西元二○一九年歲次己亥三月三十日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๒ สถานธรรมถงซิน อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่
หยั่งรากลึกความดีงามให้สุดใจ เมื่อก่อบาปก่อกรรมใดชดใช้หนา
อย่าผิดศีลขาดธรรมนำชีวา รู้ยับยั้งกิเลสตัณหาไม่พลั้งไป
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ
ในความหวังคาดไม่ถึงปะปนอยู่ ตรงไหนเจ็บต้องรู้ตัดตรงนั้น
พูดความจริงจริงไม่จริงนั้นสำคัญ ฟังเนื้อความไม่ต่อกันต้องระวัง
ระทมทุกข์ยึดมั่นไม่รอดสักคน บีบฝืนทนเกินยิ่งปนทำลายล้าง
โลกธรรมสรรพสิ่งล้วนแล้วคือว่าง ธรรมสว่างเคลื่อนไหวอยู่ไม่รู้มี
โลกธรรมผันแปรแค่ไหนไม่รู้ แม้ศัตรูต้องไม่ตั้งอยู่ใจนี้
เกิดทันทีเตือนใจมีเสื่อมทันที อยู่โลกเป็นไปสลายที่สติตน
เห็นเป็นธรรมดาเมื่อไม่พร้อมทุกอย่าง ใดจีรังใดสิ่งเที่ยงใดคงทน
อะไรหรือที่ควรโกรธนิ่วหน้าย่น ชีวิตคนควรหรือใช้ให้หมดเปลือง
ต่างคนเมื่อต่างทุกข์ก็ต่างโทษ ไร้ประโยชน์โทษมั่วจะมีแต่เรื่อง
โทษกันไปไยหนาถึงเนืองเนือง พิเคราะห์เรื่องที่สุดไม่มีเรื่องอะไร
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่
เกิดเป็นคนไม่ว่าจะเกิดมาในสภาพไหน สิ่งที่สำคัญคือต้องรู้คุณค่าเเละความหมายของการมีชีวิต ถ้าเราไม่รู้คุณค่าและความหมายของชีวิต หมั่นแต่จะแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง แต่สูญเสียซึ่งจิตใจอันดีงามนั้นก็น่าเสียดาย หลายคนมีทรัพย์สิน มีเงินทองมากมาย เสื้อผ้าสวยงามแต่งตัวดี แต่หาคุณค่าความดีงามในจิตใจไม่ได้เลย เช่นนี้ก็เปล่าประโยชน์ แต่เราก็อดไม่ได้ที่จะชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้ว เราก็กลายเป็นคนที่เกลียดตัวเอง กลายเป็นอิจฉาริษยาคนอื่น กลายเป็นคนที่หาความสงบสุขในชีวิตไม่ได้ เกิดเป็นคนถ้ารู้จักคุณค่าและความหมายในการดำเนินชีวิตว่าคืออะไร เราก็คงไม่ทำผิดคิดร้าย เราก็คงไม่มีจิตใจที่ชั่วร้าย
ชีวิตที่เต็มไปด้วยความถูกต้องดีงามแต่ไม่สามารถที่จะรักษาเงินทองได้ กับชีวิตที่มีเงินทองมากมายแต่ไม่อาจรักษาความดีงาม ตัวเราเองเป็นแบบใด เราเห็นความดีมีค่ากว่าเงินทอง เราเห็นความถูกต้องมีค่ากว่าความอยากในใจใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเกิดเราพึงพอใจและรู้คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ เราจะเปรียบเทียบกับใครไหม (ไม่เปรียบเทียบ) คนที่ชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ชิงชังคนอื่นหรือเกลียดตัวเอง นั่นแปลว่าเป็นคนที่ไม่เคยเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ มนุษย์จึงมีสองแบบ คือ ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง กับเชื่อมั่นในตัวเองสูงลิ่ว เมื่อไม่เชื่อมั่นก็ชอบเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่นๆ แล้วก็อยากเป็นอย่างคนนั้นคนนี้ พอเทียบไม่ได้ก็กลายเป็นอิจฉา พอเทียบมากๆ ก็กลายเป็นรังเกียจตัวเอง รำคาญความเป็นตัวของตัวเองแล้วก็กลายเป็นคนที่ไม่สามารถมีชีวิตที่สงบสุขได้
อีกประเภทหนึ่งคือเชื่อมั่นในตัวเองมาก การเชื่อมั่นในตัวเองก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเชื่อมั่นจนถึงขนาดไม่ตรวจสอบตัวเองว่ากลายเป็นคนดื้อดึงดันทุรังจนน่ารำคาญ มันก็ไม่ดีจริงไหม (จริง) กับอีกอย่างหนึ่งคือ ยึดมั่นในความคิดของตัวเองว่าตัวเองถูกต้อง จนกลายเป็นคนยอมหักไม่ยอมงอ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมศึกษาธรรมจึงมิใช่มีไว้เพื่อใช้กับผู้อื่น หรือเอาไปตรวจสอบว่ากล่าวคนอื่น แต่การเรียนรู้ธรรมศึกษาธรรม มีไว้ใช้เพื่อมองตัวเองอย่างเข้าใจ เมื่อเราไม่ทุกข์ อยู่ที่ไหนก็ไม่ทุกข์ เมื่อเราครองชีวิตเป็น อยู่ที่ไหนเราก็รอด จริงไหม (จริง) แม้ในภาวะที่สูญเสีย แม้ในภาวะที่จะต้องบกพร่อง เราก็เข้มแข็งและรู้คุณค่าตัวเองได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) คนเราจะไม่ยอมเสียเวลาทั้งชีวิต ถ้าไม่เห็นว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำมีค่ามากกว่าชีวิต จริงไหม (จริง) ทุกวันที่เราเสียเวลาไป ทิ้งชีวิตไป เพราะเราเห็นเงินมีค่ามากกว่าชีวิต ทั้งที่ตายไปก็เอาไปไม่ได้ จริงไหม (จริง)
เกิดเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนไว้ ย่อมได้ความรู้และมิตรทั่วสิบทิศ แต่ถ้าดื้อดึงดันทุรัง เราจะกลายเป็นคนที่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย จริงไหม (จริง) ฉะนั้นมั่นใจเกินไปก็ไม่ดี ขาดความมั่นใจเลยก็ไม่ได้ คุณค่าของชีวิตไม่ใช่อยู่ที่จุดหมายปลายทาง แต่อยู่ที่ทุกย่างก้าวสามารถอยู่กับผู้อื่นได้อย่างสอดคล้อง และเต็มไปด้วยความสุขและความสำเร็จในแต่ละก้าว จริงไหม (จริง) อย่ารอความสุขที่บั้นปลาย แต่จงมีความสุขในทุกขณะที่เราเข้าใจชีวิตตน และอยู่กับผู้คนได้อย่างสันติ อย่างนั้นมีค่ากว่า ดีกว่าตัวเองรอดแต่ทำให้คนอื่นแย่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ตั้งใจมาฟังธรรมะก็ควรรับธรรมะไป ไม่ใช่ฟังธรรมแต่ได้กิเลสไป ธรรมคือสิ่งที่บริสุทธิ์ สะอาด ใส กิเลสคือสิ่งที่ทำให้มัวหมอง ขุ่นใจคับข้องใจ ถ้าฟังแล้วสะอาดใสสบายใจก็แปลว่าพบธรรม แต่ถ้าฟังแล้วขุ่นมัวหนักใจ แปลว่าพบกิเลส ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ทุกคนล้วนมีความกลัวเป็นที่ตั้งในการดำเนินชีวิต กลัวเจ็บ กลัวพลัดพราก กลัวสูญเสีย ไม่อยากเจอการสูญเสีย ปรียบเทียบคือมนุษย์กลัวเคราะห์กรรม กลัวโชคร้าย เคราะห์กรรมไม่น่ากลัว เเต่สิ่งที่ควรกลัวคือใจของตัวเองที่หาเคราะห์กรรมมาใส่ตัว สิ่งที่น่ากลัวคือปากของเราเอง โรคภัยเข้าสู่ปาก พิษภัยก็ออกจากปาก ฉะนั้นขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครองมีประโยชน์ไหม (ไม่มี) เราควรขอใคร (ขอตัวเอง) เเล้วเคยขอตัวเองไหม (ไม่เคย) ควรขอตัวเองให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อย่าตกเป็นทาสของเหล่ากิเลสตัณหาที่ทำให้กลายเป็นคนประพฤติผิด ก่อบาปกรรม ทำให้หนีไม่พ้นต้องมารับเคราะห์กรรมเเละโชคร้าย ถ้าเมื่อใดที่มนุษย์ยอมตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา ความอยากได้ใคร่มีจนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี จนไม่รู้จักความละอายเกรงกลัวต่อบาป มนุษย์คนนั้นเเม้จะไหว้พระบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไร้ประโยชน์
คนทำสิ่งใดก็ย่อมได้รับสิ่งนั้นอย่างหลีกหนีไม่พ้น เมื่อมนุษย์เข้าใจเช่นนี้แล้ว ศาสนาจึงบังเกิด มนุษย์จึงพึ่งศาสนา ในศาสนานั้นประกอบไปด้วยธรรม ธรรมสอนให้เราตื่นรู้ในความจริง ถูกไหม (ถูก) ถ้าพึ่งศาสนาโดยไม่สนใจธรรม มนุษย์ก็จะไม่มีวันพ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นเมื่อใดที่มนุษย์ตื่นรู้ในความเป็นจริง นั่นเรียกว่าทางพ้นทุกข์ ทางแห่งการปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรมก็คือศึกษาความจริงอันเป็นธรรมดาของชีวิต รู้จักตัวเอง รู้จักแจ่มแจ้งในความเป็นจริงแห่งชีวิต คือรู้จักปฏิบัติธรรม รู้จักทางพ้นทุกข์
ฉะนั้นการเห็นแจ้งความเป็นจริงแห่งชีวิต การประจักษ์ถ่องแท้ในชีวิตอย่างเห็นได้ชัด นั่นเรียกว่า “ธรรม” ธรรมสอนให้เราอยู่กับความจริงที่เป็นอยู่ที่เป็นไป แล้วถ้าเราศึกษาปฏิบัติธรรมแล้ว เราจะทุกข์อีกไหม (ไม่ทุกข์) แปลกจริงหนอความชั่วก็ไม่ค่อยได้ทำ บาปกรรมก็ไม่ได้สร้าง แต่ไยฟังธรรมตั้งเยอะ ไม่เคยพ้นทุกข์ จริงไหม (จริง) ฟังธรรมตั้งเยอะแต่ไยไม่เข้าถึงธรรม เพราะอะไรหรือ
ยกตัวอย่างง่ายๆ มนุษย์ทุกคนอยากเข้าถึงธรรมเพราะอยากมีความสงบในจิตใจ อยากบริสุทธิ์ อยากสะอาด อยากร่มเย็น อย่างนั้นถ้ามีบ้านอยู่ติดลำคลองติดแม่น้ำ เรือผ่านมา ฟิ้วๆ สงบไหม (ไม่) อยู่ติดแม่น้ำเป็นไปได้ไหมไม่มีเสียงเรือ (ไม่ได้) อยู่ติดทะเลเป็นไปได้ไหมไม่มีเสียงคลื่น (ไม่ได้) อยู่ติดแม่น้ำเป็นไปได้ไหมไม่ได้ยินเสียงลม (ไม่ได้) มีน้ำก็ต้องมี (เรือ) มีเรือก็ต้องมี (น้ำ, เสียง) วนกันอยู่เท่านี้นะ มีเรือ มีน้ำ มีเสียง ก็หนีไม่พ้นต้องมีคน ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราต้องการเข้าใจธรรมก็จงจำไว้อีกอย่างหนึ่งว่า ปรารถนาความสงบอย่าลืมความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา มีน้ำก็ต้องมีเรือ มีเรือก็ต้องมีเสียง มีเสียงก็ต้องมีคน ถูกไหม (ถูก) มีบ้านติดแม่น้ำลำคลอง จะหนีเรือหนีเสียงหนีคนได้ไหม (ไม่ได้) อย่าปรารถนาความสงบจนกลายเป็นใจที่ผิดปกติ ยอมรับไม่ได้ อยู่ติดแม่น้ำ แต่ไม่อยากได้ยินเสียงเรือ ผิดปกติไหม (ผิด) ปรารถนาความสงบจนลืมความเป็นจริง ปรารถนาความสงบจนกลายเป็นจิตผิดปกติ แล้วเราเป็นไหม (เป็น)
มีเราคนเดียว เรียกว่าโลกไหม (ไม่ใช่) ต้องมีหลายๆ คน จึงเรียกว่าโลก เมื่อมีคนก็มีโลก อย่างนั้นมีคนมีโลกแล้วมันเงียบหรือดัง (ดัง) แล้วสงบหรือวุ่นวาย (วุ่นวาย) สงบได้ ถ้าเรายอมรับความวุ่นวายว่ามันเป็นธรรมดาจริงไหม (จริง) มีโลกก็มีคน มีคนก็มีเสียง มีเสียงแล้วจะมีแต่เสียงสงบเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)
อะไรเรียกว่าปฏิบัติธรรม อะไรเรียกว่าศึกษาธรรมเพื่อทางดับทุกข์ นั่นก็คือการยินดีเผชิญกับทุกสภาวะในโลกโดยไม่เลือกแต่สิ่งที่ตัวเองถูกใจและไม่หวังให้ทุกสิ่งต้องเป็นดังใจ นี่เรียกว่าหนทางแห่งการปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ ยากไหม (ไม่ยาก) อยู่ที่ไหนเราก็สุขได้ สงบได้ มีไหมที่อยู่ในโลกแล้วมีการตำหนิต่อว่าแล้วไม่มีชื่นชม (ไม่มี) แล้วเป็นไปได้ไหมว่าคนในโลกจะมีแต่คนดีไปหมด (ไม่มี) ตัวเราเป็นไปได้ไหมมีดีโดยไม่มีชั่ว (ไม่ได้) แล้วเป็นไปได้ไหมที่เราจะดีแล้วไม่ร้าย (ไม่ได้) ยอมรับตัวเองได้ไหม (ได้) แล้วทำไมยอมรับคนอื่นไม่ได้ เมื่อใดที่ยอมรับตัวเองได้แล้วยอมรับผู้อื่นไม่ได้นั่นแปลว่าเห็นแก่ตัว เพราะเห็นแต่ตัวเองอย่างเดียว
ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมที่กล่าวมายากเกินไปไหม (ไม่ยาก) แล้วเคยปฏิบัติไหม ยินดีเผชิญกับทุกสภาวะในโลกโดยไม่เลือกสิ่งที่ตัวเองถูกใจและไม่หวังให้โลกต้องเป็นดั่งใจ ถ้าทำได้เช่นนี้อยู่ที่ไหนก็ไม่ทุกข์ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติธรรมได้เพราะยอมรับความเป็นจริงด้วยหัวใจสะอาดบริสุทธิ์ เพราะเมื่อใดที่เราไม่ยอมรับ สิ่งที่ตามมาคือกิเลส อัตตา ทิฐิ ความกลุ้มกังวล
จิตใจที่สงบร่มเย็น จิตใจที่สว่างไสว สะอาดนั้นมีอยู่ในใจท่านไหม จิตใจดีๆ มีอยู่แต่เหมือนมีอะไรมาบัง มีทิฐิอัตตาที่ไม่ยอมรับ ถามใจตัวเอง เวลาทำอะไร เราที่เลือกฟังใจส่วนไหนของเรา ลึกๆ เรารู้ว่าผิดบาปไหม ทำแล้วสบายใจไหม หลอกตัวเองว่ามีความสุขไปวันๆ แต่ใจก็ย้ำเตือนว่าผิดว่าไม่ดี จริงหรือไม่ (จริง) แล้วทำไมจึงไม่รู้จักพลิกใจตัวเอง พระเทวทัตเปลี่ยนใจยังกลายเป็นอรหันต์ได้ เราต้องกล้ายอมรับ เมื่อผิดว่าไปตามผิด ถูกว่าไปตามถูก จึงจะเรียกว่าพุทธะบนแดนโลกได้ ไม่ใช่ว่าเกิดเป็นคนแล้วอยากจะเอาดีอย่างเดียวสุขอย่างเดียว ทุกข์ไม่ได้ ฉะนั้นต้องพิจารณาให้ดี
สิ่งที่ทำให้เราไม่สามารถพ้นทุกข์ได้คือการยึดติดในความคิด เเละการยึดติดในหัวใจที่ชอบแบ่งแยก มนุษย์กลัวความเจ็บป่วย จึงคิดว่าการเจ็บป่วยเป็นสิ่งไม่ดี เเต่ถ้าเข้าใจว่าการเจ็บป่วยมีดีตรงไหน เราจะกลัวความเจ็บป่วยไหม (ไม่กลัว) เมื่อเจ็บป่วยอีกจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) อย่างนั้นการเจ็บป่วยมีดีไหม (ไม่ดี) อย่างนั้นไม่เจ็บเเต่ตายเลยดีไหม (ไม่ดี) ความตายดีไหม (ไม่ดี) ตกลงแล้วการเจ็บป่วยเเละการตายดีไหม เมื่อมนุษย์ยังไม่เห็นถ่องเเท้ในความเป็นจริง มนุษย์จะหนีไม่พ้นความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งความเจ็บทำให้รู้ว่าเรากำลังทำร้ายชีวิตจนลืมความแข็งแรง ความเจ็บทำให้รู้ว่าข้างในร่างกายมีสิ่งผิดปกติที่เรากำลังทำร้ายตัวเองอย่างไม่รู้ตัว ฉะนั้นเมื่อมีใครว่าเเล้วรู้สึกเจ็บก็ยังดีกว่าไม่รู้สึกอะไร
เรารู้เพื่อทุกข์หรือรู้เพื่อพ้นทุกข์ (รู้เพื่อพ้นทุกข์) เรารู้เจ็บเพื่อพ้นเจ็บ เรารู้ทุกข์เพื่อพ้นทุกข์ เวลาใครมาด่าเรา เราจะเจ็บเพื่อพ้นทุกข์ หรือเราจะเจ็บแล้วเจ็บอีก ถ้าเข้าใจความหมายของความเจ็บ เราจะไม่กลัวเจ็บ เพราะความเจ็บสอนให้เราเข้มแข็ง และความเจ็บสอนให้เรารู้คุณค่าของการมีชีวิตที่ถูกต้อง ไม่ใช่มัวแต่หาเงินจนทำร้ายตัวเอง
ความเจ็บทำให้เรารู้จักมิตรแท้มิตรเทียม ความเจ็บทำให้เรารู้ว่าใครรักเราจริง และความเจ็บทำให้เรารู้คุณค่าของการมีชีวิตที่ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่รู้จักช่วยผู้อื่นที่โชคร้ายและเคราะห์กรรมยังมีอยู่
มนุษย์ไม่สามารถปล่อยความยึดติดในสิ่งที่ตัวเองชอบ และหวังให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างที่ตัวเองต้องการจึงกลายเป็นเคราะห์ร้ายเพราะใจเรายังยึดติด แบ่งแย่ง ไม่ยอมรับความจริง แล้วตัดสินว่าความเจ็บนั้นแย่ ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่แย่
สิ่งที่น่ากลัวคือมนุษย์ตกเป็นทาสกิเลสตัณหาจนลืมทำสิ่งที่ถูกต้อง อีกอย่างหนึ่งที่น่ากลัวก็คือ ความยึดมั่นถือมั่น แบ่งแยก ชอบตัดสินว่าอะไรดีอะไรร้ายจนไม่เปิดใจกว้าง ทำให้มองไม่เห็นความจริง เราเกลียดคนที่ด่าเรา เราโกรธคนที่ยืมเงินเราไปแล้วไม่คืน เราแค้นคนที่รักเราแล้วทำร้ายเรา แล้วเราตัดสินเขาว่าเขาเลวใช่ไหม (ใช่) เช่นนี้เราจะพ้นเคราะห์กับคนเลวในโลกนี้ไหม (ไม่พ้น) อย่างนั้นเราควรจะทำอย่างไร
คนที่ไม่ดีมีดีไหม (มีดี) คนที่ร้ายๆ ยังมีมุมน่ารักไหม (มี) ฉะนั้นที่เขาว่าเรา นั่นดีไหม (ดี) บางทีเขาทำให้เราเห็นตัวเองชัดขึ้น ว่าเราจะมีเมตตาถึงที่สุดขนาดไหน เราจะมีขันติได้เยอะเพียงใด แล้วเราจะรู้จักให้อภัยและมีธรรมได้หรือไม่ ที่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมแต่ไม่กล้าเรียนรู้ความจริง เอาแต่ยึดติดในสิ่งที่คิด และตีกรอบตายตัวกับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ แม้ไม่ใช่เคราะห์ ก็กลายเป็นเคราะห์เพราะความคิด แต่คนที่ฉลาด ธรรมสอนให้เรารู้จักใช้ปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ใช่แค่ปกติแล้วสงบเป็น แต่ปกติสงบแล้วต้องรู้จักมีปัญญาเห็นแจ้งจริง และนำสิ่งนั้นมาทำให้ตนเองพ้นทุกข์ ไม่ใช่จมในทุกข์ ถึงจะเรียกว่าปฏิบัติธรรม เห็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นใครว่าเรา ต่อไปนี้จะเกลียดไหม (ไม่) จะทุกข์อีกไหม (ไม่ทุกข์) จะขอบคุณไหม (ขอบคุณ) ส่วนใครที่ชมเรา จะขอบคุณหรือว่าเขาดี (ขอบคุณ) อย่าติดคำชม เพราะคำชมจะทำให้เราไม่ยืนอยู่บนความจริง ถ้ารักจะปฏิบัติธรรม ต้องเลือกที่จะอยู่กับความจริงมากกว่าสิ่งที่ตัวเองยึดติดชอบชัง
การศึกษาธรรมคือการเรียนรู้ตนเข้าใจผู้คน คนทุกคนเหมือนกัน ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร คนอื่นก็ไม่ต่างกัน ฉะนั้นถ้าเราไม่ชอบ เราก็ไม่ควรทำกับผู้อื่น แต่เราทำอย่างนั้นไหม (ทำ) เราทำบุญ สวดมนต์ ไหว้พระก็แล้ว แต่ทำไมไม่สิ้นทุกข์ เพราะสิ่งที่เป็นความทุกข์นั้นคือ การยึดติดความคิด อยากให้ทุกสิ่งเป็นอย่างที่เราชอบและหวัง แต่ธรรมสอนให้เรารู้ว่า จงกล้าเรียนรู้ที่จะยอมรับความเป็นจริง เมื่อไรที่เรายอมรับความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาของโลก เราก็คือผู้ที่ปฏิบัติธรรมและมีทางพ้นทุกข์ ถูกไหม (ถูก) ทุกคนมีดีก็มีร้าย แต่จิตใจที่มั่นคงในความถูกต้องดีงามต่างหาก ที่จะนำพาให้เราพ้นจากเภทภัยในโลกนี้ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่มนุษย์ยืนหยัดบนความถูกต้องหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่น่ากลัว บุญก็ทำ บาปก็ทำ ฉะนั้นจะบอกว่าทำดีไม่ได้ดีไม่ได้ ตราบใดที่เรายังไม่ละบาป จะบำเพ็ญบุญ ก็ต้องละบาปกรรมให้ได้ บำเพ็ญธรรมถ้าไร้ซึ่งความซื่อตรงในจิตใจ ก็หาเรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญที่แท้จริงไม่ ปฏิบัติธรรมถ้าขาดคุณงามความดีในจิตใจ แม้มือจะทำบุญ แม้กายจะช่วยคน แต่ถ้าใจคิดร้าย ก็ไม่อาจเรียกว่าผู้บำเพ็ญธรรมได้ ฉะนั้นจงรักษากายใจให้ถูกต้องและดีงาม
ศึกษาธรรมคือศึกษาตัวเอง เข้าใจธรรมเพื่อเข้าใจความเป็นจริงแห่งตัวเอง เพราะมนุษย์มีธรรมชาติแห่งความเป็นคนอยู่ เข้าใจธรรมชาติในตัวตน ก็เข้าใจธรรมชาติในทุกสิ่ง ถ้าไม่เข้าใจธรรมชาติในคน ก็จะไม่มีวันเข้าใจความเป็นคนในโลกได้ จริงไหม (จริง) ย้อนมองตัวเอง ผ่อนปรนผู้อื่น ตรวจสอบเข้มงวดตัวเอง ให้อภัยให้โอกาสผ่อนปรนผู้อื่น จึงเรียกว่าการปฏิบัติธรรม อย่าขาวเพียงภายนอก อย่าขาวเพียงอาภรณ์สวมใส่ แต่ไร้ซึ่งความขาวและซื่อตรงในจิตใจ ไม่เช่นนั้นบำเพ็ญไปแล้วก็น่าละอายใจ หาคุณค่าที่แท้จริงไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) ดั่งที่เราพูดตั้งแต่ต้น ถ้าเรารู้คุณค่าของตัวเอง ไม่ว่าจะเจออะไร ไม่ว่าจะสูญเสียอะไร เราก็จะไม่ทุกข์ เพราะทำดีที่สุดแล้ว จริงไหม (จริง) มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก
วันอาทิตย์ที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๒ สถานธรรมถงซิน อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ศิษย์รักต้องการจะเห็นตนเป็นอย่างไร จงขวนขวายตามเรี่ยวแรงตามสิ่งที่มี กล้ายอมรับตัวเอง สร้างใจได้สติ บำเพ็ญได้แบบนี้ดีทุกวัน
คนละวิธีบางทีก็หัดเปิดใจ แบบรู้วิธีไม่มีธรรมก็ยากนาน อะไรไร้ซึ่งธรรมสุดท้ายล้วนทางตัน ช่วยกันฟังเสียงหัวใจ
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานถงซิน น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนน่ารักไหมหนอ
ความจริงไม่มีไปมาติดพะวง โลภโกรธหลงสมมติยึดมั่นหวั่นไหว
คนหลงมายาปัญญาหมดไปจากใจ รู้ว่าหลงอย่าไปเพิ่มกิเลสเดิม
ทุกทุกสิ่งที่เห็นที่เป็นเรา เหมือนไม่เป็นกับเราก่อนจะเริ่ม
สิ่งที่เป็นไม่อาจเห็นนิสัยเดิม บำเพ็ญเพียรทุกอย่างเพิ่มจะเปลี่ยนแปลง
เข้าธรรมเข้าใจที่จริงคือปฏิบัติ ข้อจำกัดแต่ไหนแค่เมฆบังแสง
ใดใดเปลี่ยนไปเสมออย่าคลางแคลง จันทร์เว้าแหว่งพร้อมเป็นจันทร์เต็มดวง
ฮา ฮา หยุด
* ศึกษาวิธีเพื่อบำเพ็ญที่จิตใจ รู้ทุกๆ อย่างดี ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับตน เริ่มตรงนี้นั่นแหละ เริ่มตรงนั้นนั่นแหละ ไม่รู้ก็จะรู้ได้ด้วยใจ
* * กี่ร้อยวิธี การบำเพ็ญเข้าสู่ใจ มองหาอะไรในทุกอย่างไม่เห็นมี ชีวิตนั้นยิ่งใหญ่ เช่นความจริงยิ่งใหญ่ ไม่ทุกข์บ้างเป็นได้อย่างไร
# ที่ศิษย์คิดมีเป็นล้าน ยังไม่พบว่ามีสุขจริงในตอนนี้ ครองปัญญากี่นาที ให้นึกดูให้ดี ที่มีอันตรธานไปไหน
ก้าวง่ายง่ายในที่นี้ จะสุขทุกข์ร้ายดี ก็มีหนึ่งความหมาย ฝึกบำเพ็ญเป็นสวรรค์ คืนวันสงบใจ พรุ่งนี้แม้ไม่ได้ทุกอย่าง ไม่ทุกข์ใจอะไร
ศิษย์รักต้องการจะเห็นตนเป็นอย่างไร จงขวนขวายตามเรี่ยวแรง ตามสิ่งที่มี กล้ายอมรับตัวเอง สร้างใจได้สติ บำเพ็ญได้แบบนี้ดีทุกวัน
คนละวิธี บางทีก็หัดเปิดใจ แบบรู้วิธีไม่มีธรรมก็ยากนาน อะไรไร้ซึ่งธรรม สุดท้ายล้วนทางตัน ช่วยกันฟังเสียงหัวใจ
ทำนองเพลง : ยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอ
ชื่อเพลง : จบที่การบำเพ็ญ
หมายเหตุ : เนื้อเพลงสี่ย่อหน้าแรกพระอาจารย์เมตตาประทานให้ที่ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน สองย่อหน้าสุดท้ายประทานให้ที่สถานธรรมถงซิน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
บุญไม่ได้อยู่ที่อาจารย์นะ บุญบาปอยู่ที่คนคิด ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้ามีคนจะยื่นบุญให้ศิษย์ แต่ศิษย์คิดว่าเขาต้องการอะไรหรือเปล่า หวังอะไรหรือเปล่า อย่างนี้เรียกบุญไหม (ไม่) บุญบาปไม่ได้อยู่ที่คนอื่นเขาให้ แต่ว่าบุญบาปอยู่ที่การวางใจของเราเมื่อเผชิญเรื่องราวอะไรในโลกต่างหาก ถูกหรือไม่ (ถูก)
หลายคนบอกอาจารย์ว่า ไม่มีเวลาบำเพ็ญ จะเอาเวลาที่ไหนไปบำเพ็ญ ใช่ไหม (ใช่) เวลาของคนเราสั้นหรือยาวอยู่ที่ (ใจเรา) เวลาจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับใจ อย่างนั้นจะมีเวลาบำเพ็ญหรือไม่มีเวลาบำเพ็ญก็อยู่ที่ (ใจเรา) ถ้าบอกอาจารย์ว่าไม่มีเวลาเเสดงว่าเราไม่มีใจ ถ้าคนมีใจเป็นอย่างไรก็มาบำเพ็ญ เวลาที่นั่งฟังธรรมอยู่ตอนนี้ช้าหรือเร็ว จะเร็วหรือช้าอยู่ที่ใจ ถ้ารู้สึกชอบก็จะรู้สึกว่าเวลาเดินเร็วจริงๆ ถ้ารู้สึกไม่ชอบก็จะรู้สึกว่าเวลาเดินช้า เเล้วตอนนี้ที่นั่งฟังธรรมอยู่ เวลาผ่านไปช้าหรือเร็ว (เร็ว) จะมีเวลาหรือไม่มีเวลาต้องถามว่ามีใจหรือไม่มีใจ ถ้ามีใจอย่างไรก็มีเวลา เเต่ถ้าหมดใจอย่างไรก็ไม่มีเวลา
เราต้องเข้าใจสิ่งที่เราจะบำเพ็ญก่อน จึงจะบำเพ็ญได้ ถ้าไม่เข้าใจเราก็บำเพ็ญไม่ได้ แล้วเราบำเพ็ญเป็นแบบไหน ถ้าจะฝึกฝนบำเพ็ญสิ่งที่เราต้องเริ่มทำง่ายๆ ก็คือละบาป เมื่อใดที่เราละบาปนั่นก็คือเราก็ได้บำเพ็ญบุญ แต่มนุษย์โดยส่วนใหญ่บำเพ็ญบุญแต่ไม่ละ (บาป) จึงกลายเป็นเหมือนคนที่วันนี้ใส่บาตรแต่วันพรุ่งนี้ไปด่าคน ตอนนี้อยู่วัดเป็นคนดีนั่งสมาธิหลับตาทำใจสงบได้ แต่พอออกนอกวัดเท่านั้นจิตกระเจิดกระเจิง อย่างนี้ถือว่าถูกไหม (ไม่ถูก) ละบาปได้เมื่อไรก็บำเพ็ญบุญได้เมื่อนั้น แต่ถ้าบาปยังละไม่ได้ ทำบุญไปเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์ หรือมีประโยชน์ก็น้อยมาก
เวลาเราให้ทานหรือทำบุญให้พระ จุดประสงค์หลักของการทำบุญก็เพื่อสละการยึดติด เพื่อสละการเว้าวอนขอ การยึดติดตัวเอง แต่เวลาเราสละไปแล้วเราขอไหม (ขอ, ไม่ขอ) ตกลงว่าเราสร้างบุญเพื่อสละหรือสร้างบุญเพื่อกรรมหย่อนไปสิบบาทแต่หวังปลาตัวโต ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนี้เหมือนค้าขาย ไม่เหมือนทำบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราให้ทานคนอื่น เราให้เพราะเราอยากให้เขาใช่ไหม (ใช่) แล้วเราขอทำไม เราว่าคนขอทานน่าเกลียด แต่เวลาเราให้ทานแล้วเราขอไหม (ขอ, ไม่ขอ) แต่ที่อาจารย์ได้ยินมานั้นขอทุกคนเลยนะ จริงไหม (จริง) ให้ไปร้อยบาทขอเป็นพันบาท ค้ากำไรเกินควรนะ ถูกไหม เริ่มต้นมันก็ผิดแล้วจริงไหม (จริง) การทำบุญก็เพื่อละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ละกิเลสความโลภโกรธหลงให้ออกไปจากใจ แต่ถ้าทำบุญแล้วยังยึด ยังโลภ ยังหลง อย่างนี้ก็ไม่ใช่การทำบุญที่ถูกต้อง ไม่ใช่การทำบุญที่สะอาด เพราะบุญนั้นยังแอบแฝงไปด้วย (กิเลส) ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอยากจะทำบุญ อยากจะเริ่มต้นบำเพ็ญ ต้องถามก่อนว่าละบาปหรือยัง ละบาปได้ก็บำเพ็ญบุญ อาจารย์บอกวิธีเริ่มต้นง่ายๆ ในการฝึกฝนบำเพ็ญธรรม อย่างแรกไม่ต้องพยายามเป็นคนดี แต่พยายามไม่ทำชั่ว ไม่ทำผิด ดีไหมคนหนึ่งไม่เคยอวดตัวเองเลยว่าดี แต่บอกว่ายังไม่ดี จะพยายามแก้ให้ดี น่ารักไหม (น่ารัก) แต่บางคนบอกว่าฉันดีๆ น่ารักไหม (ไม่น่ารัก) เราเป็นแบบไหน (แบบไม่ดีแต่พยายามแก้)
คนน่ารัก ทำตัวน่ารัก อยู่ที่ไหนใครก็รัก จริงไหม (จริง) แล้วเราทำตัวน่ารักหรือน่าเกลียด ที่ทำทุกวันนี้อาจารย์ว่าน่าเกลียดมากกว่าน่ารักอีก รู้ว่าทำแบบนี้ไม่ดีก็ยังทำ ฉันจะทำเพราะโมโห แต่พอถึงเวลาเขาไม่รักเรา เรากลับวิ่งตามไปหาเขา ใช่หรือเปล่า (ใช่) เราไม่รู้ว่าเขาจะอยู่กับเรายาวนานหรือไม่ ทำไมไม่ทำให้ดีที่สุด รักที่สุด แล้ววันหนึ่งที่เราหรือเขาจากไป หรือเขาไปมีใคร อย่างน้อยเขาก็มีคนดีๆ ที่ยังอยู่ในใจ แม้เขาจะหมดรักเราไปแล้วก็ตาม จริงไหม (จริง) และอย่างน้อยเราก็ทำเต็มที่แล้ว ใช่หรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาทำหน้ายิ้มให้นักเรียนในชั้นดู)
ถ้าทำหน้าแบบนี้จะมีใครรักไหม ก็ไม่รู้จักกันจะยิ้มให้ทำไม เดี๋ยวจะหาว่าเราบ้า แต่บ้าแล้วทำให้คนมีความสุขก็จงยิ้มไป
บางทีปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนเราก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้วสุขในโลกไม่ใช่เรื่องที่ยาก แต่มันอยู่ที่ว่าเราจะปล่อยวางอัตตาทิฐิตัวตนแล้วได้มาซึ่งความสุขและความยินดีของคนหรือเปล่า
จะพูดจะทำ ขอให้คิดให้ดี เพราะถ้าคิดได้ดี คิดได้ถูก การพูดของเราก็เป็นการสร้างบุญ แต่ถ้าพูดไม่ดี พูดไม่คิด การพูดของเราก็เป็นการก่อบาป และทำร้ายตัวเองให้ทุกข์ ฉะนั้นอย่าบอกว่าไม่มีเวลา เมื่อไรต้องพูด เมื่อไรต้องทำ เมื่อนั้นยังมีเวลาปฏิบัติธรรม อย่างไรที่เรียกว่า เราจะได้บำเพ็ญด้วย สมมุติว่าอาจารย์ไปขโมยผลไม้ลูกหนึ่งมาจากคนที่มีโชควาสนาดี แล้วเอามาให้ศิษย์ผู้โชควาสนาไม่ค่อยดี กินแล้วจะโชคดีนะ เอาไหม (ไม่เอา) ร่วมกันรับทุกข์รับสุขพร้อมกัน อาจารย์กินครึ่งหนึ่ง ศิษย์กินอีกครึ่งหนึ่งเอาไหม (ไม่เอา) ทำไมไม่เอา อาจารย์กินเยอะกว่าศิษย์แต่ศิษย์เอาไปแค่เสี้ยวเดียวก็พอ อาจารย์ผิดเยอะกว่า (ยังบาปอยู่) แล้วบาปนี้ไม่เป็นไรนะเพราะไม่มีใครเห็น เรารู้กันอยู่สองคน (ฟ้าดินก็เห็น)
ศิษย์เอ๋ยแค่ศิษย์คิดได้อย่างนี้ ศีลศิษย์ก็มีครบ สมาธิศิษย์ก็มีครบ ปัญญาศิษย์ก็ได้ นี่ถึงเรียกว่าบำเพ็ญ ชั่วขณะที่จะทำหรือไม่ทำ ศิษย์คิดก่อนว่านั่นถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ผิดศีลหรือขาดศีล ถ้าผิดศีลหรือขาดศีลแล้วไม่ทำ แต่เขายังคะยั้นคะยอให้ทำอีก แต่ศิษย์ยังไม่ทำ เราได้รับมาเราก็ทุกข์ คนที่สูญเสียไปเขาก็ทุกข์ เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ไม่อยากทำเลย ถ้ามีโอกาสที่เราจะได้แต่เราคำนึงถึงศีลธรรม คำนึงถึงความถูกต้อง และหยัดยืนในความถูกต้องว่าไม่ทำ แล้วสามารถกระจ่างว่าเพราะอะไรไม่ทำ เพราะว่าไม่อยากบาป ไม่อยากมีกรรม ไม่อยากสร้างกรรมกับใคร นั่นถึงเรียกว่าศีล คือความปกติ สมาธิคือความมั่นคงในความดีงาม ปัญญาที่เห็นแจ้งชัดว่า ทำไปแล้วจะเป็นทุกข์ มีโทษ แค่นี้ เรียก บำเพ็ญแล้ว แค่นี้เรียกไม่สร้างกรรมเพิ่มแล้ว ถูกไหม (ถูก) ถ้าอยากได้ก็จะกลายเป็นกิเลส กิเลสนำมาซึ่งความทุกข์ ทุกข์นำมาซึ่งกรรม กรรมนำมาซึ่งวิบาก วิบากกรรมที่เราหนีไม่พ้น เเละวิบากกรรมที่หนีไม่พ้นนี้ยังกลายเป็นวัฏฏะกรรมที่เราต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดกลับไปชดใช้ ถ้าเขากินสิ่งนั้นเเล้วเขาหายป่วย เเต่เรากลับขโมยของเขามา ทำให้เขาต้องตาย ก็กลายเป็นเราทำบาปไปทั้งชีวิตโดยไม่รู้ตัว เพราะความอยากของเราเอง ถ้าทำแบบนั้นไม่เรียกว่าการบำเพ็ญเเต่เป็นการสร้างกรรมต่อ เหมือนที่มนุษย์เกิดมาพร้อมกรรมดีกรรมชั่ว เรากำลังชดใช้กรรม เพื่อจะได้หมดเวรหมดกรรม ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับทุกขณะที่เรากระทำ
ถ้าความอยากอย่างหนึ่งได้มาอย่างไม่ถูกต้อง เเล้วเรายืนหยัดความถูกต้องด้วยการไม่เอา อีกทั้งมุ่งมั่นว่าจะไม่เอาอย่างมีเหตุผล เเละสามารถอธิบายให้คนที่ยัดเยียดให้เราเข้าใจชัดเจนจนเขาไม่ทำผิดได้ จะเป็นการสร้างบุญต่อถูกไหม (ถูก) สมมติว่าฆ่าหมูเเล้วนำเนื้อไปให้ศิษย์ทำบุญจะเอาไหม (ไม่เอา) ไม่เอาหรือ ในเมื่ออาจารย์อยากทำบุญ (ไม่เอา เป็นบาป) ช่วยเเปรบาปให้เป็นบุญหน่อยได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเราทำไหม (ไม่ทำ)
เบียดเบียนชีวิตคนอื่นเพื่อชีวิตตัวเองแล้วไปทำบุญ โกหกคนอื่นแล้วค้าขายจะได้ร่ำรวยแล้วจะได้เอาไปทำบุญ ปิดบังคนอื่น ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตแล้วก็จะได้เอาไปทำบุญ ให้หนูรวยก่อนนะอาจารย์แล้วหนูจะไปทำบุญ โดยไม่สนใจวิธีการว่าถูกต้องมีศีลมีธรรมหรือเปล่า อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี) ฉะนั้นทุกขณะที่ศิษย์จะคิดจะทำจะพูด หรือจะอยากอะไรก็ตาม ถ้าทุกขณะคิดดูก่อนว่าถูกศีลธรรมไหม ถ้าหากไม่ถูกต้อง ยังหยัดยืนมั่นคง ก็แปลว่าเรามีศีลแล้วยังมีสมาธิ และยังเห็นแจ้งว่าการได้มานั้นไม่ถูกต้องและมีผลอย่างไร ก็ก่อเกิดปัญญา เราเริ่มต้นปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยาก อย่างน้อยเราก็ละบาปก่อนเพื่อบำเพ็ญ (บุญ) บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้ (บริสุทธิ์) แล้วเมื่อมีบุญแล้วยังกอปรไปด้วยศีลธรรม ศีลธรรมนำมาซึ่งความสงบและความปกติในการอยู่ร่วมกับผู้คน คนส่วนใหญ่ชอบคนเมตตาหรือชอบคนใจร้าย (เมตตา) ชอบคนเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวหรือรู้จักเสียสละอุทิศ มีน้ำใจ (เสียสละ)
ถ้าอาจารย์บอกว่าใจร้ายก่อนแล้วอาจารย์ค่อยเมตตาได้ไหม ตบหัวแล้วค่อยลูบหลังดีไหมดุไปก่อนเดี๋ยวพอสำนึกได้ค่อยดีกับเขาทีหลัง ได้ไหม คนบางคนนั้นที่ดีก็ส่วนดี แต่ส่วนไม่ดีเขาก็ด่าเราไม่เหลือเหมือนกัน จริงไหม เจ้านายคนนี้เป็นอย่างไร เวลาเขาด่าก็ด่าไม่เหลือพ่อเหลือแม่เลย แต่เวลาเขาดีก็ดีใจหายเลย แล้วอย่างนี้เรียกว่าดีไหมศิษย์
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากจะบำเพ็ญ ศิษย์ต้องละบาปให้ได้ แล้วคนที่เขางามจริงๆ คนที่เขาเย็นจริงๆ ไม่ต้องตอบอะไร ไม่ต้องให้อะไร แต่ว่าพยายามแค่เป็นคนดี ไม่เอาเปรียบเขา ไม่กดขี่เขา มีเมตตาเขา ให้เกียรติเคารพเขา มันดีที่สุดแล้วใช่ไหม (ใช่) หากศิษย์อยากให้ใครรักเราจนไม่คดโกงนั้น ศิษย์ก็ต้องให้ใจเขาไปเต็มๆ รักเขาเต็มๆ มีหรือเขาจะไม่รักตอบ นอกจากว่าศิษย์ไปสร้างกรรมมาก่อน เคยหลอกลวงใครถึงต้องได้เจอคนแบบนี้ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าไม่อยากมีกรรมเราก็สร้างกรรมที่ถูกต้อง ดีไหม (ดี)
บุญคือ เครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ เเต่การดำเนินชีวิตเรา ต้องอยู่ร่วมกับคน ฉะนั้นศีลธรรมคือการปฏิบัติเพื่อความสงบสุขในการอยู่ร่วมกับผู้คน ฉะนั้นจะมีแต่บุญแต่ไม่มีศีลธรรมไม่ได้ เพราะบุญนั้นรักษาเราให้สะอาด แต่เวลาเราอยู่กับผู้คน แม้ใจเราสะอาดแต่ปากเราด่าคนเก่ง ได้ไหม (ไม่ได้) มนุษย์ทุกคนยังต้องการความเมตตา ความเคารพ ความซื่อตรง ความให้เกียรติ เมื่ออยากละบาปบำเพ็ญบุญ มีบุญแล้วอย่าขาดศีลธรรม เพราะศีลธรรมนำมาซึ่งความปกติสุขในการอยู่ร่วมกัน พอเข้าใจนะ (เข้าใจ) การบำเพ็ญยากไหม (ไม่ยาก) ฉะนั้นทุกครั้งที่เราจะทำอะไร อ้าปากพูด หรืออยากอะไร ก็ลองถามใจตัวเองก่อน ทำด้วยเมตตาไหม ทำถูกต้องศีลธรรมหรือไม่ แต่ส่วนใหญ่ทุกคนมักถือศีลไม่ครบ อย่างนั้นเรามาดูคุณค่าของศีลหน่อยไหมว่าถ้าถือครบ แล้วถือได้แต่ละข้อมีดีอะไร
ศีลข้อหนึ่ง ไม่ฆ่าสัตว์ หรือไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่นเพื่อชีวิตเรา คนที่ไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่นทั้งกายวาจาใจ จะเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงทั้งกายใจ และมีอายุมั่นขวัญยืน ไม่เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ฉะนั้น ถ้าอยากมีสุขภาพที่ดี อายุยืนไม่มีโรคภัย อย่าเบียดเบียนทำร้ายชีวิตคนอื่นเพื่อชีวิตตัวเอง ถ้าเราเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ก็ต้องถามว่าเราเคยไปเบียดเบียดใครไหม
ศีลข้อสอง ไม่ลักทรัพย์ โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนไม่คิดอยากจะได้ของคนอื่นมาเป็นของเรา ใช่ไหม (ใช่) ทำงานก็เพราะอยากได้เงินเขามาเป็นเงินเราไม่ใช่หรือ (ใช่) อย่างนั้นก็คืออยากนั่นเอง เราอยากได้เงินแต่เราทำด้วยหน้าที่ซื่อตรง เงินนั้นเราก็สมควรได้รับ จริงไหม (จริง) แต่ทุกวันเราทำงานไปอย่างนั้น ลาพักร้อนเยอะๆ พ่อแม่ป่วยเยอะๆ แล้วเราก็จะได้เงินมาก แต่ทำงานน้อยๆ ใช่ไหม (ใช่) การอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของเรา ทำให้เราได้อะไรมาก็จะรักษาไม่ค่อยอยู่ หรืออยากได้อะไรก็จะมีคนอยากได้ของเราเสมอ แต่ถ้าทุกครั้งที่เราอยาก เราทำสิ่งที่ดีที่สุด ได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร จะกลายเป็นกิเลสไหม จะกลายเป็นความโลภ โกรธ หลงไหม (ไม่)
เมื่อเราไม่คิดอยากได้เงินของคนอื่นมาเป็นเงินของเรา เราก็เป็นคนที่แม้มีทรัพย์ ทรัพย์นั้นก็อยู่กับเรา เราจะไม่ถูกคนคิดคดโกง ไม่มีวันที่สูญเสียทรัพย์โดยเราไม่คาดคิด รักษาศีลได้สองข้อเเล้วดีไหม (ดี) แล้วอีกสามข้อที่เหลือถ้ารักษาได้จะดีไหม (ดี) ที่ไม่ดีเพราะว่าอะไร (ไม่รักษาศีล) ที่บอกว่าชีวิตเจอเรื่องไม่ดี เจอเเต่เรื่องทุกข์ก็ต้องกลับมาถามตัวเองว่าตัวเรามีศีลครบไหม
ศีลข้อสามคือ (ไม่ประพฤติผิดในกาม) อยากได้คนรักที่รักเราจริงไหม (อยากได้) อยากได้คนซื่อตรงไหม (อยากได้) อยากได้เพื่อนที่ซื่อตรงจริงใจกับเราไหม (อยากได้) เเล้วเราซื่อตรงไหม (ไม่) มีกิ๊กไหม แอบดูสิ่งที่ไม่ควรดูไหม แอบปันใจไหม ฉะนั้นอย่าโหยหาว่ารักเเท้อยู่ที่ใดโดยที่ตัวเองยังไม่เคยมีรักเเท้ในใจตัวเอง ถึงเเม้ตอนนี้มีคนรักเเม้จะไม่เเท้แต่ต่อไปฉันก็จะเป็นรักเเท้ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ไม่เคยเห็นใครรักเเท้จริงๆ ฉันรักสามีเเต่เมื่อเห็นคนอื่นก็คิดว่าเขาหล่อ ถ้าเราไม่ประพฤติผิดเเละมีความซื่อตรง เมื่อทำอะไรเราก็จะได้คนที่ซื่อสัตย์จริงใจ ชีวิตที่เราทุกข์เพราะเราเจอคนไม่ซื่อสัตย์ ดังนั้นย้อนกลับมาถามตัวเองว่าเราซื่อสัตย์จริงใจกับคนอื่นไหม ชีวิตเราทุกข์เจ็บป่วยก็ต้องกลับมาถามตัวเองว่าเราไปเบียดเบียนใครหรือทำร้ายใครให้เจ็บปวดไหม เวลาเราทำอะไรจึงเกิดความสูญเสียสูญหายก็ต้องกลับมาถามตัวเองว่า เราอยากได้ของของคนอื่นจนลืมรักษาความถูกต้องหรือไม่
ศีลข้อสี่ ไม่พูดโกหก อาจารย์ว่าทำง่ายที่สุด แต่ศิษย์ของอาจารย์ก็ทำไม่ได้มากที่สุด พูดอย่างทำ (อย่าง) ปากว่า (ตาขยิบ) ปากหวาน (ก้นเปรี้ยว) แล้วศิษย์รู้ไหมคำว่าศักดิ์สิทธิ์ คืออะไร พูดได้ ทำได้ ทำได้อย่างที่พูดเรียกว่า ศักดิ์สิทธิ์ พูดคำไหนเป็นคำนั้น มีแต่คนเชื่อถือ กล้าพูดก็ต้องกล้ารับผิดชอบ น่ารักไหม (น่ารัก) อยากเป็นคนที่ศักดิ์สิทธิ์ อยากไปอยู่ที่ไหนคนก็มีแต่คนเชื่อถือ เคยไหม ที่เราไปพูดแล้วทำให้วงแตก พอเราเข้ากลุ่มแค่นั้นวงแตก ไม่มีใครอยากฟังเรา เพราะอะไร เพราะว่าพูดแล้วไม่น่าเชื่อถือ ใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเกิดว่าเรายังไม่ทันได้อ้าปากคนก็มานั่งรอแล้ว วันนี้อยากพูดอะไรให้ฟัง วันนี้อยากอยู่ด้วยเพราะอยู่ด้วยแล้วอบอุ่น ร่มเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศีลข้อห้า ไม่ดื่มสุรายาเมา ไหนใครไม่ดื่ม เหล้าไม่กิน เบียร์ไม่ดื่ม ไวน์ไม่จิบ ไม่กินเหล้าแต่กินเบียร์ ไม่กินเบียร์แต่กินไวน์ บางคนไม่ว่าทำอะไรทำไมปัญญาเขาคิดได้เสมอ แต่เวลาเราทำอะไรก็ดูมืดมนมองไม่เห็นทาง อยากมีปัญญาดีต้องห่างจากสุรา อบายมุขทั้งมวล นี่คือข้อดีของการมีศีล คนที่มีศีลครบคือความปกติ คือความร่มเย็น คือความสงบสุขของชีวิต คนๆ หนึ่งถ้าปฏิบัติได้ครบชีวิตจะทุกข์ไหม จะทุกข์น้อยลงถูกไหม (ถูก) แต่ถ้าปฏิบัติไม่ครบชีวิตทุกข์ไหม (ทุกข์) วุ่นวายไหม (วุ่นวาย) ปัญหาเยอะไหม (เยอะ) แล้วเรามีศีลครบไหม (ไม่ครบ) เมื่อรู้อย่างนี้จะพยายามมีศีลครบไหม (พยายาม) ไม่ต้องพยายามแต่ลงมือทำเลย
ยกตัวอย่างเรื่องการพูดความจริง มีชายคนหนึ่งบ้านยากจนมาก ขณะที่ภรรยากำลังป่วยจึงเอาวัวไปขาย แต่วัวตัวนั้นไม่สบาย มีเฉพาะคนที่เลี้ยงวัวด้วยกันจึงจะดูออก แต่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีวัวแค่ตัวเดียวที่ขายได้เพื่อจะมาต่อชีวิตภรรยา เขาจึงเอาไปขาย เวลามีคนจะมาซื้อเพราะเห็นว่าราคาถูก ก็มีคนบอกว่าอย่าไปซื้อ มันเป็นวัวป่วย พอใครจะมาซื้อก็ไปกระซิบว่าอย่าไปซื้อ วัวมันป่วย ทั้งวันชายคนนี้ก็ขายไม่ได้ ตลอดสิบวันคิดว่าจะขายได้ไหม (ไม่ได้) จนกระทั่งเขาเจอคนปรารถนาดีที่ไปบอกคนอื่นว่าอย่าซื้อวัวป่วย จึงถามว่าทำไมพูดอย่างนั้นเล่า เขาจึงตอบว่า ก็เป็นเรื่องจริงวัวป่วยจะเอามาขายได้อย่างไร คนเราเมื่อความทุกข์จุกอกไม่อยากต่อล้อต่อเถียงจึงไปผูกคอตายเพราะขายวัวไม่ได้ ฉะนั้นบางอย่างแม้เราจะพูดจริง บางอย่างแม้เราจะพูดถูก แต่ศิษย์ต้องไตร่ตรองให้ดีเพราะเมื่อกรรมตกผล กรรมครบวงจรแล้ว ศิษย์จะต้องชดใช้กรรมอย่างที่ศิษย์คิดไม่ถึงเพียงเพราะการพูดความจริง เขาไม่โกรธก็ต้องโกรธ กลายเป็นว่าเมื่อคนปรารถนาดีนี้ตายไปก็ต้องเกิดมาเป็นลูกเพื่อดูแลพ่อแม่สองคนที่เจ็บป่วย ถึงแม้จะทำดีแค่ไหน แต่ก็ต้องดูแลพ่อแม่ที่เจ็บป่วยและนอนติดเตียง
โบราณเขาจึงกล่าวไว้ ชีวิตเหมือนเดินบนน้ำแข็งบาง กล่าวพลาดนิดหนึ่ง พูดผิดนิดหนึ่ง ทำผิดนิดหนึ่ง ศิษย์บอกไม่เป็นไรหรอกอาจารย์ แต่อาจารย์จะบอกว่าชดใช้ชาติเดียวไม่จบ และบางครั้งผิดครั้งเดียว ศิษย์ทำบุญไปร้อยครั้งก็ยังชดใช้ให้เขาไม่ได้ ฉะนั้นเกิดเป็นคน ละบาปไม่ได้ สร้างบุญแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ เพราะทุกข์ที่เจ็บที่สุด ไม่ใช่ทุกข์ครั้งเดียว แต่ทุกข์ที่เจ็บที่สุดคือการต้องกลับมารับทุกข์ไม่จบสิ้น จนกว่าคนที่ศิษย์ผูกกรรมด้วย เขาจะสาแก่ใจ จริงไหม (จริง) เอาง่ายๆ แค่เราไปด่าเขาครั้งหนึ่ง ศิษย์ขอโทษเขาครั้งเดียว ศิษย์ไปสวดมนต์กรวดน้ำนั่งสมาธิขออภัย หายไหม (ไม่หาย) แล้วเราทำไหม จริงไหม (จริง) ฉะนั้นก่อนจะทำอะไรนึกถึงศีลเข้าไว้ นึกถึงธรรมเข้าไว้ เพราะศีลข้อแรกนั้นสอนให้เราเมตตา เมตตาให้ถึงที่สุด เมตตาจนเรียกว่า “โพธิสัตว์” นั่นคือที่สุดของคำว่าเมตตา คือแม้จะถูกเฉือนเลือดเฉือนเนื้อเฉือนหนังก็ไม่โกรธ แม้จะถูกเผาทั้งเป็นโดยที่ตัวเองไม่ผิดก็ไม่โกรธ ยังเมตตาได้ นั่นเรียกเมตตาจนถึงที่สุด คำว่า “เมตตาดั่งโพธิสัตว์” ยากไหม (ยาก, ไม่ยาก) ไม่ยาก ถ้าเรายอมทิ้งความยึดมั่น ถือมั่นแล้วได้มหาเมตตา ถ้าเรายอมทิ้งทิฐิอัตตาความยึดมั่นถือมั่น และได้คุณธรรมสูงสุด ทำไมไม่ยอมแลก แต่มนุษย์ติดในอารมณ์กิเลส จนมองไม่เห็นค่าแห่งความดีงามในการประพฤติบำเพ็ญธรรม ดูถูกดูเบาคุณค่าตัวเอง
ผู้ที่ปฏิบัติศีลข้อหนึ่ง ไม่ฆ่าสัตว์ก็คือมีเมตตาธรรม ใช่ไหม และถ้าเขาทำศีลข้ออื่นได้ มีมโนธรรม มีสัตยธรรม มีปัญญาธรรม มีจริยธรรม เราอยู่กับคนนี้สันติไหม (สันติ) ถ้าศิษย์มีทั้งศีลทั้งธรรมครบ ไม่สร้างบาป ศิษย์จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) เกิดแก่เจ็บตายมาถึงจะทุกข์ไหม ถ้าทำดีที่สุดแล้ว จะตายก็ไม่เสียดายชาติเกิด จะเจ็บก็ไม่เป็นไร แต่ตราบใดที่ศิษย์ยังไม่เข้าใจความเป็นจริงของโลกศิษย์ก็ยังไม่พ้นทุกข์ จริงไหม โลกมีความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา มีฝ่ายหญิงก็มีฝ่ายชาย มีคำชมก็มีคำด่า มีสุขก็มีทุกข์ มีดีก็มีไม่ดี มีสมหวังก็มีผิดหวัง ฉะนั้นผู้ที่เข้าใจความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา ขึ้นชื่อว่า “ผู้ปฏิบัติธรรมเดินไปสู่ความพ้นทุกข์” เมื่อใดสามารถรับความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาของโลกด้วยใจที่เป็นกลาง เมื่อนั้นจะค้นพบธรรม
เห็นทุกข์แล้วไม่ทุกข์ พบทุกข์แล้วเห็นธรรม เห็นเป็นธรรมชาติของความทุกข์ เอาสิ่งที่เป็นทุกข์มาทำให้บังเกิดธรรม มั่นคงในความเมตตาเข้าไว้ แล้วมองให้ออก ถ้ามีคนด่าเราเป็นชั่วโมง (ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว) แต่บางคนเวลาเขาโกรธมากๆ เขาด่าเราแล้วเรายืนนิ่ง เขากลับยิ่งโมโห ฉะนั้น เราต้องขอโทษจากใจจริง แปรเป็นปัญญาและนำพาให้เขาพ้นทุกข์ และถ้าเขาคือคนที่รักเราแล้วเขาโมโห เนื่องจากเราไม่ได้ดั่งใจเขา จงกอดเขาและบอกขอโทษ เราจะช่วยกันแปรทุกข์ให้เป็นสุขและนำความร่มเย็นมาสู่ครอบครัวในโลกนี้มีทุกข์มากมาย ทุกข์เเห่งความจริงที่เราหนีไม่พ้น คือ เกิดเเก่เจ็บตาย ทุกข์จากการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทุกข์จากการต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก เเละทนกับโลกใบนี้ที่มีทั้งทุกข์สุขดีร้ายใช่หรือไม่ (ใช่) เราเคยมองหาไหมว่าเราทุกข์เพราะอะไร (เคย) อย่างนั้นตอบให้อาจารย์ได้ชื่นใจว่าทุกข์เพราะอะไร
(ทุกข์เพราะคาดหวังให้ผู้อื่นเป็นในแบบที่เราคิด, ทุกข์เพราะความคิดตัวเอง) เราหวังให้ทุกคนเป็นดั่งใจเราได้ไหม (ไม่ได้) เราควรหวังต่อไหม (ควรน้อยลง) ควรมองตามความเป็นจริงเเละทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดนั่นคือหนทางที่ถูกต้อง (ทุกข์เพราะความยากจน) ถ้าศิษย์ลดความอยากให้น้อยลงเงินจะมีเพิ่ม เเต่ถ้าเงินมีเท่านี้เเต่ความอยากมากกว่าอย่างไรก็จน ถ้าเป็นคนเอาเเต่งอมืองือเท้าไม่ขยันทำมาหากินก็จนอยู่ดี ถ้าขยันทำงานไม่งอมืองอเท้า มีเท่าไหร่รู้จักอดออม ไม่ใช่มีเท่าไหร่ก็อยากมากกว่าที่มีก็จนวันยังค่ำ ฉะนั้นอย่ากลัวความจน เเต่ให้กลัวจนใจมากกว่า (เพราะมีลูกเยอะ) การมีลูกทุกข์ไหม (ทุกข์) หาสุขไม่เจอเลยหรือ (เจอแต่น้อย) ก็เพราะมัวแต่คาดหวัง (เพราะฟ้าลิขิต) ไม่ใช่ฟ้าลิขิต เรากำหนดตัวเองทั้งนั้น ให้คิดดีกลับไม่คิด ให้คิดสบายใจกลับไม่คิด ชอบคิดอยากจะทุกข์ จริงไหม
ถ้ามนุษย์เข้าใจความเป็นจริงว่าเราหนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย และยอมรับความแก่ เจ็บ ตาย ได้อย่างเข้าใจ สิ่งนี้ก็จะช่วยให้เราไม่ทุกข์มาก ฉะนั้นแม้จะเจ็บ เราก็จะรู้จักเข้มแข็ง และรักษาตัวเองให้รอด แม้จะตาย เราก็รู้ว่าเราได้ทำดีที่สุดแล้ว ตายไปก็ไม่เป็นไร การตายคือเปลี่ยนภพภูมิจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ไปยังที่บุญกรรมเราได้สร้างไว้การตายได้กลับคืนสู่ธรรม ขึ้นอยู่กับสภาวธรรมในจิตใจ ฉะนั้นความแก่ ความเจ็บ ความตาย จึงเป็นธรรมดาของโลกที่ไม่ทำให้ศิษย์ทุกข์ แต่สิ่งที่ทำให้ศิษย์ทุกข์มากก็คือความคิด จริงไหม (จริง) รู้ว่าคิดแล้วเป็นทุกข์ คิดไหม (คิด) ถ้ายิ่งคิดแล้วมันทุกข์ ก็สู้หยุดแล้วมันจะได้ไม่ทุกข์ ถ้าคิดแล้วมันทำให้ทุกข์ เปลี่ยนความคิด ก็เปลี่ยนชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตัวอย่างง่ายๆ มือข้างหนึ่งมีกี่นิ้ว (ห้านิ้ว) แต่เราทุกข์เพราะอยากให้นิ้วโป้งเป็นนิ้วก้อย อยากให้นิ้วก้อยเป็นนิ้วโป้ง ได้ไหม (ไม่ได้) ได้ ก็แค่ผ่าตัด เอานิ้วโป้งมาไว้นิ้วก้อย เอานิ้วก้อยมาไว้นิ้วโป้ง ใช่ไหม (ใช่) แล้วเราจะคิดให้เจ็บตัวทำไม ใช่ไหม (ใช่) เปรียบกับศิษย์ก็เหมือนกัน ลูกบางคนเป็นนิ้วโป้ง บางคนเป็นนิ้วก้อย แต่ศิษย์อยากให้ก้อยเป็นโป้ง ให้โป้งเป็นก้อย ความทุกข์อย่างแรกคือ ไม่ยอมรับความจริงอันเป็นธรรมชาติของคน คนบางคนได้แค่นี้ จะให้นิ้วโป้งเป็นนิ้วชี้ได้ไหม (ไม่ได้) แล้วให้นิ้วชี้เป็นนิ้วโป้งได้ไหม (ไม่ได้)
ถึงแม้ชีวิตคนจะไม่เท่ากัน แตกต่างกัน แต่มีคุณค่าที่ไม่เหมือนกัน ถ้าเรารู้ว่าทุกสิ่งมีคุณค่า เราจะดันทุรังหวังว่ามันต้องเป็นโป้งอย่าเป็นก้อย ได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม หวังว่าเดินผ่านไปแล้วทุกคนต้องยิ้มกับเรา เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์ ความคิดของศิษย์ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา แล้วความคิดเราจะไม่นำพาซึ่งความทุกข์ เหมือนกับว่าอยากให้เขารักเรา เขารักเราไหม(ไม่รัก) ถ้าวันนี้เขารักเราแล้วแต่เราอยากให้รักเราเพิ่มขึ้นอีก เป็นไปได้ไหม (เป็นไปไม่ได้) หรือดีแล้วต้องดีเท่ากันทุกวัน เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) แล้วหวังไหม (หวัง) แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์) ถ้าคิดแล้วทุกข์ก็ไม่ต้องคิด เรียกว่าปล่อยวาง ถ้ารู้ว่าคิดแล้วทุกข์ คิดแล้วฝืนความเป็นจริงธรรมชาติก็ปล่อยวางและยอมรับความจริง
มนุษย์เรามีทุกข์เยอะ ทุกข์อย่างแรกที่น่ากลัวคือไม่ยอมรับความจริง อย่างที่สองคือเอาใจตัวเอง เอาชีวิตตัวเองไปฝากไว้กับคนอื่น ฉันจะสุขก็ต่อเมื่อเขายิ้ม ฉันจะทุกข์ก็ต่อเมื่อเขาด่า เราทุกข์เพราะเราชอบเอาใจไปฝากไว้กับคนอื่น เราจะยิ้มก็ต่อเมื่อคนที่เรารักเขายิ้ม เราทุกข์เมื่อเขาด่าเรา ชีวิตศิษย์ ศิษย์คุมไม่ได้ ศิษย์ฝากชีวิต ศิษย์ฝากอารมณ์ไว้เป็นทาสของคนอื่นศิษย์ดูถูกตัวเองถึงขนาดตัวเองมีสุขมีทุกข์ไม่ได้ ศิษย์จะทุกข์จะสุขได้ต้องขึ้นอยู่กับคนอื่น ใช่ไหม (ใช่) เมื่อไรที่ศิษย์มองเห็นคนอื่นยิ้มแล้วศิษย์ยิ้ม เมื่อไรศิษย์ทุกข์เพราะคนอื่นด่า นั่นแสดงว่าศิษย์กำลังดูถูกคุณค่าหัวใจตัวเอง และยอมตกเป็นทาสอารมณ์ตามคนอื่นกำหนด ถ้าคนอื่นเอามีดมาวาง เอาความทุกข์มาให้ แต่ศิษย์บอกว่าเราต่างหากที่เป็นคนเอามีดมาทำร้ายตัวเอง แต่ชีวิตเป็นของเราไหม (เป็น) เราเลือกได้ว่าควรเก็บมีด หรือปล่อยมีดไว้ตรงนั้น (ปล่อย) คำว่าปล่อยวาง คือ ไม่ใส่ใจแม้จะคิด ไม่สนใจแม้จะยึดติด ชีวิตเป็นของเรา เราเลือกได้ จะสุขจะทุกข์ แม้เขาจะเอามีดมาวางเราก็จะปล่อยวาง เราก็จะเห็นเหมือนไม่เห็น เเต่คนส่วนใหญ่เห็นเเล้วจับไหม (จับ) จับเเล้วเฉือนไหม (เฉือน) เฉือนแล้วไปเฉือนผู้อื่นต่อไหม (เฉือน) ฉะนั้นทุกข์จากที่รู้ว่าคิดเเล้วเป็นทุกข์ มองเเล้วก็เป็นทุกข์ ยึดเเล้วก็เป็นทุกข์ทั้งที่ควรปล่อยวางเเต่เรากลับไม่ปล่อย เเล้วต้นเหตุหลักที่เราทุกข์เพราะอะไร
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติธรรมเขียนบนกระดาน คำว่า 1.หนูไม่ผิด 2.หนูดี 3.ทำไมหนูต้องยอม)
เราทุกข์ส่วนใหญ่เพราะเราไม่ค่อยยอมรับผิด เมื่อมีคนบอกว่าเราผิดเรายอมไหม (ไม่ยอม) เราเป็นคนถูกใช่ไหม (ใช่) ในโลกเเห่งความเป็นจริงเถียงกันถึงที่สุด ตัวเองถูกวันนี้ต่อไปตัวเองผิดไหม ฉะนั้นมองกันด้วยเหตุด้วยผล อยากให้ตนเองถูก อยากให้คนอื่นผิด แต่พอระยะเวลาผ่านไป เราก็อาจจะเป็นผู้ผิด แล้วเขาถูกก็ได้ แล้วจะยึดทำไมว่าฉันถูก เธอผิด เหนื่อยไหม (เหนื่อย) ทะเลาะกันเพราะว่า (ไม่ยอม) แล้วเราผิดได้ไหม (ได้) เราทุกข์เพราะความคิด คิดที่ยึดติดว่าแพ้ไม่เป็น ยอมไม่ได้ ฉันต้องดี ฉันต้องเลิศ แต่ถึงที่สุดแล้วว่ากันไปตามเหตุผล แล้วเหตุผลที่คิดว่าเขาผิด เราเอาความคิดของเราเป็นบรรทัดฐานหรือเอาความเป็นจริงเป็นบรรทัดฐาน (ความคิด) แล้วความคิดเรามักจะเข้าข้างตัวเองหรือเข้าข้างเขา (เข้าข้างตัวเอง) แล้วความคิดเรามักจะบอกว่าเราถูก ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าเราคิดว่าเราผิดไม่ได้ เราเองที่หาเหตุผลทำยังไงเราก็ทุกข์ ยอมไม่ได้ ทำไมเราต้องเสียเปรียบ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์เอ๋ย ในโลกความเป็นจริงใบนี้ มีใครได้อะไรโดยไม่ต้องเสีย (ไม่มี)ต้องมีฝ่ายหนึ่งได้ฝ่ายหนึ่งเสีย ใช่ไหม เขาไม่มีเหตุผล จะเอาชนะอย่างเดียว เราจะยอมไหม (ยอม) เขาว่าเราเลว แต่จริงๆ เราดี เราจะยอมไหม (ยอม) อาจารย์จะบอกว่า คิดแบบคนมีธรรม ถ้าการยอมของเราจะได้ละทิฐิ ได้ละอัตตา ได้ละความยึดมั่นถือมั่น ได้ปล่อยวางตัวตน และได้คุณธรรมให้กับคน เราเป็นฝ่ายยอมก็ได้ ยอมไม่มีกิเลส ไม่โกรธ ไม่เกลียด แต่เราได้ซึ่งคุณธรรม เมตตาเข้าไว้ ให้อภัยเข้าไว้ รักเขาเข้าไว้ การยอมละทิฐิอัตตาแต่ได้มาซึ่งธรรม ได้มาซึ่งการหมดเวรหมดกรรม แม้จะโดนว่าไม่ดี ดีไหม (ดี) เราต้องเริ่มต้นจากละบาปได้ ถ้าศิษย์ละบาปได้ แล้วมีความเป็นคนถูกต้อง หยัดยืนในความเป็นคนถูกต้องแล้ว แต่คนในโลกจะรักเราทุกคนเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) ต้องมีเกลียดกันบ้างเพราะมีกรรมกันมา ใช่ไหม ฉะนั้นมีคนเกลียดเราแต่เรายังยืนหยัดไม่เกลียดตอบ ไม่ผูกกรรมต่อ ขอจบกันชาตินี้ ไม่โกรธต่อ ไม่ผูกเวรต่อ ฉันจะมีธรรม
ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่าผิดไม่ได้ เพราะถึงที่สุดยืดหยัดในความถูกผิด มันก็หาใครถูกผิดที่แท้จริงไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงทุกคนจะมีเหตุผลอย่างไร แต่เหตุผลก็หาใช่ที่สุดของความจริง วันนี้เราถูก เดินไปอีกสักปีสองปี หรือเดินไปอีกก้าวสองก้าว เราอาจจะผิด วันนี้เราคิดว่าเราดี แต่เดินไปอีกก้าวสองก้าวคนอาจจะบอกว่าเราไม่ดี เพราะความคิดแต่ละคนไม่เหมือนกัน และทุกคนมักเข้าข้างว่าตัวเองดีที่สุด คนอื่นด้อยกว่าฉะนั้นถ้าเราด้อยหน่อยแล้วเขาดีหน่อยยอมไหม (ยอม)
วิถีการปฏิบัติธรรมไม่ใช่อยู่แค่การแสดงออกภายนอกแต่ต้องลงแรงที่ใจด้วย “ไม่มีอะไรร้ายในวันที่จิตใจเราดี” เวลาเรารู้สึกดีมากๆ ใครมาพูดอย่างไร ใครมาทำร้ายอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว ฉะนั้นไม่ว่าใครจะร้ายอย่างไร สำคัญที่ตัวเราถูกต้องเที่ยงธรรมหรือยัง ถ้าถูกต้องเที่ยงธรรมใครก็ทำร้ายหัวใจเราไม่ได้ จำไว้นะศิษย์ ไม่มีอะไรร้ายเท่ากับจิตใจเราเอง ถ้าจิตใจเราดีอะไรก็ดี เมื่อไรที่เราร้ายก็แปลว่าใจเรา (ไม่ดี) โลกมีความเป็นปกติธรรมดา คนมีดีมีร้ายเป็นธรรมดา ถ้าเรารู้สึกเกลียดใครนั่นเป็นเพราะว่าโลกผิดปกติหรือใจเราผิดปกติ (ใจเรา) อย่างนั้นก่อนจะว่าเขาหันมาดูใจเราก่อนดีไหม โลกก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว มีทั้งดีมีทั้งร้ายปะปนกันไป แต่วันไหนที่เราคิด ถือสาขึ้นมา ใจเราผิดปกติขึ้นมา เราจึงมองว่านี่ก็แย่นี่ก็ไม่ได้เรื่อง จริงไหม (จริง) บำเพ็ญธรรมคือหันมองตัวเองเพราะตัวเราเองนั่นแหละเป็นที่สุดของปัญหา หรือเป็นที่จบของปัญหาได้
เวลาที่เรารู้หรือเห็นอะไรชัดเจน ใครจะมาไม้ไหนศิษย์ก็รับมือได้ สถานการณ์จะพลิกอย่างไร ศิษย์ก็พลิกใจทันได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ดีก็ร้าย ไม่สุขก็ทุกข์ ไม่ได้ก็เสีย มีอยู่เท่านี้ ฉะนั้นถ้าจะพลิกไปอีกเราก็สามารถรู้ได้ การศึกษาธรรมคือเห็นความเป็นจริงชัดเจนจนกระทั่งไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้อีกต่อไป
(พระอาจารย์เมตตาให้ตัวแทนนักเรียนออกมาหน้าชั้น)
ทุกวันต้องเสียเวลากับความสวยนานไหมศิษย์ อาจารย์ถามในความเป็นจริง คนที่น่ารักมีความสุขแต่ก็ให้ความทุกข์เราได้ใช่ไหม (ใช่) คนที่น่ารักมีความดีแต่ก็มีความร้ายในตัวใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าคนที่น่ารักขนาดไหนก็มีทั้งดีและร้าย เมื่อใดที่เขาชี้หน้าด่าจะโกรธไหม ทุกอย่างมีดีขนาดไหน สวยขนาดไหน เราจงอย่าลืมว่าในอีกด้านหนึ่งพร้อมจะไม่สวย พร้อมจะไม่ดีได้ เพื่อเตรียมใจยอมรับความจริง วันใดเราสำเร็จ วันใดเราได้ เราจึงพร้อมเสมอว่ามันต้องมีวันที่เราไม่ได้ มันต้องมีวันที่เราไม่มี ชีวิตทุกข์อยู่แล้วอย่าทำร้ายตัวเอง อย่าหาเรื่องให้ตัวเองทุกข์เพิ่ม แม้ตัวเองจะหน้าตาแบบไหนก็ไม่เป็นไร แม้ตัวเองจะดำก็ไม่เป็นไร เวลาเรามองอะไรเราอยากเห็นแค่แบบนี้ ทำไมไม่เหมือนเมื่อก่อน อย่างนี้เรียกว่าเราไม่มองความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแปรผันจริงไหม (จริง) เเละทุกคนเป็นไหม (เป็น) เเล้วเรายอมรับความจริงไหม (ยอม) ภรรยาเราทำไมไม่สวยเหมือนภรรยาของเพื่อนบ้าน ชีวิตจริงทำไมไม่เป็นแบบนี้ อยากให้เป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิตได้ไหม (ไม่ได้) ไม่ว่ารูป นาม สิ่งที่จับต้องได้หรือไม่ได้ก็ไม่มีอะไรคงทน ถ้ามนุษย์เราเข้าใจความเป็นจริงว่าทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนเเปรผัน เเล้วเราจะทุกข์อะไรในเมื่อทุกอย่างดี เเต่ที่ไม่ดีเพราะเราไม่ยอมรับ ถ้าจะบำเพ็ญธรรมสิ่งที่ต้องจำไว้คือทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อไม่เที่ยงควรหรือที่เราจะยึด เมื่อเป็นทุกข์ควรหรือที่เราจะยึดติดให้ทุกข์ใจ เราเกิดมาเพื่อยืนระหว่างความเป็นทุกข์เเละความเป็นสุขด้วยหัวใจที่เป็นธรรม ถ้ามองเเล้วทุกข์เราก็ต้องยอมรับความจริงว่าเป็นเรื่องธรรมดา มนุษย์เกิดมาระหว่างฟ้ากับดิน จิตที่เป็นกลางคือจิตที่เข้าถึงธรรม จิตที่เอาเเต่ยึดติดทุกข์จนมองไม่เห็นความสุขนั่นคือจิตที่หลงตกเป็นทาสของอัตตา ไม่ว่าชีวิตจะเป็นแบบไหนเราก็มีความสุข
(พระอาจารย์เมตตาหยิบซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อนักเรียนฝ่ายชายท่านหนึ่ง)
หักดิบเลยดีไหม (พยายามลดอยู่) ไม่ต้องพยายามแล้ว ศิษย์เอย ชีวิตนี้ไม่มีใครกำหนด เราเป็นผู้กำหนด ถึงแม้อาจารย์เก็บมา แต่ศิษย์ยังไปซื้อต่อก็ไม่มีประโยชน์ ก่อนจะติดอะไรคิดให้ดีๆ รู้ว่าติดแล้วมันทุกข์ แล้วก็ยังเลิกไม่ได้ น่าสงสารนะ
เมื่อไรที่ศิษย์เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต ศิษย์จะรู้ว่าโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ความไม่สมบูรณ์แบบนั้นมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลง ธรรมสอนให้รู้ว่า โลกแห่งความเป็นจริงทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง เมื่อเปลี่ยนแปลงแล้วอะไรดีที่สุด วันนี้เราคิดว่าคนนี้ดีที่สุด แต่เวลาผ่านไปคนนี้อาจจะไม่ใช่ดีที่สุด วันนี้เราคิดว่าคนนี้แย่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนนี้อาจจะไม่แย่ก็ได้ เมื่อเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต เราจะรู้ว่าไม่ควรรักใคร ไม่ควรเกลียดใคร และก็ไม่อยากโลภอะไร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เราโลภ หนีไม่พ้นความทุกข์ เราจึงมีชีวิตอยู่แค่ทำหน้าที่ตัวเองให้สมบูรณ์ที่สุด ชดใช้กรรม และไม่สร้างกรรมต่อ นำพาชีวิตและจิตใจให้เข้าถึงซึ่งคำว่า “ธรรม” ถ้ายังยึดติดตัวตน ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เรียกว่า “กรรมดีกรรมชั่ว” แต่ถ้าทุกอย่างเราทำเพื่อธรรม ธรรมก็คือเรา ตัวตนหายไป นั่นแหละพ้นทุกข์
ในกายเรานี้ มีสิ่งที่เรียกว่ากายหยาบ กายละเอียด หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กายจิต กายใจจิต ใจคือความเป็นตัวตนที่เชื่อมระหว่างกายกับจิต แต่จิตเดิมแท้เป็นความว่าง แต่มนุษย์ไปไม่ถึงความว่าง เพราะติดอยู่กับคำว่า อัตตาตัวตน เต็มไปด้วยความคิดที่ยึดติดกรรมดี กรรมชั่ว ฉะนั้นทุกขณะที่อาจารย์ให้ศิษย์ทำ ไม่ใช่ให้ทำเพื่อกรรมเพื่อสนองกิเลส แต่ให้ทำเพื่อธรรม ก็ไม่มีอะไรที่ต้องก่อกรรม เข้าใจไหม (เข้าใจ)
รัก โลภ โกรธ หลง เป็นหนทางมาแห่งบาป กรรมชั่ว ทุกข์ วิบากกรรม และหนีไม่พ้นอบายภูมิ หรือวัฏสงสาร ถ้าทำเพื่อกิเลสก็จะหนีไม่พ้นกรรมชั่ว ทุกข์ อบายภูมิ วัฏสงสาร แต่ถ้าทุกขณะทำเพื่อธรรม เพื่อศีลธรรม เพื่อความถูกต้อง เพื่อหมดกรรม เพื่อสิ้นกรรม เราก็ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ฉะนั้นศึกษาธรรมเพื่อให้ตัวเองพ้นทุกข์ ไม่ใช่เพื่ออาจารย์ ศิษย์บำเพ็ญเพื่อตัวเอง ให้ตัวเราหลอมละลายกับสัจธรรมเพื่อจะได้ไม่ต้องมาทุกข์อีกต่อไป ถ้าศิษย์ประจักษ์เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ ศิษย์จะพ้นทุกข์ได้
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “หมุนเวียนเปลี่ยนผัน” )
จำไว้นะศิษย์เมื่อไรที่ทุกข์จงจำไว้ว่าทุกสิ่งล้วนหมุนเวียนเปลี่ยนผันไม่มีวันทุกข์นาน เขาก็ไม่มีวันด่าเรานาน เขาก็ไม่มีวันทำเราเจ็บนาน ไม่เขาตายก็เราตาย ฉะนั้นถ้าคิดว่าทุกสิ่งล้วนหมุนเวียนเปลี่ยนผัน โลภ โกรธ หลง ก็จะทำอะไรใจศิษย์ไม่ได้ ลองเอาธรรมไปพิจารณาจนบังเกิดธรรม อย่าเอาแต่คิดจนเกิดความน้อยใจ เกิดกิเลส เกิดอัตตาตัวตน คิดแล้วบังเกิดธรรมดีกว่า
สิ่งที่อาจารย์พูดล้วนเป็นธรรมที่นำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ ฉะนั้นไม่เคารพอาจารย์ไม่เป็นไร เอาธรรมไปลองศึกษาปฏิบัติดู บำเพ็ญได้ทุกๆ ที่ วางความคิดที่ไม่ถูกต้อง สิ่งใดที่ควรทำก็ยังต้องทำ อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์กลับไปแล้วไม่รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองแล้วมาบำเพ็ญอย่างเดียว แต่สามารถรับผิดชอบหน้าที่แล้วดำรงซึ่งคุณธรรมความดีงามไม่เสื่อมสลาย นั่นประเสริฐกว่านะศิษย์
ถ้าไม่อยากเจ็บอย่าคาดหวัง ถ้าไม่อยากทุกข์อย่ายึดติด เพราะสิ่งที่ศิษย์คาดหวังและยึดติดนั้นล้วนผันแปรตลอดเวลา มันเกิดและดับอยู่ตลอด คนที่ปรารถนาความสงบเขาจะรีบจบและวางความคิดทันที ถ้าไม่เที่ยงควรหรือที่เราจะโกรธ เมื่อทุกคนต่างมีทุกข์ควรหรือที่จะโทษกันไปโทษกันมา เขาก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ เราก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ แล้วต่อว่ากันไปมาให้เจ็บทำไม แล้วจะโกรธเกลียดกันไปทำไมในเมื่อไม่มีใครถูกผิดแท้จริง อย่างที่อาจารย์บอก ยอมผิดบ้างยอมแย่บ้างเป็นอะไรไหม การยอมของเราเพื่อลดทิฐิแต่ได้คุณธรรมเพิ่มขึ้น ยอมไหม (ยอม) ไม่โทษกันไปมา ไม่ต้องมาคิดว่าใครถูกใครผิด หรือใครดีกว่าใคร เมื่อยังหลงยึดในมายา ก็ไม่สามารถใช้ได้ปัญญาได้อย่างแจ่มชัด
อย่าหลงกับสิ่งที่เห็น เราบอกว่าเรารู้เเละเข้าใจ เเต่จริงๆ เเล้วสิ่งที่เราเข้าใจเปลี่ยนได้ไหม (ได้) บางครั้งสิ่งที่เรารู้ อาจไม่ได้เป็นแบบที่เข้าใจ ที่เห็นเเม้จะจริงเเค่ไหน เเต่ก็พร้อมเปลี่ยนแปลงเสมอ เมื่อไม่ปักใจเชื่ออะไร เเล้วอะไรที่ควรรัก อะไรที่ควรโกรธ อะไรที่ควรหลง เพราะไม่มีอะไรเที่ยงเเท้ ความเข้าใจเเจ่มเเจ้งทำให้เราปลดปลงปล่อยวางความโลภโกรธหลงได้ในทันที รู้จนชัดเห็นจนเเจ่มเเจ้ง
เมื่อช่วยตัวเองพ้นทุกข์เเล้วอยากช่วยคนอื่นพ้นทุกข์ไหม (อยาก) ศิษย์จะเอาเวลาว่างนี้ไปอุทิศช่วยเหลือคนต่อหรือไม่ เป็นสะพานเเห่งธรรม สะพานที่นำให้ผู้อื่นได้พบธรรม เป็นสะพานบุญที่ทำให้ผู้อื่นได้เห็นธรรม เป็นสะพานที่ยอมให้ผู้อื่นเหยียบย่ำจนเข้าใจธรรม เป็นสะพานที่ส่งต่อให้ผู้อื่นได้ถึงฝั่งธรรม เเม้ว่าเขาจะเลื่อยสะพานเราทิ้งก็ตาม
จิตที่ยิ่งใหญ่ จิตที่ดีงาม จิตที่ทำสิ่งที่ถูกต้องเป็นจิตที่ประเสริฐที่สุด จิตที่รู้จักการให้เพื่อธรรม ให้เพื่อความถูกต้องดีงาม เเต่ไม่ใช่ให้เพื่อให้คนอื่นชม ทำให้ได้เเล้วศิษย์จะเข้าใจว่าทำไมเราต้องบำเพ็ญธรรม ทำไมเราต้องช่วยคน เพราะพลังแห่งจิตเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ อย่าคิดว่ามันจะหมดง่ายๆ มันไม่หมด เหนื่อยก็พักแล้วสู้ใหม่ แม้ไม่มีพลังใจจากไหน แต่มีพลังใจจากตัวเอง รู้ว่าเราทำเพื่ออะไร ช่วยคนเพื่ออะไร จริงไหม (จริง)
อาจารย์อยากเห็นศิษย์ปฏิบัติธรรมแล้วไม่ทุกข์ เมื่อไรที่ทุกข์ จำคำอาจารย์ไว้ ทุกสิ่งมีวันเปลี่ยน ขอเพียงใจเราสู้ไม่ถอย หยัดยืนในสิ่งที่ถูกต้องดีงามอย่างไม่ท้อแท้ ความดีและความเข้าใจนั้นจะพลิกโอกาสร้ายเป็นดีได้ด้วยหัวใจที่ศรัทธาในความถูกต้องดีงาม ไม่ล้าไม่ท้อ มีแต่ความเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ มุ่งมั่นเดินต่อไปนะ ตั้งใจบำเพ็ญ ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อตัวเองนะศิษย์ ก้าวต่อไปด้วยหัวใจที่มั่นคง รู้จักรักษาตัวเอง อย่าให้อารมณ์ทำร้ายชีวิตและจิตใจตัวเอง หนทางแม้จะไกล แต่ก็ขอพากเพียรต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ กายทิ้งไว้ที่โลกใบนี้ แต่จิตที่สะอาด จิตที่บริสุทธิ์จึงจะกลับสู่ฟ้าได้
ดูแลตัวเองให้ดี เข้มแข็งในการปฏิบัติให้ถึงที่สุด ตั้งใจแล้วทำให้ดี รักษาความดีงามไว้ให้ยาวนาน อย่าพลาดพลั้งเพราะความคิดและความเป็นตัวตน อย่าให้อัตตาตัวตนทำร้ายธรรมในใจ ตั้งใจแล้วแม้ล้มบ้างแม้พลาดบ้างก็สู้ต่อไป มีโอกาสทำให้ดี กลับมาศึกษา ศึกษาแล้วมีโอกาสเสียสละช่วยคน อย่าหาเหตุให้ตัวเองทุกข์และสร้างกรรมอีก ตั้งใจบำเพ็ญ ทำในสิ่งที่ถูกต้องดีแล้ว ก้าวต่อไปมุ่งต่อไปปฏิบัติให้ได้ ดูแลสุขภาพตัวเองด้วย ขอบคุณในความมุ่งมั่น อย่าฟังธรรมไปเสียเปล่า ต้องเอาไปปฏิบัติให้ได้ด้วย นำผู้คนอย่างถูกต้องด้วยหัวใจเมตตา เป็นศิษย์ของอาจารย์อย่าขาดความกล้าหาญ กล้าที่จะทำ กล้าที่จะลุย กล้าที่จะสู้ อย่าเอาแต่ตามหลังคนอื่น ต้องกล้ารับผิดชอบ ความรับผิดชอบมาพร้อมกับความมั่นคงและรอยยิ้มที่งดงาม
เป็นศิษย์ของอาจารย์ห้ามอ่อนแอ เจออะไรก็ต้องสู้ เจออะไรก็ต้องเข้มแข็ง อย่าติดในโลกจนลืมธรรมะ อย่าติดในตัวตนจนลืมสิ่งที่ถูกต้องดีงาม มีสิ่งดีงามอยู่ในใจ รักษาให้ดี รักษาความถูกต้องและดีงามไว้ อย่าเกียจคร้าน ทำให้ดี มุ่งมั่นตั้งใจให้ดี ทำให้ถึงที่สุด ให้สมกับเป็นผู้บำเพ็ญ ไม่เสียทีที่มาบำเพ็ญ ต้องรู้จักตัวเอง ตัวเองมีคุณค่า อย่าทำร้ายตัวเองด้วยอารมณ์และความคึกคะนองใจ ศิษย์เอ๋ยไม่มีใครอยากเห็นลูกแย่กว่าพ่อแม่ คนเป็นอาจารย์ก็อยากเห็นศิษย์เก่งกว่า จริงไหม
อาจารย์ต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองกันให้ดีๆ ตั้งใจบำเพ็ญนะ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “หมุนเวียนเปลี่ยนผัน”
ไม่คาดหวังไม่ต้องเจ็บต่อความจริง ไม่ยึดมั่นไม่ทุกข์ยิ่งเกินทนไหว
สรรพสิ่งล้วนผันแปรแค่ต้องเตือนใจ มีตั้งอยู่เสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา
เมื่อไม่เที่ยงสิ่งใดหรือที่ควรโกรธ เมื่อต่างทุกข์จะมัวโทษไปไยหนา
ถึงที่สุดไม่มีไปไม่มีมา ติดยึดสมมติหลงมายาปัญญาหมดไป
อย่าหลงกับสิ่งที่เห็น อาจไม่เป็นอย่างเข้าใจ
ที่เห็นจะจริงแค่ไหน แต่พร้อมเปลี่ยนไปเสมอ