แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เซิ่งเต๋อ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เซิ่งเต๋อ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2562

2562-04-27 สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์

西元二○一九年歲次己亥三月二十三日                                 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒              สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ
  ติดความคิดย่อมยากมองเห็นความจริง   แม้ความจริงนั้นยากเกินจะรับไหว
ละทิฐิหรือยึดมั่นทุกข์ต่อไป              โลกพลันเปลี่ยนยากเท่าใดพลิกใจให้ทัน
                            เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว             ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
   เกมชีวิตอันวุ่นวายจนเกินทน          สติคนเป็นอย่างไรยังอยู่ไหม
บำเพ็ญเถิดเกิดเป็นทางก็ปลอดภัย      ใจรู้ที่อย่างไรย่อมอยู่เป็น
รู้จักความไม่มีอะไรราบรื่น               รู้ในรู้ช่างตื่นไม่ลำเค็ญ
สติรู้ผู้เฝ้าตามดูเป็น                      อย่าบำเพ็ญหลงให้ใจกิเลสไป
รู้จักวางใจลงให้ถูกที่                     ไม่ถูกที่บางทีทำเสียหาย
ผลักชีวิตส่งผิดทางน่าเสียดาย           ตลอดเส้นใช่ไหมตรงฟ้าเดิม
แสวงนอกพบไม่ปัญญาเยือกเย็น        ในจึงเป็นธงธรรมนำฮึกเหิม
วันหยัดยืนชัยชนะอย่าเคลิบเคลิ้ม       วันลมแรงกำแพงเดิมเสริมวินัย
คนแปลกโลกแห่งเดิมอาศัยอยู่          กระตุ้นให้สู้ใหม่ให้อยากใหม่
แพ้ศัตรูชนะตนเป็นภูมิใจ                บำเพ็ญใจทำเมื่อไรดีกว่าเดิม
                                         ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ



วันนี้ทุกท่านสดชื่นไหม (สดชื่น)  ฟังธรรมะแล้วเป็นอย่างไร ยิ่งฟังยิ่งหมดแรง ใช่หรือไหม (ไม่ใช่)  อย่าลืมนะโกหกนั้นตายตกนรก อยากตกนรกไหม (ไม่อยากตก)  ไม่อยากให้ใครโกหก เราก็อย่าไปโกหกใคร ไม่อยากโดนใครหลอกลวง เราก็อย่าหลอกลวงตัวเราเอง ตอนนี้ขอเปลี่ยนเป็นยิ่งฟังธรรมะยิ่งสดชื่น ยิ่งกระปรี้กระเปร่า ได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าเรามาขอสนทนาด้วยคงไม่เป็นการรบกวนเวลาท่าน
การแสวงหาเงินทองในโลกทำให้เรามีความสุขไหม (ไม่มี)  ถ้าไม่มีความสุขมนุษย์คงเลิกหาเงินทองแล้วจริงไหม มีทั้งสุขและก็มีทั้งทุกข์ปะปนกันไปใช่หรือไม่ (ใช่)  เราสามารถหยุดหาเงินทองได้ก็ต่อเมื่อเราต้องเห็นสิ่งใดมีค่ามากกว่าเงินทอง เราถึงจะสามารถหยุดหาเงินหาทอง เพื่อไปทำอีกสิ่งหนึ่งที่ดีกว่า คนคนหนึ่งจะสามารถหยุดทำอะไรก็ตามที่ตัวเองชอบได้ ก็ต่อเมื่อสิ่งที่ตัวเองเคยชอบอยู่นั้น มีสิ่งอื่นที่มีค่าหรือชอบมากกว่า เราจึงหยุดสิ่งนั้นแล้วไปทำอีกสิ่งหนึ่งได้ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นวันนี้ให้ท่านมาฟังธรรม แต่ถ้าท่านคิดว่าธรรมมีค่าน้อยกว่าเงินทอง ท่านจะมาฟังไหม (ไม่มา)  ธรรมมีค่ามากกว่าไปเที่ยวเล่นข้างนอกท่านจะมาไหม (มา)  ฉะนั้นทำไมคนบางคนจึงมาไม่ได้ ทำไมคนบางคนจึงมาได้ทันที ถามใจเราเองก็ได้ ถ้าเห็นว่าการมาฟังธรรมมีค่ากว่าการไปเที่ยวเล่น การมาฟังธรรมประเสริฐกว่าการหาเงินหาทอง เขาย่อมสละเวลาทั้งหมดแล้วมาได้ทันที แต่เราเคยคิดไหมว่า การมาฟังธรรมมีค่ามากกว่าการหาเงินทอง มาฟังธรรมมีค่ามากกว่าการไปเที่ยวเล่นหาความสุข ใช่ไหม (ใช่)  ในทางเดียวกันถ้าท่านสามารถมองเห็นว่าธรรมะ
มีค่ามากกว่าเงินทอง ท่านจะสามารถหยุดการหาเงินทอง และมาหาธรรมะได้ ธรรมะให้ความคิด ให้แง่คิด ให้ปัญญา ให้เราตื่นรู้ในความเป็นจริง และทำให้เรามีปัญญาในการแสวงหาเงินทองได้ ท่านจะหยุดการหาเงินทอง และ
มาหาธรรมะทันที จะไม่ลังเลและไม่ต้องรอให้ใครมาคะยั้นคะยอ แต่ถ้าเมื่อไรที่ท่านยังไม่เห็นว่าธรรมะมีค่ามากกว่าเงินทอง ธรรมะมีค่ามากกว่าการเที่ยวเล่น ท่านก็จะไม่มีวันอยากมาฟังธรรม
ฉะนั้นธรรมะมีค่ามากกว่าเงินทองไหม (มี)  พระพุทธองค์ที่ท่านกราบไหว้ หรือที่เรียกว่าพระพุทธเจ้า ท่านทิ้งราชสมบัติเพื่อแสวงหาธรรม และพอท่านพ้นทุกข์ด้วยธรรม ท่านยังทำให้ผู้ที่อยู่รอบข้างพ้นทุกข์ได้ด้วยธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างน้อยมีหนึ่งประจักษ์หลักฐานให้เราชัดเจนแล้วว่าสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินทอง และสิ่งที่มีค่ามากกว่าความสุขในการแสวงหาเงินทอง เกียรติยศชื่อเสียง นั่นคือธรรมะ และเป็นประจักษ์ให้เราเห็นได้ชัดด้วย แต่
เหตุใดหรือคนที่นับถือพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้า จึงลืมข้อนี้ไป ท่านยอมทิ้งเงินทอง ความสุข เพื่อมาหาทางพ้นทุกข์ เพราะท่านรู้แล้วว่าความสุข
ในโลก เงินทองในโลก หาเท่าใดก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ได้ นอกจากหาทาง
ดับทุกข์ในทุกข์ ไม่ใช่หาทางดับทุกข์ในสุข ยิ่งมนุษย์ปรารถนาความสุข แต่ความสุขนั้นตั้งอยู่บนความไม่ถูกต้องชอบธรรม ความสุขนั้นตั้งอยู่ในความผิดศีล ขาดธรรม ความสุขนั้นตั้งอยู่ในความไม่ละอายเกรงกลัวต่อบาป ความสุขนั้นก็พร้อมจะกลับมาให้ทุกข์ได้เท่าๆ กัน เหมือนเราอยากมีรัก
ใครก็อยากมีรัก แต่รักนั้นผิดทำนองคลองธรรม เราควรที่จะรักไหม (ไม่)  แต่เราก็ยังมี ใครๆ ก็อยากมีเงิน มีสุข ถ้าเกิดอยากได้เงิน อยากมีความสุข แต่ยืนอยู่บนความทุกข์ของคนอื่น เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น และยืนอยู่บนการผิดทำนองคลองธรรม ความสุขนั้นแม้จะได้เพียงชั่วครู่ชั่วคราว แต่ก็พร้อมที่จะกลับมาให้ทุกข์ไม่แตกต่างกัน ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่ามัวแต่คำนึงถึงสุข
จนลืมนึกถึงผิดชอบชั่วดี อย่ามัวแต่คำนึงถึงความอยาก จนลืมนึกถึงความละอายเกรงกลัวต่อบาป อย่ามัวแต่สนใจสิ่งที่ตนเองอยากได้ จนลืมนึกถึงคุณธรรมความเป็นคน ไม่เช่นนั้นแล้วท่านรู้จักสุขแค่ไหนก็ต้องทุกข์มากเท่านั้น ได้สุขแค่ไหนจากเงินที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย เมื่อได้มาแบบร้อนๆ
ก็ไปแบบร้อนๆ หากได้มาแบบร้อน เมื่ออยู่กับคนก็ร้อน ฉันใดก็ฉันนั้น
ความอยากในสุขของโลกใบนี้ ถ้าขาดซึ่งศีลธรรมไม่คำนึงถึงธรรม ก็พร้อมจะให้ความทุกข์ที่เจ็บปวดได้เช่นเดียวกัน
ฉะนั้นจะควรหรือไม่ควรที่มนุษย์จะคำนึงถึงธรรมในชีวิตบ้าง และควรมีธรรมใช้ในชีวิตบ้าง ควรหรือไม่ควร (ควร)  ตอนนี้จะบอกว่าเกิดเป็นคนไม่จำเป็นต้องมีธรรม ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะถ้าทำได้ก็จะกลายเป็นคนที่บาปก็ไม่กลัว กฎหมายก็ไม่หวั่นเกรง เราเป็นแบบนั้นไหม ทำอะไรตามใจตัวเองเป็นหลัก หรือทำอะไรถือศีลธรรมเป็นหลัก (ถือศีลธรรมเป็นหลัก)  ฝ่ายชายทำอะไรตามใจตัวเองเป็นหลัก หรือทำอะไรถือศีลธรรม หิริโอตตัปปะ
มโนธรรมสำนึกเป็นหลัก (ศีลธรรมเป็นหลัก)  ถ้าถือศีลธรรมเป็นหลัก
แล้วศีลห้าถือได้ครบไหม (ไม่ครบ)  ถ้าตอบแบบนี้ขัดกับคำตอบไหม ในเมื่อถือศีลธรรมเป็นหลัก ศีลห้าต้องมีให้ครบ จริงไหม (จริง)
บางคนยังมองเห็นไม่ชัดว่าธรรมะมีค่าอย่างไร เหมือนเราถามท่านว่าระหว่างเงินกับปัญญา อะไรดีกว่ากัน (ปัญญา)  ปัญญาได้จากการเรียนรู้
ได้จากการมองเห็นโลกได้แจ่มชัด เงินมีวันหมดได้ไหม (ได้)  แต่ปัญญายิ่งเพิ่มเติมก็ยิ่งมีมาก โดยเฉพาะปัญญาทางธรรม นอกจากจะทำให้เราเห็น
สิ่งต่างๆ ชัดแล้ว เมื่อยามที่เราเงินหมดขึ้นมา เราก็ยังมีพลังที่จะยืนหยัดสู้ต่อไปได้ มนุษย์มักจะพูดว่า เมื่อเจอพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้รีบขอ แล้วเรามักจะขอเงินหรือขอปัญญา ไม่เคยมีท่านใดขอปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะปัญญาขอพุทธะได้ไหม พุทธะก็ได้แต่เป็นกำลังใจให้ จริงๆ แล้วเราต้องขอที่ตัวเราเอง ขอเงินพระพุทธะได้ไหม ถ้าเราไม่ขยันหาเราจะมีเงินไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นปัญญาจะหาได้ก็ต่อเมื่อเราศึกษาเรียนรู้อย่างไม่หน่าย ดั่งที่มนุษย์มักจะพูดว่า “ไม่มีใครแก่เกินเรียน แต่เรามักขี้เกียจเรียน” เราจึงด้อยปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรม
เราขอยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราไม่ยกค่าอะไรสูง จะรู้จักคำว่าอะไรต่ำไหม (ไม่รู้)  ถ้าเราไม่เปรียบเทียบสิ่งใดมีค่ามากกว่า และสิ่งใดมีค่าน้อยกว่า
เราจะรู้จักอะไรสำคัญไม่สำคัญไหม ก็ไม่รู้ ถ้าเกิดว่าเราไม่เปรียบเทียบ
เราไม่ยกย่อง เราจะรู้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่ดีและสิ่งที่ร้าย อะไรที่เรียกว่าทุกข์ อะไรที่เรียกว่าสุข รู้ไหม (ไม่รู้)  เมื่อไม่รู้เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ถ้าเรารู้ว่า “คำว่ากล่าวกับคำชม” มีค่าแตกต่างกันไหม (แตกต่าง)  การโดนว่ามีค่าสูงหรือต่ำ (ต่ำ)  การโดนชมมีค่าไหม (มี)  สูงหรือต่ำ (สูง)  ใช่หรือ คิดดีๆ นะ ถ้าเราถามท่านว่า ถ้าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่มีค่า จะมีสิ่งใดที่ไร้ค่าไหม ถ้าไม่มีสิ่งใดที่สำคัญ จะมีสิ่งใดที่ไม่สำคัญไหม ถ้าไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าสุข จะมีสิ่งใดที่เรียกว่าทุกข์ไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นถ้าไม่มีสุขก็ไม่มีทุกข์ แล้วเรากำลังสุขหรือกำลังทุกข์อะไรหรือ ที่เราสุขและทุกข์ เป็นเพราะเราให้คุณค่าและเปรียบเทียบ ที่เรารู้จักความเจ็บปวด หรือมีความสุขไม่เจ็บปวดนั่นเพราะว่าเราแบ่งแยกใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าทั้งสองอย่างนี้มีคุณค่าเท่ากัน เราจะทุกข์และสุขไหม (ไม่)  เราจะรู้สึกยินดี ยินร้ายไหม
ฉะนั้นปัญหาที่ทำให้เราทุกข์กันอยู่ทุกวันนี้ เป็นเพราะท่านยึดว่าอะไรสูงอะไรต่ำ ท่านยึดติดและเปรียบเทียบว่าอะไรมีคุณค่าและอะไรที่ไร้ค่า ท่านเจ็บปวดเพราะท่านยึดติดว่าอะไรดี อะไรแย่ แต่ถ้าในใจไม่ยึดติด
ไม่เปรียบเทียบ ไม่ให้ค่าอะไรสำคัญและไม่สำคัญ ทุกสิ่งก็เท่าเทียมกัน
หากเราว่าเขาแย่ แล้วเขาไม่มีดีหรือ ถ้าเราชมเขาว่าดี เขาจะไม่มีสิ่งที่แย่เลยหรือ ถ้าเราถูกเขาว่า เขาว่าเราแย่ แล้วเราจะดีไม่ได้เลยหรือ เราได้รับคำชม เราก็รู้สึกดี แล้วหากเราจะถูกเขาว่า ว่าเราแย่ได้ไหม (ได้)  เราควรจะขึ้นให้สูงและตกลงมาให้เจ็บ ควรจะยกตัวเองให้สูงๆ เพื่อเวลาโดนตำหนิจะได้ถูกเหยียบให้เจ็บๆ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ความทุกข์ ความสุขไม่ใช่คนอื่นกำหนด ไม่ใช่คนอื่นหยิบยื่นให้ ไม่ใช่อยู่ที่คำต่อว่า แต่อยู่ที่ใจท่านต่างหากว่าท่าน
ยึดติด แบ่งแยก เปรียบเทียบ ให้ค่าหรือไม่ให้ค่า เคยไหมเห็นคนๆ หนึ่งเกลียดจนจับใจ ต่อไปนี้จะไม่ให้ค่าอะไรในชีวิตอีกต่อไป ฉะนั้นมองเห็นเขา
ก็เหมือนไม่เห็น เขาจะพูด เขาจะด่า เราก็ไม่รู้สึก เพราะเราไม่ให้ค่า ไม่ให้ความหมายต่อชีวิตและจิตใจ เกลียดจนไม่อยากเห็นหน้า เกลียดจนไม่อยากให้ค่า ฉะนั้นถ้าอยู่ในโลกนี้ ไม่อยากทุกข์ ไม่อยากถูกเหยียบย่ำ ไม่อยากถูกยกขึ้นสูงแล้วตกลงมาต้องเจ็บปวด ต้องไม่ให้ค่า ไม่ยึดติด ไม่เปรียบเทียบ เราก็จะไม่เจ็บ จริงหรือไม่ (จริง)
เราขอถามท่าน อะไรในโลกที่มีคุณค่ามากกว่ากัน เหมือนเราบอกว่า ชีวิตนี้ต้องหาเงิน ชีวิตนี้ต้องมีความรัก แต่ความรักทำให้เราตายทั้งเป็น
ไม่รักได้ไหม ไม่รักเขาแต่ให้รู้จักรักตัวเองให้เป็น ชีวิตนี้ต้องหาเงิน แต่ถ้าหาเงินมาทั้งชีวิต แล้วการหาเงินมาทำให้ชีวิตต้องตายทั้งเป็น เราหยุดหาเงินแล้วใช้เงินให้เป็นดีไหม (ดี)  เพื่อเงินจะได้ไม่ย้อนกลับมาทำร้ายเรา ฉะนั้นความทุกข์ในโลกนี้ ลองถามใจของตัวเองดูดีๆ บริสุทธิ์ยุติธรรม ใครทำร้ายใคร (เราทำร้ายตัวของเราเอง)  พระพุทธะจึงกล่าวไว้ประโยคหนึ่งว่า
“ชีวิตจะดีจะร้ายขึ้นอยู่ที่จิต จิตจะสุขจะทุกข์ขึ้นอยู่ที่ความคิด” ชีวิตจะดีจะร้ายขึ้นอยู่ที่จิตเรา จิตเราจะสุขจะทุกข์ขึ้นอยู่ที่ความคิด เคยไหมไปนั่งอยู่ที่ริมทะเล ได้ไปเที่ยวน้ำตก คนอื่นเขาสนุกสนานกัน แต่ใจเรากลับไม่สนุก เพราะความคิด จึงมีคำกล่าวว่า “จิตที่ตั้งไว้ถูกที่ ทำให้มีประโยชน์ ส่วนจิตที่ตั้งไว้ผิดที่ ทำอันตรายยิ่งกว่าศัตรูคู่อาฆาต” เขามีความสุขกัน เรากลับเบื่อ เขากำลังฟังธรรมกันอย่างเย็นสบาย เราก็ถอนหายใจ เฮ้อ! เมื่อไรจะจบ เมื่อไรจะหมดวันสักที ใช่ไหม
ฉะนั้นสำคัญที่คนพูด หรือสำคัญที่การวางจิตวางใจ สำคัญที่จิตหรือสำคัญที่ความคิด สำคัญที่จิตและจิตผันแปรไปตามความคิด อยากได้ชีวิตที่สว่างก็ขึ้นอยู่ที่จิตและขึ้นอยู่ที่ความคิด อยากได้จิตมืดมนก็ขึ้นอยู่ที่ความคิด คิดดีหรือคิดร้าย
วันนี้เรามาเรียนรู้เรื่องจิตของเราดีไหม (ดี)  เราเคยรู้จักจิตตัวเองไหม ไม่รู้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องรู้ก่อนว่าโดยธรรมชาติของจิตใจเรานั้นเป็นอย่างไร ชอบเป็นไปตามความคิด และความคิดนี้ชอบไหลไปตามอารมณ์ อารมณ์ไหนเป็นใหญ่ อารมณ์ไหนมาเป็นหนึ่ง อารมณ์นั้นครอบงำจิตครอบงำชีวิต อย่างเช่นตอนนี้นั่งๆ อยู่ มีแต่คำว่า “เบื่อ” ฉะนั้นทั้งชีวิตจึงจมอยู่กับความเบื่อ จิตจะสว่างหรือมืดก็อยู่ที่เราคิดอะไรหรือตามอะไร ฉะนั้นถ้าเราคิดว่าดีกับคิดว่าเบื่อ อันไหนสว่างอันไหนมืด อันไหนสุขอันไหนทุกข์ จิตของมนุษย์ชอบไหลไปตามกิเลส แล้วเราเคยตามทันกิเลสไหม
มีใครบ้างที่เคยสามารถยับยั้งใจได้ รู้ทันใจตัวเองได้ หยุดกิเลสได้บ้าง (ไม่มี)  ท่านรู้ไหมจิตที่ข่มได้คือจิตที่มีความดี จิตที่ฝึกได้ดีแล้วจะนำมาซึ่งความสุข ฉะนั้นเกิดเป็นคน ถ้าข่มจิตข่มใจไม่ได้ ฝึกจิตฝึกใจไม่ได้ ชีวิตนี้ก็จะหาความสุขและสวัสดีไม่ได้ เราจะฝึกจิตอย่างไร เราเคยฝึกจิตไหม (เคย)
เคยเฉพาะตอนหลับตาใช่ไหม พอตื่นลืมตาขึ้นมาก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
ใช่หรือเปล่า หรือหลับตาแล้วพอนึกถึงคนที่ด่าเราทำร้ายเราก็ยังโมโหเหมือนเดิมใช่ไหม อย่างนั้นเราควรจะฝึกจิตอย่างไร อยากรู้ไหม (อยาก)
พระพุทธะได้กล่าวไว้ว่า กิเลสเกิดเมื่อเราไม่รู้เนื้อรู้ตัว กิเลสดับและกลายเป็นปัญญาตื่นรู้ เมื่อเรามีสติและรู้เนื้อรู้ตัว ทุกครั้งที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัว เราง่ายที่จะตกเป็นทาสกิเลส แต่เมื่อไรเรามีสติรู้ตัว เราจะไม่ตกเป็นทาสของกิเลส เช่น เคยคิดอยากจะไปทำอะไรสักอย่างไหม เคยคิดวางแผนจะไปเที่ยวไหม เคยคิดวางแผนการทำงานไหม เวลาเราคิดวางแผนไปเที่ยวเราจะมองภาพออกว่า ถ้าไปทะเลจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เรามองเห็นทะเลชัด และกำลังมองเห็นความคิดชัด ถ้าเรารู้ทันความคิดชัด และเห็นว่าเราคิดอะไรเป็นอย่างไร อย่างนั้นความคิดนั้นจะไม่มีทุกข์ แต่เมื่อไรคิดชัดแล้ว
เราเริ่มนึกถึงคนที่เราไม่ชอบ ถ้ามีคนนั้นมา ก็หมดสนุกทันทีเลย เบื่อจริงๆ เลย ความสุขจะกลายเป็นความทุกข์ เพราะเราเริ่มมองไม่เห็นความคิด เราเริ่มมีกิเลส เริ่มมีคนที่เราไม่ชอบใส่เข้าไป แล้วเราไหลไปตามความคิด
จึงกลายเป็นความทุกข์ไม่ใช่ความสุข เหมือนเราคิดเลข หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง สองบวกสองเป็นสี่ เราเห็นชัด นึกภาพออก เมื่อไรที่เรามองเห็นความคิดชัด และความคิดนั้นไม่มีกิเลสเจือปน เราจะไม่ทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรความคิดนั้นเกิดขึ้น และมีกิเลสเจือปน และเราเผลอไหลร่วมลงไปกับความคิด ความคิดนั้นจะทำให้เราเป็นทุกข์ และตกเป็นทาสกิเลส เหมือนเรานึกถึงคนที่เกลียด เราก็ไหลไปตามความคิด เขาเคยด่าฉัน เคยว่าฉัน
เคยสมน้ำหน้าฉัน เคยยืมเงินฉันไปแล้วไม่ยอมคืน คิดแล้วเอาตัวเองไหลร่วมลงไป กลายเป็นทุกข์ แต่อีกทางหนึ่งถ้าเราคิดแล้วเราบอกว่า คิดแบบนี้
ทำแบบนี้ ทำเป็นลำดับขั้นตอนแบบนี้แล้วจะทุกข์ไหม
ฉะนั้นเห็นต่างหรือยังว่า คิดเช่นไรเป็นทุกข์ คิดเช่นไรไม่มีทุกข์ ถ้าคิดแล้วรู้ทันความคิด มีสติและปัญญาคิดได้ออก มองได้ชัด ความคิดนั้นจะไม่ก่อให้เกิดทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรคิดแล้วมีกิเลส คิดแล้วมีอารมณ์ และคิดแล้ว
มีตัวตนไหลร่วมไปกับความคิด โดยขาดสติ ขาดความรู้เท่าถึงการณ์ ความคิดนั้นก็ง่ายที่จะเป็น (ทุกข์)
เมื่อสักครู่ได้รู้ธรรมชาติของจิตแค่เพียงอย่างเดียวถูกไหม ธรรมชาติของจิตชอบไหลไปตามกิเลส ชอบท่องเที่ยวไปตามกิเลส ฉะนั้นคนที่มีกิเลสบ่อยๆ ก็แปลว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยมีสติรู้ตัวเวลาทำอะไร แต่ถ้าคนที่ไม่ค่อยมีกิเลสก็คือ ทำอะไรรู้จักมีสติยับยั้งชั่งใจ ธรรมชาติของจิตยังมีอีกอย่างคือชอบยึดติด เวลามีปัญหาไม่เคยมองตัวเอง เวลามีเรื่องราวชอบโทษคนอื่นมากกว่าโทษตัวเอง ไม่มีเขาจะมีเราหรือ ไม่เขาผิดเราก็ผิดไม่ต่างกัน ถ้าเขาถูกเราก็ถูกกว่า จริงหรือไม่ (ไม่จริง)  แสดงว่ายังมีสติ
สิ่งที่น่ากลัวของธรรมชาติในจิตมีอีกอย่างก็คือ ชอบที่มองออกไปมากกว่ามองเข้า ชอบที่จะเพ่งโทษมากกว่าที่จะให้โอกาสใคร เหมือนเวลา
มีปัญหาเกิดขึ้น มีไหมที่เราจะโทษตัวเราเอง เรามีไหมที่จะแก้ไขตัวเอง เราจะมีความสุขได้อย่างไร ถ้ามัวแต่มองออกไปและเพ่งโทษคนอื่น แต่ไม่เคยหันมามองเข้าและตรวจสอบใจตน ธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งของจิตคือชอบยึดติด และเข้าหาความทุกข์ เหมือนเวลาเขาพูดอะไรมาอย่างหนึ่ง เราคิดดีหรือคิดร้าย สมมติเราให้ผลไม้ท่านชิ้นหนึ่ง ท่านคิดดีหรือคิดร้าย (คิดดี)
จริงหรือ ไม่ใช่คิดในใจว่า ให้เรามาแล้วจะเอาอะไรกลับไหม มักจะยึดติดความคิดว่าต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ เลย เพราะคิดว่าได้ไปเผื่อจะดี
สิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์ จะดี จะร้าย จะทุกข์ จะสุข อยู่ที่ความคิด ความคิดของมนุษย์นอกจากจะชอบมองออก ชอบหลงไปตามกิเลสแล้ว
สิ่งที่น่ากลัวคือชอบยึดติดความคิด แล้วก็ไหลไปหาความทุกข์มากกว่าความสุข


(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนชายท่านหนึ่งยืนขึ้น และหันหน้าให้ทุกคนดู)
ถามว่าหน้าแบบนี้จะดีหรือจะร้าย (ดี)  อย่ายิ้ม ถ้ายิ้มใครๆ ก็จะว่าดี แต่ถ้าหน้านิ่งๆ แล้วเป็นอย่างไร พูดอะไรระวังด้วยนะ เดี๋ยวเขาฟังแล้วจำไว้ไปล้างแค้น โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักยึดติดความคิดว่า คนผิวดำ ไว้หนวด
ไว้เครา หน้าแบบนี้น่าจะร้าย
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านเมตตาให้พี่เลี้ยงชายท่านหนึ่งยืนขึ้น)
ถามว่าคนนี้น่าจะร้ายหรือน่าจะดี (ดี)  รีบพูดทันทีเลย สิ่งที่เราต้องระมัดระวังอย่างหนึ่ง ถ้าเราอยู่ในโลกนี้ เราต้องรู้ให้เท่าทันจิตใจตัวเอง เพราะจิตของมนุษย์แม้ไม่คิด แต่จิตมนุษย์นั้นไวมาก สรุปให้เราทันทีเลยว่า แบบนี้น่าจะดี แบบนั้นน่ากลัว ทั้งที่จริงๆ แล้ว ที่ดีๆ ก็อาจจะร้าย ที่น่ากลัวก็อาจจะดีก็ได้ น่ารักแบบนี้อาจจะไม่มีรักแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หน้าตาน่ากลัวแบบนี้อาจจะมีรักแท้ก็ได้
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตของเรา ไม่ใช่ผู้อื่น แต่เป็นจิตใจของเรา ถ้าเราไม่รู้ธรรมดาของจิต ธรรมดาของจิตมักจะพาให้เราไหลไปตามกิเลสและอารมณ์ เมื่อไรที่จิตใจไหลไปตามความคิด จิตใจไหลไปตามอารมณ์ความรู้สึก จึงยากที่จะทำได้ดี ถูกหรือไม่ (ถูก)  และเมื่อไรที่จิตใจยึดติดกับความคิดอารมณ์ ก็ยากที่จะทำได้ถูกและเกิดปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม สิ่งสำคัญคือหันกลับมามองจิตของเรา ถ้าตั้งได้ถูก เราก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้าจิตตั้งผิดเราก็ต้องทุกข์และมีกิเลสได้ทันที
ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งสำคัญในการศึกษาบำเพ็ญธรรม คือไม่ใช่แค่ทำบุญเป็น ไม่ใช่แค่สวดมนต์เป็น ไม่ใช่แค่นั่งสมาธิเก่ง แต่สิ่งสำคัญในการศึกษาบำเพ็ญธรรมก็คือ สามารถฝึกใจตัวเองได้ และเอาธรรมะมาข่มใจตัวเองได้ โดยการ
มีสติ รู้ทัน ยั้งคิด
เพราะชีวิตไม่มีใครอยากมีทุกข์ ถูกไหม (ถูก)  และทุกข์โดยส่วนใหญ่มักมาจากกิเลสและอารมณ์ และการเข้าข้างตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราสามารถรู้สติ รู้ทัน ยั้งคิดในตัวเราเองได้ เราก็หยุดปัญหาได้
ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนคนกำลังชี้หน้าว่าเรา เราวางใจได้ถูก วางใจได้เป็น รู้เท่าทัน
ใจตัวเอง เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)
ฉะนั้นมีธรรมะข้อหนึ่งที่อยากฝากไว้เตือนใจ ถ้าเมื่อใดมนุษย์เห็นการได้หรือเสีย ดีหรือร้าย มีค่าเท่ากัน มนุษย์จะไม่ต้องทุกข์ใดใดในโลกนี้อีกต่อไป จริงไหม (จริง)  ได้หรือเสีย ดีหรือร้าย ชมหรือว่า มีค่าเท่ากัน
เราจะเจ็บปวดไหม (ไม่)  โดนชมก็เหมือนโดนว่า โดนว่าก็เหมือนโดนชม ใครว่าเราสวยก็เหมือนไม่สวย จริงไหม (จริง)  ใครว่าเราดี เราก็เหมือนไม่ดี เพราะเรารู้อยู่แก่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อใจเราไม่ขึ้นไม่ลง ใครจะมาทำร้ายใจเราให้เจ็บปวด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศึกษาธรรมยากไหม (ไม่ยาก)  แต่ยากตรงที่ไม่เคยข่มใจและไม่เคยฝึกใจตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถนัดทำแต่เพียงสวดมนต์ นั่งสมาธิ ให้ทาน
แต่ไม่เคยให้ธรรมะเป็นทานกับจิตใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าจะคิดแล้วคิดเป็นกิเลสอารมณ์ ทำไมไม่คิดให้เป็นธรรม ถ้าจะคิดแล้วได้กิเลสอารมณ์และความเจ็บช้ำใจ ทำไมไม่เอาธรรมมาคิดแล้วสอนใจให้ปล่อยวางปลดปลง
ถูกไหม (ถูก)  ถ้าชีวิตขึ้นอยู่กับความคิด ชีวิตขึ้นอยู่กับจิตใจและความคิด ฉะนั้นทำไมไม่คิดอย่างคนมีธรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นสิ่งที่คิดว่าง่ายก็ไม่ง่าย ใช่หรือไม่ ดังนั้นมีชีวิตก็อย่าประมาทกับความง่าย เพราะบางครั้งสิ่งที่ง่ายอาจจะยากก็ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไรที่ทำดีที่สุดแล้ว ก็จงภูมิใจคิดไว้เสมอว่าได้ก็ดี ไม่ได้ก็เป็นกุศล ถ้าทุกขณะที่ทำแล้วคิดเช่นนี้จะไม่มีกิเลสครอบงำจิตใจตนเองเลย แต่คงยากใช่หรือไม่
เราคิดแต่ว่า ต้องได้เท่านั้น หากเมื่อไรที่ท่านคิดได้อย่างธรรมะที่เราบอก ท่านจะไม่ทุกข์กับโลกใบนี้ และกิเลสจะไม่สามารถครอบงำจิตใจของท่านได้เลย ยากไหม ดังนั้น ได้ก็ดี ไม่ได้ก็เป็นกุศล ใช่หรือไม่ (ใช่)
กุศล คือ เครื่องชำระล้างใจให้ผ่องแพ้ว ชำระล้างตัวตนให้ไม่เหลือ ฉะนั้นทำอะไรก็แล้วแต่ คิดเสมอว่า ได้ก็ดี ไม่ได้ก็เป็นกุศล จะได้ชำระล้างความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ฉะนั้นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตคือ ต้องมีสติ รู้เท่าทันความคิด โรคภัยเข้าทางปาก พิษภัยก็ออกจากปาก หากท่านอยากหยุดเคราะห์ร้าย อยากมีโชคและไม่มีภัยอันตราย ก็ต้องระวังทั้งความคิด และระวังปากของตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เราคุยกับท่านเพียงเท่านี้ เราปรารถนาให้ท่านมีปัญญาที่เข้าถึงธรรม เพราะถ้าท่านเข้าถึงธรรมแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็จะไม่ทุกข์
จงวางใจให้ถูกที่ แม้จะอยู่ท่ามกลางไฟที่ล้อมรอบตัวเรา แต่ถ้าเราวางใจให้ถูกที่ เราก็สามารถสงบเย็นสบายใจได้ ในทางตรงกันข้าม แม้เราจะอยู่ที่เย็น แล้วถ้าเราจุดไฟเผาตัวเอง ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใดก็ร้อน จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือ วางจิตวางใจให้เป็น ดูแลจิตดูแลใจให้ถูก รู้เท่าทัน กิเลสก็ไม่เกิด มีสติยั้งคิดข่มใจได้ ปัญหาก็ไม่มี แต่ถ้ารู้ไม่ทัน สติคิดไม่ได้ กิเลสปัญหาและทุกข์ก็จะตามมา ในโลกนี้ได้มาล้วนเสียไป มีได้มีเสียเป็นธรรมดา และมีพบก็ต้องมีจากก็เป็นธรรมดา ฉะนั้นจะเอาสิ่งนั้นมาทำให้
เราทุกข์ หรือเอาสิ่งนั้นมาเกิดปัญญาตื่นรู้และพ้นทุกข์ รักษาชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีค่าที่สุด ด้วยการไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ แต่มีธรรม เอาสิ่งที่สูญเสียมาเป็นปัญญาให้เกิดธรรม เอาสิ่งที่เราพลัดพรากเจ็บปวดมาทำให้เราตื่นรู้ในชีวิต เอาการโดนทำร้าย เอาการโดนต่อว่า มาทำให้เรามีสติเข้าใจความเป็นตัวเองและเข้าใจผู้คน
มนุษย์ทุกคนล้วนฉลาด ธรรมะไม่เคยสอนให้ใครโง่ แต่ธรรมะสอนให้เรากล้ายอมรับเมื่อเราทำผิด ยิ่งผิดมากเท่าไรคนก็อยากชี้แนะให้เราดียิ่งขึ้น แต่ถ้าคิดว่าตัวเองถูกมากเท่าไร ก็ไม่มีใครชี้แนะความผิดพลาดให้เราเจริญขึ้น ฉะนั้นกลัวอะไรที่จะผิด กลัวอะไรที่จะทุกข์ ถ้าเราพึ่งสติปัญญาตัวเอง โลกใบนี้ไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ จิตที่ตั้งไว้ผิดและไม่รู้ตัวเองจริงไหม (จริง)  ควรจะสงบแต่ดันคิดให้ตัวเองวุ่นวาย
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ จงเลือกที่จะมีปัญญาในทางธรรม ดีกว่าหาทรัพย์สินเงินทอง แต่ไร้ซึ่งปัญญาในการตื่นรู้ชีวิตจริง

วันอาทิตย์ที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒          สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  อันอ้อยหวานยังต้องคายชาน          มะระขมยังทานกลืนลงได้
คำติซ่อนความจริงไว้ข้างใน                    คำชมนั้นพาให้หลงลำพอง
                            เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า               รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                       ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม
   ทำดีแต่ขี้นินทาไม่ดีหนา                ทำดีแต่มากตัณหาก็หลงผิด
ทำดีแต่ติดอกุศลอยู่ในจิต                บำเพ็ญผิดจิตไม่สว่างขึ้นเลย
ไม่ดีแต่แก้ไขไม่ผิดซ้ำ                     ไม่ดีแต่ละบาปกรรมไม่นิ่งเฉย
ไม่ดีแต่ละนิสัยความชินเคย              ยอมรับแล้วแก้ไขเลยเลยได้ดี
คนบำเพ็ญต้องฝึกทั้งนอกใน             นำธรรมะมาสอนใจเปลี่ยนตนนี้
อย่าสร้างบุญเพื่อล้างบาปอยู่ในที       แต่รู้ที่ละบาปบำเพ็ญบุญ
ทุกสิ่งล้วนได้มาต้องเสียไป               ใดใดล้วนไม่เที่ยงไปผันเปลี่ยนหมุน
บุญกรรมเกิดที่ตนสร้างอันเป็นทุน       หมั่นเกื้อหนุนบำเพ็ญตราบลมหายใจ
                                                                                             ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



ก่อนที่จะทำความรู้จักกัน อาจารย์มีเรื่องหนึ่งอยากจะคุยกับศิษย์นะ เป็นเรื่องของใจศิษย์ทุกคน ใจมนุษย์มีสิ่งที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งศิษย์ว่าไหม คิดว่าจะมีก็มี คิดว่าไม่มีก็ไม่มี ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนมีน้ำใจ อย่างไรก็มีน้ำใจ ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนใจจืดใจดำ อย่างไรเราก็ใจจืดใจดำ ถ้าคิดว่าเราใจดีมีเมตตา (เราก็ใจดีมีเมตตา)  แต่ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนแล้งน้ำใจ เราก็จะแล้งน้ำใจอย่างนั้น ถ้าเราเชื่อมั่นในจิตใจว่าเรามี อย่างไรเราก็มี ถ้าเราไม่เชื่อว่าเรามีน้ำใจ อย่างไรเราก็ไม่มีน้ำใจ
อาจารย์ถามว่าตัวศิษย์เองมีสิ่งดีๆ อยู่ในใจบ้างไหม (มี)  แล้วเคยเอาออกมาใช้ไหม (เคย)  ถี่ถี่หรือนานๆ ที (นานๆ ที)  นานเสียจนเหมือนไม่มีเลยสักที ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ใจเรา ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้ เราก็ทำได้ ถ้าเราเชื่อว่าเราทำไม่ได้ เราก็ทำไม่ได้ แถมไม่คิดจะทำด้วย ถามหัวใจศิษย์ดู ถ้าวันนี้ศิษย์มาฟังธรรม ถ้าศิษย์คิดว่าใจเรามีธรรม ก็มีได้ แต่ถ้าคิดว่าใจเราไม่เคยมีธรรม ก็จะไม่มีเลย เรามักจะอยู่แบบคนชอบที่จะให้ หรือว่าชอบที่จะเอาจากคนอื่น ผู้ปฏิบัติงานธรรมรักการให้หรือรักการเอา (ให้)  ถ้าคนที่รู้จักรักการให้ เขาจะไม่เคยเสียใจหรือผิดหวังกับคนอื่น ฉะนั้นเรารักการให้แล้วเราเสียใจไหม ผิดหวังไหม โดนว่าน้อยใจไหม (ไม่)  อาจารย์จะบอกให้ ถ้าศิษย์เป็นคนหนึ่งที่รักที่จะให้ คนที่รักที่จะให้เขาจะคาดหวังไหมว่า คนที่เราให้เมื่อเขาไม่รักตอบเขาจะเสียใจไหม (ไม่)  เพราะเขามีสุขแล้วที่ได้ให้ และเขาจะคาดหวังไหมว่า คนที่เขาให้จะต้องดีอย่างนั้นต้องดีอย่างนี้ (ไม่)  เพราะเขาให้โดยไม่หวังผล เพราะเขารักที่จะให้ ถามใจศิษย์จริงๆ ว่าศิษย์รักที่จะให้ หรือรักที่จะขอ ถ้ารักที่จะให้จะไม่น้อยใจ จะไม่รู้สึกผิดหวัง แม้คนข้างนอกจะเป็นอย่างไร ถ้ามีสุขที่จะให้จะไม่ตัดพ้อต่อว่า ว่าทำดีไม่ได้ดี และถ้ารักที่จะให้จะไม่มีคำว่า เหนื่อยเหลือเกิน ทำไมทำดีกับเขาถึงได้เหนื่อยขนาดนี้ เพราะเรามีสุขที่จะให้แล้ว ยิ่งให้ก็ยิ่งสุข ยิ่งให้เราก็ดีแล้ว
ฉะนั้นถ้าเมื่อไรที่ศิษย์บอกว่ายังเหนื่อยอยู่ ยังผิดหวังอยู่ แปลว่าศิษย์ไม่ได้รักที่จะให้จริงๆ ศิษย์ชอบขอมากกว่าให้ หรือให้แล้วหวังผล จริงไหม (จริง)  ให้ไปนิดหนึ่งอย่างน้อยต้องได้กลับมาสักหน่อยก็ยังดี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าบุญที่บริสุทธิ์ บุญที่สะอาดย่อมไม่เคลือบแฝงจิตที่กอปรไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วทำดีเท่าไรแล้วทำไมไม่ได้ดี ก็ต้องถามว่า สิ่งที่ศิษย์ทำนั้นกอปรไปด้วยกิเลส ความโลภ ความหลง หรือไม่ ถ้ายังกอปรไปด้วยสิ่งเหล่านี้อยู่ บุญนั้นก็หาใช่บุญอันแท้จริง
อันอ้อยหวานยังต้องคายชาน      มะระขมยังทานกลืนลงได้”
มะระขมยิ่งเคี้ยวมากๆ ก็ยิ่งมีรสชาติหวาน ใช่ไหม (ใช่)  ในความขมมีความหวานซ้อนอยู่ เมื่อกลืนลงไปก็มีประโยชน์ แต่อ้อยนั้นมีรสชาติหวาน ยิ่งกินยิ่งหวาน เมื่อหมดหวานแล้วก็ต้องคายชานทิ้ง (กลืนเข้าไปก่อน)  เมื่อกลืนลงไปแล้ว ก็ติดคอ ก็เหมือนความรัก ล้นจนจุกคอเลย แล้วก็ไม่เคยคิดจะวางความรักลงเสียที และผลสุดท้ายก็ตายเพราะรัก เพราะมันจุกอกจริงไหม  (จริง)  บางครั้งสิ่งที่ชีวิตเราเรียกกันว่าหวานอมขมกลืนนั้น บางครั้งมันก็ให้อะไรดีดีกับเราใช่หรือไม่   (ใช่)  เหมือนสามีแย่ไหม (แย่)  ดีขนาดไหนก็รู้สึกว่าสามีก็ยังแย่อยู่ แต่ทิ้งได้ไหม ก็ทิ้งไม่ลงถูกไหม (ถูก)  ภรรยาดีไหม (ดี)  น่ารักไหม  (น่ารัก)  รำคาญไหม (รำคาญ)  ดีไม่พูด น่ารักไม่พูด แต่รำคาญไหม รีบตอบว่ารำคาญทันทีเลยนะ พิจารณาตัวเองนะศิษย์
ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้ลูกเป็นอย่างไร ก็เลียนแบบมาจากตัวเราถูกหรือไม่ (ถูก)  ลูกเอาแต่ได้ไม่รู้จักให้ เป็นเพราะเราคิดเอาแต่ได้ไม่รู้จักให้หรือเปล่า ลูกรักใครไม่เป็น ก็เพราะเราไม่เคยรักใครจริงหรือไม่ ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นก่อนจะไปโทษว่าใคร หันกลับมามองตัวเราดีกว่า
มีทั้งคนที่อยากต้อนรับอาจารย์และไม่อยากต้อนรับนะ ไม่เป็นไรนะศิษย์ในโลกแห่งความเป็นจริงย่อมมีทั้งคนที่รักและคนที่เกลียด ขอเพียงแค่เรารู้ตัวว่าเราทำสิ่งใด เราก้มหน้าไม่อายดิน เงยหน้าไม่อายฟ้า ต่อผู้คนเราไม่ได้ทำผิด คนจะเกลียด จะรัก จะชม เรารู้ตัวเราดี จะทุกข์ทำไมถ้าเราได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว จะทุกข์ต่อเมื่อเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นั่นแหละที่เราควรจะทุกข์ ศิษย์เอ๋ยในโลกใบนี้ สิ่งที่เรามองเห็นอาจไม่เป็นอย่างที่เราเข้าใจ บางครั้งสิ่งที่เห็นแม้จะจริงขนาดไหน แต่ใช่ว่าจะเป็นอย่างที่เราเข้าใจได้ทุกเรื่อง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ดังนั้นสิ่งที่เห็นแม้ว่าจะจริงขนาดไหน แต่ก็ไม่อาจเป็นอย่างที่เราคิดและเข้าใจได้เสมอ เหมือนอย่างคำพูดที่เรามักได้ยินว่า ในมายามีมายาซ่อนอยู่ ในความจริงมีมายาแอบแฝงอยู่ เมื่อพูดอย่างนี้แล้วเราเข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นเมื่อเวลาเราเห็นสิ่งใดอย่าเพิ่งปักใจเชื่อ ถ้ามีคนชมว่าเราดีเราควรปักใจเชื่อไหม (ไม่เชื่อ)  เพราะอะไร ถ้าเราไม่หลงตนเอง เราก็จะรู้ว่า จริงๆ แล้วเรายังไม่ดีพอ ถ้าเรารู้อย่างนี้ศิษย์จงจำไว้อย่างหนึ่งว่า ในโลกเราหนีไม่พ้นทุกข์ถูกไหม (ถูก)  และทุกข์นี้เป็นสิ่งที่ทุกๆ คนต้องเจอ แล้วในทุกข์นี้ถ้าเราต้องเจอ ขอเพียงอย่างเดียวเราอย่าหาทุกข์เพิ่ม เรามีทุกข์ที่หนีไม่พ้น ทุกข์ที่หนีไม่พ้นเรียกว่า แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก มีได้มีเสีย มีพบมีพราก มีสุขมีทุกข์ เป็นความจริงที่เราต้องเจอ ไม่เจอกับตัวเรา ไม่เจอกับผู้อื่น ก็ต้องเจอกับสิ่งของ เกียรติยศ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน เงินทอง
ฉะนั้นเราหนีทุกข์ไม่พ้น อาจารย์อยากบอกว่าอย่าหาทุกข์เพิ่ม เพราะถ้าเกิดว่าทุกข์ที่เราเจอ เรายังหนีไม่พ้น แล้วเรากลับสร้างทุกข์เพิ่มอีก เราจะรับไหวไหม ทุกข์มาทีเดียวสองครั้งติดๆ กันจะทนได้ไหม เมื่อเกิดความสูญเสียขึ้นกับตัวเราเอง แล้วเรายังต้องสูญเสียลูกเราอีก สูญเสียครอบครัว สูญเสียญาติอีก มาติดๆ กันสามสี่อย่างเรารับไหวไหม (ไม่ไหว)  ฉะนั้นเราไม่ควรเร่งให้ทุกข์มันเกิดเร็ว หรือเพิ่มทุกข์ให้เกิดขึ้น แล้วเราพอรู้ไหมว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เรามีทุกข์เพิ่มขึ้น ความคิด ใช่หรือไม่
ความคิดทำให้เราทุกข์ เพิ่มได้ไหม (ได้)  เมื่อทุกข์แล้ว เรายังคิดซ้ำคิดซ้อนอีก ก็เหมือนนำความทุกข์นั้นมาซ้ำเติมตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบได้ดีนะ แล้วถ้าอาจารย์บอกว่า กิเลสเป็นต้นเหตุให้เราเกิดทุกข์เพิ่ม ถ้าเราหลงเป็นทาสของกิเลส เราก็จะต้องหลงมีทุกข์เพิ่ม หลงเจ็บเพิ่ม หลงพลัดพรากเพิ่ม หลงผิดหวังเพิ่ม ฉะนั้นเราไม่ควรตกเป็นทาสกิเลส อาจารย์ถามว่า ใครตกเป็นทาสกิเลสครั้งเดียวแล้วไม่เป็นอีกเลย (ไม่มี)
ฉะนั้นความคิดทำให้เราทุกข์เพิ่มอย่างหนึ่ง อันที่สองกิเลสทำให้เรามีทุกข์เพิ่ม จริงไหม (จริง)  บางคนยังนึกภาพไม่ออก แล้วบอกว่า เพียงแค่โลภ โกรธ หลง แล้วจะมีทุกข์เพิ่มมาได้อย่างไร ก็แค่โลภนิดหน่อย โกรธก็นิดหน่อย หลงก็แค่นิดหน่อย แล้วศิษย์เคยไหม หมั่นไส้พวกเขา ก็แค่นิดหน่อย จะเป็นอะไรหนักหนา แต่ศิษย์รู้ไหมว่า ความคิดที่ว่า “ก็แค่นิดหน่อย” เมื่อไปกระแทกกระทบใจของใครบางคน แต่เขาไม่คิดแค่นิดหน่อยเหมือนอย่างที่ศิษย์คิดนะ แล้วศิษย์ค่อยพูดว่า “ขอโทษ” ทีหลัง อย่างนี้ศิษย์คิดว่าเขาจะรู้สึกดีขึ้นไหม หรือเขาจะหายจากความรู้สึกไม่ดีหรือไม่ (ไม่)
ฉะนั้นศิษย์อย่าคิดเพียงว่า ก็แค่สบายๆ เล่นๆ เด็กๆ ก็เท่านั้นเอง จะมาถืออะไร แต่รู้ไหมว่าสำหรับคนบางคนที่ถูกกระทำ เขาจำไม่ลืม เขาไม่ให้อภัย แล้วศิษย์คิดว่า ศิษย์สร้างกรรมนิดๆ หน่อยๆ เท่านี้เอง คงไม่มีผลกระทบซ้อน แล้วศิษย์ก็บอกว่า เดี๋ยวศิษย์ไปทำบุญชดเชย อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำไมเรามักเป็นคนแบบนั้นกัน ศิษย์ด่าเขาจนเขาเจ็บใจ โกงเขามาเต็มที่ แล้วเดี๋ยวค่อยทำบุญชดเชย อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้น ศิษย์อย่าคิดว่า มันแค่เล่นๆ เพราะถ้าถึงเวลาเมื่อกรรมนั้นย้อนกลับมาหาศิษย์จริงๆ คนเขาอยากเอาคืนจริงๆ เขาก็จะบอกว่า นี่แกช่วยตบกลับเหมือนเดิมได้ไหม
ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์ทำ ไม่ว่าศิษย์จะทำด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ความไร้เมตตาปรานี ความไร้จิตสำนึก ความไร้น้ำใจ ศิษย์รู้ไหมว่าที่ศิษย์บอกว่า แค่นิดเดียวเอง แต่มันไม่นิดสำหรับคนบางคนที่โดน ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์เพิ่ม ศิษย์ก็อย่าตกเป็นทาสของกิเลส อย่าตกเป็นทาสของความคิดชั่ววูบว่าไม่เป็นไร เพราะถ้าเกิดว่าเป็น ต่อให้ศิษย์เอาบุญมาล้าง เอาความดีมาชดเชย มันก็ล้างไม่ได้ ดั่งที่เรารู้ว่า บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป ถ้ามีคนๆ หนึ่งบอกอาจารย์ว่า ก็ศิษย์พูดความจริงจะบาปตรงไหน อาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าวันนี้ลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นผู้ชายแต่งงานแล้ว แอบไปเดินคุยกะหนุงกะหนิงกับคนอื่น แล้วศิษย์ไปเห็นเข้าพอดี ศิษย์เห็นเขาแต่เขาไม่เห็นศิษย์ แล้วศิษย์ก็เอาไปเล่าให้ภรรยาเขาฟัง ปรากฏว่าครอบครัวเขาแตกแยก ลูกก็เลยไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ พลัดพรากจากกัน กลายเป็นบ้านเขาแตกแยก ศิษย์รับผลกรรมอันนั้นได้ไหม เพียงเพราะศิษย์พูดว่า ก็ศิษย์พูดความจริง
ฉะนั้นอย่ามองว่าสิ่งที่ศิษย์ทำเล็กๆ มันจะไม่มีผลอะไร เหมือนที่ศิษย์บอกว่าศิษย์ทำดีตั้งมากมาย ทำไมครอบครัวไม่ร่มเย็น ทำไมพูดอะไรใครก็ไม่เชื่อถือ ทำดีมาก็มากทำไมเดี๋ยวก็เจ็บออดๆ แอดๆ มีโรคนั้นมีโรคนี้ มีภัยนั้นมีภัยนี้ เคยเป็นไหม (เคย)  บุญศิษย์ก็ทำสังฆทานก็ทำ โบสถ์วัดวาอารามก็สร้าง กระเบื้องกี่แผ่นกี่แผ่นเขียนชื่อศิษย์หมดเลย แต่ทำไมเรายังเป็นอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องถามว่าสิ่งที่ศิษย์ทำนั้น ทำแล้วได้ไปเบียดเบียนชีวิตคนอื่นไหม ไปเบียดเบียนจิตใจและพรากชีวิตเขาไหม ถ้าศิษย์อยากได้อย่างหนึ่ง แต่ต้องแลกมาด้วยการพรากชีวิตคนอื่น ผลคือเมื่อศิษย์ทำอะไรก็จะไม่สามารถมีชีวิตที่แข็งแรง มีชีวิตที่ราบรื่นได้ เพราะการกระทำของความอยากได้สักอย่างหนึ่ง อย่างศิษย์ชอบบิดมอเตอร์ไซด์เสียงดังๆ แล้วมีความสุข แต่ผลของการทำเสียงดัง จะทำให้คนเป็นทุกข์
ศิษย์เอ๋ยมนุษย์มีทุกข์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ทุกข์แห่งความเป็นจริงที่เรียกว่า สัจธรรม ถ้ายังไม่อยากมีทุกข์เพิ่ม ก็จงอย่าสร้างเคราะห์ภัยให้ตัวเอง โดยการตกเป็นทาสของกิเลส และอย่าผิดศีล ขาดธรรม เมื่อตกเป็นทาสของกิเลสแล้ว ถามว่ามีใครบ้างเมื่อมีความโลภแต่มีเมตตา มีใครบ้างเมื่อมีความโกรธ แต่มีความกรุณาปราณี มีใครบ้างที่เมื่อหลงแล้วมีปัญญาคิดดี คิดชอบได้ทุกตอน มีไหม (ไม่มี)  แล้วอยากทุกข์ อยากเคราะห์ร้ายไหม อยากมีภัยและศัตรูเพิ่มไหม (ไม่อยาก)  ทำไมถึงขยันเป็นทาสของกิเลสกัน แล้วเคยหยุดกิเลสได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์เคยไหมการกระทำบางอย่าง ทำให้คนบางคนตายทั้งเป็น แม้เราจะพูดจริงก็ตาม เช่น หน้าตาแบบนี้เป็นโรคอะไรหรือเปล่า คนบางคนไม่ไปหาหมอ ตรอมใจหาว่าเราเป็นโรค ไม่กล้าไปเจอหมอกลัวว่าจะเป็นจริงๆ เพราะถ้าเจอหมอแล้วเป็นจริงๆ ก็จะรับไม่ได้ ฉะนั้นเรารับผิดชอบกับคำพูดเราไหวไหม เราบอกว่าก็แค่ทักทายเฉยๆ จะคิดมากอะไร ดันแก้ตัวอย่างนี้อีก ไม่ว่าจะคิด พูด หรือทำอะไรจงไตร่ตรองให้ดี ควรทำอย่างไรดีล่ะอาจารย์ที่จะทำให้เราไม่ตกเป็นทาสของกิเลส แต่สามารถพูดคิดทำอะไรจงไตร่ตรองให้ดี ทำอย่างไรอาจารย์ที่ทำให้เราไม่ตกเป็นทาสของกิเลส แต่สามารถพูดคิดทำอยู่ร่วมกับคนอื่น โดยไม่ทุกข์หรือไม่เพิ่มทุกข์ คิดออกกันไหม
(คิดก่อนพูด)  อย่างนั้นเมื่อศิษย์จะพูดอะไร ศิษย์ต้องตรึกตรองดูก่อนว่า สิ่งที่จะพูดนั้นคือเรื่องจริงหรือไม่ สมานสามัคคีหรือไม่ คำพูดไพเราะหรือไม่ ถ้าศิษย์ทำได้เช่นนี้ คำพูดของศิษย์ก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ถึงแม้เป็นเรื่องจริง แต่ถ้าเรื่องจริงนั้นทำให้คนแตกแยกก็อย่าพูด หรือถึงแม้ว่าเรื่องนั้นจะจริง แต่คำพูดที่จะออกไปไม่มีความไพเราะ เช่น แกมันโง่ คำพูดอย่างนี้คนฟังจะรู้สึกเจ็บไหม (เจ็บ)  ลองเปลี่ยนคำพูดว่า ถ้าแกทำอย่างนั้นอย่างนี้ แกจะฉลาดขึ้นอีกมากเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เป็นผู้มีปัญญา ฉะนั้นก่อนที่เราจะคิด จะพูดอะไร หรือก่อนจะทำอะไร ต้องไตร่ตรองให้ดีๆ ก่อนเสมอ
(ไม่โลภ)  ไม่โลภก็แปลว่าไม่อยากได้ใช่ไหม (อยากได้ผลไม้จากพระอาจารย์)
(คิดดี ทำดี พูดดี)  ศิษย์เอ๋ยคิดดีทำดีพูดดี แต่ถ้ายังไม่ละชั่วก็ยังไม่ดี ถ้ากิเลสยังไม่ละ ปัญญายังหลงอยู่ก็ยังไม่ดี ฉะนั้นถึงจะคิดดีพูดดี แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือ ใจยังแอบแฝงสิ่งที่ไม่ดีอยู่ นั่นแหละที่น่ากลัว (มีความยับยั้งชั่งใจ)  รู้จักยับยั้งชั่งใจในสิ่งที่ไม่ดี (ดำเนินชีวิตโดยยึดธรรมะประจำใจ)  ธรรมะอะไร (ความพอเพียง ความยุติธรรม)  บางทีถ้าเรียกร้องความยุติธรรมมากเกินไป ก็กลายเป็นทุกข์ได้ จริงๆ แล้วเราเอาอะไรมาวัดว่ายุติธรรม ถ้าใช้สายตาคนมองแล้วมันก็ไม่ยุติธรรม ฉะนั้นเอาสิ่งนี้ดีกว่าไหม มีเมตตา ทำอะไรให้มีเมตตาเป็นหลัก ซื่อตรงก็ได้ เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เกิดเป็นคนถ้าซื่อตรงเราจะผิดศีลขาดธรรมไหม ถ้าซื่อตรงเราจะโลภ เราจะทำร้ายใครไหม ถ้ารู้จักพอจริงๆ ศิษย์ก็ทำได้ แต่ไม่เคยรู้จักพอสักทีจริงไหม (จริง)  (ปล่อยวาง)  เจออะไรก็ปล่อย ก่อนที่จะปล่อย ศิษย์ต้องทำหน้าที่ตัวเองให้ถูกต้องและดีที่สุดก่อน และถึงที่สุดแล้ว ผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร ตอนนั้นถึงจะปล่อย และต้องปล่อยให้ถูก ไม่ใช่เมื่อกลับไปแล้ว อะไรก็ไม่รับผิดชอบ อะไรก็ไม่ดูแล ปล่อยวางหมดแล้วได้ไหม (ไม่สนคำคนยุแยง)
(ไม่ปล่อยให้กิเลสครอบงำ)  ไม่ปล่อยให้กิเลสครอบงำ แล้ว เราสามารถมีสติรู้ทันกิเลสไหม ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไร จำไว้นะศิษย์ สิ่งที่จะช่วยยับยั้งไม่ให้เกิดกิเลสก็คือ เจออะไรแล้วนิ่ง ให้ใจเย็นอย่าเพิ่งใจร้อน ไม่ใช่ด่ามาก็ด่ากลับ เตะมาก็เตะกลับ อย่างนี้เจ๊งใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นใครด่ามาก็ให้นิ่งก่อน แล้วพิจารณาดูว่าสิ่งที่เขาด่านั้นจริงไหม ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้น้อมรับและขอบคุณ ถ้าไม่จริงเราก็ไม่เป็นไร
(พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่)  ตอบเหมือนหัวหน้าเลยนะ แต่อาจารย์ไม่เคยเห็นใครพอใจได้เลย สิ่งที่จะทำให้ศิษย์พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ได้ คืออะไรรู้ไหม แค่นี้ก็ขอบคุณแล้ว เท่านี้ก็ดีแล้ว เมื่อรู้จักพอจึงพบสุข แต่ถ้าเกิดว่าแค่นี้ไม่พอ เท่านี้ไม่พอ ยังไงมันก็ไม่ ใช่หรือไม่  (ใช่)  (ไม่โกรธไม่เกลียด)  ไม่โกรธไม่เกลียดแน่ใจหรือ ถ้าอยากไม่โกรธไม่เกลียด ก็จงอย่ารักใคร เพราะความรักนั้นทำให้เรารู้จักโกรธ เกลียด  เจ็บ ทุกข์ และอาฆาตแค้น ทำได้แน่หรือ  (แน่)  ฝ่ายชายตอบให้อาจารย์ชื่นใจบ้าง ทำอย่างไรจะละความอยากในบุหรี่ อยากในเหล้า อยากในการขี่รถมอเตอร์ไซค์ เพื่อไม่สร้างทุกข์ให้คนอื่น รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม ทำอย่างไรดี
(ไม่ให้คุณค่ากับสิ่งไม่ดี)  แล้วเขาจะไม่มีค่าในสายตาเรา เขาจะทำผิด ทำถูก เราก็ไม่เดือดร้อน ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ให้คุณค่ากับสิ่งที่ไม่ดี เพราะถ้าเราไม่ให้คุณค่า สิ่งนั้นก็ไม่มีผลต่อใจเรา แต่ถ้าทุกอย่างเราทำแบบนี้ตลอด เราก็จะไม่มีอะไรมาสอนใจเรา เพราะบางครั้ง สิ่งที่ไม่ดีก็ได้ให้แง่คิดและเป็นบทเรียนที่ล้ำค่า เหมือนดั่งที่คนเรามักจะพูดว่า คนเราถ้าไม่ทุกข์จนถึงที่สุด ก็จะไม่รู้จักค้นหาความสุขที่แท้จริง ไม่เจ็บถึงที่สุด ก็ไม่คิดที่จะรักษาตัวเองให้เข้มแข็ง ไม่รู้คุณค่าของคำว่า เข็มแข็ง ว่าคืออะไร ถ้าไม่เคยเจ็บมาก่อน ไม่ให้คุณค่า ใช้ได้ แต่บางครั้งก็ใช้ไม่ได้กับทุกกรณี (ขอให้มีสติ)  มาทีหลังแต่ตอบได้ดี ไม่ว่าจะทำอะไรขอให้มีสติ ถ้ามีสติแล้วจะไม่ตกเป็นทาสของกิเลส แต่กลัวจะขาดสติ พอไม่มีสติ สตางค์ก็เลยไม่มา ก็เลยเดือดร้อน (ให้ยอมรับความเป็นจริง และเปลี่ยนความอยากให้เป็นเป้าหมาย)  เป้าหมายของเราที่จะต้องเดินไปให้ถึง ศิษย์เอ๋ยเมื่อไรที่เรามีความอยาก เราหนีไม่พ้นและง่ายที่จะไปทำผิด มีความอยากแต่ทำแล้วไม่สมหวัง ก็ไปโกงนิดหน่อย
ถ้าศิษย์จะทำให้ได้ดี จริงๆ ศิษย์ต้องตระหนักไว้ว่า ชีวิตนี้ได้เท่านี้ก็ดีมากแล้ว ไม่อยากหรืออยากไป ก็ไม่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะอย่างไรคนก็หวังอยากได้เงินมาก่อนเสมอ ถูกหรือไม่
ศิษย์มักคิดว่าผิดนิดผิดหน่อย ทุกข์แล้วตายไปก็จบกัน หมดเคราะห์หมดโศกกับเขาแล้วก็จบกัน จริงไหม (ไม่จริง)  ถ้าไม่จริงก็แปลว่า เรารู้ว่าการที่เราทำบาปกรรมอะไรไว้ แล้วสะสมอยู่ในจิต จิตนี้เหมือนเนื้อนาบุญ ปลูกบุญก็ได้บุญ ปลูกบาปก็ได้บาป อัตภาพของตัวตนจะเป็นเช่นไร ก็ขึ้นอยู่กับความคิดและจิตใจ ถ้าความคิดและจิตใจมีความบริสุทธิ์ เป็นอิสระและศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่เราจะได้รับก็คือ ความบริสุทธิ์ อิสระ และศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าจิตและความคิดเต็มไปด้วยกิเลสตัณหาและความอยาก สิ่งที่ได้มาก็คือ บาป อกุศล และวิบากกรรมที่นำไปสู่การเวียนว่าย แต่ถ้าในอัตภาพของจิตและความคิดมีความเป็นธรรม และตื่นรู้ในธรรมด้วยสติ สิ่งที่ได้รับกลับคืนมาก็คือ ความพ้นทุกข์และหมดสิ้นอัตตาตัวตน ฉะนั้นเมื่อเรามีชีวิตอยู่ ชีวิตจะเป็นอย่างไร ต่อไปจะเป็นอย่างไร อนาคตจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้ที่เราสร้าง ใช่ไหม (ใช่) ไม่ว่าศิษย์จะสร้างมานานแค่ไหนก็ตาม แม้ตอนนี้ศิษย์ไม่ได้สร้างขึ้นแล้ว แต่สิ่งนั้นก็ยังคงอยู่ในจิตใจ แล้วเกิดความกระเพื่อมสะท้อนให้เรารู้ว่า “เราเคยทำผิด เรามีสิ่งผิดติดอยู่ในใจ” ใช่หรือไม่ เรามีสิ่งไม่ดีสะท้อนอยู่ในใจของเรา สิ่งที่ไม่ดียังฝังอยู่ในใจ ถึงแม้เราจะหยุดเขียน หยุดสร้างแล้วก็ตาม แต่รอยของสิ่งนั้น รอยไม่ดีนั้นก็ยังอยู่ ฉะนั้นเราถูกปรุงแต่งไปด้วยกรรมที่ตัวเองสร้างขึ้นมา กรรมของเราจะดีหรือจะร้าย ก็ขึ้นอยู่กับอดีตที่เราเคยทำไว้ หรือปัจจุบันนี้เรากำลังทำอะไร จึงมีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ชีวิตและสรรพสัตว์ ล้วนเป็นอยู่ได้ด้วยกรรมที่ตัวเองทำมา” ถูกไหม
ฉะนั้นจะบอกว่าตายแล้วจบกัน ไม่จริง ตายแล้วร่างกายจบ แต่จิตไม่จบ เพราะจิตยังยึดติดบุญกรรมที่ตัวเองสร้าง และบุญกรรมที่ตัวเองสร้าง จะนำพาให้เราต้องไปเวียนว่ายในวัฏสงสารไม่จบสิ้น เราจะหยุดกรรมที่ตนเองสร้าง และไม่ทำให้ตนเองทุกข์ได้ด้วยการปฏิบัติธรรม แล้วจะปฏิบัติธรรมอย่างไร ง่ายๆ เลยนะศิษย์ เรามีชีวิตอยู่เพื่อสนองกิเลสตัณหาความอยากในตน หรือเรามีชีวิตอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมต่อคน ความหมายต่างกัน ทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิตอยู่เพื่อสนองกิเลสตัณหาและความอยาก ผลที่ได้ก็คือ ทุกข์ วิบากกรรม และการเวียนว่าย หากทุกขณะที่ศิษย์ที่มีชีวิตอยู่ ศิษย์ปฏิบัติต่อกันด้วยความเมตตา เคารพ ซื่อตรง ให้เกียรติ จริงใจ มีน้ำใจ เราจะสร้างกรรมต่อไหม และจะเป็นกรรมต่อไหม แต่ทุกครั้งที่เราปฏิบัติต่อกัน ฉันอยากได้อะไรจากแก ทำไมแกไม่ทำอะไรให้ดีกว่านี้ ดังนั้นสิ่งที่เราปฏิบัติต่อกัน มันจึงไม่ใช่แค่ธรรมกับธรรม แต่มันเป็นกิเลส และกรรม ถ้าศิษย์มีชีวิตอยู่ และอยากบำเพ็ญธรรมให้ถูกต้องก็คือ กับคนที่อายุมาก เราเคารพ ให้เกียรติ กับคนที่อายุน้อย เราเมตตา จริงใจ กับเพื่อน เราซื่อตรง เข้าใจ ไม่เอาเปรียบ ดำเนินชีวิตรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เช่นนี้แล้ว กิเลสจะเกิดหรือไม่ (ไม่)  แต่เวลาอยู่กับลูกกับสามี ปฏิบัติด้วยธรรม หรือว่าปฏิบัติด้วยกรรม กรรมอะไรนี่ต้องมาเจอแม่เธอ พ่อเธอ กรรมอะไรนี่ทำให้ต้องมีเพื่อนอย่างเธอ ฉะนั้นสิ่งที่ได้ เราก็เลยหนีไม่พ้นกรรม แต่ถ้าเราปฏิบัติต่อกันด้วยธรรม ให้เกียรติ เคารพ เมตตา ซื่อตรง จริงใจ ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ส่วนเขาไม่ดีเป็นเรื่องของเขา เรามีหน้าที่แค่บอกว่าไม่ถูก ถ้าไม่ถูกสามครั้งแล้ว เราก็ต้องปล่อย เพราะว่าเราเปลี่ยนเขาไม่ได้ สิ่งที่เปลี่ยนได้ก็คือตัวเราเอง เราทำได้อย่างนี้ไหม (ได้)  ยากไหม
แต่อาจารย์เคยเห็นความโกรธที่ไม่บาป แต่เป็นโกรธที่น่ารัก เป็นโลภหลงที่ไม่บาป ไม่มีกรรม แต่เป็นโลภหลงที่น่ารัก อาจารย์พูดให้ฟัง มีแม่คนหนึ่งโกรธลูกมาก สอนให้ได้ดีอย่างไรก็ไม่เอา ก็เลยโกรธ แต่ก็ไม่ด่าลูก ลูกมาถึงก็เรียกลูกมานั่งและแม่ก็นั่งตีมือตัวเอง ว่าแม่ไม่ดี แม่แย่ แม่เลว ใช่ไหม ลูกถึงไม่เคยได้ดี ศิษย์คิดว่าลูกนั่งมองแม่นั่งตีมือตัวเอง ลูกจะไม่สำนึกหรือ และเป็นการโกรธที่น่ารักไหม ไม่ลงโทษลูกแต่ลงโทษตัวเอง ถ้าสามีมีชู้ ก็ตบตัวเองเลย แล้วบอกว่าเพราะฉันไม่ดี ฉันเลว ฉันขี้บ่น ใช่ไหม ฉันขอโทษ ถ้าตบเขาแล้วเขาไม่เคยแก้ไข เราก็ตบตัวเองดีกว่า เราเคยเห็นไหม โลภหลงแบบนี้แล้วน่ารัก โลภหลงแล้วไม่เป็นบาป เคยเห็นเวลาซองผ้าป่า ซองบุญมาไหม (เคย)  เอามาเลยชอบทำบุญ ช่วยคนเหรอ ช่วยๆ เพราะชอบ แบบนี้น่ารักไหม ไปไหนก็จะมีแต่คนรัก โลภบุญ โลภกุศล มีอะไรชอบทำหมด ก็เป็นโลภหลงที่ไม่ก่อกรรม เป็นบุญที่น่ารัก ชวนไปไหนขอให้เป็นงานบุญไปหมด ชวนไปเที่ยว ไม่เอา แต่ศิษย์เป็นอย่างไร งานบุญกลับไม่เอา ไปเที่ยวกลับรีบเอา เรียนรู้ธรรมไม่ใช่สอนให้ศิษย์ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง แต่รู้จักโลภ โกรธ หลง แล้วไม่กลายเป็นกรรมที่ก่อให้เกิดความทุกข์ และเกิดการจองเวรจองกรรม ศิษย์ยังต้องไปรับผิดชอบต่อหน้าที่และต้องไปแสวงหาเงินทอง แต่ขอให้ศิษย์หาเงินอย่างมีธรรม และหาเงินอย่างไม่ตกเป็นทาสของกิเลสที่ทำให้เราหนีไม่พ้นกรรม เราไม่อยากมีทุกข์เพิ่มไม่ใช่หรือศิษย์ ทุกข์ครั้งเดียวก็เจ็บพอแล้ว ผิดหวังครั้งเดียวก็ช้ำมากพอแล้ว แล้วอยากผิดหวังอีกไหม อยากทุกข์อีกไหม (ไม่อยาก)  ถ้าอย่างนั้นก่อนที่จะทำอะไรลองไตร่ตรองให้ดี ผิดศีลไหม เบียดเบียนชีวิตคนไหม อยากได้ของคนอื่นเอามาเป็นของตัวเองไหม มันทำให้เรากลายเป็นคนสับปลับปลิ้นปล้อนหลอกลวงหรือเปล่า มันทำให้เราเป็นคนที่ทำอะไรแล้วเป็นคนที่โง่เขลาเบาปัญญาหรือไม่ ถ้าทุกขณะที่ทำเรามีเมตตา ความอยากนั้นก็คงไม่ทำร้ายใครใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนที่ศิษย์หวังดีกับคนอื่น แต่หวังดีมากเกินไปจนไม่มองความจริงมันก็เจ็บ ฉะนั้นเมตตาก็ต้องเมตตาโดยอย่าลืมความเป็นจริง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนวงพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
อาจารย์พูดเริ่มต้นไป เรื่องความทุกข์มี ๒ แบบ
๑. ความทุกข์จากความเป็นจริงที่หลีกไม่พ้น
๒. ความทุกข์ที่เกิดจากกรรมหรือการกระทำของเราเอง
อาจารย์ก็ได้บอกวิธีแก้ให้เราไม่สร้างทุกข์ที่เกิดจากกิเลสไปแล้ว แต่อาจารย์ยังไม่ได้บอกวิธีที่จะรับมือกับความทุกข์ที่เกิดจากความเป็นจริง
ในชั้นนี้มีใครเกิดมาแล้วไม่ตายบ้าง มีใครไม่เคยพลัดพราก มีใครโชคดีแล้วไม่มีโชคร้ายเลย มีใครสวยแล้วจะไม่น่าเกลียด มีใครหล่อแล้วจะไม่อัปลักษณ์ แล้วมีใครมีเงินแล้วเหมือนไม่มีเงินบ้าง ศิษย์เอ๋ย เมื่อศิษย์จะอยู่กับอะไร ต้องอย่าลืมว่า จะมีกฎอย่างหนึ่งซึ่งเป็นกฎที่ตายตัว ที่อย่างไรก็หนีไม่พ้น เป็นกฎแห่งความเป็นจริงที่จะทำให้เราทุกข์น้อยที่สุด ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง แล้วเราจะไม่ทุกข์ และอยู่กับมันด้วยความรู้สึกว่าเป็นธรรมดาได้ นั่นคือเราต้องเข้าใจชีวิต
ในสิ่งที่เรียกว่า “ชีวิต” นั้นมีกฎอยู่อย่างหนึ่งว่า “ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ” ที่ได้ก็เหมือนไม่ได้ ที่มีก็เหมือนไม่มี ที่เห็นก็เหมือนไม่เห็น ที่รู้ก็เหมือนไม่รู้ ถ้าพึงคิดอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา พิจารณาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เขียนกระดานให้อาจารย์หน่อย เผื่อเอาไปรับมือกับความเป็นจริงในโลกแล้วจะได้ทุกข์น้อยลง วันหนึ่งหน้าตึงๆ นี้เกิดเหี่ยวขึ้นมาก็รับได้ ไม่ต้องไปฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเล่อร์
ถ้าศิษย์อยากจะอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง เราพึงสำนึกไว้ตลอดเวลาว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เช่นตอนแรกอาจารย์ว่าจะให้แอปเปิล แต่ตอนนี้อาจารย์เปลี่ยนใจ ถ้าเรารับความจริงอันเป็นธรรมดาได้ว่า โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เราก็คงไม่เกลียดอาจารย์ ฉะนั้นเมื่ออาจารย์บอกว่าจะให้แล้วอาจารย์เปลี่ยนใจบอกว่าไม่ให้ได้ไหม (ไม่ได้)  นี่คือไม่ยอมรับความเป็นจริง ก็โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน นับประสาอะไรกับคน คนแน่นอนไหม วันนี้เขารักเรา พรุ่งนี้เขาด่าเราไหม (ด่า)  วันนี้เขาด่าเราพรุ่งนี้เขาชมเราไหม (ชม)  แน่นอนไหม (ไม่แน่นอน)   ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความไม่แน่นอน เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) พอถึงเวลาเราโดนด่าเราทุกข์ไหม (ทุกข์)
ฉะนั้นความไม่แน่นอนจึงทำให้เรารู้ชัดว่า ในความไม่แน่นอนนั้นแปลว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แล้วความไม่แน่นอนก็ทำให้เราแตกออกไปอีกว่า สิ่งที่เราเห็นก็เหมือนไม่เห็น เหมือนเมื่อวานเขานั่งตรงนั้น แต่วันนี้เขานั่งตรงนี้ ศิษย์เอ๋ยความไม่แน่นอนทำให้เราเห็นว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ อย่างที่สองทำให้เราเห็นว่า สิ่งที่เรารู้ก็เหมือนไม่รู้ ตำแหน่งหน้าที่ คนรัก ชีวิต เราว่าเรารู้จักแล้วนะว่าชีวิตเราเป็นอย่างนี้ แต่ถึงเวลาเราก็เหมือนไม่รู้จักตัวเราเอง คนรัก พ่อแม่ เราว่าเรารู้จักดี แต่ถึงเวลาเขาก็ทำอะไรที่เราไม่คาดคิด ไม่รู้จักได้เหมือนกัน ชีวิต เงินทอง ทรัพย์สิน เราว่ากว่าจะได้ตำแหน่งนี้มา รู้จักแบบเต็มที่ ถึงเวลาดันพลิกโดนไล่ออกจากตำแหน่ง เราก็เหมือนจะรู้ แต่แท้จริงแล้วเราไม่รู้
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความไม่แน่นอน เราจะรู้ว่าแท้จริงแล้วรู้ก็เหมือนไม่รู้ เมื่อไรเราเข้าใจความไม่แน่นอนอีก เราก็ยังรู้อีกว่ามีสิ่งที่เราคิดว่ามันมี มันก็เหมือนไม่มี คนนี้ของฉัน ฉันมี ฉันได้ แต่มีก็เหมือนไม่มี ดังนั้นคิดไว้ว่าเวลาสามีออกจากบ้าน สามีก็ไม่ใช่ของเรา ออกจากบ้านแล้ว ภรรยาก็ไม่ใช่ของเรา อยู่ในบ้านเดียวกันบางทีก็ไม่ใช่ของเรา เพราะใจไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ เงินก็เหมือนกัน เหมือนอยู่ในกระเป๋า แต่ถึงเวลาหายออกไปได้อย่างไร เพราะเอาไปแทงหวยสามตัว ถ้าเราเข้าใจความไม่แน่นอนของชีวิต เราก็จะเห็นความกระจ่างในความเป็นจริงว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ เราจะอยากได้อะไรไหม เมื่อไม่สมบูรณ์แบบ รู้แล้วเหมือนไม่รู้ เราจะโกรธอะไรไหม มนุษย์จะทุกข์ก็ตรงนี้ ที่คิดว่าตัวเองรู้แต่จริงๆ แล้วเราไม่รู้อะไรเลย ถ้าเราไม่อยากจะทุกข์ ในโลกนี้ศิษย์อย่าลืมความเป็นจริงอันนี้ที่เรารู้ เอามาเตือนใจตลอดเวลา ฉะนั้นจะเจอเรื่องราวอะไร ศิษย์จะได้ไม่ผิดหวัง เพราะสิ่งที่เรารู้ก็เหมือนไม่รู้ สิ่งที่เราคิดว่าเลือกมาดีที่สุด แท้จริงอาจจะไม่ดี เหมือนเราคิดว่าเลือกผลไม้มา ในบรรดาเหล่านี้อันนี้ดีที่สุด แต่ถึงเวลาเราเลือกมา พอเปิดกินดู เปรี้ยว ขม เฝื่อน เมื่อเรารู้ว่าได้มาแล้ว มันไม่เป็นอย่างที่เราคาดคิด โกรธไหม ถ้าโกรธศิษย์ก็ทุกข์เพิ่ม โกรธแล้วไปด่าแม่ค้า ถ้าไปด่าแม่ค้าศิษย์ก็สร้างวิบากกรรม ฉะนั้นถ้าเปลี่ยนใหม่ ได้มาแล้วอร่อยถูกใจ ทุกข์หรือสุข  (สุข)  จงอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น
ฉะนั้นในโลกแห่งความเป็นจริง ทุกขณะจิตล้วนบ่งบอกว่าเราสร้างกรรมหรือเรามีธรรม เราเอาสิ่งนั้นมาทำให้เราตื่นรู้ในธรรม หรือเอาสิ่งนั้นมาสร้างเวรสร้างกรรม ธรรมะจึงไม่ใช่อยู่แค่ในวัด แต่ธรรมะอยู่ทุกขณะจิตที่เราดำเนินชีวิต เราจะเกิดมามีกรรมต่อกัน หรือเกิดมาเพื่อสิ้นกรรมและพบธรรม
ฉะนั้นประมาทไม่ได้แม้ชั่วขณะที่ศิษย์คิด อร่อยก็มีกรรม ไม่อร่อยก็มีกรรม (อย่าไปคาดหวัง)  ให้มันได้จริงๆ อย่างนั้น แล้วถึงเวลาเราไม่คาดหวังได้ไหม มีลูกก็อดคาดหวังว่าลูกต้องได้ดี แล้วทำอย่างไรดีเพื่อไม่คาดหวัง อย่าไปคิดอะไรเลยใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอ๋ยไม่คิดอะไรเลยก็ดี แต่บางครั้งก็ต้องคิดอย่างคนมีสติและปัญญา ไตร่ตรองในความเป็นจริง และความจริงจะไม่ทำให้ศิษย์ทุกข์ เราเกิดมาเพื่อนั่งอมทุกข์หรือศิษย์ (ไม่ใช่)
คนทุกคนเกิดมา ถามว่ามีใครอยากเกิดมาเป็นคนโง่ไหม ฉะนั้นธรรมะทำให้ศิษย์ฉลาดขึ้น และมองเห็นโลกชัดขึ้น มองเห็นมายาในมายา มองเห็นความจริงมีมายาซ้อนอยู่ และเราจะเลือกมายาหรือจะเลือกความจริง ใครๆ ก็อยากได้ความจริง
การศึกษาบำเพ็ญธรรม จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ขอเพียงเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต และเข้าใจตัวตนเองไม่สร้างวิบากกรรมด้วยการตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา แล้วความทุกข์ของเราก็จะไม่มีมาเพิ่ม ฉะนั้นเมื่อพบอะไรที่เกินเลยไป รู้สึกว่าแย่เกินไปบ้าง เราก็จะยอมรับว่า สิ่งนั้นคือความไม่แน่นอน และเมื่อถึงที่สุดในความไม่แน่นอน ก็หาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ ถึงที่สุดตัวเราเองก็ต้องกลับคืนสู่ดิน เหลือแต่จิตเท่านั้น
ฉะนั้นจิตจะคืนสู่ธรรม หรือจิตจะยึดติดกรรม ก็ต้องถามใจของศิษย์ดูเอง ถ้ายึดติดกรรมดีกรรมชั่ว ศิษย์ก็จะหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ศิษย์ต้องกลับไปพบ แต่ถ้าศิษย์ทำอะไรแล้วไม่ยึดติด ทำอะไรแล้วก็ล้วนแต่ทำไปเพื่อธรรมะ เพื่อความเมตตาธรรม เพื่อความซื่อตรงจริงใจต่อกัน เราก็จะไม่มีกรรมต่อไป ดังนั้นเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติธรรมให้ดี ถ้าทำได้ดีก็เรียกได้ว่าเป็นพุทธะบนดิน เป็นคนประเสริฐ อย่างน้อยตายไปก็ไม่เสียชาติเกิด ที่เราทำดีที่สุดแล้ว ถึงแม้ยังไม่พ้นทุกข์ อย่างน้อยก็ยังมีบุญกลับมาบำเพ็ญต่อได้
อยู่ในโลกนี้อย่ายึดติดความคิดของตัวเองจนมองไม่เห็นความจริง อยู่ในโลกนี้จงรู้จักมองความจริงอย่าเอาแต่สิ่งที่เราอยากได้ อยากเจอ แม้สิ่งที่ตัวเองอยากได้ อยากเจอนั้นจะดีก็ตาม แต่ความเป็นจริงในโลกนี้ มีดีก็มีเสีย มีสุขก็มีทุกข์ เราเกิดมายืนอยู่ระหว่างฟ้ากับดิน ไม่ยึดติดอะไร ถ้ามองแล้วรู้สึกทุกข์เหลือเกิน เจ็บเหลือเกิน ศิษย์ลองย้ายมุมมองดู เผื่อจะมีอะไรให้เห็นแล้วรู้สึกสบายตา สบายใจขึ้น เราเลือกได้ เราอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน
เราเลือกที่จะเป็นได้ และเราเลือกที่จะวางใจให้พ้นทุกข์ได้ ถ้ารู้สึกว่ายึดแล้วทุกข์ก็ให้ปล่อย แล้วมองมุมอื่นที่ทำให้รู้สึกสบายใจ แต่ถ้ามองแล้วรู้สึกเจ็บ แค้น เกลียด อยากด่า อย่างนี้เราเลือกที่จะไม่มองจะดีกว่าไหม
เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง เราทำให้ทุกคนยิ้มให้เราได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วให้ทุกคนยิ้มให้เราตลอดได้ไหม (ไม่ได้) อย่างนั้นเวลาที่คนอื่นเขาหน้าบึ้งก็เป็นเรื่องธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถูกด่าก็เป็นเรื่อง (ธรรมดา) เมื่อรู้สึกสูญเสียก็เป็นเรื่อง (ธรรมดา) จริงๆ นะ เมื่อเรามองเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว เราก็ทำใจให้เข้าใจ แล้วศิษย์ก็จะไม่ทุกข์กับโลกใบนี้เลย เรื่องที่ไม่ควรคิดศิษย์ก็คิดมากกันจัง แต่เรื่องธรรมะ คิดแล้วทำให้พ้นทุกข์ ทำไมศิษย์จึงไม่คิด คิดแล้วทำให้ปลดปลง โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน โลกนี้ไม่มีอะไรดีที่สุด รู้ก็เหมือนไม่รู้ ช่างมัน ฝึกคิดอย่างนี้เผื่อว่าจะทำให้ศิษย์ได้ตื่นรู้ในใจขึ้นมาบ้าง ฉะนั้นอย่างที่อาจารย์บอกไว้ว่า อย่าโกรธ ไม่ต้องไปตีเขา ไม่ต้องไปด่าเขา แต่ย้อนกลับมาพิจารณาตัวเอง
เมื่อไรที่เราเผลอยึดขึ้นมา เราจะหนีไม่พ้นความทุกข์ แล้วเราก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาที่เห็นแจ้งจริงได้ เราทุกข์เพราะเราคิดว่าเรารู้จักแกดี แกไม่ต้องมาเถียง แค่อ้าปากก็รู้แล้วว่าคิดอะไร แต่จริงๆ รู้ไหม (ไม่รู้)  ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้ไม่เกิดความทุกข์ก็คืออย่ายึดติดในความคิดจนลืมมองเห็นความ เป็นจริง เหมือนที่ท่านแปดเซียนบอกไว้ว่า “ไม่มีใครทำร้ายเราได้มากกว่าเราวางใจผิด”  ศัตรูคู่อาฆาตทำร้ายเรายังไม่น่ากลัวเท่าเราวางใจผิด


(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “วางใจให้ถูกที่”)
ถ้าเขาว่าเราแต่เราวางใจถูก ไม่เป็นไร มีชมก็มีว่า เราไม่ทุกข์ แต่ถ้าเขาชมเรา แต่ในใจเราคิดว่าเขาชมเพราะหวังอะไรในใจ ที่ชมเราก็ทุกข์ เหมือนเราถูกสองตัว ดีใจหรือเสียใจ เสียใจว่าทำไมเราไม่ลงให้มากกว่านี้ ถ้าวางใจผิดแม้จะถูกก็เหมือนไม่ถูก เพราะใจคิดไม่ได้ ฉะนั้นชีวิตจะเป็นอย่างไรไม่ใช่อยู่ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่อยู่ที่ฟ้ากำหนด แต่อยู่ที่ตัวศิษย์ทุกคนคิดและเข้าใจชีวิตอย่างไร ดั่งพระพุทธะกล่าวไว้ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” พึ่งคน อื่นยังมีวันกลับกลาย ยังมีวันเปลี่ยนแปลง แต่พึ่งปัญญาของตนที่สู้ไม่ถอย ล้มแล้วเข้มแข็งได้ ทุกข์แล้วก็จะสุข ไม่ต้องรอใคร เจ็บแล้วก็กลับมายืนใหม่ได้ ด้วยสติปัญญาตัวเองดีกว่าไหม ขอเพียงอย่างเดียว ศิษย์อย่าผิดศีล อย่าขาดธรรม อย่าตกเป็นทาสกิเลสอารมณ์ และความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เพราะถึงตอนนั้นแม้ศิษย์จะเป็นศิษย์ของอาจารย์ อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ กรรมใครกรรมมัน ไม่มีใครล้างบาปของใครได้ ฉะนั้นถ้าไม่อยากมีบาปมีกรรม ก็อย่าตกเป็นทาสของกิเลส และอารมณ์ในคำว่าตัวตน
วันนี้อาจารย์ก็คงต้องกลับแล้ว ฉะนั้นถ้าคิดจะบำเพ็ญจงเลือกบำเพ็ญในทางที่ถูกต้อง ถ้าคิดจะปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติให้ถึงที่สุด ถ้าเลือกที่จะทำก็ต้องทำให้ดี อย่ากอปรไปด้วยกิเลสและความยึดติดหลง ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย
บุญเขาก็มี แต่สิ่งที่ไม่ถูกต้องเขาก็ยังมี ฉะนั้นทำได้ดีหรือยัง อารมณ์ควบคุมได้ไหม ศิษย์จำไว้ สังขารสักวันต้องเสื่อมสลายกลับคืนสู่ดิน จงรักษาจิตที่ศักดิ์สิทธิ์ และดีงามไว้ เพื่อกลับคืนสู่ฟ้า จิตบริสุทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อ ไม่กอปรไปด้วยอัตตา กิเลส นิสัย และอารมณ์
จิตบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ได้ เมื่อประกอบไปด้วยศีลธรรมที่งดงามแห่งความเป็นคน สังขารคืนสู่ดิน จิตคืนสู่ฟ้า แล้วจิตจะคืนสู่ฟ้าได้อย่างไร ก็ต้องเป็นจิตที่บริสุทธิ์ใส ไม่กอปรไปด้วย กิเลส ทิฐิ ตัณหา อบายมุข และอารมณ์แห่งตัวตน แต่ถ้าเรายังไม่สามารถทำจิตให้คืนใสได้ จิตยังเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ศิษย์ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ต้องไปเวียนว่าย แล้ววิบากกรรมที่ศิษย์สร้างบาปมากกว่า หรือบุญมากกว่า ถ้าบาปมากกว่า ก็หนีไม่พ้นนรกลงดิน แต่ถ้าบุญมากกว่า ก็ขึ้นไปเสวยบุญ พอหมดบุญก็ต้องกลับมาเวียนว่าย แล้วเราต้องเวียนว่ายอีกเท่าไร ทุกข์อีกเท่าไร ถ้าศิษย์ว่าทุกข์ในโลกเจ็บแล้ว แต่อาจารย์จะบอกว่า ทุกข์แห่งการต้องกลับมาเกิดอีก เจ็บยิ่งกว่า ถ้าศิษย์ว่าการมีชีวิตอยู่ในโลกมันทุกข์แล้ว แต่ทุกข์ของการที่ต้องไปสนองรับกรรมที่ตัวเองสร้าง เจ็บยิ่งนัก เพราะเราเอาเขามาทั้งชีวิต เราเบียดเบียนคนอื่นทั้งชีวิตและจิตใจ เพราะเวลาเราว่าคน เราเคยรู้จักความเมตตาก่อนว่าไหม เวลาโมโหแล้วว่า เคยมีสติยั้งใจว่า อย่าทำเขาเลยไหม ถ้าไม่มี ศิษย์ก็ต้องรับกรรมที่ศิษย์ทำไว้อย่างหนีไม่พ้น ฉะนั้นปฏิบัติต่อกันด้วยธรรมดีกว่า อย่าปฏิบัติต่อกันด้วยอารมณ์ ปฏิบัติต่อกันด้วยเมตตาดีกว่า อย่าปฏิบัติต่อกันด้วยความโกรธ ความหลง มีธรรมในตัว มีธรรมเป็นตัวเป็นตน และมีธรรมครอบงำจิตใจตน และเมื่อนั้นตัวตนจะหายไป เหลือแต่ธรรมที่คงอยู่ไว้
อาจารย์อยากเห็นศิษย์เก่งกว่าอาจารย์ ไม่ใช่แย่กว่าอาจารย์ อาจารย์อยากเห็นศิษย์ของอาจารย์เข้มแข็ง ยืนหยัดในวันที่ท้อแท้ วันที่ล้า วันที่เจ็บปวดได้อย่างมั่นคง ถ้าศิษย์รักตัวเองจริงๆ คงไม่สร้างความทุกข์ให้ตัวเอง ถ้าศิษย์รักตัวเองอย่างที่อาจารย์รักศิษย์ ศิษย์ก็คงรีบนำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ แต่ไยหนอจึงไม่รักตัวเอง เห็นกิเลสเห็นอารมณ์ดีกว่าหัวใจแห่งธรรม
อาจารย์คงต้องไปแล้ว เข็มแข็งหยัดยืนในความถูกต้อง ด้วยหัวใจที่สู้ไม่ถอย รู้จักมีสติยับยั้ง อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นทาสอารมณ์ แม้ไม่เจออาจารย์แต่ถอดความอาจารย์ ก็เอาใจอาจารย์ไปด้วย รู้จักทำ รู้จักคิด จะได้ไม่ทุกข์ ทุกข์แค่นี้ก็มากแล้ว ถ้าเชื่อว่าจะหมด มันก็มีวันหมด กลับมาช่วยอาจารย์ อย่าลืมสิ่งที่เคยรับปากไว้ เป็นกำลังให้ รักษาหัวใจอันดีงามไว้ เข้มแข็งเลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่าหลงผิดเพราะความคิดชั่ววูบ สิ่งมงคลจะเกิดได้เมื่อเรารักษาความดีงาม อย่าดูถูกคุณค่าตัวเอง กำลังใจอาจารย์ให้ศิษย์เสมอ รักษาสิ่งที่ถูกต้องและดีงามไว้ มีโอกาสลองมาช่วยอาจารย์ เด็กดีของอาจารย์ มีศิษย์ที่เข้มแข็งอยู่ข้างหลังอาจารย์ อาจารย์ก็ดีใจ มีศิษย์ที่มั่นคงไม่ยอมแพ้ อาจารย์ก็ภูมิใจ มีโอกาสก็กลับมาอีก และตั้งใจบำเพ็ญ รู้จักเลือกดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง
มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีก อาจารย์ไม่เคยทิ้งศิษย์ ฉะนั้นศิษย์อย่าทิ้งตัวเอง รักษาความถูกต้องและดีงาม ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส และนำพาให้ตัวเองทุกข์ ลองคิดให้ดีๆ ว่าสิ่งที่อาจารย์พูดได้กลั่นออกมาจากใจ หวังให้ศิษย์พ้นทุกข์จริงๆ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “วางใจให้ถูกที่”
    ชีวิตคนเป็นอย่างไร                    วุ่นวายเป็นอย่างที่รู้
ช่างรู้ในความไม่รู้                           ผู้เฝ้าตามดูไม่หลง
วางใจลงให้ถูกที่                            บางทีทำถูกผิดส่ง
ชีวิตไม่ใช่เส้นตรง                           ปัญญาจงเป็นธงชัย
ยืนหยัดในวันลมแรง                       กำแพงแห่งโลกแปลกใหม่
สู้ให้ชนะเมื่อไร                             ทำใจให้เป็นดีกว่า




อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

2561-05-19 สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  จ.ประจวบคีรีขันธ์

西元二○一八年歲次戊戌四月初五日                                           仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๑          สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

  ทางสายหนึ่งเพียรมานานผ่านมาเยอะ    เนื้อตัวเลอะชำระด้วยปัญญาสาง
บำเพ็ญด้วยการลงเรือลำเดียวกัน        ร่วมมือกันเรื่องยากจะง่ายดาย
                                เราคือ
  นาจาน้อย                                    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว              ถามศิษย์น้องทุกคนสบายดีไหม

  หดหู่เพราะใจสุมประเดประดัง         หูตาสว่างมั่นคงธรรมไสว
ชีวิตคนไม่หมายมุ่งแสวงไป               อะไรไม่ปัญญาได้ไม่ยากเย็น
วางอำนาจใช้เพราะขาดอำนาจนัก       จับยึดเกิดจากบรรดาที่เห็น
เสพติดกิเลสอัตตาเราที่เป็น              คนชอบคิดจะบำเพ็ญยากลำบากลำบน
มัวนึกทางคอยสบายไม่ขยับ              เพียรสดับธรรมอยู่ทุกแห่งหน
สุญญตาคือดับสิ้นไร้ตัวตน                คุ้ยเชื้อไฟอย่าฉงนทำไมมี
พูดทำซึ่งยึดเป็นปัญหาเด่น               ชินกลายเจนเดียดฉันท์รังเกียจเพราะอคติ
ปราศจากยึดอย่าทุกข์ทุกข์อย่าหนี       มีสุขอย่ากลัวมีเผื่อแผ่ประจำ
บำเพ็ญจนกลายเป็นนักธรรมดี           ขอให้มีสามัคคีพาเมตตาค้ำ
การสอนธรรมใหญ่หลักทวงพฤติกรรม   เฝ้าตามรู้สติธรรมชัยชนะ
เป็นคนจริงนิสัยใช่แค่ตรง                 โมหะหลงไม่ไปปรุงแต่งธรรมะ
ความสุภาพผ่อนกิเลสมารกลายพระ     พายุอารมณ์ก่อให้จะต้องควบคุม
                                    ฮิ ฮิ หยุด

พระโอวาทศิษย์พี่นาจา



ท่านเป็นคนที่ชอบให้ เป็นคนที่มีน้ำใจ เมื่อให้เขามากๆ แต่เขาไม่เคยพอ ยังจะให้เขาอีกไหม (ให้)  ถ้าท่านพยายามที่จะให้อะไรกับใครสักคนด้วยความหวังดี แต่พอให้ไปแล้วเขาไม่เห็นคุณค่า ให้แล้วก็ยังโดนต่อว่าอีก ท่านยังจะให้อีกไหม (ให้)  หลักใหญ่ของการศึกษาบำเพ็ญ ไม่ใช่แค่เพียงเป็นคนดี แต่ต้องเป็นคนดีที่รู้จักแก้ไขตัวเอง และพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป เพราะไม่มีใครเปลี่ยนเราได้นอกจากตัวเราเอง ไม่มีใครแก้ไขตัวเราได้ นอกจากตัวเราเอง จะยอมรับไหมว่าตัวเราเองยังดีไม่พอ (ยอมรับ)
โดยส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเราเป็นคนดีแล้ว ยังต้องมาฟังธรรมะอะไรอีก ปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติอยู่บ้างแล้ว ทำไมยังต้องมาฟังธรรมอีก อดคิดไม่ได้ ถ้าท่านคือคนหนึ่งที่เป็นคนดีปฏิบัติดีมาก่อน คนดีสามารถโดนว่าได้ไหม (ได้)  คนดีเมื่อโดนว่าแล้วยังสามารถรักษาความดีได้อยู่ใช่ไหม คนดีโดนว่าแล้วไม่เสียความดีไปใช่ไหม (ใช่)  เป็นคนดีแล้วต้องไม่ประพฤติผิดศีลและไม่ขาดคุณธรรมของความเป็นคน แล้วเราเป็นคนดีที่ประพฤติผิดไหม เราเป็นคนดีที่ยึดติดว่าเราดีใช่ไหม (ใช่)  การศึกษาธรรมข้อสำคัญคือ การย้อนมองส่องตน ขัดเกลาแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีให้ดียิ่งขึ้นไป เพราะในโลกปัจจุบันนี้ทุกคนต่างก็พูดว่าตัวเองเป็นคนดี ใครว่าเราไม่ดีได้ไหม (ไม่ได้)  ใครจะแก้ไขเราได้ ในเมื่อใครๆ ก็ว่าเรา แต่ตัวเราก็ไม่ยอมรับ ข้อสำคัญหลักใหญ่ของการศึกษาบำเพ็ญคือ ย้อนมองส่องตนเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด แม้ว่าใครมาว่าเรานั้นไม่ดี ตัวเราก็ไม่เชื่อ แม้ว่าใครจะมาเปลี่ยนแปลงตัวเรา ตัวเราก็ไม่คิดจะเปลี่ยน จนกว่าตัวเราจะยอมรับตัวเราเองว่าไม่ดี เราถึงจะเปลี่ยนแปลง ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าตอนนี้เราคิดว่าตัวเราเป็นคนดี เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไหม (ไม่เปลี่ยน)  เป็นคนดีแล้วก็ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ที่ต้องเปลี่ยนแปลงคือสิ่งที่ไม่ดี แต่คนดีเคยยอมรับไหมว่าตัวเองไม่ดี (ไม่ยอมรับ)  วันนี้เราจะมาคุยและพิจารณาที่ละเรื่องว่า ท่านเป็นคนดีจริงๆ ไหม
ฟังธรรมะแล้วสบายใจไหม (สบายใจ)  เวลาเราตั้งใจทำสิ่งใดก็ตาม เพื่อเป็นการให้ด้วยจิตใจที่อยากให้ แม้ว่าการให้นั้นจะทำให้คนที่เขารับไม่เห็นคุณค่า แต่จงมุ่งมั่นตั้งใจให้ต่อไป อย่าได้เสียใจ อย่าได้ท้อแท้ แม้สิ่งที่เราให้เป็นสิ่งที่ดีและมีค่า แต่เขาไม่เห็นคุณค่า เขาไม่เข้าใจ ถ้าศิษย์น้องคือคนหนึ่งที่มุ่งมั่นทำความดีเพื่อช่วยคน ขอจงอย่าท้อ เพราะคนดีย่อมไม่เปลี่ยนแปลง และเราขอเป็นคนดีคนหนึ่งเมื่อมีโอกาสจะทำให้เต็มที่ และเมื่อมีโอกาสเป็นผู้รับ จะเป็นคนหนึ่งที่รู้สำนึกคุณคนที่ให้ เราจะไม่ยอมผิดพลาดเหมือนคนที่เราเคยเจอ เราจะไม่ยอมทำให้ใครที่ให้เราแล้วรู้สึกแย่เหมือนที่เรารู้สึก ฉะนั้นถ้าศิษย์น้องคือคนหนึ่งที่อยากมุ่งมั่นทำความดี เมื่อคิดจะให้ ก็ให้จนถึงที่สุด แม้เขาจะไม่เห็นคุณค่าก็ตาม นั่นเป็นประจักษ์หลักฐานว่าเราก็คือคนดีที่แท้จริง อย่างไรเราก็ไม่เปลี่ยนแปลง และเราจะเป็นคนดีที่เห็นคุณค่าของการให้ และรู้คุณคนของการที่เมื่อเรารับอะไรของใครมาแล้ว เราไม่ลืมคุณคน ดีไหม (ดี)  เพราะในโลกนี้มีคนที่ให้และมีคนที่รับ
ศิษย์พี่พูดเพื่อให้ศิษย์น้องเข้มแข็งในความดี เข้มแข็งในจิตใจที่งดงาม ถ้าเมื่อใดตั้งใจจะทำ จงทำให้เต็มที่สุดๆ ใครจะไม่รู้ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร มีฟ้ารู้ ดินรู้ เรารู้ก็พอ เขาจะพูดอย่างไรไม่เป็นไร เราเข้าใจตัวเราดีพอว่าเราให้สิ่งที่ดีที่สุดที่เราคิดว่าเราอยากให้ เขาไม่เห็นคุณค่าก็ไม่เป็นไร ศิษย์น้องรู้ไหม โลกน่าอยู่เพราะเรารู้จักขอบคุณ และโลกไม่น่าอยู่เพราะเราเอาแต่ชอบตำหนิต่อว่า เรามีสุขได้เพราะเรารู้จักขอบคุณคนให้ แต่เรามีทุกข์ได้เพราะเราคิดแต่จะจับผิดต่อว่า และก็มองแต่เรื่องที่ไม่ดี ฉะนั้นเราอยากอยู่บนโลกอย่างมีความสุขหรือเราอยากอยู่บนโลกอย่างมีความทุกข์  (อยากมีความสุข)  และเราเอาแต่ขอบคุณหรือจับผิดต่อว่า (ขอบคุณ)  จริงหรือ ถ้าเราขอบคุณรอยยิ้มก็จะเกิดบนใบหน้า ถ้าเรารู้จักสำนึกคุณ คนที่ให้ก็จะชื่นใจ มอบสุขดีกว่ามอบทุกข์ มอบความขอบคุณ มอบใจที่ยินดี ดีกว่ามอบใจที่เอาแต่จับผิด จ้องต่อว่า และวันนี้มาด้วยใจขอบคุณหรือมาด้วยใจที่ต่อว่าด่าทอ
ถ้าอยากมีความสุข เราควรยื่นความสุขให้กับเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์น้องทุกคนอยากมีทุกข์ไหม (ไม่อยาก)  แล้วสิ่งที่เรายื่นนั้นคือสุขหรือทุกข์ (สุข)  สุขทั้งนั้นเลยใช่ไหม สิ่งที่เรายื่นให้ไม่ใช่ความทุกข์เลย ถูกหรือเปล่า อยากมีความสุขแล้วทำไมไม่ยื่นความสุขให้เขา ทำไมเรายื่นความทุกข์ให้กับคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์พี่ถามหน่อย ศิษย์น้องอายุเท่าไรแล้ว ไม่กล้าบอกหรือ อย่างนั้นศิษย์พี่ถามใหม่ ศิษย์น้องใช้เวลาอยู่ในโลกนี้มากี่ปีแล้ว ไม่ถามอายุก็ได้ รู้สึกว่าหลายสิบปีเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเคยโดนคนว่า โดนคนทำอะไรให้ไม่พอใจ และโดนคนพูดผิดหูไหม (เคย)  เคยมาเยอะไหม (เยอะ)  บ่อยไหม (บ่อย)  ชินหรือไม่ (ไม่ชิน)  เมื่อบ่อยก็น่าจะชินแล้วนะ จริงไหม (จริง)  แล้วชินนานๆ เข้าก็จะกลายเป็นตายด้านใช่ไหม (ใช่)  แต่ก็แปลกนะ เราอยู่มาตั้งหลายสิบปีแล้ว เรื่องที่เราโดนว่า บางทีใช่เรื่องเดิมไหม (เรื่องเดิม)  ถ้าเรื่องโดนว่าเป็นเรื่องเดิม ก็ต้องพิจารณาแล้ว เรื่องที่โดนว่า เรื่องที่รู้สึกขัดใจ ใช่เป็นเรื่องเดิมไหม เหมือนจะคล้ายๆ เรื่องเดิมตลอด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า คนเรานี้เกิดเป็นคน อย่าให้เมื่อมีอายุมากแล้วก็แค่มีชีวิตอยู่มากขึ้น แค่นั้นไม่มีประโยชน์ อายุมากแล้ว ใช้ชีวิตมามากแล้ว ก็ต้องเข้าใจโลกมากขึ้น ถูกไหม (ถูก)  เมื่อเข้าใจโลกมากขึ้น ก็ต้องทุกข์น้อยลงใช่ไหม (ใช่)  แต่ทำไมมีชีวิตมาก็มาก อายุก็มาก แต่ความทุกข์ก็ยังเท่าเดิม แสดงว่าเราไม่ได้เข้าใจชีวิตเลยใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าศิษย์พี่พูดว่าวันหนึ่งเราต้องโดนว่า ต้องโดนดูถูก ต้องโดนเข้าใจผิด น้อยเนื้อต่ำใจ หดหู่ท้อแท้ และหมดอะไรตายอยากไหม เวลาโดนว่าก็ท้อแท้ไม่อยากทำ เวลาโดนเข้าใจผิดก็จะหนีไปให้พ้นๆ ดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่แปลกอายุก็มากขึ้น เรื่องราวเจอมาก็มากขึ้น น่าจะทำใจได้ดีขึ้น แต่กลับไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
ศิษย์น้องเคยไหมเวลาเราเจอเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าเรื่องนั้นจะทำให้เราทุกข์เจ็บปวดขนาดไหน ศิษย์น้องก็เคยได้ยินว่าความอ่อนแอที่ปราศจากความอดทน อดกลั้น ไม่สามารถทำอะไรให้ดีขึ้นได้เลย เวลาเจอคนว่า เจอคนดูถูก หรือเจอชีวิตที่มีปัญหา ความอ่อนแอ ความท้อแท้ ความคิดฟุ้งซ่าน การคิดทำลายตัวเอง ไม่ช่วยให้เราดีขึ้นเลย มีแต่จิตใจที่เข้มแข็งอดทนและสู้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์น้องรู้ไหมใจที่รู้จักมีขันติ ใจที่รู้จักอดทนอดกลั้น เป็นใจที่สามารถตัดภัยทั้งปวงในโลก รวมถึงภัยที่เกิดในชีวิตได้ และจิตที่รู้จักอดทนอดกลั้นสู้ไม่ถอยและมุ่งมั่นในความดียังสามารถบังเกิดหนทางที่เรียกว่า คุณประโยชน์หรือคุณธรรมอันงดงามด้วย
ฉะนั้นถึงเวลาอายุก็มากแล้ว เรื่องที่เจอก็มักจะเป็นเรื่องเดิมๆ เรายังจะสู้หรือเราเอาแต่ท้อแท้ เราจะรู้จักอดทนอดกลั้นหรือตำหนิต่อว่า
ศิษย์น้องรู้ไหม คนที่ดีจริงจะไม่ว่าใครให้ตัวเองดูดียิ่งขึ้นไป มีที่ไหนบอกว่าตัวเองดี ว่าคนอื่นแย่ เพื่อตัวเองจะได้ดูดีขึ้น แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น)  ท้อแท้ หดหู่ ทนไม่ไหวก็ด่าไปเลย ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ไม่ยอมรับก็ดีไม่ได้ ไม่ยอมรับก็แก้ไขไม่ได้ ศิษย์พี่ถามหน่อย ถ้าคนหนึ่งเขาว่าเราไม่ดี เราไปนินทาเขาแล้วเขาจะดีขึ้นไหม (ไม่ดี)  แล้วถ้าหากคนหนึ่งเขาไม่ดีจริงๆ แล้วเราไปใส่ความ พูดให้เขาไม่เหลือดีเลย เขาจะดีขึ้นไหม (ไม่ดี)  เราจะนินทาและแอบว่า จะซ้ำเติมเขาอีกไหม เราจะประจานจนทำให้เขาไม่มีที่อยู่ไหม (ไม่)  ศิษย์พี่ขอถาม ถ้ามีคนหนึ่งเขาไม่ดี คนหนึ่งเขาทำผิด เรานินทาว่าเขา เขาจะดีขึ้นไหม เขาจะแก้ตัวไหม (ไม่)  ทางที่ดีที่สุดคือศิษย์น้องต้องเห็นใจคนที่กำลังรู้สึกแย่ เหมือนศิษย์พี่ถามศิษย์น้องว่า เคยทำผิดไหม (เคย) เคยทำเรื่องเลวร้ายไหม อยากได้คนซ้ำเติม หรืออยากได้คนเห็นใจ (คนเห็นใจ)  แต่ถึงเวลาทำไมจึงไปซ้ำเติมเขา พระพุทธะได้กล่าวไว้ว่า “เห็นโทษของคนอื่น เพื่อมาย้อนดูตัวเอง และเมื่อเห็นโทษตัวเอง เพื่อเห็นใจผู้อื่น”  นี่จึงจะเรียกว่าคนดี เห็นใครทำผิดเอามาย้อนดูตัวเอง ว่าเราเคยทำผิดไหม เราอยากได้คนที่ซ้ำเติมแบบนั้นไหม เมื่อไม่อยากก็ขอให้เห็นใจ แล้วเราผิดเป็นไหม เราก็ทำผิดเป็น ศิษย์น้องอยากได้มิตรเพิ่มหรืออยากได้ศัตรูเพิ่ม
อยู่ในโลกอยากมีมิตรหรืออยากมีศัตรู (อยากมีมิตร)  เขาเกลียดเราแล้วเราก็เกลียดตอบดีไหม (ไม่ดี)  เมื่อเขาด่ามาเราจะสร้างศัตรูหรือสร้างมิตร (สร้างมิตร)  ในเมื่ออยากได้มิตรแต่กลับไปด่ากันให้เกิดศัตรู ดีชั่วเขาเป็นคนชี้นำ เป็นคนกำหนดศิษย์น้อง ร้ายดีเขาเป็นคนจี้เป็นคนผลักดันให้ศิษย์น้องเป็น ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ดีชั่วอยู่ที่ตัวเรา เราเลือกได้ ถ้าเข้าใจเขา ไม่ว่าเขาจะด่าให้เราชั่วอย่างไร เราจะต้องชั่วไหม (ไม่ชั่ว)  เขาจะด่าเราให้เราเลว เราจะเลวไหม (ไม่เลว)  นอกจากเราอยากเลวเอง จึงมีคำสอนคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “กล้วยไม้ป่าแม้ไม่มีคนพานพบเห็น ก็ไม่หยุดส่งกลิ่นหอม คนมุ่งมั่นทำสิ่งที่ดี แม้เจอเรื่องยากลำบากก็ไม่เปลี่ยนแปลงความมุ่งมั่นในการเป็นคนดี”  ฉะนั้นคนที่พบความสำเร็จล้วนต้องผ่านความยากลำบากบนหนทางนี้ ถ้าศิษย์น้องคิดว่าศิษย์น้องเป็นคนดีจริง ทำได้อย่างที่ศิษย์พี่พูดหรือเปล่า
พอเข้าใจการมุ่งมั่นเป็นคนดีกันบ้างแล้วนะ ศิษย์น้องเป็นคนดีที่มือหนึ่งยังทำดี แต่อีกมือหนึ่งก็ยังทำบาป (ใช่)  อย่างนั้นจะเรียกว่าคนดีหรือ บอกว่าฉันเป็นคนดี แต่ฉันอดนินทาไม่ได้ ฉันยังชอบว่าคนอื่นอยู่เลย ยังเป็นคนคดโกงพูดไม่จริงอยู่เลย ศิษย์น้องรู้ไหม หนทางการบำเพ็ญคือ มุ่งมั่นปฏิบัติธรรม พอเจออะไรที่ทำให้เราทุกข์ เราก็จะนำธรรมะมาข่ม เจอคนด่าเรา เราก็เมตตา อดทน อภัย สัพเพสัพตาสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ ทำอย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)  นี่คือหนทางของคนดี ถ้าเกิดว่าคนที่เขาเป็นคนดีจริงๆ เขาก็น่าจะละชั่ว บำเพ็ญบุญ เมื่อความชั่วไม่ทำนั่นก็คือยอดบุญ เมื่อความผิดไม่ก่อนั่นก็เรียกว่าสร้างบุญ แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ บาปก็ก่อ บุญก็ทำ
ฉะนั้นหนทางของการศึกษาบำเพ็ญธรรมที่แท้จริงคือ ไม่ทำบาปนั่นคือยอดบุญ ไม่ทำชั่วนั่นคือยอดของศีล ไม่ประพฤติผิดนั่นคือยอดของคุณธรรม แต่มนุษย์ปัจจุบันชั่วก็ทำ ดีก็ทำ แล้วชั่วกับดีหักล้างกันได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วศิษย์น้องจะบอกว่าทำดีแล้วไม่เห็นได้ดี ก็ความชั่วศิษย์น้องไม่เคยละเลย แล้วจะเป็นคนดีได้อย่างไร แล้วผลดีจะตกผลหรือ
ฉะนั้นถ้าอยากมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมที่แท้จริง ชั่ว ผิด บาป ตกเป็นธาตุของกิเลสตัณหาและอารมณ์ จะต้องไม่มี อย่างนี้จึงจะเรียกว่าเป็นยอดบุญ ไม่ผิดศีลถึงจะเรียกว่าคุณธรรม แต่ตอนนี้ศิษย์น้องศีลก็ผิด บาปก็มี แล้วยังบอกว่าตัวเองเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นหนทางปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือ ถ้าศิษย์น้องเมตตา ถ้าศิษย์น้องมีใจซื่อตรง ถ้าศิษย์น้องรู้จักมโนธรรมสำนึกละอายเกรงกลัวต่อบาป ศิษย์น้องจะผิดศีลไหม (ไม่ผิด)  ศิษย์น้องจะทำบาปไหม (ไม่ทำ)  อย่างนั้นเราควรมีธรรมตั้งแต่ก่อนที่จะก่อทุกข์ ก่อกรรมแล้วค่อยมาสร้างธรรมทีหลังใช่ไหม (ใช่)  แล้วปัจจุบันนี้เรามีทุกข์ก่อนแล้วเราค่อยพยายามมีธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์น้องปล่อยให้ตัวเองมีทุกข์ สร้างเหตุแห่งทุกข์ สร้างกรรม แล้วค่อยพยายามมีธรรมะไว้ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นหนทางที่ถูกต้องก็คือควรมีธรรมเพื่อไม่ให้ต้องเจอทุกข์ แต่ศิษย์น้องกลายเป็นมีทุกข์ แล้วค่อยพยายามใช้ธรรมดับ แล้วจะแก้กันได้ไหม ข่มได้ไหม หายไหม สวดมนต์ก็แล้ว อดทนก็แล้ว ขันติก็แล้ว
ฉะนั้นถ้าเกิดกับทุกคนศิษย์น้องก็มีเมตตา กับทุกคนศิษย์น้องก็จริงใจ กับทุกคนศิษย์น้องก็ซื่อตรงไม่หวั่นไหว เราจะทำผิดหรือ จึงมีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ความจริงเรียกว่าทุกข์” เมื่อใดที่เรามองเห็นความจริง เมื่อนั้นเราก็สามารถดับทุกข์ได้ถูกไหม (ถูก)  ถ้าศิษย์น้องไม่อยากทุกข์ก็จงรู้จักที่จะเรียนรู้ตามความเป็นจริงมากกว่าเรียนรู้ที่จะเอาแต่ใจ และเอาแต่อารมณ์ ทางหนึ่งคือทางที่มีคุณธรรม ยิ่งเดินต้องยิ่งสว่าง อีกทางหนึ่งคือทางที่เรียกว่ากิเลสอารมณ์ ยิ่งเดินตามยิ่งหดหู่หม่นหมอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วชีวิตเราเดินตามธรรมหรือเดินตามอารมณ์ ศิษย์พี่เห็นอารมณ์มาก่อนแล้วค่อยเลี้ยวเข้าหาธรรม ไปมืดก่อนแล้วค่อยมาสว่าง สู้สว่างแล้วก็สว่าง อย่างไหนดีกว่ากัน (สว่าง)  ถึงเวลาเราตามธรรมหรือตามอารมณ์ (อารมณ์, ธรรม)  สิ่งที่มนุษย์มัวจมอยู่กับทุกข์ พระพุทธะนำมาให้เห็นธรรม สิ่งที่ศิษย์น้องกำลังเผชิญเรียกว่า “ทุกข์” พระพุทธะนำก่อเกิดความเป็นธรรมแท้ที่สอนใจตน แล้วตอนนี้เราเอาสิ่งนั้นมาเป็นทางพ้นทุกข์ หรือเราเอาสิ่งนั้นมาทำให้ตัวเองยิ่งทุกข์ คนดีควรเอาสิ่งนั้นมาพบธรรมหรือพบทุกข์ แล้วปัจจุบันนี้พบธรรมหรือพบทุกข์
ศิษย์น้องเป็นคนดีใช่ไหม (ใช่)  เป็นคนดีที่ถูกว่าไม่ดีได้ไหม เป็นคนดีที่ถูกว่าเลวได้ไหม เป็นคนดีที่ถูกว่าไม่ได้เรื่องได้ไหม เป็นคนดีที่ถูกว่าได้และเป็นคนดีที่ไม่ยึดดีใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์พี่ถามหน่อย คนดีส่วนใหญ่มีนิสัยชอบคิดหวังดีใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็ชอบคิดดี เมื่อไรที่เราคิดหวังดีก็หวังว่าเราอยากให้คนที่เราคิดนั้นต้องเป็นคนดี และเมื่อไรที่เราคิดหวังดีก็หวังว่าคนที่อยู่รอบข้างจะต้องทำดีใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์พี่ถามหน่อย คนดีเป็นไปได้ไหมที่ทุกคนจะต้องทำดีตอบกลับเราเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)
คนที่มุ่งมั่นอยากจะเป็นคนดี และหวังให้คนในโลกเป็นคนดี บางครั้งก็อดไม่ได้ว่า เธอต้องดีกว่านี้ ลูกต้องดีกว่านี้ เราคาดหวังมาก เวลาคิดเรามักจะเรียกร้องไหม (เรียกร้อง)  พูดและตักเตือน บ่นมากๆ ไม่ดีสักที ก็ด่าเลย เพราะหวังดี เราหวังให้เขาดี แล้วไม่ได้ดั่งใจหวัง ทุกข์ไหม (ทุกข์)  การเป็นคนดีเป็นสิ่งที่ดี แล้วหวังให้คนอื่นดีก็ดี แต่อย่างหนึ่งที่ศิษย์น้องต้องจำไว้ว่า การคาดหวังว่าทุกคนต้องปฏิบัติดีกับเรา ทุกคนที่อยู่รอบตัวเราต้องดีด้วยนั้นเป็นเรื่องยาก ศิษย์น้องรู้ไหม การหวังดีเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเรียกร้องมากเกินไป จะก่อเกิดปัญหา ความขัดแย้งและรับไม่ได้ ทำให้ทะเลาะเบาะแว้ง เป็นคนดีคือทำตัวเองให้ดีที่สุด เขาจะเป็นอย่างไรอย่าไปคาดหวังเลย เหมือนศิษย์น้องไม่คิดหวังศิษย์พี่ ศิษย์พี่ก็ไม่ได้คิดหวังศิษย์น้อง ตัวใครตัวมันดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าเราทำได้ถูกต้อง การกระทำของเราจะเป็นบทพิสูจน์และบทเรียนที่ดีที่สุดให้กับคนที่อยู่รอบข้างเราเอง โดยที่บางครั้งไม่ต้องพูดจา พูดคำไหนเป็นคำนั้น พูดจริงทำได้จริง มีเมตตาเป็นหลัก มีหรือเขาจะไม่เลียนแบบ ดีจนสุดจิตสุดใจ มีหรือเขาจะไม่อยากเอาเยี่ยงอย่าง กลัวแต่ศิษย์น้อง บอกให้เขาดี แต่ตัวเองยังดีไม่ได้เลย
ศิษย์พี่ถามหน่อย เต่ากับกระต่ายอะไรดีกว่ากัน ใครว่ากระต่ายดีกว่า ใครว่าไม่ดีทั้งสองแบบ หรือใครว่าดีทั้ง ๒ แบบ ศิษย์พี่จะบอกให้นะศิษย์น้อง ไม่ว่าเต่าหรือกระต่ายก็มีดีและมีไม่ดี แต่ที่เป็นปัญหาก็คือใจของตัวศิษย์น้องเอง ถ้าเอาแต่รีบร้อน ก็ว่าเต่าช้า ถ้าเป็นคนใจร้อนมุทะลุทำอะไร ก็จะมองว่าเต่านั้นช้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเป็นคนใจเย็นทำอะไรค่อยๆ คิดค่อยๆ ทำก็จะบอกว่ากระต่ายนั้น (ไม่ดี)  แต่จริงๆ กระต่ายมันวิ่งเร็วจริงหรือ ศิษย์พี่เห็นมันกระโดด มันไม่ได้วิ่งเลยนะ เหมือนกันศิษย์น้อง บางครั้งคนที่ศิษย์น้องเห็นแล้วบอกว่าเขาไม่ดี แล้วศิษย์น้องคาดหวังให้เขาต้องดี ศิษย์น้องเอาอะไรวัด เอาอะไรมอง เอาอะไรตัดสิน และเอาอะไรคิดว่าเขาไม่ดี แล้วเป็ดกับไก่อะไรดีกว่ากัน (ดีทั้งสองอย่าง)  แต่จริงๆ ศิษย์พี่อยากจะบอกว่า เป็ดก็ดีนะ มันสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก แถมเวลาตกใจก็ยังบินได้ด้วย แต่ไก่ว่ายน้ำไม่ได้
ศิษย์พี่ต้องการจะบอกว่าบางครั้งสิ่งที่เรายึด สิ่งที่เราคิดว่าคือดีที่สุด แต่ก็ไม่แน่ ทุกสิ่งล้วนมีธรรมชาติเป็นของตัวเอง และทุกสิ่งล้วนมีนิสัยพื้นเพเดิมไม่เหมือนกัน ถูกไหม (ถูก)  เหมือนศิษย์น้องเห็นนิ้วเท่ากันไหม (ไม่เท่า)  ให้นิ้วโป้งไปอยู่ตรงนิ้วก้อย แล้วเอานิ้วก้อยมาอยู่ตรงนิ้วโป้งได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์น้อง เมื่อฟ้าให้กำเนิดชีวิต ทุกชีวิตย่อมมีคุณค่า เมื่อฟ้าให้เขามาอยู่กับเรา มาเกี่ยวข้องกันแปลว่าต้องมีบุญกรรมกันมา ฉะนั้นอยากจบกรรม หรืออยากก่อเวรกรรมไม่จบสิ้น ก็ขึ้นอยู่กับตัวศิษย์น้อง ถึงแม้จะหวังดีแต่ถ้าการหวังดีนั้น ก่อเกิดเป็นกรรมก็ควรจะหยุด ถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาทำจะดูไม่ถูกต้องในสายตาเรา แต่ไม่แน่เมื่อถึงที่สุดเขาอาจจะดีก็ได้ ฉะนั้นตราบที่เรายังไม่หมดลมหายใจ อย่าเพิ่งตัดสินใจว่าใครสวยใครเก่งใครแน่จริง และก็อย่าดูถูกตัวเองว่าตัวเองไร้คุณค่า ถ้าเราไม่ดูถูกคุณค่าตัวเอง เราก็เป็นคนดีที่สุดได้ และก็เป็นคนดีที่เจริญรอยตามพุทธะเบื้องบนได้ จำไว้นะ ฟ้าดินไม่ให้คนเกิดมาไร้ค่า ดินยังก่อเกิดต้นไม้ ฉะนั้นมนุษย์อย่าดูถูกดูเบาตัวเอง ศิษย์น้องอย่าดูถูกคุณค่าของตัวเอง แต่ในทางกลับกัน ก็อย่ายกตัวเองสูงจนคิดว่า โลกนี้ถ้าไม่มีฉันอยู่พวกเธอจะอยู่อย่างไร ซึ่งเป็นนิสัยของคนที่คิดว่าตัวเองดี เพราะถึงที่สุดเมื่อโลกไม่มีเรา โลกก็ยังหมุนเวียนต่อไปได้
หนทางการฝึกฝนบำเพ็ญคือ ฟื้นฟูใจอันดีงามให้กลับคืนสู่ตัวเราเอง ด้วยการหมั่นตรวจสอบความไม่ดีและประพฤติดีให้ตลอดรอดฝั่ง บำเพ็ญยากไหม (ไม่ยาก)  แต่ยากอย่างเดียวตรงที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะลงมือทำและแก้ไขนิสัยที่ไม่ดี ศิษย์น้องทุกคนมีนิสัยที่ไม่ดีไหม (มี)  อะไรเป็นสิ่งที่ไม่ดีที่เราต้องพยายามแก้ไข นิสัยอะไรที่ควรจะแก้ไขเป็นการด่วนและไม่ควรมีไว้ในใจ เพราะมีแล้วทำให้เราหนีไม่พ้นวิบากกรรมและวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย
(ไม่มีความเมตตา)  เมื่อมีเมตตาแล้วจะเบียดเบียนใครไหม อยากจะได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเองไหม จะขี้นินทาไหม ฉะนั้นเมื่อไรที่มีการนินทา แสดงว่าไม่มีความเมตตา เมื่อไรโมโหโทโส แสดงว่ายังไม่มีความเมตตา ทำให้ได้เหมือนกินกล้วยเข้าปาก การแก้เรื่องขี้โมโห ต้องแก้ด้วยการใจเย็น มีขันติความอดทน (ความโลภ)  อยากได้แล้วอยากได้อีก ถ้าพอแล้วจึงดี แต่มนุษย์เสียนิสัยอย่างหนึ่งคือ ดีเท่าไรก็ไม่เคยพอ ไม่ว่าใครจะทำดีเท่าไร เราเคยรู้จักพอไหม ต้องให้ดีกว่านี้อีก แต่ตัวเองกลับไม่เคยดีขึ้นเลย
(เป็นคนโมโหใจร้อน ต่อไปจะพยายามใจเย็น) อย่าพยายาม ต้องเย็นได้แล้ว เพราะพิษภัยที่น่ากลัวที่สุดก็คือโมโห เพราะเมื่อเห็นเขา ไม่ถูกใจก็โมโหเขา เท่ากับจุดไฟเผาตัวเอง เขารู้เรื่องไหม ก็ไม่รู้ ยังหัวเราะสนุก
นิสัยอะไรที่เราอยากขจัดทิ้งและการกระทำอะไรที่เราพยายามอยากจะมีในชีวิต เพื่อที่เราจะได้เป็นคนดีมีสุข
(ความโลภ)  เวลาความโลภเข้าครอบงำแล้วอะไรก็ทำได้ ความอยากครอบงำแล้วอะไรเราก็ผิดได้ ต่อไปนี้อย่าปล่อยให้ความโลภครอบงำจนขาดศีลขาดธรรม นึกถึงศีลธรรมก่อน เภทภัยที่น่ากลัวที่สุดล้วนมาจากความโลภที่ไม่รู้พอ
(ขี้บ่น)  ฉะนั้นต่อไปอะไรก็จะไม่บ่น ถ้าไม่อยากบ่นก็ต้องรู้จักทำใจยอมรับวางใจให้เป็น อะไรก็ดีแค่นี้ก็ดีแล้ว สามีขี้เหล้าก็ดีแล้ว บ่นไปก็เหนื่อย ถ้ายอมรับได้ ทำใจได้ก็จะไม่บ่น
(ขี้โมโหขี้น้อยใจ)  ขี้โมโหขี้น้อยใจ ขี้น้อยใจน่าจะเยอะกว่าขี้โมโห เพราะว่าน้อยใจก่อน เลยโมโห ไม่เห็นมาดูดำดูดีเราเลย ไม่เคยสนใจเราเลยว่าเราเหนื่อยแค่ไหนใช่ไหม (ใช่)  เมื่อมองเห็นแต่ตัวเอง เราก็จะมองไม่เห็นใคร แต่เมื่อไรที่เราเปิดกว้าง เราก็เหนื่อยเขาก็เหนื่อย แต่เราอาจจะมองไม่เห็น เมื่อเห็นใจ เราจะไม่เคืองโกรธ แต่ต้องเห็นใจคนอื่นมากๆ ด้วย อย่ามัวแต่เห็นใจตนเองอย่างเดียว
(มีเมตตา)  จงมีเมตตาธรรมให้ได้ เมตตาต้องเมตตาให้ได้ ทั้งคนที่เรารักและคนที่เราไม่รัก จึงจะประเสริฐสุด
(รู้บุญคุณคน)  คนทุกคนล้วนมีคุณ (มองโลกในแง่บวก)  มองโลกในแง่ดีและถึงแม้จะเจอแง่ลบก็ต้องยอมรับให้ได้ เพราะนั่นคือความจริงที่เรียกว่าธรรมะ แต่เป็นธรรมะที่ทำให้เราไม่ทุกข์แต่เข้าใจ  (เอาแต่ใจ) ต่อไปนี้จะรู้จักคิดถึงหัวอกเขาหัวอกเรา
ศิษย์น้องอย่าลืมว่ามีศิษย์น้องวันนี้ได้เพราะมีคนยอมเหนื่อย มีคนยอมเสียสละ ฉะนั้นอย่ามัวแต่ห่วงตัวเอง ถ้าวันหนึ่งคนที่เหนื่อยและเสียสละไม่อยู่ ศิษย์น้องก็จะต้องรู้จักชีวิตที่แท้จริง ฉะนั้นรักษาคนที่ดูแลเราให้ดี อย่ามัวแต่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่มัวเอาแต่ใจตัวเอง
(ความใจร้อน)  ทำอะไรต้องสำเร็จจะล้มเหลวไม่ได้และแพ้ไม่ได้ใช่ไหม (ไม่)  ศิษย์น้องรู้ไหม จิตที่รู้จักชื่นชมยินดีจะเป็นจิตที่อยู่ที่ไหนก็มีความสุข ยินดีในสิ่งที่เขามีเขาเป็น เราก็เป็นสุข เขาก็เป็นสุข แต่เวลาใครดีแล้วเราอดบ่นอดนินทาได้ไหม ศิษย์พี่เคยได้ยินว่ามนุษย์ในโลก มีสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ที่ชอบเป็นอันดับหนึ่งคือ อิจฉา แต่ไม่ค่อยยอบรับว่าตัวเองอิจฉา ได้แต่บ่นในใจว่าจะดีอะไรนักหนาเชียวใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นต้องระวังให้จงหนักนะ จงแปรบาปให้เป็นบุญ จิตใจที่คิดอิจฉา จิตใจที่คิดมองเขาในแง่ไม่ดี ล้วนก่อเกิดเป็นบาปทั้งสิ้น แต่เมื่อไรที่จะคิดไม่ดี แปรบาปเป็นบุญดีกว่าไหม แปรบุญเป็นกุศลจะประเสริฐกว่าไหม เห็นใครไม่ดีแล้วไม่ด่า เราก็ไม่สร้างบาป ในใจให้คิดขอให้เขาดี ขอให้เขาคิดได้ จากบาปก็กลายเป็นบุญ แล้วจิตเรายังสงบไม่เอาเขาไปนินทา ไปว่าต่อ บุญก็จะกลายเป็นกุศล เพราะโดนด่าแล้วเราไม่คั่งค้าง เราไม่ติดยึด เราสามารถชำระล้างตัวตนได้ และเห็นเขาแล้วใจ เรายังสงบและสอนใจตัวเองว่า เราจะไม่ผิดอีกแล้ว เราจะไม่เป็นแบบนั้น แต่เราจะเข้าใจเขาให้มากขึ้น กุศลก็จะกลายเป็นหนทางนำพาให้เราพ้นทุกข์ แต่มนุษย์ไม่เป็นแบบนั้น เจอเขาเมื่อไหร่ก็ด่า ผูกกรรมจองเวรจองกรรม แช่งชักหักกระดูกกัน และก็เวียนกลับมาเจอกันไม่จบสิ้นเอาไหม (ไม่เอา)  อย่างนั้นก็คิดให้ดีนะ เพราะชีวิตไม่เหมือนกล้วยที่พอปอกแล้วก็กินได้ทันที กล้วยถ้ากินแล้วทิ้งไม่เป็นที่เป็นทาง ก็อาจจะทำร้ายคนให้เป็นทุกข์ได้เหมือนกันการกระทำอะไรก็ตามของศิษย์น้อง ถ้าไม่รู้จักระมัดระวัง เลือกง่ายๆ ไม่ค่อยไตร่ตรองให้ดี ไม่คิดพิจารณาให้ดีๆ ไม่แน่อาจจะส่งผลกรรมให้เราทุกข์ไม่จบสิ้นก็เป็นได้
มีโอกาสลองตั้งใจศึกษาให้ดีๆ แล้วจะเข้าใจว่าสิ่งที่มีค่าในชีวิต ไม่ใช่ทรัพย์สิน ไม่ใช่รูปลักษณ์ แต่คือการพ้นทุกข์และพบธรรม ที่นำพาให้ชีวิตไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ลองศึกษาให้ดีๆ  วันนี้เพิ่งเริ่มต้นแต่วันพรุ่งนี้อาจจะยากยิ่งขึ้น ขอให้เราตั้งใจ ลองทำอะไรเพื่อธรรมในใจตนบ้าง ชีวิตนี้สนองกิเลส สนองร่างกายมาเยอะแล้ว วันนี้เรามีชีวิตเพื่อธรรมในใจตนบ้าง เพื่อค้นหาธรรมในใจตนบ้าง มัวแต่มองออกข้างนอก แต่วันนี้จะหันกลับมามองข้างใน และหาธรรมในตนให้เจอ และธรรมอันนี้ที่จะนำพาให้ศิษย์น้องทุกคนพ้นทุกข์ เพราะทุกชีวิตมาจากธรรม ก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม แต่อะไรที่มาจากธรรม แต่ก่อเกิดกลายเป็นกรรม และไม่พบธรรม ใช่ไม่ใช่การยึดติด และเราจะแก้ความยึดติดและหลงผิดได้อย่างไร ถ้าอยากรู้ต้องรอดูต่อไป
วันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๑       สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ทางสายตรงจุดหมายอยู่ตรงหน้า      แต่ทว่าไขว้เขวไปนิดนิดหน่อย
กว่ารู้ตัวก็เฉไปไม่ใช่น้อย                  ตั้งใจหน่อยชีวิตคนไม่ยืดยาว
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

ธรรมต้องทำต้องทำ อย่างเข้าหาเข้าใจ คนตั้งใจทั้งใจ ทำให้ดีเท่านั้น
อย่าลดละเฝ้าตาม บำเพ็ญธรรมด้วยธรรม ชีวิตเจียนพลบค่ำ จงตั้งใจตั้งใจ
* จากแค่คนมีใจ ศรัทธายิ่งใหญ่ ตั้งใจบำเพ็ญทุกวัน นับตั้งแต่นั้น ขอเพียงไม่ผิดสัญญา บุญเบ่งบานเก้าชั้น ใช้ธรรมะสร้างหลักแห่งใจ บุญเบ่งบานเก้าชั้น ใช้ชีวิตจริงใจ ตั้งใจบำเพ็ญวันนี้ เพื่อทุกวัน
เจ้ามีภาวะธรรม อยู่ในลมหายใจ จงตั้งใจทั้งใจ คว้าฐานบัวเก้าชั้น
ทำนองเพลง : เพียงสบตา
ชื่อเพลง : ธรรมต้องทำต้องทำ

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



ศิษย์เคยอยู่ในโลกโดยทำอะไรมีหลักในการคิดหรือไม่ หรือนึกจะคิดก็คิดไปเรื่อยๆ จนบางครั้งทำให้ตัวเองทุกข์ ไม่รู้จะคิดมากไปถึงไหน ไม่รู้จะให้ความคิดทำร้ายตัวเองไปทำไม ธรรมะสอนให้เรารู้และจงมีสติ ธรรมะสอนให้เรารู้หลักในการยึด หลักในการครองชีวิต ไม่ให้ชีวิตสาดส่ายไปจนหาหลักยึดอะไรไม่ได้ การเรียนรู้ธรรมจึงเป็นเหมือนตัวกรองความคิด ตัวตรวจสอบจิตให้มีสติเวลาที่จะทำสิ่งใด เพราะโดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะทำอะไรตามใจตัวเอง การทำอะไรตามใจตัวเองก็ง่ายที่จะหลงไปกับอารมณ์ความคิด ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมก็จึงเป็นเหมือนตัวที่คอยยั้งเตือนเรา คอยดึงเราให้อยู่ในหนทางที่ถูกต้องและดีงาม และคอยกรองความคิดเราด้วยสติปัญญาที่ถูกต้อง ฉะนั้นการมีธรรมบ่อยๆ จะช่วยทำให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่บนโลกอย่างมีสติ รู้จักคิด รู้จักพูด รู้จักทำ ให้อยู่ในทำนองครองธรรม
เราเข้าใจในช่วงเริ่มต้นเหมือนกันว่า วันนี้เรามาศึกษาธรรม ธรรมที่เอาไว้ใช้ในชีวิต และนำพาชีวิตให้ดี ศิษย์เอ๋ยอาจารย์ถามหน่อย ถ้ามนุษย์เราใจกว้าง เราจะทุกข์ง่ายไหม (ไม่)  เราทุกข์เพราะเราใจแคบ เราเจ็บปวดเพราะเรายึดติดความคิด แบ่งกั้นใจว่าอย่างนี้ได้อย่างนี้ไม่ได้ อย่างนี้เอาอย่างนี้ไม่เอา แต่ถ้าเราใจกว้างเราจะทุกข์ไหม (ไม่)  เหมือนท้องฟ้ากว้างไหม (กว้าง)  แล้วใจศิษย์ล่ะกว้างไหม (กว้าง)  อาจารย์เห็นใจศิษย์เหมือนท้องฟ้ากว้างก็จริง แต่บางครั้งกว้างก็มีเมฆหมอก บางทีก็มีฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อาจารย์ถามหน่อย ท้องฟ้าบางครั้งมีฝนบ้างมีครึ้มบ้างมีฟ้าผ่าบ้าง แต่จริงๆ แล้วนั้นเป็นใจเดิมของศิษย์ไหม (ไม่ใช่)  จิตเดิมแท้ของมนุษย์ทุกคน หรือใจเดิมแท้ของศิษย์ทุกคนจริงๆ เหมือนฟ้ากว้าง แต่บางครั้งคับแคบไปก็เพระว่าเมฆหมอก หรือเหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่ทำให้อารมณ์เสียอารมณ์บูด หรือไม่ก็เศร้า หรือไม่ก็โกรธเคือง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะไปโทษเมฆหมอกหรือโทษฟ้าดี อย่าบอกนะว่าเราร้าย จริงๆ เราร้ายไม่จริงหรอก ถ้าร้ายจริงเราต้องมีอารมณ์ อย่างตอนนี้ให้ว่าคน ศิษย์กล้าว่าไหม มันต้องอารมณ์ขึ้นขึ้นขึ้น พอขึ้นได้ที่แล้วก็เปรี้ยงทันทีใช่ไหม แต่ถ้าไม่มีอารมณ์ ศิษย์จะฟ้าผ่าใครหรือไม่ (ไม่) 
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากบำเพ็ญง่ายๆ พูดอย่างง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ ลองฝึกให้เหมือนคนใจฟ้า กว้าง กว้างแล้วก็กว้างอีก ใหญ่แล้วก็ใหญ่อีก ได้ไหม เมื่อกว้างจนถึงที่สุด ใหญ่จนหาที่สุดไม่ได้ เราจะทุกข์ตรงไหน จริงไหม (จริง)  ตรงไหนจะทำให้เราเจ็บ แต่เรายึดว่าได้แค่นี้ เราเป็นแบบนี้ ฉันทำได้อย่างนี้ มันก็เลยทำให้เราเจ็บง่าย ทุกข์ง่าย จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเราไม่เป็นอะไรเลย เป็นคนใจกว้าง จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  จะเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  จริงหรือ เหมือนคนอยู่ท่ามกลางฟ้าและดิน ถ้าเราสามารถเลียนแบบใจฟ้าดินได้ก็จะดี
ใจหนึ่งคือกว้างให้ถึงที่สุด อีกใจหนึ่งคือหนักแน่นและรองรับทุกสิ่งได้โดยไม่หวั่นไหว ไม่แตกแยก ยังรักษาใจหนึ่งเดียวนี้ได้ รองรับและโอบอุ้มผู้คนได้ นั่นคือใจธรรม ถ้าทำได้เราก็เป็นมนุษย์ที่อยู่กลางฟ้าดินและรักษาความเป็นธรรมได้ แต่ปัจจุบันนี้ใจเรากว้างหรือแคบ แล้วแต่อารมณ์ใช่ไหม (ใช่)  อารมณ์ดีก็ใจกว้าง อารมณ์ไม่ดีก็ใจแคบ อย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้ อย่างนี้ไม่ใช่เป็นคนจริง คนจริงตั้งใจทำอะไรแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด อยากรวยไหม (อยากรวย)  อยากรวยแต่ขี้เกียจ เอาแต่ใช้เงินฟุ่มเฟือยจะรวยไหม วันวันเอาแต่เล่นหวยไม่เก็บเงินจะรวยไหม รอแต่โชคใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะมีโชคไหม หน้าตาแบบนี้มัวแต่รอโชค ไม่สู้สร้างโชคด้วยน้ำมือตัวเอง มัวแต่รอบุญวาสนาไม่สู้สร้างบุญวาสนาด้วยน้ำมือตัวเองถูกหรือไม่ อยากรวยทำไมไม่ขยัน อยากมีกินทำไมไม่รู้จักประหยัดอดออม ถ้ารู้จักขยันจะอดไหม (ไม่อด)  ถ้ารู้จักประหยัดแล้วยังมีน้ำใจให้ผู้อื่นด้วยจะลำบากไหม (ไม่ลำบาก)  แต่ปัจจุบันนี้ขยัน ฟุ่มเฟือย เป็นหนี้ไหม (เป็น)  ชอบเอาเงินอนาคตมาใช้ แล้วก็ต้องเป็นทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่) 

ฉะนั้นถ้าอยากรวย ก็จงรู้จักซื่อตรง ขยันทำมาหากิน จริงใจในการค้าขาย มีหรือจะไม่รวยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วมีน้ำใจกอบเกื้อช่วยเหลือผู้อื่น มีหรือที่จะไม่มีบุญบารมีที่จะได้มีกินกับเขาบ้าง แต่อาจารย์ถามหน่อย เราอยู่ในโลกนี้มีสิ่งใดบ้างที่แสวงหาแล้วเราไม่ตกเป็นทาสของกิเลส ที่แสวงหาแล้วไม่ทำให้เราเจ็บและทุกข์ ที่แสวงหาแล้วไม่ทำให้เราผิดพลาดแล้วกลายเป็นคนขาดคุณธรรมความเป็นคน ไม่ค่อยมี มีอะไรบ้างที่ชีวิตนี้ศิษย์แสวงหาแล้วไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ มีสิ่งใดบ้างที่เราแสวงหาแล้วไม่กลายเป็นคนผิดศีลขาดธรรม มีสิ่งใดบ้างที่ศิษย์แสวงหาแล้วไม่เคยทำให้ศิษย์เจ็บช้ำและพ้นทุกข์ มีแต่ยิ่งแสวงก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งหาก็ผิดศีลธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามศิษย์ว่าการเกิดความอยากนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องมีในชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก็จงอย่าอยากจนทำให้เสียความเป็นคนถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ไม่ได้ห้ามที่ศิษย์จะต้องไปแสวงหาเงินทอง ไม่ได้ห้ามที่ศิษย์จะต้องมีเงินมีทอง  แต่ขอให้การมีเงินทองการแสวงหานั้นไม่ผิดต่อมโนธรรมสำนึกในใจตัวเอง ไม่ผิดต่อศีลธรรมคุณธรรมความเป็นคน และต้องไม่มากจนทำให้อารมณ์เข้าครอบงำ จนทำร้ายผู้คนได้เพียงเพราะสมอยาก
อาจารย์ถามหน่อย ในโลกนี้กว่าจะได้อะไรมาสักอย่างหนึ่ง คุ้มไหมที่เราจะต้องเสียอะไรไปอีกอย่างหนึ่ง ตลอดชีวิตที่ศิษย์หามาศิษย์เสียมูลค่าของชีวิตเพื่อเงินทองไปเท่าไร ได้เงินมาแต่ชีวิตที่หายไปคุ้มไหม ได้ทรัพย์สินมา แต่ความเป็นเพื่อน ความเป็นมิตรหายไป คุ้มไหม (ไม่คุ้ม)  แล้วเราได้หรือเสีย (เสีย)  แล้วเรายังอยากได้ในทางเดิมไหม (ไม่อยาก)  ฉะนั้นก่อนที่เราจะกลับไปหาเหมือนเดิม อาจารย์ขอแค่เพียงทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ผิดศีลธรรมแห่งความเป็นคน แล้วถึงที่สุด ได้ไม่ได้ก็ช่าง อย่างนี้ดีกว่าไหม (ดีกว่า)  ดีกว่าได้มาแล้วเราเสียความเป็นคน อย่างนี้เอาไหม (ไม่เอา)  ดีกว่าได้มาแล้วมีอารมณ์ครอบงำจนทำร้ายผู้คน อย่างนี้เอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นก่อนจะอยากอะไร ควรคิดให้ดีๆ ดีไหมศิษย์ (ดี)  อาจารย์ไม่ได้ห้าม ไม่ให้ศิษย์อยาก แต่อาจารย์ถามจริงๆ อยากมากก็ (ทุกข์มาก)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า เกิดกี่ทีก็เป็นทุกข์ทุกทีไหม (เคย)  แล้วเรายังอยากอยู่ไหม (ไม่อยาก)  แล้วถ้าเงินตกอยู่ของใครก็ไม่รู้ อย่างนี้เอาไหม (ไม่เอา)
ศิษย์ก็รู้ว่า การเกิดนั้นเป็นทุกข์ ไม่ใช่แค่การเกิดของการมีสังขาร แต่เกิดอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากสวย อยากรวย อยากเก่ง อยากยิ่งใหญ่ ล้วนเป็นความอยากที่ก่อให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น แต่อาจารย์ไม่เห็นว่าจะมีใครหยุดอยากได้สักคน จริงหรือเปล่า (จริง)  ทั้งที่รู้ว่าความอยากเป็นทุกข์ แต่ก็ยังอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเมื่อการเกิดเป็นทุกข์ แล้วการเกิดก็ยังหนีไม่พ้นชะตากรรมที่เรียกว่ากรรมดีและกรรมชั่ว ศิษย์ก็ยังอดที่จะอยากอีกไม่ได้ แล้วขอให้การเกิดนั้นมีแต่กรรมดี อย่างนี้เป็นไปได้ไหม (ได้)  มีแต่กรรมดีไม่มีกรรมชั่วได้ไหม (ได้)
มนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม มีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว กรรมชั่วและกรรมดีเกิดจากอะไร และให้ผลเป็นอะไร ชีวิตนี้เราสามารถพ้นจากกรรมได้ไหม เรามาคุยกันเรื่องนี้ดีไหม สมมติว่าพัดอันนี้เกิดแตกหักเสียหายขึ้นมา ศิษย์ก็มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา พัดจะเสื่อมสลายไป ศิษย์ก็มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา โต๊ะพระเกิดเสียหายแตกหัก ศิษย์ก็มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา แก้วน้ำตั้งอยู่ล้มไป ศิษย์ก็มองเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเมื่อไรที่บอกว่า โต๊ะพระเป็นของศิษย์ที่ต้องรับผิดชอบ ห้ามแตกหัก แต่โต๊ะพระเกิดแตกหักเสียหาย ตอนนี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไหม (ไม่ธรรมดา)  แก้วน้ำถ้าศิษย์เป็นคนซื้อเอง แล้วเกิดตกแตกเสียหาย จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไหม (ไม่ธรรมดา)  เพราะเหตุใดล่ะ (เพราะเราต้องดูแลรับผิดชอบ)  ถ้าอาจารย์บอกว่าต้นไม้ล้มลงมา ศิษย์ก็รู้สึกเฉยๆ ไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าอาจารย์บอกว่าต้นไม้ล้มทับรถใครก็ไม่รู้ (วิ่งไปดูทันที)  คนที่มีรถรีบวิ่งไปดูทันที ศิษย์สังเกตไหมอะไรที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และเสื่อมสลายไป ถ้าไม่มีคำว่าของศิษย์ ศิษย์ก็จะมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา เวลามีคนอื่นที่เขาเสียชีวิต เราก็บอกคนอื่นเขาว่าเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ ก็ต้องตายอย่าไปคิดมาก แต่พอถึงเวลาที่ตัวเราเองต้องสูญเสียเป็นอย่างไร รู้สึกธรรมดาไหม (ไม่ธรรมดา)  เราก็จะบอกว่า ไม่เป็นตัวเองไม่รู้สึกหรอก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อไรที่มีคำว่าของๆ เรา สิ่งที่ศิษย์เคยพูดว่าเป็นเรื่องธรรมดากลายเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา ทำไมเมื่อสิ่งนั้นไม่ใช่ของๆ เรา ศิษย์ยังพูดได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาและไม่รู้สึกเจ็บปวด ไม่ทุกข์อะไรทั้งนั้น ทำไมศิษย์ยังตัดใจได้ อาจารย์ขอถามหน่อย สิ่งที่ศิษย์ทุกข์ใจอยู่ทุกวันนี้ ใช่ของๆ ศิษย์ไหม (ไม่ใช่)  เงินผ่านมากี่เจ้าของ บ้านและที่ดินเป็นของใคร ใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  สามีและภรรยาเป็นของเราไหม เมื่อก้าวพ้นประตูบ้านเขาก็ไม่ใช่ของเราแล้ว
ศิษย์เอ๋ยถ้าศิษย์อยากดับทุกข์ อยากไม่ทุกข์ แค่ง่ายๆ เอง ลองถอนตัวเองออกมาจากสิ่งนั้น แล้วศิษย์ก็จะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องธรรมดา และก็เป็นเช่นนั้นเอง เหมือนตามีหน้าที่มองเห็น เมื่อไม่มีตัวเรามันก็แค่เห็น หูมีหน้าที่ฟังหรือได้ยิน ถ้าไม่มีตัวเรามันก็แค่ได้ยิน ปากมีหน้าที่ลิ้มรส กินอะไรลงไปถ้าไม่มีตัวเรา มันจะรู้ไหมว่าอร่อยหรือไม่อร่อย พอถอนตัวเราออกจากการมองการเห็น การได้ยินและการสัมผัส ทุกสิ่งมันก็แค่นั้น แต่เมื่อเอาตัวเราใส่เข้าไปในตา ทำไมเราแบ่งสวยไม่สวย ดีไม่ดี พอเอาตัวเราใส่เข้าไปในหู เราเริ่มอยากฟังอันโน้น ไม่อยากฟังอันนี้ เกลียดเสียงแบบนั้น ชอบเสียงแบบนี้ ฉะนั้นถ้าเมื่อไรที่มนุษย์เราสามารถถอนตัวเอง ออกจากการยึดติดครอบครองสรรพสิ่ง เราจะทุกข์เพราะเหตุใดเล่า ในเมื่อทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นธรรมดา แล้วใครเป็นของใครจริง แล้วอะไรเป็นของเราจริง มีไหม (ไม่มี)  อย่างนั้นเรากำลังทุกข์กับอะไร ทุกข์เพราะความหลงที่พยายามไปยึด ทั้งที่จริงๆ แล้วมันใช่ของเราไหม (ไม่ใช่)  ยึดไหม (ไม่ยึด)  ถ้าไม่ยึดก็ผลักมันไปเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  รังเกียจมันเลยได้ไหม ฉะนั้นถึงเวลาศิษย์ไม่ต้องผลักไม่ต้องยึด มันเกิดแล้วมันก็จบ ทุกสิ่งมันเกิดขึ้นและจบไป แต่เราไม่ยอมจบเลยกลายเป็นเรื่องเป็นราวเป็นทุกข์ ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์ก็ถอนตัวเองออกมา เพราะทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นและก็จบในทุกขณะอยู่แล้ว แต่เมื่อไม่จบมันจึงก่อเกิดกรรมดีและกรรมชั่ว แต่ธรรมคือทางสายกลางที่พ้นจากกรรมดีและกรรมชั่ว นั่นคือจบ
ศิษย์เอ๋ยถ้าไม่อยากจะทุกข์ก็คิดถึงตัวเองให้น้อยๆ และคิดถึงคนอื่นมากๆ แล้วศิษย์จะทุกข์น้อย คนในโลกนี้ที่ทุกข์อยู่ทุกวันนี้และทุกข์ไม่จบสิ้นก็เพราะมัวแต่ห่วงตัวเองจนลืมนึกถึงคนอื่น ลองเปลี่ยนเป็นนึกถึงคนอื่นเยอะๆ แล้วตัวเองน้อยๆ เมื่อนั้นศิษย์จะมีความสุขที่สุดเลยเชื่อไหม
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนว่าฟังเรื่องอะไรไปแล้วบ้าง แต่นักเรียนจำไม่ได้)
ลืมง่ายจริงๆ เลย อาจารย์อยากให้เวลาที่ศิษย์เจอทุกข์ เจอใครทำร้าย ขอให้ลืมง่ายๆ อย่างนี้นะ ใครด่าปุ๊บก็ลืมเลย จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ใครว่าปุ๊บลืมเลยจะเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  ใครชิงชัง ใครโกหกเรา เราลืมเลยเราจะช้ำใจไหม (ไม่ช้ำ)  ให้มันลืมได้อย่างนี้สิ แล้วเวลาเจอทุกข์ศิษย์ชอบผัดวันประกันพรุ่ง บอกพรุ่งนี้ค่อยทุกข์ พอถึงพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ค่อยทุกข์ เพราะพรุ่งนี้ก็จะกลายเป็นวันมะรืน ทีอย่างนี้ทำไมศิษย์จึงไม่รู้จักใช้ เรื่องดีๆ ล่ะไม่ผัดวัน ใช่หรือเปล่า หรือว่าเรื่องดีๆ ขยันผัดวัน เดี๋ยวค่อยทำใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาททำนองเพลง “เพียงสบตา”)
ตั้งแต่ฟังธรรมะมาสองวัน สิ่งที่ชอบมากที่สุดคือการร้องเพลงธรรมะ รู้สึกว่ามีชีวิตชีวา กระปรี้กระเปร่า แต่พอเพลงจบก็หลับ
สิ่งที่อยู่กับเรามายี่สิบปี สามสิบปี อยู่ในชีวิตเราแต่เราไม่เคยรู้จักอย่างแท้จริงเลยคืออะไรรู้ไหม อยู่ใกล้เราที่สุด แต่เราไม่เข้าใจเลยคืออะไร (ตัวตน, วิญญาณ)  สิ่งที่เราไม่เคยรู้ก็คือ ตัวของเราเอง หรือใจเราเอง ศิษย์เคยรู้ไหมว่าตัวเรามาจากไหน มาจากพ่อมาจากแม่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวเราที่มาจากพ่อแม่นั่นเรียกว่าสังขาร หรือเรียกว่าร่างกาย ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ความคิด นิสัย จิตใจ อารมณ์ มาจากที่ไหน (มาจากตัวเราเอง)  แล้วตัวเราเป็นแบบไหน อย่างนี้เรามารู้จักตัวของเราเองที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน ดีไหม (ดี)  สังขารนี้พ่อแม่ให้เรามา ถูกไหม (ถูก)  แต่ชีวิต จิตใจ นิสัย อารมณ์ ความเคยชิน ความประพฤติ ล้วนเป็นการสั่งสมมาจากเราเป็นผู้ค่อยๆ เก็บเกี่ยว ค่อยๆ สั่งสม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ก่อนที่เราจะรู้จักตัวของเราเอง ตัวเรามาจากความรู้ความเข้าใจ ถูกไหม (ถูก)  เรารู้เราเข้าใจอะไร เราคิดอะไร เราไปเรียนรู้อะไรมา แล้วก่อเกิดมาเป็นความคิด แล้วความคิดก็สร้างตัวเราขึ้นมา ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นตัวเราก็คือส่วนหนึ่งของความคิด ความคิดก็คือส่วนหนึ่งของตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังที่เขาพูดกันว่า เราคิดอย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น ถ้าเราคิดดีเราก็ดี ถ้าเราคิดร้ายเราก็ร้าย ฉะนั้นหากเราอยากแก้ไขตัวตนของเรา เราก็ต้องเปลี่ยนที่ (ตัวเรา)
สมมติว่า ตรงนั้นเป็นตัวตน ก่อนที่จะมีตัวตนนั้น ย่อมมาจากความรู้ความเข้าใจ แล้วความรู้ความเข้าใจ ก็ก่อเกิดเป็นความคิด แล้วความคิดก็ก่อเกิดเป็นนิสัยความเคยชิน แล้วนิสัยความเคยชินก็ก่อเกิดเป็นความประพฤติ แล้วความประพฤติเมื่อทำบ่อยๆ ก็กลายเป็นชะตากรรม ฉะนั้นชะตากรรมของใครดี หรือไม่ดี ต้องรู้จักแก้ไขที่ไหน (ความคิด, จิตใจ, ตัวเราเอง)
เรามีสังขาร เรายังไม่รู้จักตัวของเราเอง แต่เมื่อเราได้เรียนรู้จากพ่อแม่ จากครูบาอาจารย์ จากเพื่อน เมื่อเรารู้แล้วจึงเข้าใจ จนก่อเกิดเป็นความคิดแล้วฝังอยู่ในใจว่า ฉันชอบแบบนี้ ฉันไม่ชอบแบบนี้ แบบนี้ฉันเกลียด แบบนี้ฉันรัก แบบนี้ฉันไม่รัก แล้วสิ่งที่เราปลูกฝังอยู่บ่อยๆ ในความคิด จนก่อเกิดเป็นนิสัย นิสัยเกิดเป็นพฤติกรรม พฤติกรรมก่อเกิดเป็นชะตากรรม ใช่หรือไม่ มีคนบอกว่าตอนนี้ชะตากรรมเราไม่ดี เราจะเปลี่ยนตรงไหน ต้องเปลี่ยนที่ความคิดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความคิดใช่ที่สุดของจุดเริ่มต้นไหม (ไม่ใช่)  ต้องเริ่มเปลี่ยนตั้งแต่ความรู้ความเข้าใจ เข้าใจมาอย่างไรศิษย์ก็คิดอย่างนั้น เข้าใจมาอย่างไรศิษย์ก็ทำแบบนั้น ถ้าเกิดไม่เข้าใจอย่างไรศิษย์ก็ไปปฏิบัติแบบไม่เข้าใจอย่างนั้น แล้วเราก็มักจะเข้าใจว่าเราเข้าใจ เรารู้ ฉะนั้นตัวตนจึงเกิดจากความรู้ความเข้าใจ และตัวตนความรู้ความเข้าใจนี้ก็ก่อเกิดเป็นความคิด ฉะนั้นจึงพูดได้ว่าอัตตาคือความคิด ความคิดคือตัวตน ถ้าอยากจะเปลี่ยนตัวตนต้องเปลี่ยนที่ความคิด และความเข้าใจที่ตัวเองบอกว่าตัวเองรู้ ทั้งที่จริงๆ แล้วเรารู้หรือไม่รู้ (ไม่รู้)  ศิษย์รู้อีกไหมว่า ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นจากความคิด แล้วศิษย์รู้ไหมว่าสิ่งที่เรียกว่า กิเลสหรือกรรมชั่วนั้นมาจากความนึกคิดแห่งตัวตน ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์รู้และศิษย์ใช้ความคิด และศิษย์ตัดสินใจความคิดมาเป็นนิสัยตัวตน แล้วกำหนดเป็นชะตากรรม ถ้าศิษย์อยากจะเปลี่ยนไม่ให้เกิดกรรมชั่ว ให้มีแต่กรรมดี หรือพ้นกรรม ศิษย์ก็ต้องแก้ที่ความคิด แต่ความคิดของศิษย์ต้องอย่าลืมอย่างหนึ่งว่า ทุกครั้งที่ศิษย์มีกิเลสไม่ว่าจะเป็นกิเลสดีหรือกิเลสร้าย ล้วนเกิดมาจากความคิด คิดแบบนี้แล้วชอบจึงหลงจึงรัก จึงเกิดความโลภหลง คิดแบบนี้ไม่ชอบจึงก่อเกิดความเกลียดโกรธา โมโหโทโส
ฉะนั้นต้นเหตุของการดับ ถ้าศิษย์อยากดับทุกข์ที่เกิดจากกรรมชั่ว ศิษย์ก็ต้องควบคุมกิเลส และกิเลสที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ก็คือความคิด ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากสิ้นทุกข์ก็จงสิ้นกิเลส เพราะกิเลสเป็นทางแห่งกรรมชั่ว และกรรมชั่วให้ผลเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ ศิษย์บอกว่า อาจารย์ศิษย์ไม่เคยทำกรรมชั่ว  แต่ศิษย์เอย ถ้าศิษย์ยังหยุดยั้งกรรมชั่วไม่ได้ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นทุกข์ และบาปกรรมที่ศิษย์ต้องไปรับ ถ้าศิษย์ยังหนีกิเลสไม่ได้ ศิษย์ก็ยังหนีไม่พ้นกรรมชั่วและวิบากกรรมแห่งความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครไม่ทำกรรมชั่วบ้าง ผู้ปฏิบัติงานธรรมยังทำกรรมชั่วอีกหรือ ใครไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ยุงไม่เคยตบ มดไม่เคยขยี้ แมงสาบไม่เคยขยำ ไม่เคยกินเนื้อสัตว์อะไรเลย
ความรู้ความเข้าใจ                  ก่อเกิดเป็นความคิด
ความคิด                             ก่อเกิดเป็นตัวตน
และตัวตนถ้าทำตามความคิด ก็จะกลายเป็นนิสัย ความประพฤติ แล้วกลายเป็นชะตากรรม ฉะนั้นศิษย์ต้องอย่าลืมว่า ความคิดนี้มีอยู่ ๒ แบบ คือคิดดีคือกรรมดี คิดชั่วคือกรรมชั่ว และกรรมชั่วก็มีรากฐานมาจากกิเลส ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์จะหยุดกิเลส ศิษย์จะต้องหยุดตั้งแต่ที่ความคิด ศิษย์จะหยุดความคิดได้ ศิษย์ต้องหยุดที่ความรู้ความเข้าใจ
ศาสนาพุทธสอนให้เรารู้เท่าทันความคิด จนสามารถสยบตัวตนจนไม่เหลือกรรม เราจะรู้อะไรโดยที่เราควบคุมความคิดและการกระทำไม่ให้ก่อเกิดกรรมชั่วนั้นยาก ไม่อยากจะบอกเลยว่าทำไม่ได้สักคน อารมณ์ดีหน้ายิ้ม อารมณ์ไม่ดีหน้าบึ้ง แล้วศิษย์เคยเห็นไหมเวลาศิษย์หน้าบึ้งครั้งหนึ่ง แล้วไปทำใส่คนอื่น เขาจะจำไปจนตายเลยว่าคนนี้หน้าบึ้งทำท่ารังเกียจใส่ฉัน ฉันจะจำไว้ไม่ลืม แค่ศิษย์ทำหน้าบึ้งก็สร้างกรรมชั่วแล้ว ศิษย์เคยเห็นไหมคนบางคนไม่รู้ว่าเราเคยไปทำอะไรกับเขามา แต่ทำไมเขาเกลียดชังเราจังเลย ไม่รู้จะจองล้างจองผลาญกันไปถึงไหน บางทีแค่ส่งสายตาไม่ดีด้วยความไม่ตั้งใจ ไม่คาดคิด แต่คนเขากลับจำไม่ลืม เก็บไปจองล้างจองผลาญ เหมือนกับใจศิษย์ มักเก็บร้ายมากกว่าเรื่องดี ลองถามตัวเองใครมาทำดีกับเรา เราจำไม่ได้ แต่พอใครว่าเรา ส่งสายตาไม่ดีกับเรา เราจำได้แม่นเลย ผ่านไปสิบปี ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรให้ แต่รู้ว่าเกลียดเขา ไม่ยอมรับความจริงก็จะแก้ไขไม่ได้นะ ศิษย์ต้องแก้ที่ความคิด และยังต้องมีความสำรวมระมัดระวัง
ปราชญ์โบราณท่านสอนไว้ว่า “เมื่อดำเนินชีวิตท่านเหมือนคนที่เดินอยู่บนน้ำแข็งบางๆ ทุกก้าวพลาดนิดเดียวคือกรรมเวร และเกี่ยวกรรม” เหมือนที่พระพุทธะองค์สอนไว้ว่า “อย่าประมาท จงมีสติ” เพราะทุกขณะที่ผิดพลาด ศิษย์ต้องชดใช้กรรม ศิษย์มักมีความประมาท พอใจก็ดี ไม่พอใจก็ไม่ดี กรรมอะไรที่ทำให้เราต้องเจอกัน ก็กรรมตัวเองที่ไปทำเขานั่นแหละ แต่จำไม่ได้เท่านั้นเอง อย่างน้อยคนอื่นที่เขามาทำเรา ถือว่าเราได้ชดใช้กรรม จะได้จบ แต่ถ้าเราไปทำคนอื่น ก็จะเป็นสิ่งที่แก้ยากนะศิษย์ ศิษย์จะพ้นกรรมได้ก็ต่อเมื่อศิษย์สิ้นกรรมแล้วศิษย์ไม่สร้างกรรมอีก ฉะนั้นใครทำอะไรเราก็ดีจะได้หมดเวรหมดกรรม แต่คนในโลกใครทำอะไรกับเราไม่ดี เราก็ทำไม่ดีกลับ แต่พุทธะคิดตรงข้าม ใครทำเราก็ดีแต่เราอย่าไปทำใครนั่นแหละดีที่สุด ถ้าเราศึกษาบำเพ็ญยอมได้ก็ยอม
อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ที่ยึดมั่นถือมั่นยอมไม่ได้ จะทำให้ศิษย์ไม่สามารถอยู่บนโลกด้วยสติปัญญาที่แท้จริงและมองเห็นความจริงในโลก ฉะนั้นจิตที่รู้จักยอม จิตที่ไม่ยึดจึงจะสามารถทำอะไรด้วยสติปัญญาอันแจ่มชัด ยอมไหมถ้าเขาเอาเงินไปไม่คืน (ยอม)  ฉะนั้นก่อนจะให้ใครไปคิดเสียว่าถ้าเขาไม่คืนก็ไม่เป็นไร การให้ของเราจะได้ไม่ผูกกรรมและจะได้จบกันแค่นี้ดีหรือไม่ (ดี) 
ฉะนั้นจึงบอกว่าถ้าเมื่อไรหลงยึดมั่น ศิษย์จะไม่สามารถทำอะไรด้วยสติปัญญาที่มองเห็นโลกอย่างแจ่มชัด ฉะนั้นถ้าเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิต จงรู้จักยั้งคิดก่อนจะลงมือทำ เพราะมีบางสิ่งบางที่เราไม่รู้และไม่เข้าใจ แล้วเรากลับมารู้ อะไรที่จะทำให้เราเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต อาจารย์ถามหน่อยคำว่า “รู้” เรารู้จักตัวเราดีไหม
วันนี้เรารู้แล้วว่าตัวตนมาจากไหน คำว่าตัวตนนี้ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าจิตญาณ เรามีสังขาร เรามีจิต เรามีญาณ ใครคิดว่าตายแล้วจบกัน ศิษย์ว่าจบไหม (ไม่จบ)  ทำไมไม่จบ เพราะเราไม่เคยยอมจบอะไรสักเรื่อง อาจารย์จะบอกศิษย์ว่า สังขารมีวันเสื่อมสลาย แต่จิตถ้ายังยึดมั่นถือมั่นกับความมีตัวตนก็จะหนีไม่พ้นการเวียนว่าย ที่ตัวเองยึดเรียกว่ากรรมดีกรรมชั่ว สังขารมีวันเสื่อมสลาย แต่ถ้าจิตยังเข้าไม่ถึงธรรม ยังยึดติดอยู่กับความมีตัวตน ก็จะหนีไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่ากรรมดีกรรมชั่ว เหมือนที่ศิษย์ทำดีแล้วศิษย์บอกว่าขอให้ชาติหน้าเกิดมาสวย ขอให้รวย ขอให้ร่มเย็น นั่นหมายความว่า ศิษย์ทำเพื่ออยากจะกลับมาเกิดอีกใช่ไหม (ใช่)  แต่ศีลธรรมของศิษย์มีไม่ครบจะได้เกิดมาเป็นคนไหม จะเอาแต่บุญบารมีก็เลยได้มาเกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้ ถ้าศิษย์ศึกษาธรรมศิษย์จะรู้ว่าอยากเกิดเป็นคนต้องศีลห้าครบ ถ้าศีลห้าไม่ครบศิษย์ไม่สามารถเกิดเป็นคนได้ แม้ศิษย์จะสั่งสมบุญมากแค่ไหน บุญนั้นอาจจะทำให้ศิษย์ขึ้นไปเสวยสุข แต่หมดบุญเมื่อไร ศิษย์ก็ต้องกลับมาเกิดเป็นคน แล้วก็ต้องใช้กรรมชั่วที่ศิษย์ทำ
ฉะนั้นทำอย่างไรที่เราทำไปแล้วไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ทำความรู้ให้ถึงแจ้ง เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเฝ้าเพียรทุกข์แล้วทุกข์อีก แต่เราเกิดมาเพื่อเข้าถึงทุกข์จนค้นพบธรรม เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเพียรดับทุกข์แล้วดับทุกข์อีก แต่เราเกิดมาเพื่อเข้าถึงทุกข์และค้นพบธรรม แต่มนุษย์เอาธรรมมาใช้เพียงแค่ดับทุกข์แล้วดับทุกข์อีกแต่ไม่เคยสิ้นทุกข์ ปล่อยให้ตัวเองทุกข์แล้วก็ยุบหนอพองหนอ ทำใจทำใจ ใจเย็นใจเย็น เมตตาเมตตา ไม่เคยได้สิ้นทุกข์สักที แต่ธรรมที่แท้จริงนั้นคือเข้าถึงทุกข์จนพบธรรม
แล้วทำอย่างไรเราจึงจะเข้าถึงทุกข์ นั่นก็คือมีตัวรู้  รู้ทันความคิด รู้ความเป็นจริงของโลก สรุปง่ายๆ ถ้าศิษย์ยังยึดติดในตัวตน ก็จะเกิดกรรมดีกับกรรมชั่ว แต่ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์เข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงว่า ตัวตนจริงๆ นั้นก็ไม่มี เมื่อเราทำอะไร เราก็จะทำแบบไม่ยึดติด ศิษย์ก็จะสิ้นกรรมหมดกรรม แต่ส่วนใหญ่เมื่อเราทำแล้ว เราก็มักจะจำและไม่ลืม อันนี้ก็เกลียดไม่ลืม อันนี้ก็รักจนวางไม่ลง อย่างนี้จึงกลายเป็นกรรมดีกรรมชั่ว แต่ถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริง แล้วศิษย์จะรู้ว่ารักแค่ไหนก็ต้องวาง เกลียดแค่ไหนก็ต้องปลง หนทางธรรมคือทางสายตรงที่สงบ จบไม่ก่อเกิดเรื่องราว เห็นอะไร วาง จบ แต่ถ้าเห็นอะไรแล้วยังคิดว่าต้องทำบุญมากๆ แสดงว่าศิษย์ยังยึดติดตัวตน แล้วพยายามนำธรรมมาดับทุกข์ สุดท้ายแล้วศิษย์ก็จะยังไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ศิษย์รู้จักความว่างไหม แล้วศิษย์เคยเห็นความว่างไหม ไม่เคยเห็น แล้วความว่างมีรูปลักษณ์ที่แท้จริงหรือไม่ (ไม่)  แต่เรารู้ว่านั่นคือว่าง เหมือนในห้องนี้มีคนอยู่ แต่ก็มีความว่างอยู่ ในเมื่อความว่างไม่มีรูปลักษณ์ เหมือนเห็นแต่ก็มองไม่เห็น แล้วความว่างหาขอบเขตไม่ได้ อาจารย์จะบอกให้ว่า ใจของเราหรือจิตเดิมแท้ หรือสภาวธรรมแท้ ไม่ต่างอะไรกับความว่าง แต่มนุษย์ไม่ชอบความว่าง จึงพยายามสร้างให้ตัวเองมี และก็มีแบบนั้นมีแบบนี้ ทั้งที่จริงๆ แล้วที่มีก็คือไม่มี ที่พยายามยึดว่าเราเป็นแบบนั้นแบบนี้ก็คือไม่มี ที่บอกว่าหน้าตาอย่างนั้นอย่างนี้ ถึงที่สุดมันเปลี่ยน เหี่ยว แก่และตาย เงินก็แก่เงินก็ตายได้เหมือนกันใช่ไหม (ใช่)  เงินเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  สามีเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  ทุกสิ่งย่อมมีวันเปลี่ยน
ฉะนั้นเมื่อเรายอมรับความว่างและเข้าสู่กระแสแห่งความว่างนั่นแหละคือค้นพบธรรม แต่มนุษย์ไม่มีสักคนหนึ่งยอมกลับสู่กระแสแห่งความว่าง เมื่อยังยึดว่าตัวเองมีก็หนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว และวิบากกรรมที่ต้องไปรับ แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์กลับสู่ความว่าง เราจะคืนสู่กระแสธรรมที่เราจากมา โดยต้องไม่พยายามใช้อะไรมาข่มอะไรเลย ขอแค่เพียงรู้แจ้งความเป็นจริง ว่าสิ่งที่มันคงอยู่มันก็อยู่แค่ชั่วขณะหนึ่ง ศิษย์เห็นอาจารย์ อาจารย์มีวันเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  อาจารย์จะอยู่ตรงนี้ตลอดไหม (ไม่)  และที่ตรงนี้ศิษย์อยู่ตลอดไหม (ไม่)  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหมุนเปลี่ยนแปรผัน ศิษย์จะหมุนเปลี่ยนแปรผันเพื่อกลับสู่ธรรม หรือศิษย์จะหมุนเปลี่ยนแปรผัน แล้วยึดติดในกรรมดีกรรมชั่วที่ศิษย์สร้าง ถ้าอยากกลับสู่ธรรมก็ต้องว่างๆ บ้าง เคลียร์ใจให้สะอาดบ้าง เห็นอะไรก็จบบ้าง ไม่ใช่อันนั้นก็ไม่จบอันนี้ก็ไม่จบ นั่นก็เกลียดนี่ก็ด่า เมื่อไม่จบก็กลายเป็นกระแสวิบากกรรม
ศิษย์อย่าทำให้อาจารย์ใจหาย เห็นเหมือนไม่เห็น มีเหมือนไม่มี เป็นอย่างนั้นจริงๆ ใช่ไหม
เพลงที่อาจารย์ให้ เป็นเพลงประจำของศิษย์ในชั้นนี้ ดีไหม (ดี)  เราศึกษาธรรม สิ่งสำคัญคือต้องลงแรงจริง ปฏิบัติธรรมจริง และเพียรทำจริง อย่าแค่ฟัง การฟังไม่ทำให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ นอกจากศิษย์ต้องลงมือปฏิบัติด้วยใจ ทุ่มเทด้วยหัวใจ ถ้าศิษย์ไม่ทำ ศิษย์ก็ไม่มีวันเข้าถึงธรรมได้อย่างแท้จริง จริงหรือเปล่า (จริง)  แล้วปฏิบัติธรรมตอนไหน (ตอนนี้)  เราปฏิบัติต่อเขาด้วยธรรม หรือปฏิบัติต่อเขาอย่างคนที่มีกรรมต่อกัน (ด้วยธรรม)  คนที่จะปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยธรรมไม่ใช่กรรม เราควรเอาธรรมอะไรมาช่วยยับยั้ง ไม่ให้ก่อเกิดกรรม (ทำดีกับเขา)  บางครั้งบอกให้ทำดีแต่เรานึกไม่ออก ทำดีอย่างไรที่เรียกว่าทำดี (เวลามีคนว่าเรามาเราต้องไม่โกรธ)  และต้องรู้จักขอโทษเขาด้วย ถึงแม้ว่าเราไม่รู้ว่าเราทำผิดอะไร แต่เราก็รู้จักขอโทษไว้ก่อน อย่างน้อยจะได้ช่วยดับร้อนในใจเขาได้ คนกำลังโมโห แต่ศิษย์ไปยิ้มใส่เขา ยิ่งทำให้เขาโมโหมากขึ้น บอกเขาว่าใจเย็นๆ แต่หน้าเราไปยิ้มแบบเบิกบานใส่เขา ทำให้เขาโมโหมากขึ้นไปอีก ฉะนั้นเราบอกว่า เราขอโทษ เราผิดไปแล้ว ทำอะไรที่ช่วยยับยั้งให้เราอยู่บนโลก ไม่ก่อเกิดกรรมและสามารถปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยมีกระแสแห่งธรรมอยู่ในใจ (แบ่งปัน ไม่จำกัดในการที่จะแบ่งปัน ถ้าใจเรารู้จักที่จะแบ่งปัน)  อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ แค่ศิษย์ไปเอาของเขาให้น้อยลง ก็เท่ากับคือการให้แล้ว จริงไหม คิดอยากได้ของคนอื่นให้น้อยๆ ก็เท่ากับศิษย์ลดการสร้างบาปแล้ว ดีกว่าแบ่งปันเยอะ เพราะไปเอาของเขามาเต็มที่แล้วค่อยมาให้ จะช้าเกินไปนะ (เราให้ในสิ่งที่เราพอจะมี)  ศิษย์เอ๋ยสิ่งที่สามารถให้ง่ายที่สุดคือความซื่อตรง จริงใจ (จริงใจกับทุกคน)
(บอกลูกหลานให้ทำความดี ซื่อสัตย์)  ขายของ ปลูกอะไรก็ต้องซื่อสัตย์ ซื่อตรง ห้ามเอาของไม่ดีไปให้คนอื่นกิน (อยากส่งต่อความดีที่เราเข้าใจให้)  อย่ามัวแต่หาเงินจนลืมส่งต่อความดีนะ อาจารย์จะบอกให้ เราหาเงินเราสามารถส่งต่อความดีง่ายๆ ของที่ขายเป็นของที่ดีที่สุดไหม ของที่เราขายเราเลือกมาอย่างดีที่สุดไหม ดีที่สุดเราขายให้เขา ไม่ใช่ดีไม่ดีเอามารวมกันแล้วบอกว่าดีที่สุด อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่จริงใจ ไม่ซื่อตรง มีใจที่จะรักในสิ่งที่เราทำและทำด้วยใจที่ดีที่สุด (บอกลูกหลานขอให้เข้าถึงธรรมะจริงๆ)  อาจารย์อยากให้ศิษย์ยิ้ม (ธรรมะดี)  ศิษย์ชวนคนอื่นไม่เท่ากับปฏิบัติให้ได้จริงอย่างที่ศิษย์รับรู้ เพราะถ้าศิษย์ปฏิบัติได้จริง พ้นทุกข์ได้จริง ไม่ต้องชวน เขาก็เดินตาม ขอให้ศิษย์ทำให้ได้นะ
(เป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และใจกว้าง)  ทำให้ได้นะ อาจารย์อยากขอแค่เราอยากให้น้อยๆ แล้วให้เยอะๆ ดีกว่าไปอยากเยอะๆ แล้วค่อยมาให้คน มันสายไปนะ (โลภให้น้อยเอาธรรมะให้คนอื่นเยอะๆ, ทำความเข้าใจผู้อื่นให้มากจะได้ไม่ทุกข์กับเขา, เป็นผู้ให้ ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ให้โดยไม่คิดว่าเขาจะคิดดีหรือไม่ดีกับเรา)  รากฐานของความดีงามทั้งมวลล้วนเกิดจากการให้มากกว่ารับ แต่มนุษย์โลกในวันนี้มักจะรับก่อนแล้วค่อยให้ (ปรับเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ดีและเรียนรู้สิ่งที่ดีให้กับชีวิตตัวเองมากยิ่งขึ้น) สิ่งที่ต้องมีให้มากยิ่งขึ้นคือ พยายามมีศีลและมีธรรมประจำใจ เป็นคนเมตตาเป็นคนจริงใจ
สิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากให้ศิษย์ประพฤติปฏิบัติ เพื่อช่วยลดละบาปเวรกรรมนั่นก็คือ การประพฤติปฏิบัติชอบ มีศีลครองใจมีธรรมครองกาย มีศีลครองใจคือ ไม่ผิดศีลห้า เราจะไม่เบียดเบียนเขาทั้งกายวาจาใจ และไม่เบียดเบียนทั้งสายตาและการกระทำ แม้ทางสายตาเราก็จะไม่ดูถูกดูหมิ่นใคร แม้ความคิดเราก็จะไม่อิจฉาใคร ไม่แช่งชักหักกระดูกใคร แต่เราทำมาหมดแล้วใช่ไหม
ฉะนั้นศิษย์จำไว้ อดีตนั้นแก้ไม่ได้ ตอนนี้ศิษย์ต้องใช้กรรมในสิ่งที่เคยก่อ แต่อนาคตและปัจจุบันศิษย์แก้ไขให้ดีขึ้นได้ ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นให้ถือว่าเป็นการชดใช้กรรม ดีหรือเปล่า (ดี)  แล้วคุณธรรมการประพฤติปฏิบัติในการอยู่ร่วมกันก็ไม่ยาก นั่นก็คือ อยู่กับผู้อื่นต้องมีความเมตตา เมตตาแล้วจะฆ่าเขาไหม เมตตาแล้วจะนินทาเขาไหม เมตตาแล้วจะไปแย่งของเขาไหม เมตตาแล้วจะผิดศีลไหม มีเมตตา มีมโนธรรมสำนึก มีสัตยธรรม มีจริยธรรมที่ดีงาม และมีปัญญาที่ถูกต้อง เห็นตามความเป็นจริง ไม่ใช่เอาแต่สิ่งที่ตัวเองคิดตามใจ ยากไหม (ไม่ยาก) (พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้แก่ผู้ตอบคำถาม)  ฉะนั้นการดำเนินชีวิต อย่าเอาคุณธรรมมาดับทุกข์ แต่ให้เอาคุณธรรมนำพาเพื่อไม่ก่อให้เกิดทุกข์ นี่คือการปฏิบัติที่ถูกต้อง ถ้าศิษย์มีเมตตา ศิษย์มีความซื่อตรง ศิษย์จะโลภ จะโกรธ จะหลง จะเกลียด จะโกรธด่าใครไหม แต่ปัจจุบันนี้ศิษย์ไปโลภ ไปโกรธ ไปหลง ไปเกลียด แล้วค่อยมีปัญญาธรรม มีเมตตาธรรม มีสัตยธรรม สายไปไหม (สาย)  แล้วเป็นอย่างนั้นใช่ไหม(ใช่)  แล้วถูกไหม (ไม่ถูก)  แล้วยังทำอีกไหม (ไม่ทำ)  อย่าทำ ได้หรือไม่ (ได้)  ยังมีเวลาอีกนิดหนึ่งก่อนจะจากกัน
มนุษย์มีความทุกข์มากมาย แล้วมีทุกข์หลายๆ อย่างที่เราพยายามแก้แล้วแก้ไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ต้นเหตุหลักที่ทำให้เราทุกข์คือความคิดที่อยู่ในจิต สิ่งที่ไม่ควรคิดก็คิด คิดมากเหลือเกิน สิ่งที่ควรรู้จักยั้งคิดก็ไม่ยั้งคิด ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับมนุษย์ ก็คือความคิด แล้วก็มักจะคิดให้ทุกสิ่งเป็นดั่งใจคิด แล้วก็ทุกข์เพราะความคิด ศิษย์เชื่อไหมว่า ศิษย์มีนิสัยอย่างหนึ่งที่ชอบบงการ และควบคุมให้ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นอยู่ในมือของศิษย์ บงการแม้กระทั่งไส้เดือนยันเครื่องบิน จริงไหม (จริง)
ศิษย์เอ๋ย อยู่กับพ่อแม่ ศิษย์ก็บงการว่า พ่อต้องเป็นอย่างนี้ แม่ต้องเป็นอย่างนี้ เมื่ออยู่กับเพื่อน ศิษย์ก็หวังว่าเพื่อนต้องเป็นแบบนี้ อยู่กับภรรยา ก็หวังว่าภรรยาน่าจะเป็นแบบนี้ ภรรยาอยู่กับสามี ภรรยาก็หวังว่าสามีน่าจะเป็นแบบนี้ จริงไหม (จริง)  แล้วศิษย์เชื่อไหม บงการพ่อแม่อย่างเดียวยังไม่พอ ยังบงการครูบาอาจารย์ด้วย อาจารย์ว่าศิษย์เป็นแบบนี้ทุกคน อย่างเช่น ใครมีครูบาอาจารย์ ใครมีพี่ ก็บอกว่า อาจารย์ทำไมไม่พูดดีกว่านี้ ถ้าอาจารย์พูดดีกว่านี้ อาจารย์จะเป็นคนพูดนิ่มนวล ศิษย์จะรักมากๆ เลย ทำไมอาจารย์ต้องเสียงดังโวยวายด้วย ศิษย์บงการหมดเลย ใช่ไหม (ใช่)
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับมนุษย์ และทำให้มนุษย์ทุกข์และหนีไม่พ้นทุกข์นั่นก็คือ ชอบยึดติดความคิดและควบคุมทุกอย่างให้เป็นดั่งใจคิด ทั้งที่จริงๆ แล้วมองไปลึกๆ ถึงอาจารย์จะเอะอะโวยวายกระโตกกระตาก อาจารย์ใจดีไหม (ใจดี)  แต่ในความใจดีอาจารย์ใจร้ายไหม ร้ายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในความร้ายและความดีอะไรคือตัวตนที่แท้จริงของอาจารย์ (ความดี)  ไม่มี ศิษย์เอ๋ยมองสิ่งใดอย่ายึดติด ถ้ายึดติดจะหนีไม่พ้นดีชั่ว ชอบชัง แต่ถ้าไม่ยึดติดมันคือความว่าง ที่ทำให้ศิษย์ค้นพบธรรม และคือหนทางอันสงบ ฉะนั้นถ้าเราไม่มีอะไรในความคิด เห็นอะไรไม่ตัดสิน เห็นอะไรไม่ยึดติด เขาจะเอะอะหรือนุ่นนวลชวนฝัน ศิษย์ก็ไม่ยึดติด แล้วจะเกิดกรรม เกิดความโลภ เกิดความหลงไหม (ไม่) เห็นเขาเอะอะจะโมโหโกรธาไหม ในเมื่อเราไม่ยึดติดความคิดแห่งตัวตน เพราะสิ่งที่ศิษย์รู้แท้จริงแล้วศิษย์ไม่รู้ เพราะความเป็นจริงแห่งสรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปรผัน และถึงที่สุดก็กลับคืนสู่ความว่างเปล่าที่หาตัวตนจริงไม่ได้เลย
ฉะนั้นผู้ที่อยากตื่นรู้ต้องมีความคิดเห็นอย่างถูกต้อง ถ้าเห็นอย่างถูกต้องก็สามารถพ้นทุกข์ได้ แต่เรามักไม่เป็นเช่นนั้น เราคิดว่าเรารู้เราเห็น มันต้องเป็นอย่างที่รู้ที่เห็น แต่จริงๆ แล้วเป็นดั่งที่เห็นเป็นดั่งที่รู้ไหม ฉะนั้นความรู้ที่แท้จริงคือ ไม่มีอะไรเลยที่เราเห็นจริง และไม่มีอะไรเลยที่เรารู้จริง เพราะทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปรผัน ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์ทุกข์ ถามว่าศิษย์พยายามให้เขาเป็นดั่งใจคิดหรือไม่ ศิษย์กำลังกระวนกระวาย เพราะเขาไม่ได้เป็นดั่งที่คิด และอีกสิ่งที่ทำให้ศิษย์ทุกข์คือ ชอบจำฝังใจ เมื่อไม่เป็นดั่งใจคิดก็เอามาเก็บ ตัดพ้อต่อว่า ผูกใจเจ็บ พอเจออะไรอีกก็ไม่ชอบ ผลสุดท้ายพอทนไม่ได้ก็ระเบิดอารมณ์ออกมาใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นทุกข์อีกอันหนึ่งคือ เมื่อไม่ยอมรับความจริงแล้ว เอาสิ่งนั้นมาเก็บไว้ในใจ จนบังเกิดทุกข์เป็นรอบที่สอง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “เวรกรรมผูกพัน”  แล้วมันจบไหม มันยังยืดเยื้อต่อ แล้วเราจะตัดกระแสเวรกรรมได้อย่างไร
(ไม่ยึดติด ปล่อยวาง)  ศิษย์เคยเห็นอะไรที่ทะลุปรุโปร่ง เคยเห็นจนเหมือนมองไม่เห็นไหม เคยมองเห็นชัดจนไม่มีอะไรมาลวงหลอกไหม ศิษย์ดูหนังจบแล้วมาดูอีกรอบหนึ่ง ความตื่นเต้นความสนุกนั้นน้อยลง ถ้าศิษย์อยากเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต จงมองชีวิตให้จบม้วน จงมองชีวิตให้ถึงที่สุด เมื่อหนังจบแล้วจะมาฉายใหม่อีกกี่รอบ ศิษย์ก็จะมองเห็นชัดไม่สามารถมาลวงใจศิษย์ได้ เขาจะชมเราขนาดไหน เราต้องไม่หลง เพราะเดี๋ยวก็โดนคำด่า เขาจะหล่อขนาดไหน เราต้องมองให้ชัดไม่นานก็ต้องเหี่ยว เขาจะดีขนาดไหน เราต้องมองให้ชัดไม่นานเขาก็ต้องตาย ไม่เขาตาย เราก็ตาย เหมือนกับการเห็นทุกอย่างชัดเจน อะไรก็ไม่สามารถมาลวงให้เราหลงจนก่อเกิดกิเลส ถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรม ศิษย์จะรู้ว่าทุกอย่างใดๆ ในโลก ศิษย์ไม่ควรยึดเอาไว้เลย แล้วศิษย์จะกลับสู่กระแสแห่งสภาวธรรมที่เรียกว่า มาว่างๆ ก็กลับไปอย่างว่างๆ มาจากธรรมก็กลับไปสู่ธรรม ที่ไม่ต้องพยายามจะสงบ แต่ก็จบลงทุกขณะที่มีชีวิต เห็นใครหรือเห็นอะไรก็จบ ดีแล้วที่ทำให้เราจบ และขอบคุณที่ทำให้เราเข้าใจชีวิต ถึงจะด่าเรา โกงเรา เอาเปรียบเรา แช่งชักหักกระดูกเรา แต่ก็ขอบคุณที่ทำให้เราเห็นวงจรชีวิตจบในม้วนเดียวและขอในชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
เกิดมาเพื่อมาใช้กรรมเก่าไม่สร้างกรรมใหม่อีกต่อไป อย่ารอชาติหน้าเลยนะ ทำเดี๋ยวนี้ตอนนี้ เห็นอะไรถ้ามันอยากแล้วผิดศีลธรรม อย่าอยากเลย เห็นอะไรถ้ามันอยากแล้วมันทำร้ายคุณธรรมความเป็นคน อย่าอยากเลย กินน้อย กินง่าย แต่ไม่ก่อทุกข์ไม่ก่อกรรม ดีกว่ามีเยอะๆ เรียนสูงๆ แล้วเหนื่อยแทบขาดใจ บ่นใครไม่ได้เพราะตัวเองหาเอง แล้วใครทำให้เราเจ็บก็เราเองทั้งสิ้น ฉะนั้นเป็นอย่างอาจารย์ดีกว่า ใส่เสื้อเหม็นๆ รองเท้าเก่าๆ อยู่ง่ายๆ นอนง่ายๆ เพราะถึงที่สุดศิษย์ก็เอาอะไรไปไม่ได้ ถ้าศิษย์ยังไม่เข้าถึงธรรม สิ่งที่ติดตัวไปได้คือ กรรมดีกรรมชั่ว แต่ถ้าศิษย์เข้าถึงธรรมเราก็แค่สิ้นกรรมคืนสู่ภาวะธรรม แล้วเมื่อศิษย์เข้าใจศิษย์จะรู้เลยว่า ในโลกนี้อย่าเกลียดใครเลยและอยู่ในโลกนี้อย่ารักใครให้เจ็บปวดใจเลย รักมากก็เจ็บมาก แค้นมากก็ทุกข์มาก ห่วงมากก็กังวลมาก
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ธรรมต้องทำ”)
ศิษย์เอ๋ย หูตาคนไม่สว่างเพราะใจมั่นหมาย ถ้าใจยังยึดติดอยู่กับความคิดเวลามองอะไรก็ไม่เห็นชัด ถ้าใจยังยึดติดกับความคาดหวังฟังอะไรก็จะฟังไม่รู้เรื่อง และอีกสิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากทิ้งท้ายลองเอาไปพิจารณา ปฏิบัติธรรมต้องทำนะศิษย์
ลองนำไปพิจารณาดูนะ สิ่งที่ศิษย์วงนี้ได้มาเป็นกลอนสองบท อย่าอ่านแค่จบเดียวแล้วผ่านแล้วผ่านเลย ลองอ่านแล้วไตร่ตรองในสิ่งที่อาจารย์พยายามเน้นย้ำให้ศิษย์รับรู้แล้วเข้าถึงธรรมให้ได้
ธรรมต้องทำ อย่าแค่ธรรมแต่ไม่ทำนะศิษย์ ได้หรือไม่ (ได้) และสิ่งสุดท้ายที่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ก็คือ มนุษย์หนีไม่พ้นความเป็นจริงแห่งชีวิต คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิด แก่ เจ็บ ตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคน อย่ากลัวแก่ อย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวตาย ความตายไม่น่ากลัวนะศิษย์ ความเจ็บก็ไม่น่ากลัว แต่การไม่ยอมรับความเจ็บแล้วดิ้นทุรนทุรายเพื่อจะให้ตัวเองไม่ต้องเจ็บนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกชีวิตล้วนต้องเจ็บ ล้วนต้องแก่ ล้วนต้องตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่ยืดอกยอมรับความจริง ศิษย์ของอาจารย์เป็นศิษย์ที่เข้มแข็งไหม (เข้มแข็ง) กล้าหาญไหม (กล้าหาญ) เมื่ออ่อนแอได้ ก็กลับมาเข้มแข็งได้ แต่ถ้าร่างกายไม่ไหว ใจก็ต้อง (สู้)  ได้ไหม (ได้) เข้าใจนะ เพราะไม่มีใครห้ามความแก่ ความเจ็บ ความตายได้นะศิษย์เอ๋ย เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องกลับ กลับอย่างคนที่เข้าใจธรรม ภาคภูมิใจในความดีที่ตัวเองทำถึงที่สุดแล้ว ส่วนสังขารจะเป็นอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องของสังขาร ขอเพียงจิตกลับคืนสู่ธรรม นั่นคือสิ่งที่ประเสริฐสุด ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ก็เชื่อและหวังอยู่เล็กๆ ว่าศิษย์ของอาจารย์ในชั้นนี้จะมีคนที่ไปถึงได้ และมีคนที่เข้าถึงธรรมได้ แม้จะไม่ถึงที่สุดแต่ก็ขอให้กลับไปบำเพ็ญต่อดีไหม แม้จะยังไม่ถึงที่สุด แม้อะไรจะไม่เป็นดั่งหวังก็ขอให้เดินหน้าก้าวต่อไปนะ ได้ไหมศิษย์ (ได้)  ชีวิตนี้มันไม่เป็นดั่งที่ใจคิดหรอก เมื่อไม่เป็นดั่งใจคิด จะล้มคว่ำกับมันหรือจะลุกขึ้นสู้แล้วก้าวต่อไป หาทางพ้นทุกข์และค้นพบธรรมให้เจอ อย่าเป็นคนที่เพียรดับทุกข์ แต่จงมองให้เห็นว่าทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว เราพ้นทุกข์ได้ เราผ่านมันได้ จริงไหม (จริง) อาจารย์ถามว่าทุกข์น่ากลัวไหม ไม่น่ากลัว ทุกข์นั้นทำให้อาจารย์ได้มาเจอศิษย์ เพราะถ้าศิษย์ไม่ทุกข์ อาจารย์จะมาไหม (ไม่มา)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเพราะศิษย์เข้าใจทุกข์ ศิษย์จึงสามารถกลับไปเจออาจารย์
ฉะนั้นอาจารย์จึงไม่รังเกียจทุกข์ แต่อาจารย์ขอบคุณทุกข์ที่ทำให้ศิษย์กับอาจารย์ได้เจอกัน เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม เข้าใจนะ ฉะนั้นขอให้ศิษย์เข้มแข็งในการดำเนินชีวิต รู้จักคิด รู้จักทำด้วยสติ อย่าสร้างบาปเวรกรรมเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ อย่าทำผิดคิดร้ายเพียงเพราะไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ อย่าประกอบกรรมชั่วเพียงเพราะตกเป็นทาสของอบายมุข อย่าทิ้งธรรมไปเพียงเพราะใจท้อ หนทางธรรมเป็นหนทางที่กลับสู่ความสงบ และอาจารย์ก็หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนจะกลับสู่หนทางนี้ ทางที่แท้จริงที่นำพาทุกชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ และค้นพบธรรมในใจตัวเอง สงบได้ไหม เย็นได้ไหม อดทนได้ไหม อภัยได้ไหม หนทางธรรมไม่ยาก แต่ยากตรงที่ถ้าอดทนไม่ได้ ใจเย็นต่อไปไม่ได้ ศิษย์ก็จะไม่ได้เจออาจารย์อีก เพราะศิษย์รู้แล้ว จริงไหม แล้วถ้ารู้แล้วยังไม่ทำ ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่นะ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นรู้แล้วทำให้ได้ ไปให้ถึง ดีไหม (ดี)  เราไม่ได้เกิดมาเพื่อสร้างกรรม แต่เราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมและจบกรรมนะ ใช่ไหม (ใช่)  เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์ แต่เราเกิดมาเพื่อเข้าใจทุกข์ สิ้นทุกข์ และคืนสู่ธรรม
ให้อาจารย์หมดห่วงได้หรือยัง อาจารย์รักศิษย์ทุกคน แม้ศิษย์จะไม่รักอาจารย์ อาจารย์ก็ไม่ว่าอะไร อาจารย์ห่วงศิษย์ทุกคน แม้ศิษย์จะไม่ห่วงตัวเอง ไม่รู้ค่าของตัวเองเลยก็ตาม ศิษย์สามารถเป็นพุทธะน้อยๆ ศิษย์สามารถเป็นคนดีที่สุดได้ และศิษย์ก็สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ แต่มันอยู่ที่ตัวศิษย์เอง
ขอให้ไตร่ตรองสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ให้ดี ขอเพียงศิษย์ศรัทธาเชื่อมั่นในธรรมของตัวเองและปฏิบัติตัวเองให้ถึงที่สุด อย่าให้ชีวิตนั้นทุกข์แล้วทุกข์อีกเลยนะศิษย์เอ๋ย ความทุกข์มันไม่น่าล้อเล่นเลยจริงไหม ฉะนั้นตั้งสติเวลาทำอะไรไตร่ตรองให้ดี อย่าตกเป็นธาตุของอารมณ์ง่ายๆ อายุมากแล้ว สังขารร่วงโรยไปเป็นธรรมดา ขอรักษาจิตหนึ่งกลับคืนสู่ธรรมที่แท้จริง อย่าได้กลัวความแก่ ความเจ็บ ความตาย รักษาจิตหนึ่งเดียวกลับคืนหาอาจารย์นะศิษย์


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ธรรมต้องทำ”
    หูตาคนไม่สว่างเพราะใจมั่นหมาย      ไม่อาจใช้ปัญญาได้เพราะยึดติด
กิเลสเกิดจากอัตตาคอยนึกคิด              ทางธรรมคือดับสิ้นซึ่งเชื้อไฟ
อย่ายึดดีจนกลายเป็นรังเกียจทุกข์         อย่ายึดสุขจนกลายเป็นกลัวทุกข์ใหญ่
ธรรมสอนให้มีสติรู้ตามจริงไป              ไม่หลงปรุงกิเลสให้ก่ออารมณ์



พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาท สถานธรรมผูถี จ.พิษณุโลก
(วันที่ ๕-๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑)

เพลงพระโอวาท หน้า ๑๗
เดิม
บำเพ็ญอีกแล้วข้าคอยเน้นหนัก ย้ำย้ำซ้ำซ้ำกำซาบบำเพ็ญคือจุดหมาย รู้ชาติเดียวเท่าที่เป็น ทุกข์จนแทบทนไม่ไหว เลือดในกายไหลรวมเป็นทะเล
บำเพ็ญอีกหนาก็คือทุกอย่าง ตรงนี้ที่ไหนไกลเท่าไรเพื่อเดินไปไหน พร้อมจะเดินก็ไม่ยาก หากรอมีใครจะพร้อม ขอบำเพ็ญมิวอนมากกว่านี้
แก้ไขเป็น
บำเพ็ญอีกแล้วข้าคอยเน้นหนัก ย้ำย้ำซ้ำซ้ำกำซาบบำเพ็ญคือจุดหมาย รู้ชาติเดียวดังที่เป็น ทุกข์จนแทบทนไม่ไหว เลือดในกายไหลรวมเป็นทะเล
บำเพ็ญแหละหนาก็คือทุกอย่าง ตรงนี้ที่ไหนไกลเท่าไรเพื่อเดินไปไหน พร้อมจะทำก็ไม่ยาก หากรอมีใครจะพร้อม ขอบำเพ็ญมิวอนมากกว่านี้


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา