แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ฮุ่ยจื้อ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ฮุ่ยจื้อ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

2561-03-31 สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์

西元二〇一八年嵗次戊戌二月十五日              仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๓๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑       สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
  เรือแล่นถึงฝั่งย่อมอยู่ที่คนพาย         ชีวิตมีเป้าหมายอยู่ที่ใจหนา
มีดไม่ตีไม่ลับก็เหล็กธรรมดา              ผู้ไม่หาญกล้าลำบากสู้ยากสำเร็จจริง
                   เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                      ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  คนบำเพ็ญมีนิสัยเป็นตัวถ่วง            โอกาสล่วงเวลาวันวันผ่านหาย
สบายไปไม่ได้คิดทำอะไร                 ประมาทไปเลยผิดแต่เรื่องเดิม
รู้ว่าคิดก็ยังสนุกคิด                       คิดเป็นอะไรกว่าคิดที่ฮึกเหิม
อารักขาหาไม่จะสายกว่าเดิม             สติเริ่มตัวรู้เกินไม่ไกล
ชอบรับรับไปจนเป็นภาระ               ชอบให้จะอยากให้ไม่สงสัย
คนไม่มีประเสริฐก่อนฝึกนิสัย             สภาพเดิมเหมือนเป็นไทเมื่อบำเพ็ญ
รู้ไม่สู้ทำใจให้สว่าง                        ใจมีทางวันที่แสนลำเค็ญ
ทำดีให้พรุ่งนี้สุดน่าบำเพ็ญ               ชีวิตคนชีวิตน้ำเย็นเป็นธารา
ชีวิตแสนสั้นดุจหมอกลมฝน              ฝนลมหล่นใส่หน้าเคล้าน้ำตา
จำต้องเพียงค้างคาใจอนิจจา             หลงไปไม่แจ้งปัญญาจิตวุ่นวาย
เกือบถึงพื้นล่างแล้วเจ้าบุปผา            เกิดตั้งอยู่ไม่ช้าต้องสลาย
กายดั่งเรือนระวังกายระวังใจ            ใจที่ไหม้ไฟอะไรแผดเผาตน
                                                                      ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ



อยู่ในโลกไม่มีเรื่องง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากประสบความสำเร็จ
ก็ต้องมีความพากเพียรวิริยะ ฝ่าฟันความยากลำบาก ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้ววันนี้อยากฟังธรรมจนสำเร็จหรือฟังธรรมแค่ครึ่งๆ กลางๆ (ฟังจนสำเร็จ)  ฟังจนสำเร็จอย่างนั้นลำบากก็ต้อง (อดทน)  สู้ไม่ถอยใช่ไหม (ใช่)  เหนื่อยอย่างไรก็ต้อง (อดทน)  อดทนอย่างเดียวเลยใช่ไหม (ใช่)  เจอเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
ไม่ยุติธรรมก็ใช้คำว่า “อดทน” ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)


มนุษย์อยู่ในโลกนี้จำง่ายกว่าลืม ใช่ไหม (ใช่, ไม่ใช่)  บางคนบอกว่าลืมง่ายกว่าจำ ใช่ไหม (ใช่)  ความจำได้เป็นความฉลาด ความลืมได้เป็นปัญญา แต่ท่านว่าท่านจำแล้วลืม บางทีก็ไม่จำแล้วก็ไม่ลืมอะไรได้เลย อย่างนั้นความดีของผู้อื่นจำได้ง่ายกว่าหรือความไม่ดีของผู้อื่นจำได้ง่ายกว่า
ถ้าท่านเข้าใจสิ่งที่เราพูดตั้งแต่แรก ท่านจะรู้ว่าความจำได้เป็นความฉลาด แต่การลืมได้เป็นปัญญา แต่มนุษย์เราถ้าใจกว้างจะจำแต่สิ่งที่ดีของผู้อื่น
แต่เมื่อไรเราจุกจิกจู้จี้ ถือนั่นถือนี่ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าใจแคบ เราจะจำความไม่ดีของผู้อื่นได้ง่ายกว่า


ฉะนั้นตอนนี้จำความดีหรือไม่ดีของผู้อื่นเยอะกว่ากัน ในใจลึกๆ ความดีของคนอื่นใครทำกับเราจำไม่ได้ แต่ใครทำไม่ดีกับเราจำได้ แล้วยังจำได้แม่นด้วยใช่ไหม ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า ผู้ที่รู้จักจำความดีของผู้อื่นได้ เรียกว่าผู้ใจกว้าง แต่ผู้ที่เอาแต่จำความไม่ดีของผู้อื่นได้มาก แปลว่าเป็นคนใจคับแคบ มักถือสาหาความ แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม
เรามักไม่ยอมรับใช่หรือไม่  ฉะนั้นถ้าความดีของคนอื่นจำไม่ได้ ความไม่ดีของคนอื่นจำได้ จึงมีคำกล่าวต่อว่า ความดีของคนอื่นถ้าจำไม่ได้ ก็ยากจะเป็นคนอยู่ในโลกแล้วมีจิตสำนึกคุณ ความไม่ดีของผู้อื่นไม่ควรจำแต่จำได้ก็ยากจะอยู่บนโลกได้อย่างสงบสุข  แล้วเราสงบสุขไหม แล้วเราใจกว้างไหม


ฉะนั้นอยากเป็นคนที่รู้จักมีสำนึกคุณ ต้องเรียนรู้ที่จะจำความดีของผู้อื่น ถ้าอยากรู้จักที่จะมีชีวิตสุขสบาย ไม่ถือสาหาความก็อย่าจำความไม่ดีของผู้อื่นเก็บไว้ แต่เราเป็นแบบนั้นไหม  ฉะนั้นเราจึงเกิดเป็นคนที่ลืมบุญคุณคน และยากจะมีความสุขจริงหรือไม่ เพราะแค่เห็นคนที่ไม่ดีอยู่ในสายตาก็หงุดหงิด เห็นใครทำอะไรไม่ถูกต้องไม่ถูกใจก็รำคาญใจ แต่ถ้ามองเขามีดีเราก็จะเห็นแต่คนมีคุณค่า แต่ถ้าเราเอาแต่มองเขาไม่มีดี เราก็อยู่กับเขาอย่าง
ไม่มีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)


แล้วคนในโลกมีดีหรือไม่มีดี แล้วทุกวันที่บ่นๆ โลกดีหรือโลกไม่ดี แล้วทุกวันที่บ่นๆ คนดีหรือคนไม่ดี แปลว่าถ้ามองคนไม่ดีโลกไม่ดีแปลว่าใจเราคับแคบ อยากรู้จักใจตนเองไม่จำเป็นต้องไปมองที่คนอื่น หันกลับไปมองที่ตัวเรา เลือกจำดีหรือเลือกจำไม่ดี ให้นึกถึงพ่อแม่ ก็นึกแต่นิสัยไม่ดีของพ่อแม่ ให้พูดถึงเพื่อนก็มองแต่เพื่อนไม่ดีอย่างไร ให้พูดถึงสามีก็นึกถึงแต่ข้อเสียของสามี ให้พูดถึงภรรยาก็นึกถึงแต่ข้อไม่ดีของภรรยาใช่ไหม ให้นึกถึง
ครูบาอาจารย์ เคยนึกถึงดีหรือนึกถึงไม่ดี (ดี/ไม่ดี)  แต่รู้สึกว่าไม่ดีจะมากกว่าดี แล้วที่นึกออกเห็นชัดก็คือไม่ดีชัดกว่าดี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราอยู่ในโลกนี้จะเกิดสิ่งที่เรียกว่าสำนึกคุณ จะเกิดสิ่งที่ดีงามได้อย่างไร ในเมื่อเริ่มต้นใจของท่านก็เอาแต่จับผิดมากกว่าจับสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ถูกไหม


อย่างนั้นเราถามท่านนะ ในโลกนี้ถ้ามีเพื่อน มีสามี มีภรรยา ซื่อตรงรับผิดชอบต่อหน้าที่ จริงใจมีน้ำใจ ท่านว่าดีไหม (ดี)  แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเพื่อนของท่าน สามีของท่าน ภรรยาของท่าน ไม่มีความจริงใจ ไม่มีความซื่อตรง ไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และไม่มีความเมตตาปรานีในจิตใจ ท่านชอบไหม (ไม่ชอบ)  แล้วถ้าถามท่านว่าระหว่างคนสองประเภท
ท่านอยากได้คนประเภทใดเป็นมิตร เป็นคู่ครอง คนที่ซื่อตรงจริงใจ มีน้ำใจ รับผิดชอบต่อหน้าที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)

แต่ท่านเคยได้ยินมนุษย์ชอบพูดคำหนึ่งไหม “ผีเห็นผี”  ว่าเขาเป็นอย่างไร เราก็ได้อย่างนั้น ยิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอ สิ่งที่ได้เป็นอย่างไร นั้นใช่ไม่ใช่เพราะใจท่านเป็นอย่างนั้น สิ่งที่ดึงดูดก็เป็นแบบนั้นเข้าชิดหา ถ้าเราเป็นพุทธะ มีหรือพุทธะไม่เข้าหา แต่กลัวว่าเราจะเป็นผี ผีก็เลยเข้าหา  ฉะนั้นว่าเขาไม่ดี ว่าเขาไม่ซื่อตรง ว่าเขาไม่จริงใจ เพื่อนเป็นอย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น เราชอบแบบใด เราก็เจอแบบนั้น ฉะนั้นก่อนจะว่าใคร ควรว่า (ตัวเอง)  ซื่อตรงหรือยัง รับผิดชอบต่อหน้าที่ไหม จริงใจหรือเปล่า ใช่หรือไม่ ฉะนั้นไปว่าเขาไม่ได้ ถ้าผีตัวแรกไม่ปรากฏก่อน จะมีผีตัวที่สองตัวที่สามตามมาหรือไม่ (ไม่)

ฉะนั้นไม่อยากได้สิ่งใด จงถามใจตัวเองก่อนว่า เรามีสิ่งนั้นหรือไม่
ถูกหรือเปล่า (ถูก)  คนโดยส่วนใหญ่อยากได้ผีมาอยู่ใกล้หรืออยากได้คนดีมาอยู่ใกล้ (อยากได้คนดี)  อยากได้คนดีแต่ทำไมผีชอบวิ่งหาผี ในเมื่อท่านคิดว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนปรารถนาหรือแม้แต่ตัวท่านเองก็ยังปรารถนาความซื่อตรง ความเมตตา การรับผิดชอบต่อหน้าที่ สิ่งต่างๆ ที่เราพูดมานี้ เรียกว่า คุณธรรมของความเป็นคน ใช่หรือไม่ (ใช่)


วันนี้ท่านนั่งฟังธรรมมาค่อนวันแล้ว คงอดตั้งคำถามในใจไม่ได้ว่า “ทำไมต้องปฏิบัติธรรม ทำได้แค่นี้ก็ดีแล้ว แค่เอาตัวให้รอดก็ยากแล้ว
จะปฏิบัติธรรมไปทำไม” เราต้องการจะบอกท่านว่า การปฏิบัติธรรมคือคุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคนในการอยู่ร่วมกัน เราต้องการคนเมตตาไหม (ต้องการ)  เราต้องการคนดูถูกเหยียดหยามเราไหม (ไม่ต้องการ)
เราต้องการคนโกหกไหม (ไม่ต้องการ)  เราต้องการคนเจ้าเล่ห์เพทุบายไหม (ไม่ต้องการ)  แล้วคนที่ซื่อตรง มีเมตตา มีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คือคนที่ปฏิบัติธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วไยมนุษย์จึงไม่คิดปฏิบัติธรรม (เข้าไม่ถึง)  การรับผิดชอบต่อหน้าที่ทำยากไหม (ไม่ยาก)  มีเมตตาในจิตใจทำยากไหม (ไม่ยาก)  ซื่อตรงยากไหม (ไม่ยาก)  แล้วทำไมต้องเข้าถึง ก็แค่ทำเลย
ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อยู่ที่ว่าเราทำหรือไม่ทำ


ท่านเคยได้ยินคนโบราณพูดไหมว่า “วาจาที่สุภาพ การกระทำที่เมตตาปรานีเปรียบเหมือนดนตรีที่สร้างสันติสุขให้กับผู้คน” ท่านชอบคนเอะอะมะเทิ่งไหม (ไม่ชอบ)  ชอบคนพูดหยาบกระด้างไหม (ไม่ชอบ)  ฉะนั้นการปฏิบัติหรือการพูดสิ่งที่ดีงามทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยสันติ ถูกไหม (ถูก)  และวาจาสุภาพนุ่มนวลเปรียบเหมือนดนตรีอันไพเราะ
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนถ้ารู้จักกล่าววาจาสุภาพเรียบร้อย ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส มีอัธยาศัยไมตรี เคารพให้เกียรติ ย่อมจะนำพาให้อยู่ร่วมกันได้อย่างร่มเย็น

ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องยากไหม (ไม่ยาก)  และผู้ใดที่หาญกล้าปฏิบัติธรรมและหยัดยืนในสิ่งที่ถูกต้อง ย่อมสามารถยังความสว่างให้กับโลกอันมืดมิดได้ จริงไหม (จริง)  แต่หลายคนก็มักจะกล่าวว่า ทำไมเราต้องทำดี ทำไมฉันต้องดีก่อน ถูกหรือไม่ (ถูก)  หรือว่าคนอื่นขี้เกียจ ฉันก็ (ขี้เกียจ)  แล้วจะทำดีทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าชีวิตคนเหมือนตะเกียง จะเอาตะเกียงมานำทางสว่าง หรือเอาไฟของตะเกียงนั้นมาจุดแผดเผาใจตัวเองแล้วจุดแผดเผาใจผู้อื่น (มานำทางสว่าง)  แล้วการโกหก เอาเปรียบ ฉ้อฉล ไม่มีความเมตตา ไม่มีความรับผิดชอบ นั่นคือการเอาไฟของตะเกียงมาเผาตัวเองและเผาผู้คน หรือเอาไฟตะเกียงมานำพาให้ตัวเองสว่าง (เผาตัวเอง)  เมื่อเปรียบชีวิตเหมือนตะเกียงและถ้าเราเลือกปฏิบัติดี รับผิดชอบ ซื่อตรง มีคุณธรรม นอกจากเอาตะเกียงมานำพาให้ชีวิตสว่างแล้ว ยังสามารถนำพาให้ผู้อื่นสว่างและเป็นสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วชีวิตนี้เราเอาตะเกียงแห่งชีวิตมาเผาหรือนำพาความสว่างให้ตน (นำพาให้สว่าง)  ถ้าเช่นนั้นคงไม่ต้องถามเราว่าทำไมต้องเป็นคนดี
ชีวิตนี้ท่านอยากมีสุขหรืออยากมีทุกข์ (อยากมีสุข)  ถ้าใครเขาร้อนมาเราร้อนกลับ ชีวิตจะพบแต่สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  เมื่อเขาด่ามาเราก็ด่ากลับ ชีวิตจะเป็นสุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  จริงๆ แล้วเราอยากได้สุขหรืออยากได้ทุกข์ (อยากได้สุข)  แต่การปฏิบัติของเราจะทำให้ชีวิตเรามีสุขหรือทุกข์ (มีสุข)  เราปฏิบัติต่อเขาเพื่อความสุขเพื่อความร่มเย็น หรือเพื่อทุกข์และเวรภัย

ฉะนั้นพอเข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องปฏิบัติธรรม (เข้าใจ)  แล้วการปฏิบัติธรรมยากหรือไม่ (ไม่ยาก)  แต่ยากอย่างเดียวตรงที่ รู้แล้วไม่ยอม (ทำ)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะใจของมนุษย์สามารถเอาความดีมาชนะใจที่ต่ำได้ เอาความดีชนะใจที่คิดร้ายได้ เมื่อท่านเห็นเรา ท่านคิดดีหรือคิดร้าย
(คิดดี)  สิ่งที่น่ากลัวก็คือคิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น คิดอย่างไรก็เห็นอย่างนั้น ถ้าเราไม่สามารถเอาคุณธรรมมาชำระใจได้ ใจมนุษย์ก็ง่ายที่จะคิดร้ายมากกว่าคิดดี เมื่อคิดอย่างไรก็เห็นอย่างนั้น เมื่อเห็นอย่างไรก็ทำเช่นนั้น เพราะกิเลสอารมณ์ล้วนมาจากความคิด ฉะนั้นจะยับยั้งได้อย่างไรถ้าไม่เคยปฏิบัติธรรม


แล้วเราจะเอาชนะได้อย่างไร ก็ต้องถามใจตัวเองว่าอยากมีชีวิตที่เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ อยากมีชีวิตที่สันติหรือมีแต่หาเรื่องหาราว อยากมีชีวิตที่สร้างบุญหรือสร้างบาป อยากมีชีวิตเพื่อสันติสุขหรือภัยอันตราย อนาคตเราไม่รู้ แต่สิ่งที่เรารู้ได้คือสิ่งที่เราทำออกมาจากปากและการกระทำของเรา
ถ้าวันนี้ทำไม่ดี ต่อไปก็จะพบเจอแต่สิ่งไม่ดีแน่ จริงหรือไม่ แต่ถ้าวันนี้ปฏิบัติได้ดี ในอนาคตจะดีไหมเล่า (ดี)  เช่นนั้นไยจึงไม่ประพฤติปฏิบัติอยู่ในครรลองคลองธรรม ท่านไม่เคยได้ยินหรือ เจอเรื่องราวอะไรนิดๆ หน่อยๆ
ก็มุทะลุใจร้อนวู่วาม เช่นนี้ย่อมพบอันตราย ทำอะไรก็ยากสำเร็จ แต่เมื่อเจอเรื่องราวอะไรใจเย็น มีธรรมเตือนใจ เชื่อไหมว่าไปอยู่ที่ไหนโชคก็จะหนุนนำหนุนเนื่อง


แต่ในปัจจุบันเราใจร้อนหรือใจเย็น เป็นผู้ที่ยอมหรือไม่ยอม อารมณ์มีค่าและสำคัญกว่าคุณธรรมความเป็นคนใช่ไหม (ไม่ใช่)  อารมณ์มีค่าเท่าคุณธรรมความเป็นคนถูกไหม (ไม่ถูก)  การรู้จักยอมและเรามีเมตตา
การรู้จักยอมแล้วทำให้เราจบเรื่องจบราว การรู้จักยอมแล้วทำให้เราสันติทำไมเราจึงไม่ยอมถูกไหม (ถูก)  กลัวผู้อื่นได้เปรียบใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)
กลัวเขาได้เปรียบกว่าตัวเอง กลัวเราโง่เขลาเบาปัญญาปล่อยให้เขาหลอกใช้ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนเราเป็นผู้แพ้แต่จริงๆ เราชนะ เหมือนเราอ่อนแต่จริงๆ เราเข้มแข็ง ชนะใครไม่รู้แต่เราชนะใจตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)
ดูเหมือนเราอ่อนให้กับผู้อื่นแต่เราเข้มแข็งในใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วมนุษย์ยอมได้หรือเปล่า ยอมได้ไหม


เหมือนเราถามท่านว่า วันนี้สิ่งที่เราพูดมาคือการประพฤติปฏิบัติดี ถูกไหม (ถูก)  ทำดีก็มีค่า แต่หลายคนทำดีมักเหมือนรู้สึกว่าไร้ค่า ทำดีไปคนไม่เห็น ทำทำไม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราถามหน่อย ทำชั่วทำไม่ดี มีสุขไหม (ไม่มี)  กินแรง เอาเปรียบ คดโกง มีสุขไหม (ไม่)  ซื่อตรง ถูกต้อง รับผิดชอบต่อหน้าที่ มีสุขไหม (มีสุข)  อย่างนั้นเหตุใดจึงบอกว่าทำดีไม่มีค่า อย่างน้อยเราทำดี ใจเราสงบ  แต่ถ้าเมื่อไรเราประพฤติผิดประพฤติชั่ว ใจเรา (ไม่สุข)  อย่างนั้นทำดีมีค่าไหม (มีค่า)  ทำดีมีค่าตรงไหน คนพูดได้ทำได้ เรียกว่าคนศักดิ์สิทธิ์ พูดได้แล้วรักษาคำพูดได้ แล้วทำได้ดั่งที่พูดเรียกว่าวาจาศักดิ์สิทธิ์ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเราทำสิ่งที่ถูกต้อง มีหรือจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ มีหรือจะไม่มีค่า ฉันใดก็ฉันนั้น พูดได้แล้วรักษาคำพูดได้
คนนั้นก็มีคุณค่าในความเป็นคน ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่พูดได้ ทำไม่ได้ไม่อาจเรียกว่าศักดิ์สิทธิ์และมีค่า จริงไหม (จริง)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม พูดได้แต่ไม่ยอมทำ ไม่ใช่ทำไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ถามว่าเขาเดือดร้อน
เราคิดจะเข้าไปช่วยไหม แค่คิดแต่ไม่ทำ พูดดีๆ ดีกว่าพูดไม่ดี พูดไหม (พูด)  ให้ทำดีทำไหม เดี๋ยวก่อน ฉะนั้นคุณค่าชีวิตจะมีได้อย่างไร ในเมื่อทุกอย่างยังไม่คิดลงมือจริงๆ จังๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)

วันนี้มาฟังธรรม มาแค่ฟังใช่ไหม (ไม่ใช่)  เรานึกว่ามาแค่ฟังแต่ยังไม่ปฏิบัติ เราถามท่านหน่อยว่าถ้าเกิดเป็นคน การมีเมตตาธรรมสักนิดหน่อยเป็นเรื่องยากไหม (ไม่ยาก)  อย่างนั้นทำดียากไหม (ไม่ยาก)  ทำไหม (ทำ)  ระหว่างยิ้มให้กับทำหน้าบึ้งให้ อันไหนยากกว่ากัน ระหว่างพูดดีๆ กับด่าทอใส่ อะไรยากกว่ากัน ด่าทอ ยากกว่า ใช่หรือไม่ ระหว่างมีเมตตาต่อกันกับใจคอคับแคบอะไรยากกว่ากัน การปฏิบัติธรรมยากหรือไม่ยาก ทำหรือไม่ทำ ทำตอนไหน ใครบึ้งเรายิ้มใครด่าเรายิ้ม ยากไหม

แล้วถ้าเจอคนไม่ดีทำอย่างไร เราให้ท่านฝึกคุณธรรมง่ายๆ เป็นรากฐานของคุณธรรมทั้งมวล และเป็นต้นของคุณธรรมทั้งมวลที่จะเกิดได้ ถ้าขาดคุณธรรมข้อนี้ท่านก็ไม่สามารถที่จะมีคุณธรรมอื่นๆ เกิดขึ้นได้ในจิตใจ นั่นคือคำว่า อดทน อดทนได้ก็เมตตาได้ อดทนไม่ได้ก็ไร้เมตตา
พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า ผู้ใดที่อยากฝึกความอดทน จะต้องฝึกใจ ๔ ชนิด อยากลองฝึกใจแบบนี้หรือไม่ ถ้าฝึกใจ ๔ ชนิดได้ ก็จะสามารถเป็นรากฐานของคุณธรรมทั้งมวลได้


๑. ใจที่เหมือนดิน โดนใครขุดโดนใครรื้อเรื่องไม่ดีขุดรากถอนโคน
เอามาว่าสาดเสียเทเสีย ใจก็ยังหนักแน่นไม่หวั่นไหว โดนเขาขุดว่าสิ่งที่ไม่ดีอย่างไรก็ยังหนักแน่นไม่กล่าวประทุษร้ายกลับไป ยังมีใจอนุเคราะห์เมตตาอยู่เนืองๆ นี่แหละเรียกว่าอดทนได้ดั่งใจดิน ขุดพ่อแม่มาว่า ขุดเรื่องเก่าๆ มาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก อดทนอย่างดินได้ไหม ยังไม่ทันขุดมาว่าแค่อ้าปากก็เถียงกลับแล้วใช่ไหม เมื่อเมตตาไม่ได้ อดทนก็ไม่มีวันได้เหมือนกัน เมื่ออดทนไม่ได้ เมตตาก็หามีได้ฉันนั้น


๒. ใจที่เหมือนฟ้า คือ ใครจะว่าอย่างสาดเสียเทเสียอย่างไร ใจฟ้าก็ไม่อาจถูกย้อมให้เปลี่ยนแปลงได้ มีใครย้อมฟ้าได้ไหม (ไม่ได้)  มีใครเปลี่ยนสีฟ้าได้ไหม (ไม่ได้)  แม้เมฆจะมาบดบังให้มืดครึ้มแต่สักวันฟ้าก็กลับมา
(ใสสว่าง)  แม้ใจเราจะถูกคนกล่าวหา ถูกคนเข้าใจผิด ถูกคนนินทาให้เราไม่ดีแต่เราก็ยังเป็นใจฟ้าที่ยังมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ใจฟ้าคือใจที่กว้างใหญ่สุดประมาณ อยากอดทนได้ต้องใจกว้าง อยากอดทนได้ต้องใจ
หนักแน่น ถ้าไม่หนักแน่น ไม่ใจกว้าง ก็อดทนไม่ได้จริงไหม (จริง)  เมื่อไรที่เราอดทนได้นั่นคือรากฐานของคุณธรรมและสามารถก่อเกิดบุญบารมีสั่งสมให้กับชีวิตได้เช่นกัน ใครต่อใครหลายคนบอกว่าเกิดมาไม่มีบุญ ถ้าอย่างนั้นก็หมั่นสร้างบุญด้วยการประกอบคุณงามความดีจริงไหม (จริง)


๓. ใจที่เย็นเหมือนน้ำ หากอยากอดทนได้ ต้องมีใจที่เย็นแบบน้ำ
น้ำนั้นต่อให้ใครเอาไฟมาจุดก็ไม่มีวัน (ติด)  ติดไหม (ไม่ติด)  เราใจเย็นเช่นน้ำไหม ไม่มีใครทำได้เลยหรือ ทำได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นอยากอดทนได้ต้องหนักแน่นไหม (หนักแน่น)  ใจกว้างไหม (กว้าง)  ใจเย็นไหม (เย็น)


๔. ใจที่เหมือนถุงหนังที่ถูกฟอกจนนิ่ม ถ้าอยากอดทนให้ได้ ท่านพูดว่าร่างกายนี้เหมือนถุงหนัง ถ้าเราตีถุงหนังก็จะเสียงดังใช่ไหม (ใช่)  แต่ถุงหนังที่ฟอกจนนุ่มแล้ว ฟอกจนสะอาดนุ่มที่สุดแล้วตีอย่างไรก็จะไม่ดัง ไม่ใช่ไม่เจ็บ ถ้าไม่เจ็บก็อัมพฤกษ์อัมพาตแล้วนะ เจ็บได้แต่เราไม่เคืองโกรธ  มีคำพูดคำหนึ่งที่เราอยากจะบอกไว้ สังขารเป็นของโลก จิตเป็นของฟ้า
แต่ความคิดเป็นของคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเอาสังขารไปไม่ได้แต่เราเปลี่ยนความคิดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามนุษย์ประพฤติปฏิบัติให้ตัวเองมีใจที่อดทนเช่นธรรมชาติสี่อย่างนี้ได้ มีหรือที่เราจะเกิดเป็นคนดีที่มุ่งมั่นปฏิบัติไม่ได้ใช่ไหม


เราถามท่านว่ามนุษย์อยากมีทุกข์หรืออยากมีสุข (อยากสุข)  อยากมีเวรภัยหรือไร้เวรภัย (ไร้เวรภัย)  แล้วรู้ไหมว่าการปฏิบัติตัวเอง เอาแต่ใจตัว
เอาแต่กิเลสอารมณ์ จะหนีไม่พ้นเวรภัย แต่การปฏิบัติตัวด้วยการประพฤติปฏิบัติมีคุณธรรมแห่งความเป็นคนจะทำให้ชำระล้างจิตให้ผ่องใสและเป็นสุข คนจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่การกระทำใช่หรือไม่ (ใช่)  โชคลาภวาสนาอยู่ที่การประพฤติปฏิบัติตน ถ้าทุกวันเอาแต่ตามกิเลสตามอารมณ์ ก็หนีไม่พ้นบาปเวรกรรมและเคราะห์ภัย แต่ถ้าทุกวันปฏิบัติต่อคุณธรรม เมตตาธรรม
สัตยธรรม รับผิดชอบ ซื่อตรง มีหรือจิตใจจะไม่ผ่องใสและเป็นสุข ใช่ไหม


ยังมีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “แม้น้ำมนต์จากพระเก้าวัด ก็ล้างคนให้บริสุทธิ์สะอาดไม่ได้” อยากบริสุทธิ์ พ้นจากกรรมชั่วได้ ก็ต่อเมื่อประพฤติปฏิบัติดี อยู่ในศีลในธรรม ไม่เบียดเบียน ไม่โกหก ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิด มีศรัทธาต่อความดีงาม ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว คนเช่นนี้ดื่มน้ำอะไรน้ำนั้น
ก็ศักดิ์สิทธิ์ ปฏิบัติได้เช่นนี้ทุกวันก็เป็นมงคล ไยต้องไปหาน้ำมนต์มาล้างใจ สู้ห้ามใจตัวเองดีกว่า จริงหรือไม่ (จริง)

(ผู้ดำเนินรายการพูดถึงการยอมให้ผู้อื่น “หากมีคนตบหน้าเราข้างหนึ่ง ให้ยื่นหน้าอีกข้างให้เขาตบด้วย”)

เราไม่ได้สอนให้ยื่นให้เขาไปตบอีกนะ เพราะทำอย่างนั้นกลายเป็นยิ่งยุยงให้เขาสร้างกรรมเพิ่มใช่ไหม (ใช่)  มิสู้นิ่งๆ แล้วยอมรับความจริง
ใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่มนุษย์ได้เจอกันทุกคนล้วนมีบุญกรรมสัมพันธ์กัน  ฉะนั้นจะกรรมดีหรือว่าเป็นกรรมชั่วก็อยู่ที่เราสร้างมา มนุษย์ทุกคนไม่อยากได้กรรมแต่อยากได้บุญวาสนา ฉะนั้นอดีตเราเปลี่ยนไม่ได้ แต่เราทำปัจจุบันและอนาคตให้ดีได้ อยู่ที่เราเลือกประพฤติปฏิบัติสิ่งใด ใช่หรือไม่ (ใช่)

วันนี้เรามาผูกบุญกับท่านเพียงสั้นๆ แค่นี้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ดีหรือไม่ (ดี)  ยังเหลืออีกหนึ่งวัน หรือสองวัน ชีวิตนี้เหลือหนึ่งวันเองหรือ เราไม่อาจหยั่งรู้ได้  ฉะนั้นทำวันนี้ให้ดีที่สุด ใช่ไหม (ใช่)  กับคนที่เราเจอตรงหน้า ใครคือคนที่ประเสริฐที่สุด คนที่เจอตรงหน้า และเวลาใดคือเวลาที่ดีที่สุด เวลาตรงนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าทุกวันทำตรงนี้ให้ดี และปฏิบัติต่อคนตรงหน้าให้ประเสริฐสุด ชีวิตนี้จะไม่เจอเรื่องดีๆ หรอกหรือ แล้ววันนี้ทำหรือยัง ปฏิบัติด้วยกันอย่างดีที่สุดหรือยัง หรือจำใจขอไปที ใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่าลืมนะผีเห็นผี ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเราเป็นผีเราเลยเห็นผี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราเป็นพุทธะเราก็เห็นใครเป็น (พุทธะ)  ถ้าเรามีสุขทุกคนก็ (มีสุข)  ถ้าเราประพฤติปฏิบัติดี คนที่อยู่รอบข้างสักวันก็ต้อง (ปฏิบัติดี)  ขอแค่เพียงเราอดทนให้ได้ เข้าใจคนให้กว้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมตตาให้กว้างพอ ใจเย็นให้หนักแน่นพอ เสียสละให้เต็มที่พอ เชื่อเถอะ ความดีแม้ตกผลช้า แต่เมื่อให้ผล มันน่าปลื้มใจ ความชั่วเมื่อให้ผล มีแต่เรื่องเศร้าเสียใจ แล้วไยไม่ทำดีจริงไหม (จริง)

วันอาทิตย์ที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๑     สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ยิ่งพูดก็ยิ่งจำไม่ยอมจบ                             ยิ่งคิดก็มีแต่ลบมองแง่ร้าย
ไม่ถือสายอมรับก็เบาสบาย                        เมื่อเข้าใจปลดปลงก็เช่นนั้นเอง
                   เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก น้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว              ถามศิษย์รักทุกคนฟังธรรมะรู้เรื่องหรือเปล่า

แค่ทำ ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ ถึงได้ในที่สุด ไม่ผิดจากนี้ไป ไม่ทำ หลักธรรมจะเป็นอะไรชัดเจน ก็ไม่มีความหมายใด
สิ่งใดรู้แล้วไม่เดินหน้าไปต่อ แค่เห็นธรรมไม่เห็นทำ อยู่กับความคิด อยู่กับภาระ ไม่เป็นไปตามต้องการ ต้องเหนื่อยกับเรื่องนี้ ต้องเหนื่อยกับเรื่องนั้น อยู่ไปแค่วันวัน ขว้างงูไม่พ้นคอ
หลายคนไม่ขยันได้แค่รู้ เพราะว่าความขี้เกียจ พลาดอย่างน่าเสียดาย ทั้งวันไม่ทำอะไรเป็นการทบทวน โทษฟ้าโทษฝนทุกที

ทำนองเพลง: ไม่แข่งยิ่งแพ้
ชื่อเพลง: แค่ทำไยไม่ทำ

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
รักษาจิตหนึ่งใจเดียวให้มั่นคง อันนี้เป็นเรื่องยาก ใช่หรือไม่ แต่ถ้าทำได้ในทุกขณะเราจะมุ่งมั่นบำเพ็ญได้ถึงเป้าหมาย แต่ถ้าจิตแตกเป็นสองแตกเป็นสาม เอาไม่เอา ไม่ชอบคนนั้น มีเรื่องคนนี้ เราก็ไม่สามารถไปถึงเป้าหมาย แต่เรารักษาจิตหนึ่งได้ตลอดเวลาหรือเปล่า เดี๋ยวคิดนั่นเดี๋ยวคิดนี่ อยากมีนั่นอยากมีนี่ เป้าหมายในการบำเพ็ญก็เลยสั่นคลอน ใช่หรือไม่
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนในชั้น)
วันนี้มานั่งฟังธรรมหรือมานั่งหลับ (นั่งฟังธรรม)  ไม่เห็นคุยเลยว่าฟังธรรมแล้วดี คุยแต่ว่าหลับไปกี่นาที มาฟังธรรมเพื่อหลับหรือมาฟังธรรมเพื่อตื่น (เพื่อตื่น)  อยากคุยกับเราไหม ไม่ฝืนใจนะ บางครั้งต้องรู้จักฝืนใจตนเองบ้าง ตามใจตนเองมาทั้งชีวิตแล้ว แค่ฝืนบ้างจะเป็นอะไรไป บางเรื่องราวในโลก หากเราพบสิ่งใดที่ไม่ใช่อย่างที่เราคิด หรือไม่ใช่อย่างที่เราหวัง ถ้าเราคิดมากเกินไปก็มีแต่ทุกข์ใจ มัวแต่มุ่งจับผิด ก็มองเห็นแต่ด้านร้ายของเขา อยู่ร่วมกันก็ไม่เป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราคิดว่า ช่างเถอะอย่าถือเลย ช่างเถอะเขาก็เป็นอย่างนั้น เป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง เรื่องก็จบ มองอะไรก็ราบรื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่โดยส่วนใหญ่เราถือสาไหม (ถือ)  แล้วหนักไหม (หนัก)  แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  รู้ว่าถือแล้วก็หนัก แล้วก็ทุกข์แต่ก็ยังถือ ทำไมไม่เปลี่ยนการถือให้เป็นการวางบ้าง เหมือนที่เรารู้ว่า ในโลกนี้มนุษย์ทุกคนก็ปรารถนาที่จะมีความสุขมากกว่ามีความทุกข์ แต่โดยส่วนใหญ่ เราสุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  สุขจะน้อยกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้อาจารย์ก็ขอเริ่มต้นคุยเรื่องง่ายๆ ก่อน ถามว่า รังเกียจความจนไหม (ไม่)  รังเกียจความไม่งามไหม (ไม่)  ศิษย์รู้ไหมว่า ศิษย์มีอาจารย์รูปไม่งาม และไม่รวย ดังนั้นอย่าคิดว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์จี้กงแล้วจะรวยแล้วจะงาม นั้นไม่ใช่นะ  แล้วถ้าเป็นศิษย์ของพระอาจารย์จี้กงแล้วไม่รวย และไม่งาม ศิษย์เป็นทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เกิดเป็นคนจน คนไม่สวยอายไหม (ไม่อาย)  จริงหรือ (จริง) เกิดเป็นคนหน้าตาไม่ดี ไม่สวยแล้วมีความสุขได้ไหม (ได้)  เกิดเป็นคนจนแล้วมีความสุขได้ไหม (ได้)
อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า คนที่บอกว่าไม่ทุกข์กับความไม่สวย แล้วจะแต่งหน้าทำไม แล้วจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ทำไม ใช่ไหม (ใช่)  แล้วไม่หล่อและไม่อาย แต่ทำไมมองกระจกทุกวันก่อนที่จะออกจากบ้าน เมื่อถูกว่า ว่าขี้เหร่ อย่างนี้รับได้ไหม (ได้)  ได้จริงหรือ ฉะนั้นอยากจะบอกกับศิษย์ว่า ในโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดน่าอาย แต่ถ้าต้องหนีความจน แล้วไปทำผิดศีลผิดธรรม ถ้าต้องหนีความไม่สวยไม่หล่อ แล้วต้องไปผิดศีลขาดธรรม อย่างนี้ก็น่าอายนะ
ถ้าโดนเขาว่า ว่าจนไม่มีเงิน ไม่หล่อแล้วต้องไปมีเรื่องมีราวกับใครเพราะรับไม่ได้ที่โดนว่าอย่างนี้น่าอาย  อาจารย์ก็จน อาจารย์ก็อัปลักษณ์ไม่เห็นเป็นไรเลย แค่รู้ตัวว่าชีวิตเราเป็นคนที่ทำแล้วมีชีวิตถูกต้องมีศีลไม่ขาดธรรม อายอะไร ดีกว่าสวยแล้วผิดคุณธรรม ดีกว่าหล่อแล้วขาดธรรม ดีกว่าเพื่อความรวยแล้วกลายเป็นคนโป้ปดมดเท็จหลอกลวงผู้อื่นอย่างนี้น่าอายกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคำพูดคำหนึ่งที่มนุษย์ชอบพูดบอกว่า “ความจนไม่น่ากลัว แต่จนความขยัน จนปัญญาในการค้นคว้าหาตัวเองในการขยันเรียนรู้นี่สิน่ากลัวกว่า” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความจนไม่น่ากลัว ความไม่สวยก็ไม่ใช่น่ากลัว แต่ใจที่ไม่สู้กับความไม่สวย ใจที่ไม่ยอมรับกับความจนนี่สิ น่ากลัวกว่า จริงไหม (จริง)
ทุกคนในโลกนี้มีปัญหาทุกคนไหม (มี)  มีใครไหมไม่มีปัญหา (ไม่มี)  ทุกคนมีปัญหาหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  มัวแต่แก้ปัญหาแต่ทำไมไม่คิดที่จะหยุดสร้างปัญหาบ้าง เหมือนถามว่าทุกคนกลัวทุกข์ไหม (ไม่กลัว)  อยากมีทุกข์ไหม ก็ไม่อยากมี แต่หยุดสร้างทุกข์ไหม ไม่หยุด แล้วจริงๆ กลัวทุกข์ไหม (กลัว)  อย่างนั้นถ้าเวลาเราเจอปัญหา ศิษย์เคยได้ยินไหม คนที่เขาไม่ยอมแพ้ต่อชีวิต เมื่อเวลาเขาเจอสิ่งที่แย่ที่สุด คนที่ไม่ยอมแพ้ต่อชีวิต คนที่มีปัญญาจะพยายามเอาชนะให้ได้ เขาจะแปรสิ่งที่น่าเกลียดที่สุดให้กลายเป็นสิ่งที่มีค่า และกลับมาสวยงามได้ ถูกไหม (ถูก)
สมมติว่าดอกไม้ ใบไม้ ต้นไม้ ถ้ารู้จักจัด มันก็สวย แต่ถ้าไม่จัดมันก็สวยไปอีกแบบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเราก็เหมือนกันถ้ามนุษย์ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต รู้จักขยัน รู้จักพากเพียร สิ่งที่ไม่ดีเราจะแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ดีได้ไหม (ได้)  มันอยู่ที่ใจ ถูกไหม (ถูก)  เราเปลี่ยนโลก เราเปลี่ยนชะตาชีวิตข้างหน้าไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องจำไว้ศิษย์เปลี่ยนได้ คืออะไรรู้ไหม เราเปลี่ยนใจตัวเองได้ว่า เมื่อเราเจอปัญหา เราจะยอมแพ้กับปัญหา หรือสู้จนถึงที่สุด (สู้จนถึงที่สุด)  ถูกไหม (ถูก)  เมื่อเราเจอทุกข์ เราจะทุกข์มาก ทุกข์น้อยหรือไม่ทุกข์ (ไม่ทุกข์)  ทำไมตอนนี้ตอบอาจารย์ได้ ฉะนั้นปัญหาไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือใจศิษย์สู้ไม่สู้เมื่อเจอปัญหา แล้วสู้แบบไหน สู้แบบคนจมกับทุกข์ หรือไม่มีวันจะทุกข์กับมันอีก
อายุปาเข้าไปค่อนชีวิตแล้วนะ ทำไมยังทุกข์กับเรื่องเดิมๆ ทำไมยังเจ็บกับเรื่องเดิมๆ ทำไมยังโง่และผิดกับเรื่องเดิมๆ ทำไมไม่เอาเรื่องเดิมมาทำให้ชีวิตฉลาดขึ้น ทำไมไม่เอาเรื่องเดิมมาทำให้พ้นทุกข์ ยังกลับไปเวียนทุกข์อีกถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นทุกข์ไม่ได้น่ากลัว แล้วใจเราจะสู้ทุกข์หรือไม่สู้ทุกข์ (สู้ทุกข์ ไม่สู้ทุกข์)  จะทุกข์มากหรือไม่ทุกข์ (ไม่ทุกข์)  จะทุกข์เหมือนเดิมหรือพ้นทุกข์ต่อไป (พ้นทุกข์ต่อไป)  ตอบอาจารย์ได้แต่เมื่อถึงเวลา (ทำไม่ได้)
บางครั้งเราต้องรู้จักส่งบุญต่อ ดีกว่าเก็บไว้เพื่อตนเอง บางทีการพูดภาษาเดียวกันแต่บางคนคิดไม่เหมือนกัน ฉะนั้นอย่าไปเคืองโกรธเลย ถ้าเราพูดอย่างหนึ่งแล้วเขาไปอีกอย่างหนึ่ง ในโลกใบนี้มันมีหลายเรื่องราวที่ทำให้เราทุกข์ และมีหลายปัญหาที่ทำให้เราไม่สบายใจ และบางครั้งปัญหานั้นหรือความทุกข์นั้นเกิดจากการสูญเสีย ศิษย์ทำใจได้ไหม มันทำใจยากนะใช่หรือไม่ เมื่อเจอปัญหาเจอเรื่องราวทุกข์มากหรือไม่ทุกข์ เรื่องราวมันทำให้เราทุกข์แล้ว และเราจะซ้ำเติมใจให้ทุกข์อีกไหม หามาแทบตายโดนเขาเอาไปหมดทุกข์ไหม ปลูกมาแทบแย่นึกว่าจะได้เก็บเกี่ยวผล มาถูกขโมยไปหมดทุกข์ไหม (ทุกข์)  อาจารย์จึงบอกศิษย์ตั้งแต่ต้น ความจนไม่น่ากลัว แต่ความจนใจจนปัญญาที่จะสู้ต่อน่ากลัวกว่า จริงไหม (จริง)  ยังมีแรงมีกำลังก็ลุกสู้ใหม่ ถือว่าฟาดเคราะห์ไป
ศิษย์เอ๋ย ถามจริงๆ ของในโลกนี้เราหามาแล้วใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  สมมติว่าอาจารย์หาเงินก้อนนี้ได้ เป็นของอาจารย์ไหม อาจารย์หามาแทบตายเลยนี่คือเงินของอาจารย์ใช่ไหม มันเหมือนเป็นของอาจารย์แต่ถึงที่สุดใช่ของอาจารย์ไหม (ไม่ใช่)  เหมือนเวลาอาจารย์ได้พัดมาใบหนึ่ง ตอนนี้อาจารย์ครอบครองมันได้แต่ถึงที่สุดแล้วมันเป็นของอาจารย์จริงๆ ไหม (ไม่ใช่)  ทำไมล่ะ ก็อาจารย์ซื้อมาก็ต้องของอาจารย์สิ ทำไมบอกไม่ใช่ของอาจารย์ล่ะ เสื้อผ้านี่ก็ของอาจารย์ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ทำไมล่ะ (อาจารย์ไม่ได้เป็นคนทำ)  แต่มันอยู่บนตัวอาจารย์ก็ต้องเป็นของอาจารย์สิ อยู่ในมืออาจารย์ก็ของอาจารย์สิ
อาจารย์ถามหน่อยนะศิษย์ ทำไมอาจารย์บอกว่าสิ่งที่ศิษย์บอกว่ามันเป็นของศิษย์ ศิษย์หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง จริงๆ แล้วมันใช่ของศิษย์ไหม ก่อนที่จะมาเป็นของศิษย์มันเป็นของใคร แล้วมันจะอยู่กับอาจารย์ตลอดไหม (ไม่อยู่)  ถึงเวลามันก็ต้อง (ไป)  ไม่มันไปเราก็ไป ฉะนั้นเราไปก่อนหรือมันไปก่อนดี ให้มันไปก่อนเรา หรือเราไปก่อนมันดี (ให้มันไปก่อน)  ให้มันไปก่อนดีใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้น เวลาเขาเอาไปแล้วทำไมเราเสียใจล่ะ ดีแล้วมันไปก่อน ดีกว่าเราไปก่อนแล้วไม่ได้ใช้มัน จริงไหม (จริง)  ศิษย์เอ๋ย ในโลกนี้ความจนไม่น่ากลัว แต่จนปัญญาจนใจที่จะสู้ต่อนั่นแหละน่ากลัวกว่า การสูญเสียไม่ได้น่ากลัว แต่การรับไม่ได้ที่ชีวิตนี้ต้องสูญเสียน่ากลัวกว่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  ความน่าเกลียดความไม่สวยก็มิใช่น่ากลัว แต่ใจที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองไม่สวยนั้นน่ากลัวกว่า ไม่สวยแล้วเป็นอย่างไรล่ะ ฉันไม่สวยก็ดีออก เพราะฉันไม่สวยแกเลยสวยมาก ถูกไหม (ถูก)  ดำแล้วเป็นอย่างไรล่ะ ดีกว่าขาว ดำดีสีไม่ตก ขาวสกปรกคบไม่ได้
ฉะนั้นถ้าเรารู้คุณค่าในสิ่งที่ตัวเราเองเป็น จะได้มาจะเสียไปไม่ใช่ความทุกข์ ขอเพียงเราไม่จนใจจนปัญญา และลุกขึ้นสู้ใหม่ เราเกิดมาตัวเปล่า มาแบบมีสามี มีลูก มีทรัพย์สิน มีบ้าน มีที่ดิน มีรถไหม มันมาทีหลังใช่ไหม แล้วถึงเวลาตอนนี้เรากลับไปสู่ความไม่มีเหมือนเดิมดีไหมล่ะ มันต้องดี เพราะวันใดวันหนึ่งศิษย์ต้องเจอ เพราะตายไปแล้วศิษย์เอาไปได้ไหม แล้ววันนี้ขอบใจที่ทำให้ฉันรู้จักวาง ขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้จักสู้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง แล้วของบนโลกใบนี้มันเป็นของที่มาจากธรรมชาติแล้วทุกสิ่งก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติ ฉะนั้นเราคือคนที่ไปขโมยธรรมชาติมา ถ้าธรรมชาติจะเอาคืนเราโกรธไหม โมโหไหม เขาเอาของเราไปโกรธไหม เขาก็ธรรมชาติใช่หรือไม่ มนุษย์มักจะขี้ตู่ โลกนี้เป็นโลกของธรรมชาติ ไม่มีใครเป็นเจ้าของได้อย่างแท้จริง สมบัติผลัดกันชม ทรัพย์สินเปลี่ยนมือเจ้าของไปกี่เจ้าแล้ว แล้วชีวิตเราไม่ผลัดเปลี่ยนหรือ เราเปลี่ยนมากี่ร่างแล้วรู้ไหม แล้วเราอยากจะจบแค่ร่างนี้ หรือเปลี่ยนไปไม่จบสิ้น ถ้าเรารู้ว่าสมบัติผลัดกันชม ชีวิตมันเปลี่ยนแปลงไม่จบสิ้น เราควรจะไปตู่เอาธรรมชาติมาเป็นของเราหรือไม่ สังขารก็ของธรรมชาติ ทรัพย์สินก็ของธรรมชาติ แล้วอะไรเป็นของเรา (ไม่มี)  แปลว่าเราคิดไปเอง ฉะนั้นมองให้ดี ถ้าศิษย์เข้าใจก็จะรู้ว่าโลกใบนี้จริงๆ ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือใจที่ไม่สู้ และไม่ยอมรับความจริง
ถ้าอาจารย์ถามว่าการศึกษาธรรม เราศึกษาธรรมเพื่อนำพาให้เราพ้นทุกข์ เพื่อหาทางค้นพบความสงบให้กับชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่โดยส่วนใหญ่คนเรามักจะมองว่า ธรรมะหรือการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของคนบวชชีบวชพระ หรือเป็นคนที่เคร่งครัดปฏิบัติ แต่เราลืมมองไปว่าจริงๆ แล้วถ้าพูดถึงธรรม ธรรมควรจะเป็นสิ่งที่ทุกคนก็ปฏิบัติได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และทุกคนก็ควรจะนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ด้วยธรรมะ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเราจะศึกษาธรรมแล้วธรรมที่เราศึกษานั้นเป็นธรรมที่ควรจะอยู่แต่ในหนังสือ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  อยู่แต่ที่พระเป็นคนพูด ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แต่ควรจะเป็นธรรมที่ในทุกๆ ที่ก็มีธรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วเราจะค้นพบธรรมได้อย่างไร
(ใช้สติและปัญญา, ตัวของเรา, ด้วยจิตที่ศรัทธาเชื่อมั่นในความถูกต้องและดีงาม)
แปลว่าธรรมะไม่ได้ค้นที่ภายนอก แต่ธรรมะสามารถพบได้ที่ภายใน ฉะนั้นถ้าอยากพบธรรม ควรย้อนมองส่องตนแต่ส่วนใหญ่เราพบธรรมในตัวเองไหม (ไม่)  พอเราย้อนมองเข้ามาในตัวเอง เราเคยเห็นธรรมในตัวเองไหม (เคย)  เห็นธรรมหรือเห็นกิเลส เห็นอะไร เห็นกิเลสมากกว่าเห็นธรรม ถูกไหม (ถูก)  ตื่นขึ้นมาก็เห็นกิเลสแล้วว่าอยากกินอะไร อยากไปเที่ยวไหน อยากได้อะไร ฉะนั้นเราจึงไม่เห็นธรรมในตัวของเราเองเลย แต่รู้ไหมว่า นั่นก็เป็นธรรมชนิดหนึ่งแต่เป็นธรรมที่ให้ผลเป็นบาปเป็นทุกข์ และวิบากกรรม
ทุกชีวิตของเราที่เกิดขึ้นมา คือ การวิ่งไปตามกิเลส วิ่งไปตามความอยาก แล้วเมื่อไรที่ยึดความอยาก ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ต้องรองรับ เหมือนตอนนี้เราอยากกินข้าว ดูที่โต๊ะแล้วไม่มีข้าว อย่างนี้หงุดหงิดไหม (หงุดหงิด)  แล้วเมื่อหงุดหงิดแล้ว เจอแม่บ่นไหม (บ่น)  เกิดกรรมดี หรือกรรมชั่ว (กรรมชั่ว)  แล้วถ้าแม่ไม่อยู่แอบด่าพ่อแม่ไหม ด่าภรรยาไหม (ด่า)
ฉะนั้นชีวิตของเรา ธรรมะมีสองทาง ทางหนึ่งคือ การเวียนว่ายแห่งกรรม เวียนเกิด เวียนทุกข์ เวียนสุข เวียนดี ไม่จบสิ้น แต่มีธรรมอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อทำแล้วพ้นทุกข์ พ้นเวียนว่าย พ้นกรรม ถ้าชีวิตเราเลือกได้ เราเลือกธรรมแบบไหน ระหว่างธรรมที่เวียนทุกข์เวียนสุข หรือธรรมที่พ้นทุกข์พ้นสุข (ธรรมที่พ้นทุกข์พ้นสุข)  แต่ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้เราเสียสละชีวิตมา เพื่อสนองตัณหาสนองความอยาก แล้วเราพ้นทุกข์ไหม (ไม่พ้น)  แปลว่าชีวิตที่ศิษย์มีมาทั้งหมด ทั้งชีวิต ศิษย์ยอมสละเพื่อธรรมที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่ไหม แปลว่ากิเลสตัณหาและสิ่งที่ศิษย์อยากได้มีค่ามากกว่าชีวิตใช่ไหม (ไม่ใช่)  ก็ทั้งชีวิตมีมาเพื่อสนองกิเลสตัณหา กิเลสตัณหามาก็วิ่งไปตามความอยาก แล้วก็ดีบ้าง ร้ายบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ตลอดชีวิตศิษย์สละชีวิตเพื่อสิ่งนี้มาตลอดถูกไหม (ถูก)  ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตคือกิเลสอารมณ์ที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ดังนั้น พิจารณาให้ดีว่าทุกวันที่เราทำอยู่นี้เพื่อสนองกิเลสจริงไหม (จริง)
พระพุทธะกล่าวไว้ว่าสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิตคือธรรม เมื่อไม่เคยพบธรรมเลยสิ่งที่เราได้คือกิเลส แล้วก็สุข ทุกข์ แล้วก็วนกลับมาที่กิเลส  แล้วก็สุข ทุกข์จริงไหม (จริง)  แปลว่าทั้งชีวิตศิษย์เสียสละชีวิตได้เพื่อกิเลสไม่ใช่เพื่อธรรมถูกไหม (ถูก)  แล้วคำว่าเพื่อธรรมเป็นอย่างไรละ
สิ่งใดที่ทำแล้วทำให้ศิษย์ต้องยึดแล้ววางไม่ได้ สุขไม่ได้ แล้วหนีไม่พ้นทุกข์ สิ่งนั้นเรียกว่ากรรม อะไรก็ตามที่ศิษย์ทำแล้วสามารถปล่อยได้ พ้นทุกข์ได้ วางได้ สิ่งนั้นเรียกว่าธรรม ถ้าอย่างนั้นตลอดชีวิตที่ศิษย์เดินมา เสียสละมา ยึดแล้ววางไม่ได้ แล้วทำให้เกิดทุกข์และสุขใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราอยากเกิดมาเพื่อเวียนว่ายใช้กรรมหรือหมดกรรม (หมดกรรม)  อยากเมื่อไรก็ต้องสร้างเวรให้ต้องไปยึดถืออยู่ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากศึกษาปฏิบัติธรรม ธรรมจึงสอนไว้ว่า จงอยู่อย่างที่สามารถมีแล้วไม่ยึด มีแล้วสามารถปล่อยวาง มีแล้วไม่ทุกข์ มีแล้วสามารถพ้นทุกข์ นั่นเรียกว่า หนทางธรรม แต่ถ้าเมื่อไรมีแล้วต้องยึด มีแล้วต้องหนีไม่พ้นวิบากกรรม มีแล้วต้องหนีไม่พ้นทุกข์สุข นั่นก็เรียกว่ามีแล้วสร้างเวรกรรม เมื่อเกิดมาก็เสวยสุขให้เต็มที่ ถึงเวลาตายแล้วก็ช่างมัน ใช่ไหม  มันไม่ได้จบง่ายๆ อย่างนั้นสิ ถ้ามนุษย์เรายังยึดถือก็หนีไม่พ้นการเวียนว่ายและวิบากกรรมที่เราต้องไปรับ ถูกไหม (ถูก)
ขึ้นชื่อว่ากิเลส ขึ้นชื่อว่าอารมณ์ ล้วนหนีไม่พ้นเป็นทางมาแห่งบาปและกรรมชั่ว แล้วร้ายที่สุดคือวัฏสงสารที่หนีไม่พ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนศิษย์ไปด่าเขา ไปตีเขา แล้วก็บอกว่า ช่างเขาไม่เกี่ยวอะไรกับเรา แต่ศิษย์รู้ไหมว่าคนที่เราไปด่าไปตีนั้น ถ้าเขาอยากจะจองเวรจองกรรมศิษย์ล่ะ กี่ภพกี่ชาติจะต้องแก้แค้น เอาไหมล่ะ (ไม่เอา)  อย่างนั้นเราควรมีกิเลสอารมณ์ไหม กิเลสอารมณ์มันมาจากไหน ศิษย์รู้ไหมว่ากิเลสอารมณ์มาจากความนึกคิดแห่งตัวตน คิดว่าแบบนี้ฉันชอบ คิดว่าแบบนี้ฉันเกลียด คิดว่าแบบนี้ฉันไม่ด่า คิดว่าแบบนี้ฉันต้องด่า ฉะนั้นถ้าเราหยุดความคิดไม่ได้ เราก็หยุดกิเลสและอารมณ์ไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่จะยับยั้งกิเลสอารมณ์ไม่ก่อเกิดเป็นทุกข์ บาป และวิบากกรรม คืออะไรที่ช่วยยับยั้งไม่ให้ความคิดนั้นเตลิดคือ (สติ)  ถูกต้อง ยิ่งคิดมันยิ่งไหลไปตามอารมณ์ สิ่งที่จะช่วยดึงความคิดได้คือสติ สติทำให้เรากลับมาสู่ความเป็นกลางและมองเห็นความจริง เวลาเจออะไรอย่าเอาแต่คิดเพราะความคิดมันง่ายที่จะไหลไปตามกิเลสและอารมณ์ แต่จงทำอะไรอย่างคนที่เข้าใจในธรรม หรือมองเข้าข้างในแล้วจะเห็นธรรม เมื่อไรที่เราสามารถมองเข้าข้างในเราจะเห็นธรรมอันลึกซึ้ง ธรรมอันเป็นความจริงที่พระพุทธะค้นหาและพบเจอ แต่เรามองเห็นแต่สิ่งที่เราอยากเห็น ถ้าเราอยากเห็นธรรมจงอย่าเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองคิด หรือสิ่งที่ตัวเองจำได้หมายรู้ แต่จงเห็นในสิ่งที่มากกว่าเห็น มากกว่ารู้ เพราะในโลกนี้ทุกเรื่องราวทุกลักษณะ มักมีลักษณะแท้ซ่อนอยู่ภายในเสมอ
ถ้าเราอยากจะเอาชนะกิเลส แล้วเห็นโลกแบบคนเห็นธรรมแล้วดับทุกข์ได้ จงเห็นมากกว่าสิ่งที่เห็นคือเห็นภายใน
สมมติว่าแอปเปิลนี้ไปอยู่ที่มือใคร คนนั้นจะถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งเอาไหม (เอา) เห็นอะไรในแอปเปิล อยากเห็นอะไรก็เห็นอย่างนั้นใช่หรือไม่ สมมติใหม่ว่าถ้าใครได้แอปเปิลลูกนี้ไปนอกจากถูกลอตเตอรี่แล้วชีวิตจะสั้นลง เอาไหม (ไม่เอา)  ยังเห็นอะไรอีก เห็นแค่ตามที่อาจารย์ให้เห็นหรือเห็นมากกว่าที่ควรจะเห็น ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าใครได้แอปเปิลนี้ไปจะสุขที่สุดไม่มีวันทุกข์ เอาหรือไม่ (เอา)  ศิษย์เอ๋ย ชีวิตอยู่ที่ตัวศิษย์กำหนดหรืออยู่ที่อาจารย์เป็นคนพูด (ตัวเรากำหนด)  ชีวิตอยู่ที่แอปเปิลหรืออยู่ที่ตัวเราเอง (ตัวเราเอง)  เชื่อไหมว่าแค่อาจารย์พูดถึงแอปเปิลสามสี่แบบ อาจารย์ก็เห็นใจของศิษย์ว่าขึ้นๆ ลงๆ หาความเป็นตัวของตัวเองไม่ได้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เชื่อไหมว่า ยิ่งศิษย์เป็นแบบนั้น อาจารย์จึงเห็นความจริงแท้ที่อยู่ภายใน ทุกสิ่งทุกอย่างมีหลักแท้ที่ซ่อนอยู่ภายใน เมื่อยึดกุมหลักแท้ได้ศิษย์จะค้นพบธรรม และนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์หยุดสร้างเวรสร้างกรรมและจบเวรจบกรรมได้
เห็นอะไรที่จะทำให้เราพบธรรมและพ้นทุกข์ และเห็นอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ไม่จบสิ้น
เห็นธรรมอะไรในลูกแอปเปิลอีก (เห็นความดี)  แล้วเราจะส่งความดีต่อ หรือจะเก็บความดีไว้กับตนเอง (ส่งต่อให้ญาติ)  ทำให้ได้นะ (เห็นความเป็นจริงในตัวเราเอง)  เห็นความจริงอะไรในตัวเอง (ความอยากได้อยากมี)  อาจารย์คิดว่าเห็นความเป็นจริงในตัวเองที่โลเลไม่แน่นอน ใช่ไหม (ใช่) 
(ความไม่เที่ยงของสิ่งต่างๆ ที่เรามองเห็น)  เห็นความไม่เที่ยงในแอปเปิล เห็นความไม่เที่ยงในใจตัวเอง และเห็นความไม่เที่ยงของอาจารย์ ซึ่งเป็นลักษณะแท้ที่ซ่อนอยู่ในทุกลักษณะของชีวิต ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเรียกว่ารูปหรือนาม ผู้ใดที่ค้นพบลักษณะแท้นั้น นั่นเรียกว่าค้นพบแก่นหรือหลักของใจทั้งมวล แล้วเรียกแก่นและหลักอันนั้นว่า “หลักสัจธรรม” ใช่หรือไม่ (ใช่)
(เห็นความเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป)  ที่เรียกว่าความไม่เที่ยง ไม่เที่ยงในใจเราในทุกขณะ
(เห็นความว่างเปล่า)  ตอบได้ดีแต่ปฏิบัติได้ยากนะ แล้วก็ทำได้ยาก เพราะเห็นแล้วก็ยังเห็นอยู่ แต่อาจารย์จะบอกให้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ศิษย์เห็น มันเกิดขึ้นตั้งอยู่แค่ชั่วคราว ไม่มีอะไรถาวร จริงไหม (จริง)  เมื่อมีใครด่าว่าเรา ถึงเวลาเขาก็ไป ใช่ไหม (ใช่)  แต่เราไม่ยอมจบ ใช่หรือไม่ แต่ถ้าเรามองเห็นว่าถึงเวลาไม่มีอะไรตั้งอยู่ถาวร คนที่ดีกว่าเรา คนที่สวยกว่าเรา คนที่เก่งกว่า เขาก็เป็นสิ่งนั้นแค่ชั่วคราวถึงเวลาก็มีคนเหนือกว่าเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรามองจนถึงที่สุดแล้วมันก็ว่างเปล่า แล้วเราจะเอาอะไรกับความว่างเปล่า แล้วจะยึดอะไรในความว่างนั้น
(ความเห็นแก่ตัวและความมีเมตตา)  ในใจเราหรือในใจเขา (ทั้งใจเราและใจเขา)  ถ้าเอาแอปเปิลแล้วเรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัว เราก็ให้เขาดีกว่าใช่หรือไม่ ตอบได้ดีนะ ถ้าทุกขณะที่เราอยากสิ่งใดก็ตาม เห็นสิ่งใดก็ตามแต่เราไม่ได้เห็นแค่ความอยาก แต่เราสามารถเห็นแล้วทะลุทะลวง เห็นแล้วแจ่มแจ้งชัดทั้งใจตนและใจคน แล้วชั่งใจดูว่าเราจะไปตามกรรมหรือไปตามธรรม เราเห็นแล้วเราจะไปตามกิเลสหรือจะไปตามธรรม เห็นแล้วจะเห็นแก่ตัวหรือเมตตาให้เขาต่อ (ทั้งสองอย่าง) แปลว่าครึ่งหนึ่งจะเก็บไว้กินอีกครึ่งหนึ่งจะให้เขาใช่ไหม (การปล่อยวาง)  เห็นซึ่งการปล่อยวาง ยิ่งยึดมั่นถือมั่นก็มีแต่ทุกข์ใช่หรือไม่ ปล่อยก็แปลว่า (เบาสบาย)  ปล่อยแปลว่าไม่ถือ
ถ้าศิษย์สามารถเอาความไม่เที่ยงมาใช้กับทุกผู้ทุกคน เอาความไม่เที่ยงมาใช้กับทุกอย่าง ศิษย์จะเกิดความอยากไหม (ไม่อยาก)  ศิษย์จะหลงความสวยไหม (ไม่หลง)  ศิษย์จะเกลียดคนน่าเกลียดไหม (ไม่เกลียด)  ศิษย์จะมองเห็นทุกสิ่งเป็นอะไร เมื่อเราเห็นทุกสิ่งทุกอย่างว่าไม่มีอะไรเที่ยงตอนนี้สวยไม่นานก็ไม่สวย วันนี้ดีเดี๋ยวมันก็ร้ายได้ ใช่ไหม (ใช่)   เมื่อเราเห็นความไม่เที่ยงไปเรื่อยๆ เราจะมองเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา เมื่อธรรมดาเราก็จะไม่อยาก เมื่อธรรมดาเราก็จะไม่ยึด เมื่อธรรมดาเราก็จะไม่ผูกพัน จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นการศึกษาธรรมคือการมองภายใน ถ้าอยากเข้าถึงธรรมจงมองภายในแล้วถือภายในพินิจพิจารณาเป็นหลัก เมื่อเห็นเป็นหลักความอยากจะไม่เกิด ความโลภจะไม่มี ความเกลียดจะไม่เกิด ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นธรรม เมื่อเป็นธรรมก็เป็นกลาง เมื่อเป็นกลางก็หมดกรรม เมื่อหมดกรรมก็ไม่มีกิเลส เมื่อไม่มีกิเลสก็สิ้นทุกข์ แต่เราเคยเห็นบางสิ่งแล้วหมดกรรมหมดอยากไหม ยังเห็นแต่สวย หล่อ ไม่หล่อใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่า (พระอาจารย์เมตตาเรียกนักเรียนในชั้นคนสูงวัยหนึ่งคน วัยหนุ่มหนึ่งคนยืนคู่กัน)  ถ้าเรามองเห็นสิ่งที่เรียกว่าแก่นแท้ของทุกชีวิตคือความไม่เที่ยง ความทุกข์ความว่างเปล่า ไม่ว่าจะเป็นแบบหนุ่มหรือแบบสูงอายุก็จะไม่เอา เพราะแม้ตอนนี้หนุ่มต่อไปก็ต้องแก่ลง
ถ้าชีวิตนี้จะมีแต่ความหนุ่ม ไม่ต้องการความแก่ เเสดงว่าศิษย์ก็ตายทั้งยังหนุ่ม มนุษย์เราพอเห็นความแก่ก็ไม่ชอบใช่ไหม (ใช่)  ชอบแต่ความหนุ่มสาวใช่ไหม นั่นเพราะว่าเรามองเห็นแค่ภายนอกแล้วไม่เห็นภายในใช่ไหม (ใช่)  แต่เมื่อไรที่เราเข้าใจถึงภายในว่า มีแก่นแท้เดียวกันคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราจะเอาทั้งสองแบบไหม (ไม่)  แล้วเราจะยึดทั้งสองแบบไหม (ไม่ยึด)  เมื่อไม่ยึดแล้วจะมีอะไรที่เราอยากไหม (ไม่มี)  เมื่อไม่ยึดแล้วจะมีอะไรที่เราเกลียดไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นธรรมดา เมื่อเป็นธรรมดาเราก็พบธรรม ไม่ใช่พบกรรม ไม่ใช่พบกิเลส
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาวงพระโอวาท)
มีอะไรซ่อนอยู่ในกลอนนี้อีก เหมือนเวลาที่เรามองสิ่งใด อย่ามองเห็นแค่สิ่งที่เราอยากเห็น อย่ามองเห็นแค่กิเลส แค่ความอยาก แต่มองให้เห็นมากกว่ากิเลสและความอยากนั่นคือธรรม สภาวธรรมซ่อนอยู่ในทุกสิ่ง แต่มนุษย์นั้นอยู่เพื่อแสวงกิเลสหรืออยู่เพื่อค้นหาธรรม 
ในตัวเรานี้สิ่งใดที่เรียกว่าธรรมอันดีงาม และสิ่งใดที่เรียกว่ากิเลสอันน่ากลัวที่สุด ตอบได้ไหม
(จิตใจ ปัญญา ความคิด)  สิ่งที่ดีที่สุดคือคุณธรรมของความเป็นคนที่เราควรมี และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือเรายอมทิ้งธรรมเพื่อความอยาก ใช่ไหม 

(จิตใจทั้งดีและไม่ดี)  ฉะนั้นสิ่งที่ควรจะมายับยั้งจิตใจได้ดีที่สุด คือมโนธรรมสำนึกและสติ ถ้าทำอะไรไม่มีมโนธรรมสำนึก บาปเราก็ทำได้ แต่ถ้าทำอะไรมีมโนธรรมสำนึก มีสติ คุณธรรมก็ก่อเกิดได้ ฉะนั้น อย่าแค่
ตักบาตรเก่ง อย่าทำบุญเก่ง แต่ถึงเวลากลับปฏิบัติธรรมไม่เก่ง 

(จิตใจเรา ถ้าเราไม่มั่นคงเราก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้ตลอด)  ถ้าเราไม่ศรัทธาในความถูกต้องดีงาม จิตเราก็พร้อมจะหวั่นไหวและเปลี่ยนเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด ถูกไหม เชื่อมั่นในความดีตัวเองไหม เชื่อมั่นว่าตัวเองเป็นคนดีที่สุดได้ไหม (ได้)  ถ้าได้แล้วทำไมต้องกลัว กลัวแต่เพียงไม่เชื่อมั่น ใช่หรือไม่ ยังยึดติดทำดีต้องหวังผล ยังยึดติดทำดีต้องมีคนชม จำเป็นหรือ เรารู้ตัวเราเป็นอย่างไรก็พอแล้ว

สัจธรรมคือความเป็นจริงอันไม่เที่ยงแท้ ฉะนั้นความไม่เที่ยงแท้ที่เป็นสัจธรรมที่เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วความเป็นจริงนี้ดีหรือไม่ดี (ดี)  แล้วเมื่อสักครู่ ศิษย์ตอบว่า (ดีและไม่ดี ถ้าตัวเรานำไปปฏิบัติไม่ถูกต้อง) เช่น ถ้าเราเห็นว่าคนไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไป หลายใจ เอาแน่เอานอนไม่ได้ เป็นคนไม่ดี นั่นมิใช่เพราะว่าเขามีสัจธรรมที่ไม่ดี ศิษย์ต้องแยกให้ออกระหว่างความเป็นจริง กับนิสัยของคน เพราะมนุษย์มีความเป็นจริงคือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และว่างเปล่า และความเป็นจริงนี้ คือ ความเป็นจริงอันเป็นกลาง แต่สิ่งที่ทำให้เรามองไม่เห็นความเป็นกลาง เพราะใจที่เรายึดติด เราชอบความมั่นคง แต่คนไม่มั่นคง เราชอบคนซื่อตรง แต่คนมัก
คดโกง แต่การยึดติดความเป็นจริงอันนั้น อาจารย์ถามว่า จะเป็นไปได้ไหมที่เราจะเลือกให้ทุกคนเป็นดั่งที่ใจของเรา (ไม่ได้)  แล้วจะเป็นไปได้ไหมที่ทุกคนจะเป็นอย่างที่เราคิด (เป็นไปไม่ได้)  ฉะนั้นการยอมรับความจริงว่าทุกสิ่งนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์และว่างเปล่า นั้นจะทำให้เราพบธรรมและไม่โกรธเกลียดคน ดังนั้นศิษย์ต้องแยกให้ออก ระหว่างนิสัยกับความจริง ระหว่างสิ่งที่ยึดติดกับสิ่งที่เรียกว่าสภาวธรรม ถ้าศิษย์ยึดติดศิษย์จะไม่เห็นธรรม เพราะศิษย์จะมองเห็นเฉพาะสิ่งที่ศิษย์คิด ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากมองให้เห็นธรรมก็จงวางความคิดแล้วใช้สติ และมองให้เห็นความจริงมากกว่าสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเอง ในโลกนี้มีใครเป็นดั่งใจเรา มีใครดีที่สุด ถ้ายอมรับว่ามันเป็นเช่นนั้นเองมันก็แค่นั้น แต่ถ้าไม่ยอมรับแล้วโกรธเกลียด ผูกใจเจ็บ มันก็ก่อเกิดเป็นวิบากกรรม ฉะนั้นเราควรจะยอมรับและวาง ทำตัวเองให้ดีที่สุด ส่วนคนอื่นไม่ใช่หน้าที่เราที่ต้องแก้ไขเขา จริงไหม (จริง)  ทำให้ได้นะ รักษาความซื่อตรง เป็นเกียรติเป็นคุณแก่ชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)

(ความคิดคือสิ่งที่ดีและไม่ดี)  คิดดีก็ขึ้นสวรรค์ คิดไม่ดีก็ตกนรก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าพ้นจากความคิดก็คือความเป็นกลาง ศิษย์ก็พ้นทุกข์
ศิษย์เคยได้ยินไหม ธรรมะมีอีกสายหนึ่งเรียกว่า ทางสายกลาง ไม่ชั่วไม่ดีแต่เป็นกลาง และมีแต่สายกลางเท่านั้นที่จะพ้นทุกข์  ถ้าเรายังติดชั่วติดไม่ดีติดแบ่งแยก เราก็หนีไม่พ้นกรรมดีกรรมร้ายจริงหรือไม่ (ความศรัทธา)  คือสิ่งที่ดีที่สุดในตัวเรา (คือสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดี ความศรัทธาที่ดีก็จะนำทางเราได้ แต่ถ้าเราศรัทธาสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็จะทำให้เราตกต่ำลง)  
ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกต้องดีงามเป็นสิ่งที่ดีแต่บางครั้งเรามักศรัทธาในความคิดผิดของตัวเองนั่นแหละคือสิ่งที่น่ากลัว คิดว่าตัวเองได้แค่นี้ ทำได้แค่นี้ ดีแค่นี้ นั่นเป็นศรัทธาที่น่ากลัว เป็นความเชื่อที่น่ากลัวใช่หรือไม่  แล้วมนุษย์ในโลกนี้ก็มักจะคิดแบบนี้ ว่าตัวเองทำดีได้แค่นี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ซึ่งจริงๆ แล้วมันถูกไหม (ไม่ถูก)  เรายังทำได้มากกว่านี้ ฉะนั้นสิ่งที่ไม่ดีในตัวเราคือกิเลสตัณหาและความอยาก ความมีตัวตน และความคึกคะนอง ความดื้อดึง ความไม่ฟังใคร ความรักสนุกใช่ไหม (ใช่)  ไม่สนใจพ่อแม่ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่ดีในตัวเราคือจิตใต้สำนึกและความเกรงกลัวต่อบาป) ศิษย์ตอบได้ดีนะ ถ้าศิษย์มีมโนธรรมสำนึกและเกรงกลัวต่อบาปกรรม กรรมชั่วทั้งหลายในโลกนี้ศิษย์จะไม่กระทำเลยแต่กลัวอย่างเดียวคือ ดื้อ ใช่ไหม (ใช่)  ชีวิตนี้มีแค่หนึ่งนะไม่ได้มีเก้าชีวิตฉะนั้นอย่าประมาทนะศิษย์
ศิษย์เอย ศิษย์ที่มาฟังธรรมตามคำบอกของอาจารย์ ไม่รู้ว่าเขาให้มาฟังอะไร แต่อาจารย์บอกอย่างหนึ่งให้ศิษย์รู้ก็คือ เขาอยากให้ศิษย์อยู่ในโลกแล้วไม่มีทุกข์ อยู่ในโลกแล้วมีหลักในการดำเนินชีวิต เมื่อไรที่ศิษย์ต้องออกไปเจอความเป็นจริงของชีวิตที่ยากเกินรับ การรู้จักมีธรรมยับยั้งใจจะช่วยทำให้เรามีสติ เมื่อเจอเรื่องพลิกผัน แต่หลายต่อหลายคนที่มาแล้วก็ผ่านไปเพราะไม่เข้าใจ ไม่เห็นถึงจิตใจของเขาที่อยากช่วยศิษย์ เห็นแค่เพียงว่า “ถูกอาจารย์บังคับให้มา ไม่มาเดี๋ยวเกรดหนูไม่ขึ้น ไม่มาเดี๋ยวหนูไม่ได้คะแนนจิตพิสัยดี” อย่ามาเพราะอย่างนั้นเลยนะศิษย์ แต่มาเพราะเราเห็นความตั้งใจดีของผู้ที่ชวนมาเพราะเขาอยากให้เราเข้าใจธรรม และอยู่บนโลกนี้ไม่มีทุกข์ อาจารย์รู้ว่าช่วยคนมันเหนื่อย ช่วยคนมันยาก แต่ถ้าศิษย์ไม่หนักแน่ ศิษย์ไม่มั่นคง ศิษย์จะช่วยใครไม่ได้ ตัวเองก็ยังยืนไม่ไหว แม้แต่จะอ้าปากไปเรียกใครก็ยังพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะมันท้อ มันเหนื่อย มันล้า ช่วยกี่คนๆ ก็เหมือนเดิม ใช่ไหม แต่อาจารย์เข้าใจศิษย์นะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “น้ำค้างต้องลม”)
ศิษย์เข้าใจความหมายของพระโอวาทไหม “น้ำค้างต้องลม” ชีวิตคนเหมือนน้ำค้าง น้ำค้างตามปกติเมื่อหล่นร่วงลงดินก็หายไป แต่น้ำค้างนี้เจอลม ไม่มีโอกาสได้สัมผัสดิน มันก็แตกสลายและแห้งเหือดไป ความหมายคือ ชีวิตของคน ถ้าวันหนึ่งต้องเจอเรื่องที่ไม่คาดคิด ไม่คาดฝัน เมื่อถึงวันนั้น ศิษย์จะเหลืออะไร เหลือแต่บาป กรรม กิเลส หรือเหลือธรรม ถามใจตัวเอง ชีวิตนี้เกิดมาเพื่อสนองกิเลส หรือเกิดมาเพื่อค้นพบธรรม สละชีวิตเพื่อธรรม หรือสละชีวิตเพื่อสนองกิเลสเวรกรรม ถามใจตัวเองว่าเกิดมาแค่นี้ แล้วก็ได้แค่นี้จริงๆ หรือ เรามีค่ามากกว่านี้ไม่ได้หรือ ธรรมะเป็นเรื่องที่ยากเกินความเข้าใจหรือไม่ (ไม่)  อยู่ที่ศิษย์จะให้โอกาสกับตัวเองหรือไม่ ลองนำสิ่งที่อาจารย์พูดในวันนี้ไปศึกษาดูนะ หากมีโอกาสก็กลับมาบ้างนะ ได้ไหม (ได้)
วันนี้อาจารย์คงต้องกลับแล้ว อาจารย์มีความหวังสักเล็กน้อยก็ยังดี หวังให้ศิษย์เข้าถึงธรรม เพราะถ้าเมื่อไรศิษย์เข้าถึงธรรม ศิษย์จะไม่ทุกข์อะไรกับโลกใบนี้ และศิษย์จะมองเห็นความจริงว่า แม้แต่สังขารก็ไม่เที่ยง ยึดอะไรไม่ได้ เอาเป็นหลักพึ่งพิงอะไรก็ไม่ได้ แต่สิ่งที่จะทำได้ก็คือการประพฤติปฏิบัติดี นำพาให้เราพบความสุข ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วชีวิตนี้เราปฏิบัติดีแล้วหรือยัง เรามีศีลมีธรรมไหม เรารู้จักรับผิดชอบหน้าที่ไหม เราเป็นคนซื่อตรงจริงใจหรือไม่ เรามีเมตตาจิตไหม เรารู้จักถ้อยทีถ้อยอาศัยรู้จักอภัยผู้อื่นหรือเปล่า ก่อนจะเรียกร้องคนอื่น ถามใจของศิษย์เองว่า เราทำได้ดีที่สุดแล้วหรือยัง โลกใบนี้ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือใจที่ไม่ยอมรับความจริง และไม่พยายามทำให้ดีที่สุด ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าดีที่สุดแล้ว จะต้องกลัวอะไร ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนดีไม่กลัวถูกไฟหลอม คนดีจริงไม่กลัวความยากลำบาก คนดีจริงไม่กลัวคำต่อว่า คนดีจริงต้องมุ่งมั่นปฏิบัติให้ถึงที่สุดแม้จะต้องสูญเสียบ้างก็ตาม ใช่ไหม (ใช่)  เพราะชีวิต ที่จริงแล้วเราไม่เคยได้อะไรมาแล้วเราจะกำลังสูญเสียอะไรไป (ไม่มี)  เราเพียงแค่เกิดมาเพื่อยืมใช้ เมื่อถึงเวลาก็คืนเขาไป เราไม่เคยครอบครองอะไรได้สักอย่างหรอกนะศิษย์เอย ถ้าบอกว่าครอบครองได้ แล้วสังขารเคยฟังศิษย์ไหม (ไม่เคย)  ถ้าบอกว่าเป็นเจ้าของได้ แล้วลาภ ยศ เงิน ทอง เคยอยู่กับศิษย์ไหม (ไม่เคย)  แล้วเราเกิดมาเพื่ออะไร เพื่อสร้างความดีเพื่อค้นพบทางแห่งความพ้นทุกข์ นำพาชีวิตสู่ความสงบสุข แล้วสุขที่แท้อยู่ที่ไหน คือใจที่เข้าถึงสภาวธรรมอันเป็นกลาง ไม่มีโลภ ไม่มีหลง มีแต่ความเป็นอย่างนั้น ใจที่มองเป็นกลาง เพราะทุกสิ่งไม่ต่างกัน ต่างเพียงภายนอกแต่แก่นแท้เหมือนกันคือความไม่เที่ยง ฉะนั้นถ้ามองเห็นความเหมือนกันในความไม่เที่ยง อะไรจะทำให้เราโกรธ อะไรจะทำให้เราอยาก ก็ไม่มี แต่ศิษย์ต้องพิจารณาธรรมเนื่องๆ ถ้าปฏิบัติก็ยังไม่ปฏิบัติ มีธรรมก็ไม่เคยนำมาคิดไตร่ตรอง แล้วจะพบธรรมได้ที่ไหน แค่ฟังอย่างเดียวนั้นไม่ทำให้รู้หรอก ใช่หรือไม่ศิษย์
อาจารย์คงต้องไปแล้วนะ ลองศึกษาดู ทางธรรมคือทางสายกลาง อย่าทำเหมือนเดิมเลยศิษย์ เปลี่ยนแปลงตนเอง มุ่งมั่นอย่างจริงจัง อุทิศเสียสละ อย่ารู้แล้วทำตัวเหมือนเดิม น่าเสียดายนะ มุ่งมั่นให้ถึงที่สุดนะ ตั้งใจทำให้ดีนะ ขอให้เพลงที่อาจารย์ให้นี้เป็นเพลงที่ทำให้อาจารย์มองเห็นใจศิษย์ แต่ให้แล้วอาจารย์ก็ช้ำใจ เพราะเห็นศิษย์หลายคนแค่เห็นธรรม แต่ไม่เคยทำจริงๆ รู้แต่ปฏิบัติธรรมแต่ไม่เคยลงแรงที่ใจ ถ้าศิษย์ลงแรงที่ใจเข้าถึงธรรม มันจะไม่มีใครที่เรียกว่ามาทดสอบใจศิษย์หรอก มันมีแต่ใจศิษย์เองที่ทดสอบตัวเองใช่หรือไม่ ไม่มีใครร้ายหรอก มีแต่ใจศิษย์เองที่ไม่ยอมรับความจริง และไม่มีเรื่องอะไรที่แย่หรอกมีแต่ใจที่ไม่ยอมสู้ต่างหากจริงหรือไม่ ในโลกนี้มีใครแย่ มองไปมองมาเรานี่แหละแย่ที่สุด ยึดมั่นไม่ปล่อยวาง ถามจริงๆ ว่าใครที่นิสัยไม่ดี ถ้าว่าเขาไม่ดี เราก็ไม่ดี เราดีจริงๆ หรือยัง เราดีไม่จริงเลย แล้วจะไปว่าคนอื่นทำไม การปฏิบัติธรรมคือการลงแรงที่ใจ อย่าปฏิบัติแต่ภายนอก แต่ใจศิษย์ไม่เคยมองเห็นตัวเอง ไม่แก้ไขตัวเอง เห็นธรรมแต่ไม่เคยทำ รู้ธรรม รู้อยู่เต็มอกแต่ก็ยังเหมือนเดิม อาจารย์พูดย้ำแล้วย้ำอีก เมื่อไรศิษย์ลองลุกขึ้นมาแล้วมีชีวิตเพื่อเข้าถึงธรรม ลดละกิเลสลง เสียสละเพื่อผู้คน ทำตัวเองให้เป็นประโยชน์ต่อผู้คน ยากนักหรือ
ไม่ยากนะใช่ไหม (ใช่)  แต่การสนองกิเลสตัณหาแล้วทำให้เราหนีไม่พ้นวัฏสงสารน่ากลัวยิ่งกว่าอะไรในโลกจริงไหม (จริง)  แล้วทำไมไม่ยั้งใจตัวเอง แล้วทำไมไม่เอาธรรมมายั้งคิด แล้วทำไมไม่มีสติ ไม่มีมโนธรรมสำนึกในใจเลยหรือ ความดีจะชนะความชั่วได้ยังไงในเมื่อคนคนดียังไม่เคยดีจริงใช่ไหม (ใช่)

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “น้ำค้างต้องลม”
    วันเวลาล่วงเลยไปไม่ได้คิด                  เรื่องผิดก็คิดว่าไม่เป็นไร
กว่าจะรู้ตัวเริ่มสายเกินไป                        อยากจะให้เป็นเหมือนเดิมไม่มีทาง
ไม่สู้ทำวันนี้ให้ดีที่สุด                              ชีวิตคนแสนสั้นดุจน้ำค้าง
เพียงต้องลมหล่นไปไม่ถึงพื้นล่าง               จงระวังดั่งอยู่เรือนที่ไหม้ไฟ


พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาทงานประชุมธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา วันที่ 23-25 มีนาคม พ.ศ.2561
หน้า 14 เดิม “นำธรรมพบธรรม นำธรรมพบธรรม จิตหนึ่งเสมอ ตามธรรมะเดิน จิตเป็นสวรรค์”
แก้เป็น “ตามธรรมะเดิน ตามธรรมะเดิน จิตเป็นสวรรค์ ความวุ่นใจคลายลดลง”


อ่านต่อ...

วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560

2560-03-26 สถานธรรมฮุ่ยจื้อ จ.บุรีรัมย์



西元二〇一七年嵗次丁酉二月二十九日          仙佛慈悲訓
วันอาทิตย์ที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๐                สถานธรรมฮุ่ยจื้อ  จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  เป็นคนดีแต่นิสัยไม่น่ารัก               ก็ยากจักเป็นคนดีแท้จริงได้
ดูนิ่งนิ่งเรียบร้อยไม่มีอะไร                แต่อย่าเผลออารมณ์ใส่ไม่น่าดู
           เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยจื้อ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                    ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
  สติดีแต่ทำตัวไม่ค่อยดี                  อะไรดีไม่รู้รู้แต่ขี้เกียจหลาย
ขนาดยอมทำเป็นคนใช้ไม่ได้             เหมือนกรรมใกล้เกลือกินด่างเต็มประตู
ทุกทุกดีนั้นเมตตาเป็นแสงส่อง           เพียงแต่ต่างคนประคองคนร่วมหมู่
บำเพ็ญธรรมอย่างเดียวคนฟังไม่รู้        มักต่างอยู่เข้าตัวไม่เหลือใคร
อย่าไปมัวแต่ข้างใดดีนัก                  ย้อนมองตัวเองจะพบอะไรใหม่
งานยิ่งเร่งยิ่งรัดสุขอยู่ไหน                ตระหนักได้ไม่ทำมากจนเกินตัว
ที่ฟ้าตักเตือนหมายให้ได้ดี                ถึงต่อให้ทำดีจนท่วมหัว
ยังไม่เท่าเจ้ายอมละกรรมชั่ว             สำนึกเองตัวเตือนตัวนั่นแหละดี


  หลงเหตุผลก็ง่ายจะหลงผิด             ตามอารมณ์ก็เบือนบิดไปกันใหญ่
ไม่มักง่ายไม่เอาเปรียบไม่ตามใจ          อยู่ในศีลครองธรรมไว้นั่นแหละดี
หมั่นตรวจสอบความคิดคำพูดการกระทำ    หนึ่งจงจำมีเมตตาไม่กดขี่
สองถูกต้องชอบธรรมไม่ราวี              สามต้องมีเคารพให้เกียรติกัน
ถือซื่อตรงทำดีไม่โลภหลง                ความดีคงงดงามอยู่เช่นนั้น
รู้หน้าที่รับผิดชอบสร้างบุญทาน         เรื่องผิดศีลขาดธรรมไม่คิดมี
รู้ย้อนมองเมื่อผิดไม่โทษใคร              กล้าแก้ไขยอมรับไว้ไม่ราวี
อยู่บนทางสำนึกดีปฏิบัติดี                ให้สมที่เป็นผู้บำเพ็ญธรรม
ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
“เป็นคนดีแต่นิสัยไม่น่ารัก     ก็ยากจักเป็นคนดีแท้จริงได้
ดูนิ่งนิ่งเรียบร้อยไม่มีอะไร    แต่อย่าเผลออารมณ์ใส่ไม่น่าดู”
เป็นอย่างนั้นไหม เป็นคนดีแต่นิสัยไม่น่ารัก เราเป็นคนดีไหม ก็ดีนะ แต่อย่ามีนิสัยมีอารมณ์เข้ามาเด็ดขาด คนดีก็พร้อมจะเปลี่ยนแปลงและกลับกลายใช่หรือไม่ ตอนนี้ที่ไม่มีอารมณ์อะไรเข้ามา ทุกคนก็ดูดีหมดเลยจริงไหม (จริง)  แต่พอมีอารมณ์โกรธใส่เข้ามา เป็นอย่างไร หน้ามือเป็นหลังมือเลยใช่หรือเปล่า ที่ดูพูดเรียบร้อยๆ ก็เปลี่ยนไปเลยใช่หรือไม่
เวลาเราศึกษาหลักธรรม จงมองที่หลักธรรมอย่ามองที่ตัวบุคคล เพราะถ้าเอาตัวบุคคลไปวัดกับธรรมจะทำให้เราไปไม่ถึงฝั่ง เพราะบุคคลมีวันเปลี่ยนแปลงและกลับกลาย มีวันหน่ายมีวันเบื่อ มีวันชิงชัง ถ้าเรามองที่ตัวหลักธรรม ธรรมจะสอนแต่ความเป็นจริง และให้เรามองแต่ความเป็นจริง ฉะนั้นวันนี้ที่เรามาศึกษาคือศึกษาหลักธรรมเพื่อเอาไปใช้ในชีวิต ใช่ไหม (ใช่)
ลองเปลี่ยนบรรยากาศในการศึกษาธรรมเป็นการแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกันบ้างดีไหม (ดี)  ฟังมาวันครึ่ง ฟังมาเกือบค่อนชีวิตแล้ว ถ้าวันนี้อาจารย์ถามอะไรคุยอะไรก็คงมีการโต้ตอบกันบ้างเล็กน้อยดีไหม (ดี)  อาจจะแปลกใจระคนสงสัยเล็กน้อย แต่อย่าเพิ่งถึงขั้นรังเกียจดูถูกกันแล้วไม่มองหน้ากันเลยดีไหม (ดี)  เพราะส่วนใหญ่เราอยู่ในโลกนี้ เราก็ไม่ชอบให้ใครตั้งป้อมรังเกียจตั้งแต่ยังไม่ทันทำอะไร ถูกไหม (ถูก)  และโดยส่วนใหญ่เราอยู่ในโลก เราก็ไม่ชอบให้ใครดูถูกเหยียดหยามเราโดยที่ยังไม่ทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ชอบสิ่งใดอย่าทำสิ่งนั้นกับผู้อื่น แล้วเราเผลอทำไหม (ทำ)
อาจารย์ถามหน่อย โดยส่วนใหญ่นักเรียนในชั้นคิดว่าตัวเองเป็นคนดีไหม (ดี)  ส่วนใหญ่คนดีชอบทำดีไหม (ชอบ)  เป็นทั้งคนดีด้วยแล้วก็ชอบทำดีด้วย แต่ที่อาจารย์ได้ยินมา คนโดยส่วนใหญ่ชอบความดีแต่ไม่ชอบทำดี เหมือนถามว่าระหว่างคนดีกับคนไม่ดีชอบแบบไหน ชอบคนดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ระหว่างคนมีเมตตากับคนใจดำอำมหิตชอบคนแบบไหน (ชอบคนมีเมตตา)  ระหว่างคนใจกว้างกับคนเห็นแก่ตัวชอบคนแบบไหน (คนใจกว้าง)  แต่ถึงเวลาเราเลือกทำแบบไหน (ตรงกันข้าม)  จริงไหม (จริง)  เราอยากเป็นคนดี เราชอบคนดี แต่ถึงเวลาเรากลับไม่เลือกปฏิบัติดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาแบบเปิดอกจับเข่าคุยกันเลยนะศิษย์ อาจารย์ถามตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม เราชอบคนดี เราหวังที่จะมีคนดีอยู่รอบข้าง หวังที่จะเจอเรื่องดีๆ ให้กับชีวิต แต่ถึงเวลาเราทำดีไหม อย่างเช่นถึงเวลามีโอกาสได้กับมีโอกาสสละ เราเอาก่อนหรือเราสละก่อน (เอาก่อน)  แล้วดีตรงไหน
ถามหน่อยไปตบหัวเขามาเต็มที่ ไปเอาของเขามาเต็มที่ แล้วบอกว่า ขอโทษนะเดี๋ยวค่อยใช้ เขายอมไหม (ไม่ยอม)  แล้วจะมาบอกว่าตัวเองเป็นคนดีไหม ก็ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วรู้ขนาดนี้แล้ว เลือกที่จะทำดีไหม (ยัง)  เหมือนถามว่าระหว่างทำดีกับชอบความดี ถามว่าเราเป็นอะไรมากกว่ากันเราชอบดีแต่เราไม่ค่อยทำดีใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามต่อ ระหว่างเจอเคราะห์ดีกับเคราะห์ร้าย โอกาสที่จะเจอเคราะห์ดีก็ยาก ก็ต้องเคราะห์ร้ายมากกว่าดี เพราะเรามักไม่เลือกทำดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นที่เราจะเจอเรื่องภัยพิบัติก็จะเจอได้มากกว่า ถ้าคนดีไม่รักทำดีแค่ทำเฉยๆ โอกาสที่เจอภัยเจออันตรายก็อาจจะมีมากกว่า อย่ามัวแต่บ่นโทษฟ้าโทษดิน รักดี แต่ทำไม่ดี พอเจอเรื่องไม่ดีก็บอกว่า ศิษย์อุตส่าห์เป็นคนดีทั้งที ทำไมศิษย์ต้องเจอเรื่องไม่ดี จริงๆ แล้วเราดีไหม (ไม่ดี)  ถามตัวเองว่าเราทำดีจริงๆ หรือเปล่า ศิษย์บอกเองว่าคนเราอยากได้สิ่งใดก็ต้องปูพื้นฐานสิ่งนั้น เพราะโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ คนเราเกิดมาพร้อมกับกรรม แล้วกรรมในวันหน้าก็ต้องเกิดจากกรรมในวันนี้ ชะตาชีวิตในวันหน้าจะเป็นอย่างไรก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าวันนี้เราทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอาจารย์ถึงถามศิษย์ว่าศิษย์ชอบทำความดีไหม (ชอบ)  แต่ถึงเวลาเลือกทำความดีไหม (ยัง)  ต้องรอให้เป็นเคราะห์ร้ายก่อน ดวงแย่ก่อนถึงจะทำดีใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ถ้าเรายืนอยู่บนปากเหวแล้วก็บอกว่าศิษย์จะตายไหม ศิษย์จะรอดไหม แล้วค่อยคิดมาทำดี จะทันไหมศิษย์ (ไม่ทัน)  กำลังจะทุกข์อยู่แล้วตอนนี้ค่อยมาใฝ่ดี ปฏิบัติดี ทันไหมศิษย์ (ไม่ทัน)  แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม (เป็น)  ถึงเวลาศิษย์บอกว่าเดี๋ยวก่อน ทุกทีเลย เวลาใครหน้าไหนมาก็ตาม ก็บอกว่า “เธอต้องดี เธอต้องดี ทุกคนมีหน้าที่ต้องดีกับฉัน” แต่ลืมไปว่าเรามีหน้าที่ดีกับคนอื่นก่อน ฉะนั้นธรรมะไม่ได้มีเอาไว้เพื่อตรวจสอบบีบบังคับเรียกร้องใคร แต่ธรรมะมีไว้เรียกร้องให้ตัวเองปฏิบัติก่อน ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนอาจารย์ถามว่าศิษย์เอ๋ย ทำดีเถอะ แต่ไม่มีแรง จะทำไปทำไม ทำแล้วก็เหนื่อย คนไม่เห็นอยากจะดีเลยอาจารย์ ทำไมหนูต้องไปยอมเขาก่อน ทำไมหนูต้องไปดีกับเขาก่อน ศิษย์เอ๋ย ศิษย์กลัวภัยไหม (กลัว)  ศิษย์กลัวเคราะห์ร้ายไหม (กลัว)  ศิษย์กลัวชะตาไม่ดีไหม (กลัว)  ศิษย์กลัวทุกข์ไหม (กลัว)  ฉะนั้นถ้าศิษย์กลัวเคราะห์ กลัวภัย กลัวทุกข์ กลัวชะตาไม่ดี อย่างนั้นศิษย์พยายามทำดี ดีไหม (ดี)  เพราะการทำดี จะช่วยทำให้เราไม่ต้องเจอภัย หรือแม้เป็นภัย ก็จะกลายเป็น (ดี)  ค่อยมีกำลังใจอยากทำดีขึ้นมาหน่อยใช่ไหม ศิษย์อาจบอกว่า อาจารย์แต่มันก็ยากนะ เวลาจะทำดีสักอย่างหนึ่ง อย่างนั้นอาจารย์บอกให้ อะไรที่จะทำให้เราทำดีและไปได้ตลอด ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “ไม่มีภัยพิบัติใดน่ากลัวมากเท่ากับความอยาก ไม่รู้จักพอ” ไม่มีภัยและหายนะใด น่ากลัวเท่ากับ ความอยาก ความโลภ ไม่รู้จักพอ ใช่ไหม (ใช่)  บาปไม่มีเพราะคนนั้นไม่ทำ กรรมไม่มีเพราะคนนั้นไม่ก่อ อุบัติเหตุไม่มีเพราะคนนั้นไม่ประมาท ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นที่อาจารย์กล่าวมาทั้งหมดนี้ แปลว่า ภัยเอย หายนะเอย ความทุกข์เอย บาปกรรมเอย มันจะเกิดไม่ได้ ถ้าเราไม่หลงตกเป็นทาสของอะไร ถ้าเราไม่ตกเป็นทาสของกิเลส และปล่อยให้กิเลสครอบงำจนแยกไม่ออกว่าอะไรผิดชอบชั่วดี ใช่ไหม (ใช่)  ดังที่บอกว่า ถ้าไม่อยากมีทุกข์ก็จงอย่าทำบาป บาปมีต้นเหตุมาจากการตกเป็นทาสของกิเลสที่เรียกว่า โลภ โกรธ หลง ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเป็นคนดี ก็พยายามระมัดระวังควบคุมอารมณ์และกิเลส ใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมติว่าเป็นคนสวดมนต์เก่ง ทำบุญเก่ง ไหว้พระเก่งแต่ยังขี้โมโห ขี้นินทาแล้วยังอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  แล้วที่เคยพูดมาว่าตัวเองทำบุญก็เยอะ ไหว้พระก็เยอะ ทำไมยังไม่ได้ดี นั่นก็เพราะว่าตัวเองชอบด่าคนเยอะเหมือนกันหรือเปล่า แล้วยังเป็นคนคดโกงอยู่ไหม ฉะนั้นอย่าบอกว่าทำดีไม่ได้ดี ไม่เกี่ยวนะ ถ้าอาจารย์บอกว่าในทางกลับกัน ถ้าศิษย์พยายามไม่โลภจนเกินไป ไม่ขี้โมโหบ่อยไป ไม่หลงจนหน้ามืดตามัว อยากได้เงินทองจนผิดศีลขาดธรรมจนเกินไป อาจารย์ว่าคนที่พยายามควบคุมอย่างนั้น ดีกว่าคนสวดมนต์เก่งแต่ยังควบคุมไม่เก่งอีก จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นธรรมะจึงสอนไว้ว่า อยากจะเป็นคนดี ทำไมไม่ละชั่ว อยากเป็นคนดี ทำไมไม่ละบาป อยากเป็นคนดี ทำไมไม่ละอกุศล ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอยากโชคดี อยากมีสุข ก็ต้องถามตัวเองว่า ตัวเองควบคุมความอยาก ความโลภ ความหลง ได้หรือยัง ถ้ายังควบคุมไม่ได้ ความอยากก็สร้างพิษภัยให้กับตัวเอง ศิษย์อาจบอกว่า อาจารย์มันคุมยากนะ ขอให้มีนิดหน่อยก็ยังดี ใช่ไหม (ใช่)  โกรธ โลภแค่นิดเดียวอาจารย์ อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย อาจารย์เห็นมามากแล้ว คนที่พยายามเป็นคนใจกว้าง แต่พอโมโหขึ้นมาทีหนึ่ง คนใจกว้างก็กลายเป็นคนใจแคบ คนที่พยายามเป็นคนใจดี แต่พอมีความอยาก คนใจดีก็พร้อมจะกลายเป็นคนใจร้ายและใจดำ ฉะนั้นอย่าประมาทกับกิเลส เพราะเมื่อกิเลสครอบงำจิตใจแล้ว จากหน้ามือเป็นหลังมือ เห็นมานักต่อนักแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าโลกใบนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ถ้าโลกใบนี้เป็นโลกแห่งเหตุปัจจัย และถ้าโลกนี้เป็นโลกของกรรม การรับผลกรรม จริงไหม (จริง)  ทำดีแค่ไหนแต่ก็ทำชั่วแค่นั้น สู้ไม่ทำชั่วเลย ฉะนั้นอาจารย์ถามจริงๆ อย่าล้อเล่นกับกิเลสที่มันครอบครองใจศิษย์ เพราะมันครองใจแล้ว ศิษย์มักเอามันไม่เคยอยู่ จริงหรือไม่ (จริง)  มีใครโกรธแล้วหยุดโกรธได้ มีใครอยากแล้วรู้จักพอได้แท้จริง แต่อาจารย์จะบอกให้ถ้าศิษย์ทำได้ ชะตาที่ถูกกำหนดว่าจะร้าย จะเปลี่ยนเป็นดี สิ่งที่พร่องในชีวิต อาจจะกลายเป็นเติมเต็มโดยที่ไม่ต้องพยายามเติมอะไรก็ได้ แล้วเราสามารถบอกได้ไหมว่าอนาคตจะดีหรือจะร้าย แต่ถ้าศิษย์ทำตามที่อาจารย์บอก ศิษย์จะสามารถบอกได้เลยว่าอนาคตอย่างไรมันต้องดีให้ได้ สิ่งที่ชีวิตมันบกพร่อง มันจะกลายเป็นเติมเต็มได้ด้วยตัวเอง อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะว่า ไม่อยากลองมาศึกษาดูหรือ สิ่งที่ศิษย์บอกว่าไม่เอา ทำไม่ได้ ลองเดินตามอาจารย์ดูแล้วศิษย์จะรู้ว่าชะตาชีวิตที่ศิษย์บอกว่าไม่รู้มันจะเป็นอย่างไร มันจะดีจะร้าย แต่ว่าถ้าศิษย์ทำตามที่อาจารย์บอก ศิษย์จะไม่กลัวอนาคต ศิษย์จะไม่กลัวว่าชีวิตมันจะพร่องหรือมันจะขาดหรือมันจะสูญ อะไรเกิดขึ้นมาศิษย์ก็จะสู้ได้และรับไหว
แล้วทำอย่างไรล่ะที่แม้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ร้ายมันก็แปรเป็นดี พร่องมันก็กลายเป็นเต็ม สูญเสียแต่มันไม่เสียศูนย์ ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “โชคชะตาไม่สู้มานะคน” จริงไหม (จริง)  อย่างนั้นแปลว่า ชะตาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราเป็นคนสู้ไม่ถอย ใฝ่ดีจนถึงที่สุด ขยัน ซื่อตรงไม่คดโกง มีหรือชะตามันจะเปลี่ยนไม่ได้
ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า ชะตาวาสนามันมักเดินตามคนที่ใฝ่ดีถึงที่สุด ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า โชคชะตาวาสนา มักเดินตามคนที่ผิดแล้วรู้จักแก้ไข ไม่กล่าวโทษใคร ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า โชคชะตาวาสนามันมักเดินตามคนที่มุ่งมั่นทำดีประพฤติดี ไม่ยอมแพ้จนสุดจิตสุดใจ แต่เคราะห์ร้ายมันเดินตามคนที่ชอบคดโกง เอารัดเอาเปรียบ คับแคบ กล่าวโทษคนอื่นไม่เคยย้อนมองตัวเอง อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์หน่อยว่า ถ้าเป็นแบบนี้ศิษย์ยังอยากจะใฝ่ดีไหม ศิษย์ยังอยากจะตกเป็นทาสของกิเลสอีกไหม (ไม่)  แล้วศิษย์รู้ไหมว่าใจที่รู้จักย้อนมอง โดนคนอื่นว่า โดนคนอื่นด่า โดนคนอื่นกล่าวโทษ โดนคนอื่นใส่ร้าย แล้วใจที่รู้จักย้อนมองส่องตน แล้วตรวจสอบว่าฉันไม่ดีจริงไหม ฉันแก้ไขได้ไหม ฉันผิดจริงไหม ใจที่ย้อนมองส่องตัวเองอยู่ตลอดเวลาเมื่อโดนว่า โดนกล่าวร้าย แล้วไม่โทษใคร เชื่อไหมว่าอับโชคจะกลายเป็นโชควาสนา ไร้บุญจะกลายเป็นบุญบารมี เพราะว่าการตรวจสอบย้อนมองตนมันคือยารักษาใจ เห็นใครไม่ดีแล้วพยายามมองเขาให้ดีให้จงได้ คือยาปรับลมปราณ ทำให้อารมณ์ร้อนกลับกลายเป็นเย็น ดีไหม (ดี)  ฉะนั้นเวลาเจอใครมากระทบ ศิษย์จะโกรธ ด่าเกลียด แช่งชักหักกระดูก ปล่อยให้ปัญหาทั้งมวลรุมเร้าเข้ามาในชีวิตหรือเวลาเจอใครมากระทบ ศิษย์จะมีสติ ใจเย็น สุขุม มีเมตตา ให้อภัย วาง จบ สงบ เป็นเกราะป้องกันภัย เอาแบบไหน (แบบให้อภัย)  ถ้าศิษย์บอกว่า อภัยให้ก็ได้อาจารย์ ทำใจก็ได้ ใจเย็นก็ได้ วางก็ได้ วางจริงไหมศิษย์ เย็นจริงไหมศิษย์
ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย โลกนี้เป็นโลกแห่งปัจจัย ไม่มีเรื่องบังเอิญ เราเกิดมาพร้อมกับกรรม กรรมเก่าที่เราสร้าง แล้วตอนนี้ศิษย์จะสร้างกรรมใหม่เพิ่มอีกทำไม อาจารย์ถามหน่อย อยากได้มิตรหรือศัตรู ศิษย์ก็บอกอาจารย์ตั้งแต่ต้น อยากได้คนดีหรืออยากได้คนร้าย (คนดี)  อยากได้คนดี แล้วถ้าเขาร้ายมาหน่อย ร้ายกลับเขาเลย ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วไหนว่าอยากได้มิตร อย่างนั้นร้ายกลับเขาเลย ช่างหัวเขา ตอนนี้โมโหแล้ว แล้วปัญหาที่รุมเร้าตามเข้ามา ศิษย์จะแก้ไหวไหม ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า ใจกว้างคือสวรรค์ชั้นฟ้า ใจแคบคือนรกบนดิน หรือทะเลทุกข์ จริงไหม (จริง)  ใจกว้างแปรร้ายกลายเป็นบุญวาสนา ใจแคบทำให้อับโชค ไม่มีวันพบเรื่องดีๆ ในชีวิต มารคือคนที่จิตใจแคบ ไม่ยอมใคร คดโกง เอาเปรียบ ชิงชัง กล่าวโทษ แต่พุทธะคือจิตใจที่เมตตา เย็น อดทน และวางลงด้วยหัวใจที่สงบ
อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์หน่อย วันนี้ที่ชีวิตไม่ได้ดี เป็นเพราะเขาหรือเป็นเพราะเรา ส่วนหนึ่งคือกรรมเก่า แต่อีกส่วนหนึ่งคือกรรมใหม่ที่เรากำลังจะสร้างใช่หรือไม่ คนในโลกทั้งโลกไม่มาเจอ ทำไมต้องมาเจอคนแบบนี้ คนมีตั้งหลายล้านคน ทำไมไม่มาเจอ ทำไมต้องมาเจอคนนี้ แล้วเราจะเจอเพื่อจบกรรมหรือเราจะเจอเพื่อเกี่ยวกรรมต่อไป เราจะเจอเพื่อแปรร้ายเป็นดี หรือเราจะเจอเพื่อให้เราร้ายแล้วร้ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อย ชะตาชีวิตอยู่ที่ฟ้ากำหนด หรืออยู่ที่ตัวเราเอง
ฉะนั้นถ้าเป็นคนรักดีจริง เขาต้องไม่ทำชั่ว ไม่ว่าในที่ลับหรือในที่แจ้ง เพราะชื่อของความดีเป็นชื่อของความสุข ชื่อของคนที่มุ่งมั่นทำดีแล้วยังประกอบไปด้วยคุณธรรม เป็นชื่อของความสุขที่เดินอยู่บนหนทางแห่งผู้ประเสริฐ ฉะนั้นการเป็นคนดีมันก็มีเรื่องยากอย่างหนึ่ง ถ้าดีแต่ขาดเมตตา ความดีนั้นมันก็ง่ายที่จะกลายเป็น (กรรม)  ฉะนั้นอาจารย์จะบอกอีกอย่างหนึ่ง ถ้าศิษย์พยายามเป็นคนดี ศิษย์ต้องระวังอย่างหนึ่ง เวลาเราเป็นคนดีมันอดไม่ได้ มันจะเรียกร้อง คนนั้นต้องดีสิ คนนี้ต้องดีสิ ในชีวิตฉันต้องเจอแต่ดีสิ ใช่ไหม (ใช่)  จำไว้นะศิษย์ เรารักดีได้แต่เราหวังให้ทุกคนต้องปฏิบัติดีกับเราไม่ได้ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม “ความดีไม่น่ายึดถือได้ แต่รักษาไว้จนถึงที่สุด เรียกว่ามีคุณค่า ความชั่วไม่น่ารังเกียจ แต่ถ้ากลับตัวกลับใจได้ เรียกว่าเป็นคนดีมีประโยชน์” ใช่หรือไม่ (ใช่)
ความชั่วไม่ได้น่ารังเกียจ ถ้ารู้แล้วกลับตัวแก้ไขก็มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นไหมคำพูดมันบอกตัวเอง ความดียึดไม่ได้พึ่งไม่ได้ แต่ถ้ารักษาจนถึงที่สุดก็มีคุณค่า ความชั่วเกลียดมันไม่ได้ เพราะถ้าเกลียดมันแล้วมันจะไม่แก้ไขอะไรให้ดีขึ้นและไม่มีประโยชน์ต่อผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ทำตรงกันข้าม ยึดดีเกลียดชั่ว ยึดว่าฉันเป็นคนดี พอใครไม่ดีก็เกลียดมัน ถูกไหม (ไม่ถูก)  เป็นคนดีแต่ขาดซึ่งคุณธรรมความเมตตา คนดีก็หาดีไม่ ฉะนั้นอย่าเป็นแค่คนดีแต่ต้องมีคุณธรรมประกอบด้วย เป็นคนดีมีเมตตาแต่ขาดซึ่งปัญญาธรรม คนดีก็พร้อมจะทำคนเสียคนได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมติว่าอาจารย์มั่นใจว่าตัวเองเป็นคนดี แล้วอาจารย์ก็บอกว่าพวกศิษย์ยังไม่ได้เรื่อง ต้องแก้นะ ต้องเปลี่ยนนะ ไม่อย่างนั้นไม่ได้เรื่อง ไม่ดี ไม่ชอบ อย่างนี้เขาเรียกว่า ยึดดีแล้วไร้เมตตาธรรมกับผู้อื่น กับอีกแบบหนึ่งยึดดีมีเมตตา ยิ้มอย่างเดียวอย่างนี้ถูกไหม ไม่ถูก ทำให้ศิษย์นั้นเสียคน ฉะนั้นความดียึดพึ่งไม่ได้ แต่ถ้าปฏิบัติถึงที่สุดแล้วรู้จักกอปรคุณธรรม ความดีก็มีคุณค่า ความชั่วไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ แต่ถ้ารู้จักแก้ไขเปลี่ยนแปลงความชั่วก็มีคุณค่ามีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นเรารักดีเกลียดชั่วได้ไหม (ไม่ได้)  ได้แต่มันไม่ดี จริงไหม (จริง)  เราไม่ใช่ปฏิบัติดีแล้วรังเกียจคนไม่ดี แต่การปฏิบัติดีเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตไปสู่หนทางที่ดีงามและถูกต้อง แล้วเราปฏิบัติดี มันเกี่ยวอะไรกับบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญธรรมก็คือการปฏิบัติดี เป็นรากฐาน และก็ก้าวไปสู่ความพ้นทุกข์ถึงที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการปฏิบัติบำเพ็ญธรรมเพื่อสิ่งที่ถูกต้องดีงาม จึงไม่ใช่สอนให้ศิษย์ไม่ต้องอยาก ไม่ต้องโลภ ไม่ต้องโกรธ ไม่ต้องหลง แต่อยากอย่างคนที่ไม่เห็นแก่ตัว อยากอย่างคนที่ไม่ทำให้จิตใจตกต่ำเลวร้าย พอเข้าใจนะ ฉะนั้นนี่แหละคือความหมายของการบำเพ็ญธรรมและปฏิบัติดีให้ถูกต้อง เพื่อนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)
บางครั้งการอยู่ในโลกมันต้องมีบ้างที่กระทบกระทั่งเจอคนดีเจอคนไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า ในโลกนี้ไม่มีใครสูงและไม่มีใครต่ำจนเกินไป ไม่มีใครดีและไม่มีใครแย่จนเกินไป ดีร้ายสูงต่ำใครกำหนด ตัวเราเองกำหนดใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราก็เอามาตรฐานตัวเราไปตีค่าตีราคาคนอื่น จำไว้นะศิษย์ การที่เราใฝ่ดีปฏิบัติดีไม่ใช่เหตุผลที่เราจะเอาไปบังคับให้ทุกคนต้องเป็นคนดี เพราะถ้าคิดแบบนั้น เรากำลังถือดีแบบผิดๆ เพราะว่าการที่เราศึกษาปฏิบัติธรรมคือยอมรับความเป็นจริงแห่งสภาวธรรม และธรรมที่แท้จริงมันเป็นกลางอยู่แล้ว จริงไหม (จริง)  แต่ใจเรานั่นแหละมันไม่เป็นกลาง มันก็เลยวัดทุกสิ่งอย่างไม่เป็นธรรม อาจารย์เทียบง่ายๆ เหมือนวันนี้อาจารย์จิตใจดี อารมณ์ดี มองอะไรมันก็ (ดี)  ตรงกันข้าม วันนี้อาจารย์รู้สึกแย่ เบื่อ รำคาญคน มองอย่างไรมันก็ (ไม่ดี)  เห็นไหม ก็รู้หมด ฉะนั้นจริงๆ เขาไม่ดีหรือเราไม่ดี (ตัวเรา)  ใช่ไหม (ใช่)  ดังคำกล่าวไว้ว่า ถ้ามองเห็นทุกคนมีคุณค่า ทุกคนก็มีคุณค่าให้น่านับถือ ถ้าเหยียดคนในเรื่องเลวทราม ทุกคนหาดีได้ไม่ จริงไหม (จริง)  ถ้าเราบอกนี่ก็แย่ นี่ก็ไม่ได้เรื่อง ดูมันทำท่าสิ ดูมองอาจารย์สิ แบบนี้มันหาเรื่องชัดๆ เลย อาจารย์ถามหน่อยว่าใจเรามันหาเรื่อง หรือเขาหาเรื่อง (ใจเราเอง)  เหมือนศิษย์เคยได้ยินไหม ใจมันมีขี้มองเขาก็เป็นขี้ ใจมันมีพุทธะมองเขาก็เป็นพุทธะ ใจมันเป็นอันธพาลมองเขาก็เป็น (อันธพาล)  ใจมันเลวร้ายมองเขามันก็ (เลวร้าย)  อย่างนั้นถามหน่อยเขาไม่ดีหรือใจเรามันไม่ดี (ใจเราไม่ดี)  เพราะฉะนั้นโกรธเขาหรือโกรธเรา (โกรธเรา)
ทำไมเราต้องศึกษาธรรม เพราะการศึกษาธรรมสอนให้เราเข้าใจความเป็นจริงแห่งสัจธรรม แล้วสัจธรรมนั้นมันไม่ได้อยู่ไกล มันอยู่ในตัวเรา เราจะมองอย่างคนมีธรรม หรือเราจะมองอย่างคนที่เอาแต่ใจตัวเราเป็นหลัก
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนสองท่านออกมาหน้าชั้น คนหนึ่งอายุมาก คนหนึ่งอายุน้อย)
อาจารย์มีรสนิยมชอบเล็กๆ เหี่ยวๆ อายุมากๆ แบบนี้แปลว่า ถ้าตึงๆ เด็กๆ อาจารย์จะ (ไม่ชอบ)  ใช่ไหม เรื่องราวในโลกมันดีหรือร้าย มันได้หรือเสีย  มันสุขหรือทุกข์ มันอยู่ที่ใจศิษย์กำหนด ถ้าใจศิษย์กำหนดยึดแบบนี้คือสุขที่สุดแล้ว คือดีที่สุดแล้ว ยึดแบบนี้ว่าคือของๆ ฉันที่ฉันชอบแล้ว แปลว่า สิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ศิษย์ยึด มันกลายเป็นไม่ดี กลายเป็นทุกข์ กลายเป็นเรื่องแย่ทันที แต่ถ้าในใจเราไม่มีอะไร ใจเราไม่ยึดอะไร อะไรแย่ อะไรดี ก็ไม่มี
ฉะนั้นศึกษาหลักธรรมเพื่อให้เราหันกลับมาเยียวยาใจและมองให้เห็นว่าใจของเราจริงๆ แล้ว อย่าไปตีกรอบ อย่าไปยึดมั่น อย่าไปกำหนด เมื่อไม่ตีกรอบ ไม่ยึดมั่น ไม่กำหนด มันจะไม่มีอะไรที่เรียกว่าสุขที่สุด และจะไม่มีอะไรที่เรียกว่าทุกข์ที่สุด จะไม่มีอะไรที่น่ารัก และจะไม่มีอะไรที่น่ารังเกียจ
ถ้าศิษย์รักษาจิตรักษาใจ โลกนี้มีอะไรหรือที่เรียกว่าดี โลกนี้มีอะไรหรือที่เรียกว่าเลวร้าย ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)
โชคชะตาชีวิตในวันหน้าจะเป็นอย่างไรไม่ได้รออยู่ที่อนาคต แต่มันอยู่ที่วันนี้เราทำใจเช่นไร ถ้าเราทำใจวาง สงบ ยอมรับความเป็นจริง อะไรมันก็ดี จริงไหม (จริง)  แล้วศิษย์จะตอบคำถามที่อาจารย์พูดได้ตั้งแต่ต้นเลยว่า ไม่ว่ามันจะเหี่ยวขนาดไหน แก่ขนาดไหน มันก็ไม่เคยพร่องเพราะมันก็ดี มันจะตึงขนาดไหน มันจะบวมขนาดไหน มันจะอ้วนขนาดไหน มันก็ดี ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ฉะนั้นการศึกษาธรรมจึงไม่ได้ต้องการให้เรามุ่งแต่ปฏิบัติภายนอกแต่ลืมกลับมาเยียวยาใจ ใจเรามันให้ใครมาเติมเต็มไม่ได้ มันให้ใครมาทำให้เรามีสุขไม่ได้ ทุกคนเขาก็มีเวลาจำกัด แต่เราต้องรู้จักสุขด้วยตัวเอง สู้ด้วยตัวเอง เข้มแข็งด้วยตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)
อย่าไปผูกกรรมเกี่ยวกรรมด่าเขาไม่ได้เรื่องด่าเขาไม่ดี จะสร้างหน่อเนื้อแห่งกรรมวัฏฏะเวียนว่ายอีกทำไม สงบแปลว่าจบ จบแปลว่าไม่เวียนอีกต่อไปแล้ว แต่ถ้าศิษย์ยังไม่จบ ยังไม่สงบ เกี่ยวมันไป ด่ามันไป ผูกมันไป แล้วจะเจอกันอีกกี่ภพกี่ชาติ ก็เอาให้มันสะใจศิษย์ แล้วให้มันทุกข์จนเต็มที่ ถ้ามันทุกข์อย่างเต็มที่แล้วศิษย์จะเข้าใจว่า ธรรมะมันไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่น มันอยู่ที่ใจเรา วางมันลงหรือยัง ปล่อยมันบ้างไหม หัวใจของการดับทุกข์ที่ดีที่สุดคือ ใดๆ ในโลกล้วนไม่น่ายึดมั่นถือมั่น เพราะทุกสิ่งเปลี่ยนแปรผัน ใครว่าสมบูรณ์สุด ใดเล่าดีสุด
ฉะนั้นเรากำลังวิ่งไปตามกิเลสเพื่อเวียนว่ายไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเมื่อไรเราจะหยุด ทุกข์ไม่เหนื่อยเหรอ ร้องไห้ไม่เจ็บปวดเหรอ แล้วใครทำเราเจ็บ (ตัวเราเอง)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเติมเต็มด้วยตัวเองไม่ได้เหรอ ทำไมต้องขอหน่อย รักฉันหน่อย กับการที่รักตัวเองให้เป็นและรักผู้อื่นให้เป็น อะไรดีกว่ากัน (รักตัวเอง)  อะไรอยู่กับเรา ขนาดตัวเรา ใจเรามันยังเปลี่ยนเลย แล้วกับคนที่เรารักที่สุด กับสิ่งที่เราชอบที่สุดจะไม่เปลี่ยนเหรอศิษย์ ฉะนั้นถ้าไม่อยากเจ็บ อย่าเอาใจไปฝากไว้กับใคร ถ้าไม่อยากทุกข์ อย่ายกใจให้ใคร ดูแลใจตัวเองดีไหม (ดี)  แล้วชะตาความบกพร่อง เราจะเติมเต็มด้วยตัวเองไม่ต้องรอใคร จริงหรือไม่ (จริง)
อาจารย์ถามง่ายๆ เป็นคนดีต้องมีคุณธรรมประกอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นคุณธรรมอะไรที่จะประกอบการเป็นคนดีให้เราดีได้ตลอด
(มีเมตตา)  ไม่ใช่เมตตาตัวเองแต่ไม่เมตตาคนอื่นไม่ได้นะ แล้วความเมตตาเริ่มจากอะไรรู้ไหม คำว่า “คุณธรรมแห่งความเมตตา” คือการกระทำเช่นไร คำว่า “เมตตา” คือการที่ให้โดยไม่หวังผล ให้โดยไม่เรียกร้องหวังผลตอบแทน ให้บ่อยๆ เสียสละอุทิศบ่อยๆ นั่นแหละเรียกว่าคนมีใจเมตตา เข้าใจหรือยัง ฉะนั้นอาจารย์ให้ก็แปลว่าศิษย์ต้อง (รับแล้วต้องให้ต่อ) ใช่ไหม อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์มีบุญแค่ตนเอง แต่รู้จักผูกบุญกับคนทั่วกว้าง คนที่รู้จักคิดคำนึงถึงตัวเองอย่างไม่เห็นแก่ตัวนั่นก็คือ เวลาได้ดีต้องรู้จักแบ่งปัน เมื่อเวลาเราทุกข์เราก็ไม่เดือดร้อน เพราะเราสร้างบารมีไว้เยอะแยะ เวลาได้ดีแล้วเรารู้จักแบ่งปัน ถึงเวลาเราเดือดร้อนคนเขาก็จะหันกลับมาดูแลเรา แต่ไม่ใช่เวลาเราได้ดีแล้วไปเหยียบย่ำซ้ำเติมคนอื่น
(ความกตัญญูรู้คุณ)  เกิดเป็นคนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือกตัญญู คำว่ากตัญญู เรากตัญญูแค่กับพ่อแม่ได้ไหม (ไม่ได้)  ทุกๆ คนเราก็ควรจะรู้จักกตัญญู ทำไมรู้ไหม (เราต้องมีความกตัญญู ความรู้จักบุญคุณของคนที่มีบุญคุณกับเรา ตอบแทนท่าน)  แล้วคนที่ด่าเรามีบุญคุณไหม (ไม่มีบุญคุณ)  ศิษย์เอยคนที่เขากล้าด่าเรา กล้าว่าเรา เพราะเขารักเขาใส่ใจ ถ้าไม่ใส่ใจไม่รักเขาไม่ด่าหรอกจริงไหม (จริง)  ถามสิด่าทำไมให้เมื่อยปาก ด่าทำไมให้เขาเกลียด ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจคำว่ากตัญญูรู้คุณ ตื่นเช้ามาศิษย์จะขอบคุณทุกคนที่ทำให้ศิษย์มีชีวิต ไม่ว่าฟ้ามืดฟ้าสว่างศิษย์ก็จะขอบคุณทุกอย่าง เพราะถ้าไม่มีมืดจะไม่มีวันสว่าง ถ้าไม่มีคนร้ายจะมีคนดีหรือ ใช่ไหม ถ้าไม่มีชาวนา เราจะมีข้าวไหม ถ้าไม่มีเพื่อนแย่ เราจะรู้จักเพื่อนดีไหม แปลว่า ขอบคุณผู้มีคุณทุกคน อันนี้ถึงจะเรียกว่าเข้าถึงความกตัญญูแท้จริงใช่ไหม (ใช่)  เอาไหม เอาไปให้ใคร (เอาไปให้ลูก)  อย่าลืมเอาไปให้พ่อแม่เราบ้างนะ  รู้จักบุญคุณใช่หรือไม่ คุณธรรมมีตั้งมากมายแต่คุณธรรมที่ทำให้คนเป็นคนคืออะไรรู้ไหม (การทำความดี)  มโนธรรมสำนึก คำนี้คำเดียวครอบคลุมทุกอย่าง รู้ผิดชอบชั่วดี รู้สำนึกคุณ รู้ตอบแทนคุณ รู้อะไรผิด รู้อะไรถูก รู้ชอบรู้ไม่ชอบใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องหมั่นเตือนตัวเองอยู่เสมอ ถ้าขาดสติก็เหมือนขาดใจ ถ้าขาดใจ ถ้าขาดมโนธรรมสำนึกก็ขาดความเป็นคนใช่ไหม (ใช่)
(เผื่อแผ่ให้คนที่ด้อยกว่าเรา เผื่อแผ่ให้ทุกชีวิต)  รู้จักมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอ๋ย คนเราอยู่ในโลกมนุษย์มักคิดถึงแต่ตัวเองมากกว่าคิดถึงคนอื่น แล้วเห็นแก่ตัวเองมากกว่าเห็นแก่คนอื่นใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะสอนวิธีเห็นแก่ผู้อื่นให้ เอาไหม (เอาค่ะ เห็นแก่ตัวที่ไม่น่าเกลียด)  อาจารย์จะบอกให้ มันมีเหมือนกัน ฟังดูแล้วมันดูน่าเกลียดๆ นะอาจารย์ เห็นแก่ตัวยังมีไม่น่าเกลียดด้วยหรือ แค่คำว่าเห็นแก่ตัวก็น่าเกลียดแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอย ยั้งคิดสักนิดหนึ่ง ไม่ใช่อะไรๆ ก็คว้าเอาหมดก่อน ทำอะไรต้องมีสติยั้งคิดก่อนที่จะตัดสินใจทำนะศิษย์ อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ เอาไหม เห็นแก่ตัวอย่างไม่น่ารังเกียจ (ไม่ค่ะ กลับใจค่ะ)  เอาไม่เอา (ไม่เอาค่ะ)  เสียดายนะอาจารย์อยากจะบอก ไม่เอาอาจารย์ก็ไม่บอกเลยดีไหม (ไม่ดีค่ะ)  ตกลงศิษย์จะเอาหรือไม่เอา ดีหรือไม่ดีกันแน่ ตกลงเอาหรือไม่เอา (เอาค่ะ)  นี่แหละหนามนุษย์ เปลี่ยนไวยิ่งกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก ศิษย์เอยอาจารย์จะบอกให้ เกิดเป็นคนหนีไม่พ้น ใครๆ ก็ต้องคิดถึงตัวเองเป็นหลัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอะไรเราก็ต้องมองตัวเองก่อนสิอาจารย์ ตัวเองยังไม่รอดเลย แล้วจะไปช่วยเหลือคนอื่นอย่างไร เป็นเรื่องยาก ใช่ไหม อาจารย์จะบอกวิธีให้ คำว่าเห็นแก่ตัว จริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่ไม่ดีและง่ายที่จะหลงผิด แต่คำว่า คิดถึงตัวเองก่อน แล้วทำให้ไม่กลายเป็นความเห็นแก่ตัวที่น่าเกลียด นั่นก็คือ ง่ายๆ นะศิษย์ ถ้าตอนที่ศิษย์ยังอายุน้อย ถ้าเราคิดว่าโตไปจะไม่เป็นภาระของสังคม โตไปจะไม่เป็นที่เดือดร้อนให้กับผู้อื่น โตไปจะเป็นที่พึ่งให้กับพ่อแม่ ถ้าตอนเด็กคิดถึงตัวเองเยอะขนาดนี้ ตอนที่เขาพยายามจะโต เขาต้องศึกษาเล่าเรียนให้เต็มที่ ถูกไหม นี่แหละที่เรียกว่าคิดถึงตัวเองแล้วไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เข้าใจไหม เหมือนตอนเด็กเรารู้ว่าโตไปเราจะไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน โตไปหนูจะเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่น ถ้าเราคิดถึงตัวเองขนาดนี้ เราจะขยันเรียนไหม (ขยันเรียน)  เราจะเป็นคนดีไหม (เป็นคนดี)  นี่แหละเขาเรียกว่า คิดถึงตัวเองแบบไม่เห็นแก่ตัว ยากไหม (ไม่ยาก)  พอเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีงานมีการรับผิดชอบได้แล้ว ถ้าเราคิดถึงตัวเองอีกว่า ถ้าฉันอยู่ในโลกนี้ ฉันต้องเป็นที่รักของคนอื่น ฉันจะไม่ทำให้คนอื่นรำคาญ ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เมื่อยามโต เราจะทำอะไรผิดต่อผู้อื่นไหม (ไม่)  นี่แหละเรียกว่าคิดถึงตัวเองแล้วไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน อย่างนี้เรียกว่าเห็นแก่ตัวไหม (ไม่เห็นแก่ตัว)  ฉะนั้นคิดถึงตัวเองแบบของอาจารย์นี้น่าเกลียดไหม (ไม่น่าเกลียด)  เหมือนกัน ถ้าเราคิดถึงตัวเองว่าตอนที่เรามี เราจะไม่ดูถูกใคร เราจะไม่เหยียดหยามใคร เราจะไม่กดขี่ข่มเหงใคร พอเวลาที่เราไม่มี เราก็จะไม่ถูกใครกดขี่ ไม่ถูกใครเหยียดหยาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรามีชีวิตเรารู้จักคิดถึงตัวเองแบบนี้ อาจารย์ถามว่าเวลาเรามี เราจะให้ใครไหม (ให้)  เวลาเรามีแล้วเจอคนแย่ เราจะดูถูกเขาไหม (ไม่)  อย่างนี้การคิดถึงตัวเองของอาจารย์น่าเกลียดไหม (ไม่น่าเกลียด)  เอาไหม (เอา)  คิดถึงแบบนี้นะ แล้วจะไม่เห็นแก่ตัว ดีไหม (ดี)  จำได้ไหม (จำได้)  อันนี้เป็นคำสอนของปราชญ์โบราณเขาสอนไว้นะ ว่าถ้าตอนเด็กคิดถึงยามโต ตอนเด็กจะมานะเล่าเรียน โตไปจะไม่เป็นที่ลำบากให้กับผู้อื่น ถ้ายามโตคิดถึงว่าแก่ตัวไปแล้วจะได้ไม่ไร้ค่า ไม่ไร้ความหมาย เมื่อยามโตจึงรู้จักแบ่งปัน ช่วยเหลือคนให้เต็มที่ เมื่อยามมั่งมีแล้วกลัวว่าตอนอดจะลำบากแล้วจะถูกคนดูถูกเหยียดหยาม เมื่อยามมั่งมีจึงรู้จักแบ่งปันช่วยเหลือ นี่แหละเป็นคำสอนของคนโบราณเขาสอนไว้นะ นี่แหละการคิดถึงตัวเองแบบไม่เห็นแก่ตัว
อาจารย์พูดวิธีการปฏิบัติเป็นคนอยู่บนโลกให้ศิษย์เรียบร้อยแล้ว ต่อไปอาจารย์ขอเข้าอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่มนุษย์หนีไม่พ้น เมื่อศึกษาบำเพ็ญและปฏิบัติได้ดีแล้ว อะไรเรียกว่าปฏิบัติได้ดี “เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน มองผู้คนไม่ละอายใจ” นี่แหละปฏิบัติได้ดี
พอปฏิบัติได้ดีแล้ว ก้าวต่อไปอีกก้าวหนึ่งคือ ทำอย่างไรให้เราพ้นทุกข์ สิ้นทุกข์ อยู่ในโลกนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เป็นเด็กทุกข์ โตก็ทุกข์ แก่ก็ทุกข์ แข็งแรงก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์ เสียงรถไฟดังมาก็ทุกข์ มาอีกแล้วรำคาญจังเลย ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอย ทุกข์ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบเลยหรือ ชีวิตนี้หาสุขไม่ได้ แค่เสียงรถไฟก็ทุกข์จังเลย ไม่ได้นะ
ทุกข์มีหลายอย่างใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่อยากก็ทุกข์แล้วนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเรามารู้จักก่อนว่า ทุกข์มันคืออะไร อาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ เราจะเรียนรู้และเข้าใจทุกข์ได้อย่างไร อาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ จะได้ฟังและเข้าใจง่ายในเรื่องเกี่ยวกับธรรมและความทุกข์ ศิษย์เคยเห็นต้นไม้ไหม เมื่อไรที่เราหย่อนเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากลงไป ต้นไม้ก็จะเติบโตออกมาเป็นต้นไม้หนึ่ง ถูกไหม เมื่อต้นไม้หนึ่งต้นเติบโตมาหนีพ้นความเจ็บ หนีพ้นแมลงกัดกิน หนีพ้นการเหยียบย่ำและหนีพ้นจากการถูกโดนลมพัดโค่นไหม (ไม่พ้น)  ฉะนั้นมันเป็นธรรมดาของต้นไม้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาต้นไม้ล้มไปเราก็เห็นว่ามันเป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง ถูกไหม (ใช่) แต่เมื่อไรที่เราเอาตัวเข้าไปใส่ในต้นไม้ มันล้มเราก็เจ็บ มันถูกเหยียบย่ำ เราก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ มันเปลี่ยนแปลงเราก็รับไม่ได้ แต่ถ้าเอาตัวออกล่ะ มันก็แค่ต้นไม้ ใช่ไหม ฉันใดก็ฉันนั้น ร่างกายก็ไม่ต่างอะไรกับต้นไม้ที่ต้องมีแก่ มีเจ็บ มีตาย เมื่อเราไม่เอาตัวไปยึดมั่น ความทุกข์มันดับได้ทันทีแค่เรามองเห็น มันเป็นแค่ต้นไม้ ไม่ใช่ตัวเรา
อาจารย์ถามหน่อย ถ้าไม่มีคำว่าตัวเรา อาจารย์ต่างอะไรกับต้นไม้ไหม มีเกิด (มีแก่ มีเจ็บ มีตาย)  ใช่ไหม มันเป็นธรรมชาติของต้นไม้ที่เรียกว่าสัจธรรม ถูกไหม (ถูก) มันเป็นต้นไม้ ใช่ไหม (ใช่)  ต้นไม้มันเป็นธรรมชาติ แล้วหนังหน้านี้ ตัวนี้ ต่างอะไรกับต้นไม้ที่มันเจ็บ เพราะเรายึดต้นไม้ว่าเป็นของเรา ที่เราทุกข์ ที่เราดิ้นทุรนทุราย เพราะเรายึดต้นไม้ว่าเป็นเรา ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อยต้นไม้มันไม่มีวันตายหรือ (มี)  มันไม่มีวันเจ็บหรือ (มี)  มันไม่มีวันเปลี่ยนแปลงหรือ (มี)  ฉะนั้นเราไม่ยึด เราแค่รับรู้ ไม่เกาะเกี่ยว ไม่ผูกพัน จิตกับสังขารจะแยกทันที กายเจ็บ ใจไม่เจ็บ กายทุกข์ตามกระบวนการของสัจธรรม แต่ใจไม่ทุกข์ตามกระบวนการสัจธรรม จริงไหม (จริง)  เราเคยแยกมันออกบ้างไหม (ไม่)  เมื่อศิษย์ยังแยกไม่ออก ฉะนั้นเราจึงมีความเจ็บเป็นธรรมดา แล้วเรายังหย่อนความอยากลงไปในต้นไม้ว่าศิษย์อยากมีดอก ศิษย์อยากมีผล ศิษย์อยากสูงใหญ่ใช่ไหม (ใช่)  พอพยายามจะมีดอก แต่มีดอกไม่ได้ หรือมีดอกแล้วมีปัญหาเจ็บไหม  (เจ็บ)  พยายามจะมีผล มีผลไม่ได้เจ็บไหม (เจ็บ)  แล้วเพิ่มเจ็บกี่เจ็บ เจ็บกับดอก เจ็บกับผล แล้วเจ็บกับความเป็นตัวตนธรรมดาของต้นไม้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเรายึดมันทุกอย่างพอยึดเสร็จแล้วเราก็อยาก อยากเป็นนั่นอยากเป็นนี่ ต้นไม้มันก็ต้องออกดอก ออกกิ่ง ออกใบ พอโดนดูถูกหน่อยศิษย์รับได้ไหม (ไม่ได้)
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมท่านหนึ่งออกมายืนถือดอกไม้ในมือในมือหนึ่ง และถือสับปะรดอีกมือหนึ่ง)
เหมือนกันชีวิตมันก็มีอยู่แค่นี้ แต่มนุษย์ไม่เคยพอ เมื่อเรายึดต้นไม้เราก็พยายามสร้างสิ่งต่างๆ ตามความอยาก เช่นอยากได้ดีก็พยายามมีผลไม้ อยากได้ดีก็พยายามมีดอกไม้ ใช่ไหม (ใช่)  เราเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง จริงไหม (จริง)  เรามีความทุกข์ตามความเป็นจริงของสัจธรรมคือ แก่ เจ็บ ตาย แต่เรายังไม่พอศิษย์ยังอยากอีก ทำให้ตัวเองโดดเด่น สวยเลอเลิศ แต่พอโดนคนดูถูกเหยียดหยามเจ็บไหม (เจ็บ)  แต่ผู้ชายไม่แค่นั้น ต้องมียศฐา ต้องมีบรรดาศักดิ์ ต้องมีผลพวง ต้องมีผลประโยชน์ แล้วผลพวงมันเกิดปัญหา  เกิดทุกข์เจ็บไหม (เจ็บ)  ศิษย์เจ็บไม่พอหรือ มีเจ็บตามความเป็นจริงของสังขาร เรายังหาเรื่องเจ็บอย่างโน้นเจ็บอย่างนี้อีกใช่ไหม (ใช่)  แล้วศิษย์รู้หรือไม่ว่าถ้าศิษย์ตายไปทั้งที่ศิษย์ยังไม่สามารถหยุดเหตุของความอยากได้ เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้นี้ก็จะรอเหตุปัจจัยเพื่อเติบโตอีกในภพภูมิต่อไป แต่ถ้าเมื่อไรเราหยุด แล้วมีชีวิตอยู่ตามความเป็นจริง ได้แค่ไหนแค่นั้น ไม่อยาก เราเจ็บแค่อย่างเดียวคือตามสังขารแต่ไม่เจ็บปวดจิตใจ ไม่ยากนะ อาจารย์พยายามเทียบให้ง่ายที่สุดแล้วจริงไหม (จริง)  แต่มนุษย์เคยหยุดได้บ้างไหม แล้วเรายังต้องเจ็บอีกเท่าไหร่ศิษย์ ความทุกข์มันสอนให้เราอย่าเผลอยึดมัน มันทุกข์แล้วยึดทำไม ใช่ไหม (ใช่)  มีทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ใครหลงว่าสุขมันคือสุขที่จริง ในโลกนี้ไม่มีทุกข์แท้ ไม่มีสุขจริง คนที่ติดอยู่ในสุขนั่นคือคนที่ไม่มองความจริงอย่างถึงที่สุด รู้แล้วไม่ถึงที่สุดก็เรียกว่าไม่รู้ ใช่ไหม (ใช่)  รู้อย่างไม่เข้าใจก็เหมือนคนไม่รู้ไม่เข้าใจ แล้วเราจะดับทุกข์ได้อย่างไร ไม่โลภใช่ไหม (ถ้าเราไม่โลภไม่โกรธไม่หลง จะไม่ทุกข์)  อาจารย์ให้ทั้งสับปะรดและดอกไม้เอาไหม (ถ้าอาจารย์เต็มใจให้ ลูกศิษย์ก็รับ)  อาจารย์เห็นมานักต่อนักแล้ว ที่พูดมานี่พอถึงเวลาก็เอา ใช่ไหม ศิษย์เอย ถ้าศิษย์รู้ว่าทำถึงที่สุด ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร นี่แหละโลภ โกรธ หลง มันก็ครอบงำใจไม่ได้ ทำให้ดีที่สุด ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แล้วความทุกข์มันจะมาครอบงำใจศิษย์ไม่ได้เลย จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ทุกข์มันทำให้เราจำแล้วอย่าทุกข์กับมัน เหมือนที่อาจารย์ชอบพูดว่าถ้าความทุกข์เป็นสับปะรด เอาไม่เอา (ไม่เอา)  ถ้าความทุกข์เป็นดอกไม้ เอาไม่เอา (ไม่เอา)  อาจารย์ให้ เอาไม่เอา (ถ้าคิดว่าเป็นทุกข์ไม่เอา)  ศิษย์เอย ศิษย์เคยได้ยินไหม คนฉลาดแปรทุกข์เป็นทางพ้นทุกข์ และแปรทุกข์เป็นหนทางพบความสงบที่แท้จริง ทุกข์หรือสุขมันไม่ได้อยู่ที่คนอื่นกำหนด แต่มันอยู่ที่ตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่ากลัวคนอื่นแต่จงกลัวใจตัวเองว่า มีอย่างไรไม่ให้ทุกข์ จริงไหม (จริง)  ในโลกนี้ไม่ใช่มีหรือไร้หรอกที่สุขหรือทุกข์ แต่มันอยู่ที่เรารู้สึกกับสิ่งที่มีและไร้อย่างไร
คนเราถ้ารู้จักดำเนินชีวิตได้ดีก็เท่ากับช่วยผู้อื่นครึ่งหนึ่ง ถ้าคนเรารู้จักมีสุข เราก็ทำให้คนอื่นมีสุข แต่ถ้าตัวเรามีทุกข์ เราก็ทำคนอื่นมีทุกข์ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นทุกข์สุขไม่น่ากลัวที่คำพูด แต่ทุกข์สุขอยู่ที่เรามีและจัดการมันอย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาแจกผลไม้ให้นักเรียน)
แค่ต้องถือเยอะขนาดนี้ก็ทุกข์แล้วจริงไหม ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดทำอย่างไร แก้ทุกข์ได้ทันทีเลย (วางครับ)  วางไม่สู้กับทำให้ก่อเกิดบุญให้มากที่สุด ถ้ารู้ว่าสังขารมันเป็นทุกข์ ปล่อยวางมันไม่มีประโยชน์ สู้เอาสังขารที่ทุกข์นั้น ไปสร้างบุญที่เรียกว่าคุณธรรมแห่งผู้ประเสริฐ วางไว้มันไม่มีประโยชน์ ต้องทำอย่างไร (ให้คนอื่นครับ)  ไปเลย จะได้ไม่ต้องถือ อาจารย์ให้ปฏิบัติทันทีเลย ใช่ไหม ถ้ารู้ว่ามันทุกข์ ทำอย่างไรล่ะ เราก็ต้องจัดการมันให้เกิดประโยชน์สูงสูด ใช่หรือไม่ แปรเปลี่ยนคุณธรรม แปรเปลี่ยนเป็นอะไรที่ทำให้เราไม่ต้องทุกข์กับมันอีกต่อไป ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือใจที่ไม่รู้จักเข้าใจในความทุกข์ ศิษย์เป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าใช่ไหม พระพุทธเจ้าเอาทุกข์มาทำให้กลายเป็นพระพุทธะ แล้วศิษย์ล่ะ ทำไมไม่เอาทุกข์เป็นบันไดก้าวสู่ความเป็นพุทธะเล่า จริงไหม (จริง)  ทำไมเอาแต่ทุกข์แล้วก็จมในทุกข์ แล้วก็เกลียดทุกข์ ทำไมไม่แปรเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นหนทางพ้นทุกข์ จริงไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มโนสำนึก”)
คนจะทำดีได้ถึงที่สุด ถ้าไม่ขาดมโนธรรมสำนึก ใช่หรือไม่ (ใช่ครับ)  รู้ผิดชอบชั่วดี มีจิตสำนึกแห่งความถูกต้อง ถ้ารู้ผิดชอบชั่วดีมีจิตสำนึกแห่งความถูกต้องอยู่เสมอว่าเราต้องใฝ่ดี มีมโนธรรมสำนึกรู้ผิดรู้ชอบตลอด เราต้องปฏิบัติเป็นคนดี การจะก้าวพลาดก็เป็นเรื่องยาก จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้ามีโอกาสอาจารย์คงได้มาผูกบุญกับศิษย์อีกดีไหม (ดี)
“รู้ดีแต่ไม่ยอมทำ      เป็นกรรมใกล้เกลือกินด่าง
เป็นคนนั้นดีทุกอย่าง  แต่ต่างคนต่างอยู่ไป
มัวแต่เข้าข้างตัวเอง   ยิ่งเร่งยิ่งทำไม่ได้
ให้ฟ้าตักเตือนมากมาย         ไม่เท่าเจ้าเตือนตัวเอง”
อย่ารู้ดีแต่ไม่ยอมทำนะ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการใกล้เกลือกินด่าง ถูกไหม (ถูก)  เป็นคนนั้นดีทุกอย่างแต่ต่างคนต่างอยู่มันไม่ดี บางทีเราต้องรู้จักมีน้ำใจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ใช่ไหม (ใช่)  จำคำอาจารย์ไว้นะศิษย์เอย ย้อนมองแก้ไขตัวเองเป็นยารักษาใจ พยายามมองหาความดีของผู้อื่นเป็นยาปรับอารมณ์เรา ให้ไม่โมโห ไม่ให้เกลียด ไม่ให้ก่อกรรม ฉะนั้นการฝึกฝนบำเพ็ญธรรมคือย้อนมองส่องตน ทำตัวเองให้ถูกต้องและดีงาม เพื่อจะได้นำพาชีวิตตัวเองไม่ทุกข์แล้วทุกข์อีก ดีหรือไม่ (ดี)  ตัวเองปฏิบัติได้ดีก็เท่ากับได้ช่วยคนอื่น ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เมื่อตัวเองมีสุข เราก็ทำให้คนอื่นมีสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไรเรายังมีทุกข์ เราก็ทำให้คนอื่นเขาทุกข์ด้วย จริงหรือไหม (จริง)
ขอให้ศิษย์นำไปปฏิบัติ ชีวิตนี้อย่าจมอยู่กับความอยากแล้วสร้างวัฏฏะเวียนว่ายไม่จบสิ้น จงมีสติยั้งคิดก่อนจะอยาก ว่าอยากไปแล้วมันก่อให้เกิดกรรม เพิ่มทุกข์เพิ่มการเวียนว่ายไหม ถ้ามันเพิ่มทุกข์เพิ่มเวียนว่าย หยุดก่อนอยากด้วยการทำวันนี้ให้ดีที่สุด วันนี้ทำได้ดีแล้ว วันข้างหน้าไม่เป็นไร แต่มนุษย์ไม่ใช่ เพราะห่วงแต่วันข้างหน้าจนลืมทำวันนี้ดีหรือยัง ใช่ไหม (ใช่)  พุทธะสอนว่ามีแค่ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ทำให้ดีที่สุด พรุ่งนี้ไม่ต้องกลัว จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนนะศิษย์ มุ่งมั่นทำในสิ่งถูกต้อง มุ่งมั่นรักษาความดีงามจนตราบลมหายใจสุดท้าย อย่าเอาความโกรธ ความเกลียด ความโลภ มาเกี่ยวกรรมแล้วสร้างวัฏฏะแห่งทุกข์ไม่จบสิ้น จงเป็นผู้ที่ใจกว้าง อภัย ใจเย็น สงบ มีสติ ทำอะไรรู้จักยั้งคิด ไม่ตกเป็นทาสของบุหรี่ อบายมุข หวย ไม่เอานะศิษย์ ใช่ไหม โชคลาภมันอยู่ที่ตัวเราแปรเปลี่ยนความคิดได้ สิ่งที่เลวร้ายก็กลายเป็นโชควาสนา ใช่หรือไม่ อาจารย์บอกวิธีไปหมดแล้ว จริงไหม ตอนนี้เหลือแต่ศิษย์อย่ามัวแต่ก้มหน้า แต่เงยหน้าแล้วทำให้ดีที่สุด ใช่ไหม (ใช่)
เลือกทางสว่าง อย่าเลือกทางมืด เมื่อไหร่ที่โดนกระทบ จำไว้ว่าจะเกี่ยวกรรมหรือจบเวรจบกรรม หรือไม่มีอะไร ว่างเปล่า อาจารย์สอนศิษย์นะ ถ้าโกรธก็เกี่ยวกรรม ถ้าคิดแค่เพียงดี ละลายหนี้กรรม มันก็ยังมีตัวตนให้ต้องทุกข์ แต่สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นมีความดับ มันเกิดแล้วมันก็จบไปแล้ว แต่ที่ไม่จบคือใจที่ยึดมั่นถือมั่นแล้วบังเกิดทุกข์ ถ้าไม่จบก็เกี่ยวกรรมกันต่อไป ถ้าไม่จบมันก็กลายเป็นไฟเผาลนใจ ฉะนั้นเมื่อโดนกระทบจงจำคำพูดอาจารย์ไว้ จะเกี่ยวกรรม จะจบกรรมหรือไม่มีอะไร ไม่มีอะไรก็คือเข้าถึงความว่าง ไร้ตัวตนให้ยึดถือ นั่นแหละเรียกว่าพระนิพพาน ใช่ไหม (ใช่)
มีโอกาสอาจารย์คงได้มาผูกบุญกับศิษย์อีกนะ แต่ศิษย์จงให้โอกาสตัวเองกลับมาผูกบุญกับอาจารย์บ้างนะ ดีไหม (ดี)  ธรรมะช่วยเยียวยาจิตใจ ธรรมะช่วยย้ำเตือนใจไม่ให้เราโลภ โกรธ หลงและเวียนว่ายในวัฏสงสารนี้ไม่จบสิ้น จงตื่นขึ้นแล้วมองเห็นความจริง อย่าทุกข์กับโลกใบนี้แต่จงรู้จักแปรทุกข์ให้เป็นหนทางพ้นทุกข์ ได้ไหมศิษย์เอย อาจารย์ไปแล้วนะ ไม่อยากจากแต่ก็ต้องจาก มีโอกาสกลับมาอีกนะ
เข้มแข็งนะ อะไรจะเกิดก็ขอให้สู้นะ ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญ นำธรรมะมาเยียวยาใจให้ใจมีหนทางที่สว่างและหาทางพ้นทุกข์ด้วยตัวเอง ไม่ตกเป็นทาสของอบายมุข ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์นะศิษย์เอย ได้ไหม (ได้)  เมื่อไร้ตัวตนให้ยึดถือ ความทุกข์อยู่ที่ใด

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มโนสำนึก”
    รู้ดีแต่ไม่ยอมทำ                               เป็นกรรมใกล้เกลือกินด่าง
เป็นคนนั้นดีทุกอย่าง                              แต่ต่างคนต่างอยู่ไป
มัวแต่เข้าข้างตัวเอง                               ยิ่งเร่งยิ่งทำไม่ได้
ให้ฟ้าตักเตือนมากมาย                            ไม่เท่าเจ้าเตือนตัวเอง

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา