)  ศิษย์ของอาจารย์น่ารักจริงๆ เลย มีศีล แล้วมีอะไรอีก      (มีสมาธิ)  มีสมาธิหรือ ศีลยังไม่ครบเลย สมาธิจะมาไหม (คุณธรรม)  คุณธรรมอะไรหรือที่จะทำให้เราศีลครบ (มีคุณธรรมและธรรมะ)  คุณธรรมที่ทำให้เรามีศีลก็คือ ไม่ฆ่าสัตว์นั่นก็คือมีเมตตา ไม่ผิดลูกผิดเมียนั่นคือ    (ไม่ประพฤติผิดในกาม)  ไม่ผิดศีล มีศีลและมีธรรม ไม่เบียดเบียนเขาก็คือมีเมตตา ไม่ประพฤติผิดในกามก็คือซื่อตรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดคำไหนเป็นคำนั้น นั่นคือ (สัจจะ)  มีศีลและมีธรรม (มีปัญญา)  แล้วจะเกิดได้ไหม (มีศีล  มีธรรม)  มีศีลมีธรรมแล้วมีอะไร ที่ทำให้เราต้องทำบ่อยๆ แล้วมันจะเกิดสติ พลังแห่งสติ แล้วก่อเกิดเป็นสมาธิ แล้วก่อเกิดเป็นปัญญานะ เขาเรียกว่าอะไร (สติ, มีสัจธรรมในตัวเอง)  สัจธรรมมันมีอยู่แล้วในตัว แต่เราเคยมองเห็นสัจธรรมในตัวไหม ถ้าไร้สัจจะก็ไม่มีธรรม (การปฏิบัติธรรม)     การปฏิบัติธรรมใช่ไหม (มีความเพียร) เยส! ใช่ไหมศิษย์ ถ้าศิษย์มีสติ ศิษย์มีศีล แต่ศิษย์ไม่มีความเพียรที่จะละบาป บำเพ็ญบุญกุศล มีศีล มีสมาธิ แล้วสมาธิจะเกิดได้อย่างไรถ้าศีลยังไม่ครบ แล้วศีลจะมีครบได้อย่างไร ถ้าศิษย์ยังไม่ละบาปในใจตน พยายามไม่เบียดเบียน แต่ถึงเวลาก็กินเขา พยายามไม่โกหก แต่ถึงเวลาก็โป้ปดมดเท็จ ฉะนั้นเพียรที่ถูกต้องเพียรแบบละบาปบำเพ็ญบุญ
ฉะนั้นเกิดเป็นคนอยากทำอะไรให้ประสบผลสำเร็จสิ่งที่ขาดไม่ได้คือความเพียร ใช่หรือไม่ แล้วอยากมีสติแล้วสงบแล้วก่อเกิดปัญญาสิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้คือ สิ่งที่ทำให้ก่อเกิดความสงบในใจ แล้วก่อเกิดสติ ก่อเกิดเป็นศีล สมาธิ ปัญญา อะไรก็ตามนั้น จะก่อเกิดได้นอกจากมีความเพียรแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งคืออะไรรู้ไหม (วิริยะ, ความเมตตา, อดทน)
อาจารย์ถามหน่อยนะ ถ้าเราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งเราควรสร้างเหตุแล้วค่อยมาแก้ผลหรือเราไม่ต้องมาสร้างเหตุ แล้วเราจะได้ไม่ต้องตกผลเลย เอาแบบไหน ไม่สร้างเหตุเลยใช่หรือไม่ ฉะนั้นเราจะก่อเกิดสติ ก่อเกิดปัญญา ก่อเกิดสมาธิได้ ถ้าเราสามารถที่จะหยุดยั้งต้นเหตุได้ ที่มนุษย์ต้องวุ่นวายและหาความสงบหาความมั่นคง หาปัญญาไม่เจอเพราะว่าเราหยุดความคิด ความอยากในใจไม่ได้ ถ้าชีวิตอยากสงบจงรู้จักพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ เราจะสงบทันที และเราจะไม่ผิดศีลมากไปกว่านี้ ถ้าไม่พอ วันนี้สงบเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไปวุ่นวายเพราะความอยากมาอีกแล้วใช่หรือไม่ พอเข้าใจพื้นฐานในการปฏิบัติธรรมหรือยัง พอเข้าใจไหม
การปฏิบัติธรรมคือ  (แก้ไขตัวเราได้ อภัยผู้อื่น, การมีสติ สมาธิ, มีศีลมีธรรม)  ก็ถูก สิ่งสำคัญในการปฏิบัติธรรมนั้นก็คือเริ่มด้วยการมีศีล      มีธรรม ถามศิษย์ก่อนว่าทุกครั้งที่มีชีวิตอยู่ ศีล ธรรม ศิษย์ครบไหม (ไม่) เมื่อไม่ครบศิษย์จะปฏิบัติธรรมได้อย่างไร เมื่อไม่ครบศิษย์จะมีความสงบ   มีสันติสุขได้อย่างไร ฉะนั้นเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการปฏิบัติธรรมนอกจากทำบุญ ตักบาตร สวดมนต์ ถามใจตัวเองก่อนว่า ศีล ธรรม มีครบแล้วหรือยัง ถ้าศีล ธรรมมีครบ เราก็หยุดยั้ง บาป กิเลสได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ละบาป บำเพ็ญบุญ)  ตอบได้ดี ทำให้ได้นะ ทำอะไรก็คิดให้ดีๆ นะ
ศิษย์ถ้าอยู่ในโลกนี้ ถ้าเข้าใจธรรมที่อาจารย์พยายามบอกศิษย์เสมอๆ  ศิษย์จะเห็นโลกนี้ชัดเจนว่า โลกนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่ายึด ไม่น่าเอา อาจารย์ถามหน่อย เงิน ลาภยศ ชื่อเสียง สามี ภรรยา ความรัก เอาไปได้ไหม (ไม่ได้) แล้วสิ่งที่เอาไปได้คือ (บุญ บาป ความดี) หรือพูดง่ายๆ ก็คือ  ไม่มีอะไรติดตัวเราได้นอกจากบาปกับบุญ แล้วเราสามารถหยุดยั้งบาป บุญได้ไหม ด้วยการทำอะไรไม่ยึดติด
อาจารย์ขอสรุปก่อนกลับ ทุกครั้งที่ศิษย์ดำเนินชีวิตอยู่ ทำอะไรติดชอบมันก็ก่อเกิดเป็นกรรมดี ทำอะไรไม่ชอบก็ก่อเกิดเป็นกรรมชั่ว แล้วมนุษย์ก็วนเวียนอยู่กับกรรมดี กรรมชั่ว ไม่จบสิ้น ถูกไหม (ถูก)  เจอใครถูกใจก็สร้างกรรมดี เจอใครไม่ถูกใจก็ก่อเกิดเป็นกรรมชั่ว ไม่จบสิ้น แต่การปฏิบัติธรรมสอนให้เรารู้อีกอย่างหนึ่งว่า เรายังมีอีกทางหนึ่งที่เรียกว่า    ทางพ้นกรรม ทางใช้กรรม และทางจบกรรม นั่นก็คือ เจอใครไม่ต้องตัดสินว่าเขาดีหรือชั่ว ทำอะไรไม่ต้องยึดติดว่ามันดี หรือมันชั่ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันไม่มีดีที่สุด ไม่มีชั่วที่สุด และไม่มีอะไรแจ่มชัด ว่ามันดีหรือชั่ว วางจิตให้เป็นกลาง เมื่อมันเป็นกลางมันจะก่อเกิดให้เป็นกรรมไหม เมื่อไม่เป็นกรรม มีชีวิตอยู่คือการชดใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่ แล้วเราจะชดใช้อย่างไร เมื่อเจออะไรมากระทบ ไม่ตัดสิน ไม่คิด เพราะการตัดสิน และการคิด มันง่ายที่จะหลงไปตามกิเลสและอารมณ์ แต่พอเจออะไรมากระทบปุ๊ป เป็นกลาง เป็นกลาง สติ สงบ พิจารณาให้เกิดธรรม   ไม่เที่ยง ไม่แน่ จบไหม ต้องคิดอีกไหม ในเมื่อมันจบในทุกๆ วัน แล้วเราจะมีกรรมอะไรให้ต้องเวียนว่ายอีกต่อไป เพราะมนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม   ถ้าวันนี้เราใช้กรรมหมด เราจะต้องเวียนว่ายต่อไหม
ตอนนี้เรามีอีกทางหนึ่งในการปฏิบัติธรรมคือ ไม่ตัดสิน ไม่วิพากวิจารณ์ ดูแลใจตัวเองว่ารักษาความเป็นกลางได้หรือยัง เมื่อเราไม่เกี่ยวอารมณ์ก็ไม่เกิดเคราะห์กรรม เมื่อเราไม่สร้างบาปก็ก่อเกิดเป็นบุญมีความสุข ถูกไหม เมื่อทุกวันสร้างแต่บุญสร้างแต่กุศลชะตาชีวิตก็งดงาม ฉะนั้นพรุ่งนี้ขึ้นอยู่ที่วันนี้ ชีวิตจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่ที่การกระทำในวันนี้ ถูกหรือไม่ แล้วทำไมศิษย์ต้องรอให้คนอื่นช่วย ทำไมศิษย์ต้องรอให้ทุกข์แล้วค่อยแก้ ทำไมไม่จัดการตั้งแต่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ ถูกไหม เข้าใจไหม พอรู้ยังว่าทำไมต้องปฏิบัติธรรม ศิษย์รู้ไหมเพราะศิษย์ปฏิบัติธรรมศิษย์ก็กำลังช่วยคนโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร ทุกครั้งศิษย์ไม่ตัดสินเขาว่าเขาดีเขาแย่ ศิษย์ไม่ว่าเขาไม่ดี ศิษย์ก็ไม่ต้องไปชมเขามากมายว่าเขาดีมาก เพราะศิษย์วางใจเป็นกลาง เมื่อวางใจเป็นกลาง เขาเห็นธรรมในใจเรา เราก็ฉุดช่วยเขาได้ ใช่หรือไม่ แปลกจริงใครๆ ก็ชมฉันหมด ใครๆ ก็ด่าฉันหมด ทำไมเธอไม่ด่าฉันล่ะ     ใช่ไหม เพราะอะไรล่ะ เราก็ให้แง่คิดเขาได้ว่าชีวิตมันไม่เที่ยง ชีวิตมันไม่ดีอย่างไร ฉันก็ไม่ดี แล้วฉันจะว่าเธอทำไม เพราะว่าฉันก็ไม่ต่างอะไรกับเธอ ใช่หรือไม่ ทำไมเธอไม่ชมฉันล่ะ เพราะฉันชมไปก็ไม่มีประโยชน์ เธอรู้ใจตัวเธอเองว่าดีไม่ดี เธอไม่ต้องรอฉันชมหรอก ใช่ไหม เห็นไหมเราได้สอนเขาไปในตัวและก็สอนเราด้วย ถูกไหม นี่แหละ ปฏิบัติธรรมช่วยตนช่วยคน  เข้าใจหรือยัง ฉะนั้นหนทางธรรมจึงไม่ได้มีแค่ดีและชั่ว หนทางธรรมมีอีกหนึ่งทางในวันนี้คือ ความเป็นกลางที่ไม่อิงแอบดีหรือชั่ว ฉะนั้นศาสนาพุทธคือศาสนาที่สอนให้เรารู้   แต่ไม่ใช่รู้คนอื่น แต่รู้ใจตน รู้แล้วนำพาตนให้พ้นทุกข์ ปฏิบัติให้ถูกทาง
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟังชั้นล่าง)
วันนี้มาฟังธรรมรอบที่เท่าไรแล้ว บางท่านหลายรอบแล้วใช่ไหม (ใช่)  เอาไปปฏิบัติบ้างหรือยัง (ปฏิบัติแล้ว)  มีความใจเย็นบ้างหรือยัง (ใจเย็นแล้ว)  มีความอิสระวางลงบ้างหรือยัง (วางแล้ว)  ยังอารมณ์ร้อนขี้โมโหอีกไหม (ไม่)  ยังเอาแต่ใจอีกหรือเปล่า (ไม่เอาแต่ใจ)  ยังขี้น้อยใจอีกไหม    (ไม่น้อยใจ)  ศิษย์เอ๋ย บำเพ็ญธรรมมาถึงระดับนี้แล้วนะ ฟังมาหลายรอบแล้ว อย่าเอาแต่ฟัง แต่จงเอามาปฏิบัติ เมื่อเอามาปฏิบัติแล้ว ศิษย์จะ     ขัดเกลาจนสามารถพบธรรมในใจ อย่าเอาแต่พบธรรมที่เขาพูด อย่าเอาแต่พบธรรมที่ในตำรา แต่จงพบธรรมในใจตน ธรรมที่เราสามารถมีได้ และมั่นคงได้ ธรรมที่เราเกิดขึ้นจากใจเราที่รู้จักเสียสละ ใจเราที่กล้าจะให้ธรรมกับผู้คน นี่แหละถึงจะเรียกว่าศึกษาธรรมปฏิบัติธรรม ไม่เสียหลาย กล้าเสียสละ กล้าอุทิศให้ กล้าปฏิบัติธรรม เอาธรรมให้กับเขา ถ้ายังยึดมั่นกับความคิดตัวเอง เราก็จะไม่มีวันพบธรรม แต่ถ้าเมื่อไรเราปล่อยวางความคิด เราจะกระจ่างแจ้งในธรรมว่า ธรรมไม่ใช่อยู่ที่คนพูด ธรรมไม่ใช่อยู่ที่หนังสือ คัมภีร์ตำรามันเป็นเพียงสิ่งที่เหลือของผู้ที่ตื่นรู้ในธรรมแล้ว ทำไมเราไม่ตื่นรู้ในธรรมในใจตนล่ะ รู้สละไหม รู้ให้ไหม รู้ยอมไหม รู้ยอมปล่อยวางจนไม่ยึดติดในความเป็นตัวตนไหม ฉะนั้นถามใจศิษย์นะ ถ้าบำเพ็ญแล้วยังติดขัดโน่นติดขัดนี่ แปลว่าเรายังฝึกไม่ได้ดี แต่ถ้าบำเพ็ญแล้วเรายอมได้จนสุดใจ อะไรเราก็ยอม เรามีเมตตาในใจ เราอยากให้ เราอยากเสียสละ เราอยากอุทิศ เราไม่หวังอะไรในตัวตนแล้ว นั่นแหละเรียกว่าปฏิบัติธรรมได้ถูกทาง เพราะธรรมะถึงที่สุด เราก็เอาอะไรไปไม่ได้ น้อยใจไปก็ไม่มีประโยชน์ คิดมากไปก็เปล่าประโยชน์ งกมากไปแล้วได้อะไร ถ้าไม่เคยเอาเงินที่ได้มาไปทำบุญทำกุศล ถูกไหม (ถูก)  ถ้าสละแล้วมันทำให้เราลดความยึดมั่นถือมั่น ไม่หลงในรูปนาม สละไปเถอะ ถ้ายอมแล้วมันทำให้เราก่อเกิดความสงบใจ ทำไมไม่ยอม ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าพูดแล้วมันทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ ทำไมไม่หยุดพูด ทำไมต้องรอให้เกิดเหตุ แล้วค่อยพยายามดับทุกข์ ทำไม ไม่ดับมันเสียก่อนที่จะเกิดทุกข์ ความทุกข์ไม่น่ากลัว ความทุกข์ทำให้เราเข้าใจชีวิต และนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าคนยังจมอยู่ในทุกข์แปลว่ายังมองไม่เห็นทุกข์อย่างชัดเจน อาจารย์เชื่อมั่นว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนทำได้ ปฏิบัติได้ เสียสละได้ อะไรดีอะไรชั่วรู้หมด แต่เมื่อไรจะทำ อย่าเป็นคนมือหนึ่งทำบุญ แต่มือหนึ่งก็ทำบาป ไม่เอา ศิษย์ที่ดีที่สุดของอาจารย์ก็คือ แม้มือหนึ่งไม่ทำบุญ แต่มือนี้จะไม่สร้างบาปอีกต่อไปได้ไหม ไม่ว่าเขา ไม่น้อยใจ ไม่มีอารมณ์ ไม่เห็นแก่ตัว กล้าเสียสละได้ไหม (ได้)
เหนื่อยไหม (ไม่)  เป็นลูกศิษย์อาจารย์เหนื่อยหน่อยนะ แต่เหนื่อยแล้ว เราเข้าใจชีวิตเราช่วยคนเป็นลูกศิษย์อาจารย์อย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวป่วย จำคำอาจารย์ไว้นะ ทุกวันคือวันใหม่ ความเจ็บมันเป็นของเมื่อวานไม่ใช่วันนี้ ความเจ็บมันเป็นของสังขารไม่ใช่จิตใจ จิตเดิมแท้ไม่มีทุกข์ไม่มีกรรม เรามีกรรมแค่สังขาร เราต้องชดใช้กรรมเพราะสังขารเรามีกรรม แต่จิตเราไม่มีกรรม ฉะนั้นกรรมแค่กายแต่อย่ากรรมที่ใจ ทุกข์แค่กายอย่าไปลงทุกข์ที่ใจ ทำได้ไหม (ทำได้)  ไปให้ถึงนะศิษย์ ไปอย่างคนที่เบาๆ วางได้ปลงได้ มันอยากเจ็บช่างมันแต่ใจหนูจะมาไหว้พระ ใจหนูอยากมาขอขมากรรม เขาอยากโกงก็เอาไป จะได้หมดเวรหมดกรรมกันไม่โกรธไม่เกลียด ขอบใจที่มาโกง ถ้าแกไม่โกงฉันไม่ตัดใจสักที ห่วงอยู่นั้นเหละ ใช่ไหม (ใช่)  ขอบใจที่คุณทิ้งฉัน ถ้าคุณไม่ทิ้งฉัน ฉันก็คงห่วงคุณไม่จบสิ้น ฉันเป็นอิสระแล้ว
การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมคือกลับคืนสู่ใจอันอิสระและโปร่งเบา อะไรก็ไม่เอาใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์พูดเยอะ ขอเยอะไปไหม (ไม่)  ทำให้ได้นะ ตั้งใจบำเพ็ญไปให้ถึงฝั่ง ไปล่ะ
ลำบาก เจ็บ สู้ ไม่ถอย รักษาใจอันนี้กลับคืนสู่ฟ้าเบื้องบน กลับคืนสู่สภาวธรรมที่ไม่มีตัวตนให้ต้องยึดถือ ทำได้สละตัวตนไป เพราะยิ่งมีตัวตนมันก็มีที่แห่งทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรเราทำจนลืมตัวตนแปลว่าเราไม่มีทุกข์ให้ยึดเกาะอีกต่อไป ไปให้ถึงนะ (ขอบคุณพระอาจารย์เมตตา)  ขอบคุณสำหรับความมุ่งมั่น ขอบคุณสำหรับแรงกายแรงใจที่ศิษย์ตั้งใจ

(พระอาจารย์เมตตานักเรียน)
ขอบคุณสำหรับความมุ่งมั่นของศิษย์ที่สู้ไม่ถอย ไม่ขี้น้อยใจอีกต่อไป คิดได้แล้วนะ คนที่มีทุกข์อย่ารอให้อาจารย์ปลด แต่ศิษย์ต้องปลดด้วยใจของตัวเอง ถ้ารออาจารย์ชี้ ศิษย์จะไม่มีวันหมดกรรม เมื่อไรที่เราเจอกรรม จงปลดกรรมด้วยตัวเอง อย่าปลดเพราะอาจารย์พูด แต่ปลดด้วยใจของตัวเอง แล้วกรรมมันจะสิ้นสุด ตื่นรู้ด้วยใจของตัวเอง เวลาเจออะไร ทำไมอาจารย์ไม่ให้กำลังใจ เพราะอาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักปลุกมันด้วยตัวเอง วางด้วยตัวเอง อาจารย์ที่ดีต้องให้ศิษย์ยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่ใช่มาพึ่งพิงอาจารย์ตลอด ไปแล้วนะ ต้องกลับแล้ว ฟังธรรมให้ดี รักษาจิตใจให้ดี มีแต่พระอยู่ในใจ ได้ไหม
มีโอกาสกลับมาศึกษาอีกนะ ทำให้ดีนะ อย่าใช้อารมณ์เป็นใหญ่    ทำอะไรจงมีสติยั้งคิด ทำอะไรไตร่ตรองให้ดี อย่าใช้อารมณ์ มีโอกาสกลับมาอีกนะ คำนี้ออกจากใจอาจารย์ยาก เพราะอาจารย์รู้ว่าบางคนไม่มาอีกแล้ว แต่ถ้าไม่มา ทำอะไรขอให้มีสติยั้งคิด อย่าปล่อยให้อารมณ์เป็นใหญ่ เพราะเมื่ออารมณ์เป็นใหญ่แล้ว จะชักพาให้ศิษย์ตกต่ำและง่ายที่จะหนีไม่พ้นความ  วุ่นว่าย การเวียนว่ายตายเกิด และตกเป็นทาสของกิเลสและกรรมเวร ขอให้ทำอะไรใช้สติยั้งคิดให้มากๆ ชีวิตจะเป็นอะไร ขึ้นอยู่กับตัวศิษย์ ไม่ใช่ขึ้นอยู่ที่ฟ้า แต่อยู่ที่ตัวเราจะตัดสินใจ เลือกทำอะไร ทำอย่างคนที่มีสติยั้งคิด หรือทำอย่างคนที่เอาแต่ใจ เอาแต่อารมณ์เหมือนเก่า แล้วหนีไม่พ้นเวรกรรม หรือจะทำอย่างคนมีสติยั้งคิด และสิ้นเวรสิ้นกรรมวันนี้  ถามใจศิษย์ดูแค่นี้ยังทุกข์ไม่พอหรือ  ชีวิตนี้ยังเจ็บไม่พอหรือ แล้วยังจะทุกข์อีกทำไม ใครๆ ก็อยากมีสุข แล้วทำไมไม่นำพาให้ตัวเองมีสุข ไหว้พระ ขอพรเปล่าประโยชน์ ขอตัวเองดีกว่า ว่าเมื่อไรจะละบาป แล้วตั้งใจสร้างสิ่งที่ถูกต้องและดีงามจริงไหม (จริง)  มีจิตสำนึกได้เป็นสิ่งที่ดี แต่ต่อไปแก้ไขแล้วทำให้ถูกต้องได้หรือไม่ (ได้)
มีโอกาสอาจารย์คงได้กลับมาผูกบุญกับศิษย์อีกนะ หรือต้องพูดว่าศิษย์จงรักษาโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ ได้ไหม แล้วรู้จักดำเนินชีวิตให้ถูกต้องและดีงามด้วยสติของตัวเอง รู้จักยั้งคิดด้วยใจของตัวเอง จำไว้นะศิษย์ โลกนี้มันเปลี่ยนแปลงเสมอ ไม่มีอะไรดีที่สุดและไม่มีอะไรแย่ที่สุดหรอก ผู้ที่มีสติระลึกรู้และเข้าใจธรรมจึงเข้าใจโลก และไม่ทุกข์หรือหลงใหลกับโลกใบนี้ เพราะถึงที่สุดจะมีใครดีที่สุด จะมีใครแย่ที่สุด ใช่ไหม และชีวิตตราบยังมีลมหายใจ ความทุกข์ก็ยังวนเวียนไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ ฉะนั้นดูแลจิตดูแลใจตัวเองให้ดีนะ เข้มแข็งนะ มุ่งมั่นให้ถึงที่สุดนะ อยากพูดมากมายแต่เปล่าประโยชน์เพราะถ้าพูดเยอะไป แต่ศิษย์ไม่สนใจคำพูดนั้นก็ไร้ค่า ดูแลตัวเองกันให้ดีนะ รักษาสุขภาพ ถนอมจิต ถนอมใจตัวเองให้ดี เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่ ได้ไหม


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สติเป็นกำลัง”
     การฝึกจิตให้มีกำลังนั้น                         คือต้องหมั่นทำจิตใจให้สงบ
มีสติระลึกรู้สัมปชัญญะครบ                        ย่อมพานพบธรรมทั้งหลายหลอมรวมใจ
อารมณ์เย็นสุขุมนิ่งให้เป็น                          สติเห็นใช้อารมณ์เป็นโทษใหญ่
คนกล้ายอมวางลงได้ย่อมแจ้งใจ                  คนร้อนแล้ววู่วามไปไม่มีดี


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา