แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สิงเต๋อ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สิงเต๋อ แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2561

2561-04-23 สถานธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา

  西元二〇一八年嵗次戊戌二月初七日                       仙佛慈悲訓
  วันศุกร์ที่ ๒๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑      สถานธรรมสิงเต๋อ  จ.พะเยา
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่ 
  บำเพ็ญธรรมต้องมีเสมอต้นปลาย     คือการฝึกจิตใจไม่ลุ่มหลง
อยู่ร่วมกันต้องมีรู้ปลดปลง              เมื่อไม่ลงแรงส่งพ้นอย่างไร
          เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานสิงเต๋อ กตัญชุลี
องค์มารดา                  ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  ไฟโทสะจิตใจมีนามมีรูป              สำนึกได้ไม่ร้อนวูบเป็นเพลิงเผา
คนรู้ใช้ธรรมะดั่งตัวเบาเบา             ชาญ[1]เชาวน์[2]ปัญญาไฟถูกปาฏิหาริย์แห่งสาคร[3]
มีปัญหามีทุกข์ความจริงไม่รับ          เลยนั่งนับวันเวลาคอยหลอกหลอน
แม้ฝึกจิตบำเพ็ญมากหลายขั้นตอน     แต่ไม่ถอนสลายเหตุชาติภพภูมิ
สร้างสะพานเชื่อมธรรมะที่มาสู่ใจ      จิตสบายรู้พอขาดเกินไม่กลุ้ม
ดีร้ายใดพบหายอย่าไฟสุม              ผิวมีตุ่มใดใดเป็นธรรมดาคน
คนเสมอเท่าเทียมไม่มีแตกต่าง          ธรรมไม่ต่างธรรมมีไว้หลุดพ้น
ค้นชีวิตพบโลกค้นจิตพบตน            โลกสับสนไม่อาจกระทบจิตแห่งธรรม

เกิดเป็นคนมีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อม        การรู้ยอมเสียสละได้บังเกิดธรรม
ชีวิตมีดีร้ายบ้างธรรมดาธรรม           จงรู้นำธรรมตนค้นพบทาง
อารมณ์ร้อนต้องฝึกใจให้เย็นเย็น       อย่าได้เป็นคนถือสาเกะกะขวาง
ฝึกบำเพ็ญต้องมีธรรมรู้ละวาง          ฝึกใจกลางรักษาใจตนปกติเป็น

                                                                  ฮา  ฮา หยุด



[1] ชาญ           ชำนาญ  รู้  ว่องไว  คล่องแคล่ว
[2] เชาวน์          ความเร็ว  ความไว  ความรวดเร็ว ของปัญญาความคิด
[3] สาคร           แม่น้ำ  ทะเล

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่


นั่งฟังธรรมะเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  เรามาฟังธรรมะเพื่อลดละความยึดมั่นถือมั่นใช่ไหม  ฉะนั้นถ้าเหนื่อยเพราะฟังธรรมแล้วได้ลดละความยึดมั่นถือมั่นในตัว อย่างนั้นยอมเหนื่อยดีกว่าเอาแต่สบายแต่ยึดมั่นถือมั่นความเป็นตัวของตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)  คนโบราณจึงกล่าวไว้ว่า "บางครั้งเหนื่อยแล้วสบายใจ ดีกว่าสบายใจแล้วเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้" ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้มาฟังธรรมเหนื่อยหน่อยเพราะไม่ได้ทำอะไรตามใจตัวเอง แต่ได้ลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง  สิ่งนี้ไม่ใช่หลักสำคัญในการศึกษาธรรมหรือ จริงไหม (จริง)  หลักการศึกษาธรรมคือลดละการยึดมั่นถือมั่นถูกไหม (ถูก)
เกิดเป็นคนต้องรู้จักเหนื่อยเป็น พักเป็น แต่คนในปัจจุบันนี้ที่ทำงานเหนื่อยก็เหนื่อยมากไป ส่วนที่สบายก็สบายจนไม่เคยคิดจะเหนื่อยเลย
"บำเพ็ญธรรมต้องมีเสมอต้นปลาย    คือการฝึกจิตใจไม่ลุ่มหลง
อยู่ร่วมกันต้องมีรู้ปลดปลง              เมื่อไม่ลงแรงส่งพ้นอย่างไร"
เมื่อมาฟังธรรมในวันนี้แล้ว อย่านั่งฟังกันเฉยๆ ฟังแล้วต้องลงแรงขัดเกลาที่ใจด้วย เมื่อลำบากก็ลองสู้ไม่ถอย เมื่อลำบากต้องยิ่งเชื่อมั่นศรัทธาในความถูกต้องดีงามที่ตัวเองกำลังประพฤติ ปฏิบัติ บางครั้งเราอาจจะพบหนทางที่สว่างที่เราไม่เคยเจอก็ได้ แต่ก่อนเราอยู่ในโลกเราตามใจตัวเองจนเคยชิน จนไม่รู้ว่าบางครั้งมีเรื่องขัดใจบ้าง มีเรื่องกระทบใจบ้าง มีเรื่องไม่ถูกใจบ้าง บางทีก็ทำให้ใจเราเข้มแข็งกว่าการตามใจตัวเองอยู่เนืองๆ
ต่อให้เราต้องทุกข์เพียงใด เจ็บปวดมากแค่ไหน หรือชีวิตต้องพบเรื่องราวหนักหนาสาหัสสากรรจ์เพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรขาดไปจากใจของคนที่ต้องเผชิญความยากลำบากในชีวิต นั่นก็คือรอยยิ้มและความดีงาม ใช่ไหม (ใช่)  แม้บางครั้งการรักษาความถูกต้องดีงาม จะทำให้เราโดดเดี่ยว ถูกเยาะเย้ยถากถาง แต่ถ้าเราย้อนมองตัวเองว่า การเป็นคนดีถ้าต้องโดดเดี่ยว ถ้าต้องถูกถากถาง ถ้าต้องถูกเข้าใจผิด แต่ว่าตนไม่เคยผิดต่อฟ้าดิน ไม่เคยประพฤติผิดต่อผู้คน ไยต้องเศร้า ไยต้องกลุ้มกังวล ไยต้องวิตกทุกข์ร้อนหรือง้องอนให้คนเข้าใจและรักเรา
ฉะนั้นเกิดเป็นคนแม้จะยากลำบากแค่ไหน ทุกข์ทนเพียงใด เจ็บปวดเพียงใด อย่าได้สูญหายรอยยิ้มและจิตใจที่เชื่อมั่นศรัทธาในความดีงามถูกต้องของตัวเอง แม้ต้องโดดเดี่ยวบ้าง แม้ต้องถูกเยาะเย้ยถากถางบ้าง แม้ต้องถูกเข้าใจผิดบ้าง แต่ถามตัวเองว่าเราไม่ดีอย่างที่เขาว่าไหม เราผิดศีล ขาดธรรมไหม เราประพฤติต่อเขาไม่ถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ ถ้าตรวจสอบแล้วว่าเราทำถูกต้อง ก็ไม่มีอะไรน่าละอาย ดีกว่ายอมผิดคุณธรรมในใจตน ดีกว่ายอมผิดความดีงามในใจตน เพื่อจะให้คนอื่นรัก ให้คนอื่นเข้าใจ แต่ลึกๆ กลับหดหู่ไปตลอดชีวิต เช่นนั้นถูกต้องหรือ (ไม่ถูก)  บางครั้งเพื่อให้เพื่อนรัก บางครั้งเพื่อให้ได้เงิน เรายอมผิดศีล ขาดธรรมกับคนที่เราควรมี ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งเราไม่อยากมีปัญหา เลยปล่อยให้เขาทำผิดๆ ไป อย่างนั้นถูกต้องหรือไม่ (ไม่ถูก)  แล้วเราทนอยู่กับคนที่ผิดได้ไหม (ไม่ได้)  เรายิ้มออกหรือไม่ (ไม่ออก)
มีสำนวนของปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า "ต่อให้มีแผลร้อยพัน ก็ขาดรอยยิ้มบนใบหน้าไม่ได้" ต่อให้เจ็บปวดขนาดไหนอย่าลืมให้กำลังใจตัวเอง ไม่ต้องรอให้ใครให้กำลังใจ ถามตัวเองก่อนทำถูกไหม ผิดต่อฟ้าไหม ผิดต่อผู้คนไหม ผิดต่อดินไหม ถ้าสามสิ่งไม่ผิด ไยต้องกังวลว่าใครรักหรือไม่รัก เรารักตัวเองไม่ได้หรือ ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมต้องไปกังวล ถ้าเขาไม่เข้าใจแต่เราเข้าใจว่าเราทำสิ่งที่ถูกต้อง คนอื่นไม่เข้าใจช่างปะไร ใช่ไหม (ใช่)
ในโลกนี้มีใครบ้างไม่มีปัญหา มีใครบ้างไม่มีทุกข์ แต่สิ่งที่น่ากลัวและสิ่งที่สำคัญใช่อยู่ที่ทุกข์หรืออยู่ที่ปัญหา ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ปัญหาจะใหญ่บ้าง เล็กบ้าง แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่หัวใจใหญ่ขนาดไหน พบเรื่องแย่ขนาดไหนแต่หัวใจต้องดีให้มากกว่า ทุกข์ขนาดไหนแต่หัวใจต้องสุขให้มากกว่า คนเช่นนี้แม้ปัญหามาหนักขนาดไหน แม้ความทุกข์จะใหญ่ขนาดไหนแต่เขาจะมีใจที่ใหญ่กว่าปัญหา จริงหรือไม่ (จริง)  เหตุที่ปัญหากลายเป็นปัญหาใหญ่ ทุกข์กลายเป็นทุกข์ไม่จบสิ้นเพราะหัวใจเราเล็กกว่าปัญหา ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอปัญหามาเราเลยรับไม่ได้รับไม่ไหว ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นเรื่องราวในโลกนี้ สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่ปัญหา ไม่ใช่ความทุกข์ แต่ใจของเราใหญ่กว่าปัญหาได้ไหม สุขให้ได้แม้จะทุกข์ได้ไหม ถ้าใจใหญ่ปัญหาจะขนาดไหนก็เป็นเรื่องเล็ก ถูกไหม (ถูก)  ชีวิตทุกข์อย่างไรแต่ถ้าใจจะมีสุขให้ได้ ทุกข์ก็กลายเป็นสุข  เหมือนวันนี้นั่งฟังธรรมเหนื่อยขนาดไหน แต่ถ้าใจบอกสบาย นั่งอย่างไรก็ (สบาย)  เพราะใจใหญ่กว่าถูกไหม (ถูก)  ใจมนุษย์ใหญ่ได้เท่าที่ความเชื่อมั่นศรัทธาในหัวใจตัวเอง อย่าเอาความสุข ความสบายไปฝากไว้ ไปแขวนไว้ที่ชีวิตใครเลย รักตัวเองไหม (รัก)  รักแล้วถึงเวลาทำไมเอาใจตัวเองไปให้คนอื่น รักแล้วทำไมเอาชีวิตตัวเองไปยกให้ใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่บอกว่ารักตัวเอง อยากมีสุขหรืออยากมีทุกข์ (อยากมีสุข)  แล้วการปล่อยใจให้ไปอยู่กับคนอื่นส่วนใหญ่ได้สุขหรือได้ทุกข์ (ได้ทุกข์)
“สร้างสะพานเชื่อมธรรมะที่มาสู่ใจ  จิตสบายรู้พอขาดเกินไม่กลุ้ม
ดีร้ายใดพบหายอย่าไฟสุม             ผิวมีตุ่มใดใดเป็นธรรมดาคน”
ชีวิตก็เหมือนผิว ไม่มีราบรื่นตลอด ใช่ไหม บ้างก็มีตุ่มมีเนิน บ้างก็มีดีมีร้าย จะหวังมีผิวหน้าเกลี้ยงตลอด ผิวดีตลอดเป็นไปได้ไหม ชีวิตก็เหมือนกันบางครั้งพบเจอเรื่องดี บางครั้งพบเจอเรื่องร้ายเราหลีกหนีไม่พ้น ถ้าวันหนึ่งเราต้องพบความไม่สมบูรณ์ของชีวิต ถ้าชีวิตเราต้องเจอสิ่งที่ไม่เป็นไปดังคาดคิด หรือทำให้ชีวิตไม่เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ บางครั้งเราก็รู้สึกว่าทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเกิดชีวิตเจอเรื่องไม่สมบูรณ์แบบบ่อยๆ ก็ทุกข์บ่อยหน่อย แต่ความไม่สมบูรณ์แบบกลับสอนอะไรให้กับชีวิตเรา รู้ไหม (ความไม่เที่ยงของสังขาร)  มีเรียบ มีสบาย ก็มีโรคภัยไข้เจ็บเป็นธรรมดา เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้แปลว่าชีวิตที่เป็นปกติ แสวงหาตามปกติ เมื่อพบความไม่สมบูรณ์ในชีวิตกลับทำให้เราคิดได้อย่างหนึ่ง ทำให้เรารู้อย่างหนึ่ง นั่นคือชีวิตหนีไม่พ้นสัจธรรม ความไม่เที่ยงก็คือสัจธรรม ความไม่แน่นอนก็คือสัจธรรม เมื่อสัจธรรมมาถึง มนุษย์อย่ามัวแต่ห่วงหน้าตา ห่วงทรัพย์สิน ห่วงลาภยศเงินทอง ควรประพฤติปฏิบัติเพื่อความถูกต้องดีงามตามที่ฟ้าเบื้องบนท่านได้พร่ำสอน เมื่อไรที่เราเจอความจริงของชีวิต จงตระหนักว่า "ชีวิตนี้ไม่เที่ยงนะ ชีวิตมีความเปลี่ยนแปลงนะ"  แล้วเรายังมัวที่จะรักหน้าตา ยังมัวที่จะแสวงหาเงินทอง จนทอดทิ้งคุณงามความดีหรือไม่ (ไม่)  เพราะความไม่สมบูรณ์ของชีวิต ให้บทเรียนที่ล้ำค่ากับชีวิตว่า ชีวิตมีค่าที่หน้าตา ที่เงินทอง หรือที่ความประพฤติ (ความประพฤติ) แล้วความประพฤติที่ฟ้าเบื้องบนได้พร่ำสอนให้มนุษย์เรียนรู้ปฏิบัตินั้นก็คือสัจธรรม  มนุษย์หลายคนบอกว่า "ชีวิตแค่นี้ก็พอแล้ว มีธรรมไปทำไม ปฏิบัติธรรมไปทำไม  ไม่ต้องปฏิบัติธรรมหรอก หรือไม่ต้องรู้ธรรมหรอก" ใช่หรือไม่  ถ้าคนๆ หนึ่ง ตลอดชีวิต ไม่เคยศึกษาธรรม ไม่เคยปฏิบัติธรรม เมื่อไรขาดสติ ขาดมโนธรรมสำนึก ก็ไม่มีบาปอะไรในโลกที่เขาทำไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเกิดเป็นคน ถ้าไม่มีธรรมย้ำเตือนใจ ไม่เคยนำธรรมเอามาสอนใจ ไม่เคยคิดปฏิบัติธรรมให้กับชีวิต แล้วคนๆ นี้จะมีความสำนึก ความละอายใจ ความผิดชอบชั่วดี การรู้บาปบุญคุณโทษ หรือไม่ เพราะตลอดชีวิตทำอะไรตามใจตัวเอง เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง  ฉะนั้นควรหรือไม่ควรที่จะมีธรรมยั้งใจ (ควร)  แล้วควรหรือไม่ควรที่จะปฏิบัติธรรม (ควร)  แล้วปฏิบัติธรรมที่ไหน แค่กับพระ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ทำดีแค่กับพระ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เป็นคนดีแค่ในวัด ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าต้องปฏิบัติธรรมที่ไหน (ทุกที่)  ทำไมเราจึงต้องมีธรรม เพราะถ้าไม่มีธรรม มนุษย์จะทำอะไรอย่างคนเห็นแก่ตัว  ลองขาดธรรมแค่ชั่วขณะหนึ่ง คนใจดีก็กลายเป็นคนใจร้าย ลองไม่มีธรรมสักขณะหนึ่งแล้วเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง คนใจกว้างก็กลายเป็นคนใจแคบ ฉะนั้นควรหรือไม่ควรที่จะปฏิบัติธรรม (ควร)  และควรหรือไม่ควรที่จะปฏิบัติธรรมทุกที่ (ควร)  แล้วเราปฏิบัติทุกที่หรือเลือกบางที่ (ทุกที่)  ถ้าปฏิบัติทุกที่ไม่เลือกผู้คนอย่างนั้นหมายความว่าทุกคนเราต้องมีธรรม แล้วเราปฏิบัติกับเขาแบบคนมีธรรมหรือคนมีอารมณ์ (มีธรรม)  ใช้ธรรมกับคน หรือใช้อารมณ์กับคน (ใช้ธรรม)
หลักธรรมของพุทธศาสนาสอนไว้ว่า การให้ทานใดก็ไม่ประเสริฐเท่ากับให้ธรรมะเป็นทาน แล้วเราปฏิบัติกับผู้คนด้วยเมตตาธรรม ด้วยความซื่อสัตย์ ด้วยความกรุณาปราณี หรือเราปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ คดโกงเบียดบัง หนึ่งชีวิตต้องมีธรรม เป็นสิ่งสมควรหรือไม่ (สมควร)  ถ้าเราปฏิบัติต่อเขาด้วยธรรม เขาจะรักเราไหม (รัก)  ถ้าเราปฏิบัติต่อเขาด้วยเมตตาธรรม ซื่อสัตย์ต่อเขา ให้เกียรติ ไม่โกง ไม่เบียดบังเขา เราจะมีทุกข์ไหม (ไม่มี)  แล้วทุกวันนี้ที่ทุกข์เพราะเขาไม่รักหรือเพราะเราขาดธรรม แล้วไม่มีทานใดประเสริฐเท่ากับให้ธรรมะเป็นทาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีทานใดประเสริฐเท่ากับสังฆทาน คือการทำทานที่ไม่หวังผลและไม่เจาะจงผู้รับ
ฉะนั้นเมื่อมีเคราะห์อยากจะทำบุญ อย่าทำบุญเจาะจงแค่กับพระ การที่เรามีเคราะห์เพราะเราไม่รู้จักปฏิบัติธรรมกับทุกๆ คนใช่ไหม (ใช่)  ถ้าทุกขณะมีธรรม ทุกขณะเพียรระลึกถึงธรรม เกิดเป็นคนจะประมาทในการดำเนินชีวิตไหม (ไม่ประมาท)  เกิดเป็นคนเมื่อเจอเรื่องราวผิดพลาดคาดไม่ถึง จะทุกข์เสียใจไหม แต่จะมีเกราะป้องกันภัยและมีธรรมเป็นภูมิต้านทานให้รับความจริงแห่งโลกได้ไหว แต่คนปัจจุบันนี้ไม่มีธรรม มีแต่อารมณ์ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติแต่ตามใจตามอารมณ์ เมื่อเจอเรื่องราวก็รับไม่ได้ แล้วก็เอาแต่โทษฟ้า โทษดิน โทษผู้คน ทั้งที่จริงๆ แล้ว ต้นเหตุทั้งมวลล้วนมาจาก (ตัวเรา)  ดังคำที่พระท่านสอนไว้ว่า "ปลูกแตงย่อมได้แตง ไม่สร้างเหตุจะมีผลให้ต้องรับหรือ" ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าไม่อยากรับสิ่งใดก็จงอย่าทำสิ่งนั้นกับผู้อื่น เมื่อไม่อยากให้ใครเบียดเบียนเราลองถามใจเราลึกๆ เคยเบียดเบียนผู้อื่นบ้างไหม
ถ้าไม่อยากให้เขามาแย่งของๆ เรา ลองถามใจเราลึกๆ ว่าแค่เกิดมา ลืมตาขึ้นมา ก็คิดแค่เพียงว่าวันนี้เราอยากได้อะไรของใคร  ฉะนั้นถ้าไม่อยากถูกใครลักขโมย ของรักของหวง ไม่อยากให้ใครหลอกลวง ถามท่านว่าเคยหลอกลวงตัวเองไหม วันนี้มาฟังธรรม เพื่อมาเปิดประตูใจ เพื่อให้เห็นใจตัวเอง ว่าใจตัวเองเป็นอย่างไร เพราะต้นเหตุของทุกข์ทั้งมวลล้วนเกิดจากใจของเรา เราแก้อดีตไม่ได้ เราเปลี่ยนให้คนที่เกลียดเรามารักเราไม่ได้ และเราหวังให้คนรักเรามากยิ่งขึ้นไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือไม่เพิ่มคนเกลียด โดยการทำวันนี้ให้ถูกต้องดีงามในศีลในธรรม ถ้าเราตั้งตรง มีหรือสิ่งที่ตามมาจะไม่ตรง แต่ต้องอย่าลืมว่าเราศึกษาธรรมเพื่อละความยึดมั่นลุ่มหลง ไม่ใช่ตัวเองตรงแล้วต้องบังคับให้คนอื่นต้องตรงด้วย คำโบราณจึงกล่าวว่า  "แม้หาต้นไม้ในป่าจนทั่วทุกต้น กว่าจะหาต้นไม้ที่ตรงที่สุดไม่คดเลยนั้นยังหายาก"  ฉะนั้นนับประสาอะไรกับมนุษย์และตัวเราให้มีความสมบูรณ์พร้อมก็เป็นไปได้ยาก ถ้าผิดก็แก้ไข ถูกก็มุ่งมั่นทำต่อไป อย่าสูญเสียศรัทธาความดีงามในใจตนก็พอ ใช่ไหม
แม้ความดีงามนั้นจะทำให้เราถูกเยาะเย้ยถากถางหรือต้องหยัดยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ก็อย่าสูญเสียความมุ่งมั่นศรัทธานี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ยิ่งเราเรียนรู้สัจจะความเป็นจริงมากเท่าไร ยิ่งเราพบความไม่สมบูรณ์ของชีวิตมากเท่าไร เราก็ยิ่งเห็นชัดเจนว่าโลกนี้ใครหนอดีที่สุด โลกนี้ใครหนอแย่ที่สุด เมื่อไม่ปักใจจึงทำให้เรากระจ่างแจ้งในใจว่า แล้วโลกนี้อะไรหนอคือสิ่งที่ดี อะไรหนอคือสิ่งที่ร้าย ในเมื่อสัจธรรมสอนให้เรารู้ว่าไม่มีอะไรในโลกสมบูรณ์พร้อม จริงไหม (จริง)  แต่กี่คนหนอจะกระจ่างแจ้งในใจ
อย่าเป็นคนปฏิบัติธรรม ทำบุญเก่งสวดมนต์เก่ง แต่ถึงเวลากลับไม่สามารถนำธรรมะมาขจัดทุกข์ได้เลย อย่างนั้นก็น่าเสียดาย  ฉะนั้นหลักของการศึกษาปฏิบัติคือต้องนำธรรมนั้นมาประจักษ์แจ้งในจิตใจ จนบังเกิดหนทางที่นำพาให้เราพ้นทุกข์ด้วยตัวเอง แล้วธรรมใดที่ทำให้เราหมั่นศึกษา หมั่นปฏิบัติ และอยู่ในโลกบังเกิดสุขไม่นำพาให้ต้องพบทุกข์ นั่นก็คือ "ใดใดในโลกล้วนหาสมบูรณ์พร้อมไม่" ถ้าหมั่นระลึกไว้เสมอ จะตระหนักได้ว่า มนุษย์นั้นไม่มีใครดีพร้อมสมบูรณ์
มีใครคิดว่าตัวเองดีพร้อมที่สุดบ้าง ไม่มีเลยหรือ ตัวเองเป็นคนดีที่ยังไม่พร้อมสมบูรณ์ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเคยไหมที่เห็นตัวเองชัดก็เห็นผู้อื่นชัด เราเป็นเช่นไรคนอื่นก็เป็นเช่นนั้น เรายังใจร้อนอยู่คนอื่นก็ (ใจร้อน)  เรายังขี้งกอยู่ คนอื่นก็ (ขี้งก)  เรายังขี้บ่นอยู่ คนอื่นก็ (ขี้บ่น)  ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นตัวเองชัดก็สามารถประจักษ์แจ้งตื่นรู้ความไม่สมบูรณ์พร้อมในคนได้ชัด เราก็จะไม่ปักใจเชื่อว่าทุกคนสมบูรณ์พร้อม เมื่อไม่ปักใจเชื่อแล้วจะมีใครที่เราเกลียด จะมีใครที่เรารัก จะมีใครที่เราโกรธเพราะทุกคนก็ไม่ (สมบูรณ์)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อทุกคนไม่สมบูรณ์พร้อม แล้วเรื่องราวในโลกจะสมบูรณ์พร้อมไหม (ไม่)  มีดีไปตลอดเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  มีร้ายไปตลอดเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  มีสุขไปตลอดเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  มีทุกข์ไปตลอดเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  เมื่อไม่ใช่แล้วเราทุกข์อะไร เมื่อไม่ใช่แล้วเรากำลังผิดหวังอะไร ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นทำไมจึงต้องปฏิบัติธรรมและทำไมถึงจะต้องหมั่นพิจารณาธรรม ให้ธรรมสอนใจอยู่เนืองๆ เพราะการสอนใจอยู่เนืองๆ จะทำให้เรามีภูมิคุ้มกันและทำให้เราไม่ประมาทก้าวผิดไปสร้างกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไม่โกรธจะด่าใครไหม (ไม่)  จะก่อเกิดเป็นโทสะไหม (ไม่)  แล้วจะต้องสร้างอภัยทานไหม (ไม่ต้อง)  เมื่อยังต้องอภัยแปลว่าเรายังโกรธเขานะ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะถ้ายังต้องรู้สึกให้อภัย ต้องข่มใจ แปลว่าเรายังไม่ชอบใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถึงแม้ว่าปากพูดว่าอภัยแต่ยังเอากลับมาคิดอยู่เนืองๆ นั่นใช่อภัยไหม (ไม่ใช่)
ฉะนั้นถ้าเราเอาธรรมมาพิจารณาเนืองๆ ความเห็นในธรรมความกระจ่างแจ้งในธรรมจะช่วยทำให้เราปลดทุกข์จากใจ ความเข้าใจจะทำให้เราไม่ต้องทนฝืนใจ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมจึงไม่ควรห่างไปจากชีวิต เมื่อเราเข้าใจแล้วเราก็จะรู้ว่าโลกนี้ไม่มีสูงต่ำ  ไม่มีร้ายดี  ที่คิดว่ายังมีสูงมีต่ำ มีร้ายมีดี เพราะใจท่านยึดติดชอบแบบนั้น เกลียดแบบนี้ แต่ถามว่า คนที่เราว่าน่าเกลียดนั้น น่าเกลียดจริงไหม (ไม่จริง)  เขาไม่มีอะไรดีเลยหรือ แล้วคนที่เราว่าน่ารักนั้น น่ารักที่สุดจริงหรือ (ไม่จริง)  แล้วอะไรดี อะไรร้าย อะไรทุกข์ อะไรสุข แก้ที่เขาหรือปล่อยวางที่ใจเรา แล้วให้เห็นแจ้งเสียทีใช่ไหม (ใช่)
วันนี้เราคงมาผูกบุญกับท่านสั้นๆ แค่นี้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก รอเมื่อใจสกปรกแล้วค่อยล้างหรือไม่ต้องล้างเลยเพราะไม่ผิดแล้ว ดีที่สุด จริงไหม ถ้าใจมันขุ่นแล้ว ใจมันหมองแล้วล้างยาก สู้มองเห็นชัดแล้วไม่มีอะไรทำให้ใจขุ่นเลย และไม่ต้องล้างใจเลย นั่นคือหนทางที่ประเสริฐที่สุด เพราะใดๆ ก็ไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้ายังไม่เข้าใจ พรุ่งนี้คงต้องมาศึกษาต่อนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ปลูกแตงวันเดียวไม่ได้ผลหรอกนะ การศึกษาหลักธรรมก็เฉกเช่นเดียวกัน แต่ธรรมจะบังเกิดผลได้ไม่ใช่เพียงเเค่ฟัง แต่ต้องเอามาหยั่งพิจารณาในใจตน ลองเอามาหยั่งดู เมื่อไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แล้วโลกสมบูรณ์แบบไหม เราไม่ควรด่าว่าใครไม่ดีหรือด่าว่าโลกนี้ลำเอียง นั่นคือทางที่ถูกที่สุด จริงไหม (จริง)  ถ้าใจเราพบเจอสิ่งใด เรื่องราวใดแล้วเราไม่คิดด่าใคร นั่นคือทางบำเพ็ญที่ถูกต้องที่สุด เพราะใครๆ ก็ไม่สมบูรณ์พร้อม ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อสังขารไม่สมบูรณ์พร้อม จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ความไม่สมบูรณ์พร้อมก็คือความเจ็บป่วย ความอ่อนแอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่จำเป็นต้องทุกข์เพราะเป็นความจริงแห่งสังขารที่เรียกว่าชีวิต  หนีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่พ้น เมื่อไม่สมบูรณ์แล้วจะยึดมั่นทำไม สู้ยอมรับความจริงแล้วสู้ต่อดีไหม ถึงเวลายอมแพ้ จมกับความทุกข์หรือมีใจใหญ่กว่าทุกข์ มีใจใหญ่กว่าปัญหา
วันนี้ถ้านั่งแล้วสู้ไม่ไหวแปลว่าใจเล็กนิดเดียว แต่ถ้าใจใหญ่ต่อให้นานแค่ไหนก็สู้ไหว แล้วต่อไปเมื่อชีวิตต้องเจอเรื่องยากลำบากใจ ใจเราก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น ใหญ่จนหาที่สุดไม่ได้ นั่นแหละเรียกว่าใจฟ้า ใจพระพุทธา ฉะนั้นบทเรียนของชีวิตทำให้เราทราบว่าใจเราเล็กหรือใจเราหาที่สุดไม่ได้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ


วันเสาร์ที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑           สถานธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา
  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  เวลานานภูมิธรรมกลับพ่ายนิสัย      ความเข้าใจศรัทธาจางเพราะหลงผิด
ทนไม่ได้นิสัยคนใจยึดติด                เมื่อธรรมผิดไปจากใจก็ไม่เอา
น่าสงสารศิษย์ที่ยอมทำเช่นนั้น         เมื่อใจถูกปิดกั้นพลาดความเขลา
ปฏิบัติธรรมเพื่อลดละใช่ถือเอา         ถามศิษย์เจ้าเหมือนเดิมหรือลดละจริง
         เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว      ถามศิษย์อาจารย์ คิดถึงเหมือนที่อาจารย์คิดถึงศิษย์ไหมหนอ

  หนทางคนธรรมะทางนี้สงบเย็น      จิตที่บำเพ็ญสู่ที่เดิมเลิศล้ำ
พูดธรรมใช้ธรรมกรรมดีอยู่ประจำ      ชะตากรรมเจาะใจตรึงตนด้วยสติ
ดิ้นไม่พ้นก็หนี้กรรมที่จองจำ            คติธรรมทุกธรรมไม่อาจเรียกสติ
ทุกข์ทุกวันเมื่อเคยชินไม่ตำหนิ          คราวดำริอยากพบทางออกยากเย็น
คนแปลกจากคนแยกกันไม่สามัคคี     เรื่องง่ายง่ายมากมีก็แสนเข็ญ
คนไม่คุมจิตใจตนไม่บำเพ็ญ             พูดง่ายง่ายก็ไม่เป็นทำอะไร

                                                                  ฮา  ฮา หยุด

   จิตใจมีธรรมะ  ไม่ร้อนวูบดั่งถูกไฟ  ปัญญาเป็นตัวหาร  ความทุกข์มีวันสลาย  จิตบำเพ็ญมากพอ เชื่อมธรรมะที่ขาดหาย  พบใดใดไม่เทียมเท่าค้นพบธรรม
   * โลกไม่อาจกระทบ  คนบำเพ็ญใช้ธรรมสู่ธรรม  ทางที่กรรมจะพ้น     ก็ใจตรงนี้
     ** ทุกวันเมื่อธรรมไม่เคยแยกจาก  พบคนมากคุมจิตใจไม่ง่าย  ผู้ฝึกใจนี้ไว้มากไม่ถือโทษจำ เข้าใจขึ้นมาไม่ตีถอยห่าง[1]  สังคมวุ่นจากคนพูดคนละคำ  นำธรรมพบธรรม ความวุ่นใจคลายลดลง
      โลกยังมีธรรมะ ปราชญ์นั้นแฝงเร้นทั่วไป  ช่วยคนตนเองนั้น จะต้องบำเพ็ญก่อนใคร ติดปัญหาสำคัญ การยึดเป็นเรื่องใหญ่  แม้อะไรขอให้ยอมรับเทอญ (ซ้ำ *,**,**)
      ตามธรรมะเดิน ตามธรรมะเดิน จิตเป็นสวรรค์ ความวุ่นใจคลายลดลง
ทำนองเพลง : บุพเพสันนิวาส
          ชื่อเพลง : เดินตามธรรมะ

หมายเหตุ:
  • เนื้อเพลงที่ขีดเส้นใต้ ได้มาจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เดินตามธรรมะ”
  • เนื่อเพลงท่อนสุดท้ายพระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาทในงานประชุมธรรม ฮุ้ยจื้อ จ.บุรีรัมย์ วันที่ ๓๑ มีนาคม – ๑ เมษายน ๒๕๖๑


[1] ตีถอยห่าง   หมายความว่า   ตีตัวออกห่าง



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

คนเราเวลาฟังนานๆ ก็เมื่อย  รู้เยอะๆ เหนื่อยไหม พอรู้จักคนโน้นมากรู้จักคนนี้มาก ก็เบื่อเหลือเกินใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาที่เราอยู่ในโลกเราควรรู้ ควรจะฟังอะไร และอะไรที่เราไม่ควรรู้และไม่ควรฟังเลย  (อยากรู้สิ่งที่ดีๆ และไม่อยากรู้ ไม่อยากเก็บสิ่งที่ไม่ดี)
เมื่อเราได้ฟังสิ่งใดแล้ว เราเก็บสิ่งที่ดีหรือเก็บสิ่งที่ไม่ดีเยอะกว่ากัน (ไม่ดี)  ถ้าให้นั่งนึก ใครบ้างเป็นคนดี เราจะนึกไม่ค่อยออก แต่ใครไม่ค่อยดี เรากลับนึกชื่อออกยาวเป็นหางว่าวเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครทำดีกับเรานึกไม่ค่อยออก แต่เราทำดีกับใครเรากลับจำได้ แล้วใครไม่ดีกับเรา จำได้ไหม (จำได้)
เราอยู่ในโลกนี้ เราเลือกที่จะรับรู้ และเลือกที่จะไม่รับรู้ ได้หรือไม่ (ได้)  อาจารย์อยากจะบอกว่าศิษย์ทุกคนเป็นแบบนั้นได้  ถ้าใจเราอยากเห็นอะไร มันก็จะเห็นอย่างนั้น แล้วก็จะปักใจเห็นแบบนั้น ไม่เคยเปลี่ยนไปเห็นอย่างอื่น  แล้วก็รู้อย่างเดียวว่ามันต้องเป็นแบบนั้น เหมือนเห็นคนนั้นว่าเป็นคนไม่ดี มองอย่างไรให้ผ่านไปอีกสิบปี ถึงจะรับรู้อะไรดีๆ ของเขามา ก็ยังมองเขาไม่ดี จริงไหม (จริง)
 ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่อยู่ที่คำพูดคน ไม่ใช่อยู่ที่เขาพูดดีหรือไม่ดี แต่อยู่ที่ใจและที่ศิษย์คิด  เพราะถ้ามนุษย์ปักใจเชื่อแล้วมักจะเปลี่ยนยากจริงหรือไม่ (จริง)  เวลาที่เรามองเห็นอะไรแล้วเห็นทะลุปรุโปร่งหรือไม่ (ไม่เห็น)  แต่ศิษย์กลับบอกเขาว่า “ฉันรู้ใจเธอดี” ใช่ไหม (ใช่)  แสดงว่าเราไม่เคยมองเขาจริงๆ เลย มองแต่ใจเราที่คิดว่าเขาไม่ดี ใจมันไม่ดี แม้เขาจะทำดีอย่างไรเราก็ไม่เชื่อ ฉะนั้น “รู้อะไรก็ไม่สู้รู้ใจตน เห็นใครก็ไม่สู้เห็นใจตน” ไม่ใช่แปลว่าเห็นแต่ตัวเองนะ แต่เห็นแล้วเท่าทันใจตัวเอง แล้วรู้ได้ว่าจะจัดการกับเรื่องราวอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ศิษย์เอย ศิษย์มาฟังธรรมตามที่ใจคิด หรือมากกว่า (มากกว่า)  ถ้าคิดว่าฟังธรรมะแล้วต้องเป็นแบบนี้ศิษย์ก็จะได้แค่แบบนี้ แต่หากไม่ยึดติดในการฟังธรรมะศิษย์ก็จะได้มากกว่านั้น แต่มนุษย์มักยึดติดว่าจะฟังธรรมต้องเป็นพระเทศน์ ใครมาพูดฉันก็ไม่ฟัง ใช่หรือไม่ หากเราคิดว่าใครก็ตามไม่ว่าพูดดีหรือไม่ แต่ให้แง่คิดและให้ธรรมะ เรารู้จักฟัง นั่นก็คือไม่ว่าใครพูดเราก็ได้ธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบฟังเฉพาะคนที่ตัวเองคิดว่าแบบไหนถึงจะได้ธรรม เราก็เลยเห็นธรรมได้แค่ในเฉพาะคน ไม่เคยเห็นธรรมในทุกผู้คน  เหมือนแต่ก่อนเราคิดว่าเราต้องฟังธรรมจากพระ แต่พอมาที่นี่ใครๆ ก็พูดธรรมได้ และใครๆก็ทำให้เราเห็นธรรม เข้าใจธรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นวันนี้เห็นธรรมแค่สิ่งที่อยากเห็น หรือเห็นธรรมมากกว่าที่ตัวเองคิด (มากกว่าที่คิด)  ฉะนั้นจะเห็นสิ่งใดมากกว่าก็อย่าไปปักใจเชื่ออย่างเดียว หรืออย่าเอาแต่ทำตามใจตัวเอง
เกิดเป็นคนทำอะไรต้องมีสติฉับไว แม้จะทำอะไรได้ช้า แต่ต้องรู้จัก   ฉับไวเท่าทันกิเลส อารมณ์ และความคิดของตน เรื่องของคนอื่นช้าไม่เป็นไร แต่เรื่องของใจเราต้องมีสติให้เท่าทัน  เพราะถ้าช้าไปนิด อารมณ์ชั่ววูบก็ครอบงำทำให้เราหลงผิดเสมอ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ในโลกปัจจุบันนี้ คือทำร้ายกันอย่างเลือดเย็น โดยไม่ได้ใช้มีด ไม่ได้ใช้ปืน ไม่ได้ใช้อาวุธ แค่ใช้แป้นพิมพ์ เท่านั้นเอง ข้อความที่พิมพ์ลงในโลกอินเทอร์เน็ต หรือในโซเชียลมีเดีย สามารถฆ่าคนได้จริงไหม (จริง)  เพียงแค่อยากคิด แล้วก็พูดไปตามที่คิด พิมพ์ไปตามที่คิด แล้วก็ฆ่าคนโดยไม่ทันยั้งคิดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่เจ็บปวดก็คือคนที่ทำอะไรไม่รู้จักคิด และเราก็เป็นแบบนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นศิษย์อย่าบอกอาจารย์นะว่าศิษย์เป็นคนดี ถ้าตราบใดศิษย์เป็นคนที่ทำอะไรไม่รู้จักยั้งคิด คนดีของอาจารย์ทุกคนก็พร้อมที่จะเสนอความคิด ฆ่าคนทางความคิด และทำร้ายคนทางความคิดได้ตลอดเวลา  ฉะนั้นอาวุธอะไรก็ไม่น่ากลัวเท่ากับอาวุธแห่งความคิดของคนที่ทำอะไรไม่ไตร่ตรอง ถึงจะพูดจริงแต่มันจริงแล้วเจ็บไหม (เจ็บ)  แล้วทำไหม (ทำ)  ถึงแม้เขาไม่เห็นหน้าเพราะเราพรางหน้าไว้ แต่เขาก็แช่งในใจ และบางทีโดนแช่งทั้งประเทศเลยเอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นทำอะไรต้องรู้จักยั้งคิดหน่อย
ศิษย์รู้ไหมว่ามนุษย์ทุกข์เพราะอะไร อาจารย์สมมุติว่า เวลาเขาด่าศิษย์ ศิษย์ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  ทุกข์เพราะเขาด่าหรือว่าทุกข์เพราะความคิด (ความคิด)  ศิษย์เจ็บเพราะความคิดไม่ยอมรับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์ต้องระวังและรู้จักไตร่ตรองและรู้จักใช้สติให้มากๆ ก็คือโดยส่วนใหญ่มนุษย์ในโลกทุกข์เพราะความคิดไม่ใช่ทุกข์เพราะเขาด่า แต่เพราะว่าความคิดที่เก็บเอาสิ่งที่เขาด่ามาถามตัวเอง มาย้ำตัวเอง มาต่อว่าตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาด่าจบหรือยัง (จบแล้ว)  แล้วเราจบหรือยัง (ยังไม่จบ)
อาจารย์เคยบอกไว้ว่าคำพูดไม่ดีที่ออกจากปากเรียกว่าขี้ปากใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเวลาที่ศิษย์เอาคำด่าเขามาย้อนคิดก็เท่ากับเอาขี้มาเล่นใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วศิษย์ก็ยังแบ่งขี้ให้กับคนอื่น แล้วว่างๆ ก็มานั่งเขี่ยขี้ คิดว่าทำไมเขาด่าฉัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในใจศิษย์มีขี้เยอะไหม (เยอะ)  ถ้ามีสติยั้งคิดเราจะคิดไหม (ไม่คิด)  ฉะนั้นโดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกข์เพราะความคิดที่ไม่ยอมรับ เวลาถูกว่าแล้วเนื้อเราหายไปหนึ่งชิ้นไหม (ไม่)  ใจแหว่งไปไหม (ไม่แหว่ง)  เงินหายไปไหม (ไม่)  แล้วเขาทำให้อายุเราสั้นลงไหม (ไม่)  มีแต่เราเอามาคิดตรอมใจแล้วทำให้ชีวิตตัวเองสั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด แต่ศิษย์ของอาจารย์ก็ผ่านได้ยากที่สุด แล้วจะทำอย่างไรเราจึงจะเข้าใจ
อาจารย์ถามง่ายๆ เราอยากมีชีวิตสงบหรือวุ่นวาย (อยากสงบ)  อย่างนั้นถูกว่าแค่นี้ก็จะวุ่นวายเลย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ถ้าจบมันก็สงบ ถ้าไม่ยอมจบมันก็วุ่นวายจนไม่สงบ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ตอนนี้ก็พอทำใจได้ พอถึงเวลามันทำใจไม่ทัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์คือผู้หนึ่งที่สนใจศึกษาปฏิบัติธรรมเพื่อเอาไปใช้ในชีวิต และนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์และอยู่ร่วมกับผู้อื่นให้เป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามาทำความเข้าใจธรรมง่ายๆ ก่อน ธรรมแปลว่าสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงล้วนเป็นธรรม  อย่างนั้นที่เขาด่าเราก็เป็น (ธรรม)  ที่เขาโกงเรา เอาเปรียบเรา ทำร้ายเรา ก็เป็น (ธรรม)  แต่ทำไมเรามองอย่างไรก็เป็นกรรม  เรามองว่าคนที่ทำร้ายเรา โกงเรานั้นเป็นกรรมไม่ใช่ธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าเราปักใจเชื่ออย่างไรก็จะเป็นแบบนั้น  ฉะนั้นคนโกงเราเห็นเป็นธรรมหรือเห็นเป็นกรรม (ธรรม)  หากศิษย์เห็นเป็นธรรม ศิษย์คงไม่เกี่ยวกรรม ผูกกรรมกับเขา คงไม่ด่าเขากลับ คงไม่ฝังใจกับเขา แล้วเรายังจะต้องให้อภัยโทษเขาอีกไหม ถ้าเห็นเป็นธรรมแล้วทำไมต้องให้อภัยเขาอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสิ่งที่เขาทำเป็นธรรม ใจเราก็เป็นธรรม ก็ไม่ต้องมีอะไรที่ต้องให้อภัยอีกจริงหรือไม่  แต่หากเมื่อไรที่เราต้องพยายามให้อภัย ก็แปลว่านั่นเป็นกรรม   อย่างนั้นอาจารย์ถามว่าถ้าทุกสิ่งเป็นธรรม และเราพยายามมองทุกสิ่งให้เห็นธรรม กรรมจะกลายเป็นธรรม แล้วเราอยู่เพื่อมีกรรมหรือหมดกรรม (หมดกรรม)
มนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ และเราเป็นผู้ผลิตกรรม อย่างนั้นเราจะสร้างกรรมเพิ่มหรือหยุดกรรม ฉะนั้นเวลาที่เขาด่าเราเป็นธรรมหรือเป็นกรรม (เป็นธรรม)  ถ้าศิษย์เข้าใจว่าทุกสิ่งล้วนเป็นธรรม ไม่ใช่เป็นกรรม เข้าใจธรรมหนึ่งข้อสามารถดับทุกข์ได้เลย ไม่ว่าเขาจะด่า เขาจะชม เขาจะโกหกเรา ก็เป็นธรรมอย่างหนึ่งที่ทำให้เรามองเห็นความเป็นจริง
อีกอย่างหนึ่งธรรมคือความจริงของโลกใบนี้ พอเราเห็นชัดถึงความจริง เป็นธรรมดาของโลกนี้ มีคนชมก็มี (คนด่า)  ทุกสิ่งล้วนคือความจริง ทุกสิ่งล้วนคือธรรม ฉะนั้นถ้าเรายอมรับความจริงเราก็เห็นธรรม ถ้าเราเห็นธรรมเราก็เห็นความจริง เข้าใจธรรมยากไหม (ไม่ยาก)
ศิษย์เคยได้ยินคำว่า “ธรรม” และ “คุณธรรม” หรือไม่
ธรรมกับคุณธรรม มีความหมายเหมือนกัน  ธรรมก็คือความดีงาม  คุณธรรมก็คือความดีงามอันเป็นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ฉะนั้นผู้มีธรรมหรือผู้มีคุณธรรมก็เป็นสิ่งเดียวกัน ดังนั้นเมื่อเราปฏิบัติธรรม เราจึงไม่ควรลืมคุณธรรม และไม่ควรลืมธรรม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่บางครั้งเมื่อเอามารวมกันทำให้ศิษย์แยกไม่ออก  คุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคนคืออะไร เราไม่ควรลืมไปจากใจ เพราะทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐแท้จริง และทำให้มนุษย์สมกับคำว่ามนุษย์  พระพุทธะยังกล่าวไว้ว่า  “มนุษย์ผู้มีศีล เรียกว่าคน เรียกว่าเทพ เรียกว่าพรหม”  ฉะนั้นถ้าเมื่อใดมนุษย์ขาดศีลธรรม มนุษย์ไม่อาจเรียกว่าคนได้ แต่เป็นแค่สัตว์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคน มีอะไรบ้าง (เมตตาและกตัญญู)
ในเมื่อศิษย์ตั้งใจเอาธรรมไปศึกษาปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจธรรม ธรรมอันแรกที่อาจารย์ให้ความหมายแคบๆ และมองง่ายๆ แต่ได้ใจความนั่นคือ ทุกสิ่งล้วนคือธรรม  ธรรมคือความจริงของโลก  ธรรมคือความดีงาม และหากมนุษย์รู้จักทำความดีเราก็จะไม่เกิดทุกข์  ศิษย์ชอบถามอาจารย์ว่าฟังธรรมก็พอแล้วทำไมต้องปฏิบัติธรรม นั่นเป็นเพราะการปฏิบัติธรรมคือคุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคน  การปฏิบัติธรรมทำให้เราอยู่ร่วมกับผู้คนได้อย่างสันติสุข  เหมือนสมมติว่าอาจารย์อยู่ร่วมกับศิษย์  อาจารย์ก็เอาแต่กดขี่ ข่มเหง เอาเปรียบ ศิษย์ว่าอาจารย์มีธรรมหรือไม่ (ไม่มี) แล้วอาจารย์จะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ฉะนั้นการที่เราต้องมีศีลธรรมเพราะศีลธรรมช่วยยับยั้งความชั่วในใจตน  อยากปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ แต่หากละชั่วไม่ได้ศิษย์ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าผู้ปฏิบัติธรรม และการประพฤติปฏิบัติธรรมตามคุณธรรมของความเป็นคน ทำให้คนเป็นคนประเสริฐนั่นคือศีลธรรมพื้นฐาน ศิษย์มีความเมตตาหรือไม่  ดูถูกคนหรือไม่  ให้เกียรติคนหรือเปล่า ซื่อตรงจริงใจหรือไม่  ฉะนั้นหากความเป็นคนยังปฏิบัติได้ไม่ดีอย่าพูดเรื่องหนทางพ้นทุกข์เลย เพราะศิษย์คือเหตุแห่งความผิดและสร้างเหตุแห่งความทุกข์ หากเริ่มต้นศิษย์ปฏิบัติถูก กับใครศิษย์ก็เมตตา กับใครศิษย์ก็รักเอ็นดู  กับใครศิษย์ก็ซื่อตรง  ฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมเริ่มต้นปฏิบัติพื้นฐานความเป็นคนให้ดีก่อน เป็นคนดีได้แต่ก็ยังไม่พ้นทุกข์ แค่หยุดยั้งไม่ให้มีทุกข์ใหม่เพิ่มขึ้นมา พอเข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องปฏิบัติธรรม
การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยาก  เบียดเบียนคนอื่นหรือเปล่า (ไม่เบียดเบียน)  ชีวิตเราอยู่ได้ด้วยชีวิตคนอื่นหรือไม่ ทั้งหมู ไก่ ปลา กุ้ง วัว เบียดเบียนเขาไหม เมตตาเขาไหม ถ้าศิษย์สามารถปฏิบัติธรรมแล้วมีธรรมยิ่งกว่าชีวิต คนนั้นจะไม่ใช่เป็นแค่คน ไม่ใช่เป็นแค่เทพ ไม่ใช่เป็นแค่พรหม แต่เป็นพุทธะเดินดิน แต่มนุษย์ปฏิบัติศีลธรรมแค่ระดับเสมอตัวจึงเป็นได้แค่คนหรือปฏิบัติดีขึ้นมาอีกหน่อยเรียกว่าผู้ประเสริฐ แต่พุทธะที่ศิษย์กราบไหว้ ท่านทำโดยยอมสละชีวิตเพื่อธรรม ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ ศิษย์สามารถสละชีวิตเพื่อรักษาธรรมได้หรือไม่ พระพุทธะที่ศิษย์กราบไหว้ทุกพระองค์ล้วนดำเนินทางคุณธรรมเป็นหลักในการดำเนินชีวิตและยอมสละชีวิตเพื่อธำรงรักษาคุณธรรม ท่านก็เป็นพระพุทธะ แต่มนุษย์เสียสละไม่ได้ จึงไม่พ้นทุกข์ จึงได้เพียงระดับศีลธรรมธรรมดา
มีทางไหนอีกที่จะปฏิบัติธรรมแล้วทำให้เราเข้าถึงและพ้นทุกข์ได้ ถ้าพูดถึงธรรม ธรรมเป็นกลางไม่เอียงซ้ายเอียงขวา คนที่ปฏิบัติธรรมจิตน่าจะเบาหรือหนัก จิตน่าจะใสหรือขุ่น จิตน่าจะอิสระหรือยึด ไปตรวจสอบตัวเองนะ ว่าที่เราปฏิบัติมานั้นขุ่นหรือใส หนักหรือเบา ธรรมสอนความเป็นกลาง กลางแปลว่าเห็นอะไรเราก็ยังคงเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะประสบเรื่องราวอะไรก็ยังคงสงบไม่วุ่นวาย ใครว่าอย่างไรเราก็คงเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะว่าธรรมคือความจริงอันเป็นกลาง  ตอนนี้เรารู้ความหมายของธรรมอีกอย่างหนึ่งแล้ว ธรรมคือความจริงอันเป็นกลาง ฉะนั้นถ้าเราปฏิบัติธรรม จิตเราก็ต้องเป็น (กลาง) ใส สงบ เย็น ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนว่า มีเพียงทางสายกลางอันหนึ่งเดียวที่สามารถนำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์และพบความสงบที่แท้จริง คำว่าทางสายกลางแปลว่า คงมั่นไม่เปลี่ยนแปลง สงบอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง โดนว่ามาก็คงความราบเรียบของใจอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เกี่ยวพันอะไร อะไรที่มากระทบเราไม่ผลักใส ไม่ยินดี เช่นนั้นแหละ สามารถมีธรรมและพ้นทุกข์เพราะธรรม แต่มนุษย์มักจะเอียงใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเอียงจึงเรียกว่ากรรมดี กรรมชั่ว เมื่อตรงจึงเรียกว่าธรรม ฉะนั้นถ้าถูกกระทบแล้วเอียงไปทางไม่ดีก็เรียกว่าสร้างกรรมชั่ว  แต่ถ้าเอียงไปทางดีพยายามเอาธรรมมาปลอบใจ นั่นก็เรียกว่าพยายามทำกรรมดี เพราะยังไม่สามารถเปลี่ยนแปรกรรมในใจให้กลายเป็นธรรมได้ เราจึงยังต้องคิดว่า อภัยไว้ อดทนไว้ เมตตาไว้ ขันติไว้ มันก็ยังเรียกว่ากรรมดี แต่หากปฏิบัติถึงธรรม เราจะสงบ คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง ใจจะใส และเย็น
ศิษย์มักจะบอกว่า “เกิดเป็นคนก็ต้องมีดีมีร้าย มีได้มีเสีย มีสุขมีทุกข์ จะให้ใสตลอดมันยากนะ จะให้เย็น หนูก็เย็นแล้ว แต่นับหนึ่งถึงร้อยก็ยังไม่รอดเลย ขอเอียงสักนิดหนึ่ง” ใช่หรือไม่ (ใช่)  พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ทางที่เรียกว่าสุข ทางที่เรียกว่าทุกข์ ทางที่เรียกว่าดี หรือทางที่เรียกว่าไม่ดี ล้วนเป็นทางแห่งความหลง เป็นทางของผู้ที่ติดในกามคุณ เป็นทางแห่งความไม่สงบ และล้วนเป็นทางแห่งวัฏสงสาร” ดีร้าย ได้เสีย ทุกข์สุข มันเป็นตัณหาของผู้ที่ยังลุ่มหลงของผู้ที่ยังมีตัณหา เมื่อไรที่ดีแปลว่าตัณหาเกิด เมื่อไรที่ไม่ดีก็เป็นตัณหาเกิด จริงหรือไม่ (จริง)  เห็นคนไม่สวยตัณหาก็เกิดขึ้นเพราะในใจมันชอบสวยอยู่ข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสวยไม่สวยก็มีตัณหา ฉะนั้นคำว่า ดีร้าย ได้เสีย ยังหนีไม่พ้นตัณหาและความลุ่มหลง เมื่อลุ่มหลงแล้วก็ไม่พ้นความวุ่นวายและไม่สงบสุข พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า จิตเดิมแท้ไม่เคยหวั่นไหว แต่มนุษย์หวั่นไหวเพราะตกเป็นทาสของความคิดและอารมณ์
ฉะนั้นเมื่อไรที่เราลุ่มหลง ที่จริงแล้วจิตเดิมแท้เราไม่ได้หวั่นไหว แต่เราลุ่มหลงไปตามความคิดและอารมณ์อันเป็นสาเหตุ ใช่หรือไม่ สุข ทุกข์ ดี ร้าย ล้วนคือโลก และมาจากอารมณ์ที่เรายึดติด และนำพาให้เราไม่พ้นทุกข์ ฉะนั้นเมื่อเราเจอเรื่องราวอะไรแล้วเราใช้อารมณ์ ใช้กิเลส เราก็หนีไม่พ้นทุกข์สุขดีร้ายและความวุ่นวายไม่จบสิ้น  แต่จะให้เราใช้ธรรมตลอดบางทีก็อดคิดไม่ได้ ใช่หรือไม่ เหมือนอย่างอาจารย์ยกตัวอย่างคนสองคนนี้ คนแรกหน้าบึ้ง   คนที่สองหน้ายิ้ม  ศิษย์มองเขาแล้วเห็นเป็นอย่างไร  ความรู้สึกของศิษย์ต่างกันหรือไม่ระหว่างสองคนนี้ (ต่าง) เพราะความรู้สึกของมนุษย์หากไม่ยั้งคิดศิษย์จะตัดสินทันทีว่าคนนี้ดูน่ากลัว และไม่น่ามีเรื่องด้วย จริงหรือไม่ (จริง)
แต่อาจารย์จะบอกไว้ พวกที่ภายนอกดูแข็งแต่จริงๆ ภายในอ่อนปวกเปียก  แต่พวกที่ภายนอกอ่อนปวกเปียก บางทีดื้อมาก นี่คือสิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์ในโลกปัจจุบันนี้คือ เวลาเราทำอะไร เรามักมองไม่รอบ เรามักมองไม่เป็นธรรม แต่เรามักชอบมองไปตามสิ่งที่ใจเรายึดติด สิ่งที่ใจเราคิดแล้วก็ตัดสินทันที เมื่อเราตัดสินทันที ทำให้เวลาเราทำงานอะไรกับใคร เราจึงมักเชื่อในสิ่งที่เราคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นเวลาพูดเราต้องระวังกับคนนี้ แต่กับอีกคนไม่ต้องระวัง จึงทำให้เรามักจะมีเรื่องกับอีกคนเสมอ
อาจารย์ต้องการให้ศิษย์เห็นชัดอย่างนี้ก็เพราะว่า เมื่อไรที่เวลาเราเจอเรื่องราวอะไร โดยส่วนใหญ่เราไม่ค่อยเอาธรรมมายั้งคิด แต่เราชอบคิดตามสิ่งที่ใจเรายึดติด สิ่งที่อารมณ์หรือนิสัยเราปลูกฝังมา
(พระอาจารย์เมตตาให้วาดวงกลมบนกระดาน)















อาจารย์เปรียบเทียบเรื่องง่ายๆ แต่ค่อยๆ พิจารณานะศิษย์ เมื่อมีเรื่องราวมากระทบ ถ้าเราใช้ความรู้สึกของสังขารเราก็จะรู้ว่าเจ็บ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราใช้ความรู้สึกของสังขารรวมกับความคิดจะก่อเกิดเป็นเจ็บ มีอารมณ์แล้วมีกิเลส ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่หากศิษย์รู้ธรรม ธรรมสอนให้เรารู้ สอนให้เรารู้จักรู้ ซึ่งตัวรู้มาจากจิตเดิมแท้ เวลาที่เราโดนกระทบเราแค่รู้สึก แต่ไม่คิด มันก็ไร้อัตตาตัวตนที่จะยึดถือ แต่ถ้ารู้แล้วรู้สึกแล้วคิดก็จะก็มีทั้งอัตตาตัวตน ความเจ็บของสังขารและความเจ็บใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรายังมีสังขารก็ยังต้องมีความรู้สึก ถ้าไม่รู้สึกเลยก็เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต  ฉะนั้นอาจารย์ไม่ได้ห้ามศิษย์ไม่ให้รู้สึก แต่อาจารย์ให้ศิษย์ “รู้”แต่ “ไม่คิด”  เพราะกิเลสมาจากความคิด อารมณ์มาจากความนึกคิดแห่งตัวตน ฉะนั้นเมื่อรู้แล้วแค่รู้สึก อารมณ์กับกิเลสนี้จะหายไปทันที แต่ถ้าศิษย์รู้แล้วสามารถยับยั้งชั่งใจความคิดนั่นคือรู้ แต่ไม่คิด ที่มีมันก็เหมือนไม่มี เห็นแต่ไม่คิดก็เหมือนไม่เห็น แต่ไม่เห็นแล้วคิดก็เหมือนกับเห็น เช่นผีนั้นไม่มี มองก็ไม่เห็น แต่พอเราคิด ยิ่งคิดมันก็เหมือนมีจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเราคิด เหมือนกันถ้าถูกเขาว่าเรา แต่เราไม่คิด เราก็เหมือนไม่ถูกว่าใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไม่คิด เมื่อใจว่าง สิ่งที่เกิดมันก็เหมือนไม่เกิด สิ่งที่มีก็เหมือนไม่มี
ฉะนั้นอยากฝึกการปล่อยวางตัวตน รู้สึกได้แต่ต้องไม่คิด เพราะความคิดเป็นตัวต้นเหตุของกิเลสและอารมณ์ที่อัตตาตัวตนสร้างขึ้นมา ถ้าชอบก็เป็นหลง ถ้าไม่ชอบเป็นเกลียด โกรธ หนีไม่พ้นจากความคิดที่ตัวเรายึดติด ฉะนั้นจึงสอนให้ผู้ฝึกปฏิบัติธรรม “รู้สึก” แต่ “ไม่คิด”  ก็จะตัดรากของกิเลสและอารมณ์ เพราะอารมณ์กิเลสมาจากความคิดที่เรายึดติดว่าแบบนี้ชอบ แบบนี้ไม่ชอบ และเมื่อเรายึดติดมีอัตตาตัวตนจึงก่อเกิดเป็นภพภูมิที่เรียกว่าสร้างกรรมดี กรรมชั่ว ทำดีก็รับผลของกรรมดี ทำชั่วก็รับผลของกรรมชั่ว ศิษย์คิดบวกก็แปลว่าอีกด้านศิษย์ก็ยังมีคิดลบ เมื่อศิษย์พยายามมองบวกแปลว่าในใจศิษย์รู้ว่าอะไรมันลบ มองบวกเมื่อรักมากๆ ดีมากๆ เมื่อเขาไม่เป็นดั่งใจทุกข์ไหม โกรธไหม แค้นไหม แล้วจะต่างอะไรกับการคิดลบ เมื่อคิดบวกแล้วพอไม่ได้ดั่งใจเราก็ทุกข์ ฉะนั้นเมื่อเจออะไร (รู้สึกแต่ไม่คิด)  โดนตีอย่างไรก็ยังต้อง (เจ็บ)  อย่างไรก็ยังต้องรู้สึก ยังเจ็บอยู่เป็นธรรมดา แต่เจ็บแค่สังขารไม่ได้ลงมาเจ็บที่ใจ ใจสอนแค่เพียงเรารู้และเราจะรู้แบบคนเห็นธรรม
แล้วทำอย่างไรที่จะเห็นธรรมรู้แล้วสามารถวางได้ สมมติเวลามีคนมาชี้หน้าด่าเรา แล้วก็จากไป เราโกรธไหม (โกรธ)  แต่พอมีคนมาบอกเราว่าคนที่ด่าเราเป็นคนบ้า เราเข้าใจแล้วโกรธไหม (ไม่โกรธ)  นั่นแหละสิ่งที่อาจารย์ต้องการ เมื่อเราเข้าใจธรรม เราจะรู้แล้ววางทันที เราจะแจ่มแจ้งแล้วปล่อยทันที แต่ถ้าเราไม่รู้ว่าเขาเป็นคนบ้า เราจะวางได้ ปล่อยได้ ปลงได้หรือไม่ (ไม่ได้)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท  คำว่า   “เดินตามธรรมะ”)
แล้วเราจะเอาธรรมอะไรมาพิจารณาเพื่อปลดปลง ปล่อยวาง ไม่ถือโทษไม่ถือโกรธได้  เจอเรื่องที่ไม่สมหวัง ใช้ธรรมอะไร ให้จิตใจปล่อยวางไม่ติดไม่คิดสิ่งใด (ให้จิตใจปล่อยวาง)  ศิษย์เอยอาจารย์ไม่ได้สอนให้ศิษย์ไม่คิดเรื่องการงาน  เรื่องการงานต้องใช้ความคิด แต่ถ้าเรื่องอารมณ์อย่าใช้ความคิด เพราะเมื่อไรที่ใช้ความคิดกับอารมณ์จะเหมือนสาดน้ำมันเข้าใส่ เพราะความคิดของมนุษย์ง่ายที่จะหวั่นไหวไปตามอารมณ์ และตกเป็นทาสอารมณ์  ความคิดง่ายจะไหลเอียงไปตามกิเลสอารมณ์ที่เราสั่งสม และง่ายที่จะทำให้ใจเราบิดเบี้ยว ความคิดอย่าเอาไปใช้กับอารมณ์ อย่าเอาไปใช้กับเรื่องที่ทำให้ร้อน แต่ความคิดยังมีได้สำหรับเวลาเราทำงานทำการ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เรายั้งความคิดและปลดปลงได้คืออะไร ใครตอบได้ (เดี๋ยวมันก็ผ่านไป)  ตอบได้ดีไหม (ดี)  อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ว่าสำหรับศิษย์ สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เรียกว่าธรรมะ แต่กว่าที่มันจะผ่านไปใช้เวลานาน ถ้าใจยังวางไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ปากพูดว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไปแต่ใจมันไม่รู้สึกว่าเดี๋ยวเลยนะ  ฉะนั้นจำคำพูดอาจารย์ไว้นะนี่คือคติธรรมที่ดีงาม สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับ ทุกขณะที่เกิดมันคือทุกขณะที่ดับ ชีวิตที่เรานับว่าเราเกิดมันคือชีวิตที่เราดับด้วย คำพูดที่อาจารย์กำลังพูดเป็นคำพูดที่กำลังจบในตัวของมันเอง เหมือนการที่เขาว่าเรามันจบในตัวมันแล้ว ถ้าใจเราเข้าใจว่าทุกสิ่งมันจบ อยู่กับปัจจุบันเราจะไม่ทุกข์ มีแต่คนตายเท่านั้นนะที่จมอยู่กับอดีต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบว่า (ไม่ยึดติดในสิ่งที่เราคิด)  ไม่ยึดติดในสิ่งที่เราคิดได้ไหมหนอ แล้วทำอย่างไรให้สิ่งที่เราคิดไม่กลายเป็นยึดติด เราต้องมองเห็นให้ชัด ว่าสิ่งที่เรายึดติดว่าไม่ชอบไม่ดี นั่นไม่ดีจริงไหม สิ่งที่ไม่สมบูรณ์สุดก็ไม่ใช่ว่าจะแย่สุด และสิ่งที่ดีสุดก็ไม่ได้ดีที่สุด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงธรรม)
มีใครร้องได้หรือไม่  ไหนลองฟังเสียงผู้ปฏิบัติงานธรรม ทำนองเพลงบุพเพสันนิวาส  ชื่อเพลง เดินตามธรรมะ
อย่างน้อยนำประโยคใดประโยคหนึ่งจำไว้ในใจ เหมือนประโยคที่บอกว่า “นำธรรมพบธรรม ความวุ่นใจคลายลดลง” แปลว่าเอาธรรมไปให้เขา ไปทำให้เราพบธรรมในใจเขา เราอยู่กับเขาก็ไม่มีกรรม มีแต่ธรรมที่ทำให้มนุษย์ประเสริฐ มีแต่ธรรมที่ทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ มีแต่ธรรมที่ทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข อย่าใช้กิเลส อย่าใช้อารมณ์เลย ธรรมะอย่างหนึ่งที่อาจารย์อยากให้ย้ำเตือนศิษย์นั่นก็คือ ไม่ว่าทำอะไรขอให้มีสติเป็นกำลัง

ขอให้ใช้สติยั้งคิด อย่าใช้อารมณ์เป็นใหญ่ เพราะอารมณ์ทำชีวิตพังแล้วก็ต้องเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น แล้วชีวิตนี้ศิษย์อยากวนมาเวียนว่ายตายเกิดอีกหรือไม่ (ไม่อยาก)  ถ้าอยากเวียนว่ายตายเกิดอีก แค้นใครก็จองเวรจองกรรม ไม่ต้องทำบุญ ไม่ต้องใส่บาตร ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  ถึงเวลาเราไม่จองเวร ใครด่ามาเราไม่ด่ากลับ ร้ายมาเราไม่แรงกลับ เราไม่เกี่ยวกรรมแล้วใช่หรือไม่
ฉะนั้นหนทางหนึ่งที่วันนี้ศิษย์ได้ศึกษาก็คือหนทางที่กลับสู่ความเป็นกลาง หนทางที่กลับสู่ความสงบ หนทางที่กลับสู่ธรรมอันเดิมแท้ คนที่เข้าถึงธรรม สวรรค์ก็ไป นรกก็ไม่กลัว เพราะจิตพบธรรมแล้ว อยู่ที่ไหนก็เป็นธรรม แต่ถ้าสวรรค์อยากไป นรกไม่อยากเอา แปลว่ายังแบ่งแยกยึดติด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไรที่จิตยังยึดติดแบ่งแยกว่ารักตัวเองแล้วเกลียดผู้อื่น รักตัวเอง ตัวเองถูก ผู้อื่นไม่ถูก นั่นก็ยังเรียกว่าหนทางแห่งทุกข์สุขดีร้ายที่นำพาให้ชีวิตสับสน ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้านำธรรมพบธรรม ทุกอย่างคือธรรม ทุกอย่างคือสงบ สงบของอาจารย์แปลว่าจบ แต่ถ้ายังย้ำคิดย้ำทำ ย้ำพูดย้ำจำ แปลว่าไม่จบ ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากย้ำเตือนไว้ ความเป็นจริงแห่งโลกที่สอนธรรมะเราอยู่ทุกวันคือมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และว่างเปล่า ทุกข์ก็ว่างเปล่า ทุกข์ก็ไม่เที่ยง แล้วเรากำลังทุกข์กับอะไร
ฉะนั้นคนที่จมกับทุกข์เก่าคือคนที่ตายแล้ว แต่คนที่อยู่กับปัจจุบันและมองแค่ปัจจุบันคือคนที่ยังมีชีวิต ถูกหรือไม่ (ถูก)  มีแต่คนที่ตายแล้วเท่านั้นที่จมอยู่กับอดีต อดีตเจ็บอย่างนี้  อดีตป่วยอย่างนี้ เจ็บมันเป็นของอดีต  เจ็บมันเป็นของสังขาร  แต่ศิษย์ของอาจารย์ก็ชอบเอาความเจ็บของเมื่อวานมาเจ็บต่อวันนี้ แล้วก็จำฝังใจว่าเจ็บ แล้วก็เจ็บไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  รถชนมาตั้งแต่เมื่อวาน แต่ใจมันยังฝังจำว่าโดนชน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราแก่ไหม (แก่) เราแก่แค่สังขาร เรารู้แค่สังขารว่ามันแก่ แต่ใจเราไม่แก่เลย ถ้ายังยึดติดก็แปลว่ายังอยากให้มีทุกข์อยู่ แต่ถ้าเมื่อไรเราไม่ยึดติดใดๆ  แม้กระทั่งความคิดแล้วความทุกข์มันจะเกาะใจได้อย่างไรจริงหรือไม่ (จริง)
คำว่า “เดินตามธรรมะ”  ยังเป็นชื่อของเพลงที่อาจารย์ให้ด้วยนะ  ฉะนั้นไม่ว่าทำอะไรขอให้ทำตามธรรม ทำตามควรแก่กำลัง ทำแล้วจะคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม ทำให้มีศีลธรรม ใครที่มีธรรมผู้นั้นจะไม่ตกในทุคติภูมิ ไปตามธรรมดีกว่าไปตามอารมณ์ ดีกว่าไปตามใจ ดีกว่าไปตามความคิด ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ฉะนั้นขอให้มีเพียงธรรมเสมอ สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นมีความดับ ทุกสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า มันอยู่ในตัวของมันเอง ทุกข์มันก็ไม่เที่ยง ทุกข์มันก็ว่างเปล่า แล้วเรากำลังทุกข์กับสิ่งใด เราหลงทุกข์อยู่กับความคิดใช่หรือไม่ ความคิดที่ไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมให้ใครมาด่า ไม่ยอมเจ็บ ความคิดที่ต้องมีแต่ได้แล้วเสียไม่ได้ แล้วความคิดอย่างนี้ทำให้ทุกข์ไหม (ทุกข์)
คิดแบบนี้ล้วนทุกข์ทั้งนั้น แก่ไม่ได้ เจ็บไม่ได้ เสียไม่ได้ ขาดทุนไม่ได้ ยอมไม่ได้ แพ้ไม่ได้ โง่ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะชีวิตล้วนต้องเป็นไป อย่ายึดติดแล้วลากตัวเองมาให้ทุกข์ไม่จบสิ้น สัจธรรมล้วนสอนให้เราปลดปลงและปล่อยวาง เมื่อถึงวันที่ศิษย์จะต้องปลดปลงและปล่อยวางสังขาร นั่นคือเรื่องที่ยากที่สุด จะถอนใจออกจากร่างกายนี้ได้อย่างไร จะทำอย่างไรให้สิ่งที่ศิษย์เข้าใจธรรมนั้นเป็นแค่เพียงความรู้ ความรู้ที่ไร้ตัวตน ไร้ผู้ยึดถือ ถ้าทำได้เช่นนี้ก็ดีนักแล แต่กลัวว่าแค่ถูกกระทบนิดหน่อยก็ยอมไม่ได้ น่าเสียดาย ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์อยากแจกผลไม้เพื่อเป็นสิริมงคลและให้ศิษย์เอาไปสร้างบุญต่อดีหรือไม่ (ดี)  จำไว้นะศิษย์ สร้างธรรมดีกว่าสร้างกรรม สร้างบุญดีกว่าสร้างบาป ใครจะสร้างบาปกรรมกับเราไม่เป็นไร เราถือว่าเราจะได้หมดเวรหมดกรรมกับเขาดีไหม (ดี)  เขาจะร้ายอย่างไร เราก็ขอบใจที่ทำให้ฉันได้หมดกรรม ขอบคุณที่ทำให้ฉันเข้าใจคำว่ากรรมว่ามันเจ็บขนาดไหน และฉันจะไม่มีกรรมอีกต่อไป ได้ไหม (ได้)  กรรมนั้นน่ากลัวนะศิษย์ แล้วยิ่งถ้าเป็นกรรมที่ศิษย์ตั้งใจและเจตนาทำ และเป็นกรรมที่ศิษย์ทำด้วยตัวเอง แล้วจะบอกว่าเอาบุญมาล้างกรรมได้ไหม (ไม่ได้)
อาจารย์ถามว่า อาจารย์ทำบุญกับศิษย์คนหนึ่ง แล้วอาจารย์ก็ทำบาปกับศิษย์อีกคนหนึ่ง อาจารย์นำเอาบุญที่ทำไว้กับศิษย์คนหนึ่งไปล้างบาปกับศิษย์อีกคนหนึ่ง ได้ไหม (ไม่ได้)  นั่นคือศิษย์ไปทำบาปกับอีกคน แล้วไปทำบุญกับอีกคน มันชดเชยกันไม่ได้ เหมือนกันศิษย์ไปทำบุญด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้วมาทำบุญชดเชยกัน ได้ไหม ศิษย์ไปโกงเงินเขามาเยอะๆ แล้วศิษย์มาสร้างวัด ได้ไหม ถ้าศิษย์ทำ เมื่อถึงเวลาชะตากรรมมันตกผล บุญก็คือบุญ บาปก็คือบาป หนีไม่ได้
ศิษย์บอกว่า “อาจารย์ศิษย์ขอรวยไว้ก่อน มีเงินเยอะๆ ก่อน เดี๋ยวศิษย์ค่อยมาบำเพ็ญธรรม มาปฏิบัติธรรม” ช้าไปไหม เวลาเราจะรวย จะอยาก จะมีเงิน เราต้องไปเบียดเบียนคนอื่นไหม เราโกหกบ้างไหม เราค้าขายแบบซื่อตรงไหม ถ้าศิษย์อยากตั้งใจบำเพ็ญธรรม ปฏิบัติกับผู้คน ไม่ว่าจะเป็นค้าขายหรือทำอะไร ขอให้มีความซื่อสัตย์จริงใจ เราขายสิ่งที่ดี สิ่งที่ดีที่สุดออกจากใจ สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำด้วยใจนั่นแหละขายไปแล้วเราได้บุญด้วย เพราะเราทำสิ่งที่ดีจริงๆ แต่ไม่ใช่ขายไปแล้วก็โกหก แล้วก็นำสิ่งที่ไม่ดีมาผสมสิ่งที่ดีแล้วขายในราคาเท่ากัน
ฉะนั้นเมื่อจิตเข้าถึงธรรม สวรรค์ก็ไม่กลัว นรกก็ไม่เกรง เพราะเข้าใจธรรม แต่ถ้าเมื่อไรเรายังไม่เข้าใจและปฏิบัติไม่ถึงธรรม อยากไปสวรรค์แค่ไหนก็ไปไม่ถึง หวาดกลัวนรกแค่ไหนก็ต้องลง
อย่างนั้นทำอย่างไรจึงเรียกว่า ทำดี” ทำอย่างไรเรียกว่า “ทำชั่ว” (ความดีคือมีความเมตตาต่อผู้คน ความชั่วคือมีแต่ความเกลียดชัง)  ฉะนั้นอย่าเผลอมีนะ เมตตาต้องเมตตาไม่แบ่งแยก กับใครก็ต้องเมตตา ไม่ใช่เมตตาเฉพาะลูกหลานเรา (ความดีคือเป็นคนซื่อสัตย์และจริงใจ)  ขอให้ซื่อสัตย์จริงใจไปทำอะไรก็เจริญ แต่ถ้าไม่ซื่อสัตย์ ไม่จริงใจอยู่กับใครก็ลำบาก
(ไม่โกหก)  แล้วโกหกไหม (ตอนนี้ไม่โกหก)  อย่างนั้นแสดงว่าที่แล้วมาเคยโกหก
(ค้าขายเราต้องซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ทำอะไรให้ซื่อตรง)  อาจารย์จะบอกให้นะ ค้าขายซื่อสัตย์ ซื่อตรงแล้วต้องมีรอยยิ้มบนใบหน้าด้วยนะ คำพูดต้องอ่อนหวาน อีกอย่างขายของแล้วต้องแถมด้วย ต้องรู้จักคำนวณให้เป็น อยากขายดี ต้องคิดให้เป็น เงินมาไวไปไวยังดีกว่าหนืดแล้วเงินจะไม่มานะ
(ปลูกผักไม่ใส่ยาฆ่าแมลง,ค้าขายซื่อสัตย์ ไม่คดไม่โกง,ทำสิ่งที่ทำให้เขามีความสุข)  ทำให้เขามีความสุข แต่ความสุขนั้นต้องมีหลัก มีจุดยืนของตัวเองด้วยนะ ไม่ใช่ทำให้คนอื่นมีความสุขแต่เราต้องโกหกใจตัวเองมันก็ไม่ดี
(มีเมตตา ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว, ค้าขายสุจริต หน้ายิ้ม, ทำดี ละชั่ว รักคนอื่น)  รักคนอื่นยิ่งกว่าตัวเอง หรือรักตัวเองยิ่งกว่าคนอื่น (รักคนอื่นยิ่งกว่ารักตัวเอง)
ทำดีคืออะไร (ไม่เบียดเบียน)  ไม่เบียดเบียนทางสายตา ไม่เบียดเบียนทางวาจา ไม่เบียดเบียนทางการกระทำ  ไม่เบียดเบียนทางไหน (ไม่เบียดเบียนทุกอย่าง)  ฉะนั้นถึงแม้จะพูดจริงแต่เบียดเบียนก็ไม่ดี ถึงแม้จะพูดดีแต่เบียดเบียนก็ไม่เอา
(มีความมุทิตากรุณาไม่ฆ่าสัตว์)  มีความมุทิตา กรุณาไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ยุงกัด มดมา แมลงสาปมา งูมา เราอย่าไปฆ่ามันนะศิษย์ ชีวิตสัตว์เหล่านั้นมันก็น่าสงสารอยู่แล้ว
(รู้จักสำนึกคุณ)  อาจารย์อยากให้ขยายนะ ให้รู้จักสำนึกคุณต่อทุกๆ คน  ไม่มีเขาก็ไม่มีเรา ไม่เพียงแค่สำนึกคุณพ่อแม่เท่านั้น แต่ทุกคนล้วนมีคุณ คุณที่ทำให้เราได้เรียนรู้ ทำให้เราเข้าใจชีวิต
 ตอบว่า (ช่วยเหลือสังคม)  รู้จักสละเวลาช่วยเหลือผู้อื่น ตอบได้ดีนะ แต่อาจารย์จะบอกว่าเราสามารถทำดีได้ทุกวัน แค่ทุกวันเราทำงานกับผู้คน เรายอมเขาไหม เราให้เขาไหม หรือเรามีแต่เอาแล้วก็เอา ใช่ไหม (ใช่)  ดีทุกวัน ทำดีคือใจเย็นๆ พูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล ใช่ไหม (ใช่)  ทำดีคือมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำดีคือรักษาคำพูด พูดได้ต้องทำได้ ทำดีคือไม่มีใจคิดร้ายต่อใคร ใช่ไหม (ใช่)  การรู้จักแบ่งปันก็เรียกว่าทำดี (ธรรมะเป็นทาน)  แต่ทานก็ไม่ประเสริฐเท่าศีล ศีลก็ไม่ประเสริฐเท่าสมาธิ สมาธิคือความมั่นคง และสมาธิก็ไม่ประเสริฐเท่าปัญญาที่รู้แจ้ง เห็นในความจริง  ฉะนั้นอย่ามีแค่ศีล ถ้าศีลยังไม่ครบ สมาธิยังหวั่นไหว ปัญญามันก็เลยไม่แจ่มชัด ใช่ไหม (ใช่)  ตอบว่า (ทำดีรู้จักเมตตาแล้วให้อภัย)  รู้จักเมตตาให้อภัย
ตอบว่า (ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ทำดีไม่หวังผล มีความเมตตา)
การทำบุญแค่ตั้งใจดีก็เป็นบุญกุศลแล้ว แต่ถ้าตั้งใจแล้วไม่ยึดติด ด้วยอันนี้ยิ่งสูงขึ้นไปใหญ่ แล้วไม่ต้องเอาไปนั่งสงสัยว่าพระจะเอาเงินทำบุญเราไปทำอะไร ทำแล้วทำเลยไม่ต้องคิด เพราะถ้าคิดแล้วจะกลายเป็นกิเลสมันกลายเป็นบุญที่อิงแอบไปด้วยกิเลส จะกลายเป็นบุญที่มีบาปเล็กๆ ฉะนั้นทำไปแล้วไม่ต้องคิด ก่อนทำก็ไม่คิด ระหว่างทำก็ไม่คิดก็ไม่ยึดติด ทำจบไปแล้วก็ไม่เอา นั่นแหละถึงจะเรียกว่าบุญอันบริสุทธิ์นะ ศิษย์รู้ไหมถ้าทำแล้วอดคิดเสียดาย บุญนั้นจะไม่สมบูรณ์ ถ้าทำแล้วยังอดระแวงสงสัย บุญนั้นจะกอปรไปด้วยบาปกรรม ฉะนั้นทำแล้วไม่ต้องคิด
(ใช้สตินำอารมณ์)  เมื่อสตินำอารมณ์ได้จะก่อเกิดเป็นความสงบและจะบังเกิดปัญญาเห็นความจริงอันแจ่มแจ้ง แต่โดยส่วนใหญ่อารมณ์จะบังสติ เพราะเราเอาแต่คิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  สติจะดึงใจให้เรากลับมาสู่ความเป็นกลาง แต่เมื่อไรที่เราทำอะไรแล้วเราใช้ความคิด ความคิดง่ายที่จะไหลไปตามอารมณ์ ฉะนั้นเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นให้ใช้สติเยอะๆ
แค่ศิษย์ไม่ประพฤติผิด ไม่ประพฤติชั่ว ไม่ประพฤติผิดศีล นั่นเรียกว่าคนดีที่สุดแล้ว มนุษย์พยายามจะดีแต่ไม่ละชั่วจึงไม่อาจเรียกว่าดีแท้ ฉะนั้นศิษย์แค่ไม่ทำชั่วเลยดีที่สุด ไม่เคยโกหก ไม่เคยเบียดเบียน ไม่เคยด่าใครในใจ จริงใจตลอด ซื่อตรงตลอดนั้นดีที่สุด (ความอ่อนน้อมถ่อมตน)  หยิ่งจองหองไม่มีวันดี แต่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ที่ไหนก็ดีขึ้น (ทำดีเพื่อพ่อแม่)  แค่เราทำให้สมบูรณ์ในหน้าที่ตัวเอง และรู้จักหน้าที่ตัวเองพึงกระทำนั่นก็ถือว่าเราทำให้พ่อแม่แล้ว
มีความเข้มแข็งและกล้าหาญในใจด้วยนะ (คิดดีทำดีต่อหน้าและลับหลัง)  อย่าลืมละชั่วด้วย คนส่วนใหญ่คิดดีทำดีแต่ไม่ละชั่วก็ยังไม่ได้ดีนะ (ทำดีคือการปฏิบัติต่อพ่อแม่ ทำชั่วคือไม่ตีไม่ดุด่าพ่อแม่)  จิตที่สำนึกคุณเป็นจิตที่ประเสริฐ ตื่นมารู้จักขอบคุณทุกคน ถ้าเรารู้สึกขอบคุณทุกคนเราจะไม่ด่าใคร เราจะไม่เกลียดใคร จิตนี้เป็นจิตที่ดี ปลูกต้นธรรมนี้ให้เติบโตแล้วศิษย์จะไม่ทำร้ายใครเพราะศิษย์รู้สึกสำนึกคุณคนทุกคน และศิษย์จะไม่ทำลายสาธารณะประโยชน์เพราะทุกสิ่งล้วนมีคุณต่อเรา
ตอบว่า (ไม่ลักเล็กขโมยน้อย)  แต่เคยแอบขโมยทางสายตาหรือไม่ เขาไม่ให้ดูแต่แอบดู (ไม่เคย)  ตอบว่า (ให้ทาน)  ทานยังเป็นระดับพื้นฐาน แต่ทานที่ประเสริฐที่สุด นอกจากสิ่งของคือให้ธรรมะเป็นทาน เขาโกรธมาแต่เราให้ธรรมะตอบ เขาโกงมาแต่เราซื่อตรงสุจริตตอบ คือให้ธรรมะเป็นทานที่ยิ่งใหญ่ ใช่หรือไม่ และเราทำได้ทุกที่ไม่จำเป็นจะต้องแค่ที่วัด ทุกที่ทุกคนทุกเวลาทำได้ อยู่ที่ว่าเราจะให้ธรรมะหรือให้อารมณ์ ให้ธรรมหรือให้กรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอบว่า (กตัญญูต่อพ่อแม่)  ทำให้ได้ กตัญญูต่อท่าน คำว่ากตัญญูไม่ใช่แค่ปาก เคยนวดท่านไหม ถามไถ่ท่านไหม บ่อยไหม ทำทุกวันไหม ต้องทำให้ได้ทุกวันเป็นกิจลักษณะ แค่ทำตัวดีไม่ทำให้พ่อแม่รู้สึกเป็นห่วงนั่นก็กตัญญูแล้ว และทุกวันหมั่นโทรศัพท์หาท่านบ่อยๆ แค่นี้ท่านก็ปลื้มใจแล้ว ใช่หรือไม่ ดูแลท่านบ่อยๆ ทำได้ใช่ไหม แล้วก็ต้องรู้จักคุณคนด้วยนะ รู้จักคุณคนแล้วก็รู้คุณของโลกใบนี้ แล้วศิษย์จะเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม
ตอบว่า (ทำชั่วคือไม่ปฏิบัติตามธรรมะ ทำดีก็คือปฏิบัติตามธรรมะ)  ตอบได้กว้างมากเลยนะ ทำชั่วก็คือปฏิบัติตามนิสัยกิเลสอารมณ์ ทำดีคือปฏิบัติตามธรรมชัดเจนกว่าไหม (ครับ)
ตอบว่า (การทำความดีที่บริบูรณ์และสมบูรณ์นั่นก็คือ การให้ทาน รักษาศีลให้ครบบริบูรณ์ และมีพรหมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) นั้นยังเป็นระดับศีล  วันนี้เราศึกษาถึงขนาดที่ให้ศิษย์รู้จัก โดนกระทบแล้วปกติหรือไม่ จนเกิดความสงบและปัญญาเห็นแจ้ง (เพื่อให้เกิดการปล่อยวางในที่สุด)  ที่จริงแล้วแล้วมันว่างแล้วไม่ต้องปล่อย ที่พยายามต้องปล่อยแปลว่าเราไปเผลอยึดมันไว้ ใช่หรือไม่ (ครับ)
มีใครตอบอาจารย์อีกไหม (ไม่ลืมบุญคุณของผู้มีพระคุณ)  ทำให้ได้นะเพราะทุกคนในโลกล้วนมีคุณต่อเรา เขาด่าเราก็มีคุณ เขาโกงเราก็มีคุณ เขาไม่รักเราก็มีคุณ เพราะทำให้เรารู้ว่าเราต้องอยู่ให้ได้แม้วันหนึ่งเราไม่เหลือใคร ใช่หรือไม่ (ใช่ค่ะ)  แต่เราต้องรักตัวเองให้เป็น ไม่ใช่รอให้มีแต่คนมารัก
กุศลกรรมคือ ทำแล้วไม่ยึดติดตัวตน ทำแล้วสามารถสละตัวตนได้ ทิ้งวางตัวตนได้นั่นคือกุศล สิ่งที่ศิษย์พูดขอให้เอาไปทำให้ได้จริง ไม่ใช่เพียงพูดดีแต่ทำไม่ได้นะศิษย์ ฉะนั้นอยากเป็นคนที่ศักดิ์สิทธิ์ พูดได้ต้องทำได้ แล้วเราก็จะศักดิ์สิทธิ์บนโลกใช่หรือไม่ (ใช่)  ภพภูมิของมนุษย์ถูกกำหนดเมื่อเรายังมีชีวิต ถ้าเราเป็นคนพูดจริงทำจริงเราก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าเราพูดจริงแล้วทำได้ แล้วมีคุณธรรมเหนือชีวิตนั่นก็คือพระพุทธะ และถ้าเราเห็นแจ้งแจ่มชัดในหลักธรรม เราก็คือพ้นโลกพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
จำไว้นะศิษย์ อย่ามัวแต่มองเห็นว่าตัวเองทุกข์ อย่ามัวแต่มองเห็นว่าเขาทำให้เราเจ็บ ที่เขาระเบิดอารมณ์ด่าใส่เราเพราะเราเคยทำเขาเจ็บมาก่อน ฉะนั้นเวลาโดนคนด่าให้สะท้อนถามใจตัวเองว่า เป็นเพราะฉันทำเธอเจ็บ ใช่หรือไม่ ถ้าคิดได้แบบนี้เราจะไม่โกรธเขา แต่เราจะรู้สึกผิดและขอโทษเขาทันทีว่า “ขอโทษนะ ที่ทำให้เธอเจ็บใจจนระเบิดอารมณ์แล้วด่าฉันขนาดนี้ ขอโทษจริงๆ”  ศิษย์จะแปรเปลี่ยนใจเขาได้ด้วยธรรมหล่อหลอมใจใช่ไหม (ใช่)  แต่มันต้องกลั่นออกมาจากใจเรา ที่อยากให้เขาจริงๆ ฉะนั้นมีชีวิตอยู่เพื่อให้หรืออยู่เพื่อรับ อยู่เพื่อสละละวางหรือยึดมั่นไม่ปล่อยวาง ให้ถามใจตัวเอง
อาจารย์จะดีใจมากเลย ถ้าศิษย์ปฏิบัติธรรมจนลืมความเป็นตัวเป็นตนได้ เพราะเมื่อไรที่เราสามารถละวางตัวตน ทุกข์ก็จะไม่มีที่อยู่ ใจก็ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป เพราะเราเป็นธรรม เราเป็นหนึ่งเดียวกับธรรม จึงมีคำกล่าวว่า เมื่อใดที่มนุษย์ค้นพบหลักสัจธรรมและแจ่มแจ้งในหลักสัจธรรม มนุษย์จะเป็นอิสระจากกิเลส อารมณ์ และตัวตนทันที แล้วเมื่อนั้นศิษย์ก็จะบำเพ็ญธรรมพบธรรมใช่ไหม (ใช่) ตั้งใจบำเพ็ญไปให้ถึงที่สุด อย่าเดินครึ่งๆกลางๆ อย่าพ่ายแพ้เพราะความคิดตัวเองที่ไม่น่าเป็นเลยนะ
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก สามัคคีร่วมแรงร่วมใจกัน ให้อภัยกันถ้อยทีถ้อยอาศัย หนักนิดเบาหน่อยรู้จักยอมกัน ตั้งใจบำเพ็ญ ควบคุมอารมณ์ให้ได้ ใจเย็นๆ อย่ามัวแต่ห่วงอารมณ์ รักตัวเองมากเกินไป แต่ก็ต้องรู้จักรักผู้คนให้เป็น อย่าปล่อยให้ความรักทำร้ายตัวเอง ความยากลำบากไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่ไม่สู้ รักษาสุขภาพกันให้ดี ดูแลกายใจตัวเองให้ดีนะ
ไม่มีมงคลใดประเสริฐเท่ากับรู้จักคิด รู้จักพูดในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม  รักษาความถูกต้องดีงาม รักษาบุญรักษาโอกาส หมั่นเพียรศึกษาธรรมนำพาชีวิตให้ถูกต้อง มุ่งมั่นทำให้ดี จิตใจดีรักษาไว้อย่าให้สูญหายไปจากใจ สิ่งที่ไม่ดีก็ชะล้าง รักษาความดีงามไว้ รู้จักควบคุมระมัดระวังอารมณ์ ธรรมมีอยู่ในใจ จงนำธรรมนั้นฉุดช่วยคน  เลิกสิ่งที่ไม่ควรทำ แล้วเลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ขอให้ความมงคลและความดีงามจงอยู่ในใจศิษย์ทุกคน กล้าหาญในสิ่งที่ถูกต้อง
ศึกษาธรรมแล้วต้องปฏิบัติให้ได้ เข้าใจธรรม นำพาคนให้ดีด้วยหัวใจเมตตาและกล้าหาญนะ เข้มแข็งนะ ตั้งใจอุทิศเสียสละให้เต็มที่ สมกับที่ศิษย์มุ่งมั่นตั้งใจ สมกับสิ่งที่ศิษย์มีปณิธานไว้กับอาจารย์ แล้วเราจะได้เดินไปด้วยกันและกลับคืนสู่ธรรมพร้อมกันด้วยหัวใจที่สงบเย็น ทำให้ได้ไปให้ถึงที่สุดดั่งที่ศิษย์เคยมีปณิธานไว้ อย่าลืมปณิธาน รักษาปณิธานอันนั้นไว้ด้วยหัวใจ
สิ่งที่ต้องระมัดระวังมากที่สุดคือความคิดใช่ไหม รักษาใจของพุทธะด้วยตื่นรู้ อย่าหลงตามความคิด ศิษย์ของอาจารย์มุ่งมั่นให้ถึงที่สุดนะ อย่ายอมแพ้ต่อความยากลำบาก รักษาหัวใจอุทิศเสียสละให้ยิ่งใหญ่สมกับความตั้งใจ เสียสละได้แล้วเป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่ต้องละวางให้ได้คือความเป็นตัวตน มนุษย์มีสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความยึดมั่นถือมั่นที่เรียกว่าทิฐิและอารมณ์ ฉะนั้นเวลาทำอะไรต้องระมัดระวัง อยู่ให้ห่างทิฐิกับอารมณ์แต่ใช้ธรรมให้มากที่สุด มองอย่างคนเห็นธรรม อย่ามองอย่างคนที่เห็นแต่ทิฐิ เห็นแต่อารมณ์
สิ่งใดที่ดีแล้วให้รักษาไว้ ดูแลสุขภาพตัวเองด้วย มุ่งมั่นให้ถึงที่สุด แต่อย่าเป็นคนดื้อดึงดันทุรัง มีโอกาสคงได้กลับมาผูกบุญกับอาจารย์ มาร่วมศึกษาและร่วมเดินหนทางที่นำพาให้พ้นทุกข์นะ ดีไหม ไม่ว่าจะเรื่องอะไรจำไว้อย่างหนึ่ง เรายังมีอีกหนึ่งทางคือทางตรง ทางสายกลางที่เรียกว่าธรรม ธรรมที่เรายอมรับความเป็นจริง และปฏิบัติดีให้ถึงที่สุด ทำเพื่อธรรมไม่ใช่ทำเพื่อตัวตน แต่ทำเพื่อกลับคืนสู่ธรรมที่ไม่มีตัวตนให้ยึดถือและสร้างวัฏฏะ ลองพยายามคิดไตร่ตรองในสิ่งที่อาจารย์พูด เพื่อจะกระจ่างแจ้งในธรรมสักวันหนึ่งนะ ศิษย์เอย

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เดินตามธรรมะ”
                   จิตใจมีธรรมะ  ไม่ร้อนวูบดั่งถูกไฟ  ปัญญาเป็นตัวหาร  ความทุกข์มีวันสลาย  จิตบำเพ็ญ
มากพอ เชื่อมธรรมะที่ขาดหาย  พบใดใดไม่เทียมเท่าค้นพบธรรม
              โลกไม่อาจกระทบ  คนบำเพ็ญใช้ธรรมสู่ธรรม  ทางที่กรรมจะพ้นก็ใจตรงนี้
              ทุกวันเมื่อธรรมไม่เคยแยกจาก  พบคนมากคุมจิตใจไม่ง่าย


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560

2560-03-18 สถานธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา

西元二〇一七年嵗次丁酉二月二十一日        仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐             สถานธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง 
  ความคิดผิดทำคนจมห้วงแห่งทุกข์        ความคิดถูกนำคนสุขได้ฉันนั้น
เมื่อพ้นจากความคิดทั้งสองด้าน              คือหนทางบริสุทธิ์อันแท้จริง
      
      เราคือ
  ต้าเซี่ยวฝอถง                                    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา            ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                ถามเมธีทุกท่าน หายง่วงไหม
  จิตคนตื่นไม่ใจดำทำเรื่องแย่                 ลืมตาแต่ว่าตื่นรู้ในจิตไหม
คนมีเรื่องเรื่องเอาตัวเองเป็นใหญ่            จะพูดผิดถูกก็ได้อยู่ที่เจตนา
ยอมจบไม่ไปมองจับผิดฝังจำ                 การบำเพ็ญธรรมย้อนตนแบบซึ่งซึ่งหน้า
เมื่อไม่สิ้นกรรมเวรโดนบ่นโดนว่า            ธรรมเป็นอาจิณเมื่อมีมาก็มีไป
คนกลับดินผืนแห่งจิตคืนกลับฟ้า             ข้างหน้าเหลือแต่บาปกรรมการเวียนว่าย
สติบังเกิดดั่งประกายแสงรู้ตื่นกว้างไกล    แค่รู้สำนึกไฟดับได้ในใจตน
บอกให้ปล่อยอย่าไปยึดถือยึดมั่น           คุณค่าไร้ต้องตั้งมั่นหมั่นฝึกฝน
เหมือนดั่งฝุ่นจักเป็นดินต้องเปี่ยมล้น        ทั่งหมั่นฝนคอยไม่มีโชคใดใด
                                                                                             ฮิ  ฮิ  หยุด
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง 
       “ความคิดผิดทำคนจมห้วงแห่งทุกข์     ความคิดถูกนำคนสุขได้ฉันนั้น
        เมื่อพ้นจากความคิดทั้งสองด้าน       คือหนทางบริสุทธิ์อันแท้จริง”
มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวว่า “หินหนักเมื่อคิดจะแบกฉันใด ความยึดมั่นถือมั่นในความคิดที่ปล่อยวางไม่ได้ ถ้าเรายังปล่อยวางไม่ได้มันก็หนัก
ฉันนั้น” ถ้าเรายึดกับความคิดอยู่ เรานั่งตรงนี้เราก็จะหนักเราก็จะทุกข์ แต่ถ้าเราบอกว่า “อืม ช่างมันอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”  เราฟังธรรมเพื่อเบาบาง เพื่อทำให้เกิดความสบายใจ ไม่ทุกข์ใจไม่ใช่หรือ แล้วทำไมยิ่งฟังยิ่งทุกข์ ตกลงท่านกำลังฟังธรรมหรือท่านกำลังจมกับความคิดตัวเอง (กำลังฟังธรรม)  เพื่อเบาบางใช่ไหม เพื่อโปร่งโล่งสบายใช่ไหม แต่รู้สึกว่ายิ่งฟังทำไมยิ่งหนัก

ฉะนั้นเรามาฟังธรรมเพื่อจางคลายความยึดมั่นถือมั่น เพื่อรู้จักละรู้จักปลดปลงและปล่อยวางบ้าง ใช่ไหม (ใช่)  มาฟังธรรมเพื่อศึกษาปฏิบัติธรรม ไม่ใช่มาฟังธรรมเพื่อกลับไปเป็นตัวเองเหมือนเดิมที่ไม่เคยฟังใคร ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
ธรรมะเคยสอนไว้ไม่ใช่หรือว่าให้เรารู้จักรักษาความเป็นกลาง ใช่ไหม (ใช่)  เอียงเข้าข้างตัวเองก็หลงผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอียงเข้าข้างด่าผู้อื่นก็หลงผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องอยู่ตรงกลาง อะไรจะเกิดก็ดี ใช่ไหม (ใช่) 
ทุกท่านล้วนเป็นผู้ที่ใฝ่ปฏิบัติดี ประพฤติดีให้ถึงที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่) และทุกท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่สนใจในการศึกษาเรื่องหลักธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) เช่นนั้นเรามาขอเรียนรู้ศึกษาหลักธรรมร่วมกับท่านได้หรือไม่ หลักธรรมที่ไม่ได้แบ่งแยกพุทธ คริสต์ อิสลาม เป็นธรรมอย่างเดียว หากพูดถึงธรรมแล้วเป็นกลางไม่มีการแบ่งแยก ไม่ว่าศาสนาไหน ธรรมนั้นก็สามารถเอาไปประพฤติปฏิบัติได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งที่เรามาศึกษากันวันนี้คือหลักธรรมในการดำเนินชีวิต  ในการประพฤติปฏิบัติในการเป็นคนดีให้ถึงที่สุด ศึกษาแล้วเอาไปปฏิบัติเพื่อหาทางพ้นทุกข์โดยที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาหรือลัทธิใด คือหลักธรรมอันเป็นกลางไม่เป็นของใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นเราขอถามสักข้อสองข้อ ว่า ธรรมะสอนให้เราหลงหรือเปล่า (ไม่)  แล้วทำไมเราถึงบอกว่า “วัดนั้นมีพระดี มีหลวงพ่อชื่อดัง ขอไปไหว้วัดนั้น  แต่วัดนี้ไม่มีชื่อ ไม่มีอะไรดัง เราไม่ไปไหว้ไม่ไปปฏิบัติธรรม” ตกลงธรรมสอนให้เราหลง ให้เรายึด หรือสอนให้เราไม่หลงยึด  (ไม่ให้หลง ไม่ให้ยึด)  เราไปไหว้พระเพื่อนำธรรมมาปฏิบัติ หรือไปไหว้เพราะ ท่านเป็นเกจิอาจารย์ชื่อดัง “ก็แหมท่านดังขนาดนี้ก็ต้องไปไหว้เป็นอาจารย์หน่อย” ใช่ไหม ใครที่ไม่ดังก็ไม่ต้องไหว้เป็นอาจารย์ ใช่ไหม (ไม่ใช่) 

ถ้าท่านเป็นคนหนึ่งที่สนใจใคร่ศึกษาปฏิบัติ ทำให้ถูกต้อง อย่างนั้นเราใคร่ขอถามหน่อยว่า ธรรมสอนให้เราหลงหรือไม่หลง (ไม่หลง)  ถ้าอย่างนั้นถ้าไปไหว้แล้วหลง  เรากำลังปฏิบัติถูกทางหรือผิดทาง (ผิดทาง)  ธรรมสอนให้เราคลายความยึดมั่นหรือหลงยึดมั่นถือมั่น เวลาที่เราไปไหว้พระ เราไหว้แล้วขอหรือไม่ (ขอ)  แล้วตกลงเราไปไหว้พระหรือปฏิบัติธรรมเพื่อคลายความยึดมั่นถือมั่น ไม่ลุ่มหลงหรือไปลุ่มหลงยึดมั่นถือมั่น ถ้าท่านคือคนหนึ่งที่สนใจในการศึกษาหลักธรรม ท่านคือคนหนึ่งที่สนใจศึกษาในการปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุด  ธรรมสอนให้ละหรือธรรมสอนให้ยึด  ธรรมสอนให้หลงหรือ ธรรมสอนให้เราปล่อยวางและปลดปลง (ปล่อยวาง)  อย่างนั้นตอนนี้เราหลงหรือเรายึด ใช่ไหม ท่านพูดว่า “ ที่ที่จะไปปฏิบัติ ไปไหว้ไม่เห็นมีชื่อเสียงเลย ไม่เห็นมีอะไรศักดิ์สิทธิ์เลย ไม่ไปไหว้แล้ว”  ตกลงเราศึกษาปฏิบัติดีหรือเรากำลังศึกษาปฏิบัติเพื่อหลงยึดถือ ถูกไหม อย่างนั้นเราถามหน่อยนะว่า เราเป็นคนหนึ่งที่รักการปฏิบัติธรรม รักการปฏิบัติดี เวลาเจอคนที่ปฏิบัติไม่ดี เราจะด่าเขาหรือไม่  จะแช่งหรือจะโกรธเขาหรือไม่ ไม่โกรธ ใช่ไหม อย่างนั้นเราขอถามผู้ที่ใคร่ศึกษาปฏิบัติธรรมแล้วมุ่งที่จะปฏิบัติดีหน่อย ว่า เมื่อเวลาตัวเองปฏิบัติดีแล้วเจอคนปฏิบัติไม่ดี เราจะด่าเขาหรือไม่ จะโกรธหรือจะบ่นเขาหรือไม่  ถ้าเรามุ่งปฏิบัติดี เราจะสนใจคนอื่นทำไม อย่างนั้นถามหน่อย คนที่ปฏิบัติดี เวลาโดนคนอื่นว่า ว่าไม่ดี โกรธไหม (ไม่โกรธ)  น้อยใจหรือไม่ (ไม่น้อยใจ)  เลิกทำดีไหม (ไม่เลิก)
ถ้าเช่นนั้นคนที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจะเป็นแบบนี้ไหม “ทุกคนต้องมีหน้าที่ทำดีให้กับฉัน ใครไม่ดีไม่ได้เรื่อง บอกว่าแกมันไม่ดี” ใช่ไหม  คนที่ใฝ่ดีปฏิบัติดีมักจะติดอยู่อย่างหนึ่งว่าทุกคนมีหน้าที่ต้องทำดีกับฉัน ถ้าใครทำไม่ดี คนนั้นก็ผิด คนนั้นเลว ใช่ไหม นี่คือผู้ปฏิบัติธรรมที่ใฝ่ดี ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แต่เราเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น เราพูดว่าเราปฏิบัติดี เราชอบสิ่งที่ดี แต่พอเรายึดสิ่งที่ดีมากเกินไป แล้วเราไปต่อว่าคนอื่น นั่นใช่หนทางของการปฏิบัติที่ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  ท่านนับถือพระพุทธเจ้าไหม เวลาโดนพระเทวทัตว่ากล่าว หรือโดนคนใส่ร้ายพระพุทธเจ้าเคยย้อนด่ากลับไหม (ไม่เคย)  แล้วพระพุทธเจ้าเคยแช่งชักหักกระดูกเขาไหม (ไม่เคย)  แล้วพระพุทธเจ้าเคยเคียดแค้นชิงชังเขาไหม (ไม่เคย)  พระพุทธเจ้าเคยบอกว่า “พวกเธอต้องดีกับฉัน” ไหม (ไม่เคย)  อย่างนั้นท่านเป็นศิษย์ของพระพุทธองค์ไหม ท่านทำเหมือนกันไหม
ใครๆ ก็อยากทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราต้องไม่หลงทาง ท่านต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า หลักธรรมโดยทั่วไปไม่เคยสอนให้คนหลง แต่มนุษย์มักจะหลงกับการปฏิบัติธรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)  หลักธรรมโดยทั่วไปไม่สอนให้มนุษย์ยึดติดแบ่งแยก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ชอบแบ่งแยกและยึดติด (ถูกหรือไม่)  แปลว่าหลักธรรมสอนให้เราเข้าใจชีวิต มองตามความเป็นจริง  และเรียนรู้ที่จะนำมาศึกษาและปฏิบัติดี จุดประสงค์ใหญ่ในการที่เราศึกษาธรรม หนึ่งก็คือเพื่อไม่ตกเป็นทาสของกิเลส เพื่อจะได้ไม่ต้องทุกข์บนโลกใบนี้ เพื่อสามารถพ้นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นที่เราทำดีก็เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำดีเราทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ถ้าทำแล้ว ตรวจสอบแล้ว ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติถูกต้องต่อผู้คน ถึงเวลาผลจะเป็นอย่างไรไม่ต้องทุกข์  แต่ถ้าทำแล้วศีลก็ยังขาด ธรรมก็ยังปฏิบัติไม่ชอบ มองฟ้าก็ไม่เต็มตา มองดินก็ละอายใจ อย่างนี้แปลว่ายังปฏิบัติไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าปฏิบัติดี รับผิดชอบต่อหน้าที่ ดำรงตนแห่งความเป็นคนได้ถูกต้อง มีความซื่อตรง มีมโนธรรม มีจริยธรรม ทำได้ดีแล้วถึงที่สุดเราก็ต้องปล่อยวาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเรียกว่าคลายจางไม่ยึดถือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราทำดีแล้วต้องหวังคนชมว่าดีไหม  เมื่อเราทำดีหวังผลว่าต้องได้ดีไหม (ไม่หวัง)
การปฎิบัติธรรมคือการพ้นทุกข์ แล้วเราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไรถ้าเรายังมีกิเลสแห่งความโลภและหลง ใช่หรือไม่ เพราะถ้าทำดีแล้วหวังผลก็แปลว่าเรายังโลภยังยึดติด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงนั้นทำแล้วต้องไม่ยึดถือเพราะถ้ายึดถือแปลว่าเราอยากจะมีตัวตนเพื่อกลับไปรับผลบุญแห่งการกระทำนั้นหรือพูดง่ายๆ ก็คือเราอยากกลับไปเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับผลแห่งการกระทำนั้นอีกหรือ แล้วบุญที่ทำมันพอที่จะทำให้เรากลับมารับบุญที่สมบูรณ์ไหม เราทำบุญถึงแค่ทานบารมี แล้วปัญญาเราทำถึงไหม เราทำบุญแค่ให้ทาน แต่ศีลธรรมเราครบไหม แล้วเรามั่นใจหรือว่าการทำของเราเพื่อจะกลับมารับผลบุญจะทำให้เราได้รับบุญที่ครบสมบูรณ์ ฉะนั้นท่านต้องเข้าใจหลักธรรมให้ถ่องแท้เพราะธรรมที่แท้จริงไม่ได้สอนให้คนหลง แต่คนมักหลงต่อการปฏิบัติธรรม ธรรมไม่ได้สอนให้คนยึดแต่คนมักจะยึดมั่นจนปฏิบัติธรรมผิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นธรรมจึงสอนให้เราคลายจางจากความยึดถือและทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์และดีที่สุด และมองให้เห็นความเป็นจริงอันเป็นความธรรมดาที่เรียกว่าธรรม แต่เรามองไม่ค่อยเห็น
ท่านเคยได้ยินสำนวนสำนวนหนึ่งไหมว่า “เมื่อพระอาทิตย์ฉายส่อง จันทราใช่จะลาลับ” หมายความว่า เมื่อเราเห็นสิ่งหนึ่งเกิด ใช่ว่าอีกสิ่งหนึ่งจะไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนดั่งคำว่า “เมื่อมีสุขก็ต้องมีทุกข์” แยกกันเป็นสองสิ่งไหม ก็ไม่แยก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในบางครั้งก็อาจจะอยู่ที่เดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันที่มนุษย์ชอบพูดว่า เมื่อมีฟ้าก็ต้องมี (ดิน)  ฉะนั้นเมื่อมีสิ่งที่สูงก็ต้องมีสิ่งที่ (ต่ำ)  ส่วนมนุษย์นั้นอยู่ระหว่างกลางระหว่างสูงและต่ำ  ฉะนั้นถ้าเราดำรงความเป็นคนได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าสูงหรือต่ำ เราก็อยู่ได้  แต่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น ทำไมธรรมจึงสอนให้เราเป็นกลาง ถ้าตัวเราเป็นกลาง ทุกสิ่งก็เป็นกลาง แต่ใจเราไม่เคยกลาง ใช่ไหม (ใช่)  บอกว่าเขาไม่ดี บอกว่าเขาแย่ บอกว่าเขานิสัยเสีย บอกว่าเขาเห็นแก่ตัว บอกว่าเขาเห็นแก่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็ทุกสิ่งที่เกิดล้วนเป็นธรรมอันเป็นธรรมดา ถ้าเข้าใจธรรมก็เข้าใจธรรมชาติของชีวิต  ฉะนั้นเมื่อมีสูงก็มีต่ำ และมีสูงก็ต้องมีสูงกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราไม่ยึดติดความคิดตัวเอง เราก็จะเห็นสิ่งที่สูงกว่าและสิ่งที่ต่ำกว่าจริงไหม (จริง)  แล้วเราจะรังเกียจสิ่งที่ต่ำไหม (ไม่รังเกียจ)  เพราะถ้าไม่มีต่ำก็ไม่มีสูง ถ้าไม่มีแย่อย่างเขาแล้วจะมีดีอย่างเราไหม  ฉะนั้นการเรียนรู้หลักธรรมจึงไม่ใช่เป็นไปเพื่อยึด แต่เป็นไปเพื่อคลายจางและเข้าใจความเป็นจริงจนบังเกิดธรรม  ขอเพียงท่านเปิดใจให้กว้างและกล้ายอมรับความจริงต่อชีวิตและการกระทำของตน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ลองย้อนมองดู ไม่มีใครร้าย ไม่มีใครน่ารังเกียจและไม่มีใครน่ารักเกินไป แต่คนที่ร้ายและคนที่น่ารังเกียจ และคนที่น่ารักคือตัวเราที่หาเหาใส่หัวทั้งนั้นเลย ถ้าความคิดมันบริสุทธิ์ทุกคนก็ดีหมด  แต่ถ้าความคิดมันคอยจับผิดมองแง่ดีแง่ร้ายทุกคนก็มีข้อให้ตำหนิหมด ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเปิดใจกว้างและกล้ายอมรับความเป็นจริงต่อชีวิตและการกระทำของตน และพร้อมจะมองตัวเองก่อนที่จะไปว่าใคร เราจะเข้าใจว่าไม่มีใครน่ารังเกียจเพราะตัวเราก็เคยน่ารังเกียจมาก่อน ไม่มีใครร้ายเพราะตัวเราก็เคยร้ายมาก่อนและไม่มีวันที่เราจะทำใครเจ็บเพราะเราเคยเจ็บมาก่อน เราเคยเจ็บต่อการดูถูกยังไง เราเคยเจ็บต่อการอกหักยังไง เราก็จะไม่หักอกใคร ใช่ไหม เราเคยเจ็บปวดต่อการที่ถูกคนข่มเหงเอาเปรียบ เอาแต่ใจ เอาแต่ได้ อย่างไรเราก็จะไม่เอาเปรียบ เอาแต่ใจ เอาแต่ได้กับใคร ใช่ไหม และถ้าเราเข้าใจอีกก้าวหนึ่งว่าการที่เราพยายามรักษาความดีของเรามากแค่ไหน ก็เป็นการที่ทำให้เรารู้ว่า คนที่ตรงข้ามกับความคิดเราคือคนเลว ใช่ไหม (ไม่ใช่) 
การที่พยายามยึดว่าเราเป็นคนดีมากแค่ไหนก็เท่ากับว่าเรากำลังสร้างคนไม่ดี มากเท่านั้น ใช่ไหม “ก็หนูอยากเป็นคนดี หนูอยากทำดี ก็หนูหวังดี” แต่เชื่อไหมว่าความดีที่ท่านมีอยู่ ยิ่งมากเท่าไรมันก็ยิ่งปรากฏให้คนอื่นกลายเป็นคนไม่ดีโดยที่ตัวท่านเป็นคนตัดสิน ในเมื่อไม่ชอบให้ใครมาตัดสินแล้วใยท่านจึงตัดสินผู้คนด้วยความคิดเข้าข้างตน  ฉะนั้นยิ่งถ้าท่านศึกษาธรรมมากเท่าไร ยิ่งถ้าท่านเข้าใจหลักธรรมมากเท่าไร ท่านเชื่อไหมว่าท่านจะสิ้นกิเลสโดยที่ไม่ต้องพยายามอะไรเลยแค่ “เข้าใจ”  แล้วท่านจะไม่ทุกข์กับใครเลยเพราะท่านเข้าใจ  เข้าใจในธรรมแห่งความเป็นจริงทั้งปวง
ยากหรือไม่ (ไม่ยาก) ไม่ยากเลย แค่เข้าใจธรรม แล้วธรรมที่เราพูดถึงนั้นอยู่ที่ไหน อยู่ในหนังสือ อยู่ในคนพูด อยู่ในพระไตรปิฏก ในคัมภีร์ หรืออยู่ที่ใจเรา (ใจเรา) แล้วใจแบบไหนที่ทำให้เราพบธรรม ต้องทำใจแบบไหนถึงจะเข้าถึงธรรม  มีใครตอบได้หรือไม่ (ทำจิตใจให้เป็นกลาง, ทำตัวเหมือนน้ำ) ทำตัวเหมือนน้ำที่ไหลไปได้ทุกที่  (ทำใจเป็นกลางไม่ยึดติดไม่หวังผลตอบแทน)  มีใครจะตอบอีกหรือไม่ (ทำใจให้ว่างเปล่า, ทำความเข้าใจแล้วปล่อยวาง) ตอบได้ดี
ใครตอบเราจะให้รางวัลเป็นซาลาเปา (เปิดใจให้กว้าง ทำใจให้เป็นธรรมชาติ)  ทำใจให้สบายๆ เปิดใจให้กว้าง บางคนเปิดได้ แต่ยากจะยอมรับความจริงใช่หรือไม่ สิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นธรรมได้ เพราะหัวใจมนุษย์มักจะยึดติดมั่นหมาย รู้ว่าต้องทำใจเป็นกลาง แต่ใจลึกๆ ก็รู้สึกยึดติดว่าการฟังธรรมต้องฟังพระเทศน์เท่านั้น แต่เด็กคนนี้พูดดูไม่ค่อยน่าฟัง ไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไรนะ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) บางครั้งที่เราไม่สามารถมองเห็นหรือวางใจเป็นกลางได้ เพราะมนุษย์ทุกคนมีความยึดติดมั่นหมาย มีความจำได้หมายรู้ในใจ และรู้สึกว่าที่ตัวเองรู้นั้นถูกต้องและใช่เสมอ ฉะนั้นเมื่อมีใครมาพูดตรงข้ามสิ่งที่ตัวเองมั่นหมาย เราจะรู้สึกว่าไม่ใช่  แล้วธรรมจริงๆ สอนอะไร   (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนคนหนึ่งเป็นหญิงสาว ออกมายืนหน้าชั้น)  เหมือนเรามองอะไรสักอย่างหนึ่ง ท่านมองเห็นธรรมหรือไม่ (ไม่เห็น) ไม่เห็นธรรมเลยหรือ อย่างนั้นเรารบกวนท่านอีกคนหนึ่งมายืนใกล้ๆ กัน (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนที่สูงวัยอีกคนออกมายืนหน้าชั้น) ตอนแรกท่านมองคนแรกแล้วไม่เห็นธรรม แต่พอหันมามองท่านนี้ท่านเห็นธรรมหรือไม่ (เห็นธรรม) ท่านเห็นธรรมเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
ธรรมะสอนให้เรารู้ว่าแม้อาทิตย์จะฉายแสง ก็ใช่ว่าจันทราจะลาลับหาย แต่มนุษย์มักจะไม่ค่อยเห็นธรรมหรือเห็นความเป็นจริงในชีวิตจนกว่าตัวเองจะทุกข์จนถึงที่สุด จนกว่าตัวเองจะแย่จนถึงที่สุด จนกว่าตัวเองจะเปลี่ยนแปลงและร่วงโรยจนถึงที่สุด ถ้าอย่างนั้นเราถามท่านว่า รอจนวัยชราแล้วค่อยเข้าใจธรรมถามว่าทำใจทันไหม อย่างนั้นธรรมะจึงสอนให้เรารู้ว่าการเรียนรู้หลักธรรม อย่ามองคนเป็นคน แต่จงมองคนให้เห็นซึ่งธรรมและทุกที่เราก็จะปฏิบัติธรรม แต่เรานั้นไม่ใช่ เรานั้นเห็นคนเป็นแค่คน ชีวิตก็เลยวกวนและคนไม่จบสิ้น เห็นแค่คนเป็นความชอบ ความชัง ความยึดติดในความคิดเราก็เวียนวนในอัตตาตัวตนและสร้างเมล็ดพันธุ์แห่งความอยากไม่จบสิ้น ถ้าเมื่อไรเราเห็นคนเป็นธรรม เห็นคนคือธรรมเราก็จะได้ปฏิบัติธรรมกับธรรม และเราก็จะได้พบธรรมโดยไม่ต้องรอไปวัด จริงหรือไม่
เราจะเห็นธรรมในคนได้อย่างไร เราถามท่านว่าพระอาทิตย์ฉายแสงใช่ว่าจันทราจะลาลับ ในความเต่งตึงไม่มีความเหี่ยวย่นหรือ ถ้าเราบอกว่าใครจะแต่งงานกับเขาต้องเอาคนแก่ไปด้วยอีกคนจะเอาหรือไม่  เป็นความจริงว่ามีใครที่สวยแล้วไม่สวย มีใครสวยแล้วไม่แก่  มีใครดีแล้วไม่ร้าย  มีใครน่ารักแล้วไม่น่ารังเกียจ (ไม่มี)  ฉะนั้นธรรมสอนให้เรามองเห็นความจริงที่เป็นธรรม ธรรมอันเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายนี้ และอยู่ในใจนี้ ถึงเวลาเราเกลียดเขาหรือไม่ เราก็เคยทำตัวน่ารังเกียจใช่หรือไม่  ถึงเวลาเราชอบเขาหรือไม่ เพราะเราก็เคยทำตัวน่ารัก  แต่ถ้าเรามองเห็นความจริงเราก็จะไม่รักใครมาก ไม่ชอบใครมาก ไม่เกลียดจนกลายเป็นความโกรธที่ดับไฟสุมทรวงไม่ลง  ไม่รักจนกลายเป็นความหลง เพราะเรามองเห็นความจริงที่ว่ามันมีอะไรที่มากกว่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเรียนรู้ธรรมจงมองให้เห็นธรรม อย่างมองเห็นแต่ความเป็นคน เพราะเมื่อไรพบความเป็นธรรมเราก็จะมีธรรมในตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง) แต่เรามักจะพบกิเลส ความโกรธ ความโลภ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งที่เราพูดวันนี้ไม่ใช่เรื่องยากเลยนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นการเรียนรู้ปฏิบัติธรรมจึงสำคัญที่การกล้ายอมรับความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น จนบังเกิดเห็นธรรม ไม่ใช่เห็นนิสัยเห็นตัวตน การศึกษาหลักธรรมจึงไม่ใช่แค่มองออกหรือปฏิบัติเท่านั้น แต่ยังเป็นการที่จะปฏิบัติภายนอกและตรวจสอบภายในจิตใจของตัวเอง ว่าเราเข้าใจธรรมะถูกต้องเพียงใด พรุ่งนี้คงได้มาศึกษาธรรมกันต่อนะ มีโอกาสโปรดติดตามตอนต่อไปนะ ดีไหม ฟังธรรมวันเดียวไม่มีวันตื่นรู้ได้ จนกว่าที่เราจะกระแทก กระแทก จนมันทะลุเข้าไปถึงใจนะ เราจะบอกให้ท่านรู้อีกอย่างหนึ่งว่าธรรมที่แท้จริงไม่ได้อยู่ภายนอก แต่อยู่ที่การเรียนรู้และย้อนมองกลับมาสู่ภายในและมองจนเห็นว่าหัวใจเรามันไม่มีตัวตน แต่หัวใจเราคือธรรม เมื่อพบธรรมในตนก็จะพบธรรมในผู้คน เมื่อยังพบความเป็นคนก็ยังหนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด เราอยากจะพบธรรมในตนและพบธรรมในผู้คนแล้วพ้นทุกข์หรือไม่
ฉะนั้นสิ่งสุดท้ายที่เราจะบอก พุทธะจึงบอกว่าอยู่ในโลกจงมองให้ บังเกิดธรรมเพราะการมองให้บังเกิดธรรมทำให้เราคลายกิเลสสิ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าเรายังมองแบบยึดติดในความเป็นคน คนยังมีเปลี่ยนแปลง คนยังมีพลิกผัน คนยังมีความไม่แน่นอน แต่ไม่เหมือนการพบธรรม ทำให้เราดับทุกข์ สิ้นทุกข์ สิ้นกิเลส โดยตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เข้มแข็งได้ด้วยตนไม่จำเป็นต้องยืมขาใครยืน เมื่อเราสุขได้ เราก็ทำประชาราษฎร์สุขได้ เมื่อเราพ้นทุกข์ได้เราก็ทำให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ได้ ใช่ไหม

วันอาทิตย์ที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐             สถานธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง 
  ทบทวนให้เป็นคุณโลกต้องการสุข        ไร้ดุลย์ญาณต้องทุกข์จนชอบฝันใฝ่
กายใจจิตสมบูรณ์จะไม่โลภอยากได้        ฟื้นสำนึกได้อะไรอะไรก็ดีขึ้นเอง
มีสำนึกดีก็ดีได้ศีลเป็นหลัก                    คิดเรื่องยากก็ต้องคิดแบบไม่เร่ง
คิดไม่เป็นง่ายคิดเข้าข้างตัวเอง               ใจจะได้คิดดีเองถ้าคิดบวก
      
      เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                                 รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา            ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคน คิดถึงกันไหม
       บางทีก็เรื่องเดิม  เหตุการณ์ก็เหมือนเดิม  อารมณ์ก็เดิมเดิม  คนเดิมไม่เคยไปไหน  ในความกลุ้มหนักหนาเหมือนไม่ได้หายใจ  ความจริงที่เข้าใจไม่ชี้ให้รอดปม
       *วังวนเรื่องนั้นนั้น   ต้องทำใจแก้ไข   ความโลภหลงรักตักตวงไปตั้งเท่าไหร่   แค่วันละหน่อย แค่วันละหน่อย  ไม่มัวแต่คอย แก้ได้แก้ไป
       **แค่รู้เท่านั้นไม่ได้ฝึกตัวเอง  บางเรื่องก็ยังปิดไว้  แค่รู้เท่านั้นไม่ได้ฝึกบำเพ็ญ  ง่ายเลยไม่เคยง่ายดาย  แค่คิดเท่านั้นไม่ได้ลงมือทำ  ศิษย์ทำให้สายไป  เรื่องบางที
ที่ใช้เพื่อบำเพ็ญ 
       ยากที่ทำไม่รู้  หยุดใจก็ไม่เป็น  ไม่เย็นก็ต้องเย็น  ถ้าตั้งใจจะดีขึ้นเอง
ทำนองเพลง   แค่รู้ว่าฉันไม่ได้อยู่คนเดียว
ชื่อเพลง   เรื่องเดิมที่ไม่เหมือนเดิม
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง 
วันนี้อาจารย์มีเรื่องคุยกันนิดหน่อยก่อนที่จะมารู้จักกัน ดีไหม (ดี)  ศิษย์เกิดเป็นคน เรายกตัวเองได้ไหม ชมตัวเองได้ไหม  อาจารย์เคยได้ยินแต่ว่าในโลกนี้เรายกใครก็ยกได้แต่ยกตัวเองไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอย ถ้ายกตัวเองเขาเรียกว่าหลงตัวเอง ฉะนั้นไม่ต้องให้ตัวเองพูด ให้คนอื่นพูดเขาเรียกว่าสรรเสริญ แต่ถ้าตัวเองชมตัวเองเขาเรียกว่าบ้ายอ หลงตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเชื่ออาจารย์นะ เกิดเป็นคนศิษย์ไม่ต้องชมตัวเอง ให้คนอื่นเขาชมดีกว่า ให้คนอื่นเขาพูด ให้เขาเห็นคุณค่าเรา เรียกว่าสรรเสริญ
ถ้าชมตัวเองเขาเรียกว่า “ยกตนข่มท่าน” คุณค่ามันต่างกันเลยนะ จริงไหม

สมมติว่าถ้าเราเห็นคนอื่นไม่ดี เราควรว่าเขาไหม (ไม่ควร)  ควรนินทาเขาไหม (ไม่ควร)  ควรพูดถึงเขาไหม (ไม่ควร)  ถ้าตัวเราเองไม่ดีล่ะ ควรพูดออกมาไหม หรือเก็บไว้ (ควรพูด)  อาจารย์จะบอกนะว่าเรื่องคล้ายๆ กันแต่ว่าการกระทำไม่เหมือนกันจะให้คุณค่าต่างกัน ศิษย์รู้ไหมอาจารย์จะเตือนให้ฟัง เรื่องไม่ดีของตัวเอง เรากล้าพูด เรากล้าเปิดเผย เขาเรียกว่าคนๆ นั้นมีจิตสำนึกดี รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักถูกต้องชอบธรรม เพราะตัวเองยังกล้าว่าตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนเรามักจะกลับกัน ชมตัวเองแต่ไม่กล้าว่าตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเราพูดเรื่องคนอื่น เขาเรียกว่าเป็นพวกแล้งน้ำใจ มีนิสัยอันธพาลชอบจับผิด ชอบมองแง่ร้าย “กับฉันเธอยังนินทาคนอื่นให้ฉันฟังเลย แล้วเดี๋ยวไปกับคนอื่นเธอจะเอาเรื่องฉันไปนินทาให้คนอื่นฟังหรือเปล่า” ถ้าจะพูดอะไรไม่ต้องชมตัวเอง กล้าติตัวเองแล้วคนอื่นเขาจะให้เกียรติ ถูกหรือไม่ อย่าเผลอเอาความไม่ดีของคนอื่นมาพูดเพราะไม่อย่างนั้นเขาจะว่าเราใจดำ ไม่มีน้ำใจนักกีฬา เขาแพ้แล้วเขาผิดแล้วยังเหยียบย่ำซ้ำเติม ถูกไหม (ไม่ถูก) 
เมื่อทำดีแล้วต้องงำประกายไม่สำแดงเด่น เพราะถ้าอวดสำแดงเด่นสักวันจะเป็นภัย เหมือนคนอวดตัวว่าเก่ง อันตรายแน่ๆ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอย่าไปอวดตัว ไม่อวดว่าตัวเองฉลาด จะมีใครมาชี้หน้าด่าว่า “ไอ้โง่” ไม่อวดตัวว่าร่ำรวย ใครจะชี้หน้าด่าเราว่า “ไอ้ขี้เหนียว”
คนในสมัยโบราณ ไม่ค่อยทุกข์ร้อนกับการดำเนินชีวิตมากเท่าไรใช่ไหม มีแค่ไหนก็กินแค่นั้น ทำแค่ไหนก็ได้แค่นั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดูเป็นชีวิตที่สงบเงียบเรียบง่ายแล้วก็สบายไม่เร่งรีบไม่รีบร้อน ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นมีคำกล่าวคำหนึ่งของคนโบราณที่เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าเราไม่รักชีวิตมากมายเมื่อความตายมาถึงเราก็ไม่เกลียดกลัว เราก็ไม่ดิ้นทุรนทุราย” เกิดมาอย่างไรเราก็ตายไป เมื่อไม่รักมาก ถึงเวลาจะจากก็จากได้ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
คนโบราณยังกล่าวต่ออีกว่า “เมื่อไรที่เราไม่หลงชื่นชมในสังขารตัวเองมาก การอยู่ก็ไม่วุ่นวาย การจากไปก็สงบเรียบง่าย”

“คนโบราณเมื่อรู้ว่าตัวเองมาจากไหนก็ดำเนินชีวิตแบบไม่ต้องพยายามไปสิ้นสุด ที่ใด” เมื่อไม่รักชีวิตก็ไม่เกลียดกลัวการไร้ชีวิต เมื่อไม่ชื่นชมในสังขารมากมายก็ไม่วุ่นวายและสามารถสงบเมื่อจากไป เมื่อรู้ว่าตัวเองมาจากไหน ที่เดิมตัวเองคือที่ใด ก็ไม่พยายามดำรงชีวิตอยู่เพื่อค้นหาว่าตัวเองต้องไปไหน เข้าใจไหม แต่มนุษย์ไม่ใช่ แต่ศิษย์อาจารย์ไม่ใช่ รักตัวเองมากก็กลัวตายมาก ชื่นชมลุ่มหลงในสังขารตัวเองมากก็วุ่นวายและสงบได้ยาก ถามว่าตัวเองมาจากไหนและตัวเองจะไปที่ใดก็ยังไม่รู้ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามนะ  คนที่รักตัวเองมากกลัวตัวเองตายเหลือเกิน คนที่หลงตัวเองมากแล้วก็วุ่นวายสาละวนเพื่อความหลงตัวเองนี้ ถามจริงๆ นะ รู้ไหมตัวเองมาจากไหน (ไม่รู้)  ไม่รู้เลย ศิษย์จึงพยายามไปหา “ฉันจะต้องไปสวรรค์ให้ได้ ฉันจะต้องไปนิพพานให้ได้” อาจารย์จะบอกให้ว่ามนุษย์โดยส่วนใหญ่มักจะบอกว่า ถ้าคิดดีหน่อยหนูก็มาจากฟ้าเบื้องบน ไม่เทพก็เทวดาองค์ไหน ถ้าคิดแย่หน่อย หนูก็อาจจะมาจากนรกเบื้องล่างไม่รู้ปีศาจ
ตนใดมาเข้าสิง”  อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ไขความกระจ่าง ศิษย์เอย
ถ้าศิษย์ไม่ลืมว่าศิษย์มาจากไหน ศิษย์จะไม่ต้องพยายามดิ้นรนเพื่อไปสิ้นสุดที่ใด อาจารย์จะตอบให้ไหมว่าศิษย์มาจากไหน

เรามาจากธรรม และเราก็กำลังกลับสู่ธรรมเรามาจากธรรม เราไม่ได้มาจากฟ้า เราไม่ได้มาจากนรก แต่เรามาจากธรรม เพื่อกลับคืนสู่ธรรม  แต่มนุษย์ลืมไป คิดว่าเราไม่ได้มาจากธรรม เรายังมีตัวมีตน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถ้าเราไม่ลืมว่าจริงๆ แล้วเรามาจากธรรม ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องทำอะไรมาก สักวันเราก็ต้องกลับคืนสู่กระแสแห่งธรรม 
แต่ที่เรากลับคืนสู่กระแสแห่งธรรมไม่ได้ กลับสู่ความว่างเปล่าที่แท้จริงไม่ได้เพราะอะไร  เคยคิดไหม  เราคิดแต่เพียงว่าวันนี้เราจะกินอะไรแค่นั้นเอง
ใช่ไหม  สังขารศิษย์ยังห่วง แล้วถ้าศิษย์เชื่อมั่นว่าตัวเองมีจิตญาณ แล้วศิษย์ไม่ห่วงจิตญาณของตัวเองหรือ ว่าจะไปไหน และจะกลับที่ไหน  ถ้าจะกลับบ้าน แล้วบ้านอยู่ไหน หาบ้านของตัวเองเจอหรือยัง  อาจารย์จะบอกว่า
ที่แท้จริงจิตญาณมีธรรมเป็นบ้าน
มีธรรมเป็นจิต และมีธรรมเป็นตัวตนที่แท้จริง  แต่เรามักชอบเอาตัวตนมาเกาะเกี่ยวผูกพัน แล้วบอกว่าเราไม่เห็นธรรม เห็นแต่คนแบบนี้ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้น ตัวแบบนี้ที่เอามาบังธรรมนั้นมันมีธรรมอยู่ไหม (ไม่มี)  แล้วมันมีธรรมเป็นใจเดิมแท้ไหม (ไม่มี)  ไม่ว่าเหนือใต้ตะวันออกตะวันตก ไม่ว่ารวยจน ไม่ว่าคนภาคไหน ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าแก่ ทุกคนล้วนมีธรรมอันเป็นใจเดิมอยู่ และธรรมอันนั้นก็อยู่ในใจของเราทุกคน แต่เราไม่เคยชะแง้แลดูถึงหัวใจแห่งธรรม และไม่เคยกุมใจแห่งธรรมนั้นไว้  เราเอาแต่กุมใจว่าเราเป็นคนอย่างนี้ เรานิสัยแบบนี้ เราชอบแบบนี้ เราจะชั่วก็ชั่วอย่างนี้ จะดีก็ดีได้แค่นี้  เราจึงไม่เคยมองเห็นธรรมที่แท้จริงที่อยู่ข้างใน ที่คอยย้ำเตือนว่า เราแก่แล้ว ทุกข์แล้ว เจ็บแล้ว ตายแล้ว แล้วเราจะรอให้ตัวเองเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น แล้วเราค่อยมาเข้าใจภายหลังว่า เราได้ทิ้งธรรมไปแล้วและก็ได้สร้างกรรมแห่งการเวียนว่ายและการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เอาตัวตนนี้ไปเกาะเกี่ยวกรรมไม่จบ แล้วสร้างเหตุวิบากกรรมให้เวียนว่ายไม่จบสิ้นถูกไหม (ถูก)  เรายังประมาท ยังหลงมัวเมา และยังยึดติด
ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นใช่เวลาที่เราควรมาจะสนุกสนาน หรือเราควรจะเตรียมตัวเตรียมใจที่จะหันกลับมาทำตัวเราให้พร้อมว่า ถ้าวันหนึ่งฉันต้องไป ก็จะไม่มีตัวตนให้ฉันยึดถืออีกต่อไปแล้ว แต่ถ้าศิษย์ยังยึดถือก็เท่ากับว่าศิษย์ก็ยังสร้างวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ที่เรียกว่าเมื่อยังคงมีตัวตน ทำดีก็เรียกว่ากรรมดี ทำชั่วก็เรียกว่ากรรมชั่วหรือทำดีก็เรียกว่าบุญ ทำชั่วก็เรียกว่าบาป

แต่ถ้าเกิดว่าไร้ธรรมแล้วคือธรรม เป็นอย่างไร ศิษย์เคยได้ยินคำว่า ไร้ธรรมก็คือธรรมไหม อะไรเรียกว่าไร้ธรรมก็คือธรรม
(พระอาจารย์เมตตาให้หัวหน้าชั้นออกมายืนข้างหน้า เพื่อเป็นตัวอย่าง) 
ถ้าเวลาเราถูกตีเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  ตีอีกโกรธไหม (ตอนนี้ไม่โกรธ)  ถ้าตีสิบๆ ที (ต้องดูว่าตีเพราะอะไร ตีเพื่อแสดงไม่โกรธ)  ไม่มีเพื่ออะไร แค่อยากตีโกรธไหม (ไม่โกรธ)  ศิษย์เอยอาจารย์จะถามว่าถ้าศิษย์ถูกตีแล้วศิษย์จะเลือกเกี่ยวกรรม ละลายหนี้กรรม หรือสิ้นเวรสิ้นกรรมสิ้นทุกข์ ถ้าโกรธมันก็คือการเกาะเกี่ยวคิดร้ายสร้างบาป ถ้าไม่โกรธแล้วคิดว่า “ไม่เป็นไร ได้ละลายหนี้บาปเวรกรรม เขาตีบ้างก็ไม่เป็นไร ชาติก่อนฉันอาจจะไปตีเขามา ชาตินี้ก็เลยโดนเขาตีกลับ” นี่เรียกว่าละลายหนี้บาปเวรกรรม แต่ถ้าโดนตีแล้วยังคงมีสติ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือรักษาใจให้ปกติ สมาธิคือทำจิตให้สงบไม่หวั่นไหวเมื่อโดนกระทบ ปัญญาคือความเห็นแจ่มแจ้งว่า อ๋อ ก็แค่นั้น ก็เท่านั้น”  ก็จบสิ้นกรรมสิ้นทุกข์ ตั้งใจละลายหนี้อะไรใครเคยติดหนี้กรรมใครก็จบเพียงเท่านี้ ฉะนั้นเมื่อเวลาศิษย์โดนกระทบศิษย์จะเลือกเกี่ยวกรรม ละลายหนี้กรรม หรือจะเลือกอยู่ตรงกลาง วางจบสิ้นทุกข์สิ้นเวรสิ้นกรรม เพื่อจะได้สิ้นการยึดถือใดๆ อีกต่อไป แต่มนุษย์เราเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร เมื่อถูกกระทบก็ด่ากลับเขา เมื่อถูกกระทบก็แช่งกลับ กระทบทีก็ชอบเขากลับ  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์รับรู้ว่าธรรมะมีแค่ขณะเดียว ประเสริฐอยู่แค่ขณะเดียว ถ้าในขณะเดียวนั้นศิษย์สามารถทำแล้วแจ้งรู้ แล้วตื่น พ้นทุกข์ตลอด ขณะเดียวเท่านั้นนะศิษย์ ขณะเดียวที่ศิษย์โดนกระทบ กระทบแล้วศิษย์ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีปัจจุบัน มีแต่แค่ตอนนี้ ไม่มีเกิดไม่มีดับ ขณะที่เกิดมันจบ ไม่มีมาไม่มีไปเพราะมันจบแล้วตรงนี้ ฉะนั้นถ้าเราเข้าถึงการบำเพ็ญ ในชั่วขณะหนึ่งที่โดนอะไรกระทบก็ว่างแล้วจบ เมื่อว่างแล้วจบ แล้วจะมีกรรมอะไรให้ยึดเกี่ยว จะมีกรรมอะไรให้ยึดถือ จะมีเวรกรรมอะไรที่เราต้องไปหมุนเวียนว่ายอีก นั่นคือการจบในทันทีเลย ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าตื่นแจ้งในชั่วขณะหนึ่ง สามกาลก็ไม่มี ไม่มีคำว่ามา ไม่มีคำว่าไปและไม่มีคำว่าเริ่มเพื่อจบที่ไหน เพราะทุกขณะคือจบ แต่เราจบหรือไม่จบ ถ้าไม่จบก็ไม่มีวันสงบ  เราฟังมาจบไหม มันคั่งค้างใจนะอาจารย์ มันทำไมพูดผิดหูอย่างนี้ ไม่จบมันก็ไม่สงบใช่ไหม ไม่จบมันก็ต้องมาเคลียร์กันหน่อยแล้วใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นถ้าทุกเรื่องศิษย์ทำให้ดีที่สุด วางแล้วจบ มีอะไรต้องใช้ มันก็แค่ต้องใช้กรรมเก่า กรรมใหม่ไม่สร้างแล้วใช่ไหม เหมือนอาจารย์ตีศิษย์ จบไม่จบ (จบ)  วางไม่วาง (วาง)  วางใคร วางอาจารย์หรือวางใจ (วางใจ)  การบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่อยู่ที่การแก้ไขใคร แต่มันแก้ที่ใจตนเอง แล้วจบลงที่ใจตนเอง จริงไหม (จริง)  แม้เขาจะด่าเราอย่างไร ศิษย์ก็จะเข้าใจแล้วจะจบลงที่เรา ไม่ทำเวรให้ยืดเยื้ออีกต่อไป
อาจารย์พูดเรื่องยากไหม ยากถ้าศิษย์ไม่ยอมทำสักที ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าศิษย์ทำได้นะศิษย์เอย มันจะจบแค่ตรงนี้เลย ไม่ว่าเจอใคร มันก็จะจบกันแค่ตรงนี้ แล้วศิษย์จะไม่รู้สึกว่า “ทำไมฉันไม่ทำกับเขาให้ดีที่สุด” ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าทุกขณะศิษย์ทำให้ดีที่สุด ทำแล้วจบ ทำแล้วดีที่สุด ห่วงอะไร กลัวอะไร ใช่ไหม (ใช่)  วันนี้ทำดีที่สุดแล้วหรือยัง (ยัง)  ยังอีกหรือ อย่างนั้นจะพยายามให้ดีขึ้นดีไหม (ดี) 
แค่ชั่วขณะหนึ่งที่เวลาเราโดนกระทบ ถ้าไร้ธรรมก็คือธรรมแต่ถ้ายังทำก็ก่อเกิดเป็นกรรม ใช่ไหม ที่เรียกว่ากรรมดี กรรมชั่ว แต่ถ้าทุกขณะที่เราทำเราไม่ยึด เราไม่ถือ เราไม่เกาะเกี่ยว ทำให้ดีที่สุดถึงเวลาปล่อยวาง ก็ไม่ก่อเป็นกระแสกรรมที่เราต้องเวียนว่ายไปรับ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
 โดยส่วนใหญ่ศิษย์มักจะถามอาจารย์ว่า “อาจารย์การเข้าใจธรรม การบำเพ็ญธรรมมันเป็นสิ่งที่ดี แต่อยู่ๆ การจะเป็นคนดีก็เป็นเรื่องยากแล้วอย่างหนึ่ง แล้วดีให้ตลอดก็ยิ่งยากอย่างหนึ่ง แล้วตอนนี้อาจารย์บอกไม่ใช่แค่ให้ดีแต่ยังต้องบำเพ็ญอีก ไม่รู้จะไปได้หรือเปล่านะอาจารย์” ใช่ไหม แค่ทุกวันหากินก็ยังเอาตัวไม่รอดแล้ว แล้วตอนนี้อาจารย์ยังบอกว่า “ต้องเป็นคนดี แล้วยังต้องบำเพ็ญธรรมอีก มันยากไปหน่อยไหมอาจารย์” อย่างนั้นวันนี้เรามาคุยกัน เหมือนแบบคนคุยกันธรรมดา เริ่มต้นตั้งแต่ง่ายๆ ก่อน “ศิษย์เอย เราเกิดเป็นคนจำเป็นต้องเป็นคนดีไหม” (จำเป็น)  จำเป็นต้องเป็นคนดี ใช่ไหม แล้วทำไมชอบถามตัวเองว่า “ทำไมหนูต้องดีอะไรหนักหนาเหนื่อยแล้วนะอาจารย์” ใช่ไหม ทำไมเราต้องดี หลายครั้งศิษย์มักจะถามตัวเองว่าดีไปทำไมอาจารย์ ทำไมต้องดี อย่างนั้นการเป็นคนดีให้มิตรหรือให้ศัตรู แล้วเราชอบมิตรหรือชอบศัตรู (ชอบมิตร)  แล้วเวลาเจอเราอยากเจอโจรหรืออยากเจอบัณฑิต (บัณฑิต)  ฉะนั้นพอจะเข้าใจหรือยังว่าทำไมเราต้องเป็นคนดี เพราะโดยส่วนใหญ่คนทุกคนชอบคนดี ชอบบัณฑิต ชอบมิตร ใช่ไหม ฉะนั้นการสร้างสิ่งที่ดีก็คือการทำให้เราอยู่ร่วมกับคนได้อย่างเป็นมิตร  แล้วการทำดีมันก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง คือ ความดีมันเป็นชื่อของความสุข
 (พระอาจารย์เมตตานักเรียนชายวัยรุ่นท่านหนึ่ง)
เหมือนที่ศิษย์ถามอาจารย์ว่า ทำไมต้องดี บางทีทำดีก็เบื่อนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอาจารย์ให้ศิษย์เดินไป เจอใครก็ให้ด่าเลย กับอีกอันหนึ่งเดินไป เจอใครก็ขอบคุณเขา อะไรทำแล้วสบายใจกว่า (ขอบคุณ)  ศิษย์รู้ไหมว่า ทำไมต้องทำดี เพราะชื่อของความดี เป็นชื่อที่ทำแล้วอิ่มใจ สุขใจ ไม่หาเรื่องกับใคร และอยู่ที่ไหนก็เป็นที่รักของทุกคน  แต่ชื่อแห่งความร้าย ชื่อแห่งอารมณ์โกรธเกลียด เป็นชื่อแห่งความทุกข์ สร้างศัตรูและสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจ พอเข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องทำดี  และอีกอย่างหนึ่งคือ ชื่อแห่งความดีเป็นชื่อที่ใครๆ ก็รัก ใครๆ ก็ชอบ เพราะเป็นหัวใจของทุกๆ คน  ลองถามสิ ถ้าให้ใฝ่ชั่วกับใฝ่ดี จะใฝ่สิ่งไหน (ใฝ่ดี)  ฉะนั้นอยากมีชื่อว่าดีหรือชั่ว (ดี)  ฉะนั้นพอเข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องทำดี 
อาจารย์สอนทำดีง่ายๆ ก่อนกลับไปนั่ง ให้เดินไปจนสุดแล้วก็อ้อมกลับมานั่ง โดยขอบคุณให้หมดทุกคน ดีไหม (พูดขอบคุณทีเดียวได้ไหม)  ศิษย์เอย ไหนบอกว่าเป็นชื่อที่อิ่มใจ แล้วอิ่มใจทีเดียวพอหรือ ไม่อยากอิ่มหลายอิ่มหรือ  อิ่มคนนี้ก็เห็นแค่คนนี้ แต่ลองเดินไปใกล้ๆ แล้วอิ่มให้ถึงใจสิ คุณค่าต่างกันนะ จริงไหม (จริง)  ทำไหม (ทำ)
(นักเรียนท่านนี้เดินไปรอบๆ ห้อง และไหว้กล่าว “ขอบคุณ” เพื่อนนักเรียนในชั้นทุกคน)
ศิษย์เอ๋ย เมื่อมีคนสร้างบุญมาเราก็ต้องสร้างบุญต่อด้วยการทำดีต่อ ด้วยการอวยพรกลับ “ร่มเย็นเป็นสุขนะหลาน โชคดีมีชัยนะ” ทำไมเราไม่หัดทำดีต่อล่ะ ใช่ไหม (ใช่) 
เมื่อทำดีไปได้สักพักหนึ่ง ศิษย์รู้หรือไม่ ความดีนั้นจะกลายเป็นคุณธรรม ความดีจะกลายเป็นคุณธรรมได้เมื่อเวลาที่ไปไหนรู้จักให้เกียรติผู้อื่น เคารพนบนอบผู้อื่น ทำอย่างนี้บ่อยๆ เขาเรียกคนนั้นว่ามีสัมมาคารวะ มีจริยะธรรมที่ดี เหมือนเราเป็นคนชอบให้ ให้บ่อยๆ เขาเรียกคนนั้นเป็นคนมีเมตตาธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นหนทางแห่งความดีจึงเป็นหนทางแห่งผู้ประเสริฐ หนทางแห่งความดีคือหนทางแห่งการปฏิบัติคุณธรรม  แต่คนทำดีบ่อยๆ ก็ท้อ ก็ล้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามคนที่ตลอดชีวิตไม่พยายามทำดี แต่พยายามไม่ทำชั่วหน่อยนะว่า คนที่พยายามทำดีตลอดมีสัมมาคารวะ มีน้ำใจช่วยเหลือคนแต่เผลอนิสัยขี้โมโห ด่าคนอื่น จับผิดคนอื่น คนนั้นเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  พยายามที่จะไม่ทำชั่ว แม้จะไม่ได้พยายามทำดีสักครั้งหนึ่ง แต่พยายามจะไม่โมโห ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่ถือทิฐิ ไม่ยโสโอหัง คนเช่นนี้ดีหรือไม่ดี (ดี)  แล้วที่ศิษย์บอกว่าศิษย์ทำดีแล้วเหนื่อย ศิษย์เป็นอย่างแรกหรือศิษย์เป็นอย่างหลัง ที่ศิษย์เป็นคนดีแล้วศิษย์เหนื่อยก็เพราะศิษย์พยายามดี แต่ศิษย์ไม่ละความชั่ว ศิษย์พยายามดีแต่ศิษย์ไม่ละบาปเวร กิเลสกรรม ศิษย์ก็เลยเป็นคนดีที่ยังเหนื่อย เพราะมันยังอดไม่ได้ “หนูดีก็จริง แต่อดไม่ได้ เดี๋ยวขอด่าก่อนแล้วค่อยกลับไปดีใหม่”  หรือไม่ก็บอกว่า “ขอด่าให้มันสะใจก่อนเดี๋ยวไปทำบุญใส่บาตรให้มัน” อาจารย์ถามว่าอย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)  แต่อีกคนหนึ่งแม้จะไม่พยายามดีแต่ความชั่วเขาจะไม่ทำเลยดีกว่าไหม ฉะนั้นละชั่วบำเพ็ญบุญ พุทธะก็สอนไว้แล้ว เมื่อใดละชั่วก็คือกำลังบำเพ็ญบุญ หากบำเพ็ญบุญแต่ไม่ละชั่ว แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าดีจริงได้อย่างไร  ทำบุญใส่บาตรเก่งแต่นินทาคนก็เก่ง ทำบุญตักบาตรสวดมนต์เก่ง แต่พออยู่ข้างนอกก็โลภเบียดเบียน เอาเปรียบเขาก็เก่ง พระพุทธะสอนไว้ว่าละชั่วก็คือการบำเพ็ญบุญ ศิษย์บอกว่า “อาจารย์แล้วอย่างไรที่เรียกว่าชั่ว ไม่ดี ศิษย์ก็ไม่ได้จะชั่วหนักหนา แค่โลภนิดหน่อย ด่านิดหน่อย บ่นนิดหน่อย แล้วก็โกรธมันอีกนิดหน่อย” ใช่หรือไม่ นิดหน่อย นั่นกี่ครั้งที่นิดหน่อย หยุดได้ไหม หยุดยังไม่ได้  ใช่หรือไม่ อาจารย์จึงบอกว่า แล้วอะไรเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนดีไปไม่ถึงฟากฝั่งแห่งความดี นั่นก็คือกรรมชั่ว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าบาป ทำบาปให้ผลคือความทุกข์ แล้วบาปมีมูลเหตุจากอะไร (การกระทำของเรา)  การกระทำอะไรที่กลายเป็นบาป แล้วให้ผลเป็นทุกข์ แล้วกลายเป็นคนที่ไม่สามารถเป็นคนดีได้อย่างถ่องแท้ กระทำอะไร
ต้นเหตุแห่งบาป ต้นเหตุแห่งทุกข์เกิดจากกิเลสซึ่งเรียกว่า โลภ โกรธ หลงในตัวตน หลงยึดติดดี ชอบดี แล้วว่าคนอื่นชั่วก็เป็นกิเลส ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราอยากละกิเลสและเป็นคนดีที่แท้จริงได้ เราก็ต้องเบาบางเรื่องโลภ โกรธ หลงให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลภ โกรธ หลง มีตัวตนไหม (ไม่มี) มีแส้คอยเฆี่ยนเราว่า “ให้โกรธเขา ด่าเขา เกลียดเขา” มีไหม (ไม่มี)  แล้วทำไมเราต้องตกเป็นทาสมันทุกที จริงหรือไม่
อาจารย์จะบอกเทคนิคนิดหน่อยว่าจริงๆ แล้วโลภ โกรธ หลง ไม่ใช่ไม่ดี แต่ไม่ดีเพราะมันมาอยู่กับศิษย์ โลภ โกรธ หลง ถ้าอยู่กับพระพุทธะ โลภ โกรธ หลงก็เป็นแค่โลภ โกรธ หลง เพราะมันทำอะไรพระพุทธะไม่ได้ แต่ที่มันทำกับศิษย์ได้ เพราะศิษย์ไม่เคยเป็นพระพุทธะสักทีใช่หรือไม่ (ใช่)  พอโลภ โกรธ หลง มาทีไรศิษย์ขอเป็นมารก่อน  วางพุทธะไว้ก่อน ตอนนี้เขาทำให้โมโห ต้องจัดการเขาก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ศิษย์เอย เป็นคนดีแล้วยังไม่พ้นทุกข์ เพราะศิษย์ยังไม่ละชั่ว ยังบำเพ็ญบุญ ยังไปไม่ถึง วิธีที่จะเป็นคนดีแล้วละชั่ว แล้วเข้าถึงการบำเพ็ญบุญแล้วกลับคืนสู่หนทางแห่งธรรมเดิมแท้ นั่นก็คือต้องบำเพ็ญเพื่อเยียวยาจิตใจ ต้องบำเพ็ญเพื่อย้อนกลับมาดูแลและรักษาใจ เพราะว่าความโกรธ โลภ หลง จริงๆ ไม่มีตัวตน แต่ชอบอาศัยคนที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน
 โลภ โกรธ หลง มันไม่มีตัวตนนะ แต่มันชอบอาศัยคนที่ชอบยึดมั่นถือมั่นในตัวตน  แล้วคอยให้อาหารเลี้ยงมันจนเติบโต แต่ถ้าเมื่อไรมันมา ศิษย์จำง่ายๆ โลภมันเหมือนลิง โกรธมันเหมือนเสือ หลงมันเหมือนจระเข้  สมมติว่าถ้าสัตว์พวกนี้เข้ามาสู่เรา เราไม่ให้อาหารมัน เราไม่สนใจใยดีมัน เราไม่แคร์มัน เชื่อไหม มันก็เป็นธรรมชนิดหนึ่งที่มันมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วมันก็ดับไป  เมื่อไม่ให้ค่า ไม่สนใจ ไม่ใยดี มันจะบอกว่า “ฉันไปก็ได้” จริงหรือไม่ (จริง)  เหมือนตอนนี้ถ้าเขาทำให้เราโกรธ อาจารย์สมมติความโกรธมันเป็นแอปเปิล มันโยนมาแล้ว รับไม่รับ (ไม่รับ)  เมื่อไม่รับ ถ้ามันโยนมาแล้วทำเราเจ็บ จะเจ็บกี่ครั้ง (ครั้งเดียว)  จริงหรือ อาจารย์เห็นศิษย์เก็บแอปเปิลขึ้นมาแล้วมากระแทกหัวตัวเอง โมโหมัน ด่ามัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมไม่ปล่อยมันไป  ถ้าเขาตีเรา เขาด่ามา เขาทำร้ายมา เขาทิ่มแทงจิตใจเรามา เราอยากสิ้นทุกข์หรือเกี่ยวกรรมหรือละลายหนี้บาปเวรกรรม (ละลายหนี้บาปเวรกรรม)  ฉะนั้นเมื่อมันทุกข์มา มันเกิดมา มันก็จบไปแล้ว  เอาแบบน่าเกลียดไปเลย คือมันกลายเป็นขี้ไปแล้ว จะเก็บขี้ปากเขา มานั่งเล่นขี้ทำไม จะเก็บขี้ปากเขามาแล้วเอาไปเล่าให้คนอื่นฟัง “เธอขี้มันอยู่ในใจฉันเต็มไปหมดเลย เธอช่วยเอาขี้ไปหน่อย ไอ้นั่นมันโคตรไม่ดีเลยมันแย่เลย เธอแบ่งขี้ไปหน่อยนะ” เอาไหม (ไม่เอา)  แล้วทำไมชอบหูผึ่งจังเลยเวลาใครนินทา ใครให้ทำ ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ฉะนั้นการบำเพ็ญคือการช่วยเยียวยาจิตใจ และช่วยให้เราเข้าใจความเป็นจริงได้อย่างแจ่มชัดขึ้น
อาจารย์ถามนะ ธรรมอะไรที่หมั่นพินิจพิจารณา เมื่อเจออะไรที่มากระทบจิตกระทบใจ แล้วเราจะได้ปลดปลงปล่อยวาง ไม่ข้องเกี่ยว ผูกพัน และสร้างบาปเวรกรรมอีก
(ตั้งสติให้ดี อดทน) เมื่อยังอดทนแปลว่า ลึกๆ ยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตน มีคำว่าไม่ยอม จึงต้องพยายามอดทน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่สติยังไม่สามารถพิจารณาและละลายความทุกข์ไปจากใจได้  แต่อะไรที่จะทำให้เราพิจารณาเนื่องๆ จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้วเข้าถึงธรรม
 (ทำใจ)  เห็นก็ยังทำใจไม่ได้ (มีศีล ปัญญา สติ)  ศีลคือความปกติ สมาธิคือจิตที่นิ่งไม่หวั่นไหวเมื่อโดนกระทบ ปัญญาคือเห็นแจ้งและสามารถปล่อยวางลงได้อย่างไม่ยึดติด แต่ศีลก็ยังไม่ค่อยครบ สมาธิก็ยังไม่ค่อยมี ปัญญาไม่ต้องพูดถึงเลย ใช่ไหม (อนัตตา ว่างเปล่า อนิจจัง)  อาจารย์จะดูว่า เวลาเห็นสาวจะว่างไหม เวลาเห็นเงินหนึ่งพันบาทจะว่างไหม อาจารย์ขอยืมเงินรองหัวหน้า ว่างไหม (ว่างครับ มันไม่ใช่ของเราที่แท้จริง)  การคิดว่าทุกสิ่งขาดสูญมันก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่แค่ให้พิจารณา แต่พิจารณาอย่างไรล่ะ เพราะบางคนพอคิดว่าชีวิตขาดสูญ ก็เลยทำบาปได้ “ไม่เป็นไรเดี๋ยวมันก็ว่าง” อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าพิจารณาให้บังเกิดธรรมมันต้องมีอีกสองถึงสามอย่างเป็นองค์ประกอบ ใช่ไหม  มีอะไรอีก ความมีแท้จริงก็คือความว่าง ความว่างแท้จริงก็คือความมี 
(รู้จักปล่อยวาง)  แต่ก่อนจะปล่อยวางศิษย์จะต้องทำให้ดีที่สุด มนุษย์มักจะคิดว่า “ทุกข์เหลือเกิน ขอทิ้งทุกอย่างเลยได้ไหม” ธรรมะไม่สอนแบบนั้น ธรรมะสอนว่าทำจนถึงที่สุดก็ต้องวางลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนจะปล่อยวางต้องทำให้ถึงที่สุด 
อาจารย์ถามว่า ธรรมข้อไหนที่เอามาใช้เพื่อย้ำเตือนเรา ไม่ให้หลงผิด ไม่ให้คิดผิด ไม่ให้ทำผิด แล้วก่อเกิดเป็นทุกข์ เป็นวิบากกรรมแห่งการเวียนว่าย 
(อย่าลืมตนเอง) ก็ตอบได้ดีเหมือนกัน แต่บางทีคนเราก็มักจะชอบหลงตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(ละความโลภ โกรธ หลง)  ธรรมอะไรที่จะทำให้เราสามารถพึงระลึกเสมอ และไม่ตกเป็นทาสความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่สร้างบาป และไม่ติดยึดในบุญ  แล้วศิษย์ละโลภโกรธหลงได้หรือยัง (กำลังจะทำ)  ต้องรีบทำให้ได้แล้ว อายุมากแล้ว
อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้นะ แก่นแท้ของชีวิต ไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่อยู่ที่ภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนดั่งคำว่า “ดีร้ายไม่ทำให้เราทุกข์ มากกว่าใจที่ไม่รู้พอ  ดีร้ายไม่ทำให้เราเจ็บปวด มากกว่าใจเราที่ไม่ยอมรับความจริง” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นแก่นแท้ของความทุกข์ทั้งมวลอยู่ที่ใจ  อาจารย์ถามง่ายๆ เราดีใจที่ได้เงินหนึ่งร้อย แต่ถ้าเพื่อนได้สองร้อยเราใจเป็นอย่างไร  อย่างนั้นอาจารย์ถามใหม่ เสียเงินหนึ่งร้อยเสียใจไหม (เสียใจ)  แต่ถ้าเพื่อนเสียสองร้อย เราดีใจหรือเสียใจ (ดีใจ) 
ฉะนั้นแก่นแท้ของความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน (ใจ)  แล้วใจนั้นคืออะไร ที่จะทำให้เราสามารถหยุดทุกข์ได้ และแปรทุกข์ให้กลายเป็นคำว่าพ้นทุกข์ได้ ใจนั้นอยู่ตรงไหน ในตัวเรา ใช่หรือไม่ ดังคำกล่าวว่า ถ้าพอเมื่อไร อะไรๆ ก็มีสุข แต่ถ้าไม่พอ อะไรๆ ก็ไม่สุข อาจารย์ถามว่า
พอหรือยัง (ยัง)  ฉะนั้นก็เลยยังไม่สุข เลยยังทุกข์ “แล้วทำอย่างไรให้มันพอได้ตลอด” ก็คือคนที่สามารถเข้าใจแก่นแท้ของใจที่แท้จริงได้  อาจารย์บอกว่า แค่นี้ก็ดีแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว แค่นี้ก็สุขแล้ว คิดว่าอะไรที่ได้มา อะไรที่เพิ่มมามันคือกำไร ถูกไหม แต่ตอนนี้ถ้าศิษย์ยังบอกว่า แค่นี้ก็ไม่พอ แค่นี้ก็ไม่ดี ฉะนั้นกว่าที่ศิษย์จะได้อะไรมามันก็คือความยากลำบาก  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ศิษย์อยากจะสุขตรงนี้ หรือว่ารอข้างหน้าแล้วค่อยสุข ตอนนี้พอหรือยัง
ดีหรือยัง ธรรมจึงสอนว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี เมื่อพอได้มันก็ดี เมื่อพอได้มันก็สุขดี แต่เมื่อพอไม่ได้ดีไม่ได้มันก็เลยทุกข์ทุกที ใช่หรือไม่  สมมติว่าแฟนอาจารย์เป็นคนนี้ แต่เผอิญไปเห็นอีกคนหนึ่งแล้วคิดว่า “ทำไมแฟนเราแก่มาก ไปเห็นแฟนของคนข้างบ้าน เขายังดูหนุ่มมาก” เมื่อคิดอย่างนี้ เราอยู่กับแฟนของเรา จะมีความสุขไหม มันเป็นเหมือนนรกเผาใจนะ ศิษย์ก็อาจจะคิดว่า “เบื่อพ่อแล้วล่ะ อยากหาพ่อบ้านคนใหม่แล้ว”  แต่ถ้าเราคิดอีกอย่างว่า “พ่อบ้านเราก็ดีนะ พ่อบ้านของเธอก็ดีนะ” สุขไหม แต่มนุษย์มักจะคิดว่า “พ่อมึงเมื่อไหร่จะแก้นิสัยล่ะ ขี้บ่นเหลือเกินนะ ไม่เหมือนพ่อบ้านนู้นไม่ขี้บ่นเลยนะ” อย่างนี้อยู่กันไปก็มีแต่ทุกข์ ใช่ไหม ทำให้คนยิ้มได้ ทำให้ผ่องใสเป็นบุญไหม (เป็น)  แต่ทำให้คนขุ่นมัวเป็นทุกข์เป็นบาป
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอ๋ยเราบำเพ็ญเพื่อเยียวยาจิตใจ เพื่อทำให้คนอื่นเขามีความสุข

อะไรคือสิ่งที่แน่นอนในชีวิต เราเป็นอะไรที่แท้จริงหรือ เรารวยหรือเราจน เราดีหรือเราร้าย เราเป็นคนหรือเป็นเป็ดก็ไม่แน่ ใช่ไหม  ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นอะไรเราก็เป็นแค่ชั่วครู่หนึ่งจะไปยึดติดทำไม เต้นเป็ดแล้วทำให้คนยิ้มก็ไม่เป็นไรใช่ไหม  อย่าแย่งผ้าจากมือเพื่อนนะศิษย์ น้ำจิตน้ำใจ บำเพ็ญธรรมแล้ว เราฝึกฝนแล้ว ค่อยเป็นค่อยไป ช้าๆ เร็วๆ แล้วระวังสับปะรดจะบาดมือ ใช่หรือไม่ เมื่อสักครู่อาจารย์บอกแล้วว่าเป็นเป็ดก็ไม่เป็นไรนะ
ศิษย์เห็นแถวไหนช้าสุดไหม (ไม่เห็น,ไม่ทันได้มอง)  อาจารย์จะบอกให้นะ ศิษย์เอย  การศึกษาบำเพ็ญธรรมก็เหมือนกัน  ถ้าเรามุ่งมั่นทำสิ่งที่ตัวเองทำให้ดีที่สุด มันไม่มีใครร้าย มันไม่มีใครแย่ เพราะทุกคนต่างพยายามทำให้ดีทีสุด แล้วเราจะมีเวลามานั่งจับผิดใครไหม คนที่มีเวลามานั่งนินทาคนอื่น คนที่มีเวลาจับผิดคนอื่น แปลว่าไม่เคยดูแลตัวเอง ถ้ามัวแต่ดูแลตัวเองจะไม่มีเวลาที่จะนินทาคนอื่น ไปจับผิดคนอื่น เพราะทุกคนต่างเอาตัวให้รอดก่อน  ถ้าศิษย์ทุกคนทำตัวเองให้ดีที่สุด ไม่มีใครแย่  แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ว่างไปดูคนอื่นแปลว่าศิษย์ยังทำตัวเองไม่ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามว่า ถ้าตอนนี้เราหาคนผิดไม่ได้ แล้วใครจะยอมเสียสละ ยอมเป็นคนผิด เมื่ออยู่ในโลกทุกคนต่างคิดว่าตัวเองถูกหมดแต่บางทีเรื่องบางเรื่องต้องมีคน กล้ารับผิดชอบ อย่างนั้นตอนนี้ทุกคนต่างชนะมีใครจะกล้าเป็นเป็ดหรือเป็นผู้แพ้ (หัวหน้ายกมือ)  ถูกแล้วศิษย์ การจะเป็นหัวหน้าคน การจะได้ใจคน เรื่องถูกต้องให้ลูกน้องไป ส่วนความผิดเราต้องกล้ารับ เรื่องดีก็โยนความดีให้ลูกน้อง เมื่อมีปัญหาหัวหน้ากล้ารับไว้ก่อน ทำได้แบบนี้ลูกน้องรักตาย จริงหรือไม่ แล้วศิษย์ที่เหลือ ให้หัวหน้าเต้นคนเดียวดีไหม (ดี)  ลูกน้องแบบนี้ก็ไม่มีใครอยากได้นะ (ช่วยกันเต้น)  ช่วยกันไหม (ดี)
(พระอาจารย์ให้นักเรียนเต้นเป็ด)
ศิษย์เอย ไม่มีสุขใดประเสริฐเท่ากับหัวใจที่ปกติ ไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์ที่มากระทบชั่วประเดี๋ยวประด๋าว  การสามารถรักษาใจให้ปกติ คือสุขที่ประเสริฐที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตที่ยึดมั่นถือมั่นอะไรก็ตามแต่ ล้วนทำให้คนนั้นหนีไม่พ้นความทุกข์ แต่จิตที่สามารถละคลายความยึดมั่นถือมั่น คือหัวใจของการดับทุกข์ พอเข้าใจไหม
ฉะนั้นไม่ว่าเจอเรื่องอะไร ให้รักษาใจให้ปกติ ใจที่ปกติก็คือการรักษาศีล การไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งที่มากระทบ นั่นก็คือมีสมาธิ การที่มองเห็นแจ้งถึงความเป็นจริง อันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั่นก็คือบังเกิดปัญญา  ฉะนั้นศีล สมาธิ ปัญญา ที่ศิษย์นับถือศาสนาพุทธนั้น เกิดขึ้นได้และปฏิบัติได้ทุกขณะที่ศิษย์ถูกกระทบ  ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งที่มากระทบชั่วประเดี๋ยวประด๋าว  ฉะนั้นหลักธรรมที่เป็นหัวใจ และเป็นแก่นของธรรมที่อาจารย์อยากให้ศิษย์พิจารณาอยู่เนื่องๆ  ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมีแก่นธรรมอันเดียวกัน และแก่นธรรมนี้ทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน และแก่นธรรมนี้ที่ทำให้คนไม่ว่าจะหลงขนาดไหน ก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมอันเดิมแท้นี้อย่างหลีกหนีไม่พ้น  แล้วแก่นธรรมนั้นคืออะไร ใครตอบได้บ้าง  พิจารณาเนื่องๆ จนบังเกิดธรรม  แก่นอะไรที่มีอยู่ในใจของทุกคน และทุกคนก็หนีแก่นในใจนี้ไม่ได้ และใจนี้ก็คือจิตญาณเดิมที่จะนำพาให้เรากลับคืนสู่ธรรมที่เราเป็นมา  อะไรที่เป็นแก่นของทุกสิ่ง (แก่นของความยุติธรรม)  ศิษย์เอย ความยุติธรรมของคนมันไม่เท่ากัน เพราะทุกคนต่างมีเหตุผล  มนุษย์ถ้ายังขึ้นชื่อว่าเหตุผลยังไม่มีวันพ้นทุกข์  มนุษย์ถ้ายังติดในเหตุผลก็ยังไม่มีวันพ้นเวียนว่าย  แต่ถ้ามนุษย์มองอย่างคนพิจารณาเข้าถึงแก่นธรรม เราตัดสินใครไม่ได้นะศิษย์ เพราะมนุษย์มีความลำเอียง มีความชอบชัง ที่ไม่เท่ากัน ใช่หรือไม่ ศิษย์ว่าคนนี้ถูกแล้วจริงๆ คนนี้ผิดไหม เขาก็มีเหตุผลของเขา ใช่หรือไม่  ฉะนั้นในธรรมไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว เพราะทุกคนล้วนหนีไม่พ้นแก่นแห่งธรรมอันนี้
ฉะนั้นถ้าเราพิจารณาธรรมอันนี้เนื่องๆ เราจะกลับคืนสู่ที่เรามา คือ ธรรม  เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณามันเนื่องๆ มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ แล้วถึงที่สุดมันก็ว่างเปล่า ฉะนั้นเราพิจารณาอยู่เสมอ มันไม่เที่ยง วันนี้เขาชม มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์อย่าไปยึด ถึงที่สุดมันก็ว่างเปล่า ฉะนั้นพอเราคิดเนื่องๆ มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า เราจะรักอะไร เราจะโกรธอะไร เราจะเกลียดอะไร เพราะทุกสิ่งมันไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ ว่างเปล่า เหมือนที่ศิษย์เป็นทุกข์  “วันนี้เขารักหนู ทำไมพรุ่งนี้เขาไม่รักหนู” แต่ถ้าศิษย์พิจารณาเนื่องๆ มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ จะยึดไหม แล้วถึงที่สุดคนที่บอกว่ารักศิษย์ เขาก็ต้องจากเราไปหรือไม่ แล้วถ้าเขาเปลี่ยนใจ เขาทิ้งเรา รักก็เป็นทุกข์ อยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์ ก็ไม่รัก ไม่เกลียด ใช่ไหม ฉะนั้นธรรมที่เป็นหลักของศิษย์ ที่ศิษย์จะต้องกลับคืนให้ได้ นั่นคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า พิจารณามันเนื่องๆ เหมือนได้เงินมาดีใจไหม แล้วมันเที่ยงไหม มีแล้วทุกข์ไหม มีเหมือนไม่มีไหมใช่หรือไม่ อาจารย์ถามคนที่เป็นสามี มีภรรยาเหมือนไม่มีไหม มีแฟนเหมือนไม่มีไหม อย่างนั้นถ้าเราพิจารณาแก่นแท้แห่งธรรมอยู่ตลอด โลภไม่มี เกลียดไม่มี หลงไม่มี เพราะมันไม่เที่ยง จะโลภอะไรอีกเพราะมันเป็นทุกข์ จะยึดอะไรให้หลง จะรักอะไรให้เป็นทุกข์เจ็บปวดหนักหนา ใช่หรือไม่ แล้วพอถึงที่สุดมันว่างเปล่า แล้วเราเห็นชัดแจ่มแจ้งแล้ว แต่มนุษย์มักตาบอด ใช่หรือไม่  พอมีแล้วเป็นทุกข์ จะปล่อยวางได้ ทำใจทัน ได้หรือไม่ ศิษย์เคยได้ยินนิทานไทยเรื่องรจนาเลือกเงาะป่า นั่นคือธรรมสอนที่ดี  มีแก่นอยู่ข้างในแต่เรามองไม่เห็นหัวใจทองคำอันนั้น เหมือนตัวเรามีธรรมอยู่ ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตา ด้วยความเคารพเรียกว่าคุณธรรม ปฏิบัติต่อตนเองด้วยการฟื้นฟูธรรมกลับคืนสู่สภาวะธรรม ฉะนั้นทำไมถึงต้องปฏิบัติดี เพราะการปฏิบัติดีคือรากเหง้าของการกลับคืนสู่คุณธรรมและหัวใจแห่งธรรม  อาจารย์จบแล้วนะ หากไม่เข้าใจศิษย์ก็กลับมาศึกษาต่อนะ

อาจารย์ได้พูดตั้งแต่เรื่องง่ายถึงเรื่องยาก เรื่อยมาจนถึงตอนนี้ อาจารย์ได้บอกตั้งแต่ต้น เมื่อไม่รักการมีชีวิตก็จะไม่ทุกข์ทนกับการสิ้นชีวิต เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นกับสังขารก็จะไม่วุ่นวายและทุกข์ทนเมื่อจากไป เมื่อไม่ลืมว่าตนเองมาจากไหนก็จะไม่พยายามไปหา หรือสิ้นสุดที่ใด เพราะเราคือธรรม สังขารกลับคืนสู่ธรรมชาติแล้วจิตทำไมไม่กลับคืนสู่ธรรมที่แท้จริง ทำไมเรายังเอาจิตสร้างตัวตนเกาะเกี่ยวกรรมและสร้างภพภูมิแห่งการเวียนว่าย เพราะอะไรแค่คำเดียว ละจากความยึดมั่นถือมั่นเมื่อไร ก็สิ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง  จะปฏิบัติอย่างไร เราเกิดมาเพื่อยืมใช้ และสร้างคุณค่าแห่งสังขารนี้ให้ดีที่สุด สมกับคำว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐ มีคุณธรรมเปี่ยมล้น
จะปฏิบัติอย่างไร ให้ปฏิบัติต่อคนด้วยคุณธรรม เมตตาธรรม จริยธรรม มโนธรรมสำนึก และรักษาใจให้ปกติ  เมื่อไรที่เราโกรธใจของเราจะเต้นแรง ใจจะวุ่นวาย นั่นคือไม่ปกติ  ฉะนั้นการรักษาศีลคือการรักษาใจให้ปกติ การมีสมาธิคือการไม่สงบไม่หวั่นไหวกับสิ่งเร้าใจภายนอก แต่หันกลับมามองว่าได้แล้ว สวยแล้ว มันก็ทุกข์ จะมากจะน้อยมันก็ทุกข์  ฉะนั้น อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์ตื่นรู้ ไม่ใช่ตื่นรู้จากภายนอก แต่ตื่นรู้จากภายใน การบำเพ็ญธรรมคือเพื่อเยียวยาจิตใจ ให้เข้มแข็งและยอมรับความจริงแห่งธรรมในใจตน เกิดก็ไม่กลัว ตายก็ไม่กลัว เจ็บก็ไม่ว่า เพราะเราทำเต็มที่แล้ว ดั่งที่กล่าวไว้ว่า ทำดีจนถึงที่สุด ศีลธรรมไม่บกพร่อง เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน สามารถมองผู้คนได้เต็มตาว่าฉันไม่เคยทำผิดกับเธอ ฉันไม่เคยว่าร้ายเธอ ฉันไม่เคยเกลียดเธอ และฉันไม่เคยหลงรักเธอจนหัวปักหัวปำ ฉันเข้าใจธรรมแล้ว  ฉะนั้นวันนี้จะตายก็ไม่เสียดายชีวิต เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม อย่ามัวหลงแต่สังขารนี้จนทำร้ายจิตญาณตน สังขารนี้ต้องใช้กรรมตามชะตากรรมที่ศิษย์สร้างมา แต่จิตญาณไม่ได้มีหน้าที่ชดใช้กรรม ฉะนั้นอย่าผูกจิตและเอาจิตไปเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้นเลย อาจารย์พูดชัด แต่ศิษย์จะเข้าใจชัดอย่างที่อาจารย์พูดหรือเปล่า ขอให้ศิษย์ไปพิจารณา มันเจ็บแค่สังขาร อย่าไปปลูกฝังจนเจ็บใจ
อาจารย์เคยยกตัวอย่าง พระเทวทัตกี่ภพกี่ชาติก็ต้องตามมาเกลียดพระพุทธเจ้า ตามมาทำร้ายพระพุทธเจ้าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อไรที่พระพุทธเจ้าพ้นทุกข์ พระเทวทัตไม่มีคนให้ท่านต้องเกลียด ท่านจึงสามารถสำเร็จเป็นปัจเจกพุทธเจ้า  ถ้าศิษย์สามารถทำตัวเองพ้นทุกข์ คนที่ศิษย์เกลียดที่สุดบางทีเขาจะได้ไม่ต้องผูกกรรมกับศิษย์แล้ว ศิษย์ยังได้สร้างบุญกับคนที่ศิษย์เกลียด เมื่อเขาไม่ใฝ่ในความเกลียด ทำไมคนบางคนยังไม่ทันทำอะไรให้เจอหน้าก็ไม่ถูกชะตา รู้สึกเกลียด เขาพูดอะไรนิดหน่อยก็รำคาญเขา เคยเป็นไหม (เคย)  แล้วทำไมเป็นอย่างนั้น แล้วเราจะทำอย่างไรให้คนที่เราเกลียดเขา หรือเราเกลียดเขามันจบกัน ต้องจบที่เราใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมคือขณะนี้ที่เราโดนกระทบจะให้จบ หรือเริ่มไม่จบสิ้น ถามตัวศิษย์นะ จะให้จบ หรือเริ่มไม่จบสิ้น จะให้สิ้นทุกข์ สิ้นเวรกรรม หรือเกี่ยวกรรมกันไปไม่จบ คนที่ฝึกฝนบำเพ็ญแล้วนะศิษย์ เจ็บก็ไม่ทุกข์  อาจารย์อยากให้วิชาแบ่งแยกกายกับใจจริงๆ หมั่นพิจารณาเนื่องๆ กายเจ็บ ใจไม่เจ็บ กายมีหน้าที่ชดใช้กรรมตามชะตากรรมและสังขาร แต่ใจไม่มีหน้าที่ชดใช้กรรมตามสังขารนะศิษย์ ใช่ไหม กายมีวันเจ็บตายได้ จิตญาณไม่มีวันเจ็บตายไม่มีวันแก่
(พระอาจารย์เมตตาให้พระโอวาทซ้อนคำว่า สำนึกได้ อะไรก็ดี
สำนึกได้อะไรก็ดี         สำนึกดีอะไรก็ได้
คิดเป็นเรื่องยากก็ง่าย   คิดได้ก็ต้องคิดดี
ฉะนั้นไม่ว่าศิษย์ทำอะไรลองถามจิตสำนึกตัวเอง ถามธรรมในใจตัวเอง ทำแบบนี้มีเมตตาธรรมไหม ทำแบบนี้ถูกต้องชอบธรรมไหม ถ้าคิดแล้วจิตสำนึกมันบอกว่าอย่าทำเลยมันไม่ดีก็หยุด หยุดแล้วจะดี แต่ถ้าไม่หยุดยังฝืนตามใจมันไม่ดีหรอกนะ แล้วอะไรที่จะทำให้เรามีสำนึกเสมอ นั่นก็คืออยู่ในกรอบแห่งศีลหรืออยู่ในกรอบแห่งความเป็นคน คนทุกคนชอบคนใจดี ชอบคนมีเมตตา ชอบคนชมไม่ชอบคนด่า ชอบคนใจเย็นไม่ชอบคนขี้โมโห ชอบเป็นมิตร แล้วสิ่งที่เราทำตรงข้ามกันหมดเลย ใช่ไหม ฉะนั้นอย่าดูเบาคุณค่าตัวเอง
กลับแล้วนะ ไม่ใช่บำเพ็ญธรรมแล้วเจ็บไม่ได้ ทุกข์ไม่ได้ โชคร้ายไม่ได้ แต่บำเพ็ญธรรมแล้ว เจ็บก็เป็นเรื่องของสังขาร โชคร้ายก็เป็นเรื่องของชะตากรรมที่เราจะได้สิ้นทุกข์ สิ้นเวรสิ้นกรรม ตายก็เป็นการได้พักผ่อนอย่างเต็มที่กลับคืนสู่สภาวะธรรม แล้วอะไรล่ะที่มันไม่ดี มันดีทุกอย่างแต่มันไม่ดีเพราะใจเรามันไม่เอา จริงไหม ศิษย์รู้ได้อย่างไรว่าการมีชีวิตอยู่ไม่สู้การคืนสู่สภาวะธรรม ศิษย์บอกได้หรือว่าการมีชีวิตอยู่นั่นคือสุขที่แท้จริง  ทั้งที่จริงๆ แล้วศิษย์กำลังประมาทและมองเห็นทุกข์เป็นสุข มองเห็นสิ่งที่สวยแท้จริงมันไม่สวย เรากำลังประมาทอยู่หรือเปล่าศิษย์ ฉะนั้นมีสติมีสำนึกที่ดีและบำเพ็ญเยียวยาใจตนให้เข้มแข็ง กล้ายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหัวใจที่กลับคืนสู่ธรรม บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญได้ทุกที่ ที่ไหนก็บำเพ็ญได้ ปฏิบัติธรรมกับคนก็ปฏิบัติได้ทุกที่ ที่ไหนเราก็ปฏิบัติได้ อย่าเลือกบำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรมแค่ที่วัด แต่กลับมาบ้านทำนิสัยไม่ดีเช่นนี้ไม่ถูกต้อง แต่เราต้องปฏิบัติธรรมให้ทุกๆ ที่ เป็นคนดีทุกๆ ที่ ใช่ไหม ฉะนั้นอาจารย์อำนวยพรก่อนจาก ขอให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนเข้มแข็งและกลับคืนสู่ธรรมที่ตัวเองมานะ ได้ไหม (ได้) ทำอะไรด้วยจิตสำนึกที่ถูกต้องนะศิษย์ เชื่อมั่นในตัวเองว่าเราก็คือธรรม กลับคืนสู่ธรรมได้ แต่จะปฏิบัติหรือยัง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นหมั่นควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้นะ อย่าปล่อยให้อารมณ์และความยึดมั่นถือมั่นมาทำให้ชีวิตตัวเองพัง และอย่ามัวโลภหลงจนลืมสร้างคุณงามความดี
(นักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรมในชั้นขอบคุณพระอาจารย์เมตตา)
อาจารย์ไม่ต้องการคำว่าขอบคุณ แต่อาจารย์ต้องการคนที่ปฏิบัติจริง ปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม  แล้วใครจะเปลี่ยนไปอย่างไรศิษย์ก็จะไม่หวั่นไหว เพราะเราปฏิบัติธรรมเพื่อกลับคืนสู่ธรรม ฉะนั้นคนที่ปฏิบัติธรรมจะไม่หลงทาง เพราะเขามองแต่ธรรม ธรรมสอนให้เรารู้ว่ามันไม่เที่ยง มันมีทุกข์ มันว่างเปล่า ยิ้มยึดเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทำหน้าที่ตัวเองให้ดี  เสียดายนะอยู่แค่สองวันขาดอีกวันหนึ่ง  รู้แล้วเมื่อไรจะทำ ดีชั่วรู้หมดแต่อดใจไม่ไหว ไม่ได้นะศิษย์  เกิดตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวนะ แต่การยึดมั่นถือมั่นจนปล่อยไม่ได้นั่นแหละคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด  จิตญาณเข้มแข็งกว่าสังขาร จิตญาณมีค่ายิ่งกว่าร่างกาย ขอเพียงให้เรามองให้เห็นธรรมในตนเอง เพราะธรรมนั้นประเสริฐยิ่งกว่าสังขารอันไม่เที่ยง จริงหรือไม่ (จริง)  สังขารนี้ไม่แน่นอน รักษาจิตญาณให้ดีก็พอ ใช่หรือไม่ (ใช่) ตั้งใจบำเพ็ญนะ เคาะให้ตื่นแต่เคาะหลายทีก็ไม่ตื่นนะ  ตื่นด้วยสติ  ตื่นรู้ด้วยหัวใจที่เสียสละอุทิศ  ตื่นรู้ด้วยหัวใจที่เมตตา เข้มแข็ง  ฉะนั้นถ้ามุ่งมั่นบำเพ็ญก็ต้องมีหัวใจที่เข้มแข็ง เป็นความร่มเย็นให้กับตัวเอง อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบมันทำร้ายศิษย์ อย่าปล่อยให้ความหลงผิดแต่ชั่ววูบทำให้ศิษย์กับอาจารย์จากกันจนไม่มีวันเจอ
ฉะนั้นความหลงแค่นิดเดียวทำให้มนุษย์มืดมน แต่ความตื่นและความคิดถูกทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้จักคิดรู้จักทำนะ จิตญาณเข้มแข็งกว่าสังขาร สังขารไม่เที่ยงฉะนั้นอย่าบำรุงบำเรอจนลืมจิตญาณเดิมแท้นะ ดูแลตัวเองกันดีๆ นะ ร่างกายไม่เที่ยงและไม่ประเสริฐเท่ากับจิตญาณของตัวเราที่รู้จักคิด รู้จักทำในสิ่งที่ดีงาม ตั้งใจบำเพ็ญนะ มีโอกาสมาให้ครบ ร่างกายเข้มแข็ง แข็งแรง ไม่เท่ากับจิตใจที่เข้มแข็งและเข้าใจในชีวิตที่แท้จริง ใช่หรือไม่ ไม่ร้องไห้ ลาแล้วไม่ลาลับนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะ รู้เรื่องหรือเปล่าก็ไม่รู้ ยื่นมือแปลว่าจับ ไม่จากแล้วจากเลย ร่วมบำเพ็ญอุทิศเสียสละตัวเองนะ ได้ไหม มีโอกาสเสียสละเวลาแห่งความสุขตัวเองเพื่อคนอื่นบ้างได้ไหม (ได้)  รับปากอาจารย์แล้วนะ
ถ้าอาจารย์โอบกอดศิษย์ทุกคนได้ อาจารย์อยากโอบกอดและให้ขวัญกำลังใจ มีชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งความรักจากใคร จริงไหม ถ้าหัวใจเราเข้มแข็งพอ ถ้าหัวใจเราหนักแน่นพอ เราก็ไม่ทุกข์เพราะใคร แต่เรามีสุขได้ด้วยตัวเอง และเราก็สามารถให้คนอื่นมีสุขได้ อย่าเป็นหัวใจที่เว้าแหว่ง แต่จงเป็นหัวใจที่รู้จักพร้อมจะเติมให้คนอื่นเต็มเพื่อเรา ให้ถึงที่สุดแล้วหัวใจจะเต็มเอง แต่ถ้าหัวใจเอาแต่เว้าแหว่งและร้องขอ ไม่มีวันมีสุขหรอก จริงไหมศิษย์ คิดให้ดีนะที่อาจารย์พูด เพราะอาจารย์ทำมาแล้วอาจารย์จึงเข้าใจ ยิ่งให้ก็ยิ่งเต็ม แต่ยิ่งร้องขอมีแต่พร่องไม่จบสิ้น ให้เท่าที่ให้ได้ เพราะหัวใจของพุทธะ หรือหัวใจแห่งธรรม คือให้โดยไม่หวังผล ให้โดยไม่เรียกร้องยึดมั่นถือมั่นในตัวตน นี่คือหัวใจแห่งธรรม อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์กลับคืนสู่ธรรม ธรรมที่เมื่อไปถึงแล้ว ไม่มีคำว่าทุกข์ ไม่มีคำว่าเจ็บ แต่มันคือความอิสระ แต่ตื่นรู้ที่แท้จริงนะศิษย์ ไปละนะ อย่าทุกข์กับเรื่องที่ไม่ควรจะทุกข์เลย ถามตัวเองทำดีหรือยัง หากทำเต็มที่แล้ว ดีแล้ว อะไรจะเกิดก็แค่ก้มหน้ายอมรับ และทำหัวใจให้เข้มแข็งต่อไป ใช่หรือไม่
    พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สำนึกได้อะไรก็ดี”
      คนตื่นตาแต่ว่าไม่ตื่นใจ                           เรื่องถูกผิดพูดไปไม่จบสิ้น
บำเพ็ญธรรมย้อนมองตนเป็นอาจิณ                   เมื่อผืนดินกลบหน้าเหลือแต่บาปกรรม
จิตสำนึกบังเกิดดั่งประกายไฟ                         อย่าปล่อยให้ดับไปไร้ค่าดั่งฝุ่น
จักต้องหมั่นคอยทวนให้เป็นคุณ                       โลกมีดุลย์ใจจิตญาณต้องสมบูรณ์
      สำนึกได้อะไรก็ดี                                 สำนึกดีอะไรก็ได้
คิดเป็นเรื่องยากก็ง่าย                                  คิดได้จะต้องคิดดี

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา