แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หลี่เถียไกว่ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หลี่เถียไกว่ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2562

2562-12-21 พุทธารามเหยินเต๋อ จ.ลำปาง

西元二〇一九年歲次己亥十一月二十六日            仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒       พุทธารามเหยินเต๋อ  จ.ลำปาง
  พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่
  อย่าตัดสินแค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก    อย่าโดนหลอกแค่คำพูดวาจาหวาน
อย่าได้หลงผลประโยชน์จนลืมหลักการ    โลกทางผ่านใครหนอทำร้ายตน
                       เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก น้อมกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว                             ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ

  ลังเลซื้อเวลาด้วยใจไม่เข็ด                   ฝันความสำเร็จไม่มีความขวนขวาย
ทำได้วันเดียวขยับไม่ขยาย                     แจ้งเกิดในแจ้งเคี่ยวเข็ญเรื่องใจ
ก่อนสามัคคีหลายครั้งเจอเรื่องยาก          เห่อใหม่หักเก่าทิ้งได้ไฉน
ทะเลาะเห็นชะตากรรมต้องฝึกใจ             อธิบายยิ่งยากแสนเราต้องปฏิบัติ
มีสติจะได้ไม่ลืมทบทวน                         อารมณ์รวนใจคะเนอาจทำพลาด
หลายเรื่องสำคัญความสำเร็จไม่เด็ดขาด    ท่องสังสารวัฏด้วยความนิ่งและระวัง
พลังคนคนเดียวทำให้กลมเกลียว             นำอ่อนน้อมเกาะเกี่ยวใจดั่งค้าง
ยอดสำเร็จคือผสานบนและล่าง               กิจแต่งตั้งเกิดเพียงโลกธรรม
บำเพ็ญทุกวันกันกันเกิดสวรรค์                ชีวิตแลกสิ่งนั้นสมควรล้ำ
คือคุณธรรมคนมีคุณธรรม                      เปล่งในใจทุกคำคือสัญญา
รู้ดีว่ารู้เริ่มเพิ่มโอกาส                             ความประมาทเพลานี้ที่สิ้นท่า
บำเพ็ญอะไรเรื่องนี้ใจไว้ธุระ                   กลัวที่สุดกำแพงปัญหาอัตตาเรา
ใจหยุดสับสนรื้อที่อยู่กิเลส                     บำเพ็ญตนบำเพ็ญแล้วเข็ดอย่างไรก้าว
ทำใจสบายทุกข์ได้ก็บรรเทา                   การบำเพ็ญใช่ทนเอาต้องเข้าใจ                                         ฮา ฮา หยุด
  

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลี่เถียไกว่

ท่านเคยได้ยินคำพูดคำนี้ไหม “เสียงที่เบาคนยิ่งเงี่ยหูฟัง แต่เสียงยิ่งดังคนยิ่งเมินหน้าหนี” เหมือนดนตรีดังเกินคนฟังก็รำคาญ ไพเราะแค่ไหนก็รำคาญ เพราะดังเกินไปใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถ้าดนตรีนั้นเปิดเบาๆ คลอๆ คนกลับยิ่งเงี่ยหูฟัง เหมือนกัน ถ้าเราพูดเบาๆ ท่านยิ่งพยายามตั้งใจฟัง แต่ถ้าเราตะโกนโหวกเหวกดังลั่น ท่านกลับเมินหน้าหนีไม่อยากมอง ชีวิตก็เช่นกันฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเรายิ่งทำตัวเอะอะมะเทิ่งโวยวาย ใครจะสนใจ ถ้าเราทำตัวรู้จักอดทนอดกลั้น สงบเสงี่ยมเจียมตัว อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นที่ตั้ง มีหรือคนจะไม่สนใจ ยิ่งเรากดตัวเองให้ต่ำคนกลับยิ่งยกย่องเราสูงส่ง แต่ถ้ายกตัวเองขึ้นสูงส่งคนก็กลับยิ่งอยากกดเราให้ต่ำ ฉะนั้นต่างอะไรกันล่ะ เสียงที่เบาคนยิ่งเงี่ยหูฟัง แต่เสียงยิ่งดังคนยิ่งเมินหน้าหนี อย่างนั้นทำตัวเรียบง่ายติดดินมีคนอยากเข้าหา แต่ถ้าทำตัวสูงส่งก็จะไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เป็นแบบไหนดีกว่ากัน
อย่าพยายามเป็นอะไรที่ยุ่งยากมากนักเลย แค่เป็นสิ่งที่ธรรมดาให้ดีที่สุดนั่นก็เพียงพอแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาที่เราอยู่ในบ้านเราต้องการคนที่เข้าใจเรามากที่สุด เราต้องการคนที่คุยกับเรารู้เรื่องมากที่สุด เราต้องการคนที่รู้จักรับฟังเราบ้าง ไม่ใช่เอาแต่พูด แต่ไม่เคยฟังเราเลย จริงหรือไม่ (จริง)  เอาแต่บอกว่าหวังดีแต่ไม่เคยเห็นหัวเราเลย ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช่การยกตัวให้สูงเกินใครแต่การปฏิบัติธรรมคือ การทำตัวให้ยอมรับกับสิ่งที่ธรรมดาแล้วเป็นสุขได้ อยู่กับความปรกติให้ใจเป็นสุขได้ ไม่ทุกข์ นั่นแหละเรียกว่าเข้าใจธรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถามท่านจริงๆ ถ้าท่านพบคนที่แต่งตัวมอซอแถมยังพิการด้วยท่านจะมองไหม พูดกันตรงๆ ไม่อยากให้ใครหลอกลวงเรา เราก็อย่าหลอกลวงใครก่อน 
มนุษย์ทุกคนชอบคนที่อยู่ด้วยกันแล้วใจกว้างหรือใจแคบ (ใจกว้าง)  แล้วเราใจกว้างหรือใจแคบ (ใจกว้าง)  ในการอยู่ร่วมกันสิ่งที่เราปรารถนาคือคนใจกว้าง คนใจเย็น คนที่ไม่ค่อยถือสาหาความอะไรง่ายๆ คนที่ไม่ยึดติดถือนั่นถือนี่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรามีใจที่แบ่งเป็นห้องนั้นห้องนี้ ชอบแบบนั้นชอบแบบนี้ ท่านว่าคนแบบนี้จะเป็นคนทุกข์ง่ายหรือสุขง่าย ใจที่แบ่งแยก ใจที่ยึดติด ใจที่มีชอบชัง (ทุกข์ง่าย)  แต่ถ้าใจนั้นไม่ยึดติด อะไรก็ได้ ท่านว่าคนประเภทนี้ทุกข์ง่ายหรือสุขง่าย (สุขง่าย)  ฉะนั้นที่เราทุกข์ง่ายๆ เพราะว่าใจแบ่งแยกยึดติด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่วันนี้นั่งแล้วสุขไม่ได้เพราะว่าใจเรายึดติดแบ่งแยก ถ้าเราไม่ยึดติดความคิด ไม่ยึดติดแบ่งแยกตามอารมณ์ความรู้สึกและไม่ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง ใจเราโล่งๆ ง่ายๆ อะไรก็ทำให้เราสุขได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ใจเรากลับไม่ใช่ แบบนั้นไม่ชอบ ต้องเป็นแบบนี้ ต้องเป็นแบบนั้น 
ฉะนั้นความทุกข์ที่เกิดง่าย ความสุขที่เกิดยากเป็นเพราะเขาหรือเป็นเพราะเรา (เป็นเพราะเรา)  ฉะนั้นถ้าอยากสุขง่ายลองทำใจให้โล่ง ลองทำใจให้ไม่ยึดติดอะไร ความสุขก็จะเกิดขึ้นง่ายมาก แต่ถ้าคิดว่าต้องเป็นแบบนั้นต้องเป็นแบบนี้มันก็ทุกข์ง่าย แล้วก็ทุกข์ไม่จบวางไม่ลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในโลกนี้มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ ถ้าใครตอบได้แสดงว่าจะไม่ทุกข์แล้วนะ ถ้ายังยืนยันว่าต้องสมบูรณ์แบบ ต้องดีที่สุด ต้องเยี่ยมที่สุด ต้องสุขที่สุด เช่นนั้นแปลว่าเราไม่เข้าใจความเป็นจริงของชีวิต ถูกหรือไม่ (ถูก)  ลองมองไปให้ถึงที่สุด บางครั้งเราเลือกผลไม้มาหนึ่งลูก เราคิดว่าดีที่สุดแต่มองไปมองมาก็มี (ตำหนิ)  เพื่อนที่รู้ใจมากที่สุด คบไปคบมาก็มีข้อเสีย เราคิดว่าเราเลือกภรรยาที่ดีที่สุด ได้สามีที่ดีที่สุด สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นแบบที่เราคิด
“ในโลกนี้มีเรื่องอะไรที่หลอกลวงเราให้เจ็บช้ำที่สุด” แท้จริงแล้ว ความสุขที่เราได้มา ไม่เคยได้ถึงครึ่งที่เราปรารถนาเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ล้วนนำมาซึ่งความทุกข์กังวล แม้แต่ความสุขที่อยู่ตรงหน้า เราก็กลับหวั่นกลัวอีกว่า สุขนี้จะอยู่กับเรานานไหม แม้ความสำเร็จจะเกิดขึ้นแล้วแต่เราก็ยังกลัว เราก็ยังกังวลอีกว่า แล้วชีวิตนี้ฉันจะสำเร็จอีกหรือไม่ ฉะนั้นสิ่งที่มนุษย์ถูกหลอกลวงมากที่สุดในโลกนี้ คือสิ่งที่เรียกว่า “ความสุข” แต่ความสุขไม่เคยให้ใครได้ครึ่งหนึ่งของความสุขที่เราคิดที่เราปรารถนาเลย ถามใจท่านนะ ที่เรียกว่าสุข สุขจริงๆ หรือเปล่า ความรักคือความสุขแต่ทำไมกลับได้ทุกข์ ความสำเร็จคือความสุข แต่ทำไมกลับได้ความกลุ้มกังวล กลับได้ศัตรูตามมา ความสมหวังคือความสุข แต่ทำไมความสมหวังกลับให้ความผิดหวังและความไม่สบายใจตามมาไม่ห่างกันเลย
ท่านรู้ไหมสิ่งที่ทำให้ชีวิตเราเจ็บปวดที่สุด สิ่งที่ทำให้เราถึงที่สุดแล้วเราต้องกลายเป็นคนอยู่คนเดียว ไม่มีใครรักไม่มีใครเข้าใจ ก็เพราะการทำอะไรตามใจตัวเอง โดยไม่สนใจความผิดชอบชั่วดี และไม่สนใจหัวอกคนอื่น ฉะนั้นอายุมากแล้ว ถ้าไม่อยากให้ไม่มีใครรักไม่มีใครดูแล ก็อย่าทำตัวเอาแต่ใจตัวเอง 
ฉะนั้นฟ้าทำให้เราทุกข์ ชะตาชีวิตกำหนดให้เราแย่ หรือเป็นเพราะตัวเราเองไม่เคยเห็นตัวเอง สักแต่โทษผู้อื่นอยู่ร่ำไป ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า  “ใครทำความยากให้กับผู้อื่น คนนั้นคือคนที่ทำร้ายชีวิตตนเอง ใครที่รู้จักช่วยผู้อื่น คนนั้นคือคนที่รู้จักช่วยตนเอง ใครที่พยายามหาความสบายด้วยการมอบความทุกข์ให้กับผู้อื่น ผู้นั้นชื่อว่าผู้พัวพันไปด้วยเวร และไม่มีวันพ้นไปจากเวรกรรมที่ตนเองสร้างได้ กรรมไม่ว่าดีหรือชั่ว ไม่ว่าจะไกลเท่าไร ก็ย่อมกลับมาหาผู้กระทำกรรมนั้นอย่างไม่มีวันหนีพ้น” อย่าถามว่าทำไมชีวิตฉันต้องพบคนแบบนี้ ต้องพบเรื่องร้ายแรงแบบนี้ แต่ให้ถามว่าท่านไปทำอะไรมา ท่านแค่ต้องได้รับคืนในสิ่งที่ท่านกระทำ ท่านหว่านพืชเช่นไรผลก็ตกมาที่ตัวท่านเช่นนั้น ดังที่พูดกันว่า ตัวเราคือผลรวมของการกระทำของเราเอง” เราเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของเราเอง ไม่มีใครกำหนด ฟ้าเพียงแค่ทำให้ถูกต้องและเป็นไปตามเหตุปัจจัย ฉะนั้นอย่าโทษฟ้าดิน อย่าโทษผู้อื่น แต่จงถามตัวเราเอง ความสุขของเราอยู่บนการเบียดบังชีวิตผู้อื่นหรือไม่ การดำเนินชีวิตของเราเพื่อความสบาย แต่ทำให้คนอื่นลำบากหรือไม่ อย่างที่คนโบราณกล่าวว่า เมื่อไรที่คนๆ หนึ่งสบาย จะมีอีกคนลำบาก เมื่อไรเรามีกินโดยไม่ได้ทำอะไร จะมีอีกคนหนึ่งต้องยอมทำเพื่อเรา ฉะนั้นตราชั่งของฟ้า ตาข่ายฟ้าล้วนบริสุทธิ์ยุติธรรม อย่าโทษผู้อื่นเลยที่เขาร้าย แต่จงหันกลับมาถามตนเองว่า ปรารถนาความสุขแต่ยึดติดทุกข์ ไม่ปล่อยวางหรือไม่
อยากมีความสุขไหม (อยาก)  แต่พบหน้าเขาจำแต่เรื่องทุกข์ แล้วจะมีความสุขกันได้ไหม แล้วพบเรื่องอะไรก็เอาแต่คิดร้ายแล้วจะสุขได้ไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปรารถนาที่จะได้มิตรมากกว่าศัตรู ถ้าเอาแต่ถือเล็กถือน้อย ถือสาหาความไม่เคยให้อภัย อย่างนี้จะได้ศัตรูหรือได้มิตร (ศัตรู)  แล้วเราเป็นเช่นนั้นไหม ปรารถนาให้ชีวิตมีความสุข แต่ใจก็พยายามเอาแต่เรียกร้องคนโน้นต้องเป็นอย่างนั้น เธอต้องเป็นอย่างนี้ ไม่เคยพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  
อยากได้ความสงบ ความสุข มิตรภาพจากเพื่อนไหม (อยาก)  แล้วไปจับผิดหรือจับถูก ที่เขาดีหรือที่เขาร้าย แล้วมองโลกอย่างสันติหรือมองอย่างหาเรื่องหาราว ฉะนั้นชีวิตเป็นแบบไหนก็เป็นแบบที่เรากำหนดนั่นเอง ดั่งคนโบราณกล่าวไว้ว่า “รู้จักฟ้าจะไม่โทษฟ้า รู้จักตนจะไม่โทษใคร” คิดพิจารณาไตร่ตรองจึงทำ ย่อมปลอดภัย แต่ไม่คิดไม่ไตร่ตรอง ทำไปเลยแล้วค่อยมาคิดทีหลังย่อมหายนะ ไกลๆ มองเห็นชัด แต่ใกล้ๆ กลับไม่เห็น คนอื่นรู้หมดแต่ตัวเองกลับไม่รู้ ถูกหรือไม่  (ไม่ถูก)
 นำอ่อนน้อมเกาะเกี่ยวใจคั่งค้าง”
ท่านเคยเห็นคนที่สุภาพอ่อนน้อมไหม (เคย)  แม้เราจะเดินจากเขาไปแล้ว แต่ความน่ารักความสุภาพอ่อนน้อมที่เขาเป็นยังจำค้างอยู่ในใจเรา เหมือนใครไม่ดีกับเรา ใจมันก็ยังค้างสิ่งที่ไม่ดีอยู่ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นการจดจำสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่น บางทีก็กลายเป็นการจองเวรได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จำว่าเขาไม่ดีอย่างไร จำว่านิสัยร้ายอย่างไร ที่จริงไม่ควรจะจำไว้ในใจนะ 
ท่านเห็นเราแล้วไม่ ชื่นตาชื่นใจ ใช่ไหม คงไม่มาขอความแข็งแรงจากเราแล้ว ใช่ไหม เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์นี้ยังไม่แข็งแรงเลย ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  ถ้าจะขออะไรสักอย่างหนึ่ง ขอให้ท่านนั้นมีจิตใจที่กล้าหาญยอมรับความจริง แม้วันหนึ่งเราจะต้องพบสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ตาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นไปได้หรือชีวิตนี้ขอให้แข็งแรงไม่มีวันเจ็บป่วย อย่างนั้นถ้าจะขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอพระพุทธะ ทำไมไม่ขอแบบคนมีปัญญา “ขอให้หนูกล้าหาญเมื่อพบเรื่องที่ไม่คาดคิด ขอให้หนูเข้มแข็งฟันฝ่าไปได้เมื่อพบเรื่องเลวร้าย” ย่อมดีกว่าขอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้คือ ขอให้พบแต่เรื่องดีๆ เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  มีอะไรบ้างดีแล้วไม่ร้าย ได้แล้วไม่เสีย สุขแล้วไม่ทุกข์ ฉะนั้นถ้าเราเป็นอิสระเหนือภาวะคู่ เมื่อนั้นเราจะพ้นทุกข์ แล้วเราสามารถพ้นจากความเป็นคู่บนโลกใบนี้ได้
ใจแบบไหนที่จะเป็นอิสระเหนือสุขทุกข์ ดีร้าย ได้เสีย (ทุกข์ก็ทุกข์ไปเดี๋ยวก็จบ)  จริงๆ แล้วสิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา แต่ที่เรายังไม่ดับ ที่เรายังไม่ยอมจบเพราะใจเราไม่ปล่อยวาง เราถามท่านว่า “ทำดีที่สุดถึงเวลาหมดแล้วก็ต้องไป เราก็ต้องปล่อยให้เขาอยู่ด้วยตัวเขาเอง” ห่วงไปเป็นเวรกรรมกันเปล่าๆ ถ้าทำให้ดีที่สุดแล้ว ทำไมต้องกังวล
อยากทำให้มีสุขหรือไม่  แปรเปลี่ยนความคิดตัวเอง ถือว่าช่วยเขาก็คือช่วยเรา เมื่อสักครู่เราบอกว่าใครที่ทำความยากให้ผู้อื่น คนนั้นกำลังทำร้ายตนเอง  คนที่รู้จักช่วยคนอื่น คนนั้นคือกำลังช่วยตนเอง ท่านกำลังสอนโดยไม่ต้องใช้คำพูด รู้จักดูแลผู้อื่น ต่อไปลูกก็จะดูแลท่าน แต่ถ้ามีคนแก่แล้วท่านไม่ดูแล ต่อไปท่านแก่ ลูกก็จะไม่ดูแลท่าน  แต่หากดูแลคนแก่ด้วยความสุขและมีสุขทุกวันที่ได้ดูแล ที่ได้ใกล้ชิด ท่านกำลังทำให้บ้านเป็นสวรรค์และโดยมีท่านเป็นเทพ (มันเหนื่อยครับ)  อย่างนั้นถามท่านว่ามีอะไรบ้างที่ไม่เหนื่อย (เหนื่อยร่างกายพอได้ แต่มีคำพูดอะไรต่างๆ ทำให้เหนื่อยใจ)  หากเอาความเข้าใจมาแปรเปลี่ยนใจได้ก็ไม่ต้องทำใจ ท่านสามารถทำให้นักเรียนในชั้นทุกคนพอใจ พูดกับท่านดีๆ ได้หรือไม่ (ไม่ได้ครับ เพราะต่างจิตใจ)  แล้วเราจะเปลี่ยนอะไรเขาล่ะ
สิ่งที่น่ากลัวในชีวิตของมนุษย์ คือความคิดที่ไม่ยอมรับความจริง ธรรมะสอนให้เรายอมรับความจริง มากกว่าคิดยึดติดโดยไม่ยอมรับความจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราพูดกับท่านตอนนี้ ท่านก็คิดว่า “เมื่อไรจะจบสักที พูดให้เสร็จๆ ไปสักทีฉันจะได้กลับบ้าน” นั่งไปก็คิดร้ายไป แต่หากท่านเปิดใจค่อยๆ ฟังไป แล้วก็คิดว่า ก็ดีๆ เราจะมีสุขหรือมีทุกข์ หากอยากพ้นทุกข์จากความไม่เที่ยงของโลก ต้องมีใจที่ไม่ตีกรอบยึดติด เมื่อไม่มีกรอบ ใจเรากว้าง ใจเราโล่ง อะไรก็ไม่ทำให้เราทุกข์ได้ แต่เมื่อไรใจเราตีกรอบ ยึดติด ชอบชัง ถูกกระทบนิดหน่อยเราก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเดิมท่านเดินได้ปกติ แล้วอยู่ๆ ก็พิการ ท่านจะตายไหม (ไม่ตาย)  เป็นเหมือนเรา จะยอมแพ้หรือไม่ยอมแพ้ (ไม่ยอมแพ้)  จริงหรือ ตอนแรกพอรู้ คงอยากจะตายมากกว่านะ จริงไหม จริงๆ นะ ถ้ามนุษย์หันมองตามความเป็นจริงสักนิดหนึ่ง ไม่ยึดติดความคิดของตัวเองว่าดีที่สุดแล้ว เพราะจริงๆ แล้วเราอาจจะยังไม่ดีพอก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเรารู้ว่าเรายังไม่ดีพอ เราจึงแก้ไข เราจึงก้าวหน้าได้ แต่ถ้าคิดว่าตัวเองดีแล้ว แล้วมองผู้อื่นไม่ดี โอกาสที่เราแก้ไขหรือมีความสุขก็เป็นเรื่องยาก
บำเพ็ญธรรมถ้าทุกคนรู้จักหันมามองตัวเองแล้วแก้ไข ไม่คิดจะไปแปรเปลี่ยนแก้ไขใคร ท่านก็คงไม่ทุกข์กับโลกใบนี้หรอก จริงหรือไม่ (จริง)  ที่ทุกข์เพราะคิดจะไปเปลี่ยนคนให้เป็นอย่างนั้น อยากจะให้เขาเป็นอย่างนี้ ใช่หรือไม่ แล้วเปลี่ยนได้ไหม แล้วดีได้ดั่งใจเราไหม มีอะไรสมหวังไหม ผลสุดท้ายก็ทุกข์เพราะความคิดที่ยึดติด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นอย่ารอให้อายุมากแล้วค่อยศึกษาธรรม เดี๋ยวจะทำใจยาก เปลี่ยนความคิดก็ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ลองเปิดใจสักนิดหนึ่ง เราถามท่านหน่อยในโลกนี้มีความทุกข์ที่เราหนีไม่พ้นมากมาย ถูกหรือไม่ (ถูก)  เราทุกข์เพราะความแปรเปลี่ยน ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์มีสิ่งที่ทนไม่ได้อย่างหนึ่งคือ การเปลี่ยนแปลง เราปรารถนาความมั่นคง ความสมบูรณ์แบบ เราถามท่านว่ายิ่งหาเรายิ่งมั่นคงหรือไม่มั่นคง ยิ่งหาเรายิ่งสมบูรณ์แบบหรือยิ่งบกพร่อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลกความเป็นจริงไม่มีสิ่งใดมั่นคง ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ เพราะโลกนี้เป็นโลกของความเปลี่ยนแปลง หากท่านยึดติด ไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น เด็กจะมีวันโตไหม คนจะมีวันแก่ เจ็บ ตายไหม ฉะนั้นความเปลี่ยนแปลงมีไว้เพื่อเกิดทุกข์หรือสิ้นทุกข์ (สิ้นทุกข์)  ดังเช่นท่านนั่งแล้วรู้สึกเมื่อย หากไม่เปลี่ยนอิริยาบถท่านต้องแย่แน่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงแย่จริงหรือ (ไม่แย่)  แต่การไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงต่างหากที่แย่ ความเปลี่ยนแปลงสอนให้เรารู้ว่า ไม่มีอะไรในโลกที่มั่นคง นอกจากใจที่เข้าใจความเป็นจริงที่ว่า โลกนี้เป็นโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง  โลกนี้ไม่มีอะไรดีพร้อม 
กินของที่ชอบบ่อยๆ เบื่อหรือไม่ (เบื่อ)  ก็ถ้าท่านไม่ชอบความเปลี่ยนแปลง อย่างนั้นวันนี้กินข้าวผัด พรุ่งนี้ก็ (ข้าวผัด)  วันต่อๆ ไปก็ (ข้าวผัด)  ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  ทำไมไม่ดี ก็ท่านต้องการความมั่นคงไม่ใช่หรือ เห็นหรือไม่ว่าจริงๆ แล้ว ความเปลี่ยนแปลงไม่ใช่สิ่งเลวร้าย เมื่อเราทุกข์จนถึงที่สุดทำให้เราต้องหาความ (เปลี่ยนแปลง)  ความไม่เที่ยงสอนให้เรารู้จักหนทางพ้นทุกข์ สอนให้เรารู้จักปลดปลงและปล่อยวางจากความยึดติดในใจตน เพื่อให้เราหันมามองว่า โลกนี้ไม่เที่ยงและไม่มีอะไรที่จะเป็นอย่างนั้นไปตลอด เพียงใจเราเปิดกว้าง ใช่หรือไม่ ถ้าตอนนี้เราหวังให้ท่านยิ้ม ท่านยิ้มแล้วไม่ยอมหุบ จะแย่ไหม ควรจะเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  ฉะนั้นจะกลัวอะไรกับความเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ทำให้เราทุกข์ แต่ความเปลี่ยนแปลงสอนให้เราเข้าใจว่าอย่าจมกับความทุกข์และอย่ายึดติดสิ่งใด เพราะใดๆ ในโลกล้วนยึดติดไม่ได้ เพราะทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลง ใจเราเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  ดีไหม ร้ายไหม แล้วกลับมาดีไหม แล้วคนอื่นเขาร้ายได้ไหม แล้วเขากลับมาดีไหม แล้วจะเกลียดเขาทำไม จะชิงชังแช่งชักหักกระดูกเขาทำไม
ฉะนั้นถ้าโลกมีความเปลี่ยนแปลง ถ้าเราเข้าใจว่าโลกมีความเปลี่ยนแปลงเป็นความจริง เราจะไม่ทุกข์กับโลกใบนี้ แล้วเราจะไม่เกลียดสิ่งใดเพราะเดี๋ยวเขาก็ (เปลี่ยน)  และเราจะไม่กล้ารักใคร เพราะเดี๋ยวเขาก็ (เปลี่ยน)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราล่ะเปลี่ยนไหม(เปลี่ยน)  ฉะนั้นความไม่เที่ยงจึงไม่ใช่ความทุกข์ ลองเป็นเด็กแล้วไม่ยอมแก่เอาไหม ตอนเด็กเราเดินกี่ขา สี่ขา แล้วถ้าไม่เปลี่ยนเป็นเดินสองขา แย่ไหม (แย่)  ฉะนั้นกลัวไหม
กับความเปลี่ยนแปลง แล้วจะยึดหวังอะไรว่าชีวิตนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง หวังให้เขาไม่เปลี่ยนได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงเราจะอยู่ในโลกด้วยความไม่ทุกข์ แล้วอะไรที่เราควรจะเข้าใจและอะไรที่เราควรจะนำพาชีวิตเราให้ไม่ทุกข์ คือ “ความเข้าใจความเป็นจริง” ขอแค่เพียงมีสติรู้เท่าทันความคิดตัวเอง 
 ถ้าเรามีชีวิตอยู่คิดแต่จะพึ่งคนอื่น เราก็จะไม่มีวันพึ่งความสามารถตัวเอง ถ้าเรามีชีวิตอยู่หวังแต่จะให้คนอื่นนำมาซึ่งความสุข เราก็จะไม่รู้จักค้นหาความสุขในใจตัวเอง ฉะนั้นเกิดเป็นคน อย่าเอาแต่มีชีวิตฝากไว้กับคนอื่น แต่จงรู้จักดูแลตัวเองให้เป็น นำพาตัวเองให้ได้ อย่าดูเบาคุณค่าตน และเอาชีวิตตนไปฝากไว้กับผู้ใดเลย เพราะเขาก็มีวันเปลี่ยน ฉะนั้นสู้ทำตัวเราให้ดี ดีกว่า จริงไหม 
ฉะนั้นลองถามท่านว่า ถ้าตลอดชีวิตเรารู้จักแต่พึ่งตัวเอง โลกจะเป็นอย่างไร เราจะทุกข์ร้อนไหม ถ้าตลอดชีวิตเรารู้ว่าสุขคืออะไร แม้วันนี้จะต้องทุกข์เราจะหาทางพ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นมีชีวิตถ้าอยากจะบำเพ็ญธรรมให้เป็น อยากเข้าใจให้ได้ ถามตัวเองก่อนว่า “สุขเป็นหรือยัง พึ่งตัวเองมากพอหรือยัง” ถ้าคิดแต่จะพึ่งคนอื่น ก็บำเพ็ญยาก ถ้าคิดแต่จะหวังให้ตนมีความสุข ก็ยากที่จะบำเพ็ญให้พ้นทุกข์ เพราะธรรมะสอนให้ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”เพราะคนอื่นมีวันเปลี่ยนแปลง มีวันกลับกลาย แต่ถ้าใจเรามั่นใจในตัวเองแล้วว่าเราดูแลตัวเองไหว เรารู้ตัวเองได้ เราแก้ตัวเองได้ ทำไมต้องกังวลกับอนาคตข้างหน้า
ขอเพียงแค่ยอมรับความเป็นจริงว่า โลกคือโลกแห่งความเปลี่ยนแปลง อย่าเอาแต่พึ่งคนอื่น ให้พึ่งตัวเองเป็นสำคัญ โลกจะพลิกผันเป็นอย่างไร เราพึ่งตัวเองได้ เรารู้จักหนทางสุขที่แท้จริง ทำไมต้องกลัวสังคมที่เปลี่ยนแปลง ถ้านั่งตรงนี้พบความสุขได้ ถ้านั่งตรงนี้แล้วไม่ทุกข์ได้ โลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้วนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นแม้จะเจ็บเจียนตายแต่ไม่ทุกข์ได้ ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว เพราะเราเข้าใจความเปลี่ยนแปลง


วันอาทิตย์ที่ ๒๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒    พุทธารามเหยินเต๋อ  จ.ลำปาง
  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  เมื่อชีวิตยังคงหมุนเวียนเปลี่ยนผัน    แล้วศิษย์นั้นเป็นสิ่งใดใครรู้บ้าง
ถึงที่สุดเป็นอะไรในโลกกว้าง              ขอจงตื่นบนทางธรรมสิ้นตัวตน
                       เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                                         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                             ถามศิษย์รักทุกคนมีใครคิดถึงอาจารย์บ้างไหมหนอ

          นึกรู้สักนิดบำเพ็ญธรรมจากปัญหา รู้แล้วไม่ช้าแค่หลับตาข้างนึงบ้างจะดี โลกไม่มีบรรทัดฐาน คนที่ยอมแพ้กลางทาง วางทุกสิ่งทันที 
     หากรู้ รู้แล้วทำให้ดีดีไม่เป็นไร รู้แล้วทำร้ายเข้าอย่างจังจัง ทำไมต้องรู้ การรู้จำเป็นหรือเปล่า การรู้ช่วยเราหรือไม่ บำเพ็ญธรรมแล้วรู้อย่างเข้าใจ อาจจะรู้เข้าเค้า เข้าเหตุการณ์ที่ดำเนินเบื้องหน้า อาจจะรู้เข้าขา มีเพื่อนคุยกัน ความจริงก็เปลี่ยนไป อยากเอยอยากรู้ จับจุดให้ชัดต้องรู้ทำไม 
     อยู่กับธรรมจะต้องรู้ธรรม บำเพ็ญก็ต้องรู้เอง
     *รู้รู้ทั้งรู้ การบำเพ็ญจิตใจนี้ รู้รู้ทั้งรู้จากข้างในฝึกใจให้สิ่งดีดี หนึ่งชีวิตขอแค่นี้ ออกแรงที่ใจข้างใน เป็นการรู้แบบพอดี 
     เรื่องอยากรู้แค่ฤดู ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงฟ้าได้ ไม่อยากรู้ก็รู้เอง ว่าความจริงไม่สูญสลาย อย่าอยากจะรู้ อย่าอยากจะเห็นจนมากเกินไป อยู่กับธรรมจะต้องรู้ธรรม บำเพ็ญก็ต้องรู้เอง (ซ้ำ*,*,*,*)
                                                ทำนองเพลงใจกลางความรู้สึกดีดี
                                                ชื่อเพลงเรื่องของคนอยากรู้อยากเห็น

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

เวลาหนาวเรายังรู้จักใส่เสื้ออุ่นๆ แต่เวลาทุกข์ทำไมไม่รู้จักหาทางพ้นทุกข์ ทำไมชอบคิดให้ตัวเองยิ่งทุกข์
ชีวิตนี้เกิดมาต้องสู้ เมื่อแพ้แล้วก็ต้องลุกขึ้นสู้ได้อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าวันหนึ่งในชีวิตเราเกิดเรื่องที่หนักๆ ต้องพบเรื่องที่รับไม่ได้ เราจะลุกขึ้นสู้หรือจมอยู่กับความทุกข์ (ลุกขึ้นสู้)  แต่ในชีวิต เราลุกขึ้นสู้ หรือเราจมอยู่กับความทุกข์ (จมกับความทุกข์)  แปลกนะเวลาที่เราตัวร้อนยังรู้จักเปิดพัดลม เปิดแอร์ พัดวี แต่เมื่อเราใจร้อน ใจทุกข์ ทำไมไม่รู้จักหาทางดับทุกข์ แต่กลับคิดว่าจะไปแสวงหาความสุข สุดท้ายกลับทำให้ยิ่งทุกข์กว่าเดิมสุขทุกข์เราเป็นคนเลือกเอง ชีวิตก็เป็นของเราเอง ทำไมกลับปล่อยสุขทุกข์ของตัวเองอยู่ในมือคนอื่น ทำไมปล่อยให้สุขทุกข์ไปอยู่ที่คำพูดของคนอื่น อยู่ที่ปากของคนอื่น เราจะดีหรือร้ายทุกข์หรือสุข เราเป็นคนกำหนดเองหรือให้คนอื่นกำหนด (ตัวเอง)   
ศิษย์เอยชีวิตเหมือนสายน้ำที่ไหลไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะสิ้นสุดที่ใด ไหลไปแล้วมันไม่มีวันย้อนกลับ แล้วเราไหลจากสูงลงต่ำหรือไหลจากต่ำขึ้นสูง (ต่ำขึ้นสูง)  ขึ้นสูง ใช่หรือไม่ อย่างนั้นเวลาเราคิดอะไรเราคิดอย่างคนต่ำหรืออย่างคนสูง (สูง)  ประพฤติอะไรอย่างคนประเสริฐหรือคนไม่ประเสริฐ ถ้าชีวิตคือสิ่งที่ต้องหมุนเวียนเปลี่ยนผัน เราเป็นเด็กแล้วหมุนเวียนเปลี่ยนผัน เราก็ต้องโตเป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นลูก เป็นพี่ เป็นเพื่อน แล้วต่อไปเรายังเปลี่ยนต่อไปอีกหรือไม่ (เปลี่ยน)  ฉะนั้นชีวิตที่เปลี่ยนแปรผัน จริงๆ เราเป็นอะไรกันแน่ และแบบไหนคือแบบที่แท้จริงของเรา 
กายมาจากพ่อแม่ แล้วจิตเรามาจากไหน เรารู้ว่ากายจะกลับคืนสู่ธาตุทั้งห้า ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วจิตเดิมแท้จิตที่ประเสริฐ จิตแห่งพุทธะจะกลับที่ใด เรากลับไม่เคยคิดเลย อาจารย์จะบอกว่า ตัวเราก็มาจากธรรมชาติ ฉะนั้นถึงที่สุดเราต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติ จิตเดิมแท้ของเราก็คือส่วนหนึ่งของธรรม ถึงที่สุดเราต้องกลับคืนสู่ธรรม  แต่ธรรมศิษย์ไม่เอา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ยังไม่อยากมีธรรม แปลว่าศิษย์ยังไม่อยากกลับบ้านที่แท้จริงที่จากมา แล้วเราจะกลับคืนสู่ธรรม ได้หรือไม่ (ไม่ได้)
  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือ ส่วนหนึ่งของธรรม เราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรม เราก็มาจากธรรม อย่างนั้นเราก็ควรกลับคืนสู่ที่มา แต่เราไม่เคยกลับมาหาธรรม แต่เรากลับไปหา (กรรม)  เมื่ออยากยึด อยากมี ก็เลยกลายเป็นกรรม แล้วผลสุดท้ายก็กลับมาเวียนว่ายตายเกิด มาชดใช้กรรม
ฉะนั้นอยากกลับคืนสู่ธรรม หรืออยากกลับไปหากรรม ก็มนุษย์บอกไว้ว่า เราเกิดมาเพราะมีกรรม ถ้าเมื่อไรเราสิ้นกรรมก็ไม่ต้องเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากสิ้นกรรมก็ต้องกลับไปสู่ธรรม แล้วเราเลือกธรรมหรือกรรม อะไรที่ฉันยึดได้ฉันจะยึด อะไรที่มีได้ฉันก็คว้าไว้  สุดท้ายกลายเป็นกรรมดีกรรมชั่ว พอพูดถึงธรรมะศิษย์บอกว่าเอาไว้ทีหลัง ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วธรรมะคือสิ่งเดิมแท้ของเรา และเราก็มาจากธรรมแต่เราไม่เอาธรรม เราอยากเอากรรม เราก็เลยหนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ถึงเวลาใครทำกรรมอะไรไว้ก็ไปรับกรรมเอาเอง เสียงอาจารย์จะดังแค่ไหนก็ไม่สามารถปลุกศิษย์ให้ตื่นได้เลย
เราอยู่ในโลกก็ไม่อยากทำให้ใครทุกข์ ถ้าอาจารย์มาแล้วทำให้ศิษย์ทุกข์ อาจารย์ก็พร้อมจะไป อาจารย์ไม่บังคับไม่ฝืนใจ ฉะนั้นให้อาจารย์อยู่ต่อไหม (อยู่)  โลกนี้ง่ายๆ ถ้ามีแล้วทุกข์ อยู่แล้วทุกข์ก็แค่จากไป จะไปฝืนให้เขารักทำไม ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราอยู่ในโลกนี้หวังให้ทุกคนรักเรา ทุกคนชอบเรา หวังว่าทุกคนจะไม่คิดร้ายกับเราเลย หวังว่าทุกคนต้องปฏิบัติดี ได้ดั่งใจเรา ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แต่ถึงเวลาศิษย์ก็ไปคาดหวังเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเราอยากให้ทุกคนดีกับเราจนเราเสียความเป็นตัวเอง เสียความดีงามในตัวเอง อยากให้เขาชมว่าเราดี อยากให้เขารักเรา แต่เราต้องสูญเสียความเป็นคน สูญเสียความดีงามในใจอย่างนั้นถูกต้องหรือไม่ เราไม่ต้องสนใจใคร สนใจแต่คนที่เราอยากจะรักแค่นั้น ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ขอให้เขารักเราก็พอ จะทำด้วยวิถีทางใด ด้วยเล่ห์ด้วยเพทุบาย ขอให้เราได้ก็พอ ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  ศิษย์เอย ในเมื่อรู้ว่ามันไม่ถูกแล้วเราควรทำไหม (ไม่ควร)  ฉะนั้นในเมื่อศิษย์ก็รู้อยู่เต็มอก แล้วเราจะไปหวังให้ทุกคนรัก หวังให้ทุกคนเป็นดั่งใจ เป็นไปไม่ได้ ขอแค่ตัวเราถามตัวเราก่อน ทำดีหรือยัง ถึงที่สุดของความดีหรือยัง ถ้าดีแล้วถูกแล้ว ใครจะด่าใครจะชมก็ไม่เป็นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากหันกลับมาถามตัวเอง ยังดีไม่พอ ยังจริงใจไม่พอ สมควรที่จะถูกว่า ก็ต้องขอบคุณเขา เพราะคนที่กล้าเตือนแปลว่าเขารัก เขาใส่ใจ แต่ถ้าเขาไม่พูดไม่เตือนแล้ว แปลว่าเขาไม่เคยเห็นเราอยู่ใน (สายตา)  แล้วก็ไม่มีค่าพอที่จะเสียน้ำลายไปคุยด้วย และไม่ควรจะเสียอารมณ์กับคนแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ควรดีใจที่มีคนคอยเตือน ศิษย์ควรดีใจมีคนคอยว่า เพราะเราจะได้ดีขึ้น 
ถ้าเรารู้ว่าทุกข์คืออะไร และเราสามารถหาทางดับทุกข์ได้ก็คงจะดี แต่ชีวิตประจำวันในโลกใบนี้เรามีทุกข์มากมาย แล้วเราก็ไม่เคยสามารถผ่อนคลายความทุกข์ในใจเราได้เลย จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นถ้าเราอดทนไม่ได้ เมื่อเรามีความทุกข์ เราก็เลยบ่น เพราะคิดว่าพูดไปแล้ว บ่นไปแล้วอะไรจะดีขึ้น และเราจะได้หายอัดอั้นตันใจ อาจารย์ถามว่า หลังจากพูดไปมีอะไรดีขึ้นหรือไม่ จากที่เขาไม่รู้ว่าเราคิดร้าย ก็กลายเป็นรู้ จากที่เขาไม่คิดว่าเราจะว่าเขาแย่ขนาดนี้ เรากลับทำให้เขารู้สึกแย่ลงไปอีก ฉะนั้นในโลกใบนี้พูดมากก็เจ็บตัว ไม่พูดเลยก็เจ็บตัว เพราะคำพูดเมื่อพูดไปแล้วมันล้างคำพูดไม่ได้ ด่าเขาว่าโง่ไปแล้ว และมาพูดทีหลังว่าเขาไม่โง่ เขาจะหายโกรธหรือ ถ้าไม่อยากทุกข์ก็ต้องรู้จัก (ไม่พูด)  แต่เราอดได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วผลสุดท้ายก็ต้องมาเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองพูด  ฉะนั้นพูดให้น้อยหน่อยดีไหม (ดี)  ศิษย์เคยได้ยินประโยคที่ว่า “เอาหูไปนา เอาตาไปไร่” “เห็นเหมือนไม่เห็น ได้ยินเหมือนไม่ได้ยิน” ทำได้ไหม (ได้)  รู้มากก็เจ็บมาก พูดมากก็ทุกข์ แล้วเรายังอยากรู้ไหม (อยาก)  แล้วเราอดพูดได้ไหม แล้วที่เราทุกข์อยู่นี้ เป็นเพราะอยากรู้อยากพูด จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าเรารู้มากๆ จะมีใครดีบ้างไหม (ไม่มี)  รู้มากๆ คนนั้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดี คนนั้นก็แย่ คนนี้ก็นิสัยเอาแต่ใจตัวเอง คนนั้นก็ชอบเอาเปรียบ คนนี้ก็ขี้เกียจ แล้วผลสุดท้ายคนทุกข์ก็คือคนที่รู้ แล้วจะทำอย่างไร จึงจะรับมือกับคนที่ขี้เกียจ คนที่เอาเปรียบเราให้ได้ ฉะนั้นพูดให้น้อยก็ทุกข์น้อย รู้ให้น้อยก็เจ็บน้อย เราจะได้ไม่ทุกข์กับเขา จริงหรือไม่ (จริง)
ศิษย์ชอบความยุติธรรมเท่าเทียมกันไหม (ชอบ)  ถ้าศิษย์ชอบความยุติธรรม ถ้าเขาได้เราก็ต้องได้ แต่ถ้าเขาถูกด่า ทำไมเราไม่ยอมถูกด่าล่ะ จริงไหม (จริง)  
(พระอาจารย์เมตตายกตัวอย่างเรื่องความยุติธรรมบนโลก)  หากศิษย์เรียกร้องความยุติธรรม สมมติว่าอาจารย์มีลูกศิษย์สามคน ในวัยที่แตกต่างกัน ถ้าอาจารย์แบ่งงานให้ศิษย์ที่เป็นวัยรุ่นมากที่สุด วัยกลางคนลดลงมา วัยสูงอายุได้รับงานน้อยที่สุด แบบนี้อาจารย์ยุติธรรมหรือลำเอียง (ลำเอียง)  อาจารย์จะแบ่งงานให้เท่าๆ กัน ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  เปลี่ยนใหม่สมมติอาจารย์มีศิษย์อายุเท่าๆ กัน ศิษย์อยากให้อาจารย์แบ่งงานและปฏิบัติต่อทุกๆ คนเท่ากัน เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะแต่ละคนมีความถนัด มีความเก่ง มีความสามารถแตกต่างกันออกไป แต่ถ้าศิษย์เปิดใจให้กว้าง ศิษย์จะเข้าใจว่าจริงๆ แล้วโลกนี้ไม่ใช่ไม่ยุติธรรมแต่เราใจไม่กว้างพอที่จะมองเห็นความจริง
ศิษย์เคยเป็นหรือไม่ กับคนบางคนรู้สึกถูกชะตาตั้งแต่เขายังไม่ได้ทำอะไร แต่บางคนยังไม่ได้ทำอะไรเราก็เกลียดตั้งแต่เห็นแล้ว อย่างนี้แล้วยุติธรรมไหม (ไม่ยุติธรรม)  อย่างนั้นถ้าชีวิตเราคิดอย่างนี้ เวลาเห็นใครปฏิบัติไม่ถูกต้อง เราจะว่าเขาหรือไม่ ใจเขาใจเรา เขาเป็นคนอย่างไรเราก็เป็นคนอย่างนั้น ไม่ต่างกัน จริงหรือไม่ (จริง)  ลูกสามคนรักเท่ากันไหม ลูกสองคนรักเท่ากันไหม พ่อและแม่บอกเท่ากัน แต่จริงๆ รักไม่เท่ากันหรอก (คนเราบางทีก็ไม่ยุติธรรม ชอบรักพวกพ้อง)  อย่างนั้นเวลาเราได้อะไรมา เราให้คนอื่นก่อนหรือให้พวกพ้องก่อน (พวกพ้อง)  แล้วทำไมไปว่าคนอื่น  พูดกันอย่างเข้าใจความเป็นจริง ถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกอย่างไม่ทุกข์ ศิษย์ต้องเปิดใจให้กว้างและมองให้ออก คนเรานั้นเหมือนๆ กัน แล้วแบบใดที่เรียกว่าสร้างกรรม และแบบใดที่เรียกว่ามีธรรม 
เวลาเราทำอะไรเรารักสบาย เราขี้เกียจ ชอบเอาเปรียบ หรือชอบช่วยเหลือ นิสัยคนเราเหมือนกัน  โดยส่วนใหญ่เรารักสบาย  อะไรทำให้เราสบายได้เราก็จะเอา แล้วศิษย์รู้หรือไม่ว่า นิสัยที่ชอบรักสบายบนความทุกข์ของผู้อื่น เขาเรียกว่า “ผู้ที่ชอบพัวพันไปด้วยเวร” ฉะนั้นเมื่อไรที่ศิษย์รักความสบายบนความทุกข์ของคนอื่น แปลว่าศิษย์กำลังสร้างกรรม เขาเป็นอะไร ทำไมต้องมาทำเพื่อเรา ทำไมต้องเสียสละเพื่อเรา และเขาเป็นอะไรทำไมจะต้องยอมแลกชีวิตเพื่อให้เราอิ่ม ฉะนั้นถ้าเพื่อความสบายปาก สบายใจแล้วเรามอบความทุกข์ให้กับคนอื่น แปลว่าศิษย์กำลังอยากพัวพันไปด้วยเวร
อาจารย์ถามว่า ศิษย์เป็นคนช่างจดช่างจำไหม (จำ)  สิ่งดีๆ ไม่จำ สิ่งไม่ดีจำแม่น จริงหรือไม่ (จริง)  ใครด่าเราจำได้ ใครเอาเงินไปไม่คืนจำได้  ใครโกงเราจำได้  ใครเอาเปรียบเราจำได้  จำได้หมดเลยใช่ไหม  แล้วศิษย์รู้ไหม สิ่งที่ศิษย์จำได้เขาเรียกว่าผูกเวร น่ากลัวจริงๆ แล้วผูกแค่นั้นจบไหม (ไม่จบ)  มันจะตามไปด้วยการมีอารมณ์ร่วม สุดท้ายก็เลยทำผิดต่อศีลธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผิดต่อศีลธรรมแล้วเราก็เลยกลายเป็นคนบาปและมีทุกข์ หนีไม่พ้นเวรกรรมเพียงเพราะนิสัยอยากสบาย ช่างจดช่างจำ ชอบเอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่ จริงหรือไม่ (จริง)  ศิษย์เคยได้ยินหรือไม่ คนใจกว้างกลายเป็นคนใจแคบก็เพราะเห็นแก่ตัว คนใจเย็นกลายเป็นคนใจร้อนก็เพราะเห็นแก่ตัว ฉะนั้นเราอยากจะหนีก็หนีไม่พ้น เพราะเราเป็นคนสร้างเหตุปัจจัยขึ้นมาเอง แล้วเราจะดับได้อย่างไร
โลกใบนี้ทุกสิ่งเกิดจากใจเรา จะทำหรือไม่ทำก็อยู่ที่ (ใจ)  จะสำเร็จหรือจะแพ้ก็อยู่ที่ (ใจ)  จะเอาหรือไม่เอาก็อยู่ที่ (ใจ) จะฟังรู้เรื่องหรือไม่ก็อยู่ที่ (ใจ)  หากตั้งใจก็ฟัง (รู้เรื่อง)  หากไม่ตั้งใจก็ฟัง (ไม่รู้เรื่อง)  ใจเป็นสิ่งสำคัญ จะเกิดปัญหาก็เกิดที่ (ใจ)  ฉะนั้นเวลาทุกข์ถามว่า ใจทุกข์หรือเป็นเพราะสิ่งใดทำให้เราทุกข์ การกระทำของเขาทำให้เราทุกข์ หรือเป็นเพราะใจเราทุกข์ (ใจเรา)  ตกลงว่าเขาทำให้เราทุกข์หรือใจทำให้เราทุกข์ (ใจ)  ใจแบบไหนที่ทำให้เราทุกข์  (ไม่ปล่อยวาง)  สิ่งที่ทุกข์ไม่ใช่ใจ สิ่งที่ทุกข์คือความคิดที่อยู่ในใจ ฉะนั้นเวลาเรามีปัญหาเราแก้ภายนอกไม่ได้ ต้องแก้ที่ความคิด ถ้าเราคิดดี มองอะไรก็ดี  ถ้าคิดร้าย มองอะไรก็ร้าย ถ้าเราคิดว่าเป็นทุกข์ มองอย่างไรก็เป็นทุกข์
อาจารย์บอกไปแล้วตั้งแต่ต้นถึงสาเหตุของการสร้างกรรมของศิษย์ ศิษย์ก็เลยพยายามปฏิบัติดี เพื่อจะได้ไม่สร้างกรรม แล้วศิษย์ก็ติดในความดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์อยากแก้ทุกข์ ศิษย์ต้องแก้ที่ความคิด แล้วความคิดมาจากไหน  ความคิดทำให้เราทุกข์ใช่ไหม เช่นเขาว่าเรา ทำไมเขาว่า ทำไมเขาไม่ชมเรา ความคิดแบบนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าคิดว่าไม่เป็นไรช่างมัน ศิษย์จะทุกข์หรือไม่ (ไม่ทุกข์)  แล้วเราคิดว่าช่างมันหรือไม่ และเราคิดว่าเราถูกว่าได้ไหม ถูกเอาเปรียบได้ไหม แพ้หน่อยได้ไหม เขาเอาเงินไปไม่คืนได้ไหม ให้เขาไปแล้วถ้าเขาไม่คืนทำอย่างไร คิดตำหนิว่าเขา คิดแช่งเขา ก็เลยผูกใจเจ็บ กลายเป็นกรรมเป็นเวรกัน อยากได้แบบนั้นหรือ ถ้าอยากพบเขาอีกก็ผูกเวรกันต่อไป เดี๋ยวก็ต้องกลับมาชดใช้ เราก็จะได้กลับมาเกิดรับทุกข์อีก ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  แล้วอย่างนั้นทำอย่างไรดี (คิดอภัย คิดปล่อยวาง ช่างเขา)  ถึงเวลาจริงๆ ศิษย์คิดไหม ถ้าจิตยังมีห่วงมีกิเลสอยู่ ก็ยังไม่พ้นวิบากกรรมที่เราจะต้องไปเสวยผลลัพธ์ บุญก็ส่วนบุญ บาปก็ส่วนบาป เวรกรรมก็ส่วนเวรกรรม ฉะนั้นศิษย์ทำดีไม่ใช่เพื่อเป็นคนดี แต่เราทำดีเพื่อละบาป เราทำดีเพื่อไม่ให้ใจเราไหลไปสู่ความชั่ว ไม่ใช่ทำดีเพื่ออยากเป็นคนดีขึ้นสวรรค์ แต่เราทำดีเพื่อป้องกันใจเราไม่ให้คิดชั่ว นี่คือหลักสำคัญของการเป็นคนดี แต่มนุษย์คิดว่า ฉันทำดีแล้วขอเลขสองตัว ขอให้บ้านฉันร่มเย็น ขอให้ฉันไม่เจ็บไข้ ไม่เจ็บป่วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ที่ทำดีหรืออยู่ที่ปากของเรา อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่อยู่ที่การทำบุญ และอย่าหวังว่าเราจะต้องได้ดี มันไม่จริงเสมอไป ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะถ้าเราละบาปไม่ได้ มือหนึ่งเรายังทำชั่ว มือหนึ่งเรายังทำดี บาปก็ส่วนบาป บุญก็ส่วนบุญ ชดใช้กันไม่ได้ ฉะนั้นดีที่สุดคือบาปไม่ทำ ชั่วไม่ทำ และเมื่อบาปไม่ทำ ชั่วไม่ทำ เราละบาป แล้วทำอย่างไรที่จะป้องกันไม่ให้ภัยนั้นเกิด นั่นก็คือปฏิบัติคุณธรรม เพราะคนที่มีคุณธรรมจะอยู่ที่ไหนก็ไม่มีเวรไม่มีภัย แต่คนที่ไร้คุณธรรมขาดเมตตาในจิตใจ ชอบเอาเปรียบ ชอบโกง ชอบโมโห ชอบเจ้าอารมณ์ คนๆ นี้ไปอยู่ที่ไหนก็มีภัยเพราะตัวเอง ฉะนั้นเราต้องเข้าใจให้ถูกว่าศีลมีไว้เพื่อละบาป ธรรมมีไว้เพื่อป้องกันภัย บังเกิดคุณในการมีชีวิต
เรามาพูดเรื่องความคิดกันต่อดีหรือไม่ (ดี)  เราทุกข์เพราะ (ปาก, ใจ,  สุข)  ทุกข์เพราะสุข ทุกข์เพราะปาก ปากพาจน ปากทำให้ทุกข์ ใช่หรือไม่ ลองค่อยๆ พิจารณาสิ่งที่อาจารย์พูด ศิษย์เอยเราสุขเราทุกข์เพราะใจตัวเอง ใจที่ไม่ยอมรับความจริง แล้วอยู่กับความคิดของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราไม่ได้แก้ที่ใจ ก็ต้องแก้ที่ความคิด และความคิดมาจากความรู้ความเข้าใจที่เราคิดว่าเรารู้แล้ว และหวังให้ทุกสิ่งต้องเป็นดั่งใจเรา ทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรได้ดั่งใจ ฉะนั้นความคิดที่รู้ไม่สุด ความคิดที่รู้ไม่ชัด เรียกว่าความไม่รู้ หรืออวิชชา แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะพูดว่าตัวเองรู้
(ทุกข์จากการคิดแทนคนอื่น ไม่ใช่เราคิดเองแต่คนอื่นคิด แล้วเราไปคิดว่าเป็นความคิดของคนอื่น แล้วเรามาคิดเอง)  
(คิดแทนผู้อื่นแล้วเราก็เลยทุกข์ไปด้วย)  อย่างนั้นต่อไปเราก็ต้อง (ไม่คิดแทนผู้อื่น)  และยอมรับในสิ่งที่เป็น ลดความคิดตัวเองให้มากที่สุด เห็นคุณค่าของคนที่เราอยู่ร่วมให้มากที่สุด เราจะได้ไม่ทุกข์ใจ หากเพิ่มความอยากของตนเองก็อดไม่ได้ที่จะไปลดคุณค่าของคนอื่น มีโอกาสได้สร้างบุญก็ดีแล้ว แปรบาปให้เป็นบุญ ดีหรือไม่  (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาผู้ดูแลพุทธสถาน)
ห้องพระที่นี่ใหญ่มาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นต้องมีคนดูแลรับผิดชอบ ใครจะเสียสละมาดูแลที่ที่ใหญ่อย่างนี้ ใจไม่ใหญ่ก็ไม่สามารถอยู่ในที่ใหญ่ๆ ได้  ฉะนั้นห้องพระใหญ่ใจต้องกว้าง ห้องพระใหญ่ต้องเสียสละให้ได้ เมื่อไรที่ศิษย์เข้ามาในห้องพระนี้ คนที่ศิษย์เห็นยืนอยู่ตรงนี้คือคนที่ต้องดูแลรับผิดชอบสถานที่แห่งนี้ ยอมเสียสละความเป็นส่วนตัว ยอมละความสุขส่วนตัวเพื่อส่วนรวม ใจตรงนี้ต้องมีให้ได้ ถ้ามีไม่ได้เราก็จะไม่สามารถสละเวลามาดูแลที่นี่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากขอจากศิษย์ทุกคนก็คือ ขอให้สามัคคี อะลุ้มอล่วย ถนอมน้ำใจกัน หนักนิดเบาหน่อยไม่ถือสาหาความ ได้หรือไม่ ใครทำมากกว่า ใครทำน้อยกว่า ไม่เอามากินแหนงแคลงใจกัน ใครทำไม่ทำไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์จนเกิดเป็นเรื่องราวในใจ ต่างคนต่างทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดเป็นพอ ดีหรือไม่ (ดี)  เพราะทุกคนล้วนคือ คนสำคัญ บ้านหลังใหญ่จะสำเร็จได้ไม่ใช่เกิดจากคนๆ เดียว บ้านหลังใหญ่จะงดงามได้ก็ไม่ได้เกิดจากคนๆ เดียว แต่ต้องเกิดจากทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ฉะนั้นหนักนิดเบาหน่อยให้อภัยและเดินไปด้วยกันเพื่อช่วยผู้อื่น ลดอัตตาตัวเองให้มากที่สุด ได้หรือไม่ ขอให้มุ่งมั่นทำให้ถึงที่สุด ศิษย์เอยร่วมแรงร่วมใจกันให้ดี สามัคคีกันให้ได้ นิดๆ หน่อยๆ ไม่ถือสาหาความกัน ได้หรือไม่ (ได้) 
ถือหลักธรรมนำใจ นำธรรมไปนำชีวิตให้ถูกต้อง ขอให้สุขภาพแข็งแรง ความเหนื่อยยากนี้ สำเร็จแล้ว ใช่หรือไม่ ขอให้รักษาความสำเร็จนี้ให้ยาวนานตลอดไปนะ ศิษย์เอย เหมือนการเริ่มต้นนะ สำเร็จแล้วขอให้สำเร็จไปเรื่อยๆ ดีแล้วขอให้ดีไปเรื่อยๆ รักษาความดีความตั้งใจนี้ไว้ให้ตลอดนะ
อาจารย์ยังไม่ได้พูดธรรมหลักใหญ่ๆ เลย อาจารย์พูดแค่เพียงเปลือกนอกเอง เมื่อสักครู่อาจารย์พูดว่ามนุษย์เรามีความทุกข์ แล้วมนุษย์มักจะพูดว่าเราทุกข์ใจ แต่เราก็ไปแก้ด้วยการทำบุญใส่บาตร สวดมนต์นั่งสมาธิ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัญหาที่เราทุกข์ไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่ปัญหามันอยู่ที่ภายใน เราทุกข์เพราะใจ และใจเป็นไปตามสิ่งที่เราคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  มโนกรรมเป็นตัวควบคุมชีวิตทั้งชีวิต เหมือนเราคิดอย่างไรเราก็พูดอย่างนั้น คิดแบบไหนก็ทำอย่างนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากเปลี่ยนชีวิตก็ต้องเปลี่ยนที่ (ความคิด) 
ถ้าเราจะเปลี่ยนความคิดเราต้องเปลี่ยนอย่างไร ถ้าเราใช้อารมณ์ในการจัดการความคิดก็กลายเป็นกิเลส เหมือนเราคิดอะไรขึ้นมา เราเอาอารมณ์ใส่ลงไปในความคิด มันก็ง่ายที่จะไหลเข้าข้างตน และง่ายที่จะไหลไปตามกิเลสอารมณ์ สิ่งที่จะสามารถควบคุมความคิดได้คือ “สติ” สติรู้ทันความคิด สติแปลว่าระลึกรู้ มีสติก็มีสัมปชัญญะ สัมปชัญญะแปลว่ารู้ตัว ระลึกรู้ และรู้ตัวรู้ตน เมื่อไรที่มีความคิดและเราเอาสติมาใช้ สติจะดึงความคิดให้กลับสู่ความเป็นกลาง ดึงอารมณ์ที่หนักให้กลายเป็นอารมณ์ที่จาง เหมือนเวลาที่เขาว่ามาแล้วเราว่าเขากลับ นั่นเป็นเพราะว่าเราขาดสติ แต่ถ้าเขาว่าเรามาแล้วเรามีสติคิดทัน เราจะไม่ว่าเขากลับ เมื่อไรที่เรามีสติและหาตัวผู้รู้ และเอาความรู้นั้นมาทำให้กระจ่างแจ้ง ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถ้าเข้าใจก็จะไม่คิด ถ้าคิดแปลว่าไม่เข้าใจ” ถ้าเราเห็นอะไรก็ตาม แล้วเราตั้งข้อสงสัยว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แปลว่าเราไม่เข้าใจ เราจึงคิด แต่ถ้าเขาว่าเรามาและเราบอกว่า อ้อ มันก็แค่นั้น มันก็เช่นนั้น อย่างนั้นแปลว่าเราหมดความคิดแล้วเพราะเราเข้าใจ โลกนี้มีคนชมและก็มีคนว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องเช่นนั้นเอง ชีวิตและสิ่งที่ศิษย์พบไม่ได้ผิดปกติ แต่เป็นเพราะเราเป็นผู้มีความคิด ไม่ยอมรับความจริง และไม่ยอมรับความปกติ
เมื่อมีคนชมก็มี (คนว่า) มีดีก็มี (ร้าย)  มีได้ก็มี (เสีย)  มีถูกก็มี (ผิด)  มันเป็นเช่นนั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเจอเขาว่ามา เราไม่ว่ากลับ เราเห็นเป็นเช่นนั้นเองจบไหม (จบ)  เกิดกรรมไหม (ไม่เกิด)  เกิดจองเวรไหม (ไม่เกิด)  แล้วความเป็นเช่นนั้นเองเรียกว่า ธรรมอันเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าทุกครั้งที่ศิษย์ถูกกระทบ ถูกกระแทก ถูกว่า ถูกตี แล้วศิษย์คิดว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง จบไหม (จบ)  แต่ถ้าศิษย์บอกว่า “ไม่ได้! ตีฉันทำไม” มันจะจบไหม (ไม่จบ)  เกิดกรรมไหม (เกิด)  เกิดเวรไหม (เกิด)  เกิดอารมณ์ไหม (เกิด)  ตกลงเราอยากเอาธรรมหรืออยากเอากรรม (ธรรม)  แล้วเวลาเราพบเรื่องอะไรเราคิดเอาธรรมหรือคิดเอากรรม (เอาธรรม)  ทำไมพระพุทธะถึงสอนไว้ว่าเรามีศีลเพื่อละบาป เรามีธรรมเพื่อดำรงคุณเพื่อป้องกันภัย และเรามีปัญญาเพื่อตื่นรู้ความจริงและนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้เราทุกข์คือ ความคิดที่ไม่ยอมมองความจริง ไม่รับความจริง ทั้งที่ความจริงแล้วมันคือ ธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นยึดติดตัวตนคือ การมีเวรกรรม แต่ถ้ายอมรับความจริงคือ การยอมรับความเป็นธรรม อยากเห็นความจริงต้องหลุดออกจากโลกของความคิด ยอมรับความเป็นไปที่เกิดขึ้นข้างหน้าได้โดยที่เราเห็นธรรม แล้วเราเคยเห็นธรรมไหม ส่วนใหญ่จะเห็นเวรกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  “กรรมอะไรที่ฉันต้องพบกับเธอ กรรมอะไรที่เธอต้องมาว่าฉัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  พุทธศาสนาก็เลยสอนไว้ว่า ให้รู้จักทำบุญเพื่อล้างบาป ทำบุญเพื่อรักษาใจให้บริสุทธิ์ ถูกไหม (ถูก)  เช่นนั้นถ้าอาจารย์ถามว่า เรารักษาใจให้บริสุทธิ์ตั้งแต่ถูกว่าไม่ได้หรือ ทำไมพอถูกว่า ใจขุ่นไปก่อนแล้วค่อยไปล้างให้บริสุทธิ์ ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม ถูกว่าแล้วใจขุ่นมัว ไปล้างบาปด้วยการทำบุญถูกไหม ไปว่าคนนี้แต่ไปทำบุญกับคนนั้น แก้กันได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นความดีมันชะล้างกันได้ไหม (ไม่ได้)  ตอนถูกว่าตรงนี้ ก็ทำบุญกับเขาตรงนี้เลย ดีไหม (ดี)  เขาว่ามา เราก็ทำบุญด้วยการเอาคำว่ามาล้างใจให้เราบริสุทธิ์ เอาธรรมให้เขากลับไป ดีไหม (ดี)  เขาโกรธแค้นเรา เอาความเมตตาให้ ดีไหม (ดี)  เขาโกรธแค้นเรา แล้วเราละความเป็นตัวตน วางความเป็นตัวตน ด้วยการเห็นเป็นเช่นนั้นเอง ดีไหม (ดี)  แล้วยากไหม (ไม่ยาก)  ขอแค่มีสติรู้ตัวเองอย่างไม่ขาดสาย ปัญหาไม่ได้แก้ที่คนอื่น แต่ปัญหาต้องมาแก้ที่ตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราแก้ได้ เราจะทำทุกที่ให้เป็นโอกาสในการสร้างบุญ บำเพ็ญบุญ และมีธรรมได้ จริงไหม (จริง)  ศิษย์เอย ถ้าศิษย์ทำไม่ได้แค่หนึ่งครั้ง ศิษย์ก็สร้างกรรมขึ้นอีกครั้ง  จริงไหม (จริง)  แล้วเราอยากอยู่แบบคนมีกรรมเพิ่มหรือสิ้นกรรม (สิ้นกรรม)  ถ้าอยากสิ้นกรรม ควรสิ้นตั้งแต่ตอนถูกเขาโกง ถูกเขาว่าถูกเขาแย่ง ถูกเขาเอาเปรียบ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะถ้าเราไม่มีเวรกรรมมาก่อน คงไม่พบกัน คงไม่มาเบียดเบียนกัน ถ้าไม่มีกรรมกันมา คงไม่มาว่าเรา จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นจะรอตอนไหน ว่าเขาเสร็จแล้ว เดี๋ยวหนูไปทำบุญชดเชย หายไหม (ไม่หาย)  ฉะนั้นยังไม่ทันเริ่มก็จบได้ด้วยใจตัวเอง ขอแค่เพียงศิษย์มีสติรู้เท่าทันใจ รู้ไปให้ถึงที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  
อาจารย์ถามนะ สมมติว่าถ้าอาจารย์มีชีวิตชีวิตหนึ่ง แล้วชีวิตของอาจารย์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปถึงสิ้นสุดชีวิต ต้องเกี่ยวพันพบกับคนที่ทำให้เราทุกข์ตั้งแต่เริ่มต้นชีวิต แล้วเริ่มต้นชีวิตก็พบทุกข์ อาจารย์ก็ตายทั้งเป็นตั้งแต่เริ่มต้น แล้วอาจารย์จะมีชีวิตรอดไปจนถึงที่สุดของชีวิตไหม (ไม่ถึง)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์พบทุกข์อันนี้ แล้วอาจารย์มองไปให้สุด “ช่างมันเถอะ ข้างหน้ายังไม่รู้ว่าต้องทุกข์อีกเท่าไร” อาจารย์จะทุกข์กับคนนี้ไหม (ไม่ทุกข์)  แล้วถ้าคนนี้ทำอาจารย์เจ็บ แล้วอาจารย์คิดว่าชีวิตอาจารย์ยังมีอยู่ ลมหายใจอาจารย์ยังมีอยู่ อาจารย์ยังมีโอกาสเจ็บอีกไหม (มี)  แล้วถ้าเขาทำเจ็บแค่นี้ แต่ข้างหน้าอาจจะเจ็บมากกว่าอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังนั้นเราควรจะเจ็บตอนนี้ไหม ควรจะทุกข์ตอนนี้ไหม (ไม่ควร)  
อาจารย์ถามหน่อย ถ้าในเมื่อจะทุกข์ ทำไมไม่ทุกข์ทีเดียวไปเลย  ถ้ามองชีวิตยังไม่สุด อย่าเพิ่งรีบทุกข์ อย่าเพิ่งตายเพราะความทุกข์ อย่าเพิ่งตายเพราะเจ็บป่วย อย่าเพิ่งตายเพราะความผิดหวัง เพราะว่าอนาคตยังไม่รู้ว่าจะต้องทุกข์อีกเท่าไร และยังไม่รู้ว่าจะต้องเจ็บอีกเท่าไร  ฉะนั้นสิ่งที่เจ็บในวันนี้ บางทีวันหน้าอาจจะมีเจ็บกว่านี้ ถ้าเราจะคิดว่าวันนี้อย่าเพิ่งเจ็บ รอไปเจ็บรอบหน้าเลยทีเดียว เอาให้คุ้มกับการมีชีวิตนี้ ดังนั้นเราจะเจ็บเพราะเขา เราจะทุกข์เพราะตอนนี้ไหม (ไม่)  เรามักจะมองแต่ตัวเอง แล้วบอกว่าเราแย่ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อลองมองลงไป มีแย่กว่าไหม (มี)  มองขึ้นไปมีสูงกว่าไหม (มี)  แล้วเราแย่ที่สุดไหม (ไม่)  แล้วเราทุกข์เพราะอะไร เรามักคิดว่าชีวิตแย่จังเลย ทำไมต้องพบเรื่องแบบนี้ ทำไมต้องพบคนแบบนี้ ทำไมต้องเป็นแบบนี้  ฉะนั้นอาจารย์จะบอกว่า ถ้ายังไม่ตายยังมีให้แย่อีกมาก และจำไว้ว่าถึงเราจะแย่ขนาดไหน ก็ยังมีคนที่แย่กว่า แล้วเราควรจะจมอยู่กับความแย่นั้นไหม (ไม่)  ธรรมะสอนว่าเราคือความเป็นกลาง แล้วเรากลางไหม (ไม่)  เหนือกว่าเรามีไหม (มี)  แย่กว่าเรามีไหม (มี)  แล้วเรากลางไหม (กลาง)  ถ้าเราไม่ลืมว่าเราคือ ความเป็นกลาง เราก็ไม่ทุกข์  แต่เราชอบเอียงไปว่าเราแย่ เราไม่ดี จริงไหม (จริง)  ทั้งที่จริงๆ แล้วมีคนแย่กว่า ใช่ไหม  และตราบที่ชีวิตยังไม่เห็นถึงที่สุด อะไรคือแย่ที่สุด
อาจารย์ถามหน่อย ตราบเท่าที่ชีวิตยังมีอยู่ อะไรคือสิ่งที่แย่ที่สุด  วันนี้ศิษย์บอกว่าพบเรื่องร้าย แต่วันหน้าถ้าพบเรื่องร้ายกว่า วันนี้ก็ไม่น่าร้องไห้ จริงไหม (จริง)  ตราบที่ศิษย์ยังมีลมหายใจอยู่ วันนี้ศิษย์พบเรื่องดีใจ แต่วันหน้าศิษย์อาจพบเรื่องดีใจกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้เราควรหลงกับสิ่งที่เราดีใจวันนี้ไหม (ไม่)  ฉะนั้นธรรมสอนให้เราเป็นกลาง คือไม่ลืมความจริงว่าจริงๆ แล้วเราต้องรักษาใจให้เที่ยง เพราะถึงที่สุดแล้วเราไม่เคยที่จะแย่สุดเพราะมีคนแย่กว่า สิ่งที่เกิดเราคิดว่ามันแย่แต่ลองไปเทียบกับคนอื่นเขาอาจพบเรื่องแย่กว่าเราก็ได้ ฉะนั้นถ้ามนุษย์ไม่ลืมความเป็นกลางไม่ลำเอียงจนเกินไปเราจะพบธรรมได้
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “เริ่มที่ใจให้ไวที่สุด”)
เพราะถ้าศิษย์ผิดพลาดแค่ความคิดทางใจเพียงนิดเดียว ศิษย์ก็เพิ่มกรรมสะสมไปอีกหนึ่งกอง แล้วชีวิตเราเกิดขึ้นมาเพื่อสิ้นเวรสิ้นกรรมหรือเกิดมาเพื่อเพิ่มเวรกรรม จำไว้นะศิษย์ ไม่ว่าพบเรื่องอะไรมากระทบใจ ถ้าเรามองเห็น “เป็นเช่นนั้นเอง” วางใจให้ไม่ตกในคำว่าดีหรือเลว ไม่ตกในคำว่าชอบหรือชัง ไม่ตกในการเกี่ยวพันสิ่งใด จิตเราในขณะนั้นจะเป็นกลางว่าง เฉกเช่นฟากฟ้าเบื้องบน มนุษย์มักไม่ชอบคำว่าว่าง มนุษย์จึงพยายามอยากจะมี เมื่อมีถึงที่สุดก็ทำให้เราหนีไม่พ้นอัตตาตัวตนที่ทำให้ต้องทุกข์ทน ฉะนั้นไม่ใช่แก้ที่การปลงนะ แต่แก้ที่ความคิด
ถ้าศิษย์แค่คิดว่าให้อภัย นั่นก็แปลว่ายังไม่ปล่อยวาง ทุกสิ่งเริ่มที่ใจก็ต้องจบที่ใจ ใจเป็นผู้สร้างกิเลสขึ้นมา และกิเลสก็ทำให้เราหนีไม่พ้นทุกข์และอบายภูมิ ฉะนั้นเราจะหยุดใจเราได้ ก็ขอแค่เพียงเรามีสติควบคุมความคิด รู้อะไร รู้ตามความเป็นจริงอย่างเป็นธรรมและเป็นกลาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้อาจารย์พูดกับศิษย์เพียงแค่นี้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ดูเหมือนยังไม่ค่อยเข้าใจเลยนะ  ปลูกต้นธรรมไม่สามารถปลูกได้ในวันสองวัน ปัญญาในการตื่นรู้ความเป็นจริงก็ไม่สามารถสำเร็จได้ในสองวัน แต่อาจารย์ก็พยายามผลักดันให้เกิดให้ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  จริงๆ แล้วการบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยาก การบำเพ็ญธรรมคือการดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง สอดคล้องกับความเป็นจริงในหลักสัจธรรม
มีคำพูดคำหนึ่งอาจารย์อยากให้ก่อนจากไป ศิษย์รู้ไหมว่าชั่วขณะจิตที่เวลาเราพบเรื่องอะไร แล้วเราเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง แค่ชั่วขณะจิตที่ไม่ปรุงแต่ง ไม่ให้ค่า ใครว่ามาเช่นนั้นเอง ใครโกงมาเช่นนั้นเอง ชั่วขณะจิตที่คิดคำว่า “เช่นนั้นเอง” ออกมาจากใจได้ สามารถนำพาให้ศิษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งมวลได้เลยนะ จริงไหม (จริง)  สามีไปมีกิ๊ก ภรรยาไปมีแฟนใหม่ ก็เช่นนั้นเอง มีอะไรบ้างที่มีแล้วไม่ทุกข์จริงไหม แล้วอะไรที่เราสามารถมีได้อย่างแท้จริง แค่ตัวเรามันอยู่กับเราไหม ฟังเราไหม เชื่อเราไหม เป็นดั่งใจเราไหม (ไม่เป็น)  แล้วเราควรยึดมันไหม (ไม่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า อยู่ในโลกไม่ใช่เพื่อจะครอบครอง แต่อยู่ในโลกเพื่อตื่นรู้และนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ ตื่นรู้ในความจริงของตัวเองว่าเราไม่สามารถมีอะไรได้ ใช่หรือไม่ ครอบครองอะไรได้ไหม (ไม่ได้) 
(พระอาจารย์เมตตาหยิบส้มขึ้นมาหนึ่งลูก) อาจารย์ถามว่าถ้าได้ส้มแล้วมีทุกข์ ตายไว เจ็บปวด ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อย อะไรในโลกที่มีแล้วไม่ทุกข์ ศิษย์จะเอาไหม (ไม่เอา) อะไรในโลกที่ยึดแล้วไม่เจ็บ ยิ่งผูกมัดยิ่งยึดติด ยิ่งตายไว จริงไหม (จริง)  แถมทำให้เราตายทั้งเป็นด้วยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นมีอย่างไรไม่ทุกข์ (ความว่างเปล่า)  มีอย่างว่างเปล่าหรือ วางได้จริงๆหรือ (ต้องพยายาม)  ง่ายนิดเดียวศิษย์เอย “มีแล้วเหมือนไม่มี เห็นเหมือนไม่เห็น รู้เหมือนไม่รู้” จริงไหม (จริง)  เรารู้จักแฟนเราดีไหม (ไม่รู้จัก)  เรารู้จักเงินที่เราหาชัดไหม ไม่ชัด แล้วมันเคยมีจริงๆ ไหม ฉะนั้นถ้าอยากมีแล้วไม่ทุกข์จงมีเหมือนไม่มี ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามจริงๆ มีแฟนเหมือนมีแฟนจริงๆ ไหม เห็นเขาอยู่แต่เหมือนไม่เห็นจริงไหม ฉะนั้นเราจำเป็นจะต้องรู้ จำเป็นจะต้องยึดทั้งหมดไหม ดังนั้นชีวิตขึ้นอยู่กับตัวศิษย์เอง ถ้าคิดแต่จะพึ่งคนอื่น ศิษย์ก็จะต้องสุขทุกข์กับคนอื่นอยู่ร่ำไป แต่ถ้าศิษย์รู้จักพึ่งตัวเอง เข้าใจความเป็นจริงของตัวเอง เริ่มมองเห็นตนชัด ศิษย์จะไม่คิดพึ่งใคร เพราะใครๆ ก็พึ่งไม่ได้ นอกจากดูแลตัวเองให้ดีที่สุดก็เพียงพอ เพราะชะตากรรมเป็นอย่างไรนั้นอยู่ที่เราทำวันนี้ถูกไหม ฉะนั้นศิษย์จะเป็นอะไรก็ตาม แต่ถ้าศิษย์คิดพึ่งตัวเองไม่คิดพึ่งคนอื่นเราจะลำบากไหม (ไม่ลำบาก)
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อเพลง “เรื่องของคนอยากรู้อยากเห็น”)
เพลงนี้เป็นเพลงเกี่ยวกับความรู้ รู้บางอย่างมากเกินไปมันก็ทุกข์ ฉะนั้นอย่าไปรู้เรื่องของคนอื่น รู้เรื่องความเป็นจริงให้ถึงที่สุดดีกว่า เพราะรู้เรื่องของคนอื่น ถึงที่สุดก็เปลี่ยนเขาให้ได้ดั่งใจเราไม่ได้ มองให้ถึงที่สุด เราจะไม่โกรธเกลียดใคร มองให้ถึงที่สุด เราจะไม่หลงรักใคร เพราะทุกคนล้วนเปลี่ยนแปลงได้ อาจารย์อยากแจกผลไม้เพราะจะได้เป็นของขวัญปีใหม่ ให้เป็นสิริมงคลกับชีวิต ให้แล้วรู้จักให้ต่อ ความสุขจะได้ไม่สิ้นสุดแค่ตัวเราคนเดียว ได้แล้วให้ต่อคือคนที่รู้จักนึกถึงคนอื่นมากกว่าตัวเราเอง คนนั้นเรียกว่าคนประเสริฐ แต่คนที่เอาแต่เห็นแก่ตัวเอง ไม่เคยนึกถึงใคร คนนั้นคือคนที่เห็นแก่ตัวที่สุด
(พระอาจารย์เมตตาประทานองุ่นบนโต๊ะพระแจกแก่นักเรียนทุกคน)
องุ่นนี้รวบรวมความสุข ความหมดทุกข์ของทุกๆ คน ด้วยรู้จักมีสติเท่าทันความคิด และมองอะไรขอให้มองอย่างความเป็นจริง ไม่ใช่ยึดติดเอาแต่ความคิดตนเอง อย่ามัวเสียเวลาไปแปรเปลี่ยนคนอื่น หรือจัดการกับคนที่ทำให้เราทุกข์ แต่จัดการที่ความคิดเราดีกว่า ถ้ายอมรับอะไรง่ายๆ ก็ไม่ทุกข์ จริงไหม 
ศิษย์เคยได้ยินไหม “ลักษณะทำให้คนต้องทุกข์ เมื่อไร้ลักษณะ เราก็ไม่ต้องทุกข์เพราะใจ” ถ้าใจแบ่งแยกตีกรอบ พูดอะไรนิดหน่อยก็ถูกกระทบ  มนุษย์ชอบยึดติดความคิดตัวเองใช่ไหม หนูเป็นคนแบบนี้ จะเอาอะไรกับหนูหนักหนา เปลี่ยนหนูไม่ได้หรอก ก็หนูมีนิสัยแบบนี้ นี่คือใจที่ยึดติดลักษณะ ก็จะมองไม่เห็นความเป็นจริง แต่ลักษณะที่แท้จริงของใจเราคืออะไร ศิษย์เอยพูดง่ายๆ ตัวเรามีสังขาร ในสังขารมีจิต  แต่เราไม่สามารถค้นพบจิตเดิมแท้ที่เรียกว่า สภาวะธรรมได้ เพราะมีลักษณะตัวตนบังไว้อยู่ ฉะนั้นถ้าทำอะไรสิ้นลักษณะตัวตน เมื่อนั้นจิตเดิมแท้จะฉายบังเกิด เมื่อทำอะไรไร้ลักษณะตัวตนที่ชอบแบ่งแยกยึดติด เมื่อนั้นสัจธรรมเดิมแท้จะเกิดขึ้นในจิตตน เราจะหลุดพ้นจากความหลงโลกใบนี้ได้อย่างแท้จริง แต่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นความจริงในโลกได้เพราะมนุษย์มีลักษณะตัวตนบดบังความจริง
ศิษย์เคยได้ยินเวลาเขารบกันไหม อยากทำให้ศัตรูเจ็บ ต้องจับจุดให้ได้ว่าเขาโกรธอะไร แล้วจี้เขาตรงที่โกรธ ให้สะใจ หรืออยากทำให้เขาเจ็บ ก็จี้ตรงที่เขารักอะไร แล้วทำสิ่งที่เขารักให้ตายทั้งเป็น ก็เท่ากับฆ่าเขาด้วย จริงไหม  แล้วใจของมนุษย์มีลักษณะที่เรียกว่าชอบและชัง “ฉันเป็นแบบนั้น ฉันเป็นแบบนี้” ก็ง่ายที่จะถูกกระทบ คิดเข้าข้างตัวเองฉะนั้นถ้ามนุษย์สามารถเข้าสู่ความเป็นเช่นนั้นเองแล้วไร้ลักษณะแห่งตัวตน มนุษย์จะค้นพบสัจธรรมที่เรียกว่าจิตเดิมแท้แห่งพุทธภาวะ
เวลาเราเห็นอะไรก็ตามเราอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเปรียบเทียบก็เกิดดีไม่ดี บุญบาป คิดดีก็เป็นบุญ คิดชั่วก็เป็นบาปใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าสิ้นความคิด หมดความคิด อยู่เหนือความคิด แต่เป็นความเข้าใจแจ่มแจ้งจนกระจ่างก็คือว่างเปล่าถูกไหม (ถูก)  หรือถ้าเมื่อไรศิษย์พบภาวะเดิมแท้ ที่เรียกว่าตัวตน สูญสลาย คงไว้ซึ่งธรรมเท่านั้นเอง เพราะถึงที่สุดเราต้องกลับคืนสู่ธรรม แต่การยึดมั่นตัวตน ทำให้เรามีเวรมีกรรม มีทุกข์มีสุข เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ตื่นรู้หรือยัง (ตื่นแล้ว)  แล้วศิษย์จะรู้เลยว่าสิ่งที่เขาทำร้ายเราไม่มีค่าพอเท่ากับธรรมะที่เราอยากจะกลับคืนเลย สิ่งที่เขาทำร้ายเราไม่มีค่าพอที่เราจะไปเกี่ยวกรรมด้วย แล้วทำให้เราต้องทุกข์อีกเลย แต่สิ่งที่มีค่ายิ่งในชีวิตของเราที่จะทำให้เราพบธรรม คือความเป็นเช่นนั้นเองหรือตถตา (ตะ-ถะ-ตา)  คือสัจธรรม คือจิตเดิมแท้และมันอยู่ในตัวเรา แต่เรามักจะดูถูกคุณค่าตัวเองว่าเราทำไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันอยู่ตรงนี้เอง เราจะคิดดีคิดชั่ว หรือไม่คิด เมื่อคิดชั่วก็ต้องไปทำบุญล้างบาป เมื่อคิดดีแล้วยึดติดดี ก็อยากกลับมารับบุญต่อใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครบ้างทำดีแล้วไม่ยึดติด ฉะนั้นถ้าสิ้นความคิดตัวตนมันหาย เหลือแต่ธรรมและธรรม แต่ถ้ายังต้องใช้ความพยายามแล้วบอกว่าหนูจะพยายามเป็นคนดี อภัย อดทน อย่างนั้นแปลว่ายังมีตัวตนอยู่แล้วพยายามจะเป็นธรรม ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาก็คือธรรมเราก็คือธรรม ฉะนั้นว่าเขาร้ายเราก็ร้าย ถ้าเห็นเขาเป็นธรรมแปลว่าเราก็มี (ธรรม)  เคยได้ยินคำว่าผีเห็นผีไหม (เคย)  ว่าเขาเป็นผีเราก็ (ผี)  ฉะนั้นถ้าทำให้ทุกสิ่งเป็นธรรมเราก็เป็นธรรม 
บำเพ็ญธรรมได้ ทุกที่ และเราสามารถทำบุญได้กับทุกคน จริงไหม (จริง)  เขาว่ามา เราขอบคุณ เราจะได้ล้างบาป เขาโหดร้ายมา เราขอบคุณ เพราะจะได้ให้ธรรมที่ประเสริฐที่สุด คนอื่นให้อามิสเป็นทาน แต่เราจะให้ธรรมเป็นทาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  และขอบคุณที่ทำให้เราได้กระชากความเป็นตัวตนออกไปเพื่อจะได้กลับคืนสู่สภาวะธรรม 
ศิษย์กลับบ้านไหม (กลับ)  กลับบ้านที่ไม่ใช่บ้านของสังขาร แต่เป็นบ้านที่เรียกว่าธรรมเดิมแท้ ธรรมเดิมแท้ที่ไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์ ไม่ใช่เรื่องเวทมนตร์ แต่เป็นเรื่องธรรมดาและความเป็นจริงที่นำพาให้เราพ้นทุกข์ ที่ทำให้เราเข้าใจความจริงอันธรรมดา แต่ธรรมดาแล้วทำให้เราสูงส่ง เพราะสิ่งที่สูงที่สุดคือสิ่งที่ธรรมดาที่สุด จริงไหม (จริงไหม) ฉะนั้นแก่ก็ (ธรรมดา)  เจ็บก็ (ธรรมดา)  ตายก็ (ธรรมดา)  แต่ที่ไม่ธรรมดาเพราะอยากยึดติด ทั้งที่จริงๆ แล้วห้ามสิ่งเหล่านี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ก็แค่สู้ สู้ไม่ได้ก็ยอมรับ ตายก็ตาย เราทำดีที่สุดแล้ว เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ปฏิบัติต่อผู้คน ไม่ผิดหลักสัจธรรม ตายเป็นตาย จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเงยหน้าอายฟ้า ก้มหน้าอายดิน มองคนก็ไม่กล้าสบตา อย่าเพิ่งตาย ไม่อย่างนั้นจะไม่คุ้ม เพราะจะต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดและชดใช้กรรม
ศิษย์ไม่ต้องเชื่ออาจารย์ เชื่อตัวเองว่าทำได้ก็พอ  ศิษย์ไม่ต้องศรัทธาอาจารย์ก็ได้ แต่ศรัทธาในความถูกต้องในใจก็พอ  ศิษย์ไม่ต้องเคารพอาจารย์ก็ได้ ขอแค่ทำอะไรสมควรแก่ตัวเองที่น่าเคารพ จริงไหม (จริง)  อาจารย์ไม่เกี่ยว ขึ้นอยู่กับตัวศิษย์เอง ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์มาหลอกไหม (ไม่)  อาจารย์เอาเงินไปสักบาทหรือยัง (ไม่เอา)  ถามว่าที่อาจารย์พูด อาจารย์ชวนให้ศิษย์งมงายไหม (ไม่)  อาจารย์ชวนให้ศิษย์เกิดปัญญา ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ทำดีที่สุดแล้ว  ฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องของปัญญา ปัญญาที่นำพาให้เราพ้นทุกข์และยอมรับความเป็นจริง
ถึงเวลาอาจารย์ต้องกลับแล้ว ขอให้เอาธรรมะที่อาจารย์พูดวันนี้ไปประพฤติปฏิบัตินะศิษย์ จำเอาไว้ศิษย์ ยิ่งเขาร้ายเรายิ่งได้ชดใช้กรรม ยิ่งพบเรื่องแย่เราจะได้สิ้นเวรสิ้นกรรม ฉะนั้นเขาแย่ก็แย่ไป เราก็จะ “เช่นนั้นเอง” เขาว่าเราก็ “เช่นนั้นเอง” ถูกล็อตเตอรี่เราก็(เช่นนั้นเอง)  ไม่ถูกล็อตเตอรี่ยังจะเล่นอีกหรือ ชีวิตไปเสี่ยงกับหวย ศิษย์เคยได้ยินหรือไม่ หากของเป็นของเราอย่างไรก็เป็นของเรา หากไม่ใช่ของเราอย่างไรก็ไม่ใช่ของเรา ใช่หรือไม่ ศิษย์ดูแลชีวิตให้ดี  ยิ่งเวลาเรามีไม่มากนัก รักษาโอกาสนี้ให้ดี เอาโอกาสนี้กลับคืนสู่ธรรมดีกว่านะ ฉะนั้นพบใครร้ายเราจะไม่จำ จะได้ไม่มีเวรไม่คิดจะสบายบนทุกข์คนอื่น และพยายามอย่ามีกิเลส ได้หรือไม่ (ได้)  ได้เงินมามาก พอถึงเวลาเอาไปด้วยได้หรือไม่ (ไม่ได้) แล้วจะเอาหรือไม่ (เอา) อาจารย์ไม่ได้ห้าม ไม่ได้บอกว่าไม่ให้เอา แต่ต้องไม่ผิดคุณธรรมและศีลธรรม เพราะทำแล้วบาป ขาดคุณธรรมในใจ 
ศิษย์ยอมให้คนอื่นบ้างได้หรือไม่  (ได้) ศิษย์เอย จิตที่รู้จักให้สบายกว่าจิตที่คิดจะเอา จิตที่คิดแต่จะให้นั้นจะโล่ง แต่จิตที่คิดจะมีมีแต่หนัก มีลูกก็หนักอก มีสามีก็หนักใจ มีเงินน้อยก็หนักใจ มีเงินมากก็กลุ้มใจ จริงหรือไม่ (จริง) ศิษย์ลองพิจารณาให้ดีว่าสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ก็เพื่อตัวศิษย์ทั้งนั้น ขอให้ทำอะไรอย่างมีสติไม่ขาดสาย รู้จักคิดพิจารณาในศีลและธรรม ยกตัวอย่างง่ายๆ การรักษาศีลข้อที่หนึ่งมีเมตตาเป็นหลัก มีเมตตาแล้วเราจะว่าคน เบียดเบียน นินทาคนหรือไม่ (ไม่)  ถ้ามีเมตตาจนกระทั่งเมตตาคือตัวเรา แล้วตัวเราก็ไม่มีตัวตนนั่นเรียกว่าเข้าถึงธรรม
มีโอกาสกลับมาศึกษากันอีกได้หรือไม่ ลองพิจารณาสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้เป็นธรรมที่ค้นหาได้ในจิตใจเรา ธรรมที่เรียกว่าความเป็นจริง มันอยู่ที่ใจของเราอยู่แล้วแต่เพราะความคิดทำให้เราห่างจากความเป็นจริง ห่างจากความเป็นกลาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงมีสติตื่นรู้อย่างไม่ขาดสาย พุทธะคือผู้รู้ หาผู้รู้เจอก็ดับอวิชชา ตัณหา อุปาทานได้
มีโอกาสคงได้มาร่วมบุญอีกนะ  (ทำดีอย่างไร) เริ่มต้นคือไม่ผิดศีล สิ่งใดที่เบียดเบียนคนอื่นไม่ทำ สิ่งใดอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของเรา พยายามอย่าทำ เวลาเราจะค้าขาย ดีที่สุดไม่คิดเพียงอยากได้เงินในกระเป๋าของเขามาเป็นของเรา อย่างนี้ไม่ถูก แต่เราอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดเพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินของเขา หากทำได้อย่างนี้ เราก็ค้าขายโดยไม่เอาเปรียบ ไม่มีจิตที่เกิดความโลภโกรธหลง  รักษาศีลให้ได้ ในศีลมีธรรมอยู่ ไม่ดื่มสุราเมรัยคือไม่สร้างบาปเพื่อก่อเกิดปัญญาที่แจ่มชัด
อย่ากลัวทุกข์ เอาชนะความทุกข์ด้วยสติปัญญาของตน อย่าดูเบาสติปัญญาของตนนะ ศิษย์ทำได้อาจารย์เชื่อ ศิษย์ทำได้ขอแค่ศรัทธาในความถูกต้องอย่างไม่ยอมแพ้ท้อถอย ระมัดระวังอารมณ์ อารมณ์มักจะทำให้เราทุกข์และเจ็บปวด ศิษย์เอย อาจารย์คงต้องไปแล้วนะ อยากจับมือทุกๆ คนจังเลย ถ้ามือของอาจารย์สามารถดึงแล้วทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ก็คงดี แต่ศิษย์ต้องรู้จักมีปัญญาเห็นแจ้งในความเป็นจริง อย่าหลงกับโลกใบนี้เลย ดูแลตัวเองกันให้ดีๆ มีโอกาสมาฟังให้ครบนะ 
(พระอาจารย์เมตตากับผู้ดูแลสถานธรรม)
คนลำปางเหนื่อยไหมฝากสถานธรรมนี้ไว้ให้กับศิษย์ทุกคน ช่วยกันดูแลให้ดีนะ เข้าใจแล้วใช่ไหม ที่เหลือก็คือก้าวต่อ ตั้งใจบำเพ็ญนะ ศิษย์มีใจ อาจารย์ไม่ทอดทิ้งหรอก ตั้งใจทำสิ่งที่ดีงามต่อไปนะ ศิษย์เอยมนุษย์ทุกคนมีความทุกข์ มีเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ แต่เราต้องเริ่มต้นที่ใจของเรา กล้าสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ หัวใจที่กล้าหาญจะช่วยทำให้โรคลดลงได้ และจิตที่สำนึกผิดต่อบาปกรรมที่เราเคยสร้าง ก็จะช่วยทำให้กรรมนั้นทุเลาได้ ที่ลำปางนี้ต้องรบกวนศิษย์ทุกคนแล้วใช่ไหม ดูแลเป็นส่วนหนึ่งนะ เข้มแข็งอย่ายอมแพ้ทำสิ่งที่ถูกต้องต่อไปด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น ฟันฝ่าความทุกข์ยากด้วยหัวใจที่เด็ดเดี่ยว ตั้งใจทำดีๆ บุญของเราจะนำพาให้เราพ้นทุกข์ ไม่กลัวทุกข์ไม่กลัวลำบากคือหัวใจของศิษย์ เข้มแข็งนะเด็กน้อย อาจารย์ให้พลังนะ ให้พลังแห่งคนใจสู้ ให้พลังคนที่เสียสละ ให้พลังคนที่ไม่กลัวเหนื่อย คนที่มีหัวใจที่ดีงาม
รักษาหัวใจอันนี้ไว้ หัวใจที่ถูกต้อง หัวใจที่ดีงาม หัวใจที่เสียสละ ทำในสิ่งที่ดีนะ เข้มแข็ง ทำได้ ไม่มีอะไรยาก ขอแค่เพียงศิษย์ตั้งใจทำจริง ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนน่ารัก รู้จักคิดรู้จักทำ เดินทางให้ถูก อย่าแค่กลัวลำบากศิษย์ก็ไปถึงได้ ไม่มีอะไรลำบากเพราะหัวใจของศิษย์นั้นยิ่งใหญ่ ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก เพราะหัวใจศิษย์นั้นสู้ไม่ถอย จริงไหม ตั้งใจบำเพ็ญนะ อย่าปล่อยให้ทางโลกมันชักพาไปเลย เมื่อเดินแล้วจงเดินให้สุด เมื่อมุ่งแล้วจงก้าวไปให้ถึงที่สุดนะ ขอบใจในความมุ่งมั่น ขอบคุณในหัวใจที่ไม่ท้อถอย ขอบคุณในหัวใจที่เสียสละความสุขตัวเองเพื่อผู้อื่น รักษาใจอันน่ารัก ใจอันดีงาม ใจอันกล้าหาญไว้นะศิษย์ ใครๆก็อยากได้กำลังใจจากอาจารย์ แต่ศิษย์ต้องรู้จักให้กำลังใจตัวเองในยามที่ทุกข์ ยามที่ท้อ ยามที่ต้องอยู่คนเดียว ยามที่ต้องรับมือ ขอเพียงให้กำลังใจตัวเองเป็นอย่างไรก็จะผ่านไปได้ จริงไหม ไม่ต้องรออาจารย์หรอก เชื่อมั่นในใจตัวเอง จี้กงน้อยๆ ที่อยู่ในใจศิษย์ทุกคน ใช่หรือไม่
ขอให้ครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการลาแล้วลาเลย ขอให้ครั้งนี้เป็นการลาเพื่อกลับมาพบกันอีก อาจารย์ฝากธรรมะนี้ในมือศิษย์ ฝากธรรมะนี้ให้ศิษย์นำพาด้วยหัวใจที่ถูกต้อง อย่าหลงทาง เข้มแข็งและนำพาให้ดี นำใจเราให้รอดก่อนการช่วยคนอื่นก็ไม่ยากจริงหรือไม่ อย่ากลัวความเจ็บป่วยแต่สิ่งที่กลัวคือจิตใจที่ไม่รู้จักปลดปลงมากกว่า อาจารย์ก็คงต้องไปแล้ว ที่นี่ฝากไว้กับศิษย์ด้วย รู้จักนำพาธรรมะให้ถูกต้องนำพาชีวิตให้ถูกทาง รู้จักนำพาชีวิตตัวเองด้วยสติ อย่าปล่อยให้ความเคยชินทำร้ายตัวเอง อย่าปล่อยให้ความหลงผิดทำร้ายชีวิต กลับคืนสู่ธรรมะ
มีโอกาสมาศึกษาให้ครบดีหรือไม่ อย่าดูเบาคุณค่าตัวเอง เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าหลงผิดหลงพลาดเพราะบางครั้งพลาดไปแล้วมันแก้ยาก รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดีแต่อดใจไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ลองตั้งใจศึกษาไม่ยากเกินทำความเข้าใจ 
ตั้งใจบำเพ็ญนะ นำชีวิตให้ถูกทางกลับคืนสู่สภาวะธรรมที่แท้จริง เรามาจากธรรมก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม มีโอกาสคงได้มาร่วมบุญกับศิษย์อีกนะ เชื่อมั่นในตัวเอง ศรัทธาในตัวเอง เลือกสิ่งที่ถูกต้องและดีงามเพื่อตนเอง


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เริ่มที่ใจให้ไวที่สุด”

​ความสำเร็จไม่ได้เกิดในวันเดียว​จงขับเคี่ยวเรื่องเก่าใหม่หลายหักเห
ชะตากรรมแสนยากยิ่งจะคะเน​ใจรวนเรไม่อาจทำเรื่องสำคัญ
ความสำเร็จไม่ทำด้วยคนคนเดียว​ความอ่อนน้อมเกาะเกี่ยวใจดั่งให้ผสาน
คือสำเร็จกันตั้งแต่เพียงกัน​แลสิ่งนั้นสมควรเกิดในใจทุกคน​
รู้ว่าดีเพลานี้เรื่องอะไร​เริ่มที่ใจไวที่สุดหยุดสับสน
รื้อกำแพงที่ใจสบายตน​บำเพ็ญแล้วทุกข์ทนใช่บำเพ็ญ



อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

2562-05-04 สถานธรรมถงซิน อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี


西元二○一九年歲次己亥三月三十日                                      仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๒      สถานธรรมถงซิน อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่
  หยั่งรากลึกความดีงามให้สุดใจ        เมื่อก่อบาปก่อกรรมใดชดใช้หนา
อย่าผิดศีลขาดธรรมนำชีวา              รู้ยับยั้งกิเลสตัณหาไม่พลั้งไป
                            เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                    ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ

   ในความหวังคาดไม่ถึงปะปนอยู่       ตรงไหนเจ็บต้องรู้ตัดตรงนั้น
พูดความจริงจริงไม่จริงนั้นสำคัญ        ฟังเนื้อความไม่ต่อกันต้องระวัง
ระทมทุกข์ยึดมั่นไม่รอดสักคน           บีบฝืนทนเกินยิ่งปนทำลายล้าง
โลกธรรมสรรพสิ่งล้วนแล้วคือว่าง       ธรรมสว่างเคลื่อนไหวอยู่ไม่รู้มี
โลกธรรมผันแปรแค่ไหนไม่รู้             แม้ศัตรูต้องไม่ตั้งอยู่ใจนี้
เกิดทันทีเตือนใจมีเสื่อมทันที            อยู่โลกเป็นไปสลายที่สติตน
เห็นเป็นธรรมดาเมื่อไม่พร้อมทุกอย่าง   ใดจีรังใดสิ่งเที่ยงใดคงทน
อะไรหรือที่ควรโกรธนิ่วหน้าย่น         ชีวิตคนควรหรือใช้ให้หมดเปลือง
ต่างคนเมื่อต่างทุกข์ก็ต่างโทษ           ไร้ประโยชน์โทษมั่วจะมีแต่เรื่อง
โทษกันไปไยหนาถึงเนืองเนือง          พิเคราะห์เรื่องที่สุดไม่มีเรื่องอะไร
                                         ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่

เกิดเป็นคนไม่ว่าจะเกิดมาในสภาพไหน สิ่งที่สำคัญคือต้องรู้คุณค่าเเละความหมายของการมีชีวิต ถ้าเราไม่รู้คุณค่าและความหมายของชีวิต หมั่นแต่จะแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง แต่สูญเสียซึ่งจิตใจอันดีงามนั้นก็น่าเสียดาย หลายคนมีทรัพย์สิน มีเงินทองมากมาย เสื้อผ้าสวยงามแต่งตัวดี แต่หาคุณค่าความดีงามในจิตใจไม่ได้เลย เช่นนี้ก็เปล่าประโยชน์ แต่เราก็อดไม่ได้ที่จะชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้ว เราก็กลายเป็นคนที่เกลียดตัวเอง กลายเป็นอิจฉาริษยาคนอื่น กลายเป็นคนที่หาความสงบสุขในชีวิตไม่ได้ เกิดเป็นคนถ้ารู้จักคุณค่าและความหมายในการดำเนินชีวิตว่าคืออะไร เราก็คงไม่ทำผิดคิดร้าย เราก็คงไม่มีจิตใจที่ชั่วร้าย
ชีวิตที่เต็มไปด้วยความถูกต้องดีงามแต่ไม่สามารถที่จะรักษาเงินทองได้ กับชีวิตที่มีเงินทองมากมายแต่ไม่อาจรักษาความดีงาม ตัวเราเองเป็นแบบใด เราเห็นความดีมีค่ากว่าเงินทอง เราเห็นความถูกต้องมีค่ากว่าความอยากในใจใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเกิดเราพึงพอใจและรู้คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ เราจะเปรียบเทียบกับใครไหม (ไม่เปรียบเทียบ)  คนที่ชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ชิงชังคนอื่นหรือเกลียดตัวเอง นั่นแปลว่าเป็นคนที่ไม่เคยเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ มนุษย์จึงมีสองแบบ คือ ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง กับเชื่อมั่นในตัวเองสูงลิ่ว เมื่อไม่เชื่อมั่นก็ชอบเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่นๆ แล้วก็อยากเป็นอย่างคนนั้นคนนี้ พอเทียบไม่ได้ก็กลายเป็นอิจฉา พอเทียบมากๆ ก็กลายเป็นรังเกียจตัวเอง รำคาญความเป็นตัวของตัวเองแล้วก็กลายเป็นคนที่ไม่สามารถมีชีวิตที่สงบสุขได้
อีกประเภทหนึ่งคือเชื่อมั่นในตัวเองมาก การเชื่อมั่นในตัวเองก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเชื่อมั่นจนถึงขนาดไม่ตรวจสอบตัวเองว่ากลายเป็นคนดื้อดึงดันทุรังจนน่ารำคาญ มันก็ไม่ดีจริงไหม (จริง)  กับอีกอย่างหนึ่งคือ ยึดมั่นในความคิดของตัวเองว่าตัวเองถูกต้อง จนกลายเป็นคนยอมหักไม่ยอมงอ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมศึกษาธรรมจึงมิใช่มีไว้เพื่อใช้กับผู้อื่น หรือเอาไปตรวจสอบว่ากล่าวคนอื่น แต่การเรียนรู้ธรรมศึกษาธรรม มีไว้ใช้เพื่อมองตัวเองอย่างเข้าใจ เมื่อเราไม่ทุกข์ อยู่ที่ไหนก็ไม่ทุกข์ เมื่อเราครองชีวิตเป็น อยู่ที่ไหนเราก็รอด จริงไหม (จริง)  แม้ในภาวะที่สูญเสีย แม้ในภาวะที่จะต้องบกพร่อง เราก็เข้มแข็งและรู้คุณค่าตัวเองได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเราจะไม่ยอมเสียเวลาทั้งชีวิต ถ้าไม่เห็นว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำมีค่ามากกว่าชีวิต จริงไหม (จริง)  ทุกวันที่เราเสียเวลาไป ทิ้งชีวิตไป เพราะเราเห็นเงินมีค่ามากกว่าชีวิต ทั้งที่ตายไปก็เอาไปไม่ได้ จริงไหม (จริง)
เกิดเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนไว้ ย่อมได้ความรู้และมิตรทั่วสิบทิศ แต่ถ้าดื้อดึงดันทุรัง เราจะกลายเป็นคนที่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นมั่นใจเกินไปก็ไม่ดี ขาดความมั่นใจเลยก็ไม่ได้ คุณค่าของชีวิตไม่ใช่อยู่ที่จุดหมายปลายทาง แต่อยู่ที่ทุกย่างก้าวสามารถอยู่กับผู้อื่นได้อย่างสอดคล้อง และเต็มไปด้วยความสุขและความสำเร็จในแต่ละก้าว จริงไหม (จริง)  อย่ารอความสุขที่บั้นปลาย แต่จงมีความสุขในทุกขณะที่เราเข้าใจชีวิตตน และอยู่กับผู้คนได้อย่างสันติ อย่างนั้นมีค่ากว่า ดีกว่าตัวเองรอดแต่ทำให้คนอื่นแย่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ตั้งใจมาฟังธรรมะก็ควรรับธรรมะไป ไม่ใช่ฟังธรรมแต่ได้กิเลสไป ธรรมคือสิ่งที่บริสุทธิ์ สะอาด ใส กิเลสคือสิ่งที่ทำให้มัวหมอง ขุ่นใจคับข้องใจ ถ้าฟังแล้วสะอาดใสสบายใจก็แปลว่าพบธรรม แต่ถ้าฟังแล้วขุ่นมัวหนักใจ แปลว่าพบกิเลส ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ทุกคนล้วนมีความกลัวเป็นที่ตั้งในการดำเนินชีวิต กลัวเจ็บ กลัวพลัดพราก กลัวสูญเสีย ไม่อยากเจอการสูญเสีย ปรียบเทียบคือมนุษย์กลัวเคราะห์กรรม กลัวโชคร้าย เคราะห์กรรมไม่น่ากลัว เเต่สิ่งที่ควรกลัวคือใจของตัวเองที่หาเคราะห์กรรมมาใส่ตัว สิ่งที่น่ากลัวคือปากของเราเอง โรคภัยเข้าสู่ปาก พิษภัยก็ออกจากปาก ฉะนั้นขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครองมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  เราควรขอใคร (ขอตัวเอง) เเล้วเคยขอตัวเองไหม (ไม่เคย)  ควรขอตัวเองให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อย่าตกเป็นทาสของเหล่ากิเลสตัณหาที่ทำให้กลายเป็นคนประพฤติผิด ก่อบาปกรรม ทำให้หนีไม่พ้นต้องมารับเคราะห์กรรมเเละโชคร้าย ถ้าเมื่อใดที่มนุษย์ยอมตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา ความอยากได้ใคร่มีจนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี จนไม่รู้จักความละอายเกรงกลัวต่อบาป มนุษย์คนนั้นเเม้จะไหว้พระบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไร้ประโยชน์
คนทำสิ่งใดก็ย่อมได้รับสิ่งนั้นอย่างหลีกหนีไม่พ้น เมื่อมนุษย์เข้าใจเช่นนี้แล้ว ศาสนาจึงบังเกิด มนุษย์จึงพึ่งศาสนา ในศาสนานั้นประกอบไปด้วยธรรม ธรรมสอนให้เราตื่นรู้ในความจริง ถูกไหม (ถูก)  ถ้าพึ่งศาสนาโดยไม่สนใจธรรม มนุษย์ก็จะไม่มีวันพ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นเมื่อใดที่มนุษย์ตื่นรู้ในความเป็นจริง นั่นเรียกว่าทางพ้นทุกข์ ทางแห่งการปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรมก็คือศึกษาความจริงอันเป็นธรรมดาของชีวิต รู้จักตัวเอง รู้จักแจ่มแจ้งในความเป็นจริงแห่งชีวิต คือรู้จักปฏิบัติธรรม รู้จักทางพ้นทุกข์
ฉะนั้นการเห็นแจ้งความเป็นจริงแห่งชีวิต การประจักษ์ถ่องแท้ในชีวิตอย่างเห็นได้ชัด นั่นเรียกว่า “ธรรม” ธรรมสอนให้เราอยู่กับความจริงที่เป็นอยู่ที่เป็นไป แล้วถ้าเราศึกษาปฏิบัติธรรมแล้ว เราจะทุกข์อีกไหม (ไม่ทุกข์)  แปลกจริงหนอความชั่วก็ไม่ค่อยได้ทำ บาปกรรมก็ไม่ได้สร้าง แต่ไยฟังธรรมตั้งเยอะ ไม่เคยพ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)  ฟังธรรมตั้งเยอะแต่ไยไม่เข้าถึงธรรม เพราะอะไรหรือ
ยกตัวอย่างง่ายๆ มนุษย์ทุกคนอยากเข้าถึงธรรมเพราะอยากมีความสงบในจิตใจ อยากบริสุทธิ์ อยากสะอาด อยากร่มเย็น อย่างนั้นถ้ามีบ้านอยู่ติดลำคลองติดแม่น้ำ เรือผ่านมา ฟิ้วๆ สงบไหม (ไม่)  อยู่ติดแม่น้ำเป็นไปได้ไหมไม่มีเสียงเรือ (ไม่ได้)  อยู่ติดทะเลเป็นไปได้ไหมไม่มีเสียงคลื่น (ไม่ได้)  อยู่ติดแม่น้ำเป็นไปได้ไหมไม่ได้ยินเสียงลม (ไม่ได้)  มีน้ำก็ต้องมี (เรือ)  มีเรือก็ต้องมี (น้ำ, เสียง)  วนกันอยู่เท่านี้นะ มีเรือ มีน้ำ มีเสียง ก็หนีไม่พ้นต้องมีคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราต้องการเข้าใจธรรมก็จงจำไว้อีกอย่างหนึ่งว่า ปรารถนาความสงบอย่าลืมความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา มีน้ำก็ต้องมีเรือ  มีเรือก็ต้องมีเสียง มีเสียงก็ต้องมีคน ถูกไหม (ถูก)  มีบ้านติดแม่น้ำลำคลอง จะหนีเรือหนีเสียงหนีคนได้ไหม (ไม่ได้)  อย่าปรารถนาความสงบจนกลายเป็นใจที่ผิดปกติ ยอมรับไม่ได้ อยู่ติดแม่น้ำ แต่ไม่อยากได้ยินเสียงเรือ ผิดปกติไหม (ผิด)  ปรารถนาความสงบจนลืมความเป็นจริง ปรารถนาความสงบจนกลายเป็นจิตผิดปกติ แล้วเราเป็นไหม (เป็น)
มีเราคนเดียว เรียกว่าโลกไหม (ไม่ใช่)  ต้องมีหลายๆ คน จึงเรียกว่าโลก เมื่อมีคนก็มีโลก อย่างนั้นมีคนมีโลกแล้วมันเงียบหรือดัง (ดัง)  แล้วสงบหรือวุ่นวาย (วุ่นวาย)  สงบได้ ถ้าเรายอมรับความวุ่นวายว่ามันเป็นธรรมดาจริงไหม (จริง)  มีโลกก็มีคน มีคนก็มีเสียง มีเสียงแล้วจะมีแต่เสียงสงบเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)
อะไรเรียกว่าปฏิบัติธรรม อะไรเรียกว่าศึกษาธรรมเพื่อทางดับทุกข์ นั่นก็คือการยินดีเผชิญกับทุกสภาวะในโลกโดยไม่เลือกแต่สิ่งที่ตัวเองถูกใจและไม่หวังให้ทุกสิ่งต้องเป็นดังใจ นี่เรียกว่าหนทางแห่งการปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ ยากไหม (ไม่ยาก)  อยู่ที่ไหนเราก็สุขได้ สงบได้ มีไหมที่อยู่ในโลกแล้วมีการตำหนิต่อว่าแล้วไม่มีชื่นชม (ไม่มี)  แล้วเป็นไปได้ไหมว่าคนในโลกจะมีแต่คนดีไปหมด (ไม่มี)  ตัวเราเป็นไปได้ไหมมีดีโดยไม่มีชั่ว (ไม่ได้)  แล้วเป็นไปได้ไหมที่เราจะดีแล้วไม่ร้าย (ไม่ได้)  ยอมรับตัวเองได้ไหม (ได้)  แล้วทำไมยอมรับคนอื่นไม่ได้ เมื่อใดที่ยอมรับตัวเองได้แล้วยอมรับผู้อื่นไม่ได้นั่นแปลว่าเห็นแก่ตัว เพราะเห็นแต่ตัวเองอย่างเดียว
ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมที่กล่าวมายากเกินไปไหม (ไม่ยาก)  แล้วเคยปฏิบัติไหม ยินดีเผชิญกับทุกสภาวะในโลกโดยไม่เลือกสิ่งที่ตัวเองถูกใจและไม่หวังให้โลกต้องเป็นดั่งใจ ถ้าทำได้เช่นนี้อยู่ที่ไหนก็ไม่ทุกข์ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติธรรมได้เพราะยอมรับความเป็นจริงด้วยหัวใจสะอาดบริสุทธิ์ เพราะเมื่อใดที่เราไม่ยอมรับ สิ่งที่ตามมาคือกิเลส อัตตา ทิฐิ ความกลุ้มกังวล
จิตใจที่สงบร่มเย็น จิตใจที่สว่างไสว สะอาดนั้นมีอยู่ในใจท่านไหม จิตใจดีๆ มีอยู่แต่เหมือนมีอะไรมาบัง มีทิฐิอัตตาที่ไม่ยอมรับ ถามใจตัวเอง เวลาทำอะไร เราที่เลือกฟังใจส่วนไหนของเรา ลึกๆ เรารู้ว่าผิดบาปไหม ทำแล้วสบายใจไหม หลอกตัวเองว่ามีความสุขไปวันๆ แต่ใจก็ย้ำเตือนว่าผิดว่าไม่ดี จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วทำไมจึงไม่รู้จักพลิกใจตัวเอง พระเทวทัตเปลี่ยนใจยังกลายเป็นอรหันต์ได้ เราต้องกล้ายอมรับ เมื่อผิดว่าไปตามผิด ถูกว่าไปตามถูก จึงจะเรียกว่าพุทธะบนแดนโลกได้ ไม่ใช่ว่าเกิดเป็นคนแล้วอยากจะเอาดีอย่างเดียวสุขอย่างเดียว ทุกข์ไม่ได้ ฉะนั้นต้องพิจารณาให้ดี
สิ่งที่ทำให้เราไม่สามารถพ้นทุกข์ได้คือการยึดติดในความคิด เเละการยึดติดในหัวใจที่ชอบแบ่งแยก มนุษย์กลัวความเจ็บป่วย จึงคิดว่าการเจ็บป่วยเป็นสิ่งไม่ดี เเต่ถ้าเข้าใจว่าการเจ็บป่วยมีดีตรงไหน เราจะกลัวความเจ็บป่วยไหม (ไม่กลัว) เมื่อเจ็บป่วยอีกจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  อย่างนั้นการเจ็บป่วยมีดีไหม (ไม่ดี) อย่างนั้นไม่เจ็บเเต่ตายเลยดีไหม (ไม่ดี)  ความตายดีไหม (ไม่ดี)  ตกลงแล้วการเจ็บป่วยเเละการตายดีไหม เมื่อมนุษย์ยังไม่เห็นถ่องเเท้ในความเป็นจริง มนุษย์จะหนีไม่พ้นความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งความเจ็บทำให้รู้ว่าเรากำลังทำร้ายชีวิตจนลืมความแข็งแรง ความเจ็บทำให้รู้ว่าข้างในร่างกายมีสิ่งผิดปกติที่เรากำลังทำร้ายตัวเองอย่างไม่รู้ตัว ฉะนั้นเมื่อมีใครว่าเเล้วรู้สึกเจ็บก็ยังดีกว่าไม่รู้สึกอะไร
เรารู้เพื่อทุกข์หรือรู้เพื่อพ้นทุกข์ (รู้เพื่อพ้นทุกข์)  เรารู้เจ็บเพื่อพ้นเจ็บ เรารู้ทุกข์เพื่อพ้นทุกข์ เวลาใครมาด่าเรา เราจะเจ็บเพื่อพ้นทุกข์ หรือเราจะเจ็บแล้วเจ็บอีก ถ้าเข้าใจความหมายของความเจ็บ เราจะไม่กลัวเจ็บ เพราะความเจ็บสอนให้เราเข้มแข็ง และความเจ็บสอนให้เรารู้คุณค่าของการมีชีวิตที่ถูกต้อง ไม่ใช่มัวแต่หาเงินจนทำร้ายตัวเอง
ความเจ็บทำให้เรารู้จักมิตรแท้มิตรเทียม ความเจ็บทำให้เรารู้ว่าใครรักเราจริง และความเจ็บทำให้เรารู้คุณค่าของการมีชีวิตที่ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่รู้จักช่วยผู้อื่นที่โชคร้ายและเคราะห์กรรมยังมีอยู่
มนุษย์ไม่สามารถปล่อยความยึดติดในสิ่งที่ตัวเองชอบ และหวังให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างที่ตัวเองต้องการจึงกลายเป็นเคราะห์ร้ายเพราะใจเรายังยึดติด แบ่งแย่ง ไม่ยอมรับความจริง แล้วตัดสินว่าความเจ็บนั้นแย่ ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่แย่
สิ่งที่น่ากลัวคือมนุษย์ตกเป็นทาสกิเลสตัณหาจนลืมทำสิ่งที่ถูกต้อง อีกอย่างหนึ่งที่น่ากลัวก็คือ ความยึดมั่นถือมั่น แบ่งแยก ชอบตัดสินว่าอะไรดีอะไรร้ายจนไม่เปิดใจกว้าง ทำให้มองไม่เห็นความจริง เราเกลียดคนที่ด่าเรา เราโกรธคนที่ยืมเงินเราไปแล้วไม่คืน เราแค้นคนที่รักเราแล้วทำร้ายเรา แล้วเราตัดสินเขาว่าเขาเลวใช่ไหม (ใช่) เช่นนี้เราจะพ้นเคราะห์กับคนเลวในโลกนี้ไหม (ไม่พ้น) อย่างนั้นเราควรจะทำอย่างไร
คนที่ไม่ดีมีดีไหม (มีดี)  คนที่ร้ายๆ ยังมีมุมน่ารักไหม (มี)  ฉะนั้นที่เขาว่าเรา นั่นดีไหม (ดี)  บางทีเขาทำให้เราเห็นตัวเองชัดขึ้น ว่าเราจะมีเมตตาถึงที่สุดขนาดไหน เราจะมีขันติได้เยอะเพียงใด แล้วเราจะรู้จักให้อภัยและมีธรรมได้หรือไม่ ที่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมแต่ไม่กล้าเรียนรู้ความจริง เอาแต่ยึดติดในสิ่งที่คิด และตีกรอบตายตัวกับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ แม้ไม่ใช่เคราะห์ ก็กลายเป็นเคราะห์เพราะความคิด แต่คนที่ฉลาด ธรรมสอนให้เรารู้จักใช้ปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่แค่ปกติแล้วสงบเป็น แต่ปกติสงบแล้วต้องรู้จักมีปัญญาเห็นแจ้งจริง และนำสิ่งนั้นมาทำให้ตนเองพ้นทุกข์ ไม่ใช่จมในทุกข์ ถึงจะเรียกว่าปฏิบัติธรรม เห็นธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นใครว่าเรา ต่อไปนี้จะเกลียดไหม (ไม่)  จะทุกข์อีกไหม (ไม่ทุกข์)  จะขอบคุณไหม (ขอบคุณ) ส่วนใครที่ชมเรา จะขอบคุณหรือว่าเขาดี (ขอบคุณ)  อย่าติดคำชม เพราะคำชมจะทำให้เราไม่ยืนอยู่บนความจริง ถ้ารักจะปฏิบัติธรรม ต้องเลือกที่จะอยู่กับความจริงมากกว่าสิ่งที่ตัวเองยึดติดชอบชัง
การศึกษาธรรมคือการเรียนรู้ตนเข้าใจผู้คน คนทุกคนเหมือนกัน ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร คนอื่นก็ไม่ต่างกัน ฉะนั้นถ้าเราไม่ชอบ เราก็ไม่ควรทำกับผู้อื่น แต่เราทำอย่างนั้นไหม (ทำ)  เราทำบุญ สวดมนต์ ไหว้พระก็แล้ว แต่ทำไมไม่สิ้นทุกข์ เพราะสิ่งที่เป็นความทุกข์นั้นคือ การยึดติดความคิด อยากให้ทุกสิ่งเป็นอย่างที่เราชอบและหวัง แต่ธรรมสอนให้เรารู้ว่า จงกล้าเรียนรู้ที่จะยอมรับความเป็นจริง เมื่อไรที่เรายอมรับความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาของโลก เราก็คือผู้ที่ปฏิบัติธรรมและมีทางพ้นทุกข์ ถูกไหม (ถูก) ทุกคนมีดีก็มีร้าย แต่จิตใจที่มั่นคงในความถูกต้องดีงามต่างหาก ที่จะนำพาให้เราพ้นจากเภทภัยในโลกนี้ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่มนุษย์ยืนหยัดบนความถูกต้องหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่น่ากลัว บุญก็ทำ บาปก็ทำ ฉะนั้นจะบอกว่าทำดีไม่ได้ดีไม่ได้ ตราบใดที่เรายังไม่ละบาป จะบำเพ็ญบุญ ก็ต้องละบาปกรรมให้ได้ บำเพ็ญธรรมถ้าไร้ซึ่งความซื่อตรงในจิตใจ ก็หาเรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญที่แท้จริงไม่ ปฏิบัติธรรมถ้าขาดคุณงามความดีในจิตใจ แม้มือจะทำบุญ แม้กายจะช่วยคน แต่ถ้าใจคิดร้าย ก็ไม่อาจเรียกว่าผู้บำเพ็ญธรรมได้ ฉะนั้นจงรักษากายใจให้ถูกต้องและดีงาม
ศึกษาธรรมคือศึกษาตัวเอง เข้าใจธรรมเพื่อเข้าใจความเป็นจริงแห่งตัวเอง เพราะมนุษย์มีธรรมชาติแห่งความเป็นคนอยู่ เข้าใจธรรมชาติในตัวตน ก็เข้าใจธรรมชาติในทุกสิ่ง ถ้าไม่เข้าใจธรรมชาติในคน ก็จะไม่มีวันเข้าใจความเป็นคนในโลกได้ จริงไหม (จริง)  ย้อนมองตัวเอง ผ่อนปรนผู้อื่น ตรวจสอบเข้มงวดตัวเอง ให้อภัยให้โอกาสผ่อนปรนผู้อื่น จึงเรียกว่าการปฏิบัติธรรม อย่าขาวเพียงภายนอก อย่าขาวเพียงอาภรณ์สวมใส่ แต่ไร้ซึ่งความขาวและซื่อตรงในจิตใจ ไม่เช่นนั้นบำเพ็ญไปแล้วก็น่าละอายใจ หาคุณค่าที่แท้จริงไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ดั่งที่เราพูดตั้งแต่ต้น ถ้าเรารู้คุณค่าของตัวเอง ไม่ว่าจะเจออะไร ไม่ว่าจะสูญเสียอะไร เราก็จะไม่ทุกข์ เพราะทำดีที่สุดแล้ว จริงไหม (จริง)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก

วันอาทิตย์ที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๒   สถานธรรมถงซิน อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
    ศิษย์รักต้องการจะเห็นตนเป็นอย่างไร จงขวนขวายตามเรี่ยวแรงตามสิ่งที่มี กล้ายอมรับตัวเอง สร้างใจได้สติ บำเพ็ญได้แบบนี้ดีทุกวัน
    คนละวิธีบางทีก็หัดเปิดใจ แบบรู้วิธีไม่มีธรรมก็ยากนาน อะไรไร้ซึ่งธรรมสุดท้ายล้วนทางตัน ช่วยกันฟังเสียงหัวใจ
                            เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า               รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่พุทธสถานถงซิน น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนน่ารักไหมหนอ

  ความจริงไม่มีไปมาติดพะวง                 โลภโกรธหลงสมมติยึดมั่นหวั่นไหว
คนหลงมายาปัญญาหมดไปจากใจ         รู้ว่าหลงอย่าไปเพิ่มกิเลสเดิม
ทุกทุกสิ่งที่เห็นที่เป็นเรา                          เหมือนไม่เป็นกับเราก่อนจะเริ่ม
สิ่งที่เป็นไม่อาจเห็นนิสัยเดิม             บำเพ็ญเพียรทุกอย่างเพิ่มจะเปลี่ยนแปลง
เข้าธรรมเข้าใจที่จริงคือปฏิบัติ                ข้อจำกัดแต่ไหนแค่เมฆบังแสง
ใดใดเปลี่ยนไปเสมออย่าคลางแคลง     จันทร์เว้าแหว่งพร้อมเป็นจันทร์เต็มดวง
                                                                                   
                                           ฮา ฮา หยุด

* ศึกษาวิธีเพื่อบำเพ็ญที่จิตใจ รู้ทุกๆ อย่างดี ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับตน เริ่มตรงนี้นั่นแหละ เริ่มตรงนั้นนั่นแหละ ไม่รู้ก็จะรู้ได้ด้วยใจ
* * กี่ร้อยวิธี การบำเพ็ญเข้าสู่ใจ มองหาอะไรในทุกอย่างไม่เห็นมี ชีวิตนั้นยิ่งใหญ่ เช่นความจริงยิ่งใหญ่ ไม่ทุกข์บ้างเป็นได้อย่างไร
# ที่ศิษย์คิดมีเป็นล้าน ยังไม่พบว่ามีสุขจริงในตอนนี้ ครองปัญญากี่นาที  ให้นึกดูให้ดี ที่มีอันตรธานไปไหน
ก้าวง่ายง่ายในที่นี้ จะสุขทุกข์ร้ายดี ก็มีหนึ่งความหมาย ฝึกบำเพ็ญเป็นสวรรค์ คืนวันสงบใจ พรุ่งนี้แม้ไม่ได้ทุกอย่าง ไม่ทุกข์ใจอะไร 
ศิษย์รักต้องการจะเห็นตนเป็นอย่างไร จงขวนขวายตามเรี่ยวแรง ตามสิ่งที่มี กล้ายอมรับตัวเอง สร้างใจได้สติ บำเพ็ญได้แบบนี้ดีทุกวัน 
คนละวิธี บางทีก็หัดเปิดใจ แบบรู้วิธีไม่มีธรรมก็ยากนาน อะไรไร้ซึ่งธรรม สุดท้ายล้วนทางตัน ช่วยกันฟังเสียงหัวใจ
  
ทำนองเพลง : ยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอ
ชื่อเพลง : จบที่การบำเพ็ญ

หมายเหตุ : เนื้อเพลงสี่ย่อหน้าแรกพระอาจารย์เมตตาประทานให้ที่ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน สองย่อหน้าสุดท้ายประทานให้ที่สถานธรรมถงซิน

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
บุญไม่ได้อยู่ที่อาจารย์นะ บุญบาปอยู่ที่คนคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ามีคนจะยื่นบุญให้ศิษย์ แต่ศิษย์คิดว่าเขาต้องการอะไรหรือเปล่า หวังอะไรหรือเปล่า อย่างนี้เรียกบุญไหม (ไม่)  บุญบาปไม่ได้อยู่ที่คนอื่นเขาให้ แต่ว่าบุญบาปอยู่ที่การวางใจของเราเมื่อเผชิญเรื่องราวอะไรในโลกต่างหาก ถูกหรือไม่ (ถูก)
หลายคนบอกอาจารย์ว่า ไม่มีเวลาบำเพ็ญ จะเอาเวลาที่ไหนไปบำเพ็ญ ใช่ไหม (ใช่) เวลาของคนเราสั้นหรือยาวอยู่ที่ (ใจเรา)  เวลาจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับใจ อย่างนั้นจะมีเวลาบำเพ็ญหรือไม่มีเวลาบำเพ็ญก็อยู่ที่ (ใจเรา)  ถ้าบอกอาจารย์ว่าไม่มีเวลาเเสดงว่าเราไม่มีใจ ถ้าคนมีใจเป็นอย่างไรก็มาบำเพ็ญ เวลาที่นั่งฟังธรรมอยู่ตอนนี้ช้าหรือเร็ว จะเร็วหรือช้าอยู่ที่ใจ ถ้ารู้สึกชอบก็จะรู้สึกว่าเวลาเดินเร็วจริงๆ ถ้ารู้สึกไม่ชอบก็จะรู้สึกว่าเวลาเดินช้า เเล้วตอนนี้ที่นั่งฟังธรรมอยู่ เวลาผ่านไปช้าหรือเร็ว (เร็ว)  จะมีเวลาหรือไม่มีเวลาต้องถามว่ามีใจหรือไม่มีใจ ถ้ามีใจอย่างไรก็มีเวลา เเต่ถ้าหมดใจอย่างไรก็ไม่มีเวลา
เราต้องเข้าใจสิ่งที่เราจะบำเพ็ญก่อน จึงจะบำเพ็ญได้ ถ้าไม่เข้าใจเราก็บำเพ็ญไม่ได้ แล้วเราบำเพ็ญเป็นแบบไหน ถ้าจะฝึกฝนบำเพ็ญสิ่งที่เราต้องเริ่มทำง่ายๆ ก็คือละบาป เมื่อใดที่เราละบาปนั่นก็คือเราก็ได้บำเพ็ญบุญ แต่มนุษย์โดยส่วนใหญ่บำเพ็ญบุญแต่ไม่ละ (บาป)  จึงกลายเป็นเหมือนคนที่วันนี้ใส่บาตรแต่วันพรุ่งนี้ไปด่าคน ตอนนี้อยู่วัดเป็นคนดีนั่งสมาธิหลับตาทำใจสงบได้ แต่พอออกนอกวัดเท่านั้นจิตกระเจิดกระเจิง อย่างนี้ถือว่าถูกไหม (ไม่ถูก)  ละบาปได้เมื่อไรก็บำเพ็ญบุญได้เมื่อนั้น แต่ถ้าบาปยังละไม่ได้ ทำบุญไปเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์ หรือมีประโยชน์ก็น้อยมาก
เวลาเราให้ทานหรือทำบุญให้พระ จุดประสงค์หลักของการทำบุญก็เพื่อสละการยึดติด เพื่อสละการเว้าวอนขอ การยึดติดตัวเอง แต่เวลาเราสละไปแล้วเราขอไหม (ขอ, ไม่ขอ)  ตกลงว่าเราสร้างบุญเพื่อสละหรือสร้างบุญเพื่อกรรมหย่อนไปสิบบาทแต่หวังปลาตัวโต ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้เหมือนค้าขาย ไม่เหมือนทำบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราให้ทานคนอื่น เราให้เพราะเราอยากให้เขาใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราขอทำไม เราว่าคนขอทานน่าเกลียด แต่เวลาเราให้ทานแล้วเราขอไหม (ขอ, ไม่ขอ)  แต่ที่อาจารย์ได้ยินมานั้นขอทุกคนเลยนะ จริงไหม (จริง)  ให้ไปร้อยบาทขอเป็นพันบาท ค้ากำไรเกินควรนะ ถูกไหม เริ่มต้นมันก็ผิดแล้วจริงไหม (จริง)  การทำบุญก็เพื่อละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ละกิเลสความโลภโกรธหลงให้ออกไปจากใจ แต่ถ้าทำบุญแล้วยังยึด ยังโลภ ยังหลง อย่างนี้ก็ไม่ใช่การทำบุญที่ถูกต้อง ไม่ใช่การทำบุญที่สะอาด เพราะบุญนั้นยังแอบแฝงไปด้วย (กิเลส)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอยากจะทำบุญ อยากจะเริ่มต้นบำเพ็ญ ต้องถามก่อนว่าละบาปหรือยัง ละบาปได้ก็บำเพ็ญบุญ อาจารย์บอกวิธีเริ่มต้นง่ายๆ ในการฝึกฝนบำเพ็ญธรรม อย่างแรกไม่ต้องพยายามเป็นคนดี แต่พยายามไม่ทำชั่ว ไม่ทำผิด ดีไหมคนหนึ่งไม่เคยอวดตัวเองเลยว่าดี แต่บอกว่ายังไม่ดี จะพยายามแก้ให้ดี น่ารักไหม (น่ารัก)  แต่บางคนบอกว่าฉันดีๆ น่ารักไหม (ไม่น่ารัก)  เราเป็นแบบไหน (แบบไม่ดีแต่พยายามแก้)
คนน่ารัก ทำตัวน่ารัก อยู่ที่ไหนใครก็รัก จริงไหม (จริง)  แล้วเราทำตัวน่ารักหรือน่าเกลียด ที่ทำทุกวันนี้อาจารย์ว่าน่าเกลียดมากกว่าน่ารักอีก รู้ว่าทำแบบนี้ไม่ดีก็ยังทำ ฉันจะทำเพราะโมโห แต่พอถึงเวลาเขาไม่รักเรา เรากลับวิ่งตามไปหาเขา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราไม่รู้ว่าเขาจะอยู่กับเรายาวนานหรือไม่ ทำไมไม่ทำให้ดีที่สุด รักที่สุด แล้ววันหนึ่งที่เราหรือเขาจากไป หรือเขาไปมีใคร อย่างน้อยเขาก็มีคนดีๆ ที่ยังอยู่ในใจ แม้เขาจะหมดรักเราไปแล้วก็ตาม จริงไหม (จริง)  และอย่างน้อยเราก็ทำเต็มที่แล้ว ใช่หรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาทำหน้ายิ้มให้นักเรียนในชั้นดู)
ถ้าทำหน้าแบบนี้จะมีใครรักไหม ก็ไม่รู้จักกันจะยิ้มให้ทำไม เดี๋ยวจะหาว่าเราบ้า แต่บ้าแล้วทำให้คนมีความสุขก็จงยิ้มไป
บางทีปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนเราก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้วสุขในโลกไม่ใช่เรื่องที่ยาก แต่มันอยู่ที่ว่าเราจะปล่อยวางอัตตาทิฐิตัวตนแล้วได้มาซึ่งความสุขและความยินดีของคนหรือเปล่า
จะพูดจะทำ ขอให้คิดให้ดี เพราะถ้าคิดได้ดี คิดได้ถูก การพูดของเราก็เป็นการสร้างบุญ แต่ถ้าพูดไม่ดี พูดไม่คิด การพูดของเราก็เป็นการก่อบาป และทำร้ายตัวเองให้ทุกข์ ฉะนั้นอย่าบอกว่าไม่มีเวลา เมื่อไรต้องพูด เมื่อไรต้องทำ เมื่อนั้นยังมีเวลาปฏิบัติธรรม อย่างไรที่เรียกว่า เราจะได้บำเพ็ญด้วย สมมุติว่าอาจารย์ไปขโมยผลไม้ลูกหนึ่งมาจากคนที่มีโชควาสนาดี แล้วเอามาให้ศิษย์ผู้โชควาสนาไม่ค่อยดี กินแล้วจะโชคดีนะ เอาไหม (ไม่เอา)  ร่วมกันรับทุกข์รับสุขพร้อมกัน อาจารย์กินครึ่งหนึ่ง ศิษย์กินอีกครึ่งหนึ่งเอาไหม (ไม่เอา)  ทำไมไม่เอา อาจารย์กินเยอะกว่าศิษย์แต่ศิษย์เอาไปแค่เสี้ยวเดียวก็พอ อาจารย์ผิดเยอะกว่า (ยังบาปอยู่)  แล้วบาปนี้ไม่เป็นไรนะเพราะไม่มีใครเห็น เรารู้กันอยู่สองคน (ฟ้าดินก็เห็น)
ศิษย์เอ๋ยแค่ศิษย์คิดได้อย่างนี้ ศีลศิษย์ก็มีครบ สมาธิศิษย์ก็มีครบ ปัญญาศิษย์ก็ได้ นี่ถึงเรียกว่าบำเพ็ญ ชั่วขณะที่จะทำหรือไม่ทำ ศิษย์คิดก่อนว่านั่นถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ผิดศีลหรือขาดศีล ถ้าผิดศีลหรือขาดศีลแล้วไม่ทำ แต่เขายังคะยั้นคะยอให้ทำอีก แต่ศิษย์ยังไม่ทำ เราได้รับมาเราก็ทุกข์ คนที่สูญเสียไปเขาก็ทุกข์ เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ไม่อยากทำเลย ถ้ามีโอกาสที่เราจะได้แต่เราคำนึงถึงศีลธรรม คำนึงถึงความถูกต้อง และหยัดยืนในความถูกต้องว่าไม่ทำ แล้วสามารถกระจ่างว่าเพราะอะไรไม่ทำ เพราะว่าไม่อยากบาป ไม่อยากมีกรรม ไม่อยากสร้างกรรมกับใคร นั่นถึงเรียกว่าศีล คือความปกติ สมาธิคือความมั่นคงในความดีงาม ปัญญาที่เห็นแจ้งชัดว่า ทำไปแล้วจะเป็นทุกข์ มีโทษ แค่นี้ เรียก บำเพ็ญแล้ว แค่นี้เรียกไม่สร้างกรรมเพิ่มแล้ว ถูกไหม (ถูก)  ถ้าอยากได้ก็จะกลายเป็นกิเลส กิเลสนำมาซึ่งความทุกข์ ทุกข์นำมาซึ่งกรรม กรรมนำมาซึ่งวิบาก วิบากกรรมที่เราหนีไม่พ้น เเละวิบากกรรมที่หนีไม่พ้นนี้ยังกลายเป็นวัฏฏะกรรมที่เราต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดกลับไปชดใช้ ถ้าเขากินสิ่งนั้นเเล้วเขาหายป่วย เเต่เรากลับขโมยของเขามา ทำให้เขาต้องตาย ก็กลายเป็นเราทำบาปไปทั้งชีวิตโดยไม่รู้ตัว เพราะความอยากของเราเอง ถ้าทำแบบนั้นไม่เรียกว่าการบำเพ็ญเเต่เป็นการสร้างกรรมต่อ เหมือนที่มนุษย์เกิดมาพร้อมกรรมดีกรรมชั่ว เรากำลังชดใช้กรรม เพื่อจะได้หมดเวรหมดกรรม ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับทุกขณะที่เรากระทำ
ถ้าความอยากอย่างหนึ่งได้มาอย่างไม่ถูกต้อง เเล้วเรายืนหยัดความถูกต้องด้วยการไม่เอา อีกทั้งมุ่งมั่นว่าจะไม่เอาอย่างมีเหตุผล เเละสามารถอธิบายให้คนที่ยัดเยียดให้เราเข้าใจชัดเจนจนเขาไม่ทำผิดได้ จะเป็นการสร้างบุญต่อถูกไหม (ถูก)  สมมติว่าฆ่าหมูเเล้วนำเนื้อไปให้ศิษย์ทำบุญจะเอาไหม (ไม่เอา)  ไม่เอาหรือ ในเมื่ออาจารย์อยากทำบุญ (ไม่เอา เป็นบาป) ช่วยเเปรบาปให้เป็นบุญหน่อยได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราทำไหม (ไม่ทำ)
เบียดเบียนชีวิตคนอื่นเพื่อชีวิตตัวเองแล้วไปทำบุญ โกหกคนอื่นแล้วค้าขายจะได้ร่ำรวยแล้วจะได้เอาไปทำบุญ ปิดบังคนอื่น ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตแล้วก็จะได้เอาไปทำบุญ ให้หนูรวยก่อนนะอาจารย์แล้วหนูจะไปทำบุญ โดยไม่สนใจวิธีการว่าถูกต้องมีศีลมีธรรมหรือเปล่า อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นทุกขณะที่ศิษย์จะคิดจะทำจะพูด หรือจะอยากอะไรก็ตาม ถ้าทุกขณะคิดดูก่อนว่าถูกศีลธรรมไหม ถ้าหากไม่ถูกต้อง ยังหยัดยืนมั่นคง ก็แปลว่าเรามีศีลแล้วยังมีสมาธิ และยังเห็นแจ้งว่าการได้มานั้นไม่ถูกต้องและมีผลอย่างไร ก็ก่อเกิดปัญญา เราเริ่มต้นปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยาก อย่างน้อยเราก็ละบาปก่อนเพื่อบำเพ็ญ (บุญ)  บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้ (บริสุทธิ์) แล้วเมื่อมีบุญแล้วยังกอปรไปด้วยศีลธรรม ศีลธรรมนำมาซึ่งความสงบและความปกติในการอยู่ร่วมกับผู้คน คนส่วนใหญ่ชอบคนเมตตาหรือชอบคนใจร้าย (เมตตา)  ชอบคนเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวหรือรู้จักเสียสละอุทิศ มีน้ำใจ (เสียสละ)
ถ้าอาจารย์บอกว่าใจร้ายก่อนแล้วอาจารย์ค่อยเมตตาได้ไหม ตบหัวแล้วค่อยลูบหลังดีไหมดุไปก่อนเดี๋ยวพอสำนึกได้ค่อยดีกับเขาทีหลัง ได้ไหม คนบางคนนั้นที่ดีก็ส่วนดี แต่ส่วนไม่ดีเขาก็ด่าเราไม่เหลือเหมือนกัน จริงไหม เจ้านายคนนี้เป็นอย่างไร เวลาเขาด่าก็ด่าไม่เหลือพ่อเหลือแม่เลย แต่เวลาเขาดีก็ดีใจหายเลย แล้วอย่างนี้เรียกว่าดีไหมศิษย์
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากจะบำเพ็ญ ศิษย์ต้องละบาปให้ได้ แล้วคนที่เขางามจริงๆ คนที่เขาเย็นจริงๆ ไม่ต้องตอบอะไร ไม่ต้องให้อะไร แต่ว่าพยายามแค่เป็นคนดี ไม่เอาเปรียบเขา ไม่กดขี่เขา มีเมตตาเขา ให้เกียรติเคารพเขา มันดีที่สุดแล้วใช่ไหม (ใช่)  หากศิษย์อยากให้ใครรักเราจนไม่คดโกงนั้น ศิษย์ก็ต้องให้ใจเขาไปเต็มๆ รักเขาเต็มๆ มีหรือเขาจะไม่รักตอบ นอกจากว่าศิษย์ไปสร้างกรรมมาก่อน เคยหลอกลวงใครถึงต้องได้เจอคนแบบนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าไม่อยากมีกรรมเราก็สร้างกรรมที่ถูกต้อง ดีไหม (ดี)
บุญคือ เครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ เเต่การดำเนินชีวิตเรา ต้องอยู่ร่วมกับคน ฉะนั้นศีลธรรมคือการปฏิบัติเพื่อความสงบสุขในการอยู่ร่วมกับผู้คน ฉะนั้นจะมีแต่บุญแต่ไม่มีศีลธรรมไม่ได้ เพราะบุญนั้นรักษาเราให้สะอาด แต่เวลาเราอยู่กับผู้คน แม้ใจเราสะอาดแต่ปากเราด่าคนเก่ง ได้ไหม (ไม่ได้)  มนุษย์ทุกคนยังต้องการความเมตตา ความเคารพ ความซื่อตรง ความให้เกียรติ เมื่ออยากละบาปบำเพ็ญบุญ มีบุญแล้วอย่าขาดศีลธรรม เพราะศีลธรรมนำมาซึ่งความปกติสุขในการอยู่ร่วมกัน พอเข้าใจนะ (เข้าใจ) การบำเพ็ญยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นทุกครั้งที่เราจะทำอะไร อ้าปากพูด หรืออยากอะไร ก็ลองถามใจตัวเองก่อน ทำด้วยเมตตาไหม ทำถูกต้องศีลธรรมหรือไม่ แต่ส่วนใหญ่ทุกคนมักถือศีลไม่ครบ อย่างนั้นเรามาดูคุณค่าของศีลหน่อยไหมว่าถ้าถือครบ แล้วถือได้แต่ละข้อมีดีอะไร
ศีลข้อหนึ่ง ไม่ฆ่าสัตว์ หรือไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่นเพื่อชีวิตเรา คนที่ไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่นทั้งกายวาจาใจ จะเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงทั้งกายใจ และมีอายุมั่นขวัญยืน ไม่เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ฉะนั้น ถ้าอยากมีสุขภาพที่ดี อายุยืนไม่มีโรคภัย อย่าเบียดเบียนทำร้ายชีวิตคนอื่นเพื่อชีวิตตัวเอง ถ้าเราเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ก็ต้องถามว่าเราเคยไปเบียดเบียดใครไหม
ศีลข้อสอง ไม่ลักทรัพย์ โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนไม่คิดอยากจะได้ของคนอื่นมาเป็นของเรา ใช่ไหม (ใช่)  ทำงานก็เพราะอยากได้เงินเขามาเป็นเงินเราไม่ใช่หรือ (ใช่)  อย่างนั้นก็คืออยากนั่นเอง เราอยากได้เงินแต่เราทำด้วยหน้าที่ซื่อตรง เงินนั้นเราก็สมควรได้รับ จริงไหม (จริง)  แต่ทุกวันเราทำงานไปอย่างนั้น ลาพักร้อนเยอะๆ พ่อแม่ป่วยเยอะๆ แล้วเราก็จะได้เงินมาก แต่ทำงานน้อยๆ ใช่ไหม (ใช่)  การอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของเรา ทำให้เราได้อะไรมาก็จะรักษาไม่ค่อยอยู่ หรืออยากได้อะไรก็จะมีคนอยากได้ของเราเสมอ แต่ถ้าทุกครั้งที่เราอยาก เราทำสิ่งที่ดีที่สุด ได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร จะกลายเป็นกิเลสไหม จะกลายเป็นความโลภ โกรธ หลงไหม (ไม่)
เมื่อเราไม่คิดอยากได้เงินของคนอื่นมาเป็นเงินของเรา เราก็เป็นคนที่แม้มีทรัพย์ ทรัพย์นั้นก็อยู่กับเรา เราจะไม่ถูกคนคิดคดโกง ไม่มีวันที่สูญเสียทรัพย์โดยเราไม่คาดคิด รักษาศีลได้สองข้อเเล้วดีไหม (ดี)  แล้วอีกสามข้อที่เหลือถ้ารักษาได้จะดีไหม (ดี)  ที่ไม่ดีเพราะว่าอะไร (ไม่รักษาศีล)  ที่บอกว่าชีวิตเจอเรื่องไม่ดี เจอเเต่เรื่องทุกข์ก็ต้องกลับมาถามตัวเองว่าตัวเรามีศีลครบไหม
ศีลข้อสามคือ (ไม่ประพฤติผิดในกาม)  อยากได้คนรักที่รักเราจริงไหม (อยากได้)  อยากได้คนซื่อตรงไหม (อยากได้)  อยากได้เพื่อนที่ซื่อตรงจริงใจกับเราไหม (อยากได้)  เเล้วเราซื่อตรงไหม (ไม่)  มีกิ๊กไหม แอบดูสิ่งที่ไม่ควรดูไหม แอบปันใจไหม ฉะนั้นอย่าโหยหาว่ารักเเท้อยู่ที่ใดโดยที่ตัวเองยังไม่เคยมีรักเเท้ในใจตัวเอง ถึงเเม้ตอนนี้มีคนรักเเม้จะไม่เเท้แต่ต่อไปฉันก็จะเป็นรักเเท้ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ไม่เคยเห็นใครรักเเท้จริงๆ ฉันรักสามีเเต่เมื่อเห็นคนอื่นก็คิดว่าเขาหล่อ ถ้าเราไม่ประพฤติผิดเเละมีความซื่อตรง เมื่อทำอะไรเราก็จะได้คนที่ซื่อสัตย์จริงใจ ชีวิตที่เราทุกข์เพราะเราเจอคนไม่ซื่อสัตย์ ดังนั้นย้อนกลับมาถามตัวเองว่าเราซื่อสัตย์จริงใจกับคนอื่นไหม ชีวิตเราทุกข์เจ็บป่วยก็ต้องกลับมาถามตัวเองว่าเราไปเบียดเบียนใครหรือทำร้ายใครให้เจ็บปวดไหม เวลาเราทำอะไรจึงเกิดความสูญเสียสูญหายก็ต้องกลับมาถามตัวเองว่า เราอยากได้ของของคนอื่นจนลืมรักษาความถูกต้องหรือไม่
ศีลข้อสี่ ไม่พูดโกหก อาจารย์ว่าทำง่ายที่สุด แต่ศิษย์ของอาจารย์ก็ทำไม่ได้มากที่สุด พูดอย่างทำ (อย่าง) ปากว่า (ตาขยิบ) ปากหวาน (ก้นเปรี้ยว) แล้วศิษย์รู้ไหมคำว่าศักดิ์สิทธิ์ คืออะไร พูดได้ ทำได้ ทำได้อย่างที่พูดเรียกว่า ศักดิ์สิทธิ์ พูดคำไหนเป็นคำนั้น มีแต่คนเชื่อถือ กล้าพูดก็ต้องกล้ารับผิดชอบ น่ารักไหม (น่ารัก)  อยากเป็นคนที่ศักดิ์สิทธิ์ อยากไปอยู่ที่ไหนคนก็มีแต่คนเชื่อถือ เคยไหม ที่เราไปพูดแล้วทำให้วงแตก พอเราเข้ากลุ่มแค่นั้นวงแตก ไม่มีใครอยากฟังเรา เพราะอะไร เพราะว่าพูดแล้วไม่น่าเชื่อถือ ใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเกิดว่าเรายังไม่ทันได้อ้าปากคนก็มานั่งรอแล้ว วันนี้อยากพูดอะไรให้ฟัง วันนี้อยากอยู่ด้วยเพราะอยู่ด้วยแล้วอบอุ่น ร่มเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ศีลข้อห้า ไม่ดื่มสุรายาเมา ไหนใครไม่ดื่ม เหล้าไม่กิน เบียร์ไม่ดื่ม ไวน์ไม่จิบ ไม่กินเหล้าแต่กินเบียร์ ไม่กินเบียร์แต่กินไวน์ บางคนไม่ว่าทำอะไรทำไมปัญญาเขาคิดได้เสมอ แต่เวลาเราทำอะไรก็ดูมืดมนมองไม่เห็นทาง อยากมีปัญญาดีต้องห่างจากสุรา อบายมุขทั้งมวล นี่คือข้อดีของการมีศีล คนที่มีศีลครบคือความปกติ คือความร่มเย็น คือความสงบสุขของชีวิต คนๆ หนึ่งถ้าปฏิบัติได้ครบชีวิตจะทุกข์ไหม จะทุกข์น้อยลงถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าปฏิบัติไม่ครบชีวิตทุกข์ไหม (ทุกข์)  วุ่นวายไหม (วุ่นวาย)  ปัญหาเยอะไหม (เยอะ)  แล้วเรามีศีลครบไหม (ไม่ครบ)  เมื่อรู้อย่างนี้จะพยายามมีศีลครบไหม (พยายาม)  ไม่ต้องพยายามแต่ลงมือทำเลย
ยกตัวอย่างเรื่องการพูดความจริง มีชายคนหนึ่งบ้านยากจนมาก ขณะที่ภรรยากำลังป่วยจึงเอาวัวไปขาย แต่วัวตัวนั้นไม่สบาย มีเฉพาะคนที่เลี้ยงวัวด้วยกันจึงจะดูออก แต่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีวัวแค่ตัวเดียวที่ขายได้เพื่อจะมาต่อชีวิตภรรยา เขาจึงเอาไปขาย เวลามีคนจะมาซื้อเพราะเห็นว่าราคาถูก ก็มีคนบอกว่าอย่าไปซื้อ มันเป็นวัวป่วย พอใครจะมาซื้อก็ไปกระซิบว่าอย่าไปซื้อ วัวมันป่วย ทั้งวันชายคนนี้ก็ขายไม่ได้ ตลอดสิบวันคิดว่าจะขายได้ไหม (ไม่ได้)  จนกระทั่งเขาเจอคนปรารถนาดีที่ไปบอกคนอื่นว่าอย่าซื้อวัวป่วย จึงถามว่าทำไมพูดอย่างนั้นเล่า เขาจึงตอบว่า ก็เป็นเรื่องจริงวัวป่วยจะเอามาขายได้อย่างไร คนเราเมื่อความทุกข์จุกอกไม่อยากต่อล้อต่อเถียงจึงไปผูกคอตายเพราะขายวัวไม่ได้ ฉะนั้นบางอย่างแม้เราจะพูดจริง บางอย่างแม้เราจะพูดถูก แต่ศิษย์ต้องไตร่ตรองให้ดีเพราะเมื่อกรรมตกผล กรรมครบวงจรแล้ว ศิษย์จะต้องชดใช้กรรมอย่างที่ศิษย์คิดไม่ถึงเพียงเพราะการพูดความจริง เขาไม่โกรธก็ต้องโกรธ กลายเป็นว่าเมื่อคนปรารถนาดีนี้ตายไปก็ต้องเกิดมาเป็นลูกเพื่อดูแลพ่อแม่สองคนที่เจ็บป่วย ถึงแม้จะทำดีแค่ไหน แต่ก็ต้องดูแลพ่อแม่ที่เจ็บป่วยและนอนติดเตียง
โบราณเขาจึงกล่าวไว้ ชีวิตเหมือนเดินบนน้ำแข็งบาง กล่าวพลาดนิดหนึ่ง พูดผิดนิดหนึ่ง ทำผิดนิดหนึ่ง ศิษย์บอกไม่เป็นไรหรอกอาจารย์ แต่อาจารย์จะบอกว่าชดใช้ชาติเดียวไม่จบ และบางครั้งผิดครั้งเดียว ศิษย์ทำบุญไปร้อยครั้งก็ยังชดใช้ให้เขาไม่ได้ ฉะนั้นเกิดเป็นคน ละบาปไม่ได้ สร้างบุญแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ เพราะทุกข์ที่เจ็บที่สุด ไม่ใช่ทุกข์ครั้งเดียว แต่ทุกข์ที่เจ็บที่สุดคือการต้องกลับมารับทุกข์ไม่จบสิ้น จนกว่าคนที่ศิษย์ผูกกรรมด้วย เขาจะสาแก่ใจ จริงไหม (จริง)  เอาง่ายๆ แค่เราไปด่าเขาครั้งหนึ่ง ศิษย์ขอโทษเขาครั้งเดียว ศิษย์ไปสวดมนต์กรวดน้ำนั่งสมาธิขออภัย หายไหม (ไม่หาย)  แล้วเราทำไหม จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นก่อนจะทำอะไรนึกถึงศีลเข้าไว้ นึกถึงธรรมเข้าไว้ เพราะศีลข้อแรกนั้นสอนให้เราเมตตา เมตตาให้ถึงที่สุด เมตตาจนเรียกว่า “โพธิสัตว์” นั่นคือที่สุดของคำว่าเมตตา คือแม้จะถูกเฉือนเลือดเฉือนเนื้อเฉือนหนังก็ไม่โกรธ แม้จะถูกเผาทั้งเป็นโดยที่ตัวเองไม่ผิดก็ไม่โกรธ ยังเมตตาได้ นั่นเรียกเมตตาจนถึงที่สุด คำว่า “เมตตาดั่งโพธิสัตว์” ยากไหม (ยาก, ไม่ยาก)  ไม่ยาก ถ้าเรายอมทิ้งความยึดมั่น  ถือมั่นแล้วได้มหาเมตตา ถ้าเรายอมทิ้งทิฐิอัตตาความยึดมั่นถือมั่น และได้คุณธรรมสูงสุด ทำไมไม่ยอมแลก แต่มนุษย์ติดในอารมณ์กิเลส จนมองไม่เห็นค่าแห่งความดีงามในการประพฤติบำเพ็ญธรรม ดูถูกดูเบาคุณค่าตัวเอง
ผู้ที่ปฏิบัติศีลข้อหนึ่ง ไม่ฆ่าสัตว์ก็คือมีเมตตาธรรม ใช่ไหม และถ้าเขาทำศีลข้ออื่นได้ มีมโนธรรม มีสัตยธรรม มีปัญญาธรรม มีจริยธรรม เราอยู่กับคนนี้สันติไหม (สันติ)  ถ้าศิษย์มีทั้งศีลทั้งธรรมครบ ไม่สร้างบาป ศิษย์จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เกิดแก่เจ็บตายมาถึงจะทุกข์ไหม ถ้าทำดีที่สุดแล้ว จะตายก็ไม่เสียดายชาติเกิด จะเจ็บก็ไม่เป็นไร แต่ตราบใดที่ศิษย์ยังไม่เข้าใจความเป็นจริงของโลกศิษย์ก็ยังไม่พ้นทุกข์ จริงไหม โลกมีความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา มีฝ่ายหญิงก็มีฝ่ายชาย มีคำชมก็มีคำด่า มีสุขก็มีทุกข์ มีดีก็มีไม่ดี มีสมหวังก็มีผิดหวัง ฉะนั้นผู้ที่เข้าใจความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา ขึ้นชื่อว่า “ผู้ปฏิบัติธรรมเดินไปสู่ความพ้นทุกข์” เมื่อใดสามารถรับความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาของโลกด้วยใจที่เป็นกลาง เมื่อนั้นจะค้นพบธรรม
เห็นทุกข์แล้วไม่ทุกข์ พบทุกข์แล้วเห็นธรรม เห็นเป็นธรรมชาติของความทุกข์ เอาสิ่งที่เป็นทุกข์มาทำให้บังเกิดธรรม มั่นคงในความเมตตาเข้าไว้ แล้วมองให้ออก ถ้ามีคนด่าเราเป็นชั่วโมง (ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว)  แต่บางคนเวลาเขาโกรธมากๆ เขาด่าเราแล้วเรายืนนิ่ง เขากลับยิ่งโมโห ฉะนั้น เราต้องขอโทษจากใจจริง แปรเป็นปัญญาและนำพาให้เขาพ้นทุกข์ และถ้าเขาคือคนที่รักเราแล้วเขาโมโห เนื่องจากเราไม่ได้ดั่งใจเขา จงกอดเขาและบอกขอโทษ เราจะช่วยกันแปรทุกข์ให้เป็นสุขและนำความร่มเย็นมาสู่ครอบครัวในโลกนี้มีทุกข์มากมาย ทุกข์เเห่งความจริงที่เราหนีไม่พ้น คือ เกิดเเก่เจ็บตาย ทุกข์จากการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทุกข์จากการต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก เเละทนกับโลกใบนี้ที่มีทั้งทุกข์สุขดีร้ายใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเคยมองหาไหมว่าเราทุกข์เพราะอะไร (เคย)  อย่างนั้นตอบให้อาจารย์ได้ชื่นใจว่าทุกข์เพราะอะไร
(ทุกข์เพราะคาดหวังให้ผู้อื่นเป็นในแบบที่เราคิด, ทุกข์เพราะความคิดตัวเอง)  เราหวังให้ทุกคนเป็นดั่งใจเราได้ไหม (ไม่ได้)  เราควรหวังต่อไหม (ควรน้อยลง)  ควรมองตามความเป็นจริงเเละทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดนั่นคือหนทางที่ถูกต้อง (ทุกข์เพราะความยากจน)  ถ้าศิษย์ลดความอยากให้น้อยลงเงินจะมีเพิ่ม เเต่ถ้าเงินมีเท่านี้เเต่ความอยากมากกว่าอย่างไรก็จน ถ้าเป็นคนเอาเเต่งอมืองือเท้าไม่ขยันทำมาหากินก็จนอยู่ดี ถ้าขยันทำงานไม่งอมืองอเท้า มีเท่าไหร่รู้จักอดออม ไม่ใช่มีเท่าไหร่ก็อยากมากกว่าที่มีก็จนวันยังค่ำ ฉะนั้นอย่ากลัวความจน เเต่ให้กลัวจนใจมากกว่า (เพราะมีลูกเยอะ)  การมีลูกทุกข์ไหม (ทุกข์)  หาสุขไม่เจอเลยหรือ (เจอแต่น้อย)  ก็เพราะมัวแต่คาดหวัง (เพราะฟ้าลิขิต)  ไม่ใช่ฟ้าลิขิต เรากำหนดตัวเองทั้งนั้น ให้คิดดีกลับไม่คิด ให้คิดสบายใจกลับไม่คิด ชอบคิดอยากจะทุกข์ จริงไหม
ถ้ามนุษย์เข้าใจความเป็นจริงว่าเราหนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย และยอมรับความแก่ เจ็บ ตาย ได้อย่างเข้าใจ สิ่งนี้ก็จะช่วยให้เราไม่ทุกข์มาก ฉะนั้นแม้จะเจ็บ เราก็จะรู้จักเข้มแข็ง และรักษาตัวเองให้รอด แม้จะตาย เราก็รู้ว่าเราได้ทำดีที่สุดแล้ว ตายไปก็ไม่เป็นไร การตายคือเปลี่ยนภพภูมิจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ไปยังที่บุญกรรมเราได้สร้างไว้การตายได้กลับคืนสู่ธรรม ขึ้นอยู่กับสภาวธรรมในจิตใจ ฉะนั้นความแก่ ความเจ็บ ความตาย จึงเป็นธรรมดาของโลกที่ไม่ทำให้ศิษย์ทุกข์ แต่สิ่งที่ทำให้ศิษย์ทุกข์มากก็คือความคิด จริงไหม (จริง)  รู้ว่าคิดแล้วเป็นทุกข์ คิดไหม (คิด)  ถ้ายิ่งคิดแล้วมันทุกข์ ก็สู้หยุดแล้วมันจะได้ไม่ทุกข์ ถ้าคิดแล้วมันทำให้ทุกข์ เปลี่ยนความคิด ก็เปลี่ยนชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตัวอย่างง่ายๆ มือข้างหนึ่งมีกี่นิ้ว (ห้านิ้ว)  แต่เราทุกข์เพราะอยากให้นิ้วโป้งเป็นนิ้วก้อย อยากให้นิ้วก้อยเป็นนิ้วโป้ง ได้ไหม (ไม่ได้)  ได้ ก็แค่ผ่าตัด เอานิ้วโป้งมาไว้นิ้วก้อย เอานิ้วก้อยมาไว้นิ้วโป้ง ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะคิดให้เจ็บตัวทำไม ใช่ไหม (ใช่)  เปรียบกับศิษย์ก็เหมือนกัน ลูกบางคนเป็นนิ้วโป้ง บางคนเป็นนิ้วก้อย แต่ศิษย์อยากให้ก้อยเป็นโป้ง ให้โป้งเป็นก้อย ความทุกข์อย่างแรกคือ ไม่ยอมรับความจริงอันเป็นธรรมชาติของคน คนบางคนได้แค่นี้ จะให้นิ้วโป้งเป็นนิ้วชี้ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วให้นิ้วชี้เป็นนิ้วโป้งได้ไหม (ไม่ได้)
ถึงแม้ชีวิตคนจะไม่เท่ากัน แตกต่างกัน แต่มีคุณค่าที่ไม่เหมือนกัน ถ้าเรารู้ว่าทุกสิ่งมีคุณค่า เราจะดันทุรังหวังว่ามันต้องเป็นโป้งอย่าเป็นก้อย ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม หวังว่าเดินผ่านไปแล้วทุกคนต้องยิ้มกับเรา เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์ ความคิดของศิษย์ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา แล้วความคิดเราจะไม่นำพาซึ่งความทุกข์ เหมือนกับว่าอยากให้เขารักเรา เขารักเราไหม(ไม่รัก)  ถ้าวันนี้เขารักเราแล้วแต่เราอยากให้รักเราเพิ่มขึ้นอีก เป็นไปได้ไหม (เป็นไปไม่ได้)  หรือดีแล้วต้องดีเท่ากันทุกวัน เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วหวังไหม (หวัง)  แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าคิดแล้วทุกข์ก็ไม่ต้องคิด เรียกว่าปล่อยวาง ถ้ารู้ว่าคิดแล้วทุกข์ คิดแล้วฝืนความเป็นจริงธรรมชาติก็ปล่อยวางและยอมรับความจริง
มนุษย์เรามีทุกข์เยอะ ทุกข์อย่างแรกที่น่ากลัวคือไม่ยอมรับความจริง อย่างที่สองคือเอาใจตัวเอง เอาชีวิตตัวเองไปฝากไว้กับคนอื่น ฉันจะสุขก็ต่อเมื่อเขายิ้ม ฉันจะทุกข์ก็ต่อเมื่อเขาด่า เราทุกข์เพราะเราชอบเอาใจไปฝากไว้กับคนอื่น เราจะยิ้มก็ต่อเมื่อคนที่เรารักเขายิ้ม เราทุกข์เมื่อเขาด่าเรา ชีวิตศิษย์ ศิษย์คุมไม่ได้ ศิษย์ฝากชีวิต ศิษย์ฝากอารมณ์ไว้เป็นทาสของคนอื่นศิษย์ดูถูกตัวเองถึงขนาดตัวเองมีสุขมีทุกข์ไม่ได้ ศิษย์จะทุกข์จะสุขได้ต้องขึ้นอยู่กับคนอื่น ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไรที่ศิษย์มองเห็นคนอื่นยิ้มแล้วศิษย์ยิ้ม เมื่อไรศิษย์ทุกข์เพราะคนอื่นด่า นั่นแสดงว่าศิษย์กำลังดูถูกคุณค่าหัวใจตัวเอง และยอมตกเป็นทาสอารมณ์ตามคนอื่นกำหนด ถ้าคนอื่นเอามีดมาวาง เอาความทุกข์มาให้ แต่ศิษย์บอกว่าเราต่างหากที่เป็นคนเอามีดมาทำร้ายตัวเอง แต่ชีวิตเป็นของเราไหม (เป็น)  เราเลือกได้ว่าควรเก็บมีด หรือปล่อยมีดไว้ตรงนั้น (ปล่อย)  คำว่าปล่อยวาง คือ ไม่ใส่ใจแม้จะคิด ไม่สนใจแม้จะยึดติด ชีวิตเป็นของเรา เราเลือกได้ จะสุขจะทุกข์ แม้เขาจะเอามีดมาวางเราก็จะปล่อยวาง เราก็จะเห็นเหมือนไม่เห็น เเต่คนส่วนใหญ่เห็นเเล้วจับไหม (จับ)  จับเเล้วเฉือนไหม (เฉือน)  เฉือนแล้วไปเฉือนผู้อื่นต่อไหม (เฉือน)  ฉะนั้นทุกข์จากที่รู้ว่าคิดเเล้วเป็นทุกข์ มองเเล้วก็เป็นทุกข์ ยึดเเล้วก็เป็นทุกข์ทั้งที่ควรปล่อยวางเเต่เรากลับไม่ปล่อย เเล้วต้นเหตุหลักที่เราทุกข์เพราะอะไร
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติธรรมเขียนบนกระดาน คำว่า 1.หนูไม่ผิด 2.หนูดี 3.ทำไมหนูต้องยอม)
เราทุกข์ส่วนใหญ่เพราะเราไม่ค่อยยอมรับผิด เมื่อมีคนบอกว่าเราผิดเรายอมไหม (ไม่ยอม)  เราเป็นคนถูกใช่ไหม (ใช่)  ในโลกเเห่งความเป็นจริงเถียงกันถึงที่สุด ตัวเองถูกวันนี้ต่อไปตัวเองผิดไหม ฉะนั้นมองกันด้วยเหตุด้วยผล อยากให้ตนเองถูก อยากให้คนอื่นผิด แต่พอระยะเวลาผ่านไป เราก็อาจจะเป็นผู้ผิด แล้วเขาถูกก็ได้ แล้วจะยึดทำไมว่าฉันถูก เธอผิด เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ทะเลาะกันเพราะว่า (ไม่ยอม)  แล้วเราผิดได้ไหม (ได้)  เราทุกข์เพราะความคิด คิดที่ยึดติดว่าแพ้ไม่เป็น ยอมไม่ได้ ฉันต้องดี ฉันต้องเลิศ แต่ถึงที่สุดแล้วว่ากันไปตามเหตุผล แล้วเหตุผลที่คิดว่าเขาผิด เราเอาความคิดของเราเป็นบรรทัดฐานหรือเอาความเป็นจริงเป็นบรรทัดฐาน (ความคิด)  แล้วความคิดเรามักจะเข้าข้างตัวเองหรือเข้าข้างเขา (เข้าข้างตัวเอง)  แล้วความคิดเรามักจะบอกว่าเราถูก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราคิดว่าเราผิดไม่ได้ เราเองที่หาเหตุผลทำยังไงเราก็ทุกข์ ยอมไม่ได้ ทำไมเราต้องเสียเปรียบ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์เอ๋ย ในโลกความเป็นจริงใบนี้ มีใครได้อะไรโดยไม่ต้องเสีย (ไม่มี)ต้องมีฝ่ายหนึ่งได้ฝ่ายหนึ่งเสีย ใช่ไหม เขาไม่มีเหตุผล จะเอาชนะอย่างเดียว เราจะยอมไหม (ยอม)  เขาว่าเราเลว แต่จริงๆ เราดี เราจะยอมไหม (ยอม) อาจารย์จะบอกว่า คิดแบบคนมีธรรม ถ้าการยอมของเราจะได้ละทิฐิ ได้ละอัตตา ได้ละความยึดมั่นถือมั่น ได้ปล่อยวางตัวตน และได้คุณธรรมให้กับคน เราเป็นฝ่ายยอมก็ได้ ยอมไม่มีกิเลส ไม่โกรธ ไม่เกลียด แต่เราได้ซึ่งคุณธรรม เมตตาเข้าไว้ ให้อภัยเข้าไว้ รักเขาเข้าไว้ การยอมละทิฐิอัตตาแต่ได้มาซึ่งธรรม ได้มาซึ่งการหมดเวรหมดกรรม แม้จะโดนว่าไม่ดี ดีไหม (ดี)  เราต้องเริ่มต้นจากละบาปได้ ถ้าศิษย์ละบาปได้ แล้วมีความเป็นคนถูกต้อง หยัดยืนในความเป็นคนถูกต้องแล้ว แต่คนในโลกจะรักเราทุกคนเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องมีเกลียดกันบ้างเพราะมีกรรมกันมา ใช่ไหม ฉะนั้นมีคนเกลียดเราแต่เรายังยืนหยัดไม่เกลียดตอบ ไม่ผูกกรรมต่อ ขอจบกันชาตินี้ ไม่โกรธต่อ ไม่ผูกเวรต่อ ฉันจะมีธรรม
ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่าผิดไม่ได้ เพราะถึงที่สุดยืดหยัดในความถูกผิด มันก็หาใครถูกผิดที่แท้จริงไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงทุกคนจะมีเหตุผลอย่างไร แต่เหตุผลก็หาใช่ที่สุดของความจริง วันนี้เราถูก เดินไปอีกสักปีสองปี หรือเดินไปอีกก้าวสองก้าว เราอาจจะผิด วันนี้เราคิดว่าเราดี แต่เดินไปอีกก้าวสองก้าวคนอาจจะบอกว่าเราไม่ดี เพราะความคิดแต่ละคนไม่เหมือนกัน และทุกคนมักเข้าข้างว่าตัวเองดีที่สุด คนอื่นด้อยกว่าฉะนั้นถ้าเราด้อยหน่อยแล้วเขาดีหน่อยยอมไหม (ยอม)
วิถีการปฏิบัติธรรมไม่ใช่อยู่แค่การแสดงออกภายนอกแต่ต้องลงแรงที่ใจด้วย “ไม่มีอะไรร้ายในวันที่จิตใจเราดี” เวลาเรารู้สึกดีมากๆ ใครมาพูดอย่างไร ใครมาทำร้ายอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว ฉะนั้นไม่ว่าใครจะร้ายอย่างไร สำคัญที่ตัวเราถูกต้องเที่ยงธรรมหรือยัง ถ้าถูกต้องเที่ยงธรรมใครก็ทำร้ายหัวใจเราไม่ได้ จำไว้นะศิษย์ ไม่มีอะไรร้ายเท่ากับจิตใจเราเอง ถ้าจิตใจเราดีอะไรก็ดี เมื่อไรที่เราร้ายก็แปลว่าใจเรา (ไม่ดี)  โลกมีความเป็นปกติธรรมดา คนมีดีมีร้ายเป็นธรรมดา ถ้าเรารู้สึกเกลียดใครนั่นเป็นเพราะว่าโลกผิดปกติหรือใจเราผิดปกติ (ใจเรา)  อย่างนั้นก่อนจะว่าเขาหันมาดูใจเราก่อนดีไหม โลกก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว มีทั้งดีมีทั้งร้ายปะปนกันไป แต่วันไหนที่เราคิด   ถือสาขึ้นมา ใจเราผิดปกติขึ้นมา เราจึงมองว่านี่ก็แย่นี่ก็ไม่ได้เรื่อง จริงไหม (จริง)  บำเพ็ญธรรมคือหันมองตัวเองเพราะตัวเราเองนั่นแหละเป็นที่สุดของปัญหา หรือเป็นที่จบของปัญหาได้
เวลาที่เรารู้หรือเห็นอะไรชัดเจน ใครจะมาไม้ไหนศิษย์ก็รับมือได้ สถานการณ์จะพลิกอย่างไร ศิษย์ก็พลิกใจทันได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ดีก็ร้าย ไม่สุขก็ทุกข์ ไม่ได้ก็เสีย มีอยู่เท่านี้ ฉะนั้นถ้าจะพลิกไปอีกเราก็สามารถรู้ได้ การศึกษาธรรมคือเห็นความเป็นจริงชัดเจนจนกระทั่งไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้อีกต่อไป
(พระอาจารย์เมตตาให้ตัวแทนนักเรียนออกมาหน้าชั้น)
ทุกวันต้องเสียเวลากับความสวยนานไหมศิษย์ อาจารย์ถามในความเป็นจริง คนที่น่ารักมีความสุขแต่ก็ให้ความทุกข์เราได้ใช่ไหม (ใช่)  คนที่น่ารักมีความดีแต่ก็มีความร้ายในตัวใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าคนที่น่ารักขนาดไหนก็มีทั้งดีและร้าย เมื่อใดที่เขาชี้หน้าด่าจะโกรธไหม ทุกอย่างมีดีขนาดไหน สวยขนาดไหน เราจงอย่าลืมว่าในอีกด้านหนึ่งพร้อมจะไม่สวย พร้อมจะไม่ดีได้ เพื่อเตรียมใจยอมรับความจริง วันใดเราสำเร็จ วันใดเราได้ เราจึงพร้อมเสมอว่ามันต้องมีวันที่เราไม่ได้ มันต้องมีวันที่เราไม่มี ชีวิตทุกข์อยู่แล้วอย่าทำร้ายตัวเอง อย่าหาเรื่องให้ตัวเองทุกข์เพิ่ม แม้ตัวเองจะหน้าตาแบบไหนก็ไม่เป็นไร แม้ตัวเองจะดำก็ไม่เป็นไร เวลาเรามองอะไรเราอยากเห็นแค่แบบนี้ ทำไมไม่เหมือนเมื่อก่อน อย่างนี้เรียกว่าเราไม่มองความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแปรผันจริงไหม (จริง)  เเละทุกคนเป็นไหม (เป็น)  เเล้วเรายอมรับความจริงไหม (ยอม)  ภรรยาเราทำไมไม่สวยเหมือนภรรยาของเพื่อนบ้าน ชีวิตจริงทำไมไม่เป็นแบบนี้ อยากให้เป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิตได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ว่ารูป นาม สิ่งที่จับต้องได้หรือไม่ได้ก็ไม่มีอะไรคงทน ถ้ามนุษย์เราเข้าใจความเป็นจริงว่าทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนเเปรผัน เเล้วเราจะทุกข์อะไรในเมื่อทุกอย่างดี เเต่ที่ไม่ดีเพราะเราไม่ยอมรับ ถ้าจะบำเพ็ญธรรมสิ่งที่ต้องจำไว้คือทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อไม่เที่ยงควรหรือที่เราจะยึด เมื่อเป็นทุกข์ควรหรือที่เราจะยึดติดให้ทุกข์ใจ เราเกิดมาเพื่อยืนระหว่างความเป็นทุกข์เเละความเป็นสุขด้วยหัวใจที่เป็นธรรม ถ้ามองเเล้วทุกข์เราก็ต้องยอมรับความจริงว่าเป็นเรื่องธรรมดา มนุษย์เกิดมาระหว่างฟ้ากับดิน จิตที่เป็นกลางคือจิตที่เข้าถึงธรรม จิตที่เอาเเต่ยึดติดทุกข์จนมองไม่เห็นความสุขนั่นคือจิตที่หลงตกเป็นทาสของอัตตา ไม่ว่าชีวิตจะเป็นแบบไหนเราก็มีความสุข
(พระอาจารย์เมตตาหยิบซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อนักเรียนฝ่ายชายท่านหนึ่ง)
หักดิบเลยดีไหม (พยายามลดอยู่)  ไม่ต้องพยายามแล้ว ศิษย์เอย ชีวิตนี้ไม่มีใครกำหนด เราเป็นผู้กำหนด ถึงแม้อาจารย์เก็บมา แต่ศิษย์ยังไปซื้อต่อก็ไม่มีประโยชน์ ก่อนจะติดอะไรคิดให้ดีๆ รู้ว่าติดแล้วมันทุกข์ แล้วก็ยังเลิกไม่ได้ น่าสงสารนะ
เมื่อไรที่ศิษย์เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต ศิษย์จะรู้ว่าโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ความไม่สมบูรณ์แบบนั้นมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลง ธรรมสอนให้รู้ว่า โลกแห่งความเป็นจริงทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง เมื่อเปลี่ยนแปลงแล้วอะไรดีที่สุด วันนี้เราคิดว่าคนนี้ดีที่สุด แต่เวลาผ่านไปคนนี้อาจจะไม่ใช่ดีที่สุด วันนี้เราคิดว่าคนนี้แย่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนนี้อาจจะไม่แย่ก็ได้ เมื่อเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต เราจะรู้ว่าไม่ควรรักใคร ไม่ควรเกลียดใคร และก็ไม่อยากโลภอะไร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เราโลภ หนีไม่พ้นความทุกข์ เราจึงมีชีวิตอยู่แค่ทำหน้าที่ตัวเองให้สมบูรณ์ที่สุด ชดใช้กรรม และไม่สร้างกรรมต่อ นำพาชีวิตและจิตใจให้เข้าถึงซึ่งคำว่า “ธรรม” ถ้ายังยึดติดตัวตน ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เรียกว่า “กรรมดีกรรมชั่ว” แต่ถ้าทุกอย่างเราทำเพื่อธรรม ธรรมก็คือเรา ตัวตนหายไป นั่นแหละพ้นทุกข์
ในกายเรานี้ มีสิ่งที่เรียกว่ากายหยาบ กายละเอียด หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กายจิต กายใจจิต ใจคือความเป็นตัวตนที่เชื่อมระหว่างกายกับจิต แต่จิตเดิมแท้เป็นความว่าง แต่มนุษย์ไปไม่ถึงความว่าง เพราะติดอยู่กับคำว่า อัตตาตัวตน เต็มไปด้วยความคิดที่ยึดติดกรรมดี กรรมชั่ว ฉะนั้นทุกขณะที่อาจารย์ให้ศิษย์ทำ ไม่ใช่ให้ทำเพื่อกรรมเพื่อสนองกิเลส แต่ให้ทำเพื่อธรรม ก็ไม่มีอะไรที่ต้องก่อกรรม เข้าใจไหม (เข้าใจ)
รัก โลภ โกรธ หลง เป็นหนทางมาแห่งบาป กรรมชั่ว ทุกข์ วิบากกรรม และหนีไม่พ้นอบายภูมิ หรือวัฏสงสาร ถ้าทำเพื่อกิเลสก็จะหนีไม่พ้นกรรมชั่ว ทุกข์ อบายภูมิ วัฏสงสาร แต่ถ้าทุกขณะทำเพื่อธรรม เพื่อศีลธรรม เพื่อความถูกต้อง เพื่อหมดกรรม เพื่อสิ้นกรรม เราก็ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ฉะนั้นศึกษาธรรมเพื่อให้ตัวเองพ้นทุกข์ ไม่ใช่เพื่ออาจารย์ ศิษย์บำเพ็ญเพื่อตัวเอง ให้ตัวเราหลอมละลายกับสัจธรรมเพื่อจะได้ไม่ต้องมาทุกข์อีกต่อไป ถ้าศิษย์ประจักษ์เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ ศิษย์จะพ้นทุกข์ได้
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “หมุนเวียนเปลี่ยนผัน” )
จำไว้นะศิษย์เมื่อไรที่ทุกข์จงจำไว้ว่าทุกสิ่งล้วนหมุนเวียนเปลี่ยนผันไม่มีวันทุกข์นาน เขาก็ไม่มีวันด่าเรานาน เขาก็ไม่มีวันทำเราเจ็บนาน ไม่เขาตายก็เราตาย ฉะนั้นถ้าคิดว่าทุกสิ่งล้วนหมุนเวียนเปลี่ยนผัน โลภ โกรธ หลง ก็จะทำอะไรใจศิษย์ไม่ได้ ลองเอาธรรมไปพิจารณาจนบังเกิดธรรม อย่าเอาแต่คิดจนเกิดความน้อยใจ เกิดกิเลส เกิดอัตตาตัวตน คิดแล้วบังเกิดธรรมดีกว่า
สิ่งที่อาจารย์พูดล้วนเป็นธรรมที่นำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ ฉะนั้นไม่เคารพอาจารย์ไม่เป็นไร เอาธรรมไปลองศึกษาปฏิบัติดู บำเพ็ญได้ทุกๆ ที่ วางความคิดที่ไม่ถูกต้อง สิ่งใดที่ควรทำก็ยังต้องทำ อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์กลับไปแล้วไม่รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองแล้วมาบำเพ็ญอย่างเดียว แต่สามารถรับผิดชอบหน้าที่แล้วดำรงซึ่งคุณธรรมความดีงามไม่เสื่อมสลาย นั่นประเสริฐกว่านะศิษย์
ถ้าไม่อยากเจ็บอย่าคาดหวัง ถ้าไม่อยากทุกข์อย่ายึดติด เพราะสิ่งที่ศิษย์คาดหวังและยึดติดนั้นล้วนผันแปรตลอดเวลา มันเกิดและดับอยู่ตลอด คนที่ปรารถนาความสงบเขาจะรีบจบและวางความคิดทันที ถ้าไม่เที่ยงควรหรือที่เราจะโกรธ เมื่อทุกคนต่างมีทุกข์ควรหรือที่จะโทษกันไปโทษกันมา เขาก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ เราก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ แล้วต่อว่ากันไปมาให้เจ็บทำไม แล้วจะโกรธเกลียดกันไปทำไมในเมื่อไม่มีใครถูกผิดแท้จริง อย่างที่อาจารย์บอก ยอมผิดบ้างยอมแย่บ้างเป็นอะไรไหม การยอมของเราเพื่อลดทิฐิแต่ได้คุณธรรมเพิ่มขึ้น ยอมไหม (ยอม)  ไม่โทษกันไปมา ไม่ต้องมาคิดว่าใครถูกใครผิด หรือใครดีกว่าใคร เมื่อยังหลงยึดในมายา ก็ไม่สามารถใช้ได้ปัญญาได้อย่างแจ่มชัด
อย่าหลงกับสิ่งที่เห็น เราบอกว่าเรารู้เเละเข้าใจ เเต่จริงๆ เเล้วสิ่งที่เราเข้าใจเปลี่ยนได้ไหม (ได้)  บางครั้งสิ่งที่เรารู้ อาจไม่ได้เป็นแบบที่เข้าใจ ที่เห็นเเม้จะจริงเเค่ไหน เเต่ก็พร้อมเปลี่ยนแปลงเสมอ เมื่อไม่ปักใจเชื่ออะไร เเล้วอะไรที่ควรรัก อะไรที่ควรโกรธ อะไรที่ควรหลง เพราะไม่มีอะไรเที่ยงเเท้ ความเข้าใจเเจ่มเเจ้งทำให้เราปลดปลงปล่อยวางความโลภโกรธหลงได้ในทันที รู้จนชัดเห็นจนเเจ่มเเจ้ง
เมื่อช่วยตัวเองพ้นทุกข์เเล้วอยากช่วยคนอื่นพ้นทุกข์ไหม (อยาก)  ศิษย์จะเอาเวลาว่างนี้ไปอุทิศช่วยเหลือคนต่อหรือไม่ เป็นสะพานเเห่งธรรม สะพานที่นำให้ผู้อื่นได้พบธรรม เป็นสะพานบุญที่ทำให้ผู้อื่นได้เห็นธรรม เป็นสะพานที่ยอมให้ผู้อื่นเหยียบย่ำจนเข้าใจธรรม เป็นสะพานที่ส่งต่อให้ผู้อื่นได้ถึงฝั่งธรรม เเม้ว่าเขาจะเลื่อยสะพานเราทิ้งก็ตาม
จิตที่ยิ่งใหญ่ จิตที่ดีงาม จิตที่ทำสิ่งที่ถูกต้องเป็นจิตที่ประเสริฐที่สุด จิตที่รู้จักการให้เพื่อธรรม ให้เพื่อความถูกต้องดีงาม เเต่ไม่ใช่ให้เพื่อให้คนอื่นชม ทำให้ได้เเล้วศิษย์จะเข้าใจว่าทำไมเราต้องบำเพ็ญธรรม ทำไมเราต้องช่วยคน เพราะพลังแห่งจิตเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ อย่าคิดว่ามันจะหมดง่ายๆ มันไม่หมด เหนื่อยก็พักแล้วสู้ใหม่ แม้ไม่มีพลังใจจากไหน แต่มีพลังใจจากตัวเอง รู้ว่าเราทำเพื่ออะไร ช่วยคนเพื่ออะไร จริงไหม (จริง) 
อาจารย์อยากเห็นศิษย์ปฏิบัติธรรมแล้วไม่ทุกข์ เมื่อไรที่ทุกข์ จำคำอาจารย์ไว้ ทุกสิ่งมีวันเปลี่ยน ขอเพียงใจเราสู้ไม่ถอย หยัดยืนในสิ่งที่ถูกต้องดีงามอย่างไม่ท้อแท้ ความดีและความเข้าใจนั้นจะพลิกโอกาสร้ายเป็นดีได้ด้วยหัวใจที่ศรัทธาในความถูกต้องดีงาม ไม่ล้าไม่ท้อ มีแต่ความเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ มุ่งมั่นเดินต่อไปนะ ตั้งใจบำเพ็ญ ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อตัวเองนะศิษย์ ก้าวต่อไปด้วยหัวใจที่มั่นคง รู้จักรักษาตัวเอง อย่าให้อารมณ์ทำร้ายชีวิตและจิตใจตัวเอง หนทางแม้จะไกล แต่ก็ขอพากเพียรต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ กายทิ้งไว้ที่โลกใบนี้ แต่จิตที่สะอาด จิตที่บริสุทธิ์จึงจะกลับสู่ฟ้าได้
ดูแลตัวเองให้ดี เข้มแข็งในการปฏิบัติให้ถึงที่สุด ตั้งใจแล้วทำให้ดี รักษาความดีงามไว้ให้ยาวนาน อย่าพลาดพลั้งเพราะความคิดและความเป็นตัวตน อย่าให้อัตตาตัวตนทำร้ายธรรมในใจ ตั้งใจแล้วแม้ล้มบ้างแม้พลาดบ้างก็สู้ต่อไป มีโอกาสทำให้ดี กลับมาศึกษา ศึกษาแล้วมีโอกาสเสียสละช่วยคน อย่าหาเหตุให้ตัวเองทุกข์และสร้างกรรมอีก ตั้งใจบำเพ็ญ ทำในสิ่งที่ถูกต้องดีแล้ว ก้าวต่อไปมุ่งต่อไปปฏิบัติให้ได้ ดูแลสุขภาพตัวเองด้วย ขอบคุณในความมุ่งมั่น อย่าฟังธรรมไปเสียเปล่า ต้องเอาไปปฏิบัติให้ได้ด้วย นำผู้คนอย่างถูกต้องด้วยหัวใจเมตตา เป็นศิษย์ของอาจารย์อย่าขาดความกล้าหาญ กล้าที่จะทำ กล้าที่จะลุย กล้าที่จะสู้ อย่าเอาแต่ตามหลังคนอื่น ต้องกล้ารับผิดชอบ ความรับผิดชอบมาพร้อมกับความมั่นคงและรอยยิ้มที่งดงาม
เป็นศิษย์ของอาจารย์ห้ามอ่อนแอ เจออะไรก็ต้องสู้ เจออะไรก็ต้องเข้มแข็ง อย่าติดในโลกจนลืมธรรมะ อย่าติดในตัวตนจนลืมสิ่งที่ถูกต้องดีงาม มีสิ่งดีงามอยู่ในใจ รักษาให้ดี รักษาความถูกต้องและดีงามไว้ อย่าเกียจคร้าน ทำให้ดี มุ่งมั่นตั้งใจให้ดี ทำให้ถึงที่สุด ให้สมกับเป็นผู้บำเพ็ญ ไม่เสียทีที่มาบำเพ็ญ ต้องรู้จักตัวเอง ตัวเองมีคุณค่า อย่าทำร้ายตัวเองด้วยอารมณ์และความคึกคะนองใจ ศิษย์เอ๋ยไม่มีใครอยากเห็นลูกแย่กว่าพ่อแม่ คนเป็นอาจารย์ก็อยากเห็นศิษย์เก่งกว่า จริงไหม
อาจารย์ต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองกันให้ดีๆ ตั้งใจบำเพ็ญนะ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “หมุนเวียนเปลี่ยนผัน”
    ไม่คาดหวังไม่ต้องเจ็บต่อความจริง    ไม่ยึดมั่นไม่ทุกข์ยิ่งเกินทนไหว
สรรพสิ่งล้วนผันแปรแค่ต้องเตือนใจ      มีตั้งอยู่เสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา
เมื่อไม่เที่ยงสิ่งใดหรือที่ควรโกรธ           เมื่อต่างทุกข์จะมัวโทษไปไยหนา
ถึงที่สุดไม่มีไปไม่มีมา                       ติดยึดสมมติหลงมายาปัญญาหมดไป
    อย่าหลงกับสิ่งที่เห็น                   อาจไม่เป็นอย่างเข้าใจ
ที่เห็นจะจริงแค่ไหน                        แต่พร้อมเปลี่ยนไปเสมอ



อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา