แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทุกข์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทุกข์ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

2562-05-11 สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก

西元二〇一九年歲次己亥四月初七日仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๑พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ สถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
  งานธรรมะเฟื่องฟูเมืองสองแคว        คนเก่าแก่และคนใหม่ไม่แตกต่าง
การบำเพ็ญเป็นหลักใหญ่เป็นแนวทาง   งานแผ่กว้างใช้หลักธรรมเป็นหัวใจ
                    เราคือ
  ศิษย์พี่นาจาน้อย                     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามทุกคนสบายดีไหม
  หมั่นเตือนตนชีวิตคนดั่งเทียนไข     จงตั้งใจบำเพ็ญด้วยความบากบั่น
สร้างทุกบุญเป็นวันดีทุกวัน              ชีพแสนสั้นใช้ชีวิตผิดเป็นครู
เปิดปัญญาประเดิมใจไปทั้งหมดฟ้า    แรกพร้อมศรัทธาสิ่งที่เห็นที่รู้
ทำได้ดีตรงทางธรรมเป็นอยู่            เกียรตินั้นของหน้าที่ผู้ช่วยเบื้องบน
ธรรมคู่คิดหรือไม่มองตาพูด             ธรรมไร้สูตรเอาธรรมไปฝึกฝน
เหล่าความคิดติดลบมักลวงตน         ไม่ช่วยคนสุขแต่เห็นแก่ตัว
คนรักแต่สบายไม่อยู่ให้เข็ญ             ชวนบำเพ็ญไม่บำเพ็ญทุกข์กับเรื่องตัว
ไม่อยากโดนใจทุกข์มาพันพัว           บำเพ็ญทั่วหาไม่แล้วไม่แจ้งใจ
ไม่ว่าใครมีสบายไม่เพลินบ้าง           ที่เพลินบ้างก็ด้วยปล่อยตามนิสัย
คนนั้นเกิดมาอยู่ในโลกทำไม            พ้นเวียนว่ายพ้นทุกข์คนพ้นโลก
รู้จักพิจารณาช้ำแล้วไม่ช้ำอีก            ภายใต้ปีกหลักธรรมแรงลมกรรโชก
ฐานบัวปรากฏฐานย่อมอยู่ในโลก       ดูกระจกชัดแจ้งในตนทบทวน
                                                                         ฮิฮิ หยุด

พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

    ศาสนาเกิดจากความกลัวเรามีศาสนาเพราะเรากลัว  เรายึดศาสนาเป็นที่พึ่งเพราะเรากลัวกลัวตาย กลัวทุกข์กลัวเจ็บใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกศาสนาล้วนมีหลักอันเดียวกันคือสอนให้คนอยู่กับความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกด้วยการที่เราไม่ต้องทุกข์  ฉะนั้นศาสนาเกิดขึ้นเพราะความกลัวแต่ธรรมสอนให้เราเรียนรู้ความจริงอันเป็นธรรมดาที่หลีกหนีไม่พ้นและเมื่อเราพบความจริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องทุกข์แต่เราสามารถพ้นทุกข์ได้เมื่อเราต้องพบความจริงใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังนั้นธรรมจึงไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์แต่ธรรมสอนให้มนุษย์เรียนรู้ที่จะยืนอยู่บนความจริงโดยไม่ทุกข์ การเรียนรู้ธรรมจึงต้องการให้เราเข้าใจความจริงอันเป็นธรรมดาโลกโดยที่เราอยู่กับความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาโลกแล้วเราไม่ทุกข์
ฉะนั้นถ้าใครมีศาสนาแล้วเข้าใจธรรม เมื่อถูกว่าก็จะไม่ (โกรธ)  เจ็บปวดก็จะไม่ (ทุกข์)  พบความตายก็จะไม่ (กลัว)  ถ้าไม่ได้นั่งจะทุกข์ไหม นี่ก็เป็นความจริงอันเป็นธรรมดาได้นั่งก็ต้องได้ (ยืน)  ถ้ายืนแล้วนั่งไม่ได้แสดงว่าเริ่มมีโรคแล้ว  หรือนั่งแล้วยืนไม่ได้ก็เรียกว่าเป็นอัมพาตฉะนั้นถ้าเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตเราก็จะรู้ว่าเกิดเป็นคนไม่ว่าอะไรก็ตามที่เป็นธรรมดาของโลกเราไม่ควรที่จะทุกข์แต่เราควรที่จะพบธรรมและพ้นทุกข์ถึงจะเรียกว่าแนวทางการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องแต่เมื่อไรที่เราถูกว่า เจ็บป่วย สูญเสีย พลัดพราก เรายังทุกข์  พอแก้ไขอะไรไม่ได้เราก็ไปทำบุญเพื่อให้พ้นทุกข์ แต่เราพ้นทุกข์ไหม(ไม่พ้น) เพราะปัญหาอยู่ที่ความคิด ความรู้และความเข้าใจ ไม่ใช่อยู่ที่บุญต้นเหตุของความทุกข์นั้นอยู่ที่ความคิดและไม่ยอมรับความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกเมื่อไม่เข้าใจในสิ่งที่ต้องเป็นไปเราก็ต้องทุกข์แล้วหวังแต่อิทธิปาฏิหาริย์เช่นนั้นแปลว่า เรากำลังบำเพ็ญธรรมผิดใช่หรือไม่ ถ้าคิดแล้วทุกข์ แต่ก็คิดซ้ำๆควรทำอย่างไร(ปล่อยวาง)  ตอบได้ดี แล้วปล่อยวางอย่างไรที่จะทำให้เราไม่ทุกข์บางครั้งสิ่งที่เห็น แต่ถ้าเราไม่เอามาคิดเห็นก็เหมือนไม่เห็นถูกไหม (ถูก)  บางอย่างหากเราไม่คิดถึงสิ่งที่มีก็เหมือนไม่มีแต่ทีไม่มีถ้าเราคิดว่ามีก็ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมติเราเห็นอะไรแว๊บๆตอนกลางคืน ถ้าเราไม่คิดไม่สนใจก็ไม่มีผีแต่ถ้าเราคิดแม้ไม่มีผีจริงก็เหมือนกับ (มี)  เช่นมีคนที่เราโกรธแต่เราไม่ใส่ใจ ไม่ให้คุณค่าเขา ไม่ให้ความสำคัญเขาจะมีผลต่อใจเราไหม (ไม่มี)  ความทุกข์ฉันใดก็ฉันนั้นถ้าเมื่อไรศิษย์น้องทุกข์แล้วศิษย์น้องไม่คิดทุกข์มีก็เหมือน (ไม่มี)  ฉะนั้นแม้ว่าเวลาเราเจ็บแต่เราไม่คิดถึงเราพยายามทำตัวให้แข็งแรงๆมีก็เหมือน (ไม่มี)  การปล่อยวางที่แท้จริงก็คือสิ่งนั้นมีแต่เราไม่คิดมนุษย์ทุกคนรู้จักคำว่าปล่อยวางชอบพูดคำว่าปล่อยวางใช่ไหม (ใช่)  แล้วจะปล่อยอย่างไรในเมื่อเห็นทุกวันเกลียดทุกวันนั่นคือเห็นแล้วเราไม่คิดเห็นแล้วเราไม่ใส่ใจ หรือถ้าคิดแล้วมันทุกข์ หันไปทางไหนๆ ก็ทุกข์ทำไมเราไม่ลองพลิกใจแล้วหันไปทางอื่นบ้างในเมื่อโลกนี้ยังมีอะไรที่น่าดูและเรียกว่าความสุขอีกมากเลยในเมื่อเห็นแล้วทุกข์เห็นแล้วเจ็บ คิดแล้วปวด แล้วทำไมไม่รู้จักพลิกใจบ้าง ใช่ไหม (ใช่)  แค่เปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยนแค่รู้จักหยุดความคิดชีวิตก็ไม่มีความทุกข์ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้านั่งตรงนี้แล้วเอาแต่คิดว่า “เมื่อย  เมื่อไรจะจบ เบื่อแล้ว” นั่งไปก็ยิ่งทุกข์ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าคิดในทางที่ดี เช่น“มันก็ดีนะ มันก็สบายนะนั่งเฉยๆเดี๋ยวก็มีคนทำนั่นทำนี่ให้กินก็ดีนะ สาธุด้วยนั่นได้บุญนะอนุโมทนาบุญด้วยนะ พูดดี ยินดีด้วยนะ” คิดแบบนี้ได้บุญไหม (ได้)  แล้วทำไมไม่แปรบาปเป็นบุญ แปรทุกข์เป็นสุขธรรมสอนให้เราฉลาด มีปัญญาธรรมไม่เคยสอนให้คนโง่ ฉะนั้นถ้าทำอะไรแล้วโง่แปลว่าไม่ใช่ธรรม แต่หากทำอะไรแล้วฉลาด เกิดการปล่อยวางเกิดการพ้นทุกข์ นั่นเรียกว่าปัญญาธรรม
โดยส่วนใหญ่เราเรียนรู้ธรรม เราศึกษาธรรมกันมามาก แต่ถามว่า ธรรมคืออะไร บางทียังหาไม่ได้ ถ้าธรรมคือความสว่าง ความสงบ ความร่มเย็น ความว่าง ชีวิตเราเคยมีธรรมไหม ถ้าเราอยากมีธรรมเราก็แค่หยั่งรู้ในความสงบหยั่งรู้ในความว่าง มีสติอยู่กับความสงบ ความว่าง เราก็คือคนที่มีธรรมถ้าเมื่อไรเราคว้าความว่างความสงบก็แปลว่าเรากำลังคว้าธรรม แต่ถ้าเมื่อไรที่เราคว้าความมี ความยึดติดความอยาก ความโลภเราก็เป็นผู้ที่ไร้ธรรม ถ้าทุกชีวิตพยายามยึดความมีเราก็จะไม่มีวันพบความว่างถ้าพยายามยึดความมีความอยากได้ สิ่งที่เราได้ก็คือกิเลสตัณหา ทิฐิ อัตตาตัวตน แต่ถ้าทุกขณะที่เราคว้าความว่าง ความไม่มี เราก็พบความสงบและพบธรรมแล้วในชีวิตจริงเราไม่เคยพบธรรมเพราะเราพยายามคว้าความมี ความอยากความโลภ เราจึงหนีไม่พ้นความทุกข์และไร้ธรรม 
ท่านอาจจะบอกว่าเกิดเป็นคนต้องมีนั่นมีนี่ ไม่มีก็ไม่ได้จริงหรือไม่ (จริง) เราถามท่านว่ามีมากมายแล้วพ้นทุกข์หรือไม่มีจนถึงที่สุด สุดท้ายท่านก็อยากหาธรรม อยากว่างบ้างแล้วใครจะช่วยได้ในเมื่อตนเองยังอยากมีฉะนั้นอยากพบธรรมก็แค่หยุดความอยากมี อยากยึดเพราะถ้ายังยึดไม่จบก็ไม่มีวันพบธรรมจริงหรือไม่ (จริง) แต่หากรู้จักวาง รู้จักปลงทำให้ดีที่สุดแล้วสุดท้ายจะเป็นอย่างไรเราก็แค่ยืมเขาใช้แล้วปล่อยวางไปแบบนี้จะทุกข์หรือไม่ แล้วจะวางใจอย่างไรให้มีแล้วไม่ทุกข์ มีแล้วทำให้มีธรรม
ท่านว่าฟ้ากว้างหรือไม่ (กว้าง) ในความกว้างมีขอบเขตหรือไม่ (ไม่มี)ในความไม่มีขอบเขตมีรูปลักษณ์ที่แน่นอนหรือไม่ (ไม่) ไม่แน่นอนแล้วในความว่างของฟ้ามีก้อนเมฆมีลม มีมืด มีสว่าง หรือไม่ (มี) ในเมื่อมี แล้วทำไมฟ้าไม่ทุกข์ แต่ทำไมเราทุกข์  ฟ้าเหมือนเรา ในตัวเรามีความว่างในความว่างก็มีความมี  ในความมีก็มีความว่าง  ในความว่างก็มีความมืด มีความสว่าง  ทำไมเราทุกข์แต่ฟ้ากลับไม่ทุกข์ ต่างกันตรงที่เพราะฟ้าไร้ตัวตนที่ยึดติด ฉะนั้นหากเราไม่ยึดถือไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ถ้าวันหนึ่งจะมืดหรือจะสว่างก็เป็นธรรมดาของชีวิต วันหนึ่งตั้งขึ้นได้วันหนึ่งก็ล้มลงได้ ก็เป็นธรรมดาของชีวิต หากเข้าใจหลักนี้เราจะไม่ทุกข์ฉะนั้นตัวตนคือความหลงที่ยึดติดและหนีไม่พ้นถ้าไม่มีตัวตนก็ไม่มีทุกข์  แต่ถ้ายึดตัวตนเราก็ทุกข์กับทุกๆสิ่งที่เราพยายามเอาตัวตนไปเกี่ยวข้อง  เช่นถ้าเราบอกว่าผ้าผืนนี้เป็นของฉันถ้าผ้านี้หายไป หรือสกปรกไปเป็นทุกข์ไหม (ทุกข์)  แต่ถ้าผ้านี้ไม่เป็นของใครแม้ว่ามันจะหายไปหรือสกปรกไปเราเป็นทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นจำไว้ธรรมสอนให้เราเป็นแค่ผู้รู้ เราไม่จำเป็นต้องไปเป็นและยึดติดนี่เป็นหลักใหญ่รู้และรักษาความรู้ให้ปกติมั่นคงจนเกิดความเห็นแจ้งในปัญญาและความจริงของโลกทั้งปวง เรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญาทันที  ศีลก็คือความปกติสมาธิคือความมั่นคงในความปกติปัญญาคือรู้แจ้งในความปกติจนไม่ยึดมั่นถือมั่นจนไม่ทำให้ตัวเองทุกข์อีกต่อไป ฉะนั้นบำเพ็ญศีล สมาธิ  ปัญญาในทุกขณะที่เรามีสติตื่นรู้ในความเป็นจริงของโลกใบนี้อันเรียกว่าธรรมะ ยากไหม (ไม่ยาก) 
เมื่อไรที่เราเข้าใจความเป็นธรรมดาของโลก เห็นก็เหมือนไม่เห็นถ้าอยากเข้าถึงความว่างที่เรียกว่าธรรมะ ต้องไม่มีขอบเขต   ถ้าเราสามารถเอาสิ่งนั้นมาย้ำเตือนเราทุกครั้งที่เรามองสรรพสิ่งเราก็จะไม่ยึดติด และเราจะค้นพบธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านเห็นใครในโลกแล้วเห็นอย่างแท้จริงบ้าง  เราเห็นก็เหมือน (ไม่เห็น) เหมือนท่านเห็นความว่าง ท่านอยากเข้าถึงธรรมโลกนี้สอนเรื่องความว่างอยู่อย่างหนึ่งว่า เห็นก็เหมือนไม่เห็นเพราะมีบางสิ่งที่เรารู้และสิ่งที่ยากเดาจากคนๆ หนึ่งเช่นกัน  ถ้าท่านอยากพบธรรมะ จำไว้ว่า เห็นเขาเหมือนมีแต่ก็เหมือน (ไม่มี)  แฟนลูก เงิน เหมือนมีอยู่กับเราแต่จริงๆ แล้วก็ไม่อยู่กับเราเหมือนเห็นเขาอยู่ใกล้ๆ เรา แต่จริงๆ แล้วใจเขาไปไหนก็ไม่รู้ เหมือนครอบครองและรู้จัก แต่จริงๆแล้วเราเหมือนคนที่ไม่รู้จักเขาเลย ใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งเขาก็ทำในสิ่งที่เราไม่คิดว่าเขาจะทำอย่างนั้นกับเราได้ ใช่ไหมฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจว่า เห็นก็เหมือนไม่เห็น รู้จักก็เหมือนไม่รู้จักเหมือนครอบครองได้แต่ก็ครอบครองไม่ได้และเอาหลักนี้มาใช้ในการดำเนินชีวิตกับทุกสรรพสิ่งแล้วเราจะรู้ว่าไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นของเราเพราะถึงที่สุดแล้วก็คือความว่างการพยายามยึดมั่นถือมั่นในตัวตนทำให้เราหนีไม่พ้นทุกข์และวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย หรือเรียกอีกอย่างว่าวิบากกรรม
ฉะนั้นเมื่อไรที่มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าถึงความว่างของธรรมได้มนุษย์ก็ยังหนีไม่พ้นการยึดติดความคิดแห่งตัวตนเมื่อยึดติดความคิดแห่งตัวตนก็จะมีสิ่งที่เรายึดเรียกว่าดีและไม่ดีชอบและไม่ชอบก็เลยหนีไม่พ้นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกข์เพราะหนีไม่พ้น กิเลส กรรม มนุษย์มักจะพูดบอกว่า “ถ้าเรารู้จักฟ้าเราจะไม่โทษฟ้า ถ้าเรารู้จักคนเราจะไม่โทษใคร” เคยได้ยินคำนี้หรือไม่ ถ้าเรารู้จักฟ้า เราจะไม่ตัดพ้อต่อว่าฟ้าลำเอียงฟ้าไม่ยุติธรรม และถ้าเรารู้จักคนเราจะไม่บ่นด่าใคร ฉะนั้นแปลว่า“ฟ้า”เราก็ไม่รู้จัก “คน”เราก็ไม่รู้จัก เราจึงด่าทั้งฟ้าแล้วก็ด่าทั้งคนจริงหรือไม่ (จริง)  อย่างนั้นเรามาทำความเข้าใจก่อนว่าเป็นเพราะฟ้ากำหนด คนจัดการหรือเราเป็นผู้จัดการและกำหนด
คนเราจะดีหรือร้ายโชคดีหรือโชคร้ายเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้าย ใครกำหนด (เรากำหนด)การกระทำของเรากำหนดเองใช่ไหม (ใช่)  เรา ไม่ควรว่าเขาแต่ควรว่า (ตัวเอง) ไม่ควรบ่นฟ้าแต่ควรบ่น (ตัวเอง)  ฉะนั้นถ้าท่านไม่ทำบาป ไม่ผิดศีลไม่ประพฤติผิดจะกลัวอะไรกับเคราะห์กรรมและโชคร้ายถ้าท่านเป็นคนดีที่สุดเป็นคนน่ารักที่สุดแล้วจะกลัวอะไรกับคำว่าดีหรือไม่ดีที่คนอื่นพูด ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นพิจารณาก่อนทำย่อมประสบสุข แต่ถ้าทำแล้วค่อยคิดย่อมประสบทุกข์หากอยู่ในโลกรู้จักให้อภัยผู้อื่น ไม่ถือโทษโกรธผู้อื่นไม่เคยแค้นเคืองใคร มีหรือจะไม่เป็นที่รักของใครดังนั้นไม่ว่ามีเรื่องอะไรถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมาแล้วตำหนิต่อว่าตัวเองก่อน “ขอโทษนะฉันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรื่องราวมันเกิดขึ้นได้” คนแบบนี้ไปอยู่ที่ไหนมีหรือใครจะไม่รัก  แต่ถึงเวลาดำเนินชีวิตจริงๆ นอกจากเราไม่อภัยแล้วยังถือสาหาความแล้วว่าเขาอีกจริงไหม (จริง)  จึงมีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “มนุษย์นั้นแปลกเดินไกลเป็นร้อยก้าวพันก้าวสามารถมองเห็นชัดแต่สิ่งที่อยู่ข้างหลังตัวเองกลับมองไม่เห็นฉะนั้นถ้าอยากอยู่บนโลกให้เป็นสุขก็ต้องรู้จักเข้มงวดตนผ่อนปรนผู้อื่นเอาความรู้ระดับปราชญ์มาตรวจสอบตน เอาความรู้ระดับปุถุชนไปตรวจสอบผู้คนเรียกว่าเอาสิ่งที่เข้มงวดที่สุดมาตรวจสอบตัวเองนำสิ่งที่ผ่อนปรนไปใช้กับผู้อื่น แล้วเราจะไม่ถือโทษใคร
ถ้าในใจเรารู้สึกว่ามีแต่เรื่องไม่ดีของคนอื่นเต็มหัวใจเราจะไม่สามารถอยู่กับใครได้อย่างร่มเย็น ไม่สามารถเมตตาปรานีเขาได้และเราจะไม่สามารถอยู่กับใครอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ดังนั้นเราจึงไม่ควรช่างว่า ช่างตำหนิ และควรให้อภัยไม่ถือสาถ้าเราเห็นทุกคนไม่มีคุณค่าเราก็อยู่กับคนที่ไร้ค่าเต็มไปหมดแต่ถ้าเห็นทุกคนมีคุณค่ามีคุณประโยชน์เราก็อยู่กับคนที่เต็มไปด้วยความน่ารักถ้าเรายังเข้าถึงความว่างไม่ได้ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความมีอย่างไรไม่ให้ทุกข์ เพราะธรรมะสอนเราว่าคนเราเกิดมาเดินหน้าตรง ไม่ก้มหน้า ไม่เงยหน้าธรรมะสอนให้เรามองอย่างเป็นกลาง แต่เราชอบมองแบบยึดติดว่ามันแย่ธรรมะสอนเราว่าแย่ก็ไม่ไปคิด ดีก็ไม่หลง ศาสนาพุทธสอนให้เราเป็นกลางแล้วตัวเราเป็นกลางหรือไม่ ตัวเป็นกลางแต่ใจมันลำเอียงธรรมไม่เคยสอนให้เรายึดติด มีสุขเราก็ติดสุข มีทุกข์เราก็ติดทุกข์แต่ธรรมสอนให้เราอยู่ตรงกลาง และเข้าใจว่ามันก็มีวันมืดและก็มีวันสว่างและเราเกิดมาเพื่ออยู่ตรงกลางอย่างสมดุล ถ้ายึดเมื่อไรก็หนีไม่พ้นทุกข์ฉะนั้นจะเอาหัวจมอยู่กับทุกข์หรือว่าจะยืนอยู่ตรงกลางระหว่างฟ้าดินยังมีคนที่แย่กว่าเราและคนที่ดีกว่าเราถ้ารู้สึกแย่มันทุกข์เราก็หันไปมองคนที่เขาแย่กว่าเราก็จะทำให้เรารู้สึกดีถ้ามองดีมากแล้วทำให้หลงก็อย่าลืมว่ามันไม่เที่ยงเพราะถึงที่สุดแล้วชีวิตอยู่ที่เราเลือกเดิน ถ้าเข้าใจหลักของฟ้าจะไม่โทษฟ้าเข้าใจหลักของความเป็นคนจะไม่ด่าทอคนให้เกิดวิบากกรรมที่เรียกว่า เกลียดโกรธ หลง แค้น จองเวรจองกรรมอีกเลย การรู้แจ้งจะทำให้เราพ้นกิเลสพ้นทุกข์ได้โดยที่ไม่ต้องอดทน แต่จะเกิดความกระจ่างแจ้งว่า “ช่างเขา” ไม่คิดก็ไม่มี ยิ่งคิดก็ยิ่งมี จริงไหมฉะนั้นปล่อยความคิดและรักษาความเป็นกลางให้สมดุลวันนี้รักมากก็หัดมองให้ชัดเจนวันนี้เกลียดมากก็ลองมองดูว่าเขามีอะไรน่ารักไหม แท้ที่จริงแล้วคนที่เราเกลียดจนแช่งชักหักกระดูกเขาก็มีมุมที่น่ารักและคนที่เรารักมากจนทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเขาก็มีอะไรที่น่ารังเกียจเหมือนกันฉะนั้นเราควรโกรธให้สะใจ แล้วเป็นทุกข์ เป็นหนี้บาปกรรม เป็นวัฏฏะการเวียนว่ายหรือเราควรจะไม่โกรธดี (ไม่โกรธ)  โดยไม่ต้องใช้คำว่าอดทนหรืออภัย แต่เป็นความเข้าใจ
แปลกนะ มนุษย์กลัวทุกข์แต่ไม่หาต้นเหตุเพื่อดับทุกข์แต่พยายามหาสุขทั้งที่จริงๆแล้วถ้าดับทุกข์ได้ทุกข์ก็จะกลายเป็นสุขแต่มนุษย์หนีทุกข์และพยายามหาสุขถึงที่สุดแล้วความสุขที่พยายามหานั้นก็ให้ทุกข์ไม่ต่างกันเลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าเรารู้แจ้งเข้าถึงความจริงแห่งทุกข์เราก็จะพบสุขได้โดยที่ไม่ต้องแสวงหาสุขจากภายนอกเลยสภาวธรรมหรือสภาวะความว่าง จริงๆแล้วมีอยู่ในตัวเราทุกคนนะแต่อยู่ที่ว่าท่านเคยใช้สติ หยั่งลงมองให้เห็นความจริงในใจตนเองไหมถ้าเอาแต่ยึดมั่นถือมั่นก็มองไม่เห็นความว่างแต่ถ้ามองให้ดีแล้วในความมีมันมีความว่างอยู่
สรุปง่ายๆจิตที่ว่างไม่ใช่ไม่มีความคิดอะไรจิตที่ว่างยังมีความคิดเต็มไปหมดแต่รู้เท่าทันความคิดด้วยสติและก็สงบได้จิตที่สงบและบริสุทธิ์ไม่ใช่ว่าไม่มีเรื่องราวหน้าที่อะไรยังมีเรื่องราวหน้าที่แต่สามารถรักษาความสงบสุขท่ามกลางความวุ่นวายได้เวลาเราไปทะเล เราอยากหาความสงบใช่หรือไม่ (ใช่)  เราขึ้นภูเขาเราก็อยากไปตากอากาศเย็นสบายและหาความสงบใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บนภูเขาเราหนีเสียงนกได้ไหม (ไม่ได้)  ขึ้นบนเขาก็ยังมีเสียงนกเสียงน้ำตก เสียงลม และก็ยังมีเสียงจั๊กจั่น จิ้งหรีดแต่ทำไมเราว่ามันสงบนั่นเป็นเพราะเราชอบเช่นกันอยู่ในโลกเป็นไปได้ไหมถ้าจะไม่มีเสียงคนถ้าถือว่าเสียงคนเป็นเสียงนกกระจิบที่เราได้ยินบนภูเขาเราก็จะสงบได้ถ้าที่ไหนก็สงบก็คือที่ที่เราพักผ่อนแต่ถ้าอยู่ที่ไหนก็ไม่สงบถึงจะขึ้นภูเขาเข้าป่า ไปว่ายน้ำไปเหาะเหินเดินอากาศก็ไม่สงบ ก็เหมือนคนที่หลอกตัวเองเพราะลึกๆมันไม่สงบ ฉะนั้นชีวิตที่แท้จริงถึงที่สุดก็ไม่สามารถหนีความว่างได้แต่ถ้าศิษย์น้องยังอยากยึดความมีศิษย์น้องก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เรียกว่ากรรมดี กรรมชั่ว แต่ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์น้องเข้าถึงความว่างศิษย์น้องจะพ้นจากกรรมดีกรรมชั่วและวัฏสงสาร คิดดูนะ ถ้าทำอะไรรู้จักพิจารณาก่อนทำเราก็จะไม่เดือดร้อนแต่ถ้าทำแล้วค่อยพิจารณาเราลำบากแน่เลย
ถ้ายังมีรากบุญดีอีกไม่นานก็จะกลับมาผูกบุญกันอีกแต่ถ้าไร้รากบุญแล้วแม้พบกันวันนี้ก็อาจจะกลายเป็นวันสุดท้ายก็ได้จริงไหม (จริง)  บุญหรือบาปบุญหรือเคราะห์กรรมไม่ได้อยู่ที่ศิษย์พี่กำหนดแต่อยู่ที่ศิษย์น้องเป็นคนสรรค์สร้างเอง  ฉะนั้นรู้จักถนอมบุญและรักษาบุญด้วยการหมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามและช่วยชำระล้างจิตใจได้ไหม (ได้)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกอย่าดูถูกตัวเองเราสามารถสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่ได้และสามารถสร้างชะตาด้วยการปลูกบารมีให้ธรรมะเป็นทานได้  แล้วธรรมที่เป็นทานที่ยิ่งใหญ่คือธรรมที่ไม่ถือสาหาความ เห็นเหมือนไม่เห็นไม่ยึดติดความคิดตัวเองจนกลายเป็นวิบากกรรมให้ทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  กลับแล้วนะ

*** ประวัติศิษย์พี่พระนาจา
สมัยปลายราชวงศ์เซียง คาบเกี่ยวต้นราชวงศ์จิว ในรัชสมัยของจิวบุ้นอ้วงเป็นฮ่องเต้ ตำนานกล่าวถึงเทพนาจาเป็นบุตรคนที่ 3 ของแม่ทัพหลี่จิ้ง มีกำเนิดที่ไม่ปกติเพราะอยู่ในครรภ์มารดานานถึง 3 ปี 6 เดือนกว่าจะคลอด และเมื่อคลอดออกมาก็มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อหุ้มอยู่ จนบิดาต้องใช้กระบี่ฟันก้อนเนื้อจึงปรากฏทารกเพศชายมีผ้าสีแดง มีห่วงทองคำ สร้างความปีติแก่ครอบครัวอย่างมาก รุ่งเช้านักพรตไท้อิกจิงยิ้งได้มาร่วมแสดงความยินดีกับแม่ทัพหลี่ และเห็นลักษณะนาจาว่าเป็นผู้มีบุญบารมีสูง จึงได้รับไว้เป็นศิษย์และถ่ายทอดวิชาให้ เมื่อนาจาอายุได้ 7 ขวบ ได้ออกไปท่องเที่ยวจนเกิดการวิวาทกับบุตรชายเจ้าสมุทร และพลั้งมือจนบุตรชายเจ้าสมุทรเสียชีวิต เจ้าสมุทรจึงมาแก้แค้นนาจา บิดาของนาจาโกรธเคืองบุตรของตนเป็นอย่างยิ่งนาจาต้องยอมผ่าท้องควักไส้ตนเองเพื่อชดใช้ความผิดด้วยชีวิต ต่อมาเทพไท้อิกจิงยิ้งได้ชุบชีวิตนาจาขึ้นมาใหม่ หลังจากนั้นนาจา บิดาหลี่จิ้งและพี่ชายทั้งสองได้ไปช่วยแม่ทัพเจียงไท่กงทำสงครามกับกองทัพราชวงศ์เซียง จนได้ชัยชนะ ล้มราชวงค์เซียงไป เกิดราชวงศ์ใหม่ คือราชวงศ์จิว นาจา บิดา และพี่ชายทั้งสองได้กลับไปบำเพ็ญเพียรจนบรรลุธรรม กลับคืนเบื้องบน


วันอาทิตย์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒          สถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ในระหว่างตั้งตัวกลัวไม่ตั้งใจ          บอกกับใจว่าไม่เอาแต่หยวน
กำหนดบ้างไว้ทุกข์ในสัดในส่วน        รักชีวิตคงไม่ด่วนให้ท้ายตน
แต่นี้ไปตายจากความเหลาะแหละ      ดับอารมณ์เศร้าซึมและจิตสับสน
ถกเถียงกันไปไหนเรื่องเวียนวน        คำติบ่นไม่ส่งเสริมกำลังใจ
                    เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่สถานธรรมโพธิ แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม
    ตั้งใจบำเพ็ญเป็นบุญทุกวัน ใช้ใจประเดิมปัญญาพร้อมศรัทธา สิ่งที่เห็นทั้งนั้นของดีตรงหน้า ไม่เอาธรรมไปมองมักเห็นแต่สุขสบาย ไม่อยู่กับทุกข์บำเพ็ญไม่โดนใจ ทุกข์แล้วสบายมีใครบ้างเกิดมา อยู่ด้วยทุกข์แล้วช้ำพิจารณา
ย่อมปรากฏหลักฐานชัดแจ้งในตัว

    ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้างคงไม่ตายไป ซึมเศร้ากันไปไหน คนดีต้องมีละอาย เพียงผิดหวังไม่ตายไปบ้าง ธรรมไม่ไปไม่มา
    ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้าง จึงได้บำเพ็ญ  เป็นใจเองวุ่นวาย สุขใจก็มีความทุกข์ได้
สุขเพราะปลงความทุกข์ไป คนที่เรียนจากทุกข์มีเชาวน์


ทำนองเพลง: ช้ำคือเรา
ชื่อเพลง: กำไรจากความทุกข์

หมายเหตุ ที่ขีดเส้นใต้คือพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “กำไรจากความทุกข์”



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

   อยู่ในโลกคนที่น่ารักคือคนที่กล้ายอมรับความจริง คือคนที่ไม่เกียจคร้าน มีน้ำใจไม่ใช่รักแต่สบายไม่ใช่คนที่ชอบเอาแต่อู้งานมาตากแอร์ในห้องดีกว่าไม่ต้องทำอะไร ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  คนโดยส่วนใหญ่มักจะบ่นๆ ว่าเกิดเป็นคนดีก็ยากแล้วดีแล้วแล้วยังต้องพยายามบำเพ็ญอีกก็ยิ่งยากจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นบางคนก็ถามอาจารย์ว่าเป็นคนดีไปทำไมเป็นคนดีก็ยากแล้วยังให้บำเพ็ญอีก เป็นคนดียังไม่ค่อยรอดเลยแล้วให้บำเพ็ญจะรอดไหม อาจารย์ถามว่าคนที่ดีคนที่รู้จักบำเพ็ญน่าจะเป็นคนแข็งกระด้างหรือคนอ่อนน้อม (อ่อนน้อม)  น่าจะเป็นคนที่รักการเรียนรู้หรือดื้อแพ่งไม่ฟังใคร (รักการเรียนรู้)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราเป็นประเภทไหน (รักการเรียนรู้)  รู้หมดแล้วอย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่ใช่)  เรามาเริ่มต้นเรื่องง่ายๆ ก่อน เริ่มจากการเป็นคนดีก่อนถ้ายังเป็นคนดีไม่พอจะยังบำเพ็ญไม่ได้ การเป็นคนดีอย่างน้อยคนดีต้องไม่ทำ (ความชั่ว)ขึ้นชื่อว่าคนดีต้องไม่ทำผิดบาป เพราะถ้าเราจะบำเพ็ญแต่ความชั่วความผิดบาปเรายังไม่ละเลิกอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นคนบำเพ็ญยังไม่ได้ เพราะเป็นคนดียังไม่รอดถ้าใจหนึ่งก็อยากทำดี แต่อีกใจหนึ่งก็ยังละบาปไม่ได้อย่างนี้เรียกว่าดีหรือไม่ (ไม่ดี)  เรียกว่าดีแท้ไหม (ไม่แท้)คนดีอยู่ที่ไหนก็ต้องดีใช่หรือไม่ (ใช่) 
เพราะการบำเพ็ญต้องเริ่มต้นตั้งแต่ดีให้ได้ก่อนฉะนั้นคนดีที่แท้จริงคือคนที่ละชั่วบำเพ็ญบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อบายมุข โลภโกรธ หลง สิ่งเสพติด สารมึนเมา ไฮโล การพนัน ติดชาย ติดหญิง ใช่หรือไม่ (ใช่) เราต้องละบาปให้ได้ก่อนเราถึงจะบำเพ็ญบุญ แต่มนุษย์ในโลกส่วนใหญ่พยายามเป็นคนดีแต่ไม่ละบาป หรือไม่ก็ทำบาปก่อนแล้วค่อยทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ศิษย์เอ๋ยถ้าอยากอยู่ในโลกแล้วทุกข์น้อยที่สุดก็คือ จะนั่งหรือยืนก็ได้อะไรจะเกิดขึ้นก็พร้อมเผชิญ ชีวิตก็ไม่ทุกข์  แต่ถ้ายืนแล้วไม่ให้นั่งก็โกรธอย่างนี้ก็ยึดติดเกินไป หาเรื่องให้ตัวเองทุกข์เกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะบางครั้งชีวิตไม่ใช่เรากำหนด มีสิ่งแวดล้อมเกี่ยวข้องด้วยฉะนั้นเราจะหวังให้เป็นดั่งใจทุกอย่างเป็นไปไม่ได้
เป็นศิษย์ของอาจารย์ไม่ต้องพยายามเป็นคนดี แค่พยายามไม่ประพฤติผิดเพราะคนในโลกพยายามเป็นคนดีเหลือเกิน แต่ไม่ละความผิดและยึดติดความดีจนเป็นความดีหลงผิดอย่างน้อยเริ่มต้นการเป็นคนดีก็คือไม่ประพฤติผิด หนทางของความดีคือต้องมีศีล มีธรรม  ศีลยังนำมาซึ่งความสงบและปกติ ธรรมนำมาซึ่งความสุขและสงบเย็น  ตอนนี้ชีวิตเราปกติดีไหม (ดี)ปกติแล้วสบายดี ใช่หรือไม่ เมื่อไรที่ชีวิตเราผิดปกติ นั่นแปลว่าเราขาดศีลเมื่อไรที่ชีวิตเราไม่สงบสุข จงถามตัวเองว่าเราขาดธรรมหรือไม่คนที่ดี ไม่ใช่แค่ดีอย่างเดียวหนทางของการเป็นคนดีนั้นต้องมีศีลมีธรรมด้วย ศีลคือทำให้เราปกติธรรมคือทำให้เราอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสงบสุขศีลสอนให้เราไม่เบียดเบียนธรรมสอนให้เราประพฤติให้ถูกต้องและมีคุณงามความดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเรามีศีลมีธรรมอยู่ทุกขณะกับผู้คน เราก็คือคนดีคนหนึ่งแต่ศิษย์ของอาจารย์ก็บอกว่า “คนเราก็มีผิดพลาดได้ คนเราก็มีดีบ้าง ไม่ดีบ้าง”ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “น้ำผึ้งหยดเดียว เกิดศึกกลางเมือง”  “ถ้าทิ้งก้นยาสูบไม่ถูกที่ก็เกิดไฟไหม้ป่าได้” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความผิดเพียงเล็กน้อย เราอย่าคิดว่าเป็นเพียงแค่เล็กน้อยแต่เมื่อผลสะท้อนกลับมา เราก็ต้องมาเจ็บช้ำน้ำใจกับสิ่งที่เราผิดพลาดถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นคนเราควรที่จะทำผิดไหม (ไม่ควร)  เพราะโลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล ถ้าไม่สร้างเหตุที่ถูกแล้วเราจะได้ผลที่ถูกไหม (ไม่ได้)  ถ้าเราสร้างเหตุที่ผิดเราก็ต้องรับผลที่ (ผิด)  นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำไมเราต้องเป็นคนดีเพราะการเป็นคนดี และอยู่ในศีลในธรรม จะช่วยป้องกันให้ไม่ต้องมีทุกข์และไม่ต้องรับผลของการกระทำที่เรียกว่ากรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดมาแล้วมีทุกข์ เราอยากเกิดไหม (อยาก)  อย่าหลอกอาจารย์ว่าไม่อยากยังอยากไม่จบ อยากได้โน่น อยากได้นี่จริงไหม (จริง)  เราเกิดมามีทุกข์ หนีกรรมไม่พ้น แล้วยังอยากเกิดหรือไม่ (อยาก)อยากเพราะคิดว่าเผื่อจะมีกรรมดีมากกว่ากรรมชั่วหากเราไม่อยากรับกรรมในภายหน้าเราต้องรักษาตัวเองให้อยู่ใน (ในศีลในธรรม)แล้วเราอยู่ในศีลในธรรมหรือไม่ อนาคตจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับอดีตที่ทำมาและปัจจุบันที่ทำไป ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ส่วนใหญ่ไม่อยากทุกข์แต่ศิษย์รู้หรือไม่ว่าที่ศิษย์ทำดีมีศีลมีธรรมแต่ทำไมยังไม่พ้นทุกข์ศิษย์จำไว้นะว่าการทำระดับศีล  ระดับบุญ ระดับการทำความดี ยังไม่สามารถนำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้เป็นเพียงการป้องกันเราไม่ให้ตกเป็นทาสของกรรมชั่วทาสของกิเลสอารมณ์ที่นำมาซึ่งทุกข์  วิบากกรรมและความเจ็บช้ำน้ำใจที่เราจะต้องรับในสิ่งที่เราสร้าง  เข้าใจหรือไม่  เหมือนกับที่ศิษย์บอกว่าบุญศิษย์ก็ทำมาก พระก็สร้าง วัดก็ช่วยทำบุญแต่ทำไมไม่เห็นพ้นทุกข์เลย  อาจารย์จะบอกว่าถึงศิษย์จะทำบุญมากแค่ไหนมีดีมากแค่ไหน  แค่ระดับบุญ ศีล ทาน ธรรมยังไม่สามารถนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้  แต่เป็นเพียงป้องกันไม่ให้เรามีทุกข์เพิ่ม  รู้หรือไม่ (ไม่รู้) ไม่รู้ คิดว่าทำบุญทำทานก็พ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สมมติว่าอาจารย์ชอบทำบุญแต่วันหนึ่งอาจารย์เผลอไปตีหัวคนอาจารย์ถามว่าบุญจะล้างบาป จะชดเชยบาปที่เราทำได้หรือไม่บุญที่เราทำมาก็ส่วนบุญ บาปก็ส่วน (บาป)หากเราไม่อยากมีบาปเราก็อย่า (ทำบาป) ฉะนั้นไม่อยากอายผีก็อย่าทำผิดบาปทั้งในที่ลับและที่แจ้ง  ไม่เช่นนั้นผีและวิญญาณร้ายจะดูถูกและเหยียดหยามถ้าเราทำดีมากๆ เหมือนการเติมน้ำลงไปในน้ำเกลือ เพื่อทำให้น้ำเกลือเจือจางลงแต่อาจารย์จะบอกว่าเกลืออยู่ในน้ำอย่างไรมันก็เป็นเกลือ  เช่นกันถ้าศิษย์ทำผิดไปแล้วยอมขอโทษ และอุทิศส่วนกุศลให้เขาศิษย์คิดว่าเขาจะหายโกรธหรือไม่ (ไม่หาย)อาจารย์ถามว่าเราเกิดมาแล้วถูกทำร้ายหนึ่งครั้ง เราอยากเอาคืนหรือไม่อย่างน้อยก็ต้องตีกลับให้แรงๆ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นสิ่งแรกที่อาจารย์อยากย้ำกับศิษย์มากที่สุดก็คือ อย่าทำผิดบาปเพราะเมื่อผิดบาปส่งผลเป็นกรรมเป็นเวรแล้วให้ผลเป็นทุกข์แล้วแม้ศิษย์จะน้ำตานองหน้า แม้ศิษย์จะกราบพระขอให้อภัยเขาก็ไม่ละเว้นอย่าประมาท อย่าดูเบาความผิดเล็กๆ น้อยๆเพราะเมื่อผลกรรมมันตกผล จะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้นและเขาไม่ได้จองเวรชาติเดียวนะ ถ้าเขาเอาได้เขาก็คงเอาทุกๆ ชาติที่เขาจำได้เหมือนพระเทวทัตกว่าที่จะบรรลุธรรมได้ก็ต่อเมื่อไม่เห็นพระพุทธเจ้าอีกแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) 
นอกจากการมีศีลมีธรรมแล้วสิ่งที่ศิษย์จะต้องรู้อีกอย่างคือการบำเพ็ญ แล้วทำอย่างไรจะเรียกว่าบำเพ็ญเพื่อนำพาให้เราพ้นทุกข์เอาธรรมอะไรที่มาช่วยพิจารณาจนหยั่งถึงและทำให้เราพ้นทุกข์ได้ตอบได้ไหม (บำเพ็ญเพียรภาวนา) เอาอะไรมาภาวนาแล้วเกิดปัญญาเห็นแจ้ง
ถ้ามนุษย์หมั่นพิจารณาเอาหลักความเป็นจริงซึ่งเป็นแก่นของทุกสรรพสิ่งและเป็นแก่นของรูปนามทั้งปวงมาใช้พิจารณาอยู่เนืองๆ มนุษย์จะสามารถพ้นทุกข์ได้หรือที่ศิษย์บอกว่าจะกลับคืนสู่นิพพานได้อย่างไรแต่ก็ยังเป็นแค่นิพพานชั่วขณะหนึ่งที่เราพิจารณา เราได้พิจารณาอย่างต่อเนื่องหรือไม่สิ่งที่เป็นหลักที่จะนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้นั่นก็คือการพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจารย์พูดเรื่องนี้บ่อยครั้ง  แล้วเราพิจารณาจนพ้นทุกข์บ้างหรือไม่สิ่งที่เรารู้ส่วนใหญ่อยู่ในระดับเริ่มต้น คือศีลระดับทานและระดับต่อไปคือมั่นคงในความดีงามจนถูกต้องเพื่อเข้าถึงปัญญาแจ่มแจ้งในธรรมแล้วเราจะเข้าถึงปัญญาอันแจ่มแจ้งในธรรมได้ก็ต่อเมื่อเราเอาสิ่งนี้มาหยั่งรู้ในใจและทำให้เราตื่นรู้ในความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาของโลกฉะนั้นเมื่อไรที่เราพบความเจ็บ ความทุกข์ ความพลัดพราก ความสูญเสียพบอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจสิ่งนี้จะเตือนใจว่า มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์และมันว่างเปล่าจากตัวตน  ศิษย์เคยเห็นไหมเวลาที่มีเราโมโหคน เรากำลังมีความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และไม่มีใครเคยทุกข์ครั้งเดียวทุกคนล้วนทุกข์แล้วทุกข์อีกถูกไหม (ถูก)  เวลาที่ศิษย์เคยพบคนที่ไม่ได้ดั่งใจ ทำให้เราทุกข์ศิษย์มักถามอาจารย์ว่า “อาจารย์ทำไมศิษย์ต้องพบคนแบบนี้อาจารย์ศิษย์ไปทำกรรมอะไรมาศิษย์ต้องพบกับคนแบบนี้ทำไมเขาต้องทำกับศิษย์แบบนี้” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่พบในสิ่งที่มันไม่คาดคิดเอาอันนี้มาคิดมาพิจารณามันจะแตกยอดออกไปว่า “จงอยู่กับปัจจุบัน อย่าแขวนตัวเองไว้กับความนึกคิดคาดหวังอย่าผูกใจตัวเองกับอดีตที่แล้วมาแล้วเราจะมีชีวิตอยู่อย่างอิสระและเป็นสุขในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตรงนี้” จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ก่อนเขาอาจเคยเป็นคนให้ศิษย์ แต่ตอนนี้เขาเป็นคนที่จะเอาจากศิษย์จนศิษย์หมดตัวหรือไม่ไหวจนศิษย์อยากหนีไปให้พ้นๆ ถ้าศิษย์พบคนแบบนี้ ศิษย์จะหนีหรือลุกขึ้นสู้ ให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลย  อาจารย์จะบอกศิษย์อีกอย่างนะจำไว้ โลกใบนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ คนทุกคนล้วนต้องมีบุญ กรรมกันมาถึงต้องมาพบกันช่วงแรกศิษย์อาจบอกว่า บุญอะไรให้มาพบกันแต่พออยู่ไปสักพักหนึ่งศิษย์อาจจะบอกว่าเป็นกรรมอะไรนะศิษย์จำไว้ไม่ใช่มีแค่กรรมแต่มีทั้งกรรมและบุญมาพร้อมๆ กัน  และถ้าบังเอิญเกิดขึ้นแล้วเขาทำร้ายเราให้เจ็บปวด  เราอยากจบกรรมหรืออยากเกี่ยวกรรมกันต่อ (จบ) เมื่อจบแล้วยอมไหม (ยอม) ถ้าทั้งชีวิตเขาเอาไปหมดเลย แล้วเราต้องมานับหนึ่งใหม่ เรายอมไหม (ยอม, ไม่ยอม)  อาจารย์จะบอกศิษย์ว่าสู้ได้แค่ระดับหนึ่ง แต่ถ้าระดับหนึ่งแล้วไปไม่รอด ให้กลับมาตั้งหลักใหม่แล้วอยู่กับสิ่งที่มีด้วยหัวใจที่เข้มแข็งไม่ดีกว่าหรือแล้วถ้าสู้ไปก็เจ็บ สู้ไปก็ทุกข์อย่างนั้นอยู่กับสิ่งที่มีให้ได้ไม่ดีกว่าหรือ เราเกิดมาก็มาตัว (เปล่า)ไปก็ไปตัว (เปล่า) แล้วจะเหนื่อยทำไม ไปด่าเขาทำไม ไปแย่งเขาทำไมถ้าเขามีความสุข แล้วเราสละความยึดมั่นถือมั่นได้ ให้ไปเถอะไม่ตายหาใหม่ได้ จริงไหม (จริง) ถ้าศิษย์หมั่นพิจารณาตรงนี้เนื่องๆ  ศิษย์จะเข้าใจและรู้ว่าทุกข์นั้นไม่มี ผลจากการพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะทำให้รู้ว่า
อนิจจังความไม่เที่ยง ถ้าเข้าใจจะ เห็นเหมือนไม่เห็น
ทุกขังความไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิม ถ้าเข้าใจจะ รู้เหมือนดั่งไม่รู้ 
อนัตตาความไม่มีตัวตน ถ้าเข้าใจจะมีเหมือนดั่งไม่มี 
อาจารย์ชอบบทนี้มากที่สุด เพราะบทนี้ช่วยปลดทุกข์ปลดกิเลสได้ ปลดการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้และทำให้ศิษย์พ้นจากการเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารได้ด้วยทั้งหมดนี้ดียิ่งกว่าศีลทานอีก ศีลทานเป็นแค่ความดีเบื้องต้นถ้าศิษย์เข้าถึงบทนี้ได้ ศิษย์จะละชั่วได้เลย ศิษย์จะไม่สร้างบาปศิษย์จะไม่โลภ ศิษย์จะไม่หลง เพราะว่าสิ่งที่เห็นเหมือนไม่เห็นสิ่งที่รู้ก็เหมือนไม่รู้ สิ่งที่มีก็เหมือนไม่มี ในโลกนี้มีอะไรที่อยู่กับเราบ้าง แล้วสิ่งที่ศิษย์บอกว่ารู้ นั้นรู้ไหม (ไม่รู้)  ใครจะทำอะไร ยังไม่ทันอ้าปาก เราก็รู้แล้ว  แต่จริงๆเขาก็อาจทำอะไรที่เหนือความคาดหมายก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่เห็นเราก็เหมือนไม่เห็น สิ่งที่รู้ เราก็เหมือนไม่รู้สิ่งที่มีก็เหมือนไม่มี  ดังนั้น ถ้ามีคนด่าเรา เราก็เหมือนไม่เห็นเราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  ถ้าเราเห็นคนน่ารัก เราก็เหมือนไม่เห็นเราจะหลงไหม (ไม่หลง)  จะทำให้ศิษย์ไม่ประพฤติชั่วได้เลย คือไม่โลภไม่โกรธ ไม่หลง เพราะสิ่งที่ศิษย์เห็นว่าสวยนั้นไม่สวยสิ่งที่ศิษย์เห็นว่าดี ยังดีไม่แท้ ใช่หรือไม่ (ไม่)  แล้วที่ศิษย์เห็นว่าคนนี้ร้ายอย่าเพิ่งโกรธเขา เพราะคนนี้อาจยังไม่เท่าไร  แต่คนที่จะพบในอนาคตอาจจะเลวกว่าคนนี้ที่เราพบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นหากเราเข้าใจในหลักธรรมอันนี้ แม้กระทั่งตัวตนศิษย์ก็ละวางได้และเกิดมาแค่ใช้ชีวิตให้ถูกต้องและเรียนรู้ตัวตน และกลับไปสู่ความว่างเปล่าร่างกายตัวนี้วันนี้เห็นเป็นแบบนี้ พรุ่งนี้จะเหมือนเดิมหรือไม่เอารูปเมื่อสิบปีที่แล้วมาดูก็ไม่เหมือนตอนนี้แล้วหากร่างกายเป็นของเราจริงก็ต้องเชื่อฟังเรา เราต้องบังคับได้จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วเราบังคับมันได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แล้วเราไปยึดมันไว้หรือไม่  ยึดเมื่อไรก็เป็นทุกขัง  ทุกขังแปลว่าสภาพที่ทนได้ยากและต้องการให้เราพ้นจากทุกข์นั้น  ทุกขังไม่ใช่ทุกข์แล้วจะตายเหมือนวันนี้เราเจ็บเราต้องหาทางเพื่อพ้นทุกข์ถ้าเราทุกข์เราควรจมกับความทุกข์หรือลุกขึ้นมาสู้กับความทุกข์ (สู้กับความทุกข์) แต่อาจารย์เห็นแต่ศิษย์ที่จมกับความทุกข์   เข้าใจบ้างหรือไม่ (เข้าใจ)หากศิษย์เข้าใจสักนิดจะรู้ว่าการบำเพ็ญไม่ใช่เรื่องยาก
แล้วการบำเพ็ญคืออะไร  จะบำเพ็ญตอนไหน  ตอนที่เราถูกกระทบใจ สมมติว่าอาจารย์มีผลไม้ถาดหนึ่ง ประมาณยี่สิบลูกเป็นผลไม้ที่กินแล้วดี กินแล้วเป็นมงคลทุกคน อยากได้ไหม (อยากได้)  แต่ผลไม้นี้มีแค่ยี่สิบลูก ถ้าศิษย์บอกว่า “อาจารย์ศิษย์ไม่อยากได้เพราะศิษย์อยากเอาไปให้คนอื่นแทนหรือเสียสละไปให้คนอื่นแทน” ดีไหม (ดี)  แต่ส่วนใหญ่อยากได้ก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเริ่มต้นอยากแล้วค่อยให้ ไม่เรียกว่าบำเพ็ญแต่ยังไม่ทันอยากก็ให้แล้วนั่นเรียกว่าบำเพ็ญตั้งแต่เริ่มต้นเลย คือละบาปบำเพ็ญบุญ และมีปัญญาเห็นแจ้งจริง รู้จักไม่เอาและสละให้แต่ในโลกของความเป็นจริง เอามาก่อนแล้วค่อยให้ ใช่หรือไม่ ถ้าอาจารย์ไปขโมยผลไม้มา เป็นผลไม้ที่สามารถรักษาคนให้หายเจ็บหายไข้ได้ อาจารย์ไปขโมยของคนที่เขากินแล้วเขาใกล้จะหาย เพื่อจะมาให้ศิษย์ ศิษย์จะรับไหม (ไม่รับ)  นี่คือศิษย์กำลังบำเพ็ญและได้ละบาปแล้ว ถ้าศิษย์บอกว่า “ไม่เอาอาจารย์อาจารย์ไปขโมยเขามา อาจารย์เอาไปคืนเขาเถอะสงสารเขา” ศิษย์ได้มีศีลมีธรรมและยังช่วยเตือนอาจารย์ให้ไม่ผิดศีลผิดธรรม 
ฉะนั้นการบำเพ็ญไม่ใช่ต้องไปวัดแต่เราสามารถทำได้ทุกขณะที่เราอยากถ้าอยากแล้วก่อเกิดเป็นกิเลสไม่อยากดีไหม (ดี)  ถ้าอยากแล้วมันผิดกลายเป็นคนไม่มีคุณธรรมหยุดก่อนดีไหม (ดี)  แล้วเมื่อเราไม่อยาก แล้วเราเข้าใจ แล้วเราเกิดปัญญาเห็นแจ้งว่าได้มาก็เหมือนไม่มีอะไร ไม่เอาดีกว่าเราก็มีปัญญาเห็นแจ้งเข้าไปอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่แค่ทำแค่ภายนอกแต่ทำได้ทุกขณะทุกเวลายากไหม (ไม่ยาก)  อย่างนั้นเราจะทุกข์อีกไหม (ไม่ทุกข์)  แก่ก็ไม่ (ทุกข์)  เจ็บก็ไม่ (ทุกข์)  ตายก็ไม่ (ทุกข์) 
เมื่อครู่ใครตอบอาจารย์ให้ยืนขึ้น อาจารย์อยากให้รางวัลเอาหรือไม่ เอาทั้งถาดเลยดีไหม (เอา)  เขากล้าขออาจารย์ก็ให้นะจะเอาแค่หนึ่งหรือเอาทั้งถาด (แค่หนึ่ง)  ศิษย์เอยชีวิตนี้มันก็เหมือนกับการอยากได้อยากมี  มีหนึ่งก็ทุกข์แค่หนึ่ง
สิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกข์อีกอย่างนั่นก็คือใจที่ไม่ยอมรับความจริงความจริงสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น่ากลัวเท่าใจกับใจที่ไม่ยอมรับความจริงมีคำกล่าวคำหนึ่งบอกว่า “อย่าหนีปรากฏการณ์แต่จงหลบหลีกความคิดปรุงแต่งในใจตน” เราไม่สามารถหนีคนที่ว่าคนที่ทำร้ายเราเราเปลี่ยนแปลงคนที่ว่าคนที่ทำร้ายเราไม่ได้อย่างนั้นเราควรเปลี่ยนความยึดมั่นคาดหวังที่เราคิดว่าเขาน่าจะดีแต่ถ้าเขาไม่ดีก็ขอเรียนรู้และยอมรับความไม่ดีของเขา เปลี่ยนจากความคิดที่ว่าชีวิตควรจะสงบแต่ถ้าไม่สงบเราก็เปลี่ยนที่ใจตัวเรายอมรับความไม่สงบนั้นให้ได้
ศิษย์เอยในบรรดาทุกข์ทั้งหลายความผิดพลาด ความล้มเหลว ความตาย ความเจ็บปวดเงินทอง อะไรน่ากลัวที่สุดและทำให้เราทุกข์มากที่สุด (ความทุกข์)  ถ้าโลกนี้ไม่มีความทุกข์ศิษย์ก็ไม่รู้จักวิธีพ้นทุกข์ปัญญาเกิดเพราะมีทุกข์ ความหลุดพ้นได้ก็เพราะมีทุกข์คนเราแจ้งในทุกข์ได้ก็เพราะเห็นทุกข์ชัดฉะนั้นทุกข์ไม่น่ากลัวแต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าความทุกข์คือ
(เงินทอง) เงินไม่น่ากลัวแต่คนที่โลภแล้วอยากได้เงินจนไม่รู้จักผิด รู้จักถูก น่ากลัวจริงไหม เงินอยู่เฉยๆแต่คนที่อยากได้เงินจนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีนั่นน่ากลัว 
(ความเจ็บปวดน่ากลัว)  ความเจ็บปวดไม่น่ากลัว แต่ใจที่ไร้ปัญญา ใจที่ยอมรับความจริงไม่ได้ ใจที่ไม่ต่อสู้กับความเจ็บปวดแล้วกลับมาเข้มแข็งน่ากลัวกว่า ใช่ไหม
(ความตาย) ความตายไม่น่ากลัวเพราะคนที่รู้จักตายก่อนตายคือคนที่พ้นทุกข์ แต่คนที่ไม่รู้จักตายก่อนตายคือคนที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น จงกล้าตายเพราะทำถึงที่สุดแล้ว เราทำดีที่สุดแล้วอย่างไรเราก็หนีความตายไม่พ้นแต่จงตายอย่างมีสติ และมีชีวิตอยู่ให้ดีที่สุดก่อนที่จะตายจะได้คุ้มค่าที่เกิดมาใครก็หนีความตายไม่พ้นฉะนั้นขอแค่เพียงมีศีล มีศีลก็มีธรรมและมีคุณธรรมความเป็นคนปฏิบัติต่อคนก็ไม่ผิดศีลขาดธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน  ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่คือการได้จบจากการเวียนว่ายตายเกิดการได้จบกรรมกลัวแต่มีชีวิตอยู่ชอบสร้างกรรมไม่จบสิ้นเป็นเช่นนี้ความตายถึงจะเป็นสิ่งที่น่ากลัว ใช่ไหม
(ความคิด) ความคิดน่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  จำไว้นะ“ตัวตน” ถูกสร้างขึ้นมาจากความคิดเราจะรู้จักตัวตนก็ให้มองความคิด เราคิดอย่างไร ตัวเราก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นถ้าเราอยากจะพ้นทุกข์เราต้องเปลี่ยนความคิดถ้าเปลี่ยนไม่ได้ ก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ถ้าเราสามารถอยู่เหนือความคิดและมองเห็นความคิดได้อย่างแจ่มแจ้งก็แปลว่านอกจากเราจะพ้นทุกข์แล้ว เรายังพ้นจากการยึดติดกรรมเวรชีวิตเราก็จะเปลี่ยน
ความคิดคือตัวตน ตัวตนคือความคิดและความคิดจะพ้นจากตัวตนได้ก็ต่อเมื่อมีความรู้ที่แจ่มชัด ความคิดก็ยึดไม่ได้ตัวตนก็ยึดไม่ได้ เรามีหน้าที่แค่รู้แล้วก็วางทำให้ดีที่สุดแล้วก็ยอมวางลงไป ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(การเกิด)  การเกิดเป็นสิ่งที่น่ากลัวเป็นสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนเราเกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียวใช่ไหม( ไม่ใช่)  จริงๆคนเราตายครั้งเดียวแต่ความเกิดมีหลายครั้ง เกิดอยากได้ก็ทุกข์หนึ่งอย่าง เกิดอยากมีก็ทุกข์หนึ่งอย่างเกิดอยากเป็นก็ทุกข์หนึ่งอย่าง เกิดอยากด่าก็ทุกข์อีกหนึ่งอย่าง เกิดอยากชมก็ทุกข์อีกหนึ่งอย่างใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดมากเท่าไรก็ทุกข์มากเท่านั้นดับความเกิดได้มากเท่าไรก็ดับทุกข์ได้มากเท่านั้น ฉะนั้นไม่อยากทุกข์ก็จงอย่ามีความเกิด
(อวิชชา)  สิ่งที่ทำให้เราทุกข์มากที่สุดก็คือความไม่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่รู้เพราะอวิชชา จึงเกิดตัณหา จึงเกิดอุปาทานแต่ตอนนี้รู้ยิ่งกว่ารู้แต่เมื่อไรจะเอาสิ่งที่รู้ไปประพฤติปฏิบัติจนเห็นแจ้ง อย่าบอกว่าไม่รู้  สิ่งที่ทำให้เราไม่รู้คือ การขาดสติ ถ้าขาดสติเมื่อไร สัมปชัญญะปัญญาก็ไม่เกิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถึงรู้ขนาดไหนทำอะไรจงมีสติรู้เท่าทันคนอื่นไม่สู้รู้เท่าทันใจตัวเอง
เราทุกข์เพราะอะไรหรือ (ทุกข์เพราะกิเลส)  จะบอกอะไรให้กิเลสเกิดจากความนึกคิดแห่งตัวตน ถ้ามีตัวตนก็มีกิเลส ถ้าไร้ตัวตนก็ไร้กิเลส  เรารักแบบหนึ่งคนอื่นก็รักแบบหนึ่งเราเกลียดแบบหนึ่งคนอื่นก็เกลียดแบบหนึ่งความรักความเกลียดของแต่ละคนไม่เท่ากันแล้วแต่ความนึกคิดที่เรายึดติดฉะนั้นถ้าเราอยากจะละกิเลส เราก็ต้องรู้จักระวังความนึกคิดความยึดติดแห่งตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่) 
(ตัณหา)  ตัณหาแปลว่าความทะยานอยาก ตัณหาเกิดจากอวิชชา ตัณหา อุปาทานฉะนั้นถ้าศิษย์เห็นชัดๆ ว่าสิ่งที่ศิษย์ได้มาทำให้เกิดโลภ เกิดโกรธเกิดหลง สิ่งที่ศิษย์ได้มานั้น มีก็เหมือนไม่มีเห็นก็เหมือนไม่เห็นแล้วเรายังอยากอีกไหมอาจารย์ถามหน่อยชีวิตเราทุกข์ครั้งเดียวไม่พอหรือ  ต้องทุกข์แล้วทุกข์อีก เจ็บแล้วเจ็บอีกแล้วคนเราเอาทุกข์มาให้เจ็บหรือควรเอาทุกข์มาเรียนรู้เพื่อจะได้ไม่เจ็บฉะนั้นถ้าศิษย์มีความอยากขึ้นมาจงอยากตามหน้าที่แต่ไม่ได้อยากเพื่อสนองกิเลสตัณหาทำตามหน้าที่กับทำสนองกิเลสตัณหาคนละความหมายกันใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างที่เขาเรียกว่าทำเพื่อธรรมหรือทำเพื่อสนองกิเลสอัตตาในใจตน
มนุษย์ทุกข์เพราะยึดติดสมติเขาด่าเราถามว่าเราทุกข์เพราะเขาด่าหรือทุกข์เพราะว่าไม่อยากให้เขาด่าเราห้ามปากให้คนไม่ด่าเราได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นสิ่งที่ห้ามได้คือใจเราเราเปลี่ยนปรากฏการณ์ไม่ได้แต่เราเปลี่ยนการยอมรับในใจเราได้มนุษย์ทุกข์เพราะยึดมั่นกับความคาดหวังในใจยึดติดกับความคิดที่เราผูกไว้ในใจ เขาด่าเราเป็นเรื่องธรรมดาแต่สิ่งที่ทำให้เราทุกข์และเจ็บมากที่สุดก็คือใจที่เราไม่ได้อย่างที่คิด “ต้องชมอย่าด่า ต้องดี ต้องสวย” ถ้าศิษย์อยากจะแก้ทุกข์ศิษย์ต้องมองให้ออกว่าทุกข์ที่เขาหรือทุกข์ที่เราไม่ยอมรับความจริงและเราจะเอาความจริงนั้นมาสอนเราหรือเอาความจริงมาทำให้เราทุกข์แล้วทุกข์อีก 
(ทุกข์เพราะไม่มีใครสนใจ)  นั่นแหละเหตุที่เราทุกข์เพราะเรายึดติดและคาดหวัง อาจารย์ถามว่า “เราเดินไปและบอกให้คนอื่นยิ้ม” หวังให้ทุกคนยิ้มกับเรา หวังให้คนอื่นดีกับเรา ได้หรือไม่ ในเมื่อแก้คนอื่นไม่ได้ ก็แก้ที่เราเปลี่ยนเขาไม่ได้ ก็เปลี่ยนเป็นยอมรับความจริงดีกว่าไหมเพราะคนเราก็มีเข้มแข็งและอ่อนแอสิ่งที่เราต้องแก้เหตุแห่งทุกข์ให้ได้คือความยึดมั่นในความคิดและสิ่งที่เป็นต้นเหตุให้เราทุกข์มากที่สุดคือเราไม่อยากทุกข์ ไม่อยากร้ายไม่อยากผิด ไม่อยากเลว ไม่อยากแย่ ทั้งที่จริงๆ แล้วเราแย่ เราเลวการปฏิบัติที่ดีที่สุดเวลาเราอยู่ร่วมกันก็คือทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้อง ไม่ผิดศีล ไม่ขาดคุณธรรมความเป็นคนถึงที่สุดได้ไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องไปกังวลเพราะเราทำดีที่สุดแล้วและอะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ 
คนส่วนใหญ่ทำอะไรจะหวังว่าต้องสำเร็จเท่านั้น ต้องได้ ต้องดีเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในความเป็นจริงที่เรียกว่าธรรมมีสำเร็จก็มีล้มเหลว มีได้ก็มีเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรายังมีปัญญา ยังไหว วันนี้ล้มเหลวก็ลุกขึ้นใหม่ วันนี้ทุกข์วันพรุ่งนี้จะพยายามไม่ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สติเราก็มีอยากแค่เพียงพอบำรุงเลี้ยงชีวิต แต่ไม่อยากจนทำร้ายชีวิตและก่อวิบากกรรมถูกหรือไม่ (ถูก)  ใครบ้างเกิดมาอยากมีกรรมชั่วศิษย์เกิดมาพร้อมกับกรรมดี ฉะนั้นจงรักษากรรมดีนั้นไว้ อย่าเผลอหลงผิดและจงรู้จักต่อยอดกรรมดีนั้น ด้วยการให้ให้มากที่สุด
(ถ้าผมนอนอยู่แล้วร้อน แล้วถีบผ้าห่มออกถามว่าผมทราบไหมว่าผมถีบผ้าห่มออก)  ศิษย์เอย ถ้าทุกขณะเราทำด้วยสติอาจารย์ก็เชื่อว่าความรู้สึกตัวนั่นแหละที่จะบอกว่าเราต้องถีบผ้าแล้วศิษย์ไม่มีสติรู้เลยหรือว่าต้องถีบ  ฉะนั้นถ้าฝึกให้มีสติอยู่ทุกขณะแม้ขณะฝันศิษย์ก็สามารถควบคุมฝันได้ด้วย  ถ้าเขามาทำร้ายศิษย์ยังรู้จักรับมือ แล้วหยุดการทำร้ายนั้นได้  หรือแม้แต่ศิษย์คิดจะทำร้ายศิษย์ยังสามารถควบคุมสติได้จนถึงขนาดว่าเราจะไม่ทำร้ายเขา  เพราะสิ่งที่อยู่ใต้สำนึกเกิดจากการสั่งสมของสัญญา ความรับรู้ความหมายรู้ในจิตของเรา ที่เราฝังลงไปในใจ ที่เรียกว่าจิตเนื้อนาบุญปลูกบุญก็ได้บุญ ปลูกบาปก็ได้บาปแต่โดยส่วนใหญ่สิ่งที่เราปลูกคือความคิดเห็นอันเป็นอัตตาตัวตนที่เรียกว่านิสัย อารมณ์ กิเลส แล้วก็จะฝังอยู่ในตัวเราแล้วออกมาทางความรู้สึก ความฝัน และการประพฤติในชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราสามารถย้อนกลับไปมองที่ตัวต้นเหตุได้ด้วยการมีสติรู้และไม่ฝังอะไรลงไปในสัญญา เราก็จะสามารถควบคุมชีวิตได้เรียกว่า นอนแล้วไม่ฝัน หลับแล้วไม่ทุกข์ 
อาจารย์จะบอกให้ลึกลงไปอีกว่า ต้นเหตุของความทุกข์มาจากไหนเราประกอบด้วยกาย ใจ จิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิต เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์แต่ถูกบดบังไป เพราะใจที่มีอัตตาตัวตนจึงทำให้เราไม่สามารถเห็นจิตเดิมแท้ได้ ที่มนุษย์มักจะพูดว่าจิตเดิมแท้บริสุทธิ์ใส ไม่มีรูปลักษณ์ ใช่หรือไม่ จิตไม่ใช่ดวงวิญญาณกลมๆ จิตเดิมแท้เป็นภาวะแห่งความว่าง แต่มนุษย์ไม่ชอบความว่าง จึงพยายามมีเมื่อมีก็เลยถูกกระทบ เมื่อกระทบก็หนีไม่พ้นยึดติดแบ่งแยกแบ่งแยกเป็นสิ่งที่เรียกว่าสุข เรียกว่าทุกข์ เรียกว่าดี เรียกว่าร้ายฉะนั้นถ้าเมื่อไรมนุษย์สามารถกลับคืนไปสู่ความว่างได้นั่นก็คือกลับสู่จิตเดิมแท้ แต่เรากลับยึดติดว่า“ก็หนูเป็นแบบนี้อาจารย์จะเอาอะไรกับหนูนักหนาก็หนูทำได้แค่นี้อาจารย์ก็คิดมากไปช่างมันเถอะ ตายไปมันก็จบกัน”ในความจริงมันไม่จบ ใช่หรือไม่ เพราะว่า กายเกิดมาเพื่อรับกรรมฉะนั้นกรรมจึงเป็นของกายไม่ใช่ของจิต จำไว้นะศิษย์กรรมเป็นของกายไม่ใช่ของจิต จิตพ้นกรรมมานานแล้วแต่ที่มันไม่สามารถพ้นกรรมได้ก็เพราะว่าเราเอาใจไปผูกยึดกับกายและจิตจึงทำให้จิตนี้มีคำว่าตัวตนบังซ้อนอยู่เมื่อไรที่ศิษย์สามารถวางตัวตนที่บังซ้อนอยู่ได้ศิษย์จะสามารถกลับคืนสู่จิตเดิมแท้อันบริสุทธิ์ได้ ด้วยคำว่าว่างแต่มนุษย์ไม่ชอบความว่าง ชอบความมี ทั้งที่จริงๆแล้วความว่างมันทำให้เราพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงที่สุดแล้วกายก็กลับสู่ความว่าง ใจที่อยากได้นั่นอยากได้นี่เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ก็ไม่เที่ยง
ฉะนั้นถ้าศิษย์บำเพ็ญจึงไม่ใช่แค่การเป็นคนดีแต่ยังหยั่งรากลึกลงไปถึงการกลับคืนสู่จิตเดิมแท้ด้วยซึ่งศิษย์จะต้องมาพิจารณาจนบังเกิดธรรม เหมือนถามว่าตัวตนเกิดจากอะไรตัวตนเกิดจากความคิด ความคิดมาจากความรู้ความเข้าใจสั่งสมจนเกิดเป็นตัวตนหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าตัวตนคือสิ่งที่ปรุงแต่งจากความคิดแล้วความคิดมันมีตัวตนหรือไม่ (ไม่มี)  เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  ฉะนั้นตัวเราเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ไหนครอบงำอารมณ์อยากครอบงำตัวเราก็กลายเป็นความอยากอารมณ์ดีครอบงำตัวเราก็กลายเป็นความดีอารมณ์โกรธครอบงำตัวเราก็กลายเป็นความโกรธทั้งที่จริงๆแล้วตัวเราไม่ต้องการอะไร แต่เรามักไม่ชอบความว่างเราชอบฉันต้องแบบนั้น ฉันต้องมีแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นอาจารย์อยากไปให้ลึกกว่านั้น เมื่อไรที่ศิษย์สามารถวางความคิดเห็นแล้วไม่คิดคือใจที่ว่าง แต่มนุษย์เห็นแล้วมักดึงให้ชอบเห็นแล้วมักผลักให้ชัง ก็เลยกลายเป็นกรรมดี กรรมชั่ว ชอบ ชังแต่ถ้าทุกขณะเห็นแล้วไม่ดึงให้ชอบ ไม่ดึงให้ชัง มันก็ว่าง มันก็ไม่มีมันก็จบ เหมือนถูกเขาด่า เราไม่ตัดสิน ไม่ให้ค่า ไม่ปรุงแต่ง ไม่ยึดติด มันก็ว่างจะเป็นกรรมไหม (ไม่เป็น)  มันก็กลายเป็นอกรรม ฉะนั้นสิ่งที่เขาว่ามาเราก็แค่ชดใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่เมื่อเราสิ้นกรรมก็แปลว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่อไม่สร้างกรรมเมื่อสิ้นกรรมตลอดและทุกอย่างทำเพื่อธรรม ไม่ใช่ทำเพื่อตน เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  และยังจะมีวิบากกรรมให้ต้องไปรับอีกไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นทำไมอาจารย์ถึงต้องกลับไปที่คำแรกว่า เกิดเป็นคนต้องมีศีลธรรมเพราะเราปฏิบัติกับเขาด้วยธรรมไม่ได้ปฏิบัติกับเขาด้วยกิเลสตัณหาเราปฏิบัติต่อเขาด้วยความซื่อสัตย์แต่มนุษย์ไม่ใช่ มนุษย์ปฏิบัติต่อกันเพราะฉันอยากได้อะไรจากเธอ เธอจะให้อะไรกับฉัน ฉันจะดีกับเธอแค่ไหน เธอจะดีกับฉันแค่ไหน จึงเป็นกิเลสและกรรมไม่ใช่ธรรม  แต่ถ้าเราปฏิบัติต่อกันด้วยคุณธรรม ความเมตตา ความซื่อตรง จริงใจเคารพให้เกียรติ และไม่ผิดศีล ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่กรรมที่เรียกว่าตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่) 
ไม่ใช่ให้ปล่อยวางแต่ให้ปฏิบัติให้ถึงธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติแล้วได้กรรมยกตัวอย่างเช่น ไปทำบุญแล้วขอให้ถูกหวย ขอให้ครอบครัวร่มเย็นการขออย่างนี้ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อละ แต่ปฏิบัติแล้วหลงยึด ปฏิบัติแล้วได้กรรมเพราะที่สุดของบุญคือชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บาปก็คือยึดมั่นถือมั่นจนเกิดความลุ่มหลง ฉะนั้นถ้าทำบุญแล้ววอนขอจึงเป็นบุญที่มีบาป ทำบุญแล้วหวังยังเป็นบุญที่อาบด้วยกิเลส แล้วเราเป็นไหม (เป็น)  ฉะนั้นเราก็ใช้กรรมต่อไป อาจารย์ถามว่าศิษย์สร้างกรรมดีมากกว่าหรือสร้างกรรมชั่วมากกว่ากรรมชั่วเล็กๆ ก็สามารถทำร้ายให้เราเจ็บปวดได้ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นเราจะอยู่เพื่อธรรมหรืออยู่เพื่อสร้างกรรม  แล้วเราปฏิบัติเพื่อธรรมหรือเพื่อตน (เพื่อธรรม)ส่วนใหญ่จะไม่เพื่อธรรม แต่จะเพื่อตนเองตลอดเลยจริงหรือไม่ (จริง)
หนทางการปฏิบัติความหมายจึงต่างกัน อาจารย์ยกตัวอย่าง เวลาเราไปทำงาน ทำเพื่ออยากได้เงินเดือนหรือทำเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องที่สุด (ปฏิบัติหน้าที่)ถ้าทำเพื่อเงินไม่ใช่เรียกว่าธรรมแต่ถ้าเราทำเพราะอยากปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องที่สุด จริงใจที่สุด  ดีที่สุด ให้สมกับคนที่มีคุณธรรมมากที่สุดนั่นเรียกว่าปฏิบัติเพื่อธรรม แต่ถ้าบอกว่าปฏิบัติแล้วจะได้เงินเดือนเพื่อจะได้ไปเที่ยว ซื้อของนั่นเรียกว่าปฏิบัติเพื่อกรรมและสนองกิเลสตัณหาแห่งตน ใช่ไหม (ใช่)  ความหมายต่างกัน  ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกว่าบำเพ็ญต้องเริ่มตั้งแต่ตอนแรกคือเราปฏิบัติหน้าที่ถูกต้อง รับผิดชอบซื่อตรง และเพื่อคุณธรรมแห่งความเป็นคน ฉะนั้นผิดก็ยอมรับผิดแล้วแก้ไข ทำเพื่อธรรมไม่ใช่ทำเพื่อตน  คุณค่าความหมายคือมีชีวิตอยู่เพื่อธรรมและกลับคืนสู่ธรรมแต่ถ้าทำเพื่อตนก็มีชีวิตหนีไม่พ้นเวรกรรมเพราะคำว่าตนมีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คำว่าธรรมมีแค่คำว่าธรรม และธรรมฉะนั้นถามใจตัวเอง จะทำเพื่อตนหรือทำเพื่อธรรม (เพื่อธรรม)  ที่แล้วมาทำเพื่อตนและสนองกิเลสแห่งตนใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงไม่ได้บอกว่าศิษย์ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรไม่ต้องทำอะไร แต่เรายังรับผิดชอบต่อหน้าที่ของความเป็นคนให้สมบูรณ์พร้อมที่สุดแล้วถึงที่สุดอะไรจะเกิดก็ไม่กลัวเพราะอะไรจะเกิด ก็มีปัญญาธรรมจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นถ้าถึงเวลาศิษย์ต้องพบทุกข์ แม้เรื่องที่ง่ายที่สุดที่เรียกว่าถูกด่าถูกว่า ไยจึงไม่เห็นธรรม ไยจึงโกรธกระฟัดกระเฟียดแล้วก่อเวรกรรมทั้งที่เป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดต่อไปถ้ามีคนมาด่าเรา เราจะด่ากลับเหมือนเคยไหม (ไม่)  อยากพบเขาอีกใช่ไหมถ้าอยากพบเขาอีกก็จองเวรจองกรรมไปเลย แต่ถ้าไม่อยากพบเจอก็จบกันแค่นี้ดีไหม (ดี)  เขาด่าเราโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขาปัญหาอยู่ที่เราใช่ไหม (ใช่)  ถ้าคิดว่าเราถูกด่าไม่ได้ก็เป็นกรรมแล้วแต่ถ้าคิดว่าเราถูกด่าได้จากกรรมมันกลายเป็นธรรมสอนใจเลยจริงหรือไม่ (จริง)  อาจารย์ก็พูดอยู่ทุกครั้งที่ว่าธรรมคือความเป็นจริงอันหนีไม่พ้นคือความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกแล้วทำไมเราถึงไม่เข้าใจความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาโลก มีได้ก็มีเสียมีสุขก็มีทุกข์ มีสมหวังก็มีผิดหวัง ศิษย์อย่าดูถูกใจตัวเองศิษย์อย่าดูเบาใจตัวเอง คนที่เอาชีวิตไปแขวนไว้กับใบหน้าคนอื่น คือคนที่ดูถูกคุณค่าตัวเองแล้วพร้อมจะตกเป็นทาสอารมณ์ของคนอื่นถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉันจะสุขจะทุกข์ต้องอยู่ที่คนนี้จะยิ้มหรือไม่ยิ้มฉันจะสุขจะทุกข์ก็ต้องอยู่ที่คนนี้จะด่าหรือชม ต่อไปถ้าเขาด่าศิษย์ก็ยิ้มเขาชมศิษย์ก็ยิ้มจำไว้นะศิษย์ชีวิตเรา เราเลือกได้ ทุกข์มาเราเลือกได้ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือจะเลือกทำในสิ่งที่ผิดต่ออย่าดูถูกตัวเองก็พอใช่หรือเปล่า (ใช่)  
อย่างนั้นบอกอาจารย์หน่อยว่าจะรับมือกับโลภ โกรธ หลงในใจอย่างไร (ปล่อยวาง, ทำจนถึงที่สุด, ใช้ปัญญา, ปลง) ปลงบ้าง ได้มาก็สะสมของเต็มไปหมดอายุปูนนี้แล้วถ้ายังปลงไม่ได้ก็ไม่ไหวแล้วนะ (ใช้สติ)เมื่อไร้สติก็เกิดโลภโกรธหลง แต่ถ้ามีสติรู้จักยั้งคิดโลภโกรธหลงก็จะไม่มีอิทธิพลต่อจิตใจ คนมีอารมณ์เป็นเพราะขาดสติ (แค่รู้)  เวลาความโกรธมาไม่ให้ค่าไม่สนใจ เดี๋ยวโกรธจะหายไปเองแต่ถ้าเมื่อไรเราสนใจเราให้ค่าเราปรุงแต่ง ความโกรธจะเผาใจเราเอง จริงหรือไม่ (จริง)  
(ใช้ขันติ)  ใช้ขันติข่มใจ ถ้าปัญญายังหยั่งไม่ถึงความเข้าใจในธรรมนั้นก็ต้องรู้จักใช้ขันติข่มใจ
(ปล่อยจิตให้ปล่อยวางไม่คิดอยากได้ของใครมาเป็นของตน)  เมื่อไรที่อยากเท่ากับศิษย์เพิ่มความทุกข์ขึ้นเรื่อยๆ 
(ปล่อยใจให้ว่าง)  พอได้ก็ว่างได้ ไม่พอก็ไม่ว่าง 
(พระอาจารย์เมตตาให้พระโอวาทซ้อนพระโอวาท“กำไรจากความทุกข์”)
เมื่อเราพบทุกข์จงแปรทุกข์ให้เป็นปัญญาเมื่อไรที่สามารถแปรทุกข์เป็นปัญญาความทุกข์จะทำให้เรามีกำไรในการเกิดมาและในการใช้ชีวิตเราทุกข์พอแล้วนะศิษย์ และเราก็เจ็บมาพอแล้ว และทำไมเราจึงอยากทุกข์อีกอย่าดูถูกปัญญาตัวเอง อย่าดูถูกคุณค่าตัวเองอย่าดูถูกชีวิตตัวเองเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์แต่เราเกิดมาเพื่อรู้แจ้งในทุกข์อันเป็นความจริงที่เราหนีไม่พ้นและทำให้เราพ้นทุกข์ได้ด้วยปัญญาเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
วันนี้อาจารย์ก็คงต้องกลับแล้ว มีโอกาสก็คงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์หวังน้อยๆ ว่าในสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ จะช่วยทำให้ศิษย์เข้าใจชีวิตมากขึ้นและรู้จักบำเพ็ญให้ถูกทาง อย่าติดแค่บุญ อย่าติดแค่ความดีแต่จงรู้จักเอาบุญและความดีเป็นรากฐานในการบำเพ็ญธรรมเพื่อเข้าถึงความจริงอันไม่เที่ยงในโลกใบนี้ ตัวเราก็ไม่เที่ยง เกิด แก่ เจ็บ ตายแล้วเอาอะไรไปได้ไหม (ไม่ได้) แล้วทำไมไม่สร้างคุณความดีและบำเพ็ญดีให้ถึงที่สุดเพื่อเราไม่ต้องกลับมารับทุกข์อีกต่อไปทุกข์ยังไม่พออีกหรือ ถ้าพอศิษย์จะรู้จักอยากอย่างมีสติอยากอย่างคนที่มีปัญญาเข้าใจความจริงเพราะสิ่งที่น่ากลัวในโลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับใจของเราเองใจที่ไม่สู้กับความจริงซึ่งแม้ความจริงนั้นเป็นทุกข์แต่ก็ใช่ว่าเรานั้นจะต้องทุกข์ทุกข์มาปัญญาเกิด ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
ฉะนั้นมีโอกาสคงได้กลับมาผูกบุญกันอีกนะ  ชีวิตไม่ว่าพบเรื่องราวอะไร ขอให้เข้มแข็ง จริงๆอาจารย์ก็ไม่อยากให้เข้มแข็ง เพราะว่าพอเข้มแข็งแล้วก็กลับมาอ่อนแออีก ใช่หรือไม (ใช่)  รักษาสมดุลของชีวิตให้ได้ วันใดพบเรื่องอ่อนแอจงรู้จักเข้มแข็งให้เป็น วันใดที่ตัวเองเข้มแข็งก็จงเข้าใจว่าชีวิตก็อ่อนแอได้ เหมือนวันใดที่มีสุขวันนั้นก็เข้าใจว่าแม้จะทุกข์มาก็ไม่เจ็บปวด สังขารคืนสู่ดินแต่จงเอาจิตกลับคืนสู่ฟ้าสังขารเกิดมาเพื่อใช้กรรมแต่จิตพ้นกรรมพ้นทุกข์นานแล้วอย่าเอาความเป็นตัวตนไปทำให้จิตหม่นหมองและยึดติดในทุกข์นะ ใช่ไหม (ใช่)  เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่ดูเบาปัญญาตัวเองความเป็นจี้กงจะมีอยู่ในใจศิษย์ได้จี้กงคือหัวใจที่รู้จักอนุเคราะห์ฉุดช่วยชาวโลก ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์
อะไรจะเกิดก็กล้ารับ เข้มแข็งนะ อาจารย์ไม่อยากเห็นศิษย์ทุกข์แต่อาจารย์อยากเห็นศิษย์ที่มีปัญญาเข้าใจในความทุกข์ไม่ต้องพยายามหาว่าตัวเองเป็นอย่างไร เพราะถ้าหาว่าตัวเองเป็นอย่างไรก็กลายเป็นยึดติด สู้ยอมรับว่าจริงๆ แล้วตัวเองไม่เคยเป็นอะไรและไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย  อย่างนั้นจะดีกว่า คิดว่าตัวเองมีก็มีแต่ทุกข์ แต่ถ้าคิดว่าตัวเองไม่มีบางทีอาจจะดีกว่าก็ได้ ลองคิดให้ดี
ขอให้บุญรักษาศิษย์ ขอให้ปัญญาในธรรมจงเกิดแก่ศิษย์ เห็นชัดในชีวิต ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ที่ทำให้เราหนีไม่พ้นบาปเวรกรรม 
หายไข้ไม่มีประโยชน์ ขอแค่เข้าใจในความเจ็บป่วยดีกว่า จริงไหม
อย่าทำสิ่งที่ผิดเลย รู้จักทำสิ่งที่ถูกต้องน  หนทางบุญเดินให้ถึงที่สุด 
รักษาคุณงามความดีด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง รักษาหัวใจให้แกร่งดั่งเพชร
มีโอกาสช่วยงานฟ้านะศิษย์นะ ทำงานธรรมด้วยหัวใจที่สู้ไม่ถอยนะ บำเพ็ญอะไรหรือถ้ายังยึดติดอยู่ก็บำเพ็ญไม่ได้มีปณิธานแล้วจงลุในปณิธาณด้วยหัวใจที่เสียสละขอให้ความดีคุ้มครองศิษย์ให้เดินไปจนถึงที่สุดที่ศิษย์ตั้งใจนะ  ตั้งใจบำเพ็ญนะ สู้ไหม ช่วยงานอาจารย์ทำไมถึงหวาดกลัวล่ะควรจะมีหัวใจที่เข้มแข็งสิ สู้ให้สมกับเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์สู้เพื่อคนอื่นตั้งใจบำเพ็ญนะ อุทิศเสียสละด้วยหัวใจอันดีงามด้วยใจอันประเสริฐ  ควบคุมอารมณ์ให้ได้ รู้จักปณิธาณของตัวเอง ซื่อตรงไปให้ถึงเป้าหมาย เข้าใจไหม มีความมุ่งมั่นและไปให้ถึงที่สุดอย่าหวั่นไหวเลือกทำสิ่งที่ดีงามด้วยหัวใจที่เสียสละอาจารย์อยากเห็นความมั่นคงในหัวใจศิษย์ทุกคนนะ
มีโอกาสกลับมาอีกนะ ชีวิตเกิดมาเพื่อเรียนรู้และเข้าใจชีวิตอย่าอ่อนแอแต่จงเข้มแข็งและกล้าหยัดยืนทำในสิ่งที่ถูกต้อง มีปณิธานมีความมุ่งมั่นก็อยู่ที่ว่าศิษย์จะตั้งใจทำได้มากแค่ไหนขอเพียงแค่อย่าให้อารมณ์ความคิดที่ผิดพลาดมาทำให้เราต้องทุกข์เลยรักษาความดีไว้นะ ถ้าศิษย์มีใจสักครึ่งหนึ่งอย่างอาจารย์ก็คุ้มแล้วที่อาจารย์มา อย่าทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ตั้งจิตให้ดีตั้งใจบำเพ็ญเอาหัวใจที่ดีงามเสียสละเป็นจุดมุ่งหมายเป็นเป้าหมายในการดำเนินชีวิต ไม่จำเป็นต้องถามว่าตัวเองเป็นอะไรแค่ถามว่าตัวเองจะทำอะไรให้ดีที่สุดกับชีวิตหนึ่งที่เกิดมาแล้วถ้าชีวิตหนึ่งทำได้ดีที่สุดทำไมจะไม่ทำสักวันศิษย์จะเข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้ ทำไมถึงต้องเสียสละทำไมถึงต้องช่วยคน
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรียนรู้อยู่กับสิ่งที่มีด้วยหัวใจที่เข้มแข็งดูแลหัวจิตหัวใจตัวเองให้ดีนะ เอาความดีชนะใจสิ ตั้งใจบำเพ็ญเพื่อเข้าถึงธรรม นำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ให้ได้นะ อย่าจมกับความทุกข์ในโลกเลย อย่าจมกับการยึดติดในตัวเองเลยเพราะทำให้ศิษย์หนีไม่พ้นวิบากกรรม เพราะถ้าวิบากกรรมมาสนองเมื่อไรตอนนั้นศิษย์จะเรียกอาจารย์ช่วย อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้เพราะกรรมใครคนนั้นก็ต้องรับ ฉะนั้นเป็นศิษย์อาจารย์แล้วอย่าทำผิดได้ไหม (ได้)  ถ้าจะทำผิดยกความผิดนั้นมาให้อาจารย์ศิษย์จะได้ไม่ต้องทำอย่าเผลอทำเลยนะศิษย์เพราะถ้าทำแล้วศิษย์จะต้องรับผลของกรรมนั้นอย่างหาที่สุดไม่ได้แล้วตอนนั้นใครก็ช่วยไม่ได้ บุญก็ช่วยไม่ได้สิ่งที่ช่วยได้คือปัญญาที่ต้องยอมรับความเป็นจริง ศึกษาธรรมเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ให้เกิดปัญญา  นำพาให้มีสติพ้นทุกข์และอยู่กับความจริงให้ได้นะศิษย์เอย ความจริงในโลก ไม่น่าเจ็บช้ำไม่น่าทุกข์ แต่ที่เจ็บและทุกข์ก็เพราะว่าเราไม่คิดว่าคนที่ทำกับเราคือคนที่รักเรามากที่สุด คือคนที่เรารักเขาสุดหัวใจและก็ไม่คิดว่าคนที่เรารักสุดหัวใจจะต้องมารับกรรมแทนเรา เพราะบางทีกรรมไม่ตกที่เรา แต่ตกที่ลูกหลาน เราจะรับไม่ไหว ฉะนั้นก็อย่าทำผิดเลย เชื่ออาจารย์นะ อย่าทำผิดเลยเพราะถ้าลูกศิษย์ยังดีไม่ได้อาจารย์จะเอาหน้าไปบอกเขาได้อย่างไรว่าศิษย์กำลังบำเพ็ญในเมื่อศิษย์ไม่เลือกทำสิ่งที่ดี อาจารย์ไปต่อรองเจ้ากรรมนายเวรอาจารย์ก็สงสารเขา ศิษย์ทำเขามา และเมื่อเขาจะแก้แค้นคืนอาจารย์ก็ต้องยุติธรรมก็ต้องให้ศิษย์รับกรรมไป ไม่ใช่อาจารย์ไม่อยากช่วยไม่คุ้มครอง แต่กรรมใครก็ต้องรับจริงไหม อาจารย์ขอย้ำแล้วย้ำอีก อย่าทำผิด


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “กำไรจากความทุกข์”


 ตั้งใจบำเพ็ญเป็นบุญทุกวัน ใช้ใจประเดิมปัญญาพร้อมศรัทธา สิ่งที่เห็นทั้งนั้นของดีตรงหน้า ไม่เอาธรรมไปมองมักเห็นแต่สุขสบาย ไม่อยู่กับทุกข์บำเพ็ญไม่โดนใจ ทุกข์แล้วสบายมีใครบ้างเกิดมา อยู่ด้วยทุกข์แล้วช้ำพิจารณา   ย่อมปรากฏหลักฐานชัดแจ้งในตัว ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้างคงไม่ตายไป ซึมเศร้ากันไปไหน


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2560

2560-06-03 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร

西元二○一七年 歲次丁酉五月初九日                    仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน  พ.ศ. ๒๕๖๐       ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
    หยุดตาไว้เพียงนั้น เรื่องราวไว้เพียงนั้น ตั้งแต่ตอนเห็น
หยุดความคิดเพียงนั้น หยุดใจไว้แค่นั้น จะได้บำเพ็ญ
หยุดให้ธรรมนั้นมาแทนเรื่องราว บอกตัวเรารู้ไปก็ร้อน
                   เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                 ถามศิษย์น้องทุกคนพอจะต้อนรับศิษย์พี่บ้างไหม
  ทุกข์เพราะเขาหรือเราคิดให้ดี          อยากหยุดเขาคนที่เปลี่ยนไม่ได้
ยอมรับหรือหนีความจริงต่อไป           หรือหยุดใจตนหวังดีกับตน
โลกธรรมเตือนคนยึดแบบไม่จบ          คลื่นแม้สงบพึ่งไม่ได้ฟองสับสน
กิเลสไม่ตั้งใจข่มจะขวางทางตน          เจนจบได้ใช่หลุดวนพ้นรำคาญ
ยากยากพบเหนื่อยใจทำใจบ้าง          วิถีทางคลี่คลายแค่เพียงปรับฐาน
รู้การให้ก็จะเกิดบุญสัมพันธ์              อัตตาว่างทุกอย่างพลันดีขึ้นเอง
ความคิดหยุดกวัดแกว่งหยุดคุมได้        สมองว่างทันใดเมื่อใจไม่เคว้ง
เริ่มสงบได้ลงภายในใจตัวเอง             คว้าที่ทันจับแต่เก่งเกษมฤๅ
ใครก็รู้ก็คนดีด้วยสติ                      เมื่อไม่ทำใจปกติเป็นสุขหรือ
ใจที่ทั้งว่างสงบวุ่นปลายมือ               เพราะจิตผูกใจคือธรรมแบบธรรม
ภาวะว่างเดิมทีความว่างไม่มี             ภาวะมีความมีกว่าเดิมมีซ้ำ
สับสนหลงวุ่นวายธรรมไม่ใช่ธรรม        โลกนี้คือสายน้ำคืนฝั่งไป
                                            ฮิ ฮิ หยุด


พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

ท่านเคยได้ยินไหม “เรื่องราวในโลกนี้จะไม่เกิดขึ้นได้เลย ถ้าท่านไม่คิด” เหมือนตอนนี้เราอยู่ตรงนี้ แต่ถ้าท่านไม่คิดจะใส่ใจ ไม่คิดจะดู ไม่คิดจะแล ที่มีก็เหมือนไม่มี จริงไหม เพราะท่านไม่คิดสนใจ ที่เห็นก็เหมือนไม่เห็น ใช่ไหม (ใช่)  ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกที่เกิดขึ้นได้ อยู่ที่ท่านคิดหรือไม่คิด ใส่ใจหรือไม่ใส่ใจ จริงไหม และเรื่องบางเรื่องบางครั้งมันไม่มีเลยนะ แต่ถ้าเราคิดมันก็มีขึ้นมาได้ จริงไหม (จริง)  เคยเห็นผีไหม (ไม่เคย)  ถ้าคิดว่าตัวเองเห็นผีจะเห็นผีขึ้นมาทันที ไม่มีมันก็เหมือนมีขึ้นมา ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก จะมีหรือไม่มีอยู่ที่ท่านคิด ไม่คิด สนใจ ใส่ใจ หรือไม่ใส่ใจ ถ้าอยากให้ใครก็ตามที่เราเห็นแล้ว ไม่อยากมีผลกับใจเรา ก็อย่าคิด เขาจะมีตัวตนหรือไม่มีตัวตน เพราะเราไม่เคยคิด ฉันใดก็ฉันนั้น บางทีสิ่งที่ไม่มีตัวตนเลย ถ้าเราเผลอคิดขึ้นมามันก็กลายเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นเราถามท่านว่า ธรรมเคยมีในใจไหม (มี)  มีเพราะว่าได้คิดหรือว่ามีเพราะไม่เคยคิด เวลาเราเห็นอะไรสักอย่างหนึ่ง พอเห็นแล้วเราใส่ใจ ใส่ใจแล้วเราถือสา ที่เห็นมันก็เลยกลายเป็นสิ่งที่มี แล้วทำให้เราวุ่นวายใจ ใช่ไหม (ใช่)  สมมติว่าเมื่อเราเห็น เราไม่คิด เราไม่ใส่ใจ เราไม่ถือสาก็จะกลายเป็น มันไม่มี มันว่าง และมันโล่งทันทีใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราบอกว่าเขาเป็นต้นเหตุทำให้ใจเราเจ็บปวดนั่นเป็นเพราะเราเอาเขามาคิด ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเขาทำเราเจ็บปวดหรือเปล่า (ไม่ใช่)  เวลาใครเขาด่าเรา ถ้าเราไม่เอามาคิด คำด่ามันจะทำให้เราเจ็บปวดไหม (ไม่)  ฉะนั้นไม่มีสิ่งใดในโลกเกิดขึ้นได้ถ้าตัวท่านไม่คิดใส่ใจถือสา มันจะว่าง โล่ง จบ ใช่ไหม (ใช่)  แต่พอเราเห็นอะไรเราก็เก็บเอามา คิด ใส่ใจ ถือสา เอาจริงเอาจัง เข้มงวด จับผิด จุกจิกจู้จี้ แล้วคนที่ทุกข์ก็คือคนที่ (คิด)  แล้วคนที่วุ่นวายหาความสงบไม่ได้ก็คือคนที่ (คิด)  คนที่คิดแล้วหยุดความคิดไม่ได้ก็จะต้องทนอยู่กับความทุกข์ของความ (คิด)  ฉะนั้นหยุดก่อนคิดดีไหม (ดี)  แล้วทำอย่างไรเราจะสามารถหยุดก่อนคิดได้ รู้ทันความคิดได้ (ไม่ใส่ใจ)  ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ใส่ใจ ท่านลืมไปหรือเปล่า สติสอนให้เราได้ระลึกรู้ ฉะนั้นถึงแม้ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ ไม่ดูแล แต่ถ้าเราขาดสติ บางทีมันก็คิดไปถึงไหนแล้ว
มนุษย์ได้เจอกัน รู้จักกัน เพราะมีบุญสัมพันธ์กัน มีคำกล่าวไว้ว่า “ถ้ามีบุญแม้อยู่ไกลพันลี้ ก็ได้พานพบ แต่ถ้าเกิดไร้บุญ แค่อยู่ตรงหน้าก็ไม่รู้จักกัน” ทุกสิ่งทุกอย่างวนมาทำให้เราเจอกัน รู้จักกัน อยู่ร่วมกัน ล้วนเกิดจากบุญ ใช่ไหม อย่างสมมติเพื่อนเรา ที่เราอยู่ๆ เราสนิทกับเขา คนมีตั้งเยอะแยะเราไม่สนิทเราสนิทกับคนนี้ ก็เพราะเรามีบุญ (สัมพันธ์)  คนมีตั้งเยอะแยะเราไม่รัก เรารักกับคนนี้ แล้วคนนี้ทำให้เรามีลูกเป็นคนนั้น นั่นก็เป็นเพราะว่า (บุญสัมพันธ์)  มีคนตั้งเยอะแยะเราไม่ได้ทำงานด้วยกัน แต่เรากลับทำงานกับคนกลุ่มนี้ก็เพราะว่า (บุญสัมพันธ์)  ใช่ไหม (ใช่) 
ถ้าเกิดทุกสิ่งทุกอย่างมาเพราะบุญสัมพันธ์ แปลว่าเราจะถนอมบุญสัมพันธ์ รักษาบุญสัมพันธ์ไว้ไหม (รักษาไว้)  ถ้าบุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ ถ้าเราจะถนอมบุญกับคนในครอบครัว ถนอมบุญกับเพื่อน ถนอมบุญกับคนรัก เราก็จะต้องกระทำสิ่งที่เป็นบุญที่ชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ แปลว่า เรายิ่งอยู่กับเขาใจเราต้องยิ่งสะอาด ใจเรายิ่งต้องบริสุทธิ์ ใช่ไหม เมื่อเป็นบุญที่ทำให้เรามาเจอกัน แต่ทำไมยิ่งอยู่เรายิ่งจับผิดกัน คิดร้ายต่อกัน จมอยู่กับความไม่ดีของเขา นั่นเรียกว่า เรากำลังผลาญบุญ หรือว่าเรากำลังถนอมบุญ (ผลาญบุญ)
เราอยู่กับพ่อแม่นานๆ แล้วเราบริสุทธิ์ใจไหม เราไม่เคยนินทา ไม่เคยว่าพ่อแม่ไหม เราอยู่กับเพื่อนเราจริงใจไหม เราอยู่กับคนรัก เราอยู่กับเพื่อนร่วมงาน เราไม่เคยนินทา ไม่เคยจ้องจับผิด ไม่จมอยู่กับความคิดร้ายใช่ไหม เรากำลังผลาญบุญ ถนอมบุญ หรือว่าเรากำลังทำร้ายบุญในการอยู่ร่วมกัน บุญทำให้เราเจอกัน บุญทำให้เราได้มีสัมพันธ์กัน แล้วเราได้สร้างบุญด้วยกันหรือเราสร้างบาปด้วยกัน บุญทำให้เราใจฟู บุญทำให้ใจเราอิ่มเอม แต่ทำไมยิ่งอยู่มันยิ่งกลัดหนอง เจ็บปวด กลุ้มกังวลใจ อย่างนั้นแปลว่าเราไม่ได้อยู่กันด้วยบุญ แต่เรากำลังอยู่กันด้วยกรรม ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทุกวันนี้เราอยู่กับคนในโลกอย่างคนร่วมบุญสัมพันธ์หรือร่วมเวรกรรมต่อกัน (ร่วมเวรกรรมต่อกัน)  การที่เราเจอแฟนของเรา บุญอะไรทำให้ได้มาเจอกัน ใช่ไหม แล้วเราอยากอยู่อย่างคนมีบุญร่วมกันหรืออยากอยู่อย่างคนมีกรรมร่วมกัน (มีบุญ) แล้วทุกวันนี้เอาแต่คิดจับผิด มองเขาในแง่ร้าย จมอยู่กับความไม่ดีของเขานั้น เช่นนี้เรียกว่า เราอยู่อย่างคนร่วมบุญหรืออยู่อย่างคนร่วมสร้างกรรม (ร่วมสร้างกรรม)
วันนี้ท่านมาฟังธรรมได้เจอเรา (พระนาจา)  แล้วศิษย์น้องคิดดีเราก็ได้ร่วมบุญกัน ถ้าอยู่กับเราแล้วคิดร้ายคิดไม่ดีก็ได้ร่วมกรรม เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่ว่าวันนี้ท่านจะมาร่วมบุญหรือร่วมกรรม (ร่วมบุญ)  ถ้ายิ่งอยู่แล้วใจเรายิ่งบริสุทธิ์ ถ้ายิ่งอยู่แล้วเรายิ่งอิ่มเอมใจ ถ้ายิ่งอยู่แล้วเรายิ่งสบายใจนั่นคือการอยู่ร่วมสร้างบุญ ทุกขณะอย่าคิดว่าบุญทำได้แต่ที่วัด แต่บุญทำได้ทุกที่และบุญที่ทำโดยไม่เจาะจงเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ จริงไหม ที่เรียกว่าสังฆทาน ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าท่านทำบุญกับทุกคนแล้วทุกขณะไม่ว่าทำอะไรเราก็ทำกับเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจ จริงใจ สบายใจ ไม่มีอคติ ไม่มีคิดร้าย ไม่มีจ้องจับผิด ไม่มีคดในข้องอในกระดูก มีแต่ความเมตตา เคารพกัน นั่นไม่ใช่เป็นการอยู่ด้วยกันอย่างร่วมบุญทุกขณะหรือ จริงไหม (จริง)  ตอนนี้กำลังร่วมบุญหรือกำลังร่วมบาป (ร่วมบุญ)  บุญทำเพื่อละหรือทำเพื่อยึด (ทำเพื่อละ)  แล้วทุกวันที่มีบุญสัมพันธ์กับสามี มีบุญสัมพันธ์กับลูก ทำเพื่อละหรือทำเพื่อยึด (ทำเพื่อละ)
มีบุญดี ได้งานดี ได้เพื่อนรอบข้างที่ดี เราทำดีเพื่อละหรือทำดีเพื่อยึด (ทำเพื่อละ)  จุดมุ่งหมายหลักของบุญคือเพื่อละวาง ไม่ให้ยึดถือจนบังเกิดทุกข์ ถ้าท่านเข้าใจว่าเรามีบุญสัมพันธ์ด้วยกัน ทำไมยิ่งทำเรายิ่งยึด ยิ่งสร้างเรายิ่งหลง ยิ่งสร้างบุญเรากลับยิ่งทุกข์ใจ บุญยิ่งทำเราต้องยิ่งไม่ยึด ยิ่งทำต้องยิ่งสบายใจ ไม่ลุ่มหลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมอยู่กับเพื่อน เรายิ่งยึดจนหลง ยิ่งมีจนทุกข์
คนในโลกปากอย่างใจอย่าง ปากบอกว่ารักคนในบ้านแต่กลับพูดไม่ดีต่อกันทุกวัน แล้วเราจะทำอย่างไรจึงจะอยู่ด้วยกันแล้วมีแต่สร้างบุญเพิ่ม เคยคิดไหม ส่วนใหญ่พอหมดบุญแล้วก็คิดว่า “หมดเวรหมดกรรมกันไป” เราคิดอย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร เป็นการทำบุญเพิ่มได้ทุกวัน เคยคิดบ้างไหม คิดแต่เพียงทำบุญค่อยไปทำที่วัด อยู่ตรงนี้ขอบาปก่อน ใช่ไหม แล้วทำอย่างไรที่จะเป็นการอยู่ร่วมกันแล้วได้สร้างบุญเพิ่ม (อยู่โดยใช้ปัญญา)  แต่ปัญญามักชอบฉลาดเอาแต่ได้นะ “แม่ต้องแพ้ พ่อต้องชนะ” เวลาอยู่กับเพื่อน ก็แอบคิดว่า “ฉันต้องได้มากกว่า เธอควรได้น้อยกว่า” ใช่หรือเปล่า
ปัญญาเป็นสิ่งที่ดี แต่ปัญญานั้นต้องทำอย่างไรให้เราสร้างบุญได้ทุกขณะ “หนึ่งในการสร้างบุญคือการให้และการให้ที่ประเสริฐที่สุดคือให้ธรรมะเป็นทาน” ถ้าเราอยู่กับพ่อแม่ เรากตัญญูรู้คุณท่านก็เท่ากับเรากำลังสร้างบุญ ถ้าเราอยู่กับเพื่อน เราซื่อตรงจริงใจ รับผิดชอบต่อหน้าที่ เราก็กำลังสร้างบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราอยู่กับใครก็ตาม เราเคารพให้เกียรติและมีเมตตาธรรม เราก็กำลังทำบุญ ใช่ไหม (ใช่) เพราะการให้คือส่วนหนึ่งของบุญ เคยได้ยินไหมเมื่อเดินเข้ามาแล้ว เรายกมือไหว้ กล่าวคำว่า “สวัสดีครับ” ก็เป็นการเริ่มต้นสร้างบุญ แม้ไม่มีบุญได้อยู่ร่วมกัน แต่การรู้จักให้ธรรม แสดงความอ่อนน้อม เป็นคนที่ซื่อตรง จะทำให้เราสร้างบุญสัมพันธ์ต่อคนที่ไม่เคยมีบุญต่อกัน มาที่สถานธรรมเราใช้ห้องน้ำที่มีคนทำความสะอาดให้เรา มีคนยกอาหารมาให้เรา เราก็สามารถสร้างบุญสัมพันธ์กับเขาโดยพูด “ขอบคุณนะ เหนื่อยไหม” แค่นี้เราก็ได้สร้างบุญสัมพันธ์กับเขา เราจะอยู่อย่างคนที่มีบุญร่วมกันหรือว่ามีบาปร่วมกันดีล่ะ (มีบุญร่วมกัน)
สมมติว่าตอนนี้เราเริ่มเข้าใจแล้ว เราอยากอยู่กับคนอย่างมีบุญสัมพันธ์ร่วมกัน แต่ถ้าบังเอิญคนที่มาหาเราอยากหาเวรกรรมกับเรา เราจะทำอย่างไร เคยเจอไหมคนบางคนเพียงแค่เห็นหน้า ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ทำไมไม่ถูกชะตาเราก็ไม่รู้ แค่เราพูดนิดหน่อย เขาก็ไม่ชอบหน้าเราแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราทำอย่างไร ท่านเคยได้ยินคำกล่าวนี้ไหม “สิ่งที่มืดที่สุด ถ้าเราสามารถแปรเป็นแสงสว่าง นอกจากจะส่องใจเราได้ ยังสามารถส่องใจเขาได้ด้วย” เราเปรียบเทียบง่ายๆ สมมติว่า วันนี้เราเจอคนที่ร้ายมากๆ ด่าคนอื่นไฟแลบ กินแรงคนอื่นที่หนึ่ง แต่เวลามีเรื่องเอาหน้า มาก่อนคนแรกเลย เราจะจัดการกับคนแบบนี้อย่างไร โดยส่วนใหญ่นินทากลับแล้วเอาเรื่องของเขาไปเล่าให้คนอื่นฟัง ใช่ไหม หรือระบายลงเฟซบุ๊กเลย พอมีคนมาคอมเม้นต์เห็นด้วยและด่ากับเราด้วยเราก็ดีใจ กดถูกใจเลย ใช่ไหม (ใช่)
เราถามท่านนะ เวลาที่เราเจอคนไม่ดี เรายิ่งประณามยิ่งด่าเขา มันทำให้เขารู้สึกดี แล้วอยากเป็นคนดีขึ้นมาไหม (ไม่อยาก)  แล้วทำให้คนไม่ดีอยากกลับตัวเป็นคนดีไหม (ไม่อยาก)  แล้วเราทำแบบนี้ไหม (ใช่)  ในเมื่อท่านก็ไม่อยากให้เวรมันยืดเยื้อ ในเมื่อไม่อยากให้ใครร้ายมาแล้วร้ายตอบ ทำไมเราจึงไม่แปรบาปให้เป็นบุญ ทำไมไม่แปรร้ายให้เป็นดีล่ะ วิธีทำอย่างไร อดทนเข้าไว้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ศิษย์พี่จะบอกว่า ทำไมไม่แปรเปลี่ยนเป็นความเข้าใจ เหมือนถ้าเราเข้าใจเขา เราจะไม่ต้องอดทนเลย มันจะโล่งจะโปร่งจะเบา แต่ถ้าอดทนมันหนัก มันอึดอัด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามีเรื่องราวหรือคนที่ทำให้เรารู้สึกไม่ใช่ ลองเปลี่ยนเป็นเข้าใจ แล้วจะเข้าใจอย่างไรล่ะ เข้าใจแบบไหน คิดออกไหม ตอนนี้มีข่าวที่น่ากลัวที่สุดก็คือ คนฆ่าคน แล้วก็หั่นด้วย ตัดเป็นชิ้น ผู้ทำก็ไม่ใช่ผู้ชายด้วย แต่เป็น (ผู้หญิง) ศิษย์ว่าเขาร้ายไหม (ร้าย)  ถ้าเรามองให้ชัดๆ ลองเป็นเขาดู ศิษย์น้องว่าอะไรที่ทำให้เขาร้าย ตอบได้ไหม
(ความโกรธ, ความไม่มีสติยั้งคิด, ความโลภ)  ศิษย์พี่จะบอกว่าถ้าเราเข้าใจเขา เราจะไม่ต้องอดทนต่อเขา ไม่ด่าทอเขา ไม่เกลียดเขา และจะไม่แช่งชักหักกระดูกเขา ศิษย์น้องลองมองให้ดีๆ นะ เพราะเขามีความโกรธจึงทำอย่างนี้ แปลว่าตัวเราถ้ายังมีความโกรธ เราก็เป็นได้อย่างเขา ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าตัวเรามีความโลภแล้วไม่รู้จักควบคุมความโลภ เราก็เป็นได้อย่างเขา ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าตัวเราไม่รู้จักยั้งคิด เราก็เป็นได้อย่างเขา ใช่ไหม (ใช่)
สิ่งที่น่ากลัวในผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ตัวเขา แต่สิ่งที่น่ากลัวนั้นคืออะไร (จิตใจไม่มีธรรมะ)  ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราเข้าใจเขาแล้วเราจะไม่โกรธเขา เพราะว่าสิ่งที่ทำให้เขาร้ายก็คือ เมื่อเขามีอารมณ์โลภ โกรธ หลงครอบงำใจ เขาไม่เคยคิดที่จะควบคุม ยับยั้งให้อยู่ในทำนองคลองธรรม ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าตัวศิษย์น้องมีโลภ โกรธ หลง แล้วไม่เคยคิดจะควบคุมตัวเองให้อยู่ในศีลในธรรม ศิษย์น้องก็อาจจะเป็นเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเข้าใจเขา เราจะด่าเขาไหม ถ้าเราเข้าใจ เราจะเกลียดเขาไหม เพราะเราก็อาจจะเป็น (เหมือนเขา)  ถ้าเราไม่ควบคุม (อารมณ์)  แล้วเราเคยคิดควบคุมอารมณ์ตัวเองไหม (คิด)  คิดแต่ไม่เคยทำ ถ้าเอาแต่ศึกษาแต่ไม่ปฏิบัติก็เปล่าประโยชน์ ถ้าปฏิบัติแล้วไม่ศึกษาก็ไร้ค่า จริงไหม (จริง)
คนถึงจะดีแค่ไหน แต่ถ้ามีอารมณ์โลภ โกรธ หลง แล้วยังควบคุมไม่ได้ คนนั้นก็อาจจะเป็นรายต่อไปที่เวลาโมโหแล้วฆ่าหั่นศพก็ได้ และอาจจะไม่ใช่ใคร อาจจะเป็นศิษย์น้องก็ได้ ใช่ไหม เพราะเรามีความอยาก อยากกินปลาหนึ่งตัว ฆ่าไหม หั่นไหม แค่ความอยากสิ่งเดียว ศิษย์น้องก็ฆ่าหนึ่งชีวิตโดยไม่สนใจความเมตตาปรานี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อศิษย์น้องอยากได้ตำแหน่งใหญ่ ก็สามารถพูดแล้วทำให้คนหนึ่งจมหายไป แล้วตัวเองโดดเด่นขึ้นมาได้ จริงไหม (จริง) อยากค้าขายดี ศิษย์น้องก็สามารถโป้ปดมดเท็จทำให้ของตัวเองดูดีมีราคาขึ้นมา แล้วก็ฆ่าร้านข้างๆ ว่า “อย่าไปซื้อเลย ร้านนั้นของปลอม ของไม่ดี” เช่นนี้ศิษย์น้องจะไม่เป็นหนึ่งในฆ่าหั่นศพหรอกหรือ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นเมื่อเข้าใจไยต้องเกลียดชัง เมื่อเข้าใจเราจึงสามารถมีธรรมเตือนสติ แล้วไม่เกลียดใครจนเกินไปและไม่รักใครจนเกินไป เมื่อไม่รัก ไม่เกลียด ไม่มีใจชอบชังอคติ นั่นไม่ใช่การอยู่ด้วยความบริสุทธิ์ใจและสร้างบุญต่อกันหรอกหรือ จริงไหม (จริง) 
(ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาให้เล่นเกมฝึกสติ โดยให้นักเรียนตอบคำตรงกันข้ามกับคำที่บอก เช่น บอกว่า “ใช่” ให้ตอบว่า “ไม่ใช่”)
บางครั้งการฝืนใจก็ไม่ใช่เรื่องยาก แม้จะมีความโกรธมาจำเป็นต้องโกรธตอบไหม (ไม่)  เพราะถ้าโกรธแล้วจะสร้างบุญหรือสร้างบาป (สร้างบาป)  แล้วถึงเวลานั้นเราสร้างบุญหรือสร้างบาป (สร้างบุญ) 
เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราก็อยากสร้างบุญมากกว่าสร้างบาป เราอยากมีความเข้าใจคนมากกว่าที่จะอยู่กับเขาอย่างอดทนอดกลั้น จริงไหม (จริง) แต่ถ้าศิษย์น้องเป็นคนที่เข้าใจอะไรยาก เชื่อมั่นในเรื่องเหตุผล เวลาทำอะไรต้องมีเหตุมีผล ต้องมีอะไรทำให้เข้าใจ เมื่อเราพูดถึงเหตุผล เหตุผลใช่ที่สิ้นสุดแห่งความจริงไหม (ไม่ใช่)  แปลว่าถ้ายึดแต่เหตุผลก็อาจจะไม่เจอความจริง ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อพูดถึงเหตุผลไปจนถึงที่สุด เหตุผลก็ยังไม่สามารถให้คำตอบที่แท้จริงได้ เหมือนถามว่าตอนนี้ในห้องนี้มีอากาศไหม (มี)  แล้วอะไรตรวจสอบได้ ใช้ตาวัดได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องใช้เครื่องมือ แล้วกว่าเราจะหาเครื่องมือเจอ เราต้องทุกข์ก่อน ใช่ไหม เหตุผลไม่สามารถวัดความจริงได้อย่างแท้จริง แล้วเหตุผลบางครั้งก็ง่ายที่จะลำเอียงมากกว่าซื่อตรง ใช่ไหม (ใช่)  เพราะมนุษย์ชอบเลือกรับเหตุผลด้วยความเข้าใจของตัวเองเป็นบรรทัดฐาน ถูกไหม (ถูก)
วันนี้มาฟังธรรมะอะไร ศิษย์น้องคิดว่าเหมือนไม่ใช่พุทธศาสนานะ แบบนี้เราใช้เหตุผลอะไรมาวัด แล้วเราจะเข้าใจโลกใบนี้ได้อย่างไรถ้าเลือกแต่ยึดเหตุผล หลักธรรมจึงสอนว่าถ้าอยากเข้าใจโลกใบนี้ อยากเข้าใจสรรพสิ่งและผู้คนบนโลกใบนี้ จงพยายามคำนึงหรือมองให้เห็นธรรม ศิษย์พี่จะบอกศิษย์น้องว่า คนแบบนั้นก็ธรรม คนแบบนี้ก็ธรรม เสื้อผ้า ผม ทุกสิ่งล้วนคือส่วนหนึ่งของธรรมและในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นก็คือธรรม มีใจเหมือน กันอยู่อย่างหนึ่งคือมีใจธรรมเหมือนกัน ถึงแม้จะแตกต่างกันเป็นชาย เป็นหญิง เป็นคน เป็นสรรพสิ่ง ก็คือธรรม ใช่ไหม
แล้วในธรรมนั้นถ้าเรามองตามธรรมชาติ ธรรมสอนว่าแม้สรรพสิ่งจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ถ้ารู้จักใช้อย่างกลมกลืนสอดคล้องก็เรียกว่าธรรม แต่มนุษย์ชอบแบ่งแยก ยึดติดจนก่อเกิดทุกข์จนมองไม่เห็นธรรม ธรรมชาติสอนให้รู้จักอยู่อย่างกลมกลืนสอดคล้อง เราคือส่วนหนึ่งของธรรมที่อยู่ระหว่างฟ้ากับดิน แปลว่าเราอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าสิ่งที่สูงที่สุดและต่ำที่สุด ถ้าเราดำเนินอย่างถูกต้อง เราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและในธรรมนั้นก็มีดีร้าย ได้เสีย คำชมคำด่า มีความสำเร็จ ความล้มเหลว ทุกสิ่งล้วนคือธรรม ฉะนั้นถ้าเราไม่ยึดติดแบ่งแยก เราเรียนรู้อย่างเข้าใจอย่างกลมกลืนสอดคล้องก็แปลว่าเราเข้าใจธรรม
แต่มนุษย์ชอบดีไม่ชอบร้าย อย่างนั้นถามศิษย์น้องว่า ใครดีที่สุด ใครร้ายที่สุด ใครสวยที่สุด (ไม่มี)  ถ้าเราพิจารณาให้ดี ศิษย์น้องก็จะมองเห็นว่าไม่มีใครร้ายสุด ไม่มีใครดีสุดเพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือธรรม เมื่อธรรมทำให้เรานิ่งเป็นกลาง ไม่โกรธ ไม่เกลียด เราก็คือคนที่กำลังกลับคืนสู่ธรรม แต่มนุษย์เมื่อเจอดีก็ชอบ เมื่อเจอร้ายกลับต่อว่า ก็เลยก่อเกิดเป็นบุญเป็นบาปกรรม ซึ่งพระพุทธศาสนาสอนว่า “จงรักษาความเป็นกลางด้วยหัวใจอันสงบและปัญญารู้แจ่มแจ้งในความจริง” ซึ่งความจริงนั้นก็คือธรรม เมื่อไรที่ความมืดกลายเป็นความสว่าง ความสว่างนั้นจะส่องใจเราและสามารถสะเทือนส่องใจผู้คนได้ ถ้าเมื่อไรมนุษย์พบธรรมในใจตน ก็จะสามารถนำพาธรรมในใจผู้คนได้ แต่ศิษย์น้องมักจะตามกิเลสมากกว่าตามธรรมอันเป็นจริง ตามใจอยากชอบชังมากกว่าจะตามความจริงอันเป็นธรรม ทุกวันจึงเจอแต่กิเลส อารมณ์ เวรกรรม แล้วก็สร้างบุญบาป ถ้าเราเข้าใจธรรมเราจะเจอแต่ธรรม แล้วเราจะต้องกลับไปเป็น “ตัวตน” เพื่ออะไรอีกเล่า จริงไหม (จริง)  ถ้ามนุษย์หมดซึ่งความอยาก ชอบ ชังแล้ววัฏฏะแห่งการเวียนว่ายก็ถูกตัดขาดได้ทันทีเพราะกลับคืนสู่ธรรม ฉะนั้นอย่าดูเบาคุณค่าตัวเอง เพราะทุกคนคือส่วนหนึ่งของธรรมและมีใจธรรมอยู่ในตัวเอง ธรรมอยู่ในตัวเรา อยู่ที่ท่านเคยหันกลับมามองไหม ดั่งที่ว่า “ถ้าเข้าใจธรรมในตนก็เข้าใจธรรมในผู้คน” ซึ่งใจนี้ในผู้คนมีหนึ่งเดียวแค่นั้น ที่เรียกว่าสัจธรรมหรือกฎแห่งไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ไม่เที่ยง ว่างเปล่า เป็นทุกข์ ควรหรือที่จะยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเราของเรา แล้วศิษย์น้องจะรู้ว่าเมื่อชีวิตผ่านเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บ เป็นความผิดหวัง คำต่อว่า ความล้มเหลว ศิษย์น้องจะบอกว่า “ขอบคุณที่ทำให้ฉันเรียนรู้เข้าใจธรรม” จะไม่มีโกรธ ไม่มีเกลียดเพราะความเข้าใจธรรม ไม่ต้องพยายามข่มโกรธเลย ไม่ต้องหลงแล้วพยายามใช้ปัญญาเลย เพราะเห็นแจ้งในทันที
จำไว้นะศิษย์น้อง สิ่งที่ศิษย์น้องเห็นมักไม่เคยเป็นจริงอย่างที่คิดและเข้าใจ อย่าเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ศิษย์น้องเห็น ศิษย์น้องเข้าใจ เห็นจริง บางทีถึงที่สุด คนที่รักที่สุด คนที่เราเห็นมากที่สุด เราอาจจะไม่เคยเข้าใจและเห็นเขาแบบจริงๆ เลย เมื่อไม่เห็นจริงจะรักลงหรือ เมื่อไม่เห็นเขาจริง เขาน่าเกลียดหรือ แล้วในเมื่อไม่เห็นเขาจริงจะหลงใหลได้ปลื้มอะไรเขาหรือ เห็นไหมว่าเมื่อโลภ โกรธ หลงหายไป จากบุญจะกลายเป็นกุศล กุศลจะกลายเป็นปัญญาแจ่มแจ้งในธรรมทันที แล้วศิษย์น้องจะรู้ว่าการกลับคืนสู่ธรรมดีกว่าการกลับคืนสู่สวรรค์ของศิษย์น้องอีก เพราะธรรมคือความเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีตัวตนให้ต้องไปแบกรับยึดถือ เกี่ยวบุญ เกี่ยวบาป เกี่ยวกรรมอีกต่อไป แล้วจะเกิดมาเพียงแค่รับบุญเพื่อกลับสวรรค์แค่นั้นหรือ ลองศึกษาเรื่องบุญแล้วกลับคืนสู่ธรรมอันเป็นรากเดิมแท้ของเราดีกว่า ธรรมที่ไม่มีแบ่งแยกศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ธรรมที่ทำให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันและธรรมที่ทำให้ทุกคนสันติสุขด้วยการไม่ต้องข่มใจ แต่เกิดจากความเข้าใจอันปิติอิ่มในธรรมนั้น
หวังว่าผู้มีธรรมทั้งหลายจะกลับคืนสู่ธรรมอันแท้จริง มีแต่ธรรมเท่านั้นที่มองเห็น ฉะนั้นจงถือธรรมเป็นที่พึ่ง อย่าถือตัวบุคคลเป็นที่พึ่งเพราะบุคคลยังมีวันแปรเปลี่ยน ยังมีวันล่มสลายแต่ธรรมแห่งความเป็นจริงไม่มีวันเปลี่ยนแปลงและล่มสลาย มีแต่ยิ่งเข้าใจ ยิ่งละวาง ยิ่งกลับคืนสู่ความสงบอันแท้จริง ไปแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์นะ



วันอาทิตย์ที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐    ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน  กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  หัวใจแห่งผู้มีจิตสำนึกดี                 ศิษย์นี้มีหัวใจทองคำ
อยู่ให้คนเลื่อมใสการกระทำ              จากให้คนจดจำนิรันดร
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                    ถามศิษย์รักทุกคนคิดถึงกันบ้างไหม

    หยุดตาไว้เพียงนั้น เรื่องราวไว้เพียงนั้น ตั้งแต่ตอนเห็น หยุดความคิดเพียงนั้น หยุดใจไว้แค่นั้น จะได้บำเพ็ญ หยุดให้ธรรมนั้นมาแทนเรื่องราว บอกตัวเรารู้ไปก็ร้อน
*ใจเป็นกรงทอง จับจองคำพูดใคร ขังอะไรในกรงใจ จงปล่อยวางไปให้ไกล ถึงเวลา ใจหมดพันธสัญญา
**ใจเป็นกรงทอง จับจองคำพูดใคร ขังอะไรในกรงใจ จงปล่อยวางไปให้ไกล ถึงเวลา กรงที่เคยขัง เปิดออกมา
***หยุดใจไว้ตรงนี้ ไม่ต้องคิดเท่านี้ สิ้นสุดตรงนั้น หยุดความคิดตอนนี้ อย่าไปคิดเรื่องไม่ดี หยุดที่ใจฉัน สะดุดไปหลายครั้งอย่าหยุด หยุดโดยดีไม่มีเดียดฉันท์ (ซ้ำ *,**,***,*,**)
ทำนองเพลง: เก็บใจ

หมายเหตุ: เนื้อเพลงย่อหน้าแรกเป็นกลอนนำของศิษย์พี่นาจา

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

(พระอาจารย์เมตตากับผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ช่วยอาจารย์เลือกรองเท้าหน่อย (คู่สีแดง)  อาจารย์ขอสมมติว่า ถ้ารองเท้าคู่นี้คือความทุกข์ มนุษย์ทุกคนมีความทุกข์ มีความไม่สบายใจ มีความเจ็บ มีความพลัดพราก มีความสูญเสียและมีความน้อยอกน้อยใจ ถ้ารองเท้านี้คือความทุกข์ คือสิ่งที่ไม่ดี ทำให้เราต้องแปดเปื้อนใจ เราจะแบก เราจะถือ เราจะเก็บไว้หรือเราจะเหยียบแล้วก้าวไปต่อ (เหยียบแล้วก้าวไปต่อ)  มนุษย์หนีความทุกข์ไม่ได้ หนีความเจ็บปวดไม่ได้ หนีความพลัดพรากไม่ได้ หนีความสูญเสียไม่ได้ แต่จงจำเอาไว้ว่ารองเท้านั้นก็เหมือนกับสิ่งที่เหม็น เป็นสิ่งที่ไม่ดี แล้วทำไมเรายังแบกไว้ที่หัว แบกไว้ที่บ่า เก็บไว้ที่ใจ ทำไมไม่เอามาเหยียบแล้วก้าวไปต่อ
(พระอาจารย์เมตตาขออาสาสมัครนักเรียนในชั้นหนึ่งคน)
ในโลกนี้มีความทุกข์ แล้วก็มีเรื่องราวมากมายในชีวิตที่บางทีเราก็หาทางออกไม่เจอ สมมติว่าอาจารย์เปรียบเทียบความทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากพบเจอ แล้วถ้าอาจารย์บอกว่าความทุกข์เหมือนรองเท้า ศิษย์จะถอดรองเท้าทิ้งไหม อาจารย์ว่าไม่ใช่ หลายต่อหลายคนรู้ว่าเรื่องบางเรื่องยิ่งคิดแล้วยิ่งทุกข์ เรื่องบางเรื่องยิ่งทำแล้วทำร้ายชีวิต แต่เราก็ยังอยากที่จะแบกมันไว้ แล้วก็ยึดมันไว้ แล้วก็ถือไว้ แล้วเราเคยรู้ไหมว่าเป็นทุกข์ ทุกข์ทำให้เราเจ็บก็รู้ แต่เราก็ยังแบกไว้ มีแล้วมันเหม็นเราก็ยัง (แบกไว้)  แล้วเราเคยแบกแค่ทุกข์อย่างเดียวไหม (ไม่)  จริงๆ เราไม่ใช่แค่แบก แต่เรายังเอามาเก็บในใจด้วยจริงไหม (จริง)  ศิษย์รู้ไหม ในสิ่งที่แย่ที่สุด ในสิ่งที่ทุกข์ที่สุด ถ้าเราสามารถยิ้มกับทุกข์ได้ รับกับทุกข์ไหว เรื่องใดๆ ในโลกก็ไม่มีอะไรที่น่ากลัวเกินรับมือหรอก สิ่งที่แย่ที่สุด สิ่งที่ต่ำที่สุดศิษย์ยังผ่านมาได้ ฉะนั้นถ้าเกิดรับได้ อะไรคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด อะไรคือสิ่งที่ทุกข์ที่สุด เราจะเลือกแบกทุกข์ เลือกจมอยู่กับความคิดที่เราทุกข์ เมื่อไรจะได้ดั่งใจ เมื่อไรจะเป็นแบบนี้สักที เมื่อไรจะดี ศิษย์จะแบกไปถึงเมื่อไร แต่ถ้าอาจารย์บอกว่าในเมื่อแบกแล้วทุกข์ ทำไมไม่โยนทุกข์ลงแล้วเอามาเหยียบ แล้วก็ก้าวเดินออกไปด้วยหัวใจที่เข้าใจในทุกข์ ด้วยหัวใจที่ฉันเคยทุกข์มาแล้ว เคยเจ็บมาแล้ว ฉันจะไม่ทุกข์และแบกอีกแล้ว อยู่ในโลกนี้ทำอย่างไรที่เราจะรับมือกับทุกเรื่องราวได้ เราจะสู้กับทุกปัญหาได้ ถามตัวศิษย์เองนะว่าเราทำดีที่สุด รับผิดชอบต่อหน้าที่เต็มกำลัง เป็นคนมีศีลมีธรรมถึงที่สุดหรือยัง ถ้าทำได้แบบนี้ ถึงเวลาอะไรจะเกิดก็กล้ารับ นั่นคือหัวใจแห่งผู้ที่เข้าถึงธรรม อะไรจะเกิดก็ขอให้เข้มแข็ง รับให้ได้
มีใครในโลกนี้ไม่มีทุกข์ ไม่เคยแบกทุกข์และไม่เคยช้ำกับทุกข์ อาจารย์ถามนะว่าศิษย์จะเลือกแบกทุกข์หรือเลือกมาเป็นพลังให้เราก้าวเดินต่อไป (ก้าวเดินต่อไป)  หรือว่าศิษย์จะยอมจมอยู่กับความคิดเช่นนั้นหรือ พระพุทธะบอกว่า “ขออะไรไม่ประเสริฐเท่ากับขอหัวใจที่เข้มแข็งและมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องจนลมหายใจสุดท้าย”
คนที่สู้แม้ลำบากเขาก็ต้องกลับมาสบายให้ได้ เข้มแข็งให้ได้ แม้คนที่ล้มเขาก็ต้องกลับมา (ยืน)  แม้คนที่เคยพ่าย เขาก็ต้องกลับมา (ชนะ)  ศิษย์จะแบกความเกลียด ความทุกข์ต่อไป หรือเอาความทุกข์มาตีแผ่แล้วทำความเข้าใจ แล้วศิษย์จะได้ไม่ต้องทุกข์กับมันอีก วันนี้อาจารย์มาไม่ได้ให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา แต่อาจารย์มาทำให้ศิษย์กระจ่างในธรรม ซึ่งไม่ได้อยู่แค่ในคัมภีร์ ในหนังสือ ในวัด แต่มันอยู่ในใจเรา เราตื่นรู้ได้ด้วยธรรมของตัวเรา เราเห็นแจ้งได้ด้วยธรรมของใจเรา แต่เราเคยหันกลับมามองแล้วเชื่อมั่นในตัวเองบ้างไหม เอาแต่ร้องขอให้คนอื่นช่วย ทำไมตัวศิษย์เองไม่ช่วยตัวเองก่อน เอาแต่ขอร้องคนอื่นทำให้เรามีสุข ทำไมตัวศิษย์เองไม่มีสุขด้วยตัวเองก่อน พึ่งคนอื่นไม่สู้พึ่ง (ตัวเอง)  ขอร้องผู้อื่นไม่สู้ขอร้อง (ตัวเอง)  ฉะนั้นอย่ามัวแต่ขอร้องกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านศักดิ์สิทธิ์เพราะการประพฤติ ปฏิบัติ เข้าใจธรรม อย่ามัวแต่หลงรูปอันสวยงาม หลงรูป หลงวัด วัดนี้สวย วัดนั้นสวย ไหว้แล้วกลับบ้าน แบบนี้ไม่ได้อะไร ไปแล้วต้องเอาธรรมกลับมาให้ได้ องค์พระที่กราบไหว้องค์นี้ท่านปฏิบัติธรรมอะไรนะ คนถึงศรัทธา เอาธรรมนั้นมาปฏิบัติ ไม่ใช่ไปไหว้เสร็จแล้วกลับบ้าน แล้วพอให้ฟังธรรม ปิดหู ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่ออกมายืนหน้าชั้นนำรองเท้ากลับไป)
เอาอันนี้ไปด้วยไหม ลองใส่สิ ใส่ได้ไหม ถ้ารู้ว่ามันทุกข์ เมื่อก้าวเดินแล้ว ทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้ ก็ต้องปล่อยวางแล้วทำใจ ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาแจ้งพระนาม)
เจอหน้าอาจารย์ถึงกับยิ้มไม่ออกแปลว่ามีความทุกข์อยู่หรือ แปลว่าชีวิตหวานอมขมกลืนเลยยิ้มไม่ออก ถ้ายิ้มออกแปลว่าชีวิตไม่ค่อยทุกข์แล้ว คิดได้ก็พ้นทุกข์ คิดไม่ได้ก็จมห้วงแห่งความคิดจนตัวเองต้องเจ็บปวดใจ
วันนี้อาจารย์ไม่ได้มาเอาอะไรจากศิษย์ ไม่ต้องกลัวว่าอาจารย์จะมาหลอกเงิน เพราะอาจารย์ไม่เอา และอาจารย์ก็ไม่ได้มาทำให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา แต่อาจารย์มาทำให้ศิษย์เข้าใจธรรมในศาสนายิ่งขึ้น เราตกลงเหมือนกันและปรับความคิดเข้าใจกันแล้วนะ สิ่งที่สำคัญในวันนี้ที่อาจารย์อยากจะมาคุยกับศิษย์คือ ทำความกระจ่างในธรรม อาจารย์อยากจะถามศิษย์ว่า ความกระจ่างในธรรมเกี่ยวอะไรกับชีวิต ศิษย์หลายคนมาฟังธรรม บ่นว่าฟังธรรมทำไม มันเกี่ยวอะไรกับชีวิต เกี่ยวไหม (เกี่ยว)  ถ้ากระจ่างในธรรมแล้วเราเข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้น
(ฟังแล้วมีปัญญา, ทำให้อ่อนน้อมลง)  ทำให้เราสามารถที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในชีวิตได้โดยไม่ทุกข์ อย่างนั้นศิษย์ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า ทุกชีวิตล้วนคือธรรมและทุกชีวิตล้วนมีธรรมเป็นหัวใจ ศิษย์ก็คือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เสื้อผ้า ใบหน้า ผม กิเลส อารมณ์ ยศ ชื่อเสียง ตำแหน่ง ไม่ว่าเขาหรือเราก็ล้วนคือธรรมชาติ ไม่ว่าจะยืนหรือได้นั่งก็คือธรรม ถ้าเราเข้าใจในหัวใจแห่งธรรม เราก็จะไม่ทุกข์และธรรมจะช่วยเยียวยาใจ ทำให้เราอยู่บนโลกอย่างคนที่ไม่ทุกข์ง่ายๆ แต่อาจารย์ขอถามว่า ศิษย์ฟังธรรมะมากันก็มาก ศิษย์ยังทุกข์กันอยู่อีกไหม (ทุกข์)  ทำดีก็ยัง (ทุกข์) ทำชั่วก็ยัง (ทุกข์)  อย่างนั้นทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง อย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ (ไม่ถูกต้อง)  อะไรเรียกว่าการเข้าใจธรรม เหมือนเริ่มต้นง่ายๆ ศิษย์อยากนั่งหรือยืน (อยากนั่ง)  อาจารย์จะบอกให้ถ้าศิษย์กำหนดว่าอยากนั่ง แปลว่าถ้าไม่ได้นั่งศิษย์จะทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะชีวิตเราได้ยึดมั่นหมาย กำหนดกฎเกณฑ์เราเลยเป็นคนที่ทุกข์ง่าย แต่ถ้าชีวิตของเราเมื่อเจอเรื่องอะไรแล้วไม่ยึดมั่นหมาย ไม่กำหนดกฎเกณฑ์ แล้วเราจะทุกข์อะไร ได้นั่งก็ดี ไม่นั่งก็ดี ถ้าอยากอยู่ในโลกแล้วไม่ทุกข์ วิชาของอาจารย์ง่ายๆ คือ ทุกข์ก็ได้ ไม่ทุกข์ก็ดี ถ้าศิษย์เลือกแต่ตั้งป้อมรังเกียจ เกลียดอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วเมื่อไรศิษย์จะเข้าใจ เพราะในห้วงของความทุกข์ถ้าเราเข้าใจก็จะมีความสุขได้ ด้วยใจตัวเองที่กล้าสู้ ฉะนั้นตอนนี้นั่งหรือไม่นั่ง (นั่งก็ได้ ไม่นั่งก็ดี)  ถ้าคิดได้อย่างนี้อะไรมันก็ดี สูญเสียมันก็มีแต่ได้ เจ็บกายก็จะไม่เจ็บใจ เหมือนเวลาแผลโดนมีดบาด เจ็บทั้งตัวไหม (ไม่)  บางทีแค่แขนโดนมีดบาด เจ็บทั้งตัว ทำงานไม่ได้ อวัยวะมีปัญหาหนึ่งส่วน ทั้งหมดในร่างกายทำให้ชีวิตเราอยู่ไม่ได้ ใช่ไหม (ไม่)  อาจารย์จะบอกให้ คนที่คิดแบบนี้คือคนที่โง่นะ เพราะร่างกายยังเหลือส่วนดีตั้งเยอะ ยอมให้ส่วนดีทั้งชีวิตตายเพราะมีหนึ่งส่วนตาย ฉลาดหรือโง่ ศิษย์ป่วยเป็นมะเร็ง ป่วยเป็นโรคหัวใจ แล้วที่เหลือที่ดีไม่สนใจเลยหรือศิษย์ แล้วต้องตายเพราะว่าเป็นมะเร็ง ใช่ไหม แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม อกหักขอตาย อยู่ไม่ได้ อาจารย์ว่าชีวิตยังมีอะไรให้สัมผัสอีกตั้งเยอะ ในร่างกายยังมีอะไรดีๆ อยู่เยอะ อย่าแค่ส่วนหนึ่งเจ็บแล้วทำให้เจ็บทั้งตัว อย่าให้ส่วนหนึ่งตายแล้วตายทั้งชีวิต อย่างนี้เรียกว่าคนดำเนินชีวิตไม่ถูกต้อง แล้วเราเป็นไหม เหมือนแค่ปวดขาแค่นี้ ถึงกับก่อบาปก่อกรรม คิดในใจอาจารย์เมื่อไรจะได้นั่ง แค่เมื่อยขาแค่นี้ แอบด่าอาจารย์ในใจ ถูกไหม (ไม่ถูก)  เชิญศิษย์รักนั่งลงได้ ก่อนที่ศิษย์รักจะสร้างเวรสร้างกรรมกับอาจารย์ ถ้าศิษย์คิดว่าอนิจจังมันทำให้ทุกข์มา อนิจจังมันก็ทำให้ทุกข์ไป แล้วเราจะยึดมั่นถือมั่นไว้ทำไม ถึงเวลามันก็จบเองโดยเวลาที่มันเป็นไป ความไม่เที่ยงทำให้เกิดทุกข์ ความไม่เที่ยงก็ทำให้ดับทุกข์ได้ แต่มนุษย์ชอบยื้อยุดไม่ยอมหยุด จริงหรือไม่ (จริง)  
อาจารย์มีผลไม้สองอย่าง อย่างหนึ่งกินแล้วไม่อยากกินอีกเลย กับอีกอย่างหนึ่งกินแล้วก็อยากกินอีก ศิษย์คิดว่าสิ่งใดทำให้เกิดทุกข์ สิ่งใดทำให้เกิดสุข (กินแล้วอยากกินอีกทำให้เกิดสุข กินแล้วไม่อยากกินอีกทำให้เกิดทุกข์)
(พระอาจารย์เมตตาหยิบผลไม้ขึ้นมาเป็นตัวอย่างเปรียบเทียบทุกข์หรือสุข)
ผลไม้นี้กินแล้วไม่อยากกินอีก สุขหรือทุกข์ (ทุกข์, สุข)  กินแล้วอยากกินอีกทำให้เกิดทุกข์ แล้วชีวิตอยากมีทุกข์ไหม (ไม่อยาก)  แล้วศิษย์เป็นประเภทกินแล้วอยากกินอีกทำให้เกิดทุกข์ คิดแล้วคิดอีกก็ทำให้เกิดทุกข์ มีแล้วมีอีกทำให้ทุกข์ แล้วที่กินแล้วไม่อยากกินอีก ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เพราะอาจารย์ต้องการให้ศิษย์เห็นชัดเจนว่า ทุกข์หรือสุขไม่ได้อยู่ที่อยากกินแล้วอยากกินอีกหรือกินแล้วไม่อยากกินอีก แต่ทุกข์หรือสุขอยู่ที่ใจเรายึดหรือไม่ยึด ถ้าไม่ยึดก็จบ แต่ถ้าเผลอยึดกลับมาเมื่อไรก็ทุกข์ ดังคำที่กล่าวไว้ว่า “สิ่งใดในโลกที่มนุษย์ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีทุกข์ ไม่มีโทษ ไม่มีในโลก สิ่งใดที่มนุษย์คิดอยากจะมี แล้วไม่มีทุกข์ ไม่มีโทษ ไม่มี” และในพระคัมภีร์กล่าวไว้อีกว่า “จิตที่เกี่ยวเนื่องอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะไม่มีวันพบความสงบได้เลย” ถ้าอยากบำเพ็ญจงอย่ายึดมั่นหมายในสิ่งใด เพราะถ้ายึดแล้ว สิ่งนั้นมันเกิดเปลี่ยนแปลง สูญเสีย แหลกสลาย ใจเราจะได้ไม่เจ็บปวด ฉะนั้นสิ่งแรกที่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ก็คือถ้าอยากแก้ทุกข์ในโลก จงทำเหมือนคนปิดทองหลังพระ เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นเพื่อน ดีแค่ไหนขอดีหลังพระ ไม่ต้องมีตัวตนทำแบบคนดีหลังพระ ไม่มีตัวตนให้ยึดถือ
อาจารย์จะบอกให้ว่าเราทำดีเพื่ออะไร ไม่ใช่ทำดีเพื่อหวังบุญ ไม่ใช่ทำดีเพื่อให้คนเขาบอกว่าเราดีหรือชื่นชม ความหมายของการทำดีที่แท้จริงแปลว่า เราทำดีเพื่อหลีกหนีความชั่วอันเป็นต้นเหตุให้เราต้องกลับมาเวียนว่ายทุกข์ ถ้าศิษย์เข้าใจความดีนี้ศิษย์จะไม่ท้อในการทำดี เพราะเราทำดีเพื่อใจเราจะได้ไม่ไหลลงต่ำ คิดชั่วคิดร้าย แต่คนทำดีสมัยนี้คิดแค่เพียงว่าทำดีแล้วฉันจะได้บุญ ทำดีแล้วฉันจะได้ขึ้นสวรรค์ อย่างนั้นแปลว่าศิษย์ยังหวังจะมีตัวตนเพื่อไปรับผลแห่งการกระทำและเวียนทุกข์ไม่จบสิ้น แต่ความหมายที่แท้จริง พระพุทธะต้องการให้มนุษย์ตื่นรู้ คือเราทำดีเพื่อใจจะได้ไม่หลงไปเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ความคิดชั่วร้าย เพราะสิ่งที่เรียกว่ากิเลสอารมณ์ ล้วนเป็นต้นเหตุให้มนุษย์ต้องทุกข์ มีเวรกรรมและเวียนว่ายในวัฏฏะไม่จบสิ้น ศิษย์คิดว่าทุกข์แห่งการตายนั้นเจ็บปวดแล้ว แต่ทุกข์แห่งการต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดแล้วทำให้เราต้องตายแล้วตายอีก เจ็บแล้วเจ็บอีกน่ากลัวกว่าการตายหนึ่งครั้งนะ ศิษย์จำไว้นะ อย่าบอกว่าทำดีไม่ได้ดี ที่เราทำดีเพราะเราไม่อยากไหลไปกับความชั่ว ที่เราทำดีเพราะเราไม่อยากสร้างมูลเหตุให้เราต้องก่อกรรมชั่ว ที่เราพยายามประพฤติเป็นคนดีเพราะไม่ต้องการให้คนมาชมว่าฉันดี แต่ที่ฉันทำดีเพราะ “ฉันไม่อยากคิดร้ายกับเธอ” และที่ฉันทำดีเพราะ “ความดีทำให้ฉันสบายใจ” ไม่ทุกข์ใจ เพราะถ้าฉันคิดร้ายกับเธอ คิดแย่กับเธอ ฉันมีแต่เจ็บปวดใจ สู้ฉันทำตัวเองให้ดีที่สุดถึงเวลาเธอจะชอบหรือไม่ชอบ ฉันก็ละวางอย่างเข้าใจแล้ว เพราะหนึ่งการทำความดีจะหวังทุกคนมาชื่นชมคงเป็นไปไม่ได้ และในโลกนี้จะมีแต่คำชม ไม่มีคำต่อว่าก็ยิ่งไม่ใช่ แล้วโลกนี้มีแต่คนสำเร็จ มีแต่คนสวยไม่มีคนอัปลักษณ์ก็ไม่มีจริง ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจในแก่นแท้ของธรรมเราจะทุกข์หรือ แล้วอะไรหรือคือที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ (ปล่อยวาง)  ทำให้ดีที่สุดแล้วละวางด้วยความเข้าใจ ใช่ไหม (ใช่ไหม)
อาจารย์ขอเปลี่ยน ไม่เอาคำว่า “ปล่อยวาง” เปลี่ยนเป็น “ละวาง” ดีไหม (ดี)  เพราะคำว่าปล่อยทำให้เหมือนว่าเราทิ้งไม่รับผิดชอบอะไร แล้วอะไรคือที่สิ้นสุดของความทุกข์ ใครตอบให้อาจารย์ชื่นใจบ้าง
(ทำใจให้เข้มแข็ง)  ใจที่เข้มแข็ง ไม่คิดเลยใช่ไหม ก็ต้องคิดอยู่ดี บางอย่างก็ยังต้องคิด แต่คิดให้ถึงที่สุด ไม่ใช่คิดแบบเข้าข้างตัวเอง คิดอย่างคนที่มองตามความจริง ไม่ใช่คิดอย่างคนที่มองตามใจ
(เข้าใจทุกข์แล้วเราก็จะเห็นมัน แล้วปล่อยวาง)  เข้าใจทุกข์พอเข้าใจเราจะปล่อยวางได้ทันที ได้ไหม (เราต้องมีสติทัน พอเรารู้ว่ามีความทุกข์เข้ามา)  อาจารย์จะบอกให้ว่า ทำอย่างไรถึงจะสามารถเอาชนะความทุกข์ได้ทัน ศิษย์เคยมองเห็นความคิดของตัวเอง แล้วหยุดความคิดได้ไหม (ถ้าเรามองเห็น เราจะหยุดได้)  เคยเห็นไหม (เคยเห็น เคยฝึก)  แล้วเวลามีความทุกข์เราเห็นมันไหม (ตอนที่มีทุกข์เราไม่เห็น แต่พอเรามีสติมา เราจะเห็น พอเห็นแล้วความทุกข์มันจะหายไป)  แล้วเราเห็นตอนที่เสร็จแล้วหรือตอนที่กำลังเกิดทุกข์ (เห็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว)  ควรจะเห็นก่อนนะศิษย์ ไม่ใช่จบไปแล้วค่อยเห็นว่ามันคือความทุกข์ (ไม่อย่างนั้นเราจะไม่เข้าใจความทุกข์)  เราต้องเห็นตั้งแต่ตอนที่มันกระทบ เห็นกระทบแล้วไม่กระแทกกระเทือน เข้าไปในใจ มันแค่กระทบหรือพุทธศาสนาเรียกว่า เห็นแค่อยู่ตรงแค่ผัสสะ แล้วไม่ก่อเกิดเป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ก่อเป็นรูปเป็นนามเป็นตัวตนความยึดมั่น เหมือนที่ตอนนี้เห็นแค่มันกระทบ  
(ละวางอย่างเข้าใจ)  ถ้าจะทำให้เราละวางได้เราต้องกล้ายอมรับว่า ทุกสิ่งล้วนมีธรรมชาติของตัวเอง เอาธรรมชาติเราไปวัดธรรมชาติเขาไม่ได้ (เอาตัวเราเป็นตัววัดไม่ได้)  ถึงเวลาทำให้เข้าใจแบบนี้ให้ได้นะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
(การรู้ทันเหตุแห่งทุกข์และดับให้ทันก่อนที่จะทุกข์)  เหมือนเขาด่ามา “ไอ้บ้า” หยุดทันไหม (ไม่ทันค่ะ)  อาจารย์จะบอกให้ ถ้าเขาด่าว่า “ไอ้บ้า” เราหยุดคนด่าได้ไหม (ไม่ได้)  แต่สิ่งที่เราควรหยุดและจัดการคือ (ใจของเรา)  เขาด่าเรา “ไอ้บ้า” แต่เราอย่าด่าตัวเองว่า “ไอ้บ้า” ซ้ำแล้วซ้ำอีก หน้าที่ของเราเมื่อเวลาเจอทุกข์ จำไว้นะศิษย์ ไม่ได้จัดการเขา ไม่ได้ไปเปลี่ยนเขา ธรรมะสอนให้เราทำดี แต่การเป็นคนดีไม่ใช่การไปบังคับให้ทุกคนต้องดี แต่คนดีคือคนที่ยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีดี
(ความทุกข์เกิดจากความคิด ถ้าคิดว่ามันทุกข์เราก็เปลี่ยนความคิด) เราทุกข์เพราะใจที่เรายึดถือว่าแบบนี้ฉันชอบ แบบนี้ฉันชัง พอมีแบบนี้ฉันเลยสุข พอมีแบบนี้ฉันเลยทุกข์ จริงๆ แล้วแบบนี้สุขจริงไหม แบบนี้ทุกข์จริงไหม ไม่ใช่ทุกข์เพราะความคิดอย่างเดียว แต่ทุกข์เพราะใจเรายึดมั่นหมายในสิ่งที่เราคิดว่าต้องเป็นแบบนี้ ไม่เป็นแบบนั้น
(เข้าใจในความทุกข์ และยอมรับความทุกข์ที่จะเกิดขึ้น)  ความทุกข์แปลว่า ตายแน่ๆ เจ็บแน่ๆ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แต่ความทุกข์คือส่วนหนึ่งของชีวิต ทุกข์แปลว่าสิ่งที่ทนได้ยาก ฉะนั้นเมื่อไรที่เรานั่งแล้วเราไม่ทุกข์ เราก็คงกลายเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต เพราะไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นต้องดีใจที่มีทุกข์ เพราะทุกข์มันสอนให้เราเข้าใจชีวิตและรู้ว่าชีวิตยังต้องรู้สุข ต้องมองและแยกให้ออกว่าทุกข์นั้น แปลว่าทุกข์ที่ทำให้เจ็บปวดหรือเป็นทุกข์ที่ทำให้เราเข้าใจชีวิต จริงไหม (จริง)
ถ้าเราไม่อยากทุกข์ในโลก ลองทำใจว่างๆ พอใจว่างๆ ไม่มีขอบเขต ไม่มีความยึดมั่น ไม่มีความมั่นหมาย อะไรมากระทบเราก็ไม่เจ็บปวด เพราะมันว่าง แต่หัวใจของมนุษย์ มีความยึดมั่น มีความมั่นหมาย มีความคาดหวัง พอโดนกระทบก็เจ็บ
ถ้าเราปล่อยให้ใจว่าง ก็ไม่มีอะไรทำให้เราเจ็บได้ ที่สุดของความทุกข์คือการกลับคืนสู่ความว่าง ยึดว่าฉันเป็นแบบนั้น ยึดว่าฉันเป็นแบบนี้ ยิ่งยึดก็ยิ่ง (ทุกข์)  ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกชีวิตล้วนต้องกลับคืนไปสู่ความว่าง ล้วนกลับคืนไปสู่ความไม่มี ลองถามใจลึกๆ ดูนะศิษย์ ศิษย์บอกว่าใจของศิษย์เป็นอย่างนั้น ใจของศิษย์เป็นอย่างนี้ ศิษย์ลองค้นเข้าไปถึงที่สุดแห่งใจว่ามีตัวตนไหม มีรูปแบบที่ชัดเจนไหม (ไม่มี)  ใจเกิดเพราะอารมณ์มากระทบ พอไม่มีอารมณ์มากระทบ ใจก็ว่างไม่มีอะไร ตัวตนเกิดเพราะเหตุปัจจัยที่เรียกว่ากิเลส ถ้าไม่มีกิเลสมากระทบตัวตนที่เรียกว่าใจ จะมีไหม (ไม่มี)  เวลาที่ศิษย์อยากกินอย่างนั้น อยากกินอย่างนี้ ก็คือสัญญาจำได้หมายรู้ที่อยู่ข้างในอันเก่า ศิษย์อาจจะคิดว่า ถ้าคนเราเกิดมาตายไปแล้วก็จบ อย่างนั้นเราก็ไปทำความเลว ทำร้ายคนอื่นก็ได้ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  คิดแบบนั้นไม่ได้ อาจารย์จะบอกให้นะ เพราะใจมีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ อย่าได้เผลอเพาะอะไรลงไปในใจ เพราะเมื่อได้เพาะอะไรลงไปในใจแล้ว ใจนั้นจะมีสัญญาคอยเตือนว่า จำไว้นะครั้งหนึ่งเราเคยขโมยเงินคน จำไว้นะเราเคยนินทาคน จำไว้นะเราเคยแอบคดโกงคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลองสังเกตดูนะ จิตสำนึกดีจะคอยบอกว่าเราเคยทำผิด เราเคยไม่ดีและเวลาที่เรานึกถึงความไม่ดีขึ้นมานั้น จะเป็นตัวที่ทำให้เราหมุนเวียนอยู่ในวัฏจักรและรับผลของกรรมนั้น พระพุทธะจึงบอกว่า “ใจเหมือนเนื้อนาบุญที่จะปลูก จะฝังอะไร จงเลือกปลูกฝังแต่สิ่งที่ดีงามและถูกต้อง” หลายคนมักจะพูดกับอาจารย์ว่า ศิษย์ทำดีแล้วแต่ทำไมยังเจอเรื่องร้ายอยู่อีก มาศึกษาธรรมแล้วต้องไม่ป่วย ไม่เจ็บ ไม่จน ไม่ตาย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)
ทำบุญแล้วต้องไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ตาย ดวงดีถูกลอตเตอรี่ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วทำไมเวลามาไหว้พระถึงต้องคิดแบบนี้กันเสมอล่ะ คิดแบบนี้ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  ถ้ามาไหว้พระประสบอุบัติเหตุแล้วตาย ดีไหม ศิษย์เอย ถ้าชั่วขณะจิตนั้นเป็นกุศลและกำลังน้อมนำสู่ความสงบ ตายไปก็ไปสู่สุคติ จริงหรือไม่ (จริง)  ดีไม่ดีไม่ได้อยู่ที่อุบัติเหตุ แต่อยู่ที่ชั่วขณะจิตดับแล้วศิษย์ฝังจิตตรงนั้นไปสู่อะไร ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกว่าเราทำดีไม่ใช่เพื่อจะเป็นคนดี แต่เราทำดีเพื่อไม่ให้จิตนั้นปลูกฝังความชั่วร้าย แล้วเป็นเหตุให้เราต้องไปเวียนว่ายวน อย่างนั้นถ้าเราทำดีแล้วเรายังต้องเจ็บได้ไหม (ได้)  ตายได้ไหม ประสบอุบัติเหตุได้ไหม โดนด่าได้ไหม โชคร้ายได้ไหม (ได้)  ถ้าเราศึกษาธรรมแล้ว อย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวตาย อย่ากลัวอุบัติเหตุ อย่ากลัวชะตากรรมที่พลิกผัน เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เรียกว่า “กรรม” ถ้าแม้จะร้ายมา มันมีกรรมมา เราก็ได้ชดใช้ ดีหรือไม่ (ดี)  ถ้ามีคนมาทำให้เราต้องเจ็บ ทำให้เราต้องสูญเสีย เราก็ถือว่าเราได้สิ้นเวรสิ้นกรรม ดีไหม (ดี)  ถ้ามีคนด่ามา มีคนมาเอาเงินเราแล้วไม่คืน เราจะจองเวรจองกรรมเขาหรือไม่ (ไม่)  ทวงเขาไหม (ทวง)  อาจารย์จะบอกให้ว่าถ้าไม่อยากมีเวรมีกรรมกับใคร เวลาจะให้ใครยืมเงิน แม้เขาไม่คิดจะคืนเราก็ไม่ต้องคิดจะทวงด้วย เพราะมันจะได้ไม่เกี่ยวกรรมกัน ดีไหม (ดี)  ตอนเราให้เขายืม เราเป็นเจ้านาย แต่พอเขายืมไปแล้วเราเหมือนขี้ข้าเลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าอยากให้ใครยืมจงคิดว่า ยืมแล้วเขาไม่คืน เราก็ไม่เป็นไร เราจะได้ไม่ต้องติดหนี้ติดกรรมกัน ดีไหม
ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเราทำอะไรไปแล้ว เขาจะเห็นคุณค่าหรือไม่เห็นคุณค่า นั่นก็คือที่สุดของเราได้ให้ไปแล้ว เราก็จะไม่ต้องมาเกี่ยวกรรมกันอีกต่อไป อาจารย์ยังไม่ได้บอกที่สุดแห่งความทุกข์ให้ศิษย์ฟังเลย อยากฟังตอนนี้เลยไหม (ฟัง)
ศิษย์เคยได้ยินนิทานของพระพุทธองค์ ที่เราได้ฟังถ่ายทอดกันมาไหม อาจารย์ขอเอาบทนั้นมาให้ศิษย์ได้พิจารณา เพื่อบังเกิดธรรม ศิษย์เคยได้ยินไหม คำว่า “พาหิยะ” เป็นหนึ่งในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงโปรด เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน เมื่อไม่มีตัวเธอเกิดในโลกนี้หรือโลกหน้า เมื่อนั้นแหละคือที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ แต่เราอยู่ในโลกนี้ เราเคยเห็นสักแต่ว่าเห็นไหม ได้ยินสักแต่ว่าได้ยินไหม (ไม่เคย)  เมื่อเราเห็นเราต้องมีตัวตนไปตัดสิน ชอบไม่ชอบ ดีร้าย ได้เสีย ฟังก็มีดีใจ ไม่ดีใจ เสียงดีเสียงไม่ดี แต่พระพุทธะสอนไว้ว่า ถ้าอยากกลับคืนสู่ที่สุดแห่งทุกข์ เห็นสักแต่เห็น ได้ยินสักแต่ได้ยิน ลิ้มรสดมกลิ่นสัมผัส ไม่มีตัวเธอเกิด เมื่อโลกนี้ไม่มีตัวเธอ ก็ไม่มีตัวเธอในโลกหน้า เมื่อไรที่ไม่มีตัวเธอในการดำเนินชีวิตอยู่ ก็คือไม่มีตัวตนที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ เมื่อนั้นเรียกกว่า “ที่สุดแห่งความทุกข์” ฉะนั้นที่สุดแห่งความทุกข์ ไม่ใช่อยู่ในศีล เป็นอานิสงส์ ไม่ได้อยู่ที่สมาธิเป็นอานิสงส์ แต่อยู่ที่ใจไม่กระเพื่อมแห่งความเป็นตัวตน จึงเป็นแก่นแท้แห่งความสิ้นทุกข์ เหมือนโดนอะไรกระทบ ก็ไม่มีความอยากแล้ว ทำแค่นี้ก็ได้แค่นี้ ทำตามหน้าที่ที่ทำให้เกิดธรรม ทุกวันนี้ศิษย์ทำตามความอยากที่เรียกว่ากิเลส กินก็ต้องอยากก่อนถึงจะกิน ใส่ก็ต้องอยากก่อนถึงจะใส่ ออกไปข้างนอกก็ต้องอยากก่อนถึงจะไป ซึ่งการอยากนี่แหล่ะ มันเป็นตัวเพาะพันธุ์ที่ทำให้เรามีตัวตนไม่จบสิ้น ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวตนถึงที่สุดก็ไม่มี เข้าใจไหม (เข้าใจ)  
สังขารนี้ หนีพ้นความแก่ เจ็บ ตายไหม (ไม่พ้น)  เรามีความแก่ มีความเจ็บ มีความตายเป็น (ธรรมดา)  เราท่องอยู่ทุกวัน ธรรมดาทำให้ใจปกติ เมื่อปกติแล้วใจจึงสงบ เมื่อใจสงบแล้วจึงกระจ่างชัดในความจริง แต่เราไม่เคยเห็นความธรรมดาแล้วใจปกติ เพราะแก่แล้ว ยอมไหม (ไม่ยอม)  เจ็บแล้ว ยอมไหม (ไม่ยอม)  ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็น (ธรรมดา) 
ถ้าธรรมดาทำให้ใจปกติได้ นั่นเรียกว่าสงบ แต่ถ้าธรรมดาแล้วยังทำใจให้ปกติไม่ได้ ก็ไม่มีวันสงบ และก็ไม่มีวันเห็นแจ้งจริงได้ ถ้าโดนด่าแล้วยังปกติ แล้วยังสงบได้ แล้วยังเห็นแจ้งจริงได้ นั่นคือการกลับคืนสู่กระแสแห่งธรรม เหมือนชีวิตเราทุกคน มีใครไม่แก่ ฉะนั้นโดนว่า ไอ้แก่ โกรธไหม (ไม่โกรธ)  ไอ้เหี่ยว โกรธไหม (ไม่โกรธ)  
ศิษย์เอ๋ย อย่าโกรธเลย เวลาโดนว่า ไอ้แก่ ใครๆ ก็แก่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความแก่ เจ็บ ตาย จะมีมาช้าไว มันอยู่ที่ผลของการกระทำของศิษย์ มันจะหนักจะเบาก็อยู่ที่เหตุปัจจัยที่ศิษย์สร้าง ทำไมเพื่อนอยู่กับเราตั้งเยอะ เราแก่วันแก่คืน เพื่อนทำไมไม่แก่เลยนะ บางทีเราอยู่กับเพื่อน เดี๋ยวเราป่วยเป็นโรคนั้นเป็นโรคนี้ ทำไมเพื่อนไม่เคยเจ็บเลย บางทีเราป่วยเป็นโรคนั้นเป็นโรคนี้ เราตายไปแล้ว เพื่อนที่ไม่แก่ ไม่เจ็บ กลับบอกว่าทำไมไม่ตายสักทีนะ ตกลงใครดีที่สุด (ไม่มี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์จะทุกข์กับอะไร ศิษย์กำลังทุกข์กับสิ่งที่ไม่เที่ยง ที่เป็นหัวใจแห่งทุกข์ ชีวิตที่เรียกว่าสัจธรรม ศิษย์กำลังโกรธกับคนที่ด่า ที่ไม่เคยเที่ยง ที่อยู่แค่ขณะนี้ ถ้าศิษย์มองให้กว้างๆ คนนี้ด่า เดี๋ยวก็มีคนชม ถ้าเปิดใจให้กว้าง มันก็แค่ขณะหนึ่ง ใช่ไหม (ใช่)  
แล้วชีวิตเราจะจมอยู่กับขณะนี้ และหน้านี้ คนๆนี้ แล้วก็ทุกข์จนเขาตายเพราะเขาคนนี้ที่ด่าเราหรือ (ไม่ใช่)  เรายังมีอีกตั้งหลายขณะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะเลือกคนๆ นี้ที่เขาด่าเรา เกี่ยวกรรมกับเรา จองเวรจองกรรมกับเขาไม่จบสิ้น เอาเขามาด่าแล้วด่าอีก เพื่อทำให้ใจเราเจ็บปวดหรือ (ไม่)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นหรือไม่ (เป็น)  ฉะนั้นเมื่อถึงที่สุดถ้าศิษย์เข้าใจกระจ่างในธรรม ศิษย์จะบอกอาจารย์ว่าขอบคุณนะที่ทำให้ฉันทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เคยกล่าวว่า “หาความมั่นคง ถึงที่สุดมันก็เหมือนไม่มั่นคง” เราไม่อยากโดดเดี่ยว เราไม่อยากอ้างว้าง แต่ถึงที่สุดมีสามีดีก็แล้ว มีลูกดีก็แล้ว แต่ทำไมเรายังเหงาจังเลย จริงหรือไม่ (จริง)  ถึงที่สุดเราก็ต้องโดดเดี่ยว ธรรมสอนให้เรารู้ว่าถึงที่สุดเราก็ต้องกลับไปสู่ความว่าง กลับสู่ความไม่มี และสิ่งที่เหมือนมีก็คือไม่มี เหมือนที่ศิษย์หาแทบตาย หาเพื่อให้เกิดมั่นคง หาให้สมบูรณ์แบบ หาให้ดีที่สุด แต่สุดท้ายอะไรดีที่สุด อะไรสมบูรณ์แบบ อะไรมั่นคง (ไม่มี)
ฉะนั้นความกระจ่างในธรรมจะเยียวยาใจให้เรามองเห็นโลกนี้อย่างแจ่มชัด และไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่หลงอะไรในโลก เพราะในโลกนี้หาความแท้จริงไม่ได้ ไม่ต้องไปพยายามข่มความอยากเลย มันอยากไม่ออกแล้ว เพราะอยากไปเดี๋ยวก็ทุกข์ เกลียดเขาไปเดี๋ยวก็กลายเป็นเวรกรรมเราไม่เอา ถ้าอยากเจอกับเขาอีกจองเวรจองกรรมเลย แต่ถ้าไม่อยากเจอกับเขาอีกขอบคุณที่ทำให้ฉันได้ชดใช้กรรมกับเธอ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเข้าใจธรรมเราจะเบิกบาน เราจะมีชีวิตอยู่แค่วันนี้ดีที่สุด พรุ่งนี้ไม่รู้ รู้วันนี้ รู้ตอนนี้ ฉะนั้นใครจะว่าฉันเหี่ยว ใครจะว่าฉันแก่ ใครจะว่าฉันเตี้ย ใครจะว่าฉันไม่ได้เรื่อง ไม่เป็นไรเพราะฉันเข้าใจว่าชีวิตยังมีต่อไป ได้เรื่องไม่ได้เรื่องฉันรู้ตัวฉันดี ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราสงบและเข้าใจกระจ่างชัดในตัว เราจะสามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมได้ แต่ถ้าเราไม่สงบไม่กระจ่างชัดในตัว เราจะถูกสิ่งแวดล้อมชักนำให้ตกเป็นทาสอยู่ร่ำไป เข้าใจนะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาททำนองเพลง: เก็บใจ)
กายกับใจวุ่นกับความไม่ว่าง เพราะหลีกหนีความว่างไปให้ไกล เมื่อใจไม่ว่างก็เลยง่ายต่อการถูกการกระทบ เมื่อถูกกระทบก็หนีไม่พ้นเรียกว่าร้าย เรียกว่าดี เรียกว่าชอบ เรียกว่าชัง แล้วร้ายดีก็เรียกอีกอย่างว่าบุญหรือบาป ซึ่งมนุษย์ยึดมั่นถือมั่นเหมือนกรงที่เรายึดถือไว้ด้วยโซ่ตรวน จริงไหม
มนุษย์กลัวความว่าง พยายามหาทุกอย่าง ต้องมีต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถึงที่สุดหามาเต็มที่ มีก็เหมือนไม่มี เพราะใจไม่เคยพอ แล้วพอมีก็ก่อเกิดว่าชอบ ไม่ชอบ แล้วก็เกิดทำอะไรร้ายๆ บุญก็สร้าง แล้วก็เผลอสร้างบาป วนเวียนอยู่ในความคิดที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แล้วหลงว่าตัวเองรู้ ตัวเองเข้าใจ กายกับใจของมนุษย์พยายามวุ่นกับความไม่ว่าง เพื่อหนีความว่างไปให้ไกลๆ การเรียนรู้ธรรมคือกลับสู่ความว่าง ความสงบ แต่ถามจริงๆ ว่ามนุษย์ทุกคนลึกๆ ใจอยากว่างไหม ทั้งที่จริงๆ แล้วสิ่งที่เรามีก็คือไม่มี แล้วเราก็ไม่สามารถครอบครองอะไรได้เลย เมื่อมนุษย์วิ่งไปหาความไม่ว่าง พอวุ่นมากๆ ก็เกิดสิ่งที่เรียกว่าเราชอบและชัง แล้วก็เกิดสิ่งที่เรียกว่าดีและร้าย เรียกว่าบุญเรียกว่าบาป ที่เรายึดมั่นถือมั่นไว้ว่านี่คือตัวฉันที่กำลังวุ่นอยู่ เพื่อหนีความว่าง แล้วก็บอกว่าตัวเองรู้ ตัวเองไม่ได้ยึด จนเหมือนกรงทองที่เรายึดมั่นถือมั่นไว้เป็นโซ่ตรวนที่อยู่ในกรงนั้น จริงไหม (จริง)
อาจารย์พูดง่ายๆ นะ มนุษย์เมื่อขยับเขยื้อนทำอะไรก็ตาม ถ้าดีก็เรียกว่าบุญ ถ้าไม่ดีก็เรียกว่าบาป แล้วที่เรียกว่าบุญบาปนั้น เพราะมีตัวตนที่ชอบชัง บุญบาปจะหมดได้ก็ต่อเมื่อถ้าเราไม่ชอบ เราไม่มี เราไม่ชัง บุญบาปจะสลายไปแล้วกลายเป็นความว่าง ฉะนั้นใครจะต่อว่ามาหรือเราจะสูญเสียอะไรไป ก็ว่าง จริงไหม ศิษย์อาจจะบอกว่ายาก แต่อาจารย์อยากบอกว่า ทุกขณะชีวิตของเรากลับไปสู่ความว่าง ถ้าศิษย์ไม่พยายามฝึกใจตอนนี้ เมื่อถึงเวลาศิษย์ที่ต้องทิ้งไปสู่ความว่าง ศิษย์จะทุกข์ที่สุด เหมือนที่อาจารย์บอก “ใจเป็นกรงทอง จับจองคำพูดใคร ขังอะไรในกรงใจ” แค่โดนด่าคำเดียว เอาคำนั้นมาขังตัวเอง ว่าเขาด่าเรา เขาทำเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ถ้าคิดว่าชีวิตมีทุกข์เป็นธรรมดา เมื่อเวลาเจอทุกข์เราจะได้ไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่ากลัว เหมือนอาจารย์ถามว่าใครในโลกนี้ไม่สูญเสีย ใครในโลกนี้ไม่เจ็บปวด ใครในโลกไม่ต้องตาย เป็นเรื่องธรรมดาของทุกชีวิต แต่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์มี และเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ไม่ใช่สังขารแต่คือจิตที่ตื่นรู้ในธรรม กลับคืนสู่สภาวธรรม แล้วไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก สิ่งนี้ที่ประเสริฐที่สุด ที่อาจารย์อยากให้ศิษย์กระจ่างแจ้ง เพราะถ้าเมื่อไรเรานำพาตัวเองได้ เราทำให้ตัวเองร่มเย็นได้ เราก็นำพาครอบครัว สังคมให้ร่มเย็นได้
สิ่งที่อาจารย์หวังอยากได้จากศิษย์ก็คือ ขอให้ศิษย์สงบร่มเย็นในใจได้ ไม่หวาดหวั่น ไม่กลัวทุกข์ มีหัวใจที่เข้มแข็ง กล้ายอมรับความจริงและนำความเข้าใจนี้ไปนำพาคนในโลกให้เขาเข้าใจและตื่นรู้และไม่ทุกข์ แล้วแปรเปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นสันติสุข ไม่ทำร้ายกันด้วยความโลภ ความอยาก ความเกลียด ความโกรธอีกเลย แต่ให้กันด้วยธรรม ให้กันด้วยความสงบและดีงาม ดีไหม (ดี)  
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สงบใจให้เป็น”)
ทำยากไหม (ไม่ยาก)  มนุษย์ปรารถนาความสงบใจ ไม่อยากมีเรื่องวุ่นวายใจ อาจารย์ยกตัวอย่าง เหมือนถ้าเราเข้าไปในป่า เราจะไม่ได้ยินเสียงนก ไม่ได้ยินเสียงน้ำ ไม่ได้ยินเสียงลมพัด เป็นไปได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เพราะคือธรรมชาติ เพราะถ้าเข้าไปในป่า ต้องมีเสียงนก เสียงน้ำ เสียงลมพัด นี่คือธรรมชาติ เช่นเดียวกันเราอยู่ในโลกเป็นไปได้ไหมที่เราจะหยุดผู้คนไม่ให้พูด ไม่มีมีเสียง เราจะหยุดให้ทุกคนเป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการ เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อเจอเรื่องที่ทำให้เราไม่สงบ ศิษย์จะเอาแต่หนี ข่มใจ หนีเขาไปให้ไกลๆ แล้วไปหาที่สงบ เวลาที่ศิษย์เบื่อ มีความทุกข์มากๆ ศิษย์ก็ไปไหว้พระเก้าวัด เผื่อว่าจะได้หายทุกข์ แล้วหายไหม (ไม่หาย)  กลับมาเจอหน้าเขาก็เป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นข่มใจ ขันติไว้หรือยุบหนอพองหนอ อาจารย์ถามจริงๆ นะ แบบนี้ใช่วิธีแก้จริงๆ หรือ การเอาแต่หนี การคอยแต่จะเปลี่ยนคนอื่น การเอาแต่ข่มใจ ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง หนทางที่ถูกต้องคือทำใจให้ว่าง ทุกอย่างก็จะว่างโดยทันที ไม่คาดหวัง ไม่เรียกร้อง ยอมรับว่าทุกสิ่งล้วนคือธรรมชาติ แค่ยอมรับว่าทุกสิ่งล้วนมีธรรมชาติเป็นของตัวเอง เมื่อยอมรับได้ความสงบก็เกิดขึ้นทันที ไม่เรียกร้อง ไม่หวังวอน ยอมรับความเป็นจริงของทุกสิ่งว่าล้วนมีธรรมชาติและนิสัยที่แตกต่างกัน เมื่อไม่เรียกร้อง ไม่ยึดมั่น ใจก็จะโล่ง ใจก็จะว่าง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะไม่ทำให้เราเจ็บปวด เมื่อใจหยุดแกว่งลงได้ สงบแล้วก็จบทันที จริงหรือไม่ (จริง)
แต่มนุษย์ไม่กล้าทำใจว่าง ทั้งๆ ที่ใจว่างมาตั้งแต่เดิมที ความว่างคือธรรมที่เรามีมาแต่เดิม แต่เรายิ่งพยายามจะมีก็คือความ (โลภ โกรง หลง) อาจารย์ไม่ได้ห้ามศิษย์ให้มีนะ แต่มีอย่างคนไม่หลงได้ไหม ไม่ก่อเกิดเป็นกิเลสแล้วทำบาปผิดศีล ได้ไหม (ได้)  ศิษย์รู้ไหม เมื่อไรที่ศิษย์ยังตกเป็นทาสของกิเลส โลภ โกรธ หลง ศิษย์จะไม่มีวันได้กลับมาเจออาจารย์อีกต่อไปนะ ถ้าศิษย์ยินดีจะตกเป็นทาสของความโลภ โกรธ หลง ศิษย์จะไม่มีวันเจอหนทางสว่างอีกต่อไป อาจารย์พูดได้แค่นี้ ฉะนั้นทำสิ่งที่ถูกต้อง ปฏิบัติอย่างคนที่มีศีลมีธรรม เพื่อจะได้ไม่ต้องกลับไปเวียนว่ายอีก เพราะหนทางที่ศิษย์บอกว่าไม่เป็นไรหรอก ตายก็ตาย ทุกข์ก็ทุกข์ เวียนว่ายก็เวียนว่าย ไม่ง่ายอย่างที่ศิษย์คิดนะ ศิษย์เคยเห็นบางคนไหมเกิดมาน่าสงสาร ทำบุญอย่างไรก็ทำไม่ขึ้น เป็นเพราะเขากำลังใช้กรรมเก่า เขาเคยมีโอกาสทำดีแต่เขาก็ไม่ทำ คิดแต่ว่าทำไมต้องทำ แล้วศิษย์อยากเป็นคนนั้นไหม (ไม่อยากเป็น)  แล้วศิษย์ยังจะทำอย่างนี้อีกหรือ อาจารย์แค่อยากให้ศิษย์ตื่นรู้คุณค่าที่ดีงามในตน อยากให้ศิษย์ตื่นรู้คุณค่าธรรมในหัวใจตน ใดใดในโลกมันไม่เที่ยง มันทุกข์ มันว่างเปล่า ควรหรือที่ศิษย์จะยึดมั่นว่านี่คือตัวศิษย์ นี่คือของศิษย์ ยึดจนกลายเป็นโลภ โกรธ หลง แล้วเวียนว่ายไม่จบสิ้น หรือศิษย์ควรจะยืมใช้แล้วเข้าใจ และละวาง คิดดูนะศิษย์ แม้อาจารย์จะพูดปากฉีกถึงรูหูก็เปล่าประโยชน์ ถ้าศิษย์ไม่เอาน่าเสียดายนะ อาจารย์มีความจริงใจเต็มร้อย วันนี้อาจารย์ให้เกินร้อย ศิษย์จะเอาหรือไม่เอาก็ขึ้นอยู่กับศิษย์นะ เอาไปปฏิบัติเพื่อให้ศิษย์พ้นทุกข์ แต่ถ้าศิษย์ยังเมินเฉย อาจารย์ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมญาติธรรมจากพม่า)
มีคนมาจากแดนไกล ตั้งใจมาฟังธรรมะนี้ แล้วคนข้างหน้าเขาก็หวังว่าคนกลุ่มนี้จะเป็นแรงผลักดันให้รุ่นต่อไปเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าเข้าใจมากน้อยเพียงใด ทุกคนต่างมีบุญอันดีงาม แต่เราจะรักษาบุญนี้ให้สืบต่อเนื่อง และนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้อย่างไร ไม่ใช่พึ่งแต่อาจารย์ แต่ต้องเกิดจากการตื่นรู้เข้าใจในธรรมของตัวศิษย์เอง เพราะศิษย์ทุกคนล้วนมีสภาวธรรมอยู่ในตัว ลองใช้ใจสู่ใจ ใช้จิตสู่จิต ใช้ความดีงามสู่ความดีงาม ใช้หนทางที่ถูกต้องนำพาชีวิต และใช้หัวใจอันบริสุทธิ์นำพาผู้คนได้ไหม อาจารย์ให้ผลไม้เป็นกำลังใจแล้วกันนะ ทำอะไรต้องรู้จักคิดรู้จักทำนะ อย่าให้อารมณ์ชั่ววูบนำพาให้ศิษย์หลงผิด อุตส่าห์เสียสละไปอยู่ที่นั่น ใช่ไหม
อาจารย์คงต้องกลับแล้ว มีใครอยากจับมือลาอาจารย์ไหม อาจารย์ไม่รู้ว่าศิษย์จะอยากจับมืออาจารย์ไหม มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยนะศิษย์ อย่ายอมแพ้ต่อโรคภัยไข้เจ็บ เข้มแข็ง อดทน รู้จักฟันฝ่าด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ เข้มแข็งอย่ายอมแพ้ ตั้งใจอย่าอ่อนแอ  เป็นศิษย์ของอาจารย์แล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องกล้ารับนะ พรอันประเสริฐอาจารย์ให้ศิษย์ไปหมดแล้ว รักษาพรให้ดีและประเสริฐด้วยสติ แล้วรู้จักยั้งคิด ความดีงามรักษาไว้ ทำให้ได้นะ เป็นศิษย์อาจารย์กันแล้วนะ ตั้งใจศึกษาปฏิบัติธรรมให้ดี อย่าหลงตกเป็นทาสของอารมณ์และกิเลสเลย ไม่อย่างนั้นจะทำให้ศิษย์กับอาจารย์ไม่มีวันกลับมาเจอกันอีก จงมุ่งมั่นรักษาศีลธรรมที่ดีงามมีคุณธรรมความเป็นคนให้ดีที่สุดเท่าที่คนๆ หนึ่งจะมีได้ อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบ ทิฐิ ความดื้อรั้น มาทำให้เราต้องผิดศีลผิดธรรมเลย ใช่ไหมผู้มีปัญญา
ตั้งใจปฏิบัติให้ถูกต้องและดีที่สุดนะ เพื่อตัวศิษย์เอง ไม่ใช่เพื่ออาจารย์ อย่าให้มีทุกข์แล้วค่อยทำ แล้วค่อยมาคิดได้ ไม่ทันนะ คิดให้ดีๆ ว่าสิ่งที่อาจารย์พูดเพื่อตัวศิษย์ แต่ไม่ใช่เพื่ออาจารย์เลย แต่ศิษย์กลับทำเฉยชาเหมือนอาจารย์โกหก เหมือนอาจารย์หลอกลวง อาจารย์ไม่เคยคิดจะหลอกลวงศิษย์ สัญญาได้ไหมจะทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ทำให้ได้นะ อย่าเผลอทำผิดคิดร้าย ทำได้หรือยัง ศิษย์ทุกคนเข้มแข็งนะ ทำอะไรด้วยสติยั้งคิด รักษาแต่สิ่งที่ถูกต้องและดีงามไว้ในจิตใจตัวเองนะ ทำให้ถูกต้อง ทำให้ดีงามเท่าที่ชีวิตหนึ่งจะทำได้ กิเลสเพียงนิดก็อย่าได้ให้กล้ำกลายจิต จนเป็นเหตุให้ศิษย์ต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้นเลย


หมายเหตุ เชิงอรรถหน้า ๒๖ อยู่บรรทัดที่สองนับจากบรรทัดสุดท้าย
พาหิย
ประวัติพระพาหิยทารุจีริยเถระ เป็นเอตทัคคมหาสาวก ผู้ตรัสรู้เร็ว พระพาหิยทารุจีริยะเถระ ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของภิกษุสาวกผู้ตรัสรู้เร็ว ท่านได้บรรลุพระอรหันต์ตั้งแต่เป็นคฤหัสถ์ และได้ฟังพระธรรมเทศนาอย่างย่อจากพระพุทธองค์ที่กลางถนนในกรุงสาวัตถี โดยแสดงธรรมโดยย่อว่า ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล ในกาลใดเมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้นท่านย่อมไม่มี ในโลกนี้ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสองนี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์
หลังจากพระพุทธองค์เทศนาจบ พาหิยะก็สำเร็จอรหันต์ ในขณะเป็นคฤหัสถ์ และในระหว่างที่กำลังหาเครื่องสำหรับบรรพชาเป็นพระภิกษุ ท่านก็ถูกโคแม่ลูกอ่อนขวิดและเสียชีวิต
(พระอาจารย์ได้มาเมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรมอีกครั้ง)
อาจารย์อยากจะมาชาร์จแบตให้ศิษย์ทุกคน ให้มีจิตเหมือนอาจารย์ คือมีจิตที่อนุเคราะห์ มีจิตที่เสียสละ เข้าใจจิตนี้ไหม สืบทอดความมุ่งมั่น สืบทอดปณิธาน สืบทอดจิตใจเสียสละ ร่วมมือกันนะศิษย์นะ เหมือนพี่เหมือนน้อง เหมือนเพื่อนที่ให้เกียรติ ที่เคารพ ที่รักกันด้วยความจริงใจ ที่มีความมุ่งมั่นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อจะนำพาตัวเราเอง และผู้คนไปให้พ้นทุกข์ ด้วยหัวใจอนุเคราะห์เสียสละ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เสื่อมคลาย ได้ไหม (ได้)
อาจารย์อยากให้กำลังใจ มาๆ ทุกคน มาจับมือกับอาจารย์ เข้มแข็งนะ มือที่จับร่วมกันแล้วคือปณิธานเดียวกัน มีหัวใจเดียวกัน มีความมุ่งมั่นเดียวกัน ที่เราจะอุทิศ อนุเคราะห์ช่วยเหลือเวไนยด้วยหัวใจที่เสียสละเต็มที่ ไม่ยอมแพ้ ไม่ท้อถอย เคารพให้เกียรติกัน ดูแลซึ่งกันและกัน ได้ไหมศิษย์ (ได้)  เอาหัวใจอาจารย์ไปนะ หัวใจที่สืบต่อปณิธานที่อยากฉุดโปรดเวไนย  ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมแพ้ ได้ไหม (ได้)  อาจารย์อยากให้พลังศิษย์นะ พลังแห่งความมุ่งมั่น พลังแห่งหัวใจที่สู้ไม่ท้อ ได้ไหม (ได้)  หัวใจที่อุทิศเสียสละ หัวใจที่เข้มแข็ง ไม่ท้อถอย หัวใจที่รักผู้อื่นเยี่ยงเดียวกับรักตัวเอง ไม่เคยโกรธ ไม่เคยเกลียดใคร มีแต่ใจที่อยากช่วยเหลือและนำพาเขานะ ได้ไหม (ได้)  อาจารย์อยากให้พลังใจตรงนี้ อาจารย์อยากให้ศิษย์มีใจตรงนี้ ใจที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ใจที่มุ่งมั่น รักเขาจริงๆ อย่างใจ ช่วยเขาจริงๆ อย่างที่ไม่เหลือใจตัวเองไว้ยึดถือ ได้ไหม (ได้)  รักเขาให้เหมือนที่อาจารย์รักนะ
เราบำเพ็ญเพื่อปลุกหัวใจแห่งพุทธะ ที่รักเขาจนไม่มีตัวตนให้ยึดถือ ที่เสียสละมุ่งมั่น เพี่อให้เขาได้ถึงฝั่งที่ถูกต้องและดีงาม ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้มแข็ง ศิษย์ของอาจารย์ต้องเป็นตัวแทนสืบทอดหัวใจอันนี้ของอาจารย์  ทำให้ศิษย์ของอาจารย์ได้สมานเป็นหนึ่งเดียวกัน สืบทอดหัวใจจี้กงน้อยๆ สืบทอดหัวใจที่งดงาม สืบทอดหัวใจที่ตั้งใจเสียสละมุ่งมั่น สืบทอดหัวใจที่เข้มแข็ง เข้าใจความจริงในชีวิต สืบทอดหัวใจที่ซื่อตรงมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้อง  เข้าใจไหมศิษย์
เราร่วมมือกันนะ เราต้องรักกัน เราต้องดูแลกัน เราต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน อาจารย์ให้กำลังใจนะ ทำให้ดีให้สมกับที่เป็นศิษย์ที่มุ่งมั่นไม่ท้อถอยนะ เราจับมือกันต่อไปนำพาหัวใจที่ดีงามเพื่อส่งต่ออนุเคราะห์นำพาเวไนย  ต่อไปนำพาหัวใจที่ดีงาม สร้างหัวใจที่บริสุทธิ์ สร้างหัวใจที่เข้มแข็งนะ ทำให้ดี ทำให้ถูกต้อง ต้องให้อาจารย์พูดอะไรอีกหรือ อยู่ใกล้อาจารย์แล้ว ไม่ต้องกลัวอาจารย์ทิ้งนะ รักษาหัวใจที่ดีงามนี้ไว้นะ  ทำให้ได้นะศิษย์เอ๋ย อาจารย์ไม่ลืมนะ ว่าทุกหยาดเหงื่อ ทุกหยาดน้ำตาที่ศิษย์เสียสละเพื่อช่วยเวไนย อาจารย์เห็นหมด ต่อไปนี้ไม่ร้องไห้แล้วนะ ต่อไปนี้ไม่น้อยใจแล้วนะ ต่อไปนี้ไม่ท้อใจแล้วนะ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะเรามีปณิธานเดียวกัน คือช่วยเขาให้พ้นทุกข์ ฉะนั้นหัวใจที่ช่วยเขาให้พ้นทุกข์ คือเป็นหัวใจที่เข้มแข็งนะ ได้ไหม (ได้)  แล้วอาจารย์ก็ไม่ต้องร้องไห้แล้วใช่ไหม (ใช่)  เพราะอาจารย์มั่นใจในศิษย์แล้ว ไม่ต้องห่วงหน้า ไม่ต้องพะวงหลังอีกต่อไป ใช่ไหม (ใช่) 

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สงบใจให้เป็น”
    หยุดเขาหรือหยุดใจตน                      หนีคนหวังพึ่งสงบ
แม้ธรรมข่มใจไม่จบ                               ยากพบหนทางคลี่คลาย
แค่เพียงทำใจให้ว่าง                               ทุกอย่างก็ว่างทันใด
เมื่อใจหยุดแกว่งลงได้                             สงบก็จบทันที
แต่คนไม่ทำใจว่าง                                  ทั้งที่จิตว่างเดิมที
ความว่างคือธรรมเดิมมี                           ความมีคือหลงวุ่นวาย

** แก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรมสถานธรรมหมิงฮุย จ.ลพบุรี
วันที่ ๖–๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐  
แก้ไขเพลงพระโอวาท
หน้า ๑๓  ย่อหน้าที่ ๒ บรรทัดที่ ๒
เดิม     หนทางไม่มีสายกลาง      แก้เป็น   หนทางไม่มีเส้นกลาง
แก้ไขชื่อเพลงพระโอวาท
เดิม     บำเพ็ญต้องดีแต่ทำดีอาจไม่ใช่การบำเพ็ญ    แก้เป็น บำเพ็ญต้องทำดีแต่ทำดีอาจไม่ใช่การบำเพ็ญ

** แก้ไขพระโอวาทงานประชุมธรรมสถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์ วันที่ ๑๓-๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๐  
แก้ไขกลอนนำหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ        หน้า ๑ วรรคที่ ๒ 
เดิม     ศึกษาธรรมมีสติรู้ทำตามจริง 
แก้เป็น ศึกษาธรรมมีสติรู้ธรรมตามจริง
แก้ไขกลอนหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ  หน้า ๑ บทแรก
เดิม     รีบรีบขอต้องไม่ทะเลาะอย่างไรได้
แก้เป็น          รีบรีบเข้าต้องไม่ทะเลาะอย่างไรได้
แก้ไขกลอนแยกพระโอวาทซ้อน
เดิม     ขอใจชีวิตตัวเอง  แก้ไข  เข้าใจชีวิตตัวเอง  

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา