แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สภาวธรรม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สภาวธรรม แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

2558-07-18 สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช

西元二年嵗次乙未六初三日                    仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๘ กรกฎาคม  พ.ศ. ๒๕๕๘        สถานธรรมฉือเหริน จ.นครศรีธรรมราช
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี
  ไม่ว่าเขาหากเรายังไม่ดี                    ไม่หลงดีหากผิดยังไม่แก้ไข
บำเพ็ญฝึกแก้ไขตนไม่เข้มงวดใคร         แม้ตนดีแค่ไหนไม่หลงอวดตน
                        เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี                        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว                ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  คนชอบเทียบเปรียบได้คนมีเคราะห์        ไม่พ้นเพราะมีอยากหลงซ่อนไว้
คิดอิจฉาใจในอยู่สุขไม่ได้                         อย่าไปหวังจนไม่มองผันแปร
อยากเป็นดาวประกายความเด่นเป็นเลิศ     สิ่งที่เกิดที่จริงอาจไม่แน่
ปีนสูงขึ้นต้องดีไม่มีแย่                            แม้ดีกว่าเหนือกว่าแต่ล้วนอนิจจัง
พุ่งหาอย่างเมามึนมีแต่กิเลส                     ไม่มีเหตุยึดติดอยากพบฝั่ง
มีอคติแบ่งแยกขึ้นฟังไม่ฟัง                      คนส่วนใหญ่ส่วนใครชั่งพังสะพาน
เกิดเป็นคนต่างไม่มีอะไรเรียบ                   ถูกเอาเปรียบถูกชอบชังทุกสถาน
ถูกเปรียบเปรยอย่าชินชาว่ารำคาญ           คนประมาณเคยพูดเรื่อยช่วยน้อยลง
คนพูดไปกันเรื่อยเปื่อยกล้ายอมเปลี่ยน      กุมบังเหียนยิ่งใหญ่ต้องยอมเป็นผง
เท็จหรือจริงตามมองรับตรงตรง               พูดมากไปเป็นความหลงชนิดหนึ่ง
ถึงแล้วไม่มีอะไรมากกว่ามาก                   เส้นชัยหากไม่เกินก็ไม่ถึง
จงเปิดใจกว้างพอคืนสู่หนึ่ง                       เพียรเข้าถึงธรรมไม่ออกสู่ธรรม
                                    ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี


ในนี้ใครๆ ก็อยากมีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่งที่นี่มีความสุขไหม (มี)  ปล่อยความอยาก ปล่อยนิสัย ปล่อยความเคยชิน ความสุขก็อยู่ตรงหน้าจริงไหม (จริง)  แต่ท่านนั่งอย่างคนเมื่อไหร่จะจบ อยากกลับบ้าน เบื่อจังเลย นั่งแบบนี้ อยู่ยังไงก็ไม่มีความสุข ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าอยากมีความสุขสำคัญที่ว่าปล่อยวางความคิดบ้างไหม ปล่อยวางนิสัยอารมณ์ความเคยชินที่ชอบเอาแต่ใจลงบ้างได้ไหม ถ้าปล่อยได้ นั่งตรงนี้นานแค่ไหนก็มีสุข แต่ถ้าปล่อยวางความอยากในใจตัวเองไม่ได้ ขัดใจตัวเองไม่เคยได้ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้านั่งตรงนี้ ปล่อยวางความอยากได้ ปล่อยวางนิสัยตัวเองได้ ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นที่อยากได้นั่น อยากได้นี่ อยากทำแบบนั้น อยากทำแบบนี้ได้ นั่งที่ไหนก็มีสุขได้ อยู่กับใครก็มีสุขเป็น ถูกไหม (ถูก)  แม้แต่กินข้าวอาหารจืดที่สุดก็ยังอร่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือแม้แต่วันนี้ไม่ได้กินข้าว กินแต่น้ำเปล่าก็ (อร่อย)  เพราะอะไร (มีความสุข)  เพราะวางได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้ท่านมาฟังธรรมด้วยความยึดมั่นถือมั่น หรือมาฟังธรรมเพื่อเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง (ปล่อยวาง)  เราเห็นมาด้วยความยึดมั่นถือมั่น ทำไมเป็นแบบนั้น ทำไมไม่เป็นแบบนี้ ทำไมไม่ทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  มาฟังธรรมต้องนิ่งๆ เงียบๆ ไม่พูดไม่ร้องรำทำเพลง ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นถามตัวเองว่า นั่งแล้วยิ่งสบายนั่งแล้วยิ่งคลายแปลว่านั่งฟังธรรมถูกทาง แต่ถ้านั่งแล้วยิ่งอึดอัด ยิ่งหายใจไม่ออกยิ่งเบื่อหน่ายแปลว่าฟังไม่ถูกทาง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วตอนนี้ฟังแล้วสบายหรือฟังแล้วอึดอัด (สบาย)  หลังจากเราพูดแล้วท่านถึงรู้จักสบายค่อยปล่อยวาง ใช่ไหม (ใช่)
ความสุขเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนา แต่บางครั้งความสุขก็ทำให้เราเจ็บปวดที่สุดถูกหรือไม่  ฉะนั้นถ้าเราศึกษาหลักธรรมเราจะรู้ว่าแท้จริงบนโลกใบนี้ความสุขหามีไม่ มีแต่ทุกข์มากทุกข์น้อย แต่มนุษย์ทุกคนกลับไม่ค้นหาหนทางดับทุกข์ แต่มนุษย์ทุกคนกลับดำเนินชีวิตเพื่อหาความสุขใส่ตน  ฉะนั้นเราคือคนที่ดำเนินชีวิตแล้วสวนกระแสแห่งความเป็นจริงหรือไม่  มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป สิ่งที่เรียกว่าความสุขแท้จริงมันคือความทุกข์ที่หลอกลวงเราหรือเปล่า ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์ทำอย่างไรดี  ปล่อยวางไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)
เมื่อสักครู่ท่านบอกว่าไม่อยากมีทุกข์อยากมีสุข อย่างนั้นท่านก็เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่ง  อยากมากก็ทุกข์มาก อยากน้อยก็ทุกข์น้อย ไม่อยากเลยก็ไม่ทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นเราอยู่อย่างคนไม่อยากได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าไม่ได้จะมีพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ท่านกราบไหว้หรือ แต่ไม่อยากอย่างไรเล่าที่จะทำให้เราไม่ทุกข์ อยากนั่งไหม (อยาก)  ฟังแล้วถ้าคิดทันก็ใช้ทัน ฟังแล้วถ้าคิดไม่ทัน อยากสิ ถูกไหม อยากมากทุกข์มาก อยากน้อยทุกข์น้อย ไม่อยากอะไรเลยนั่งไม่นั่งก็ไม่ทุกข์ ยืนก็เป็นสุขได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นความสุขไม่ใช่อยู่ที่ไกล ความสุขไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น แต่ความสุขมันอยู่ที่ตรงนี้ แค่นี้ เท่านี้ วางอยากได้ก็สุขได้ ยอมรับความจริงได้ก็สุขเป็น เหมือนกัน แม้จะนั่งฟังสองวันก็แล้ว สามวันก็แล้ว เขาจะพูดอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าเราวางความอยากได้ ยิ่งฟังยิ่งมีสุข แต่ถ้าวางความอยากไม่ได้ ยิ่งฟังก็ยิ่งรำคาญและเป็นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  จำไว้นะถ้าอยากอยู่บนโลกนี้มีความสุข อะไรเกิดอันนั้นก็ดีแล้ว สุขแล้ว ขอบคุณแล้ว แค่นี้เองความสุขอยู่ไม่ไกล ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว สุขแล้ว แม้แต่เขาด่าเรา เราก็รู้สึก (ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว สุขแล้ว)  จริงไหม ถ้าเขากำลังด่าแล้วท่านบอกว่า อย่าด่าๆ ยิ่งคิดอย่างนั้นยิ่งทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วทำไมไม่ยอมรับความจริงเล่า ใช่ไหม (ใช่)  เชิญด่าๆ ขอบคุณ สุขแล้วดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นแสงทำให้เกิดเงา แต่จิตของมนุษย์ประเสริฐกว่านั้น ทำให้เกิดเงาแล้วก็ทำให้เกิดแสงได้ ทำให้เกิดมืดเป็นสว่างได้ ทำให้สว่างแปรเป็นมืดได้ ดั่งคำที่มนุษย์กล่าวว่า พลิกใจเป็น นรกก็เป็นสวรรค์พลิกใจไม่เป็นสวรรค์ก็เป็น (นรก)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าหยุดอยากได้ อะไรเกิดสิ่งนั้นก็ดี ถ้าหยุดอยากได้ อะไรเกิดสิ่งนั้นก็ขอขอบคุณ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(มีนักเรียนในชั้นนำเก้าอี้ออกมาและเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านนั่ง แล้วผู้ปฏิบัติงานธรรมก็นำเก้าอี้อีกตัวมาและเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่งตัวใหม่)  ไม่เป็นไรนะทำให้ท่านลำบาก เชิญนั่งเก้าอี้ตัวนั้น ตัวนี้ไม่ได้หรือ (ตัวนี้ก็ได้แต่ตัวนั้นสวยกว่า)  อะไรก็ดีนะ ไม่มีอะไรไม่ดี ดีกว่าหรือไม่ดีกว่า ใช่หรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดี ถ้าเราไม่เปรียบเทียบเราก็ไม่กลายเป็นคนแย่ ถ้าเราไม่ยึดติด เราก็ไม่ได้สูงส่งกว่าใครถูกไหม มองความจริงมองขณะนี้ ถ้าเราไม่ยึดติดเราก็ไม่ได้สูงกว่าใคร ถ้าเราไม่แบ่งแยก เราก็ไม่ได้แย่กว่าใคร แต่เราไม่เคยอยู่กับตรงนี้ ตอนนี้ แต่ชีวิตเราชอบเปรียบเทียบกับอนาคต เปรียบเทียบกับคนนั้นคนนี้ เราเลยมีดีมีแย่ มีร้ายมีเสีย มีสุขมีทุกข์ แต่ถ้าเราอยู่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ อะไรแย่ ไม่มี อะไรดี ไม่มี อะไรร้าย ก็ไม่มี แต่เพราะว่าเราชอบเปรียบ ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นแก่นแท้ของการศึกษาเรียนรู้หลักธรรม จึงไม่ใช่อยู่ที่ละชั่ว เป็นคนดีเท่านั้น ฉะนั้นแก่นแท้ของการศึกษาธรรมไม่ใช่แค่สอนให้เราแค่เป็นคนดี อย่าประพฤติชั่วเท่านั้น แต่แก่นแท้ของธรรมะ สอนอะไรให้เรารู้ไหม (ช่วยเหลือคนอื่น)  ช่วยเหลือคนอื่นด้วยก็ประเสริฐใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่แก่นแท้ของการเรียนรู้ศึกษาธรรมคืออะไรรู้ไหม (ไม่ทราบ)  คือแค่รู้หรือไม่รู้ รู้หรือไม่รู้ (ไม่รู้)  เรากำลังจะบอกท่านว่า มนุษย์โดยส่วนใหญ่ศึกษาธรรมมักจะยึดติดแค่เพียงละชั่ว ปฏิบัติดีแค่นั้นถูกไหม (ถูก)  แต่ทำไมเราพยายามละชั่ว ปฏิบัติดีแต่ยังไม่พ้นทุกข์ พยายามดีเท่าไหร่ก็ไม่เคยพ้นทุกข์สักทีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นแก่นแท้ปฏิบัติธรรมไม่ใช่ละชั่ว บำเพ็ญไม่ใช่ละชั่วแล้วปฏิบัติดีแค่นั้น แต่แก่นแท้ของการปฏิบัติธรรมคือ รู้หรือไม่รู้ รู้และไม่รู้อะไรที่เป็นแก่น หลักของการปฏิบัติธรรมคือ รู้เท่าทันตนก็หยุดทุกข์ได้ ไม่รู้เท่าทันตนก็หยุดทุกข์ไม่ได้ รู้เท่าตนว่ามันเป็นบาปเป็นกิเลส ก็หยุดบาปหยุดกิเลสได้ แต่ถ้ารู้ไม่เท่าทันตนว่านั่นเป็นบาป  เป็นกิเลส เราก็คือคนสร้างเหตุปัจจัยให้ตัวเองทุกข์ไม่จบสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแก่นแท้ของธรรมไม่ใช่แค่เป็นคนดีก็พอแล้วนะ แต่แก่นแท้ของการปฏิบัติธรรมคือ มีสติ รู้จักตนหรือยัง มีสติหยุดความคิดตนได้ไหม มีสติยับยั้งอารมณ์ตนได้หรือเปล่า ฉะนั้นถ้ารู้ธรรมมามากแค่ไหน แต่สิ่งเดียวที่ไม่รู้คือ ไม่รู้ทันตน ธรรมะนั้นก็ดับทุกข์ไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งสำคัญก็คือรู้ธรรมมากแค่ไหน แต่รู้มากแค่ไหนก็ไม่สู้รู้เท่าทันใจตน คิดแล้วดีไหม (ดี)  ยังไม่ทันมีสติตอบดีเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแก่นแท้ของการศึกษาธรรมจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า แค่เราดี แค่เขาดี แต่แก่นแท้ของการศึกษาธรรมคือ รู้แล้วว่าตัวเองดีแล้วไม่อวดตนไหม รู้แล้วว่าตัวเองดีแล้วยังหลงตัวเองไหม  รู้แล้วว่าตัวเองดีขนาดไหน ยังมีดี ยังไม่ดีที่ยังแก้ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
นี่ล่ะถึงจะเรียกว่ารู้แล้วพ้นทุกข์ แต่ถ้ารู้แค่ทำบุญเป็นทำทานเป็นยังไม่พ้นทุกข์ เพราะบุญกับทานเป็นแค่ตัวหนุนนำส่งให้เราพบสิ่งที่ดี สร้างเหตุปัจจัยอันดีงามแค่นั้น แต่จะพ้นทุกข์ไม่พ้นทุกข์เห็นตัวเองชัดหรือยัง รู้ตัวเองชัดหรือยัง รู้แม้กระทั่งคิดอะไร มันดีไหมถ้าไม่ดีตามไหม โมโหไหม เกลียดไหม (ไม่เกลียด)  ทำได้อย่างนั้นหรือ ฉะนั้นศึกษาธรรมแก่นของหลักธรรมไม่ใช่รู้แค่ธรรมะ ไม่ใช่รู้พระไตรปิฎก ไม่ใช่ฟังมาเยอะแยะ รู้คนอื่นมากมายไม่มีประโยชน์เท่ากับรู้เท่าทันใจตน ถูกไหม (ถูก)  แล้วตอนนี้เรารู้จักตัวเองไหม (รู้จัก)  จะรู้ได้อย่างไรในเมื่อทุกวันเอาแต่มองออก ใช่ไหม (ใช่)  ไม่เคยมองเข้า เอาแต่อยากได้ไม่เคยหยุดอยาก เอาแต่เพ่งเล็งผู้อื่นไม่เคยเพ่งเล็งตัวเอง เอาแต่เพียรพยายามให้คนอื่นเป็นคนดี แต่ตัวเองยังไม่หนักแน่นในความดีงาม แล้วพอไม่ไหวก็ทำอย่างไร ค่อยไปทำบุญ สะเดาะเคราะห์ ไปตักบาตรแก้เคราะห์กรรมทั้งที่กรรมมันมาจากไหน ปากเราเอง ความไม่รู้เท่าทันตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ท่านเคยได้ยินไหมคนใจเย็นพอมีความอยากก็กลายเป็นคนใจร้อน คนใจกว้างพอมีความอยากก็กลายเป็นคนใจแคบ ใช่ไหม (ใช่)  คนมีเมตตาพอมีความอยากก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตน ฉะนั้นถ้าตัวท่านเองไม่รู้เท่าทันตัวเองปล่อยให้กิเลสความอยากครอบงำ คนดีๆ ก็พร้อมจะเป็นคนไม่ดีได้ทันที ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ความอยากครอบงำจนขาดสติและระลึกรู้ตนไป อย่าปล่อยให้ความอยากครอบงำจนกลายเป็นคนขาดความบริสุทธิ์ยุติธรรมไป ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่าปล่อยให้ความอยากมันครอบงำจนทำให้เราขาดปัญญาและขาดความกล้าหาญในการหยัดยืนความถูกต้อง ถูกไหม
ท่านบอกว่าอยู่ในโลกใบนี้จะไม่ให้อยากอะไรเลย ได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าหากอยากมากๆ มันเป็นทุกข์ ใช่ไหม แล้วทำอย่างไรดีล่ะ (อยากน้อยๆ)  เราไม่เคยเห็นใครอยากน้อยๆ เลยนะ อยากต้องอยากให้สูง ฉะนั้นถ้าเราบอกว่าอยากได้ไม่เป็นไร แต่ถ้าอยากแล้วสิ่งสำคัญคือทำให้ดีที่สุด ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็กล้ายอมรับ นั่นแหละหน้าที่แห่งความอยากจบสิ้นลง แต่มนุษย์ไม่ใช่แค่อยากแล้วต้องดีเท่านั้น แต่อยากแล้วแย่ไม่ได้ อยากแล้วล้มเหลวไม่ได้ อยากแล้วแพ้ไม่ได้ อยากแล้วผิดไม่ได้ ถ้าอยากแบบนี้ทุกข์แน่ๆ ถ้าไม่อยากทุกข์ พระพุทธะสอนไว้ว่า จงรู้เสมอว่าเราเกิดมาเพียงแค่ยืมเขาใช้ถึงเวลาก็คืนเขาไป และจงอย่าลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นตามเหตุปัจจัย ฉะนั้นถ้าเราสร้างเหตุปัจจัยดีผลจะเป็นอย่างไรทำไมไม่กล้ายอมรับ กลับกันถ้าเราทำไม่ดีผลจะเป็นอย่างไรเราถึงต้องหวาดหวั่น ใช่ไหม (ใช่)  พระพุทธะไม่ได้สอนว่าให้หยุดอยากให้หมดเลย แต่อยากให้เป็นแล้วอยากอย่างไม่ทุกข์ อยากอย่างคนที่กล้ายอมรับความจริง ดั่งที่พุทธะสอนไว้ว่า ถ้าอยากมีสุขอยากพบความสุข จงยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีธรรมชาติของตัวเอง แล้วธรรมชาติของตัวเองนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน ก็ขอให้ยอมรับว่านั่นคือความจริงที่เราหนีไม่พ้น และถ้าเรายอมรับความจริงนั้นได้ว่ามันเป็นธรรมชาติ ความสุขก็จะอยู่ตรงนี้เลย แต่มนุษย์ไม่ใช่ มีใครสักคนหนึ่งก็ต้องดีเท่านั้น รักใครสักคนหนึ่งก็ต้องสำเร็จเท่านั้นอกหักไม่ได้ ทำงานสักเรื่องหนึ่งก็ต้องได้เท่านั้นไม่สำเร็จก็ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เป็นไปได้หรือ ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้มนุษย์เรียนรู้เพื่อเข้าใจแก่นแท้ความเป็นจริง นอกจากเราต้องรู้เท่าทันตัวเราเองแล้วในทุกสิ่ง รู้ไหมว่ามีแก่นอันหนึ่งที่เราหนีไม่พ้น ในทุกสิ่งมีความจริงอย่างหนึ่งที่เราลืมไม่ได้ นั้นคืออะไร
เมื่อเรารู้เท่าทันตัวเองแล้ว สิ่งที่เราต้องรู้อีกอย่างหนึ่งคือ ความเป็นจริงอันเป็นรากฐานของทุกชีวิต และความเป็นจริงอันเป็นรากฐานของทุกสรรพสิ่ง ถ้าเรารู้อันนี้เราจะไม่ทุกข์นั่นคืออะไร (มีเกิดมีดับ)  ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ไม่ว่าตัวเรา ไม่ว่าตัวเขา ไม่ว่าเก้าอี้ ไม่ว่าเสื้อผ้า ไม่ว่าตำแหน่ง ไม่ว่าชื่อเสียง ไม่ว่าลาภยศเงินทอง ล้วนเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ มีเกิดขึ้น มีตั้งอยู่ และมีดับไป หรือพูดง่ายๆ คือทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีความไม่แน่นอน  ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าทุกสิ่งไม่แน่นอน วันนี้เขารัก พรุ่งนี้เขาเลิกรักโกรธไหม (ไม่โกรธ)  วันนี้เขาด่า พรุ่งนี้เขาชมดีใจไหม (ไม่ดีใจ)  วันนี้เขาด่าจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เพราะอะไร (มันไม่แน่นอน)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
นอกจากเราต้องรู้เท่าทันตัวเองแล้ว สิ่งที่เราลืมไม่ได้คือ ต้องรู้ความเป็นจริงแห่งชีวิต ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันผันแปรตลอด มันคงอยู่เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนแปลงเดี๋ยวมันก็ดับไป ฉะนั้นเรากำลังโกรธกับคนที่ด่าอยู่ใช่ไหม เรากำลังมีเรื่องกับคนที่เคยด่าเราใช่ไหม ทั้งที่มันเปลี่ยนไปแล้ว แต่เรายังไม่เปลี่ยนใช่หรือเปล่า มันเปลี่ยนไปแล้วแต่เราไม่เปลี่ยน แปลว่าเราไม่มองความจริง เรากำลังหลอกตัวเองใช่หรือไม่ เขาด่าเราจบหรือยัง (จบแล้ว)  เราจบไหม (ไม่จบ)  ฉะนั้นเราถึงบอกว่าแก่นของหลักธรรมอยู่ที่รู้เท่าทันตน หากรู้เท่าทันตน รู้ความเป็นจริงแห่งธรรม เราก็หยุดทุกข์ได้ ดับทุกข์ได้ และยิ่งกว่านั้นคือ สิ้นวิบากกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดได้ ถ้าเราแค่รู้ทัน คิดทัน พลิกเป็น เราจะจองเวรจองกรรมเขาไหม (ไม่)  จบเลยใช่ไหม (ใช่)  แต่ทำไมในใจเรายังจำความไม่ดีของคนอื่น ใครดีกับท่านท่านจำไม่ได้ แต่ใครที่ทำอะไรให้ท่านไม่สบายใจหรือทำให้ท่านไม่ถูกใจ ท่านจำได้แม่นใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเรารู้เท่าทันความเป็นจริงแห่งตน และรู้เท่าทันความเป็นจริงแห่งสภาวธรรม เราจะพ้นทุกข์ได้ และเราจะสิ้นกิเลสสิ้นวิบากกรรมได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมีเหตุจึงมีผล มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากรับผลทุกข์จงอย่าสร้างเหตุ เหมือนวันนี้ท่านเคยสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่มาก่อน จึงได้พานพบธรรม เรากำลังพูดถึงธรรมไม่ได้พูดถึงศาสนาใด แต่เรากำลังพูดถึงธรรมอันเป็นสภาวะกลาง ธรรมอันเป็นสภาวะเดิมแท้ของทุกสิ่ง ไม่ได้ให้ท่านเปลี่ยนศาสนา ไม่ได้ให้ท่านนับถือเรา แต่เราแค่กำลังพูดถึงความเป็นจริงอันเป็นสภาวธรรม ฉะนั้นเรามาไม่ได้ทำให้ท่านเพิ่มความอยากขึ้น แต่เรามาเพื่อทำให้ท่านเข้าใจความจริง จนใดๆ ในโลกก็ไม่อยาก เพราะอยากเมื่อใด ก็ต้องรับผลเมื่อนั้น ใช่ไหม (ใช่)  ท่านอาจคิดว่า ทำไมล่ะ อยากมันไม่ดีตรงไหน”  สมมติเราอยากอะไรสักอย่างหนึ่ง แค่อยากให้ลูกได้ดี เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  รู้อยู่เต็มอกแต่เจอหน้าก็ยังอยากให้เขาได้ดี ใช่ไหม (ใช่)  อยากให้สามีเป็นดั่งใจ เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  แล้วสามีอยากให้ภรรยาไม่บ่น เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ฉะนั้นถ้าอยากสงบสุข ไม่ยากเลยแค่ยอมรับธรรมชาติของทุกๆ สิ่ง สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดีแล้ว สิ่งใดเกิดขอบคุณแล้ว สิ่งใดเกิดสุขแล้ว ทุกขณะที่ทำก็มีสุข ทุกขณะที่ทำก็ยินดี ฉะนั้นไม่ต้องรอสุขวันข้างหน้า แต่สุขได้ตอนนี้ เขาได้แค่นี้ดีแล้วใช่ไหม (ใช่)  อยู่ให้เห็นดีกว่าตายแล้วไม่มีอะไรให้เห็นใช่หรือไม่ (ใช่)  อยู่ให้รำคาญดีกว่าตายแล้วเหลือเราโดดเดี่ยวไม่มีใครให้รำคาญ จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นอย่างเพิ่งทุกข์ถ้าเรายังไม่เข้าใจชีวิต อย่าเพิ่งท้อถ้าเรายังไม่เข้าใจหลักสัจธรรม เรียนรู้ธรรมไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เรียนรู้ธรรมเป็นเรื่องใกล้ตัว ขอแค่รู้เท่าทันตนและมองเห็นความเป็นจริงของสรรพสิ่ง ดั่งคำกล่าวว่าถ้ามนุษย์กระจ่างในธรรมแห่งตน ก็กระจ่างในธรรมของผู้คน ถ้ามนุษย์สว่างในคุณธรรมความเป็นคน มนุษย์ก็สว่างในการปฏิบัติคุณธรรมต่อผู้คน แต่เรายังไม่กระจ่าง ปฏิบัติต่อคนจึงยังไม่สว่าง ใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าเราบอกท่านว่าในตัวตนมีหลักธรรมที่เรียกง่ายๆ ว่ากฎของไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และว่างเปล่า ทุกข์แปลว่าทนได้ยาก เห็นอะไรแล้วทนไม่ไหว ทุกข์จริงๆ เคยเป็นไหม เพราะอะไร เพราะคนอื่นไม่เป็นดั่งใจเราต้องการ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเรายังอยากใช่ไหม ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์จงยอมรับความเป็นจริง และถ้าเข้าใจไม่มีใครที่เราจะต้องอดทน อดกลั้น ถ้าเข้าใจมีใครที่เราจะต้องทุกข์ทน มนุษย์ชอบสอนว่าจงเอาใจเขามาใส่ใจเราจะได้ไม่ทุกข์ แต่นอกจากเอาใจเขามาใส่ใจเราแล้วจะไม่ทุกข์ อีกวิธีหนึ่งที่ไม่ทุกข์คือจงเอาใจเราไปเป็นเขาบ้าง แล้วเราจะได้เข้าใจว่า เขาเป็นแบบนี้ เขาชอบอย่างนี้ เขานิสัยได้แค่นี้ เราจะได้ไม่ทุกข์แต่เป็นเข้าใจ เมื่อเข้าใจก็ประจักษ์แจ้ง เมื่อประจักษ์แจ้งก็แข็งแกร่งอยู่บนโลกไม่ทุกข์อีกต่อไป ฉะนั้นจิตนิ่งสงบมีสติรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้น จะทำให้เกิดความเข้าใจกระจ่างและสว่างหนักแน่นมั่นคง แต่บางครั้งที่เจอใครทำให้เราทุกข์ ลองเอาใจเราไปใส่ในตัวเขาบ้างจะได้เข้าใจว่า เขาคิดแบบนี้ เขาเป็นได้แค่นี้ เขานิสัยอย่างนี้ แล้วเราจะได้ไม่ทุกข์ เรียนรู้ที่จะเข้าใจคนอื่นบ้างมากกว่ามองแต่ตัวเอง
ใครล่ะที่เราควรโกรธ เมื่อเข้าใจความจริง (ตัวเราเอง)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเข้าใจความจริงใครล่ะที่ควรจัดการ (ตัวเราเอง) อย่างนั้นหรอกหรือ แต่ก่อนเอาแต่จัดการคนอื่น ชี้หน้าว่าคนอื่นท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม ถ้าใจเราพอ อะไรก็ดี แต่ถ้าใจเราไม่พอ อะไรก็ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแก่นแท้ของความทุกข์หรือความสุข จึงไม่ใช่แค่การปฏิบัติตนเป็นคนดีเท่านั้น แต่แก่นแท้ของการดับทุกข์นั้นคือรู้ใจตัวเองไหมว่าคิดอะไร อยากอะไรอยากให้คนอื่นเป็น แต่ไม่เคยมองว่าเขาอยากเป็นอะไร เข้มงวดคนอื่น แต่ลืมเข้มงวดตัวเองใช่ไหม (ใช่)  ทุกข์มันเริ่มที่ใจ ทำไมไม่ละที่ใจ และจบที่ใจ ใครทำให้เราทุกข์ (ตัวเราเอง)  อย่างนั้นหรือ ที่แล้วมาว่าเขาตลอดใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นตอนนี้พอเข้าใจบ้างหรือยัง ถ้าเข้าใจแล้วความสุขก็หาไม่ยากจริงไหม (จริง)  แต่น่าเสียดายที่มนุษย์มักพูดว่า ก็ฉันหวังดีนี่ ถึงได้บ่น ถึงได้ด่า ถึงได้ว่าใช่ไหม (ใช่)  แต่เราถามท่านนะ ใครในโลกไม่หวังดีกับเราบ้าง ทุกคนก็หวังดี แต่เมื่อมีคนมาบีบบังคับเรามากๆ เรากลับบอกว่าเราทำได้แค่นี้ อย่ามาบีบบังคับเลย ยอมรับในสิ่งที่ฉันเป็นสิใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมเราชอบเอาสิ่งที่รู้ไปคาดหวังคนอื่น ฉะนั้นก่อนจะคาดหวังคนอื่น ทำตัวเองให้ดี ทำตัวเองให้ถูกต้อง สอนโดยไม่ต้องพูด ย่อมประเสริฐกว่านะ ดีกว่าพูดปากเปียกปากแฉะ แต่ตัวเองก็ยังทำไม่ได้
บางครั้งความนิ่งเป็นสิ่งที่ดีและมีค่า ไม่ว่าเราจะพบเจอสิ่งใดอย่าเพิ่งไปตามความอยาก แต่จะใช้ความนิ่ง ใช้สติและใช้จิตที่สงบมองสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นให้แจ่มชัดก่อนจะวิ่งไปตามอยาก มองด้วยความเข้าใจ เข้าใจจนกระจ่าง เมื่อเข้าใจและกระจ่างอารมณ์ที่หุนหันพลันแล่นจะเย็นลง ทำอะไรจะมีสติมากขึ้น เห็นก็จะแจ่มชัดขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์เราไม่ใช่ เวลาอะไรมากระทบทีหนึ่งก็เป็นอย่างไร (ระเบิดลง)  ถ้ากระทบแล้วระเบิด ระวังไว้นะ สิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์ก็คือเดี๋ยวจะจบกันไม่ลง อย่าคิดว่าด่าเขาแล้ว สบายใจ แต่คนบางคนเขาจำไม่ลืมแค้นฝังใจ ฉะนั้นถ้าเรารู้ไม่เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้น เราจะกลายเป็นทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยาก และเรากำลังทำเรื่องที่ไม่มีเหตุให้กลายเป็นมีเหตุมีมูลอันไม่จบไม่สิ้น ฉะนั้นศึกษาธรรมสำคัญคือรู้เท่าทันตน ไม่ใช่แค่เป็นคนดี ศึกษาธรรมคือรู้เท่าทันตน รู้เท่าทันอารมณ์ความคิดตนก่อนที่จะพุ่งออกไป นิ่งก่อนได้ไหม สติมีหรือเปล่า ใจเย็นลงสักนิดช้าหน่อยก็ไม่เสียอะไร โดนกระแทกไปแล้ว หยุดก่อนกระแทกดีไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรม พ้นทุกข์ไม่พ้นทุกข์ก็อยู่ที่ตัวเราเองใช่หรือไม่ (ใช่)  จะสิ้นทุกข์ไม่สิ้นทุกข์ ก็อยู่ตรงนี้ หยุดตัวเองได้รู้ตัวเองทัน บาปเวรกรรมก็จบสิ้น ที่เหลือก็คือการชดใช้กรรมเก่า แต่ถ้าหยุดตัวเองไม่ได้ ควบคุมตัวเองไม่ทัน ท่านก็กำลังสร้างกรรมใหม่เพื่อทบกรรมเก่าไม่จบสิ้น และเราเกิดมาเพื่ออยากเวียนว่ายวนอีกหรือ
จริงๆ ยังมีหลักธรรมอีกนิดหนึ่งที่เราอยากกล่าวกับท่าน แต่เราคิดว่าบางท่านไม่ไหวแล้วใช่ไหม (ไม่ใช่)  ไหวไหม (ไหว)  เรามาศึกษาธรรมแต่วันนี้ยังไม่เจอธรรมเลยใช่ไหม เจอธรรมหรือยัง (เจอแล้ว)  ธรรมอันแรกที่เป็นพื้นฐานของทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าตัวเรา ตัวเขา เก้าอี้ เสื้อผ้า ทุกอย่างมีธรรมอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และว่างเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วสิ่งนี้จะผลักดันให้เกิดช้าเกิดเร็วอยู่ที่เราสร้างเหตุปัจจัย สร้างเหตุปัจจัยดี สิ่งนี้ก็อาจจะมาดี สร้างเหตุปัจจัยไม่ดี สิ่งนี้ก็อาจจะมาไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เราจะหาธรรมแห่งความเป็นคนได้อย่างไร โดยส่วนใหญ่มนุษย์ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน เราถึงจะรู้จักธรรมที่ใช้กับผู้คน แต่ถ้าเกิดว่าเราลืมธรรมในตัวเองแล้วเราคิดว่าเราคือคนไม่ดี ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเรามีธรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดไปเถอะผมคือคนไม่ดี ผมอยากลงนรกอยู่นรกมีเพื่อนเยอะ เห็นชอบคิดกันอย่างนี้ แต่หัวอกของคนที่บอกว่าชอบตกนรก หัวอกของคนที่บอกว่าตัวเองไม่ดี ถามว่าเจอหน้าใครก็ผลักไปให้ไกลๆ ถ้าเขาล้มแล้วเหยียบซ้ำเลยได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะอะไรเล่า นั่นเพราะว่ามนุษย์ทุกคนมีหัวอกอันหนึ่งที่แม้จะเลวร้ายขนาดไหน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีวันหายไป นั่นคือจิตที่รู้จักเมตตาสงสาร ทำไมเวลาเราเห็นคนที่แย่เราจึงเกิดจิตสงสาร มันเพิ่งเกิดก็ไม่ใช่ แต่มันคือคุณธรรมอันเดิมแท้ที่มีอยู่ในใจของทุกท่าน แต่ท่านไม่เคยค้นหาแล้วขยายให้มันกว้าง ถามว่ามนุษย์ทุกคนมีหัวอกขี้สงสารไหม (มี)  แล้วถ้าเราเอาความขี้สงสารกลายเป็นเมตตา เมตตากลายเป็นกรุณา กรุณากลายเป็นมุทิตาอุเบกขา ท่านก็คือพระพรหมบนโลกใบนี้ แต่เราไม่เคยแผ่ความเมตตาให้มันมากกว่าเมตตา มนุษย์จึงเป็นแค่มนุษย์ มนุษย์เป็นพรหมบนโลกได้ถ้าเมตตาแล้วกรุณา ถ้ากรุณาแล้วมุทิตา ถ้ามุทิตาแล้วอุเบกขา นั่นคือสงสารอยากให้เขาพ้นทุกข์ และเมื่อทำจนถึงที่สุดก็ยอมรับสิ่งที่เป็นไปด้วยใจอันเป็นกลาง ช่วยเขาแล้วโดนเขาว่าโดนเขาด่าก็ไม่เคืองโกรธ เพราะเขากำลังทำให้เราไปมุทิตาและอุเบกขา เป็นพระพรหมที่ครบสี่หน้า แต่มนุษย์มักมีแต่เมตตาแล้วก็จมอยู่กับเมตตาแค่นั้น ทั้งที่จริงๆ แล้ว มนุษย์มีคุณธรรมมากกว่านั้น คือคุณธรรมความเป็นคน รู้จักเมตตาสงสารและผิดชอบชั่วดี ฉะนั้นถ้ากระจ่างในธรรมแห่งความเป็นคนแห่งตน และกระจ่างในธรรมแห่งความเป็นคนของผู้อื่น ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะอยู่บนโลกให้มีสันติสุข
ฉะนั้นคำว่า ธรรม จึงไม่ใช่มีแค่ ธรรมแห่งความเป็นจริง แต่คำว่าธรรมยังมีอยู่ในจิตใต้สำนึกของทุกคน ธรรมอันเรียกว่าเมตตา ธรรมอันเรียกว่ามโนธรรมสำนึก ธรรมอันเรียกว่า จริยธรรม ธรรมอันเรียกว่า สัตยธรรม และธรรมอันเรียกว่า ปัญญาธรรม เรามีนะแต่ไม่เคยค้นหาใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมติมีคนเจอหน้าเราแล้วเขาดูถูกเราชอบไหม (ไม่ชอบ)  แปลว่าท่านไม่ชอบให้ใครมาดูถูกดูหมิ่น นั่นคืออยากได้ความเคารพนับถือ เรียกว่า จริยะใช่ไหม (ใช่)  โดนว่า ว่าโง่ ยอมไหม (ไม่ยอม)  คนใต้เกลียดที่สุดใครมาว่าโง่ใช่ไหม (ใช่)  เราก็มีปัญญาธรรมใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามนุษย์รู้จักคุณธรรมแห่งความเป็นคน และกระจ่างในการดำเนินชีวิตกับผู้คนโดยใช้คุณธรรม ชีวิตนี้ไม่ใช่เรื่องยากที่จะนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์
คิดไตร่ตรองให้ดีสิ่งที่วันนี้เราพูดกับท่าน ไม่ได้เป็นประโยชน์เพื่อเรา แต่เป็นประโยชน์เพื่อตัวท่านเอง ยังอยากทุกข์หรืออยากพ้นทุกข์ (พ้นทุกข์)  อยากพ้นทุกข์ไม่ใช่แค่เป็นคนดี แต่ต้องรู้เท่าทันใจตน รู้ให้ทันก่อนที่มันจะสร้างวิบากกรรม สร้างกิเลสและการเวียนว่าย ถ้าเรารู้ทันหยุดได้ สิ่งที่เหลือก็คือการชดใช้กรรมเก่า แต่ถ้าเราหยุดตัวเองไม่ได้ ยังอยากอยู่จงอยากให้เป็น ทำให้ดีที่สุดผลเป็นอย่างไรก็กล้ายอมรับ ได้หรือไม่ (ได้)  ถึงแม้ว่าตัวเราทำให้ถึงที่สุดแล้วจะกลายเป็นผู้แพ้ก็ไม่เคืองโกรธ จะกลายเป็นผู้ล้มเหลวก็ไม่ด่าทอฟ้าดิน ยอมรับในชะตากรรมที่เป็นไป นี่แหละเรียกว่า เกิดมาเพื่อจบกรรม
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก เพราะมีเหตุปัจจัยนำหนุน แม้อยู่ไกลกันแค่ไหนก็ได้พบเจอ แต่ถ้าไร้เหตุปัจจัยนำหนุนแม้อยู่ตรงหน้ากันก็ทำเป็นไม่รู้จักกัน ฉะนั้นสร้างเหตุปัจจัยกับพุทธะเพื่อเป็นพุทธะ ไม่เอาหรือ


วันอาทิตย์ที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘     สถานธรรมฉือเหริน นครศรีธรรมราช
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ไม่เปรียบเทียบก็ไม่แบ่งแยกแตกต่าง  ไม่ชอบก็ไม่ชังสร้างเรื่องไหนไหน
ไม่ยึดก็ไม่หลงสิ่งใดใด                        ไม่ทุกข์ก็ไม่เข้าใจชีวิตตน
                        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                                         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา       ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนอยู่ในโลกนี้เหนื่อยไหม

  ความคิดเป็นตัวนำทางของคน              จะสับสนหรือกระจ่างหนทางนี้
ความคิดเป็นตัวกำหนดร้ายหรือดี           ศิษย์คนดีหันกลับมาพิจารณา
ลอยคออยู่ในกระแสแห่งโลกีย์               วันเดือนปีผ่านไปมากปัญหา
ปมปัญหาใจคลายออกทันเวลา               ทุกปัญหากลายเป็นครูผู้กรุยทาง
ใช้สัจธรรมมานำชีวิตตน                       คลายสับสนวังเวงและอ้างว้าง
ศิษย์ทุกคนล้วนมีทางสายกลาง              ฝึกความว่างท่ามกลางความวุ่นวาย
คนมีสติรู้นำชีวิตตน                             ไม่สับสนปล่อยอารมณ์เป็นใหญ่
ไม่เคยชินทำอะไรเอาแต่ใจ                    ใช้คุณธรรมนำใจสตินำตน
                                    ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


อาจารย์ไม่บังคับใจดีไหม จริงๆ นะศิษย์ถ้าเขาเห็นหน้าเราแล้วเขาเบือนหน้าหนี เราจะเอาหน้าไปให้เขาเห็นทำไมให้ทุกข์ใจใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเขาเห็นหน้าเราแล้วเขาชังน้ำหน้า เขารำคาญ ทำไมเราหลบหน้าไม่ได้หรือ ทำไมเรายอมถอยไม่ได้หรือ ทำไมต้องดันทุรังเสนอหน้าให้เขาเกลียด จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมจะทุกข์ จะสุข ไม่ต้องรอให้ใครมาชี้หน้า ไปให้ไกลๆ ทำไมต้องรอให้เขาชี้หน้าไล่ มันเจ็บนะ เรารู้ตัวเราก่อน เรารู้ตัวเองก่อน เราหยุดตัวเองได้ มันดีกว่าไหม (ดี)  ดีกว่าทำใจไม่ได้แล้วโดนเขาไล่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเรื่องราวในโลกก็เหมือนกัน ถ้าเรารู้ตัวเองทัน ถ้าเรารู้ว่าเดินไปแล้วไม่ทุกข์ ถ้าเรารู้ว่าทำแล้วมันเจ็บ ถ้าเรารู้ว่าพูดมากแล้วไม่มีอะไรดีขึ้น อยู่นิ่งๆ เงียบๆ เฉยๆ ไม่เป็นหรือ แต่บางทีมันไม่ไหวอาจารย์ มันอยู่นิ่งไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นดีร้ายได้เสียทุกข์สุข เป็นเรื่องของคนที่ใจยังหวั่นไหวไปกับโลกอยู่ แต่ถ้าคนบำเพ็ญแล้วนะศิษย์ ดีหรือร้าย ได้หรือเสีย ทุกข์หรือสุข มันจะทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะเขาจะหยุดตัวเองก่อน เห็นตัวเองก่อน ฉะนั้นถ้าศิษย์บอกว่า ศิษย์รู้ธรรมมากมาย แต่ถ้ารู้ธรรมมามากแล้วยังหยุดตัวเองไม่ได้ ยังหวั่นไหวไปกับสิ่งที่กระทบ แปลว่ายังบำเพ็ญไม่ไปไหนนะ ใช่ไหม (ใช่)  โดนเขาว่านิดหนึ่งก็เป็นอย่างไร ร้อนใช่หรือเปล่า (ใช่) โดนเขาด่านิดหนึ่งเป็นอย่างไร ข่มไว้ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นผู้ที่บำเพ็ญแล้ว ผู้ที่เข้าถึงสภาวธรรมที่แท้จริงแล้ว หรือผู้ที่มองเห็นความเป็นจริงของโลกใบนี้ชัดแล้ว อะไรมากระทบมันก็ไม่กระเทือน กระแทก และหวั่นไหวไปกับสภาวะอารมณ์ของคนทั้งโลกถูกไหม (ถูก)  แต่เวลาเราโดนกระทบเป็นอย่างไร อยาก เกลียด โกรธ ด่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่เรียกว่าโลกแท้ๆ เลย แต่ถ้าเมื่อไรเราโดนกระทบ เรานิ่งได้ เราใจเย็นได้ เราสงบได้ เราก็สามารถที่จะควบคุมตัวเองได้ และควบคุมสิ่งแวดล้อมได้ สิ่งแวดล้อมก็ไม่สำคัญเท่ากับจิตใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ว่าเงินชั่วร้ายไหม (ชั่วร้าย)  ผู้ชาย ผู้หญิงชั่วร้ายไหม (ชั่วร้าย)  ผู้หญิงผู้ชายร้ายไหม (ร้าย)
อาจารย์ถามต่อ ผู้ชายก็ร้าย ผู้หญิงก็ร้าย เงินก็ร้าย จริงไหม (จริง, ไม่จริง)  คิดให้ดีๆ นะ เงินไม่ได้ร้ายแต่คนที่ขาดคุณธรรมแล้วพยายามจะครอบครองเงินโดยที่ไม่รู้จัก ผิดชอบชั่วดี ร้ายใช่ไหม (ใช่)  ผู้หญิงไม่ได้ร้ายแต่ผู้หญิงที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ผู้ชายคนนั้นร้าย เหมือนกัน ผู้ชายร้ายหรือไม่ร้ายอยู่ที่ว่าเขาอยากจะโกหกเราแล้วทำวิธีไหนไม่ให้เรารู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นใดๆ ในโลกล้วนไม่น่ากลัวแต่ที่น่ากลัวคือความอยากที่ครอบงำใจจนไม่รู้จักผิดชอบ ชั่วดีไม่ละอายเกรงกลัวต่อบาป แล้วไม่รู้ว่าของใครเป็นของใครสิ่งนั้นแหละร้ายกว่า ซึ่งไม่ได้อยู่ที่ไหนแต่อยู่ที่ (ตัวเรา)  ใช่หรือไม่  แล้วเราร้ายไหม (ไม่ร้าย)  สุราและบุหรี่ร้ายไหม (ไม่ร้าย)  ก็แน่ล่ะศิษย์ไม่ติดนี่ ใช่ไหม (ใช่)  ใครที่ติดจะบอกว่าเหล้าร้ายบุหรี่ร้าย แต่จริงๆ เหล้าไม่ร้ายบุหรี่ไม่ร้ายถ้าใจศิษย์ไม่อยาก ถูกไหม (ถูก)  เหล้าจะร้ายได้อย่างไรในเมื่อใจเราไม่อยาก ถ้าไม่เคยมาอยู่ในพุงในไส้ของศิษย์มันก็ไม่อยากหรอก ถามคนที่ไม่เคยกินเหล้าสิว่าเปรี้ยวปากเป็นอย่างไร เขาก็ไม่รู้ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเหล้าจะไม่มีอำนาจครอบครองใจได้ถ้าใจของศิษย์ไม่ตกเป็นทาสของเหล้า บุหรี่ จริงไหม (จริง)  ผู้หญิงไม่มีอำนาจครอบครองบุรุษได้หรอกถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ยอมอิสตรี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นผู้ชายก็เหมือนกันไม่สามารถมีอำนาจเหนือใจเราได้ถ้าเราไม่ยอมตกเป็นทาสสามี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์เอยสิ่งสำคัญในการบำเพ็ญธรรมจึงไม่ได้อยู่ที่ใครร้ายแต่มันอยู่ ที่ตัวเราต่างหาก จริงไหม (จริง)  เขาร้ายหรือเราร้าย (เราร้าย)  เขาไม่ดีหรือเราไม่ดี (เราไม่ดี)  แต่ถึงเวลาว่าเขาหรือว่าเรา (ว่าเขา)  ไม่ต้องต่อแล้วจบ จริงไหม (จริง)  รู้จนเต็มอกรู้จนถึงที่สุดแล้วก็ยังอดว่าเขาไม่ได้อยู่ดี
  “ไม่เปรียบเทียบก็ไม่แบ่งแยกแตกต่าง       ไม่ชอบก็ไม่ชังสร้างเรื่องไหนไหน
ไม่ยึดก็ไม่หลงสิ่งใดใด                                  ไม่ทุกข์ก็ไม่เข้าใจชีวิตตน
ถ้าเราไม่ชอบจะมีใครที่เราต้องชัง  ใช่หรือเปล่าใช่ไหม  ถ้าเราอยากเข้าถึงสภาวธรรมก็แค่เห็นตรงๆ  จริงๆ  เช่นนั้น  ไม่ปรุงแต่งไม่มีอารมณ์ ธรรมก็อยู่แค่ตรงนี้เอง แต่ใจของมนุษย์ไม่ใช่เห็นแล้วก็อดคิดโน่น  คิดนี่ ปรุงแต่งโน่นนี่  อยากได้นั่น  อยากได้นี่ ถูกไหม  แต่รู้ไหมว่า โลภ  โกรธ  หลง  หรือหยุดโลภ  หยุดโกรธ หยุดหลง   มันง่ายนิดเดียวเองศิษย์  เห็นแล้วไม่ปรุงแต่ง เห็นแล้วไม่เปรียบเทียบ เห็นแล้วไม่ชอบชัง เห็นแล้วแค่เห็น เห็นตามจริงเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลงนั่นแหละเรียกว่าสภาวธรรม  เราเรียนรู้เราอยากเข้าถึงสภาวธรรม แต่สภาวธรรมเป็นอย่างไรทำไมมันไปไม่เห็นถึงสักที ไม่ยาก ธรรม คือ ความจริงอันเป็นเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
สมมติว่าโดนกระทบแล้วโดนกระทบอีก จิตของศิษย์คงความจริงอันเป็นเช่นนั้นโดยไม่เปลี่ยนแปลง นั่นเหละศิษย์ค้นพบธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ พอโดนกระทบ ปุ๊บ เป็นอย่างไร (สวนกลับ)  สวนกลับเลยหรือ ไหนศิษย์บอกอาจารย์ว่าคนเราทุกคนมีจิตเมตตา  การตีทำร้ายคนเป็นบาป ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นอาจารย์ตีแล้วศิษย์ต้องตีกลับ แปลว่าศิษย์ก็จะบาปใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็แปลว่าเราไม่ได้เมตตาจริงๆ ถูกหรือไม่ (ถูก) 
อาจารย์กำลังจะบอกว่าถ้าสมมติว่าเราอยากเข้าถึงสภาวธรรมไม่ยากเลยศิษย์ โดนตบแล้วยังคงความเป็นเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง โกรธเมื่อไหร่เตรียมตกนรก จริงไหม เกลียดเมื่อไหร่ สาปแช่งเมื่อไหร่ เตรียมสร้างวิบากกรรมแห่งการเวียนว่าย แต่ถ้าเราแค่ เช่นนั้น เท่านั้น แค่นั้นไม่เปลี่ยนแปลง คงที่ นั่นถึงเรียกว่าธรรม แต่ถ้าเราบอกว่าโกรธมัน ตีมัน ด่ามัน นั่นเหละเรียกว่าตัวตน ตัวตนเกิดเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้น กิเลสเกิดเมื่อไหร่ก็เกิดวิบากกรรมเมื่อนั้น จริงไหม (จริง)  แต่ใครล่ะที่กระทบแล้วจะคงเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง จริงไหมล่ะศิษย์
ศิษย์เอ๋ยทุกสิ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป อาจารย์จะตบศิษย์แค่ไหน ตีศิษย์แค่ไหน มันจบแล้วนะ ถูกไหมล่ะ จบแล้วยัง (จบ)  ทุกขณะที่เกิดคือทุกขณะที่ดับ ทุกขณะที่มีคือทุกขณะที่กำลังสูญสลาย ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงอันเป็นเช่นนั้น เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็จบได้ทันที แต่มนุษย์เราไม่ใช่ เรื่องอะไรจะยอม เรื่องอะไรจะจบ ฉะนั้นวิบากกรรมและการเวียนว่ายจึงเกิดขึ้น จึงมีคำกล่าวว่า เมื่อไหร่ที่มีตัวตนจึงก่อเกิดกิเลส กรรมและการเวียนว่าย แต่เมื่อไหร่ที่เราเข้าถึงสภาวธรรมไร้ตัวตน กิเลส กรรมและการเวียนว่ายก็จบสิ้นทันที
เมื่อไหร่ที่เรายึดมั่น ถือมั่นในตัวตน กิเลส กรรม และการเวียนว่ายก็เกิดขึ้น แต่ถ้าเมื่อไหร่ตัวตนไม่มีให้ยึดมั่นถือมั่นแล้ว ก็เหลือคงไว้แต่สภาวธรรมอันเป็นเช่นนั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ แต่ก็มันยังเห็นอยู่ มันยังเจ็บอยู่ มันยังมีอยู่ใช่ไหม (ใช่)
รู้ว่ามาก็ต้องมีคนไม่เชื่อ แต่ก็ยังอยากมา รู้ว่ามาจะต้องโดนดูถูก แต่อาจารย์ก็อยากมา เพราะเชื่อว่าบางครั้งถ้าศิษย์เข้าถึงสภาวธรรมเพียงเล็กน้อยที่อาจารย์พูด เผื่อจะเป็นหน่อเนื้อนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้บ้างไม่มากก็น้อยก็ยังดี อาจารย์มาขอเงินไหม (ไม่)  ไม่ได้ขอแล้วทำไมคิดว่าอาจารย์หลอกล่ะ ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์มาที่นี่เสียเงินบ้างไหม
ศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนอยู่ในโลกนี้ เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ลำบากไหม (ลำบาก)  จะไม่เหนื่อยได้อย่างไรล่ะก็แบกทุกอย่างไว้ในใจหมดเลย ใช่ไหม  ถ้าทุกข์จริงๆ ก็คงไม่ทำให้ตัวเองเป็นเช่นนี้หรอก น่าจะหาวิธีทางที่จะทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
หนอนยังรู้จักถีบตัวเองเป็นผีเสื้อ มนุษย์ถ้าทุกข์แล้วทำไมไม่รู้จักถีบตัวเองให้พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์รักเอ๋ย อย่าไปเห็นแค่รูป เอาให้ได้ที่ใจเลย อย่าไปมองติดแค่รูป เพราะทุกสิ่งที่เรียกว่ารูปมันคือความไม่มีใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์เอ๋ยบางครั้งศิษย์มองว่าความทุกข์เป็นสิ่งน่ากลัวสิ่งที่เราไม่อยากเจอ แต่อาจารย์ถามจริงๆ นะ ทำไมเราไม่ลองสู้กันดูสักตั้งหนึ่ง ก่อนที่เราจะเกลียดทุกข์ แล้วไม่อยากเจอทุกข์ ถูกไหม (ถูก)  ศิษย์บอกว่าความทุกข์ในโลกเป็นสิ่งน่ากลัว เป็นสิ่งที่ไม่อยากเจอเลยอาจารย์ แต่อาจารย์ถามหน่อยใครหนีพ้น ไม่มีใครหนีพ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อหนีไม่พ้นทำไมไม่ลองสู้กับความทุกข์ดูสักตั้งล่ะ ถ้าสู้ได้ เราเอาชนะได้ หรือเราเข้าใจความทุกข์ได้ ความทุกข์จะน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  แต่ทำไมพอถึงเวลาเรากลับกลัวทุกข์ ในโลกนี้ทุกข์อะไรที่น่ากลัวที่สุด (ทุกข์ใจ)  ทุกข์ มีเยอะแยะในโลก แต่สิ่งที่ศิษย์บางคนไม่อยากเจอก็เพราะว่าบางทีเราไม่คาดคิด บางทีเราเตรียมตัวไม่ทัน บางทีเรารับไม่ไหว ใช่ไหม (ใช่) 
อาจารย์ถามหน่อยนะว่าทุกข์ในโลกนี้มันมีดีอะไร ลองหามันให้เจอ ดีไหม ถ้าหาดีจนเจอแล้วเราจะเกลียดมันไหม (ไม่)  เราจะกลัวมันไหม (ไม่)  แล้วเราจะสู้กับมันไหวไหม (ไหว)  ใครตอบอาจารย์ได้บ้าง (ทุกข์คือประสบการณ์ชีวิต)  ใช่ไหม (ใช่)  ตอบได้แล้วถึงเวลาเจอเป็นประสบการณ์ชีวิตที่เจ็บปวด รับไหวหรือเปล่า เหมือนอาจารย์ถามศิษย์ว่า ใครบ้างในโลกไม่กลัวการพลัดพราก ใครบ้างในโลกไม่เจอการสูญเสีย แล้วเวลาเจอทำใจได้ไหม (ตอนแรกยังไม่ได้)  แต่ตอนนี้ (ทำใจได้แล้ว)  แต่กว่าจะทำใจได้ล้มไปนานเลยถูกไหม ก่อนเราจะเกิด ก็มีปู่ย่า ตายาย ทวด ตอนนี้ยังอยู่ไหม อยู่ครบไหม (ไม่ครบ)  ถ้าไม่มีบรรพชนจากไปจะมีเรานั่งอยู่ตรงนี้ไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นบางครั้งการเสียสิ่งหนึ่งอาจจะได้อีกสิ่งหนึ่งมา ทำไมเราจะต้องไปยึดติดกับความสูญเสีย แล้วบางครั้งการสูญเสียกลับทำให้เรารู้จักอะไรคือคุณค่า อะไรคือสิ่งที่เราลืมคุณค่าไป ถูกไหม ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า การสูญเสียมีดีไหม (มี)  ถ้าเราเข้าใจความสูญเสียมีดีอะไร เวลาเราเจอความสูญเสีย เราจึงมีสติรับได้ ถูกไหม แต่ชีวิตที่เกิดมาล้วนต้องผ่านการสูญเสียจึงมีเราวันนี้ ถ้าไม่มีการสูญเสียเราจึงไม่รู้จักคุณค่า ถูกไหม ฉะนั้นเราจะกลัวไหม (ไม่กลัว)  เราก็จะกล้าเสียสละตัวเอง เพื่อให้รุ่นต่อไปได้กำเนิดเกิดขึ้นมา ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นเราจะกลัวตายไหม (ไม่กลัว)  ถ้าศิษย์เข้าใจความทุกข์คืออะไร เข้าใจความสูญเสียคืออะไร เวลาเราเจอ เราจะมีสติรับได้ และเราจะรู้ว่า อ๋อ ไม่เป็นไร”  ถ้าเสียแล้วได้อีกสิ่งหนึ่ง ถูกไหม ถ้าไม่มีบรรพชนที่จากไปจะมีเราตรงนี้ไหม (ไม่มี)  แล้วตอนนี้ที่ยังมีท่านอยู่ ทำไมไม่ดูแลท่านให้ดีๆ มาเสียใจกับอดีตทำไม ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอาจารย์อยากให้ศิษย์ได้เข้าใจธรรม สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ควรรู้ไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีความเกิดก็มีความดับ ทุกขณะที่ศิษย์เกิดคือทุกขณะที่ศิษย์กำลังดับใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นก็เลยฉลองความตาย “เย้ๆ เกิดแล้วแล้วสิบห้าปี” ใช่ไหม แต่พุทธะไม่ใช่ ตายแล้วสิบห้าปี ตายแล้วสามสิบปี ตายแล้วหกสิบปี เราควรฉลองความเกิดหรือเราควรมีสติอยู่กับความตาย (มีสติอยู่กับความตาย)  แล้วต่อไปจะเป่าเค้กวันเกิดอีกไหม (ไม่)  คิดให้ดีๆ นะ อาจารย์ไม่ได้ห้าม เป่าได้จงเป่าอย่างมีสติ ตายไปแล้วสิบห้าปีนะ แล้วสิบห้าปีที่ตายไปมีอะไรดีไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรามีสติระลึกเสมอว่าทุกขณะที่เกิดคือทุกขณะที่ตาย ทุกขณะที่มีชีวิตคือทุกขณะที่กำลังดับสิ้น แล้วจะเอาเรื่องกับใครในเมื่อที่ผ่านมามันตายไปแล้ว มันจบไปแล้ว ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงอันนี้ ทุกขณะเราจะมีชีวิตอยู่แค่ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ อดีตก็คือ (อดีต)  ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจึงทำให้เราเข้าใจอยู่อย่างหนึ่งว่าชีวิตคือความตาย ความเป็นกับความตายเรียกว่าชีวิต ถ้าเข้าใจชีวิตเราจะไม่ห่วงอดีต แต่เราจะทำวันนี้ให้ดี ถ้าวันนี้ไม่ดี วันนี้มันก็จะกลายเป็น (อดีต)  พระพุทธะจึงสอนว่าไม่มีหรอกอดีต ไม่มีหรอกอนาคต มีอยู่เวลาเดียวคือเวลา (ปัจจุบัน)  ไม่ใช่  คือขณะนี้ เดี๋ยวนี้ แม้ปัจจุบันมันก็เปลี่ยนแปลง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเข้าใจความจริงเข้าใจชีวิต เราจะไม่ทุกข์แต่ความเข้าใจจะทำให้เราแจ่มแจ้ง และปลดปลงได้เยอะเลย จะห่วงอะไรกับอดีต ถ้าตอนนี้ยังทำไม่ดี ถ้าไม่ดีตอนนี้ก็จะกลายเป็น (อดีต) ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์มันยากนะ บางทีหนูยังอยากเก่งกว่าคนอื่น อยากเหนือกว่าคนอื่น อยากสำเร็จ อยากนั่นอยากนี่อยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ไหนใครบอกว่าอยากรวย อาจารย์มีวิธีง่ายๆ ไม่ต้องทำอะไรก็รวย ใครอยากสวยไม่ต้องไปโบทอกซ์ ไม่ต้องไปฉีดหน้าเลย อาจารย์มีวิธีเอาไหม (เอา)  เอาทันทีเลยนะ แล้วมีวิธีรวยโดยไม่ต้องทำอะไรเลยเอาไหม (เอา) 
อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่า เรื่องบางเรื่องในโลกนี้ไม่ยากเลย อยากรวยอยากเป็นคนรวยที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งก็อยากสวยบางครั้งก็อยากดูดี ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ไม่ได้สอนให้ศิษย์โลภแต่อาจารย์จะบอกว่า เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนั้นจึงมี เหมือนคำว่าเพราะมีสามีจึงมีภรรยา ใช่ไหม
เพราะมีเพื่อน เพราะมีเราจึงมีเขา เพราะมีดีจึงมีร้ายใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าคนเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตก็จะรู้เลยว่าเพราะมีจน จึงมีรวย  เพราะมีดูไม่ดี  จึงมีดูสวยงาม  ฉะนั้นอยากสวยไม่ยากเลยทำอย่างไรรู้ไหม ไม่ยากเลยอยู่ใกล้กับคนไม่สวยเราก็สวยถูกไหม ไม่ต้องทำอะไรเลยไม่ต้องโบทอกซ์ ไม่ต้องฉีดหน้า อยู่กับคนไม่สวยเราก็สวยทุกวันเลยจริงไหม อยากเป็นคนรวยไหม อยู่กับคนจนไว้แล้วมีแต่ให้ๆ  เรารวยที่หนึ่งเลยถูกไหม ฉะนั้นอยากเป็นคนดูดีไหม อยู่กับคนที่ดูไม่ดีแล้วเราจะได้ดูดีโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเข้าถึงสภาวธรรมหรือเข้าถึงความเป็นธรรม ธรรมสอนให้รู้ว่าเพราะสิ่งนี้มีสิ่งนั้นจึงมี เพราะมีสามีจึงมีภรรยา เพราะมีสามีภรรยาจึงมีลูกใช่ไหม (ใช่)  เพราะมีอัปลักษณ์ จึงมีสวยงาม เพราะมีหน้าเกลียดจึงมีคนดูดีใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากเป็นคนฉลาดจงคบคนโง่ ดีไหม (ดี)  มีนักเรียนชั้นนี้แหละที่บอกว่าดี ดีตรงไหน  คนฉลาดมักจะจมอยู่แค่นี้  จริงไหมศิษย์
ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าถึงแก่นแท้ความเป็นจริงของชีวิต ศิษย์จะอยู่บนโลกนี้ไม่ทุกข์ ใครด่าว่าเราโง่ ไม่เป็นไรฉันไม่ได้โง่ที่สุดยังมีคนโง่กว่าถูกไหม ใครด่าว่าเราไม่สวย ใครด่าว่าเราเหี่ยว  ไม่เป็นไรคุณยายเหี่ยวกว่าใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นธรรมะและความเป็นกลางมันไม่ได้อยู่ที่ไหนมันอยู่ที่ตัวเรา ถ้าเรารักษาความเป็นธรรมอันเป็นเช่นนั้น เราก็คือความเป็นกลางที่เป็นธรรม ถ้าเราเอาแต่ไปเปรียบเทียบ ไปวัดโน่น วัดนี่ อยากได้นั่น  อยากได้นี่ เราก็คือคนที่ขาดเสมอจริงไหม ศิษย์เอยมนุษย์เราทุกคนมีความเป็นกลางอยู่ ฉะนั้นอย่าพยามดิ้นรนให้ต้องเก่งกว่าเหนือกว่าเลย  เพราะถึงที่สุดเก่งกว่าก็มีคน (เก่งกว่า)  สวยกว่าก็มีคน (สวยกว่า) 
(ก็หนูอยากสวย)  อยากสวยไปทำไมศิษย์เอ๋ย สู้ยอมรับความเป็นจริงของตัวตนเองไม่ดีกว่าหรือ ถูกไหม (ถูก)  แล้วก็ยอมรับว่าคนในโลกไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม มีใครดีพร้อมไหม มีใครไม่มีข้อผิดพลาดไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นถ้าเรายอมรับความจริง ถึงเราจะได้ภรรยาขี้บ่น แต่ขี้บ่นอย่างไรก็อาจจะบ่นน้อยกว่าอีกบ้านหนึ่งก็ได้ ถูกไหม (ถูก)  เราได้สามีขี้เหล้า แต่ไม่เป็นไร ขี้เหล้าก็ยังดี อย่างน้อยก็ไม่เล่นอบายมุข ไม่ติดหญิง หรือแม้แต่มีสามีติดหญิง ก็คิดว่าดีแล้วติดหญิงยังกลับมาบ้าน อย่างไรก็ยังกลับมาบ้านใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นในความเป็นจริงแห่งการเรียนรู้หลักธรรมจึงสอนให้เรารู้ว่า ถ้าเรายิ่งเข้าใจหลักธรรม เรายิ่งสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างเข้มแข็ง และเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเป็นคนในโลกนี้ให้สมบูรณ์ ไม่ผิดไม่เพี้ยน ไม่ด่างพร้อย ไม่ก่อเกิดเวรกรรมยากไหม (ไม่ยาก)  ขอแค่เพียงศิษย์รู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเกิดมีดับ อดีตอาจจะไม่มี มีแต่ขณะนี้ ใครจะสวย ใครจะดี ใครจะเลว ใครจะร้ายอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญที่ตัวเราเป็นเช่นไร ใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม ถ้าศิษย์อยากดีมากๆ ศิษย์ก็ไปอยู่กับคนเลวสิ จริงไหม (จริง)  ถ้าศิษย์อยากเลวมากๆ ก็ไปอยู่กับคนดีใช่ไหม (ใช่)  ใช่หรือ
แต่โดยส่วนใหญ่ของมนุษย์เรานั้นมักจะไม่ค่อยรู้จักพอ ได้อีกสิ่งหนึ่งก็อยากได้อีกสิ่งหนึ่ง มีดีก็ต้องดีกว่า เราเลยเหนื่อยไม่จบสิ้น ถูกหรือไม่ ฉะนั้นทำอย่างไรที่จะทำให้เรารู้จักพอบ้าง ถ้าพอได้ชีวิตก็มีสุข แต่ถ้าพอไม่ได้ ที่หาก็คือความทุกข์ทน ที่มีก็คือความร่อยหรอ แต่ถ้าเราพอได้ ที่มีมันก็คือมั่งคั่ง ที่หาก็ไม่ทุกข์ทน เพราะได้ไม่ได้เราก็ยังมีอยู่ ถูกหรือไม่ แต่ถ้าเราบอกว่าไม่พอ ที่มีก็เหมือนไม่มี ที่หาก็ต้องทุกข์ทนว่ามันต้องได้ ถ้าไม่ได้ตายแน่ จริงไหมล่ะศิษย์ (จริง)  อาจารย์พูดถูกไหมล่ะ อาจารย์ถามนะว่าศิษย์เอ๋ย แล้วอะไรที่เป็นสาเหตุให้คนในโลกนี้ หรือตัวเราทุกข์กันเล่า (อยากได้)  เราทุกข์เพราะอะไร
(ตัวเราเอง)  เพราะตัวเราเองทำให้ตัวเองทุกข์ถูกไหม (ถูก)  คิดไม่เป็นวางไม่ได้ก็เลยเป็นทุกข์ เพราะตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะบอกว่าทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะขาดสติ ทำอะไรไม่รู้จักยั้งคิด ที่เราขาดสติเพราะเราใช้อารมณ์เป็นหลัก ไม่ใช้สติ ไม่ใช้คุณธรรมนำ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่นะ
(เพราะเรายึดติดไม่ปล่อยวาง)  เพราะยึดติดไม่ปล่อยวาง ใช่ไหม (ใช่)  แล้าเรายึดติดอะไรมากที่สุดที่ทำให้เราทุกข์ อารมณ์ กิเลส หรือทิฐิความเป็นตัวเป็นตน (ทุกข์ด้วยกิเลส)  คนเรายึด แต่ไม่เหมือนกัน บางเรื่องยึดเพราะทิฐิ บางเรื่องยึดเพราะกิเลส บางเรื่องยึดเพราะอารมณ์ บางเรื่องยึดเพราะหน้าตา บางเรื่องยึดเพราะหน้าที่ บางเรื่องยึดเพราะเกียรติยศ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจะตอบเหมือนกันเป็นไปไม่ได้ มันแล้วแต่ว่าตอนนั้นเรากำลังโดนอะไรกระทบใจ ใช่ไหม (ใช่) 
(ทุกข์เพราะรัก โลภ โกรธ หลง)  ตบมือให้ท่านนี้หน่อยนะ มนุษย์โดยส่วนใหญ่ทุกข์เพราะยึดกิเลส ยึดอารมณ์เป็นใหญ่ ยึดทิฐิตัวเองเป็นใหญ่ ยึดตรงที่แพ้ไม่ได้ วางไม่เป็น ยอมไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่ามนุษย์ถึงที่สุดทุกข์เพราะอะไร จริงๆ แล้วไม่ใช่เพราะกิเลสหรอก มนุษย์ทุกข์เพราะตัวเรานี้ ตัวเรานี่แหละเป็นโรงงานผลิตทุกข์ตัวดีเลย ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่ควรคิดไม่คิด  สิ่งที่ไม่ควรคิดก็คิดเอาๆ ถูกไหม (ถูก)  รู้ว่าทำสิ่งนี้ไม่ดีทำไหม ทำ ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าถ้าศิษย์อยากหยุดทุกข์ทั้งมวลไม่ใช่แค่หยุดโลภ โกรธ หลง แต่นี่มันต้องรู้ตั้งแต่ตัวนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ที่เมื่อสักครู่อาจารย์บอก มนุษย์เมื่อมีตัวตนจึงมีกิเลสมีกรรมและการเวียนว่าย แต่ถ้าเมื่อไหร่มนุษย์เข้าใจว่าตัวตนเองแท้จริงแล้วก็ยึดไม่ได้ไม่เคยมีมาด้วยซ้ำ เมื่อนั้นกิเลสกรรมและเวียนว่ายมันจะจบสิ้นไปทันที ใช่ไหม (ใช่)  ถึงที่สุดมันก็แค่เป็นการใช้กรรมในอดีตเท่านั้น ถูกหรือไม่ (ถูก)

 ขึ้นชื่อว่าสังขาร อันนี้เรียกว่าตัวตนใช่ไหม ที่อาจารย์บอกว่าเป็นโรงงานผลิตทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราไม่มีตัวตนที่ยึดถือเลย ไอ้โรงงานนี้มันคือก็ความไม่เที่ยง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่เราเป็นทุกข์หนีไม่พ้น แต่ถ้าเมื่อไหร่เราครอบครองยึดถือ เราก็ต้องเจ็บปวดกับความทุกข์ ความแก่ ความตาย ใช่ไหม แต่ถ้าเราไม่ยึดความแก่ ความเจ็บ ความตายก็แปรเปลี่ยนไปเป็นสภาพหนึ่งแห่งสภาวธรรม ถูกไหม (ถูก)  ถ้าอาจารย์บอกว่าไอ้ตัวตนนี้



อันนี้เรียกว่าสังขาร ตามปกติธรรมดาของสังขารคือต้องกิน ต้องนอน ต้องขับถ่าย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วในสังขารนี้เราก็หนีไม่พ้นทุกข์อันหนึ่งที่เรียกว่าไตรลักษณ์ก็คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และว่างเปล่า อันความไม่เที่ยงเป็นทุกข์และว่างเปล่า ธรรมยังสอนอีกว่า สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราไม่ยึด มันเกิดขึ้นเดี๋ยวมันก็ดับไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราไม่ยึด อะไรจะเป็นนายครอบครองใจเรา ก็ไม่มี มันก็จะหายเป็นไปตามสภาวธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ หลงยึดว่าร่างกายเป็นของ (เรา)  หลงยึดว่าเป็นของตัวเรา พอหลงยึดว่าเป็นของเราอีก เสร็จแล้วเรายังหลงที่จะสร้างนิสัย และสร้างความเคยชิน ครอบงำตัวตนนี้ แล้วนิสัยความเคยชินนี้ก็หนีไม่พ้นความไม่เที่ยงคือ มันเปลี่ยน เดี๋ยววันนี้นิสัยอยากกินอันนี้ เดี๋ยววันนี้อยากชอบอันนี้ อยากทำอย่างนั้น จึงเรียกว่าตัวตน เมื่อถูกกระทบจึงก่อเกิดเป็นสองสิ่ง ที่เรียกว่า บุญกับบาป อารมณ์ดีทำบุญ อารมณ์ไม่ดีทำบาป ใช่ไหม (ใช่)  บุญ พอทำบุญเสร็จ สาธุ ขอให้ชาติหน้าสบาย ขอให้เกิดมาไม่ต้องทำอะไรก็มีกินมีใช้ เพี้ยงๆ ทำบุญแล้วบุญน่าจะจบ ไม่ ยังทำบุญเพื่อหวังมีตัวอีก ทุกข์จบไหม (ไม่จบ)  ทุกข์ยังอยากสร้างตัวตนว่า สาธุขอให้สบายมีกินมีใช้โดยไม่ทำอะไรก็มีคนช่วยทำให้กินทำให้ใช้ ดีไหม (ไม่) 
รู้ไหมเป็นอะไร คุณธรรมไม่มีชอบทำแต่บุญ คุณธรรมความเป็นคนไม่สร้าง ชอบทำแต่บุญ ตายไปเป็นสุนัข เป็นแมวมีคนเลี้ยงมีคนอาบน้ำให้ ฉะนั้นอย่าทำแค่บุญ ถ้าคุณธรรมความเป็นคนยังบกพร่อง บุญจะทำให้เราก่อเกิดเป็นตัวตนที่ไม่ได้เป็นคน แต่เป็นอะไรไม่รู้ แล้วแต่ศิษย์สร้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น บาป เกิดเป็นคนต้องมีดีบ้างไม่ดีบ้างเป็นธรรมดาใช่ไหม (ใช่)  ไหนมีใครไม่ทำบาปบ้างยกมือขึ้น ทุกคนเลยหรือ น่ากลัวจริงๆ เลยนักเรียนชั้นนี้ อาจารย์ถามหน่อยนะ ศิษย์ของอาจารย์โดยส่วนใหญ่ไม่กลัวบาป แต่กลัวเคราะห์กรรมถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นบาปมาจากกิเลส กิเลสถึงที่สุดให้ผลเป็นทุกข์ กรรมและการเวียนว่าย บุญก็เหมือนกัน ถึงแม้จะให้สุข แต่สุขนี้เมื่อเสวยเต็มที่ ก็ยังหนีไม่พ้นการเวียนว่ายถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าอยากทำบุญแล้วหนีพ้นการเวียนว่าย จงทำบุญนั้นด้วยการไม่มีตัวตนรองรับ บุญที่ประเสริฐที่สุดคือ บุญที่สละความเป็นตัวตนได้ บุญที่ทำแล้วให้ได้แม้กระทั่งตัวตน
เหมือนพระพุทธองค์ บุญที่ยิ่งใหญ่คือ สละแม้กระทั่งตัวเองและชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเวไนย ฉะนั้นทำบุญอะไรก็ไม่ประเสริฐเท่ากับบุญที่สละความยึดมั่นถือมั่นได้นั่นแหละคือบุญที่ยิ่งใหญ่ บุญที่สามารถทำแล้วแผ้วถางกิเลสได้ บุญนั้นจะกลายเป็นกุศล ที่นำพาให้พ้นเวียนว่ายวน แต่ถ้าบาป เวลาโดนกระทบก็เกลียดมัน ด่ามัน บาปนั้นก็ก่อเกิดเป็นเวรกรรมใช่ไหม (ใช่)  เวรกรรมคือจำแล้วไม่ลืม  ฉะนั้นเกลียดใครแล้วจำไม่ลืม บาปมันจะกลายเป็นเวรกรรม และสร้างวัฏฏะการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นศิษย์อยากจะตัดการเวียนว่าย พระพุทธะจึงกล่าวว่า บุญบาปทุกข์สุข ยังเป็นเรื่องของโลก ยังเป็นเรื่องไม่พ้นทุกข์ ถ้าอยากจะพ้นทุกข์ ต้องเปลี่ยนจากการทำบุญเป็นกุศล ไม่ใช่อาจารย์ห้ามศิษย์ใส่บาตร ใส่บาตรได้ แต่ใส่บาตรแบบไม่ขอ อย่าใส่บาตรแบบสาธุขอให้หนูเกิดมามีกินมีใช้ มีนั่นมีนี่ ศิษย์เอ๋ยศิษย์ทำบุญไม่ครบนะ ศิษย์ทำบุญมีกินมีใช้ แต่ศิษย์ลืมทำเรื่องปัญญา ศิษย์ทำเรื่องการดำเนินชีวิตคู่ ศิษย์ทำไม่ครบ ความเป็นคนจะไม่สมบูรณ์ เคยไหมทำอย่างหนึ่งแล้วขาดอีกอย่างหนึ่ง อยากเป็นคนสมบูรณ์ต้องงามพร้อมทั้งมโนธรรม เมตตาธรรม จริยธรรม สัตยธรรม แล้วตอนนั้นจะเกิดมา ครอบครัวก็สมบูรณ์ ปัญญาก็ดี ไม่มีใครโกง ไม่มีใครแก่งแย่ง ทำได้ขนาดนั้นไหม ฉะนั้นถ้าอยากมาเกิดใหม่ แล้วบุญยังไม่พร้อมซึ่งคุณธรรม บุญนั้นจะไม่สามารถกลับมาเกิดเป็นคนได้อีกนะ ถูกหรือไม่ (ถูก) 
ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนว่า เมื่อเราเข้าศึกษาการฝึกฝนบำเพ็ญธรรม เราจะตัดทางมาแห่งบุญบาปอย่างไร ไม่ให้ก่อเกิดวิบากกรรมและการเวียนว่าย ไม่ยากเลย ขอเพียงศิษย์เข้าใจความเป็นจริงแห่งตัวตน อาจารย์ถามจริงๆ ก่อนมามาตัวเปล่า กลับไปไปตัวเปล่าใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าศิษย์ยังตัดตัวตนตัวนี้ไม่ได้ อาจารย์ก็หนูยังเป็นอย่างนี้ ทำไงได้ นิสัยหนูก็ได้แค่นี้ อาจารย์ก็ทนๆ ไปแล้วกันนะ หนูก็ดีได้แค่นี้ทั้งที่มันจะตายแล้วจบ มันไม่จบ เพราะศิษย์ยังยึดความเป็นตัวตนนี้อยู่ ฉะนั้นตัวตนนี้มีอยู่ที่ใด แม้ตายไปตัวตนนี้ก็ยังต้องไปรับผลของเคราะห์กรรมที่ศิษย์ยึดอยู่เท่านั้น ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากตัดตัวตนนี้ได้ วิถีทางแห่งการฝึกฝนบำเพ็ญก็คือ กระจ่างในสภาวธรรม สว่างในคุณธรรมความเป็นคน กระจ่างในสภาวธรรมก็คือ มนุษย์เรามีไม่เที่ยง ทุกข์ แล้วก็อนัตตา คือว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเวลาทำอะไร ศิษย์อย่าทำเพราะนิสัย ทำเพราะความอยาก เพราะถ้าเกิดศิษย์ทำเพราะนิสัย ทำเพราะความอยาก ศิษย์ก็ตอกย้ำความเป็นตัวตนทับซ้อนเข้าไปในสังขาร เรียกว่าตัวตนซ้อนตัวตน เกิดเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้น ใช่ไหม (ใช่)  พระพุทธะจึงสอนไว้ถ้ามีอะไรให้ทำ ให้นึกว่า
ทำแล้วเมตตาไหม ใช้คุณธรรมก็ได้
ทำแล้ว มีมโนธรรมหรือเปล่า
ทำแล้ว รู้จักเคารพให้เกียรติคนอื่นไหม คือจริยธรรม
ทำแล้ว นี่หรือคือคนที่มีปัญญาที่ดี ที่เขาควรทำ
ทำแล้ว มีสัตยธรรมความเป็นคนไหม
ฉะนั้นก่อนจะอยาก ลองไตร่ตรองดูอันนี้ เพื่อจะได้ลดความเป็นตัวตนให้มันหาย เหลือแต่ความไม่เที่ยงแห่งสังขารเท่านั้นเอง ยากไหม   (ไม่ยาก)  วิธีที่จะทำให้เราเข้าถึงนี้ได้ก็คือ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมล่ะ ตัวตนเองเหมือนเนื้อนาบุญ ปลูกแตงได้แตง ปลูกถั่วได้ถั่ว แต่ทุกวันเราปลูกอะไร ปลูกนิสัยความเคยชินการเป็นตัวตน มันก็เลยได้แต่ตัวตน แต่ถ้าเราปลูกคุณธรรม เราก็ได้ธรรมจริงไหม แล้วตอนนี้ทุกวันเราตอกย้ำอะไร หนูอยากกิน หนูชอบอย่างนั้น หนูเป็นอย่างนี้ หนูได้แค่นั้น หนูได้แค่นี้ เป็นตัวเป็นตนที่ยึดติดทั้งนั้นเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นก่อนที่จะอยาก ให้เราคิดว่าอยากแล้วมีเมตตาไหม พูดแล้วมีสัตยธรรมไหม ทำแล้วมีความสุจริตใจไหม ทำแล้วให้เกียรติคนอื่นไหม มองไปอย่างนี้ด่าเขาไหม ดูถูกคนอื่นหรือเปล่า
ถ้าเราปลูกธรรมเราก็ได้ ธรรม แต่ถ้าเราปลูกความเป็นตัวตนเราก็ได้ตัวตนที่ต้องเกิดแล้วเวียนว่ายไม่จบสิ้น จริงไหม (จริง)  แต่ศิษย์หลายคนก็บอกอาจารย์ยาก ยากไหม (ไม่ยาก)  อาจารย์ว่าไม่ยากนะแต่อยู่ที่ศิษย์ยอมทำไม่ยอมทำเท่านั้นเอง ถูกไหม (ถูก)
(พระอาจารย์เมตตาแจกผลไม้สำหรับผู้ที่ตอบคำถาม) 
เอาไปทำอะไร (เอาไปกิน)  บุญที่รู้จักส่งต่อย่อมดีกว่าเก็บไว้กับตัวเองใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเอาไปทำอะไร (ส่งต่อ)  คือเอาไปแบ่งให้คนอื่นศิษย์เอ๋ย แล้วท่านล่ะที่ตอบเอาไปทำอะไร (เอาไปให้สาวๆ )  เอาไปให้พ่อแม่ดีกว่าไหม (ดีกว่า)  อย่ารู้จักแต่ทำบุญกับเพื่อนบ้าน แต่ไม่รู้จักให้ทานนะ
อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ ในตัวเรามีสิ่งใดที่เราอยากจะแก้ไขแล้วไม่ทำผิดซ้ำผิดซากอีก
(ความไม่พอดี)  ถ้ารู้พอก็มีสุขแต่ถ้าไม่พออย่างไรก็ไม่มีความสุข ชีวิตโชคดีแล้วนะหันไปดูสิโชคดีไหม ฉะนั้นรู้จักถนอมบุญของตัวเองอย่าทำลายบุญของตัวเองเพียงเพราะอ้างว้างและเงียบเหงา
(ความใจร้อน)  จะใจเย็นสิ่งสำคัญคือสติจะทำอะไรขอให้มีสติยั้งคิดไตร่ตรองให้ดี
(ความคิด)  ศิษย์รู้ไหมพระพุทธะกล่าวไว้ว่าความคิดยังง่ายที่จะยึดติดในนิสัยความเคยชิน ไม่เหมือนสติกับสัมปชัญญะ สติคือตัวเท่าทันความคิด สัมปชัญญะคือความกระจ่างแจ้งในธรรมตน ฉะนั้นถ้าใช้ความคิดบางครั้งยังคิดวกวน ไม่ใช่สิ่งที่หลุดพ้นใช่ไหม ต้องใช้สติเป็นตัวนำ เพราะจิตที่ว่างจะเป็นจิตที่ไม่ปล่อยให้ความคิดครอบงำ มนุษย์หนีไม่พ้นความคิด ฉะนั้นต้องใช้สตินำมากกว่าความคิด เพราะความคิดยังเป็นสังขารไม่เที่ยง
(ความอยาก)  จะควบคุมความอยากไม่ทำให้ความอยากมาทำร้ายใจใช่ไหม สิ่งสำคัญคืออะไร (มีสติที่อยากได้นั่นได้นี่)  บางครั้งเราต้องคิดแค่ว่าดีแล้วพอแล้วแค่นี้ก็ดีแล้วใช่ไหม ความอยากมันจะได้ไม่ทำให้เราประมาทและเหนื่อยจนเกินไปถูกไหม
(อารมณ์)  จะควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ (ใจเย็น)  แล้วใจเย็นบ้างไหม (จะพยายาม)  ลุยอย่างเดียวเลยใช่ไหม ใครว่าอะไรลุย ฉะนั้นคิดให้ดีๆ นะ เดี๋ยวมันจะจบไม่ลง ใช่ไหม
(เลิกเจ้าชู้)  เจ้าชู้ทางไหน เจ้าชู้ทางไลน์หรือเจ้าชู้ทางโทรศัพท์ใช่ไหม เจอหนุ่มๆ หล่อ คลิ๊กไลค์ อย่านะศิษย์เอ๋ย ถ้าไม่อยากให้ต้องรับผลกรรมก็จงอย่าสร้างเหตุ เราชอบหรือคนที่โกหกเรา คนที่หลายใจ ก็ไม่ชอบ แล้วทำไมเราจึงทำ ไม่อยากรับผลก็จงอย่าสร้างเหตุนะ
ศิษย์เอยถ้ายิ่งพยายามยึดจึงต้องพยายามปล่อย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีทางเป็นของตัวเอง เราไม่ต้องพยายามไปปล่อยอะไรหรอก แค่ยอมรับธรรมชาติของสิ่งๆ นั้น อย่าไปบังคับให้ต้องเป็นดั่งใจเรา ใช่ไหม
ศิษย์ทำได้ดีระดับหนึ่งแล้วนะ แต่ว่าแค่ศิษย์ยังยึดติดว่า แม่ยังอารมณ์ร้อน ศิษย์ยอมรับทุกสิ่งมันมีธรรมชาติ เหมือนนิ้ว เท่ากันไหม (ไม่เท่า)  แล้วความไม่เท่ามันมีดีไหม ทุกสิ่งล้วนมีดีในตน แต่บางครั้งตาเรา ใจเรา มันชอบจดจ่อแต่เรื่องที่เราไม่ชอบ เราเลยบอกไม่เห็นสิ่งที่ชอบ ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเราเข้าถึงความเป็นจริงว่าในชอบ ในชัง มันก็มีดีอยู่ ถูกไหม ฉะนั้นเราจึงไม่ต้องพยายามที่จะต้องใช้คำว่าจะต้องอดทน แต่เปลี่ยนจากความอดทนเป็นความเข้าใจ ถ้าเราเข้าใจเราต้องอดทนไหม ไม่ต้องอดทน ศิษย์รู้ดีหมดทุกอย่าง แต่ศิษย์มักจะจดจำอยู่กับว่า แม่ใจร้อน อย่าไปตอกย้ำอย่างนั้นสิ ข้ามภูเขานั้นให้พ้นแล้วศิษย์จะพบฝั่งแห่งการพ้นทุกข์ ใช่ไหม
ฉะนั้นทำอะไรขอให้คิดก่อนพูด เพราะพูดไปแล้วต่อให้เป็นม้าดีม้าเร็วเรียกกลับมาก็แก้ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(อยากจะแก้ไขความผิดตัวเอง)  มนุษย์จะก้าวหน้าก็ต่อเมื่อเรารู้ว่าตัวเรามีอะไรไม่ดี ถ้าเราคิดว่าตัวเองดี เราก็จะไม่ก้าวหน้าเลย ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ปุถุชนไม่เคยมองเห็นตัวเองผิด แต่พุทธะมองเห็นตัวเองผิดแล้วแก้ไขตัวเองอยู่ทุกวัน
(ชอบจับผิดคนอื่น)  แก้ไขโดยที่คิดว่าคนทุกคนมีดีมีร้าย แต่จำไว้อย่างหนึ่ง เพราะมีคนไม่ดีเราจึงเห็นคุณค่าของคนดีถูกไหม (ถูก)  เพราะมีคนขี้เกียจ เราจึงเข้าใจคนขยัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะมีคนดำ เราจึงรู้ว่าเราขาวแค่ไหน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเพราะมีคนผิด จึงมีคนถูก แต่เราต้องให้โอกาสเขา บอกเขาว่าเธอผิดได้ไม่เกินสามครั้ง ถ้าเธอผิดสามครั้ง ฉันถือว่าฉันพูดเตือนเธอแล้วฉันต้องเชิญเธอออก เป็นอย่างนี้ถูกไหม (ถูก)  เราต้องให้โอกาสไม่ใช่ผิดแล้วเอาไปประจาน ผิดแล้วเอาไปว่า อย่างนี้เรียกว่าเราไม่ให้คนดีได้แก้ไข ได้กลับตัวใช่หรือไม่ (ใช่) 
(ใจร้อน)  นักเรียนในชั้นนี้ใจร้อนไหม (ใจร้อน)  ร้อนแล้ว ด่าแล้ว โมโหแล้ว ทุกข์ไหม (ทุกข์บางครั้งก็นำมาคิด)  ฉะนั้นวิธีแก้คือกล้ายอมรับความจริง เขาได้แค่นี้ก็ได้แค่นี้ อยากได้มากกว่านี้ก็ทำอะไรไม่ได้ โมโหไปก็จุดไฟเผาตัว รู้ไหมว่าคนโกรธมากๆ หนีไม่พ้นนรกโลกันต์นะ อยากลงนรกไหม แปลร้อนให้เป็นเย็น (อยากเลิกน้อยใจ)  ทำไมน้อยใจเพราะชอบเปรียบเทียบใช่ไหม (ใช่)  การน้อยใจคือการที่เรามองตัวเองไม่มีคุณค่า ลองดูดีๆ เราไม่มีคุณค่าอย่างที่เขาว่าไหม เห็นคุณค่าของตัวเองเราจะไม่มีวันน้อยใจ ใช่หรือเปล่า
ตอนนี้รู้หรือยัง เพราะเราเอาชีวิตทั้งชีวิตไปอยู่กับลูกถูกไหม อาจารย์ถามหน่อยนะถ้าวันหนึ่งต้องตาย ศิษย์ห่วงแค่ไหนศิษย์ก็ยังต้องวาง ใช่หรือไม่ บุญ กรรม ของศิษย์ถ้ายังไม่พอต้องกลับมาเป็นสุนัขรับใช้ ลูกหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นแค่ตอนนี้เราแค่วางตัวเองให้ถูกต้องและดีงาม ส่วนลูกจะทำอย่างไรกล้ายอมรับความจริง ก็ทำได้แค่นี้นะศิษย์เอ๋ย เชื่ออาจารย์เถอะห่วงแค่ไหน  ดื้อมากมันเป็นกรรมของเรานะ ทำตัวให้ดีและถูกต้อง เดี๋ยววันนี้ไม่ได้  เดี๋ยววันหน้าก็ได้  หรือถ้าเราพูดไม่ได้ก็ให้คนอื่นช่วยพูด  ความน้อยใจอย่าให้ตัวเองทำอะไรผิดบาปนะ หน้าสงสารหัวอกพ่อแม่ เจอลูกดื้อทำอย่างไรทำอะไรไม่ได้  ได้แต่ก้มหน้ายอมรับความจริงใช่ไหม  เหมือนกันเวลาอาจารย์เจอศิษย์ดื้อให้ทำดีทำไหม (ไม่ทำ)  หัวอกอาจารย์ก็หัวอกเดียวกับศิษย์นั่นแหละ ให้ศิษย์ทำดี ศิษย์ทำไหม (ทำ)  ทำหรือ สามวันดีสี่วันไข้ต่างหาก ศิษย์เอ๋ยอาจารย์ก็รู้ ลูกใคร  ใครก็รัก  อาจารย์ถามจริงๆ เราทำได้ดีหรือยัง  เราเอาแต่บ่น เราเคยสอน เคยมีคุณธรรมให้ลูกเห็นบ้างไหม แทบจะไม่ค่อยมี  วันๆ เอาแต่ให้เงินไม่เคยสอนไม่เคยอะไร เคยกอดลูกไหม เคยบอกรักลูกไหม  หลังจากนี้กลับไปบอกรักลูก แล้วสอนลูกให้ดี  สอนด้วยการทำตัวเองให้ลูกเห็น แม่รักลูกนะ  ลูกจะเป็นอย่างไรแม่ก็รัก จะดีจะชั่วแม่ก็รัก จะเลวอย่างไรแม่ก็รัก ดูสิเขาจะเลวได้กี่น้ำ
อาจารย์พูดอย่างนี้จริง เพราะอาจารย์ก็ใช้อย่างนี้กับศิษย์ จะดีจะชั่วอย่างไรอาจารย์ก็รัก อาจารย์ก็ให้อภัย จะดีจะชั่วอย่างไรกลับมาหาแม่ แม่ให้โอกาสเสมอ แต่อย่าสอนลูกแค่ให้เงิน สอนเขาด้วยคำพูดดีๆ สอนด้วยท่าทีที่เรารัก มนุษย์ทุกคนใจเย็นอยู่แล้วจนกว่ามีอะไรมากระทบกระทั่ง พออะไรมากระทบขัดใจหน่อยก็ตวาดออกมา ฉะนั้นก่อนที่จะตวาดออกไป สติต้องนิ่ง มีสติอยู่กับลมหายใจ เมื่อไหร่ที่อารมณ์ร้อนแปลว่าหัวใจเราจะเต้นเร็ว และหายใจเข้า จะสั้นไม่ยาว
เราอยากให้อภัยคนอื่น แต่คนอื่นไม่ให้อภัยเรา อาจารย์อยากบอกศิษย์นะว่า เรื่องราวบางเรื่องบางทีต้องใช้ความอดทน เพราะว่าเราไม่รู้ว่ากรรมเก่าเราทำอะไรมา และไม่รู้ว่าเราทำมากแค่ไหน ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากจะแก้ไขเปลี่ยนชะตากรรม ก็แค่ยอมรับในสิ่งที่เป็นและอดทนตั้งมั่นกับความดีอย่างไม่ย่อท้อ สักวันหนึ่งเขาจะเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเขาไม่เปลี่ยนแปลงก็จงสู้จนสุดลมหายใจ ศิษย์เคยได้ยินคำว่า คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ไหม (เคย)  หมายถึงว่าแม้ตกน้ำแล้วชีวิตจะดับหายไปกับสายธารแต่ความมุ่งมั่น แต่ความดี ไม่เปลี่ยนแปลง แม้โดนไฟไหม้โดนใครว่าโดนใครทิ่มแทงโดนใครแผดเผา แม้ตัวจะเจ็บขนาดไหนแต่ความมุ่งมั่นในการทำความดีไม่สูญสลาย นี่เหละที่เรียกว่าคนดีจริง ตกน้ำใจก็ไม่หายไปกับน้ำ ถูกไฟเผาใจก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงมุ่งมั่นในการเป็นคนดี
(ทำดีไม่ได้ดี)  แล้วเราทำดีหวังผลไหม ความโกรธทำไมรักษายากมาก ที่มันรักษายากก็เพราะว่าเวลาศิษย์มีชีวิตอยู่ตลอดตั้งแต่เกิดจนโตศิษย์ไม่เคยควบคุมใจ ทุกสิ่งทุกอย่างทำตามใจตลอด ใจอยากอะไรก็ปล่อยไปอย่างนั้น ฉะนั้นวันหนึ่งจะให้ไม่โกรธ มันข่มยากมันเหนื่อย แต่อาจารย์อยากบอกว่า ไม่ใช่ว่ามันข่มไม่ได้ ขอเพียงเข้าใจว่าคนที่ศิษย์เกลียดก็มีดี เรากำลังเปรียบเทียบอะไร คนที่ศิษย์ไม่ชอบเขาก็ไม่ใช่ว่าจะร้าย มันก็มีสิ่งที่น่ารักอยู่แต่เรายึดติดกับอะไร ถูกไหม อย่าเห็นอยู่กับสิ่งที่เราเห็นแต่จงเปิดใจให้กว้างนะ
(ความอาฆาตเมื่อเขามาทำร้ายเราแล้วเราจองเวร)  ฉะนั้นคนที่จะดึงตัวเองให้พ้นทุกข์ได้คือใคร (คือตัวเราเอง)  ฉะนั้นเปลี่ยนบาปให้เป็นบุญเปลี่ยนบุญให้เป็นกุศลจะได้นำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์นะ คิดดีขึ้นสวรรค์คิดชั่วตกนรก ปล่อยวางความรู้สึกจึงพ้นทุกข์
(การให้อภัยกับคนที่มาทำร้ายบิดาของเรา แล้วถ้าเราไม่ให้อภัยเขาเราจะได้นิพพานไหม) ในโลกนี้สิ่งที่หนีไม่พ้น พระพุทธะเคยกล่าวไว้ว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์และเป็นผู้รับกรรมอย่างหนีไม่พ้น เวรย่อมระงับได้ด้วยการไม่จองเวร  แล้วศิษย์อยากให้กรรมมันจบหรือกรรมไม่จบ แค่เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต ไม่ต้องอภัยก็ได้แต่แค่เข้าใจ ศิษย์รู้ไหมว่าเมื่อก่อนศิษย์ทำอะไรเขามา ศิษย์รู้ไหมว่าเมื่อก่อนพ่อเราทำอะไรมา แล้วถ้าหากพ่อเราไปทำพ่อเขามาก่อน แบบนี้คือการได้ใช้คืน ทำไมไม่ดีล่ะที่กรรมจะได้จบ แล้วเราจะเกี่ยวกรรมเพิ่มทำไมศิษย์ จริงไหม คิดให้ดีๆ ลองมีสติไตร่ตรองให้ดี
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า อย่าเปรียบเทียบ”)
มนุษย์เราบางครั้งที่ทุกข์ก็เพราะว่ามัวจมอยู่กับสิ่งที่เป็นอดีตจนลืม มองปัจจุบัน หรืออยู่กับปัจจุบันจนลืมมองความเป็นจริงว่าเราทำได้แค่ไหน ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากไม่ทุกข์จงอย่าเปรียบเทียบจนเกินไป จงอยู่กับความเป็นจริงและยอมรับว่าในโลกใบนี้มีใครได้ดั่งใจบ้าง (ไม่มี)
ตัวศิษย์เองยังทำไม่ได้ดั่งใจ บอกอย่าโมโหก็ (โมโห)  อย่าด่าเขาก็ (ด่า)  แล้วศิษย์อย่าเอาความคาดหวังนี้ไปใส่กับลูก ทั้งที่ตัวเองยังทำไม่ได้ ฉะนั้นการฝึกฝนบำเพ็ญสิ่งที่สำคัญคือ ตัวเราเองทำให้ได้ดีก่อน อย่าเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับใคร หรืออย่าเอาตัวลูกเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ยอมรับความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้น มองอย่างเป็นธรรม มองอย่างบังเกิดธรรม อย่ามองอย่างคนที่ติดยึดในความรู้สึกแห่งตัวตน ไม่อย่างนั้นจะหนีไม่พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
 “เปรียบเทียบเพราะมีอยากได้อยู่ในใจ        หวังจนไม่มองความจริงที่เกิดขึ้น
ต้องดีกว่าเหนือกว่าอย่างเมามึน                 มีแบ่งแยกยึดติดขึ้นยากฟังใคร
ส่วนใหญ่คนต่างไม่ชอบถูกเปรียบเปรย      อย่าชินเคยพูดเรื่อยเปื่อยกันไปใหญ่
มองตามจริงกล้ายอมรับความเป็นไป         ไม่มีอะไรเกินไม่หากใจกว้างพอ
มีใครแย่เกินไปไหม มีใครเลวเกินไปไหม (ไม่มี)  ถ้าใจศิษย์กว้างพอ ไม่มีใครแย่เกินไป ถ้าศิษย์ใจยิ่งใหญ่พอ ไม่มีใครเลวร้ายเกินไปหรอก แต่เพราะใจของมนุษย์ยึดติดคับแคบ จึงมีคนชอบ มีคนชัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราไม่ยึดติด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็ล้วนเป็นสภาวธรรมให้เราเรียนรู้แค่นั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)
การศึกษาปฏิบัติธรรมสิ่งสำคัญไม่ใช่อยู่แค่การเป็นคนดีแล้วว่าคนอื่นไม่ดี แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่ารู้ตัวเองไหมว่า คิด พูด ทำอะไร เพราะถ้ารู้ตัวเองก็หยุดตัวเองได้ แต่ถ้าไม่รู้ตัวเอง ตัวเองนั่นแหละจะเป็นต้นเหตุให้เราทุกข์กับสิ่งที่ไม่น่าทุกข์ เพราะใจเราแค่ไม่ชอบ ถูกไหม หรือแค่คำว่าไม่พอใจ แค่นั้นนะศิษย์ อะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด แต่ถ้าใจเรารู้สึกว่า นั่นก็ดี แค่นี้ก็ดี เท่านั้นก็พอแม้เขาไม่ดีอย่างไร เราก็สุขใจได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวล มันไม่ใช่อยู่ที่คนอื่นแต่มันอยู่ที่ใจเรายอมรับความเป็นจริงแห่งคนหรือไม่ เห็นคนเป็นธรรมเราก็ได้ธรรม แต่ถ้าเห็นคนเป็นกิเลส อารมณ์ เราก็ได้กิเลส อารมณ์ ซึ่งเท่ากับว่าเราไม่ได้บำเพ็ญอะไร จริงไหม (จริง)
อย่าฟังมามาก แต่พอถึงเวลาทำไม่ได้เพราะไม่รู้เท่าทันใจตน อย่ารู้มากแต่ถึงเวลาปฏิบัติไม่เป็นเพราะขาดสติยั้งคิด เมื่อโดนกระทบ นิ่งเป็นบ้างไหม ทำอย่างไรให้นิ่งได้ ก็หยุดพูดแล้วหันกลับมามองตัวเองว่าถูกไหม เพราะเราถนัดแต่มองออก จับผิดเขา ว่าเขา ถ้าตัวเองดีอะไรมันก็ดี ถ้าตัวเองไม่ดี คนดีๆ ยังมองเป็นคนร้ายจริงไหม (จริง)  อาจารย์ไม่ได้ว่าแต่อาจารย์พูดตามความเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อาจารย์ถามง่ายๆ อย่างพระพุทธองค์ ก่อนท่านจะพ้นทุกข์ตรัสรู้ มีมาร 3 ตัวมาขัดขวางไม่ให้ท่านพ้นทุกข์และเข้าถึงพระนิพพาน มาร 3 ตัวนั้น ไม่ได้เป็นตัวชั่วร้ายอะไรเลย หนึ่งคือตัวตัณหา สองคือตัวราคะ สามคือตัวอรติ ตัณหาคือความอยาก ราคะคือความพอใจ อรติคือความไม่พอใจ มองให้ดีๆ สามตัวนี้เป็นตัวตัดทางพ้นทุกข์ ตัดทางเข้าถึงพระนิพพาน แล้วมีอยู่ในใจของเราทุกคน ถ้ามีเมื่อไหร่ไม่มีวันพ้นทุกข์ ไม่มีวันเข้าถึงพระนิพพาน นิพพานไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก นิพพานอยู่ที่ตัวเรา โดนกระทบ นิ่งแล้วเย็นไหม ถ้าโดนกระทบแล้วยังนิ่งเย็นไม่ได้ ยังแตกออกเป็นชอบ ชัง ใช่ ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่สภาวธรรม เมื่อมีชัง จึงมีเกลียด มีโลภ มีโกรธ มีหลง จึงต้องทำบุญ รักษาศีล ทั้งที่คำตอบที่แท้จริงพระพุทธะไม่ได้ไปถามใคร พระพุทธองค์ที่ศิษย์นับถือ ที่ศิษย์เคารพกราบไหว้ ท่านหาอาจารย์ พอหาที่สุดแล้วท่านก็ต้องมาตอบด้วยตัวเองใช่หรือไม่ เพราะคนที่จะตอบคำถามของศิษย์ได้ดีและนำพาให้ตัวศิษย์พ้นทุกข์คือตัวของศิษย์เอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอย่ามัวแต่สงสัยอาจารย์ แต่ลืมสงสัยตัวเอง เพราะอาจารย์รู้ทางพ้นทุกข์ แต่ศิษย์ยังไม่พ้นทุกข์ถูกไหม (ถูก)  มนุษย์ยังยึดติดว่า ฉันแน่ ฉันเก่ง เธอเก่งขนาดไหน เธอดีขนาดไหนถึงมาสอนฉัน อาจารย์รู้ว่ามาแล้ว เดี๋ยวอาจารย์จะกลับแล้ว แล้วกลับของอาจารย์เป็นกลับที่พ้นทุกข์จริงๆ ไม่ใช่กลับที่ยึดมั่นถือมั่นในความคิดตน จนลืมมองความจริง ฉะนั้นศิษย์คิดให้ดีๆ ไตร่ตรองให้ดีๆ ว่าวันนี้มาศึกษาธรรม ได้ธรรมบ้างไหม หรือมาศึกษาธรรมเพื่อมานั่งหลับ น่าเสียดายถ้ามาแล้วมานั่งสงสัย มาแล้วมานั่งรำคาญมันไม่ได้บุญมีแต่บาป จริงไหม (จริง)  จริงๆ อาจารย์ก็ทั้งอยากมาและไม่อยากมา เพราะอาจารย์รู้ว่าเป็นธรรมดาที่สองวันจะปลูกต้นธรรมให้โตมันเป็นไปไม่ได้  แต่หวังว่าสองวันจะก่อเกิดหน่อเมล็ดพันธุ์ที่ดี   เพื่อสักวันหนึ่งจะเติบโตและเป็นคนดีที่นำพาตัวเองพ้นทุกข์ได้ก็พอ ฉะนั้นคิดให้ดีๆ นะ ว่าวันนี้มาฟังธรรมเพื่อเข้าถึงธรรมหรือมาฟังธรรมแล้วยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตน อย่ามองอาจารย์เลยมองตัวเองดีกว่า เมื่อไรที่มนุษย์ยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตนก็หนีไม่พ้นกรรมและการเวียนว่าย แต่ถ้าเมื่อไรเข้าถึงสภาวะความเป็นจริงแห่งธรรมว่าทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ไม่ต้องพยายามไปปล่อยอะไร เพราะทุกสิ่งมันเกิดและดับอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่เรามักจะหลงยึดหลงถือโดยขาดสติเท่านั้นเอง จริงไหม (จริง)  อย่าลืมนะอนิจจังมันทำให้ทุกข์เกิด เดี๋ยวอนิจจังมันก็ทำให้ทุกข์ดับ หน้าที่ของเราไม่ใช่แค่พยายามไปดับทุกข์ แต่หน้าที่ของเราแค่มีสติรู้ตนและมองเห็นทุกข์ให้เข้าใจ แล้วจะได้ไม่ต้องกลับมาทุกข์อีก เพราะทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก แล้วทำไมต้องไปทนมันทนได้ยากอยู่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเดี๋ยวทุกข์ก็หายไป ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นแค่เรากล้ายอมรับความจริงทุกข์ก็ทุกข์สิ ไม่เห็นเป็นไรเลย รู้จักทุกข์แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์ มีกิเลสแต่ไม่จำเป็นต้องตกเป็นทาสของกิเลส ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีกนะ มีโอกาสกลับมาร่วมบุญกันอีกนะ ขออย่าได้ไปแล้วไปลับเลยนะ มีคำมากมายอยากเอื้อนเอ่ย มีคำมากมายอยากหนุนนำให้ศิษย์ได้เข้าใจและได้รู้ตื่น ถ้าศิษย์ยังไม่รู้จักเชื่อมั่นในความดีงามของตัวเอง แล้วมัวแต่คลางแคลงสงสัยอาจารย์จี้กงใช่หรือไม่ ฉะนั้นมีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ อย่าคิดว่ามาหลอกเลยนะ รักษาบุญรักษาโอกาสตัวเองให้ดีนะศิษย์เอ๋ย ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี มีใครอยากจับมือลาอาจารย์ไหม กลับมาผูกบุญกันอีกนะศิษย์เอ๋ย 
มีโอกาสกลับมาร่วมบุญกันอีกนะศิษยเอ๋ย ขอให้บุญรักษา ขอให้รู้จักมีศีลมีธรรม ขอให้รู้จักยับยั้งชั่งใจ อย่าเอาแต่อารมณ์ ขอให้รู้จักมีสติยั้งคิด ทำอะไรไตร่ตรองให้ดี ใช่ไหมศิษย์ อาจารย์ไปแล้วนะ ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี จับมือแปลว่าจะกลับมาอีกนะ ใช่ไหม ศึกษาบำเพ็ญเพื่อนำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ ศึกษาบำเพ็ญไม่ใช่หลงทาง ศึกษาบำเพ็ญไม่ใช่หลงรูป มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์เอ๋ย อยากให้อาจารย์ตบหัวจะได้หายโรคหายภัยหรือ อย่าคิดมาก อย่าฟุ้งซ่านเข้าใจไหม ศิษย์เอ๋ยให้ศรัทธาในความดีงามไม่ใช่ให้งมงาย
อาจารย์ขอพูดอะไรหน่อยนะ ศิษย์เอ๋ย ใครๆ ก็ต้องตาย ใครๆ ก็ต้องเจ็บ ไม่ใช่ว่าอาจารย์ตบหัวแล้วศิษย์จะไม่เจ็บไม่ตายนะศิษย์เอ๋ย มันหนีไม่พ้นนะศิษย์ ความเจ็บความตายกลับสอนให้เรารู้จักปลดปลงชีวิต สอนให้เรารู้ว่าชีวิตนี้ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นแล้วหลงจนเกินไป สอนให้เราเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต ฉะนั้นอย่าคิดว่าตบหัวแล้วจะไม่เจ็บไม่ป่วย อาจารย์กลับแล้วจะหายโรคหายภัย อย่าหลอกตัวเองนะศิษย์เอ๋ย เพราะพุทธะทุกพระองค์ก็ล้วนต้องตายล้วนต้องเจ็บ แต่สิ่งที่ท่านทำมากกว่าเจ็บและตายนั่นคือท่านสามารถตายก่อนตาย ดับการเกิดที่ไม่ต้องทำให้ตัวท่านเวียนว่าย และนำพาหนทางนั้นมาปรกโปรดเวไนยให้พ้นทุกข์ ไม่ใช่ว่าเข้าถึงหนทางธรรมแล้วจะไม่เกิดไม่ตายไม่เจ็บไม่ป่วย ยังต้องเจ็บยังต้องป่วยยังต้องตาย แต่เจ็บป่วยตายอย่างคนที่มีสติเข้าใจ ไม่ยึดติดไม่ทุรนทุราย แล้วแต่ศิษย์
กลับมาอีกนะ ขอให้ศิษย์คิดให้ดีๆ ไม่ใช่ตบหัวแล้วจะหายโรคหายภัย อาจารย์ไม่ได้ทำให้ศิษย์งมงายอย่างนั้นนะ โรคเกิดจากปากถ้ากินอะไรตามใจปาก ไม่รักสุขภาพเอาแต่ตามใจตัวเอง พอถึงเวลาจะฝืนตัวเองก็ทำไม่ได้ โรคเลยรุมเร้า ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นต้องรู้จักควบคุมตัวเองนะ ไปแล้วนะศิษย์เอ๋ย


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท อย่าเปรียบเทียบ
     เปรียบเทียบเพราะมีอยากได้อยู่ในใจ
หวังจนไม่มองความจริงที่เกิดขึ้น
ต้องดีกว่าเหนือกว่าอย่างเมามึน                
มีแบ่งแยกยึดติดขึ้นยากฟังใคร
ส่วนใหญ่คนต่างไม่ชอบถูกเปรียบเปรย      
อย่าชินเคยพูดเรื่อยเปื่อยกันไปใหญ่
มองตามจริงกล้ายอมรับความเป็นไป         
ไม่มีอะไรเกินไม่หากใจกว้างพอ


                พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาทที่สถานธรรมจินจง จังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ 27-29 มิถุนายน 2558
แก้ไขเพลงหน้า 12  ย่อหน้าแรก
จาก            ชีวิตเพรียกหา  เรื่องสมหวังมีสุดตา  ไม่ได้มาเพื่อเป็นของเรา  คนหลงไม่เว้นศุกร์เสาร์  ยิ่งคิดยิ่งเศร้า  ฟ้าแจ้งฟ้าเทาหนึ่งเดียวกัน
แก้เป็น        ชีวิตเพรียกหา  เรื่องสมหวังมีสุดตา  ไม่ได้มาเพื่อเป็นของเรา  คนหลงไม่เว้นศุกร์เสาร์  ยิ่งคิดยิ่งเศร้า  ฟ้าแจ้งฟ้าเทาผืนเดียว

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

2554-04-30 สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก



西元0一一年歲次辛卯三二十                        仙佛慈
วันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๔                             สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก
  พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง

  แม้มีมากคุณค่ากลับน้อยราคา         มีน้อยแต่รู้พอหนาค่ายิ่งเผย
ถึงมีมากแต่ใจกลับไม่พอเลย              มีแต่ไม่สุขเอยเหมือนไม่มี
                 เราคือ
  ต้าเซี่ยวฝอถง                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่พุทธสถานผู่ถี แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว                ถามทุกท่านสบายดีไหม

  แปรเปลี่ยนอันเป็นโทษให้เป็นคุณ     คนใหม่นิสัยใดต้องหมุนขยับหนี
เก็บอัดอั้นไว้รักษากดให้ดี                  การกระทำสิ่งนี้ทำไม่ได้นาน
เกียรติทรัพย์ใดอยู่เป็นศรีประดับใคร     คนตื่นโลกพ้นอยากในวัตถุนั้น
ไม่ยึดมั่นใดในโลกเป็นสำคัญ              แสงตะวันมีในโลกีย์มีในใจ
นิ่งยามวุ่นที่บำเพ็ญทำให้ดี                ทำวันนี้วันธรรมดาให้ยิ่งใหญ่
คนบำเพ็ญเกียจคร้านจะไปทางใด       ควรไม่ควรเกินไม่เกินสำรวจตน
หวังใครนี้เป็นได้ดั่งใจท่าน                  มีต้องทุกข์เพราะมั่นจนเต็มล้น
คอยจับผิดตรงปมด้อยลักษณะคน       แม้แต่ที่หน้ายึดจนยับไป
โลภโกรธหลงจิตใจวิ่งเวียนวน             อัตตาขนแบกทุกข์ถือไม่ไปไหน
รู้เท่าทันสติมั่นคงปัญญาไว                ติคำสรรเสริญคำหน่ายไหมใจคน
คนรู้โลกรู้คนไม่รู้ตัว                           ญาณสลัวเป็นฟ้าเมฆดำอุ้มฝน
ชมสิ่งสมมุติเป็นเพลิดเพลินเดินจนวน  ใช้อินทรีย์สับสนเพลินเดินจนโทรม     

                                                                                         ฮิ  ฮิ  หยุด


พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถงเมตตา
คิดเสมอว่าสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นดี เราก็คงยิ้มได้กับทุกเรื่องราวในโลกใบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ให้ครบสามวัน ตัดสินใจแล้ว เกิดขึ้นแล้วก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้น (ดี)  ง่วงหรือ (ไม่ง่วง)  เรารู้ว่าง่วง  ก๋วยเตี๋ยวทำพิษ ข้าวเหนียวทำพิษ หรือว่าใจเราทำพิษ (ใจเราทำพิษ)  ใช่หรือเปล่า เคยชินกับการตามใจตัวเอง ท่านเคยได้ยินไหม จิตใจนั้นเป็นสิ่งที่รักษายาก คุมยาก แล้ววิ่งเตลิดเปิดเปิงไปได้ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นใครที่รู้จักฝึกจิตได้ดี คุมจิตได้ดีคนนั้นย่อมมีความสุขสวัสดี  จิตที่ข่มได้ยากแต่เราสามารถข่มได้ จิตที่คุมได้ยากแต่เราสามารถคุมได้ คนใดที่สามารถทำจิตตัวเองให้เป็นอย่างนั้นได้ คนนั้นย่อมมีความสุขและสวัสดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตใจที่คุมไม่อยู่ จิตใจที่ควบคุมไม่ได้ จิตใจที่ข่มไม่ได้ คนนั้นย่อมมีแต่ความทุกข์และความวุ่นวายใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นวันนี้เราข่มใจเราได้ไหม เราคุมใจเราอยู่ไหม ถ้าคุมไม่ได้ คุมไม่อยู่ นั่งยืนก็ไม่สุขสวัสดีใช่หรือไม่  มีแต่ภัยมีแต่ความร้อนรนใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ในโลกนี้มนุษย์กลัวภัย  มนุษย์กลัวทุกข์ มนุษย์กลัวการเวียนว่ายตายเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าเรามาฟังธรรมะแล้ว เราก็น่าจะรู้หน่อยว่า ทำอย่างไรเราถึงจะพ้นภัย ทำอย่างไรเราถึงจะพ้นทุกข์ และทำอย่างไรให้ที่สุดของการมีชีวิตของเราสามารถพ้นจากการเวียนว่าย ตอนนี้อยากพ้นภัยก่อน อยากพ้นทุกข์ตามมาทีหลังใช่หรือไม่ (ใช่)  และก็ค่อยอยากพ้นเวียนว่ายเป็นอันหลังสุดเลยใช่หรือไม่ มีก็ได้ไม่มีก็ไม่เป็นไร ใช่หรือเปล่า จริงไหม ตอนนี้ทุกคนกลัวอย่างเดียวกลัวภัย ใช่หรือไม่ (ใช่)  มาฟังธรรมะเพื่อดับภัยใช่ไหม (ใช่)  ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นถ้าท่านจำได้อย่างที่เราบอกตั้งแต่ต้น ท่านก็ไม่ต้องกลัวภัย ท่านก็ไม่ต้องกลัวทุกข์ จริงไหม (จริง)  เพราะตอนต้นเราบอกพวกท่านว่าอย่างไร  จิตที่ข่มได้ จิตที่ควบคุมได้ จิตที่ฝึกได้ จิตนั้นย่อมนำความสุขและนำความสดชื่น   จำไว้นะจิตของเราเอง ถ้าเราคุมได้เราข่มได้ เราควบคุมได้ ความสุขความสวัสดี ไม่ต้องหาที่ไหน จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเราข่มจิตเราไม่ได้ ควบคุมใจเราไม่ได้ ความวุ่นวายเกิดได้ทุกเมื่อ เกิดได้ทุกที่ แม้นั่งห้องแอร์เย็นๆ ก็ทุกข์ได้ แม้นั่งอย่างนี้ตัวไม่มีโรค ไม่มีภัย ก็เป็นทุกข์ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นจำคำพูดไว้นะ สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี ถ้าคิดว่าไม่ดีคนที่หาภัยหาทุกข์ให้กับตัวก็คือใจที่ไม่รู้จักยอมรับ ใช่หรือไม่ (ใช่)
การแต่งตัว การแสดงออกภายนอกก็เป็นตัวบ่งบอกถึงจิตใจภายในด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังชอบแต่งหน้าทาปากอยู่ไหม ถ้ายังชอบแต่งหน้าทาปากอยู่ก็แสดงว่ายังปลงไม่ได้ ยังชอบมีนั่นมีนี่ประดับอยู่ในตัวอยู่ไหม ก็แปลว่าเป็นคนที่ยังอยากได้อยากมียังไม่จบ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
  แม้มีมากคุณค่ากลับน้อยราคา    มีน้อยแต่รู้พอหนาค่ายิ่งเผยถึงมีมากแต่ใจกลับไม่พอเลย        มีแต่ไม่สุขเอยเหมือนไม่มี
ยิ่งมีมากคุณค่าก็กลับยิ่งน้อย ยิ่งมีน้อยคุณค่าก็กลับดูยิ่งมาก”  ทำไมเราพูดตรงข้ามกันนะ คนในโลกยิ่งมีมากคุณค่ายิ่ง (น้อย)  ถ้ามีมากแล้วคุณค่ายิ่งน้อยทุกท่านคงต้องหยุดทำงานแล้ว ต้องรู้จักพอแล้ว จริงไหม (จริง)  แต่ในความจริงของมนุษย์ คิดว่ายิ่งมีมากคุณค่ายิ่งมาก ยิ่งมีน้อยคุณค่าก็กลับยิ่งน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมเราให้ตรงกันข้าม มีมากค่ายิ่งน้อย มีน้อยค่ายิ่งมาก มีมากแล้วไม่มีสุข มีก็เหมือนไม่มี เราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  ลองคิดดูนะ ถ้าเรามีเงินอยู่แค่ร้อยเดียว เราจะต้องให้เงินหนึ่งร้อยเกิดประโยชน์สูงสุด แล้วต้องทำให้หนึ่งร้อยแตกดอกออกผลมากๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วหนึ่งร้อยเราต้องใช้ให้เกิดประโยชน์เกิดคุณค่าสูงสุด ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่พอมีหลายๆ ร้อย เรานึกอยากจะใช้ก็ใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนเรายิ่งมีของน้อย ยิ่งรู้จักสามารถพลิกแพลงของที่มีอยู่น้อยให้เกิดคุณค่า ต่อยอดเป็นคุณค่าได้อีกมาก  แต่ที่เราพยายามอยากจะมีมากเพราะเรารู้สึกว่าสิ่งที่มีมากมันไม่มีราคา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเรามีน้อยแล้วเราพอใจ เราจะสามารถทำสิ่งที่น้อยให้มีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีมากแต่ไม่เคยพอใจเลย สิ่งที่มีมากก็เหมือนมีน้อย และมีน้อยจนกลายเป็นเหมือนไม่มี จริงไหม เหมือนตอนนี้เรามีเงินมากไหม (มาก)  มีก็เหมือนไม่มีจริงไหม (จริง)  มีเงินในธนาคารแสนหนึ่ง ยังบอกไม่มี มีหนึ่งหมื่นก็บอกไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เราจึงต้องทุกข์เพราะวันนี้มีแล้วไม่เคยพอ แต่ถ้าเรารู้จักสร้างสรรค์ บางทีหมื่นหนึ่งก็สามารถอยู่ได้เป็นปีนะ แต่ถ้าเราไม่พอ หนึ่งหมื่นอย่างไรก็ไม่พอ จริงหรือไม่ (จริง)  เหมือนเรามีแฟนคนหนึ่ง  ถ้าเมื่อไรเราไม่ชอบแฟนคนนี้เราก็จะเห็นคนอื่น (ดีกว่า)  ที่มีก็เหมือน (ไม่มี)  มีลูกแล้วไม่ให้ความสุขเราเลย มีแต่นำความทุกข์มาให้ มีก็เหมือน (ไม่มี)  มีเงินเป็นร้อยล้านแต่ไม่มีความสุข มีเงินก็เหมือน (ไม่มี)  มีชีวิตแต่หาความสุขให้แก่ชีวิตไม่ได้เลย มีชีวิตก็เหมือน (ไมมี)  เดินเหมือนผีตายทั้งเป็น เหนื่อยเหลือเกินแต่ก็ต้องทำงาน แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  เป็น ถ้าท่านไม่เป็นนะ ป่านนี้คงรู้จักพอและท่านคงสามารถมีชีวิตอยู่ด้วยความสุขได้  แต่คนปัจจุบันนี้ยิ้มก็ยิ้มไม่ออก หันหน้าไปหาใครก็ยิ้มให้ไม่ได้ เพราะตัวเองก็ทุกข์หันไปมองอะไรก็ทุกข์ โลกก็ทุกข์ ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
อยากนั่งหรือยัง ขาสั่นแล้วใช่ไหม บางทีมีขาก็เหมือนไม่มีนะ ถ้ามีขาแล้วทำให้ปวด ทิ้งไปเถอะดีไหม (ไม่ดี)  ใจมีแล้วก็เจ็บใจ ทิ้งไปเลยดีไหม (ไม่ดี)  ก็มีแล้วไม่มีความสุขจะมีทำไม ตัดทิ้งไปเลย ได้ไหม (ไม่ได้)  ใจถ้ามีแล้วเจ็บปวดตัดใจทิ้งไปเลย (ไม่ได้)  ต้องได้นะ บางครั้งถ้ามีแล้วทุกข์ แก้ยังไงก็ไม่สุข สิ่งที่ทำได้คือต้องตัดใจ  ถ้ามีแล้วยิ่งเจ็บ ถ้ามีแล้วยิ่งปวด ตัดทิ้งดีไหม (ไม่ดี)  ก็มีแล้วเหมือนไม่มีก็ตัดทิ้งไปเลย จะได้ไม่ต้องมานั่งโอดครวญว่าปวดขาจังเลย”  ก็ตัดขาทิ้งไปก็จะได้ไม่มีขาให้ปวด  เอาไหม (ไม่เอา)  อย่างนั้นจะบ่นทำไม ก็ต้องทำใจ คิดเสียว่ามีก็เหมือน (ไม่มี)  บางทีก็มีความสุข จริงไหม (จริง)  บางทีเราต้องรู้จักเล่นแร่ พลิกแพลงกับจิตใจของเราบ้าง  คิดอย่างนี้แล้วทุกข์ คิดอย่างนี้แล้วสุข แล้วทำไมไม่รู้จักคิดให้มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าคิดแบบนี้แล้วหัวชนฝา มืดแปดด้าน แล้วทำไมไม่รู้จักถอยออกมาแล้วก้มหน้ายอมรับความจริง แล้วก็อยู่กับความสุขที่คิดว่า ขาจะปวดก็ช่าง อย่างน้อยก็ยังรู้ว่ามีขาอยู่  ดีกว่าไม่มีขาแล้วเราก็ไม่มีวันปวดอีกเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะเลือกเอาแบบไหน ใช่หรือไม่ (ใช่)
เกิดเป็นคนรู้จักผู้อื่นแล้วอย่าลืมรู้จักตน รู้จักคำนวณคนอื่นได้แต่ลืมคำนวณใจตนก็ไม่มีประโยชน์นะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์คิดว่าการดำรงตัวเองให้อยู่รอดในสังคม บางทีเป็นเรื่องง่าย แต่บางทีเรื่องง่ายๆ ก็กลายเป็นเรื่องยากใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรื่องง่าย เป็นเรื่องยาก แล้วเรื่องยากนี้กลายเป็นมีผลกระทบแล้วเกิดการเกี่ยวเนื่องแล้วเกิดเป็นก่อกรรม ชีวิตก็ไม่ง่ายใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีเราคิดว่าการนับเลข ๑ ๒ ๓ ๔ นับง่าย ใครๆ ก็นับได้ ฉันก็จำได้ ฉันเป็นอะไร แถมฉันยังจำคนอื่นได้ดีกว่าของฉันอีก แต่อย่าคิดว่าการดำเนินชีวิตแค่นับเลขให้รอดพ้นแล้วเราก็รอดพ้น การดำเนินชีวิตแค่แสวงหาเพื่อตนแล้วก็จบกันจริงๆ เป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น)  สิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างหนึ่งของการเป็นคนคืออะไรรู้ไหม ท่านเคยได้ยินไหมว่าพุทธะเคยกล่าวไว้ว่า  อย่าทำบาปในที่ลับและที่แจ้ง อย่าคิดว่าบาปที่เกิดขึ้นจบแล้วก็จบกัน อย่าแอบกระทำบาปในขณะที่ไม่มีใครเห็น เพราะบาปนั้นถึงแม้เรา จะเหาะได้หนีได้ แต่บาปนั้นก็ย่อมให้ทุกข์และเวรกรรม
มนุษย์นั้นไม่ใช่แค่กลัวบาปอย่างเดียว สิ่งที่น่ากลัวที่ตามมาอีกอย่างหนึ่งคือกรรม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มีคำพูดกล่าวไว้ว่ามนุษย์ล้วนมีกรรมเป็นของตน เรามีกรรมเป็นทายาท เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นต้นกำเนิด ที่ทำให้มีชีวิตก็เพราะมีกรรม และกรรมนี่แหละที่คอยจำแนกคนให้ดีชั่วต่างกัน ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นมนุษย์เกิดมาล้วนรู้ว่าตัวเรามีกรรม  เราก็เลยพยายามสร้างกรรมดีเพื่อหนีกรรมชั่วใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำบุญมากๆ เพื่อหนีกรรมที่ไม่ดี แต่อย่าลืมถ้าพยายามทำกรรมดีแต่กรรมนี้ยังติดอยู่ในความโลภ โกรธ หลง กรรมนั้นก็ไม่เรียกว่ากรรมบริสุทธิ์
ฉะนั้นเรามาเริ่มต้นง่ายๆ กันก่อนอยากจะพ้นทุกข์ อยากจะพ้นกรรม อยากจะพ้นเวียนว่าย อยากจะพ้นภัย เราก็ต้องเข้าใจก่อนว่ากรรมมาจากไหน ภัยเกิดได้อย่างไรและเราจะพ้นเวียนว่ายแบบไหนดี เราถามง่ายๆ กรรมมาจากไหน กรรมคืออะไร
ทุกคนมักจะตอบได้ว่ากรรมคือการ (กระทำ)  แล้วทำอย่างไรล่ะเรียกว่าเป็นกรรม ทำอะไรก็เป็นกรรมทั้งนั้นใช่ไหม (ใช่)  หรือพูดง่ายๆ ก็คือการกระทำอะไรก็ได้ที่ครองอยู่ในศีลธรรม ไม่มีความโลภโกรธหลงครอบงำ นั่นเรียกว่ากุศลกรรม ทำอะไรก็ได้ที่เป็นความชอบ ประพฤติชอบ ประพฤติดี เรียกว่าบุญ ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้เราจิตใจไม่แปดเปื้อน ไม่โสมม บริสุทธิ์ นั่นเรียกว่าทำบุญ เรามักจะคิดว่าทำบุญคือตักบาตร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำบุญคือให้ทาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บุญที่แท้จริงคือการทำเพื่อชำระจิตใจให้ผ่องใส
ท่านเคยได้ยินนิทานเรื่องหนึ่งไหม เล่าว่ามีเศรษฐีคนหนึ่ง ภรรยาขอเขาไปทำบุญ เขาก็บอก ไปทำสิแล้วเผอิญว่าภรรยาของเขาได้ทำบุญกับปัจเจกพุทธเจ้า ทำด้วยอาหารอันละเอียดประณีต แล้วก็ดี แล้วก็งาม ด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ ทำเสร็จแล้ว พอสามีมารู้ทีหลังว่า ภรรยาทำบุญครั้งนี้ใช้เงินมาก สิ้นเปลือง สามีจึงรู้สึกเสียดายเมื่อภรรยาทำบุญไปแล้ว เชื่อไหมแค่จิตที่คิดว่าเสียดายทำให้ชาติหน้าเกิดมานั้น มีเงินมากแต่ใช้เงินตัวเองไม่ได้ จะใช้ก็ไม่กล้าใช้ กลายเป็นคนกระเหม็ดกระแหม่ ใช้ก็กลัวเปลือง ทำให้เป็นคนที่ถึงจะมีเงินมากแต่ก็ใช้เงินตัวเองไม่ได้ เห็นไหมว่าแค่รู้สึกเสียดาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นกรรมอะไรที่เรียกว่ากรรมไม่ดี กรรมอะไรที่ทำให้เราต้องทุกข์และเกิดการเวียนว่ายรู้ไหม เราบอกท่านง่ายๆ  กรรมที่ไม่ครองอยู่ในศีลธรรม กรรมที่ประกอบไปด้วยความโลภ โกรธ หลง เป็นเชื้อนำ หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากิเลส ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามีชีวิตเราทำอะไรก็ตาม ถ้าเราทำด้วยกิเลส ความโลภ ความอยาก ความโกรธ ความหลง จะสามารถทำให้เราก่อกรรมและสร้างปัจจัยแห่งการก่อกรรมไม่จบสิ้นได้ กิเลสคือเครื่องที่ทำให้จิตใจนั้นเศร้าหมอง กิเลสคือความรู้สึกชั่วร้ายที่แฝงอยู่ในความคิดและทำให้จิตใจนั้นไม่บริสุทธิ์ เมื่อเราก่อกิเลสหนึ่งตัว เราสนองตามกิเลสนั้นก็เรียกว่าวิบากกรรม  เมื่อสนองตามกิเลสนั้นได้วิบากกรรมนั้นครบแล้ว เราอยากได้อีกไหม  อยากไหม อย่ามาพูดว่าไม่อยาก สมหวังก็อยาก ฉะนั้นกิเลสตัวหนึ่งจึงเป็นปัจจัยให้สร้างกิเลสอีกตัวหนึ่ง ไม่สมหวังอยากไหมก็อยาก
ฉะนั้นกิเลสหนึ่งตัวจึงก่อให้เกิดกิเลสตัวที่สอง ตัวที่สามเป็นปัจจัยให้สร้างกิเลสไม่จบสิ้น ฉะนั้นกรรมเกิดจากการที่จิตใจมีชีวิตอยู่โดยใช้กิเลสนำชีวิต แล้วกิเลสนั้นมีอะไรบ้าง โลภ โกรธ หลง ล้วนเป็นหนทางแห่งความทุกข์ และเป็นหนทางแห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราสามารถดับ โลภ โกรธ หลง ได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้เลยหรือ เราต้องรู้ก่อนว่ากิเลสตัวนี้มันคือต้นเหตุแห่งกรรม มันคือต้นเหตุแห่งทุกข์ แล้วมันมาอยู่กับอะไร จึงทำให้สำเร็จทุกข์ สำเร็จกรรม และสำเร็จการเวียนว่าย มันอยู่กับจิตของมนุษย์ จิตของมนุษย์นั้นไม่เคยว่างเว้นจากอารมณ์ จิตใช้อารมณ์เป็นบ่อเกิด และใช้อารมณ์เป็นปัจจัยให้เกิดอยู่ทุกๆ วัน เคยมองเห็นไหม (ไม่เคย)  พอเกิดมาก็อยากกิน อยากไปเที่ยว อยากทำงาน ไม่เคยมองเห็นกิเลสเลยใช่หรือไม่ ลองมองเข้าไปดูสิ จิตเราเวลามันไม่อยากอะไรเลย ทำไมเบื่อ ดูทีวีก็เบื่อ แต่รู้ไหมว่าจิตที่ไม่มีอารมณ์เลยเป็นจิตที่บริสุทธิ์ เป็นจิตที่สามารถสงบได้ แต่มนุษย์กลับกลายเป็นรู้สึกเบื่อ ทั้งที่จริงแล้วการไม่รู้สึกอะไรเลย แล้วไม่มีอะไรให้ทำเลย การอยู่นิ่งๆ นั่นแหละเป็นความสุขที่แท้จริงแล้ว แต่มนุษย์กลับบอกว่าเบื่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นจิตของมนุษย์เราจึงต้องมองหาให้ดี ว่าสิ่งนี้เป็นต้นเหตุของกิเลส แล้วกิเลสพอเข้ามาอยู่กับใจก็เป็นการกระทำที่ครบคู่ พอครบคู่ก็ทำให้หมุนเวียนไปตามกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอจิตเราเกิดความรู้สึกหนึ่งอย่าง จิตชอบรู้สึกอะไร มีอยู่สองอย่าง ยินดีกับไม่ยินดี รักกับเกลียด พอรู้สึกยินดีกับอย่างหนึ่ง เราก็ต้องพยายามหาอะไรก็ได้ที่ทำให้ต้องยินดีอีก และยินดีไปเรื่อยๆ ใช่ไหม (ใช่)  นี่เป็นลักษณะนิสัยของจิตของมนุษย์ที่หากรรมแล้วหากรรมอีก  แค่นั้นยังไม่พอนะ เมื่อเรารู้สึกยินดี ความพอใจยินดีในจิตนี้จะทำให้เรามองเห็นใจของเราว่า เป็นที่เก็บสะสมของกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรายินดีแล้วเราก็พอใจชอบ แล้วเราก็จะเก็บกรรมนั้นจำไว้ไม่ลืม รักษาไว้ไม่มีบิดพริ้วว่า อันนี้ฉันชอบหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าจิตที่ยินดีนั้นเรียก ความโลภ ความหลง แต่ถ้าเราไม่ชอบก็กลายเป็นความโกรธ แล้วจิตที่เป็นไปตามอำนาจของกรรมหรือกิเลสนั้นมีพลังมีอำนาจ คอยสั่งให้เราเกิดมาแล้วต้องสนองในสิ่งที่เรายินดีและหนีในสิ่งที่เราไม่ยินดี ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เราพูดให้ท่านเห็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ว่าไม่ใช่อยู่ข้างนอก ข้างนอกแม้จะเป็นคนชมคนด่า แต่ถ้าใจเราไม่ยินดี ถ้าใจนี้เรารู้จักพอ ชีวิตนี้จะวิ่งไปกับ โลภ โกรธ หลง ให้เหนื่อยไหม เพราะมนุษย์เราไม่เคยพอในสิ่งที่ตัวเองมีใช่หรือเปล่า เราจึงวิ่งไปตามหัวใจที่เรียกร้องและใฝ่หา โดยใจนั้นต้องมีอารมณ์เคลือบอยู่เสมอและอารมณ์นี้ก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้เรา ต้องทุกข์ไม่จบสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  วิ่งไปตามสิ่งยินดีพอได้สิ่งยินดีมากลัวไหม กลัวว่าจะหายไป หนีไปกับสิ่งที่เราไม่อยากพบ แต่เรายิ่งหนีก็ยิ่งต้องพบ  ฉะนั้นการดำรงชีวิตคือการกล้าสู้กับความเป็นจริง ด้วยการมีชีวิตอย่างคนที่รู้จักควบคุมตน รู้จักข่มใจตนแล้วความสุขสวัสดีจะไม่ห่างไปไหน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าให้รู้เท่าทันด้วยสติปัญญา เป็นวิธีกำจัดได้ทั้งกิเลสและสามารถตัดกรรมได้ด้วย
ฉะนั้นถ้ามนุษย์สามารถมีสติรู้เท่าทันจิตของตน ไม่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำแต่มีสติ สติคอยควบคุมความดี ความไม่ดี มีศีลธรรมคอยกลั่นกรองความประพฤติว่าถูกไม่ถูก มีปัญญาคอยสืบหาสาเหตุว่า สิ่งที่เราจะทำนั้นควรทำหรือไม่ควรทำ เมื่อนั้นเราจะสามารถตัดกิเลสและป้องกันไม่ให้เกิดกิเลสได้และสามารถฆ่า กิเลสทิ้งได้  ยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นเราต้องตามให้ทันตัวของเราที่ง่ายต่อการไหลไปตามกระแสของโลก ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
ถ้าท่านจำได้ตั้งแต่ต้น มีมากแล้วไม่มีความสุข มีก็เหมือนไม่มี แต่เพราะมนุษย์ยังหยุดไม่ได้ก็เลยต้องวิ่งไปตามกิเลส ความโลภ ความอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครบ้างหนอ มีเงินหนึ่งร้อยแล้วไม่มีร้อยที่สองบ้าง มีร้อยที่สองแล้วไม่มีร้อยที่สามบ้าง ฉะนั้นมนุษย์เลยต้องทุกข์ไม่จบสิ้น อย่างนั้นเราจะทำอย่างไรดี
ใครๆ ก็อยากเกิดมาแล้วก็ไม่ต้องเกี่ยวกรรม ใครๆ เกิดมาก็ไม่อยากมีกรรมให้ต้องแบกรับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคำกล่าวว่า กายคือกรรมที่เกิดจากวิบาก ใจคือกรรมที่เกิดจากปัจจุบัน  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นเพราะว่าเรามีโลภ โกรธ หลง  ทำให้เราไม่สามารถคลี่คลายละลายบาปกรรมได้ เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม  ผู้มีคุณธรรม การจะทำบุญทำทานบารมีเป็นเรื่องง่าย  ใช่หรือไม่
คุณธรรมเป็นบ่อเกิดของวาสนาบุญทานบารมี  คุณธรรมที่ไม่ มั่นคงทำให้บุญทานวาสนาบารมีไม่เกิด  แต่ถ้าใครสามารถดำรงคุณธรรมได้มั่นคงและสมบูรณ์แบบ คนนั้นจะสามารถคลี่คลายละลายบาปกรรม แต่ถ้าใครไม่เคยคิดที่จะทำคุณธรรมให้เกิดขึ้นในชีวิต คนนั้นนอกจากไม่มีบุญวาสนา บุญทานไม่เกิดแล้วยังง่ายที่จะตกเป็นทาสของมารและความคิดอันชั่วร้าย
ฉะนั้นเราอยากรู้เท่าทันกิเลสตน เราอยากให้ชีวิตมีบุญวาสนาดี เราอยากให้ชีวิตนี้หมดหนี้กรรม สิ่งง่ายๆ ก็คือต้องสร้างคุณธรรมให้เกิดกับชีวิต คนๆ หนึ่งถ้าดำรงศีลห้า และในศีลห้าสามารถแปรเป็นคุณธรรมทั้งห้าได้ คนๆ นั้นจะโลภและทำร้ายคนไหม (ไม่)  การไม่ฆ่าสัตว์ก็คือการมีเมตตา ใช่หรือไม่ (ไม่)  เรามักจะมองว่าศีลห้าเดี๋ยวค่อยทำก็ได้ แต่รู้ไหมว่า การครองศีลห้าได้ครบ แล้วสามารถทำศีลห้าให้เป็นคุณธรรมทั้งห้า ทั้งศีลและคุณธรรมนั้นจะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นบุญทานวาสนา ละลายหนี้บาปเวรกรรมได้ แล้วเราจะไม่ได้มีชีวิตตกเป็นทาสของกิเลสและพญามาร ขอเพียงครองศีลและธรรมให้ครบ ยากไหม (ไม่ยาก) 

๑. ไม่ฆ่าสัตว์ก็มีความเมตตา
๒. ไม่ลักทรัพย์ คนที่ไม่อยากได้ของคนอื่น  คนนั้นคือมีจิตใจมีมโนธรรมสำนึกที่ดีงาม รู้จักผิดชอบชั่วดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าซื่อตรงซื่อสัตย์
๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่แอบไปรักใครทางสายตา ไม่แอบไปรักใครนอกจากสามีเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามีรักเผื่อเลือกไหม เรามีรักหลายใจไหม (ไม่มี)  การไม่ผิดศีลธรรมเรียกว่าการมี จริยะที่ดีงาม รู้จักเคารพให้เกียรติผู้อื่น
๔. ไม่พูดปดคือ ทำอย่างไรให้เกิดเป็นธรรม มีความ (ซื่อตรง, สัตย์จริง, ซื่อสัตย์) 
๕. การไม่ดื่มสุราของมึนเมาทำให้เกิดปัญญาธรรม  
เห็นไหมว่าเราดำเนินชีวิต อย่ามองว่าศีลธรรมเป็นเรื่องไม่ดี เป็นเรื่องที่ทำยาก ถ้าเราทำได้ถึงศีล ทำได้ถึงธรรม ศีลธรรมจะทำให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างมีบุญ มีวาสนา และคลี่คลายละลายบาปกรรม ถามจริงๆ ทำไมท่านถึงอยากทำบุญ เพราะจิตใจรู้สึกเมตตาสงสาร เพราะจิตใจรู้สึกอยากให้ อยากเสียสละ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำบุญแล้วอยากได้บุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ายังทำบุญเพราะหวังผล บุญนั้นจะไม่บริสุทธิ์ บุญนั้นยังเป็นเหตุให้ต้องเวียนว่ายวน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องทำด้วยการปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นจึงจะประเสริฐ  กว่าจะรักษาศีลทั้งห้าข้อ ชีวิตท่านหนีไม่พ้นทุกข์แน่เลย ใช่ไหม อย่างนี้จะไปต่อไหวไหม (ไหว)  ไหวแม้ว่าจะหกคะเมนตีลังกา ล้มลุกคลุกคลาน ใช่หรือไม่
เราจึงอยากจะบอกท่านอีกอย่างหนึ่งว่า ท่านพูดแต่เรื่องที่เป็นหลักการทั้งนั้นเลย  ถึงเวลาใช้ชีวิตจริงทำอย่างไรที่จะทำให้ไม่เกิดการเกี่ยวกรรม ที่จะทำให้ไม่เกิดทุกข์ มนุษย์เราต้องหาเงิน ต้องทำงาน ต้องเรียนหนังสือใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราทำอย่างไร ที่ทำให้การหาทรัพย์ หาเงิน หาความรู้ไม่เป็นไปในทางก่อเวร ก่อภัย ไม่เป็นไปในทางก่อกรรมไม่จบสิ้น 
ถ้าผิดศีลห้าเกิดมาอีกชาติหนึ่งจะเป็นอย่างไร เคยได้ยินไหม
ทำไมเกิดมาถึงโง่เรียนอะไรก็ไม่รู้เรื่องแปลว่าอดีตชาตินั้นเคยชอบกินเหล้าเมายา 
ทำไมครอบครัวไม่ร่มเย็นเป็นสุขเพราะอดีตชาตินั้นอาจจะไปผิดลูกผิดเมียเขา
ฉะนั้นถ้าอยากให้ครอบครัวร่มเย็นก็ต้องรู้จักรักและเคารพด้วยจริยะอันดี
อยากจะอายุยืนก็อย่าฆ่าสัตว์ทำบาป
ทำไมเกิดมาอายุสั้น เป็นโรคบ่อยๆ ก็เพราะชอบทำร้าย ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)
เห็นไหมว่าแค่ดำเนินชีวิตครองอยู่ในศีล ครองอยู่ในธรรมก็สามารถทำให้เห็นทั้งชีวิตข้างหน้าและชีวิตข้างหลัง  อย่างนั้นเราจะบอกว่าทำอย่างไรที่เวลาหาเงินแล้ว เงินนั้นไม่กลายเป็นก่อกรรม
๑. เวลาหาเงินนั้นต้องดำรงอยู่ด้วยความชอบธรรม เมื่อได้เงินมาแล้วก็ต้องให้ด้วยความชอบธรรม ไม่ใช่หาเงินมาแล้วตระหนี่ถี่เหนียวขาดเมตตา การมีเงินของท่านก็กลายเป็น มีเงินแล้วใช้ไม่เป็น ใช่หรือไม่
๒. เวลามีทรัพย์ เวลามีตำแหน่ง มีหน้าที่ มีความรู้ อย่าใช้ตำแหน่ง ทรัพย์ หน้าที่ ความรู้ ไปในทางเสื่อม อย่างเช่น มีเงินไปเล่นหวย มีเงินไปจ้างวานฆ่า มีความรู้ควรสร้างสรรค์ในสิ่งที่ดี กลับคิดไม่ดี คิดทำร้ายด้วยความฉลาด ฉ้อฉล อย่างนี้คือใช้ความรู้ ใช้ทรัพย์ไปในทางที่เสื่อมและวิบัติ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นมีความรู้มีทรัพย์จงใช้ความรู้และทรัพย์เป็นรั้วป้องกันภัย อย่ามีความรู้ มีทรัพย์แล้วดูถูกดูหมิ่นคน การดูถูกดูหมิ่นคนให้เสียใจคือ การสร้างรอยพยาบาทไว้กับคน ใช่ไหม (ใช่)  ยืมทรัพย์เขามาแล้วทำให้เขาต้องเป็นทุกข์นั่นคือ การสร้างเวรกรรมให้กับเขา
ฉะนั้นเราดำเนินชีวิตขอให้ให้ครองอยู่ในศีล ในธรรม แล้วเราก็จะไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป เพราะว่าดำรงศีล ดำรงธรรมถูกต้อง  อย่าคิดว่าปล่อยชีวิตนี้ไปตามอารมณ์ความอยาก ปล่อยไปตามยถากรรมแล้วจะจบกันนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดไม่ระวัง มองไม่รู้จักคิด ทำไม่รู้จักควบคุม การพูด ฟัง คิด มอง ก็อาจจะก่อกรรมได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าไม่อยากทุกข์ทำอะไรก็ขอให้ครองตนอยู่ใน (ศีลธรรม)  ศีลมี ๕ ข้อ จำได้ไหม (จำได้)
เรากลับเลยได้ไหม เราให้ท่านได้เท่านี้ แต่ท่านก็ทำไม่ได้ใช่หรือเปล่า การควบคุมหู ตา จมูกนั้น ไม่เท่ากับควบคุมใจเราให้อยู่เพราะต้นเหตุแห่งความทุกข์ ต้นเหตุแห่งภัยพิบัติและต้นเหตุแห่งการเวียนว่ายทั้งมวล ล้วนเกิดจากใจของเราที่ไม่รู้จักข่มให้เป็น คุมให้ได้ระวังให้ดี ใช่ไหม (ใช่)  ชีวิตนี้ยังไม่เคยพอใช่หรือเปล่า อายุก็ปูนนี้แล้วนะ อย่าคิดว่าอายุยังน้อยๆ อย่าทำทุกวันนี้อย่างคนเกี่ยวเนื่องไม่จบ ไม่อย่างนั้นก็คือกรรมที่ไม่จบสิ้น
มีนิทานเรื่องหนึ่งที่ถามว่าในโลกนี้เวลาอะไรดีที่สุด ในโลกนี้คนไหนที่เราควรทำให้ดีที่สุดและในโลกนี้ควรทำอะไรให้ดีที่สุด เคยได้ยินนิทานเรื่องนี้ไหม นิทานเรื่องนี้สรุปให้ฟังง่ายๆ เลยว่าเวลาที่ดีที่สุดคือ เวลานี้และเดี๋ยวนี้ และคนที่เราควรทำให้ดีที่สุดคือ คนที่อยู่ตรงหน้าท่านตอนนี้ทำให้ดีที่สุด คิดเสียว่าคนนี้เราอาจจะไม่ได้พบ ถ้าเราทำดีที่สุดแล้วเราจะมีกรรมที่ให้ต้องกลับมาพบกันอีกไหม  ดั่งที่เขาว่าเวลาอยู่ อยู่ต้องให้เขาคิดถึง จากไปต้องให้เขารู้สึกสบายใจ อยู่ต้องให้เขารัก จากไปต้องอย่าให้เขารังเกียจ ฉะนั้นถ้าทุกขณะจิตท่านทำได้กรรมจะไม่มี ทุกข์จะไม่เกิดเพราะจบแล้วจบกันตอนนี้และควรทำอะไรดีที่สุด อะไรทำให้เขาดี อะไรทำให้เขามีความสุขจงทำ แต่อย่าทำแบบตามใจและเสียนิสัย ก็ไม่ดี ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นเราสรุปง่ายๆ เกิดเป็นคน กรรมเราก็กลัว ทุกข์เราก็ไม่อยากพบ ภัยพิบัติเราก็ไม่อยากมี ฉะนั้นภัยที่น่ากลัวที่จะเกิดที่ท่านคาดเดานั้นไม่น่ากลัวเท่ากับภัยที่ท่าน กำลังจะพูดกับคนๆ นี้ ทำกับคนๆ นี้ ถ้าท่านทำไม่ดีเขาก็ตบหน้า ถ้าท่านทำไม่ดี เขาก็จองล้างจองผลาญใช่หรือไม่ ถ้าท่านทำไม่ดี เขาก็ผูกเวรผูกกรรม ฉะนั้นทำวันนี้กับคนๆ นี้ปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุด จบในวันนี้ อย่าพูดแบบทิ้งทวน ฉะนั้นไม่ว่าพูด ไม่ว่าทำอะไร ต้องรู้จักคิดให้ดี อย่าทำแล้วเป็นกรรมที่ต่อเนื่องจบได้หรือยัง (ยัง)  ไปได้หรือยัง (ยัง)  ชีวิตนี้ก็เหมือนกันนะ จบแล้วก็จงจบกัน เราต้องพยายามจบให้ได้ ถ้าวันนี้เราไม่จบ เรายังห่วง เรายังกังวล ชีวิตจะไปตามจิตสั่งสม จิตมีอำนาจมีพลังตามกรรมที่เราสั่งสมเก็บไว้  ฉะนั้นถึงกายจะไม่มี แต่ถ้าจิตสั่งสมกรรมดีกรรมชั่ว จิตนั้นก็จะไปตามกรรมดีกรรมชั่ว ไปตามพลังของกรรม
ฉะนั้นจงทำจิตให้บริสุทธิ์ กิเลสเป็นตัวทำให้จิตไม่บริสุทธิ์แล้วสร้างกรรมไม่จบสิ้น แล้วกรรมที่น่ากลัวที่สุดก็คือโลภ โกรธ หลง และการดำรงตนไม่อยู่ในศีลธรรม ชีวิตไม่ใช่เรื่องยากเลย ขอเพียงรู้เท่าทันตน เอาสติมาควบคุมใจ เอาปัญญามาเป็นตัวตัดกิเลสให้ออกไปจากใจแล้วฆ่าทิ้ง เพราะถึงที่สุดแล้วใจเราก็ไม่มี ใช่ไหม (ใช่)  ใจท่านมีไหม (มี)  ไหนเอามาให้ดูสิ
ใจเป็นแค่จิตที่ถูกอารมณ์สั่งสมบ่มเพาะจนกลายเป็นนิสัย แย่หน่อยก็เป็นสันดาน ซึ่งจริงๆ แล้วคือความว่าง แต่มนุษย์กำหนดให้มี แล้วเรียกว่าตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงที่สุดแล้วมันไม่มี มองให้ดีๆ ใช่ไหม แต่เราวิ่งไปตามสิ่งมองไม่เห็นแล้วทำให้มันเห็น ฟังยากใช่ไหม อย่างนั้นเราถามหน่อยนะ ความโลภมีตัวไหม (ไม่มี)  ไม่มีแต่ทำไมวิ่งตามทุกที มีอำนาจ มียศตำแหน่ง มีบาตร มีปืน มีนิวเคลียร์ไหม ทำไมต้องวิ่งตาม แล้วถ้าไม่เชื่อมันได้ไหม (ได้,ไม่ได้)  ไม่ได้หรือ เมื่อไม่มีแล้ววิ่งตามทำไม เพียงแค่ขอให้มีชีวิตอยู่ แต่งตัวสวยกว่าคนอื่นหนึ่งวันก็ดีใจ มีรถขับหนึ่งคันโก้ดี แค่นั้นเองหรือ พอโก้หนึ่งครั้งพบคนขับรถสวยกว่า ที่โก้ๆ ก็หมดโก้ พบคนใส่เสื้อสวยกว่าก็หมดสวย แล้วเราวิ่งไปตามเท่าไรแล้ว จริงหรือเปล่า (จริง)
ฉะนั้นจิตที่ประเสริฐที่สุดคือจิตที่นิ่งๆ รู้จักพอ แล้วก็เปลี่ยนจากการพอเป็นรู้จักให้บ้าง เพราะยิ่งให้ยิ่งบังเกิดคุณธรรม เก็บงำไว้คุณธรรมไม่มีวันเกิด แล้วยิ่งให้ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์จะยิ่งละลายบาปกรรม
คุณธรรมเป็นบ่อเกิดแห่งบุญวาสนาและทานบารมีที่ยิ่งใหญ่ คุณธรรมที่ครบบริบูรณ์จะทำให้สามารถ ละลายหนี้บาปเวรกรรม แต่คนที่ไม่เคยคิดมีคุณธรรม คนนั้นคือสาวกของพญามาร
คอยจับผิดตรงปมด้อยลักษณะคน  แม้แต่ที่หน้ายึดจนยับไป
คนเรายึดมั่นถือมั่นจนหน้ายึด ยึดแล้วไม่ได้ดั่งใจก็เลยหน้ายับ คิดด้วยปัญญาของตัวเอง ไม่ต้องเชื่อเราก็ได้ หยั่งด้วยปัญญาของท่านเอง
มีโอกาสคงได้ผูกบุญกันอีกนะ ขอให้อยู่ให้ครบสามวันนะ ข่มให้ได้ คุมให้ได้ ถ้าข่มไม่ได้ คุมไม่ได้ชีวิตนี้ท่านก็ไม่มีวันมีสุขสวัสดี




วันอาทิตย์ที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔
  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ในความนิ่งมีความวุ่นอยู่ภายใน      ในความเกิดมีความตายแอบแฝงอยู่
ในความดีมีความร้ายเป็นศัตรู           อยู่ในแต่อยู่เหนือโลกมายา
                  เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานผู่ถี แฝงกายกราบ
องค์มารดา                 ถามศิษย์รักทุกท่าน ยังง่วงอีกหรือเปล่า

  การมุ่งเดินยังแต่โลกหรือธรรม         คนเก่งนำสิ่งรู้มาอวดโฉม
คนบำเพ็ญใช้มายาจิตจึงไม่กลม        อีกกิเลสประโลมใจฝึกแก่นได้กระพี้
ฝึกทั้งกายทั้งใจให้เป็นหนึ่ง               ชีวิตหนึ่งสุญตาสิ้นคือวุ่นทุกที่
ให้บำเพ็ญพูดแต่ว่าเวลาไม่มี             ชีวิตนี้ถวิลตาเปิดกลับเดินธรรม
พินิจขันธ์มาจับตาความเกิดแก่          จิตเดิมแท้ได้ของวิเศษจากถ้ำ
คนรู้ปลงคนดีดุจได้ทองคำ                แค่หัวใจเข้าถึงธรรมอยู่เย็นเย็น
แม้หัวใช่ไวทว่าสิ่งควรรู้                     ลองทำดูหัวใจควรเคี่ยวเข็ญ
ควรต้องตัดกล้าต้องตัดให้กระเด็น     ชีวิตเป็นของเราอย่ามัวโทษชะตา

                                                                                        ฮา  ฮา  หยุด

     จิตเดินทางมาไกลห่างไกลแสนไกล  จนบำเพ็ญผ่านมารวบรวมหัวใจ  ที่เคยสำราญเหมือนดูไม่เต็มข้างใน  เคยสบายต้องมาบำเพ็ญแล้วอย่ากลัว
     การบำเพ็ญต้องมาตั้งจิตตั้งใจ  คนชอบใช้หน้าตาท่าทางถึงชัวร์  มาบำเพ็ญไม่ยอมแก้เหมือนยอมตาถั่ว  ทำจนสายตัวหัวหมุนไม่หลุดพ้น
  * บำเพ็ญธรรมต้องสนใจ สนใจ สนใจ  ใช้ความจริงแก้ไขสลายใจของตน  ทั้งความทุกข์หลงใหลความรัก เหนื่อยไปเพื่อใคร  ศิษย์จะต้องคิดแล้ววันนี้ 
** ฝึกเหนื่อยเพื่อพัก  สักวันสัญญา  ทุกวันคืนงอกงามเพราะความดี  จากตรงนี้ศิษย์อย่าไปท้อความดี  ศิษย์ต้องทำเริ่มแล้ววันนี้  เดี๋ยวแล้วนาน  (ซ้ำ *, **)

ชื่อเพลง : เดี๋ยวแล้วนาน
ทำนองเพลง : เธอคือหัวใจของฉัน

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงเมตตา


มานั่งฟังธรรมะ ใครตั้งใจรอแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยกมือขึ้น อย่างอื่นไม่ตั้งใจฟังเลยหรือ (ฟัง)  นึกว่าอย่างอื่นไม่ตั้งใจฟัง รอฟังแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเดียว บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาก็ดีไม่ค่อยง่วง เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ไหนใครไม่ได้มาช่วงเช้า จงใจมาเฉพาะตอนบ่ายๆ จะได้พบเหล่าซือ จะได้พบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างอื่นไม่ทำอะไรเลย ทำแบบนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  งานนี้จัดขึ้นต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกๆ คน เราไม่ชอบให้ใครมาเอาเปรียบ เราก็อย่าไปเอาเปรียบเขา เราไม่ชอบนิสัยคนกินแรงคนอื่น เราก็อย่าไปกินแรงคนอื่น ตัวเรารักสบายฉันใดคนอื่นก็รักสบายฉันนั้น  ฉะนั้นเอาแต่สบายแล้วให้คนอื่นลำบาก ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  อย่างนี้เรียกว่าผู้บำเพ็ญหรือเปล่า (ไม่) 
ในความนิ่งมีความวุ่นอยู่ภายใน ในความเกิดมีความตายแอบแฝงอยู่
ในความดีมีความร้ายเป็นศัตรู            อยู่ในแต่อยู่เหนือโลกมายา
ในความนิ่งมีความวุ่นเป็นด้านตรงข้ามถูกหรือไม่ ในความเกิดมีความตายซึ่งเป็นด้านตรงข้ามใช่หรือไม่ ฉะนั้นในความดีมีความชั่ว เคยได้ยินคำว่า อยู่ในแต่อยู่เหนือ ไหม อยู่ในโลกแต่สามารถวางใจให้เหนือโลกได้ เพราะในโลกนี้ในความนิ่งก็มีความวุ่น บางทีเราคิดว่าความวุ่นกับความนิ่งเป็นด้านตรงข้าม แต่จริงๆ แล้วอาจจะเป็นด้านๆ เดียว หรือจุดๆ เดียวกัน ในความเกิดอาจจะเห็นว่ามีความตายอยู่แต่จริงๆ แล้วทุกขณะที่ศิษย์เกิดก็มีความตายตามมาอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์บอกว่าวันเกิดแต่อาจารย์บอกว่าวันตายถูกไหม ศิษย์ตายไปกี่ขวบแล้ว แต่ศิษย์มักจะบอกว่าศิษย์เกิดกี่ขวบ จริงๆ อาจารย์อยากจะบอกว่าความเกิดก็คือความตาย ดูในตัวเราก็ได้ เซลล์หนึ่งสร้างขึ้นมา อีกเซลล์หนึ่งก็ผลัดไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เม็ดเลือดหนึ่งที่เกิดขึ้นมา ก็มีอีกเม็ดเลือดหนึ่งที่ตายไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นความตายกับความเกิดก็อยู่ด้านเดียวกัน ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นในโลกที่วุ่นวาย เราก็สามารถหาความนิ่งในความวุ่นวายได้และในด้านเดียวกันในความดีก็มีความ (ร้าย)  เหมือนกับในตัวเรา  อาจารย์ถามว่าเราเป็นคนดีไหม (เป็น)  เป็นคนร้ายไหม (เป็น)  เคยไหมที่ในขณะหนึ่ง เราพูดดีกับอีกคนหนึ่ง แต่เรากลับด่าอีกคนหนึ่ง เป็นไหม (เป็น)
ฉะนั้นในความดีก็มีความร้าย ในความร้ายก็มีความดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราอยู่ในโลก ไม่ใช่วิ่งวุ่นไปตามโลก แต่เราอยู่ในโลกเพื่อเข้าถึงความเป็นจริงที่เหนือดีเหนือร้าย  เพราะถ้าเข้าถึงความดี ศิษย์ก็ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ พอเป็นคนดี ถูกใครว่าเรายอมไหม (ไม่ยอม)  แล้วพอเป็นคนร้าย ใครชมว่าดีเรายอมไหม (ยอม)  ฉะนั้นเราอยู่ในโลกจึงต้องมองเห็นความเป็นจริงของโลกใบนี้ให้แจ่มชัด อย่าได้ติดด้านใดด้านหนึ่งจนเกินไป เพราะด้านใดด้านหนึ่งก็ยังเรียกว่าความหลงอยู่ดี เพราะสิ่งที่แท้จริงที่พ้นจากความหลงและพ้นจากมายาโลก คือเหนือดีเหนือร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ไม่ง่วงใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่านั่งอยู่ตอนนี้ตอนที่อาจารย์อยู่ไม่ว่าจะนั่งหรือจะยืนจะไม่มีวันหลับ ใช่ไหม อย่างนั้น ถ้าเห็นใครคนไหนหลับก็ชี้ให้อาจารย์ดู อาจารย์จะจับเขาลุกขึ้นดีไหม (ดี)  ดีหรือ ช่วยกันจับถูกนะ อย่าจับผิด อยู่ในโลกนี้เราพบคนจับผิดมามากแล้ว จับผิดบ่อยๆ เราก็เบื่อ ฉะนั้นเราจับคนถูกดีไหม (ดี)  จับใครก่อนเป็นคนแรกเวลาง่วงมากๆ น่าจะจับตัวเองก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยได้ยินคำกล่าวคำหนึ่งไหม ผีย่อมเห็นผี เราเห็นเขาง่วงก็แปลว่าตัวเราก็ (ง่วง)  เราเห็นเขาร้ายก็แปลว่าเราก็ (ร้าย)  เราด่าเขาว่านิสัยไม่ดีก็แปลว่าเรานิสัย (ไม่ดี)
ฉะนั้นจำไว้นะ ผีเห็นผี ว่าเขาร้ายเราก็ (ร้าย)  ว่าเขาไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม เราก็ (ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม)  เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (เป็น)  เพราะผีมันเห็นผี ใช่หรือไม่

ศิษย์ว่าโลกใบนี้เป็นโลกที่น่ากลัวไหม(น่ากลัว)  อย่างนั้นอาจารย์ถามคำถามอะไรง่ายๆ  เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เรากลัวอะไร (กลัวตัวเอง)  บางครั้งเราว่าโลกใบนี้น่ากลัว ผู้อื่นน่ากลัว คนอื่นใจร้าย คนอื่นอำมหิต แต่ลองถามดูว่าเราใจร้ายไหม เราอำมหิตหรือเปล่า เราว่าโลกน่ากลัวแล้วตัวเราน่ากลัวหรือไม่ เราว่าโลกโหดร้ายแล้วเราเคยใจดีกับใครจริงๆ โดยไม่หวังผลหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่)
อย่างนั้นศิษย์ของอาจารย์อยู่ในโลกนี้ควรกลัวอะไร กลัวใจตัวเองที่คิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด ความคิดดีๆ ไม่คิด ชอบคิดลงต่ำ ความคิดงามๆ ไม่คิด ชอบคิดร้ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นแปลว่าสิ่งที่ศิษย์กลัวมากที่สุดในโลกคือกลัวใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่กลัวแค่นั้นพอหรือเปล่า ถ้าเราพูดว่าเรากลัวใจตัวเองเราก็ต้องรู้จักระมัดระวังตัวเองมากกว่านี้ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่เราไม่ค่อยระมัดระวังเลยใช่หรือเปล่า เราพยายามหาทุกสิ่งทุกอย่างมาเพื่อบำรุงร่างกายและหัวใจตัวเองและสนองตามใจตัวเองทุกอย่าง เพราะลึกๆ นอกจากที่เราจะกลัวใจตัวเองแล้ว สิ่งที่เรากลัวแท้จริงคืออะไร (กลัวการเวียนว่ายตายเกิด,กลัวไม่มีความสุข, กลัวตาย, กลัวไม่มีที่กิน)
สิ่งที่ศิษย์มักจะกลัวกันมากที่สุด เมื่อยามมีชีวิต ยามมีลมหายใจ เราทุกคนกลัวตาย ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์มาสอนวิชาการเป็นอมตะไม่เกิดไม่ตายเอาไหม (เอา)  อยากได้วิชานี้ไหม (อยาก)  แน่ใจนะ (แน่ใจ)  เอาแล้วต้องเอาไปทำให้ได้นะ ถ้าเอาไปทำไม่ได้ ศิษย์ก็ต้องพบยมบาล และหนีไม่พ้นบ่วงมาร 
อาจารย์จะช่วยแก้ให้ศิษย์ทีละเปราะ ศิษย์ในโลกกลัวการตาย กลัวอด กลัวความทุกข์ กลัวเหงา กลัวโดดเดี่ยว กลัวถูกทอดทิ้ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เรากลัวตายจริงไหม (จริง)  เราทำทุกอย่าง บำรุงบำเรอชีวิตทุกอย่างก็เพื่อให้มีชีวิตอยู่โดยที่ไม่ต้องตาย  แต่ถ้ามนุษย์เข้าถึงสัจภาวะ มนุษย์ผู้นั้นจะพ้นการเกิดตายและเงื้อมมือของพญายม การจะเข้าถึงสัจภาวะ หรือเข้าถึงความเป็นจริงแห่งธรรมได้  เพราะผู้ที่เข้าถึงความเป็นจริงแห่งธรรมได้ผู้นั้นจึงจะพ้นการเกิดตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ดูอย่างพระพุทธองค์ เวลาท่านดับ เวลาท่านตาย เขาไม่เรียกว่าตาย แต่เรียกว่าดับ ท่านพ้นจากการเกิดตาย อย่างนั้นแปลว่าท่านเข้าถึงสิ่งใด เข้าถึงสภาวธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วสภาวธรรมเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอะไร 
สภาวธรรมเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือความเป็นเช่นนั้นเอง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัย  เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าความว่างเปล่า ถึงที่สุดทุกสิ่งต้องคืนสู่ความว่างเปล่าและธรรมที่อาจารย์บอกมาทั้งมวลล้วนมีอยู่ในตัวของมนุษย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  และในธรรมที่อาจารย์บอกมาทั้งมวลล้วนคือความต่างที่มี    ความเป็นหนึ่ง และในธรรมทั้งมวลที่อาจารย์พูดนั้นล้วนคือธรรมที่มีอยู่ในตัวเรา ถ้าเราเห็นธรรมตัวนี้ เข้าถึงธรรมตัวนี้ เราจะพ้นเกิดตาย และพ้นมือพญายม ดั่งคำกล่าวว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เพราะศิษย์ยังเห็นโลกนี้เป็นความมี เป็นความทุกข์อยู่ แต่ในขณะที่ศิษย์เห็นว่าเป็นความมีเป็นความทุกข์
ในความมี มีความว่างซ่อนอยู่ไหม ในความทุกข์มีความเปลี่ยนแปลงเรียกว่าเกิด แก่ เจ็บ ตายไหม และในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถึงที่สุดกลับคืนสู่ความว่างเปล่า และในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เรียกว่าความเป็นเช่นนั้นเอง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุมีปัจจัย และเรียกว่าความเป็นเช่นนั้นเอง ความเป็นเหตุเป็นปัจจัยถึงที่สุดคือความว่างเปล่า และในที่สุดที่อาจารย์พูดมาตั้งหลายอย่างรวมกันแล้วก็คือความเป็นหนึ่งในธรรม ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างแม้จะดีเลวต่างกันก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นหนึ่งเดียวกัน จริงไหม (จริง)  แต่ยังมองไม่เห็นใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเห็นได้ง่ายๆ ศิษย์ของอาจารย์ก็พ้นเกิดพ้นตายแล้วใช่หรือไม่
ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยดอกไม้ ด้วยของหอม ด้วยเครื่องสักการะ หาใช่บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริงและบูชาถึงพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงคือ บูชาด้วยการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม นี่จึงเรียกว่าบูชาพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ใช่ไหม (ใช่)  และมีคำกล่าวต่อไปอีกว่า แม้จะเป็นคนมีศีล มีวัตรดี หรือความประพฤติดี มีความรู้มาก เป็นพหูสูตรมากแค่ไหนก็ตาม เป็นคนที่สามารถนั่งสมาธิในที่สงบได้เป็นชั่วโมง คนนี้แม้จะมีชีวิตมีภพเหลือน้อยก็ตาม แต่ถ้าเขายังตัดต้นเหตุของกิเลสไม่หมดสิ้น เขาก็ยังหนีไม่พ้นการเวียนว่ายอยู่ดี
ถึงจะมีศีลดี ประพฤติดี ฟังได้มาก นั่งสมาธิได้เป็นวันๆ แต่ถ้ายังตัดต้นเหตุแห่งทุกข์และเวียนว่ายไม่ได้ซึ่งก็คือกิเลส คนนั้นก็ไม่มีวันล่วงพ้นโลกใบนี้ที่เวียนว่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อศิษย์อยากจะศึกษาให้ถึงธรรม ก็ต้องเดินไปให้ถึงแก่น อย่าจับแค่เพียงไหว้พระ อย่าจับแค่เพียงใส่บาตร เพราะอย่างนั้นยังไม่พ้นเวียนว่าย การพ้นเวียนว่ายที่แท้จริงคือตัดกิเลสสามตัว โลภ โกรธ หลง และปล่อยวางตัวตน ยากไหม (ยาก) 
ฝึกทั้งกายทั้งใจให้เป็นหนึ่ง         
ชีวิตหนึ่งสุญตาสิ้นคือวุ่นทุกที่
         ให้บำเพ็ญพูดแต่ว่าเวลาไม่มี       
     ชีวิตนี้ถวิลตาเปิดกลับเดินธรรม
จะบำเพ็ญตอนตายแล้วทันไหม (ไม่ทัน)  ร่างกายกลับคืนสู่ธาตุทั้งห้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จิตใจมุ่งไปตามสิ่งที่สั่งสม ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นธรรมที่อาจารย์บอก เข้าถึงธรรมในสิ่งที่อาจารย์พูด ศิษย์จะตายก่อนตาย ศิษย์จะพ้นเกิดตาย
ศิษย์เห็นไหมว่าในโลกนี้มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์และ   สุญตา บางทีไม่ต้องเห็นจากภายนอกเห็นจากตัวเราเอง เป็นทุกข์ไม่เที่ยงและถึงที่สุดก็กลับมาสู่ความว่างใช่หรือไม่ (ใช่)  และบางครั้งทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเช่นนั้นเองและบางครั้งทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ล้วนเป็นเหตุเป็นปัจจัย  ฉะนั้นถ้าเราเข้าถึงธรรมในตัวเอง เราจะเข้าถึงธรรมในตัวผู้คน ถ้าเราเข้าถึงความแตกต่างและมองเห็นเป็นความหนึ่ง เราจะเห็นความเป็นหนึ่งในตัวทุกผู้คน แต่ไม่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดเรื่องนี้กี่รอบก็ไม่มีใครเดินไปถึงธรรมสักที
อย่างนั้นอาจารย์แก้ปัญหาต่อศิษย์กลัวอดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เท่าที่อาจารย์ดูในชั้นนี้ไม่เคยเห็นใครอดจริงๆ เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นมาดูความน่ากลัวของทรัพย์ มีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า มนุษย์ถ้ามีปัญญาก็จะไม่มีวันอับจนหนทาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงจะหมดตัวแต่ถ้าไม่หมดปัญญาก็ไม่มีวันลำบากได้  ฉะนั้นถึงเงินจะหมดแต่ขอเพียงปัญญาไม่หมดก็พอ เพราะปัญญาทำให้เราสามารถทำสิ่งที่ไม่มีให้กลายเป็นมี และทำในสิ่งที่มีให้กลายเป็นสิ่งที่มียิ่งๆ ขึ้น มีคำพูดเกี่ยวกับทรัพย์อยู่คำหนึ่งว่า  ทรัพย์ฆ่าคนชั่ว แต่ไม่ฆ่าผู้แสวงหาฝั่งธรรม และมีต่ออีกว่า ถ้าปล่อยให้ความโลภนั้นแสวงหาทรัพย์ ปล่อยให้ความโลภนำชีวิตในการแสวงหาทรัพย์กรรมชั่วแห่งความโลภนั้นจะย้อนกลับ มาฆ่าบุคคลนั้นให้ตายทั้งเป็น รู้อย่างนี้กลัวอดอีกไหม
ศิษย์เคยเห็นคนที่เหนื่อยทั้งชีวิตเพราะกลัวอดใช่ไหม (ใช่)  ถามว่าหยุดได้ไหม หยุดได้แต่เพราะกลัวจะอด เหนื่อยรากเลือดก็เอา เหนื่อยสายตัวแทบขาดก็เอา เพียงเพื่อให้ได้เงิน  ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ทรัพย์ฆ่าคนที่ไม่รู้จักใช้ทรัพย์ให้เป็น ทรัพย์ฆ่าคนที่ไม่รู้จักหาทรัพย์แล้วรู้พอ ฉะนั้นอดไปบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์ว่าอดแล้วเผื่อพุงจะลดไปบ้างดีไหม ไม่เคยอดเลยมีแต่พยายามสะสมพุง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ตอนนี้แทบจะหาเอวไม่พบแล้วใช่หรือเปล่า ฉะนั้นอย่ากลัวอด แต่สิ่งที่กลัวคือกลัวใจที่ขาดปัญญา กลัวใจที่มัวแต่โลภแสวงหาจนขาดคุณธรรม แล้วการโลภโดยที่ขาดคุณธรรมในการแสวงหาทรัพย์ ทรัพย์นั้นก็จะย้อนกลับมาฆ่าเราให้ตายทั้งเป็น หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เกิดมาเป็นทาสของเงิน เราเป็นไหม (เป็น)  ไหนใครบอกว่าไม่มีเงินออกจากบ้านไม่ได้ยกมือขึ้น ไม่มีเงินแล้วนอนไม่หลับยกมือขึ้น ไม่กล้ายกมือเลยนะ ทั้งที่จริงแล้วเป็นอย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ว่าบางครั้งลองเดินโดยที่ไม่มีเงินบ้างก็ได้นะศิษย์ ลองอยู่โดยที่ไม่มีเงินติดตัวบ้างก็ดีนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เผื่อใจไว้บ้างเพราะเงินไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป ใช่ไหม มีมากขนาดไหนถึงเวลาจริงๆ แล้วศิษย์หิ้วไปหมดไหม (ไม่หมด) แล้วศิษย์บอกว่าเอาไปฝากไว้ธนาคารมั่นคงแน่ๆ อาจารย์ถามว่า ถ้าวันหนึ่งระเบิดลงธนาคารที่ศิษย์ฝากเงินไว้จะทำอย่างไร ไปด่าเขาหน้าธนาคารได้ไหม แล้วอะไรคือความมั่นคงในชีวิต ศิษย์พยายามหาความมั่นคงในชีวิต เหมือนที่ศิษย์บอกว่าศิษย์กลัวเหงา ศิษย์เลยหาคู่ที่มั่นคงอาจารย์ขอถามว่า มีคู่ไหนมั่นคงบ้าง รักกันตั้งแต่หัวดำยันหัวหงอก ฉะนั้นศิษย์ต้องยอมรับในโลกใบนี้ เรามาตัวคนเดียว ถึงเวลาก็ต้องกลับคนเดียว ไปเข้าห้องน้ำเขาไปกับศิษย์ไหม (ไม่ไป)  ขนาดไปปลดทุกข์เขายังไม่ไปกับศิษย์เลย ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะว่าอยู่ในโลกใบนี้อย่ากลัวความโดดเดี่ยว ถ้าเราเข้าใจชีวิต เราเห็นแจ้งถึงความเป็นจริงในชีวิต มาคนเดียวก็กลับคนเดียว ไปคนเดียว เราก็มีสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรืออีกอย่างหนึ่ง ถ้าคนไหนรู้ว่าเราเกิดมาคนเดียว ไปอยู่ที่ไหนก็ต้องอยู่คนเดียว ทำอย่างไรให้ไปที่ไหนฉันก็มีญาติทุกๆ ที่ ปราชญ์โบราณจึงกล่าวไว้ว่า ผู้มีธรรมไปอยู่ที่ใด ย่อมมีญาติมิตรสหาย แต่ผู้ไร้ธรรมไปอยู่ที่ใดถึงจะมีคู่ สักวันก็ต้องไร้คู่  ใช่หรือไม่ (ใช่) 
กลัวอะไรอีก  (กลัวกรรม)  กลัวกรรมหรือ  เมื่อวานเซียนน้อยก็พูดแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ารู้จักดำรงอยู่ในศีลและธรรม เราก็จะไม่ประพฤติผิด กรรมก็จะไม่เป็นสิ่งที่น่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(กลัวผี)  คนที่กลัวผีแปลว่าเป็นคนไม่ดี ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า คนดีผีคุ้ม  ใครกลัวผีแปลว่ายังเป็นคน (ไม่ดี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจะกลัวทำไม ผีก็คือคน แต่เป็นคนที่ไม่มีร่างกายแล้วต่างหาก ใช่ไหม (ใช่)
(กลัวบำเพ็ญไม่ถึง)  บำเพ็ญถึงได้ ถ้าเรารู้จักมีสติรู้เท่าทันใจของตน ใจของตัวเอง แม้จะน่ากลัว แต่ถ้าเรารู้เท่าทันคุมใจได้ เห็นใจตัวเองได้ เราก็จะสามารถคุมใจตัวเองได้อยู่
มนุษย์เห็นคนอื่นแต่ไม่เห็นตัวเอง ใช่หรือไม่ ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่อาจารย์ยังไม่ตอบศิษย์ก็คือ มนุษย์ทุกคนกลัวทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกข์ที่เกิดจากตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นศิษย์เคยรู้ไหมว่าทุกข์มาจากไหน (ใจ) อะไรก็ตอบใจหมดเลย อย่าคิดว่าใจสามารถตอบได้ทุกคำถามนะ ถ้าเรายังมองไม่เห็นใจตัวเอง
(กลัวลูกไม่ขยันทำมาหากิน) จะไปกลัวทำไม ถึงเวลาแล้วถ้าศิษย์หมดอายุขัยไป ความกลัว ความห่วงอาจจะทำให้ศิษย์ต้องกลับมาเป็นอะไรก็ไม่รู้ เราดูแลเขาแล้วก็ปล่อยวาง ถึงเวลาทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีหนทางเป็นของตนเอง ห่วงไปแล้วก็ดูแลได้ไม่ทั่วถึง ชี้นำให้เขาเดินดี แต่ถ้าเขาไม่ใฝ่ดีก็เปล่าประโยชน์ ฉะนั้นทำตัวเองให้ดี ให้ถูกต้องดีกว่า เป็นหนทางให้เขาเห็นว่า ถ้าแม่ทำดีทำถูกต้อง ผลของการทำดีทำถูกต้องเป็นอย่างนี้ สอนด้วยการกระทำดีกว่าสอนด้วยคำพูด ใช่หรือไม่
ตกลงว่ากลัวทุกข์หรือกลัวไม่มีเงินทองกันแน่ กลัวไม่มีเงินไม่มีทองใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เคยเห็นใช่ไหม คนบางคนมีเงินมากแต่ไม่มีความสุข แต่บางคนมีเงินน้อยแต่มีความสุข เพราะรู้จักขยันทำมาหากิน โลกใบนี้เดี๋ยวราคาของก็ขึ้น เราทุกข์ใจไหม แต่เงินเราไม่ขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจงแปรดินให้เป็นทรัพย์ ข้างบ้านเรามีที่ไหม (มี)  ผักจะขึ้นราคาไม่เป็นไร ฉันมีผักข้างๆ บ้าน ผักพื้นบ้านปลูกไว้กิน เวลาไม่มีเงิน มีผักไว้กิน ไม่มีที่ก็ใช้กระถาง ใช่หรือไม่ ฉะนั้นตอนนี้ไม่มีเงินแต่ศิษย์ก็สามารถมีกินได้ เพราะว่าราคาเมล็ดพันธุ์ไม่แพง  ถ้าปลูกให้ดีก็อาจจะแปรเป็นเงินเป็นทอง ใช่หรือเปล่า  ฉะนั้น สิ่งที่น่ากลัวคือกลัวตัวเองไม่ขยัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(กลัวการกระทำของตัวเอง)  ฉะนั้นต้องรู้จักใจเย็น คิดให้รอบคอบ เราก็จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบชักนำให้เราเดินผิดทาง อย่าปล่อยให้คนอื่นพาเราหลงทาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพียงแค่เขาหลงรูปเรา ใช่หรือไม่
(กลัวไปไม่ถึงนิพพาน)  นิพพานไม่ใช่มีแค่พระพุทธะ ยังมีตั้งหลายตำแหน่ง ไม่จำเป็นต้องไปให้ถึงซึ่งอย่างที่พระพุทธะถึงก็ได้ เอาแค่ว่าไปถึงแล้วพร้อมที่จะไปฝึกฝนต่อยังเบื้องบนดีกว่า  ใช่หรือไม่  ฉะนั้นขอให้เพียรพยายาม
(กลัวโรคภัยไข้เจ็บ)  อาจารย์ตอบเหมือนกันทุกที่ โรคภัยไข้เจ็บน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  ผู้ปฏิบัติงานธรรมรู้แล้วว่าไม่น่ากลัว แต่นักเรียนของอาจารย์ยังไม่รู้ ก็ยังคิดว่าน่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จะบอกว่า โรคภัยไข้เจ็บมาเพื่อเตือนให้เรารู้ว่า เรามีสิ่งผิดปกติภายใน แล้วต้องรีบรักษาให้ปกติ ถ้าไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ความตายมาทันที แล้วโรคภัยไข้เจ็บควรจะมีไหม   โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากเวรกรรมจะหยุดและชำระได้ด้วยใจที่รู้จักสำนึกขอขมา และทำบุญให้เขา ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(กลัวตัดสินใจผิด)  ไม่ผิดแล้วจะรู้หรือว่าอะไรเรียกว่าถูก ใช่ไหม  แล้วถึงที่สุดแล้ว ศิษย์ว่าศิษย์ถูกแต่ก็ไม่แน่ พอเวลาผ่านไปสิ่งที่ถูกอาจจะเป็นผิด และสิ่งที่คิดว่าผิดก็อาจจะเป็นถูก  ฉะนั้นถูกผิดไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ใช่หรือไม่  ที่น่ากลัวก็คือหลงแต่คิดว่าจะต้องถูกแล้วไม่มีวันผิด
(กลัวความคิดของตัวเอง,กลัวควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้)  กลัวความคิดของตัวเอง ถ้าอย่างนั้นก่อนที่จะติดสินใจลงมือทำ ให้คิดแล้วไตร่ตรองให้ดีก่อนว่ามีศีลธรรมไหม ชอบธรรมหรือเปล่า  อาจารย์จะบอกว่าสิ่งที่ศิษย์กลัวกันมากที่สุดอีกอย่างหนึ่งคือกลัวความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเรารู้ไหมว่าทุกข์มาจากอะไร (ใจ)
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาเขียนคำว่า ดีกับ ชั่วบนกระดาน)
ถ้าอาจารย์เขียนคำว่า
ดี
ชั่ว
ศิษย์ชอบคำไหน (ดี)  แต่ชีวิตไม่มีอะไรง่ายอย่างที่คิด  แล้วถ้าอาจารย์เปลี่ยน
ดีไม่เหลือ
ชั่วไม่มี
ถ้าแบบนี้ศิษย์ชอบคำไหน (ชั่ว)  บางทีสิ่งที่เรามองเห็น อาจจะไม่เป็นอย่างที่เราเห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นคำว่า
สุข
ทุกข์
ศิษย์ชอบคำไหน (สุข)  ถ้าศิษย์ชอบคำว่าสุข และถ้าอาจารย์เปลี่ยน
สุขไม่เหลือ
ทุกข์ไม่มี
สุขไม่เหลือ” “ทุกข์ไม่มีอะไรดีกว่ากัน (ทุกข์ไม่มี)  อย่างนั้นถ้าเปลี่ยนกัน
ทุกข์ไม่เหลือ
สุขไม่มี
ชีวิตผันเปลี่ยนไปไม่แน่นอน บางทีเราอยากได้ทุกข์ไหม ไม่อยากได้ เราอยากได้สุขแต่แน่ใจหรือว่าเราจะเป็นสุขจริงๆ อย่างที่เราหวัง สุขอาจจะกลายเป็นสุขไม่มี แต่ได้ทุกข์ไม่เหลือก็ได้ ใช่หรือไม่ แล้วดีไหมสองอย่างนี้ (ไม่ดี)  จริงหรือศิษย์ สุขไม่มีทุกข์ก็ไม่เหลือ เห็นไหมความทุกข์ของมนุษย์เกิดจากอีกสาเหตุหนึ่งคือความไม่รู้ ไม่รู้อะไร ไม่รู้ความเป็นจริงแห่งชีวิตและไม่รู้เท่าทันในชีวิตตน ว่าตนเองต้องการอะไรกันแน่ ใช่ไหม พิจารณาให้ดีนะศิษย์ทุกข์ก็ไม่เหลือ สุขก็ไม่มี แปลว่าเราเข้าถึงความว่าง
มนุษย์ทุกข์อยู่ทุกวันนี้เพราะขาดความรู้ ยังหลงอยู่ในอวิชชา ยังเป็นผู้ไม่รู้ ไม่รู้ทั้งความเป็นจริงของโลก และไม่รู้เท่าทันตัวตน ตัวตนต้องการอะไรกันแน่รู้หรือยัง ศิษย์เอยบางครั้งชีวิตเลือกไม่ได้ อะไรมีก็ต้องทำใจให้สบาย อย่างนั้นถ้าอาจารย์เปลี่ยนอีก เปลี่ยนเป็นคำว่า
ได้
เสีย
ศิษย์ชอบคำไหน  อาจารย์พูดไปหนึ่งสองแล้ว สามสี่ศิษย์น่าจะต่อได้  ถ้าหนึ่งสองแล้วสามสี่ต่อไม่ได้ ชีวิตนี้ศิษย์ก็ทุกข์แน่ๆ ใช่หรือไม่
ฉะนั้นตอนนี้อาจารย์ถามว่า ได้กับเสียอยากได้อะไร (เสีย)  คิดได้ดี  (เสียไม่มี ได้ไม่เหลือ)  เสียไม่มี ได้ไม่เหลือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์มองให้ดี จำไว้ มีใครบ้างไม่เสียก่อนแล้วจึงได้ มีใครบ้างได้รับแล้วไม่ต้องเสีย  ฉะนั้นถ้าอาจารย์ให้เลือกระหว่าง ได้กับเสีย ศิษย์ก็ต้องบอกว่า อะไรก็ดีใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่อยากแต่จะได้ ไม่มีวันเสีย คนที่หวังแต่จะได้คือคนที่เป็นขอทาน มีนิทานเรื่องหนึ่ง พญายมถามวิญญาณสองดวงว่า อยากไปเกิดเป็นอะไร คนหนึ่งตอบว่าอยากเป็นคนที่มีแต่คนให้กับอีกคนหนึ่งบอกว่า  “อยากเป็นคนที่มีแต่จะให้เขา”  ถ้าศิษย์ไม่รู้ เข้าไม่ถึง ก็อยากเป็นคนแรกดีกว่า ใช่ไหม ใครๆ ก็อยากให้ คนนั้นเลยเกิดมาเป็นขอทาน ส่วนคนที่มีแต่จะให้คนอื่น คนนั้นเลยเกิดเป็นเศรษฐี 
ฉะนั้นต้นเหตุแห่งทุกข์ที่เป็นปัจจัยแรก ที่ทำให้มนุษย์ไม่มีวันพ้นทุกข์ ก็เพราะความไม่รู้ ไม่รู้ในความเป็นจริงแห่งชีวิต ไม่รู้เท่าทันในตัวตนว่าต้องการอะไรแน่  ฉะนั้นถ้าเราอยากพ้นทุกข์ เราต้องเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต อย่าเห็นแค่เพียงได้ อย่าเห็นแค่เพียงเสีย อย่าเห็นแค่เพียงสุขหรือทุกข์ ดีหรือแย่  เพราะว่าดี-แย่ ได้-เสีย ล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน นั่นแหละคือธรรม ใช่ไหม (ใช่) 
เหมือนใบไม้ ถ้าไม่อยากร่วง มีกี่ใบก็เก็บใบไว้หมด แล้วต้นไม้จะเติบโตไหม (ไม่)  เพราะยอมร่วง จึงทำให้เกิดเป็นต้นไม้ที่เติบโต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกัน ถ้าได้มาแล้วไม่รู้จักให้ เอาแต่เก็บ คนนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับของเน่าเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น อยากพ้นทุกข์ต้องมองให้เห็นความเป็นจริงในโลกนี้จริงหรือเปล่า (จริง)
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาให้เล่นเกมแก้เมื่อย)
อยู่ในชั้นเดียวกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ไม่ได้เกิดมาพร้อมกันแต่วันนี้ยอมตายพร้อมกันใช่หรือไม่  คนดีไม่มีวันกลัวตาย คนกลัวตายแปลว่ายังไม่มีดี ใช่หรือเปล่า
(นักเรียนเล่นเกมโดยฟังคำสั่งจากคำว่า เลขคู่ เลขคี่ หรือตัวเลขที่แทนเลขคู่ เลขคี่)  ดูแลตัวเองให้ดีก็จะไม่สร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่นนะ
อาจารย์บอกหนึ่ง ศิษย์ก็เห็นแค่หนึ่ง ใช่หรือไม่ แต่อาจารย์บอกว่า ถ้าเราอยากจะเอาชนะทุกข์ให้ได้ อย่าเห็นหนึ่งเป็นแค่หนึ่ง แต่จงเห็นหนึ่งมากกว่าหนึ่ง  เลขหนึ่งคือ (คี่)  เลขสองคือ (คู่)  อาจารย์บอกคี่ให้ทำอะไร (ยืน)  
เห็นไหมว่าหนึ่งคำพูดยังมีหลายความหมาย หนึ่งคำพูดยังมีลักษณะสมมุติมากมาย ฉะนั้นตอนนี้อาจารย์แค่สมมุติแค่หนึ่ง ศิษย์ยังสับสนขนาดนี้ แล้วชีวิตเรามีสิ่งสมมุติกี่อย่าง เราสับสนไหม และเราทุกข์ไหม และใครเป็นคนตั้งสมมุติและใครโง่กว่าสิ่งสมมุติ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างงกับสิ่งที่ตัวเองรู้ อย่าทุกข์กับสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ  ฉะนั้นอย่าเห็นหนึ่งเป็นแค่หนึ่ง อย่าหลงสิ่งสมมุติจนหาทุกข์ใส่ตัว
นอกจากทุกข์เพราะความไม่รู้แล้ว มนุษย์ยังทุกข์เพราะอะไรได้อีก
(ทุกข์เพราะความไม่สมหวัง)  เพราะเรายึดมั่นถือมั่นในความคิดตน ไม่มองในความเป็นจริง ใช่หรือไม่
(กลัวไม่มีปัญญา)  คือกลัวมีปัญญาที่ไม่ถูกต้อง  ถ้าเราอยู่ในศีลธรรม  ปัญญาเราจะไม่ถูกต้องไหม (ไม่)
(ทุกข์เพราะรู้มากเกินไป)  ทุกข์เพราะเห็นมากเกินไป ใช่หรือไม่  ฉะนั้นต้องจำไว้ว่า บางครั้งมันก็เป็นเช่นนั้นเอง เพราะเขามีเหตุปัจจัย ทำไมคนนี้ชอบพูดแบบนี้ แต่อีกคนหนึ่งทำไมพูดได้ดีเหลือเกิน อีกคนหนึ่งทำไมพูดไม่ดี  เหมือนบางทีที่เราเห็นคนอื่นดีกว่าคนในบ้าน ใช่หรือไม่ เพราะอะไร เพราะเราเห็นคนนอกบ้านน้อยกว่าคนในบ้าน จริงหรือเปล่า
(ทุกข์เพราะความคิด)  เพราะความคิด คิดมาก คิดฟุ้งซ่าน ใช่หรือไม่  ฉะนั้น ถึงบอกว่า อยู่คนเดียวระวังความคิด อยู่กับมิตรระวังคำพูดจา
(ทุกข์เพราะความโลภ)  อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า อาจารย์ให้ผลไม้หนึ่งลูก พอไหม (พอ)  คนส่วนใหญ่หนึ่งลูกพอไหม (ไม่พอ)  ฉะนั้น นี่จะเป็นคำตอบของคำตอบต่อไป
(ทุกข์เพราะหวัง)  หวังอีกลูกหนึ่งไหม
(ทุกข์เพราะความไม่รู้)  เข้าไม่ถึงหรือ ไม่ต้องเข้าถึงอะไรก็ได้ เข้าถึงใจตัวเองก็พอ เวลาที่พบเรื่องอะไรกระทบ มองให้เห็นว่าตอนนี้เราสงบไหม เราโกรธหรือเราโลภ หรือเราหลง หรือเราอิจฉา หรือเราฟุ้งซ่าน  ถ้าหยุดได้ หยุดที่ตัวเองก่อน อย่าไปหยุดที่ใคร ใช่ไหม
ทุกข์เกิดอีกอย่างหนึ่งได้เพราะว่า ทำแล้วไม่สมหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  สาเหตุของทุกข์อีกอย่างหนึ่ง นอกจากความไม่รู้แล้ว คือเกิดจาก (ความไม่สมหวัง, ทำอะไรก็ไม่ได้)  อยากมี อยากได้ อยากเป็น  อยากไปหลายเรื่อง แล้วเป็นไปได้ทุกเรื่องที่อยากไหม อยากให้ครอบครัวสบาย อยากให้ลูกหลานร่มเย็น แต่ถ้าลูกไม่คิดดี ลูกอยากทำชั่ว จะร่มเย็นไหม แล้วถ้าแม่เอาแต่อารมณ์ร้อนขี้บ่น บ้านจะสงบไหม (ไม่สงบ) ฉะนั้นต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน ยังไม่ต้องอยากอะไร เป็นในสิ่งที่เขาเป็นนั่นดีแล้ว อยากมากๆ ก็ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) 
มีใครอยากตอบคำถามอาจารย์อีกไหม (ทุกข์เพราะหลง) มีศิษย์ถามพระอาจารย์ว่ากลับไปแล้วกลัวทำไม่ได้อย่างนั้นอาจารย์ให้กล้วยดีไหม กล้วยๆ หรือกล้วยเดียว (กล้วยๆ)  อย่างนั้นออกมาเลย มารับไป กล้วยไม่เหมือนกล้วย ดูเหมือนกล้วยแต่อาจารย์บอกไว้ก่อน กล้วยนั้นไม่เหมือนกล้วยนะ ฉะนั้นถ้ากินไปแล้วอย่าลืมว่ากล้วยไม่เหมือนกล้วย
(กลัวโง่เขลาเบาปัญญา)  การบำเพ็ญโง่ๆ ซื่อๆ บางทีก็ทำให้ผ่านความทุกข์ได้ใช่หรือไม่ แต่โง่แล้วต้องฉลาดเป็นด้วย ฉลาดแล้วก็ต้องโง่เป็นได้ใช่หรือไม่
(กลัวกังวล)  ถ้าเรากล้ารับความเป็นจริงเรื่องราวในโลกก็ไม่น่ากลัวใช่หรือไม่ เราต้องกล้าสู้กับความเป็นจริงเพราะว่าถ้าเราไม่สู้กับความเป็นจริง อะไรก็น่ากลัว อะไรก็ชวนกังวล
(กลัวโรคภัยไข้เจ็บ)  โรคภัยไข้เจ็บไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเพราะโรคภัยไข้เจ็บเป็นสัญญาณมาเตือนว่า เรากำลังมีความผิดปกติ ภายในใช่หรือไม่ ดีกว่าไม่มาแล้วปล่อยให้เราตายเลยอย่างนั้นน่ากลัวกว่า โรคภัยไข้เจ็บมาสอนให้เรารู้จักเข้มแข็งและแข็งแรงจริงหรือไม่
(กลัวมองไม่เห็น)  อาจารย์ถามหน่อยนะ พออายุมากสิ่งที่เห็นก็เหมือนไม่เห็น ที่ได้ยินชัดก็เหมือนไม่ได้ยิน อย่างนั้นไม่ต้องกลัวเพราะอย่างไรถึงที่สุดเห็นก็เหมือนไม่เห็น เชื่ออาจารย์เพราะเวลาแก่แล้วศิษย์เห็นก็เหมือนไม่เห็นแล้วนะ  นี่เป็นสัญญาณเตือนของธรรมะที่ต้องการบอกให้ทุกคนรู้ว่า สิ่งที่ศิษย์เห็นสักวันหนึ่งศิษย์ต้องไม่เห็น สิ่งที่ศิษย์ได้ยินสักวันหนึ่งศิษย์ต้องหยุดได้ยินแล้ว สิ่งที่วันหนึ่งศิษย์จับได้ สักวันศิษย์จะจับไม่ได้ และสิ่งที่วันหนึ่งศิษย์ครอบครองถึงวันหนึ่งศิษย์จะครอบครองไม่ได้  อย่ารอให้สัจธรรมมาเคาะประตูแล้วค่อยรู้สึกสังวรณ์ รู้จักปลง ช้าไปไหม ฉะนั้นไม่ต้องกลัว รักษาได้ก็รักษา แต่ถ้ารักษาไม่ได้ก็ต้องยอมรับชะตากรรม
กลัวอะไร (กลัวไม่ได้กิน)  กลัวทำไม น่ากลัวตรงที่มือจะเข้าปากไม่ถึง เคยเป็นโรคมือสั่นไหมศิษย์ ระวังนะอันนั้นน่ากลัวกว่า
(กลัวใจผู้อื่น)  ศิษย์เอ๋ยคนถ้ามีบุญกับเรา อย่างไรเขาก็รักเรา แต่ถ้าเขาไม่ได้ทำบุญร่วมกับเรามา แม้ศิษย์จะทำเต็มที่ขนาดไหนเขาก็ไม่รักเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าลืมที่อาจารย์บอก ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุปัจจัย ทำบุญเนื่องกันมาก็ได้คู่กัน แต่ถ้าไม่ได้ทำบุญเนื่องกันมาก็ไม่มีวันคู่กับใคร ใช่ไหม
(กลัวเจ้ากรรมนายเวรมาทวงหนี้)  ตอนนี้มาหรือยัง (น่าจะมาแล้ว)  ศิษย์เอ๋ย อาจารย์บอกอย่างหนึ่งนะ ไม่ใช่เจ็บนิด เจ็บหน่อย เจ้ากรรมมา ไม่ใช่ บางทีเกิดจากตัวเอง ไม่ดูแลรักษาตัวเองให้ดี ใช่หรือไม่ ศิษย์ของอาจารย์กินเสร็จนั่ง นั่งเสร็จ กิน ขยับเขยื้อนอะไรไหม ไม่ค่อยออกกำลังกาย กินก็เลือกกินแต่ของที่ชอบ ที่ไม่ชอบก็ไม่กิน รู้ไหมว่าที่ไม่ชอบกินนั้นมีประโยชน์ ฉะนั้นอย่าโทษกรรมเวร กรรมเวรคือสิ่งที่เป็นแล้วรักษาไม่มีวันหาย หาสาเหตุไม่ได้ นั่นถึงเรียกว่ากรรมเวร เข้าใจนะ แต่ถ้าเราทำดีอยู่เสมอ กรรมก็ตามไม่ทัน และทุกวันหมั่นขอขมาอยู่เสมอ ทำดีก็ขอขมา ทำดีมากเท่าไรก็ขอขมาเจ้ากรรมนายเวร เพราะถ้าทุกวันศิษย์ขอขมาบ่อยๆ เจ้ากรรมนายเวรที่แค้นๆ เขาก็ยังให้อภัย ใช่หรือไม่
(กลัวอด)  อาจารย์บอกไปแล้วว่าอย่าได้กลัวอด เพราะว่าคนที่กลัวอดคือคนที่ (ขี้เกียจ)  ใช่หรือไม่ ฉะนั้นมีปัญญาไม่มีวันอด ไร้ปัญญาแม้มั่งมีก็มีวันอด ใช่ไหม
ทุกข์เกิดจากความอยากได้ อยากมี อยากเป็น นี่คือทุกข์ที่สองที่เกิดจากมนุษย์ ใช่หรือไม่  มนุษย์ทุกข์เพราะไม่รู้อย่างหนึ่ง อย่างที่สองทุกข์เพราะอยากได้ อยากมี อยากเป็น และไม่อยากเป็น หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทุกข์เพราะตัณหา ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า ในโลกมีอะไรแล้วไม่ทุกข์ ในโลกเป็นอะไรแล้วไม่ทุกข์ เป็นตัวเราก็ยังทุกข์เลยใช่หรือไม่ ฉะนั้นมีอะไรแล้วเป็นอะไรแล้ว ไม่ทุกข์ มันไม่มี ฉะนั้นถ้ามนุษย์เข้าใจตรงนี้ก็คงไม่อยากมี ไม่อยากเป็นอะไรในโลก แต่ศิษย์ของอาจารย์อยากมีไหม (อยาก)
(กลัวไม่มีเงิน)  ถ้าอาจารย์จี้กงให้สองตัวศิษย์คงดีใจนะ แต่อาจารย์บอกตามตรงนะ ศิษย์เอย มีเงินมากลูกจะรักเรา มีเงินมากครอบครัวจะร่มเย็น ใช่ไหม คิดให้ดีๆ นะ มีเงินน้อยแต่ลูกช่วยกันดูแลเอาใจใส่พ่อแม่ ขยันขันแข็งดีกว่ามีเงินมากแต่ตัวใครตัวมัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แถมไม่มีเวลามาดูแลเราใช่หรือไม่ สู้มีเงินน้อย พ่อเห็นลูก ลูกเห็นแม่ ต่างคนต่างช่วยทำมาหากิน มีเท่าที่กินยังมีสุขกว่ามีมากแต่ไม่เห็นใคร คิดให้ดีๆ นะศิษย์ ความสุขที่แท้จริงคืออะไรใช่หรือเปล่า
มนุษย์ทุกข์อีกอย่างหนึ่งและเป็นต้นเหตุหลักใหญ่ของโลกใบนี้คือทุกข์เพราะมีสังขาร เราทำทุกอย่างเพื่อสังขารใช่หรือไม่ ฉะนั้นพระพุทธะกล่าวไว้ว่า  สังขารหรือขันธ์ทั้ง ๕ [๑]เป็นต้นเหตุหรือมูลเหตุของความทุกข์ทั้งมวลในโลก
ฉะนั้นถ้าเราปลงสังขารได้ วางสังขารได้ เราจะพบสุขในโลกได้  อาจารย์เคยบอกว่า สังขารนี้อาจารย์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กองทุกข์ ใช่หรือไม่ แต่ตอนนี้อาจารย์เปลี่ยนเรียกว่ากองขี้ เราพยายามทำทุกอย่างเพื่อกองขี้กองนี้ จริงไหม (จริง)  เราหาสุขก็เพื่อกองขี้กองนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งที่ออกจากตาเรียกว่าอะไร น้ำตาหรือขี้ตา  สิ่งที่ออกจากจมูกเรียกว่าน้ำมูกหรือขี้มูก ออกจากปากเรียกว่าน้ำลายหรือขี้ปาก แล้วออกจากใจล่ะ ขี้ของใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าออกมามีคุณธรรมก็เรียกว่าน้ำใจ ออกมาประกอบไปด้วยเมตตาธรรมก็เรียกว่ามีคุณธรรม ใช่หรือไม่  แต่ถ้าออกมาด้วยความเห็นแก่ตัว ออกมาด้วยความอยากมีอยากได้ ออกมาด้วยความโลภ โกรธ หลง พระพุทธะ เรียกว่ากิเลส และกิเลสนี้ที่นำให้มนุษย์ต้องทุกข์และเวียนว่ายไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเราบำรุงบำเรอกองทุกข์นี้ เราทำทุกอย่างเพื่อกองทุกข์นี้ แต่ถึงที่สุดแล้วก้อนเนื้อก้อนนี้ไปกับเราได้ไหม (ไม่ได้)  สิ่งที่ไปกับเราคือสิ่งที่จิตของศิษย์สั่งสม จริงไหม (จริง)  เนื้อประกอบไปด้วยดินน้ำลมไฟ ถึงเวลาก็ไปตามดินน้ำลมไฟ แต่สิ่งที่ยังคงอยู่คือจิต ถ้าจิตยังไม่เข้าถึงธรรม จิตยังเต็มไปด้วยกิเลส จิตนั้นก็หนีไม่พ้นวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย
ฉะนั้นหนทางที่ประเสริฐ ที่จะสามารถดับทุกข์ทั้งมวลได้ คืออะไร
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนคำว่า รูปนามมายาสมมุติ)
รูปอาจจะเทียบได้อีกอย่างหนึ่งคือกาย นามอาจจะเทียบได้อีกอย่างหนึ่งคือจิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งรูปและนามล้วนหนีไม่พ้นความเปลี่ยนแปลง ทั้งรูปและนามคือสิ่งที่เป็นสิ่งสมมุติที่เรายืมใช้มา ถึงเวลาเราต้องคืนเขาไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นกายกับจิตก็ไม่ต่างอะไรกับรูปและนาม ถึงเวลาทั้งรูปและนาม เหลือคงไว้ก็คือสภาวธรรมแห่งความเปลี่ยนแปลง ธรรมแห่งการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ธรรมแห่งความแตกต่างแต่มีความเป็นหนึ่งใช่หรือไม่  ถ้ามนุษย์ไม่เข้าถึงธรรม มนุษย์ก็ยังคงหนีไม่พ้นจิตสั่งสมและต้องเวียนว่ายตายเกิด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นวันนี้อาจารย์คงกลับได้แล้วใช่หรือไม่ อาจารย์เห็นศิษย์บางคนยืนจนเหนื่อยแล้วนะ บางคนนั่งจนหลับแล้วหลับอีกใช่หรือไม่  สิ่งที่ประเสริฐอีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์อยากจะบอกคืออะไร แต่บอกไปอาจารย์ก็รู้ว่าศิษย์จำไม่ได้ใช่ไหม เหมือนอาจารย์ถามว่าตอนนี้จำอะไรได้บ้าง  อย่างนั้นอาจารย์บอกง่ายๆ ต้นเหตุแห่งความทุกข์ที่ทำให้เราต้องวิ่งเวียนวนคือ
๑. ความไม่รู้
๒. ตัณหา
๓. รูปขันธ์หรือขันธ์ทั้ง ๕
ฉะนั้นถ้าศิษย์มีปัญญาหยั่งรู้ความจริงแท้ ศิษย์จะสามารถตัดตัณหาและปล่อยวางขันธ์ได้ ใช่หรือเปล่า สังขารนี้ไม่เที่ยง ถึงเวลาก็ต้องแตกสลายไป เมื่อไรตาเริ่มมองไม่เห็น หูเริ่มฟังไม่ได้ยิน ขาเริ่มขยับไม่ได้นั่นเป็นสิ่งที่มาเตือนบอกเราแล้วว่า ชีวิตมันไม่เที่ยงแล้ว กำลังกลับคืนสู่ความว่างแล้ว แล้วเราว่างได้หรือยัง ใช่หรือไม่ นับถือพุทธศาสนา หลักแห่งพุทธศาสนามีอีกอย่างหนึ่งว่า ละชั่วกระทำความดีและรักษาใจให้บริสุทธิ์ เราละชั่วได้ และเราทำดีมั่นคงได้แล้วหรือยัง แล้วเราทำดีจนถึงความบริสุทธิ์ผ่องแผ้วของจิตใจได้แล้วหรือยัง จิตที่ทำให้เราขุ่นมัวก็เกิดมาจากกิเลส ตัณหาและความไม่รู้ เราสามารถบริสุทธิ์และคืนใสได้ก็ต่อเมื่อเรารู้แจ้งแล้วว่าในโลกนี้ไม่มีอะไร น่าเอา ในโลกนี้ไม่มีอะไรน่าเป็น และในโลกนี้ไม่มีอะไรน่า...
อาจารย์ไม่บอกแล้วนะให้ศิษย์ไปคิดเอาเองบ้าง ทุกคนล้วนมีปัญญาที่หยั่งรู้ได้แต่เราไม่เคยหันมามองตัวเองใช่ไหม



วันจันทร์ที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช  ๒๕๕๔
  พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

  รูปมายานามสมมุติคนยึดถือ                 หลงก็คืออบายภูมิ[๒]ทุกข์ไม่สิ้น
ปล่อยตัวเองตามกิเลสอารมณ์จนเคยชิน   ยามชีพสิ้นไม่พ้นว่ายเวียนทุกข์ทน
                  เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่แดนโลก แฝงกายกตัญชุลี
องค์มารดา                     ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  แม้ความจริงอาจฟังยากดูขัดหู              แต่ฟังหูไว้หูไม่เสียเปล่า
คนกล้าท้วงกล้าติงบอกเรื่องราว               เพราะห่วงใยจึงกล้ากล่าวด้วยหวังดี
ความจริงความตรงคนยากรับได้              ดุจยาขมกว่ากินได้ยากเต็มที
เคลือบหวานหน่อยก็คงดูเข้าที                 กินง่ายดีฟังรื่นหูแฝงความนัย
พอพูดอ้อมก็บอกไม่รู้เรื่อง                       พอไม่พูดอึดอัดเคืองเป็นเรื่องใหญ่
พอรำคาญตามใจก็เสียคนไป                  อย่าง่ายง่ายลวกลวกไปไม่เหลือดี
ในอ่อนนอกเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวอยู่               คนฉลาดไม่อวดรู้ไปทุกที่
ถึงรู้แล้วพร้อมรับฟังด้วยยินดี                  ทำได้เช่นนี้กลับยิ่งลดอัตตาจริง
คนหัวดื้อมีจุดยืนในของตน                     ต้องกล้าทนกล้ารับในทุกสิ่ง
ร้ายไม่เกลียดดีไม่หลงบำเพ็ญจริง            ถึงเวลาต้องพูดจริงทำจริงอย่างตั้งใจ
ฮา  ฮา  หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
วันนี้เป็นโอกาสดีที่ได้มาผูกบุญสัมพันธ์ร่วมกัน แม้จะเป็นวันสุดท้ายแต่ก็คงไม่ใช่วันที่ท้ายสุด ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
แม้ความจริงอาจฟังยากดูขัดหู         แต่ฟังหูไว้หูไม่เสียเปล่า
คนกล้าท้วงกล้าติงบอกเรื่องราว         เพราะห่วงใยจึงกล้ากล่าวด้วยหวังดี
เป็นอย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดตรงเกินไปพูดขวานผ่าซากเกินไป แม้จะจริงขนาดไหนแต่เราก็รู้สึกว่ายากจะรับได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ความจริงความตรงคนยากรับได้       ดุจยาขมกว่ากินได้ยากเต็มที่
อยากรู้ว่ายาขมหรือไม่ ลองแกะยาที่มีตัวเคลือบแคปซูลออก จะรู้ว่าที่เขาเคลือบก็เพราะว่ายานี้ขมจริงๆ อยากรู้ว่าเราเกิดเป็นคน ตัวตนของคนยังยากที่จะรับความขม อย่างนั้นการพูดตรงๆ บางครั้งถึงแม้จะเป็นความจริงแต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะยอมรับได้ จริงหรือเปล่า (จริง) 
เคลือบหวานหน่อยก็คงดูเข้าที 
กินง่ายดีฟังรื่นหูแฝงความนัย
พอพูดอ้อมก็บอกไม่รู้เรื่อง              
พอไม่พูดอึดอัดเคืองเป็นเรื่องใหญ่
พูดตรงๆ ก็รับไม่ได้ พอเราพูดอ้อมๆ ก็บอกว่า (ไม่รู้เรื่อง)  พอเราไม่พูดเลย คนที่ไม่พูดก็อึดอัด คนอยู่ข้างๆ ก็อึดอัด ใช่ไหม (ใช่)  เวลาพูดไม่พูด แต่หน้าบอกบุญไม่รับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น การอยู่ร่วมกันจึงเป็นเรื่องยาก พูดภาษาไทยเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  ฟังภาษาไทยเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  แต่ทำไมคนเหมือนกันจึงคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (เป็น)  พูดตรงก็รับไม่ได้ พูดอ้อมๆ ก็บอกว่าไม่รู้เรื่อง ไม่พูดเลยก็บอกว่าอึดอัด อย่างนั้นการเป็นคนที่ดีในโลกนี้ หรือการที่จะอยู่กับคนในโลกนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือที่มนุษย์ชอบพูดว่าเมื่อสั่งหนึ่งให้ไปทำหนึ่ง คนทั่วไปก็บอกว่าซื่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอสั่งหนึ่ง เขาทำสอง สาม คนก็บอกว่า (อวดฉลาด) อวดเก่ง อวดรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถึงแม้วันนี้ท่านจะฟังธรรมะมากขนาดไหน แต่ถึงเวลาเมื่อจะไปทำดีก็รู้สึกเป็นเรื่องยากเหลือเกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเวลาเราจะทำดีก็เป็นเรื่องยากที่จะออกจากใจแล้ว และเมื่อทำออกมาแล้ว พบคนพูดอีกก็เลยยิ่งไม่กล้า ฉะนั้นเรารู้ดี เราเลยไม่ทำดีเลย ถูกไหม (ไม่ถูก)  ทำไมเราถึงต้องทำดีรู้หรือไม่ เพราะว่าโลกใบนี้เป็นโลกแห่งความทุกข์ มีแต่คนอยากแก่งแย่ง มีแต่คนอยากเห็นแก่ตัว การทำดีก็เพื่อจะช่วยลดทอนความทุกข์ในใจของผู้คน และลดทอนความทุกข์ในใจของตน เพราะการทำดี เราทำได้ เราสบายใจ แต่เวลาทำจงจำไว้อย่างหนึ่ง ว่าทำแล้วเป็นธรรมดาที่ต้องมีคนติ ทำแล้วต้องมีคนตำหนิติเตียน และมีคนไม่กล้าที่จะชม ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเวลาทำดี ท่านจึงต้องรู้จักที่จะมุ่งมั่นตั้งใจอย่างเข้มแข็ง เพราะถ้าไม่มุ่งมั่นตั้งใจอย่างเข้มแข็งแล้ว ความดีหรือต้นธรรมะจะไม่สามารถเจริญเติบโต วันนี้ท่านฟังธรรมะเหมือนได้เมล็ดพันธุ์แห่งความดี แต่จะทำให้ต้นของคุณธรรมเจริญเติบโตได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของตัวท่านเอง ว่าจะเด็ดเดี่ยวเพียงใด ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งธรรมแค่เพียงเมล็ดเดียว  เพราะเวลาเราปลูกต้นไม้ให้เติบโตยังต้องหย่อนไว้หลายๆ เมล็ด กันว่าจะถูกแมลงกินบ้าง กันว่าเมล็ดนั้นจะเป็นเมล็ดฝ่อบ้าง เผื่อหลายๆ เมล็ดจะมีเมล็ดที่มั่นคง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าสมมุติว่าเราวาดดอกไม้สักดอกหนึ่ง วางทิ้งไว้หรือมีกระเช้าดอกไม้ที่เราปักดอกไม้ทิ้งไว้ ถามว่าถึงเวลาจะมีคนอยากมาดึงไหม (อยาก)  จะมีคนอยากมาเติมไหม (ไม่มี)  ในความเป็นจริงของโลกใบนี้มีแต่ที่จะอยากดึงมากกว่าที่จะอยากเติม หรือไม่ดึงก็แอบเด็ดให้ไม่สวยใช่หรือไม่ (ใช่)  “ไม่มีอะไรหรอกแต่ยืนข้างๆ ไม่มีอะไรทำเด็ดมันทิ้งเล่นๆใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นเวลาทำดีจงจำไว้อย่างหนึ่งอย่ากลัวฟ้าทดสอบ อย่ากลัวคนตำหนิต่อว่าและอย่ากลัวเจ้ากรรมนายเวรมาทวงหนี้กรรม เพราะเราหนีไม่พ้น  ชีวิตนี้ต้องพบสามสิ่งนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันใดถูกฟ้าทดสอบจงภูมิใจว่าฟ้าจะเลื่อนขั้นความดี วันใดถูกคนทดสอบ คนจะช่วยสร้างบุญวาสนา วันใดถูกเจ้ากรรมนายเวรมาทวงถาม  วันนั้นจะได้ช่วยชำระหนี้บาปเวรกรรม
ฉะนั้นไม่ว่าฟ้าทดสอบ คนตำหนิต่อว่า เจ้ากรรมนายเวรมาทวงถามนั้นล้วนเป็นตัวที่ทำให้เราดียิ่งขึ้น ได้ชดใช้กรรมไม่ต้องผูกกรรมต่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าฟ้ามาทดสอบ ท่านตำหนิต่อว่า เวลามีคนมาตำหนิติเตียนท่านเคียดแค้นชิงชัง เจ้ากรรมนายเวรมาทวงถาม ท่านผูกใจเจ็บ นั่นแปลว่าความดีของท่านไปไม่ถึงและความดีของท่านนั้นกลายเป็นความดีที่สร้างกรรมเวรไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ เหมือนดั่งเราดีมาแต่เขาร้ายตอบเราเลยร้ายตอบกลับ ร้ายกับร้ายกลับกันไปกลับกันมา เวรกรรมก็ไม่มีวันจบ แต่ฉะนั้นร้ายมาเราดีตอบด้วยจิตใจที่ให้อภัย เราจะสามารถจบเวรจบกรรมได้เมื่อมีชีวิต ยากไหม สิ่งที่เราพูดทำยากไหม (ไม่ยาก)

ในอ่อนนอกเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวอยู่      คนฉลาดไม่อวดรู้ไปทุกที่
ถึงรู้แล้วพร้อมรับฟังด้วยยินดี ทำได้เช่นนี้กลับยิ่งลดอัตตาจริง
อยากนั่งกันหรือยัง (อยาก)  แต่เราได้ยินคำพูดของมนุษย์มักจะพูดว่า กินอิ่มๆ อย่าเพิ่งรีบนั่ง อย่างนั้นเราควรจะตามใจหรือว่าควรจะรักษากายท่านดี เราควรจะรักษาใจหรือกายของท่านดี การตามใจก็คือรักษาใจท่านแต่ไม่รักษากายท่าน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  กินอิ่มๆ ไม่ควรรีบนั่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะบางทีอาจจะทำให้จุก ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นกินอิ่มๆ ควรจะยืนสักพักหนึ่ง เพราะลำไส้จะทำงานได้ดีต้องในขณะที่ตัวตรง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราควรรักษากายท่านดีกว่ารักษาใจ จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะบางทีท่านตามใจจนทอดทิ้งกาย ใช่ไหม (ใช่)  ไหนใครกินแล้วรู้สึกอิ่มเกินบ้าง (ไม่มี)  คงไม่มีใช่หรือไม่ 
(อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม เด็ดใบไม้ ดอกไม้ที่เหี่ยวออกจากตระกร้าของหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ)
ดูสิไม่ทันไรก็มีคนมาเด็ดออกแล้ว เขาบอกว่ามันเหี่ยว มันก็เป็นเช่นนั้นเอง ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเวลามุ่งมั่นทำอะไรแล้วท้อไปบ้างล้าไปบ้างแต่ต้องกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ ไม่อย่างนั้นถ้าท้อนานเกินไปจะถูกคนเด็ดทิ้ง จริงไหม เหมือนคนตั้งใจจะทำอะไรแต่ห่อเหี่ยวหดหู่ ตั้งใจแรกเริ่มแต่พอทำไม่สำเร็จห่อเหี่ยวหดหู่แล้วคนอยู่ข้างๆ ก็บอกท่านว่าเลิกทำเถอะ จริงไหม แต่ถ้าเรายิ่งทำเรายิ่งมีความสุข ยิ่งทำเรายิ่งสดชื่น ยิ่งทำเรายิ่งชื่นบาน มีหรือเขาจะช่วยเราเด็ดทิ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามุ่งมั่นจะบำเพ็ญธรรม มุ่งมั่นจะช่วยคน มุ่งมั่นจะทำดีเพื่อเป็นศรีให้กับตัวตนเราต้องทำอย่างไม่หวังผล เราต้องทำเพื่อความสบายใจของผู้คน จริงไหม ถ้าทำแค่สบายใจของตนแต่ผู้อื่นเป็นทุกข์บางครั้งเราก็ต้องพิจารณาว่าสิ่งที่ เราทำนั้นกำลังดื้อดึงเกินไปไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าดื้อแล้วได้ดีก็น่าจะดื้อ ใช่หรือเปล่า  อย่างนั้นทำอย่างไรล่ะถึงจะเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นดีหรือไม่ ดี แล้วเขาว่าเรานั้นควรไหมที่เราจะเลิกหรือทำต่อไปดี  วิธีที่จะตรวจสอบก็ไม่ยากเลย เวลาเราทำสิ่งใดก็ตาม ทำแล้วเงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ไม่ผิดต่อมโนธรรมสำนึกแห่งใจตนและไม่ผิดต่อคุณธรรมแห่งความเป็นคน
ฉะนั้นเวลา ทำอะไรก็ตามขอให้ตรวจสอบไว้  ทำแล้วเงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ไม่ผิดต่อมโนสำนึกในใจคน และไม่ผิดต่อคุณธรรมแห่งความเป็นคน นี่เป็นตัวตรวจสอบว่าสิ่งที่เราทำนั้นดีหรือไม่ดีอย่างแท้จริง
 คนหัวดื้อมีจุดยืนในของตน       
ต้องกล้าทนกล้ารับในทุกสิ่ง
ฉะนั้นถ้าจะดื้อที่จะทำสิ่งใด โดยที่ไม่สูญเสียจุดยืนของตน ไม่สูญเสียคุณธรรมในความเป็นตน ไม่สูญเสียมโนธรรมสำนึกในความดีงาม ก็ต้องกล้ารับให้ได้ในทุกเรื่องทุกราว ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์มีสิ่งที่ชอบเหมือนๆ กัน แล้วก็ไม่ชอบคล้ายๆ กันใช่ไหม (ใช่)  คนในโลกนี้รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน ใช่หรือไม่(ใช่)  เวลาเราอยู่ร่วมกันกับคนจะทำอย่างไรให้เขาไม่กระทบกับเราได้ ก็คือ อย่างมากต้องระวังคำพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยเฉพาะคำพูดเป็นปัญหาใหญ่ของมนุษย์เลย พูดดีก็เป็นศรีแก่ปาก แต่ถ้าพูดมาก(ปากมีสี)  รู้ชัดแต่ถึงเวลาทำชัดอย่างที่รู้ไหม
ฉะนั้นจงจำไว้อย่างหนึ่ง ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ทุกคน ไม่มีใครหรอกชอบที่จะถูกคนว่า ใช่ไหม (ใช่)  เราขึ้นชื่อว่าจะบำเพ็ญธรรม การบำเพ็ญธรรมอยากจะบอกให้มนุษย์รู้และปฏิบัติกันก็คือ เข้มงวดตนเอง ผ่อนปรนผู้อื่น มีเวลาเอาเวลามาจับผิดตนแก้ไขตน แต่ไม่ไปจับผิดคนอื่นแก้ไขผู้อื่น เพราะคนโดยส่วนใหญ่นั้นไม่ชอบถูกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  และคนโดยส่วนใหญ่ก็ไม่ชอบเป็นคนผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างน้อยไม่ผิดมากผิดน้อยก็ไม่เอา อยากเป็นคนที่ถูกเสมอและไม่เคยถูกว่า ใช่หรือไม่ ตัวเราชอบไหม ก็ไม่ชอบถูกหรือเปล่า
ฉะนั้นเราพึงสังวรณ์ไว้เสมอว่าแม้เราจะเห็นว่าเขาไม่ดี แต่เมื่อเขาไม่ดีจะพูดอะไรต้องใช้ความระมัดระวัง จะเตือนอะไรต้องใช้ความสุขุมรอบคอบ เพราะไม่อย่างนั้นจะเป็นเรื่องได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จงจำไว้เลยอยากอยู่กับเขานานๆ ไม่ต้องเตือนเขาเลยดีไหม ไม่ต้องว่าเขาเลยได้ไหม (ไม่ได้)  ถึงเรารู้อยู่เต็มอก ฉะนั้นเราต้องเลือกวิธีที่จะว่าและเมื่อเขาผิดเราต้องรู้ที่จะเข้าใจ เมื่อจะว่าต้องไม่ว่าเขาต่อหน้าคนหมู่มาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องเลือกที่หน่อยแล้วบอกเขาว่า มีเรื่องดีๆ จะมาบอกใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราต้องเคลือบน้ำตาลไว้ก่อนและถึงเวลาให้เขารู้ว่าขมทีหลัง เราบอกว่ามีเรื่องดีๆ มาบอก เราก็บอกต่อว่าเรื่องดีนั้นเป็นยาขมแต่กินแล้วรักษาใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่อยากเตือนก็เพราะหวังดี ไม่ใช่รังเกียจ เกริ่นไว้มากๆ พอพูดไปเขาจะได้รู้ว่าเราต้องการว่าเขา ฉะนั้นถึงแม้ว่าเขาจะรู้ทีหลัง แต่เรามีชัยไปแล้วครึ่งหนึ่ง เราซื้อใจเขาไปตั้งครึ่งหนึ่ง
ฉะนั้นเวลาอยู่ร่วมกับคนอื่น สิ่งที่เราขาดไม่ได้ก็คือการให้เกียรติ สุภาพอ่อนน้อม และจริงใจ ฉะนั้นแม้จะพูดว่าเขา แต่เราซื้อใจเขาไปครึ่งหนึ่งแล้ว ด้วยความหวังดีเราอยากเตือนเขา เราอยากว่าเขา เราได้ใจเขาไปครึ่งหนึ่ง พอถูกว่าอีกหน่อยเขาก็คงทำใจรับได้ แต่ไม่ใช่ชอบเหน็บ อย่างนั้นไม่ดี ถูกไหม (ถูก)  มนุษย์พอเผลอๆ เหน็บสักหน่อย หยิกสักนิดหนึ่ง เผื่อจะรู้ แต่เขาจะรู้ไหม (ไม่รู้)
ฉะนั้นอยู่ร่วมกัน บางทีเห็นคนอื่นชัด เห็นเขาไม่ดีชัด แต่วิธีที่จะปฏิบัติ จำไว้เลยนะใช้ความสุภาพ อ่อนน้อม จริงใจและให้เกียรติ แค่ทำเริ่มต้นอย่างนี้ก็ได้เขาไปครึ่งใจแล้ว พอจะว่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยาก ถูกหรือไม่ (ถูก)  ไม่ใช่อยู่ๆ ก็ขวานผ่าซาก โยนขวานไปเลย อย่างนี้เจ็บปวดใจ
แล้วเราอย่าลืมว่าคนส่วนใหญ่ ไม่ว่าใครหรือแม้แต่ตัวเราเอง ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ก็ไม่อยากถูกเข้าใจผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่อยากถูกว่าเป็นผู้ผิด ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรม สิ่งดีต้องส่งเสริม สิ่งไม่ดีต้องช่วยกัน (แก้ไข)  แก้ไขเราหรือแก้ไขเขา (เรา) แก้ไขเราก่อน ส่วนเขาถ้าพูดครั้งหนึ่งแล้วไม่เชื่อต้องทำใจของเรา แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ขยันว่า ขยันติ แต่ขี้เกียจชม ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอว่าเขามาก ติมาก เราเลยรู้ว่า เขาไม่อยากดีเพราะไม่รู้ว่าอะไรดี  เพราะทุกวันมีแต่ถูกว่า ว่าไม่ดี
ฉะนั้นเราอย่าเป็นคนหนึ่งที่ทำลายคนดีโดยไม่รู้ตัว เพราะชมไม่เป็น เป็นอย่างนั้นไหม ขยันว่าแต่ไม่ขยันชม ท่านคือคนที่ทำร้ายคนดีในสังคม ฉะนั้น ว่าได้ก็ต้องชมได้เขาจะได้รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เอาแต่ว่า แต่หาดีเขาไม่พบอย่างนั้นเขาก็ไม่มีวันดีได้ จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วหัวอกท่านอีกอย่างหนึ่งที่เราไม่ชอบมากที่สุดคือ อย่าเอาฉันไปเปรียบกับใคร จริงไหม (จริง)  จงยอมรับในสิ่งที่ตัวฉันเป็นอย่าเอาฉันไปเป็นดั่งใจท่านเป็นไม่ได้หรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเราเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น,เป็น)
ฉะนั้นหัวใจเราเรายังไม่ชอบเลยอย่าเอาใครมาเปรียบเทียบแม่ชอบเปรียบเทียบหนูกับคนอื่นหนูเลยน้อยใจตัวเราเอาสามีเราไปเปรียบเทียบกับสามีคนอื่นเราเลยเบื่อสามีเรา หรือเราเอาภรรยาเราไปแอบเปรียบเทียบกับคนอื่นเราเลยรู้สึกภรรยานอกบ้านดี กว่าภรรยาในบ้านไหม เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  เพราะคนส่วนใหญ่อยากให้เรายอมรับในสิ่งที่เราเป็น และอย่าเอาเราไปเปรียบเทียบกับใครและอย่าหวังว่าเราจะต้องเป็นได้ดั่งใจท่าน เป็นได้ไหม  (ไม่ได้)
อย่างนั้นคนดีที่แท้จริง ต้องมีจุดยืนซึ่งอาจจะยืนแตกต่างกันไปบ้าง ถูกหรือไม่ (ถูก)  เราลองเทียบง่ายๆ อะไรเรียกว่าคนดูดี ต่างก็มีดี อย่าเห็นเพียงเปลือกนอกลึกๆ ทุกคนล้วนมีดี แต่เราติดเปลือกนอกจนมองไม่เห็นเนื้อใน เหมือนเราเห็นความดีแค่ในใจเรา แต่ไม่เห็นความดีในใจของเขาไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะ เราต้องการบอกท่านว่า คนทุกคนล้วนมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป มีดีคนละแบบ มีงามคนละด้าน ฉะนั้นถ้าเรามัวแต่มองสิ่งที่เราเห็นในใจ เราจะไม่เห็นดีในใจเขา เรามัวแต่หวังสิ่งที่เราคาดหวังในใจ เราเลยไม่เห็นสิ่งที่ดีที่เขาหวังจะออกมาให้เราเห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงยอมรับ
จำไว้นะในโลกนี้ไม่ชอบคนว่า ไม่ชอบคนให้เราเป็นคนผิด ไม่ชอบให้ถูกเปรียบเทียบและไม่ชอบให้คาดหวัง แต่จงยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น แล้วเราจะค้นหาความดีของเขาพบ แต่อย่ามัวแต่มองในสิ่งที่เราอยากให้เป็น ไม่อย่างนั้นเราจะหาดีจากคนในโลกไม่มี จริงหรือไม่ (จริง) และอีกอย่างหนึ่ง จงอยู่กับปัจจุบัน เราจำได้ ว่าเขาเคยดีแบบนี้ แต่ถ้าถึงเวลาเขาเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบหนึ่ง เราจะรับได้ไหม
รบกวนหัวหน้ายืนทีหนึ่งนะ รบกวนท่านยืนอีกทีหนึ่ง
แรกๆ เรารู้จักเขา เราเห็นเขาดีเหมือนหัวหน้า แต่พอนานไป อยู่กันนานๆ เข้า เขาเป็นเหมือนนักเรียนท่านนี้
คนบางคนยึดติดกับความดีในอดีต พอปัจจุบันเปลี่ยนแปลงเป็นหมายเลข ๑๑ ทำใจได้ไหม (ได้)  ต้องได้นะ เพราะเขาคือคนที่เราต้องอยู่ร่วมด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงอยู่กับปัจจุบัน ถ้าอดีตล่วงไปแล้วปัจจุบันเขากลายเป็นคนแบบนี้ ไม่หล่อแล้ว ดำแล้ว แต่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเราจนต้องเป็นแบบนี้เราต้องรับให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันเวลาเราอยู่กับคน แรกๆ รู้จักใหม่ก็ดูดีไปหมด แต่พออยู่นานๆ ไป ทำไมไม่เหมือนเดิม จริงๆ แล้วเขาไม่เหมือนเดิม แต่เรามองไม่เห็น ของเขาหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเรื่องราวในโลกใบนี้ก็เหมือนกัน แรกๆ เราคิดว่า มีแต่ความสุข ความสบายใจ มีแต่เรื่องดีๆ แต่พออยู่นานไป เราเริ่มเห็นธาตุแท้ของโลก ธาตุแท้ของคน ความจริงของโลก ความจริงของคน เราจะรับได้ไหม (ได้)
ฉะนั้นจงอยู่กับปัจจุบัน แม้ความจริงนั้นจะมีเรื่องร้ายๆ มาให้พบก็ตาม เพราะสิ่งร้าย อาจจะทำให้เรายิ่งกลายเป็นคนดีที่เข้มแข็ง เพราะสิ่งร้ายทำให้เราเข้าใจดียิ่งขึ้น และสิ่งร้ายอาจจะไม่ร้ายถ้าเราดูให้ดี ใช่หรือเปล่า ถามว่าจิตว่างคืออะไร มนุษย์ก็คงบอกว่าหาได้ยากใช่หรือไม่ เพราะทุกวันมีแต่จิตวุ่น ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นจิตว่างคือจิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตนของตนดำเนินชีวิตทำไปตามหน้าที่ ไม่ได้ทำเพื่อหวังผล ไม่ได้ทำเพื่อโลภ โกรธ หลง ถ้าทำได้เช่นนี้การมีชีวิตและการปฏิบัติธรรมก็คือการเดินเข้าไปสู่ความว่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่าลืมว่าตัวตนมีแต่ความทุกข์ การยึดมั่นตัวตนก็คือการเดินเข้าสู่ความทุกข์ไม่จบสิ้น แต่เมื่อไรที่รู้จักปล่อยวางตัวตน ปล่อยวางของๆ ตน ไม่ว่าจะเป็นสามีหรือลูก ถึงเวลาเขาต้องมีทางของเขา เรายึดมั่นถือมั่นไปก็มีแต่ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าวันนี้ไม่รู้จักฝึกละวาง ฝึกปล่อยวาง คนที่ต้องทุกข์และเวียนว่ายไม่จบสิ้นก็คือคนที่ไม่ยอมฝึกไม่ยอมปล่อยตน จริงหรือไม่ (จริง)
พุทธะล้วนบอกไว้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งว่า ร่างกายเป็นไปตามขันธ์ทั้ง ๕ แต่จิตใจเป็นไปตามสิ่งที่เราสั่งสม เราสั่งสมความโลภ ความโกรธ ความหลง จิตก็หนีไม่พ้นอบายภูมิทั้ง ๔  แต่ถ้าจิตเราสั่งสมความว่างไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรในโลกทำไปด้วยจิตที่ว่าง  ทำไปตามหน้าที่โดยไม่หวังผลทำเพื่อเข้าถึงธรรมในตัวตนนั้นย่อมประเสริฐกว่า และธรรมในตัวตนคือการปล่อยวาง ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ล้วนบอกให้เรารู้ทุกวันว่า ต้องปล่อยได้แล้ว ต้องปลงได้แล้ว ต้องวางบ้างได้แล้ว เพราะถ้าไม่ปลงไม่วาง ความตายมาถึง คนที่ต้องรับทุกข์ก็คือตัวท่านเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่จะนำไปได้ก็คือจิตที่สั่งสม

ฉะนั้นจงทำบุญทำกุศลโดยไม่หวังผล ถ้ายังหวังผลก็หนีไม่พ้นขึ้นไปเสวยสุขในแดนสวรรค์แล้วก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสู้ทำบุญทำกุศลโดยไม่หวังผลดีกว่าไหม (ดี)  อย่างนั้นวันนี้เราคงรบกวนเวลาท่านเพียงเท่านี้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
พอพูดอ้อมก็บอกไม่รู้เรื่อง  
พอไม่พูดอึดอัดเคืองเป็นเรื่องใหญ่
พอรำคาญตามใจก็เสียคนไป  
อย่าง่ายง่ายลวกลวกไปไม่เหลือดี
มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ใช่ไหม พูดก็ไม่ดี ไม่พูดก็ไม่ดี แต่พอตามใจเขามากๆ ไป เขาก็เสียคน เราก็เสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อย่างนั้นวันนี้เราคงกลับได้แล้วนะ ใช่หรือเปล่า ไม่ให้เรากลับหรือ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีหนทางไปใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราทำถึงที่สุดแล้วถึงเวลาก็ต้องปล่อยวาง ใช่หรือเปล่า แม้เราจะห่วงท่านขนาดไหนก็คงไม่ห่วงเท่าพระอาจารย์จี้กงของท่าน ที่รู้ว่าพูดแล้วแก้ไม่ได้ พูดแล้วเปลี่ยนใจท่านไม่ได้แต่ก็ยังพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้ท่านฟังธรรมะ ท่านได้เมล็ดพันธุ์แห่งคุณงามความดี จงเอาเมล็ดพันธุ์แห่งคุณงามความดีนั้นไปปลูกไว้ในหัวใจอย่างคนที่เข้มแข็ง และเด็ดเดี่ยว ทำความดีสำคัญอย่างเดียวคือมีชีวิตอยู่เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ไม่ผิดต่อมโนธรรมสำนึกในใจตน ไม่ผิดต่อมโนธรรมแห่งความเป็นคน ทุกขณะที่ดำเนินชีวิตตรวจสอบอยู่สามเรื่องนี้  ถ้าทำได้ดีก็ไม่น่าเสียดายเลยที่เกิดมาเป็นคน ใช่ไหม (ใช่)  แล้วมีเวลาจงไปช่วยคนนะ สิ่งใดยอมได้จงยอม สิ่งใดให้ได้จงให้ แต่ถ้าให้แล้วยอมแล้วเสียความเป็นคนอย่าให้ เสียความเป็นคนในตัวเราแล้วเสียความเป็นคนในตัวเขาก็ไม่ควรให้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้ได้หนึ่งที ให้ได้สองทีแต่ให้ครั้งที่สามต้องคิดแล้วว่าจะเสียดีไหม จะทำให้เขาเสียนิสัย เพราะถูกตามใจหรือเปล่า
จงจำไว้นะอยู่ในโลกไม่มีใครอยากถูกว่า อยู่ในโลกไม่มีใครอยากเป็นคนผิด และอยู่ในโลกไม่มีใครอยากถูกเปรียบเทียบ จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันและยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่หวังให้เขาอยากเป็นดั่งใจเรา  มีโอกาสคงได้กลับมาผูกบุญกันอีกนะ




 พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “รูปนามมายาสมมุติ”
อันนิสัยใดเป็นโทษต้องเปลี่ยนใหม่
รักษาไว้อันสิ่งใดอยู่เป็นศรี
อยากพ้นโลกใดที่มีในโลกีย์
บำเพ็ญธรรมวันนี้ไม่ควรคร้านเกิน
เป็นทุกข์เพราะมั่นยึดที่ตรงหน้า
จิตแบกทุกข์ถือมั่นหนาคำสรรเสริญ
คนรู้โลกเป็นสมมุติเป็นเพลิดเพลิน
แต่ยังเดินนำสิ่งมายาประโลมใจ
ฝึกจิตรู้แก่นคือสุญตาทั้งสิ้น
แต่ถวิลตาเปิดของแท้จับได้
คนเข้าถึงธรรมหัวใจหัวใช่ไว
ทว่าใจต้องกล้าตัดสิ่งควรตัด


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “สุญตา”
สิ่งใดใดที่มีอยู่ในโลกนี้
ไม่ควรที่ยึดมั่นถือมั่นหนา
เพราะทุกสิ่งเป็นสมมุติเป็นมายา
สุญตาคือแก่นแท้หัวใจธรรม



หมายเหตุ  วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔  หนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอเมตตา
ให้นำบทกลอนในพระโอวาทซ้อนพระโอวาท รูปนามมายาสมมุติ  
มาแยกคำ ๘ ช่องแล้วประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท สุญตา




[๑] ขันธ์ทั้ง ๕       รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ
[๒] อบายภูมิ         ที่ที่ปราศจากความเจริญ ภูมิที่เกิดอันปราศจากความเจริญมี
๔ ภูมิ คือ นรก เปรต อสูรกาย เดรัจฉาน



แก้ไขพระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๔

หน้า ๒๒          เพลง ธรรมนำชีวิต
ทำนองเพลง ดอกไม้ของน้ำใจ
บรรทัดที่ ๒
เดิม                  จิตควรรู้ของตน
แก้ไขเป็น         จิตตัวรู้ของตน
















อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา