วันศุกร์ที่ ๒๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ สถานธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
บำเพ็ญธรรมต้องมีเสมอต้นปลาย คือการฝึกจิตใจไม่ลุ่มหลง
อยู่ร่วมกันต้องมีรู้ปลดปลง เมื่อไม่ลงแรงส่งพ้นอย่างไร
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานสิงเต๋อ กตัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ไฟโทสะจิตใจมีนามมีรูป สำนึกได้ไม่ร้อนวูบเป็นเพลิงเผา
คนรู้ใช้ธรรมะดั่งตัวเบาเบา ชาญ[1]เชาวน์[2]ปัญญาไฟถูกปาฏิหาริย์แห่งสาคร[3]
มีปัญหามีทุกข์ความจริงไม่รับ เลยนั่งนับวันเวลาคอยหลอกหลอน
แม้ฝึกจิตบำเพ็ญมากหลายขั้นตอน แต่ไม่ถอนสลายเหตุชาติภพภูมิ
สร้างสะพานเชื่อมธรรมะที่มาสู่ใจ จิตสบายรู้พอขาดเกินไม่กลุ้ม
ดีร้ายใดพบหายอย่าไฟสุม ผิวมีตุ่มใดใดเป็นธรรมดาคน
คนเสมอเท่าเทียมไม่มีแตกต่าง ธรรมไม่ต่างธรรมมีไว้หลุดพ้น
ค้นชีวิตพบโลกค้นจิตพบตน โลกสับสนไม่อาจกระทบจิตแห่งธรรม
เกิดเป็นคนมีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อม การรู้ยอมเสียสละได้บังเกิดธรรม
ชีวิตมีดีร้ายบ้างธรรมดาธรรม จงรู้นำธรรมตนค้นพบทาง
อารมณ์ร้อนต้องฝึกใจให้เย็นเย็น อย่าได้เป็นคนถือสาเกะกะขวาง
ฝึกบำเพ็ญต้องมีธรรมรู้ละวาง ฝึกใจกลางรักษาใจตนปกติเป็น
ฮา ฮา หยุด
[1] ชาญ ชำนาญ รู้ ว่องไว คล่องแคล่ว
[2] เชาวน์ ความเร็ว ความไว ความรวดเร็ว ของปัญญาความคิด
[3] สาคร แม่น้ำ ทะเล
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
นั่งฟังธรรมะเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย) เรามาฟังธรรมะเพื่อลดละความยึดมั่นถือมั่นใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเหนื่อยเพราะฟังธรรมแล้วได้ลดละความยึดมั่นถือมั่นในตัว อย่างนั้นยอมเหนื่อยดีกว่าเอาแต่สบายแต่ยึดมั่นถือมั่นความเป็นตัวของตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง) คนโบราณจึงกล่าวไว้ว่า "บางครั้งเหนื่อยแล้วสบายใจ ดีกว่าสบายใจแล้วเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้" ใช่ไหม (ใช่) วันนี้มาฟังธรรมเหนื่อยหน่อยเพราะไม่ได้ทำอะไรตามใจตัวเอง แต่ได้ลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง สิ่งนี้ไม่ใช่หลักสำคัญในการศึกษาธรรมหรือ จริงไหม (จริง) หลักการศึกษาธรรมคือลดละการยึดมั่นถือมั่นถูกไหม (ถูก)
เกิดเป็นคนต้องรู้จักเหนื่อยเป็น พักเป็น แต่คนในปัจจุบันนี้ที่ทำงานเหนื่อยก็เหนื่อยมากไป ส่วนที่สบายก็สบายจนไม่เคยคิดจะเหนื่อยเลย
"บำเพ็ญธรรมต้องมีเสมอต้นปลาย คือการฝึกจิตใจไม่ลุ่มหลง
อยู่ร่วมกันต้องมีรู้ปลดปลง เมื่อไม่ลงแรงส่งพ้นอย่างไร"
เมื่อมาฟังธรรมในวันนี้แล้ว อย่านั่งฟังกันเฉยๆ ฟังแล้วต้องลงแรงขัดเกลาที่ใจด้วย เมื่อลำบากก็ลองสู้ไม่ถอย เมื่อลำบากต้องยิ่งเชื่อมั่นศรัทธาในความถูกต้องดีงามที่ตัวเองกำลังประพฤติ ปฏิบัติ บางครั้งเราอาจจะพบหนทางที่สว่างที่เราไม่เคยเจอก็ได้ แต่ก่อนเราอยู่ในโลกเราตามใจตัวเองจนเคยชิน จนไม่รู้ว่าบางครั้งมีเรื่องขัดใจบ้าง มีเรื่องกระทบใจบ้าง มีเรื่องไม่ถูกใจบ้าง บางทีก็ทำให้ใจเราเข้มแข็งกว่าการตามใจตัวเองอยู่เนืองๆ
ต่อให้เราต้องทุกข์เพียงใด เจ็บปวดมากแค่ไหน หรือชีวิตต้องพบเรื่องราวหนักหนาสาหัสสากรรจ์เพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรขาดไปจากใจของคนที่ต้องเผชิญความยากลำบากในชีวิต นั่นก็คือรอยยิ้มและความดีงาม ใช่ไหม (ใช่) แม้บางครั้งการรักษาความถูกต้องดีงาม จะทำให้เราโดดเดี่ยว ถูกเยาะเย้ยถากถาง แต่ถ้าเราย้อนมองตัวเองว่า การเป็นคนดีถ้าต้องโดดเดี่ยว ถ้าต้องถูกถากถาง ถ้าต้องถูกเข้าใจผิด แต่ว่าตนไม่เคยผิดต่อฟ้าดิน ไม่เคยประพฤติผิดต่อผู้คน ไยต้องเศร้า ไยต้องกลุ้มกังวล ไยต้องวิตกทุกข์ร้อนหรือง้องอนให้คนเข้าใจและรักเรา
ฉะนั้นเกิดเป็นคนแม้จะยากลำบากแค่ไหน ทุกข์ทนเพียงใด เจ็บปวดเพียงใด อย่าได้สูญหายรอยยิ้มและจิตใจที่เชื่อมั่นศรัทธาในความดีงามถูกต้องของตัวเอง แม้ต้องโดดเดี่ยวบ้าง แม้ต้องถูกเยาะเย้ยถากถางบ้าง แม้ต้องถูกเข้าใจผิดบ้าง แต่ถามตัวเองว่าเราไม่ดีอย่างที่เขาว่าไหม เราผิดศีล ขาดธรรมไหม เราประพฤติต่อเขาไม่ถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ ถ้าตรวจสอบแล้วว่าเราทำถูกต้อง ก็ไม่มีอะไรน่าละอาย ดีกว่ายอมผิดคุณธรรมในใจตน ดีกว่ายอมผิดความดีงามในใจตน เพื่อจะให้คนอื่นรัก ให้คนอื่นเข้าใจ แต่ลึกๆ กลับหดหู่ไปตลอดชีวิต เช่นนั้นถูกต้องหรือ (ไม่ถูก) บางครั้งเพื่อให้เพื่อนรัก บางครั้งเพื่อให้ได้เงิน เรายอมผิดศีล ขาดธรรมกับคนที่เราควรมี ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งเราไม่อยากมีปัญหา เลยปล่อยให้เขาทำผิดๆ ไป อย่างนั้นถูกต้องหรือไม่ (ไม่ถูก) แล้วเราทนอยู่กับคนที่ผิดได้ไหม (ไม่ได้) เรายิ้มออกหรือไม่ (ไม่ออก)
มีสำนวนของปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า "ต่อให้มีแผลร้อยพัน ก็ขาดรอยยิ้มบนใบหน้าไม่ได้" ต่อให้เจ็บปวดขนาดไหนอย่าลืมให้กำลังใจตัวเอง ไม่ต้องรอให้ใครให้กำลังใจ ถามตัวเองก่อนทำถูกไหม ผิดต่อฟ้าไหม ผิดต่อผู้คนไหม ผิดต่อดินไหม ถ้าสามสิ่งไม่ผิด ไยต้องกังวลว่าใครรักหรือไม่รัก เรารักตัวเองไม่ได้หรือ ใช่ไหม (ใช่) ทำไมต้องไปกังวล ถ้าเขาไม่เข้าใจแต่เราเข้าใจว่าเราทำสิ่งที่ถูกต้อง คนอื่นไม่เข้าใจช่างปะไร ใช่ไหม (ใช่)
ในโลกนี้มีใครบ้างไม่มีปัญหา มีใครบ้างไม่มีทุกข์ แต่สิ่งที่น่ากลัวและสิ่งที่สำคัญใช่อยู่ที่ทุกข์หรืออยู่ที่ปัญหา ใช่ไหม (ไม่ใช่) ปัญหาจะใหญ่บ้าง เล็กบ้าง แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่หัวใจใหญ่ขนาดไหน พบเรื่องแย่ขนาดไหนแต่หัวใจต้องดีให้มากกว่า ทุกข์ขนาดไหนแต่หัวใจต้องสุขให้มากกว่า คนเช่นนี้แม้ปัญหามาหนักขนาดไหน แม้ความทุกข์จะใหญ่ขนาดไหนแต่เขาจะมีใจที่ใหญ่กว่าปัญหา จริงหรือไม่ (จริง) เหตุที่ปัญหากลายเป็นปัญหาใหญ่ ทุกข์กลายเป็นทุกข์ไม่จบสิ้นเพราะหัวใจเราเล็กกว่าปัญหา ใช่หรือไม่ (ใช่) พอปัญหามาเราเลยรับไม่ได้รับไม่ไหว ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นเรื่องราวในโลกนี้ สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่ปัญหา ไม่ใช่ความทุกข์ แต่ใจของเราใหญ่กว่าปัญหาได้ไหม สุขให้ได้แม้จะทุกข์ได้ไหม ถ้าใจใหญ่ปัญหาจะขนาดไหนก็เป็นเรื่องเล็ก ถูกไหม (ถูก) ชีวิตทุกข์อย่างไรแต่ถ้าใจจะมีสุขให้ได้ ทุกข์ก็กลายเป็นสุข เหมือนวันนี้นั่งฟังธรรมเหนื่อยขนาดไหน แต่ถ้าใจบอกสบาย นั่งอย่างไรก็ (สบาย) เพราะใจใหญ่กว่าถูกไหม (ถูก) ใจมนุษย์ใหญ่ได้เท่าที่ความเชื่อมั่นศรัทธาในหัวใจตัวเอง อย่าเอาความสุข ความสบายไปฝากไว้ ไปแขวนไว้ที่ชีวิตใครเลย รักตัวเองไหม (รัก) รักแล้วถึงเวลาทำไมเอาใจตัวเองไปให้คนอื่น รักแล้วทำไมเอาชีวิตตัวเองไปยกให้ใคร ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคนที่บอกว่ารักตัวเอง อยากมีสุขหรืออยากมีทุกข์ (อยากมีสุข) แล้วการปล่อยใจให้ไปอยู่กับคนอื่นส่วนใหญ่ได้สุขหรือได้ทุกข์ (ได้ทุกข์)
“สร้างสะพานเชื่อมธรรมะที่มาสู่ใจ จิตสบายรู้พอขาดเกินไม่กลุ้ม
ดีร้ายใดพบหายอย่าไฟสุม ผิวมีตุ่มใดใดเป็นธรรมดาคน”
ชีวิตก็เหมือนผิว ไม่มีราบรื่นตลอด ใช่ไหม บ้างก็มีตุ่มมีเนิน บ้างก็มีดีมีร้าย จะหวังมีผิวหน้าเกลี้ยงตลอด ผิวดีตลอดเป็นไปได้ไหม ชีวิตก็เหมือนกันบางครั้งพบเจอเรื่องดี บางครั้งพบเจอเรื่องร้ายเราหลีกหนีไม่พ้น ถ้าวันหนึ่งเราต้องพบความไม่สมบูรณ์ของชีวิต ถ้าชีวิตเราต้องเจอสิ่งที่ไม่เป็นไปดังคาดคิด หรือทำให้ชีวิตไม่เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ บางครั้งเราก็รู้สึกว่าทุกข์ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเกิดชีวิตเจอเรื่องไม่สมบูรณ์แบบบ่อยๆ ก็ทุกข์บ่อยหน่อย แต่ความไม่สมบูรณ์แบบกลับสอนอะไรให้กับชีวิตเรา รู้ไหม (ความไม่เที่ยงของสังขาร) มีเรียบ มีสบาย ก็มีโรคภัยไข้เจ็บเป็นธรรมดา เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้แปลว่าชีวิตที่เป็นปกติ แสวงหาตามปกติ เมื่อพบความไม่สมบูรณ์ในชีวิตกลับทำให้เราคิดได้อย่างหนึ่ง ทำให้เรารู้อย่างหนึ่ง นั่นคือชีวิตหนีไม่พ้นสัจธรรม ความไม่เที่ยงก็คือสัจธรรม ความไม่แน่นอนก็คือสัจธรรม เมื่อสัจธรรมมาถึง มนุษย์อย่ามัวแต่ห่วงหน้าตา ห่วงทรัพย์สิน ห่วงลาภยศเงินทอง ควรประพฤติปฏิบัติเพื่อความถูกต้องดีงามตามที่ฟ้าเบื้องบนท่านได้พร่ำสอน เมื่อไรที่เราเจอความจริงของชีวิต จงตระหนักว่า "ชีวิตนี้ไม่เที่ยงนะ ชีวิตมีความเปลี่ยนแปลงนะ" แล้วเรายังมัวที่จะรักหน้าตา ยังมัวที่จะแสวงหาเงินทอง จนทอดทิ้งคุณงามความดีหรือไม่ (ไม่) เพราะความไม่สมบูรณ์ของชีวิต ให้บทเรียนที่ล้ำค่ากับชีวิตว่า ชีวิตมีค่าที่หน้าตา ที่เงินทอง หรือที่ความประพฤติ (ความประพฤติ) แล้วความประพฤติที่ฟ้าเบื้องบนได้พร่ำสอนให้มนุษย์เรียนรู้ปฏิบัตินั้นก็คือสัจธรรม มนุษย์หลายคนบอกว่า "ชีวิตแค่นี้ก็พอแล้ว มีธรรมไปทำไม ปฏิบัติธรรมไปทำไม ไม่ต้องปฏิบัติธรรมหรอก หรือไม่ต้องรู้ธรรมหรอก" ใช่หรือไม่ ถ้าคนๆ หนึ่ง ตลอดชีวิต ไม่เคยศึกษาธรรม ไม่เคยปฏิบัติธรรม เมื่อไรขาดสติ ขาดมโนธรรมสำนึก ก็ไม่มีบาปอะไรในโลกที่เขาทำไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเกิดเป็นคน ถ้าไม่มีธรรมย้ำเตือนใจ ไม่เคยนำธรรมเอามาสอนใจ ไม่เคยคิดปฏิบัติธรรมให้กับชีวิต แล้วคนๆ นี้จะมีความสำนึก ความละอายใจ ความผิดชอบชั่วดี การรู้บาปบุญคุณโทษ หรือไม่ เพราะตลอดชีวิตทำอะไรตามใจตัวเอง เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง ฉะนั้นควรหรือไม่ควรที่จะมีธรรมยั้งใจ (ควร) แล้วควรหรือไม่ควรที่จะปฏิบัติธรรม (ควร) แล้วปฏิบัติธรรมที่ไหน แค่กับพระ ใช่ไหม (ไม่ใช่) ทำดีแค่กับพระ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) เป็นคนดีแค่ในวัด ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าต้องปฏิบัติธรรมที่ไหน (ทุกที่) ทำไมเราจึงต้องมีธรรม เพราะถ้าไม่มีธรรม มนุษย์จะทำอะไรอย่างคนเห็นแก่ตัว ลองขาดธรรมแค่ชั่วขณะหนึ่ง คนใจดีก็กลายเป็นคนใจร้าย ลองไม่มีธรรมสักขณะหนึ่งแล้วเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง คนใจกว้างก็กลายเป็นคนใจแคบ ฉะนั้นควรหรือไม่ควรที่จะปฏิบัติธรรม (ควร) และควรหรือไม่ควรที่จะปฏิบัติธรรมทุกที่ (ควร) แล้วเราปฏิบัติทุกที่หรือเลือกบางที่ (ทุกที่) ถ้าปฏิบัติทุกที่ไม่เลือกผู้คนอย่างนั้นหมายความว่าทุกคนเราต้องมีธรรม แล้วเราปฏิบัติกับเขาแบบคนมีธรรมหรือคนมีอารมณ์ (มีธรรม) ใช้ธรรมกับคน หรือใช้อารมณ์กับคน (ใช้ธรรม)
หลักธรรมของพุทธศาสนาสอนไว้ว่า การให้ทานใดก็ไม่ประเสริฐเท่ากับให้ธรรมะเป็นทาน แล้วเราปฏิบัติกับผู้คนด้วยเมตตาธรรม ด้วยความซื่อสัตย์ ด้วยความกรุณาปราณี หรือเราปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ คดโกงเบียดบัง หนึ่งชีวิตต้องมีธรรม เป็นสิ่งสมควรหรือไม่ (สมควร) ถ้าเราปฏิบัติต่อเขาด้วยธรรม เขาจะรักเราไหม (รัก) ถ้าเราปฏิบัติต่อเขาด้วยเมตตาธรรม ซื่อสัตย์ต่อเขา ให้เกียรติ ไม่โกง ไม่เบียดบังเขา เราจะมีทุกข์ไหม (ไม่มี) แล้วทุกวันนี้ที่ทุกข์เพราะเขาไม่รักหรือเพราะเราขาดธรรม แล้วไม่มีทานใดประเสริฐเท่ากับให้ธรรมะเป็นทาน ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่มีทานใดประเสริฐเท่ากับสังฆทาน คือการทำทานที่ไม่หวังผลและไม่เจาะจงผู้รับ
ฉะนั้นเมื่อมีเคราะห์อยากจะทำบุญ อย่าทำบุญเจาะจงแค่กับพระ การที่เรามีเคราะห์เพราะเราไม่รู้จักปฏิบัติธรรมกับทุกๆ คนใช่ไหม (ใช่) ถ้าทุกขณะมีธรรม ทุกขณะเพียรระลึกถึงธรรม เกิดเป็นคนจะประมาทในการดำเนินชีวิตไหม (ไม่ประมาท) เกิดเป็นคนเมื่อเจอเรื่องราวผิดพลาดคาดไม่ถึง จะทุกข์เสียใจไหม แต่จะมีเกราะป้องกันภัยและมีธรรมเป็นภูมิต้านทานให้รับความจริงแห่งโลกได้ไหว แต่คนปัจจุบันนี้ไม่มีธรรม มีแต่อารมณ์ ใช่ไหม (ใช่) ไม่ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติแต่ตามใจตามอารมณ์ เมื่อเจอเรื่องราวก็รับไม่ได้ แล้วก็เอาแต่โทษฟ้า โทษดิน โทษผู้คน ทั้งที่จริงๆ แล้ว ต้นเหตุทั้งมวลล้วนมาจาก (ตัวเรา) ดังคำที่พระท่านสอนไว้ว่า "ปลูกแตงย่อมได้แตง ไม่สร้างเหตุจะมีผลให้ต้องรับหรือ" ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นถ้าไม่อยากรับสิ่งใดก็จงอย่าทำสิ่งนั้นกับผู้อื่น เมื่อไม่อยากให้ใครเบียดเบียนเราลองถามใจเราลึกๆ เคยเบียดเบียนผู้อื่นบ้างไหม
ถ้าไม่อยากให้เขามาแย่งของๆ เรา ลองถามใจเราลึกๆ ว่าแค่เกิดมา ลืมตาขึ้นมา ก็คิดแค่เพียงว่าวันนี้เราอยากได้อะไรของใคร ฉะนั้นถ้าไม่อยากถูกใครลักขโมย ของรักของหวง ไม่อยากให้ใครหลอกลวง ถามท่านว่าเคยหลอกลวงตัวเองไหม วันนี้มาฟังธรรม เพื่อมาเปิดประตูใจ เพื่อให้เห็นใจตัวเอง ว่าใจตัวเองเป็นอย่างไร เพราะต้นเหตุของทุกข์ทั้งมวลล้วนเกิดจากใจของเรา เราแก้อดีตไม่ได้ เราเปลี่ยนให้คนที่เกลียดเรามารักเราไม่ได้ และเราหวังให้คนรักเรามากยิ่งขึ้นไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือไม่เพิ่มคนเกลียด โดยการทำวันนี้ให้ถูกต้องดีงามในศีลในธรรม ถ้าเราตั้งตรง มีหรือสิ่งที่ตามมาจะไม่ตรง แต่ต้องอย่าลืมว่าเราศึกษาธรรมเพื่อละความยึดมั่นลุ่มหลง ไม่ใช่ตัวเองตรงแล้วต้องบังคับให้คนอื่นต้องตรงด้วย คำโบราณจึงกล่าวว่า "แม้หาต้นไม้ในป่าจนทั่วทุกต้น กว่าจะหาต้นไม้ที่ตรงที่สุดไม่คดเลยนั้นยังหายาก" ฉะนั้นนับประสาอะไรกับมนุษย์และตัวเราให้มีความสมบูรณ์พร้อมก็เป็นไปได้ยาก ถ้าผิดก็แก้ไข ถูกก็มุ่งมั่นทำต่อไป อย่าสูญเสียศรัทธาความดีงามในใจตนก็พอ ใช่ไหม
แม้ความดีงามนั้นจะทำให้เราถูกเยาะเย้ยถากถางหรือต้องหยัดยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ก็อย่าสูญเสียความมุ่งมั่นศรัทธานี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ยิ่งเราเรียนรู้สัจจะความเป็นจริงมากเท่าไร ยิ่งเราพบความไม่สมบูรณ์ของชีวิตมากเท่าไร เราก็ยิ่งเห็นชัดเจนว่าโลกนี้ใครหนอดีที่สุด โลกนี้ใครหนอแย่ที่สุด เมื่อไม่ปักใจจึงทำให้เรากระจ่างแจ้งในใจว่า แล้วโลกนี้อะไรหนอคือสิ่งที่ดี อะไรหนอคือสิ่งที่ร้าย ในเมื่อสัจธรรมสอนให้เรารู้ว่าไม่มีอะไรในโลกสมบูรณ์พร้อม จริงไหม (จริง) แต่กี่คนหนอจะกระจ่างแจ้งในใจ
อย่าเป็นคนปฏิบัติธรรม ทำบุญเก่งสวดมนต์เก่ง แต่ถึงเวลากลับไม่สามารถนำธรรมะมาขจัดทุกข์ได้เลย อย่างนั้นก็น่าเสียดาย ฉะนั้นหลักของการศึกษาปฏิบัติคือต้องนำธรรมนั้นมาประจักษ์แจ้งในจิตใจ จนบังเกิดหนทางที่นำพาให้เราพ้นทุกข์ด้วยตัวเอง แล้วธรรมใดที่ทำให้เราหมั่นศึกษา หมั่นปฏิบัติ และอยู่ในโลกบังเกิดสุขไม่นำพาให้ต้องพบทุกข์ นั่นก็คือ "ใดใดในโลกล้วนหาสมบูรณ์พร้อมไม่" ถ้าหมั่นระลึกไว้เสมอ จะตระหนักได้ว่า มนุษย์นั้นไม่มีใครดีพร้อมสมบูรณ์
มีใครคิดว่าตัวเองดีพร้อมที่สุดบ้าง ไม่มีเลยหรือ ตัวเองเป็นคนดีที่ยังไม่พร้อมสมบูรณ์ ใช่ไหม (ใช่) แล้วเคยไหมที่เห็นตัวเองชัดก็เห็นผู้อื่นชัด เราเป็นเช่นไรคนอื่นก็เป็นเช่นนั้น เรายังใจร้อนอยู่คนอื่นก็ (ใจร้อน) เรายังขี้งกอยู่ คนอื่นก็ (ขี้งก) เรายังขี้บ่นอยู่ คนอื่นก็ (ขี้บ่น) ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นตัวเองชัดก็สามารถประจักษ์แจ้งตื่นรู้ความไม่สมบูรณ์พร้อมในคนได้ชัด เราก็จะไม่ปักใจเชื่อว่าทุกคนสมบูรณ์พร้อม เมื่อไม่ปักใจเชื่อแล้วจะมีใครที่เราเกลียด จะมีใครที่เรารัก จะมีใครที่เราโกรธเพราะทุกคนก็ไม่ (สมบูรณ์) ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อทุกคนไม่สมบูรณ์พร้อม แล้วเรื่องราวในโลกจะสมบูรณ์พร้อมไหม (ไม่) มีดีไปตลอดเลยใช่ไหม (ไม่ใช่) มีร้ายไปตลอดเลยใช่ไหม (ไม่ใช่) มีสุขไปตลอดเลยใช่ไหม (ไม่ใช่) มีทุกข์ไปตลอดเลยใช่ไหม (ไม่ใช่) เมื่อไม่ใช่แล้วเราทุกข์อะไร เมื่อไม่ใช่แล้วเรากำลังผิดหวังอะไร ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นทำไมจึงต้องปฏิบัติธรรมและทำไมถึงจะต้องหมั่นพิจารณาธรรม ให้ธรรมสอนใจอยู่เนืองๆ เพราะการสอนใจอยู่เนืองๆ จะทำให้เรามีภูมิคุ้มกันและทำให้เราไม่ประมาทก้าวผิดไปสร้างกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อไม่โกรธจะด่าใครไหม (ไม่) จะก่อเกิดเป็นโทสะไหม (ไม่) แล้วจะต้องสร้างอภัยทานไหม (ไม่ต้อง) เมื่อยังต้องอภัยแปลว่าเรายังโกรธเขานะ ใช่ไหม (ใช่) เพราะถ้ายังต้องรู้สึกให้อภัย ต้องข่มใจ แปลว่าเรายังไม่ชอบใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถึงแม้ว่าปากพูดว่าอภัยแต่ยังเอากลับมาคิดอยู่เนืองๆ นั่นใช่อภัยไหม (ไม่ใช่)
ฉะนั้นถ้าเราเอาธรรมมาพิจารณาเนืองๆ ความเห็นในธรรมความกระจ่างแจ้งในธรรมจะช่วยทำให้เราปลดทุกข์จากใจ ความเข้าใจจะทำให้เราไม่ต้องทนฝืนใจ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมจึงไม่ควรห่างไปจากชีวิต เมื่อเราเข้าใจแล้วเราก็จะรู้ว่าโลกนี้ไม่มีสูงต่ำ ไม่มีร้ายดี ที่คิดว่ายังมีสูงมีต่ำ มีร้ายมีดี เพราะใจท่านยึดติดชอบแบบนั้น เกลียดแบบนี้ แต่ถามว่า คนที่เราว่าน่าเกลียดนั้น น่าเกลียดจริงไหม (ไม่จริง) เขาไม่มีอะไรดีเลยหรือ แล้วคนที่เราว่าน่ารักนั้น น่ารักที่สุดจริงหรือ (ไม่จริง) แล้วอะไรดี อะไรร้าย อะไรทุกข์ อะไรสุข แก้ที่เขาหรือปล่อยวางที่ใจเรา แล้วให้เห็นแจ้งเสียทีใช่ไหม (ใช่)
วันนี้เราคงมาผูกบุญกับท่านสั้นๆ แค่นี้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก รอเมื่อใจสกปรกแล้วค่อยล้างหรือไม่ต้องล้างเลยเพราะไม่ผิดแล้ว ดีที่สุด จริงไหม ถ้าใจมันขุ่นแล้ว ใจมันหมองแล้วล้างยาก สู้มองเห็นชัดแล้วไม่มีอะไรทำให้ใจขุ่นเลย และไม่ต้องล้างใจเลย นั่นคือหนทางที่ประเสริฐที่สุด เพราะใดๆ ก็ไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้ายังไม่เข้าใจ พรุ่งนี้คงต้องมาศึกษาต่อนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ปลูกแตงวันเดียวไม่ได้ผลหรอกนะ การศึกษาหลักธรรมก็เฉกเช่นเดียวกัน แต่ธรรมจะบังเกิดผลได้ไม่ใช่เพียงเเค่ฟัง แต่ต้องเอามาหยั่งพิจารณาในใจตน ลองเอามาหยั่งดู เมื่อไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แล้วโลกสมบูรณ์แบบไหม เราไม่ควรด่าว่าใครไม่ดีหรือด่าว่าโลกนี้ลำเอียง นั่นคือทางที่ถูกที่สุด จริงไหม (จริง) ถ้าใจเราพบเจอสิ่งใด เรื่องราวใดแล้วเราไม่คิดด่าใคร นั่นคือทางบำเพ็ญที่ถูกต้องที่สุด เพราะใครๆ ก็ไม่สมบูรณ์พร้อม ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเมื่อสังขารไม่สมบูรณ์พร้อม จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) ความไม่สมบูรณ์พร้อมก็คือความเจ็บป่วย ความอ่อนแอ ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่จำเป็นต้องทุกข์เพราะเป็นความจริงแห่งสังขารที่เรียกว่าชีวิต หนีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่พ้น เมื่อไม่สมบูรณ์แล้วจะยึดมั่นทำไม สู้ยอมรับความจริงแล้วสู้ต่อดีไหม ถึงเวลายอมแพ้ จมกับความทุกข์หรือมีใจใหญ่กว่าทุกข์ มีใจใหญ่กว่าปัญหา
วันนี้ถ้านั่งแล้วสู้ไม่ไหวแปลว่าใจเล็กนิดเดียว แต่ถ้าใจใหญ่ต่อให้นานแค่ไหนก็สู้ไหว แล้วต่อไปเมื่อชีวิตต้องเจอเรื่องยากลำบากใจ ใจเราก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น ใหญ่จนหาที่สุดไม่ได้ นั่นแหละเรียกว่าใจฟ้า ใจพระพุทธา ฉะนั้นบทเรียนของชีวิตทำให้เราทราบว่าใจเราเล็กหรือใจเราหาที่สุดไม่ได้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
วันเสาร์ที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ สถานธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เวลานานภูมิธรรมกลับพ่ายนิสัย ความเข้าใจศรัทธาจางเพราะหลงผิด
ทนไม่ได้นิสัยคนใจยึดติด เมื่อธรรมผิดไปจากใจก็ไม่เอา
น่าสงสารศิษย์ที่ยอมทำเช่นนั้น เมื่อใจถูกปิดกั้นพลาดความเขลา
ปฏิบัติธรรมเพื่อลดละใช่ถือเอา ถามศิษย์เจ้าเหมือนเดิมหรือลดละจริง
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์อาจารย์ คิดถึงเหมือนที่อาจารย์คิดถึงศิษย์ไหมหนอ
หนทางคนธรรมะทางนี้สงบเย็น จิตที่บำเพ็ญสู่ที่เดิมเลิศล้ำ
พูดธรรมใช้ธรรมกรรมดีอยู่ประจำ ชะตากรรมเจาะใจตรึงตนด้วยสติ
ดิ้นไม่พ้นก็หนี้กรรมที่จองจำ คติธรรมทุกธรรมไม่อาจเรียกสติ
ทุกข์ทุกวันเมื่อเคยชินไม่ตำหนิ คราวดำริอยากพบทางออกยากเย็น
คนแปลกจากคนแยกกันไม่สามัคคี เรื่องง่ายง่ายมากมีก็แสนเข็ญ
คนไม่คุมจิตใจตนไม่บำเพ็ญ พูดง่ายง่ายก็ไม่เป็นทำอะไร
ฮา ฮา หยุด
จิตใจมีธรรมะ ไม่ร้อนวูบดั่งถูกไฟ ปัญญาเป็นตัวหาร ความทุกข์มีวันสลาย จิตบำเพ็ญมากพอ เชื่อมธรรมะที่ขาดหาย พบใดใดไม่เทียมเท่าค้นพบธรรม
* โลกไม่อาจกระทบ คนบำเพ็ญใช้ธรรมสู่ธรรม ทางที่กรรมจะพ้น ก็ใจตรงนี้
** ทุกวันเมื่อธรรมไม่เคยแยกจาก พบคนมากคุมจิตใจไม่ง่าย ผู้ฝึกใจนี้ไว้มากไม่ถือโทษจำ เข้าใจขึ้นมาไม่ตีถอยห่าง[1] สังคมวุ่นจากคนพูดคนละคำ นำธรรมพบธรรม ความวุ่นใจคลายลดลง
โลกยังมีธรรมะ ปราชญ์นั้นแฝงเร้นทั่วไป ช่วยคนตนเองนั้น จะต้องบำเพ็ญก่อนใคร ติดปัญหาสำคัญ การยึดเป็นเรื่องใหญ่ แม้อะไรขอให้ยอมรับเทอญ (ซ้ำ *,**,**)
ตามธรรมะเดิน ตามธรรมะเดิน จิตเป็นสวรรค์ ความวุ่นใจคลายลดลง
ทำนองเพลง : บุพเพสันนิวาส
ชื่อเพลง : เดินตามธรรมะ
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
นั่งฟังธรรมะเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย) เรามาฟังธรรมะเพื่อลดละความยึดมั่นถือมั่นใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเหนื่อยเพราะฟังธรรมแล้วได้ลดละความยึดมั่นถือมั่นในตัว อย่างนั้นยอมเหนื่อยดีกว่าเอาแต่สบายแต่ยึดมั่นถือมั่นความเป็นตัวของตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง) คนโบราณจึงกล่าวไว้ว่า "บางครั้งเหนื่อยแล้วสบายใจ ดีกว่าสบายใจแล้วเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้" ใช่ไหม (ใช่) วันนี้มาฟังธรรมเหนื่อยหน่อยเพราะไม่ได้ทำอะไรตามใจตัวเอง แต่ได้ลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง สิ่งนี้ไม่ใช่หลักสำคัญในการศึกษาธรรมหรือ จริงไหม (จริง) หลักการศึกษาธรรมคือลดละการยึดมั่นถือมั่นถูกไหม (ถูก)
เกิดเป็นคนต้องรู้จักเหนื่อยเป็น พักเป็น แต่คนในปัจจุบันนี้ที่ทำงานเหนื่อยก็เหนื่อยมากไป ส่วนที่สบายก็สบายจนไม่เคยคิดจะเหนื่อยเลย
"บำเพ็ญธรรมต้องมีเสมอต้นปลาย คือการฝึกจิตใจไม่ลุ่มหลง
อยู่ร่วมกันต้องมีรู้ปลดปลง เมื่อไม่ลงแรงส่งพ้นอย่างไร"
เมื่อมาฟังธรรมในวันนี้แล้ว อย่านั่งฟังกันเฉยๆ ฟังแล้วต้องลงแรงขัดเกลาที่ใจด้วย เมื่อลำบากก็ลองสู้ไม่ถอย เมื่อลำบากต้องยิ่งเชื่อมั่นศรัทธาในความถูกต้องดีงามที่ตัวเองกำลังประพฤติ ปฏิบัติ บางครั้งเราอาจจะพบหนทางที่สว่างที่เราไม่เคยเจอก็ได้ แต่ก่อนเราอยู่ในโลกเราตามใจตัวเองจนเคยชิน จนไม่รู้ว่าบางครั้งมีเรื่องขัดใจบ้าง มีเรื่องกระทบใจบ้าง มีเรื่องไม่ถูกใจบ้าง บางทีก็ทำให้ใจเราเข้มแข็งกว่าการตามใจตัวเองอยู่เนืองๆ
ต่อให้เราต้องทุกข์เพียงใด เจ็บปวดมากแค่ไหน หรือชีวิตต้องพบเรื่องราวหนักหนาสาหัสสากรรจ์เพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรขาดไปจากใจของคนที่ต้องเผชิญความยากลำบากในชีวิต นั่นก็คือรอยยิ้มและความดีงาม ใช่ไหม (ใช่) แม้บางครั้งการรักษาความถูกต้องดีงาม จะทำให้เราโดดเดี่ยว ถูกเยาะเย้ยถากถาง แต่ถ้าเราย้อนมองตัวเองว่า การเป็นคนดีถ้าต้องโดดเดี่ยว ถ้าต้องถูกถากถาง ถ้าต้องถูกเข้าใจผิด แต่ว่าตนไม่เคยผิดต่อฟ้าดิน ไม่เคยประพฤติผิดต่อผู้คน ไยต้องเศร้า ไยต้องกลุ้มกังวล ไยต้องวิตกทุกข์ร้อนหรือง้องอนให้คนเข้าใจและรักเรา
ฉะนั้นเกิดเป็นคนแม้จะยากลำบากแค่ไหน ทุกข์ทนเพียงใด เจ็บปวดเพียงใด อย่าได้สูญหายรอยยิ้มและจิตใจที่เชื่อมั่นศรัทธาในความดีงามถูกต้องของตัวเอง แม้ต้องโดดเดี่ยวบ้าง แม้ต้องถูกเยาะเย้ยถากถางบ้าง แม้ต้องถูกเข้าใจผิดบ้าง แต่ถามตัวเองว่าเราไม่ดีอย่างที่เขาว่าไหม เราผิดศีล ขาดธรรมไหม เราประพฤติต่อเขาไม่ถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ ถ้าตรวจสอบแล้วว่าเราทำถูกต้อง ก็ไม่มีอะไรน่าละอาย ดีกว่ายอมผิดคุณธรรมในใจตน ดีกว่ายอมผิดความดีงามในใจตน เพื่อจะให้คนอื่นรัก ให้คนอื่นเข้าใจ แต่ลึกๆ กลับหดหู่ไปตลอดชีวิต เช่นนั้นถูกต้องหรือ (ไม่ถูก) บางครั้งเพื่อให้เพื่อนรัก บางครั้งเพื่อให้ได้เงิน เรายอมผิดศีล ขาดธรรมกับคนที่เราควรมี ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งเราไม่อยากมีปัญหา เลยปล่อยให้เขาทำผิดๆ ไป อย่างนั้นถูกต้องหรือไม่ (ไม่ถูก) แล้วเราทนอยู่กับคนที่ผิดได้ไหม (ไม่ได้) เรายิ้มออกหรือไม่ (ไม่ออก)
มีสำนวนของปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า "ต่อให้มีแผลร้อยพัน ก็ขาดรอยยิ้มบนใบหน้าไม่ได้" ต่อให้เจ็บปวดขนาดไหนอย่าลืมให้กำลังใจตัวเอง ไม่ต้องรอให้ใครให้กำลังใจ ถามตัวเองก่อนทำถูกไหม ผิดต่อฟ้าไหม ผิดต่อผู้คนไหม ผิดต่อดินไหม ถ้าสามสิ่งไม่ผิด ไยต้องกังวลว่าใครรักหรือไม่รัก เรารักตัวเองไม่ได้หรือ ใช่ไหม (ใช่) ทำไมต้องไปกังวล ถ้าเขาไม่เข้าใจแต่เราเข้าใจว่าเราทำสิ่งที่ถูกต้อง คนอื่นไม่เข้าใจช่างปะไร ใช่ไหม (ใช่)
ในโลกนี้มีใครบ้างไม่มีปัญหา มีใครบ้างไม่มีทุกข์ แต่สิ่งที่น่ากลัวและสิ่งที่สำคัญใช่อยู่ที่ทุกข์หรืออยู่ที่ปัญหา ใช่ไหม (ไม่ใช่) ปัญหาจะใหญ่บ้าง เล็กบ้าง แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่หัวใจใหญ่ขนาดไหน พบเรื่องแย่ขนาดไหนแต่หัวใจต้องดีให้มากกว่า ทุกข์ขนาดไหนแต่หัวใจต้องสุขให้มากกว่า คนเช่นนี้แม้ปัญหามาหนักขนาดไหน แม้ความทุกข์จะใหญ่ขนาดไหนแต่เขาจะมีใจที่ใหญ่กว่าปัญหา จริงหรือไม่ (จริง) เหตุที่ปัญหากลายเป็นปัญหาใหญ่ ทุกข์กลายเป็นทุกข์ไม่จบสิ้นเพราะหัวใจเราเล็กกว่าปัญหา ใช่หรือไม่ (ใช่) พอปัญหามาเราเลยรับไม่ได้รับไม่ไหว ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นเรื่องราวในโลกนี้ สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่ปัญหา ไม่ใช่ความทุกข์ แต่ใจของเราใหญ่กว่าปัญหาได้ไหม สุขให้ได้แม้จะทุกข์ได้ไหม ถ้าใจใหญ่ปัญหาจะขนาดไหนก็เป็นเรื่องเล็ก ถูกไหม (ถูก) ชีวิตทุกข์อย่างไรแต่ถ้าใจจะมีสุขให้ได้ ทุกข์ก็กลายเป็นสุข เหมือนวันนี้นั่งฟังธรรมเหนื่อยขนาดไหน แต่ถ้าใจบอกสบาย นั่งอย่างไรก็ (สบาย) เพราะใจใหญ่กว่าถูกไหม (ถูก) ใจมนุษย์ใหญ่ได้เท่าที่ความเชื่อมั่นศรัทธาในหัวใจตัวเอง อย่าเอาความสุข ความสบายไปฝากไว้ ไปแขวนไว้ที่ชีวิตใครเลย รักตัวเองไหม (รัก) รักแล้วถึงเวลาทำไมเอาใจตัวเองไปให้คนอื่น รักแล้วทำไมเอาชีวิตตัวเองไปยกให้ใคร ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคนที่บอกว่ารักตัวเอง อยากมีสุขหรืออยากมีทุกข์ (อยากมีสุข) แล้วการปล่อยใจให้ไปอยู่กับคนอื่นส่วนใหญ่ได้สุขหรือได้ทุกข์ (ได้ทุกข์)
“สร้างสะพานเชื่อมธรรมะที่มาสู่ใจ จิตสบายรู้พอขาดเกินไม่กลุ้ม
ดีร้ายใดพบหายอย่าไฟสุม ผิวมีตุ่มใดใดเป็นธรรมดาคน”
ชีวิตก็เหมือนผิว ไม่มีราบรื่นตลอด ใช่ไหม บ้างก็มีตุ่มมีเนิน บ้างก็มีดีมีร้าย จะหวังมีผิวหน้าเกลี้ยงตลอด ผิวดีตลอดเป็นไปได้ไหม ชีวิตก็เหมือนกันบางครั้งพบเจอเรื่องดี บางครั้งพบเจอเรื่องร้ายเราหลีกหนีไม่พ้น ถ้าวันหนึ่งเราต้องพบความไม่สมบูรณ์ของชีวิต ถ้าชีวิตเราต้องเจอสิ่งที่ไม่เป็นไปดังคาดคิด หรือทำให้ชีวิตไม่เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ บางครั้งเราก็รู้สึกว่าทุกข์ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเกิดชีวิตเจอเรื่องไม่สมบูรณ์แบบบ่อยๆ ก็ทุกข์บ่อยหน่อย แต่ความไม่สมบูรณ์แบบกลับสอนอะไรให้กับชีวิตเรา รู้ไหม (ความไม่เที่ยงของสังขาร) มีเรียบ มีสบาย ก็มีโรคภัยไข้เจ็บเป็นธรรมดา เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้แปลว่าชีวิตที่เป็นปกติ แสวงหาตามปกติ เมื่อพบความไม่สมบูรณ์ในชีวิตกลับทำให้เราคิดได้อย่างหนึ่ง ทำให้เรารู้อย่างหนึ่ง นั่นคือชีวิตหนีไม่พ้นสัจธรรม ความไม่เที่ยงก็คือสัจธรรม ความไม่แน่นอนก็คือสัจธรรม เมื่อสัจธรรมมาถึง มนุษย์อย่ามัวแต่ห่วงหน้าตา ห่วงทรัพย์สิน ห่วงลาภยศเงินทอง ควรประพฤติปฏิบัติเพื่อความถูกต้องดีงามตามที่ฟ้าเบื้องบนท่านได้พร่ำสอน เมื่อไรที่เราเจอความจริงของชีวิต จงตระหนักว่า "ชีวิตนี้ไม่เที่ยงนะ ชีวิตมีความเปลี่ยนแปลงนะ" แล้วเรายังมัวที่จะรักหน้าตา ยังมัวที่จะแสวงหาเงินทอง จนทอดทิ้งคุณงามความดีหรือไม่ (ไม่) เพราะความไม่สมบูรณ์ของชีวิต ให้บทเรียนที่ล้ำค่ากับชีวิตว่า ชีวิตมีค่าที่หน้าตา ที่เงินทอง หรือที่ความประพฤติ (ความประพฤติ) แล้วความประพฤติที่ฟ้าเบื้องบนได้พร่ำสอนให้มนุษย์เรียนรู้ปฏิบัตินั้นก็คือสัจธรรม มนุษย์หลายคนบอกว่า "ชีวิตแค่นี้ก็พอแล้ว มีธรรมไปทำไม ปฏิบัติธรรมไปทำไม ไม่ต้องปฏิบัติธรรมหรอก หรือไม่ต้องรู้ธรรมหรอก" ใช่หรือไม่ ถ้าคนๆ หนึ่ง ตลอดชีวิต ไม่เคยศึกษาธรรม ไม่เคยปฏิบัติธรรม เมื่อไรขาดสติ ขาดมโนธรรมสำนึก ก็ไม่มีบาปอะไรในโลกที่เขาทำไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเกิดเป็นคน ถ้าไม่มีธรรมย้ำเตือนใจ ไม่เคยนำธรรมเอามาสอนใจ ไม่เคยคิดปฏิบัติธรรมให้กับชีวิต แล้วคนๆ นี้จะมีความสำนึก ความละอายใจ ความผิดชอบชั่วดี การรู้บาปบุญคุณโทษ หรือไม่ เพราะตลอดชีวิตทำอะไรตามใจตัวเอง เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง ฉะนั้นควรหรือไม่ควรที่จะมีธรรมยั้งใจ (ควร) แล้วควรหรือไม่ควรที่จะปฏิบัติธรรม (ควร) แล้วปฏิบัติธรรมที่ไหน แค่กับพระ ใช่ไหม (ไม่ใช่) ทำดีแค่กับพระ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) เป็นคนดีแค่ในวัด ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าต้องปฏิบัติธรรมที่ไหน (ทุกที่) ทำไมเราจึงต้องมีธรรม เพราะถ้าไม่มีธรรม มนุษย์จะทำอะไรอย่างคนเห็นแก่ตัว ลองขาดธรรมแค่ชั่วขณะหนึ่ง คนใจดีก็กลายเป็นคนใจร้าย ลองไม่มีธรรมสักขณะหนึ่งแล้วเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง คนใจกว้างก็กลายเป็นคนใจแคบ ฉะนั้นควรหรือไม่ควรที่จะปฏิบัติธรรม (ควร) และควรหรือไม่ควรที่จะปฏิบัติธรรมทุกที่ (ควร) แล้วเราปฏิบัติทุกที่หรือเลือกบางที่ (ทุกที่) ถ้าปฏิบัติทุกที่ไม่เลือกผู้คนอย่างนั้นหมายความว่าทุกคนเราต้องมีธรรม แล้วเราปฏิบัติกับเขาแบบคนมีธรรมหรือคนมีอารมณ์ (มีธรรม) ใช้ธรรมกับคน หรือใช้อารมณ์กับคน (ใช้ธรรม)
หลักธรรมของพุทธศาสนาสอนไว้ว่า การให้ทานใดก็ไม่ประเสริฐเท่ากับให้ธรรมะเป็นทาน แล้วเราปฏิบัติกับผู้คนด้วยเมตตาธรรม ด้วยความซื่อสัตย์ ด้วยความกรุณาปราณี หรือเราปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ คดโกงเบียดบัง หนึ่งชีวิตต้องมีธรรม เป็นสิ่งสมควรหรือไม่ (สมควร) ถ้าเราปฏิบัติต่อเขาด้วยธรรม เขาจะรักเราไหม (รัก) ถ้าเราปฏิบัติต่อเขาด้วยเมตตาธรรม ซื่อสัตย์ต่อเขา ให้เกียรติ ไม่โกง ไม่เบียดบังเขา เราจะมีทุกข์ไหม (ไม่มี) แล้วทุกวันนี้ที่ทุกข์เพราะเขาไม่รักหรือเพราะเราขาดธรรม แล้วไม่มีทานใดประเสริฐเท่ากับให้ธรรมะเป็นทาน ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่มีทานใดประเสริฐเท่ากับสังฆทาน คือการทำทานที่ไม่หวังผลและไม่เจาะจงผู้รับ
ฉะนั้นเมื่อมีเคราะห์อยากจะทำบุญ อย่าทำบุญเจาะจงแค่กับพระ การที่เรามีเคราะห์เพราะเราไม่รู้จักปฏิบัติธรรมกับทุกๆ คนใช่ไหม (ใช่) ถ้าทุกขณะมีธรรม ทุกขณะเพียรระลึกถึงธรรม เกิดเป็นคนจะประมาทในการดำเนินชีวิตไหม (ไม่ประมาท) เกิดเป็นคนเมื่อเจอเรื่องราวผิดพลาดคาดไม่ถึง จะทุกข์เสียใจไหม แต่จะมีเกราะป้องกันภัยและมีธรรมเป็นภูมิต้านทานให้รับความจริงแห่งโลกได้ไหว แต่คนปัจจุบันนี้ไม่มีธรรม มีแต่อารมณ์ ใช่ไหม (ใช่) ไม่ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติแต่ตามใจตามอารมณ์ เมื่อเจอเรื่องราวก็รับไม่ได้ แล้วก็เอาแต่โทษฟ้า โทษดิน โทษผู้คน ทั้งที่จริงๆ แล้ว ต้นเหตุทั้งมวลล้วนมาจาก (ตัวเรา) ดังคำที่พระท่านสอนไว้ว่า "ปลูกแตงย่อมได้แตง ไม่สร้างเหตุจะมีผลให้ต้องรับหรือ" ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นถ้าไม่อยากรับสิ่งใดก็จงอย่าทำสิ่งนั้นกับผู้อื่น เมื่อไม่อยากให้ใครเบียดเบียนเราลองถามใจเราลึกๆ เคยเบียดเบียนผู้อื่นบ้างไหม
ถ้าไม่อยากให้เขามาแย่งของๆ เรา ลองถามใจเราลึกๆ ว่าแค่เกิดมา ลืมตาขึ้นมา ก็คิดแค่เพียงว่าวันนี้เราอยากได้อะไรของใคร ฉะนั้นถ้าไม่อยากถูกใครลักขโมย ของรักของหวง ไม่อยากให้ใครหลอกลวง ถามท่านว่าเคยหลอกลวงตัวเองไหม วันนี้มาฟังธรรม เพื่อมาเปิดประตูใจ เพื่อให้เห็นใจตัวเอง ว่าใจตัวเองเป็นอย่างไร เพราะต้นเหตุของทุกข์ทั้งมวลล้วนเกิดจากใจของเรา เราแก้อดีตไม่ได้ เราเปลี่ยนให้คนที่เกลียดเรามารักเราไม่ได้ และเราหวังให้คนรักเรามากยิ่งขึ้นไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือไม่เพิ่มคนเกลียด โดยการทำวันนี้ให้ถูกต้องดีงามในศีลในธรรม ถ้าเราตั้งตรง มีหรือสิ่งที่ตามมาจะไม่ตรง แต่ต้องอย่าลืมว่าเราศึกษาธรรมเพื่อละความยึดมั่นลุ่มหลง ไม่ใช่ตัวเองตรงแล้วต้องบังคับให้คนอื่นต้องตรงด้วย คำโบราณจึงกล่าวว่า "แม้หาต้นไม้ในป่าจนทั่วทุกต้น กว่าจะหาต้นไม้ที่ตรงที่สุดไม่คดเลยนั้นยังหายาก" ฉะนั้นนับประสาอะไรกับมนุษย์และตัวเราให้มีความสมบูรณ์พร้อมก็เป็นไปได้ยาก ถ้าผิดก็แก้ไข ถูกก็มุ่งมั่นทำต่อไป อย่าสูญเสียศรัทธาความดีงามในใจตนก็พอ ใช่ไหม
แม้ความดีงามนั้นจะทำให้เราถูกเยาะเย้ยถากถางหรือต้องหยัดยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ก็อย่าสูญเสียความมุ่งมั่นศรัทธานี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ยิ่งเราเรียนรู้สัจจะความเป็นจริงมากเท่าไร ยิ่งเราพบความไม่สมบูรณ์ของชีวิตมากเท่าไร เราก็ยิ่งเห็นชัดเจนว่าโลกนี้ใครหนอดีที่สุด โลกนี้ใครหนอแย่ที่สุด เมื่อไม่ปักใจจึงทำให้เรากระจ่างแจ้งในใจว่า แล้วโลกนี้อะไรหนอคือสิ่งที่ดี อะไรหนอคือสิ่งที่ร้าย ในเมื่อสัจธรรมสอนให้เรารู้ว่าไม่มีอะไรในโลกสมบูรณ์พร้อม จริงไหม (จริง) แต่กี่คนหนอจะกระจ่างแจ้งในใจ
อย่าเป็นคนปฏิบัติธรรม ทำบุญเก่งสวดมนต์เก่ง แต่ถึงเวลากลับไม่สามารถนำธรรมะมาขจัดทุกข์ได้เลย อย่างนั้นก็น่าเสียดาย ฉะนั้นหลักของการศึกษาปฏิบัติคือต้องนำธรรมนั้นมาประจักษ์แจ้งในจิตใจ จนบังเกิดหนทางที่นำพาให้เราพ้นทุกข์ด้วยตัวเอง แล้วธรรมใดที่ทำให้เราหมั่นศึกษา หมั่นปฏิบัติ และอยู่ในโลกบังเกิดสุขไม่นำพาให้ต้องพบทุกข์ นั่นก็คือ "ใดใดในโลกล้วนหาสมบูรณ์พร้อมไม่" ถ้าหมั่นระลึกไว้เสมอ จะตระหนักได้ว่า มนุษย์นั้นไม่มีใครดีพร้อมสมบูรณ์
มีใครคิดว่าตัวเองดีพร้อมที่สุดบ้าง ไม่มีเลยหรือ ตัวเองเป็นคนดีที่ยังไม่พร้อมสมบูรณ์ ใช่ไหม (ใช่) แล้วเคยไหมที่เห็นตัวเองชัดก็เห็นผู้อื่นชัด เราเป็นเช่นไรคนอื่นก็เป็นเช่นนั้น เรายังใจร้อนอยู่คนอื่นก็ (ใจร้อน) เรายังขี้งกอยู่ คนอื่นก็ (ขี้งก) เรายังขี้บ่นอยู่ คนอื่นก็ (ขี้บ่น) ฉะนั้นถ้าเรามองเห็นตัวเองชัดก็สามารถประจักษ์แจ้งตื่นรู้ความไม่สมบูรณ์พร้อมในคนได้ชัด เราก็จะไม่ปักใจเชื่อว่าทุกคนสมบูรณ์พร้อม เมื่อไม่ปักใจเชื่อแล้วจะมีใครที่เราเกลียด จะมีใครที่เรารัก จะมีใครที่เราโกรธเพราะทุกคนก็ไม่ (สมบูรณ์) ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อทุกคนไม่สมบูรณ์พร้อม แล้วเรื่องราวในโลกจะสมบูรณ์พร้อมไหม (ไม่) มีดีไปตลอดเลยใช่ไหม (ไม่ใช่) มีร้ายไปตลอดเลยใช่ไหม (ไม่ใช่) มีสุขไปตลอดเลยใช่ไหม (ไม่ใช่) มีทุกข์ไปตลอดเลยใช่ไหม (ไม่ใช่) เมื่อไม่ใช่แล้วเราทุกข์อะไร เมื่อไม่ใช่แล้วเรากำลังผิดหวังอะไร ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นทำไมจึงต้องปฏิบัติธรรมและทำไมถึงจะต้องหมั่นพิจารณาธรรม ให้ธรรมสอนใจอยู่เนืองๆ เพราะการสอนใจอยู่เนืองๆ จะทำให้เรามีภูมิคุ้มกันและทำให้เราไม่ประมาทก้าวผิดไปสร้างกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อไม่โกรธจะด่าใครไหม (ไม่) จะก่อเกิดเป็นโทสะไหม (ไม่) แล้วจะต้องสร้างอภัยทานไหม (ไม่ต้อง) เมื่อยังต้องอภัยแปลว่าเรายังโกรธเขานะ ใช่ไหม (ใช่) เพราะถ้ายังต้องรู้สึกให้อภัย ต้องข่มใจ แปลว่าเรายังไม่ชอบใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถึงแม้ว่าปากพูดว่าอภัยแต่ยังเอากลับมาคิดอยู่เนืองๆ นั่นใช่อภัยไหม (ไม่ใช่)
ฉะนั้นถ้าเราเอาธรรมมาพิจารณาเนืองๆ ความเห็นในธรรมความกระจ่างแจ้งในธรรมจะช่วยทำให้เราปลดทุกข์จากใจ ความเข้าใจจะทำให้เราไม่ต้องทนฝืนใจ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมจึงไม่ควรห่างไปจากชีวิต เมื่อเราเข้าใจแล้วเราก็จะรู้ว่าโลกนี้ไม่มีสูงต่ำ ไม่มีร้ายดี ที่คิดว่ายังมีสูงมีต่ำ มีร้ายมีดี เพราะใจท่านยึดติดชอบแบบนั้น เกลียดแบบนี้ แต่ถามว่า คนที่เราว่าน่าเกลียดนั้น น่าเกลียดจริงไหม (ไม่จริง) เขาไม่มีอะไรดีเลยหรือ แล้วคนที่เราว่าน่ารักนั้น น่ารักที่สุดจริงหรือ (ไม่จริง) แล้วอะไรดี อะไรร้าย อะไรทุกข์ อะไรสุข แก้ที่เขาหรือปล่อยวางที่ใจเรา แล้วให้เห็นแจ้งเสียทีใช่ไหม (ใช่)
วันนี้เราคงมาผูกบุญกับท่านสั้นๆ แค่นี้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก รอเมื่อใจสกปรกแล้วค่อยล้างหรือไม่ต้องล้างเลยเพราะไม่ผิดแล้ว ดีที่สุด จริงไหม ถ้าใจมันขุ่นแล้ว ใจมันหมองแล้วล้างยาก สู้มองเห็นชัดแล้วไม่มีอะไรทำให้ใจขุ่นเลย และไม่ต้องล้างใจเลย นั่นคือหนทางที่ประเสริฐที่สุด เพราะใดๆ ก็ไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้ายังไม่เข้าใจ พรุ่งนี้คงต้องมาศึกษาต่อนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ปลูกแตงวันเดียวไม่ได้ผลหรอกนะ การศึกษาหลักธรรมก็เฉกเช่นเดียวกัน แต่ธรรมจะบังเกิดผลได้ไม่ใช่เพียงเเค่ฟัง แต่ต้องเอามาหยั่งพิจารณาในใจตน ลองเอามาหยั่งดู เมื่อไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แล้วโลกสมบูรณ์แบบไหม เราไม่ควรด่าว่าใครไม่ดีหรือด่าว่าโลกนี้ลำเอียง นั่นคือทางที่ถูกที่สุด จริงไหม (จริง) ถ้าใจเราพบเจอสิ่งใด เรื่องราวใดแล้วเราไม่คิดด่าใคร นั่นคือทางบำเพ็ญที่ถูกต้องที่สุด เพราะใครๆ ก็ไม่สมบูรณ์พร้อม ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเมื่อสังขารไม่สมบูรณ์พร้อม จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) ความไม่สมบูรณ์พร้อมก็คือความเจ็บป่วย ความอ่อนแอ ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่จำเป็นต้องทุกข์เพราะเป็นความจริงแห่งสังขารที่เรียกว่าชีวิต หนีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่พ้น เมื่อไม่สมบูรณ์แล้วจะยึดมั่นทำไม สู้ยอมรับความจริงแล้วสู้ต่อดีไหม ถึงเวลายอมแพ้ จมกับความทุกข์หรือมีใจใหญ่กว่าทุกข์ มีใจใหญ่กว่าปัญหา
วันนี้ถ้านั่งแล้วสู้ไม่ไหวแปลว่าใจเล็กนิดเดียว แต่ถ้าใจใหญ่ต่อให้นานแค่ไหนก็สู้ไหว แล้วต่อไปเมื่อชีวิตต้องเจอเรื่องยากลำบากใจ ใจเราก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น ใหญ่จนหาที่สุดไม่ได้ นั่นแหละเรียกว่าใจฟ้า ใจพระพุทธา ฉะนั้นบทเรียนของชีวิตทำให้เราทราบว่าใจเราเล็กหรือใจเราหาที่สุดไม่ได้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
วันเสาร์ที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ สถานธรรมสิงเต๋อ จ.พะเยา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เวลานานภูมิธรรมกลับพ่ายนิสัย ความเข้าใจศรัทธาจางเพราะหลงผิด
ทนไม่ได้นิสัยคนใจยึดติด เมื่อธรรมผิดไปจากใจก็ไม่เอา
น่าสงสารศิษย์ที่ยอมทำเช่นนั้น เมื่อใจถูกปิดกั้นพลาดความเขลา
ปฏิบัติธรรมเพื่อลดละใช่ถือเอา ถามศิษย์เจ้าเหมือนเดิมหรือลดละจริง
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์อาจารย์ คิดถึงเหมือนที่อาจารย์คิดถึงศิษย์ไหมหนอ
หนทางคนธรรมะทางนี้สงบเย็น จิตที่บำเพ็ญสู่ที่เดิมเลิศล้ำ
พูดธรรมใช้ธรรมกรรมดีอยู่ประจำ ชะตากรรมเจาะใจตรึงตนด้วยสติ
ดิ้นไม่พ้นก็หนี้กรรมที่จองจำ คติธรรมทุกธรรมไม่อาจเรียกสติ
ทุกข์ทุกวันเมื่อเคยชินไม่ตำหนิ คราวดำริอยากพบทางออกยากเย็น
คนแปลกจากคนแยกกันไม่สามัคคี เรื่องง่ายง่ายมากมีก็แสนเข็ญ
คนไม่คุมจิตใจตนไม่บำเพ็ญ พูดง่ายง่ายก็ไม่เป็นทำอะไร
ฮา ฮา หยุด
จิตใจมีธรรมะ ไม่ร้อนวูบดั่งถูกไฟ ปัญญาเป็นตัวหาร ความทุกข์มีวันสลาย จิตบำเพ็ญมากพอ เชื่อมธรรมะที่ขาดหาย พบใดใดไม่เทียมเท่าค้นพบธรรม
* โลกไม่อาจกระทบ คนบำเพ็ญใช้ธรรมสู่ธรรม ทางที่กรรมจะพ้น ก็ใจตรงนี้
** ทุกวันเมื่อธรรมไม่เคยแยกจาก พบคนมากคุมจิตใจไม่ง่าย ผู้ฝึกใจนี้ไว้มากไม่ถือโทษจำ เข้าใจขึ้นมาไม่ตีถอยห่าง[1] สังคมวุ่นจากคนพูดคนละคำ นำธรรมพบธรรม ความวุ่นใจคลายลดลง
โลกยังมีธรรมะ ปราชญ์นั้นแฝงเร้นทั่วไป ช่วยคนตนเองนั้น จะต้องบำเพ็ญก่อนใคร ติดปัญหาสำคัญ การยึดเป็นเรื่องใหญ่ แม้อะไรขอให้ยอมรับเทอญ (ซ้ำ *,**,**)
ตามธรรมะเดิน ตามธรรมะเดิน จิตเป็นสวรรค์ ความวุ่นใจคลายลดลง
ทำนองเพลง : บุพเพสันนิวาส
ชื่อเพลง : เดินตามธรรมะ
หมายเหตุ:
- เนื้อเพลงที่ขีดเส้นใต้ ได้มาจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เดินตามธรรมะ”
- เนื่อเพลงท่อนสุดท้ายพระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาทในงานประชุมธรรม ฮุ้ยจื้อ จ.บุรีรัมย์ วันที่ ๓๑ มีนาคม – ๑ เมษายน ๒๕๖๑
[1] ตีถอยห่าง หมายความว่า ตีตัวออกห่าง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนเราเวลาฟังนานๆ ก็เมื่อย รู้เยอะๆ เหนื่อยไหม พอรู้จักคนโน้นมากรู้จักคนนี้มาก ก็เบื่อเหลือเกินใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาที่เราอยู่ในโลกเราควรรู้ ควรจะฟังอะไร และอะไรที่เราไม่ควรรู้และไม่ควรฟังเลย (อยากรู้สิ่งที่ดีๆ และไม่อยากรู้ ไม่อยากเก็บสิ่งที่ไม่ดี)
เมื่อเราได้ฟังสิ่งใดแล้ว เราเก็บสิ่งที่ดีหรือเก็บสิ่งที่ไม่ดีเยอะกว่ากัน (ไม่ดี) ถ้าให้นั่งนึก ใครบ้างเป็นคนดี เราจะนึกไม่ค่อยออก แต่ใครไม่ค่อยดี เรากลับนึกชื่อออกยาวเป็นหางว่าวเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ใครทำดีกับเรานึกไม่ค่อยออก แต่เราทำดีกับใครเรากลับจำได้ แล้วใครไม่ดีกับเรา จำได้ไหม (จำได้)
เราอยู่ในโลกนี้ เราเลือกที่จะรับรู้ และเลือกที่จะไม่รับรู้ ได้หรือไม่ (ได้) อาจารย์อยากจะบอกว่าศิษย์ทุกคนเป็นแบบนั้นได้ ถ้าใจเราอยากเห็นอะไร มันก็จะเห็นอย่างนั้น แล้วก็จะปักใจเห็นแบบนั้น ไม่เคยเปลี่ยนไปเห็นอย่างอื่น แล้วก็รู้อย่างเดียวว่ามันต้องเป็นแบบนั้น เหมือนเห็นคนนั้นว่าเป็นคนไม่ดี มองอย่างไรให้ผ่านไปอีกสิบปี ถึงจะรับรู้อะไรดีๆ ของเขามา ก็ยังมองเขาไม่ดี จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่อยู่ที่คำพูดคน ไม่ใช่อยู่ที่เขาพูดดีหรือไม่ดี แต่อยู่ที่ใจและที่ศิษย์คิด เพราะถ้ามนุษย์ปักใจเชื่อแล้วมักจะเปลี่ยนยากจริงหรือไม่ (จริง) เวลาที่เรามองเห็นอะไรแล้วเห็นทะลุปรุโปร่งหรือไม่ (ไม่เห็น) แต่ศิษย์กลับบอกเขาว่า “ฉันรู้ใจเธอดี” ใช่ไหม (ใช่) แสดงว่าเราไม่เคยมองเขาจริงๆ เลย มองแต่ใจเราที่คิดว่าเขาไม่ดี ใจมันไม่ดี แม้เขาจะทำดีอย่างไรเราก็ไม่เชื่อ ฉะนั้น “รู้อะไรก็ไม่สู้รู้ใจตน เห็นใครก็ไม่สู้เห็นใจตน” ไม่ใช่แปลว่าเห็นแต่ตัวเองนะ แต่เห็นแล้วเท่าทันใจตัวเอง แล้วรู้ได้ว่าจะจัดการกับเรื่องราวอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์เอย ศิษย์มาฟังธรรมตามที่ใจคิด หรือมากกว่า (มากกว่า) ถ้าคิดว่าฟังธรรมะแล้วต้องเป็นแบบนี้ศิษย์ก็จะได้แค่แบบนี้ แต่หากไม่ยึดติดในการฟังธรรมะศิษย์ก็จะได้มากกว่านั้น แต่มนุษย์มักยึดติดว่าจะฟังธรรมต้องเป็นพระเทศน์ ใครมาพูดฉันก็ไม่ฟัง ใช่หรือไม่ หากเราคิดว่าใครก็ตามไม่ว่าพูดดีหรือไม่ แต่ให้แง่คิดและให้ธรรมะ เรารู้จักฟัง นั่นก็คือไม่ว่าใครพูดเราก็ได้ธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบฟังเฉพาะคนที่ตัวเองคิดว่าแบบไหนถึงจะได้ธรรม เราก็เลยเห็นธรรมได้แค่ในเฉพาะคน ไม่เคยเห็นธรรมในทุกผู้คน เหมือนแต่ก่อนเราคิดว่าเราต้องฟังธรรมจากพระ แต่พอมาที่นี่ใครๆ ก็พูดธรรมได้ และใครๆก็ทำให้เราเห็นธรรม เข้าใจธรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นวันนี้เห็นธรรมแค่สิ่งที่อยากเห็น หรือเห็นธรรมมากกว่าที่ตัวเองคิด (มากกว่าที่คิด) ฉะนั้นจะเห็นสิ่งใดมากกว่าก็อย่าไปปักใจเชื่ออย่างเดียว หรืออย่าเอาแต่ทำตามใจตัวเอง
เกิดเป็นคนทำอะไรต้องมีสติฉับไว แม้จะทำอะไรได้ช้า แต่ต้องรู้จัก ฉับไวเท่าทันกิเลส อารมณ์ และความคิดของตน เรื่องของคนอื่นช้าไม่เป็นไร แต่เรื่องของใจเราต้องมีสติให้เท่าทัน เพราะถ้าช้าไปนิด อารมณ์ชั่ววูบก็ครอบงำทำให้เราหลงผิดเสมอ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ในโลกปัจจุบันนี้ คือทำร้ายกันอย่างเลือดเย็น โดยไม่ได้ใช้มีด ไม่ได้ใช้ปืน ไม่ได้ใช้อาวุธ แค่ใช้แป้นพิมพ์ เท่านั้นเอง ข้อความที่พิมพ์ลงในโลกอินเทอร์เน็ต หรือในโซเชียลมีเดีย สามารถฆ่าคนได้จริงไหม (จริง) เพียงแค่อยากคิด แล้วก็พูดไปตามที่คิด พิมพ์ไปตามที่คิด แล้วก็ฆ่าคนโดยไม่ทันยั้งคิดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคนที่เจ็บปวดก็คือคนที่ทำอะไรไม่รู้จักคิด และเราก็เป็นแบบนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นศิษย์อย่าบอกอาจารย์นะว่าศิษย์เป็นคนดี ถ้าตราบใดศิษย์เป็นคนที่ทำอะไรไม่รู้จักยั้งคิด คนดีของอาจารย์ทุกคนก็พร้อมที่จะเสนอความคิด ฆ่าคนทางความคิด และทำร้ายคนทางความคิดได้ตลอดเวลา ฉะนั้นอาวุธอะไรก็ไม่น่ากลัวเท่ากับอาวุธแห่งความคิดของคนที่ทำอะไรไม่ไตร่ตรอง ถึงจะพูดจริงแต่มันจริงแล้วเจ็บไหม (เจ็บ) แล้วทำไหม (ทำ) ถึงแม้เขาไม่เห็นหน้าเพราะเราพรางหน้าไว้ แต่เขาก็แช่งในใจ และบางทีโดนแช่งทั้งประเทศเลยเอาไหม (ไม่เอา) ฉะนั้นทำอะไรต้องรู้จักยั้งคิดหน่อย
ศิษย์รู้ไหมว่ามนุษย์ทุกข์เพราะอะไร อาจารย์สมมุติว่า เวลาเขาด่าศิษย์ ศิษย์ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์) ทุกข์เพราะเขาด่าหรือว่าทุกข์เพราะความคิด (ความคิด) ศิษย์เจ็บเพราะความคิดไม่ยอมรับ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์ต้องระวังและรู้จักไตร่ตรองและรู้จักใช้สติให้มากๆ ก็คือโดยส่วนใหญ่มนุษย์ในโลกทุกข์เพราะความคิดไม่ใช่ทุกข์เพราะเขาด่า แต่เพราะว่าความคิดที่เก็บเอาสิ่งที่เขาด่ามาถามตัวเอง มาย้ำตัวเอง มาต่อว่าตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) เขาด่าจบหรือยัง (จบแล้ว) แล้วเราจบหรือยัง (ยังไม่จบ)
อาจารย์เคยบอกไว้ว่าคำพูดไม่ดีที่ออกจากปากเรียกว่าขี้ปากใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเวลาที่ศิษย์เอาคำด่าเขามาย้อนคิดก็เท่ากับเอาขี้มาเล่นใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วศิษย์ก็ยังแบ่งขี้ให้กับคนอื่น แล้วว่างๆ ก็มานั่งเขี่ยขี้ คิดว่าทำไมเขาด่าฉัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ในใจศิษย์มีขี้เยอะไหม (เยอะ) ถ้ามีสติยั้งคิดเราจะคิดไหม (ไม่คิด) ฉะนั้นโดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกข์เพราะความคิดที่ไม่ยอมรับ เวลาถูกว่าแล้วเนื้อเราหายไปหนึ่งชิ้นไหม (ไม่) ใจแหว่งไปไหม (ไม่แหว่ง) เงินหายไปไหม (ไม่) แล้วเขาทำให้อายุเราสั้นลงไหม (ไม่) มีแต่เราเอามาคิดตรอมใจแล้วทำให้ชีวิตตัวเองสั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด แต่ศิษย์ของอาจารย์ก็ผ่านได้ยากที่สุด แล้วจะทำอย่างไรเราจึงจะเข้าใจ
อาจารย์ถามง่ายๆ เราอยากมีชีวิตสงบหรือวุ่นวาย (อยากสงบ) อย่างนั้นถูกว่าแค่นี้ก็จะวุ่นวายเลย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) ถ้าจบมันก็สงบ ถ้าไม่ยอมจบมันก็วุ่นวายจนไม่สงบ ถูกหรือไม่ (ถูก) ตอนนี้ก็พอทำใจได้ พอถึงเวลามันทำใจไม่ทัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์คือผู้หนึ่งที่สนใจศึกษาปฏิบัติธรรมเพื่อเอาไปใช้ในชีวิต และนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์และอยู่ร่วมกับผู้อื่นให้เป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) เรามาทำความเข้าใจธรรมง่ายๆ ก่อน ธรรมแปลว่าสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงล้วนเป็นธรรม อย่างนั้นที่เขาด่าเราก็เป็น (ธรรม) ที่เขาโกงเรา เอาเปรียบเรา ทำร้ายเรา ก็เป็น (ธรรม) แต่ทำไมเรามองอย่างไรก็เป็นกรรม เรามองว่าคนที่ทำร้ายเรา โกงเรานั้นเป็นกรรมไม่ใช่ธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าเราปักใจเชื่ออย่างไรก็จะเป็นแบบนั้น ฉะนั้นคนโกงเราเห็นเป็นธรรมหรือเห็นเป็นกรรม (ธรรม) หากศิษย์เห็นเป็นธรรม ศิษย์คงไม่เกี่ยวกรรม ผูกกรรมกับเขา คงไม่ด่าเขากลับ คงไม่ฝังใจกับเขา แล้วเรายังจะต้องให้อภัยโทษเขาอีกไหม ถ้าเห็นเป็นธรรมแล้วทำไมต้องให้อภัยเขาอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อสิ่งที่เขาทำเป็นธรรม ใจเราก็เป็นธรรม ก็ไม่ต้องมีอะไรที่ต้องให้อภัยอีกจริงหรือไม่ แต่หากเมื่อไรที่เราต้องพยายามให้อภัย ก็แปลว่านั่นเป็นกรรม อย่างนั้นอาจารย์ถามว่าถ้าทุกสิ่งเป็นธรรม และเราพยายามมองทุกสิ่งให้เห็นธรรม กรรมจะกลายเป็นธรรม แล้วเราอยู่เพื่อมีกรรมหรือหมดกรรม (หมดกรรม)
มนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ และเราเป็นผู้ผลิตกรรม อย่างนั้นเราจะสร้างกรรมเพิ่มหรือหยุดกรรม ฉะนั้นเวลาที่เขาด่าเราเป็นธรรมหรือเป็นกรรม (เป็นธรรม) ถ้าศิษย์เข้าใจว่าทุกสิ่งล้วนเป็นธรรม ไม่ใช่เป็นกรรม เข้าใจธรรมหนึ่งข้อสามารถดับทุกข์ได้เลย ไม่ว่าเขาจะด่า เขาจะชม เขาจะโกหกเรา ก็เป็นธรรมอย่างหนึ่งที่ทำให้เรามองเห็นความเป็นจริง
อีกอย่างหนึ่งธรรมคือความจริงของโลกใบนี้ พอเราเห็นชัดถึงความจริง เป็นธรรมดาของโลกนี้ มีคนชมก็มี (คนด่า) ทุกสิ่งล้วนคือความจริง ทุกสิ่งล้วนคือธรรม ฉะนั้นถ้าเรายอมรับความจริงเราก็เห็นธรรม ถ้าเราเห็นธรรมเราก็เห็นความจริง เข้าใจธรรมยากไหม (ไม่ยาก)
ศิษย์เคยได้ยินคำว่า “ธรรม” และ “คุณธรรม” หรือไม่
ธรรมกับคุณธรรม มีความหมายเหมือนกัน ธรรมก็คือความดีงาม คุณธรรมก็คือความดีงามอันเป็นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ฉะนั้นผู้มีธรรมหรือผู้มีคุณธรรมก็เป็นสิ่งเดียวกัน ดังนั้นเมื่อเราปฏิบัติธรรม เราจึงไม่ควรลืมคุณธรรม และไม่ควรลืมธรรม ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่บางครั้งเมื่อเอามารวมกันทำให้ศิษย์แยกไม่ออก คุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคนคืออะไร เราไม่ควรลืมไปจากใจ เพราะทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐแท้จริง และทำให้มนุษย์สมกับคำว่ามนุษย์ พระพุทธะยังกล่าวไว้ว่า “มนุษย์ผู้มีศีล เรียกว่าคน เรียกว่าเทพ เรียกว่าพรหม” ฉะนั้นถ้าเมื่อใดมนุษย์ขาดศีลธรรม มนุษย์ไม่อาจเรียกว่าคนได้ แต่เป็นแค่สัตว์ ใช่หรือไม่ (ใช่) คุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคน มีอะไรบ้าง (เมตตาและกตัญญู)
ในเมื่อศิษย์ตั้งใจเอาธรรมไปศึกษาปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจธรรม ธรรมอันแรกที่อาจารย์ให้ความหมายแคบๆ และมองง่ายๆ แต่ได้ใจความนั่นคือ ทุกสิ่งล้วนคือธรรม ธรรมคือความจริงของโลก ธรรมคือความดีงาม และหากมนุษย์รู้จักทำความดีเราก็จะไม่เกิดทุกข์ ศิษย์ชอบถามอาจารย์ว่าฟังธรรมก็พอแล้วทำไมต้องปฏิบัติธรรม นั่นเป็นเพราะการปฏิบัติธรรมคือคุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคน การปฏิบัติธรรมทำให้เราอยู่ร่วมกับผู้คนได้อย่างสันติสุข เหมือนสมมติว่าอาจารย์อยู่ร่วมกับศิษย์ อาจารย์ก็เอาแต่กดขี่ ข่มเหง เอาเปรียบ ศิษย์ว่าอาจารย์มีธรรมหรือไม่ (ไม่มี) แล้วอาจารย์จะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้หรือไม่ (ไม่ได้) ฉะนั้นการที่เราต้องมีศีลธรรมเพราะศีลธรรมช่วยยับยั้งความชั่วในใจตน อยากปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ แต่หากละชั่วไม่ได้ศิษย์ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าผู้ปฏิบัติธรรม และการประพฤติปฏิบัติธรรมตามคุณธรรมของความเป็นคน ทำให้คนเป็นคนประเสริฐนั่นคือศีลธรรมพื้นฐาน ศิษย์มีความเมตตาหรือไม่ ดูถูกคนหรือไม่ ให้เกียรติคนหรือเปล่า ซื่อตรงจริงใจหรือไม่ ฉะนั้นหากความเป็นคนยังปฏิบัติได้ไม่ดีอย่าพูดเรื่องหนทางพ้นทุกข์เลย เพราะศิษย์คือเหตุแห่งความผิดและสร้างเหตุแห่งความทุกข์ หากเริ่มต้นศิษย์ปฏิบัติถูก กับใครศิษย์ก็เมตตา กับใครศิษย์ก็รักเอ็นดู กับใครศิษย์ก็ซื่อตรง ฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมเริ่มต้นปฏิบัติพื้นฐานความเป็นคนให้ดีก่อน เป็นคนดีได้แต่ก็ยังไม่พ้นทุกข์ แค่หยุดยั้งไม่ให้มีทุกข์ใหม่เพิ่มขึ้นมา พอเข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องปฏิบัติธรรม
การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยาก เบียดเบียนคนอื่นหรือเปล่า (ไม่เบียดเบียน) ชีวิตเราอยู่ได้ด้วยชีวิตคนอื่นหรือไม่ ทั้งหมู ไก่ ปลา กุ้ง วัว เบียดเบียนเขาไหม เมตตาเขาไหม ถ้าศิษย์สามารถปฏิบัติธรรมแล้วมีธรรมยิ่งกว่าชีวิต คนนั้นจะไม่ใช่เป็นแค่คน ไม่ใช่เป็นแค่เทพ ไม่ใช่เป็นแค่พรหม แต่เป็นพุทธะเดินดิน แต่มนุษย์ปฏิบัติศีลธรรมแค่ระดับเสมอตัวจึงเป็นได้แค่คนหรือปฏิบัติดีขึ้นมาอีกหน่อยเรียกว่าผู้ประเสริฐ แต่พุทธะที่ศิษย์กราบไหว้ ท่านทำโดยยอมสละชีวิตเพื่อธรรม ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ ศิษย์สามารถสละชีวิตเพื่อรักษาธรรมได้หรือไม่ พระพุทธะที่ศิษย์กราบไหว้ทุกพระองค์ล้วนดำเนินทางคุณธรรมเป็นหลักในการดำเนินชีวิตและยอมสละชีวิตเพื่อธำรงรักษาคุณธรรม ท่านก็เป็นพระพุทธะ แต่มนุษย์เสียสละไม่ได้ จึงไม่พ้นทุกข์ จึงได้เพียงระดับศีลธรรมธรรมดา
มีทางไหนอีกที่จะปฏิบัติธรรมแล้วทำให้เราเข้าถึงและพ้นทุกข์ได้ ถ้าพูดถึงธรรม ธรรมเป็นกลางไม่เอียงซ้ายเอียงขวา คนที่ปฏิบัติธรรมจิตน่าจะเบาหรือหนัก จิตน่าจะใสหรือขุ่น จิตน่าจะอิสระหรือยึด ไปตรวจสอบตัวเองนะ ว่าที่เราปฏิบัติมานั้นขุ่นหรือใส หนักหรือเบา ธรรมสอนความเป็นกลาง กลางแปลว่าเห็นอะไรเราก็ยังคงเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะประสบเรื่องราวอะไรก็ยังคงสงบไม่วุ่นวาย ใครว่าอย่างไรเราก็คงเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ถูกหรือไม่ (ถูก) เพราะว่าธรรมคือความจริงอันเป็นกลาง ตอนนี้เรารู้ความหมายของธรรมอีกอย่างหนึ่งแล้ว ธรรมคือความจริงอันเป็นกลาง ฉะนั้นถ้าเราปฏิบัติธรรม จิตเราก็ต้องเป็น (กลาง) ใส สงบ เย็น ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนว่า มีเพียงทางสายกลางอันหนึ่งเดียวที่สามารถนำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์และพบความสงบที่แท้จริง คำว่าทางสายกลางแปลว่า คงมั่นไม่เปลี่ยนแปลง สงบอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง โดนว่ามาก็คงความราบเรียบของใจอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เกี่ยวพันอะไร อะไรที่มากระทบเราไม่ผลักใส ไม่ยินดี เช่นนั้นแหละ สามารถมีธรรมและพ้นทุกข์เพราะธรรม แต่มนุษย์มักจะเอียงใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเอียงจึงเรียกว่ากรรมดี กรรมชั่ว เมื่อตรงจึงเรียกว่าธรรม ฉะนั้นถ้าถูกกระทบแล้วเอียงไปทางไม่ดีก็เรียกว่าสร้างกรรมชั่ว แต่ถ้าเอียงไปทางดีพยายามเอาธรรมมาปลอบใจ นั่นก็เรียกว่าพยายามทำกรรมดี เพราะยังไม่สามารถเปลี่ยนแปรกรรมในใจให้กลายเป็นธรรมได้ เราจึงยังต้องคิดว่า อภัยไว้ อดทนไว้ เมตตาไว้ ขันติไว้ มันก็ยังเรียกว่ากรรมดี แต่หากปฏิบัติถึงธรรม เราจะสงบ คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง ใจจะใส และเย็น
ศิษย์มักจะบอกว่า “เกิดเป็นคนก็ต้องมีดีมีร้าย มีได้มีเสีย มีสุขมีทุกข์ จะให้ใสตลอดมันยากนะ จะให้เย็น หนูก็เย็นแล้ว แต่นับหนึ่งถึงร้อยก็ยังไม่รอดเลย ขอเอียงสักนิดหนึ่ง” ใช่หรือไม่ (ใช่) พระพุทธะกล่าวไว้ว่า “ทางที่เรียกว่าสุข ทางที่เรียกว่าทุกข์ ทางที่เรียกว่าดี หรือทางที่เรียกว่าไม่ดี ล้วนเป็นทางแห่งความหลง เป็นทางของผู้ที่ติดในกามคุณ เป็นทางแห่งความไม่สงบ และล้วนเป็นทางแห่งวัฏสงสาร” ดีร้าย ได้เสีย ทุกข์สุข มันเป็นตัณหาของผู้ที่ยังลุ่มหลงของผู้ที่ยังมีตัณหา เมื่อไรที่ดีแปลว่าตัณหาเกิด เมื่อไรที่ไม่ดีก็เป็นตัณหาเกิด จริงหรือไม่ (จริง) เห็นคนไม่สวยตัณหาก็เกิดขึ้นเพราะในใจมันชอบสวยอยู่ข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสวยไม่สวยก็มีตัณหา ฉะนั้นคำว่า ดีร้าย ได้เสีย ยังหนีไม่พ้นตัณหาและความลุ่มหลง เมื่อลุ่มหลงแล้วก็ไม่พ้นความวุ่นวายและไม่สงบสุข พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “จิตเดิมแท้ไม่เคยหวั่นไหว แต่มนุษย์หวั่นไหวเพราะตกเป็นทาสของความคิดและอารมณ์”
ฉะนั้นเมื่อไรที่เราลุ่มหลง ที่จริงแล้วจิตเดิมแท้เราไม่ได้หวั่นไหว แต่เราลุ่มหลงไปตามความคิดและอารมณ์อันเป็นสาเหตุ ใช่หรือไม่ สุข ทุกข์ ดี ร้าย ล้วนคือโลก และมาจากอารมณ์ที่เรายึดติด และนำพาให้เราไม่พ้นทุกข์ ฉะนั้นเมื่อเราเจอเรื่องราวอะไรแล้วเราใช้อารมณ์ ใช้กิเลส เราก็หนีไม่พ้นทุกข์สุขดีร้ายและความวุ่นวายไม่จบสิ้น แต่จะให้เราใช้ธรรมตลอดบางทีก็อดคิดไม่ได้ ใช่หรือไม่ เหมือนอย่างอาจารย์ยกตัวอย่างคนสองคนนี้ คนแรกหน้าบึ้ง คนที่สองหน้ายิ้ม ศิษย์มองเขาแล้วเห็นเป็นอย่างไร ความรู้สึกของศิษย์ต่างกันหรือไม่ระหว่างสองคนนี้ (ต่าง) เพราะความรู้สึกของมนุษย์หากไม่ยั้งคิดศิษย์จะตัดสินทันทีว่าคนนี้ดูน่ากลัว และไม่น่ามีเรื่องด้วย จริงหรือไม่ (จริง)
แต่อาจารย์จะบอกไว้ พวกที่ภายนอกดูแข็งแต่จริงๆ ภายในอ่อนปวกเปียก แต่พวกที่ภายนอกอ่อนปวกเปียก บางทีดื้อมาก นี่คือสิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์ในโลกปัจจุบันนี้คือ เวลาเราทำอะไร เรามักมองไม่รอบ เรามักมองไม่เป็นธรรม แต่เรามักชอบมองไปตามสิ่งที่ใจเรายึดติด สิ่งที่ใจเราคิดแล้วก็ตัดสินทันที เมื่อเราตัดสินทันที ทำให้เวลาเราทำงานอะไรกับใคร เราจึงมักเชื่อในสิ่งที่เราคิด ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างเช่นเวลาพูดเราต้องระวังกับคนนี้ แต่กับอีกคนไม่ต้องระวัง จึงทำให้เรามักจะมีเรื่องกับอีกคนเสมอ
อาจารย์ต้องการให้ศิษย์เห็นชัดอย่างนี้ก็เพราะว่า เมื่อไรที่เวลาเราเจอเรื่องราวอะไร โดยส่วนใหญ่เราไม่ค่อยเอาธรรมมายั้งคิด แต่เราชอบคิดตามสิ่งที่ใจเรายึดติด สิ่งที่อารมณ์หรือนิสัยเราปลูกฝังมา
(พระอาจารย์เมตตาให้วาดวงกลมบนกระดาน)
อาจารย์เปรียบเทียบเรื่องง่ายๆ แต่ค่อยๆ พิจารณานะศิษย์ เมื่อมีเรื่องราวมากระทบ ถ้าเราใช้ความรู้สึกของสังขารเราก็จะรู้ว่าเจ็บ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเราใช้ความรู้สึกของสังขารรวมกับความคิดจะก่อเกิดเป็นเจ็บ มีอารมณ์แล้วมีกิเลส ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่หากศิษย์รู้ธรรม ธรรมสอนให้เรารู้ สอนให้เรารู้จักรู้ ซึ่งตัวรู้มาจากจิตเดิมแท้ เวลาที่เราโดนกระทบเราแค่รู้สึก แต่ไม่คิด มันก็ไร้อัตตาตัวตนที่จะยึดถือ แต่ถ้ารู้แล้วรู้สึกแล้วคิดก็จะก็มีทั้งอัตตาตัวตน ความเจ็บของสังขารและความเจ็บใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเรายังมีสังขารก็ยังต้องมีความรู้สึก ถ้าไม่รู้สึกเลยก็เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ฉะนั้นอาจารย์ไม่ได้ห้ามศิษย์ไม่ให้รู้สึก แต่อาจารย์ให้ศิษย์ “รู้”แต่ “ไม่คิด” เพราะกิเลสมาจากความคิด อารมณ์มาจากความนึกคิดแห่งตัวตน ฉะนั้นเมื่อรู้แล้วแค่รู้สึก อารมณ์กับกิเลสนี้จะหายไปทันที แต่ถ้าศิษย์รู้แล้วสามารถยับยั้งชั่งใจความคิดนั่นคือรู้ แต่ไม่คิด ที่มีมันก็เหมือนไม่มี เห็นแต่ไม่คิดก็เหมือนไม่เห็น แต่ไม่เห็นแล้วคิดก็เหมือนกับเห็น เช่นผีนั้นไม่มี มองก็ไม่เห็น แต่พอเราคิด ยิ่งคิดมันก็เหมือนมีจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเราคิด เหมือนกันถ้าถูกเขาว่าเรา แต่เราไม่คิด เราก็เหมือนไม่ถูกว่าใช่ไหม (ใช่) เมื่อไม่คิด เมื่อใจว่าง สิ่งที่เกิดมันก็เหมือนไม่เกิด สิ่งที่มีก็เหมือนไม่มี
ฉะนั้นอยากฝึกการปล่อยวางตัวตน รู้สึกได้แต่ต้องไม่คิด เพราะความคิดเป็นตัวต้นเหตุของกิเลสและอารมณ์ที่อัตตาตัวตนสร้างขึ้นมา ถ้าชอบก็เป็นหลง ถ้าไม่ชอบเป็นเกลียด โกรธ หนีไม่พ้นจากความคิดที่ตัวเรายึดติด ฉะนั้นจึงสอนให้ผู้ฝึกปฏิบัติธรรม “รู้สึก” แต่ “ไม่คิด” ก็จะตัดรากของกิเลสและอารมณ์ เพราะอารมณ์กิเลสมาจากความคิดที่เรายึดติดว่าแบบนี้ชอบ แบบนี้ไม่ชอบ และเมื่อเรายึดติดมีอัตตาตัวตนจึงก่อเกิดเป็นภพภูมิที่เรียกว่าสร้างกรรมดี กรรมชั่ว ทำดีก็รับผลของกรรมดี ทำชั่วก็รับผลของกรรมชั่ว ศิษย์คิดบวกก็แปลว่าอีกด้านศิษย์ก็ยังมีคิดลบ เมื่อศิษย์พยายามมองบวกแปลว่าในใจศิษย์รู้ว่าอะไรมันลบ มองบวกเมื่อรักมากๆ ดีมากๆ เมื่อเขาไม่เป็นดั่งใจทุกข์ไหม โกรธไหม แค้นไหม แล้วจะต่างอะไรกับการคิดลบ เมื่อคิดบวกแล้วพอไม่ได้ดั่งใจเราก็ทุกข์ ฉะนั้นเมื่อเจออะไร (รู้สึกแต่ไม่คิด) โดนตีอย่างไรก็ยังต้อง (เจ็บ) อย่างไรก็ยังต้องรู้สึก ยังเจ็บอยู่เป็นธรรมดา แต่เจ็บแค่สังขารไม่ได้ลงมาเจ็บที่ใจ ใจสอนแค่เพียงเรารู้และเราจะรู้แบบคนเห็นธรรม
แล้วทำอย่างไรที่จะเห็นธรรมรู้แล้วสามารถวางได้ สมมติเวลามีคนมาชี้หน้าด่าเรา แล้วก็จากไป เราโกรธไหม (โกรธ) แต่พอมีคนมาบอกเราว่าคนที่ด่าเราเป็นคนบ้า เราเข้าใจแล้วโกรธไหม (ไม่โกรธ) นั่นแหละสิ่งที่อาจารย์ต้องการ เมื่อเราเข้าใจธรรม เราจะรู้แล้ววางทันที เราจะแจ่มแจ้งแล้วปล่อยทันที แต่ถ้าเราไม่รู้ว่าเขาเป็นคนบ้า เราจะวางได้ ปล่อยได้ ปลงได้หรือไม่ (ไม่ได้)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “เดินตามธรรมะ”)
แล้วเราจะเอาธรรมอะไรมาพิจารณาเพื่อปลดปลง ปล่อยวาง ไม่ถือโทษไม่ถือโกรธได้ เจอเรื่องที่ไม่สมหวัง ใช้ธรรมอะไร ให้จิตใจปล่อยวางไม่ติดไม่คิดสิ่งใด (ให้จิตใจปล่อยวาง) ศิษย์เอยอาจารย์ไม่ได้สอนให้ศิษย์ไม่คิดเรื่องการงาน เรื่องการงานต้องใช้ความคิด แต่ถ้าเรื่องอารมณ์อย่าใช้ความคิด เพราะเมื่อไรที่ใช้ความคิดกับอารมณ์จะเหมือนสาดน้ำมันเข้าใส่ เพราะความคิดของมนุษย์ง่ายที่จะหวั่นไหวไปตามอารมณ์ และตกเป็นทาสอารมณ์ ความคิดง่ายจะไหลเอียงไปตามกิเลสอารมณ์ที่เราสั่งสม และง่ายที่จะทำให้ใจเราบิดเบี้ยว ความคิดอย่าเอาไปใช้กับอารมณ์ อย่าเอาไปใช้กับเรื่องที่ทำให้ร้อน แต่ความคิดยังมีได้สำหรับเวลาเราทำงานทำการ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เรายั้งความคิดและปลดปลงได้คืออะไร ใครตอบได้ (เดี๋ยวมันก็ผ่านไป) ตอบได้ดีไหม (ดี) อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ว่าสำหรับศิษย์ สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เรียกว่าธรรมะ แต่กว่าที่มันจะผ่านไปใช้เวลานาน ถ้าใจยังวางไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ปากพูดว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไปแต่ใจมันไม่รู้สึกว่าเดี๋ยวเลยนะ ฉะนั้นจำคำพูดอาจารย์ไว้นะนี่คือคติธรรมที่ดีงาม สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับ ทุกขณะที่เกิดมันคือทุกขณะที่ดับ ชีวิตที่เรานับว่าเราเกิดมันคือชีวิตที่เราดับด้วย คำพูดที่อาจารย์กำลังพูดเป็นคำพูดที่กำลังจบในตัวของมันเอง เหมือนการที่เขาว่าเรามันจบในตัวมันแล้ว ถ้าใจเราเข้าใจว่าทุกสิ่งมันจบ อยู่กับปัจจุบันเราจะไม่ทุกข์ มีแต่คนตายเท่านั้นนะที่จมอยู่กับอดีต ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอบว่า (ไม่ยึดติดในสิ่งที่เราคิด) ไม่ยึดติดในสิ่งที่เราคิดได้ไหมหนอ แล้วทำอย่างไรให้สิ่งที่เราคิดไม่กลายเป็นยึดติด เราต้องมองเห็นให้ชัด ว่าสิ่งที่เรายึดติดว่าไม่ชอบไม่ดี นั่นไม่ดีจริงไหม สิ่งที่ไม่สมบูรณ์สุดก็ไม่ใช่ว่าจะแย่สุด และสิ่งที่ดีสุดก็ไม่ได้ดีที่สุด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงธรรม)
มีใครร้องได้หรือไม่ ไหนลองฟังเสียงผู้ปฏิบัติงานธรรม ทำนองเพลงบุพเพสันนิวาส ชื่อเพลง เดินตามธรรมะ
อย่างน้อยนำประโยคใดประโยคหนึ่งจำไว้ในใจ เหมือนประโยคที่บอกว่า “นำธรรมพบธรรม ความวุ่นใจคลายลดลง” แปลว่าเอาธรรมไปให้เขา ไปทำให้เราพบธรรมในใจเขา เราอยู่กับเขาก็ไม่มีกรรม มีแต่ธรรมที่ทำให้มนุษย์ประเสริฐ มีแต่ธรรมที่ทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ มีแต่ธรรมที่ทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข อย่าใช้กิเลส อย่าใช้อารมณ์เลย ธรรมะอย่างหนึ่งที่อาจารย์อยากให้ย้ำเตือนศิษย์นั่นก็คือ ไม่ว่าทำอะไรขอให้มีสติเป็นกำลัง
ขอให้ใช้สติยั้งคิด อย่าใช้อารมณ์เป็นใหญ่ เพราะอารมณ์ทำชีวิตพังแล้วก็ต้องเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น แล้วชีวิตนี้ศิษย์อยากวนมาเวียนว่ายตายเกิดอีกหรือไม่ (ไม่อยาก) ถ้าอยากเวียนว่ายตายเกิดอีก แค้นใครก็จองเวรจองกรรม ไม่ต้องทำบุญ ไม่ต้องใส่บาตร ดีหรือไม่ (ไม่ดี) ถึงเวลาเราไม่จองเวร ใครด่ามาเราไม่ด่ากลับ ร้ายมาเราไม่แรงกลับ เราไม่เกี่ยวกรรมแล้วใช่หรือไม่
ฉะนั้นหนทางหนึ่งที่วันนี้ศิษย์ได้ศึกษาก็คือหนทางที่กลับสู่ความเป็นกลาง หนทางที่กลับสู่ความสงบ หนทางที่กลับสู่ธรรมอันเดิมแท้ คนที่เข้าถึงธรรม สวรรค์ก็ไป นรกก็ไม่กลัว เพราะจิตพบธรรมแล้ว อยู่ที่ไหนก็เป็นธรรม แต่ถ้าสวรรค์อยากไป นรกไม่อยากเอา แปลว่ายังแบ่งแยกยึดติด ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อไรที่จิตยังยึดติดแบ่งแยกว่ารักตัวเองแล้วเกลียดผู้อื่น รักตัวเอง ตัวเองถูก ผู้อื่นไม่ถูก นั่นก็ยังเรียกว่าหนทางแห่งทุกข์สุขดีร้ายที่นำพาให้ชีวิตสับสน ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้านำธรรมพบธรรม ทุกอย่างคือธรรม ทุกอย่างคือสงบ สงบของอาจารย์แปลว่าจบ แต่ถ้ายังย้ำคิดย้ำทำ ย้ำพูดย้ำจำ แปลว่าไม่จบ ใช่ไหม (ใช่) สิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากย้ำเตือนไว้ ความเป็นจริงแห่งโลกที่สอนธรรมะเราอยู่ทุกวันคือมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และว่างเปล่า ทุกข์ก็ว่างเปล่า ทุกข์ก็ไม่เที่ยง แล้วเรากำลังทุกข์กับอะไร
ฉะนั้นคนที่จมกับทุกข์เก่าคือคนที่ตายแล้ว แต่คนที่อยู่กับปัจจุบันและมองแค่ปัจจุบันคือคนที่ยังมีชีวิต ถูกหรือไม่ (ถูก) มีแต่คนที่ตายแล้วเท่านั้นที่จมอยู่กับอดีต อดีตเจ็บอย่างนี้ อดีตป่วยอย่างนี้ เจ็บมันเป็นของอดีต เจ็บมันเป็นของสังขาร แต่ศิษย์ของอาจารย์ก็ชอบเอาความเจ็บของเมื่อวานมาเจ็บต่อวันนี้ แล้วก็จำฝังใจว่าเจ็บ แล้วก็เจ็บไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) รถชนมาตั้งแต่เมื่อวาน แต่ใจมันยังฝังจำว่าโดนชน ใช่หรือไม่ (ใช่) เราแก่ไหม (แก่) เราแก่แค่สังขาร เรารู้แค่สังขารว่ามันแก่ แต่ใจเราไม่แก่เลย ถ้ายังยึดติดก็แปลว่ายังอยากให้มีทุกข์อยู่ แต่ถ้าเมื่อไรเราไม่ยึดติดใดๆ แม้กระทั่งความคิดแล้วความทุกข์มันจะเกาะใจได้อย่างไรจริงหรือไม่ (จริง)
คำว่า “เดินตามธรรมะ” ยังเป็นชื่อของเพลงที่อาจารย์ให้ด้วยนะ ฉะนั้นไม่ว่าทำอะไรขอให้ทำตามธรรม ทำตามควรแก่กำลัง ทำแล้วจะคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม ทำให้มีศีลธรรม ใครที่มีธรรมผู้นั้นจะไม่ตกในทุคติภูมิ ไปตามธรรมดีกว่าไปตามอารมณ์ ดีกว่าไปตามใจ ดีกว่าไปตามความคิด ใช่ไหมศิษย์ (ใช่) ฉะนั้นขอให้มีเพียงธรรมเสมอ สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นมีความดับ ทุกสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า มันอยู่ในตัวของมันเอง ทุกข์มันก็ไม่เที่ยง ทุกข์มันก็ว่างเปล่า แล้วเรากำลังทุกข์กับสิ่งใด เราหลงทุกข์อยู่กับความคิดใช่หรือไม่ ความคิดที่ไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมให้ใครมาด่า ไม่ยอมเจ็บ ความคิดที่ต้องมีแต่ได้แล้วเสียไม่ได้ แล้วความคิดอย่างนี้ทำให้ทุกข์ไหม (ทุกข์)
คิดแบบนี้ล้วนทุกข์ทั้งนั้น แก่ไม่ได้ เจ็บไม่ได้ เสียไม่ได้ ขาดทุนไม่ได้ ยอมไม่ได้ แพ้ไม่ได้ โง่ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะชีวิตล้วนต้องเป็นไป อย่ายึดติดแล้วลากตัวเองมาให้ทุกข์ไม่จบสิ้น สัจธรรมล้วนสอนให้เราปลดปลงและปล่อยวาง เมื่อถึงวันที่ศิษย์จะต้องปลดปลงและปล่อยวางสังขาร นั่นคือเรื่องที่ยากที่สุด จะถอนใจออกจากร่างกายนี้ได้อย่างไร จะทำอย่างไรให้สิ่งที่ศิษย์เข้าใจธรรมนั้นเป็นแค่เพียงความรู้ ความรู้ที่ไร้ตัวตน ไร้ผู้ยึดถือ ถ้าทำได้เช่นนี้ก็ดีนักแล แต่กลัวว่าแค่ถูกกระทบนิดหน่อยก็ยอมไม่ได้ น่าเสียดาย ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์อยากแจกผลไม้เพื่อเป็นสิริมงคลและให้ศิษย์เอาไปสร้างบุญต่อดีหรือไม่ (ดี) จำไว้นะศิษย์ สร้างธรรมดีกว่าสร้างกรรม สร้างบุญดีกว่าสร้างบาป ใครจะสร้างบาปกรรมกับเราไม่เป็นไร เราถือว่าเราจะได้หมดเวรหมดกรรมกับเขาดีไหม (ดี) เขาจะร้ายอย่างไร เราก็ขอบใจที่ทำให้ฉันได้หมดกรรม ขอบคุณที่ทำให้ฉันเข้าใจคำว่ากรรมว่ามันเจ็บขนาดไหน และฉันจะไม่มีกรรมอีกต่อไป ได้ไหม (ได้) กรรมนั้นน่ากลัวนะศิษย์ แล้วยิ่งถ้าเป็นกรรมที่ศิษย์ตั้งใจและเจตนาทำ และเป็นกรรมที่ศิษย์ทำด้วยตัวเอง แล้วจะบอกว่าเอาบุญมาล้างกรรมได้ไหม (ไม่ได้)
อาจารย์ถามว่า อาจารย์ทำบุญกับศิษย์คนหนึ่ง แล้วอาจารย์ก็ทำบาปกับศิษย์อีกคนหนึ่ง อาจารย์นำเอาบุญที่ทำไว้กับศิษย์คนหนึ่งไปล้างบาปกับศิษย์อีกคนหนึ่ง ได้ไหม (ไม่ได้) นั่นคือศิษย์ไปทำบาปกับอีกคน แล้วไปทำบุญกับอีกคน มันชดเชยกันไม่ได้ เหมือนกันศิษย์ไปทำบุญด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้วมาทำบุญชดเชยกัน ได้ไหม ศิษย์ไปโกงเงินเขามาเยอะๆ แล้วศิษย์มาสร้างวัด ได้ไหม ถ้าศิษย์ทำ เมื่อถึงเวลาชะตากรรมมันตกผล บุญก็คือบุญ บาปก็คือบาป หนีไม่ได้
ศิษย์บอกว่า “อาจารย์ศิษย์ขอรวยไว้ก่อน มีเงินเยอะๆ ก่อน เดี๋ยวศิษย์ค่อยมาบำเพ็ญธรรม มาปฏิบัติธรรม” ช้าไปไหม เวลาเราจะรวย จะอยาก จะมีเงิน เราต้องไปเบียดเบียนคนอื่นไหม เราโกหกบ้างไหม เราค้าขายแบบซื่อตรงไหม ถ้าศิษย์อยากตั้งใจบำเพ็ญธรรม ปฏิบัติกับผู้คน ไม่ว่าจะเป็นค้าขายหรือทำอะไร ขอให้มีความซื่อสัตย์จริงใจ เราขายสิ่งที่ดี สิ่งที่ดีที่สุดออกจากใจ สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำด้วยใจนั่นแหละขายไปแล้วเราได้บุญด้วย เพราะเราทำสิ่งที่ดีจริงๆ แต่ไม่ใช่ขายไปแล้วก็โกหก แล้วก็นำสิ่งที่ไม่ดีมาผสมสิ่งที่ดีแล้วขายในราคาเท่ากัน
ฉะนั้นเมื่อจิตเข้าถึงธรรม สวรรค์ก็ไม่กลัว นรกก็ไม่เกรง เพราะเข้าใจธรรม แต่ถ้าเมื่อไรเรายังไม่เข้าใจและปฏิบัติไม่ถึงธรรม อยากไปสวรรค์แค่ไหนก็ไปไม่ถึง หวาดกลัวนรกแค่ไหนก็ต้องลง
อย่างนั้นทำอย่างไรจึงเรียกว่า “ทำดี” ทำอย่างไรเรียกว่า “ทำชั่ว” (ความดีคือมีความเมตตาต่อผู้คน ความชั่วคือมีแต่ความเกลียดชัง) ฉะนั้นอย่าเผลอมีนะ เมตตาต้องเมตตาไม่แบ่งแยก กับใครก็ต้องเมตตา ไม่ใช่เมตตาเฉพาะลูกหลานเรา (ความดีคือเป็นคนซื่อสัตย์และจริงใจ) ขอให้ซื่อสัตย์จริงใจไปทำอะไรก็เจริญ แต่ถ้าไม่ซื่อสัตย์ ไม่จริงใจอยู่กับใครก็ลำบาก
(ไม่โกหก) แล้วโกหกไหม (ตอนนี้ไม่โกหก) อย่างนั้นแสดงว่าที่แล้วมาเคยโกหก
(ค้าขายเราต้องซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ทำอะไรให้ซื่อตรง) อาจารย์จะบอกให้นะ ค้าขายซื่อสัตย์ ซื่อตรงแล้วต้องมีรอยยิ้มบนใบหน้าด้วยนะ คำพูดต้องอ่อนหวาน อีกอย่างขายของแล้วต้องแถมด้วย ต้องรู้จักคำนวณให้เป็น อยากขายดี ต้องคิดให้เป็น เงินมาไวไปไวยังดีกว่าหนืดแล้วเงินจะไม่มานะ
(ปลูกผักไม่ใส่ยาฆ่าแมลง,ค้าขายซื่อสัตย์ ไม่คดไม่โกง,ทำสิ่งที่ทำให้เขามีความสุข) ทำให้เขามีความสุข แต่ความสุขนั้นต้องมีหลัก มีจุดยืนของตัวเองด้วยนะ ไม่ใช่ทำให้คนอื่นมีความสุขแต่เราต้องโกหกใจตัวเองมันก็ไม่ดี
(มีเมตตา ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว, ค้าขายสุจริต หน้ายิ้ม, ทำดี ละชั่ว รักคนอื่น) รักคนอื่นยิ่งกว่าตัวเอง หรือรักตัวเองยิ่งกว่าคนอื่น (รักคนอื่นยิ่งกว่ารักตัวเอง)
ทำดีคืออะไร (ไม่เบียดเบียน) ไม่เบียดเบียนทางสายตา ไม่เบียดเบียนทางวาจา ไม่เบียดเบียนทางการกระทำ ไม่เบียดเบียนทางไหน (ไม่เบียดเบียนทุกอย่าง) ฉะนั้นถึงแม้จะพูดจริงแต่เบียดเบียนก็ไม่ดี ถึงแม้จะพูดดีแต่เบียดเบียนก็ไม่เอา
(มีความมุทิตากรุณาไม่ฆ่าสัตว์) มีความมุทิตา กรุณาไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ยุงกัด มดมา แมลงสาปมา งูมา เราอย่าไปฆ่ามันนะศิษย์ ชีวิตสัตว์เหล่านั้นมันก็น่าสงสารอยู่แล้ว
(รู้จักสำนึกคุณ) อาจารย์อยากให้ขยายนะ ให้รู้จักสำนึกคุณต่อทุกๆ คน ไม่มีเขาก็ไม่มีเรา ไม่เพียงแค่สำนึกคุณพ่อแม่เท่านั้น แต่ทุกคนล้วนมีคุณ คุณที่ทำให้เราได้เรียนรู้ ทำให้เราเข้าใจชีวิต
ตอบว่า (ช่วยเหลือสังคม) รู้จักสละเวลาช่วยเหลือผู้อื่น ตอบได้ดีนะ แต่อาจารย์จะบอกว่าเราสามารถทำดีได้ทุกวัน แค่ทุกวันเราทำงานกับผู้คน เรายอมเขาไหม เราให้เขาไหม หรือเรามีแต่เอาแล้วก็เอา ใช่ไหม (ใช่) ดีทุกวัน ทำดีคือใจเย็นๆ พูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล ใช่ไหม (ใช่) ทำดีคือมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำดีคือรักษาคำพูด พูดได้ต้องทำได้ ทำดีคือไม่มีใจคิดร้ายต่อใคร ใช่ไหม (ใช่) การรู้จักแบ่งปันก็เรียกว่าทำดี (ธรรมะเป็นทาน) แต่ทานก็ไม่ประเสริฐเท่าศีล ศีลก็ไม่ประเสริฐเท่าสมาธิ สมาธิคือความมั่นคง และสมาธิก็ไม่ประเสริฐเท่าปัญญาที่รู้แจ้ง เห็นในความจริง ฉะนั้นอย่ามีแค่ศีล ถ้าศีลยังไม่ครบ สมาธิยังหวั่นไหว ปัญญามันก็เลยไม่แจ่มชัด ใช่ไหม (ใช่) ตอบว่า (ทำดีรู้จักเมตตาแล้วให้อภัย) รู้จักเมตตาให้อภัย
ตอบว่า (ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ทำดีไม่หวังผล มีความเมตตา)
การทำบุญแค่ตั้งใจดีก็เป็นบุญกุศลแล้ว แต่ถ้าตั้งใจแล้วไม่ยึดติด ด้วยอันนี้ยิ่งสูงขึ้นไปใหญ่ แล้วไม่ต้องเอาไปนั่งสงสัยว่าพระจะเอาเงินทำบุญเราไปทำอะไร ทำแล้วทำเลยไม่ต้องคิด เพราะถ้าคิดแล้วจะกลายเป็นกิเลสมันกลายเป็นบุญที่อิงแอบไปด้วยกิเลส จะกลายเป็นบุญที่มีบาปเล็กๆ ฉะนั้นทำไปแล้วไม่ต้องคิด ก่อนทำก็ไม่คิด ระหว่างทำก็ไม่คิดก็ไม่ยึดติด ทำจบไปแล้วก็ไม่เอา นั่นแหละถึงจะเรียกว่าบุญอันบริสุทธิ์นะ ศิษย์รู้ไหมถ้าทำแล้วอดคิดเสียดาย บุญนั้นจะไม่สมบูรณ์ ถ้าทำแล้วยังอดระแวงสงสัย บุญนั้นจะกอปรไปด้วยบาปกรรม ฉะนั้นทำแล้วไม่ต้องคิด
(ใช้สตินำอารมณ์) เมื่อสตินำอารมณ์ได้จะก่อเกิดเป็นความสงบและจะบังเกิดปัญญาเห็นความจริงอันแจ่มแจ้ง แต่โดยส่วนใหญ่อารมณ์จะบังสติ เพราะเราเอาแต่คิด ใช่หรือไม่ (ใช่) สติจะดึงใจให้เรากลับมาสู่ความเป็นกลาง แต่เมื่อไรที่เราทำอะไรแล้วเราใช้ความคิด ความคิดง่ายที่จะไหลไปตามอารมณ์ ฉะนั้นเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นให้ใช้สติเยอะๆ
แค่ศิษย์ไม่ประพฤติผิด ไม่ประพฤติชั่ว ไม่ประพฤติผิดศีล นั่นเรียกว่าคนดีที่สุดแล้ว มนุษย์พยายามจะดีแต่ไม่ละชั่วจึงไม่อาจเรียกว่าดีแท้ ฉะนั้นศิษย์แค่ไม่ทำชั่วเลยดีที่สุด ไม่เคยโกหก ไม่เคยเบียดเบียน ไม่เคยด่าใครในใจ จริงใจตลอด ซื่อตรงตลอดนั้นดีที่สุด (ความอ่อนน้อมถ่อมตน) หยิ่งจองหองไม่มีวันดี แต่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ที่ไหนก็ดีขึ้น (ทำดีเพื่อพ่อแม่) แค่เราทำให้สมบูรณ์ในหน้าที่ตัวเอง และรู้จักหน้าที่ตัวเองพึงกระทำนั่นก็ถือว่าเราทำให้พ่อแม่แล้ว
มีความเข้มแข็งและกล้าหาญในใจด้วยนะ (คิดดีทำดีต่อหน้าและลับหลัง) อย่าลืมละชั่วด้วย คนส่วนใหญ่คิดดีทำดีแต่ไม่ละชั่วก็ยังไม่ได้ดีนะ (ทำดีคือการปฏิบัติต่อพ่อแม่ ทำชั่วคือไม่ตีไม่ดุด่าพ่อแม่) จิตที่สำนึกคุณเป็นจิตที่ประเสริฐ ตื่นมารู้จักขอบคุณทุกคน ถ้าเรารู้สึกขอบคุณทุกคนเราจะไม่ด่าใคร เราจะไม่เกลียดใคร จิตนี้เป็นจิตที่ดี ปลูกต้นธรรมนี้ให้เติบโตแล้วศิษย์จะไม่ทำร้ายใครเพราะศิษย์รู้สึกสำนึกคุณคนทุกคน และศิษย์จะไม่ทำลายสาธารณะประโยชน์เพราะทุกสิ่งล้วนมีคุณต่อเรา
ตอบว่า (ไม่ลักเล็กขโมยน้อย) แต่เคยแอบขโมยทางสายตาหรือไม่ เขาไม่ให้ดูแต่แอบดู (ไม่เคย) ตอบว่า (ให้ทาน) ทานยังเป็นระดับพื้นฐาน แต่ทานที่ประเสริฐที่สุด นอกจากสิ่งของคือให้ธรรมะเป็นทาน เขาโกรธมาแต่เราให้ธรรมะตอบ เขาโกงมาแต่เราซื่อตรงสุจริตตอบ คือให้ธรรมะเป็นทานที่ยิ่งใหญ่ ใช่หรือไม่ และเราทำได้ทุกที่ไม่จำเป็นจะต้องแค่ที่วัด ทุกที่ทุกคนทุกเวลาทำได้ อยู่ที่ว่าเราจะให้ธรรมะหรือให้อารมณ์ ให้ธรรมหรือให้กรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอบว่า (กตัญญูต่อพ่อแม่) ทำให้ได้ กตัญญูต่อท่าน คำว่ากตัญญูไม่ใช่แค่ปาก เคยนวดท่านไหม ถามไถ่ท่านไหม บ่อยไหม ทำทุกวันไหม ต้องทำให้ได้ทุกวันเป็นกิจลักษณะ แค่ทำตัวดีไม่ทำให้พ่อแม่รู้สึกเป็นห่วงนั่นก็กตัญญูแล้ว และทุกวันหมั่นโทรศัพท์หาท่านบ่อยๆ แค่นี้ท่านก็ปลื้มใจแล้ว ใช่หรือไม่ ดูแลท่านบ่อยๆ ทำได้ใช่ไหม แล้วก็ต้องรู้จักคุณคนด้วยนะ รู้จักคุณคนแล้วก็รู้คุณของโลกใบนี้ แล้วศิษย์จะเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม
ตอบว่า (ทำชั่วคือไม่ปฏิบัติตามธรรมะ ทำดีก็คือปฏิบัติตามธรรมะ) ตอบได้กว้างมากเลยนะ ทำชั่วก็คือปฏิบัติตามนิสัยกิเลสอารมณ์ ทำดีคือปฏิบัติตามธรรมชัดเจนกว่าไหม (ครับ)
ตอบว่า (การทำความดีที่บริบูรณ์และสมบูรณ์นั่นก็คือ การให้ทาน รักษาศีลให้ครบบริบูรณ์ และมีพรหมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) นั้นยังเป็นระดับศีล วันนี้เราศึกษาถึงขนาดที่ให้ศิษย์รู้จัก โดนกระทบแล้วปกติหรือไม่ จนเกิดความสงบและปัญญาเห็นแจ้ง (เพื่อให้เกิดการปล่อยวางในที่สุด) ที่จริงแล้วแล้วมันว่างแล้วไม่ต้องปล่อย ที่พยายามต้องปล่อยแปลว่าเราไปเผลอยึดมันไว้ ใช่หรือไม่ (ครับ)
มีใครตอบอาจารย์อีกไหม (ไม่ลืมบุญคุณของผู้มีพระคุณ) ทำให้ได้นะเพราะทุกคนในโลกล้วนมีคุณต่อเรา เขาด่าเราก็มีคุณ เขาโกงเราก็มีคุณ เขาไม่รักเราก็มีคุณ เพราะทำให้เรารู้ว่าเราต้องอยู่ให้ได้แม้วันหนึ่งเราไม่เหลือใคร ใช่หรือไม่ (ใช่ค่ะ) แต่เราต้องรักตัวเองให้เป็น ไม่ใช่รอให้มีแต่คนมารัก
กุศลกรรมคือ ทำแล้วไม่ยึดติดตัวตน ทำแล้วสามารถสละตัวตนได้ ทิ้งวางตัวตนได้นั่นคือกุศล สิ่งที่ศิษย์พูดขอให้เอาไปทำให้ได้จริง ไม่ใช่เพียงพูดดีแต่ทำไม่ได้นะศิษย์ ฉะนั้นอยากเป็นคนที่ศักดิ์สิทธิ์ พูดได้ต้องทำได้ แล้วเราก็จะศักดิ์สิทธิ์บนโลกใช่หรือไม่ (ใช่) ภพภูมิของมนุษย์ถูกกำหนดเมื่อเรายังมีชีวิต ถ้าเราเป็นคนพูดจริงทำจริงเราก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าเราพูดจริงแล้วทำได้ แล้วมีคุณธรรมเหนือชีวิตนั่นก็คือพระพุทธะ และถ้าเราเห็นแจ้งแจ่มชัดในหลักธรรม เราก็คือพ้นโลกพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
จำไว้นะศิษย์ อย่ามัวแต่มองเห็นว่าตัวเองทุกข์ อย่ามัวแต่มองเห็นว่าเขาทำให้เราเจ็บ ที่เขาระเบิดอารมณ์ด่าใส่เราเพราะเราเคยทำเขาเจ็บมาก่อน ฉะนั้นเวลาโดนคนด่าให้สะท้อนถามใจตัวเองว่า เป็นเพราะฉันทำเธอเจ็บ ใช่หรือไม่ ถ้าคิดได้แบบนี้เราจะไม่โกรธเขา แต่เราจะรู้สึกผิดและขอโทษเขาทันทีว่า “ขอโทษนะ ที่ทำให้เธอเจ็บใจจนระเบิดอารมณ์แล้วด่าฉันขนาดนี้ ขอโทษจริงๆ” ศิษย์จะแปรเปลี่ยนใจเขาได้ด้วยธรรมหล่อหลอมใจใช่ไหม (ใช่) แต่มันต้องกลั่นออกมาจากใจเรา ที่อยากให้เขาจริงๆ ฉะนั้นมีชีวิตอยู่เพื่อให้หรืออยู่เพื่อรับ อยู่เพื่อสละละวางหรือยึดมั่นไม่ปล่อยวาง ให้ถามใจตัวเอง
อาจารย์จะดีใจมากเลย ถ้าศิษย์ปฏิบัติธรรมจนลืมความเป็นตัวเป็นตนได้ เพราะเมื่อไรที่เราสามารถละวางตัวตน ทุกข์ก็จะไม่มีที่อยู่ ใจก็ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป เพราะเราเป็นธรรม เราเป็นหนึ่งเดียวกับธรรม จึงมีคำกล่าวว่า เมื่อใดที่มนุษย์ค้นพบหลักสัจธรรมและแจ่มแจ้งในหลักสัจธรรม มนุษย์จะเป็นอิสระจากกิเลส อารมณ์ และตัวตนทันที แล้วเมื่อนั้นศิษย์ก็จะบำเพ็ญธรรมพบธรรมใช่ไหม (ใช่) ตั้งใจบำเพ็ญไปให้ถึงที่สุด อย่าเดินครึ่งๆกลางๆ อย่าพ่ายแพ้เพราะความคิดตัวเองที่ไม่น่าเป็นเลยนะ
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก สามัคคีร่วมแรงร่วมใจกัน ให้อภัยกันถ้อยทีถ้อยอาศัย หนักนิดเบาหน่อยรู้จักยอมกัน ตั้งใจบำเพ็ญ ควบคุมอารมณ์ให้ได้ ใจเย็นๆ อย่ามัวแต่ห่วงอารมณ์ รักตัวเองมากเกินไป แต่ก็ต้องรู้จักรักผู้คนให้เป็น อย่าปล่อยให้ความรักทำร้ายตัวเอง ความยากลำบากไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่ไม่สู้ รักษาสุขภาพกันให้ดี ดูแลกายใจตัวเองให้ดีนะ
ไม่มีมงคลใดประเสริฐเท่ากับรู้จักคิด รู้จักพูดในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม รักษาความถูกต้องดีงาม รักษาบุญรักษาโอกาส หมั่นเพียรศึกษาธรรมนำพาชีวิตให้ถูกต้อง มุ่งมั่นทำให้ดี จิตใจดีรักษาไว้อย่าให้สูญหายไปจากใจ สิ่งที่ไม่ดีก็ชะล้าง รักษาความดีงามไว้ รู้จักควบคุมระมัดระวังอารมณ์ ธรรมมีอยู่ในใจ จงนำธรรมนั้นฉุดช่วยคน เลิกสิ่งที่ไม่ควรทำ แล้วเลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ขอให้ความมงคลและความดีงามจงอยู่ในใจศิษย์ทุกคน กล้าหาญในสิ่งที่ถูกต้อง
ศึกษาธรรมแล้วต้องปฏิบัติให้ได้ เข้าใจธรรม นำพาคนให้ดีด้วยหัวใจเมตตาและกล้าหาญนะ เข้มแข็งนะ ตั้งใจอุทิศเสียสละให้เต็มที่ สมกับที่ศิษย์มุ่งมั่นตั้งใจ สมกับสิ่งที่ศิษย์มีปณิธานไว้กับอาจารย์ แล้วเราจะได้เดินไปด้วยกันและกลับคืนสู่ธรรมพร้อมกันด้วยหัวใจที่สงบเย็น ทำให้ได้ไปให้ถึงที่สุดดั่งที่ศิษย์เคยมีปณิธานไว้ อย่าลืมปณิธาน รักษาปณิธานอันนั้นไว้ด้วยหัวใจ
สิ่งที่ต้องระมัดระวังมากที่สุดคือความคิดใช่ไหม รักษาใจของพุทธะด้วยตื่นรู้ อย่าหลงตามความคิด ศิษย์ของอาจารย์มุ่งมั่นให้ถึงที่สุดนะ อย่ายอมแพ้ต่อความยากลำบาก รักษาหัวใจอุทิศเสียสละให้ยิ่งใหญ่สมกับความตั้งใจ เสียสละได้แล้วเป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่ต้องละวางให้ได้คือความเป็นตัวตน มนุษย์มีสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความยึดมั่นถือมั่นที่เรียกว่าทิฐิและอารมณ์ ฉะนั้นเวลาทำอะไรต้องระมัดระวัง อยู่ให้ห่างทิฐิกับอารมณ์แต่ใช้ธรรมให้มากที่สุด มองอย่างคนเห็นธรรม อย่ามองอย่างคนที่เห็นแต่ทิฐิ เห็นแต่อารมณ์
สิ่งใดที่ดีแล้วให้รักษาไว้ ดูแลสุขภาพตัวเองด้วย มุ่งมั่นให้ถึงที่สุด แต่อย่าเป็นคนดื้อดึงดันทุรัง มีโอกาสคงได้กลับมาผูกบุญกับอาจารย์ มาร่วมศึกษาและร่วมเดินหนทางที่นำพาให้พ้นทุกข์นะ ดีไหม ไม่ว่าจะเรื่องอะไรจำไว้อย่างหนึ่ง เรายังมีอีกหนึ่งทางคือทางตรง ทางสายกลางที่เรียกว่าธรรม ธรรมที่เรายอมรับความเป็นจริง และปฏิบัติดีให้ถึงที่สุด ทำเพื่อธรรมไม่ใช่ทำเพื่อตัวตน แต่ทำเพื่อกลับคืนสู่ธรรมที่ไม่มีตัวตนให้ยึดถือและสร้างวัฏฏะ ลองพยายามคิดไตร่ตรองในสิ่งที่อาจารย์พูด เพื่อจะกระจ่างแจ้งในธรรมสักวันหนึ่งนะ ศิษย์เอย
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เดินตามธรรมะ”
จิตใจมีธรรมะ ไม่ร้อนวูบดั่งถูกไฟ ปัญญาเป็นตัวหาร ความทุกข์มีวันสลาย จิตบำเพ็ญ
มากพอ เชื่อมธรรมะที่ขาดหาย พบใดใดไม่เทียมเท่าค้นพบธรรม
โลกไม่อาจกระทบ คนบำเพ็ญใช้ธรรมสู่ธรรม ทางที่กรรมจะพ้นก็ใจตรงนี้
ทุกวันเมื่อธรรมไม่เคยแยกจาก พบคนมากคุมจิตใจไม่ง่าย
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนเราเวลาฟังนานๆ ก็เมื่อย รู้เยอะๆ เหนื่อยไหม พอรู้จักคนโน้นมากรู้จักคนนี้มาก ก็เบื่อเหลือเกินใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาที่เราอยู่ในโลกเราควรรู้ ควรจะฟังอะไร และอะไรที่เราไม่ควรรู้และไม่ควรฟังเลย (อยากรู้สิ่งที่ดีๆ และไม่อยากรู้ ไม่อยากเก็บสิ่งที่ไม่ดี)
เมื่อเราได้ฟังสิ่งใดแล้ว เราเก็บสิ่งที่ดีหรือเก็บสิ่งที่ไม่ดีเยอะกว่ากัน (ไม่ดี) ถ้าให้นั่งนึก ใครบ้างเป็นคนดี เราจะนึกไม่ค่อยออก แต่ใครไม่ค่อยดี เรากลับนึกชื่อออกยาวเป็นหางว่าวเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ใครทำดีกับเรานึกไม่ค่อยออก แต่เราทำดีกับใครเรากลับจำได้ แล้วใครไม่ดีกับเรา จำได้ไหม (จำได้)
เราอยู่ในโลกนี้ เราเลือกที่จะรับรู้ และเลือกที่จะไม่รับรู้ ได้หรือไม่ (ได้) อาจารย์อยากจะบอกว่าศิษย์ทุกคนเป็นแบบนั้นได้ ถ้าใจเราอยากเห็นอะไร มันก็จะเห็นอย่างนั้น แล้วก็จะปักใจเห็นแบบนั้น ไม่เคยเปลี่ยนไปเห็นอย่างอื่น แล้วก็รู้อย่างเดียวว่ามันต้องเป็นแบบนั้น เหมือนเห็นคนนั้นว่าเป็นคนไม่ดี มองอย่างไรให้ผ่านไปอีกสิบปี ถึงจะรับรู้อะไรดีๆ ของเขามา ก็ยังมองเขาไม่ดี จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่อยู่ที่คำพูดคน ไม่ใช่อยู่ที่เขาพูดดีหรือไม่ดี แต่อยู่ที่ใจและที่ศิษย์คิด เพราะถ้ามนุษย์ปักใจเชื่อแล้วมักจะเปลี่ยนยากจริงหรือไม่ (จริง) เวลาที่เรามองเห็นอะไรแล้วเห็นทะลุปรุโปร่งหรือไม่ (ไม่เห็น) แต่ศิษย์กลับบอกเขาว่า “ฉันรู้ใจเธอดี” ใช่ไหม (ใช่) แสดงว่าเราไม่เคยมองเขาจริงๆ เลย มองแต่ใจเราที่คิดว่าเขาไม่ดี ใจมันไม่ดี แม้เขาจะทำดีอย่างไรเราก็ไม่เชื่อ ฉะนั้น “รู้อะไรก็ไม่สู้รู้ใจตน เห็นใครก็ไม่สู้เห็นใจตน” ไม่ใช่แปลว่าเห็นแต่ตัวเองนะ แต่เห็นแล้วเท่าทันใจตัวเอง แล้วรู้ได้ว่าจะจัดการกับเรื่องราวอย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์เอย ศิษย์มาฟังธรรมตามที่ใจคิด หรือมากกว่า (มากกว่า) ถ้าคิดว่าฟังธรรมะแล้วต้องเป็นแบบนี้ศิษย์ก็จะได้แค่แบบนี้ แต่หากไม่ยึดติดในการฟังธรรมะศิษย์ก็จะได้มากกว่านั้น แต่มนุษย์มักยึดติดว่าจะฟังธรรมต้องเป็นพระเทศน์ ใครมาพูดฉันก็ไม่ฟัง ใช่หรือไม่ หากเราคิดว่าใครก็ตามไม่ว่าพูดดีหรือไม่ แต่ให้แง่คิดและให้ธรรมะ เรารู้จักฟัง นั่นก็คือไม่ว่าใครพูดเราก็ได้ธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบฟังเฉพาะคนที่ตัวเองคิดว่าแบบไหนถึงจะได้ธรรม เราก็เลยเห็นธรรมได้แค่ในเฉพาะคน ไม่เคยเห็นธรรมในทุกผู้คน เหมือนแต่ก่อนเราคิดว่าเราต้องฟังธรรมจากพระ แต่พอมาที่นี่ใครๆ ก็พูดธรรมได้ และใครๆก็ทำให้เราเห็นธรรม เข้าใจธรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นวันนี้เห็นธรรมแค่สิ่งที่อยากเห็น หรือเห็นธรรมมากกว่าที่ตัวเองคิด (มากกว่าที่คิด) ฉะนั้นจะเห็นสิ่งใดมากกว่าก็อย่าไปปักใจเชื่ออย่างเดียว หรืออย่าเอาแต่ทำตามใจตัวเอง
เกิดเป็นคนทำอะไรต้องมีสติฉับไว แม้จะทำอะไรได้ช้า แต่ต้องรู้จัก ฉับไวเท่าทันกิเลส อารมณ์ และความคิดของตน เรื่องของคนอื่นช้าไม่เป็นไร แต่เรื่องของใจเราต้องมีสติให้เท่าทัน เพราะถ้าช้าไปนิด อารมณ์ชั่ววูบก็ครอบงำทำให้เราหลงผิดเสมอ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ในโลกปัจจุบันนี้ คือทำร้ายกันอย่างเลือดเย็น โดยไม่ได้ใช้มีด ไม่ได้ใช้ปืน ไม่ได้ใช้อาวุธ แค่ใช้แป้นพิมพ์ เท่านั้นเอง ข้อความที่พิมพ์ลงในโลกอินเทอร์เน็ต หรือในโซเชียลมีเดีย สามารถฆ่าคนได้จริงไหม (จริง) เพียงแค่อยากคิด แล้วก็พูดไปตามที่คิด พิมพ์ไปตามที่คิด แล้วก็ฆ่าคนโดยไม่ทันยั้งคิดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคนที่เจ็บปวดก็คือคนที่ทำอะไรไม่รู้จักคิด และเราก็เป็นแบบนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นศิษย์อย่าบอกอาจารย์นะว่าศิษย์เป็นคนดี ถ้าตราบใดศิษย์เป็นคนที่ทำอะไรไม่รู้จักยั้งคิด คนดีของอาจารย์ทุกคนก็พร้อมที่จะเสนอความคิด ฆ่าคนทางความคิด และทำร้ายคนทางความคิดได้ตลอดเวลา ฉะนั้นอาวุธอะไรก็ไม่น่ากลัวเท่ากับอาวุธแห่งความคิดของคนที่ทำอะไรไม่ไตร่ตรอง ถึงจะพูดจริงแต่มันจริงแล้วเจ็บไหม (เจ็บ) แล้วทำไหม (ทำ) ถึงแม้เขาไม่เห็นหน้าเพราะเราพรางหน้าไว้ แต่เขาก็แช่งในใจ และบางทีโดนแช่งทั้งประเทศเลยเอาไหม (ไม่เอา) ฉะนั้นทำอะไรต้องรู้จักยั้งคิดหน่อย
ศิษย์รู้ไหมว่ามนุษย์ทุกข์เพราะอะไร อาจารย์สมมุติว่า เวลาเขาด่าศิษย์ ศิษย์ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์) ทุกข์เพราะเขาด่าหรือว่าทุกข์เพราะความคิด (ความคิด) ศิษย์เจ็บเพราะความคิดไม่ยอมรับ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์ต้องระวังและรู้จักไตร่ตรองและรู้จักใช้สติให้มากๆ ก็คือโดยส่วนใหญ่มนุษย์ในโลกทุกข์เพราะความคิดไม่ใช่ทุกข์เพราะเขาด่า แต่เพราะว่าความคิดที่เก็บเอาสิ่งที่เขาด่ามาถามตัวเอง มาย้ำตัวเอง มาต่อว่าตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) เขาด่าจบหรือยัง (จบแล้ว) แล้วเราจบหรือยัง (ยังไม่จบ)
อาจารย์เคยบอกไว้ว่าคำพูดไม่ดีที่ออกจากปากเรียกว่าขี้ปากใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเวลาที่ศิษย์เอาคำด่าเขามาย้อนคิดก็เท่ากับเอาขี้มาเล่นใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วศิษย์ก็ยังแบ่งขี้ให้กับคนอื่น แล้วว่างๆ ก็มานั่งเขี่ยขี้ คิดว่าทำไมเขาด่าฉัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ในใจศิษย์มีขี้เยอะไหม (เยอะ) ถ้ามีสติยั้งคิดเราจะคิดไหม (ไม่คิด) ฉะนั้นโดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกข์เพราะความคิดที่ไม่ยอมรับ เวลาถูกว่าแล้วเนื้อเราหายไปหนึ่งชิ้นไหม (ไม่) ใจแหว่งไปไหม (ไม่แหว่ง) เงินหายไปไหม (ไม่) แล้วเขาทำให้อายุเราสั้นลงไหม (ไม่) มีแต่เราเอามาคิดตรอมใจแล้วทำให้ชีวิตตัวเองสั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด แต่ศิษย์ของอาจารย์ก็ผ่านได้ยากที่สุด แล้วจะทำอย่างไรเราจึงจะเข้าใจ
อาจารย์ถามง่ายๆ เราอยากมีชีวิตสงบหรือวุ่นวาย (อยากสงบ) อย่างนั้นถูกว่าแค่นี้ก็จะวุ่นวายเลย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) ถ้าจบมันก็สงบ ถ้าไม่ยอมจบมันก็วุ่นวายจนไม่สงบ ถูกหรือไม่ (ถูก) ตอนนี้ก็พอทำใจได้ พอถึงเวลามันทำใจไม่ทัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์คือผู้หนึ่งที่สนใจศึกษาปฏิบัติธรรมเพื่อเอาไปใช้ในชีวิต และนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์และอยู่ร่วมกับผู้อื่นให้เป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) เรามาทำความเข้าใจธรรมง่ายๆ ก่อน ธรรมแปลว่าสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงล้วนเป็นธรรม อย่างนั้นที่เขาด่าเราก็เป็น (ธรรม) ที่เขาโกงเรา เอาเปรียบเรา ทำร้ายเรา ก็เป็น (ธรรม) แต่ทำไมเรามองอย่างไรก็เป็นกรรม เรามองว่าคนที่ทำร้ายเรา โกงเรานั้นเป็นกรรมไม่ใช่ธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าเราปักใจเชื่ออย่างไรก็จะเป็นแบบนั้น ฉะนั้นคนโกงเราเห็นเป็นธรรมหรือเห็นเป็นกรรม (ธรรม) หากศิษย์เห็นเป็นธรรม ศิษย์คงไม่เกี่ยวกรรม ผูกกรรมกับเขา คงไม่ด่าเขากลับ คงไม่ฝังใจกับเขา แล้วเรายังจะต้องให้อภัยโทษเขาอีกไหม ถ้าเห็นเป็นธรรมแล้วทำไมต้องให้อภัยเขาอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อสิ่งที่เขาทำเป็นธรรม ใจเราก็เป็นธรรม ก็ไม่ต้องมีอะไรที่ต้องให้อภัยอีกจริงหรือไม่ แต่หากเมื่อไรที่เราต้องพยายามให้อภัย ก็แปลว่านั่นเป็นกรรม อย่างนั้นอาจารย์ถามว่าถ้าทุกสิ่งเป็นธรรม และเราพยายามมองทุกสิ่งให้เห็นธรรม กรรมจะกลายเป็นธรรม แล้วเราอยู่เพื่อมีกรรมหรือหมดกรรม (หมดกรรม)
มนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ และเราเป็นผู้ผลิตกรรม อย่างนั้นเราจะสร้างกรรมเพิ่มหรือหยุดกรรม ฉะนั้นเวลาที่เขาด่าเราเป็นธรรมหรือเป็นกรรม (เป็นธรรม) ถ้าศิษย์เข้าใจว่าทุกสิ่งล้วนเป็นธรรม ไม่ใช่เป็นกรรม เข้าใจธรรมหนึ่งข้อสามารถดับทุกข์ได้เลย ไม่ว่าเขาจะด่า เขาจะชม เขาจะโกหกเรา ก็เป็นธรรมอย่างหนึ่งที่ทำให้เรามองเห็นความเป็นจริง
อีกอย่างหนึ่งธรรมคือความจริงของโลกใบนี้ พอเราเห็นชัดถึงความจริง เป็นธรรมดาของโลกนี้ มีคนชมก็มี (คนด่า) ทุกสิ่งล้วนคือความจริง ทุกสิ่งล้วนคือธรรม ฉะนั้นถ้าเรายอมรับความจริงเราก็เห็นธรรม ถ้าเราเห็นธรรมเราก็เห็นความจริง เข้าใจธรรมยากไหม (ไม่ยาก)
ศิษย์เคยได้ยินคำว่า “ธรรม” และ “คุณธรรม” หรือไม่
ธรรมกับคุณธรรม มีความหมายเหมือนกัน ธรรมก็คือความดีงาม คุณธรรมก็คือความดีงามอันเป็นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ฉะนั้นผู้มีธรรมหรือผู้มีคุณธรรมก็เป็นสิ่งเดียวกัน ดังนั้นเมื่อเราปฏิบัติธรรม เราจึงไม่ควรลืมคุณธรรม และไม่ควรลืมธรรม ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่บางครั้งเมื่อเอามารวมกันทำให้ศิษย์แยกไม่ออก คุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคนคืออะไร เราไม่ควรลืมไปจากใจ เพราะทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐแท้จริง และทำให้มนุษย์สมกับคำว่ามนุษย์ พระพุทธะยังกล่าวไว้ว่า “มนุษย์ผู้มีศีล เรียกว่าคน เรียกว่าเทพ เรียกว่าพรหม” ฉะนั้นถ้าเมื่อใดมนุษย์ขาดศีลธรรม มนุษย์ไม่อาจเรียกว่าคนได้ แต่เป็นแค่สัตว์ ใช่หรือไม่ (ใช่) คุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคน มีอะไรบ้าง (เมตตาและกตัญญู)
ในเมื่อศิษย์ตั้งใจเอาธรรมไปศึกษาปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจธรรม ธรรมอันแรกที่อาจารย์ให้ความหมายแคบๆ และมองง่ายๆ แต่ได้ใจความนั่นคือ ทุกสิ่งล้วนคือธรรม ธรรมคือความจริงของโลก ธรรมคือความดีงาม และหากมนุษย์รู้จักทำความดีเราก็จะไม่เกิดทุกข์ ศิษย์ชอบถามอาจารย์ว่าฟังธรรมก็พอแล้วทำไมต้องปฏิบัติธรรม นั่นเป็นเพราะการปฏิบัติธรรมคือคุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคน การปฏิบัติธรรมทำให้เราอยู่ร่วมกับผู้คนได้อย่างสันติสุข เหมือนสมมติว่าอาจารย์อยู่ร่วมกับศิษย์ อาจารย์ก็เอาแต่กดขี่ ข่มเหง เอาเปรียบ ศิษย์ว่าอาจารย์มีธรรมหรือไม่ (ไม่มี) แล้วอาจารย์จะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้หรือไม่ (ไม่ได้) ฉะนั้นการที่เราต้องมีศีลธรรมเพราะศีลธรรมช่วยยับยั้งความชั่วในใจตน อยากปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ แต่หากละชั่วไม่ได้ศิษย์ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าผู้ปฏิบัติธรรม และการประพฤติปฏิบัติธรรมตามคุณธรรมของความเป็นคน ทำให้คนเป็นคนประเสริฐนั่นคือศีลธรรมพื้นฐาน ศิษย์มีความเมตตาหรือไม่ ดูถูกคนหรือไม่ ให้เกียรติคนหรือเปล่า ซื่อตรงจริงใจหรือไม่ ฉะนั้นหากความเป็นคนยังปฏิบัติได้ไม่ดีอย่าพูดเรื่องหนทางพ้นทุกข์เลย เพราะศิษย์คือเหตุแห่งความผิดและสร้างเหตุแห่งความทุกข์ หากเริ่มต้นศิษย์ปฏิบัติถูก กับใครศิษย์ก็เมตตา กับใครศิษย์ก็รักเอ็นดู กับใครศิษย์ก็ซื่อตรง ฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมเริ่มต้นปฏิบัติพื้นฐานความเป็นคนให้ดีก่อน เป็นคนดีได้แต่ก็ยังไม่พ้นทุกข์ แค่หยุดยั้งไม่ให้มีทุกข์ใหม่เพิ่มขึ้นมา พอเข้าใจหรือยังว่าทำไมต้องปฏิบัติธรรม
การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยาก เบียดเบียนคนอื่นหรือเปล่า (ไม่เบียดเบียน) ชีวิตเราอยู่ได้ด้วยชีวิตคนอื่นหรือไม่ ทั้งหมู ไก่ ปลา กุ้ง วัว เบียดเบียนเขาไหม เมตตาเขาไหม ถ้าศิษย์สามารถปฏิบัติธรรมแล้วมีธรรมยิ่งกว่าชีวิต คนนั้นจะไม่ใช่เป็นแค่คน ไม่ใช่เป็นแค่เทพ ไม่ใช่เป็นแค่พรหม แต่เป็นพุทธะเดินดิน แต่มนุษย์ปฏิบัติศีลธรรมแค่ระดับเสมอตัวจึงเป็นได้แค่คนหรือปฏิบัติดีขึ้นมาอีกหน่อยเรียกว่าผู้ประเสริฐ แต่พุทธะที่ศิษย์กราบไหว้ ท่านทำโดยยอมสละชีวิตเพื่อธรรม ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ ศิษย์สามารถสละชีวิตเพื่อรักษาธรรมได้หรือไม่ พระพุทธะที่ศิษย์กราบไหว้ทุกพระองค์ล้วนดำเนินทางคุณธรรมเป็นหลักในการดำเนินชีวิตและยอมสละชีวิตเพื่อธำรงรักษาคุณธรรม ท่านก็เป็นพระพุทธะ แต่มนุษย์เสียสละไม่ได้ จึงไม่พ้นทุกข์ จึงได้เพียงระดับศีลธรรมธรรมดา
มีทางไหนอีกที่จะปฏิบัติธรรมแล้วทำให้เราเข้าถึงและพ้นทุกข์ได้ ถ้าพูดถึงธรรม ธรรมเป็นกลางไม่เอียงซ้ายเอียงขวา คนที่ปฏิบัติธรรมจิตน่าจะเบาหรือหนัก จิตน่าจะใสหรือขุ่น จิตน่าจะอิสระหรือยึด ไปตรวจสอบตัวเองนะ ว่าที่เราปฏิบัติมานั้นขุ่นหรือใส หนักหรือเบา ธรรมสอนความเป็นกลาง กลางแปลว่าเห็นอะไรเราก็ยังคงเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะประสบเรื่องราวอะไรก็ยังคงสงบไม่วุ่นวาย ใครว่าอย่างไรเราก็คงเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ถูกหรือไม่ (ถูก) เพราะว่าธรรมคือความจริงอันเป็นกลาง ตอนนี้เรารู้ความหมายของธรรมอีกอย่างหนึ่งแล้ว ธรรมคือความจริงอันเป็นกลาง ฉะนั้นถ้าเราปฏิบัติธรรม จิตเราก็ต้องเป็น (กลาง) ใส สงบ เย็น ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนว่า มีเพียงทางสายกลางอันหนึ่งเดียวที่สามารถนำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์และพบความสงบที่แท้จริง คำว่าทางสายกลางแปลว่า คงมั่นไม่เปลี่ยนแปลง สงบอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง โดนว่ามาก็คงความราบเรียบของใจอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เกี่ยวพันอะไร อะไรที่มากระทบเราไม่ผลักใส ไม่ยินดี เช่นนั้นแหละ สามารถมีธรรมและพ้นทุกข์เพราะธรรม แต่มนุษย์มักจะเอียงใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเอียงจึงเรียกว่ากรรมดี กรรมชั่ว เมื่อตรงจึงเรียกว่าธรรม ฉะนั้นถ้าถูกกระทบแล้วเอียงไปทางไม่ดีก็เรียกว่าสร้างกรรมชั่ว แต่ถ้าเอียงไปทางดีพยายามเอาธรรมมาปลอบใจ นั่นก็เรียกว่าพยายามทำกรรมดี เพราะยังไม่สามารถเปลี่ยนแปรกรรมในใจให้กลายเป็นธรรมได้ เราจึงยังต้องคิดว่า อภัยไว้ อดทนไว้ เมตตาไว้ ขันติไว้ มันก็ยังเรียกว่ากรรมดี แต่หากปฏิบัติถึงธรรม เราจะสงบ คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง ใจจะใส และเย็น
ศิษย์มักจะบอกว่า “เกิดเป็นคนก็ต้องมีดีมีร้าย มีได้มีเสีย มีสุขมีทุกข์ จะให้ใสตลอดมันยากนะ จะให้เย็น หนูก็เย็นแล้ว แต่นับหนึ่งถึงร้อยก็ยังไม่รอดเลย ขอเอียงสักนิดหนึ่ง” ใช่หรือไม่ (ใช่) พระพุทธะกล่าวไว้ว่า “ทางที่เรียกว่าสุข ทางที่เรียกว่าทุกข์ ทางที่เรียกว่าดี หรือทางที่เรียกว่าไม่ดี ล้วนเป็นทางแห่งความหลง เป็นทางของผู้ที่ติดในกามคุณ เป็นทางแห่งความไม่สงบ และล้วนเป็นทางแห่งวัฏสงสาร” ดีร้าย ได้เสีย ทุกข์สุข มันเป็นตัณหาของผู้ที่ยังลุ่มหลงของผู้ที่ยังมีตัณหา เมื่อไรที่ดีแปลว่าตัณหาเกิด เมื่อไรที่ไม่ดีก็เป็นตัณหาเกิด จริงหรือไม่ (จริง) เห็นคนไม่สวยตัณหาก็เกิดขึ้นเพราะในใจมันชอบสวยอยู่ข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสวยไม่สวยก็มีตัณหา ฉะนั้นคำว่า ดีร้าย ได้เสีย ยังหนีไม่พ้นตัณหาและความลุ่มหลง เมื่อลุ่มหลงแล้วก็ไม่พ้นความวุ่นวายและไม่สงบสุข พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “จิตเดิมแท้ไม่เคยหวั่นไหว แต่มนุษย์หวั่นไหวเพราะตกเป็นทาสของความคิดและอารมณ์”
ฉะนั้นเมื่อไรที่เราลุ่มหลง ที่จริงแล้วจิตเดิมแท้เราไม่ได้หวั่นไหว แต่เราลุ่มหลงไปตามความคิดและอารมณ์อันเป็นสาเหตุ ใช่หรือไม่ สุข ทุกข์ ดี ร้าย ล้วนคือโลก และมาจากอารมณ์ที่เรายึดติด และนำพาให้เราไม่พ้นทุกข์ ฉะนั้นเมื่อเราเจอเรื่องราวอะไรแล้วเราใช้อารมณ์ ใช้กิเลส เราก็หนีไม่พ้นทุกข์สุขดีร้ายและความวุ่นวายไม่จบสิ้น แต่จะให้เราใช้ธรรมตลอดบางทีก็อดคิดไม่ได้ ใช่หรือไม่ เหมือนอย่างอาจารย์ยกตัวอย่างคนสองคนนี้ คนแรกหน้าบึ้ง คนที่สองหน้ายิ้ม ศิษย์มองเขาแล้วเห็นเป็นอย่างไร ความรู้สึกของศิษย์ต่างกันหรือไม่ระหว่างสองคนนี้ (ต่าง) เพราะความรู้สึกของมนุษย์หากไม่ยั้งคิดศิษย์จะตัดสินทันทีว่าคนนี้ดูน่ากลัว และไม่น่ามีเรื่องด้วย จริงหรือไม่ (จริง)
แต่อาจารย์จะบอกไว้ พวกที่ภายนอกดูแข็งแต่จริงๆ ภายในอ่อนปวกเปียก แต่พวกที่ภายนอกอ่อนปวกเปียก บางทีดื้อมาก นี่คือสิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์ในโลกปัจจุบันนี้คือ เวลาเราทำอะไร เรามักมองไม่รอบ เรามักมองไม่เป็นธรรม แต่เรามักชอบมองไปตามสิ่งที่ใจเรายึดติด สิ่งที่ใจเราคิดแล้วก็ตัดสินทันที เมื่อเราตัดสินทันที ทำให้เวลาเราทำงานอะไรกับใคร เราจึงมักเชื่อในสิ่งที่เราคิด ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างเช่นเวลาพูดเราต้องระวังกับคนนี้ แต่กับอีกคนไม่ต้องระวัง จึงทำให้เรามักจะมีเรื่องกับอีกคนเสมอ
อาจารย์ต้องการให้ศิษย์เห็นชัดอย่างนี้ก็เพราะว่า เมื่อไรที่เวลาเราเจอเรื่องราวอะไร โดยส่วนใหญ่เราไม่ค่อยเอาธรรมมายั้งคิด แต่เราชอบคิดตามสิ่งที่ใจเรายึดติด สิ่งที่อารมณ์หรือนิสัยเราปลูกฝังมา
(พระอาจารย์เมตตาให้วาดวงกลมบนกระดาน)
อาจารย์เปรียบเทียบเรื่องง่ายๆ แต่ค่อยๆ พิจารณานะศิษย์ เมื่อมีเรื่องราวมากระทบ ถ้าเราใช้ความรู้สึกของสังขารเราก็จะรู้ว่าเจ็บ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเราใช้ความรู้สึกของสังขารรวมกับความคิดจะก่อเกิดเป็นเจ็บ มีอารมณ์แล้วมีกิเลส ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่หากศิษย์รู้ธรรม ธรรมสอนให้เรารู้ สอนให้เรารู้จักรู้ ซึ่งตัวรู้มาจากจิตเดิมแท้ เวลาที่เราโดนกระทบเราแค่รู้สึก แต่ไม่คิด มันก็ไร้อัตตาตัวตนที่จะยึดถือ แต่ถ้ารู้แล้วรู้สึกแล้วคิดก็จะก็มีทั้งอัตตาตัวตน ความเจ็บของสังขารและความเจ็บใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเรายังมีสังขารก็ยังต้องมีความรู้สึก ถ้าไม่รู้สึกเลยก็เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ฉะนั้นอาจารย์ไม่ได้ห้ามศิษย์ไม่ให้รู้สึก แต่อาจารย์ให้ศิษย์ “รู้”แต่ “ไม่คิด” เพราะกิเลสมาจากความคิด อารมณ์มาจากความนึกคิดแห่งตัวตน ฉะนั้นเมื่อรู้แล้วแค่รู้สึก อารมณ์กับกิเลสนี้จะหายไปทันที แต่ถ้าศิษย์รู้แล้วสามารถยับยั้งชั่งใจความคิดนั่นคือรู้ แต่ไม่คิด ที่มีมันก็เหมือนไม่มี เห็นแต่ไม่คิดก็เหมือนไม่เห็น แต่ไม่เห็นแล้วคิดก็เหมือนกับเห็น เช่นผีนั้นไม่มี มองก็ไม่เห็น แต่พอเราคิด ยิ่งคิดมันก็เหมือนมีจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเราคิด เหมือนกันถ้าถูกเขาว่าเรา แต่เราไม่คิด เราก็เหมือนไม่ถูกว่าใช่ไหม (ใช่) เมื่อไม่คิด เมื่อใจว่าง สิ่งที่เกิดมันก็เหมือนไม่เกิด สิ่งที่มีก็เหมือนไม่มี
ฉะนั้นอยากฝึกการปล่อยวางตัวตน รู้สึกได้แต่ต้องไม่คิด เพราะความคิดเป็นตัวต้นเหตุของกิเลสและอารมณ์ที่อัตตาตัวตนสร้างขึ้นมา ถ้าชอบก็เป็นหลง ถ้าไม่ชอบเป็นเกลียด โกรธ หนีไม่พ้นจากความคิดที่ตัวเรายึดติด ฉะนั้นจึงสอนให้ผู้ฝึกปฏิบัติธรรม “รู้สึก” แต่ “ไม่คิด” ก็จะตัดรากของกิเลสและอารมณ์ เพราะอารมณ์กิเลสมาจากความคิดที่เรายึดติดว่าแบบนี้ชอบ แบบนี้ไม่ชอบ และเมื่อเรายึดติดมีอัตตาตัวตนจึงก่อเกิดเป็นภพภูมิที่เรียกว่าสร้างกรรมดี กรรมชั่ว ทำดีก็รับผลของกรรมดี ทำชั่วก็รับผลของกรรมชั่ว ศิษย์คิดบวกก็แปลว่าอีกด้านศิษย์ก็ยังมีคิดลบ เมื่อศิษย์พยายามมองบวกแปลว่าในใจศิษย์รู้ว่าอะไรมันลบ มองบวกเมื่อรักมากๆ ดีมากๆ เมื่อเขาไม่เป็นดั่งใจทุกข์ไหม โกรธไหม แค้นไหม แล้วจะต่างอะไรกับการคิดลบ เมื่อคิดบวกแล้วพอไม่ได้ดั่งใจเราก็ทุกข์ ฉะนั้นเมื่อเจออะไร (รู้สึกแต่ไม่คิด) โดนตีอย่างไรก็ยังต้อง (เจ็บ) อย่างไรก็ยังต้องรู้สึก ยังเจ็บอยู่เป็นธรรมดา แต่เจ็บแค่สังขารไม่ได้ลงมาเจ็บที่ใจ ใจสอนแค่เพียงเรารู้และเราจะรู้แบบคนเห็นธรรม
แล้วทำอย่างไรที่จะเห็นธรรมรู้แล้วสามารถวางได้ สมมติเวลามีคนมาชี้หน้าด่าเรา แล้วก็จากไป เราโกรธไหม (โกรธ) แต่พอมีคนมาบอกเราว่าคนที่ด่าเราเป็นคนบ้า เราเข้าใจแล้วโกรธไหม (ไม่โกรธ) นั่นแหละสิ่งที่อาจารย์ต้องการ เมื่อเราเข้าใจธรรม เราจะรู้แล้ววางทันที เราจะแจ่มแจ้งแล้วปล่อยทันที แต่ถ้าเราไม่รู้ว่าเขาเป็นคนบ้า เราจะวางได้ ปล่อยได้ ปลงได้หรือไม่ (ไม่ได้)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “เดินตามธรรมะ”)
แล้วเราจะเอาธรรมอะไรมาพิจารณาเพื่อปลดปลง ปล่อยวาง ไม่ถือโทษไม่ถือโกรธได้ เจอเรื่องที่ไม่สมหวัง ใช้ธรรมอะไร ให้จิตใจปล่อยวางไม่ติดไม่คิดสิ่งใด (ให้จิตใจปล่อยวาง) ศิษย์เอยอาจารย์ไม่ได้สอนให้ศิษย์ไม่คิดเรื่องการงาน เรื่องการงานต้องใช้ความคิด แต่ถ้าเรื่องอารมณ์อย่าใช้ความคิด เพราะเมื่อไรที่ใช้ความคิดกับอารมณ์จะเหมือนสาดน้ำมันเข้าใส่ เพราะความคิดของมนุษย์ง่ายที่จะหวั่นไหวไปตามอารมณ์ และตกเป็นทาสอารมณ์ ความคิดง่ายจะไหลเอียงไปตามกิเลสอารมณ์ที่เราสั่งสม และง่ายที่จะทำให้ใจเราบิดเบี้ยว ความคิดอย่าเอาไปใช้กับอารมณ์ อย่าเอาไปใช้กับเรื่องที่ทำให้ร้อน แต่ความคิดยังมีได้สำหรับเวลาเราทำงานทำการ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เรายั้งความคิดและปลดปลงได้คืออะไร ใครตอบได้ (เดี๋ยวมันก็ผ่านไป) ตอบได้ดีไหม (ดี) อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ว่าสำหรับศิษย์ สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เรียกว่าธรรมะ แต่กว่าที่มันจะผ่านไปใช้เวลานาน ถ้าใจยังวางไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ปากพูดว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไปแต่ใจมันไม่รู้สึกว่าเดี๋ยวเลยนะ ฉะนั้นจำคำพูดอาจารย์ไว้นะนี่คือคติธรรมที่ดีงาม สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับ ทุกขณะที่เกิดมันคือทุกขณะที่ดับ ชีวิตที่เรานับว่าเราเกิดมันคือชีวิตที่เราดับด้วย คำพูดที่อาจารย์กำลังพูดเป็นคำพูดที่กำลังจบในตัวของมันเอง เหมือนการที่เขาว่าเรามันจบในตัวมันแล้ว ถ้าใจเราเข้าใจว่าทุกสิ่งมันจบ อยู่กับปัจจุบันเราจะไม่ทุกข์ มีแต่คนตายเท่านั้นนะที่จมอยู่กับอดีต ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอบว่า (ไม่ยึดติดในสิ่งที่เราคิด) ไม่ยึดติดในสิ่งที่เราคิดได้ไหมหนอ แล้วทำอย่างไรให้สิ่งที่เราคิดไม่กลายเป็นยึดติด เราต้องมองเห็นให้ชัด ว่าสิ่งที่เรายึดติดว่าไม่ชอบไม่ดี นั่นไม่ดีจริงไหม สิ่งที่ไม่สมบูรณ์สุดก็ไม่ใช่ว่าจะแย่สุด และสิ่งที่ดีสุดก็ไม่ได้ดีที่สุด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงธรรม)
มีใครร้องได้หรือไม่ ไหนลองฟังเสียงผู้ปฏิบัติงานธรรม ทำนองเพลงบุพเพสันนิวาส ชื่อเพลง เดินตามธรรมะ
อย่างน้อยนำประโยคใดประโยคหนึ่งจำไว้ในใจ เหมือนประโยคที่บอกว่า “นำธรรมพบธรรม ความวุ่นใจคลายลดลง” แปลว่าเอาธรรมไปให้เขา ไปทำให้เราพบธรรมในใจเขา เราอยู่กับเขาก็ไม่มีกรรม มีแต่ธรรมที่ทำให้มนุษย์ประเสริฐ มีแต่ธรรมที่ทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ มีแต่ธรรมที่ทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข อย่าใช้กิเลส อย่าใช้อารมณ์เลย ธรรมะอย่างหนึ่งที่อาจารย์อยากให้ย้ำเตือนศิษย์นั่นก็คือ ไม่ว่าทำอะไรขอให้มีสติเป็นกำลัง
ขอให้ใช้สติยั้งคิด อย่าใช้อารมณ์เป็นใหญ่ เพราะอารมณ์ทำชีวิตพังแล้วก็ต้องเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น แล้วชีวิตนี้ศิษย์อยากวนมาเวียนว่ายตายเกิดอีกหรือไม่ (ไม่อยาก) ถ้าอยากเวียนว่ายตายเกิดอีก แค้นใครก็จองเวรจองกรรม ไม่ต้องทำบุญ ไม่ต้องใส่บาตร ดีหรือไม่ (ไม่ดี) ถึงเวลาเราไม่จองเวร ใครด่ามาเราไม่ด่ากลับ ร้ายมาเราไม่แรงกลับ เราไม่เกี่ยวกรรมแล้วใช่หรือไม่
ฉะนั้นหนทางหนึ่งที่วันนี้ศิษย์ได้ศึกษาก็คือหนทางที่กลับสู่ความเป็นกลาง หนทางที่กลับสู่ความสงบ หนทางที่กลับสู่ธรรมอันเดิมแท้ คนที่เข้าถึงธรรม สวรรค์ก็ไป นรกก็ไม่กลัว เพราะจิตพบธรรมแล้ว อยู่ที่ไหนก็เป็นธรรม แต่ถ้าสวรรค์อยากไป นรกไม่อยากเอา แปลว่ายังแบ่งแยกยึดติด ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อไรที่จิตยังยึดติดแบ่งแยกว่ารักตัวเองแล้วเกลียดผู้อื่น รักตัวเอง ตัวเองถูก ผู้อื่นไม่ถูก นั่นก็ยังเรียกว่าหนทางแห่งทุกข์สุขดีร้ายที่นำพาให้ชีวิตสับสน ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้านำธรรมพบธรรม ทุกอย่างคือธรรม ทุกอย่างคือสงบ สงบของอาจารย์แปลว่าจบ แต่ถ้ายังย้ำคิดย้ำทำ ย้ำพูดย้ำจำ แปลว่าไม่จบ ใช่ไหม (ใช่) สิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากย้ำเตือนไว้ ความเป็นจริงแห่งโลกที่สอนธรรมะเราอยู่ทุกวันคือมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และว่างเปล่า ทุกข์ก็ว่างเปล่า ทุกข์ก็ไม่เที่ยง แล้วเรากำลังทุกข์กับอะไร
ฉะนั้นคนที่จมกับทุกข์เก่าคือคนที่ตายแล้ว แต่คนที่อยู่กับปัจจุบันและมองแค่ปัจจุบันคือคนที่ยังมีชีวิต ถูกหรือไม่ (ถูก) มีแต่คนที่ตายแล้วเท่านั้นที่จมอยู่กับอดีต อดีตเจ็บอย่างนี้ อดีตป่วยอย่างนี้ เจ็บมันเป็นของอดีต เจ็บมันเป็นของสังขาร แต่ศิษย์ของอาจารย์ก็ชอบเอาความเจ็บของเมื่อวานมาเจ็บต่อวันนี้ แล้วก็จำฝังใจว่าเจ็บ แล้วก็เจ็บไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) รถชนมาตั้งแต่เมื่อวาน แต่ใจมันยังฝังจำว่าโดนชน ใช่หรือไม่ (ใช่) เราแก่ไหม (แก่) เราแก่แค่สังขาร เรารู้แค่สังขารว่ามันแก่ แต่ใจเราไม่แก่เลย ถ้ายังยึดติดก็แปลว่ายังอยากให้มีทุกข์อยู่ แต่ถ้าเมื่อไรเราไม่ยึดติดใดๆ แม้กระทั่งความคิดแล้วความทุกข์มันจะเกาะใจได้อย่างไรจริงหรือไม่ (จริง)
คำว่า “เดินตามธรรมะ” ยังเป็นชื่อของเพลงที่อาจารย์ให้ด้วยนะ ฉะนั้นไม่ว่าทำอะไรขอให้ทำตามธรรม ทำตามควรแก่กำลัง ทำแล้วจะคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม ทำให้มีศีลธรรม ใครที่มีธรรมผู้นั้นจะไม่ตกในทุคติภูมิ ไปตามธรรมดีกว่าไปตามอารมณ์ ดีกว่าไปตามใจ ดีกว่าไปตามความคิด ใช่ไหมศิษย์ (ใช่) ฉะนั้นขอให้มีเพียงธรรมเสมอ สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นมีความดับ ทุกสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า มันอยู่ในตัวของมันเอง ทุกข์มันก็ไม่เที่ยง ทุกข์มันก็ว่างเปล่า แล้วเรากำลังทุกข์กับสิ่งใด เราหลงทุกข์อยู่กับความคิดใช่หรือไม่ ความคิดที่ไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมให้ใครมาด่า ไม่ยอมเจ็บ ความคิดที่ต้องมีแต่ได้แล้วเสียไม่ได้ แล้วความคิดอย่างนี้ทำให้ทุกข์ไหม (ทุกข์)
คิดแบบนี้ล้วนทุกข์ทั้งนั้น แก่ไม่ได้ เจ็บไม่ได้ เสียไม่ได้ ขาดทุนไม่ได้ ยอมไม่ได้ แพ้ไม่ได้ โง่ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะชีวิตล้วนต้องเป็นไป อย่ายึดติดแล้วลากตัวเองมาให้ทุกข์ไม่จบสิ้น สัจธรรมล้วนสอนให้เราปลดปลงและปล่อยวาง เมื่อถึงวันที่ศิษย์จะต้องปลดปลงและปล่อยวางสังขาร นั่นคือเรื่องที่ยากที่สุด จะถอนใจออกจากร่างกายนี้ได้อย่างไร จะทำอย่างไรให้สิ่งที่ศิษย์เข้าใจธรรมนั้นเป็นแค่เพียงความรู้ ความรู้ที่ไร้ตัวตน ไร้ผู้ยึดถือ ถ้าทำได้เช่นนี้ก็ดีนักแล แต่กลัวว่าแค่ถูกกระทบนิดหน่อยก็ยอมไม่ได้ น่าเสียดาย ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์อยากแจกผลไม้เพื่อเป็นสิริมงคลและให้ศิษย์เอาไปสร้างบุญต่อดีหรือไม่ (ดี) จำไว้นะศิษย์ สร้างธรรมดีกว่าสร้างกรรม สร้างบุญดีกว่าสร้างบาป ใครจะสร้างบาปกรรมกับเราไม่เป็นไร เราถือว่าเราจะได้หมดเวรหมดกรรมกับเขาดีไหม (ดี) เขาจะร้ายอย่างไร เราก็ขอบใจที่ทำให้ฉันได้หมดกรรม ขอบคุณที่ทำให้ฉันเข้าใจคำว่ากรรมว่ามันเจ็บขนาดไหน และฉันจะไม่มีกรรมอีกต่อไป ได้ไหม (ได้) กรรมนั้นน่ากลัวนะศิษย์ แล้วยิ่งถ้าเป็นกรรมที่ศิษย์ตั้งใจและเจตนาทำ และเป็นกรรมที่ศิษย์ทำด้วยตัวเอง แล้วจะบอกว่าเอาบุญมาล้างกรรมได้ไหม (ไม่ได้)
อาจารย์ถามว่า อาจารย์ทำบุญกับศิษย์คนหนึ่ง แล้วอาจารย์ก็ทำบาปกับศิษย์อีกคนหนึ่ง อาจารย์นำเอาบุญที่ทำไว้กับศิษย์คนหนึ่งไปล้างบาปกับศิษย์อีกคนหนึ่ง ได้ไหม (ไม่ได้) นั่นคือศิษย์ไปทำบาปกับอีกคน แล้วไปทำบุญกับอีกคน มันชดเชยกันไม่ได้ เหมือนกันศิษย์ไปทำบุญด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้วมาทำบุญชดเชยกัน ได้ไหม ศิษย์ไปโกงเงินเขามาเยอะๆ แล้วศิษย์มาสร้างวัด ได้ไหม ถ้าศิษย์ทำ เมื่อถึงเวลาชะตากรรมมันตกผล บุญก็คือบุญ บาปก็คือบาป หนีไม่ได้
ศิษย์บอกว่า “อาจารย์ศิษย์ขอรวยไว้ก่อน มีเงินเยอะๆ ก่อน เดี๋ยวศิษย์ค่อยมาบำเพ็ญธรรม มาปฏิบัติธรรม” ช้าไปไหม เวลาเราจะรวย จะอยาก จะมีเงิน เราต้องไปเบียดเบียนคนอื่นไหม เราโกหกบ้างไหม เราค้าขายแบบซื่อตรงไหม ถ้าศิษย์อยากตั้งใจบำเพ็ญธรรม ปฏิบัติกับผู้คน ไม่ว่าจะเป็นค้าขายหรือทำอะไร ขอให้มีความซื่อสัตย์จริงใจ เราขายสิ่งที่ดี สิ่งที่ดีที่สุดออกจากใจ สิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำด้วยใจนั่นแหละขายไปแล้วเราได้บุญด้วย เพราะเราทำสิ่งที่ดีจริงๆ แต่ไม่ใช่ขายไปแล้วก็โกหก แล้วก็นำสิ่งที่ไม่ดีมาผสมสิ่งที่ดีแล้วขายในราคาเท่ากัน
ฉะนั้นเมื่อจิตเข้าถึงธรรม สวรรค์ก็ไม่กลัว นรกก็ไม่เกรง เพราะเข้าใจธรรม แต่ถ้าเมื่อไรเรายังไม่เข้าใจและปฏิบัติไม่ถึงธรรม อยากไปสวรรค์แค่ไหนก็ไปไม่ถึง หวาดกลัวนรกแค่ไหนก็ต้องลง
อย่างนั้นทำอย่างไรจึงเรียกว่า “ทำดี” ทำอย่างไรเรียกว่า “ทำชั่ว” (ความดีคือมีความเมตตาต่อผู้คน ความชั่วคือมีแต่ความเกลียดชัง) ฉะนั้นอย่าเผลอมีนะ เมตตาต้องเมตตาไม่แบ่งแยก กับใครก็ต้องเมตตา ไม่ใช่เมตตาเฉพาะลูกหลานเรา (ความดีคือเป็นคนซื่อสัตย์และจริงใจ) ขอให้ซื่อสัตย์จริงใจไปทำอะไรก็เจริญ แต่ถ้าไม่ซื่อสัตย์ ไม่จริงใจอยู่กับใครก็ลำบาก
(ไม่โกหก) แล้วโกหกไหม (ตอนนี้ไม่โกหก) อย่างนั้นแสดงว่าที่แล้วมาเคยโกหก
(ค้าขายเราต้องซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ทำอะไรให้ซื่อตรง) อาจารย์จะบอกให้นะ ค้าขายซื่อสัตย์ ซื่อตรงแล้วต้องมีรอยยิ้มบนใบหน้าด้วยนะ คำพูดต้องอ่อนหวาน อีกอย่างขายของแล้วต้องแถมด้วย ต้องรู้จักคำนวณให้เป็น อยากขายดี ต้องคิดให้เป็น เงินมาไวไปไวยังดีกว่าหนืดแล้วเงินจะไม่มานะ
(ปลูกผักไม่ใส่ยาฆ่าแมลง,ค้าขายซื่อสัตย์ ไม่คดไม่โกง,ทำสิ่งที่ทำให้เขามีความสุข) ทำให้เขามีความสุข แต่ความสุขนั้นต้องมีหลัก มีจุดยืนของตัวเองด้วยนะ ไม่ใช่ทำให้คนอื่นมีความสุขแต่เราต้องโกหกใจตัวเองมันก็ไม่ดี
(มีเมตตา ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว, ค้าขายสุจริต หน้ายิ้ม, ทำดี ละชั่ว รักคนอื่น) รักคนอื่นยิ่งกว่าตัวเอง หรือรักตัวเองยิ่งกว่าคนอื่น (รักคนอื่นยิ่งกว่ารักตัวเอง)
ทำดีคืออะไร (ไม่เบียดเบียน) ไม่เบียดเบียนทางสายตา ไม่เบียดเบียนทางวาจา ไม่เบียดเบียนทางการกระทำ ไม่เบียดเบียนทางไหน (ไม่เบียดเบียนทุกอย่าง) ฉะนั้นถึงแม้จะพูดจริงแต่เบียดเบียนก็ไม่ดี ถึงแม้จะพูดดีแต่เบียดเบียนก็ไม่เอา
(มีความมุทิตากรุณาไม่ฆ่าสัตว์) มีความมุทิตา กรุณาไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ยุงกัด มดมา แมลงสาปมา งูมา เราอย่าไปฆ่ามันนะศิษย์ ชีวิตสัตว์เหล่านั้นมันก็น่าสงสารอยู่แล้ว
(รู้จักสำนึกคุณ) อาจารย์อยากให้ขยายนะ ให้รู้จักสำนึกคุณต่อทุกๆ คน ไม่มีเขาก็ไม่มีเรา ไม่เพียงแค่สำนึกคุณพ่อแม่เท่านั้น แต่ทุกคนล้วนมีคุณ คุณที่ทำให้เราได้เรียนรู้ ทำให้เราเข้าใจชีวิต
ตอบว่า (ช่วยเหลือสังคม) รู้จักสละเวลาช่วยเหลือผู้อื่น ตอบได้ดีนะ แต่อาจารย์จะบอกว่าเราสามารถทำดีได้ทุกวัน แค่ทุกวันเราทำงานกับผู้คน เรายอมเขาไหม เราให้เขาไหม หรือเรามีแต่เอาแล้วก็เอา ใช่ไหม (ใช่) ดีทุกวัน ทำดีคือใจเย็นๆ พูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล ใช่ไหม (ใช่) ทำดีคือมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำดีคือรักษาคำพูด พูดได้ต้องทำได้ ทำดีคือไม่มีใจคิดร้ายต่อใคร ใช่ไหม (ใช่) การรู้จักแบ่งปันก็เรียกว่าทำดี (ธรรมะเป็นทาน) แต่ทานก็ไม่ประเสริฐเท่าศีล ศีลก็ไม่ประเสริฐเท่าสมาธิ สมาธิคือความมั่นคง และสมาธิก็ไม่ประเสริฐเท่าปัญญาที่รู้แจ้ง เห็นในความจริง ฉะนั้นอย่ามีแค่ศีล ถ้าศีลยังไม่ครบ สมาธิยังหวั่นไหว ปัญญามันก็เลยไม่แจ่มชัด ใช่ไหม (ใช่) ตอบว่า (ทำดีรู้จักเมตตาแล้วให้อภัย) รู้จักเมตตาให้อภัย
ตอบว่า (ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ทำดีไม่หวังผล มีความเมตตา)
การทำบุญแค่ตั้งใจดีก็เป็นบุญกุศลแล้ว แต่ถ้าตั้งใจแล้วไม่ยึดติด ด้วยอันนี้ยิ่งสูงขึ้นไปใหญ่ แล้วไม่ต้องเอาไปนั่งสงสัยว่าพระจะเอาเงินทำบุญเราไปทำอะไร ทำแล้วทำเลยไม่ต้องคิด เพราะถ้าคิดแล้วจะกลายเป็นกิเลสมันกลายเป็นบุญที่อิงแอบไปด้วยกิเลส จะกลายเป็นบุญที่มีบาปเล็กๆ ฉะนั้นทำไปแล้วไม่ต้องคิด ก่อนทำก็ไม่คิด ระหว่างทำก็ไม่คิดก็ไม่ยึดติด ทำจบไปแล้วก็ไม่เอา นั่นแหละถึงจะเรียกว่าบุญอันบริสุทธิ์นะ ศิษย์รู้ไหมถ้าทำแล้วอดคิดเสียดาย บุญนั้นจะไม่สมบูรณ์ ถ้าทำแล้วยังอดระแวงสงสัย บุญนั้นจะกอปรไปด้วยบาปกรรม ฉะนั้นทำแล้วไม่ต้องคิด
(ใช้สตินำอารมณ์) เมื่อสตินำอารมณ์ได้จะก่อเกิดเป็นความสงบและจะบังเกิดปัญญาเห็นความจริงอันแจ่มแจ้ง แต่โดยส่วนใหญ่อารมณ์จะบังสติ เพราะเราเอาแต่คิด ใช่หรือไม่ (ใช่) สติจะดึงใจให้เรากลับมาสู่ความเป็นกลาง แต่เมื่อไรที่เราทำอะไรแล้วเราใช้ความคิด ความคิดง่ายที่จะไหลไปตามอารมณ์ ฉะนั้นเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นให้ใช้สติเยอะๆ
แค่ศิษย์ไม่ประพฤติผิด ไม่ประพฤติชั่ว ไม่ประพฤติผิดศีล นั่นเรียกว่าคนดีที่สุดแล้ว มนุษย์พยายามจะดีแต่ไม่ละชั่วจึงไม่อาจเรียกว่าดีแท้ ฉะนั้นศิษย์แค่ไม่ทำชั่วเลยดีที่สุด ไม่เคยโกหก ไม่เคยเบียดเบียน ไม่เคยด่าใครในใจ จริงใจตลอด ซื่อตรงตลอดนั้นดีที่สุด (ความอ่อนน้อมถ่อมตน) หยิ่งจองหองไม่มีวันดี แต่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ที่ไหนก็ดีขึ้น (ทำดีเพื่อพ่อแม่) แค่เราทำให้สมบูรณ์ในหน้าที่ตัวเอง และรู้จักหน้าที่ตัวเองพึงกระทำนั่นก็ถือว่าเราทำให้พ่อแม่แล้ว
มีความเข้มแข็งและกล้าหาญในใจด้วยนะ (คิดดีทำดีต่อหน้าและลับหลัง) อย่าลืมละชั่วด้วย คนส่วนใหญ่คิดดีทำดีแต่ไม่ละชั่วก็ยังไม่ได้ดีนะ (ทำดีคือการปฏิบัติต่อพ่อแม่ ทำชั่วคือไม่ตีไม่ดุด่าพ่อแม่) จิตที่สำนึกคุณเป็นจิตที่ประเสริฐ ตื่นมารู้จักขอบคุณทุกคน ถ้าเรารู้สึกขอบคุณทุกคนเราจะไม่ด่าใคร เราจะไม่เกลียดใคร จิตนี้เป็นจิตที่ดี ปลูกต้นธรรมนี้ให้เติบโตแล้วศิษย์จะไม่ทำร้ายใครเพราะศิษย์รู้สึกสำนึกคุณคนทุกคน และศิษย์จะไม่ทำลายสาธารณะประโยชน์เพราะทุกสิ่งล้วนมีคุณต่อเรา
ตอบว่า (ไม่ลักเล็กขโมยน้อย) แต่เคยแอบขโมยทางสายตาหรือไม่ เขาไม่ให้ดูแต่แอบดู (ไม่เคย) ตอบว่า (ให้ทาน) ทานยังเป็นระดับพื้นฐาน แต่ทานที่ประเสริฐที่สุด นอกจากสิ่งของคือให้ธรรมะเป็นทาน เขาโกรธมาแต่เราให้ธรรมะตอบ เขาโกงมาแต่เราซื่อตรงสุจริตตอบ คือให้ธรรมะเป็นทานที่ยิ่งใหญ่ ใช่หรือไม่ และเราทำได้ทุกที่ไม่จำเป็นจะต้องแค่ที่วัด ทุกที่ทุกคนทุกเวลาทำได้ อยู่ที่ว่าเราจะให้ธรรมะหรือให้อารมณ์ ให้ธรรมหรือให้กรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอบว่า (กตัญญูต่อพ่อแม่) ทำให้ได้ กตัญญูต่อท่าน คำว่ากตัญญูไม่ใช่แค่ปาก เคยนวดท่านไหม ถามไถ่ท่านไหม บ่อยไหม ทำทุกวันไหม ต้องทำให้ได้ทุกวันเป็นกิจลักษณะ แค่ทำตัวดีไม่ทำให้พ่อแม่รู้สึกเป็นห่วงนั่นก็กตัญญูแล้ว และทุกวันหมั่นโทรศัพท์หาท่านบ่อยๆ แค่นี้ท่านก็ปลื้มใจแล้ว ใช่หรือไม่ ดูแลท่านบ่อยๆ ทำได้ใช่ไหม แล้วก็ต้องรู้จักคุณคนด้วยนะ รู้จักคุณคนแล้วก็รู้คุณของโลกใบนี้ แล้วศิษย์จะเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม
ตอบว่า (ทำชั่วคือไม่ปฏิบัติตามธรรมะ ทำดีก็คือปฏิบัติตามธรรมะ) ตอบได้กว้างมากเลยนะ ทำชั่วก็คือปฏิบัติตามนิสัยกิเลสอารมณ์ ทำดีคือปฏิบัติตามธรรมชัดเจนกว่าไหม (ครับ)
ตอบว่า (การทำความดีที่บริบูรณ์และสมบูรณ์นั่นก็คือ การให้ทาน รักษาศีลให้ครบบริบูรณ์ และมีพรหมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) นั้นยังเป็นระดับศีล วันนี้เราศึกษาถึงขนาดที่ให้ศิษย์รู้จัก โดนกระทบแล้วปกติหรือไม่ จนเกิดความสงบและปัญญาเห็นแจ้ง (เพื่อให้เกิดการปล่อยวางในที่สุด) ที่จริงแล้วแล้วมันว่างแล้วไม่ต้องปล่อย ที่พยายามต้องปล่อยแปลว่าเราไปเผลอยึดมันไว้ ใช่หรือไม่ (ครับ)
มีใครตอบอาจารย์อีกไหม (ไม่ลืมบุญคุณของผู้มีพระคุณ) ทำให้ได้นะเพราะทุกคนในโลกล้วนมีคุณต่อเรา เขาด่าเราก็มีคุณ เขาโกงเราก็มีคุณ เขาไม่รักเราก็มีคุณ เพราะทำให้เรารู้ว่าเราต้องอยู่ให้ได้แม้วันหนึ่งเราไม่เหลือใคร ใช่หรือไม่ (ใช่ค่ะ) แต่เราต้องรักตัวเองให้เป็น ไม่ใช่รอให้มีแต่คนมารัก
กุศลกรรมคือ ทำแล้วไม่ยึดติดตัวตน ทำแล้วสามารถสละตัวตนได้ ทิ้งวางตัวตนได้นั่นคือกุศล สิ่งที่ศิษย์พูดขอให้เอาไปทำให้ได้จริง ไม่ใช่เพียงพูดดีแต่ทำไม่ได้นะศิษย์ ฉะนั้นอยากเป็นคนที่ศักดิ์สิทธิ์ พูดได้ต้องทำได้ แล้วเราก็จะศักดิ์สิทธิ์บนโลกใช่หรือไม่ (ใช่) ภพภูมิของมนุษย์ถูกกำหนดเมื่อเรายังมีชีวิต ถ้าเราเป็นคนพูดจริงทำจริงเราก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าเราพูดจริงแล้วทำได้ แล้วมีคุณธรรมเหนือชีวิตนั่นก็คือพระพุทธะ และถ้าเราเห็นแจ้งแจ่มชัดในหลักธรรม เราก็คือพ้นโลกพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
จำไว้นะศิษย์ อย่ามัวแต่มองเห็นว่าตัวเองทุกข์ อย่ามัวแต่มองเห็นว่าเขาทำให้เราเจ็บ ที่เขาระเบิดอารมณ์ด่าใส่เราเพราะเราเคยทำเขาเจ็บมาก่อน ฉะนั้นเวลาโดนคนด่าให้สะท้อนถามใจตัวเองว่า เป็นเพราะฉันทำเธอเจ็บ ใช่หรือไม่ ถ้าคิดได้แบบนี้เราจะไม่โกรธเขา แต่เราจะรู้สึกผิดและขอโทษเขาทันทีว่า “ขอโทษนะ ที่ทำให้เธอเจ็บใจจนระเบิดอารมณ์แล้วด่าฉันขนาดนี้ ขอโทษจริงๆ” ศิษย์จะแปรเปลี่ยนใจเขาได้ด้วยธรรมหล่อหลอมใจใช่ไหม (ใช่) แต่มันต้องกลั่นออกมาจากใจเรา ที่อยากให้เขาจริงๆ ฉะนั้นมีชีวิตอยู่เพื่อให้หรืออยู่เพื่อรับ อยู่เพื่อสละละวางหรือยึดมั่นไม่ปล่อยวาง ให้ถามใจตัวเอง
อาจารย์จะดีใจมากเลย ถ้าศิษย์ปฏิบัติธรรมจนลืมความเป็นตัวเป็นตนได้ เพราะเมื่อไรที่เราสามารถละวางตัวตน ทุกข์ก็จะไม่มีที่อยู่ ใจก็ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป เพราะเราเป็นธรรม เราเป็นหนึ่งเดียวกับธรรม จึงมีคำกล่าวว่า เมื่อใดที่มนุษย์ค้นพบหลักสัจธรรมและแจ่มแจ้งในหลักสัจธรรม มนุษย์จะเป็นอิสระจากกิเลส อารมณ์ และตัวตนทันที แล้วเมื่อนั้นศิษย์ก็จะบำเพ็ญธรรมพบธรรมใช่ไหม (ใช่) ตั้งใจบำเพ็ญไปให้ถึงที่สุด อย่าเดินครึ่งๆกลางๆ อย่าพ่ายแพ้เพราะความคิดตัวเองที่ไม่น่าเป็นเลยนะ
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก สามัคคีร่วมแรงร่วมใจกัน ให้อภัยกันถ้อยทีถ้อยอาศัย หนักนิดเบาหน่อยรู้จักยอมกัน ตั้งใจบำเพ็ญ ควบคุมอารมณ์ให้ได้ ใจเย็นๆ อย่ามัวแต่ห่วงอารมณ์ รักตัวเองมากเกินไป แต่ก็ต้องรู้จักรักผู้คนให้เป็น อย่าปล่อยให้ความรักทำร้ายตัวเอง ความยากลำบากไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่ไม่สู้ รักษาสุขภาพกันให้ดี ดูแลกายใจตัวเองให้ดีนะ
ไม่มีมงคลใดประเสริฐเท่ากับรู้จักคิด รู้จักพูดในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม รักษาความถูกต้องดีงาม รักษาบุญรักษาโอกาส หมั่นเพียรศึกษาธรรมนำพาชีวิตให้ถูกต้อง มุ่งมั่นทำให้ดี จิตใจดีรักษาไว้อย่าให้สูญหายไปจากใจ สิ่งที่ไม่ดีก็ชะล้าง รักษาความดีงามไว้ รู้จักควบคุมระมัดระวังอารมณ์ ธรรมมีอยู่ในใจ จงนำธรรมนั้นฉุดช่วยคน เลิกสิ่งที่ไม่ควรทำ แล้วเลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ขอให้ความมงคลและความดีงามจงอยู่ในใจศิษย์ทุกคน กล้าหาญในสิ่งที่ถูกต้อง
ศึกษาธรรมแล้วต้องปฏิบัติให้ได้ เข้าใจธรรม นำพาคนให้ดีด้วยหัวใจเมตตาและกล้าหาญนะ เข้มแข็งนะ ตั้งใจอุทิศเสียสละให้เต็มที่ สมกับที่ศิษย์มุ่งมั่นตั้งใจ สมกับสิ่งที่ศิษย์มีปณิธานไว้กับอาจารย์ แล้วเราจะได้เดินไปด้วยกันและกลับคืนสู่ธรรมพร้อมกันด้วยหัวใจที่สงบเย็น ทำให้ได้ไปให้ถึงที่สุดดั่งที่ศิษย์เคยมีปณิธานไว้ อย่าลืมปณิธาน รักษาปณิธานอันนั้นไว้ด้วยหัวใจ
สิ่งที่ต้องระมัดระวังมากที่สุดคือความคิดใช่ไหม รักษาใจของพุทธะด้วยตื่นรู้ อย่าหลงตามความคิด ศิษย์ของอาจารย์มุ่งมั่นให้ถึงที่สุดนะ อย่ายอมแพ้ต่อความยากลำบาก รักษาหัวใจอุทิศเสียสละให้ยิ่งใหญ่สมกับความตั้งใจ เสียสละได้แล้วเป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่ต้องละวางให้ได้คือความเป็นตัวตน มนุษย์มีสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความยึดมั่นถือมั่นที่เรียกว่าทิฐิและอารมณ์ ฉะนั้นเวลาทำอะไรต้องระมัดระวัง อยู่ให้ห่างทิฐิกับอารมณ์แต่ใช้ธรรมให้มากที่สุด มองอย่างคนเห็นธรรม อย่ามองอย่างคนที่เห็นแต่ทิฐิ เห็นแต่อารมณ์
สิ่งใดที่ดีแล้วให้รักษาไว้ ดูแลสุขภาพตัวเองด้วย มุ่งมั่นให้ถึงที่สุด แต่อย่าเป็นคนดื้อดึงดันทุรัง มีโอกาสคงได้กลับมาผูกบุญกับอาจารย์ มาร่วมศึกษาและร่วมเดินหนทางที่นำพาให้พ้นทุกข์นะ ดีไหม ไม่ว่าจะเรื่องอะไรจำไว้อย่างหนึ่ง เรายังมีอีกหนึ่งทางคือทางตรง ทางสายกลางที่เรียกว่าธรรม ธรรมที่เรายอมรับความเป็นจริง และปฏิบัติดีให้ถึงที่สุด ทำเพื่อธรรมไม่ใช่ทำเพื่อตัวตน แต่ทำเพื่อกลับคืนสู่ธรรมที่ไม่มีตัวตนให้ยึดถือและสร้างวัฏฏะ ลองพยายามคิดไตร่ตรองในสิ่งที่อาจารย์พูด เพื่อจะกระจ่างแจ้งในธรรมสักวันหนึ่งนะ ศิษย์เอย
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เดินตามธรรมะ”
จิตใจมีธรรมะ ไม่ร้อนวูบดั่งถูกไฟ ปัญญาเป็นตัวหาร ความทุกข์มีวันสลาย จิตบำเพ็ญ
มากพอ เชื่อมธรรมะที่ขาดหาย พบใดใดไม่เทียมเท่าค้นพบธรรม
โลกไม่อาจกระทบ คนบำเพ็ญใช้ธรรมสู่ธรรม ทางที่กรรมจะพ้นก็ใจตรงนี้
ทุกวันเมื่อธรรมไม่เคยแยกจาก พบคนมากคุมจิตใจไม่ง่าย