แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ถงซิน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ถงซิน แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

2562-05-04 สถานธรรมถงซิน อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี


西元二○一九年歲次己亥三月三十日                                      仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๒      สถานธรรมถงซิน อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่
  หยั่งรากลึกความดีงามให้สุดใจ        เมื่อก่อบาปก่อกรรมใดชดใช้หนา
อย่าผิดศีลขาดธรรมนำชีวา              รู้ยับยั้งกิเลสตัณหาไม่พลั้งไป
                            เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                    ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ

   ในความหวังคาดไม่ถึงปะปนอยู่       ตรงไหนเจ็บต้องรู้ตัดตรงนั้น
พูดความจริงจริงไม่จริงนั้นสำคัญ        ฟังเนื้อความไม่ต่อกันต้องระวัง
ระทมทุกข์ยึดมั่นไม่รอดสักคน           บีบฝืนทนเกินยิ่งปนทำลายล้าง
โลกธรรมสรรพสิ่งล้วนแล้วคือว่าง       ธรรมสว่างเคลื่อนไหวอยู่ไม่รู้มี
โลกธรรมผันแปรแค่ไหนไม่รู้             แม้ศัตรูต้องไม่ตั้งอยู่ใจนี้
เกิดทันทีเตือนใจมีเสื่อมทันที            อยู่โลกเป็นไปสลายที่สติตน
เห็นเป็นธรรมดาเมื่อไม่พร้อมทุกอย่าง   ใดจีรังใดสิ่งเที่ยงใดคงทน
อะไรหรือที่ควรโกรธนิ่วหน้าย่น         ชีวิตคนควรหรือใช้ให้หมดเปลือง
ต่างคนเมื่อต่างทุกข์ก็ต่างโทษ           ไร้ประโยชน์โทษมั่วจะมีแต่เรื่อง
โทษกันไปไยหนาถึงเนืองเนือง          พิเคราะห์เรื่องที่สุดไม่มีเรื่องอะไร
                                         ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่

เกิดเป็นคนไม่ว่าจะเกิดมาในสภาพไหน สิ่งที่สำคัญคือต้องรู้คุณค่าเเละความหมายของการมีชีวิต ถ้าเราไม่รู้คุณค่าและความหมายของชีวิต หมั่นแต่จะแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง แต่สูญเสียซึ่งจิตใจอันดีงามนั้นก็น่าเสียดาย หลายคนมีทรัพย์สิน มีเงินทองมากมาย เสื้อผ้าสวยงามแต่งตัวดี แต่หาคุณค่าความดีงามในจิตใจไม่ได้เลย เช่นนี้ก็เปล่าประโยชน์ แต่เราก็อดไม่ได้ที่จะชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้ว เราก็กลายเป็นคนที่เกลียดตัวเอง กลายเป็นอิจฉาริษยาคนอื่น กลายเป็นคนที่หาความสงบสุขในชีวิตไม่ได้ เกิดเป็นคนถ้ารู้จักคุณค่าและความหมายในการดำเนินชีวิตว่าคืออะไร เราก็คงไม่ทำผิดคิดร้าย เราก็คงไม่มีจิตใจที่ชั่วร้าย
ชีวิตที่เต็มไปด้วยความถูกต้องดีงามแต่ไม่สามารถที่จะรักษาเงินทองได้ กับชีวิตที่มีเงินทองมากมายแต่ไม่อาจรักษาความดีงาม ตัวเราเองเป็นแบบใด เราเห็นความดีมีค่ากว่าเงินทอง เราเห็นความถูกต้องมีค่ากว่าความอยากในใจใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเกิดเราพึงพอใจและรู้คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ เราจะเปรียบเทียบกับใครไหม (ไม่เปรียบเทียบ)  คนที่ชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ชิงชังคนอื่นหรือเกลียดตัวเอง นั่นแปลว่าเป็นคนที่ไม่เคยเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ มนุษย์จึงมีสองแบบ คือ ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง กับเชื่อมั่นในตัวเองสูงลิ่ว เมื่อไม่เชื่อมั่นก็ชอบเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่นๆ แล้วก็อยากเป็นอย่างคนนั้นคนนี้ พอเทียบไม่ได้ก็กลายเป็นอิจฉา พอเทียบมากๆ ก็กลายเป็นรังเกียจตัวเอง รำคาญความเป็นตัวของตัวเองแล้วก็กลายเป็นคนที่ไม่สามารถมีชีวิตที่สงบสุขได้
อีกประเภทหนึ่งคือเชื่อมั่นในตัวเองมาก การเชื่อมั่นในตัวเองก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเชื่อมั่นจนถึงขนาดไม่ตรวจสอบตัวเองว่ากลายเป็นคนดื้อดึงดันทุรังจนน่ารำคาญ มันก็ไม่ดีจริงไหม (จริง)  กับอีกอย่างหนึ่งคือ ยึดมั่นในความคิดของตัวเองว่าตัวเองถูกต้อง จนกลายเป็นคนยอมหักไม่ยอมงอ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมศึกษาธรรมจึงมิใช่มีไว้เพื่อใช้กับผู้อื่น หรือเอาไปตรวจสอบว่ากล่าวคนอื่น แต่การเรียนรู้ธรรมศึกษาธรรม มีไว้ใช้เพื่อมองตัวเองอย่างเข้าใจ เมื่อเราไม่ทุกข์ อยู่ที่ไหนก็ไม่ทุกข์ เมื่อเราครองชีวิตเป็น อยู่ที่ไหนเราก็รอด จริงไหม (จริง)  แม้ในภาวะที่สูญเสีย แม้ในภาวะที่จะต้องบกพร่อง เราก็เข้มแข็งและรู้คุณค่าตัวเองได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเราจะไม่ยอมเสียเวลาทั้งชีวิต ถ้าไม่เห็นว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำมีค่ามากกว่าชีวิต จริงไหม (จริง)  ทุกวันที่เราเสียเวลาไป ทิ้งชีวิตไป เพราะเราเห็นเงินมีค่ามากกว่าชีวิต ทั้งที่ตายไปก็เอาไปไม่ได้ จริงไหม (จริง)
เกิดเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนไว้ ย่อมได้ความรู้และมิตรทั่วสิบทิศ แต่ถ้าดื้อดึงดันทุรัง เราจะกลายเป็นคนที่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นมั่นใจเกินไปก็ไม่ดี ขาดความมั่นใจเลยก็ไม่ได้ คุณค่าของชีวิตไม่ใช่อยู่ที่จุดหมายปลายทาง แต่อยู่ที่ทุกย่างก้าวสามารถอยู่กับผู้อื่นได้อย่างสอดคล้อง และเต็มไปด้วยความสุขและความสำเร็จในแต่ละก้าว จริงไหม (จริง)  อย่ารอความสุขที่บั้นปลาย แต่จงมีความสุขในทุกขณะที่เราเข้าใจชีวิตตน และอยู่กับผู้คนได้อย่างสันติ อย่างนั้นมีค่ากว่า ดีกว่าตัวเองรอดแต่ทำให้คนอื่นแย่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ตั้งใจมาฟังธรรมะก็ควรรับธรรมะไป ไม่ใช่ฟังธรรมแต่ได้กิเลสไป ธรรมคือสิ่งที่บริสุทธิ์ สะอาด ใส กิเลสคือสิ่งที่ทำให้มัวหมอง ขุ่นใจคับข้องใจ ถ้าฟังแล้วสะอาดใสสบายใจก็แปลว่าพบธรรม แต่ถ้าฟังแล้วขุ่นมัวหนักใจ แปลว่าพบกิเลส ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ทุกคนล้วนมีความกลัวเป็นที่ตั้งในการดำเนินชีวิต กลัวเจ็บ กลัวพลัดพราก กลัวสูญเสีย ไม่อยากเจอการสูญเสีย ปรียบเทียบคือมนุษย์กลัวเคราะห์กรรม กลัวโชคร้าย เคราะห์กรรมไม่น่ากลัว เเต่สิ่งที่ควรกลัวคือใจของตัวเองที่หาเคราะห์กรรมมาใส่ตัว สิ่งที่น่ากลัวคือปากของเราเอง โรคภัยเข้าสู่ปาก พิษภัยก็ออกจากปาก ฉะนั้นขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครองมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  เราควรขอใคร (ขอตัวเอง) เเล้วเคยขอตัวเองไหม (ไม่เคย)  ควรขอตัวเองให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อย่าตกเป็นทาสของเหล่ากิเลสตัณหาที่ทำให้กลายเป็นคนประพฤติผิด ก่อบาปกรรม ทำให้หนีไม่พ้นต้องมารับเคราะห์กรรมเเละโชคร้าย ถ้าเมื่อใดที่มนุษย์ยอมตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา ความอยากได้ใคร่มีจนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี จนไม่รู้จักความละอายเกรงกลัวต่อบาป มนุษย์คนนั้นเเม้จะไหว้พระบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไร้ประโยชน์
คนทำสิ่งใดก็ย่อมได้รับสิ่งนั้นอย่างหลีกหนีไม่พ้น เมื่อมนุษย์เข้าใจเช่นนี้แล้ว ศาสนาจึงบังเกิด มนุษย์จึงพึ่งศาสนา ในศาสนานั้นประกอบไปด้วยธรรม ธรรมสอนให้เราตื่นรู้ในความจริง ถูกไหม (ถูก)  ถ้าพึ่งศาสนาโดยไม่สนใจธรรม มนุษย์ก็จะไม่มีวันพ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นเมื่อใดที่มนุษย์ตื่นรู้ในความเป็นจริง นั่นเรียกว่าทางพ้นทุกข์ ทางแห่งการปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรมก็คือศึกษาความจริงอันเป็นธรรมดาของชีวิต รู้จักตัวเอง รู้จักแจ่มแจ้งในความเป็นจริงแห่งชีวิต คือรู้จักปฏิบัติธรรม รู้จักทางพ้นทุกข์
ฉะนั้นการเห็นแจ้งความเป็นจริงแห่งชีวิต การประจักษ์ถ่องแท้ในชีวิตอย่างเห็นได้ชัด นั่นเรียกว่า “ธรรม” ธรรมสอนให้เราอยู่กับความจริงที่เป็นอยู่ที่เป็นไป แล้วถ้าเราศึกษาปฏิบัติธรรมแล้ว เราจะทุกข์อีกไหม (ไม่ทุกข์)  แปลกจริงหนอความชั่วก็ไม่ค่อยได้ทำ บาปกรรมก็ไม่ได้สร้าง แต่ไยฟังธรรมตั้งเยอะ ไม่เคยพ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)  ฟังธรรมตั้งเยอะแต่ไยไม่เข้าถึงธรรม เพราะอะไรหรือ
ยกตัวอย่างง่ายๆ มนุษย์ทุกคนอยากเข้าถึงธรรมเพราะอยากมีความสงบในจิตใจ อยากบริสุทธิ์ อยากสะอาด อยากร่มเย็น อย่างนั้นถ้ามีบ้านอยู่ติดลำคลองติดแม่น้ำ เรือผ่านมา ฟิ้วๆ สงบไหม (ไม่)  อยู่ติดแม่น้ำเป็นไปได้ไหมไม่มีเสียงเรือ (ไม่ได้)  อยู่ติดทะเลเป็นไปได้ไหมไม่มีเสียงคลื่น (ไม่ได้)  อยู่ติดแม่น้ำเป็นไปได้ไหมไม่ได้ยินเสียงลม (ไม่ได้)  มีน้ำก็ต้องมี (เรือ)  มีเรือก็ต้องมี (น้ำ, เสียง)  วนกันอยู่เท่านี้นะ มีเรือ มีน้ำ มีเสียง ก็หนีไม่พ้นต้องมีคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราต้องการเข้าใจธรรมก็จงจำไว้อีกอย่างหนึ่งว่า ปรารถนาความสงบอย่าลืมความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา มีน้ำก็ต้องมีเรือ  มีเรือก็ต้องมีเสียง มีเสียงก็ต้องมีคน ถูกไหม (ถูก)  มีบ้านติดแม่น้ำลำคลอง จะหนีเรือหนีเสียงหนีคนได้ไหม (ไม่ได้)  อย่าปรารถนาความสงบจนกลายเป็นใจที่ผิดปกติ ยอมรับไม่ได้ อยู่ติดแม่น้ำ แต่ไม่อยากได้ยินเสียงเรือ ผิดปกติไหม (ผิด)  ปรารถนาความสงบจนลืมความเป็นจริง ปรารถนาความสงบจนกลายเป็นจิตผิดปกติ แล้วเราเป็นไหม (เป็น)
มีเราคนเดียว เรียกว่าโลกไหม (ไม่ใช่)  ต้องมีหลายๆ คน จึงเรียกว่าโลก เมื่อมีคนก็มีโลก อย่างนั้นมีคนมีโลกแล้วมันเงียบหรือดัง (ดัง)  แล้วสงบหรือวุ่นวาย (วุ่นวาย)  สงบได้ ถ้าเรายอมรับความวุ่นวายว่ามันเป็นธรรมดาจริงไหม (จริง)  มีโลกก็มีคน มีคนก็มีเสียง มีเสียงแล้วจะมีแต่เสียงสงบเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)
อะไรเรียกว่าปฏิบัติธรรม อะไรเรียกว่าศึกษาธรรมเพื่อทางดับทุกข์ นั่นก็คือการยินดีเผชิญกับทุกสภาวะในโลกโดยไม่เลือกแต่สิ่งที่ตัวเองถูกใจและไม่หวังให้ทุกสิ่งต้องเป็นดังใจ นี่เรียกว่าหนทางแห่งการปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ ยากไหม (ไม่ยาก)  อยู่ที่ไหนเราก็สุขได้ สงบได้ มีไหมที่อยู่ในโลกแล้วมีการตำหนิต่อว่าแล้วไม่มีชื่นชม (ไม่มี)  แล้วเป็นไปได้ไหมว่าคนในโลกจะมีแต่คนดีไปหมด (ไม่มี)  ตัวเราเป็นไปได้ไหมมีดีโดยไม่มีชั่ว (ไม่ได้)  แล้วเป็นไปได้ไหมที่เราจะดีแล้วไม่ร้าย (ไม่ได้)  ยอมรับตัวเองได้ไหม (ได้)  แล้วทำไมยอมรับคนอื่นไม่ได้ เมื่อใดที่ยอมรับตัวเองได้แล้วยอมรับผู้อื่นไม่ได้นั่นแปลว่าเห็นแก่ตัว เพราะเห็นแต่ตัวเองอย่างเดียว
ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมที่กล่าวมายากเกินไปไหม (ไม่ยาก)  แล้วเคยปฏิบัติไหม ยินดีเผชิญกับทุกสภาวะในโลกโดยไม่เลือกสิ่งที่ตัวเองถูกใจและไม่หวังให้โลกต้องเป็นดั่งใจ ถ้าทำได้เช่นนี้อยู่ที่ไหนก็ไม่ทุกข์ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติธรรมได้เพราะยอมรับความเป็นจริงด้วยหัวใจสะอาดบริสุทธิ์ เพราะเมื่อใดที่เราไม่ยอมรับ สิ่งที่ตามมาคือกิเลส อัตตา ทิฐิ ความกลุ้มกังวล
จิตใจที่สงบร่มเย็น จิตใจที่สว่างไสว สะอาดนั้นมีอยู่ในใจท่านไหม จิตใจดีๆ มีอยู่แต่เหมือนมีอะไรมาบัง มีทิฐิอัตตาที่ไม่ยอมรับ ถามใจตัวเอง เวลาทำอะไร เราที่เลือกฟังใจส่วนไหนของเรา ลึกๆ เรารู้ว่าผิดบาปไหม ทำแล้วสบายใจไหม หลอกตัวเองว่ามีความสุขไปวันๆ แต่ใจก็ย้ำเตือนว่าผิดว่าไม่ดี จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วทำไมจึงไม่รู้จักพลิกใจตัวเอง พระเทวทัตเปลี่ยนใจยังกลายเป็นอรหันต์ได้ เราต้องกล้ายอมรับ เมื่อผิดว่าไปตามผิด ถูกว่าไปตามถูก จึงจะเรียกว่าพุทธะบนแดนโลกได้ ไม่ใช่ว่าเกิดเป็นคนแล้วอยากจะเอาดีอย่างเดียวสุขอย่างเดียว ทุกข์ไม่ได้ ฉะนั้นต้องพิจารณาให้ดี
สิ่งที่ทำให้เราไม่สามารถพ้นทุกข์ได้คือการยึดติดในความคิด เเละการยึดติดในหัวใจที่ชอบแบ่งแยก มนุษย์กลัวความเจ็บป่วย จึงคิดว่าการเจ็บป่วยเป็นสิ่งไม่ดี เเต่ถ้าเข้าใจว่าการเจ็บป่วยมีดีตรงไหน เราจะกลัวความเจ็บป่วยไหม (ไม่กลัว) เมื่อเจ็บป่วยอีกจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  อย่างนั้นการเจ็บป่วยมีดีไหม (ไม่ดี) อย่างนั้นไม่เจ็บเเต่ตายเลยดีไหม (ไม่ดี)  ความตายดีไหม (ไม่ดี)  ตกลงแล้วการเจ็บป่วยเเละการตายดีไหม เมื่อมนุษย์ยังไม่เห็นถ่องเเท้ในความเป็นจริง มนุษย์จะหนีไม่พ้นความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งความเจ็บทำให้รู้ว่าเรากำลังทำร้ายชีวิตจนลืมความแข็งแรง ความเจ็บทำให้รู้ว่าข้างในร่างกายมีสิ่งผิดปกติที่เรากำลังทำร้ายตัวเองอย่างไม่รู้ตัว ฉะนั้นเมื่อมีใครว่าเเล้วรู้สึกเจ็บก็ยังดีกว่าไม่รู้สึกอะไร
เรารู้เพื่อทุกข์หรือรู้เพื่อพ้นทุกข์ (รู้เพื่อพ้นทุกข์)  เรารู้เจ็บเพื่อพ้นเจ็บ เรารู้ทุกข์เพื่อพ้นทุกข์ เวลาใครมาด่าเรา เราจะเจ็บเพื่อพ้นทุกข์ หรือเราจะเจ็บแล้วเจ็บอีก ถ้าเข้าใจความหมายของความเจ็บ เราจะไม่กลัวเจ็บ เพราะความเจ็บสอนให้เราเข้มแข็ง และความเจ็บสอนให้เรารู้คุณค่าของการมีชีวิตที่ถูกต้อง ไม่ใช่มัวแต่หาเงินจนทำร้ายตัวเอง
ความเจ็บทำให้เรารู้จักมิตรแท้มิตรเทียม ความเจ็บทำให้เรารู้ว่าใครรักเราจริง และความเจ็บทำให้เรารู้คุณค่าของการมีชีวิตที่ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่รู้จักช่วยผู้อื่นที่โชคร้ายและเคราะห์กรรมยังมีอยู่
มนุษย์ไม่สามารถปล่อยความยึดติดในสิ่งที่ตัวเองชอบ และหวังให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างที่ตัวเองต้องการจึงกลายเป็นเคราะห์ร้ายเพราะใจเรายังยึดติด แบ่งแย่ง ไม่ยอมรับความจริง แล้วตัดสินว่าความเจ็บนั้นแย่ ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่แย่
สิ่งที่น่ากลัวคือมนุษย์ตกเป็นทาสกิเลสตัณหาจนลืมทำสิ่งที่ถูกต้อง อีกอย่างหนึ่งที่น่ากลัวก็คือ ความยึดมั่นถือมั่น แบ่งแยก ชอบตัดสินว่าอะไรดีอะไรร้ายจนไม่เปิดใจกว้าง ทำให้มองไม่เห็นความจริง เราเกลียดคนที่ด่าเรา เราโกรธคนที่ยืมเงินเราไปแล้วไม่คืน เราแค้นคนที่รักเราแล้วทำร้ายเรา แล้วเราตัดสินเขาว่าเขาเลวใช่ไหม (ใช่) เช่นนี้เราจะพ้นเคราะห์กับคนเลวในโลกนี้ไหม (ไม่พ้น) อย่างนั้นเราควรจะทำอย่างไร
คนที่ไม่ดีมีดีไหม (มีดี)  คนที่ร้ายๆ ยังมีมุมน่ารักไหม (มี)  ฉะนั้นที่เขาว่าเรา นั่นดีไหม (ดี)  บางทีเขาทำให้เราเห็นตัวเองชัดขึ้น ว่าเราจะมีเมตตาถึงที่สุดขนาดไหน เราจะมีขันติได้เยอะเพียงใด แล้วเราจะรู้จักให้อภัยและมีธรรมได้หรือไม่ ที่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมแต่ไม่กล้าเรียนรู้ความจริง เอาแต่ยึดติดในสิ่งที่คิด และตีกรอบตายตัวกับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ แม้ไม่ใช่เคราะห์ ก็กลายเป็นเคราะห์เพราะความคิด แต่คนที่ฉลาด ธรรมสอนให้เรารู้จักใช้ปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่แค่ปกติแล้วสงบเป็น แต่ปกติสงบแล้วต้องรู้จักมีปัญญาเห็นแจ้งจริง และนำสิ่งนั้นมาทำให้ตนเองพ้นทุกข์ ไม่ใช่จมในทุกข์ ถึงจะเรียกว่าปฏิบัติธรรม เห็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นใครว่าเรา ต่อไปนี้จะเกลียดไหม (ไม่)  จะทุกข์อีกไหม (ไม่ทุกข์)  จะขอบคุณไหม (ขอบคุณ) ส่วนใครที่ชมเรา จะขอบคุณหรือว่าเขาดี (ขอบคุณ)  อย่าติดคำชม เพราะคำชมจะทำให้เราไม่ยืนอยู่บนความจริง ถ้ารักจะปฏิบัติธรรม ต้องเลือกที่จะอยู่กับความจริงมากกว่าสิ่งที่ตัวเองยึดติดชอบชัง
การศึกษาธรรมคือการเรียนรู้ตนเข้าใจผู้คน คนทุกคนเหมือนกัน ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร คนอื่นก็ไม่ต่างกัน ฉะนั้นถ้าเราไม่ชอบ เราก็ไม่ควรทำกับผู้อื่น แต่เราทำอย่างนั้นไหม (ทำ)  เราทำบุญ สวดมนต์ ไหว้พระก็แล้ว แต่ทำไมไม่สิ้นทุกข์ เพราะสิ่งที่เป็นความทุกข์นั้นคือ การยึดติดความคิด อยากให้ทุกสิ่งเป็นอย่างที่เราชอบและหวัง แต่ธรรมสอนให้เรารู้ว่า จงกล้าเรียนรู้ที่จะยอมรับความเป็นจริง เมื่อไรที่เรายอมรับความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาของโลก เราก็คือผู้ที่ปฏิบัติธรรมและมีทางพ้นทุกข์ ถูกไหม (ถูก) ทุกคนมีดีก็มีร้าย แต่จิตใจที่มั่นคงในความถูกต้องดีงามต่างหาก ที่จะนำพาให้เราพ้นจากเภทภัยในโลกนี้ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่มนุษย์ยืนหยัดบนความถูกต้องหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่น่ากลัว บุญก็ทำ บาปก็ทำ ฉะนั้นจะบอกว่าทำดีไม่ได้ดีไม่ได้ ตราบใดที่เรายังไม่ละบาป จะบำเพ็ญบุญ ก็ต้องละบาปกรรมให้ได้ บำเพ็ญธรรมถ้าไร้ซึ่งความซื่อตรงในจิตใจ ก็หาเรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญที่แท้จริงไม่ ปฏิบัติธรรมถ้าขาดคุณงามความดีในจิตใจ แม้มือจะทำบุญ แม้กายจะช่วยคน แต่ถ้าใจคิดร้าย ก็ไม่อาจเรียกว่าผู้บำเพ็ญธรรมได้ ฉะนั้นจงรักษากายใจให้ถูกต้องและดีงาม
ศึกษาธรรมคือศึกษาตัวเอง เข้าใจธรรมเพื่อเข้าใจความเป็นจริงแห่งตัวเอง เพราะมนุษย์มีธรรมชาติแห่งความเป็นคนอยู่ เข้าใจธรรมชาติในตัวตน ก็เข้าใจธรรมชาติในทุกสิ่ง ถ้าไม่เข้าใจธรรมชาติในคน ก็จะไม่มีวันเข้าใจความเป็นคนในโลกได้ จริงไหม (จริง)  ย้อนมองตัวเอง ผ่อนปรนผู้อื่น ตรวจสอบเข้มงวดตัวเอง ให้อภัยให้โอกาสผ่อนปรนผู้อื่น จึงเรียกว่าการปฏิบัติธรรม อย่าขาวเพียงภายนอก อย่าขาวเพียงอาภรณ์สวมใส่ แต่ไร้ซึ่งความขาวและซื่อตรงในจิตใจ ไม่เช่นนั้นบำเพ็ญไปแล้วก็น่าละอายใจ หาคุณค่าที่แท้จริงไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ดั่งที่เราพูดตั้งแต่ต้น ถ้าเรารู้คุณค่าของตัวเอง ไม่ว่าจะเจออะไร ไม่ว่าจะสูญเสียอะไร เราก็จะไม่ทุกข์ เพราะทำดีที่สุดแล้ว จริงไหม (จริง)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก

วันอาทิตย์ที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๒   สถานธรรมถงซิน อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
    ศิษย์รักต้องการจะเห็นตนเป็นอย่างไร จงขวนขวายตามเรี่ยวแรงตามสิ่งที่มี กล้ายอมรับตัวเอง สร้างใจได้สติ บำเพ็ญได้แบบนี้ดีทุกวัน
    คนละวิธีบางทีก็หัดเปิดใจ แบบรู้วิธีไม่มีธรรมก็ยากนาน อะไรไร้ซึ่งธรรมสุดท้ายล้วนทางตัน ช่วยกันฟังเสียงหัวใจ
                            เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า               รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่พุทธสถานถงซิน น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนน่ารักไหมหนอ

  ความจริงไม่มีไปมาติดพะวง                 โลภโกรธหลงสมมติยึดมั่นหวั่นไหว
คนหลงมายาปัญญาหมดไปจากใจ         รู้ว่าหลงอย่าไปเพิ่มกิเลสเดิม
ทุกทุกสิ่งที่เห็นที่เป็นเรา                          เหมือนไม่เป็นกับเราก่อนจะเริ่ม
สิ่งที่เป็นไม่อาจเห็นนิสัยเดิม             บำเพ็ญเพียรทุกอย่างเพิ่มจะเปลี่ยนแปลง
เข้าธรรมเข้าใจที่จริงคือปฏิบัติ                ข้อจำกัดแต่ไหนแค่เมฆบังแสง
ใดใดเปลี่ยนไปเสมออย่าคลางแคลง     จันทร์เว้าแหว่งพร้อมเป็นจันทร์เต็มดวง
                                                                                   
                                           ฮา ฮา หยุด

* ศึกษาวิธีเพื่อบำเพ็ญที่จิตใจ รู้ทุกๆ อย่างดี ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับตน เริ่มตรงนี้นั่นแหละ เริ่มตรงนั้นนั่นแหละ ไม่รู้ก็จะรู้ได้ด้วยใจ
* * กี่ร้อยวิธี การบำเพ็ญเข้าสู่ใจ มองหาอะไรในทุกอย่างไม่เห็นมี ชีวิตนั้นยิ่งใหญ่ เช่นความจริงยิ่งใหญ่ ไม่ทุกข์บ้างเป็นได้อย่างไร
# ที่ศิษย์คิดมีเป็นล้าน ยังไม่พบว่ามีสุขจริงในตอนนี้ ครองปัญญากี่นาที  ให้นึกดูให้ดี ที่มีอันตรธานไปไหน
ก้าวง่ายง่ายในที่นี้ จะสุขทุกข์ร้ายดี ก็มีหนึ่งความหมาย ฝึกบำเพ็ญเป็นสวรรค์ คืนวันสงบใจ พรุ่งนี้แม้ไม่ได้ทุกอย่าง ไม่ทุกข์ใจอะไร 
ศิษย์รักต้องการจะเห็นตนเป็นอย่างไร จงขวนขวายตามเรี่ยวแรง ตามสิ่งที่มี กล้ายอมรับตัวเอง สร้างใจได้สติ บำเพ็ญได้แบบนี้ดีทุกวัน 
คนละวิธี บางทีก็หัดเปิดใจ แบบรู้วิธีไม่มีธรรมก็ยากนาน อะไรไร้ซึ่งธรรม สุดท้ายล้วนทางตัน ช่วยกันฟังเสียงหัวใจ
  
ทำนองเพลง : ยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอ
ชื่อเพลง : จบที่การบำเพ็ญ

หมายเหตุ : เนื้อเพลงสี่ย่อหน้าแรกพระอาจารย์เมตตาประทานให้ที่ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน สองย่อหน้าสุดท้ายประทานให้ที่สถานธรรมถงซิน

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
บุญไม่ได้อยู่ที่อาจารย์นะ บุญบาปอยู่ที่คนคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามีคนจะยื่นบุญให้ศิษย์ แต่ศิษย์คิดว่าเขาต้องการอะไรหรือเปล่า หวังอะไรหรือเปล่า อย่างนี้เรียกบุญไหม (ไม่)  บุญบาปไม่ได้อยู่ที่คนอื่นเขาให้ แต่ว่าบุญบาปอยู่ที่การวางใจของเราเมื่อเผชิญเรื่องราวอะไรในโลกต่างหาก ถูกหรือไม่ (ถูก)
หลายคนบอกอาจารย์ว่า ไม่มีเวลาบำเพ็ญ จะเอาเวลาที่ไหนไปบำเพ็ญ ใช่ไหม (ใช่) เวลาของคนเราสั้นหรือยาวอยู่ที่ (ใจเรา)  เวลาจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับใจ อย่างนั้นจะมีเวลาบำเพ็ญหรือไม่มีเวลาบำเพ็ญก็อยู่ที่ (ใจเรา)  ถ้าบอกอาจารย์ว่าไม่มีเวลาเเสดงว่าเราไม่มีใจ ถ้าคนมีใจเป็นอย่างไรก็มาบำเพ็ญ เวลาที่นั่งฟังธรรมอยู่ตอนนี้ช้าหรือเร็ว จะเร็วหรือช้าอยู่ที่ใจ ถ้ารู้สึกชอบก็จะรู้สึกว่าเวลาเดินเร็วจริงๆ ถ้ารู้สึกไม่ชอบก็จะรู้สึกว่าเวลาเดินช้า เเล้วตอนนี้ที่นั่งฟังธรรมอยู่ เวลาผ่านไปช้าหรือเร็ว (เร็ว)  จะมีเวลาหรือไม่มีเวลาต้องถามว่ามีใจหรือไม่มีใจ ถ้ามีใจอย่างไรก็มีเวลา เเต่ถ้าหมดใจอย่างไรก็ไม่มีเวลา
เราต้องเข้าใจสิ่งที่เราจะบำเพ็ญก่อน จึงจะบำเพ็ญได้ ถ้าไม่เข้าใจเราก็บำเพ็ญไม่ได้ แล้วเราบำเพ็ญเป็นแบบไหน ถ้าจะฝึกฝนบำเพ็ญสิ่งที่เราต้องเริ่มทำง่ายๆ ก็คือละบาป เมื่อใดที่เราละบาปนั่นก็คือเราก็ได้บำเพ็ญบุญ แต่มนุษย์โดยส่วนใหญ่บำเพ็ญบุญแต่ไม่ละ (บาป)  จึงกลายเป็นเหมือนคนที่วันนี้ใส่บาตรแต่วันพรุ่งนี้ไปด่าคน ตอนนี้อยู่วัดเป็นคนดีนั่งสมาธิหลับตาทำใจสงบได้ แต่พอออกนอกวัดเท่านั้นจิตกระเจิดกระเจิง อย่างนี้ถือว่าถูกไหม (ไม่ถูก)  ละบาปได้เมื่อไรก็บำเพ็ญบุญได้เมื่อนั้น แต่ถ้าบาปยังละไม่ได้ ทำบุญไปเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์ หรือมีประโยชน์ก็น้อยมาก
เวลาเราให้ทานหรือทำบุญให้พระ จุดประสงค์หลักของการทำบุญก็เพื่อสละการยึดติด เพื่อสละการเว้าวอนขอ การยึดติดตัวเอง แต่เวลาเราสละไปแล้วเราขอไหม (ขอ, ไม่ขอ)  ตกลงว่าเราสร้างบุญเพื่อสละหรือสร้างบุญเพื่อกรรมหย่อนไปสิบบาทแต่หวังปลาตัวโต ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้เหมือนค้าขาย ไม่เหมือนทำบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราให้ทานคนอื่น เราให้เพราะเราอยากให้เขาใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราขอทำไม เราว่าคนขอทานน่าเกลียด แต่เวลาเราให้ทานแล้วเราขอไหม (ขอ, ไม่ขอ)  แต่ที่อาจารย์ได้ยินมานั้นขอทุกคนเลยนะ จริงไหม (จริง)  ให้ไปร้อยบาทขอเป็นพันบาท ค้ากำไรเกินควรนะ ถูกไหม เริ่มต้นมันก็ผิดแล้วจริงไหม (จริง)  การทำบุญก็เพื่อละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ละกิเลสความโลภโกรธหลงให้ออกไปจากใจ แต่ถ้าทำบุญแล้วยังยึด ยังโลภ ยังหลง อย่างนี้ก็ไม่ใช่การทำบุญที่ถูกต้อง ไม่ใช่การทำบุญที่สะอาด เพราะบุญนั้นยังแอบแฝงไปด้วย (กิเลส)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอยากจะทำบุญ อยากจะเริ่มต้นบำเพ็ญ ต้องถามก่อนว่าละบาปหรือยัง ละบาปได้ก็บำเพ็ญบุญ อาจารย์บอกวิธีเริ่มต้นง่ายๆ ในการฝึกฝนบำเพ็ญธรรม อย่างแรกไม่ต้องพยายามเป็นคนดี แต่พยายามไม่ทำชั่ว ไม่ทำผิด ดีไหมคนหนึ่งไม่เคยอวดตัวเองเลยว่าดี แต่บอกว่ายังไม่ดี จะพยายามแก้ให้ดี น่ารักไหม (น่ารัก)  แต่บางคนบอกว่าฉันดีๆ น่ารักไหม (ไม่น่ารัก)  เราเป็นแบบไหน (แบบไม่ดีแต่พยายามแก้)
คนน่ารัก ทำตัวน่ารัก อยู่ที่ไหนใครก็รัก จริงไหม (จริง)  แล้วเราทำตัวน่ารักหรือน่าเกลียด ที่ทำทุกวันนี้อาจารย์ว่าน่าเกลียดมากกว่าน่ารักอีก รู้ว่าทำแบบนี้ไม่ดีก็ยังทำ ฉันจะทำเพราะโมโห แต่พอถึงเวลาเขาไม่รักเรา เรากลับวิ่งตามไปหาเขา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราไม่รู้ว่าเขาจะอยู่กับเรายาวนานหรือไม่ ทำไมไม่ทำให้ดีที่สุด รักที่สุด แล้ววันหนึ่งที่เราหรือเขาจากไป หรือเขาไปมีใคร อย่างน้อยเขาก็มีคนดีๆ ที่ยังอยู่ในใจ แม้เขาจะหมดรักเราไปแล้วก็ตาม จริงไหม (จริง)  และอย่างน้อยเราก็ทำเต็มที่แล้ว ใช่หรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาทำหน้ายิ้มให้นักเรียนในชั้นดู)
ถ้าทำหน้าแบบนี้จะมีใครรักไหม ก็ไม่รู้จักกันจะยิ้มให้ทำไม เดี๋ยวจะหาว่าเราบ้า แต่บ้าแล้วทำให้คนมีความสุขก็จงยิ้มไป
บางทีปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนเราก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้วสุขในโลกไม่ใช่เรื่องที่ยาก แต่มันอยู่ที่ว่าเราจะปล่อยวางอัตตาทิฐิตัวตนแล้วได้มาซึ่งความสุขและความยินดีของคนหรือเปล่า
จะพูดจะทำ ขอให้คิดให้ดี เพราะถ้าคิดได้ดี คิดได้ถูก การพูดของเราก็เป็นการสร้างบุญ แต่ถ้าพูดไม่ดี พูดไม่คิด การพูดของเราก็เป็นการก่อบาป และทำร้ายตัวเองให้ทุกข์ ฉะนั้นอย่าบอกว่าไม่มีเวลา เมื่อไรต้องพูด เมื่อไรต้องทำ เมื่อนั้นยังมีเวลาปฏิบัติธรรม อย่างไรที่เรียกว่า เราจะได้บำเพ็ญด้วย สมมุติว่าอาจารย์ไปขโมยผลไม้ลูกหนึ่งมาจากคนที่มีโชควาสนาดี แล้วเอามาให้ศิษย์ผู้โชควาสนาไม่ค่อยดี กินแล้วจะโชคดีนะ เอาไหม (ไม่เอา)  ร่วมกันรับทุกข์รับสุขพร้อมกัน อาจารย์กินครึ่งหนึ่ง ศิษย์กินอีกครึ่งหนึ่งเอาไหม (ไม่เอา)  ทำไมไม่เอา อาจารย์กินเยอะกว่าศิษย์แต่ศิษย์เอาไปแค่เสี้ยวเดียวก็พอ อาจารย์ผิดเยอะกว่า (ยังบาปอยู่)  แล้วบาปนี้ไม่เป็นไรนะเพราะไม่มีใครเห็น เรารู้กันอยู่สองคน (ฟ้าดินก็เห็น)
ศิษย์เอ๋ยแค่ศิษย์คิดได้อย่างนี้ ศีลศิษย์ก็มีครบ สมาธิศิษย์ก็มีครบ ปัญญาศิษย์ก็ได้ นี่ถึงเรียกว่าบำเพ็ญ ชั่วขณะที่จะทำหรือไม่ทำ ศิษย์คิดก่อนว่านั่นถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ผิดศีลหรือขาดศีล ถ้าผิดศีลหรือขาดศีลแล้วไม่ทำ แต่เขายังคะยั้นคะยอให้ทำอีก แต่ศิษย์ยังไม่ทำ เราได้รับมาเราก็ทุกข์ คนที่สูญเสียไปเขาก็ทุกข์ เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ไม่อยากทำเลย ถ้ามีโอกาสที่เราจะได้แต่เราคำนึงถึงศีลธรรม คำนึงถึงความถูกต้อง และหยัดยืนในความถูกต้องว่าไม่ทำ แล้วสามารถกระจ่างว่าเพราะอะไรไม่ทำ เพราะว่าไม่อยากบาป ไม่อยากมีกรรม ไม่อยากสร้างกรรมกับใคร นั่นถึงเรียกว่าศีล คือความปกติ สมาธิคือความมั่นคงในความดีงาม ปัญญาที่เห็นแจ้งชัดว่า ทำไปแล้วจะเป็นทุกข์ มีโทษ แค่นี้ เรียก บำเพ็ญแล้ว แค่นี้เรียกไม่สร้างกรรมเพิ่มแล้ว ถูกไหม (ถูก)  ถ้าอยากได้ก็จะกลายเป็นกิเลส กิเลสนำมาซึ่งความทุกข์ ทุกข์นำมาซึ่งกรรม กรรมนำมาซึ่งวิบาก วิบากกรรมที่เราหนีไม่พ้น เเละวิบากกรรมที่หนีไม่พ้นนี้ยังกลายเป็นวัฏฏะกรรมที่เราต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดกลับไปชดใช้ ถ้าเขากินสิ่งนั้นเเล้วเขาหายป่วย เเต่เรากลับขโมยของเขามา ทำให้เขาต้องตาย ก็กลายเป็นเราทำบาปไปทั้งชีวิตโดยไม่รู้ตัว เพราะความอยากของเราเอง ถ้าทำแบบนั้นไม่เรียกว่าการบำเพ็ญเเต่เป็นการสร้างกรรมต่อ เหมือนที่มนุษย์เกิดมาพร้อมกรรมดีกรรมชั่ว เรากำลังชดใช้กรรม เพื่อจะได้หมดเวรหมดกรรม ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับทุกขณะที่เรากระทำ
ถ้าความอยากอย่างหนึ่งได้มาอย่างไม่ถูกต้อง เเล้วเรายืนหยัดความถูกต้องด้วยการไม่เอา อีกทั้งมุ่งมั่นว่าจะไม่เอาอย่างมีเหตุผล เเละสามารถอธิบายให้คนที่ยัดเยียดให้เราเข้าใจชัดเจนจนเขาไม่ทำผิดได้ จะเป็นการสร้างบุญต่อถูกไหม (ถูก)  สมมติว่าฆ่าหมูเเล้วนำเนื้อไปให้ศิษย์ทำบุญจะเอาไหม (ไม่เอา)  ไม่เอาหรือ ในเมื่ออาจารย์อยากทำบุญ (ไม่เอา เป็นบาป) ช่วยเเปรบาปให้เป็นบุญหน่อยได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราทำไหม (ไม่ทำ)
เบียดเบียนชีวิตคนอื่นเพื่อชีวิตตัวเองแล้วไปทำบุญ โกหกคนอื่นแล้วค้าขายจะได้ร่ำรวยแล้วจะได้เอาไปทำบุญ ปิดบังคนอื่น ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตแล้วก็จะได้เอาไปทำบุญ ให้หนูรวยก่อนนะอาจารย์แล้วหนูจะไปทำบุญ โดยไม่สนใจวิธีการว่าถูกต้องมีศีลมีธรรมหรือเปล่า อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นทุกขณะที่ศิษย์จะคิดจะทำจะพูด หรือจะอยากอะไรก็ตาม ถ้าทุกขณะคิดดูก่อนว่าถูกศีลธรรมไหม ถ้าหากไม่ถูกต้อง ยังหยัดยืนมั่นคง ก็แปลว่าเรามีศีลแล้วยังมีสมาธิ และยังเห็นแจ้งว่าการได้มานั้นไม่ถูกต้องและมีผลอย่างไร ก็ก่อเกิดปัญญา เราเริ่มต้นปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยาก อย่างน้อยเราก็ละบาปก่อนเพื่อบำเพ็ญ (บุญ)  บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้ (บริสุทธิ์) แล้วเมื่อมีบุญแล้วยังกอปรไปด้วยศีลธรรม ศีลธรรมนำมาซึ่งความสงบและความปกติในการอยู่ร่วมกับผู้คน คนส่วนใหญ่ชอบคนเมตตาหรือชอบคนใจร้าย (เมตตา)  ชอบคนเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวหรือรู้จักเสียสละอุทิศ มีน้ำใจ (เสียสละ)
ถ้าอาจารย์บอกว่าใจร้ายก่อนแล้วอาจารย์ค่อยเมตตาได้ไหม ตบหัวแล้วค่อยลูบหลังดีไหมดุไปก่อนเดี๋ยวพอสำนึกได้ค่อยดีกับเขาทีหลัง ได้ไหม คนบางคนนั้นที่ดีก็ส่วนดี แต่ส่วนไม่ดีเขาก็ด่าเราไม่เหลือเหมือนกัน จริงไหม เจ้านายคนนี้เป็นอย่างไร เวลาเขาด่าก็ด่าไม่เหลือพ่อเหลือแม่เลย แต่เวลาเขาดีก็ดีใจหายเลย แล้วอย่างนี้เรียกว่าดีไหมศิษย์
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากจะบำเพ็ญ ศิษย์ต้องละบาปให้ได้ แล้วคนที่เขางามจริงๆ คนที่เขาเย็นจริงๆ ไม่ต้องตอบอะไร ไม่ต้องให้อะไร แต่ว่าพยายามแค่เป็นคนดี ไม่เอาเปรียบเขา ไม่กดขี่เขา มีเมตตาเขา ให้เกียรติเคารพเขา มันดีที่สุดแล้วใช่ไหม (ใช่)  หากศิษย์อยากให้ใครรักเราจนไม่คดโกงนั้น ศิษย์ก็ต้องให้ใจเขาไปเต็มๆ รักเขาเต็มๆ มีหรือเขาจะไม่รักตอบ นอกจากว่าศิษย์ไปสร้างกรรมมาก่อน เคยหลอกลวงใครถึงต้องได้เจอคนแบบนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าไม่อยากมีกรรมเราก็สร้างกรรมที่ถูกต้อง ดีไหม (ดี)
บุญคือ เครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ เเต่การดำเนินชีวิตเรา ต้องอยู่ร่วมกับคน ฉะนั้นศีลธรรมคือการปฏิบัติเพื่อความสงบสุขในการอยู่ร่วมกับผู้คน ฉะนั้นจะมีแต่บุญแต่ไม่มีศีลธรรมไม่ได้ เพราะบุญนั้นรักษาเราให้สะอาด แต่เวลาเราอยู่กับผู้คน แม้ใจเราสะอาดแต่ปากเราด่าคนเก่ง ได้ไหม (ไม่ได้)  มนุษย์ทุกคนยังต้องการความเมตตา ความเคารพ ความซื่อตรง ความให้เกียรติ เมื่ออยากละบาปบำเพ็ญบุญ มีบุญแล้วอย่าขาดศีลธรรม เพราะศีลธรรมนำมาซึ่งความปกติสุขในการอยู่ร่วมกัน พอเข้าใจนะ (เข้าใจ) การบำเพ็ญยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นทุกครั้งที่เราจะทำอะไร อ้าปากพูด หรืออยากอะไร ก็ลองถามใจตัวเองก่อน ทำด้วยเมตตาไหม ทำถูกต้องศีลธรรมหรือไม่ แต่ส่วนใหญ่ทุกคนมักถือศีลไม่ครบ อย่างนั้นเรามาดูคุณค่าของศีลหน่อยไหมว่าถ้าถือครบ แล้วถือได้แต่ละข้อมีดีอะไร
ศีลข้อหนึ่ง ไม่ฆ่าสัตว์ หรือไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่นเพื่อชีวิตเรา คนที่ไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่นทั้งกายวาจาใจ จะเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงทั้งกายใจ และมีอายุมั่นขวัญยืน ไม่เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ฉะนั้น ถ้าอยากมีสุขภาพที่ดี อายุยืนไม่มีโรคภัย อย่าเบียดเบียนทำร้ายชีวิตคนอื่นเพื่อชีวิตตัวเอง ถ้าเราเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ก็ต้องถามว่าเราเคยไปเบียดเบียดใครไหม
ศีลข้อสอง ไม่ลักทรัพย์ โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนไม่คิดอยากจะได้ของคนอื่นมาเป็นของเรา ใช่ไหม (ใช่)  ทำงานก็เพราะอยากได้เงินเขามาเป็นเงินเราไม่ใช่หรือ (ใช่)  อย่างนั้นก็คืออยากนั่นเอง เราอยากได้เงินแต่เราทำด้วยหน้าที่ซื่อตรง เงินนั้นเราก็สมควรได้รับ จริงไหม (จริง)  แต่ทุกวันเราทำงานไปอย่างนั้น ลาพักร้อนเยอะๆ พ่อแม่ป่วยเยอะๆ แล้วเราก็จะได้เงินมาก แต่ทำงานน้อยๆ ใช่ไหม (ใช่)  การอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของเรา ทำให้เราได้อะไรมาก็จะรักษาไม่ค่อยอยู่ หรืออยากได้อะไรก็จะมีคนอยากได้ของเราเสมอ แต่ถ้าทุกครั้งที่เราอยาก เราทำสิ่งที่ดีที่สุด ได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร จะกลายเป็นกิเลสไหม จะกลายเป็นความโลภ โกรธ หลงไหม (ไม่)
เมื่อเราไม่คิดอยากได้เงินของคนอื่นมาเป็นเงินของเรา เราก็เป็นคนที่แม้มีทรัพย์ ทรัพย์นั้นก็อยู่กับเรา เราจะไม่ถูกคนคิดคดโกง ไม่มีวันที่สูญเสียทรัพย์โดยเราไม่คาดคิด รักษาศีลได้สองข้อเเล้วดีไหม (ดี)  แล้วอีกสามข้อที่เหลือถ้ารักษาได้จะดีไหม (ดี)  ที่ไม่ดีเพราะว่าอะไร (ไม่รักษาศีล)  ที่บอกว่าชีวิตเจอเรื่องไม่ดี เจอเเต่เรื่องทุกข์ก็ต้องกลับมาถามตัวเองว่าตัวเรามีศีลครบไหม
ศีลข้อสามคือ (ไม่ประพฤติผิดในกาม)  อยากได้คนรักที่รักเราจริงไหม (อยากได้)  อยากได้คนซื่อตรงไหม (อยากได้)  อยากได้เพื่อนที่ซื่อตรงจริงใจกับเราไหม (อยากได้)  เเล้วเราซื่อตรงไหม (ไม่)  มีกิ๊กไหม แอบดูสิ่งที่ไม่ควรดูไหม แอบปันใจไหม ฉะนั้นอย่าโหยหาว่ารักเเท้อยู่ที่ใดโดยที่ตัวเองยังไม่เคยมีรักเเท้ในใจตัวเอง ถึงเเม้ตอนนี้มีคนรักเเม้จะไม่เเท้แต่ต่อไปฉันก็จะเป็นรักเเท้ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ไม่เคยเห็นใครรักเเท้จริงๆ ฉันรักสามีเเต่เมื่อเห็นคนอื่นก็คิดว่าเขาหล่อ ถ้าเราไม่ประพฤติผิดเเละมีความซื่อตรง เมื่อทำอะไรเราก็จะได้คนที่ซื่อสัตย์จริงใจ ชีวิตที่เราทุกข์เพราะเราเจอคนไม่ซื่อสัตย์ ดังนั้นย้อนกลับมาถามตัวเองว่าเราซื่อสัตย์จริงใจกับคนอื่นไหม ชีวิตเราทุกข์เจ็บป่วยก็ต้องกลับมาถามตัวเองว่าเราไปเบียดเบียนใครหรือทำร้ายใครให้เจ็บปวดไหม เวลาเราทำอะไรจึงเกิดความสูญเสียสูญหายก็ต้องกลับมาถามตัวเองว่า เราอยากได้ของของคนอื่นจนลืมรักษาความถูกต้องหรือไม่
ศีลข้อสี่ ไม่พูดโกหก อาจารย์ว่าทำง่ายที่สุด แต่ศิษย์ของอาจารย์ก็ทำไม่ได้มากที่สุด พูดอย่างทำ (อย่าง) ปากว่า (ตาขยิบ) ปากหวาน (ก้นเปรี้ยว) แล้วศิษย์รู้ไหมคำว่าศักดิ์สิทธิ์ คืออะไร พูดได้ ทำได้ ทำได้อย่างที่พูดเรียกว่า ศักดิ์สิทธิ์ พูดคำไหนเป็นคำนั้น มีแต่คนเชื่อถือ กล้าพูดก็ต้องกล้ารับผิดชอบ น่ารักไหม (น่ารัก)  อยากเป็นคนที่ศักดิ์สิทธิ์ อยากไปอยู่ที่ไหนคนก็มีแต่คนเชื่อถือ เคยไหม ที่เราไปพูดแล้วทำให้วงแตก พอเราเข้ากลุ่มแค่นั้นวงแตก ไม่มีใครอยากฟังเรา เพราะอะไร เพราะว่าพูดแล้วไม่น่าเชื่อถือ ใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเกิดว่าเรายังไม่ทันได้อ้าปากคนก็มานั่งรอแล้ว วันนี้อยากพูดอะไรให้ฟัง วันนี้อยากอยู่ด้วยเพราะอยู่ด้วยแล้วอบอุ่น ร่มเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ศีลข้อห้า ไม่ดื่มสุรายาเมา ไหนใครไม่ดื่ม เหล้าไม่กิน เบียร์ไม่ดื่ม ไวน์ไม่จิบ ไม่กินเหล้าแต่กินเบียร์ ไม่กินเบียร์แต่กินไวน์ บางคนไม่ว่าทำอะไรทำไมปัญญาเขาคิดได้เสมอ แต่เวลาเราทำอะไรก็ดูมืดมนมองไม่เห็นทาง อยากมีปัญญาดีต้องห่างจากสุรา อบายมุขทั้งมวล นี่คือข้อดีของการมีศีล คนที่มีศีลครบคือความปกติ คือความร่มเย็น คือความสงบสุขของชีวิต คนๆ หนึ่งถ้าปฏิบัติได้ครบชีวิตจะทุกข์ไหม จะทุกข์น้อยลงถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าปฏิบัติไม่ครบชีวิตทุกข์ไหม (ทุกข์)  วุ่นวายไหม (วุ่นวาย)  ปัญหาเยอะไหม (เยอะ)  แล้วเรามีศีลครบไหม (ไม่ครบ)  เมื่อรู้อย่างนี้จะพยายามมีศีลครบไหม (พยายาม)  ไม่ต้องพยายามแต่ลงมือทำเลย
ยกตัวอย่างเรื่องการพูดความจริง มีชายคนหนึ่งบ้านยากจนมาก ขณะที่ภรรยากำลังป่วยจึงเอาวัวไปขาย แต่วัวตัวนั้นไม่สบาย มีเฉพาะคนที่เลี้ยงวัวด้วยกันจึงจะดูออก แต่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีวัวแค่ตัวเดียวที่ขายได้เพื่อจะมาต่อชีวิตภรรยา เขาจึงเอาไปขาย เวลามีคนจะมาซื้อเพราะเห็นว่าราคาถูก ก็มีคนบอกว่าอย่าไปซื้อ มันเป็นวัวป่วย พอใครจะมาซื้อก็ไปกระซิบว่าอย่าไปซื้อ วัวมันป่วย ทั้งวันชายคนนี้ก็ขายไม่ได้ ตลอดสิบวันคิดว่าจะขายได้ไหม (ไม่ได้)  จนกระทั่งเขาเจอคนปรารถนาดีที่ไปบอกคนอื่นว่าอย่าซื้อวัวป่วย จึงถามว่าทำไมพูดอย่างนั้นเล่า เขาจึงตอบว่า ก็เป็นเรื่องจริงวัวป่วยจะเอามาขายได้อย่างไร คนเราเมื่อความทุกข์จุกอกไม่อยากต่อล้อต่อเถียงจึงไปผูกคอตายเพราะขายวัวไม่ได้ ฉะนั้นบางอย่างแม้เราจะพูดจริง บางอย่างแม้เราจะพูดถูก แต่ศิษย์ต้องไตร่ตรองให้ดีเพราะเมื่อกรรมตกผล กรรมครบวงจรแล้ว ศิษย์จะต้องชดใช้กรรมอย่างที่ศิษย์คิดไม่ถึงเพียงเพราะการพูดความจริง เขาไม่โกรธก็ต้องโกรธ กลายเป็นว่าเมื่อคนปรารถนาดีนี้ตายไปก็ต้องเกิดมาเป็นลูกเพื่อดูแลพ่อแม่สองคนที่เจ็บป่วย ถึงแม้จะทำดีแค่ไหน แต่ก็ต้องดูแลพ่อแม่ที่เจ็บป่วยและนอนติดเตียง
โบราณเขาจึงกล่าวไว้ ชีวิตเหมือนเดินบนน้ำแข็งบาง กล่าวพลาดนิดหนึ่ง พูดผิดนิดหนึ่ง ทำผิดนิดหนึ่ง ศิษย์บอกไม่เป็นไรหรอกอาจารย์ แต่อาจารย์จะบอกว่าชดใช้ชาติเดียวไม่จบ และบางครั้งผิดครั้งเดียว ศิษย์ทำบุญไปร้อยครั้งก็ยังชดใช้ให้เขาไม่ได้ ฉะนั้นเกิดเป็นคน ละบาปไม่ได้ สร้างบุญแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ เพราะทุกข์ที่เจ็บที่สุด ไม่ใช่ทุกข์ครั้งเดียว แต่ทุกข์ที่เจ็บที่สุดคือการต้องกลับมารับทุกข์ไม่จบสิ้น จนกว่าคนที่ศิษย์ผูกกรรมด้วย เขาจะสาแก่ใจ จริงไหม (จริง)  เอาง่ายๆ แค่เราไปด่าเขาครั้งหนึ่ง ศิษย์ขอโทษเขาครั้งเดียว ศิษย์ไปสวดมนต์กรวดน้ำนั่งสมาธิขออภัย หายไหม (ไม่หาย)  แล้วเราทำไหม จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นก่อนจะทำอะไรนึกถึงศีลเข้าไว้ นึกถึงธรรมเข้าไว้ เพราะศีลข้อแรกนั้นสอนให้เราเมตตา เมตตาให้ถึงที่สุด เมตตาจนเรียกว่า “โพธิสัตว์” นั่นคือที่สุดของคำว่าเมตตา คือแม้จะถูกเฉือนเลือดเฉือนเนื้อเฉือนหนังก็ไม่โกรธ แม้จะถูกเผาทั้งเป็นโดยที่ตัวเองไม่ผิดก็ไม่โกรธ ยังเมตตาได้ นั่นเรียกเมตตาจนถึงที่สุด คำว่า “เมตตาดั่งโพธิสัตว์” ยากไหม (ยาก, ไม่ยาก)  ไม่ยาก ถ้าเรายอมทิ้งความยึดมั่น  ถือมั่นแล้วได้มหาเมตตา ถ้าเรายอมทิ้งทิฐิอัตตาความยึดมั่นถือมั่น และได้คุณธรรมสูงสุด ทำไมไม่ยอมแลก แต่มนุษย์ติดในอารมณ์กิเลส จนมองไม่เห็นค่าแห่งความดีงามในการประพฤติบำเพ็ญธรรม ดูถูกดูเบาคุณค่าตัวเอง
ผู้ที่ปฏิบัติศีลข้อหนึ่ง ไม่ฆ่าสัตว์ก็คือมีเมตตาธรรม ใช่ไหม และถ้าเขาทำศีลข้ออื่นได้ มีมโนธรรม มีสัตยธรรม มีปัญญาธรรม มีจริยธรรม เราอยู่กับคนนี้สันติไหม (สันติ)  ถ้าศิษย์มีทั้งศีลทั้งธรรมครบ ไม่สร้างบาป ศิษย์จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เกิดแก่เจ็บตายมาถึงจะทุกข์ไหม ถ้าทำดีที่สุดแล้ว จะตายก็ไม่เสียดายชาติเกิด จะเจ็บก็ไม่เป็นไร แต่ตราบใดที่ศิษย์ยังไม่เข้าใจความเป็นจริงของโลกศิษย์ก็ยังไม่พ้นทุกข์ จริงไหม โลกมีความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา มีฝ่ายหญิงก็มีฝ่ายชาย มีคำชมก็มีคำด่า มีสุขก็มีทุกข์ มีดีก็มีไม่ดี มีสมหวังก็มีผิดหวัง ฉะนั้นผู้ที่เข้าใจความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา ขึ้นชื่อว่า “ผู้ปฏิบัติธรรมเดินไปสู่ความพ้นทุกข์” เมื่อใดสามารถรับความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาของโลกด้วยใจที่เป็นกลาง เมื่อนั้นจะค้นพบธรรม
เห็นทุกข์แล้วไม่ทุกข์ พบทุกข์แล้วเห็นธรรม เห็นเป็นธรรมชาติของความทุกข์ เอาสิ่งที่เป็นทุกข์มาทำให้บังเกิดธรรม มั่นคงในความเมตตาเข้าไว้ แล้วมองให้ออก ถ้ามีคนด่าเราเป็นชั่วโมง (ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว)  แต่บางคนเวลาเขาโกรธมากๆ เขาด่าเราแล้วเรายืนนิ่ง เขากลับยิ่งโมโห ฉะนั้น เราต้องขอโทษจากใจจริง แปรเป็นปัญญาและนำพาให้เขาพ้นทุกข์ และถ้าเขาคือคนที่รักเราแล้วเขาโมโห เนื่องจากเราไม่ได้ดั่งใจเขา จงกอดเขาและบอกขอโทษ เราจะช่วยกันแปรทุกข์ให้เป็นสุขและนำความร่มเย็นมาสู่ครอบครัวในโลกนี้มีทุกข์มากมาย ทุกข์เเห่งความจริงที่เราหนีไม่พ้น คือ เกิดเเก่เจ็บตาย ทุกข์จากการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทุกข์จากการต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก เเละทนกับโลกใบนี้ที่มีทั้งทุกข์สุขดีร้ายใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเคยมองหาไหมว่าเราทุกข์เพราะอะไร (เคย)  อย่างนั้นตอบให้อาจารย์ได้ชื่นใจว่าทุกข์เพราะอะไร
(ทุกข์เพราะคาดหวังให้ผู้อื่นเป็นในแบบที่เราคิด, ทุกข์เพราะความคิดตัวเอง)  เราหวังให้ทุกคนเป็นดั่งใจเราได้ไหม (ไม่ได้)  เราควรหวังต่อไหม (ควรน้อยลง)  ควรมองตามความเป็นจริงเเละทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดนั่นคือหนทางที่ถูกต้อง (ทุกข์เพราะความยากจน)  ถ้าศิษย์ลดความอยากให้น้อยลงเงินจะมีเพิ่ม เเต่ถ้าเงินมีเท่านี้เเต่ความอยากมากกว่าอย่างไรก็จน ถ้าเป็นคนเอาเเต่งอมืองือเท้าไม่ขยันทำมาหากินก็จนอยู่ดี ถ้าขยันทำงานไม่งอมืองอเท้า มีเท่าไหร่รู้จักอดออม ไม่ใช่มีเท่าไหร่ก็อยากมากกว่าที่มีก็จนวันยังค่ำ ฉะนั้นอย่ากลัวความจน เเต่ให้กลัวจนใจมากกว่า (เพราะมีลูกเยอะ)  การมีลูกทุกข์ไหม (ทุกข์)  หาสุขไม่เจอเลยหรือ (เจอแต่น้อย)  ก็เพราะมัวแต่คาดหวัง (เพราะฟ้าลิขิต)  ไม่ใช่ฟ้าลิขิต เรากำหนดตัวเองทั้งนั้น ให้คิดดีกลับไม่คิด ให้คิดสบายใจกลับไม่คิด ชอบคิดอยากจะทุกข์ จริงไหม
ถ้ามนุษย์เข้าใจความเป็นจริงว่าเราหนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย และยอมรับความแก่ เจ็บ ตาย ได้อย่างเข้าใจ สิ่งนี้ก็จะช่วยให้เราไม่ทุกข์มาก ฉะนั้นแม้จะเจ็บ เราก็จะรู้จักเข้มแข็ง และรักษาตัวเองให้รอด แม้จะตาย เราก็รู้ว่าเราได้ทำดีที่สุดแล้ว ตายไปก็ไม่เป็นไร การตายคือเปลี่ยนภพภูมิจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ไปยังที่บุญกรรมเราได้สร้างไว้การตายได้กลับคืนสู่ธรรม ขึ้นอยู่กับสภาวธรรมในจิตใจ ฉะนั้นความแก่ ความเจ็บ ความตาย จึงเป็นธรรมดาของโลกที่ไม่ทำให้ศิษย์ทุกข์ แต่สิ่งที่ทำให้ศิษย์ทุกข์มากก็คือความคิด จริงไหม (จริง)  รู้ว่าคิดแล้วเป็นทุกข์ คิดไหม (คิด)  ถ้ายิ่งคิดแล้วมันทุกข์ ก็สู้หยุดแล้วมันจะได้ไม่ทุกข์ ถ้าคิดแล้วมันทำให้ทุกข์ เปลี่ยนความคิด ก็เปลี่ยนชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตัวอย่างง่ายๆ มือข้างหนึ่งมีกี่นิ้ว (ห้านิ้ว)  แต่เราทุกข์เพราะอยากให้นิ้วโป้งเป็นนิ้วก้อย อยากให้นิ้วก้อยเป็นนิ้วโป้ง ได้ไหม (ไม่ได้)  ได้ ก็แค่ผ่าตัด เอานิ้วโป้งมาไว้นิ้วก้อย เอานิ้วก้อยมาไว้นิ้วโป้ง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะคิดให้เจ็บตัวทำไม ใช่ไหม (ใช่)  เปรียบกับศิษย์ก็เหมือนกัน ลูกบางคนเป็นนิ้วโป้ง บางคนเป็นนิ้วก้อย แต่ศิษย์อยากให้ก้อยเป็นโป้ง ให้โป้งเป็นก้อย ความทุกข์อย่างแรกคือ ไม่ยอมรับความจริงอันเป็นธรรมชาติของคน คนบางคนได้แค่นี้ จะให้นิ้วโป้งเป็นนิ้วชี้ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วให้นิ้วชี้เป็นนิ้วโป้งได้ไหม (ไม่ได้)
ถึงแม้ชีวิตคนจะไม่เท่ากัน แตกต่างกัน แต่มีคุณค่าที่ไม่เหมือนกัน ถ้าเรารู้ว่าทุกสิ่งมีคุณค่า เราจะดันทุรังหวังว่ามันต้องเป็นโป้งอย่าเป็นก้อย ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม หวังว่าเดินผ่านไปแล้วทุกคนต้องยิ้มกับเรา เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์ ความคิดของศิษย์ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา แล้วความคิดเราจะไม่นำพาซึ่งความทุกข์ เหมือนกับว่าอยากให้เขารักเรา เขารักเราไหม(ไม่รัก)  ถ้าวันนี้เขารักเราแล้วแต่เราอยากให้รักเราเพิ่มขึ้นอีก เป็นไปได้ไหม (เป็นไปไม่ได้)  หรือดีแล้วต้องดีเท่ากันทุกวัน เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วหวังไหม (หวัง)  แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าคิดแล้วทุกข์ก็ไม่ต้องคิด เรียกว่าปล่อยวาง ถ้ารู้ว่าคิดแล้วทุกข์ คิดแล้วฝืนความเป็นจริงธรรมชาติก็ปล่อยวางและยอมรับความจริง
มนุษย์เรามีทุกข์เยอะ ทุกข์อย่างแรกที่น่ากลัวคือไม่ยอมรับความจริง อย่างที่สองคือเอาใจตัวเอง เอาชีวิตตัวเองไปฝากไว้กับคนอื่น ฉันจะสุขก็ต่อเมื่อเขายิ้ม ฉันจะทุกข์ก็ต่อเมื่อเขาด่า เราทุกข์เพราะเราชอบเอาใจไปฝากไว้กับคนอื่น เราจะยิ้มก็ต่อเมื่อคนที่เรารักเขายิ้ม เราทุกข์เมื่อเขาด่าเรา ชีวิตศิษย์ ศิษย์คุมไม่ได้ ศิษย์ฝากชีวิต ศิษย์ฝากอารมณ์ไว้เป็นทาสของคนอื่นศิษย์ดูถูกตัวเองถึงขนาดตัวเองมีสุขมีทุกข์ไม่ได้ ศิษย์จะทุกข์จะสุขได้ต้องขึ้นอยู่กับคนอื่น ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไรที่ศิษย์มองเห็นคนอื่นยิ้มแล้วศิษย์ยิ้ม เมื่อไรศิษย์ทุกข์เพราะคนอื่นด่า นั่นแสดงว่าศิษย์กำลังดูถูกคุณค่าหัวใจตัวเอง และยอมตกเป็นทาสอารมณ์ตามคนอื่นกำหนด ถ้าคนอื่นเอามีดมาวาง เอาความทุกข์มาให้ แต่ศิษย์บอกว่าเราต่างหากที่เป็นคนเอามีดมาทำร้ายตัวเอง แต่ชีวิตเป็นของเราไหม (เป็น)  เราเลือกได้ว่าควรเก็บมีด หรือปล่อยมีดไว้ตรงนั้น (ปล่อย)  คำว่าปล่อยวาง คือ ไม่ใส่ใจแม้จะคิด ไม่สนใจแม้จะยึดติด ชีวิตเป็นของเรา เราเลือกได้ จะสุขจะทุกข์ แม้เขาจะเอามีดมาวางเราก็จะปล่อยวาง เราก็จะเห็นเหมือนไม่เห็น เเต่คนส่วนใหญ่เห็นเเล้วจับไหม (จับ)  จับเเล้วเฉือนไหม (เฉือน)  เฉือนแล้วไปเฉือนผู้อื่นต่อไหม (เฉือน)  ฉะนั้นทุกข์จากที่รู้ว่าคิดเเล้วเป็นทุกข์ มองเเล้วก็เป็นทุกข์ ยึดเเล้วก็เป็นทุกข์ทั้งที่ควรปล่อยวางเเต่เรากลับไม่ปล่อย เเล้วต้นเหตุหลักที่เราทุกข์เพราะอะไร
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติธรรมเขียนบนกระดาน คำว่า 1.หนูไม่ผิด 2.หนูดี 3.ทำไมหนูต้องยอม)
เราทุกข์ส่วนใหญ่เพราะเราไม่ค่อยยอมรับผิด เมื่อมีคนบอกว่าเราผิดเรายอมไหม (ไม่ยอม)  เราเป็นคนถูกใช่ไหม (ใช่)  ในโลกเเห่งความเป็นจริงเถียงกันถึงที่สุด ตัวเองถูกวันนี้ต่อไปตัวเองผิดไหม ฉะนั้นมองกันด้วยเหตุด้วยผล อยากให้ตนเองถูก อยากให้คนอื่นผิด แต่พอระยะเวลาผ่านไป เราก็อาจจะเป็นผู้ผิด แล้วเขาถูกก็ได้ แล้วจะยึดทำไมว่าฉันถูก เธอผิด เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ทะเลาะกันเพราะว่า (ไม่ยอม)  แล้วเราผิดได้ไหม (ได้)  เราทุกข์เพราะความคิด คิดที่ยึดติดว่าแพ้ไม่เป็น ยอมไม่ได้ ฉันต้องดี ฉันต้องเลิศ แต่ถึงที่สุดแล้วว่ากันไปตามเหตุผล แล้วเหตุผลที่คิดว่าเขาผิด เราเอาความคิดของเราเป็นบรรทัดฐานหรือเอาความเป็นจริงเป็นบรรทัดฐาน (ความคิด)  แล้วความคิดเรามักจะเข้าข้างตัวเองหรือเข้าข้างเขา (เข้าข้างตัวเอง)  แล้วความคิดเรามักจะบอกว่าเราถูก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราคิดว่าเราผิดไม่ได้ เราเองที่หาเหตุผลทำยังไงเราก็ทุกข์ ยอมไม่ได้ ทำไมเราต้องเสียเปรียบ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์เอ๋ย ในโลกความเป็นจริงใบนี้ มีใครได้อะไรโดยไม่ต้องเสีย (ไม่มี)ต้องมีฝ่ายหนึ่งได้ฝ่ายหนึ่งเสีย ใช่ไหม เขาไม่มีเหตุผล จะเอาชนะอย่างเดียว เราจะยอมไหม (ยอม)  เขาว่าเราเลว แต่จริงๆ เราดี เราจะยอมไหม (ยอม) อาจารย์จะบอกว่า คิดแบบคนมีธรรม ถ้าการยอมของเราจะได้ละทิฐิ ได้ละอัตตา ได้ละความยึดมั่นถือมั่น ได้ปล่อยวางตัวตน และได้คุณธรรมให้กับคน เราเป็นฝ่ายยอมก็ได้ ยอมไม่มีกิเลส ไม่โกรธ ไม่เกลียด แต่เราได้ซึ่งคุณธรรม เมตตาเข้าไว้ ให้อภัยเข้าไว้ รักเขาเข้าไว้ การยอมละทิฐิอัตตาแต่ได้มาซึ่งธรรม ได้มาซึ่งการหมดเวรหมดกรรม แม้จะโดนว่าไม่ดี ดีไหม (ดี)  เราต้องเริ่มต้นจากละบาปได้ ถ้าศิษย์ละบาปได้ แล้วมีความเป็นคนถูกต้อง หยัดยืนในความเป็นคนถูกต้องแล้ว แต่คนในโลกจะรักเราทุกคนเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องมีเกลียดกันบ้างเพราะมีกรรมกันมา ใช่ไหม ฉะนั้นมีคนเกลียดเราแต่เรายังยืนหยัดไม่เกลียดตอบ ไม่ผูกกรรมต่อ ขอจบกันชาตินี้ ไม่โกรธต่อ ไม่ผูกเวรต่อ ฉันจะมีธรรม
ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่าผิดไม่ได้ เพราะถึงที่สุดยืดหยัดในความถูกผิด มันก็หาใครถูกผิดที่แท้จริงไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงทุกคนจะมีเหตุผลอย่างไร แต่เหตุผลก็หาใช่ที่สุดของความจริง วันนี้เราถูก เดินไปอีกสักปีสองปี หรือเดินไปอีกก้าวสองก้าว เราอาจจะผิด วันนี้เราคิดว่าเราดี แต่เดินไปอีกก้าวสองก้าวคนอาจจะบอกว่าเราไม่ดี เพราะความคิดแต่ละคนไม่เหมือนกัน และทุกคนมักเข้าข้างว่าตัวเองดีที่สุด คนอื่นด้อยกว่าฉะนั้นถ้าเราด้อยหน่อยแล้วเขาดีหน่อยยอมไหม (ยอม)
วิถีการปฏิบัติธรรมไม่ใช่อยู่แค่การแสดงออกภายนอกแต่ต้องลงแรงที่ใจด้วย “ไม่มีอะไรร้ายในวันที่จิตใจเราดี” เวลาเรารู้สึกดีมากๆ ใครมาพูดอย่างไร ใครมาทำร้ายอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว ฉะนั้นไม่ว่าใครจะร้ายอย่างไร สำคัญที่ตัวเราถูกต้องเที่ยงธรรมหรือยัง ถ้าถูกต้องเที่ยงธรรมใครก็ทำร้ายหัวใจเราไม่ได้ จำไว้นะศิษย์ ไม่มีอะไรร้ายเท่ากับจิตใจเราเอง ถ้าจิตใจเราดีอะไรก็ดี เมื่อไรที่เราร้ายก็แปลว่าใจเรา (ไม่ดี)  โลกมีความเป็นปกติธรรมดา คนมีดีมีร้ายเป็นธรรมดา ถ้าเรารู้สึกเกลียดใครนั่นเป็นเพราะว่าโลกผิดปกติหรือใจเราผิดปกติ (ใจเรา)  อย่างนั้นก่อนจะว่าเขาหันมาดูใจเราก่อนดีไหม โลกก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว มีทั้งดีมีทั้งร้ายปะปนกันไป แต่วันไหนที่เราคิด   ถือสาขึ้นมา ใจเราผิดปกติขึ้นมา เราจึงมองว่านี่ก็แย่นี่ก็ไม่ได้เรื่อง จริงไหม (จริง)  บำเพ็ญธรรมคือหันมองตัวเองเพราะตัวเราเองนั่นแหละเป็นที่สุดของปัญหา หรือเป็นที่จบของปัญหาได้
เวลาที่เรารู้หรือเห็นอะไรชัดเจน ใครจะมาไม้ไหนศิษย์ก็รับมือได้ สถานการณ์จะพลิกอย่างไร ศิษย์ก็พลิกใจทันได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ดีก็ร้าย ไม่สุขก็ทุกข์ ไม่ได้ก็เสีย มีอยู่เท่านี้ ฉะนั้นถ้าจะพลิกไปอีกเราก็สามารถรู้ได้ การศึกษาธรรมคือเห็นความเป็นจริงชัดเจนจนกระทั่งไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้อีกต่อไป
(พระอาจารย์เมตตาให้ตัวแทนนักเรียนออกมาหน้าชั้น)
ทุกวันต้องเสียเวลากับความสวยนานไหมศิษย์ อาจารย์ถามในความเป็นจริง คนที่น่ารักมีความสุขแต่ก็ให้ความทุกข์เราได้ใช่ไหม (ใช่)  คนที่น่ารักมีความดีแต่ก็มีความร้ายในตัวใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าคนที่น่ารักขนาดไหนก็มีทั้งดีและร้าย เมื่อใดที่เขาชี้หน้าด่าจะโกรธไหม ทุกอย่างมีดีขนาดไหน สวยขนาดไหน เราจงอย่าลืมว่าในอีกด้านหนึ่งพร้อมจะไม่สวย พร้อมจะไม่ดีได้ เพื่อเตรียมใจยอมรับความจริง วันใดเราสำเร็จ วันใดเราได้ เราจึงพร้อมเสมอว่ามันต้องมีวันที่เราไม่ได้ มันต้องมีวันที่เราไม่มี ชีวิตทุกข์อยู่แล้วอย่าทำร้ายตัวเอง อย่าหาเรื่องให้ตัวเองทุกข์เพิ่ม แม้ตัวเองจะหน้าตาแบบไหนก็ไม่เป็นไร แม้ตัวเองจะดำก็ไม่เป็นไร เวลาเรามองอะไรเราอยากเห็นแค่แบบนี้ ทำไมไม่เหมือนเมื่อก่อน อย่างนี้เรียกว่าเราไม่มองความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแปรผันจริงไหม (จริง)  เเละทุกคนเป็นไหม (เป็น)  เเล้วเรายอมรับความจริงไหม (ยอม)  ภรรยาเราทำไมไม่สวยเหมือนภรรยาของเพื่อนบ้าน ชีวิตจริงทำไมไม่เป็นแบบนี้ อยากให้เป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิตได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ว่ารูป นาม สิ่งที่จับต้องได้หรือไม่ได้ก็ไม่มีอะไรคงทน ถ้ามนุษย์เราเข้าใจความเป็นจริงว่าทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนเเปรผัน เเล้วเราจะทุกข์อะไรในเมื่อทุกอย่างดี เเต่ที่ไม่ดีเพราะเราไม่ยอมรับ ถ้าจะบำเพ็ญธรรมสิ่งที่ต้องจำไว้คือทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อไม่เที่ยงควรหรือที่เราจะยึด เมื่อเป็นทุกข์ควรหรือที่เราจะยึดติดให้ทุกข์ใจ เราเกิดมาเพื่อยืนระหว่างความเป็นทุกข์เเละความเป็นสุขด้วยหัวใจที่เป็นธรรม ถ้ามองเเล้วทุกข์เราก็ต้องยอมรับความจริงว่าเป็นเรื่องธรรมดา มนุษย์เกิดมาระหว่างฟ้ากับดิน จิตที่เป็นกลางคือจิตที่เข้าถึงธรรม จิตที่เอาเเต่ยึดติดทุกข์จนมองไม่เห็นความสุขนั่นคือจิตที่หลงตกเป็นทาสของอัตตา ไม่ว่าชีวิตจะเป็นแบบไหนเราก็มีความสุข
(พระอาจารย์เมตตาหยิบซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อนักเรียนฝ่ายชายท่านหนึ่ง)
หักดิบเลยดีไหม (พยายามลดอยู่)  ไม่ต้องพยายามแล้ว ศิษย์เอย ชีวิตนี้ไม่มีใครกำหนด เราเป็นผู้กำหนด ถึงแม้อาจารย์เก็บมา แต่ศิษย์ยังไปซื้อต่อก็ไม่มีประโยชน์ ก่อนจะติดอะไรคิดให้ดีๆ รู้ว่าติดแล้วมันทุกข์ แล้วก็ยังเลิกไม่ได้ น่าสงสารนะ
เมื่อไรที่ศิษย์เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต ศิษย์จะรู้ว่าโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ความไม่สมบูรณ์แบบนั้นมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลง ธรรมสอนให้รู้ว่า โลกแห่งความเป็นจริงทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง เมื่อเปลี่ยนแปลงแล้วอะไรดีที่สุด วันนี้เราคิดว่าคนนี้ดีที่สุด แต่เวลาผ่านไปคนนี้อาจจะไม่ใช่ดีที่สุด วันนี้เราคิดว่าคนนี้แย่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนนี้อาจจะไม่แย่ก็ได้ เมื่อเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต เราจะรู้ว่าไม่ควรรักใคร ไม่ควรเกลียดใคร และก็ไม่อยากโลภอะไร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เราโลภ หนีไม่พ้นความทุกข์ เราจึงมีชีวิตอยู่แค่ทำหน้าที่ตัวเองให้สมบูรณ์ที่สุด ชดใช้กรรม และไม่สร้างกรรมต่อ นำพาชีวิตและจิตใจให้เข้าถึงซึ่งคำว่า “ธรรม” ถ้ายังยึดติดตัวตน ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เรียกว่า “กรรมดีกรรมชั่ว” แต่ถ้าทุกอย่างเราทำเพื่อธรรม ธรรมก็คือเรา ตัวตนหายไป นั่นแหละพ้นทุกข์
ในกายเรานี้ มีสิ่งที่เรียกว่ากายหยาบ กายละเอียด หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กายจิต กายใจจิต ใจคือความเป็นตัวตนที่เชื่อมระหว่างกายกับจิต แต่จิตเดิมแท้เป็นความว่าง แต่มนุษย์ไปไม่ถึงความว่าง เพราะติดอยู่กับคำว่า อัตตาตัวตน เต็มไปด้วยความคิดที่ยึดติดกรรมดี กรรมชั่ว ฉะนั้นทุกขณะที่อาจารย์ให้ศิษย์ทำ ไม่ใช่ให้ทำเพื่อกรรมเพื่อสนองกิเลส แต่ให้ทำเพื่อธรรม ก็ไม่มีอะไรที่ต้องก่อกรรม เข้าใจไหม (เข้าใจ)
รัก โลภ โกรธ หลง เป็นหนทางมาแห่งบาป กรรมชั่ว ทุกข์ วิบากกรรม และหนีไม่พ้นอบายภูมิ หรือวัฏสงสาร ถ้าทำเพื่อกิเลสก็จะหนีไม่พ้นกรรมชั่ว ทุกข์ อบายภูมิ วัฏสงสาร แต่ถ้าทุกขณะทำเพื่อธรรม เพื่อศีลธรรม เพื่อความถูกต้อง เพื่อหมดกรรม เพื่อสิ้นกรรม เราก็ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ฉะนั้นศึกษาธรรมเพื่อให้ตัวเองพ้นทุกข์ ไม่ใช่เพื่ออาจารย์ ศิษย์บำเพ็ญเพื่อตัวเอง ให้ตัวเราหลอมละลายกับสัจธรรมเพื่อจะได้ไม่ต้องมาทุกข์อีกต่อไป ถ้าศิษย์ประจักษ์เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ ศิษย์จะพ้นทุกข์ได้
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “หมุนเวียนเปลี่ยนผัน” )
จำไว้นะศิษย์เมื่อไรที่ทุกข์จงจำไว้ว่าทุกสิ่งล้วนหมุนเวียนเปลี่ยนผันไม่มีวันทุกข์นาน เขาก็ไม่มีวันด่าเรานาน เขาก็ไม่มีวันทำเราเจ็บนาน ไม่เขาตายก็เราตาย ฉะนั้นถ้าคิดว่าทุกสิ่งล้วนหมุนเวียนเปลี่ยนผัน โลภ โกรธ หลง ก็จะทำอะไรใจศิษย์ไม่ได้ ลองเอาธรรมไปพิจารณาจนบังเกิดธรรม อย่าเอาแต่คิดจนเกิดความน้อยใจ เกิดกิเลส เกิดอัตตาตัวตน คิดแล้วบังเกิดธรรมดีกว่า
สิ่งที่อาจารย์พูดล้วนเป็นธรรมที่นำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ ฉะนั้นไม่เคารพอาจารย์ไม่เป็นไร เอาธรรมไปลองศึกษาปฏิบัติดู บำเพ็ญได้ทุกๆ ที่ วางความคิดที่ไม่ถูกต้อง สิ่งใดที่ควรทำก็ยังต้องทำ อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์กลับไปแล้วไม่รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองแล้วมาบำเพ็ญอย่างเดียว แต่สามารถรับผิดชอบหน้าที่แล้วดำรงซึ่งคุณธรรมความดีงามไม่เสื่อมสลาย นั่นประเสริฐกว่านะศิษย์
ถ้าไม่อยากเจ็บอย่าคาดหวัง ถ้าไม่อยากทุกข์อย่ายึดติด เพราะสิ่งที่ศิษย์คาดหวังและยึดติดนั้นล้วนผันแปรตลอดเวลา มันเกิดและดับอยู่ตลอด คนที่ปรารถนาความสงบเขาจะรีบจบและวางความคิดทันที ถ้าไม่เที่ยงควรหรือที่เราจะโกรธ เมื่อทุกคนต่างมีทุกข์ควรหรือที่จะโทษกันไปโทษกันมา เขาก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ เราก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ แล้วต่อว่ากันไปมาให้เจ็บทำไม แล้วจะโกรธเกลียดกันไปทำไมในเมื่อไม่มีใครถูกผิดแท้จริง อย่างที่อาจารย์บอก ยอมผิดบ้างยอมแย่บ้างเป็นอะไรไหม การยอมของเราเพื่อลดทิฐิแต่ได้คุณธรรมเพิ่มขึ้น ยอมไหม (ยอม)  ไม่โทษกันไปมา ไม่ต้องมาคิดว่าใครถูกใครผิด หรือใครดีกว่าใคร เมื่อยังหลงยึดในมายา ก็ไม่สามารถใช้ได้ปัญญาได้อย่างแจ่มชัด
อย่าหลงกับสิ่งที่เห็น เราบอกว่าเรารู้เเละเข้าใจ เเต่จริงๆ เเล้วสิ่งที่เราเข้าใจเปลี่ยนได้ไหม (ได้)  บางครั้งสิ่งที่เรารู้ อาจไม่ได้เป็นแบบที่เข้าใจ ที่เห็นเเม้จะจริงเเค่ไหน เเต่ก็พร้อมเปลี่ยนแปลงเสมอ เมื่อไม่ปักใจเชื่ออะไร เเล้วอะไรที่ควรรัก อะไรที่ควรโกรธ อะไรที่ควรหลง เพราะไม่มีอะไรเที่ยงเเท้ ความเข้าใจเเจ่มเเจ้งทำให้เราปลดปลงปล่อยวางความโลภโกรธหลงได้ในทันที รู้จนชัดเห็นจนเเจ่มเเจ้ง
เมื่อช่วยตัวเองพ้นทุกข์เเล้วอยากช่วยคนอื่นพ้นทุกข์ไหม (อยาก)  ศิษย์จะเอาเวลาว่างนี้ไปอุทิศช่วยเหลือคนต่อหรือไม่ เป็นสะพานเเห่งธรรม สะพานที่นำให้ผู้อื่นได้พบธรรม เป็นสะพานบุญที่ทำให้ผู้อื่นได้เห็นธรรม เป็นสะพานที่ยอมให้ผู้อื่นเหยียบย่ำจนเข้าใจธรรม เป็นสะพานที่ส่งต่อให้ผู้อื่นได้ถึงฝั่งธรรม เเม้ว่าเขาจะเลื่อยสะพานเราทิ้งก็ตาม
จิตที่ยิ่งใหญ่ จิตที่ดีงาม จิตที่ทำสิ่งที่ถูกต้องเป็นจิตที่ประเสริฐที่สุด จิตที่รู้จักการให้เพื่อธรรม ให้เพื่อความถูกต้องดีงาม เเต่ไม่ใช่ให้เพื่อให้คนอื่นชม ทำให้ได้เเล้วศิษย์จะเข้าใจว่าทำไมเราต้องบำเพ็ญธรรม ทำไมเราต้องช่วยคน เพราะพลังแห่งจิตเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ อย่าคิดว่ามันจะหมดง่ายๆ มันไม่หมด เหนื่อยก็พักแล้วสู้ใหม่ แม้ไม่มีพลังใจจากไหน แต่มีพลังใจจากตัวเอง รู้ว่าเราทำเพื่ออะไร ช่วยคนเพื่ออะไร จริงไหม (จริง) 
อาจารย์อยากเห็นศิษย์ปฏิบัติธรรมแล้วไม่ทุกข์ เมื่อไรที่ทุกข์ จำคำอาจารย์ไว้ ทุกสิ่งมีวันเปลี่ยน ขอเพียงใจเราสู้ไม่ถอย หยัดยืนในสิ่งที่ถูกต้องดีงามอย่างไม่ท้อแท้ ความดีและความเข้าใจนั้นจะพลิกโอกาสร้ายเป็นดีได้ด้วยหัวใจที่ศรัทธาในความถูกต้องดีงาม ไม่ล้าไม่ท้อ มีแต่ความเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ มุ่งมั่นเดินต่อไปนะ ตั้งใจบำเพ็ญ ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อตัวเองนะศิษย์ ก้าวต่อไปด้วยหัวใจที่มั่นคง รู้จักรักษาตัวเอง อย่าให้อารมณ์ทำร้ายชีวิตและจิตใจตัวเอง หนทางแม้จะไกล แต่ก็ขอพากเพียรต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ กายทิ้งไว้ที่โลกใบนี้ แต่จิตที่สะอาด จิตที่บริสุทธิ์จึงจะกลับสู่ฟ้าได้
ดูแลตัวเองให้ดี เข้มแข็งในการปฏิบัติให้ถึงที่สุด ตั้งใจแล้วทำให้ดี รักษาความดีงามไว้ให้ยาวนาน อย่าพลาดพลั้งเพราะความคิดและความเป็นตัวตน อย่าให้อัตตาตัวตนทำร้ายธรรมในใจ ตั้งใจแล้วแม้ล้มบ้างแม้พลาดบ้างก็สู้ต่อไป มีโอกาสทำให้ดี กลับมาศึกษา ศึกษาแล้วมีโอกาสเสียสละช่วยคน อย่าหาเหตุให้ตัวเองทุกข์และสร้างกรรมอีก ตั้งใจบำเพ็ญ ทำในสิ่งที่ถูกต้องดีแล้ว ก้าวต่อไปมุ่งต่อไปปฏิบัติให้ได้ ดูแลสุขภาพตัวเองด้วย ขอบคุณในความมุ่งมั่น อย่าฟังธรรมไปเสียเปล่า ต้องเอาไปปฏิบัติให้ได้ด้วย นำผู้คนอย่างถูกต้องด้วยหัวใจเมตตา เป็นศิษย์ของอาจารย์อย่าขาดความกล้าหาญ กล้าที่จะทำ กล้าที่จะลุย กล้าที่จะสู้ อย่าเอาแต่ตามหลังคนอื่น ต้องกล้ารับผิดชอบ ความรับผิดชอบมาพร้อมกับความมั่นคงและรอยยิ้มที่งดงาม
เป็นศิษย์ของอาจารย์ห้ามอ่อนแอ เจออะไรก็ต้องสู้ เจออะไรก็ต้องเข้มแข็ง อย่าติดในโลกจนลืมธรรมะ อย่าติดในตัวตนจนลืมสิ่งที่ถูกต้องดีงาม มีสิ่งดีงามอยู่ในใจ รักษาให้ดี รักษาความถูกต้องและดีงามไว้ อย่าเกียจคร้าน ทำให้ดี มุ่งมั่นตั้งใจให้ดี ทำให้ถึงที่สุด ให้สมกับเป็นผู้บำเพ็ญ ไม่เสียทีที่มาบำเพ็ญ ต้องรู้จักตัวเอง ตัวเองมีคุณค่า อย่าทำร้ายตัวเองด้วยอารมณ์และความคึกคะนองใจ ศิษย์เอ๋ยไม่มีใครอยากเห็นลูกแย่กว่าพ่อแม่ คนเป็นอาจารย์ก็อยากเห็นศิษย์เก่งกว่า จริงไหม
อาจารย์ต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองกันให้ดีๆ ตั้งใจบำเพ็ญนะ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “หมุนเวียนเปลี่ยนผัน”
    ไม่คาดหวังไม่ต้องเจ็บต่อความจริง    ไม่ยึดมั่นไม่ทุกข์ยิ่งเกินทนไหว
สรรพสิ่งล้วนผันแปรแค่ต้องเตือนใจ      มีตั้งอยู่เสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา
เมื่อไม่เที่ยงสิ่งใดหรือที่ควรโกรธ           เมื่อต่างทุกข์จะมัวโทษไปไยหนา
ถึงที่สุดไม่มีไปไม่มีมา                       ติดยึดสมมติหลงมายาปัญญาหมดไป
    อย่าหลงกับสิ่งที่เห็น                   อาจไม่เป็นอย่างเข้าใจ
ที่เห็นจะจริงแค่ไหน                        แต่พร้อมเปลี่ยนไปเสมอ



อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

2561-11-17 สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี




西元二〇一八年歲次戊戌十月十日                                      仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๑                   สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
  ความสงบกับปัญญาอาศัยกัน          สงบพลันปัญญาพาแจ่มใส
ขาดสติขาดธรรมพลันวุ่นวาย            ฝึกนิ่งได้ในธรรมเถิดบังเกิดคุณ
                                เราคือ
   หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                  ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
  ตาดูหูฟังเรื่องไม่จำเป็น                 จงมองเห็นธรรมในทุกทุกสิ่ง
ไม่วิ่งตามแหละปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง      คนรู้จริงนั่นตามชะล้างใจ
มีปัญญามีสติให้เท่าทันกัน                จงอยู่ให้รู้ทันความคิดได้
มิตรบ่นเตือนสอนวางไว้ในใจ             ดีอย่างไรธรรมคอยตัวเองขัดเกลา
ไฟกองเล็กแค่นั้นดับไม่ลง                 คนไม่ปลงนั้นฉันทาคติ[1]อยู่เหย้า
อกุศลแฝงในทุกตอนทุกข์ร้อนเผา        อคติเล่ามีตัวฉันจึงหนาวใจ
คนที่ฝึกไปสุขไปไร้ประตู                  คนที่รู้ไม่ไปไปที่ไหน
การบำเพ็ญเพียงแค่ลงแรงที่ใจ           เพียงเลิกยึดติดหลงได้ไฟบรรเทา
คนดีมั่นความดีไม่ขาดดี                   ถือคติไม่มีฉันมีแต่เขา
พบปัญหาในสิ่งไหนก็โทษเขา            ระวังคิดแทนเขาในทางต่างเดิน
                                                                        ฮา ฮา หยุด


[1] ฉันทาคติ ความลำเอียงเพราะความรักใคร่ชอบใจ เป็นอคติ ๑ ใน อคติ ๔  ได้แก่
ฉันทาคติ โทสาคติ ภยาคติ และโมหาคติ. (ป. ฉนฺท + อคติ).

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

ความสงบมีค่ามีความหมายยิ่งกว่าคำพูด พูดเยอะก็ไม่สู้รู้จักนิ่ง รู้จักสงบบ้าง แล้วชีวิตนี้ เราสงบได้จริงๆ ไหม รู้สึกจะวุ่นวายมากกว่าที่จะสงบเพราะภาวะแวดล้อมมีผลต่อจิตใจเรา เขาวุ่นเราก็ (วุ่น)  แล้วถ้าเขาสงบ (เราก็สงบ)  บางครั้งสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิต อาจจะไม่ใช่เงินทอง อาจจะไม่ใช่ความสุข แต่บางทีคือความสงบที่รู้จักพอ พอได้ก็สงบได้ แต่ถ้าทำยังไงก็ไม่พอหาเท่าไรก็ไม่สงบ ถึงแม้พบความสงบ ใจก็ไม่สงบ จริงไหม (จริง)  ชีวิตนี้ขาดความสงบหรือขาดความสุข (ทั้งสองอย่าง)  ขาดทั้งสองอย่างเลยใช่ไหม มีไหมความสุข (มี)  มีบ้างแต่น้อยเต็มทีใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วความสงบล่ะ ก็ดูน้อยเหลือเกินใช่ไหม (ใช่)
โลกนี้น่าอยู่ไหม มองดูแล้วไม่ค่อยน่าอยู่เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยส่วนใหญ่ถ้าเรามองแต่เรื่องร้ายๆ เรามองไปเจอแต่เรื่องไม่ดีแล้วรู้สึกว่าชีวิตนี้อยู่ยาก เราจะรู้สึกว่าโลกใบนี้ไม่ค่อยน่าอยู่ แต่พอเราเห็นเรื่องดีๆ เรารู้สึกว่า น่าอยู่ขึ้นมาทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเราเห็นคนดีๆ เรารู้สึกว่าชีวิตนี้ก็น่าอยู่ดีนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลกนี้จะน่าอยู่หรือไม่ สิ่งสำคัญคือมีความดีอยู่หรือเปล่า ถ้าบ้านไม่น่าอยู่ ถ้าชีวิตไม่น่าอยู่ ถามตัวสิว่า ลืมทำดีไหม ถ้าในบริษัทในที่ทำงานไม่น่าอยู่ ถามสิว่า เรามีดีไหม เพื่อนไม่น่าคบหรือตัวเราไม่น่าคบ ถามว่าเราเคยดีไหม โลกน่าอยู่เพราะยังมีคนดี ชีวิตน่าอยู่เพราะยังมีกำลังใจ ความคิดและการกระทำที่ดี ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อสักครู่ที่บอกว่าโลกไม่น่าอยู่ ชีวิตไม่ดีนั่นแปลว่าเราขาดดี หรือเราขาดการมองเห็นสิ่งที่ดี แล้วมองแต่สิ่งที่ร้าย ฉะนั้นก่อนจะบอกว่าโลกไม่น่าอยู่ คนไม่น่ารัก ถามใจเราเองก่อนว่า เคยทำดีให้โลกน่าอยู่ เคยมีดีให้คนเขาอยากรักไหม
สังคมนี้จะน่าอยู่ได้ ชีวิตนี้จะมีค่ามีความหมายได้ เราจะต้องรู้ความหมายของคำว่าดี หากชีวิตนี้ไม่เคยทำความดี จะมีความหมายเเละคุณค่าไหม แต่ถ้าชีวิตนี้ได้ทำดีเพื่อใครสักคนหนึ่ง ได้ทำดีแล้วแบ่งปันให้ใครสักคนหนึ่ง เรารู้สึกว่าชีวิตน่าอยู่ขึ้น บางทีใจเราตอนนี้รู้สึกหดหู่ โดดเดี่ยว รู้สึกแย่ เเละเมื่อมีใครทำดีกับเราสักหนึ่งอย่าง เเล้วเรารู้สึกว่าทำไมชีวิตเราถึงได้น่าอยู่ขึ้นมาทันที เหมือนกับว่าความดีของเขาได้ยกให้โลกนั้นสูงขึ้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วทำไมเราถึงไม่ช่วยกันยก เเล้วทำไมเราไม่ทำดี ในเมื่อโลกน่าอยู่เพราะความดี คนมีค่า มีความหมายเพราะมีสิ่งดี
มนุษย์มักพูดว่าคนเราอยู่ได้ด้วยเงินทอง ถ้ามีเงินก็อยู่ได้ ใช่ไหม (ใช่) เเต่มีเงินไม่มีความสุขอยู่ได้ไหม มีเงินมีความสุขเเต่ไม่มีความดีเพื่อใคร อยู่ได้ไหม (ไม่ได้)  เรามีเงินเเล้วใช้แค่ตัวเอง เรามีสุขเเล้วยิ้มเเค่ตัวเอง ไม่ยิ้มให้ใครจะเหงาไหม (เหงา)  รอยยิ้มจะยิ่งมีความสุขได้เมื่อเรายิ้มแล้วคนอื่นยิ้มด้วย ความสุขจะยิ่งใหญ่เเละเป็นความสุขที่มีค่ามีความหมายเมื่อความสุขนั้นได้แบ่งปัน เงินคือสิ่งที่มีค่า แต่มีค่าที่สุดไหม (ไม่)  มีค่าเเละมีความหมายก็ต่อเมื่อเลี้ยงดูเราเเล้วยังรู้จักให้ผู้อื่น ความสุขนั้นจะมีค่ามีความหมายต่อชีวิต เเต่ถ้าความสุขนั้นเก็บไว้คนเดียว อยู่กับตัวเองคนเดียว หัวเราะก็คนเดียวแต่ถ้าเมื่อไรเราหัวเราะแล้วคนอื่นหัวเราะตามได้ ยิ้มแล้วคนอื่นยิ้มได้ สุขไหม มีความหมายมีค่าไหม จริงๆ แล้วชีวิตของเราอยู่ได้ด้วยความดี ความสุข คุณค่าและมีความหมาย ถ้าวันนี้ไม่อยากอยู่เป็นเพราะขาดความดี ขาดความสุข ขาดคุณค่า หรือขาดความหมาย มีสุขแต่ไม่มีค่า มีค่าแค่เพื่อตัวเอง แต่ไม่เคยมีค่าเพื่อใครก็ไม่มีความหมาย มีความหมายเพื่อตัวเอง แต่ไม่เคยมีความหมายเพื่อผู้อื่นก็ดูไร้คุณค่า ชีวิตอยู่ได้ด้วยอะไร (ความดี)
อย่าเพิ่งตั้งแง่รังเกียจเรา อย่ามัวยึดติดกับวิธีการรูปแบบ แล้วสงสัยจนลืมรักษาจิตใจอันบริสุทธิ์ อย่ามัวยึดติดกับรูปแบบหรือพิธีการว่าทำไมเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้จนทำให้จิตขุ่นมัว บางทีเรายึดติดกับรูปแบบว่าทำไมต้องเป็นแบบนั้นไม่เป็นแบบนี้ จนกลายเป็นว่าใจเราไม่สะอาด ไม่บริสุทธิ์ เพราะยึดติดกับความคิดว่า ทำไมธรรมะเป็นแบบนั้น ทำไมไม่เป็นแบบนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งสำคัญในการศึกษาเรียนรู้ธรรม ไม่ใช่อยู่ที่ภายนอก แต่อยู่ที่ภายในใจมากกว่า อะไรจะเกิดก็ช่าง แต่สิ่งสำคัญเราต้องรักษาใจให้บริสุทธิ์ ใจสะอาดความคิดก็สะอาด ชีวิตก็ปลอดโปร่ง แต่ถ้าจิตไม่สะอาด ความคิดสกปรก ความคิดมีแต่อคติติดลบ ชีวิตก็ขุ่นมัว ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้นักเรียนไม่เยอะแต่ก็อบอุ่นใช่หรือไม่ (ใช่)  มีคนดูแลล้อมหน้าล้อมหลัง นานๆ ทีจะได้เป็นคนสำคัญในคนหมู่มาก ดีใจไหม (ดีใจ)  แล้วเรารักษาความดีนั้นไว้หรือไม่ ทำตัวให้เขารักหรือทำตัวให้เขาชังหนอ
เราจะดีหรือร้ายแค่ไหน จงจำไว้เสมอว่าเราดีได้ไม่ใช่เพียงเพราะเราคนเดียว แต่ต้องมีคนอื่นเราจึงจะดี ฉะนั้นคนที่เรารักคนที่เรารู้จักก็สามารถร้ายได้ ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ร้าย แต่อาจจะเป็นเพราะเรา ถ้าคิดอย่างนี้เราจะไม่เคืองโกรธคนที่ร้ายใส่เรา ถ้าคิดเช่นนี้เราจะไม่โกรธคนที่ไม่ดีกับเรา เพราะคนหนึ่งดีได้ต้องมีคนอื่นช่วยให้ดี ถ้าคนที่เรารู้จักเขาร้ายเราก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาร้าย อย่าเอาแต่มองด้านเดียว กลับมาถามตัวเองว่าเคยดีกับเขาอย่างสุดจิตสุดใจหรือยัง ว่าเขาร้ายตัวเราไม่เคยร้ายกับเขาหรือ ธรรมะไม่ได้สอนให้เราดีแล้วเกลียดร้าย ดีแล้วประณามคนร้าย แต่ธรรมะสอนให้เราดีก็อยู่กับคนดีได้ ร้ายเราก็สามารถดำรงตนและเปลี่ยนแปลงคนไม่ดีอย่างเข้าใจและไม่รังเกียจเขา
บอกว่าตัวเราเป็นคนดี เเต่เอาเเต่เเช่งชักหักกระดูกคนไม่ดี แบบนี้เรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี)  คนดีจริงๆ ไม่เคยกล่าวร้ายใคร เพราะรู้ว่าตัวเองก็อาจเป็นส่วนที่ทำให้เขาไม่ดีก็ได้ คนที่ชอบด่า ขี้โมโห ขี้น้อยใจ เอาแต่ใจดีไหม (ไม่ดี)  ตัวท่านเองยังบอกว่าถึงฉันจะขี้บ่น ขี้โมโห ขี้น้อยใจ แต่ฉันก็มีดีบ้าง ฉะนั้นที่ไปว่าคนอื่นไปนินทา เขาเองก็คิดว่าเขาก็มีดีบ้าง ใครในโลกไม่ดีมีไหม (ไม่มี)  ถ้าคิดได้อย่างนี้คนเราก็คงไม่ต้องโกรธใคร
ชีวิตมนุษย์ถูกสร้างขึ้นด้วยใจ ถูกกำหนดด้วยความคิด เเละถูกสร้างสรรค์ด้วยการดำรงตน ชีวิตถูกสร้างขึ้นด้วยใจเเละดำเนินไปตามความคิดเเละการกระทำของตน ฉะนั้นถ้าอยากรู้จักชีวิตก็ต้องหันมามองใจเเละความคิดตัวเราเอง อยากรู้จักตัวเราไม่จำเป็นต้องไปแบมือให้หมอดู ไม่ต้องไปดูไพ่ ไม่ต้องเอาตัวเลขมาวัดดู เเต่ให้ดูที่ความคิดเเละใจ เพราะเราเชื่ออย่างไรเราก็คิดอย่างนั้น เราคิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เราคิดดีหรือไม่ดีก็ดูที่เราคิด การกระทำจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับวันนี้เราได้ทำสิ่งไหน อยากรู้อนาคตก็ถามว่าปัจจุบันคิดและทำอะไร คิดดีก็เป็นดังคำที่พูดว่า จิตบริสุทธิ์ความคิดก็แจ่มใส ชีวิตก็โปร่งสบายเบาใจ แต่ถ้าจิตขุ่นมัว ความคิดก็ขุ่นมัวชีวิตก็มืดมน แล้วปัจจุบันนี้ชีวิตแจ่มใส ความคิดแจ่มใส หรือชีวิตขุ่นมัว ความคิดมืดมน ถ้าตอนนี้รู้สึกว่าใจมันไม่โล่ง ใจมันไม่สบาย เกิดจากความคิดหรือไม่ ฉะนั้นอยากเปลี่ยนชะตาอยากเปลี่ยนชีวิตก็ต้องเปลี่ยนที่ (ความคิด) และ (จิตใจ) ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใช่ไปเปลี่ยนชะตาชีวิตที่วัดไหม (ไม่)
เมื่อสักครู่เราคุยค้างไว้เรื่องหนึ่ง ถ้าเราอยากเข้าใจชีวิต อยากรู้จักชีวิต ก็ให้มองที่ความคิดกับมองที่ใจ เพราะความคิดเป็นตัวกำหนดชีวิต ฉะนั้นมีสองเรื่องวันนี้ที่เราอยากคุยกับท่านเพื่อเรียนรู้เข้าใจตัวเอง หนึ่งคือความคิด สองคือหัวใจ ชีวิตนี้เราใช้อยู่สองอย่าง ใช้ใจหรือใช้ความคิด เรามาดูความคิด ส่วนใหญ่เรามักจะคิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เชื่ออย่างไรก็ทำอย่างนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามักคิดว่าความคิดของเราถูก เรามักจะคิดว่าเรารู้ชัด แล้วก็รู้จริง ถ้าเรามั่นใจในความคิดว่าเราคิดแล้วมันต้องใช่ แต่ในโลกของความจริง สิ่งที่คิดก็อาจไม่เป็นดังที่คิด และสิ่งที่เราคิดว่าเรารู้ก็อาจจะไม่ใช่เรารู้จริงก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าชีวิตของท่านเอาแต่เชื่อว่าตัวเองคิดแล้วใช่ คิดแล้วจริง ผิดได้ไหม (ได้)  พลาดได้ไหม (ได้)  ทุกข์ได้ไหม (ได้) เจ็บได้ไหม (ได้)  แต่เมื่อถึงเวลาแล้วทำใจได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นถูกและดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนเราถามท่าน ตอนนี้ดอกไม้สวย ท่านมั่นใจว่าสวยตลอดไหม (ไม่) ถ้ามีตาเห็นก็สวยได้ตลอด แต่ถ้าไร้ดวงตาก็มีวันอับเฉา อยู่ที่ความคิดเรา สมมติว่าเราไปเจอคนหนึ่งกำลังตีเด็ก แล้วก็ทำหน้าโกรธ ตอนนั้นเรารู้สึกว่าคนนี้เป็นอย่างไร (ใจร้าย) รู้สึกสงสารเด็ก รู้สึกว่าผู้ใหญ่คนนี้ใจร้ายจัง แต่ถ้าเกิดเราย้อนไปมองเหตุการณ์เมื่อสองสามชั่วโมงที่แล้ว เราเห็นว่าเด็กคนนี้เกือบจะตกน้ำแล้ว แต่แม่ไปช่วยทัน พอช่วยมาได้แล้ว ใจตอนนั้นทั้งรักมากและโกรธมากก็เลยตีลูกไม่ยั้งเลย คนเป็นแม่น่าจะรู้ดี ที่ตีไม่ยั้งเพราะอะไร โมโหว่าถ้าอีกนิดเดียวถ้าแม่มาช่วยไม่ทัน ลูกจะเป็นอย่างไร แล้วความคิดตอนนั้นมันยังอยู่ในใจ ว่าลูกต้องตายแน่ ถ้าแม่ไปช่วยไม่ทัน ก็เลยโมโหตีไม่ยั้ง แต่ลืมไปว่าตอนโมโหตีไม่ยั้งตอนนั้นลูกอาจจะตายเพราะมือแม่ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นระวังความคิด เพราะความคิดนอกจากสร้างชีวิตแล้ว ความคิดของเรายังควบคุมคนที่อยู่รอบข้างให้เป็นไปอย่างที่เราคิด อย่ามั่นใจว่าสิ่งที่คิดนั้นใช่ เหมือนที่ท่านบอกว่า คนด่าคนอื่นเป็นคนร้าย คนว่าคนอื่นเป็นคนไม่ดี แล้วถ้าเกิดว่าตอนนี้ เราอยากให้ลูกได้ดี อยากให้สามีได้ดั่งใจ อยากให้ลูกน้องได้ดี ด่าเขาไหม แล้วจริงๆ เราไม่ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วเวลาเราเห็นคนอื่นด่าเขา เราว่าเขาไม่ดีไหม เหมือนเวลาเราด่าเขา ถ้าไม่รัก ด่าไหม ถ้าไม่ห่วง บ่นไหม แล้วจริงๆ เราไม่ดีใช่ไหมเราเป็นคนใจดีแต่แสดงออกไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่จะทำให้ชีวิตเราเป็นอย่างไร อยู่ที่ความคิดกับการแสดงออก อย่าคิดว่าสิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราเห็น ต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไป เพราะในความเป็นจริง อาจจะไม่เป็นดั่งที่เราคิด และเป็นดั่งที่เราเห็น ฉะนั้นต่อไปเจอคนด่า อย่าเพิ่งด่ากลับแต่จงรู้จักสงบ และใช้สติใคร่ครวญไตร่ตรอง อย่าเอาแต่ใช้ความคิดปรุงแต่ง มนุษย์มีธรรมเพราะรู้จักใช้สติ   ยั้งคิด มนุษย์ประเสริฐเพราะรู้จักใช้ธรรมยับยั้งอารมณ์ ชีวิตน่าอยู่เพราะรู้จักรักษาความดี และมองเห็นความดีต่อกัน แม้เขาจะแสดงออกไม่น่ารักก็ตาม ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นต่อไปถ้าเจอคนว่า เจอคนด่า อย่าจมอยู่แต่ความคิดและความรู้สึก อย่ามองว่าการด่านั้นไม่ดี เช่นถ้าเขาทำเราเจ็บ เขาทำเราทุกข์ ดีไหม (ไม่ดี)  จริงๆ มองไปมองมา เจ็บบ้าง ทุกข์บ้าง จึงได้รู้ว่า ใครรักเราจริง มีวันที่แย่บ้าง มีวันที่ไม่ดีบ้าง จึงรู้ว่าใครเป็นมิตรแท้ และจึงรู้ว่า ชีวิตเรายังมีคนที่น่ารักๆ คอยห่วงใยเราอยู่ ไม่เจ็บบ้าง ไม่ทุกข์บ้าง จะรู้หรือว่าใจเราเข้มแข็งหรือไม่ โดนด่าบ้าง โดนว่าบ้าง จะรู้ว่าเราดีแท้หรือดีไม่จริง ทองแท้ไม่กลัวไฟหลอม คนดีจริงไม่กลัวคำติต่อว่านินทา
ฉะนั้นต้องรู้จักนิ่งสงบ ไตร่ตรองให้ดี อย่าเอาแต่คิดฟุ้งซ่านเพราะไม่เคยช่วยให้เรารอดในโลกใบนี้ มนุษย์เป็นในสิ่งที่คิดเเละต้องรับผลในสิ่งที่ตนเองกระทำ ถ้าไม่อยากโดนด่ากลับ เราก็อย่าด่าตอบ ดีไหม (ดี)  ไม่ชอบให้คนด่าเรา เราก็อย่าด่าใคร ดีไหม (ดี)  เเต่เราก็ยังด่า ในเมื่อลึกๆ เราอยากได้ความสงบ ถ้าเขาวุ่นวายแล้วทำไมเราไม่สงบ ลึกๆ แล้วเราไม่อยากวุ่นวาย เราไม่อยากมีเรื่อง เเต่เมื่อเขามีเรื่องมาเเล้วทำไมเราจึงมีเรื่องกลับ ถ้าเรารักตัวเราเองจริง เเละมองเห็นชีวิตเเละความคิดตัวเราจริง เราจะไม่ทำใครวุ่นวาย เราจะไม่ทำให้ใครทุกข์ เเละเราอยากให้ทุกคนมีความสุขเเละสงบ จริงไหม
เมื่อเรามองเห็นจุดยืนของเรา เราจะทำใครวุ่นวายและเราจะด่าทอให้ใครเจ็บปวดไหม เมื่อสักครู่นี้เราดูเรื่องความคิด ตอนนี้เรามาดูเรื่องใจ สิ่งที่ชีวิตเราเป็นไปมีอยู่สองอย่างที่ควบคุมเราคือ “ใจกับความคิด” ถ้าไม่อยากรับผลของการกระทำก็จงอย่าทำอะไรที่ไม่คิดหรือคิดอย่างไม่รอบคอบ มาดูที่ใจ ใจของมนุษย์เวลาที่จะทำอะไร เรามักจะทำตามความรู้สึก เมื่อรู้สึกดีก็ทำ รู้สึกไม่ดีก็ไม่ทำ ใครทำให้เรารู้สึกดีเราก็ทำดีตอบ แต่ถ้าใครทำให้เรารู้สึกไม่ดีเราก็ร้ายตอบ ชีวิตเรามีอยู่สองอย่าง ไม่ตามความคิดก็ตามใจตัวเองที่รู้สึก ถ้าวันไหนเรารู้สึกดีเราก็ทำได้เรื่อยๆ แต่ถ้าวันไหนเรารู้สึกไม่ดี เราก็ไม่อยากทำอะไรแล้ว ชีวิตของมนุษย์ดำเนินไปด้วยความรู้สึก แล้ววิ่งไปตามความรู้สึกเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายนั้น เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  อยากให้รู้สึกดีมากๆ เมื่อดีแล้วก็ต้องดียิ่งขึ้น อย่างน้อยถ้าไม่ดีก็อย่าร้าย จนกลายเป็นว่าเราติดความรู้สึก ชีวิตอยู่ได้ด้วยความรู้สึก ถ้าไม่รู้สึกดีก็ไม่อยากรู้สึกร้าย จึงกลายเป็นคนติดดี จะทำอะไรก็ต้อง (ดี)  ร้ายได้ไหม (ไม่ได้)  จะทำอะไรก็ต้องสุข ห้ามทุกข์ การที่เราติดความรู้สึกนี้ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วคนที่ต้องเจ็บกับความรู้สึกนั้นคือใคร (ตัวเราเอง)
ธรรมสอนว่าทางแท้มีหนึ่งเดียวคือทางสายกลาง ตึงเกินไม่ดี หย่อนเกินไม่ดี แล้วรู้ไหมว่าตึงเกิน ทางธรรมแปลว่าอะไร เกลียดมาก โกรธมาก ไม่พอใจมาก ไม่ชอบใจมาก นั่นแหละทางที่ไม่ถูก แต่อีกทางหนึ่งที่หย่อนเกิน ไม่ใช่ทางแท้ ไม่ใช่ทางที่นำไปสู่ความสุข นั่นก็คือชอบมาก พอใจมาก ดีใจมาก อีกอันหนึ่งตึงเกิน อีกอันหนึ่งหย่อนเกิน ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วเราลืมทางสายกลางไปไหม ดั่งที่บอกว่าดีมากขึ้นสวรรค์ ร้ายมากตกนรก แล้วธรรมะนั้นอยู่ที่ไหน ตรงกลาง ดีก็ได้ ร้ายก็ไม่เป็นไร เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นก็พอ ใช่หรือไม่
เราลืมธรรมสายกลางไปไหม แล้วตรงกลางดีไหม (ดี)  แต่ไม่ค่อยมีใครกลาง ใช่ไหม (ใช่)  พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่าตึงเกินก็ไม่ดี หย่อนเกินก็ไม่ดี สุขเกินไปก็ไม่ดี ทุกข์มากไปก็ไม่ดี เพราะสองทางนี้เป็นทางที่ไม่สงบ เป็นทางที่มีมูลเหตุมาจากความหลง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เป็นทางที่มีมูลเหตุมาจากตัณหา ความอยากได้ใคร่ดี ทำอย่างไรที่จะทำให้ใจนี้มีพลังและสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้อย่างสงบสุข ทางพุทธศาสนาจึงสอนว่า ศีลคือความปกติ สมาธิคือความสงบ ปัญญาคือความรู้แจ้งเห็นชัด ไม่ว่าเจออะไร สงบและปกติได้ นั่นก็คือคนที่เดินทางธรรม แต่ศีลเราก็ไม่ครบ ใจเราก็ไม่สงบ ปัญญาเราก็เลยไม่เกิด ฉะนั้นทำอย่างไรให้ใจเรามีพลังพอที่จะรักษาความปกติ ความสงบได้ และมีปัญญาเห็นชัด สิ่งที่จะทำให้ใจมีพลังและใจมีอำนาจเหนือทุกสิ่งได้ ควบคุมชีวิตได้ นั่นคือ “สติ” เคยได้ยินไหม “สติคือชีวิต สติคือพลัง สติคือธรรม” ธรรมจะไม่สมบูรณ์แบบถ้าขาดซึ่งสติ สติเป็นมูลเหตุให้เกิดความระลึกได้ที่เรียกว่า “สัมปชัญญะ” สติเป็นมูลเหตุให้เกิดความสงบและนำมาซึ่งปัญญาความเห็นแจ้ง แต่มนุษย์มักทำอะไรขาดสติ ใช้แต่ความคิด และความคิดก็ง่ายที่จะไหลไปตามนิสัยอารมณ์ของใจ แต่สติช่วยยั้งใจให้ระลึกได้ เราจะมีพลังของใจได้ก็ต่อเมื่อนิ่งได้ นิ่งได้สงบก็เกิด สติก็มา ปัญญาก็มี แต่ถ้าทำอะไรแล้วนิ่งไม่ได้ สงบไม่ได้ สติมาไม่ได้ เราจะไม่มีวันสงบ จริงไหม
สิ่งที่ท่านฟังเเล้วนำไปหยั่งในใจบ่อยๆ ท่านจะเกิดปัญญาเห็นแจ้งในธรรมเเละตื่นรู้ด้วยใจ เจออะไรก็นิ่งไว้ เมื่อนิ่งสติจะเกิด เเต่คนปัจจุบันนี้ไม่เคยนิ่ง ร้ายมาร้ายตอบ แรงมาแรงตอบ ด่ามาด่าตอบ เราเป็นในสิ่งที่เราคิดเเละทำ อยากเปลี่ยนแปลงชีวิตก็ต้องเปลี่ยนที่ความคิด เพราะเรามีจิตที่มีพลังเหนือสิ่งอื่นใด เเละพลังแห่งจิตนี้จะนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้ ความทุกข์เหมือนกับการตี เวลาเราเจ็บ เราไหลไปตามความคิดว่าเจ็บ เเต่ถ้าเรามีสติคิดได้ ชีวิตไม่ใช่เกิดมาเพื่อเป็น เพื่อรู้ หรือเพื่อเห็น เเต่ชีวิตเกิดมาเพื่อเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องเป็น เเค่รู้เเค่เห็น ทุกข์ที่โดนตีเเต่ไม่ได้ทุกข์ที่ใจ เหมือนกับเขาว่าเรา เจ็บที่ใจเพราะเราเอาคำพูดเขามาใส่ใจ ใครให้ของอะไรเราก็ตาม ถ้าเราไม่รับ ของนั้นย่อมคืนผู้ให้ ถ้าเราไม่เอามาใส่ใจ คำพูดนั้นจะทำเราเจ็บไหม ทุกครั้งที่ทำให้เราเจ็บเพราะเราเอามาใส่ใจ เพราะฉะนั้นชีวิตเราเกิดมาเพื่อเป็นเเละเรียนรู้เเล้วจะได้ไม่ต้องเป็น แค่รู้แต่ไม่เป็น เจ็บแค่ที่กายแต่ไม่ลงที่ใจ ทุกข์แค่ที่สังขาร แต่ไม่ลากไปทุกข์ที่ใจ นี่เรียกว่าฝึกจิตตัวเองโดยใช้ธรรมะ มีสติรู้เท่าทัน แม้กระทั่งความเจ็บและความคิดตัวเอง เหมือนกำลังจะคิดร้าย จะคิดว่าเขาไม่ดี ถ้าเราเห็นทัน และเรารู้จักตัวเองทัน ว่าเราอยากสงบ เราจะด่าเขาไหม (ไม่)  เราอยากสุขไหม (อยาก)  เขาอยากสุขไหม (อยาก)  แล้วเราด่าเขาจะสุขไหม (ไม่สุข)  เสียตรงที่คิดไม่ทัน สติมันตามไม่ทัน มานึกได้ตอนที่ด่าไปแล้ว เราก็ต้องมารับผลของการกระทำของตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราทุกข์ในขณะที่คนอื่นยิ้ม เราก็ยังพยายามยิ้มต่อได้ แต่ถ้าเรายิ้มในขณะที่คนอื่นทุกข์ เชื่อไหมว่า ยิ้มยังไงก็ยิ้มไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอย่าพยายามเอาทุกข์ไปให้ใคร เพราะถึงเวลาคนที่จะต้องรับผลของการกระทำ ก็คือตัวเราเอง อย่าลืมนะในโลกนี้ ทำให้คนยิ้มนั้นง่าย แต่ทำคนทุกข์แล้วให้กลับมายิ้มนั้นยาก
คุยกันสั้นๆ ง่ายๆ ยากไหม (ไม่ยาก)  พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)  ยอมทนนั่งฟังได้ทั้งวัน ถือว่ามีความอดทนเป็นเลิศ ถือว่ามาฝึกสิ่งที่ยาก ฝึกในตัวเราเอง วันนี้เรามาผูกบุญกับท่านสั้นๆ เพียงแค่นี้ มีโอกาสคงได้ผูกบุญกันอีกนะ ลองศึกษาให้เข้าใจความหมายแห่งธรรมที่แท้จริง ธรรมที่แท้จริงไม่มีเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ แต่เป็นเรื่องที่สูงที่สุดก็คืนสู่สามัญ ธรรมที่แท้จริงคือความเป็นจริงอันธรรมดา เมื่อปฏิบัติแล้วสามารถอยู่กับผู้อื่นได้อย่างกลมกลืนสอดคล้องและไม่เป็นทุกข์ สามารถอยู่กับความทุกข์ได้อย่างเข้าใจ เช่นนี้เรียกว่ามีธรรมใช้ธรรม แต่ไม่ใช่มีธรรมแล้วจะต้องโชคดีไม่เจ็บป่วย มาฟังธรรมแล้วจะเจอแต่เรื่องดีไม่เจอเรื่องร้ายก็ไม่ใช่ เพราะธรรมคือความจริง ความจริงไม่ว่าดีหรือร้ายก็คือธรรม มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก


วันอาทิตย์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๑               สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
    การมองย้อนจำเดิมคือท้อ ถัดจากท้อคือความแปลกใจ
ติดที่เดิมนานหลาย เป็นทั้งทั้งที่รู้อยู่ เจ้าลองยุ่งแต่ปรับปรุงตัว
สติเป็นรั้ว ติเป็นคำครู ย้อนมองมากเท่าไหร่ไม่รู้ ให้สายก็ยังมอง
                                เราคือ
   จี้กงอาจารย์เจ้า           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา       ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคน มุ่งมั่นตั้งใจบำเพ็ญแน่วแน่จริงไหม

  เห็นเขามีเกิดความคิดไม่อิสระ         เกิดต้องดับทุกขณะไม่ห่างเหิน
ติดวัตถุสู่ความไปเป็นทาสเงิน            ปลงคือรู้เพื่อมาเจริญจิตสัมมา
ถึงธรรมละวางธรรมจึงถึงสุข             จิตพิสุทธิ์ได้คืนสู่บ้านเดิมหนา
เกิดเป็นคนไม่บำเพ็ญก็ไร้ค่า              มีปัญญาไม่ช่วยตนน่าเสียดาย
ไม่เคยคิดปลดปลงทำใจบ้าง              เมื่อเจอปัญหาก็ต่างรับไม่ไหว
ฝึกมีธรรมใช้ธรรมย้ำเตือนใจ             โลกไม่เที่ยงทุกข์เท่าไหร่จึงรู้กัน
ทุกข์เพราะอยากทุกข์เพราะหลงยึดติดถือ       มากทุกข์คือไม่เคยวางซึ่งตัวฉัน
ยึดมั่นหมายในตัวตนเป็นสำคัญ          ที่สุดนั้นไม่มีสิ่งใดของเรา
                                                                        ฮา ฮา หยุด

    การได้คิดหลับอยู่ข้างใน ทำจังได๋จึงสื่อสารกัน การจะปลุกใจนั้นกวดขันความมีปัญญา ที่ผ่านผ่านมาเป็นอย่างไร คำถามใดล้วนธรรมดา มีแต่คำถามเรียกปัญญาที่พาให้เกิดธรรม
เรื่องแข่งขันไม่เคยเป็นสอง เก่งช่ำชองเกินใครกว่าใคร สูงสุดคืนสามัญบ้างไหมผู้บำเพ็ญอยู่ รู้ไม่ยากตระหนักเป็นไหม เมตตามัดใจชนะทั้งหมู่
มีดีมากมักไม่รู้หนทางบำเพ็ญธรรม
*ศิษย์เอ๋ยชีวิตมีอันตราย พึงลดละและปลงได้ ทบทวนจุดหมาย
ความตั้งใจทุกวันยังเพิ่ม ทุกข์แรกแรกเหมือนติดชนัก แม้ตัวพักใจวุ่นวายกว่าเดิม ความหลุดพ้นต้องตั้งใจเสริมด้วยใจนักสู้
**การมองย้อนจำเดิมคือท้อ ถัดจากท้อคือความแปลกใจ
ติดที่เดิมนานหลาย     เป็นทั้งทั้งที่รู้อยู่ เจ้าลองยุ่งแต่ปรับปรุงตัว สติเป็นรั้วติเป็นคำครู ย้อนมองมากเท่าไหร่ไม่รู้ ให้สายก็ยังมอง (ซ้ำ *,**)

ทำนองเพลง : คู่คอง
ชื่อเพลง : พลันคิดได้

หมายเหตุ สามย่อหน้าแรกเป็นเพลงพระโอวาทพระอาจารย์จี้กงเมตตา ประทานให้ที่ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น วันที่ ๒๐-๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๑
              ย่อหน้าสุดท้าย เป็นกลอนนำพระอาจารย์จี้กง เมตตาประทานให้ที่ สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี วันที่ ๑๗-๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

“การมองย้อนจำเดิมคือท้อ ถัดจากท้อคือความแปลกใจ ติดที่เดิมนานหลาย เป็นทั้งทั้งที่รู้อยู่”
เคยไหมเวลาว่างๆ ไม่ทำอะไร อยู่ๆ ก็นึกเรื่องเก่าๆ แล้วก็ถอนหายใจไม่น่าเลย ทำไมชีวิตฉันเป็นแบบนี้ แล้วก็แปลกใจตัวเองว่าทำไมถึงทำอย่างนั้นไปได้ แต่พอผ่านไปกี่ปีๆ เราก็ยังพลาดเรื่องเดิมๆ ผิดในเรื่องซ้ำๆ ไม่น่าใจร้อนก็ใจร้อน ไม่น่าขี้โมโหก็ขี้โมโห ไม่น่าพูดมากก็พูดมาก ควรจะใจเย็นให้เยอะๆ ก็กลายเป็น (ใจร้อน)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตามมารยาทของสังคม เป็นใครมาจากไหนก็ต้องบอกก่อนว่าชื่ออะไร ถ้าอาจารย์บอกว่าไม่มีชื่อล่ะ มีชื่อแล้วทุกข์  มีชื่อแล้วเจ็บ ไม่มีชื่อดีกว่า เวลาโดนใครว่า ว่าใครไม่รู้ เพราะไม่มีชื่อ แล้วจริงๆ เรามีชื่อ ดีไหม ลองคิดให้ดีๆ อันนี้ก็ของฉัน อันนั้นก็ของฉัน ยิ่งมีของฉันมากเท่าไรมันก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น ถ้าจะบอกว่าอันนั้นก็ไม่ใช่ของฉัน อันนี้ก็ไม่ใช่ของฉัน แล้วจริงๆ มันของฉันไหม ฉะนั้นไม่รู้จักชื่อกันเลยดีไหม (ไม่ดี)  จริงๆ แล้วชื่อก็เป็นแค่นามสมติ ถึงเวลาแล้ว เราก็ต้องจากไป ชื่อนั้นก็ทำอะไรเราไม่ได้แล้ว จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าศิษย์อยู่ในโลกนี้ อยู่เหมือนคนไม่อยู่ มีเหมือนคนไม่มี เป็นเหมือนคนไม่เป็น แล้วเราจะไม่ทุกข์ เราอยากอยู่แล้วให้คนเห็นค่า ใช่ไหม (ใช่) ฉันก็เป็นนะ มาว่าฉันไม่เป็น ฉันก็มีตัวมีตนนะ ไม่เห็นตัวตนฉันหรือ แล้วทุกข์ไหม ในเมื่ออยู่เหมือนไม่อยู่ก็ได้ มีเหมือนไม่มีก็ได้ เป็นเหมือนไม่เป็นก็ได้ โง่หน่อย มีน้อยหน่อย รู้น้อยหน่อย ได้น้อยหน่อย ไม่เห็นเป็นไรเลย แม้กระทั่งไม่ได้เลย ก็ยังดีนี่ ใช่ไหม (ใช่)  ขอแค่เพียงสู้ ไม่ท้อ ไม่มีก็สู้ใหม่ได้ ไม่เป็นก็เรียนรู้ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจะไปกลัวอะไรกับคำดูถูก สำคัญที่ รู้ตัวเอง ว่าเราเป็นหรือไม่เป็น ได้หรือไม่ได้ สำคัญที่สุด ใช่ไหม (ใช่) คำพูดของคนก็เป็นเพียงลมปาก พลิ้วไปเท่านั้นเอง จริงไหม (จริง)  แต่ทำไมมันพลิ้วแล้วมันจุก โอ้ย! เจ็บเหลือเกินอาจารย์ ใช่ไหม (ใช่)  ใช่หรือ น่าสงสารนะ ไหนบอกว่าคำพูดก็เป็นเพียง (ลมปาก)  แล้วทำไมกลายเป็นมีดแทงอกได้ล่ะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลองไตร่ตรองให้ดีว่าสิ่งที่อาจารย์เย้าหรือแหย่ศิษย์นั้น มันเป็นจริงหรือไม่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เป็นคำโป้ปดหลอกลวงศิษย์ไหม เอาง่ายๆ วันนี้อาจารย์มาขอสักบาทหรือยัง มาเอาอะไรศิษย์สักบาทไหม แล้วจะมาบอกว่าอาจารย์หลอกตรงไหน
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคน มุ่งมั่นตั้งใจบำเพ็ญแน่วแน่จริงไหม
(มุ่งมั่น)  อย่างนั้นหรือ ยังไม่เข้าใจเลยว่าบำเพ็ญคืออะไร มุ่งมั่นจริงๆ แล้วหรือ
เมื่อศิษย์ตั้งใจบำเพ็ญแล้วเหมือนบำเพ็ญตัวคนเดียว ท้อไหม (ไม่ท้อ) เหมือนทำอยู่คนเดียว ดีอยู่คนเดียว ท้อไหม ล้าไหม (ไม่ท้อ, ไม่ล้า)  จริงนะ (จริง)  เห็นแอบนั่งร้องไห้ “เหนื่อยจริงๆ เลยอาจารย์กว่าจะได้สักคนหนึ่ง เหนื่อยมาก ไม่ไหวแล้วอาจารย์” เหมือนเราพยายามเป็นคนดีในโลก บางทีเราก็ล้า บางทีเราก็ท้อ บางทีเราก็เหนื่อยใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่า อย่าทำดีเพื่อตัวตน แต่ทำดีเพื่อความดี เพราะถ้าทำดีเพื่อตัวตนมันมีจำกัด มีความเหนื่อย มีความท้อ แต่ทำดีเพื่อธำรงรักษาความดีไว้ให้มีอยู่ในโลก ให้โลกน่าอยู่ อย่างนั้นมีค่ากว่ากันนะ ทำเพื่อให้ ไม่ได้ย้อนกลับมาเพื่อตัวเรา ทำแล้วมีแต่ให้ออกไป เราจะไม่เหนื่อย แต่ถ้าทำแล้วต้องถอนหายใจ ทำไมจึงไม่ได้ แบบนี้จะเหนื่อย จริงไหม (จริง)  ลองทำเพื่อหวังให้คนอื่นรู้สึกดี มันเหนื่อย มันมีจำกัด มันมีระยะเวลา “ไม่ไหวแล้ว ไม่เอาแล้ว” แต่ทำเพื่อธำรงรักษาความดีให้ยั้งอยู่ในโลก เพื่อให้คนอื่นได้แลเห็น เพื่อให้รุ่นหลังได้มองเห็นว่า แม้ใครไม่ดีฉันจะดีที่สุด ใครไม่ดีฉันจะดีจนตัวตาย ใครไม่เอาฉันจะเอาดี มันไม่มีคนอย่างนี้ในโลกใช่ไหม มีสิ เรานี่ไง ใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดว่าไม่มีมันก็ไม่มี ใช่ไหม (ใช่)  คิดว่ามันมีและมันต้องเป็นไปได้ และคือเรานี่แหล่ะ ใช่ไหม (ใช่)  จะโดนใครแกล้ง จะโดนใครด่า ยังไงฉันก็จะยังดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เริ่มต้นยากไหม (ไม่ยาก)  แต่ขอดีแบบไม่หวังผลนะ ดีเพื่อให้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะได้ไม่ท้อนะ
ตอนนี้เรามาคุยกันต่อหน่อย เรามีอะไรเล่นนิดหนึ่งนะ ถ้าตอบได้อาจารย์ให้นั่ง แต่ถ้าตอบไม่ได้ก็ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ ตกลงไหม (ตกลง)  ตกลงนะ เราตกลงกันแล้วนะ ตอบได้ได้นั่ง ตอบไม่ได้ (ยืน)  คำไหนคำนั้นนะ เกิดเป็นคนอย่าโกหกนะ โกหกนั้นตายตกนรกนะ อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ถ้าพูดถึงธรรมเรานึกถึงอะไร
(ความดี)  ความดีใช่ไหม แล้วพอพูดถึงธรรม นอกจากนึกถึงความดีแล้วเรายังนึกถึงอะไรอีก
(สติและปัญญา)  สติและปัญญาใช่หรือไม่ แม้จะไม่ค่อยมาก็ตามใช่ไหม ถ้าพูดถึงธรรมเรานึกถึงคือ (ความดี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใครทำดีคนนั้นมี (ธรรม)  ถ้าใครทำไม่ดีคนนั้นไม่มี (ธรรม)  เวลาเราพูดถึงธรรม เรามักจะนึกถึงความดีถูกไหม อย่างเดียวหรือ
(คำสอนที่เกี่ยวกับทำความดี)  คำสอนที่เกี่ยวกับทำความดี วันนี้ไม่ต้องไปไหน อยู่แต่ตรงดีนี้แหละนะ ถ้าพูดถึงธรรมนึกถึง
(นึกถึงตัวเรา)  พูดถึงธรรมนึกถึงตัวเรา
(Everything is nothing at same time)  ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงมันไม่เที่ยง เขาตอบได้ดีนะ
นึกถึงความซื่อตรง นึกถึงว่าเราต้องเอาสิ่งนั้นมาปฏิบัติให้เกิดความดี ให้รู้จักสำนึกคุณ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งตอบยิ่งดีนะ อาจารย์ถามนะ คนที่ตอบจะนั่งแล้วปล่อยให้คนอื่นยืน หรือปล่อยให้คนอื่นนั่งแล้วตัวเองยืน (ให้คนอื่นนั่ง)  นี่แหละธรรมอยู่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ที่พูด แต่ต้องอยู่ที่ทำได้ด้วย พูดดีขนาดไหน แต่ถ้าไม่ลองทำเลยก็ไม่เรียกว่าธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอยปฏิบัติธรรมไม่ใช่เอาตัวเองรอดแล้วลืมนึกถึงคนอื่นนะ
ส่วนใหญ่พอพูดเรื่องธรรม ศิษย์ก็จะนึกถึงคนดี การปฏิบัติดี ถ้าพูดถึงปฏิบัติธรรม ศิษย์ก็จะนึกถึงทำบุญทำทาน สร้างบุญสร้างทาน สร้างโบสถ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ก็เลยนิยามว่าการปฏิบัติธรรม การมีธรรมก็คือเป็นคนดี ทำบุญสุนทาน สวดมนต์และบริจาคเงิน ศิษย์จะสรุปได้แค่นี้ ในเมื่อทำดีแล้ว บุญก็ให้แล้ว ทานก็ให้แล้ว ทำไมยังไม่ดีอีกล่ะ
ปฏิบัติก็ปฏิบัติแล้ว ทำไมไม่เห็นสิ้นทุกข์สักทีเลย ปฏิบัติธรรมต้องเป็นคนดี แต่ศิษย์ลืมไปอย่างหนึ่ง ก่อนจะเป็นคนดีพระพุทธะสอนให้เราต้องรู้จักคำว่า “เสียสละ” ดีขนาดไหนแต่ถ้าไม่ละชั่วก็ไม่ดี แล้วศิษย์เป็นแบบไหน ดีก็ทำชั่วก็ทำ แล้วจะดีตรงไหน ถูกไหม (ถูก)  ปฏิบัติธรรมคือทำบุญให้ทาน บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ แต่ก่อนจะทำบุญเราก็โลภ แล้วจะได้อะไรไหม บุญนั้นยังประกอบไปด้วยความโลภ ความอยาก กิเลส หลักสำคัญของการศึกษาธรรมคือละชั่วบำเพ็ญบุญ ถ้าศิษย์ยังทำดีอยู่แต่ชั่วไม่ละ ศิษย์ก็ยังไม่ได้บำเพ็ญอะไร ถ้าศิษย์ทำบุญแต่ยังเต็มไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ศิษย์ก็ยังไม่ถึงบุญ แต่ทางที่ดีที่สุดคือไม่ทำชั่ว นั่นแหละดีที่สุดแล้ว แต่มนุษย์บุญก็ทำ ด่าคนก็ยังด่า แต่บุญนี้กอปรไปด้วยการโกงเขา ทุจริต เจ้าเล่ห์ ไม่ซื่อสัตย์ทำแล้วเดี๋ยวค่อยไปทำบุญชดเชย ถูกไหม (ไม่ถูก)  ในทางกลับกัน ถ้าเขาอยากได้ก็ให้เขาไป เราอยากน้อยหน่อย เราได้ทำบุญกับเขาไหม (ได้)  แต่ศิษย์จำกัดการทำบุญ ต้องทำบุญที่วัด ต้องดีกับพระ ทำไมเราไม่ทำกับทุกคน ถ้าเขาอยากได้ เรายอมละเพราะเราไม่อยาก ตำแหน่งมาช้าหน่อย แต่ช้าแล้วมั่นคง ดีกว่าตำแหน่งมาไวแต่กลับรู้สึกกลัว
เงินมาช้าหน่อย แต่ช้าแล้วได้ใจทุกคน ดีกว่าเงินมาไว แต่ฆ่าทุกคน เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด ใช่ไหม (ไม่ใช่)
เมื่อพูดถึงปฏิบัติธรรม อาจารย์อยากจะขอเน้นย้ำว่าเพียงแค่ศิษย์ไม่ทำผิด ไม่ผิดศีล ไม่ผิดบาป นั่นก็เรียกว่าคนดีแล้ว ขอเพียงศิษย์ละความชั่วทั้งหลายเสีย ศิษย์ก็เป็นคนดี แต่มนุษย์พยายามดีแต่ไม่ละชั่ว จึงไม่อาจเรียกว่าคนดีที่แท้จริงได้ พยายามทำบุญเพื่อจะได้หมดทุกข์ แต่ทำบุญเท่าไรก็ไม่สิ้นทุกข์ เพราะในการทำบุญนั้นยังเต็มไปด้วยกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ถูกหรือไม่ ถ้าทำบุญแล้วอยากสิ้นทุกข์ ก็จงรู้จักละกิเลส ละความโลภ ละความโกรธ ละความหลง เราก็จะได้ไม่มีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเริ่มต้นไม่ยากถูกหรือไม่ แต่เวลาทำจริงๆ ทำไม (ยาก)  เวลาทำจริงๆ ทำได้ไหม (ได้)  ก็เพียงแค่สิ่งที่มันผิดศีลขาดธรรม เราไม่ทำ อะไรที่ทำให้เราจิตหม่นหมองขุ่นมัว เราก็อย่าทำ  ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่นเวลาเขาคิดร้าย เราก็คิด (ดี)  เวลาเขาคิดดีเราก็คิด (ดี)  ศิษย์อยากถึงซึ่งความสิ้นทุกข์บ้างไหม (อยาก)  เราอยู่ในโลกเราอยากหาทางสิ้นทุกข์ดับทุกข์บ้างไหม อาจารย์ว่าไม่อยากมากก็อยากน้อยใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าอาจารย์บอกว่าอาจารย์พอมีทางที่ทำให้ศิษย์ไปถึงซึ่งความดับทุกข์ ศิษย์สนใจไหม (สนใจ)  ถ้าศิษย์อยากดับทุกข์ในใจหรือดับทุกข์ในตัวเรา สิ่งสำคัญอย่างแรกอาจารย์ขออย่างหนึ่ง อย่าแก้คนอื่นให้แก้ที่ (ตัวเรา)  อย่ามุ่งไปเปลี่ยนคนอื่น แต่มุ่งเปลี่ยน (ตัวเรา)  ได้ไหม (ได้)  เราไม่มีหน้าที่ไปเปลี่ยนแปลงใคร เราไม่มีหน้าที่ไปแก้ไขใคร สิ่งสำคัญรักษาใจตัวเองให้ดี แล้วรักษาใจตัวเองอย่างไร อาจารย์ของ่ายๆ
๑.รับผิดชอบต่อหน้าที่ด้วยความซื่อตรงจริงใจ และกอปรไปด้วยความเมตตา เช่น ขายของด้วยความเมตตาไหม ขายของด้วยความซื่อตรงไหม พูดความจริงไหม เกิดเป็นคนรับผิดชอบต่อหน้าที่ ปฏิบัติต่อผู้คนไม่ผิดศีลขาดธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน มองผู้คนไม่ละอายใจ ฉะนั้นใครจะว่าเราผิด เรากลัวอะไร ถูกไหม (ถูก)  ในเมื่อดูตัวเองแล้วหน้าที่เราทำได้ดีแล้ว เมตตา ซื่อตรง จริงใจ มีพร้อม ฉะนั้นจะตายก็ตาย จะโดนด่าก็โดนด่า อย่างน้อยเกิดมาก็ไม่อายฟ้าไม่อายดิน มองหน้าผู้คนก็ไม่รู้สึกผิด ฉะนั้นกลัวอะไร กลัวอย่างเดียวไม่เคยทำ
๒.หมั่นศึกษาธรรมเพื่อเสริมสร้างสติปัญญา
๓.ทำความคิดเห็นให้ถูกต้อง เพื่อจะได้พบความสงบและดับทุกข์ 
หมั่นฟังธรรมเรื่อยๆ เพราะว่าจิตของศิษย์ไม่ใช่บัวที่พ้นน้ำที่ฟังธรรมแล้วจะเข้าใจชัดแจ้งเลย เราต้องยอมรับตัวเองว่าเรายังเป็นบัวปริ่มน้ำหรือบัวใต้น้ำ ติดโคลนด้วย ใช่ไหม (ใช่)  เราจะฟังทีเดียวแล้วทะลุปรุโปร่ง ฟังทีเดียวแล้วดับทุกข์ มันเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นหมั่นฟังบ่อยๆ เพื่อจะได้สั่งสมสติปัญญาและความคิดเห็นที่ถูกต้อง เพื่อจะได้นำพาให้เราไปพบกับความสงบ บ่อยครั้งที่ชีวิตขึ้นอยู่กับความคิด ถ้าคิดผิด วางใจผิด มันก็ดำเนินชีวิตผิดไปตลอดทาง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าคิดว่าเราถูก เราดี เราเก่ง ใครพูดอะไรเราก็ไม่ฟัง แม้เอาพุทธะร้อยองค์มาโปรด ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ถ้าไม่เปลี่ยนซึ่งความคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วใครจะเปลี่ยนได้ นอกจากตัวศิษย์เอง ต้องตื่นรู้ด้วยใจตัวเองว่าฉันเข้าใจผิดไปแล้วนะ เมื่อไหร่ที่ยอมรับว่าฉันผิด ศิษย์ก็พร้อมจะเปลี่ยนแปลงชีวิต ถูกไหม (ถูก)
สามอย่างยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่แก้ข้างนอก แก้ข้างใน ไม่ผลัดให้ใครทำ เริ่มที่เราทำก่อน ทำให้ถูก ทำให้ตรง ทำให้เที่ยง ทำให้ดี ทำให้งาม ใครว่าอะไร เราก็จะไม่หวั่นไหว โลกจะทุกข์จะสุข จะดีร้ายยังไง เราก็ไม่กลัวเกรง เพราะเราทำสิ่งที่ถูกต้องเที่ยงแท้แน่นอนแล้ว จริงไหม (จริง)  แต่ตอนนี้ยังไหวเอนอยู่ เดี๋ยวก็ดีบ้าง เดี๋ยวก็ไม่ดีบ้าง ถ้าศิษย์เริ่มต้นได้อย่างนี้ ยากไหม (ไม่ยาก)  อาจารย์มีข้อไหนที่บอกว่า ให้ศิษย์มาบวช ไม่ต้องอยากอะไรเลย แบบนั้นมีไหม ศิษย์ยังกลับไปเป็นคนปกติธรรมดา แต่เป็นคนปกติที่รักษาธรรมเป็นยอด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ศิษย์ก็บอก “อาจารย์ แต่อยู่ในโลก มันก็อดที่จะอยากไม่ได้นิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี” ใช่ไหม (ใช่)  เห็นเขาหล่อเห็นเขาดี ยังอยากไหม ศิษย์เอย สิ่งไหนที่อยากมากก็ (ทุกข์มาก)  อยากน้อยก็ (ทุกข์น้อย)  ไม่อยากเลยก็ (ไม่ทุกข์เลย)  ศิษย์ก็รู้ทุกคนนี่ แต่อยากไหม (อยาก)  ศิษย์เคยได้ยินไหม เมื่อไรที่อยาก สิ่งใดมีคุณอนันต์สิ่งนั้นก็มีโทษมหันต์ ก็รู้นี่นา แล้วอยากไหม ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า เวลาเราอยาก ยิ่งเราได้มากเท่าไร เราก็สุขมากเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ได้มากก็เจ็บมากทุกข์มาก จริงไหม (จริง)  หวังมากก็ผิดหวังมาก ใช่ไหม (ใช่)  แล้วยังอยากไหม อยากเพราะชีวิตมันต้องเสี่ยงมันต้องลอง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนถือผลไม้มีแอปเปิล น้อยหน่า แคนตาลูป และสละ)
ลองเล่นเกมอะไรกับอาจารย์ดูสักนิดหนึ่งดีไหม ในความเป็นจริงของมนุษย์ เคยอยากได้อย่างหนึ่งแล้วพอไหม (ไม่พอ)  อยากได้อีกใช่ไหม ศิษย์ช่วยหยิบซ้ำเหมือนกับที่อาจารย์หยิบนะ ได้อีกอย่างหนึ่งพอไหม (ไม่พอ) เอาอีกไหม เอาอีก พอหรือยัง (ยัง)  พอไหม (ไม่พอ)  เอาอีกไหม (เอา) อาจารย์ถามต่อ เอาอีกไหม (เอา)
ศิษย์เอ๋ยชีวิตเวลามันอยากได้ มันไม่เคยอยากได้อะไรง่ายๆ อะไรยิ่งยากมันยิ่งอยาก ใช่หรือไม่ ชีวิตอยากได้อะไรง่ายๆ ไหม ที่ง่ายมันอยากได้แล้ว ลองยากๆ บ้าง ใช่ไหม เจ็บก็ขอเสี่ยงดู ใช่ไหม (ใช่)  มันจะเป็นสละหรือเป็นระกำอาจารย์ก็ไม่รู้ เอาอีกไหม (เอา)  เอาเถอะอยากให้ มันถอนตัวไม่ได้แล้ว มันเดินมาถึงนี่แล้ว อย่างไรมันก็ต้องเอา จริงไหม (จริง)  ชีวิตมันเป็นอย่างนี้นะศิษย์ บางทีเราอยากได้ พอได้ขึ้นมาจริงๆ ไม่เอา มันก็ไม่ทันแล้ว ใช่หรือไม่ แล้วพอมันเอามาแล้ว เอาอีกไหม (มันเอาไม่ไหว)
ชีวิตเราเป็นแบบนี้ อยากไปเรื่อยๆ แต่พออยากเสร็จแล้วบอกว่า “อาจารย์ถอยไม่ทันแล้ว ไม่เอาได้ไหม” ไม่ได้แล้ว แต่งมาแล้วชีวิตคู่ ได้มาแล้ว ทรัพย์สมบัติตามมาด้วยหนี้สิน ได้มาแล้วสามีพร้อมกับความรักและหนี้เวรกรรม ลูกได้มาแล้วพร้อมกับความรู้สึกสุขแล้วก็ทุกข์ ฉะนั้นก่อนที่เราจะอยาก คิดให้ดีๆ ดีไหม ศิษย์มักจะบอกว่า “ในเมื่อถอยไม่ได้ ก็ต้องแบกต่อไป” แต่ศิษย์เอยทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีทางของตัวเอง ศิษย์แบกเขาไปไม่ได้ อุ้มเขาไปตลอดชีวิตไม่ได้ ง่ายที่สุดคือวาง แล้วค่อยๆ จัดสรร ว่าจะทำกับมันอย่างไร อย่าไปแบกจนเต็มที่แล้วพยายามผลักออก อย่างนั้นจะทำให้เราไม่มีสติยั้งคิดในการจัดการ ถ้ารู้ว่าเราแบกหนักลอง วางลงสักครู่ แล้วหันกลับไปดูว่าเราจะจัดการอย่างไร จัดการไม่ได้ก็ปล่อยให้เขาเป็นไปตามทางที่เขาควรเป็น อย่าคิดแบกทุกอย่างไว้กับตัว ไม่อย่างนั้นศิษย์นั่นแหละคือคนที่ต้องทุกข์ ตอนนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วทำไมในโลกศิษย์ต้องไปยึด ไปอยาก ไปโลภ แล้วก็ค่อยมาทุกข์จนเจ็บช้ำใจแล้วค่อยคิดวาง ทำไมไม่มองให้ชัด เห็นให้ชัดก่อนจะอยาก แล้วไม่ต้องมาทำให้ตัวเองต้องพยายามดับทุกข์
มองดูแล้วสวย มองดูน่ากิน ถ้าตอนนี้หิว ทั้งโต๊ะหนูก็อยากกินหมด ใช่ไหม (ใช่)  แต่พอถึงเวลากินนี่ก็ท้องแตกตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนที่จะอยาก ก่อนที่จะโลภ ถ้ารู้ว่ามันทุกข์ ทำไมไม่รู้จักพอประมาณ อย่างนั้นอาจารย์ให้เป็นรางวัล ดีไหม (ดี)  รู้ว่าแบกแล้วมันทุกข์ แต่ตอนนี้อยากได้ไหม (อยาก)
ฟังที่อาจารย์พูดพอเข้าใจบ้างไหม ยากไหม (ไม่ยาก)  เรารู้ขนาดนี้เราก็ยังอยากอยู่ ใช่ไหม เมื่อเรารู้แล้วว่าความอยากเป็นทุกข์ แต่เราก็ไม่เคยสกัดกั้นห้ามใจได้ อาจารย์มันก็แค่นิดๆ หน่อยๆ นะ แล้วศิษย์ก็เลยต้องมาทุกข์ ถึงที่สุดแล้วค่อยมาดับ แต่ถ้าอาจารย์บอกศิษย์ว่า ศิษย์ไม่ต้องไปพยายามดับมันเลยโดยที่ไม่มีมัน มันง่ายกว่าไหม ถ้ามีแล้วมันทุกข์ มีให้น้อยหน่อย ดีไหม แต่อาจารย์มันมีไปหมดทุกอย่างแล้ว แล้วทำอย่างไรให้มีแล้วมันไม่ทุกข์ล่ะอาจารย์ ยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่ยากแต่ถึงเวลาทำใจได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าสมมติว่าเรามีแล้ว แล้วทำอย่างไรที่จะทำให้เกิดความทุกข์น้อยที่สุด
(ให้ทาน)  อะไรทำให้ทุกข์ก็ให้ทานไป สามีทำให้เป็นทุกข์ก็ทำทาน แต่เรายังทุกข์กับสามีอยู่ เราก็เลยไปทำทานแทนเพื่อดับทุกข์ (ปล่อยวาง) เพราะถ้าเราทำดีที่สุดแล้วสิ่งที่เราแก้ไม่ได้ก็คือเรื่องของเราแล้ว เราต้องปล่อยวาง แล้วเราต้องทำใจให้ได้ด้วยนะ โดยส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้เราคือ เราทุกข์ในเรื่องหนึ่งแล้วเราแก้อะไรไม่ได้ เราก็เลยไปพยายามทำบุญ เพื่อจะช่วยให้เราดีขึ้น ไม่ยึดติดความคิดเราหรือว่าความคิดเขาด้วย (ไม่ยึดติดสิ่งที่เราทำให้ทุกข์)  ไม่ยึดติดความคาดหวังของเรา และไม่ยึดติดว่าเขาจะเป็นอย่างไร ทำให้ได้นะ (ไม่ยึดติด)  (สิ่งที่มีอยู่ หากเสียไปก็ไม่เสียใจ)  การได้มาก็คือการเสียไป ยิ่งได้มากเท่าใดก็ต้องยิ่งรู้จักเสียไปมากเท่านั้น ฉะนั้นถ้าไม่อยากเสียก็อย่าอยากได้ (ไม่เกิดความโลภเตรียมพร้อมสิ่งที่เรามีอยู่)  ถ้าเราหยุดโลภได้หยุดอยากได้ หยุดหลงได้ ต้นเหตุแห่งบาปทุกข์และอกุศลก็จะไม่มี นั่นเรียกว่าทำดี แต่ในความเป็นจริงของมนุษย์ มักจะอยาก โลภ โกรธ ก่อนแล้วค่อยไปดับทุกข์เลยยาก วิธีที่จะทำให้ได้ดีที่สุด คือทำอย่างไรที่เราจะเห็นชัด จนเห็นแล้วก็ไม่คิดที่จะอยากอีกเลย เห็นชัดว่าแม้มาอีกกี่ทีก็จะไม่ทำให้เราทุกข์ใจอีกเลย ศิษย์ยังแก้ไม่ตรงจุด เพราะศิษย์ทุกข์อีกเรื่องหนึ่ง ศิษย์ก็เลยไปพยายามทำบุญอีกเรื่องหนึ่ง มันแก้กันไม่ได้เพราะเราทุกข์จากใจเราที่ไม่สามารถรับความจริงนี้ได้ ฉะนั้นวิธีที่จะแก้จำไว้นะศิษย์ โลกใบนี้เป็นโลกที่กลิ้งกลอกกลับกลอกหลอกลวง ในสิ่งที่ศิษย์คิดว่าดีที่สุดก็อาจจะไม่ดี ในสิ่งที่ศิษย์คิดว่าไม่ดี ก็อาจจะดีและบางทีที่คิดว่าดีก็อาจจะไม่ดี ใช่หรือไม่
ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์ต้องจำไว้อย่างหนึ่ง เมื่อไรที่ศิษย์คิดจะเล่นกับความอยาก และจะอยู่กับความอยากเพื่อไม่ให้ตัวเองทุกข์ ศิษย์ก็จะต้องจำไว้ว่าสิ่งที่ศิษย์อยาก มันกลับกลอกได้เสมอ วันนี้มันดี พรุ่งนี้มันอาจจะ (ไม่ดี) และวันนี้มันไม่ดี พรุ่งนี้มันอาจจะ (ดี)  ไม่ดีอีกก็ได้ ฉะนั้นถ้าศิษย์มีสติและมีปัญญาหยั่งรู้ความเป็นจริงในสิ่งที่ศิษย์อยาก แม้ศิษย์จะมีเป็นร้อยเป็นพันศิษย์ก็จะไม่ทุกข์ เพราะความอยากนั้นมันไม่ทำให้ศิษย์อยากแล้วต้องยึด แต่อยากอย่างคนที่วางใจเป็น ทำใจไว้แต่เนิ่นๆ เหมือนของมีวันหมดอายุไหม (มี)  อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์หน่อย ความรู้สึกคนมีวันหมดอายุไหม (มี)  ความรู้สึกคนยังมีวันหมดอายุ วันนี้เขารักฉัน พรุ่งนี้ไม่รัก วันนี้เขาอยู่กับฉัน พ้นประตูไป ไม่ใช่แล้ว จริงไหม (จริง)  เหมือนเงินมันอยู่กับเรา มันกลับกลอกไหม (กลับกลอก)  มันหลอกลวงไหม (หลอก)  แล้วมันทำเราเจ็บแสบไหม มันไม่มีใครทำเราเจ็บเท่ากับตัวเรา เงินมันอยู่กับเรา มันมีเป็นร้อยแต่มันไม่เคยทำให้เรารู้สึกว่าเคยมีสักร้อย จริงไหม มีเป็นล้านแต่ไม่เคยรู้สึกว่ามันมีล้าน มีเขาอยู่แต่ไม่เคยรู้สึกว่าเขาอยู่กับฉันจริงๆ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเห็นชัด จำไว้นะโลกนี้มันกลับกลอกพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วันนี้มันอยู่กับศิษย์ พรุ่งนี้ก็ไม่แน่ วันนี้ใช่เป็นของศิษย์ แต่ต่อไปอาจจะไม่ใช่ ถ้าคิดอย่างนี้สิ่งที่มีก็เหมือน (ไม่มี)  สิ่งที่ศิษย์คิดว่าใช่มันก็เหมือน (ไม่ใช่)  แล้วเราจะเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  เพราะศิษย์เตรียมใจไว้แล้วว่ามันไม่แน่ ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อยโลกใบนี้มันมีอะไรไม่กลิ้งกลอกไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่ว่าเที่ยงแท้ ยังไม่เที่ยงแท้ สิ่งที่ว่าแน่นอนยังไม่แน่นอน นั่นแหละความจริง
เมื่อไรที่มนุษย์ตื่นรู้และประจักษ์ชัดในหลักความเป็นจริง มนุษย์จะเข้าถึงความบริสุทธิ์และเป็นอิสระบนโลกใบนี้ ถึงจะอยากก็ไม่ทำให้ทุกข์ ถึงจะมีก็จะไม่ทำให้เจ็บปวด ศิษย์เอ๋ย หลักธรรมที่แท้จริง โลกนี้ล้วนไม่เที่ยงแท้ และในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และถึงที่สุดมันก็คือความว่างเปล่า เมื่อไรที่มนุษย์ประจักษ์ชัดต่อหลักสัจธรรม และตื่นรู้ต่อความเป็นจริง เมื่อนั้น มนุษย์จะเป็นอิสระ ไม่ทุกข์อีกต่อไปบนโลกใบนี้ แต่จะมีใครที่เห็นทุกสิ่ง แล้วเห็นชัดจนรู้ว่า มันไม่เคยเที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า มีก็เหมือนไม่มี และถึงที่สุด เราก็แค่ยืมเขาใช้ และถึงที่สุดก็ต้องคืนเขาไป ฉะนั้นศิษย์เกิดมาเพื่อคืนสู่ธรรม หรือศิษย์เกิดมาเพื่อก่อเวรกรรม ความเป็นจริงของทุกชีวิต ล้วนบ่งบอกให้เรารู้ว่า เราต้องกลับคืนสู่ธรรม เรามาจากธรรม เราก็คืนสู่ธรรม แต่สิ่งหนึ่ง ที่ทำให้เราไม่สามารถ กลับคืนสู่ธรรม นั้นก็คือ ความมีตัวตน ยึดมั่นตน และก็สร้างกรรมเวร เพราะถึงเวลาอยู่กับเขาอย่างมีธรรม หรืออยู่กับเขาอย่างมีกรรม อยู่กับเขาอย่างคนให้ธรรมเป็นทาน หรืออยู่กับเขาอย่างคนสร้างวิบากเวรกรรม
ถามใจศิษย์เอง แล้วอนาคตจะสิ้นกรรมสิ้นทุกข์หรือว่าเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ฉะนั้นจะสิ้นกรรมหรือคืนสู่ธรรม (คืนสู่ธรรม) ทำอย่างไร ศิษย์เอยเอาคำด่านั้นกลับมาพิจารณาทำความเห็นให้ถูกต้องและดับซึ่งทุกข์ได้จนค้นพบธรรม ไม่มีใครในโลกไม่โดนด่า ไม่มีใครในโลกที่ได้แต่รับคำชม ไม่มีใครในโลกที่มีดีแล้วไม่ร้าย มองเห็นความเป็นธรรมดาจนค้นพบธรรม ใครเคยทำได้อย่างนี้บ้าง (ไม่ได้)  พอเขาด่ามา ขอบคุณ ฉันตื่นรู้ในความเป็นจริงแล้ว ฉันเข้าใจในความเป็นจริงแล้วว่าชีวิตมันก็อย่างนี้ ขอบคุณจริงๆ เคยแบบนี้ไหม (ไม่เคย) เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร แต่เราจองเวรทุกครั้ง เขาด่าเราก็จดจำไว้แล้วเอาไปนินทาต่อ ผูกกรรมต่อ แล้วจำไม่ลืม นั่นแหละผูกกรรมเกี่ยวกรรมจองเวรจองกรรม เจอหน้าอยากด่าอีกไหม กลับไปด่าอีกเรียกว่าจองเวรจองกรรม เราเอาไปเล่าอีกไม่จบเรียกว่าจดจำไม่ลืมผูกกรรมกันต่อไม่ว่าภพไหนชาติไหน แล้วชีวิตเราเป็นแบบนี้ไหม
สิ่งสำคัญในการฝึกฝนปฏิบัติธรรม ศิษย์อย่ารอให้คนอื่นอ้าปากว่าเรา เราต้องกล้าว่าตัวเองก่อน เราต้องมองเห็นตัวเองให้ชัดก่อน แล้วศิษย์จะไม่โดนใครว่าเลย ทุกวันหมั่นตรวจสอบใจตัวเอง ทุกวันหมั่นมองตัวเองดีที่สุดหรือยัง ซื่อตรงหรือยัง จริงใจหรือยัง เมตตาหรือยัง ย้อนมองตัวเองเข้าบ่อยๆ ศิษย์จะไม่รู้สึกว่าใครเกินเลยไปเลย มีแต่คนที่เกินเลยคือตัวเราเอง ปล่อยปละละเลยตัวเอง อาจารย์ถามนะ ถ้าในโลกนี้ทุกคนมุ่งแต่จะแก้ไขตัวเอง ไม่คิดที่จะไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงใคร ทุกคนมุ่งแต่จะสำรวจเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่คิดจะไปเปลี่ยนแปลงว่ากล่าวใคร โลกนี้จะไม่ดีขึ้นเชียวหรือ แต่ปัจจุบันนี้ทุกคนมองแต่จะแก้คนอื่น ลืมแก้ตัวเอง มองแต่จะว่าคนอื่น แต่ลืมว่าตัวเอง
หลักสำคัญในการปฏิบัติธรรมที่ศิษย์ควรจำไว้ก็คือย้อนมองส่องตน เข้มงวดตนผ่อนปรนผู้อื่น “ว่าเขาร้าย ว่าเขาลวงหลอกก็เพราะเรานั้นร้ายและลวงหลอก” ว่าเขาเลวเราก็เลวนะศิษย์ ว่าเขาโกหกเราก็โกหก เราไม่เป็นอย่างนั้นเราก็ไม่รู้ชัดหรอก ฉะนั้นมองเขาเป็นพุทธะ มองเขาเป็นคนดี ดีไหม (ดี)  แล้วทุกวันนี้เห็นเขาเป็นพุทธะหรือเห็นเขาเป็นปีศาจ
ศิษย์อย่าดูเบาตัวเองว่าไม่น่าจะทำได้ แต่ลองดูสักตั้งก็ไม่ยากอะไร ใช่ไหม (ใช่)  กลัวแต่ยึดติดความคิดของตัวเองจนกลายเป็นคนไม่กล้าทำในสิ่งที่ควรจะทำ ทุกข์ซ้ำๆ ผิดพลาดกับเรื่องเดิมๆ มากี่ครั้ง แล้วศิษย์คิดว่าชีวิตเกิดมาแค่ทุกข์แล้วทุกข์อีก หรือว่ามีดีมากกว่านั้น และเราควรไปได้ไกลกว่านั้นไหม แล้วเราอยากจะย่ำอยู่กับที่ตรงนี้และก็บอกว่าชีวิตเลือกไม่ได้แล้ว ชีวิตทำอะไรไม่ได้แล้วมันได้แค่นี้ จริงหรือศิษย์ ถ้าอยากแล้วทำให้ต้องเบียดเบียนชีวิตคน อยากแล้วทำให้เราเป็นคนไม่ซื่อตรง ขาดเมตตา
ชีวิตนี้บางทีมีเรื่องไม่คาดคิด เมื่อเราเจอเรื่องไม่คาดคิด ใจเราไม่เคยเตรียม เมื่อเราไม่เคยเตรียม เรารับไม่ไหว เมื่อรับไม่ไหว บางคนสติแตก จากปกติ กลายเป็นเหมือนไม่ปกติ นั่นเพราะเราลืมมองความจริง เหมือนเวลาเราเจอเรื่องผิดหวังแรงๆ สูญเสียแรงๆ กระชากใจเราให้เจ็บปวดแรงๆ เราทำใจไม่ได้ แต่อาจารย์ถามจริงๆ ลึกๆ แล้วความเป็นจริงบอกศิษย์ไหม ว่าโลกนี้มันเปลี่ยนนะ ธรรมคอยบอกเราอยู่ตลอด แต่เราประมาทเอง เราลืมเอง เราคิดว่าทุกอย่างต้องเป็นอย่างที่เราคิด ชีวิตมันต้องเป็นอย่างนี้ไปตลอด แต่ความเป็นจริงในชีวิต กฎข้อหนึ่งของชีวิตที่ศิษย์ต้องจำไว้เสมอ ไม่มีอะไรในโลกไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรที่ไม่มีวันไม่สูญเสีย ศิษย์ต้องเรียนรู้การสูญเสีย ศิษย์ต้องรับการเปลี่ยนแปลง และศิษย์ต้องปล่อยวางมันให้ได้ ใช่ไหม
วันนี้ศิษย์รู้แค่เพียงเสียญาติพี่น้อง เสียเพื่อนเสียมิตร เสียเงินเสียตำแหน่ง แต่วันหนึ่งศิษย์จะต้องเรียนรู้ความสูญเสียซึ่งสังขารและรักษาจิตเดิมให้ได้ เงินก็ช่วยไม่ได้ ใครก็ช่วยไม่ได้ มีแต่ตัวศิษย์เอง ศิษย์จะต้องอยู่กับตัวเองตรงนี้แล้วปลดปลงสังขารให้ได้ แล้วเอาตัวเองวางลงให้ได้เพื่อกลับไปสู่ธรรม ถ้ายังยึดมั่นถือมั่นในความเก่ง ยึดมั่นถือมั่นในความดี ศิษย์ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ศิษย์ต้องไปแบกรับ สร้างเหตุมาก็ต้องรับผล แต่ถ้าเหตุนั้นไม่ยึดติดตัวตนจะมีผลให้เวียนวนไหม ก็ไม่มี ฉะนั้นทุกอย่างทำไปเพื่อคืนสู่ความว่าง ไม่จำเป็นต้องมีฉันก็ได้ ฉันไม่สำคัญก็ได้ ฉันอยู่เพื่อธำรงความดีให้ถูกต้องแค่นั้น เมื่อทำได้ดีแล้วส่งไม้ต่อ ส่งความดีต่อ ส่งต่อแบบที่เขาเห็นแล้วเขาอยากทำตามโดยที่ไม่ต้องอ้าปากพูด ให้ดีจนสะท้อนสะเทือนใจจนเขาอยากทำ ทำไมดีขนาดนี้ ทำไม่ได้หรือทุกข์มาเยอะแล้วไม่ใช่หรือ จริงไหม (จริง)
อยากได้แอปเปิลไหม แอปเปิลอาจารย์ยิ่งกินแล้วยิ่งทุกข์ เอาไหม (ไม่เอา)  ไม่เอาหรือ เป็นศิษย์ของอาจารย์ได้แอปเปิลยิ่งกินยิ่งพ้นทุกข์สิ ใช่หรือไม่ ธรรมสอนให้เรามีปัญญา ถึงแม้ชีวิตจะทุกข์ แต่เราจะหาทางพ้นทุกข์ด้วยตัวเราเอง เราจะหาทางพ้นทุกข์ให้ได้ใช่ไหม เกิดเป็นคนต้องมีคุณธรรมความดีงาม แล้วก็ต้องละบาปให้ได้ฉะนั้นจะต้องละชั่วให้ได้ก่อน
ศิษย์คนไหนอยากให้อาจารย์ช่วยดับทุกข์ เหมือนศิษย์เจอปัญหาแล้วศิษย์อยากให้อาจารย์ช่วยคลายทุกข์
(ป่วยแล้วก็ไปหาหมอ แล้วหมอก็หาสาเหตุไม่เจอ)  เป็นโรคต้องรักษา แต่รักษาอย่างไรถ้าขาดซึ่งกำลังใจก็อยู่ไม่ได้ ศิษย์ต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า ก่อนที่จะไปหาหมอต้องเรียกขวัญกำลังใจตัวเองก่อน ยอมรับความจริงว่า คนมีโรคไม่มีใครไม่ตาย ทุกคนต้องตายหมด ความเจ็บเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนว่าความตายใกล้แล้วนะ พอพูดคำว่าตายก็สงสารเขาใช่ไหม อย่างนั้นเวลาบอกเขา ให้กำลังใจเขาเยอะๆ เริ่มต้นที่ศิษย์ต้องให้กำลังใจเขาก่อน แต่ก่อนจะให้กำลังใจใครตัวเองต้องให้กำลังใจตัวเองก่อน พ่อ เราจะทุกข์ไปด้วยกัน เราจะเข้มแข็งไปด้วยกัน พ่อต้องอยู่ให้ได้ ดีไหม ศิษย์เอ๋ยทุกข์ที่น่ากลัวที่สุดของการเกิดเป็นคนก็คือ แก่ เจ็บ ตาย แล้วก็พลัดพรากจากสิ่งที่รัก และต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก ถ้าศิษย์ไม่ฝึกจิต วันหนึ่งความจริงมันเกิดขึ้นในชีวิตใครจะช่วยเรา เราต้องเข้มแข็ง เราต้องยอมรับ และวางใจให้ลงปลงให้ได้ อาจารย์อยากจะบอกว่าจริงๆ แล้ว ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่บางครั้งความตายคือการได้พักผ่อน ปลดปลง และพ้นทุกข์ ถ้าคนนั้นเกิดมาเพื่อคืนสู่ธรรม ไม่ใช่เกิดมาเพื่อยึดมั่นถือมั่นในตัวตน การดับมันก็แค่การเปลี่ยนแปลงจากที่หนึ่งไปที่หนึ่งที่ไม่ต้องมีตัวตนให้ทุกข์อีกต่อไป ฉะนั้นกลัวอะไรกับความตาย เจ็บก็ช่าง ตายก็ช่าง ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ถ้าเงยหน้าไม่อายฟ้าก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติต่อผู้อื่นได้ถูกต้อง ตายไปแล้วต้องกลัวอะไร เราไม่ต้องเอาอะไรไป เราก็จะกลับไปสู่ธรรม กลับไปสู่ฟ้า กลับไปสู่ดิน ที่ไม่ต้องเอาอะไรและมีอะไร มาจากธรรมก็กลับสู่ธรรม ใช่ไหม (ใช่)
ลูกไม่สมานสามัคคีกัน อย่างนั้นต้องทำตัวเราให้รักเขาเท่าๆ กัน คนนี้ได้ คนนี้ก็ต้องได้ แล้วก็ต้องทำให้เขารู้ว่าแม่รักลูกเท่าๆ กัน (ตอนนี้ก็ทำอยู่แล้ว)  แต่เขาไม่รักกันใช่ไหม (ใช่)  ยิ่งถ้าแต่งงานไปแล้วด้วยมีครอบครัวไปแล้วด้วย โอกาสจะรักกันยาก ฉะนั้นศิษย์แค่ประคองใจตัวเองให้เข้มแข็งและพยายามประคับประคองลูกให้เดินถูกทาง แต่ถ้าเราไม่มีอำนาจอะไรบางทีก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวคือ วางตัวเองให้ถูกต้องและดีที่สุด เรียนรู้และยอมรับ แม้ลูกเขาจะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าสอนไปเท่าไร ถ้าเขาไม่เอา มันยาก สิ่งที่จะช่วยได้คือ ศิษย์จำไว้นะ ถ้าพ่อแม่มุ่งปฏิบัติธรรม ลูกหลานจะได้ดีสามชั่วคน ถ้าพ่อแม่มุ่งปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง มีศรัทธาเป็นมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง ลูกหลานจะได้ดี (ทำมาตลอด)  แล้วเป็นอย่างไร ได้ดีไหม (ได้ดีเป็นคนๆ)  อย่างนั้นก็อยู่ที่ตัวเขาแล้ว อย่างแรกศิษย์ต้องปฏิบัติธรรมให้ถูก ศีลถูกไหม ปฏิบัติต่อผู้คนถูกครรลองคลองธรรมไหม เห็นแก่ตัวหรือเปล่า หรือเข้าข้างตัวเองไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ถ้าศิษย์อยากแก้ศิษย์ต้องย้อนมองตัวเอง อย่าเข้าข้างตัวเอง (ช่วยคนมาตลอด)  อย่างนั้นก็ต้องใจเย็นๆ แล้วทำไมช่วยคนตลอดลูกถึงไม่ฟังเราล่ะ (ก็เป็นคนๆ ไป)  ตกลงจะดื้อกับอาจารย์หรือจะเอาให้ได้ มันเป็นธรรมดานะศิษย์เอย ผลไม้บางอย่างยังมันยังตกลงข้างต้น แต่บางอย่างมันตกไปไกลต้น เราก็แก้อะไรไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือไม่ว่าลูกจะดีจะชั่วแม่ก็รัก แม่ก็ให้โอกาส ถูกไหม (ถูก)
(มีนักธรรมมาจากประเทศอเมริกาได้บอกพระอาจารย์ว่ามีความกังวลเรื่องการแพร่ธรรมในอเมริกา)
(ผมมาจากอเมริกา ที่อเมริกาธรรมะยังไม่ได้แพร่หลายเหมือนอย่างในประเทศไทย สิ่งที่ผมกลัวก็คือว่าจะไม่สามารถช่วยเผยแพร่ธรรมะได้อย่างที่ต้องการ ผมมาที่นี่มาเพื่อที่จะเรียนรู้ให้มากที่สุด แต่ก็ยังเป็นห่วงอยู่ว่าผมจะไม่สามารถทำตามที่ผมอยากจะทำได้)
จงกล้าหาญเลือกที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่กลัวไม่ว่าจะล้มเหลวหรือพ่ายแพ้ นั่นแหละคือชัยชนะที่เรียกว่า “กล้าหาญ” ต้องเริ่มจากความกล้าก่อน เพราะถ้าเรามั่นใจในสิ่งที่เราทำว่าถูกต้อง ไยต้องเกรงกลัวว่ามันจะได้หรือไม่ได้ ไม่ล้มเหลวหรือล้มเหลว เพราะสิ่งที่มีค่าและงดงามที่สุดของศิษย์นั่นคือ รอยยิ้ม แค่ศิษย์ยิ้มใครๆ ก็เปิดใจรับศิษย์เต็มที่แล้ว ใช่ไหม (ใช่)
อาจารย์เป็นหมอรักษาใจศิษย์ แต่ศิษย์บางคนเป็นหมอรักษาตัวคน ช่วยคนได้เยอะ เวลาเจ็บ เวลาทุกข์ ศิษย์จำคำอาจารย์ไว้อย่างหนึ่งนะ อย่าเอาความเจ็บเพียงเล็กน้อยฆ่าเราทั้งชีวิต เพราะเรายังมีส่วนที่ดีอีกตั้งเยอะแยะ อย่าเจ็บแค่นิดหน่อยแล้วทุกข์ทั้งตัว อย่าแค่เจ็บนิดหน่อยแล้วตายทั้งเป็น ใช่ไหม (ใช่)  คุณค่าศิษย์ยังมีตั้งหลายอย่าง อย่าเพียงแค่ทุกข์นิดหน่อยก็ทำร้ายชีวิตทั้งชีวิตและทำร้ายความดีที่สร้างสมมา ถูกหรือไม่ หายเจ็บหรือยัง
วันนี้อาจารย์คงต้องลากลับแล้วนะ ศิษย์เอ๋ยถึงอาจารย์จะพูดชี้นำทางสว่างแค่ไหน แต่ถ้าศิษย์ของอาจารย์ไม่คิดเอาไปปฏิบัติ ศิษย์ก็ยังไม่มีวันพ้นทุกข์ได้ แล้วเราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไรนอกจากเราต้องรู้ตื่นด้วยตัวเอง โลกนี้มันไม่เที่ยง ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ แม้กระทั่งสังขารมันก็ไม่เที่ยง ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์จะทำใจได้ก็คือเข้าใจความว่าง ความไม่มี แล้วกล้าที่จะอยู่กับความว่าง ความไม่มีให้ได้ เพราะนั่นคือที่สุดแห่งสภาวธรรมในใจ เราไม่มีนะศิษย์ อย่าพยายามมี ยิ่งมีมันยิ่งทุกข์ ยิ่งมีมันยิ่งเจ็บ ธรรมะสอนเราตลอดว่าเราไม่มี เราไม่มีมาตั้งแต่แรก แล้วจะพยายามมีไปเพื่ออะไร ในเมื่อยิ่งมีมันก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งยึดมันก็ยิ่งเจ็บ แต่ธรรมสอนเราทุกวันว่าทุกสิ่งที่เกิดมันก็ดับ สิ่งที่เกิดมันก็ดับ ขวบปีของศิษย์ที่เกิดคือขวบปีของศิษย์ที่ตาย ใช่หรือไม่
เราเกิดมาก็ต้องตาย แล้วเราจะตายอย่างไรที่ไม่ต้องทุกข์อีก ก็คือทำเพื่อกลับคืนสู่ธรรม ไม่ใช่กลับไปเพื่อสู่การเวียนว่ายสร้างกรรม ฉะนั้นวางได้วาง ทำดีที่สุดแล้วปล่อยได้ปล่อย ห่วงไปศิษย์ก็ทำอะไรไม่ได้ แก้อะไรไม่ได้ คนเราต้องตายเหมือนกันไหม (ตาย)  เจ็บไหม (เจ็บ)  อย่างนั้นอย่าเสียใจ จงดีใจที่ชีวิตได้เจ็บเป็นทุกข์เป็นและพ้นทุกข์ได้ ดีกว่าไม่รู้เจ็บ ตายเลยเอาไหมศิษย์ (ไม่เอา)  อย่างน้อยขอให้ทุกข์ก่อน เจ็บก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยตายใช่ไหม แล้วทำไมตอนนี้เจ็บก็ไม่เอา พอทำอะไรไม่ได้ ตายเลย ทั้งที่บอกไม่อยากตาย ทั้งที่บอกไม่อยากตาย แต่ถึงเวลาตายเลย ฉะนั้นอย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวพลัดพราก เป็นผู้มีปัญญา ธรรมสอนให้เรามีปัญญา ธรรมไม่ได้สอนให้เราโง่งมงาย มีปัญญาที่ทำอะไรด้วยสติยั้งคิดไตร่ตรอง ถูกต้องหรือยัง ถูกต้องดีแล้วไยต้องกลัวอะไร สิ่งที่ต้องกลัวคืออย่าตกเป็นทาสของโลภโกรธหลง เพราะหนีไม่พ้นเหตุแห่งทุกข์และการสร้างวิบากกรรม แล้วจะดับอย่างไร
ศิษย์รู้ไหมทำอย่างไรไม่โลภ ทำอย่างไรไม่โกรธ ทำอย่างไรไม่หลง พุทธะสอนไว้ว่า โลภมันไม่เที่ยง เมื่อมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์และถึงที่สุดว่างเปล่า โลภอะไร หลงอะไร ในเมื่อมันไม่เที่ยง เปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  สวยมีวันอัปลักษณ์ไหม (มี)  อัปลักษณ์มีวันตายไหม (มี)  มีวันแก่ไหม (มี)  มีวันร้ายไหม (มี)  รักไหม หลงไหม แต่ถึงเวลาทั้งรักทั้งหลงเลย ใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเที่ยงไหม แล้วสวยไหม มันไม่สวย มันอัปลักษณ์ ใช่หรือไม่ มองอะไรมองให้สุด มองให้ลึกมองให้ไกล มันไม่เที่ยง มันทุกข์ และถึงที่สุดมันก็ว่างเปล่าหาแก่นสารอะไรไม่ได้ ลองถามสิอันไหนตัวเรา มันต้องมีทั้งตัวถึงจะเรียกว่าเรา ใช่ไหม (ใช่)  พอแยกเป็นชิ้นส่วนอันไหนคือตัวเรา (ไม่มี) แล้วเรามาจากไหน เรามาจากธรรมชาติถึงเวลาเรากลับคืนสู่ธรรมชาติ เราแค่เป็นผู้อาศัยชั่วคราวในร่างกายนี้ จิตคือธรรม ธรรมอันเป็นแก่นแท้ที่สอนว่า มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า เมื่อใดที่จิตคืนสู่ธรรมเมื่อนั้นจิตจะเป็นอิสระและพ้นทุกข์
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ธรรมในบัดดล”)
มีธรรมในขณะนี้ตอนนี้ทันทีเลย ไม่ว่าทำอะไรขอให้ทำแล้วเกิดธรรม ไม่ใช่ทำแล้วเกิดกิเลส กินแล้วก็เกิดกิเลส มานั่งฟังธรรมสองวันใจคิดอยากกินส้มตำไก่ย่าง จบวันนี้แล้วอยากไปกินปูปิ้ง ไก่ปิ้ง หมูปิ้ง แต่ละอย่างเป็นกิเลสเป็นกรรมทั้งนั้น ทำจริงๆ จะได้พ้นทุกข์จริงๆ ศิษย์บอกว่าตายแล้วจะได้กลับมาหาอาจารย์ ยังยึดอีกหรือ อาจารย์อยากจะบอกว่า บำเพ็ญถึงที่สุดแล้วกลับคืนสู่ธรรม แล้วศิษย์จะรู้ว่าชีวิตที่แท้จริง ที่เรียกว่าพ้นทุกข์มันเกิดได้ที่ตรงนี้และเดี๋ยวนี้ตอนนี้ อยู่แล้วไม่อยากอะไรในโลกแล้ว ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่โกรธ อยู่ก็ดี ตายก็ดี ถ้าคิดได้อย่างนี้สุดยอด จริงไหม (จริง)  ทำได้ไหม (ได้)  ลองอ่านดูนะ ความหมาย “ธรรมในบัดดล”
“มีตัวฉันจึงหนาวร้อนทุกข์สุขไป” อยู่ที่ไหนแล้วลืมคำว่า “ตัวฉัน” ก็จะไม่ทุกข์ แต่ถ้าเอาตัวฉันไปวางจะเกิดการแบ่งแยกดีร้าย ได้เสีย ทุกข์สุข แต่ถ้าเมื่อไรถอนตัวฉันออกมา ทุกสิ่งก็แค่นั้น เท่านั้นจบ จริงไหม (จริง)
เราทุกข์เพราะมี “ฉัน” เราก็เปรียบเทียบ คนนี้ใช้ได้ คนนี้ใช้ไม่ได้ เราจึงทุกข์สุข แต่เมื่อถอนตัวฉันออกมา ทุกสิ่งเท่ากัน ไม่มีอะไรร้าย ไม่มีอะไรดีจริงไหม (จริง)  ทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง แต่ความมีตัวตนจึงทำให้เราไม่เคยเห็นความเป็นกลางในทุกสิ่ง
ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องไปแล้วนะ มีพบก็มีพราก แต่วันนี้ทำดีที่สุดหรือยัง ยังทำอย่างคนที่ตกเป็นทาสกิเลส สะสมกิเลสในตัวตน หรือทำเพื่อเข้าถึงธรรม เป็นแบบไหน ทำให้ได้นะ เพื่อตัวเองนะศิษย์เอ๋ย จะได้ไม่ต้องทุกข์กับโลกใบนี้ และจะได้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ทำให้ถึงที่สุดเพื่อคืนสู่ธรรม ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดรับผลของการปฏิบัติอะไรอีกแล้ว ได้หรือไม่ (ได้)  วันนี้อาจารย์ก็คงต้องจากลา รักษาคุณงามความดี รักษาจิตที่ซื่อตรง รักษาจิตที่รับผิดชอบต่อหน้าที่ รักษาหัวใจที่เมตตา ให้เป็นคนที่เงยหน้าไม่อายฟ้าก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไม่ละอายใจ อยู่เพื่อให้ มีเพื่อให้ ดูแลตัวเองกันดีๆ นะ รักษาจิตรักษาใจให้เข้มแข็ง เดินแล้วไปให้ถึงที่สุด ไม่ใช่เพื่ออาจารย์ ทำเพื่อตัวเอง

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ธรรมในบัดดล”
    เห็นตามจริงนั่นแหละธรรมในปัจจุบัน     ตามให้รู้สติให้ทันธรรมคอยสอน
วางตัวฉันลงแค่นั้นในทุกตอน                   มีตัวฉันจึงหนาวร้อนทุกข์สุขไป
ฝึกแค่รู้ไม่ไปหลงติดยึดมั่น                       ไม่มีฉันไม่มีเขาในสิ่งไหน
ในความเกิดมีความดับทุกขณะไป              มาเพื่อรู้ละวางได้คืนสู่ธรรม


พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาท งานประชุมธรรม สถานธรรม  ฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น วันที่ ๒๐-๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๑
กลอนพระโอวาทหน้า ๑
เดิม ทำเรื่องถูกได้ยืนเหมือนเรื่องผิด
แก้เป็น ทำเรื่องถูกได้ยืนเหนือเรื่องผิด
          แก้เพลงพระโอวาท หน้า ๑๕
เดิม การได้คิดหลับอยู่ข้างใน ทำจังได๋จึงสื่อสารกัน การจะปลุกใจนั้นกวดขันความมีปัญญา ที่ผ่านผ่านมานั้นเป็นอย่างไร คำถามใดล้วนธรรมดา มีแต่คำถามเรียกปัญญาที่พาให้เกิดธรรม
แก้เป็น การได้คิดหลับอยู่ข้างใน ทำจังได๋จึงสื่อสารกัน การจะปลุกใจนั้นกวดขันความมีปัญญา ที่ผ่านผ่านมาเป็นอย่างไร คำถามใดล้วนธรรมดา มีแต่คำถามเรียกปัญญาที่พาให้เกิดธรรม


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา