แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อริยทรัพย์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อริยทรัพย์ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2562

2562-06-08 สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา

   西元二〇一九年嵗次己亥五月初六日                仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒                สถานธรรมเต๋อฮว่า  จ.สงขลา
 พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง
  อย่าได้ขาดจิตสำนึกความดีงาม        อย่าได้ขาดความซื่อตรงในหน้าที่
อย่าได้ขาดความกล้าหาญในความดี     เมื่อทำดีก็จงทำให้สุดใจ              
     เราคือ
  เสียวเสี่ยวฝอถง                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา  ลงสู่แดนโลก น้อมกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว   ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
                      
  เมื่อพบจิตฉับพลันลุล่วงพุทธะ        ทรัพย์อริยะแห่งจิตอยู่ตรงนั้น
ธรรมจักรสมบัติในมนุษย์สุดสามัญ     ครอบจักรวาลที่แฝงเร้นในตัว
ระวังใจตามองเพียงหนึ่งหน            วิสัยคนกระสับกระส่ายเห็นจักรเป็นบัว
เห็นใครมีไม่ได้อิจฉาทั่ว                 เลิกสนตากลับตัวจิตแยบยล
หาสมบัติที่ซ่อนอยู่ข้างใน               เป็นโชคในข้างแรมแซมฝน
ไม่ใช่ลาภลอยมาบันดาลดล             โลกมีคนกับปัญหาระหว่างเรา
บำเพ็ญบุญดุลพินิจรับไปแยกแยะ      ต้องการแค่สงบสว่างมากกว่าเก่า
ใดสัจจะที่เรื่องทุกเรื่องราว             ประพฤติเล่าไขความจริงเป็นอะไร
ธรรมเป็นแนวปรัชญาด้วยกฎเกณฑ์    บำเพ็ญเป็นปัญญาด้วยพลิกแพลงได้
เหนือความงามว่าด้วยปรัชญาใจ       รู้ตื่นในตัวเองเที่ยงนิรันดร์
แม้ชาติหน้าไม่พอขวนขวายไป         เดินใช่ไกลมาทำตัวเกียจคร้าน
ยังไม่เป็นมาทำเป็นชำนาญ             คนเก่งฟ้าข้อสำคัญพินิจตัว
                                                                          ฮิ ฮิ หยุด

พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวฝอถง

ตามนุษย์นี่แปลกนะ อยากเห็นอะไรก็ได้เห็น ไม่อยากเห็นอะไรก็ไม่ (ต้องเห็น)  ถ้าอย่างนั้นตาเราสัมพันธ์กับอะไร (ใจ)  ตาสัมพันธ์กับใจ ถ้าใจมันเห็น ใจอยากมองสิ่งที่ดี มันก็จะเห็น (สิ่งดี) แต่ถ้าใจมันกำลังเบื่อ สิ่งที่เห็นก็คือ (สิ่งที่ไม่ดี) ฉะนั้นจะไปโทษเขาว่าทำดีหรือไม่ดีไม่ได้ แต่ต้องถามใจเราก่อนว่าใจเราดีหรือไม่ดีจริงไหม (จริง) เขาพูดไม่ดีหรือใจเรามันเบื่อเลยมองเห็นเขาไม่ดี ถ้าเรารู้สึกว่าดี ตาเราก็จะเห็นดี จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าใจเรารู้สึกเบื่อ ตาเราก็จะทำให้เรามองเห็นแล้วรู้สึก (เบื่อ)  ใจเป็นอย่างไร ตาก็มองเห็น (อย่างนั้น)
ใจของเรามีพลังนะ ถ้าใจเรามีความสุข ตามันก็ประกายแวววาวจริงไหม แต่ถ้าใจเรามันทุกข์ ตาเรามันก็จะหม่นหมองหดหู่ไม่เคยได้ยินหรือ ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ มนุษย์พูดไม่ใช่หรือ แต่ตอนนี้ตาท่านไม่มีประกายแวววาวเลย มีแต่ความหม่นหมองและความหดหู่ จริงไหม ฉะนั้นถ้าเราอยากทำให้คนรอบข้างมีความสุข ก็ต้องเริ่มต้นที่ใจของเรา จริงไหม ถ้าใจเราสุขอยู่ที่ไหนมันก็ (สุข)  ถ้าใจมันทุกข์อยู่ที่ไหนมันก็ (ทุกข์)  ฉะนั้นตอนนี้ใจขมหรือใจสุข วันนี้เรามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับท่าน อย่าคิดว่ามาสอนได้ไหม เรามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นพูดคุยกันในเรื่องที่ไม่ใช่เรียกว่านินทาว่าร้าย แต่เป็นเรื่องที่เราต้องเจอกันทุกวัน แล้วทำอย่างไรถึงเจอแล้วมันจะได้ไม่ทุกข์ ฉะนั้นเริ่มต้นง่ายๆ ถ้าใจเรามันเต็มเปี่ยมไปด้วยความทุกข์ อยู่ที่ไหนมันก็ทุกข์จริงไหม ถ้าใจมันเต็มไปด้วยความร่มเย็นสบายใจ อยู่ที่ไหนก็ (ร่มเย็นสบายใจ)  จริงหรือไม่ (จริง)
เราถามหน่อย คนภาคใต้เป็นคนที่อ่อนแอไม่สู้คนใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)เป็นคนรับอะไรไม่ได้ง่ายๆ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถ้าอย่างนั้นแปลว่าคนใต้เป็นคนเด็ดเดี่ยว ใจสู้ ไม่ยอมแพ้ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่อู้ง่ายๆ ไม่เอาเปรียบ ไม่ขี้เกียจ ถ้าอย่างนั้นแปลว่า นั่งฟังแล้วยิ่ง กระปรี้กระเปร่า ยิ่งมีพลัง ยิ่งสดชื่น จริงไหม (จริง) ตอนนี้เป็นอย่างนั้นจริง แต่ตั้งแต่เช้ามาไม่เป็นอย่างนี้เลย ใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งความสุขหาไม่ยากหรอก อยู่ที่ว่าจะยอมรับมันและยิ้มกับมันได้ด้วยหัวใจที่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยวหรือไม่ จริงไหม (จริง)  ท่านไม่ต้องเชื่อเราก็ได้ แต่ท่านเชื่อใจตัวเองได้ ถ้าท่านเชื่อใจตัวเองว่าสู้ไหว เอาไหว เอาอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ใครพูดอย่างไร ก็ไม่มีประโยชน์เพราะใจฉันจะสู้ จะเอาให้ได้ เอาให้อยู่ ใช่หรือไม่ ถ้าตอนนี้เขาจะพูดดีอย่างไร แต่ถ้าใจท่านบอก ไม่สู้ ไม่เอา ไม่ไหว ใครพูดอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นอย่าดูถูกพลังใจของตัวเอง ถ้าคิดจะสู้ก็สู้ ถ้าคิดจะเอาก็เอาอยู่
แต่บางครั้งเราล้มพลาดไป เราทุกข์ท้อไป เพราะเราลืมใจตัวเอง เอาแต่เชื่อใจคนอื่น จนลืมเชื่อศรัทธาในความเข้มแข็งดีงามและรับไหวกับใจตัวเองไหม ที่แพ้พังราบไปเพราะอะไร เพราะเอาแต่เชื่อใจคนอื่นหรือเชื่อใจตัวเอง (คนอื่น)  เพราะเอาชีวิตไปผูกไว้กับคนอื่นจึงลืมสร้างความเข้มแข็งให้กับจิตใจของตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นชีวิตเรา เราต้องดูแลตัวเราเองเหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า ใจเราสามารถหยั่งได้เท่าที่เราอยากให้เป็น และบางครั้งใจเราก็เล็ก จนเราไม่คิดจะสู้อะไร จริงไหม (จริง)  แล้วใจจะใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่ที่น้ำคำคน ขึ้นอยู่กับคนรัก ขึ้นอยู่กับคนด่าคนชัง หรือต้องขึ้นอยู่ที่ใจเราเอง (ขึ้นกับใจเราเอง)  แล้วที่ผ่านมาอยู่ที่เราเอง หรืออยู่ที่ปากคนอื่น (คนอื่น)
เกิดเป็นคนอย่าขาดซึ่งจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงาม ถ้าคนใดคนหนึ่งขาดจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงาม ก็ยากที่จะอยู่บนโลกได้อย่างสันติสุข และง่ายที่จะเป็นคนที่นำพาให้ผู้อื่นมีทุกข์ และตัวเองก็ต้องพบทุกข์  เหมือนเขาให้เราทำให้ดี แต่เราทำแบบลวกๆ  ผลที่ออกมาเราก็เสีย คนอื่นที่ได้รับก็ไม่ดี  แต่ถ้าเราทำด้วยความซื่อตรงทำด้วยความรับผิดชอบ ทำในสิ่งที่ดีที่สุด ผลที่ได้ออกมา เราก็ภูมิใจ คนที่ได้รับรู้สึกสุขใจที่ได้มา  ถ้ามนุษย์ทุกคนมีจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงาม ในสังคมก็คงไม่มีการทำร้ายกันหรอก
อยู่ในโลกนี้โลกสอนให้เราเข้มแข็ง ใช่ไหม โลกสอนให้เราเก่ง ใช่ไหม โลกสอนให้เราต้องขวนขวายหาความรู้จนประสบผลสำเร็จ ใช่ไหม โลกสอนเราทุกอย่าง ใช่ไหม สอนให้เรารู้จักรักเป็นอย่างไร ใช่ไหม
โลกสอนให้เราเข้มแข็ง  สอนให้เราอยู่บนโลกนี้ให้ได้ สอนให้เราต้องมีความอดทน สอนให้เราสู้ให้เป็น สอนให้เราขวนขวาย ขยันทำมาหากิน เพื่อเลี้ยงดูตัวเอง โลกสอนเราทุกอย่าง แต่ในเวลาที่อ่อนแอ โลกสอนเราไหม ว่าเราต้องทำอย่างไร เวลาที่เราทุกข์ใจ โลกสอนเราไหม (สอน)  โลกสอนให้เรารู้จักสุข แล้วก็สอนให้เรารู้จักทุกข์ โลกสอนให้เราเข้มแข็งได้ แต่โลกก็สอนให้เรา (อ่อนแอได้)  โลกสอนให้เราสำเร็จได้  และสอนให้เรา (ล้มเหลวได้)  โลกสอนให้เราโชคดี  และสอนให้เรา (โชคร้ายได้) โลกสอนให้เรารู้ว่าคนดีเป็นอย่างไร และสอนให้รู้ว่าคนร้ายเป็นอย่างไร
วันที่เราต้องอ่อนแอ ต้องทุกข์  รู้สึกแย่ วันที่เราล้มเหลว  โลกสอนให้เรากลับมาเข้มแข็งอย่างไร  (ต่อสู้กับความยากลำบาก)  เมื่อวันหนึ่งโลกสอนด้านหนึ่ง อีกวันก็สอนอีกด้านหนึ่ง  เรารู้ได้ว่าทำอย่างไรให้กายเข้มแข็ง เรารู้ว่าทำอย่างไรให้ชีวิตประสบผลสำเร็จ  แต่ถ้าวันหนึ่งโลกสอนให้เราล้มเหลว สอนให้เราอ่อนแอ อะไรให้เราเยียวยาใจ  ในเมื่อโลกสอนแต่กาย แต่ลืมสอนใจ  แล้วเราดูแลแต่กายเป็น แต่ลืมดูแลใจตัวเองให้เป็นจริงไหม (จริง)  โลกสอนให้เราเข้มแข็งกล้าหาญต้องประสบผลสำเร็จ ต้องยิ่งใหญ่ แต่เมื่อวันหนึ่งโลกสอนให้เราอ่อนแอ ล้มเหลว ต้องเป็นทุกข์  กายเราพอรักษาได้ แต่วันหนึ่งวันที่ใจเราอ่อนแอ เจ็บปวด ท้อแท้  เราเอาอะไรมาเยียวยาใจ  หรือเราสอนกายเป็น แต่เราสอนใจไม่เป็น
กายรอดได้ แต่เราดูแลใจตัวเองไม่รอด จริงไหม เวลาเราเจอทุกข์แค่ครั้งหนึ่งบางคนอยากตายเลยใช่ไหม เวลาเราล้มเหลวครั้งหนึ่งเราไม่อยากมีชีวิตอยู่เลย อย่างนั้นแปลว่าเราบำรุงเลี้ยงกายเราได้แต่เราลืมบำรุงเลี้ยงใจ เราดูแลกายเราได้ แต่เราลืมดูแลใจเรา โลกสอนเราด้านหนึ่งแล้วอีกด้านหนึ่งโลกไม่ได้สอน
ให้เรารู้จักทำกายตัวเองให้เข้มแข็งประสบผลสำเร็จได้ แต่ใจเราไม่เคยสอนใจเราเลย ถูกไหม เรามีวิชาทำให้ร่างกายเราอยู่รอด ทำให้ร่างกายเราเข้มแข็ง ทำให้ร่างกายเราสำเร็จ แต่วิชาอะไรล่ะที่ช่วยสอนใจเราเมื่อยามอ่อนแอให้กลับมาเข้มแข็ง วิชาอะไรล่ะที่เมื่อยามทุกข์แล้วสอนให้เราพ้นทุกข์และพบความสุข จากจิตใจของเราเอง นั่นคือวิชาใจเราเอง ดูแลใจเราเอง ใช่ไหม ในวันที่ใจเราท้อ ในวันที่ใจเราผิดหวัง ในวันที่ใจเราเจ็บปวด กายแม้จะตั้งตรงแต่ใจไม่อยากตรงแล้วใช่ไหม แล้วสิ่งที่จะช่วยเยียวยาใจของเราคืออะไรหนอ ธรรมะใช่ไหม ธรรมะช่วยเยียวยาใจใช่ไหม อย่างนั้นเวลาที่ใจเราอ่อนแอ ใจเราทุกข์ เราต้องเอาธรรมะมาสอนใจ ถูกไหม ฉะนั้นชีวิตไม่ใช่ความฝัน ชีวิตไม่ใช่ความคิด แต่ชีวิตคือความจริง ฉะนั้นสิ่งที่จะเยียวยาชีวิตเราได้ เยียวยาใจเราได้คือความจริงและความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกเรียกว่าธรรมะใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าผู้ใดที่รู้จักเอาธรรมะมาเยียวยาใจ เอาธรรมะมาสอนใจก็จะยอมรับความจริงที่วันหนึ่งเข้มแข็ง อีกวันหนึ่งอาจจะอ่อนแอ วันหนึ่งมีสุข อีกวันหนึ่งอาจจะ (มีทุกข์)
บำรุงเลี้ยงดูแลใจเราด้วยธรรม ใช่ไหม (ใช่)  แต่มนุษย์นิยามชีวิตของตัวเองว่าความฝัน และความคิด จึงมักจะปล่อยตัวเองให้คิดฝันว่าชีวิตต้องเป็นแบบนั้นต้องเป็นแบบนี้ มองตามความฝัน มองตามความคิด จนลืมมองความจริง ทั้งที่ความจริงเป็นธรรมะที่ช่วยเยียวยาใจได้ดีที่สุด แล้วเราสนธรรมะไหม เราไม่สนธรรมะ เราสนแต่เราคิดอะไรอยากได้อะไร เมื่อไม่เป็นอย่างที่คิดที่อยากได้ เราก็เลยหนีไม่พ้นความทุกข์ แต่ถ้าเรามีชีวิตอยู่เราเอาธรรมะมาเตือนใจเสมอ เอาธรรมะมาสอนใจเราเสมอว่าฝันขนาดไหนคิดขนาดไหน ก็อย่าลืมความจริง อยากได้ขนาดไหน อยากมีขนาดไหน ก็ไม่ควรลืมความจริง เพราะในโลกของความจริงมีได้ก็มีเสีย มีสุขก็มีทุกข์ มีสำเร็จก็มีไม่สำเร็จ ฉะนั้นถ้าทุกขณะชีวิตเราไม่ลืมว่าชีวิตไม่ใช่ความฝัน ชีวิตไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปอย่างที่คิด แต่ชีวิตคือความจริง เราก็คงไม่หนีห่างจากธรรมะ เพราะธรรมะสอนความจริงอันเป็นธรรมดาของโลก
แล้วธรรมะแห่งความเป็นจริงข้อไหน ที่จะช่วยทำให้เราสามารถเยียวยาใจได้ เมื่อเวลาที่เราต้องเจอความจริงในอีกด้านหนึ่งที่เราไม่คาดคิด
และยอมรับที่จะอยู่กับสิ่งๆ นั้นให้ได้   อย่างแรกที่จะทำให้เราอยู่กับความเป็นจริงและช่วยเยียวยาใจ คือ เราต้องไม่มีอคติ  ภัยพิบัติที่เกิดจากการไม่สุภาพสำรวมยังแก้ไขได้ แต่ภัยพิบัติที่เกิดจากความยึดติดถือมั่นในความคิด แก้ยาก (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา ยกตัวอย่าง โดยให้พิธีกรหน้าชั้น เป็นตัวละครสมมติ ว่า  ด้านขวาคือความดี ความสุข ความสำเร็จ  ด้านซ้ายคือความเลว ความแย่ ความล้มเหลว)  ท่านชอบได้ด้านไหนมากกว่ากัน  (ด้านขวาที่ดี)  ถ้าอยากเรียนรู้ความจริงเราต้องไม่อคติกับด้านซ้าย และไม่ยึดติดกับด้านขวา  แต่ถ้าเราเอาแต่ชอบด้านที่ดี  สำเร็จ สมบูรณ์ ไม่ล้มเหลว ไม่พ่ายแพ้ ชีวิตจะต้อง ไม่มีคนเกลียด  มีแต่คนรัก ไม่มีคนเลิกรักฉัน เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ชีวิตของเราคือความจริง ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่ความคิด  ถ้าฉะนั้นด้านดีก็ดี  ด้านไม่ดีก็ดี ถ้าอยากเรียนรู้เยียวยาใจให้เป็น และใจไม่ต้องอ่อนแอไปกับเรื่องที่ไม่อยากเจอ ไม่ว่าด้านดี หรือไม่ดี เราก็ต้องรับให้ได้ ดูให้เป็น เมื่อสักครู่ ท่านก็บอกเอง ใจเป็นของเราเอง จะเล็กก็อยู่ที่เรา จะใหญ่ก็อยู่ที่เรา จะทุกข์หรือสุขก็อยู่ที่เรา ถ้าเจอเรื่องร้ายเราก็รับได้  เจอคนด่าก็ (ทนได้)  เจอคนหักอกเราก็ (ทนได้)  คนยืมเงินไม่คืน เราก็ (รับได้)  เจอสามี หรือ ภรรยา ไปไม่กลับ เราก็ (รับได้)  จำไว้ เราบอกท่านตั้งแต่แรกว่า ตาเป็นอย่างที่ใจคิด  ถ้าใจไม่รับ อย่างไร ก็ไม่รับ แล้วก็ไม่เห็น ถ้าใจไม่เอา ที่เห็นก็ไม่เห็น  แต่ถ้าใจเอาและรัก ที่ไม่เห็นเราก็จะเห็นยิ่งกว่าเห็น  จริงไหม (จริง)
แต่ถ้าเราบอกว่า ในเมื่อเราบอกว่าใจมันเป็นของเราเอง ท่านศรัทธาเชื่อมั่นในใจตัวเอง ถ้าอย่างนั้นดีร้ายมันอยู่ที่ตัวเขาหรือตัวเรา (ตัวเรา)  ดีร้ายมันอยู่ที่ชะตากรรมหรือเปล่า (เปล่า) ถ้าใครว่าเราร้ายแต่เรารู้ใจเราเองว่าเราร้ายหรือเราดี ใครทำเราทุกข์เรารู้ใจเราเองว่าทุกข์หรือสุข ใช่ไหม  (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นถ้าใจเรารับไหว อะไรมันก็ไหว จริงไหม เหมือนตอนนี้ถ้าใจท่านไม่อยากฟัง  ถูกไหม เราพูดอะไรท่านก็ไม่เข้าหู ก็ใจมันไม่ชอบ ถ้าใจมันชอบจะเห็นมากกว่าเห็น และจะทำให้เรารู้ยิ่งกว่ารู้ ฉะนั้นอย่าดูถูกใจตัวเองและลดคุณค่าของใจตัวเองเพียงเพราะว่า ไม่เอา ไม่ชอบ เพราะในโลกของความเป็นจริง อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าเกิดว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ ต้องรับมือให้ได้ ถ้าเราศรัทธาเชื่อมั่นในใจของตัวเอง แม้สิ่งที่ร้ายที่สุดเราก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่มีความสุขและมีคุณค่าได้ด้วยใจของตัวเอง เพราะโลกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าอย่างนั้นถ้าเราไม่รังเกียจ เราไม่อคติอะไร อะไรเราก็รับไหวและอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้เราสู้ได้เมื่อวันที่เราท้อแท้ก็คือในดีมันมีดี และในแย่กว่ามันมีแย่ลงไปอีกจริงไหม (จริง)
ฉะนั้นในโลกของความเป็นจริงบางครั้งเรารู้สึกว่าเราต้องเจอเรื่องผิดหวัง เราต้องเจอเรื่องแย่ เราต้องเจอเรื่องทุกข์ แต่บางทีถ้ายังไม่หมดลมหายใจ จำไว้นะวันนี้สิ่งที่ท่านทุกข์อาจจะไม่ใช่ทุกข์ที่สุด อาจจะมีทุกข์กว่า และก็ทุกข์กว่า จริงไหม ฉะนั้นอย่าเสียน้ำตากับทุกข์แรกเลยเพราะชีวิตยังมี (ทุกข์กว่า)  และยังมี (ทุกข์กว่า)  ใช่หรือไม่ ฉะนั้นวันไหนที่เจอเรื่องดีใจ ก็จงอย่าดีใจ เพราะบางทียังมีสิ่งที่ (ดีใจกว่า)  และก็ (ดีใจกว่าอีก)  ใช่หรือไม่ ฉะนั้นควรยึดติดกับคนนี้ดีไหม คนนี้ทำฉันผิดหวัง อกหัก หลอกลวงฉัน ฉันอยากตายแล้ว คนที่คิดแบบนี้คือคนที่ลืมไปว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่ (ทุกข์กว่าอีก)  และก็ (ทุกข์กว่าอีก)  ฉะนั้นเราอยากจะจมกับคนนี้ไหม เราอยากโง่กับคนนี้ไหม เราอยากแย่กับคนนี้ไหม อย่างนั้นเราอย่าลืมว่าในโลกนี้มีดีก็มีดีกว่า มีดีกว่าก็ยังมีดีกว่า ฉะนั้นวันไหนที่เจอเรื่องแย่ๆ ก็จงจำไว้ว่าอาจจะมีสิ่งที่ (ดีกว่า)  ในสิ่งที่ดีอาจจะมีสิ่งที่แย่กว่า และในสิ่งที่แย่ ถ้าเราเปิดใจให้กว้างไม่อคติ ไม่ยึดติด และไม่เห็นแต่สิ่งที่ตัวเองอยากเห็น เปิดใจให้กว้างๆ ไว้ เราจะเห็นว่าในร้ายอาจจะมีดี ในดีอาจจะมีร้าย ใช่หรือไม่ ฉะนั้นสิ่งที่เยียวยาใจและทำให้เราเตือนใจอยู่และไม่ทุกข์กับโลกใบนี้คือ ความจริงที่เป็นธรรมดาของโลก และความจริงที่เป็นธรรมดาของโลกก็สอนว่า มีดีก็มีดีกว่า มีแย่ก็มีแย่กว่า มีทุกข์แล้วก็อาจจะมี (ทุกข์กว่า)  ฉะนั้นเราควรจมอยู่กับสิ่งที่เราคิดเเละเห็น หรือเราควรจะเปิดใจให้กว้างแล้วมองความจริง แล้วถึงเวลาเราเปิดใจกว้างหรือเห็นสิ่งที่ตัวเองอยากเห็น (เปิดใจให้กว้าง)
เวลามีความรักโลกนี้มีเขาคนเดียวใช่ไหม (ไม่ใช่)  โลกนี้เราจะตายเพราะเขาคนเดียวใช่ไหม (ไม่ใช่)  ชีวิตเรามีเวลานี้เวลาเดียวใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถึงเวลาเรายังมีลมหายใจอยู่เรายังมีคนอื่นไหม (มี)  ธรรมะสอนให้รักเดียวใจเดียว แต่ถ้าเราอยากจะเยียวยาใจเราก็ต้องรู้จักเอาธรรมะมาสอนใจว่ามีดีก็มีไม่ดี มีแย่ก็มีแย่กว่า ฉะนั้นอย่าทุกข์ใจ อย่าร้องไห้ไปเลย ดีไหม เพราะธรรมะสอนความจริงอันเป็นกลางที่เรียกว่าความสงบ สุขหรือทุกข์ยังแกว่งไปด้านดีด้านร้าย แต่ธรรมะสอนให้เราพบความสงบอันแท้จริง ผู้ที่รู้จักพึงมีธรรมจึงสามารถรักษาความสงบท่ามกลางความวุ่นวายในโลกได้ และรู้จักประคองจิตเยียวยาใจของตัวเองให้เป็น สำคัญที่สุดในชีวิตสุขได้ก็ต้องทุกข์ได้ สุขและทุกข์มามากพอแล้วก็ต้องรู้จักวางให้ลงบ้าง ฉะนั้นนั่งแล้วก็ต้องยืนเป็นบ้าง นั่งมานานแล้วก็หัดยืนให้เป็น ดีไหม (ดี)  ยืนเป็นยืนเข้มแข็งจะนั่งก็ไม่กลัว ดีกว่าเอาแต่นั่งแล้วไม่คิดจะยืน ฉะนั้นนั่งได้ก็ยืนได้ สุขได้ก็ทุกข์ได้ เมื่อสุขได้ทุกข์ได้ก็ต้องปล่อยวางได้ ลองมาแล้วทั้งชีวิต สุขมาก็หลายครั้งแล้ว ทุกข์มาก็หลายครั้งแล้ว ตอนนี้จะเจออะไรก็ลองดูสักตั้งหนึ่ง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดขอแค่เพียงใจ (สู้)  และยอมรับความจริง
ท่านเคยไหม สุขมาก็มาก ทุกข์มาก็มาก พอถึงเวลาไม่ว่าเขาจะร้ายมาอีกขนาดไหน ใจมันกลับชิน และก็ไม่ทุกข์ ไม่สุข ไม่ติดอะไรแล้ว เพราะเจ็บมาเยอะแล้ว ยิ้มมาเยอะแล้ว วันนี้ยิ้มกับเขาที่เขามีความสุขให้เรา แต่พรุ่งนี้จะทำให้ฉันทุกข์อีกไหมหนอ วันนี้เขาทำให้ฉันทุกข์ ในใจเราก็คิด พรุ่งนี้จะหายทุกข์ไหมหนอ ถ้าเรามองความจริง เราจะไม่ยิ้ม หรือไม่สุข ไม่ทุกข์  จะอยู่กับความสงบความเข้าใจ อะไรจะเกิด เราก็รับได้ เพราะเราเข้มแข็งพอใช่ไหม  ฉะนั้นถ้าอยากเรียนรู้ความจริง ก็อย่าลืมว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นแหละดีที่สุดแล้ว จริงไหม (จริง)  ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว อย่าไปเปรียบเทียบและยึดอนาคต เพราะชีวิตของเราวันนี้ ก็เป็นเพราะเมื่อวานโน้น เมื่อก่อนโน้นเราทำมา ใช่หรือไม่  อนาคตจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้เราทำตัวเช่นไร  อะไรเกิดจงเรียนรู้ไว้ว่าดีแล้ว เพราะไม่แน่สิ่งที่เราบอกว่าไม่ดี อีกสิบวัน ยี่สิบวัน อาจจะดี จริงไหม (จริง)  เราอยากหาคนที่ดีที่สุด รักเราที่สุด เข้าใจเราที่สุด แต่ถึงเวลาใครดีที่สุด (เรา)  เข้าข้างตัวเอง  ตัวเราก็ยังไม่ดี ฉะนั้นเราอยู่ในโลกเราพยายามหาสิ่งที่ดีที่สุด ชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุด ชีวิตที่งดงามที่สุด แต่เราถามท่านลึกๆ  นั้น ในโลกแห่งความเป็นจริง ชีวิตใครสมบูรณ์แบบที่สุด
มีใครดีที่สุด (ไม่มี)  มีใครแย่ที่สุด (ไม่มี)  มีใครน่าเกลียดที่สุด (ไม่มี)  มีใครจนที่สุด (ไม่มี)  คนจนกว่าเราก็มี ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงแม้วันนี้เราจะไม่ถูกลอตเตอรี่ ถูกหวยกิน เราจะเศร้าไหม เราคิดว่าเราถูกหวยถูกลอตเตอรี่เราเป็นคนได้ นึกว่าจะได้ แต่จริงๆเราได้หรือว่าเราเสีย เสียมากกว่าได้ใช่ไหม  ถูกสามตัว เสียไปไม่รู้กี่ตัว ใช่หรือไม่ ฉันใดก็ฉันนั้น ในชีวิตที่เราพูดว่าเราเสียเปรียบคนอื่น คนอื่นทำร้ายเราคนอื่นเอาเปรียบเรา แท้จริงแล้วใครเอาเปรียบ ใครคือคนที่ดีที่สุด ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง ความเป็นจริงจะสอนให้เรารู้ว่า โลกใบนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดก็พร้อมจะพร่องที่สุด จริงไหม เหมือนสามีที่เราได้มาเราว่าหาดีที่สุดแล้ว แล้วเป็นอย่างไร ภรรยาคิดว่าดีที่สุดแล้ว แล้วเป็นอย่างไร ถ้าเราอยู่ในโลกความเป็นจริง สมบูรณ์มากเท่าไหร่ก็บกพร่องมากเท่านั้น ดูบกพร่องมากเท่าไหร่แต่จริงๆ แล้วก็สมบูรณ์ที่สุดในใจเราแล้ว และในโลกของความเป็นจริงแล้ว
1. อย่าอคติ
2. จงกล้าที่จะรับความจริงไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
3. เพราะโลกใบนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แล้วทุกข์น้อยลง
อย่างนั้นเราถามคำถามข้อหนึ่งว่า เราอยู่ในโลกเราแสวงหาทรัพย์ เราแสวงหาเกียรติยศ เราแสวงหาเงินทอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งทรัพย์ เกียรติยศ เงินทอง หามาแล้วมักจะได้อะไรกลับมาเสมอ หามาแล้วก็มักจะโดนคนเอาไป หามาแล้วมักจะทำให้เราอยู่ไม่ค่อยเป็นสุข จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเราถามหน่อยว่ามีทรัพย์อะไรในโลกที่หาแล้วไม่หายไปจากใจ แม้หาได้เพียงนิดหน่อยก็ยังอยู่กับเรา ไม่หนีหายไปไหนใครก็แย่งชิงทรัพย์นั้นไปไม่ได้ แล้วยิ่งมีก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวใจด้วย คิดนะ เพราะเวลาที่เราอยู่ในโลกหาความสุข แต่ลึกๆ เราก็กลัวความสุขนั้นกลายเป็นความทุกข์ ใช่หรือไม่ หาความสำเร็จลึกๆ เราก็กลัวจะกลายเป็นความล้มเหลว หาความเข้มแข็งแต่ลึกๆ เราก็รู้ว่าใจเราอ่อนแอ สิ่งที่หามาทุกอย่างล้วนทำให้เราไม่เคยมั่นคงได้เลย ใช่ไหม (ใช่)  เราถามท่านหน่อยว่าถ้าเกิดเราจะหา หาอะไรดีหนอที่ทำให้เรามั่นคงไม่หวั่นไหวไม่โดดเดี่ยว ยิ่งหายิ่งมีความสุข
สิ่งนั้นคืออะไร ความดีใช่ไหม กุศลผลบุญใช่ไหม ธรรมะอย่างเดียวใช่ไหม ถ้าใจเรามีธรรมะแล้วก็จะดีใช่ไหม เคยไหมหาความรักแต่ลึกๆ ก็ยังโดดเดี่ยว หาความสำเร็จแต่ลึกๆ ก็ยังกลัวล้มเหลว หาความสุขลึกๆ ก็ยังพบกับทุกข์ เราพยายามหาทุกอย่างเพื่อเติมเต็มให้ใจเราดี ใจเรามีความสุข ให้ชีวิตเรามั่นคง แต่ทำไมทุกสิ่งที่เราหามันไม่เคยมีอะไรมั่นคง ไม่เคยมีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกสุขอย่างแท้จริง มันมักจะกลับกลายเป็นทุกข์ และมันมักจะกลับกลายเป็นความอ่อนแอจริงไหม อยู่กับลูกนึกว่าจะสบายใจ แต่ลูกก็ทำให้เราทุกข์ใจ อยู่กับเพื่อนดูเฮฮาปาร์ตี้ดี แต่ไม่รู้ถ้าเวลาเมาแล้วพูดไม่ดีไหม ไม่รู้วันไหนเขาจะตีหัวเราไหม ในโลกเราแสวงหาทุกอย่างเพื่อความสมบูรณ์ในชีวิต เพื่อความสุขในชีวิต แต่ทำไมยิ่งหาเรากลับยิ่งอ่อนแอ ยิ่งหาเรายิ่งกลัว ยิ่งหาเรากลับเหมือนยิ่งทุกข์ ยิ่งกังวล จริงไหม แต่มันมีสิ่งหนึ่งนะ ยิ่งหายิ่งร่มเย็น ยิ่งหายิ่งอิ่มใจอุ่นใจแม้อยู่คนเดียวก็สุขได้ และยิ่งหาใครก็เอาไปไม่ได้ ไม่ต้องกลัวใครจะมาแย่งชิง ไม่ต้องกลัวใครจะมาวิ่งราวไป ทรัพย์ทางโลกยิ่ง หายิ่งมีภัย แต่สิ่งนี้ยิ่งหายิ่งปลอดภัยทรัพย์นั้นคืออะไรล่ะ (ธรรมทานแห่งบุญ, การปล่อยวาง)  ตอบว่าการปล่อยวางใช่ไหม เกือบจะใช่นะแต่ยังไม่ใช่ เขาบอกว่าเราหาทรัพย์ในโลกเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ท่านรู้ไหม มีทรัพย์อีกประเภทหนึ่งที่สามารถบำรุงเลี้ยงทั้งชาตินี้และชาติไหน และสามารถนำพาให้เราไปปรโลกก็ไม่กลัวตาย
คำตอบคือ “อริยทรัพย์[1]” เป็นทรัพย์อีกประเภทหนึ่งที่เอาไว้ครองใจเยียวยาใจและดูแลใจไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน และเป็นเสบียงที่ดีที่สุดแม้เราตายไป เราก็ไม่กลัวปรโลก ไม่กลัวตกนรกเพราะเราได้ทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม นอกจากธรรมทำให้เราเข้าถึงความเป็นจริง ท่านรู้ไหมว่าธรรมยังสามารถทำให้เราพ้นการเวียนว่ายในโลกได้และธรรมทำให้เราพ้นทุกข์ได้ แต่เราไม่เคยทำเพราะเราดูถูกตัวเองว่าเราทำไม่ได้ ใช่หรือไม่ และอริยทรัพย์ที่เราสามารถพกไปไหนมาไหนด้วย ยิ่งทำแล้วยิ่งมีความสุข เริ่มต้นด้วยการมีเจ็ดอย่าง อันแรกคือศรัทธา(๑) ถ้าไม่ศรัทธาในความถูกต้องดีงาม ไม่ศรัทธาในการประพฤติตนให้ดีงาม ไม่ศรัทธาในบุญกรรม ไม่เชื่อในกรรม ไม่เชื่อในบุญ ท่านก็ทำดีไม่ได้ จริงไหม ฉะนั้นอย่างแรกคือศรัทธา อย่างที่สองคือศีล(๒) อย่างที่สามคือ คนที่ไปอยู่ปรโลกก็ไม่กลัว คนที่ตายก็ไม่กลัว นั่นก็คือคนที่มีหิริ(๓)โอตัปปะ(๔) ความละอายเกรงกลัวต่อบาป รู้จักสะดุ้งกลัวในบาป เพราะบาปให้ผลเป็นกรรมชั่ว และการทำบาปก็เป็นการตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ หนีไม่พ้นบาป หนีไม่พ้นทุกข์ และเมื่อบาปมาให้ผลแล้ว หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน เราก็ไม่มีวันหนีบาปที่เราสร้างได้ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นนอกจากศรัทธา ศีล หิริ โอตัปปะแล้วยังมีอีกคือการฟังรู้ไหมการมานั่งฟัง(๕) แบบนี้ ก็ให้อริยทรัพย์ที่ประเสริฐ เพราะปัญญาที่รู้แจ้งในความเป็นจริงแห่งธรรม ถ้ามีติดตัวไปแล้ว จะมีติดตัวไปทุกภพทุกชาติ  ถ้าเมื่อเราเจอทุกข์ เราก็แก้ปัญหาทุกข์ได้ นั่นคือจิตที่ใฝ่รู้  เพราะปัญญาที่รู้แจ้งในความเป็นจริง  ฉะนั้นวันนี้มาฟังก็ได้อริยทรัพย์อย่างหนึ่ง เพิ่มความรู้ กับเพิ่มปัญญา(๗) ถ้าได้แล้วเรารู้จักให้(๖) ก็เป็นอริยทรัพย์ อีกอย่างหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเป็นทรัพย์ที่ปฏิบัติแล้วไม่โดดเดี่ยว ปฏิบัติแล้วไม่เคยรู้สึกว่าไม่ว่างเปล่าในชีวิต เป็นทรัพย์เมื่อปฏิบัติแล้วสามารถนำพาซึ่งความสุข แม้ทำดีเพียงนิดเดียว ใครก็เอาไปไม่ได้จริงไหม (จริง)  แล้วเราทำดีหรือทำชั่ว ดีมากกว่า หรือชั่วมากกว่า (ดีมากกว่า) แค่ให้ทำดีละชั่ว ให้ละชั่วก็เรียกว่าทำดี แล้วมีหลายคนที่ทำดี แต่ไม่เคยละชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชั่วแค่ไหนก็พยายามทำดีกลับแค่นั้นใช่ไหม
อย่ามองธรรมะเป็นเรื่องไกลตัว สิ่งที่เราพูดกับท่านในวันนี้เป็นเรื่องธรรมะเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต  เพราะถ้าเข้าใจความเป็นธรรมดาของชีวิต เรื่องบนโลกใบนี้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่ากลัวใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอยากอยู่บนโลกนี้ให้มีความสุข อะไรก็ดี ถ้าบอกว่าอันนี้ก็ไม่ได้ อันนั้นก็ไม่ได้ นั่นแหละชีวิตวุ่นวาย ฉะนั้นอะไรเกิดก็ดี สิ่งที่เยียวยาจิตก็คือ อย่าอคติ อะไรเกิดมันก็ดีที่สุดแล้ว และเปิดใจให้กว้าง เพราะสิ่งในโลกนี้สมบูรณ์ที่สุด มันพร้อมจะพร่องที่สุด  ถ้าจำในสิ่งที่เราพูดได้ ท่านก็จะอยู่ในโลกนี้ไม่มีทุกข์หรอก จะสงบใจเป็นและเรียนรู้ที่จะรับมือกับเรื่องราวในโลกนี้อย่างเข้าใจ จริงไหม (จริง)  เราถามท่าน จริงๆ  แล้วเราอยู่ในโลก เราต้องการคนที่ดีที่สุด หรือเราต้องการคนที่เข้าใจเรามากที่สุด (เข้าใจ)  ต้องการคนที่อยู่กับเราได้แม้ในวันที่เราไม่มีอะไร เราต้องการคนที่รับเราได้แม้เราจะผิดขนาดไหน แต่ก็ยังเลือกที่จะเข้าใจเรา เราต้องการคนที่เห็นใจและเข้าใจเรา แม้เราจะผิดพลาดไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ชีวิต จริงๆ  แล้วไม่ใช่ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดหรอก แต่ต้องการคนที่เข้าใจ และอยู่กับเราได้ในวันที่เราไม่มีอะไร หรือไม่เหลืออะไร ก็อยู่กับเราได้ จริงไหม (จริง)  แล้วเราอยากได้คนที่ดีที่สุดคือคนที่เข้าใจที่สุดล่ะ  ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต ต่อไปใครจะน่าเกลียดที่สุด ไม่มี เพราะคนที่น่าเกลียด เดี๋ยวมีคนที่น่าเกลียดกว่า อย่าเพิ่งไปเกลียดเขาเลยดีไหม ฉะนั้นคนที่น่ารัก บางทีก็อย่าเพิ่งไปหลงรักเลย บางทีเขาอาจจะมีสิ่งที่น่าเกลียดอยู่ก็ได้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นธรรมจึงคอยเยียวยา และคอยกระตุ้นเตือนใจให้เราไม่ก้าวผิดพลาด และมองเห็นความเป็นจริง ในสิ่งที่เราควรเห็นให้มากกว่าที่เห็น หรือเห็นจนกลายเป็นธรรมดาของโลก เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือใจของเรา ใจมันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น และเป็นสิ่งที่ละเอียด และใจก็มักที่จะชอบฝักใฝ่ที่จะไปอยู่กับอารมณ์ที่เราใคร่ปรารถนา ใช่หรือไม่ ฉะนั้นผู้มีปัญญา จึงพยายามฝึกจิตใจ เพราะจิตใจที่ฝึกดีแล้วย่อมนำมาซึ่งความสุข ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่ที่มนุษย์เข้าใจธรรม ก็จะฝึกใจ ฝึกใจด้วยการทำอย่างไรล่ะ ใจเรามันชอบฝักใฝ่แต่อารมณ์โน้น อารมณ์นี้ เดี๋ยววิ่งไปเอาอันโน้น อารมณ์นี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ต่อไปนี้เราไม่รับอารมณ์อะไรแล้ว เมื่อไหร่ที่เราสามารถฝึกใจให้รู้เห็นใจได้ทุกขณะจิต และไม่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำเป็นตัวจิตของเรา เมื่อนั้นแหละเราก็พ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)  ทันใจตัวเอง เห็นแล้วไม่เกลียด เห็นแล้วไม่รัก เห็นแล้วเข้าใจ นั่นคือธรรม เกลียดเป็นอารมณ์ใช่ไหม รักเป็นอารมณ์ใช่ไหม และอารมณ์ให้ผลเป็นบาปและทุกข์ใช่ไหม แต่ต่อไปเห็นอะไรแล้วไม่เกลียด เข้าใจ เข้าใจ เข้าใจ เมื่อนั้นใจเราก็เป็นธรรมไม่มีกิเลส เมื่อนั้นเราเป็นธรรมเราก็พ้นทุกข์ ฉะนั้นถ้าทุกขณะที่ท่านเห็นแต่ไม่ยึดติดเป็นอารมณ์ เห็นแต่เข้าใจและมองจนสุดถึงความเป็นจริง ท่านจะพ้นทุกข์และไม่ถูกกรรมใดๆ ผูกมัดต่อไป ลองดูนะ เห็นแล้วไม่ชอบ เห็นแล้วไม่รัก เห็นแค่เห็น เมื่อนั้นเราก็พ้นกิเลส พ้นกรรม จริงไหม ฉะนั้นถ้าเราศรัทธาในใจตัวเอง ใจที่ถูกต้อง และใจที่มีธรรม ศรัทธานั้นจะทำให้เราค้นพบอริยทรัพย์ที่อยู่ในตน เพราะถึงที่สุดของการเป็นคนคือความเป็นพุทธะ ถึงที่สุดของการแสวงหาคือธรรมที่ทำให้เราพ้นทุกข์ และถึงที่สุดของการมีชีวิตคือสามารถควบคุมชีวิตจนเป็นอิสระไม่มีกิเลสอีกต่อไป จริงไหม ลองพิจารณาสิ่งที่เราพูดนะ และลองตั้งสติตั้งใจให้ดี เพราะว่าวันนี้ท่านไม่ได้มาเอาสนุก แต่ท่านมาเอาความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกที่ถ้าเข้าใจ จะพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ คนทุกคนอย่ามีชีวิตแบบประมาท เพราะเมื่อไรประมาทเราก็ทุกข์จนตาย จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันและอย่ายึดติดกับอดีต เพราะคนที่เอาแต่อดีตคือคนที่ตายแล้ว แต่คนที่มีชีวิตคือคนที่อยู่กับปัจจุบัน และชีวิตคือความจริง ชีวิตไม่ใช่ความคิด ความคิดไม่ใช่ชีวิต แต่ชีวิตคือความจริง มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันนะ ลองศึกษาให้ดีๆ วันนี้อย่ามาล้อเล่นกับตัวเอง อย่ามาดูถูกคุณค่าธรรมในตัวเอง ถ้าท่านศรัทธาและเชื่อในใจตัวเอง เราก็พร้อมจะบอกว่าใจของท่านคือคนที่สามารถเป็นพุทธะเดินดินได้ ใจของท่านคือคนที่สามารถมีทรัพย์ที่ประเสริฐได้ และใจของท่านสามารถที่จะทำสิ่งใดๆ ก็ตามในโลกได้ขอแค่เพียงเชื่อมั่นในตัวเอง โลกใบใหญ่เรายังรู้ได้ด้วยใจเรา แล้วชีวิตแค่หนึ่งชีวิตเรานำพาให้พ้นทุกข์ไม่ได้หรือมีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ อย่าดูถูกคุณค่าและความสามารถพุทธะในตนเอง



[1] อริยทรัพย์ (น.) แปลว่า ทรัพย์อันประเสริฐ มี ๗ ประการ คือ (๑)ศรัทธา (๒)ศีล (๓)หิริ
                                (๔)โอตตัปปะ (๕)พาหุสัจจะ (๖)จาคะ และ (๗)ปัญญา




วันอาทิตย์ที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๒  สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา
  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


  ต่างสามัคคีเพราะต่างคนละอคติ      สามัคคีไม่ลืมตัวไม่แบ่งขั้ว
เวลาพิสูจน์เจ้าเองการทำตัว            หอบกระโตงกระเตงชีวิตชั่วดีตามกรรม
ผู้รู้ต้องธรรมกถาด้วยจริยา             ธรรมอยู่เหนือเวลาไม่สูงต่ำ
ทำผิดเองรับผลเองประจำ              การบำเพ็ญนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตน
                   เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานเต๋อฮว่า   น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว  ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม

     สร้างบารมีธรรม เคราะห์ดีมีกรรม สร้างเจ้าแข็งแกร่ง
    เจ้าเห็นธรรมเห็นไป  ไม่มีจุดหมาย ก็เทียวสิ้นแรง
    ต้องมีปัญหาให้เป็น ไว้คอยบำเพ็ญ เพื่อการรู้แจ้ง
    ความจริงก็แสนยากเย็น อะไรไม่เป็นก็จงเข้มแข็ง
    อยู่เป็นจึงเบิกบาน ดุจดั่งดวงจันทร์ไม่เว้าไม่แหว่ง
                                                            ฮา ฮา  หยุด

สมบัติแห่งอริยะ  จักรวาลที่แฝงในจิตใจคน สายตามองเห็นเพียงจักรกล  ไม่มีใครสนสมบัติที่ซ่อนข้างใน  โชคลาภกับคนมีบุญ แค่งบดุลรับส่ง ไปมา เรื่องที่จะไข เป็นแนวปรัชญา ว่าด้วยปัญญา เป็นความตื่นในตัวเอง  ชาติหน้าไม่พอขวนขวาย ที่มาไกลใช่เป็นเพราะเก่ง ฟ้าขอเจ้าไม่ลืมตัวเอง ชั่วชีวิต กระโตงกระเตง ธรรมต้องรู้เอง อยู่เหนือเวลา
*สร้างบารมีธรรม เคราะห์ดีมีกรรม สร้างเจ้าแข็งแกร่ง เจ้าเห็นธรรม เห็นไป  ไม่มีจุดหมาย ก็เทียวสิ้นแรง ต้องมีปัญหาให้เป็น ไว้คอยบำเพ็ญ เพื่อการรู้แจ้ง ความจริงก็แสนยากเย็น อะไรไม่เป็นก็จงเข้มแข็ง อยู่เป็นจึงเบิกบาน ดุจดั่งดวงจันทร์ไม่เว้าไม่แหว่ง เออ ดูเอา เถอะ นะ เจ้ามาปลูกฟัก ทำไม ได้แฟง       (ซ้ำ *)

ชื่อเพลง:  อริยทรัพย์ในตน
ทำนองเพลง: ตังเก


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


สองวันนี้ใครตั้งใจทำดีเต็มที่ เจก็ไม่แตก บุหรี่ก็ไม่สูบ เหล้าก็ไม่กิน และไม่แอบเล่นหวยสองตัว ผู้ชายไม่ยกแปลว่าแตกเจหมดเลยใช่หรือเปล่า ที่ยกมือแปลว่าแตกเจหมดเลยหรือไม่แตก ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มต้นง่ายๆ นะ อาจารย์ดูหน้าผมก่อนเถอะ ดียังไม่รอด อย่าพูดว่าจะบำเพ็ญไหวหรือเปล่า อย่างนี้หรือจะบำเพ็ญยังอีกไกล ใช่หรือเปล่า อาจารย์เคยแต่ได้ยินว่าเกิดเป็นคนต้องยกตัวเองให้สูง อย่ากดตัวเองให้ต่ำ ดึงตัวเองให้ดีอย่าลากตัวเองให้ชั่วร้าย นี่แหละเรียกว่าคนประเสริฐ จริงไหม (จริง)  ถ้าอย่างนั้นเราเกิดเป็นคนทั้งทีเป็นมนุษย์ที่ใครๆ ก็เรียกว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐ เราควรจะดึงตัวเองให้โง่ดักดานหรือว่าดึงตัวเองให้สูงยิ่งขึ้น
ฝ่ายหญิงอาจารย์ไม่ค่อยห่วง เสียอย่างเดียวคือปาก ฝ่ายชายเสียหลายอย่าง และหลายอย่างที่เสียก็มักจะพลาดเพราะอบายมุข และเสียก็เพราะผู้หญิง ฉะนั้น ถ้าถามว่าถ้ามีโอกาส ที่เราได้เกิดเป็นคนทำไมไม่ดึงตัวเองให้สูง ทำไมต้องดึงตัวเองให้ต่ำ  หน้าตาอย่างเราดีไม่ขึ้นหรือ ดีขึ้นไหม (ขึ้น)  อาจารย์ขอดูหน้าหน่อยนะ หน้าที่บอกว่าไม่รอด อย่าก้มหน้า  กล้าทำก็ต้องกล้ารับ แต่อาจารย์มองหน้าแต่ละคน ก็ดีๆ  ทั้งนั้นนะ ถึงเวลาเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องไหม
วันนี้ให้มาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แตกแถวไหม สวรรค์ในอกนรกในใจ  ผู้หญิงชอบเสียเรื่องปาก  ผู้หญิงจะดีจะร้าย ไม่ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ถ้าปากพูดไม่หยุดก็ดูไม่ได้นะ  คนโบราณพูดว่า คนที่พูดเรื่องชั่วๆ  พูดเรื่องไม่ดีของคนอื่น คนนี้เกิดมาพร้อมกับมีขวานอยู่ในปาก ชอบถากถาง ชอบฟันคนให้เจ็บปวด หรือบางทีคนพวกนี้เกิดมามีมีดในปาก ชอบทิ่มแทง บุคคลใดที่ควรสรรเสริญแต่เราตำหนิ แต่บุคคลใดที่ควรตำหนิ เรากลับสรรเสริญ คนเหล่านี้เรียกว่า มีปากเอาไว้อมความชั่ว ฉะนั้นเราเป็นประเภทนี้ไหมศิษย์ ไม่เคยนินทาใครเลย ไม่เคยด่าใครเลย  อาจารย์ชักหนาวๆ  ร้อนๆ  แล้ว ที่เงียบแสดงว่ามีขวาน ทุกคนเลย ที่ไม่พูดแสดงว่ามีมีดทุกคนเลยใช่ไหม  ผู้ปฏิบัติงานธรรมไม่ตอบให้ชื่นใจหน่อย  เคยนินทาไหม (เคย)  แสดงว่าในปากมีขวานทุกคนเลยใช่ไหม อย่าให้ปากเราเสีย อย่าให้ปากพาจน เพราะโรคภัยไข้เจ็บไม่น่ากลัวเท่าปากเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะภัยร้ายขนาดไหนไม่เท่ากับปากเราพาจน ผู้ชายก็เหมือนกันอย่าไปว่าเขาเลย เห็นอย่างนี้ไม่พูด ถ้าพูดแล้ว โอย ออกมาได้อย่างไรเจ็บนะ วันนี้อาจารย์ขอมาพูดเรื่องง่ายๆ ดีไหม ในตัวมนุษย์เรามีสิ่งที่ดีงาม แต่ก็มีอีกสิ่งที่เรียกว่าผลาญความงามในตัวเรา เคยได้ยินไหม นักเรียนชั้นนี้ คิดว่าเราดีไหม (ดี)  แต่เวลาจะชั่วก็ชั่ว
อาจารย์ถามหน่อย ดีก็มี ชั่วก็มี แล้วแบบนี้เรียกว่าดีไหมศิษย์ แต่ถ้าดีก็มี ชั่วก็เก็บไว้ อาจารย์เรียกว่าชั่ว ไม่เรียกว่าดีนะ หรือที่เรียกว่าก้ำกึ่งๆ ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยกันเรื่องนี้ มนุษย์เราทุกคนก็อยากเป็นคนดี แต่สาเหตุหนึ่งที่เราดีไม่ขึ้นเพราะว่าเรามีตัวผลาญความดี มีตัวทำลายความดีอยู่ในตัวเรา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรหรือสาเหตุมาจากไหน แล้ววันนี้เรามารู้จักตัวที่ผลาญความดีในใจของเรา เรามารู้จักตัวที่ทำร้ายความดีในตัวเราดีไหม ถ้ากำจัดตัวร้ายได้เราก็คือคนดี ไม่ต้องทำอะไรก็ดีแล้วจริงไหม เหมือนเกิดเป็นคน เราอยู่ในโลก ถ้าเราไม่ทำอะไรใครก็มองเราดี แต่ถ้าเมื่อไรที่เราอ้าปากพูดอะไรผิด ความดีก็ค่อยๆ ลดไปเลยใช่ไหม ฉะนั้นคนดีที่แท้จริงขอแค่เพียงละชั่วได้นั่นก็ดีแล้ว แต่ในความเป็นจริงของมนุษย์ ดีแค่ไหนก็ชั่วแค่นั้น ก็เลยไม่เรียกว่า (ดี)  ใช่ไหม ดีขนาดไหนแต่ถ้าชั่วไม่ละนั่นก็ไม่อาจเรียกว่า (ดี)  แล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นแบบนั้นไหม
การบำเพ็ญนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตน อยู่ในโลกนี้พูดน้อยๆ หน่อยก็ผิดน้อยหน่อย บาปก็น้อย ปัญหาก็น้อย เพราะโดยส่วนใหญ่ปัญหาของมนุษย์เราก็มาจากการที่เรามอง การที่เราฟัง การที่เราพูด โดยที่ไม่ใคร่ครวญไตร่ตรองให้ดี ใช่หรือเปล่า
ต้อนรับอาจารย์ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเอาอะไรต้อนรับดี (เอาใจ)  เอาใจหรือ อาจารย์ว่าแค่เอาสติตั้งใจฟังที่อาจารย์พูดจะดีกว่านะ ใช่ไหม  ขอเพียงมีสติตั้งใจฟังที่อาจารย์พูดนั้นก็เป็นการที่ต้อนรับอาจารย์มากแล้ว ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นตอนนี้อาจารย์ยืนศิษย์ก็ (ยืน)  อาจารย์นั่งศิษย์ก็ (ยืน)  ตกลงตามนี้ใช่ไหม (ใช่)  พูดอะไรไม่คิดเดี๋ยวต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองพูดนะ ถ้าอาจารย์ยืนศิษย์ก็ (ยืน)  ให้โอกาสแล้ว ฉะนั้นถ้าอาจารย์ยืนศิษย์ก็ (นั่ง)  อาจารย์นั่งศิษย์ก็ (ยืน)  ตกลงเอาอย่างไร (นั่ง)  อาจารย์ถามจริงๆ นะ ในโลกนี้ถ้ามีคนเอาตัวเองเป็นใหญ่ไม่สนใจคนอื่นจะอยู่ได้ไหม (ไม่ได้)  เห็นแก่ตัวเองเป็นหลักไม่สนใจคนอื่นจะรอดไหม (ไม่รอด)  แปลว่าถ้าอาจารย์ยืนศิษย์ก็ (ยืน)  ศิษย์เอยไปไหนอยากให้เขารัก อยากให้เขาเป็นห่วง อยากให้เขาดูแล ถ้าเขายืนศิษย์ก็ยืน ถ้าเขานั่งศิษย์ก็ยืน ถามจริงๆ จะไม่มีคนเป็นห่วงและรักศิษย์หรอก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอยากไปไหนก็เป็นคนที่รักของคนอื่น ใครๆ ก็อยากให้อยู่ด้วย เพราะว่าเป็นคนที่รู้จักลำบากก่อนคนอื่นสบายไม่เป็นไร แต่ศิษย์สบายก่อนคนอื่น ลำบากก็ไม่สนใจใคร แบบนี้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รอด จริงไหม (จริง)  ถ้าเริ่มต้นไม่ถูกก็ผิดไปตลอดจริงไหม (จริง)  ทำอะไรอย่ามัวแต่ห่วงตัวเอง เพราะถ้ามัวแต่ห่วงตัวเองศิษย์จะไม่มีใครรัก โลกนี้คนเห็นแก่ตัวเยอะแล้ว เราอยากได้คนที่รู้จักเผื่อแผ่ รู้จักคิดถึงหัวอกคนอื่น รู้จักเสียสละให้คนอื่น ศิษย์ไม่อยากได้คนแบบนี้หรือ อยากได้ไหม (อยาก)  ฉะนั้นสิ่งที่ล้างผลาญความดีในใจศิษย์นั้นก็คือการการคิดเอาแต่ได้เอาแต่ตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเช่นนี้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีวันทำดีขึ้น จริงไหม (จริง)  คิดถึงแต่ตัวเอง คนอื่นช่างหัวมัน ตัวเองสบาย คนอื่นช่างหัวมันใช่ไหม (ใช่)  คนแบบนี้ถ้ามีอยู่ในใจนะ เป็นเรื่องที่ทำดีไม่ขึ้น ล้างผลาญความดีในใจหมด เหมือนถามว่าอยู่ในโลกนี้ให้ได้ก่อน แล้วค่อยให้เขา ศิษย์เป็นประเภทเอาก่อนหรือให้ก่อน (ให้ก่อน)  จริงหรือ (จริง)  ฉะนั้นสิ่งที่จะล้างผลาญความดีคือคนที่คิดเอาแต่ได้แล้วไม่รู้จักให้ แต่คนในโลกเอาก่อนแล้วค่อยให้จริงไหม (จริง)  ศิษย์ไปตบหัวเขา ไปทำเขามาแล้ว แล้วศิษย์ค่อยไปทำบุญอย่างนี้เรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  ฉะนั้นเมื่อไหร่คิดเอาก่อนให้ คนนั้นไม่มีวันดีขึ้นได้จริงไหม (จริง)  เราเป็นแบบนั้นไหม (ใช่)  ต่อไปจะไม่เป็นใช่ไหม (ใช่)  แต่ก่อนมาเป็นใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามง่ายๆ อาจารย์ตบหัวคนกลุ่มนี้ แล้วอาจารย์ค่อยไปทำดีกับกลุ่มนี้ล้างกันได้ไหม (ไม่ได้)
ศิษย์บอกว่า อาจารย์ไม่ได้หรอก โลกใบนี้ต้องหาให้เต็มที่ก่อน ไปเอามาให้เต็มที่ก่อน แล้วค่อยทำบุญใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์ก็คือ มนุษย์มีความดีแต่ก็มีสิ่งที่น่ากลัว คือสิ่งที่คอยล้างผลาญความดีของเรา อย่างแรกก็คือเห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ส่วนรวม เอาตัวเองเป็นหลัก ผู้อื่นเป็นรอง คนที่คิดแบบนี้อยู่ที่ไหนก็จะทำความดีไม่ขึ้น อาจารย์ถามศิษย์นะ ถ้าสมมติมีโอกาสได้ขนมหนึ่งถุง แต่มีคนสองคน เอาก่อนแล้วค่อยให้ หรือให้ก่อนแล้วค่อยเอา (เอาก่อน, ให้ก่อน) ให้ก่อนแล้วก็บอกว่าแกแบ่งฉันบ้างสิอย่างนั้นเหรอ แปลว่าให้แล้วหวังผลใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากจะให้ต้องไม่หวังผล จะได้ไม่ล้างผลาญความดีถูกหรือไม่ ฉะนั้นถ้ามีโอกาสได้ แต่เราเอาน้อยหน่อย ดีกว่าไหม (ดี)
ฉะนั้นสิ่งที่ล้างผลาญความดีอีกอันหนึ่งที่มีอยู่ในใจมนุษย์ก็คือไม่ชอบเสีย ชอบได้ ไม่ชอบยอม  ฝ่ายชาย ยอมไหม (ยอม)  แล้วถ้าโดนเขาเตะมา ยอมไหม บางครั้งอยากอยู่ในโลกให้เป็นที่รักและใครๆ ก็คิดถึงนั้นสิ่งที่อาจารย์พูดไปเป็นตัวผลาญความดีในตัวเราจริงไหม ไม่ค่อยยอมให้ก่อนชอบได้ก่อนแล้วค่อยให้ ใช่หรือไม่ ใจที่ไม่รู้จักยอม เป็นใจที่ทำให้เราดีขึ้นยาก ใจที่คิดถึงตัวเองมากๆ มากกว่าการคิดถึงคนอื่นก็ทำให้ตัวเองดีขึ้นยาก และอีกอย่างคือใจที่คิดร้ายมากว่าคิดดี  เวลาเจอใครเรามักคิดดีมากกว่าหรือคิดร้ายมากกว่า
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายสองท่านออกมาหน้าชั้นเรียน) เวลาเจอคนแบบนี้ศิษย์คิดดีหรือศิษย์คิดร้าย ขนาดศิษย์เองยังหัวเราะเลย อาจารย์ถามจริงๆ เวลามีคนมาทำดีกับศิษย์แล้วหน้าตาเขาแบบนี้ ยืนแบบจิ๊กโก๋ๆ หน่อยศิษย์ เราคิดดีขึ้นไหม คิดดีหรือคิดร้าย ในความเป็นจริงศิษย์เอยยอมรับที่เราทำดีไม่ขึ้นเพราะเวลาเรามองใครส่วนใหญ่เรามองลบมากกว่ามองบวก เรามองร้ายมากกว่ามองดี แล้วจริงๆ เราลบหรือเราบวก พยายามบวกอยู่ ใช่หรือไม่ ทั้งที่จริงๆ ลบมาตลอด ใช่ไหมศิษย์ ถ้าอย่างนั้นลองทำหน้าให้ดูบวกหน่อย
อย่างนั้นเปลี่ยนเป็นคนนี้ พระอาจารย์ถามศิษย์ พอเป็นคนนี้คิดดีหรือคิดร้าย (ดี)  หน้าตาดูน่าจะดีใช่ไหม พระอาจารย์เปรียบเทียบให้ดูว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ล้างผลาญความดีในใจของมนุษย์ก็คือ เวลามันเห็นชัดเจน บางทีเราก็อยากทำดีกับคนอื่น แต่บางทีหน้าตาดูไม่น่าจะดี ศิษย์เอ๋ยหน้าตาศิษย์จะน่ารักทันทีถ้าศิษย์ยิ้มเยอะๆ แต่คนนี้ไม่ยิ้มก็รู้สึกว่ารอดปลอดภัย ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการดำเนินในชีวิตของเราก็คือ บางครั้งเราอยากเป็นคนดี เราอยากทำสิ่งที่ดี แต่ใจของเราคอยที่จะคิดร้ายมากกว่าคิดดี เพราะคนในโลกนี้ไม่หวังสิ่งนี้ก็หวังสิ่งนั้น ใช่หรือไม่ ถึงเราอยากจะทำดีแค่ไหนแต่หน้าตาไม่น่าไว้ใจ ใช่ไหม ฉะนั้นสิ่งที่ล้างผลาญความดีในใจของเราอีกอย่างหนึ่งก็คือ เวลาเรามองอะไรเรามักจะชอบมองลบมากกว่ามองบวก มองในแง่ร้ายมากกว่าในแง่ดี
ตัวที่ล้างผลาญความดีทำให้คนเราไม่สามารถดีขึ้นได้ นั่นก็คือ เวลามีโอกาสจะทำดีเราไม่ค่อยทำ เราชอบผิดศีลขาดธรรม ฉะนั้นคนที่ดีไม่ขึ้นก็คือคนที่ไม่เคยมีศีลมีธรรม ทำอะไรไม่เคยคำนึงถึงศีลธรรม ฉะนั้นถ้ามีชีวิตอยู่เอาแต่ตัวเองเป็นหลัก ไม่คำนึงถึงศีลธรรม โอกาสที่จะดีขึ้นดียากไหม (ยาก)  ยกตัวอย่าง วันนี้เขาชวนมาฟังธรรมะ แต่เราว่าไปดื่มเหล้าสักเป๊กสองเป๊กดีไหม แล้วค่อยไปฟังธรรมะ พอเหล้าเข้าปาก เป๊กเดียวไม่พอจริงไหม สิ่งที่น่ากลัวที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถดีขึ้นได้คือ หนึ่งขาดจิตสำนึกแห่งศีลธรรม  สอง ทำอะไรชอบเอาแต่ตัวเองเป็นหลักไม่ค่อยมีสติ เอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์เอย กลุ่มโน้นแอบนินทาศิษย์ ว่าไม่ได้เรื่อง แก่ก็แก่ เหี่ยวก็เหี่ยว โกรธไหม (ไม่โกรธ)  ไม่โกรธหรือ โกรธไม่ไหวเพราะหน้าตาดุ  อีกสิ่งหนึ่งคือ เราชอบทำอะไรขาดสติ เอาอารมณ์เป็นใหญ่ เขาด่ามา ด่าตอบ อย่างนี้แหละดีไม่ขึ้น เขาเตะมา เตะไป นั่นแหละดีไม่ขึ้น และอีกอย่างที่ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความเป็นจริงได้อย่างแจ่มชัด สรุปสิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถดีขึ้นได้เป็นข้อๆ ดังนี้
ข้อหนึ่ง ไม่สามารถครองในศีลในธรรมได้
ข้อสอง ไม่สามารถมีสติในการดำรงชีวิตได้ ถืออารมณ์เป็นใหญ่
ข้อสาม มองไม่เห็นความเป็นจริงของโลก จึงถูกภาวะของโลกลวงหลอกและทำความดีไม่ขึ้น
ฉะนั้นสิ่งที่ล้างผลาญความดี ภายนอกและภายในอยู่ที่ตัวศิษย์เอง ธรรมะจึงสอนไว้ว่า จงฉลาดในการใช้จิตของตัวเองให้เป็น จงฉลาดในการดำเนินชีวิต แล้วรู้จักควบคุมจิตของตัวเองให้ได้ เพราะโลกนี้ แม้จะจริงสักแค่ไหน ถ้าเราเห็นได้ชัด เข้าใจได้ถูกต้อง มันก็ลวงหลอกเราไม่ได้  ส่วนใหญ่คนทำอะไรจะใช้อารมณ์และขาดสติ ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ สติเตลิดปัญญาก็ไม่มี
ฉะนั้นสติจะทำให้เรากลับมาสู่ความเป็นกลาง และไม่เอาอะไรเข้าข้างตัวเอง เมื่อพูดถึงสิ่งที่ล้างผลาญความดีแล้ว อาจารย์ถามหน่อยว่า เกิดเป็นคนเราดีได้ไหม (ได้)  แล้วเราดีจนสุดลมหายใจได้ไหม (ได้)  เราดีจนถึงที่สุดได้ไหม   แต่ศิษย์หลายคนบอก อาจารย์แต่ดีแล้วมันเหนื่อยบางครั้งดีแล้วมันท้อนะ ถ้าทำดีแล้วเหนื่อยแปลว่ายังยึดติด ถ้าทำดีแล้วท้อแปลว่ายังคาดหวัง แต่ถ้าทำดีที่แท้จริงจะไม่เหนื่อยจะไม่ท้อ เพราะว่าการทำดีทำเพื่ออะไรรู้ไหม เราทำดีเพื่อขอสองตัวใช่ไหม เราทำดีเพื่อขอพรให้ตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเราทำดีเพื่ออะไรหรือ อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ทำไมเกิดเป็นคนต้องทำดี หลายคนบอกว่าดีบ้างไม่ดีบ้างก็ได้อาจารย์ วันนี้ดีพรุ่งนี้ไม่ดีก็ได้ใช่ไหม ศิษย์คิดออกไหมว่าทำไมต้องทำดี ตอบไม่ได้เลยหรือ (ทำให้มีความสุข)  เพราะทำดีทำให้มีความสุข ทำชั่วทำให้เราทุกข์ใจ ฉะนั้นถ้าเราทุกข์แปลว่าเราทำชั่วมาใช่ไหม (ใช่)  แล้วชีวิตสุขมากกว่าทุกข์ไหม หรือทุกข์มากกว่าสุข (ทุกข์มากกว่า)  อย่างนั้นแปลว่าศิษย์แอบทำชั่วมากกว่าทำดี ถูกไหม
อาจารย์จะบอกให้ว่าเหตุผลหนึ่งที่เราต้องทำดี เพราะเราทำดีเพื่อป้องกันไม่ให้จิตเราคิดชั่ว เราทำดีเพื่อป้องกันไม่ให้จิตไหลลงต่ำ เราทำดีเพื่อควบคุมจิตเราไม่ให้เลวร้าย ฉะนั้นที่เราทำดีไม่ใช่ต้องการผล แต่ที่เราทำดีเพราะป้องกันตัว ใครทำดีแล้วหวังผลความดีนั้นไม่ถูกต้อง จริงไหม (จริง)  เพราะเหตุผลของการทำดีคือป้องกันจิตให้ไม่ไหลลงต่ำ ไม่ให้ผลาญความดี เหมือนทำไมเราเลือกที่จะทำดีไม่ทำชั่ว เพราะว่าถ้าทำชั่วแล้วผลก็คือความทุกข์ แต่ทำดีผลคือความสุขความร่มเย็น แล้วเราเลือกทำดีหรือทำชั่ว (ทำดี)  โดยส่วนใหญ่มนุษย์จะบอกว่า  ก็อยากทำความดี แต่ดีบ้างชั่วบ้างไม่เป็นไร อาจารย์จะบอกศิษย์นะ ศิษย์เอยถ้าผิดไปแล้วจึงค่อยมาทำดีลบล้างมันสายไป ถ้าทุกข์แล้วจึงค่อยมาฝึกจิตมันช้าไป ฉะนั้นฝึกทำตัวเองดีๆ ไว้ดีไหม (ดี)  แล้วจะทำดีอย่างไรง่ายๆ กับพ่อแม่เราต้องรู้จัก (กตัญญู)  กับหน้าที่เราต้องรู้จัก (รับผิดชอบ)  รับผิดชอบแล้วก็ซื่อตรงด้วย
เอาเปรียบคนอื่นแล้วเอาตำแหน่งใหญ่ๆ เอาเงินเยอะๆ อย่างนี้ก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ กับเพื่อนฝูงเราต้อง (จริงใจ)  จริงใจ มีน้ำใจ เคารพให้เกียรติ อย่างนี้แปลว่ารู้จักมีธรรม มีศีลแล้วยังมีธรรม สมมติค้าขายอย่างไรไม่ให้ผิดศีล มีชีวิตอย่างไรไม่ให้ผิดศีล คนเราโดยส่วนใหญ่ ตัวศิษย์เองโดยส่วนใหญ่สุขภาพแข็งแรงดีไหม (ไม่ดี)  เจ็บออดๆ แอดๆ ไหม ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ว่าการมีศีลป้องกันความชั่วอย่างเดียวไม่พอ การมีศีลยังป้องกันให้เราไม่ต้องเจอเคราะห์ร้ายด้วย เพราะคนที่ไม่เบียดเบียน ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนคนทางตา กาย วาจา ใจ จะเป็นคนที่อยู่ที่ไหนก็มีความสุข แต่คนที่ชอบเบียดเบียนคนอื่น ด่าเขาทางตา ปากก็ว่า ใจก็ตำหนิคิดร้าย คนอย่างนี้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เจริญ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการมีศีลก็คือการฝึกให้เรามีเมตตาจิต ไม่เบียดเบียนชีวิตคนอื่นเพื่อชีวิตตัวเอง แล้วเราเบียดเบียนไหม ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตใช่ไหม        ยืมมือคนอื่นฆ่าใช่ไหม ถูกหรือไม่ ฉะนั้นการที่เราประพฤติดีก็เพื่อป้องกันให้เราไม่ประพฤติชั่ว การบำเพ็ญธรรมมีสามระดับ ระดับแรกเรียกว่าระดับศีลคือละชั่ว ระดับที่สองคือระดับคุณธรรมเพื่อบำเพ็ญบุญ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าศีลสิบได้ครบ ศิษย์จะปัญญาดีไหมฝ่ายชาย เรียนหนังสือดีไหม สมองฉับไหวไหม ถ้าสูบบุหรี่เก่ง กินเหล้าเก่ง สมองจะไม่ดี จริงไหม (จริง)  ถ้าพูดโกหกเก่ง พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อถือ ใช่ไหม ถ้าชอบมีกิ๊ก ใครก็ไม่มีวันซื่อตรงกับเราเพราะตัวเราไม่เคยซื่อตรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ารู้จักเคารพให้เกียรติ ไปอยู่ที่ไหนครอบครัวก็ร่มเย็นจริงไหม (จริง)  ถ้าปฏิบัติศีลได้ดี มีหรือชีวิตจะไม่มีความสุข มีใครกล้ายกมือแล้วบอกอาจารย์ดังๆ ว่าศีลห้าเราถือครบ
การบำเพ็ญธรรม อาจารย์ขอแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ มีศีลป้องกันความชั่ว มีธรรมได้บำเพ็ญบุญ ธรรมระดับคุณธรรมจะช่วยให้เราได้สร้างบุญ อาจารย์ถามจริงๆ มีครอบครัวร่มเย็นไหม ไปอยู่ที่ไหนอยากสงบสุขไหม แต่ถ้าศิษย์มีแต่ศีล ศิษย์ไม่มีคุณธรรมความเป็นคนไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ร่มเย็นจริงไหม ฉะนั้นถ้าเกิดศิษย์อยาก อยู่ที่ไหนก็ร่มเย็น อยู่กับใครก็มีสุข ไม่มีทุกข์ทางใจ ศิษย์ก็ต้องมีทั้งศีลและธรรม ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้ามีศีลธรรมครองใจ มีศีลธรรมครองชีวิต อยู่ในโลกก็ไม่ค่อยน่ากลัวแล้วใช่ไหม บาปเราก็ไม่สร้างแล้ว อันแรกคือธรรมระดับศีล อันที่สองคือธรรมระดับคุณธรรม ธรรมระดับคุณธรรมช่วยสร้างบุญ นี่ล่ะละชั่วบำเพ็ญบุญ ศิษย์มักจะพูดกับอาจารย์เสมอว่าเป็นคนดีแล้วชั่วก็ไม่ทำแล้วแต่ทำไมเรายังหนีไม่พ้น (ทุกข์)
เพราะอันนี้ไม่ทำให้ศิษย์ไหลลงต่ำ ไม่ถูกความชั่วผลาญให้กลายเป็นคนดีไม่ขึ้น  คุณธรรมอะไรที่ช่วยสร้างบุญ ใครนึกออกบ้าง ปฏิบัติร่วมกันแล้วทำให้เกิดบุญ ใครตอบได้บ้าง (ซื่อสัตย์, สุจริต)  ตอบได้ดีปรบมือหน่อย  เอาขนมไปหนึ่งอัน  มีอะไรอีก (ซื่อสัตย์) ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าชีวิตนี้ไม่เคยมีคุณธรรมอะไรนะ (จิตอาสา, ช่วยเหลือคนที่ลำบากกว่า, รู้จักแบ่งเวลาช่วยเหลือคน)  อาจารย์อยากบอกอย่างหนึ่งที่พูดคำหนึ่ง แล้วสามารถรวมได้ทุกอย่างคุณธรรมอะไร รู้ไหม  กล้าพูด ก็ต้องกล้าทำ ลุกขึ้นมาตอบ (พ่อแม่ยังอยู่ดูแลพ่อแม่, เคารพให้เกียรติ)
(เมตตา)  ถามในใจลึกๆ จิตเมตตาที่รู้จักสงสารคนอื่นมีในใจเราไหม (มี)  หากเราแผ่ความเมตตานี้ให้กว้างๆ เราจะมีน้ำใจไหม เราจะด่าคนอื่นไหม เราจะเบียดเบียนคนอื่นไหม เราจะคดโกงคนอื่นไหม เราจะชิงชังคนอื่นไหม (ไม่)  ฉะนั้นถ้ามีเมตตาหยั่งลึกลงในจิตใจ ความชั่วจะไม่เกิดเลยจริงไหม (จริง)  แล้วเรามีเมตตาไหม เมตตาแต่ตัวเองกับคนอื่นไม่เมตตาใช่ไหม (รู้จักปล่อยวาง)  รู้จักปล่อยวางหรือ ยังไม่ทันได้ทำก็ปล่อยแล้ว ต้องทำให้เต็มที่ก่อน ถ้ายังไม่ทำแล้วปล่อยเขาเรียกว่าไม่รับผิดชอบ ใช่ไหม (ใช่)  ต้องทำให้ถูกต้องทำให้ดีที่สุดก่อน เมื่อทำจนถึงที่สุดดีที่สุดเราควรปล่อยวาง ผลจะเป็นอย่างไรต้องกล้ายอมรับ นี้ล่ะถึงจะเรียกว่าถูกต้อง
ฉะนั้นเริ่มต้นง่ายๆ นะ ศิษย์เอยการบำเพ็ญธรรมระดับคุณธรรมก็คือ
1. ต้องเมตตา
2. ต้องซื่อตรง
3. ต้องมีมโนธรรมสำนึกที่ดีงาม
เกิดเป็นคนถ้าขาดซึ่งมโนธรรมสำนึกที่ดีงาม เราก็พร้อมที่จะทำชั่วได้ จริงไหม (จริง)  อาจารย์จะบอกอีกนะ ศิษย์บำเพ็ญถึงสองระดับนี้ก็ยังไม่สามารถทำให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้
ฉะนั้นระดับที่สามคือ บำเพ็ญระดับสัจธรรม เข้าถึงความเป็นจริงแห่งธรรมะ อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ อาจารย์ถามว่าในโลกนี้มีใครบ้างไม่มีทุกข์ (ไม่มี)  ทุกคนล้วนมีทุกข์ ทุกข์ตั้งแต่เกิดจน (ตาย)  สมมติอาจารย์มีแอปเปิ้ลผลหนึ่ง กินแล้วมีสุข กินแล้วมีบุญ กินแล้วโชคดี เอาไหม (เอา)  แต่ศิษย์อย่าลืมนะแอปเปิ้ลของอาจารย์โชคดีแค่ไหนก็โชคร้ายแค่นั้น เอาไหม (เอา, ไม่เอา)  มีบุญแค่ไหนก็อาจจะมีบาปแค่นั้น เอาไหม (เอา)
 แอปเปิ้ลอาจารย์กินแล้วมีบุญ เอาไหม แต่บุญมากเท่าไหร่ก็บาปมากเท่านั้น โชคดีขนาดไหนก็โชคร้ายขนาดนั้น กินแอปเปิ้ลอาจารย์แล้วถูกลอตเตอรี่ 3 ตัว แต่ที่เหลือถูกกินหมดทุกงวด แอปเปิ้ลของอาจารย์ได้แล้วสมหวัง แต่สมหวังขนาดไหนก็ต้องผิดหวังมาก เอาไหม (ไม่เอา)  อาจารย์ถามศิษย์หน่อย เราอยู่ในโลกมีอะไรเราก็ทุกข์ มีแฟนก็ทุกข์เพราะ (แฟน)  มีลูกก็ทุกข์เพราะ (ลูก)  มีเงินก็ทุกข์เพราะเงิน (เงิน)  มีเสื้อผ้าก็ทุกข์เพราะ (เสื้อผ้า)  มีเพื่อนก็ทุกข์เพราะ (เพื่อน)  แฟน เงิน เสื้อผ้า ลูก สามี ภรรยา เป็นต้นเหตุของความทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  แฟนของศิษย์ให้ศิษย์มีสุขขนาดไหนก็ให้ศิษย์ทุกข์มากขนาดนั้น เงินให้ศิษย์สุขขนาดไหน มันก็ให้ศิษย์ทุกข์มากขนาดนั้น ใช่ไม่ใช่ แอปเปิ้ลยังไม่เอาแล้วแฟนเอาไหม (เอา)  แล้วเงินเอาไหม (เอา)  ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย รู้ว่ามีแล้วทุกข์ รู้ว่ามีแล้วไม่รอด รู้ว่ามีแล้วมันเจ็บ เอาไม่เอา (ไม่เอา)  แต่ถึงเวลาเราเห็นชัดขนาดนั้นไหม (ไม่เห็น)
(พระอาจารย์เมตตาเชิญนักเรียนรองหัวหน้าชั้นออกมายืนหน้าชั้น)  เหมือนตอนแรกได้แฟนมาใหม่ๆ อาจารย์ชอบได้ฟังบ่อยๆ บุญอะไรมาหนุนนำกันหนอ ฟ้าสร้างบุญให้เรามาเกิดคู่กัน ใช่ไหม แต่พอนานไป กรรมอะไรของฉัน ถูกไหม แล้วมันต่างอะไรกับแอปเปิ้ลอาจารย์ ตอนแรกกินแล้วบุญแต่ตอนนี้กรรม ถูกไหม
ฉะนั้นสิ่งที่ล้างผลาญความดีคือสิ่งที่เรามองไม่เห็นความจริงในโลกจนแจ่มชัด ถ้าเราเห็นจนแจ่มชัดจะไม่ลวงให้เราหลง ไม่ลวงให้เราทุกข์ได้  ถ้าเรารู้ว่า มีความรัก สุขขนาดไหน ก็ทุกข์ขนาดนั้นจริงไหม  มีคนที่น่ารักดีกับเราขนาดไหน เขาก็ร้ายขนาดนั้น เอาไหม (เอา)  ในโลกแห่งความเป็นจริง ถ้าอยากรู้ทุกข์และหนทางพ้นทุกข์ ต้องมองให้ชัดอย่าหลอกตัวเอง อย่าหลอกจิตตัวเอง มีอะไรบ้าง ที่มีแล้วไม่ทุกข์ มีอะไรบ้างได้แล้วมีแต่สุขแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)  ฉะนั้นสิ่งที่เราครอบครอง ควรครอบครองให้น้อยที่สุดหรือครอบครองให้มากที่สุด  อยากให้มากที่สุดแล้วทุกข์มากที่สุด หรืออยากให้น้อยแล้วทุกข์น้อยลง  ในเมื่อเราเห็นชัดว่า มีอะไรก็ทุกข์ จะเอาอีกไหม  ถ้าอย่างนี้ ศิษย์จะทำอย่างไร เมื่ออยู่แล้วมันทุกข์  ตอนแรกมันก็สุขนะ และตอนนี้ถ้าทุกข์ละ  ศิษย์บอกอาจารย์มันทุกข์ไม่ไหวแล้ว ทำไมทำกับผมอย่างนี้ ทำไมหน้าซื่อใจคด ทำไมหน้าหวานแต่ใจขมเหลือเกิน รับไม่ได้แล้ว อาจารย์จะบอกให้ว่า ปัญหาบางอย่างที่ทำให้ศิษย์ทุกข์แล้วใจรับไม่ไหว ศิษย์เคยได้ยินไหม ขยายใจให้กว้าง กว้างจนปัญหามันเหลือนิดเดียว ที่รับไม่ไหวเพราะใจเราแคบ ใจเรายึดติด ใจเรามีกรอบ ทุกข์มาก็เจ็บง่าย แต่ถ้าต่อไปนี้ทุกข์มาเปิดใจให้กว้าง วางใจให้ใหญ่
เรื่องที่แย่ขนาดไหน ถึงแม้ว่ามันจะหนักขนาดไหน มันก็จะกลายเป็นเรื่องที่เล็ก (นิดเดียว)  เหมือนอย่างฉันทุกข์กับเธอเหลือเกิน ทุกข์เหลือเกิน ในเมื่อมองหน้าแล้วทุกข์ หันไปมองคนอื่นเผื่อจะหาย หันไปหาคนใหม่ดีไหม เผื่อจะหาย ถูกไหม (ไม่ถูก)  คนที่คิดอย่างนี้ เรียกว่าความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก แล้วเราก็ชอบเป็นแบบนี้ อันนี้ไม่ดีไปหาควายใหม่เลย ธรรมะคนโบราณก็สอนแล้ว ความวัวยังไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรกอีก ศิษย์เอยเมื่อเราอยู่กับเขาแล้วทุกข์  เคยได้ยินไหม ว่าต้องมองให้กว้าง ใครบ้างไม่ผิดหวัง  ไม่อกหัก ไม่ล้มแล้ว ไม่เคยเจ็บป่วย พอคิดอย่างนี้ ฉันก็ทุกข์ คนอื่นก็ทุกข์ไม่ต่างกัน เราเลยมองว่าเราทุกข์น้อยลง แล้วเรากับเขาก็ทุกข์ไม่ต่างกันจริงไหม พอคิดอย่างนี้ เราก็ไม่จมอยู่กับความทุกข์ จะวางความทุกข์ได้ เพราะยังมีคนอีกมาก ที่ทุกข์มากกว่าเรา และเคยได้ยินไหม เวลาเราทุกข์ เราจะจมอยู่กับความทุกข์ เราจะหนีทุกข์ หรือเอาทุกข์มาทำให้เราพ้นทุกข์ (เอาทุกข์มาให้พ้นทุกข์)
ถ้าอย่างนั้น เรามาเปลี่ยนกรรมให้สิ้นกรรม แล้วเปลี่ยนกรรมเป็นการสร้างบุญสร้างทาน ดีไหม (ดี)  ศิษย์ชอบทำบุญ ทำทานไหม (ชอบ) อะไรที่ทำให้เราทุกข์แล้วเราแปรเป็นบุญ แปรเป็นทาน แปรเป็นหนทางพ้นทุกข์ เราทำได้ไหม (ใช่)  บุญคือเครื่องชำระล้างกิเลส ให้หมดสิ้นไปจากใจ แล้วใจบริสุทธิ์ บุญคือทำให้เราสงบใช่หรือไม่  ฉะนั้นถ้าเกิดเขาทำเราทุกข์ แต่เราจะแปรทุกข์ให้เป็นบุญ เขาทำเราทุกข์ เขาทำให้เรามีกรรม เราจะทำให้เราสิ้นกรรม ฉะนั้นเขาทำเราทุกข์มากขนาดไหน เราก็จะบอก ดีแล้วได้ละกรรมออกไปจากใจ ฉันได้ละความเกลียดออกจากใจ ฉันจะได้รักเธอมากๆ  ฉันจะต้องซื่อตรงกับเธอ เธอจะคดโกงฉันอย่างไร ฉันก็จะซื่อตรง  ฉันก็จะเอาธรรมะให้เธอ  ฉันก็จะเมตตาเธอ เธอจะใจร้ายขนาดไหน ฉันจะแปรเปลี่ยนเธอ แปรความร้ายให้เป็นความดี  แปรบาปให้เป็นบุญ แปรกรรมให้เป็นสิ้นกรรม เอาไหมละ (เอา)
ถ้าศิษย์สามารถทำทานกับคนได้ ศิษย์ก็แปรคนร้ายให้กลายเป็นพระ แปรบ้านให้กลายเป็นวัด ฉะนั้นถ้าเขาด่าศิษย์แล้วศิษย์ไม่ด่ากลับ แต่ศิษย์บอกว่าศิษย์จะเปลี่ยนแปรกรรมให้เป็นบุญ ฉะนั้นถ้าเขาด่าเรามา เราจะสละความโกรธ เราจะเมตตา เราจะเอาธรรมให้เขา เราจะซื่อตรงกับเขา อย่างนี้แปลว่าใครด่าเรามา เราก็ได้สร้างบุญ ถูกไหม ใครด่าเรามา เราให้ธรรมะเป็นทานและธรรมะของเราให้แบบไม่เจาะจงด้วย เราได้ทำสังฆทานด้วย จริงไหม (จริง)  ประเสริฐกว่าไหม (ประเสริฐกว่า)  เราไม่จำเป็นต้องทำบุญที่วัดใช่ไหม ถ้าทำแล้วสละกิเลส สละความยึดมั่นถือมั่น แล้วก็ก่อเกิดเป็นคุณธรรม ทำให้กิเลสหายไปจากตัว แล้วก่อเกิดเป็นความอบอุ่นร่มเย็น สงบสุข นั่นก็แปลว่าเราจะอยู่กับใคร เราก็สามารถสร้างบุญสร้างทานได้ ใช่ไหม ฉะนั้นเราแปรทุกข์ให้เป็นความพ้นทุกข์ได้ไหมล่ะ (ได้)  เขาอยากจะมีกิ๊ก ก็ช่างเขา เราไม่กิ๊กกับใคร เราซื่อตรงกับเขา เพราะเราไม่รู้ว่าชาติก่อนเราทำอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่ชาตินี้เราจะทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ขอเพียงแค่ศิษย์ปฏิบัติต่อเขาด้วยความซื่อตรง ปฏิบัติต่อเขาด้วยความเมตตา ถึงเขาจะไม่ซื่อตรง ไม่เมตตาก็ช่างเขา เราปฏิบัติของเราไป อยากทำทานทุกที่ไหม (อยาก)  อยากทำบุญทุกที่ไหม (อยาก)  ทำไมเราไม่ทำกับคนในบ้านเราล่ะ ถ้าทำแล้วละความโลภได้ ทำแล้วละความโกรธได้ ทำแล้วทำให้ใจเราสงบสุข ใจร่มเย็นได้ ทำดีไหม (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาท ชื่อเพลง : อริยทรัพย์ในตน ทำนองเพลง : ตังเก)
ดูเอาเถอะนะเจ้ามาปลูกฟักทำไมได้แฟง ฟักลูกใหญ่กว่าแฟงแต่คล้ายๆ กัน แฟงลูกเล็กกว่าใช่ไหม เราอยู่ไม่ใช่มาเพื่อทุกข์แต่เราอยู่เพื่อพ้นทุกข์และเข้าใจในทุกข์และนำพาให้ตนพบธรรม แต่ปรากฏว่าเราอยู่เราก็ทุกข์ แล้วก็ทุกข์ แล้วก็ตายในความทุกข์ ช่างน่าเสียดาย
พระอาจารย์เมตตาชื่อสถานธรรม เต๋อเหยริน มีทั้งคุณธรรม มีทั้งความดีงามนำพาผู้คน
ห้องพระมีหลายที่นะศิษย์เอย เรามาศึกษาบำเพ็ญธรรมเพื่อนำพาให้ตัวเองเข้าใจในธรรม อยู่ร่วมกับคนได้อย่างเป็นสุข และนำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ ศิษย์เอยทุกข์ไหม หน่ายไหม ท้อไหม (ท้อ)  ไม่ท้อนะยังมีลมหายใจก็สู้กันต่อไป แต่จะสู้อย่างคนที่จมปลักอยู่กับความทุกข์ หรือจะสู้อย่างคนที่รู้จักเอาทุกข์มาแปลบุญเป็นกุศล เป็นทางพ้นทุกข์เป็นการสิ้นกรรม จริงไหม (จริง)  คนเราอยู่ร่วมกันเพราะบุญกรรมกันมาก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อยเวลามีเรื่องอะไรกันมาเราอยากอยู่เพื่อจบกรรม หรืออยู่เพื่อเกี่ยวกรรม (จบกรรม)  อยากอยู่เพื่อมีบุญร่วมกรรมหรือมีบาปร่วมกัน (บุญร่วมกัน)  ฉะนั้นถ้าอยากอยู่ร่วมกันอย่างคนมีบุญร่วมกันไม่มีบาปไม่มีกรรม แล้วคนที่มีบุญร่วมกันก็ควรปฏิบัติต่อกันด้วยคุณธรรมไม่ใช่อารมณ์   
ควรปฏิบัติด้วยความถูกต้อง ใช่ไหม (ใช่)  ควรปฏิบัติต่อกันด้วยความดีงาม ใช่ไหม (ใช่)  แต่ทุกวันนี้ศิษย์ปฏิบัติต่อคนด้วยอารมณ์ล้วนๆ เลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอารมณ์นำมาซึ่งความทุกข์ อารมณ์นำมาซึ่งกิเลส และอารมณ์นำมาซึ่งวิบากกรรม และวัฏฏะการเวียนว่าย
ศิษย์อยู่ในโลกมีทุกข์มามากพอแล้ว ทุกข์แห่งความเกิด ทุกข์แห่งความแก่ ทุกข์แห่งความเจ็บ และทุกข์แห่งความตาย หนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  กลัวไหม (ไม่กลัว)  ศิษย์ของอาจารย์ไม่กลัวตายแล้วใช่ไหม (ไม่กลัว)  ไม่กลัวเจ็บแล้วใช่ไหม แปลว่าถ้าเกิดเจ็บแล้วจะเจ็บแค่กายไม่เจ็บที่ใจ ตายแค่สังขารแต่ใจไม่ตายใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์รู้ไหมว่าการเข้าใจธรรมจะทำให้เราพ้นทุกข์ได้อย่างไร ศิษย์เคยได้ยินไหมอยู่ในโลกหาเท่าไร มีก็เหมือนไม่มี เรามีเงินเป็นร้อย เรามีเงินเป็นสิบ แต่ทำไมมีก็เหมือนไม่มี เรื่องราวในโลกเรารู้มากมายแต่ทำไมถึงที่สุดรู้ก็เหมือนไม่รู้ แล้วเมื่อเราเรียนรู้ไปจนถึงที่สุด เราก็จะรู้ว่าในโลกนี้มีก็เหมือนไม่มี แบบนี้เรายังอยากอีกไหม (ไม่อยาก)  ในเมื่อถ้าเราเข้าใจหลักสัจธรรมอันนี้ก็ดีนะ แต่ถึงเวลาเราก็อยากอีก อาจารย์จะให้คาถาให้ศิษย์เอาไว้เวลาเจอทุกข์ จำไว้นะศิษย์ในโลกใบนี้เห็นก็เหมือนไม่เห็น มีก็เหมือนไม่มี รู้ก็เหมือนไม่รู้ จริงไหม (จริง)  ทำตัวรู้ไปหมดทุกอย่าง ที่เราว่ารู้ จริงๆ เรารู้ไหม (ไม่รู้)  ที่เราว่ามีเขา จริงๆ เรามีเขาไหม (ไม่มี)  ที่เราว่าได้ เราเคยได้อะไรไหม เมื่อไรที่เราทุกข์เพราะการมีใจ ถ้าเราทุกข์เพราะเรามีจิต อาจารย์ถามหน่อยในเมื่อใจของเรามันขยายใหญ่ได้ เมื่อใหญ่มากก็เจ็บมาก หรือใหญ่มากแล้วจะเจ็บน้อยลง ใจแคบใจเล็กยิ่งทำให้เราอึดอัด ใช่ไหม (ใช่)  แต่หากใจกว้างจนหาที่สุดไม่ได้เราจะทุกข์เราจะเจ็บน้อยลง จริงไหม (จริง)  เรามาดูนิสัยของใจ กับนิสัยของกิเลสหน่อยเอาไหม สมมติว่าตอนนี้ใจเรามีความทุกข์เข้ามาในใจ ความทุกข์มีรูปลักษณ์ไหม (ไม่มี)  โลภ โกรธ หลง มีรูปลักษณ์ไหม (ไม่มี)  ถ้าไม่มีก็แปลว่ามันพร้อมที่จะหายไปได้ทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อใดที่เราสนใจมันจากไม่มีจะกลายเป็น (มี)  จากไม่เหลือจะกลายเป็น (เหลือ)  ฉะนั้นถ้าตอนนี้เราเห็นหน้าเขาแล้วเราทุกข์ เราจะทำอย่างไรดี
เราทุกข์เพราะเราใส่ใจ เราเจ็บเพราะเราใส่ใจ ภาษาไทยมันบอกชัดเจนเลยเอามันมาใส่ใจ เราผิดหวังเพราะเรา (เอามันมาใส่ใจ)  ถ้าอย่างนั้นตอนนี้มันอยู่ในใจ เราจะทำอย่างไรให้มันลดไปจากใจ ทำอย่างไรให้มันออกไปจากใจ คิดออกไหม ทำอย่างไรดีจะได้ไม่ต้องทุกข์กับมัน มองเป็นอื่นดีกว่า เราเห็นเหมือนไม่เห็น เพราะถ้าเห็นแล้วมันทุกข์ มองแล้วมันเจ็บปวด แล้วเราทำเห็นเหมือนไม่เห็น ดีไหม (ดี)  แล้วเวลาความทุกข์มา ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่ง อย่าเล่นกับความทุกข์ อย่าจริงจังกับความทุกข์ มันเข้ามาเราไม่ใส่ใจ เราไม่ปรุงแต่ง เราไม่เพิ่มความทุกข์เข้าไป เดี๋ยวความทุกข์มันจะหายไปเอง แต่ถ้าเมื่อไหร่เจ็บ ทำไมเขาทำอย่างนี้ ทำไมเขาไม่รู้จักตั้งใจฟัง อุตส่าห์สอนแล้วสอนอีก สอนแล้วก็เปล่าประโยชน์ นี่เขาเรียกว่าเอามันมาใส่ใจ แล้วเรายังปรุงแต่ง ยังใส่อารมณ์เข้าไป แล้วคนที่เจ็บเขาเจ็บกับเราไหม เขาทุกข์กับเราไหม เขาแค่นั่งหลับเฉยๆ  คนที่มีอารมณ์ คนที่โมโหก็เราทั้งนั้นเลย แล้วเราจะเหนื่อยไปทำไม ในเมื่อเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ถูกไหม ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะบอกนะศิษย์ เราทุกข์เพราะเราเอาเขามาใส่ใจแล้วยิ่งทุกข์ เราก็ไม่สนใจเขาสิ ในใจเรายังมีเรื่องให้คิด มีเรื่องอื่นให้น่าสนใจมากกว่าไม่ต้องไปดูดำดูดีเขาเลย  ถ้าเอามาคิดแล้วมันทุกข์ ถ้าใส่ใจแล้วมันทุกข์ก็เลิกคิดดีไหม
คำว่าปล่อยวางแปลว่าไม่กลับมาคิดอีก ศิษย์จำคำให้ดีๆ นะ มนุษย์รู้จักคำว่าปล่อยวางแต่ไม่เข้าใจคำว่าปล่อยวางที่แท้จริงคืออะไรใช่ไหม ฉะนั้นคำว่าปล่อยวางที่แท้จริงแปลว่า ถ้าคิดแล้วมันเป็นทุกข์ ปล่อยวางก็คือไม่เอากลับมาคิดซ้ำคิดซากให้ทุกข์อีก นั่นแหละเรียกว่าปล่อยวาง
พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “อริยทรัพย์ในตน”
เมื่อวานบอกไว้ใช่ไหมว่ามีเจ็ดอย่าง เพราะอริยทรัพย์อีกอันหนึ่งที่ประเสริฐก็คือการรู้จักเรียนรู้เข้าถึงความจริงจนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง ไม่ถูกโลกใบนี้ลวงหลอกอีกต่อไป
ขอให้เดินทางกลับโดยปลอดภัย ขอให้ความดีคุ้มครองศิษย์ วงเล็บเฉพาะคนที่รู้จักทำความดีโดยไม่ย่อท้อ ส่วนที่ดีบ้างเสียบ้าง อาจารย์ไม่รู้ เพราะความชั่ว มันก็ย่อมตามคนชั่วไป ฉะนั้นมีโอกาสทำดีแต่เลือกทำชั่ว ก็ช่วยไม่ได้  อาจารย์บอกไปแล้วนะ ชีวิตเรา เราเป็นคนขีดเส้นเอง อนาคตจะเป็นเช่นไรไม่ใช่ฟ้ากำหนด ไม่ใช่ใครเป็นคนกำหนด แต่เราต้องกำหนดด้วยตัวเราเอง ถ้าศิษย์ศรัทธาเชื่อมั่นในความดีงาม ความดีงามนั่นแหละจะคุ้มครองศิษย์เอง ไม่ว่าภพภูมิไหนความดีมันก็จะนำพาให้ศิษย์พบแต่สิ่งที่ดีงาม แต่ถ้าศิษย์เลือกประพฤติชั่ว ทำชั่ว ศิษย์เอ๋ยไม่ต้องชาติไหนหรอก   ชาตินี้ศิษย์ก็หนีไม่พ้นกรรมที่ศิษย์สร้าง ทำไมคนเราต้องมีธรรมะ เพราะธรรมะจะนำพามาซึ่งความสงบร่มเย็นในชีวิต ถึงที่สุดศิษย์จะหาอะไรก็ตามแต่ท้ายที่สุดศิษย์ไม่อยากได้ความร่มเย็นในชีวิตหรือ ศิษย์ไม่อยากได้ความสันติสุขในชีวิตหรือ แล้วสันติสุขร่มเย็นในชีวิตมันมาจากไหน มันก็มาจากความประพฤติที่ถูกต้องและดีงาม ใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีใครทำร้ายเราหรอกนอกจากตัวเราเอง ไม่มีใครฆ่าศิษย์ให้ตายทั้งเป็นได้นอกจากความคิดของศิษย์เองที่ไม่ปล่อยวาง จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นโลกนี้อะไรจะเกิด ขอเพียงเราเชื่อมั่นในความถูกต้องดีงามว่าเราเกิดมาศีลเราไม่ขาด ธรรมเราไม่พร่อง หนทางดับทุกข์ย่อมไม่ไกลในชีวิตและชาตินี้หรอก ถ้าศิษย์ไม่ดูถูกตัวเอง ศิษย์ก็เป็นคนดีที่บำเพ็ญธรรมและช่วยเหลือคนได้ ถ้าตัวเองรอดมีหรือจะช่วยคนอื่นไม่ได้ แต่ถ้าตัวเองยังฝึกไม่ได้ ยังพ้นทุกข์ไม่ได้ ศิษย์ไปอยู่ที่ไหนศิษย์ก็ทำให้คนอื่นทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง)  ศิษย์เอ๋ยอาจารย์ชอบอยู่อย่างหนึ่ง มีคนหนึ่งที่เจอเรื่องทุกข์ แต่เขาสามารถอดทนและไม่ทุกข์ได้ เพราะคิดอย่างเดียวว่าถ้าเขาทุกข์แล้วคนที่รักจะทุกข์ยิ่งกว่าเขา เขาเลยไม่ทุกข์ ถ้าพูดแล้วทำให้คนอื่นทุกข์ เขาขอไม่พูด เขาขอทุกข์คนเดียว ศิษย์เคยมีใจแบบนี้ไหม ถ้าทำได้เช่นนี้ถือว่าประเสริฐแล้วล่ะ ถ้าทุกข์แล้วทำให้คนที่รักมันเจ็บ ฉันจะไม่ทุกข์ ฉันจะเข้มแข็ง ถ้าทุกข์แล้วทำให้คนไม่ได้ดีขึ้นเลย ฉันจะขอทุกข์คนเดียว พูดไปก็ทำให้คนอื่นทุกข์ด้วย ถ้าอย่างนั้นฉันขอทุกข์คนเดียวก็ได้ แล้วฉันจะเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นบุญและสิ้นกรรมและยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมา อาจารย์หวังเล็กๆว่าศิษย์จะเป็นเช่นนั้น เมื่อไหร่ทุกข์ลองถามตัวเองว่าถ้าทุกข์แล้วทำให้คนอื่นเขาต้องทุกข์ด้วย คุ้มหรือ ที่จะทุกข์ ถ้าพูดแล้วทำให้เขาทุกข์ด้วย ถ้าอย่างนั้นเราก็ยอมกลืนความทุกข์แล้วไม่พูดดีไหม (ดี)
ดีที่รู้จักบำเพ็ญและไม่ยอมแพ้ต่อความทุกข์ อาจารย์คงต้องไปแล้วมีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ศิษย์เอ๋ยอย่าดูถูกคุณค่าของความดีงามในใจตนเพราะถึงที่สุดศิษย์สามารถพ้นทุกข์และเป็นพุทธะบนแดนดินในโลกได้ อยู่ที่ทำหรือไม่ทำ และทำเพื่อธรรมหรือทำเพียงเพื่อตัวตน ถ้าเพื่อธรรมมันก็จะพ้นทุกข์แต่ถ้าเพื่อตนมันก็จะกลายเป็นความเห็นแก่ตน



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “อริยทรัพย์ในตน”

            สมบัติแห่งอริยะ จักรวาลที่แฝงในจิตใจคน  สายตามองเห็นเพียงจักรกล  ไม่มีใครสนสมบัติที่ซ่อนข้างใน โชคลาภกับคนมีบุญ แค่งบดุลรับส่งไปมา เรื่องที่จะไขเป็นแนวปรัชญา ว่าด้วยปัญญาเป็นความตื่นในตัวเอง      ชาติหน้าไม่พอขวนขวาย ที่มาไกลใช่เป็นเพราะเก่ง ฟ้าขอเจ้าไม่ลืมตัวเอง ชั่วชีวิตกระโตงกระเตง ธรรมต้องรู้เองอยู่เหนือเวลา

อริยทรัพย์ (น.) แปลว่า ทรัพย์อันประเสริฐ มี ๗ ประการ คือ

                    (๑)ศรัทธา (๒)ศีล (๓)หิริ (๔)โอตตัปปะ (๕)พาหุสัจจะ (๖)จาคะ (๗)ปัญญา

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2559

2559-12-24 สถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา

#อุปาทาน  #อริยทรัพย์  #ปฏิจจสมุปบาท


西元二○一六年歲次丙申十一月廿七日                     仙佛慈悲訓
วันอาทิตย์ที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙           สถานธรรมจินเอวี๋ยน  จ.นครราชสีมา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ผู้บำเพ็ญมีธรรมอยู่ทุกขณะ             รู้ลดละกิเลสอยู่ทุกเมื่อ
ไขหลักจิตที่เป็นมากกว่าความเชื่อ       ทุกหยาดเหงื่อเลือดชีวิตล้วนเพื่อธรรม         เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่แดนโลก เเฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                            ถามศิษย์รักทุกคนรอนานไหม

  สรรพสิ่งเกิดเพื่อดับอยู่ทุกเมื่อ          ชีวิตเพื่อจบหรือเริ่มรู้บ้างไหม
ยามไม่มีก็อยากมีอยากได้                มีอะไรใครบ้างรู้ถึงความจริง
ชีวิตที่แท้จริงแปรไปทุกเมื่อ              เลิกเบื่อชีวิตย่อมผันทุกข์เพื่อทิ้ง
การติดดีนำใจจะช่วงชิง                  กว่ารู้เหตุหนุนตามสิ่งมากระทบ
ที่คิดอยู่เพื่อยึดหรือเพื่อปลง              ที่คิดปลงปลงหรือว่าถูกสยบ
ตรวจสอบใจจนรู้จะเริ่มสงบ             อย่าหมุนวัฏจักรวุ่นวายหลบในหัวใจ
สับสนต่อหรือหยุดลงตรงนี้ดี             หยุดใจตนที่ตรงนี้ไม่สลาย
รู้หรือไม่ใดกิเลสเหตุเภทภัย              อย่าให้ครอบงำสักขณะก่อนเลย
มีก็รู้เกิดก็ละก็ดับ                         ประดุจจับทุกข์ได้ละครองวางเฉย
ทุกสมัยทุกหนแห่งธรรมไม่เชย           บำเพ็ญเผยสติคุมปัญญานำตนเอง
อยากรอดพ้นพินิจในจิตตนนี้             มหานทีรูปนามแจ้งชัดคือเร่ง
เมื่อแจ้งสัจธรรมสุขทันทีมีเอง            ทุกข์ข่มเหงอย่างไหนไม่ทุกข์จนตาย
เพื่อรู้จีรังทุกข์ยังแค่ทางผ่าน             เพื่อหลุดพ้นตนทันการณ์กระชากไหม
จะรอทุกข์วางวายหามีไม่                ต้องบำเพ็ญกายใจจนตราบสิ้นกรรม                                  

ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

รู้สึกเวลาผ่านไปนานไหม มีความสุขเวลาก็ผ่านไป (เร็ว) ไม่มีความสุขเวลาก็ผ่านไป (ช้า) อย่างนั้นเวลาที่ช้าหรือเร็ว เพราะอะไรหรือ (เพราะเรา)  เพราะเวลาหรือเพราะใจเรา มีความสุขเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว โทษเวลาหรือโทษใจดี โทษใจใช่หรือไม่ อ่านตัวเองออก บอกตัวเองได้ ก็จะสามารถรู้ว่าชีวิตดีหรือร้าย ได้หรือเสีย สุขหรือทุกข์ แท้จริงแล้วบางทีไม่ได้อยู่ที่เหตุปัจจัย แต่อยู่ที่ใจของตัวเราเองรู้สึกเช่นไรต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ถ้ารู้สึกดีเวลาก็ไวเหลือเกิน แต่ถ้ารู้สึกไม่ดีเวลาก็ช้า แล้วเราโทษเวลาหรือโทษใจ โทษคนพูด โทษคนที่เรียกให้มาฟังธรรมได้ไหม นั่งตรงนี้แล้วลำบากไหม สบายไหม จะนั่งต่ออีกหนึ่งวันไหวไหม ถามหน่อยนะ บางครั้งที่เรารู้สึกดี บางครั้งที่เรารู้สึกแย่ ใช่หรือไม่ใช่ที่คนเขาทำให้เราเป็นอย่างนั้น หรือเป็นเพราะใจเราเอง (ตัวเราเอง) แต่ถึงเวลาเราโทษใคร (คนอื่น)  เหมือนกัน เหมือนเวลาถ้าเรารู้สึกดี เวลาก็ผ่านไปไว ใช่เวลาเดินไวไหม เวลาก็ยังคงเดินตามปกติ แต่ใจของเราต่างหากที่ไม่ปกติจึงทำให้เวลามีไวมีช้า คนมีดีมีร้าย แต่จริงๆ ถ้าเรามองอย่างไม่รู้สึกว่า มีใครดี ใครร้าย แต่พอเรารู้สึกปุ๊บ รู้จักคิดว่า เขาน่ารังเกียจหรือเราไม่ชอบ เขาน่ารำคาญหรือใจเราไม่รู้จักอดทนอดกลั้น
ฉะนั้นก่อนที่จะโทษเหตุปัจจัย ถ้าใจเราสงบนิ่ง ไม่รู้สึกอะไร เหตุปัจจัยจะดึงเราให้ดีร้ายได้เสียไหม ถ้าเรารู้สึกดีใครพูดอะไรก็ดี แต่ถ้าเรารู้สึกแย่แม้เขาชมเราก็รู้สึกแย่ เพราะอะไร (เพราะใจเรา) แถมว่าเขากลับว่าไม่จริงใจ ฉะนั้นนั่งฟังธรรมะจะดีหรือไม่ดี ยากหรือง่ายมันไม่ได้อยู่ที่คนพูด ไม่ได้อยู่ที่คนชวนมา แต่อยู่ที่ใจของเรา ชอบหรือไม่ชอบ รู้สึกหรือไม่รู้สึก ใช่หรือไม่
มีอะไรที่แย่ที่สุดไหม และมีอะไรที่ดีที่สุดไหม มีดีก็ยังมีดีกว่า มีแย่ก็ยังมีแย่กว่า ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจเราไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าอะไรดีที่สุด อะไรแย่ที่สุด สิ่งที่เราบอกว่าเลวร้ายแท้จริงแล้วอาจจะไม่เลวร้ายก็ได้ สิ่งที่เราบอกว่าดีที่สุดนั้นดีที่สุดแล้วหรือ ก็ยังไม่ดีที่สุด ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ถ้าเราเอาใจแห่งความเป็นคนไปวัด เอาสายตาแห่งความคิดความรู้สึกของตนเป็นพื้นฐานในการมองสรรพสิ่ง เราจะไม่มีวันพบความจริงสักชั่วขณะหนึ่งได้เลย จริงไหม (จริง) เพราะมนุษย์ชอบเอาความคิด ความรู้สึก ความเข้าใจ ไปมอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราเอาธรรมไปมอง อะไรดีที่สุด อะไรแย่ที่สุด มีไหม เมื่อไม่มีอะไรดีที่สุด ไม่มีอะไรแย่ที่สุด อะไรที่เราจะเกลียด อะไรที่เราจะโกรธ อะไรที่เราจะหลงรัก กิเลสก็หายไปทันที ความทุกข์ก็ไม่มี แล้วเราจะดับตรงไหน มันก็จบทันทีเลยจริงไหม (จริง) ฉะนั้นตอนนี้ที่ชีวิตยุ่งยากเพราะอะไร เพราะใจเอาแต่ติดยึดความรู้สึก ความเข้าใจ ความคิดโดยไม่มองความจริง ฉะนั้นผู้เข้าถึงธรรม จึงถือธรรมเป็นชีวิตและจิตใจ และดำเนินชีวิตตามธรรม ฉะนั้นธรรมคืออมตะ ธรรมคือชีวิต ชีวิตจึงอยู่เพื่อธรรม นี่คือหนทางการบำเพ็ญ ยากไหม (ไม่ยาก) ให้ท่านทำอะไรวุ่นวายไหม (ไม่) แค่ให้รู้จักมองตามความจริง กลับได้แล้วนะ ได้ไหม ก็จบแล้ว ต้องอะไรมากมายใช่ไหม เมื่องิ้วหมดลง งิ้วก็ต้องลงโรง ใช่หรือเปล่า ศิษย์มักจะคิดว่าอาจารย์มาแสดงละครให้ดูใช่ไหม
ธรรมชาติของมนุษย์ก็มีใจเหมือนๆ กัน ฉะนั้นถ้าเราอ่านใจตัวเองออกทำไมเราจะอ่านใจคนอื่นไม่ออก ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าเรารู้ใจตัวเองเรื่องใด ทำไมเราจะมองผู้อื่นได้ไม่ชัด แต่คนในโลกนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น ชอบรู้ใจคนอื่นแต่ไม่ชอบรู้ใจตัวเอง ชอบเอาแต่ไปมองคนอื่นจนลืมมองตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)
ถ้าตอนนี้อาจารย์บอกให้ยืนขึ้นก็ (ยืน) ถ้าอาจารย์บอกให้นั่งก็ (นั่ง)  ศิษย์อาจารย์เป็นคนว่านอนสอนง่ายจริงๆ นะ ชีวิตจริงเป็นอย่างนี้หรือ ว่าซ้ายไป (ขวา) ว่าขวาไป (ซ้าย) ให้เดินหน้ากลับ (ถอยหลัง) ให้หยุดกลับ (เดิน) จริงไหม (จริง) อาจารย์ถามหน่อยนะว่า การตามใจคนอื่นบ้าง บางทีมันง่ายกว่าการขัดใจคนอื่น จริงไหม (จริง)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นทำตามคำบอก คือ ยืนขึ้นและนั่งลง มีนักเรียนท่านหนึ่งยืนโดยไม่ยอมนั่งลง)
มีความทุกข์อะไรหรือ (ทุกข์ใจ) แล้วอยากให้อาจารย์ช่วยใช่ไหม ใจเย็นๆ คนทุกคนในโลกก็ทุกข์กันทั้งนั้น ถามสิ มีใครบ้างไม่ทุกข์ ใช่หรือเปล่า (ใช่) บางครั้งเราอยู่ในโลกนี้ มันก็มีทั้งเรื่องยากและเรื่องง่าย (ใช่) แต่บางครั้ง อยู่ในโลกนี้ อดทนได้ ชีวิตก็สงบไปตั้งเยอะ ใช่หรือไม่ (ใช่) วางได้ ชีวิตก็เป็นสุขไปตั้งเยอะ แต่บางทีความไม่อดทนในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ การไม่ยอมวางในสิ่งที่ควรวาง ก็ทำให้ชีวิตง่ายๆ กลายเป็นชีวิตที่ยากในทันที จริงหรือไม่ (จริง) เหมือนศิษย์ถามในใจว่า ทำไมหนูต้องยอม ทำไมหนูต้องอดทน ก็เขาเป็นแบบนั้น แล้วทำไมหนูต้องยอมเขาก่อน ทำไมหนูต้องทนเขา มันเหนื่อยนะอาจารย์ จริงไหม (จริง) ใช่ อาจารย์เข้าใจ แต่ศิษย์เอ๋ย มีสิ่งหนึ่งที่มากกว่า ถ้าศิษย์เข้าใจแล้วศิษย์จะรู้เลยว่า ทำไมเกิดเป็นคนต้องรู้จักอดทนอดกลั้น การยอมดีกว่าการสู้และรบชนะ การแพ้แล้วถอยเป็นและการชนะใจตัวเอง จะดีกว่าการจองเวรจองกรรม
อาจารย์ถามง่ายๆ ศิษย์อยากพบคนที่ศิษย์เกลียดหน้าไหม (ไม่อยาก) แล้วจำสำนวนไทยได้ไหมว่า ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ อย่างนั้นเปลี่ยนจากเกลียดเป็นรัก ดีไหม แล้วศิษย์ได้ยินอีกสำนวนหนึ่งไหม ผีเห็นผี ฉะนั้นเกลียดคนแบบไหน เราก็เป็นแบบนั้น อาจารย์พูดตามหลักธรรมหลักความจริง ถูกไหม (ถูก) ทำไมเดินไปรอบโลกแล้ว คิดว่าจะหนีเขาพ้น กลับพบคนแบบนี้อีกแล้ว เกลียดจริงๆ ใช่ไหม (ใช่) เพราะอะไรจึงพบแบบนี้ ก็เพราะว่าใจของศิษย์นั้นจดจ่อ ศิษย์เอ๋ย มีอะไรตั้งหลายอย่าง มีอะไรให้มองกลับไม่มอง แต่ไปมองสิ่งที่ตัวเองเกลียด แล้วสิ่งที่ดีๆ มีให้เห็น แต่กลับมักเห็นแต่สิ่งที่เกลียด ฉะนั้นผีก็เห็นผี เกลียดแบบไหนก็เจอแบบนั้น แปลว่าในใจเรามีแบบนั้นอยู่ ถูกหรือเปล่า (ถูก) เหมือนดั่งว่า กระจกสะท้อนเงา แล้วเราไปด่าว่ากระจกบ้า อย่างนี้ถูกไหม (ไม่ถูก) แล้วคนอื่นเขาสะท้อนความเป็นตัวเรา แล้วเราก็ไปด่าเขาว่า บ้า อย่างนี้จริงๆ แล้วใครบ้า (เราบ้า) ใช่หรือไม่ (ใช่) เราทำเช่นไร ผลก็สะท้อนมาเป็นเช่นนั้น
อาจารย์อยากบอกวิชาให้ศิษย์ ซึ่งวิชานี้ถ้าเอาไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกี่ภพกี่ชาติ ก็จะตามศิษย์ไปทุกภพทุกชาติ และวิชานี้จะทำให้ศิษย์ไม่มีวันตกต่ำ ไม่มีอับจน วิชานี้ศิษย์ไม่คิดจะเรียนกันบ้างหรือ เรียนเป็นแม่ค้าตายไปก็ต้องกลับมาเรียนการเป็นแม่ค้าใหม่จริงไหม เรียนเป็นครู เรียนเป็นอาจารย์ เรียนเป็นหมอ เป็นนักธุรกิจ ตายไปแล้วเอาไปได้ไหม (ไม่ได้) เงินนี้หาจากธุรกิจ หาจากการเป็นหมอ หาจากการเป็นอาจารย์ เป็นครู นำไปได้ไหม ติดไปทุกภพทุกชาติไหม แต่มีวิชาหนึ่งตายไปแล้ว หรือแม้แต่ก่อนตายจะทำให้ตัดภพตัดชาติ สิ้นเวรสิ้นกรรม สิ้นทุกข์ แม้เกิดกี่ชาติก็ไม่มีวันอับจน ทำให้เราได้ดี คิดดี มีสุข วิชาแบบนี้ไม่มีใครคิดเลยนะ
ศึกษาและปฏิบัติบำเพ็ญวิชาอะไร ที่จะทำให้สิ้นทุกข์ พ้นทุกข์และตายไปเกิดใหม่กี่ภพกี่ชาติ ก็ไม่มีวันอับจน ความเข้าใจเป็นปัญญา ที่เรียกว่าปัญญาแห่งความกระจ่างแจ้งและการตื่นรู้ นั่นเรียกว่าวิชาธรรม
การศึกษาบำเพ็ญธรรมนั้นดีอย่างไร การฟังธรรมบ่อยๆ จะทำให้เราเข้าถึงปัญญาแจ่มแจ้งในชีวิต และการฟังธรรมเป็นการทำให้เราได้เพิ่มพูนปัญญา ถ้าศิษย์เป็นคนที่นับถือพุทธ ทำทานแม้ร้อยหม้อพันหม้อทั้งในโลกนี้ยันโลกหน้ายังไม่ประเสริฐเท่ากับการมีศีล 5 ข้อ การมีศีล 5 ข้อร้อยวัน ยังไม่ประเสริฐเท่ากับจิตสงบนิ่งหนึ่งวัน จิตสงบนิ่งเท่าช้างกระดิกหู แค่เขาทำอะไรแล้วจิตศิษย์สงบ ไม่สร้างบาปสร้างกรรม หยุดกรรมจะเป็นสิ่งที่ประเสริฐกว่าการให้ทานเป็นร้อยหม้อ เข้าใจไหม แต่การมีจิตสงบร้อยวัน ยังไม่ประเสริฐเท่ากับมีปัญญาเห็นแจ่มแจ้งในชีวิตหนึ่งวัน เห็นไหมว่าการเข้าถึงปัญญามันประเสริฐที่สุดกว่าการให้ทาน แต่พอถึงเวลาลากดึงก็แล้ว โทรก็แล้ว มาฟังธรรมะเถอะ ก็ไม่เอา ใช่ไหม ศิษย์รู้จักแต่บุญวาสนาจากการให้ทาน แต่ศิษย์ลืมปัญญาจากการเข้าถึงธรรม และถ้ามาฟังตรงนี้ได้บุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ ได้กุศลอันประมาณค่าไม่ได้ถ้าเราเข้าใจ แต่เอาไหม (ไม่เอา) ก็เลยไม่เข้าใจใช่หรือไม่ ฉะนั้นอาจารย์มาบอกให้เข้าใจ ว่าจะเอาไม่เอาก็แล้วแต่ศิษย์ และขณะที่ฟังให้เกิดปัญญานั้นยังรู้จักอดทนอดกลั้น มีความเข้าใจ มีความเพียร มีความวิริยะก็ยังเกิดบารมี เรากลับไม่เอา
เข้าใจธรรมอะไร ที่จะทำให้เราสิ้นทุกข์ ตัดภพตัดชาติ ไม่ต้องเวียนว่ายอีก จะเกิดกี่ชาติก็ไม่ต้องอับจน ไม่ตกต่ำ (ไม่สร้างเวรสร้างกรรมต่อ) ใช่ไหม มีอะไรอีก (คุณธรรรม, ตัดกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง, ความกตัญญู, ไม่ทานเนื้อสัตว์, ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพราะเขาก็รักชีวิตเขาเหมือนกัน) อย่างนั้นยุงกัดเราจะไม่ (ตบ) มดมา แมลงสาบมาเราก็จะไม่ (ไม่ทำร้าย) เนื้อสัตว์มาเราก็จะไม่ (ไม่ทาน) ใช่แค่นี้แล้วทำให้ศิษย์เข้าถึงธรรมดับทุกข์ได้จริงไหม (ไม่)  อย่างนั้นอาจารย์ให้ศิษย์สามประโยค
บาปไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ
ทุกข์ไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด
สิ่งใดที่บุคคลยึดถือ ไม่มีโทษนั้นไม่มี
อาจารย์ถามว่า ถ้าศิษย์เข้าใจสามประโยคนี้ ศิษย์จะสร้างบาปกรรมไหม (ไม่สร้าง)  ฉะนั้นเมื่อไรที่ศิษย์อยากยึดถืออะไร เกิดอยากอะไร หนีโทษ หนีทุกข์ หนีบาป หนีกรรมได้ไหม (ไม่ได้)  แปลว่า เมื่อไรที่เราเกิดอยากมีอยากได้อะไร เรายึดไหม (ยึด)  ยึดแล้วมันจะมีโทษไหม (มี)  ยึดแล้วมีโทษ อยากแล้วมีทุกข์ไหม (มี)  แล้วอดสร้างบาปได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ต้องสร้างใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าคิดอย่างนี้ เข้าใจธรรมอย่างนี้ เราจะอยาก เราจะยึด เราจะหวังมีอะไรไหม (ไม่อยาก)  อยากไหม (ไม่อยาก)  ยึดไหม (ไม่ยึด)  มีไหม (ไม่มี)  เอาไหม (ไม่เอา)  อาจารย์ไม่ได้หลอก แต่อาจารย์พูดตามความจริง ถูกไหม แต่ถึงเวลาอยากไหม (อยาก)  มีไหม (มี)  ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ยึดไหม (ยึด)  บาปไหม (บาป)  กรรมไหม (กรรม)  แล้วศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “มนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม” ทำดีเรียกว่า (กรรมดี)  ทำชั่วเรียกว่า (กรรมชั่ว)  อย่างนั้นแปลว่ากรรมดีทำแล้ว (ขึ้นสวรรค์)  กรรมชั่วทำแล้ว (ตกนรก)  แต่หมดสวรรค์แล้วก็ต้องกลับมา (เกิดใหม่)  แล้วมันต้องเวียนไปถึงเมื่อไรล่ะ อาจารย์จะบอกว่ามีอีกอันหนึ่งที่พ้นจากกรรมดีกรรมชั่วนั่นคือ ทางสายกลาง ดีก็ไม่ยึดชั่วก็ไม่เอา ทางนี้แหละที่จะทำให้พ้นสวรรค์ พ้นนรก เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นิพพาน แล้วทำแบบไหน ก็ทำแบบที่ทำแล้วไม่มีโทษ ไม่มีทุกข์ ไม่มีบาป นั่นก็คือ (ไม่ยึด ไม่เกิด ไม่ทำ)  ถ้าเป็นอย่างนั้นวันๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  พุทธะสอนไว้แล้ว ทำอะไรตามความจริง แต่ไม่ใช่ทำอะไรตามความอยาก มีหน้าที่ก็ทำไปตามความจริงของหน้าที่ จะได้หรือไม่ได้เงิน เงินสูงหรือเงินต่ำ ก็ไม่เป็นไร นั่นแหละเรียกว่า ทำอย่างคนสายกลาง แต่มนุษย์ไม่ใช่เช่นนั้น วันตกนรกคือวันที่ 1-29 วันขึ้นสวรรค์คือวันที่ 30 ได้รับเงินเดือนออก ใช่ไหม (ใช่)  วันตกนรกคือวันทำนา ก่อนให้ข้าวมันตั้งท้อง วันที่ขึ้นสวรรค์คือวันที่ขายข้าวได้ราคาสูง ใช่ไหม ฉะนั้น ถ้าเราอยากทำแบบคนพ้นทุกข์ พ้นบาป พ้นกรรม จงทำสิ่งที่ถูกต้องที่เรียกว่า หน้าที่ ให้ดีที่สุด ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ไม่ยึดติด ดีหรือไม่ (ดี)
ศิษย์เอย ถ้าเข้าใจแค่นี้ ก็จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้จริงไหม ศิษย์ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า มนุษย์ทุกคนให้อยู่อย่างไม่อยากอะไรเลยก็คันหัวใจ ให้อยู่แบบไม่ยึดอะไรเลยก็เหงาเปล่าเปลี่ยวใจ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าให้ทำแบบอาจารย์บางทีก็ยาก ถูกไหม (ถูก)  แต่จริงๆ อาจารย์บอกว่าไม่ยากหรอก อยู่แบบคนยืมใช้ ถึงเวลาก็คืนเขาไป ทำเต็มที่ ถึงเวลาผลมันจะเป็นอย่างไรก็กล้ายอมรับความจริง เป็นเรื่องที่ไม่ยาก แต่มนุษย์ชอบทำอะไรแล้วยึด แล้วหวัง แล้วก็อดเพ้อฝันไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ในความเป็นจริง โลกนี้มีใครบ้างที่ไม่ผิดหวัง มีใครบ้างไม่อกหัก มีใครไม่เคยสูญหายบ้าง มีใครไม่เคยล้มเหลวบ้าง ยกมือขึ้น (ไม่มี)  ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามันเป็นความจริงจะกลัวอะไร ใครๆ ก็เจอ เราก็เจอบ้าง ก็แค่นั้น จริงไหม (จริง)  
มนุษย์มีนิสัยอย่างหนึ่งที่อาจารย์รู้สึกว่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็คือ มนุษย์ไม่ชอบอยู่กับความว่างเปล่า กลัวเหงากลัวไม่มี จึงต้องพยายามหาที่พึ่ง พึ่งลูกไม่ได้ก็พึ่ง (สามี)  แล้วถ้าสามีพึ่งไม่ได้ อย่างนี้ศิษย์จะพึ่งใคร (พึ่งตัวเอง)  แล้วเช็ดน้ำตาไปเท่าไรจึงจะมาพึ่งตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อยนะ บางคนบอกว่า กลัวเหงา กลัวโดดเดี่ยว ต้องมีอันนั้นอันนี้ แล้วชีวิตจึงจะสมบูรณ์แบบ ชีวิตจึงจะใช่เลย แล้วเรื่องธรรมะค่อยว่ากัน อย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)  แล้วสิ่งที่ศิษย์บอกว่าต้องพยายามหาให้ครบ หาให้สมบูรณ์แบบ เมื่อถึงเวลาแล้วสิ่งเหล่านั้นทำให้เราพึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  ลูก สามี ภรรยา เพื่อนที่รักที่สุด ยศตำแหน่ง บ้าน ทั้งหมดนี้พึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์ก็รู้หมดทุกอย่าง แล้วยึดไหม (ยึด)  ก็จบแล้ว ไม่ต้องต่อแล้ว ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า ถ้าศิษย์รักตัวเอง เกลียดทุกข์ จงอย่าทำบาปทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เพราะในโลกนี้ ไม่มีแรงใดน่ากลัวและเสมอเท่ากับแรงกรรมที่ศิษย์ก่อ เพราะแม้ศิษย์มีน้ำตานองหน้า แล้วทำดีแค่ไหน กรรมที่ศิษย์เคยก่อ เมื่อถึงเวลาตกผล ศิษย์ก็เรียกร้องขอพระพุทธะไม่ได้ เพราะถึงเวลากรรมตกผลก็ต้องชดใช้
ฉะนั้นถ้าไม่อยากเกิดก็จงอย่ามีตัณหา เพราะตัณหาเป็นต้นทางแห่งความทุกข์ ถ้าไม่อยากรับบาป ไม่อยากรับกรรม ไม่อยากรับความชั่วก็จงอย่าทำผิด อย่าทำบาป อย่าสร้างกิเลส อย่าสร้างกรรม เพราะโลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุผล หว่านอะไรก็ได้อย่างนั้น อยากหยุดผลจงหยุดที่เหตุ มองเห็นเหตุชัด หยุดเหตุได้ ทุกข์ก็จบสิ้น แต่ถ้าศิษย์ยังหาเหตุไม่เจอ หยุดเหตุไม่ได้ ทุกข์ก็ไม่มีวันวางวาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่พุทธะอยากให้คนทำความดี เพราะการทำดีเป็นการหลีกเลี่ยงให้ตัวเองไม่ไปทำความผิด ไม่ไปทำกรรม ไม่ไปทำชั่วเพราะ ผลสุดท้ายจะกลายเป็นทุกข์เพิ่ม ฉะนั้น ถ้าศิษย์เข้าใจอย่างนี้ศิษย์จะสร้างเหตุเพิ่มไหม (ไม่สร้าง)  ดั่งคำกล่าวไว้ว่า “อนาคตเป็นอย่างไรไม่ต้องไปถามใคร ถามตัวเองว่าสร้างเหตุอะไรปรุงแต่งเป็นปัจจัยให้เราต้องรับอนาคตเช่นนั้น” ถ้าเราหยุดเหตุได้ อนาคตก็คือการชดใช้กรรมเก่าจริงไหม
ฉะนั้นต้นเหตุแห่งกรรม ต้นเหตุแห่งทุกข์มันเกิดจากอะไร ถ้าทำดีแล้วยึดติดก็เรียกว่ากรรม ถ้าทำชั่วแล้วไม่ปล่อยวางแล้วยังจดจำ จองกรรมไว้ในใจก็เรียกว่า กรรมชั่ว จองเวรจองกรรม ไม่ต้องให้ฟ้าตัดสินหรอก ใจศิษย์ทุกคนนั้นเที่ยงตรงยุติธรรมที่สุด ถามตัวเองสิว่า ความไม่ดีที่ศิษย์ทำมาตั้งแต่เด็ก นานๆ มันก็วนกลับมาว่าเมื่อไรเราจะชำระมันทิ้ง เดี๋ยวนานๆ มันก็วนกลับมาแล้ว เราเคยขโมยเงินแม่ เคยโกหกเพื่อน เคยโกหกภรรยา เคยเบียดเบียนผู้อื่น เคยโกหกมดเท็จแล้วก็วนมาตลอด แล้วเราจะทำอย่างไร เราเคยที่จะใส่ใจชำระล้างไหม หรือปล่อยให้วนอยู่อย่างนั้น แล้วกลายเป็นรากที่ฝังลึก แล้วก่อเกิดเป็นตัวตนที่กลับมาต้องใช้กรรม ถ้าความชั่วที่ศิษย์เคยทำมันกลับมา แล้วตอนนี้ศิษย์ไม่ได้ทำแล้ว เมื่อไรที่มันกลับมาตอนนั้นจงรู้จักชำระล้างด้วยจิตสำนึก ขออภัย ต่อไปจะไม่ทำแล้ว ขอบคุณที่กลับมาให้เราย้ำเตือนว่า ฉันจะไม่ทำอีกแล้ว แต่ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่งนะว่า กรรมชั่วนั้นจะเอากรรมดีมาล้างไม่ได้ เพราะกรรมชั่วมันเหมือนกับหมึกที่เขียนลงไปในใจศิษย์ แม้ศิษย์จะหยุดเขียนแล้ว แต่รอยหมึกนั้นมันยังตรึงตราใจอยู่ จริงไหม (จริง)  และหมึกนั้นจะลบไปได้ก็ต่อเมื่อเราประจักษ์แจ้งความจริง ความจริงอะไร ถ้าวันหนึ่งที่เราต้องชดใช้ ดีใจที่ได้ใช้กรรม ถ้าวันหนึ่งเราถูกเขาโกง ขอบคุณเพราะฉันเคยโกงเขามา เมื่อวันหนึ่งเราเคยโกหกแล้ววันหนึ่งโดนเขาโกหกตลบตะแลงยิ่งกว่าที่เคยทำ จงขอบคุณ เพราะนั่นแหละกรรมมันได้สนองผล ขอบคุณ อย่าคิดเก็บไว้ในใจเด็ดขาด เพราะถ้ายิ่งเก็บมันก็คือการทำเวรให้ยืดเยื้อ จริงไหม (จริง)  เหมือนถามในใจศิษย์ทุกคน ความดีคนอื่นจำได้ไหม (ไม่ได้)  แต่ใครด่าเรามาจำได้ไหม ใครโกงเราเท่าไหร่ ยืมเงินมาไม่คืนจำได้ไหม (จำได้)  ลืมไหม (ไม่ลืม)  ฉะนั้นศิษย์จะบอกอาจารย์ว่า ตายแล้วก็จบกัน นั่นไม่จริง ถ้ายังมีพรุ่งนี้ ยังจำได้ มันไม่จบหรอก จริงไหม (จริง)  เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)
แต่มันยาก ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์บอกว่า “อาจารย์ ศิษย์อดไม่ได้ ยังอยากอีกนิดๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใครดีศิษย์ก็อดมองและชอบไม่ได้ ส่วนใครไม่ดีศิษย์ก็อดหมั่นไส้และเกลียดไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ถามว่าลึกๆ ทุกคนรู้จักผิดชอบชั่วดีไหม รู้จักเมตตาธรรมในใจไหม (รู้จัก)  ฉะนั้น แม้ศิษย์จะบอกว่าถึงศิษย์ยังมีความหลงอยู่บ้าง แต่ว่าศิษย์ก็ยังมีความดีในใจนะ ขอศิษย์โลภเยอะๆ ไปก่อน เดี๋ยวศิษย์ค่อยไปทำบุญกับอีกคนหนึ่ง จะสามารถชดใช้ได้ไหม (ไม่ได้)  เดี๋ยวสวดแผ่บุญกุศลไปให้ ทำแบบนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์ไปกดขี่ขมเหงคนนี้ แต่ไปเมตตาหรือทำบุญกับอีกคน สามารถชดใช้กันได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้นะ ใช่ไหม อย่างนั้นเราควรที่จะหยุดสร้างความเลวร้าย แม้ไม่สร้างความดี เขาก็ยังเรียกเราว่าคนดี จริงไหม (จริง)  ดีกว่าอีกคนหนึ่งที่มือถือสากปากถือศีล แล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นอย่างนั้นไหม ฉะนั้นไม่สร้างกิเลส ยังไม่ต้องทำดีเลยนะศิษย์ ศิษย์ก็ดีขึ้นเองโดยไม่ต้องทำความดี จริงไหม (จริง)  
แต่คนปัจจุบันนี้ดีก็ทำ ชั่วก็สร้าง กิเลสก็งก เหมือนกับที่ศิษย์ชอบบอกว่า อาจารย์คนเราก็ต้องมีเกลียดบ้าง มีด่าบ้าง มีชิงชังบ้าง ใช่ไหม แล้วอาจารย์ถามหน่อย เวลาจิตมันฝักใฝ่ตรงนี้มากๆ ศิษย์มีเมตตาจิตไหม ศิษย์ก็บอกว่า “มีนะอาจารย์ แต่คนนี้ขอเว้นไว้หน่อย” ศิษย์ไปทำเขาเต็มที่แล้วบอกว่า “สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์...” อาจารย์บอกว่าศิษย์ไม่ต้องสัพเพสัตตา แต่ศิษย์จงรู้จักทำทานกับทุกคน ทำบุญกับทุกคน ดีกว่าศิษย์ไปทำบุญไว้ที่วัด แต่ทำบาปไว้ที่โลก เมื่อกรรมมาทวงถามกรรมก็เลยมาเต็มที่ สู้ศิษย์ไม่สร้างบาปเลยไม่ดีกว่าหรือ จริงไหม บาปให้ผลเป็นทุกข์ ศิษย์อยากหนีทุกข์ จงอย่าสร้างบาป แล้วบาปเกิดจากอะไร เกิดจาก โลภ โกรธ หลง เห็นแก่ตัว อิจฉาริษยา เอาแต่ได้ไม่คำนึงถึงใคร ผู้ที่เข้าถึงความจริงแห่งธรรม ท่านจะมีจิตหลุดพ้นจากความเห็นแก่ตัว และสามารถทำดีที่ยิ่งใหญ่ โดยมีแต่ให้ไม่หวังเอา เพราะเข้าใจคุณค่าของการให้มากกว่าการมี เพราะยิ่งมีก็ยิ่งยึด มันก็หนีไม่พ้นโทษ ศิษย์อย่าถามอาจารย์นะว่าทำไมต้องทำดี เพราะความดีมันทำให้ใจบริสุทธิ์ผุดผ่อง ความชั่วทำให้ใจเราหม่นหมองเศร้าซึม ถูกต้องไหม ดีมันทำยาก ชั่วมันทำง่าย ใช่ไหม (ไม่ใช่)
 (พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนในชั้นว่า ใครคิดว่าทำดีทำยาก ความชั่วทำง่าย ยกมือขึ้น และให้นักเรียนที่ยกมือสองคนออกมาหน้าชั้น)
ศิษย์บอกว่าทำดีทำยาก ความชั่วทำง่าย อาจารย์จะดูว่าจริงไหม เดี๋ยวให้ศิษย์เดินไปนะ เจอหน้าใครในชั้นเรียนนี้สบหน้าแล้วด่าเขาเลย ด่าไปจนสุดหลังห้อง เดินกลับมาเจอใครสบตาด่าเขาอีกจนกว่าจะกลับมาหาอาจารย์ (นักเรียนที่ออกมาหน้าชั้นไม่กล้าทำ)  ก็ศิษย์บอกว่าชั่วทำง่าย ทำไมตอนนี้ศิษย์ทำไม่ได้ล่ะ อย่างนั้นอาจารย์ถามใหม่ ถ้าอาจารย์บอกให้เดินไปสวัสดีคนที่ศิษย์สบตา เดินไปจนสุดห้องแล้วกลับมาใหม่ อะไรทำง่ายกว่ากัน (สวัสดีง่ายกว่า)  ศิษย์เอยเพราะใจเราจมอยู่กับความโลภโกรธหลง เหมือนถามศิษย์ว่าจิตของศิษย์มีความเมตตาไหม รู้ละอายเกรงกลัวต่อบาปไหม แต่ใจมันเคยฝักใฝ่ไปทางนี้ไหม ถึงเวลาหนูเลือกใช้อารมณ์ก่อน หนูเลือกตัวเองก่อน หนูเคยเมตตาก่อนไหม (ไม่)  เอาอารมณ์ก่อนใช่ไหม (ใช่)  พอจมอยู่กับอารมณ์มากๆ คราวหลังถึงเวลาจะยิ้มจะชมคน ปากก็จะหนัก เพราะด่าเขามาทั้งซอยแล้ว จะให้มาชมเขาก็เหมือนจะกลืนน้ำลายตัวเอง
(นักเรียนที่ออกมายืนหน้าชั้นพูดออกมาว่า “ขอโทษจ้า แค่พูดผิดจ้า”)  ศิษย์เอ๋ย ขอบคุณนะที่พูดคำนี้ เพราะโลกขาดคนยอมรับความจริง และโลกขาดการยอมรับว่าตัวเองผิด ถามจริงในโลกนี้ใครผิด มีแต่บอกว่าเราไม่ผิด แต่ใจลึกของเราก็ยอมรับ อาจารย์จึงบอกว่าจริงๆ แล้ว เรามีธรรมอยู่ในใจ ธรรมนี้เป็นสิ่งที่เที่ยงธรรม บริสุทธิ์ ยุติธรรมในใจของศิษย์อยู่แล้ว แต่ศิษย์ไม่เคยนำสิ่งนี้ออกมาใช้ มีแต่ใช้กิเลส อารมณ์ ไหนบอกไม่อยากมีกรรม ไหนบอกไม่อยากมีทุกข์ แล้วรู้ไหมว่า กิเลส อารมณ์ ให้ผลคือทุกข์ เจ็บ ช้ำ เสียใจ แต่ความดีนะศิษย์ ทำไปเถอะ พระพุทธะยังเคยเมตตาไว้ว่า แม้มีน้ำตานองหน้าก็จงทำดี และความดีนั้นจะแปรเปลี่ยนคนให้สะท้อนสะเทือนใจ หันกลับมาเข้าใจเรา โดยที่เราไม่ต้องไปพยายามบังคับว่า แกต้องดี แกต้องดี ต้องทำตัวของเราให้เห็นเลยว่า นี่คือคนที่ไม่ยอมแพ้ความดี คนที่ไม่ว่าจะด่าอย่างไรเราก็จะดี ทำตัวเองให้เขาเห็น จริงไหม (จริง)
สมมติว่าคนนี้เป็นแม่ของเรา ขาก็ไม่ค่อยดี เราจะเดินแล้วคอยประคองให้เขาไปนั่ง หรือเราจะเดินไปแล้วบอกว่า แม่เดินให้ไวๆ หน่อยสิ เราเลือกแบบไหน (เดินประคอง) อย่างนั้นก็ลองทำเลย
เพราะโดยความเป็นจริงของชีวิต ทุกคนอยากให้เขาดี ย่อมไม่ใช่การชี้เรียกร้องเอาจากผู้อื่น แต่ต้องชี้แล้วถามใจตัวเองว่า ดีหรือยัง ซื่อตรงกับเขาหรือยัง อยากให้ลูกกตัญญู ตัวเรากตัญญูต่อพ่อแม่ตัวเองหรือยัง อยากให้เพื่อนซื่อตรง ตัวเองซื่อตรงจริงใจหรือไม่ อยากให้พี่น้องปรองดอง ตัวเราเคยเสียสละ มีเมตตา รักพี่น้องตัวเองไหม เอาตัวเองทำความดีให้คนอื่นเห็น ธรรมะสอนไว้ว่า ไม่ต้องไปรอเปลี่ยนใคร เปลี่ยนแปลงที่ตัวเอง ไม่ต้องรอไปแก้ใคร แก้ที่ตัวเอง และไม่ต้องรอให้ใครเริ่ม เราเริ่มที่ตัวเอง
ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ คนที่มีโอกาสจะสบายแต่เขาเลือกที่จะไม่สบาย เขายอมลำบากแล้วทำดีเพื่อคนอื่น การทำดีของเขานั้นสะท้อนใจเราไหม (สะท้อน) พอเรารู้แล้วเราอยากดีกับเขาไหม (อยาก) อยากทำเหมือนเขาไหม (อยาก) ถ้านึกถึงหรือเขาตายไปแล้ว เราก็ยังคิดที่จะทำดีหรือจดจำเขาในใจไม่ลืม ถูกไหม (ถูก) แล้วทำไมศิษย์ไม่เป็นแบบนั้น มีโอกาสสบายแต่เลือกที่จะไม่สบาย เลือกทำสิ่งที่ดีและถูกต้องยิ่งกว่าชีวิต มีโอกาสได้แต่ไม่เอา มีแต่จะให้ มีโอกาสจะเห็นแก่ตัว แต่ไม่เลือกเห็นแก่ตัว แต่อยากจะเสียสละ แล้วเชื่ออาจารย์ไหม ว่าความดีนั้นถ้าทำจนสุดจิตสุดใจ ไม่ต้องพูดจนปากเปียกปากแฉะ คนมันเห็นทุกวัน ศิษย์จะใจแข็งขนาดไม่ดีกลับไปที่เขาหรือ ศิษย์จะใจดำกลับไปที่เขาไหม กับคนที่ดีกับศิษย์อย่างไม่มีข้อแม้ ไม่หวังผลตอบแทน ศิษย์จะตอบแทนเขาไหม (ตอบแทน) ศิษย์จะทำดีไหม (ทำดี) และแม้เขาจะตายไป ศิษย์ก็ยังอยากที่จะทำต่อไหม (อยาก) เพราะอะไร เพราะการทำดีของเขานั้นได้ใจเราไปเต็มๆ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นศิษย์อย่าถามอาจารย์ว่าทำไมเกิดเป็นคนต้องทำดี เพราะความดีนั้นซื้อใจคนได้ ผูกใจคนได้นานกว่ารูปลักษณ์ กว่าเงินทอง ใช่ไหม แค่เขาร้องไห้เรายังร้องไห้ตามเลย ถ้าอย่างนั้นการทำดีก็เป็นสิ่งที่ (ดี) แต่เราทำหรือไม่
อาจารย์ถามว่าคนในโลกนี้  มีแต่เรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจ ความสุขกับความทุกข์อะไรมีมากกว่ากัน (ความทุกข์)  ถ้าวันนี้อาจารย์จะคุยต่อเรื่องทุกข์กับสุขให้เลือกเอา เลือกอะไร (ความสุข)  ถ้าศิษย์เลือกสุข ศิษย์ผิดถนัดเลย ถ้าศิษย์แก้ทุกข์ได้มันก็สุขไปตลอดชีวิตแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แค่เริ่มคิดศิษย์ก็ผิดแล้วถูกหรือเปล่า อะไรก็ต้องสุข ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นศิษย์เอย โลกนี้เป็นโลกแห่งความทุกข์ ถ้าศิษย์เข้าใจทุกข์ สุขก็บังเกิด แต่ถ้าศิษย์ทุกข์ไม่เอา ก็จะทุกข์อยู่ร่ำไป
อาจารย์อยากบอกว่า ทุกข์ที่ศิษย์เกลียดหนักหนานั้น จริงๆ ไม่ต้องไปเกลียดทุกข์หรอก เพราะทุกข์เป็นสิ่งที่ดีมาก ถ้าไม่มีทุกข์ ศิษย์จะแย่เลยนะ เชื่อไหม (เชื่อ)  ทุกข์มีไว้เพื่อให้เรียนรู้ ถ้าเราไม่ทุกข์กับการต้องยืนจนขาแข็ง แล้วเราจะรู้ไหมว่า เราจะต้องหาเก้าอี้นั่ง และถ้าเราไม่นั่งจนเมื่อยปวดหลัง แล้วเราจะรู้ไหมว่าเราต้องยืน จริงไหม (จริง)  ดังนั้นเราควรเกลียดทุกข์ไหม (ไม่ควร)  ควรขอบคุณความทุกข์ที่ทำให้เราเรียนรู้ทุกข์ เหมือนอาจารย์ถามว่า ศิษย์อยากเจ็บไหม (ไม่อยาก)  อย่างนั้นถ้าให้ศิษย์เป็นอัมพาตอัมพฤกษ์เลย จะได้ไม่ต้องเจ็บเลยไปตลอดชีวิต เอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นต้องขอบคุณที่ยังเจ็บ เพราะถ้าไม่เจ็บก็ไม่เรียกว่าชีวิต ต้องขอบคุณที่ยังทุกข์ เพราะถ้าไม่ทุกข์ก็คือตาย ใช่ไหม (ใช่)  ยืนจนทุกข์ แล้วอยากนั่งไหม (อยาก)  นั่งจนทุกข์ แล้วอยากยืนไหม (อยาก)  พูดมากแล้วหิวไหม (หิว)  ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์จากหิวก็ต้อง (กิน)  ต้องขอบคุณทุกข์ไหม (ขอบคุณ)  เกลียดทุกข์ไหม (ไม่เกลียด)  ฉะนั้นทุกข์ดีไหม (ดี)  ควรขอบคุณทุกข์ไหม (ควร)  แล้วควรจะต้องทุกข์มากมายไหม (ไม่)

พระพุทธะจึงสอนว่า เพราะไม่รู้ จึงอยากจึงยึด แต่ถ้ารู้ ก็ไม่อยากไม่ยึด เพราะมีอวิชชาจึงเกิดเป็นตัณหา อุปาทาน ถ้ามีวิชชา ตัณหา อุปาทาน ก็หายไป แล้ววิชาอะไร ก็วิชาธรรม รู้ธรรมในตนใช่ไหม (ใช่)  รู้อะไร รู้ความจริงอย่างแจ่มแจ้ง เหมือนรู้ทุกข์อย่างแจ่มชัด ฉะนั้นศิษย์โกรธไหมที่รู้สึกเจ็บ ไม่โกรธ ขอบคุณที่ได้รู้สึกเจ็บ แก่ดีไหม (ดี)  อาจารย์ถามว่า ถ้าได้ผู้หญิงสาวๆ ไปก็ต้องพาคนแก่ไปด้วย เอาไหม  อาจารย์ถามผู้หญิง ชอบหนุ่มหล่อๆ ไหม (ชอบ)  ถ้าได้เขาไป ต้องพาคนแก่ๆ ไปด้วยเอาไหม (เอา/ไม่เอา)  ศิษย์เอย ไหนบอกว่าจะรักกันไปจนแก่ จะอยู่กันไปจนแก่ แต่ถึงเวลาศิษย์ก็บอกว่า มันแก่ไม่เอาแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นแก่ดีไหม (ดี)  เกลียดไหมความแก่ (ไม่เกลียด)  แน่ใจนะ (แน่ใจ)  อย่างนั้นอย่าไปฉีด
โบท็อกซ์ อย่าไปทำหน้าขาว เวลาจะออกจากบ้านก็ไม่ต้องส่องกระจก ไม่ต้องบ้วนปากนะ ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)
ถ้าศิษย์เข้าใจทุกข์  เพราะอวิชชา คือ ความไม่รู้ จึงก่อเกิดเป็นตัณหา คือความอยาก พอมีความอยากก็กลายเป็นอุปาทาน คือความยึดมั่น ฉะนั้นต้นเหตุแห่งการเวียนว่ายแห่งวัฏจักรชีวิต ก็เลยไม่จบสิ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเป็นอย่างนี้ มีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน เพราะความไม่รู้ แต่ถ้าตอนนี้เรารู้ความจริง เราเห็นความจริง ความจริงในอะไรที่ทำให้เราก่อเกิดเป็นความอยาก ก่อเกิดเป็นกิเลส ก่อเกิดเป็นกรรม ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากจะเข้าถึงตรงนี้ ศิษย์ต้องเข้าใจก่อนว่า เมื่อเรามีความไม่รู้ เราก็จะเกิดความอยาก จากนั้นเราจะเกิดความยึดมั่น เพราะเราไม่รู้อะไร เราจึงเกิดความอยากแล้วเกิดความยึดมั่น จึงก่อเกิดเป็นวัฏจักรแห่งกรรม นั่นคือความจริงในตัวตน
เราไม่รู้อะไร แล้วเราควรรู้อะไร แล้วความรู้นั้นจะทำให้เราไม่อยาก ไม่ยึดอีกต่อไป ความจริงในอะไร (ในใจ)  ที่เราอยากที่เรายึดเพราะเราไม่รู้อะไร ฉะนั้น ศิษย์อย่าแก้ตอนที่เราไปอยากไปยึดมันแล้ว แต่ศิษย์ต้องรู้ก่อนว่า สิ่งที่ศิษย์ไปอยากไปยึดนั้นศิษย์ยึดอะไร สิ่งที่ศิษย์ไม่รู้แล้วศิษย์ไปอยากไปยึด ศิษย์ยึดอะไร ศิษย์ไม่รู้อะไร (ไม่รู้ตัวตน)  ไม่รู้ตัวตนใช่ไหม (ไม่รู้ทันกิเลส)  ศิษย์เอยกิเลสมันมาทีหลัง ตัวตนมันมาก่อน ถ้าไม่มีตัวตนก็ไม่มีกิเลส ฉะนั้น สิ่งที่ศิษย์ไม่รู้คือ ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริง ต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวลเพราะมีตัวตนที่เรียกว่ากรรม แล้วเกิดมาเพราะเรามีกรรมใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจกรรมตัวนี้ เราก็จะไม่สร้างเหตุอีกต่อไปถูกไหม ทุกอย่างที่เราทำก็เพื่อตัวนี้ ฉะนั้น มันเริ่มตรงนี้ มันก็ต้องละตรงนี้ และจบตรงนี้ ซึ่งตรงนี้มันเรียกว่า “วัฏจักรแห่งชีวิต” ที่เราเรียกว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนหญิงออกมา มีคนสวย คนวัยกลางคนและคนสูงอายุ)
อาจารย์ถามหน่อย ถ้าเรารู้ว่าคนเราเดี๋ยวเกิด แล้วแก่ แล้วเจ็บ แล้วตาย เหมือนเอาคนนี้มา สวย แล้วอาจารย์ถามว่า ถ้ามีคนนี้แล้วกลายเป็นหญิงกลางคนคนนี้ แล้วหญิงกลางคนสวยไหม (สวย)  แล้วกลายเป็นคนอายุมากคนนี้ อาจารย์ถามว่า เป็นไปได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นหน้าตาสวยๆ คือหน้าตาที่แท้จริงและสุดท้ายของเขาไหม (ไม่ใช่)  เขาจะเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  เขาจะแก่ไหม (แก่)  เขาจะเจ็บไหม (เจ็บ)  เขาจะตายไหม (ตาย)  อย่างนั้นเราควรจะยึดเขาไหม (ไม่ควร)  เราควรจะหลงรักเขาไหม (ไม่ควร)  เหมือนที่อาจารย์บอกว่า ถ้าได้คนสวยๆ ไป  แล้วมีคนแก่ตามไปด้วย เอาไหม จำได้ไหม ศิษย์บอกอาจารย์ว่าเอาไหม (ไม่เอา)  แต่อาจารย์ถามจริงๆ ว่ามีใครได้คนสวยบ้างใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเรามองเห็นความจริงแห่งชีวิตอย่างแจ่มชัด แล้วอะไรจะสวยที่สุด อะไรแก่ที่สุด แล้วอะไรที่เราควรรัก มันคงอยู่ไหม มันเปลี่ยนแปลงไหม (เปลี่ยนแปลง)  แล้วถ้ามันเป็นแบบชายคนนี้เอาไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายสูงอายุท่านหนึ่งออกมาหน้าชั้น)
เขาเหลือฟันเพียงแค่นี้  แต่ก่อนเขาก็อาจจะหล่อและหนุ่มแบบผู้ปฏิบัติงานธรรมที่ยืนอยู่ด้านข้าง แต่ถึงเวลาก็เปลี่ยนแปลงเป็นแบบนี้   ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ศิษย์เอย ที่อาจารย์ไม่แต่งงาน ไม่ใช่เพราะไม่มีใครเอาอาจารย์  แต่อาจารย์ไม่เลือกใคร  ถ้าเลือกแล้วมันไม่ได้ดี อาจารย์ไม่เอาดีกว่า ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเลือกแล้วตัวเองยังเอาตัวไม่รอด แล้วยังอยากจะเกี่ยวกรรมไหม ศิษย์จำได้ไหม ตอนแรกชายหญิงอยู่ด้วยกันเป็นคู่บุญคู่วาสนา คู่ตุนาหงัน แต่อยู่ไปอยู่มาก็กลับคิดว่าเป็นคู่บุญคู่กรรม  กลับทอดถอนใจว่าเมื่อไหร่จะจบกันสักที ใช่ไหม(ใช่)  แล้วใครเป็นคนคิด (เรา)  แล้วใครเป็นคนยึด (เรา)  ฉะนั้นถ้าเราเห็นความจริง สิ่งใดในโลกที่จะทำให้ศิษย์อยาก อะไรในโลกที่จะทำให้ศิษย์ทุกข์
จำไว้นะศิษย์ เราเกิดมาเพื่อรู้ทุกข์ เห็นทุกข์ แต่ไม่เอาทุกข์ ทุกข์มีได้ เกิดได้ แก่ได้ มีตายได้ แต่ใจแค่รู้แค่เห็น แต่ไม่ยอมไปเป็น เหมือนกิเลส โลภ โกรธ หลง ศิษย์มีหลงได้แต่ไม่เอา เกลียดมีได้แต่ไม่ยึด ฉะนั้นหน้าที่ของการฝึกฝนบำเพ็ญมีสติ แค่รู้แต่ไม่เป็น แค่เห็นแต่ไม่เอาได้ไหม เราแค่ยืมสังขารใช้ ฉะนั้นกรรมเวรมันเป็นแค่สังขาร มันไม่ได้เป็นของใจเรา 
เราใช้กรรมแค่สังขารเราไม่ได้ใช้กรรมทางใจ จงมีแค่เจ็บที่สังขารแต่อย่าลากลงไปให้เป็นเหตุแห่งกรรมในใจ  เมื่อเราเห็นชัดรู้ชัดในทุกสิ่งทุกอย่างว่ามันไม่เที่ยง  มันทุกข์  แล้วถึงเวลามันก็ว่างเปล่า  ใครไปกับเรา แล้วทำไมไม่ใฝ่ศึกษาธรรมเข้าใจธรรม เพราะมันคืออริยทรัพย์ที่จะนำพาศิษย์ไปทุกภพทุกชาติและไม่มีวันอับจน เพราะมันไม่เหมือนความรัก  เงินทอง เกียรติยศ  พอหมดตำแหน่ง  หมดเงินทอง หมดหน้าที่  เราก็เป็นคนเดินดิน  แล้วเราต้องเศร้าไหมเราก็แค่กลับมายืนที่เดิม  ที่ๆ เราไม่มีใครและเราต้องอยู่คนเดียวให้ได้ ที่ๆ เราไม่มีอะไรและเราก็ต้องอยู่กับความไม่มีให้เป็น  ฉะนั้นถ้าทุกข์เป็น สุขคือคำว่าพอ พอปุ๊บมันดีทันที เพราะไม่พอมันเลยไม่ดี
อาจารย์ถามศิษย์ทุกข์น่ากลัวไหม ความเจ็บน่ากลัวไหม ความตายน่ากลัวไหม แต่การที่ยังไม่รู้แจ้งในตัวเอง แล้วก่อวิบากกรรมก่อเหตุแห่งการเวียนว่ายน่ากลัวกว่าจริงไหมศิษย์ ฉะนั้นจงมีสติระลึกรู้อยู่ในธรรม เห็นธรรมในตัวตนแล้วศิษย์จะเห็นธรรมในผู้คน นี่ก็ธรรมนั่นก็ธรรม เขาด่าเรามามันก็เป็นธรรม เขาชมเรามามันก็เป็นสัจธรรม ใช่ไหม (ใช่)  เขาโกงเรามามันก็ยุติธรรมแล้ว ใช่หรือไม่ แล้วเมื่อถึงตอนนั้นโลภโกรธหลงก็ทำอะไรศิษย์ไม่ได้ เพราะศิษย์เข้าใจในธรรม ใช่ไหม (ใช่)  แต่เพราะว่ามันยังอยากรักอยู่ อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ เมื่อรู้จักรักก็รู้จักเกลียด เมื่อรู้จักเกลียดก็รู้จักโกรธ เมื่อรู้จักโกรธก็รู้จักแค้น เมื่อรู้จักแค้นก็รู้จักอาฆาต เมื่อรู้จักอาฆาตก็ลุ่มหลงในความผิด ฉะนั้นรากเหง้าของความทุกข์บาปทั้งมวลล้วนเกิดจากรัก  ศิษย์รู้จักโกรธ ศิษย์รู้จักแค้น ศิษย์รู้จักหลง ใช่ไม่ใช่เพราะรัก รักความไม่เที่ยงด้วยนะ แล้วความไม่เที่ยงมันมีทุกข์ แล้วถึงที่สุดมันก็หาตัวตนที่เราพึ่งพิงไม่เคยได้เลย ถามจริงๆ สิ่งที่เรียกว่าสกล อันเรียกว่าร่างกายนี้ มันคือหนึ่งในธรรมชาติใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามันเป็นธรรมชาติ แล้วเราไปตู่เอาธรรมชาติมาเป็นของเรา ถูกไหม (ไม่ถูก)  ธรรมชาติน่ะจริง แต่ตัวเราที่พยายามครอบครองธรรมชาติไม่เคยมีจริงสักขณะเดียว
นิสัยของศิษย์อาจารย์รู้ พอเยอะๆ ก็เบลอ ได้หน้าลืมหลัง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นมีโอกาสอาจารย์จะกลับมาใหม่ดีไหม (ดี)  เอาแค่ให้เห็นชิมลางๆ ชื่นใจก่อน  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์ ถ้าพรุ่งนี้ศิษย์มา เราก็ยังได้เจอกันอีก ส่วนใครไม่มาก็ 再見(ไจ้เจี้ยน แปลว่า พบกันใหม่) ใช่ไหม (ใช่)
มีโอกาสคงได้มาฟังธรรมกันต่อนะศิษย์ รักษาบุญรักษาโอกาสนะ สิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ล้วนคือธรรม และธรรมนั้นก็คือชีวิต ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจธรรม ศิษย์ก็เข้าใจชีวิต ถ้าศิษย์เข้าใจชีวิต ศิษย์ก็เข้าใจความเป็นคนและจะอยู่บนโลกได้ไม่ต้องทุกข์ ดีหรือไม่ (ดี)  มีโอกาสกลับมาเจอกันใหม่นะ


วันจันทร์ที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙                                                            
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ใช้หลักธรรมเป็นหลักในการบำเพ็ญ    คุณธรรมเด่นกว่าผลงานสร้างชื่อเสียง
โดนบีบสร้างบาปอกุศลเฝ้าหลีกเลี่ยง    อย่ายอมเสียคุณธรรมเพียงเพื่อหากิน
     เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา  ลงสู่พุทธสถานจินเอวี๋ยน เเฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาอีกครั้ง                        ถามศิษย์รักของอาจารย์สบายดีไหม

  หลักธรรมเป็นประทีปแห่งโลกหล้า    ชาวประชาเป็นสุขทุกแห่งหน
จิตบำเพ็ญเป็นสวัสดีมงคล                นำผองชนไปสู่ธรรมอำพัน
ในยามทุกข์รู้ว่าสุขอยู่อีกฝั่ง              ในความหวังอย่าแบกความเพ้อฝัน
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดในสักวัน           ถึงสำคัญแค่ไหนก็ต้องวาง
ก่อนปีใหม่ตั้งใจยิ่งกว่าเดิม                ปีใหม่เริ่มจิตดีงามรังสรรค์สร้าง
ชีวิตดั่งศาลาน้อยริมทาง                  ปัญหาอย่างเดียวคือเริ่มกันวันใด
ในยามสุขบอกกับใจอย่าประมาท        คนฉลาดมักพลาดเรื่องง่ายง่าย
คนดีแล้วก็ยังรู้แก้ไข                      จิตเป็นนายสติเป็นผู้บัญชาการ
                                                                        ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ถ้าอาจารย์มาแล้วทำให้กินข้าวช้าจะยอมให้มาไหม (ยอม) ยอมจริงๆ หรือ (ยอม)  กินข้าวบ่ายโมงไหวไหม (ไหว) บ่ายสอง (ไหว) บ่ายสาม (ไหว) อย่างนั้นอาจารย์ให้กินเย็นเลยแล้วกันนะ อาจารย์หยอกศิษย์เล่น
เป็นอย่างไร ผ่านการเคี่ยวกรำมาสองวัน วันนี้เป็นวันที่สาม ทำไมวันแรกกับวันที่สามมันต่างกันฟ้ากับดินเลยนะ เป็นอย่างนั้นไหม
อาจารย์ถามจริงๆ นะศิษย์เอย เกิดเป็นคนก็ยังมีบ้านที่ต้องกลับ ร่างกายนี้มีบ้านให้กลับ แล้วจิตเดิมแท้ไม่มีบ้านให้กลับหรือ กายนี้ยังมีบ้านให้อยู่อาศัย ยังมีญาติพี่น้องเดิมที่ต้องตามหา แล้วจิตเดิมแท้ของเราไม่มีบ้านที่แท้ ไม่มีพี่น้องที่แท้ที่เราต้องกลับไปหาหรือ (มี) แล้วเคยตามหาบ้านตัวเองบ้างไหม (ไม่เคย)  เหมือนเวลาที่ศิษย์ออกไปเที่ยวไกลขนาดไหน แต่วันหนึ่งก็ต้องกลับบ้าน ใช่ไหม (ใช่)  ถึงเวลาก็ต้องทิ้งร่างกายนี้คืนสู่ดินสู่ฟ้า เพราะว่าจิตเดิมแท้ของเรามาจากดินมาจากฟ้า แล้วจิตที่อยู่ในกายที่คอยสั่งให้เรากิน สั่งให้เราทำ สั่งให้เราต้องกลับบ้าน สั่งให้เราต้องเป็นคนแบบนั้นแบบนี้ ไม่เคยคิดอยากกลับบ้านที่แท้จริงบ้างหรือ แล้วบ้านที่แท้จริงอยู่ที่ไหนล่ะ แต่บางคนก็ไม่กล้าคิด เพราะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์อาจคิดว่า “ศิษย์คงไม่ได้มาจากฟ้า ศิษย์น่าจะมาจากรูใดรูหนึ่งจากใต้ดินมากกว่า ดูแล้วน่าจะเหมาะสมกับศิษย์มากกว่า” ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์เอยเวลาเกิดเป็นคน ก้าวก็ต้องก้าวให้ยิ่งใหญ่ เวลาไปก็ต้องไปให้ถึงที่สุด จึงจะเรียกว่าคุ้มค่าในชีวิต ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าเรามีจิต ในหนึ่งจิตที่ชีวิตหนึ่งจะหาได้ ทำไมเราไม่ไปให้สูงที่สุด ทำไมเราหวังแค่สวรรค์ มันคิดต่ำคิดเตี้ยไป ใช่ไหม (ไม่ใช่) เวลาตกนรกจะเอาเพื่อนไหม ตัวเองยังไม่รอดเลย ใช่หรือเปล่าศิษย์ (ใช่) ตอนนี้ใกล้ปีใหม่ศิษย์อยากกลับบ้าน แล้วตอนนี้จิตเราไม่อยากกลับบ้างหรือ
ถ้าอยากกลับบ้านคิดแบบสรตะง่ายๆ ใจฟ้าใจคนที่จะขึ้นฟ้าได้ควรหนักหรือควรเบา (เบา)  คนใจฟ้าควรจะเป็นคนใจแคบๆ เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ หรือว่าเป็นคนที่ใจกว้าง เอาแค่สองสรตะนี้ถึงไหม เบาไหม ใสไหม กว้างไหม จิตที่ทำให้เราหนัก คือกิเลสความเห็นแก่ตัว ความไม่ชอบความชิงชัง จิตที่ทำให้เราไม่กว้างคือการไม่ยอม การไม่ให้ การไม่อภัย การไม่เปิดใจกว้าง การไม่มองความจริง ถูกหรือไม่ ฉะนั้นกายเรายังรู้จักกลับบ้าน ใจเราไม่กลับบ้านบ้างหรือ ถ้ามองง่ายๆ คนที่จะกลับบ้านได้ ต้องจิตเบา ว่าง กว้างแบบหาที่สุดไม่ได้ หรือจิตที่ไม่มีตัวตนสักขณะเดียว ถ้าถามว่าพุทธะอยากเป็นอะไร ท่านบอกว่าไม่อยากเป็นอะไรในโลก ท่านอยากเป็นธรรมที่ทำให้ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าและดิน เพราะเมื่อไรที่ท่านนำธรรมมาครองกาย จะไม่มีตัวตนให้ยึดถือ และไม่มีทุกข์ให้ต้องวิตกกังวล มีแต่จะให้ โดนว่าอย่างไรก็ไม่เจ็บเพราะไม่มีตัวตนให้เจ็บ แต่มนุษย์ชอบยึด ว่าตัวเราเป็นแบบนี้ ทำดีได้แค่นี้ ถ้าอาจารย์บอกว่าลองอีกนิดหนึ่ง วางอีกนิดหนึ่ง สละอีกนิดหนึ่ง ยากไหม
ยากไหม ถ้าศิษย์เป็นคนที่เข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ ศิษย์ต้องกลัวอะไร อาจารย์รู้ว่านี่เป็นชั้นสุดท้ายที่อีกไม่กี่วันก็จะปีใหม่ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าวันนี้อาจารย์ให้ศิษย์มีโอกาสครั้งเดียวให้ศิษย์ขอพรจากอาจารย์ได้เพียงอย่างเดียว ศิษย์อยากขอพรอะไร
อาจารย์อยู่ไหน อาจารย์ก็มีได้ในใจของศิษย์ทุกคน เหมือนคำว่าความเป็นพุทธะมีได้ในใจของมนุษย์ทุกคน แต่เราหาความเป็นพุทธะในใจตัวเองเจอหรือยัง
บางครั้งการแต่งตัวก็มีผลกับจิตใจเหมือนกัน ถ้าวันหนึ่งศิษย์แต่งตัวธรรมดาเดินออกไปก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าวันหนึ่งศิษย์เอาชุดทหารมาใส่จะเป็นอย่างไร คนที่เป็นทหาร บางทีใจเขาก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่พอเขาสวมชุดทหาร การที่เขาต้องใส่ชุดทหารทำให้เขาต้องเข้มแข็ง ฮึกเหิม ถ้าศิษย์แต่งตัวธรรมดา ศิษย์ก็รู้สึกธรรมดา แต่ถ้าศิษย์ใส่ชุดแม่ชีศิษย์จะเดินไม่สุภาพได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นชุดก็มีผลต่อจิตใจภายในเหมือนกัน จึงอย่าบอกว่าแต่งตัวอะไรก็ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภายใน บางครั้งการแต่งตัวให้ดูภูมิฐาน ดูดี ย่อมมีผลต่อคนรอบข้างเหมือนกัน เมื่อไหร่ที่เขาแต่งตัวดูดี การที่จะหาใครมาพูดคุยกับเขาหรือเตือนเขาจะง่ายหรือยาก (ยาก) ดูดีไปใช่ไหม จะคุยด้วยก็รู้สึกว่าเขาอยู่สูงไปหน่อยไหม ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอย่าคิดว่าการแต่งตัวภายนอกไม่มีผลต่อภายในจิตใจของเรา แต่งตัวดีเกินไปคนก็ไม่กล้าตักเตือนสอนสั่ง วางตัวสูงล้ำเกินไปคนก็ไม่กล้าชิดใกล้เข้าหา ฉะนั้นการแต่งตัวภายนอกใช่จะไม่มีผลกระทบต่อภายในใจ ถ้าวันไหนศิษย์แต่งตัวแล้วมั่นใจ เวลาเดินแล้วรู้สึกว่า ฉันดูดี แต่พอเดินไปมีคนทักว่า “แต่งได้อย่างไร ใครเขาแต่งกันแบบนี้” เราก็โกรธ เธอมีอะไรมาว่าฉัน เธอแต่งดีนักหนา นี่เสื้อฉันกี่บาทรู้ไหม กางเกงกี่บาทรู้ไหม ใช่ไหม เป็นแบบนั้นไหม (เคยเป็น) ดีแล้วศิษย์ที่ยอมรับ อาจารย์เชื่อทุกคนก็เป็นแบบนั้น วันไหนที่ใส่เสื้อราคาแพงจะรู้สึกว่าตัวเองสูงกว่าคนอื่น ทั้งที่จริงๆ แล้วเราสูงกว่าคนอื่นไหม (ไม่) วันไหนที่มีเงินเดือนมากกว่าคนอื่น ทั้งที่คนอื่นไม่รู้เลย แต่รู้สึกเหมือนตัวเองล้ำกว่าคนอื่น จริงๆ แล้วตัวเองล้ำกว่าคนอื่นไหม (ไม่) วันไหนถูกลอตเตอรีก็รู้สึกว่าวันนั้นหน้าบานกว่าคนอื่นใช่ไหม
ถ้าอาจารย์ให้โอกาสศิษย์ขอพรได้หนึ่งข้อ ศิษย์จะขออะไร คิดให้ดีๆ นะ เพราะถ้าออกจากปากศิษย์แล้วจะขอได้ครั้งเดียว ขออีกไม่ได้แล้ว คิดให้ดีๆ นะ เพราะถ้าอาจารย์ให้แล้ว ศิษย์จะถอนคำพูดไม่ได้แล้ว ใช่ไหม (ใช่) ต้องคิดให้ดีๆ ว่าสิ่งที่ขอนั้นต้องครอบคลุมจะต้องเอาไปใช้ตลอดชีวิต
(ขอให้มีแสงสว่างในชีวิตตลอดไป ดวงตาเห็นธรรม ขอให้พ้นทุกข์ ขอสติปัญญา ขออย่าให้เจ็บอย่าให้ป่วย ขอให้ครอบครัวมีแต่ความสุข ขอมีธรรมคุ้มกาย ขอให้ทุกคนมีความสุขตลอดปีใหม่ ขอตรัสรู้ในพระสัมมาสัมโพธิญาณ ในอนาคตกาล เพราะอยากจะช่วยเวไนยเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา) ขอหมดทั้งชั้นแล้วใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ถามหน่อยนะ ศิษย์ที่ขอให้ครอบครัวร่มเย็น แต่ถ้าปากเราขี้บ่น ใจอดกลั้นไม่ได้ ใจเราชอบติดเหล้า ใจเราชอบคดโกง ใจเราชอบเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นมาเป็นชีวิตของตัวเอง ใจเราไม่มีเมตตา ครอบครัวจะร่มเย็นไหม (ไม่) ฉะนั้นก่อนจะขออาจารย์ ควรขอตัวเองก่อน ใช่ไหม (ใช่)
ส่วนคนที่ขอว่า อยากขอให้สุขภาพแข็งแรง ศิษย์เคยได้ยินสำนวนที่อาจารย์มักจะพูดบ่อยๆ ไหมว่า “โรคภัยเข้าทางปาก พิษภัยออกจากปาก” จริงไหม (จริง) ฉะนั้นวันนี้อาจารย์ให้ศิษย์แข็งแรง แต่ถ้าศิษย์ไปกินในสิ่งที่ไม่ควรกิน ไปทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ไปพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด แข็งแรงไปแต่ปากเสียก็ตายไว จริงไหม (จริง) อาจารย์ขอให้ศิษย์แข็งแรง ถ้าหากศิษย์แข็งแรงแต่ลูกหลานตายหมดเอาไหม (ไม่เอา) อย่างนั้นขอตัวเองแข็งแรงคนเดียวดีไหม (ไม่ดี) แล้วถ้าเกิดตัวเองแข็งแรงแล้วไม่ตายสักทีดีไหม แล้วศิษย์ควรจะขออะไรดี ที่จะนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์พ้นภัยแคล้วคลาด เจอเรื่องอะไรก็เข้าใจมองออกปลดปลง เห็นทุกข์เป็นสุขได้ (ดวงตาเห็นธรรม) ขอดวงตาเห็นธรรม ปัญญา สติใช่ไหม (ใช่) แล้วปัญญาจะเกิดได้จากไหน จากอาจารย์ยัดเยียดให้ใช่ไหม (ไม่ใช่) ปัญญาเกิดได้จากการพิจารณาความจริงจนเห็นชัด เมื่อเรามองเห็นอะไรชัด ก็เหมือนกับเวลาที่เราดูหนังจนจบเรื่อง เมื่อหนังฉายอีกรอบหนึ่ง ศิษย์ยังรู้สึกเศร้าไหม (ไม่เศร้า) เห็นตัวโกงโกรธแล้วด่าไหม (ไม่ด่า)  เพราะศิษย์รู้แล้วว่าเดี๋ยวตัวโกงก็ตาย พอเห็นชัดจะโกรธไหม จะหลงรักอะไรไหม พอเห็นชัดแล้วจะรู้หมด เราจะทุกข์เราจะสุขอะไรไหม แต่มนุษย์มีข้อเสียอย่างหนึ่งคือ ไม่ค่อยเห็นชัด สมมติว่าถ้าอาจารย์วาดอะไรอย่างหนึ่ง อะไรที่ทำให้เรามองเห็นความเป็นจริงแล้วไม่ค่อยชัด ถ้ามองคร่าวๆ ไม่อ่านให้ดี จะเข้าใจผิดพลาดได้ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากมองพิจารณาเรื่องราวในโลกให้แจ่มชัด จงอย่ามองแค่ผ่านๆ

(พระอาจารย์เมตตาวาดภาพดอกไม้แห่งสติ)






ถ้ามองคร่าวๆ ไม่อ่านให้ดี ศิษย์จะบอกว่า อาจารย์ให้ “ดอก” นี่นา ใช่ไหม (ใช่)  เพราะคำว่า “ดอก” มันตัวใหญ่มาก ฉะนั้นหากศิษย์อยากมองพิจารณาเรื่องราวในโลกให้ชัด จงอย่ามองผ่าน “ใจ” เพราะใจของมนุษย์มีความยึดติด ใจของมนุษย์มีความคาดหวัง ใจของมนุษย์มีความมั่นหมาย ติดยึด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากมองอะไรให้แจ่มชัด จงมองด้วยแก่นอย่ามองเพียงเปลือกนอก เพราะรูปลักษณ์ที่แท้จริงล้วนมีแก่นแท้อยู่ภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  รูปนามทั้งมวลที่แตกต่างกันเพียงเปลือกนอก แต่ทุกเปลือกนอกมีแก่นเหมือนกัน แล้วแก่นของรูปลักษณ์ทั้งหมดมันมีเปลือกที่แตกต่าง แต่มีแก่นที่เหมือนกันคืออะไร ถ้าเห็นบ่อยๆ เข้าใจบ่อยๆ มันจะไม่อยาก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่เกลียดเลย ตอบได้อาจารย์มีของขวัญปีใหม่ให้ดีไหม
(ใช้สติปัญญา)  ใช่ไหม สติปัญญาคือสิ่งที่เอามาใช้ในการมอง เหมือนที่อาจารย์บอกว่าการที่จะเราจะเข้าใจสรรพสิ่งได้ เราต้องเข้าใจถึงแก่นแท้ของมัน อย่าเอาแต่มองเปลือกนอก เพราะมองเปลือกนอกมันทำให้เราหลงง่าย แต่ถ้าเราเข้าใจถึงแก่นว่ามันมีแก่นเหมือนกัน มันมีหลักเหมือนกัน เพราะเข้าใจหลักแล้วจับจุดได้ เราจะไม่หลง เราจะไม่อยาก และอะไรที่เป็นแก่นหลักในการเข้าใจธรรม และมองชีวิตและทำให้เราไม่หลง
(ตัวตน)  ตัวตนอะไรล่ะที่เป็นแก่น ที่เราจะต้องหมั่นพิจารณา ถ้าศิษย์หมั่นพิจารณาเนืองๆ ศิษย์จะเกิดปัญญาเห็นธรรม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่ตอบคำถามได้ถูกออกมาหน้าชั้น) (ผมขอบคุณพระอาจารย์เมตตา ผมรู้จักพระอาจารย์จี้กงจากหนังที่เคยชอบดูตั้งแต่เด็กครับ ผมตื่นเต้นมากที่ได้พบพระอาจารย์ ผมมองลึกเข้าไปว่าพระอาจารย์มีความสุขมาก)  ศิษย์เอยทุกสิ่งทุกอย่างแม้เปลือกนอกต่างกัน แต่มีแก่นเดียวกันคือ ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หรือเรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเรียกว่า แก่ เจ็บ ตาย (เมื่อวานพระอาจารย์เปรียบเทียบหญิงสาว หญิงวัยกลางคน หญิงชรา ผมเข้าใจครับ) ฉะนั้นเมื่อศิษย์มองทุกสิ่งอย่าติดแต่เปลือก แต่มองให้ถึงแก่นว่า สรรพสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เดี๋ยวก็ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์และว่างเปล่า ทั้งเขาและเราก็ทุกข์ เราจะหาทุกข์ไปเพื่ออะไร ถึงที่สุดเขาก็ไม่มีเราก็ไม่มี จะโกรธไปเพื่ออะไร จะว่าไปเพื่ออะไร จะรักไปเพื่ออะไร เพราะถึงที่สุดก็ไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะรักจะเกลียดไปทำไม เขาก็ทุกข์เราก็ทุกข์ ฉะนั้นถ้าเราต้องพิจารณาทุกสิ่งจนบังเกิดธรรม พิจารณาอยู่เนืองๆ ไม่ว่าเจอสิ่งใดจะบังเกิดธรรม อาจารย์กำลังจะบอกว่า เราไม่มีหน้าที่ไปยุ่งกับใคร เราไม่มีหน้าที่ไปเปลี่ยนใจใคร เราอย่าไปร่วมกรรมกับเขา เขาด่ามาศิษย์มักด่ากลับ แถมเดินกลับไปบ้านเอาเรื่องที่ไม่ดีที่ฟังเขามา  แล้วไปเล่าให้แม่ฟังว่า “บ้านนั้นเขาทะเลาะกับบ้านนี้ดูไม่ได้เลย” เรียกว่าเอากรรมเขามาเกี่ยวด้วย เรื่องมันจบไปตั้งนานแล้วยังเอามาเก็บไว้ในใจเราอีก เรื่องของเราใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วเราจะเอากรรมมาเกี่ยวไว้ในใจทำไม ไปอ่านข่าวมาแล้วรู้สึกไม่ดี ก็เอาไปเล่าให้คนอื่นฟัง พอคนอื่นฟังก็ร่วมสังฆกรรมกับเรา อย่างนี้เรียกว่าเราลากกรรมไม่ดีของเขามาร่วมเกี่ยว แล้วแถมให้ทุกคนมาเกี่ยวกรรมด้วย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)  ไม่ได้ทำบาปแต่ชอบเกี่ยวบาป ไม่ได้ทำกรรมแต่ชอบร่วมกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่ดูอะไรบนอินเทอร์เน็ตนิดเดียว แล้วเผลอพิมพ์ด่าเขา พอมีคนมาเห็นด้วยกับเรา เขาก็ด่าซ้ำอีก แล้วเป็นอย่างไรร่วมกรรมกันไหม (ร่วม)  เมื่อเป็นเรื่องไม่ดีต้องเอาไปเผยแพร่ไปกระจาย อาจารย์ถามหน่อยว่า ใครในโลกไม่ทำผิด ถ้าหากวันหนึ่งศิษย์ทำผิด ความดีที่ศิษย์เคยทำมามีมากมาย แต่ความไม่ดีเพียงนิดเดียวถูกคนนำไปประจานจนศิษย์ไม่มีที่ยืน ศิษย์ว่าคนไหนบาป คนที่พยายามประจาน ใช่ไหม (ใช่)  นอกจากศิษย์กำลังทำให้เขาไม่มีที่ยืนแล้ว ศิษย์ยังทำให้คนๆ หนึ่งตายทั้งเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมองอะไรอาจารย์จึงบอกว่ามองให้ถึงแก่นแท้
ตอนนี้อาจารย์ให้ศิษย์เลือกรางวัล เอาอะไรดี อาจารย์ให้เลือกหนึ่งชิ้นที่จะทำให้แจกคนอื่นๆ ได้หลายๆ คนด้วย
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่ตอบคำถามได้ถูก เลือกของรางวัลจากบนโต๊ะพระ)
อาจารย์ว่าศิษย์รู้แก่นแต่ถ้าขาดสติปัญญาก็ไม่ดีนะ อาจารย์ขอให้ศิษย์มีสติด้วย  เมื่อสักครู่ที่ศิษย์ตอบว่า “สติ” ให้ออกมาช่วยกันคิดหน่อยว่า เขาจะเลือกอะไร ที่เป็นชิ้นเดียวแล้วสามารถแบ่งแจกคนในห้องนี้ได้ทั้งห้อง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่ตอบคำถามว่า “สติ” และผู้ปฏิบัติงานธรรมที่มีนามสกุลว่า “มีปัญญา” ออกมาช่วยกันลือกรางวัล) เวลาเราเข้าใจธรรมอย่าลืม “สติปัญญา” ถามเขาด้วยว่า สิ่งที่ศิษย์จะเลือกจากบนโต๊ะพระนั้นดีไหมบางทีการรู้อะไรซื่อๆ ตรงๆ ก็ดีนะ แต่ถ้าขาดสติปัญญาก็ดูจะซื่อจนเกินไป
(นักเรียนเลือกลูกอม)
เพราะจะได้แจกได้ทุกคนใช่ไหม ดีใจไหม (นักเรียนในชั้นตอบว่าดีใจ)  ฉะนั้น แค่หนึ่งความตั้งใจอันดีงาม ความตั้งใจหรือหนึ่งความเข้าใจแห่งธรรมย่อมสามารถสะท้อนสะเทือนผู้คนหลากหลายที่อยู่ร่วมกันได้ แค่ศิษย์หนึ่งคนในห้องนี้เข้าใจธรรม มีสันติในการอยู่ดำรงชีวิต และมีสันติสุขในการเข้าถึงธรรม ย่อมสะท้อนสะเทือนให้คนที่อยู่รอบข้างเป็นสุขด้วย จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นอาจารย์ให้ลูกอม แล้วจะให้สติกับปัญญาได้ด้วยไหม (ได้ทุกคน ผมไม่ต้องเอาไม่เป็นไรครับ)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนท่านนั้นและตัวแทนของสติปัญญานำลูกอมไปแจกท่านอื่นๆ ในชั้น)
ศิษย์เอยอยากได้บุญต่อไหม (อยาก)  เวลาเขาแจกมาทำอย่างไร (ขอบคุณ)  ไม่ใช่แค่ขอบคุณแต่บอกว่า (อนุโมทนา)  
ถ้าสมมติว่าเราเจออะไรผ่านเข้ามาในชีวิต เราเห็นความจริงตลอดว่าเดี๋ยวก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวก็มีทุกข์ เดี๋ยวก็ว่างเปล่า ถ้าพิจารณาแบบนี้ตลอด เราจะโลภจะโกรธหรือไม่ เราต้องพิจารณาให้ถึงนะศิษย์ อย่ามองเห็นแค่เปลือก เพราะมนุษย์ชอบมองคนผ่านใจ ไม่ได้มองตามความจริง พอมองผ่านใจ ใจเราจะมีสัญญาความจำ นิสัย ความชอบชังที่ไม่เหมือนกัน ศิษย์มักจะอ้างกับอาจารย์ว่าศิษย์หวังดี อยากให้เขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เรียกให้เขาเปลี่ยนเขาจะเปลี่ยนไหม ทุกคนก็มีแบบอย่างของตนเอง
ถ้าอาจารย์มีแอปเปิลอยู่หนึ่งลูก บอกว่าถ้ากินแล้วต้องตายศิษย์จะกินไหม (ไม่กิน)  กินแล้วจะทำให้เจ็บปวดเจียนตายจะกินไหม (ไม่กิน) (นักเรียนสัญญากับพระอาจารย์ว่า จะเลิกกินเหล้า) ถ้าเลิกกินเหล้าได้แอปเปิลลูกนี้ ถ้าทานแล้วจะทำให้อายุยืนขึ้น ถ้าเลิกไม่ได้จะทำให้อายุสั้นลง (นักเรียนสัญญาว่าจะเลิก)  ค่อยๆ ทำให้ได้นะเพื่อตัวเอง ตอนแรกศิษย์กินเหล้าแต่ตอนนี้เหล้ามันกินศิษย์ไปค่อนตัวแล้วนะ รักตัวเองหน่อยนะ ตั้งใจแล้ว ไม่ใช่ต่อหน้าอาจารย์แค่องค์เดียว แต่ต้องต่อหน้าทุกๆ คน ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆ พระองค์ด้วยนะ
ถ้าศิษย์อยากได้เรื่องสวัสดีมงคล ทำไมศิษย์ไม่ทำเรื่องดี ถ้าอยากได้ชีวิตที่มีแต่ความสุข ทำไมศิษย์ไม่มอบความสุขให้กับผู้อื่น แต่มนุษย์มีชีวิตอยู่กันแบบเบียดเบียนผู้อื่น ทำร้ายผู้อื่นเพื่อตัวเองจะได้โดดเด่น อยู่เพื่อการฆ่าเพื่อนำมากินเป็นอาหาร อยากมีชีวิตที่สุขภาพดี อยากอายุยืนต้องไม่ฆ่าสัตว์ การเบียดเบียนชีวิตคนอื่นทำให้เราสุขภาพไม่ดี อายุสั้น ถ้าศิษย์อยากไปอยู่ที่ไหนใครก็รักใครก็เชื่อฟัง ก็ดูว่ามีน้ำใจกับเขาไหม รู้จักเคารพให้เกียรติเขาไหม ถ้าศิษย์ไม่เคารพให้เกียรติไม่มีน้ำใจ ใครจะรักใครจะเชื่อฟัง ฉะนั้นเรียกร้องสิ่งที่เป็นมงคล ทำไมไม่รู้จักเรียกร้องตนเอง ทำตัวเองให้มีมงคล ฉะนั้นถึงแม้อาจารย์จะเอามงคลมาตรงหน้า แต่ถ้าศิษย์มีจิตคิดร้าย ปากศิษย์พูดไม่ดี ทำตัวไม่ดี มงคลจะมาสู่ตัวเราได้ไหม (ไม่ได้)
ศิษย์เอย วันนี้อาจารย์จะมาบอกวิธีหาความสุขง่ายๆ เอาไหม เอาความสุขแบบอาจารย์ไหม (เอา)  ถ้าสุขแบบนี้นะ ศิษย์ไปอยู่ที่ไหน เจออะไรก็คือกำไรชีวิตทั้งนั้นเลย เมื่อวานอาจารย์บอกวิธีเผชิญกับทุกข์ให้กับศิษย์ทุกคนแล้วใช่ไหม แล้วทำอย่างไรให้มีสุข
ถ้าศิษย์อยากมีสุขและเป็นคนที่มีสุขง่ายๆ เราควรจะกำหนดความสุขของเราให้สูงหรือว่าต่ำเตี้ยติดดิน มีบางคนยังไม่เข้าใจเพราะว่าตอนแรกอาจารย์บอกว่า เวลาทำอะไรเราต้องก้าวไปให้ไกลและไปให้ถึงที่สุด อันนี้คือความมุ่งมั่นในการเกิดเป็นคน แต่ความสุขในการที่จะอยู่บนโลกใบนี้ให้ได้ง่ายที่สุด มันควรจะสูง หรือควรจะต่ำ (ต่ำ)  น่าจะต่ำนะ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะถ้าความสุขมันต่ำและเป็นพื้นฐานง่ายๆ เลย ฉะนั้นเวลาเราเจออะไรเพิ่มเติม ก็เป็น กำไรชีวิต ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเกิดอาจารย์บอกว่าความสุขของอาจารย์คือการได้หายใจ ง่ายไหม (ง่าย)  ฉะนั้นอะไรที่ทำให้อาจารย์ยังมีลมหายใจ อาจารย์ก็ยังมี (ความสุข)  อย่างนั้นถ้าวันหนึ่งอาจารย์หมดลมหายใจอาจารย์มีสุขไหม (ไม่มี, มี)  หมดสุขเลยไหม (ไม่) เพราะเราพอใจในสิ่งที่ง่ายที่สุด ถ้าศิษย์บอกว่า ศิษย์จะมีความสุขได้อย่างไร ยังไม่มีอะไรเลย แล้วที่ศิษย์มีอยู่นี้ยังเรียกว่าไม่มีอีกหรือ ถูกไหม
อาจารย์ถามหน่อยนะศิษย์ ถ้าศิษย์บอกว่า ความสุขของศิษย์คือต้องมีรถ มีบ้าน มีสามี มีภรรยา มีตำแหน่ง มีเงินเดือนสูง ศิษย์เหนื่อยไหมกว่าจะไปถึงความสุข (เหนื่อย)  แล้วกว่าศิษย์จะได้สุข ศิษย์ทุกข์ไปเท่าไหร่ ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่า ความสุขของศิษย์คืออย่างนี้ มีแค่นี้ มีเท่านี้ มีแบบนี้ สุขแล้ว ฉะนั้นจะน้อยไปกว่านี้ หรือจะหายไปกว่านี้ ก็สุขแล้ว ยอมรับความจริง จะมีอะไรทุกข์ จริงไหม (จริง)  มีใครบ้างที่ได้แล้วไม่เสีย มีแล้วไม่ไร้ รักแล้วไม่อกหัก สมหวังแล้วไม่ผิดหวัง ฉะนั้นความสุขคือการยอมรับความจริงในสิ่งที่แค่นี้เท่านี้จะน้อยไปกว่านี้ก็สุข ยากไหม (ไม่ยาก)  อาจารย์ว่าการตั้งความสุขไว้สูงๆ มันยากกว่าจริงไหม (จริง) 
สิ่งที่อาจารย์อยากประทานพรให้ศิษย์มากที่สุดคือ หัวใจที่เข้มแข็งยอมรับความจริง ดีกว่าใดๆ ในโลก หัวใจที่เข้มแข็ง ยืนด้วยตัวเองได้ ยอมรับความจริงได้ อะไรจะเกิดก็จะเข้มแข็ง ก็จะสู้ ก็จะมองให้เห็นธรรม เอาทุกข์เป็นบันไดให้เราหลุดพ้นสิ อย่าเอาทุกข์มาทำให้เราเจ็บ อย่าเอาทุกข์มาทำร้ายชีวิต อย่าเอาทุกข์มาผลาญชีวิตอย่างเจ็บปวด มันไม่คุ้ม เกิดเป็นคนทั้งทีต้องเอาทุกข์มาทำให้เราพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
มนุษย์ประเสริฐตรงไหน ประเสริฐตรงมีสติ มีปัญญา และมีคุณอันมหาศาลที่สามารถสร้างคุณที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่เราไม่ทำ ศิษย์เอยแม้เทวดายังอดอิจฉามนุษย์ไม่ได้ เพราะมนุษย์มีโอกาสสร้างสิ่งที่ดีงามที่ยิ่งใหญ่กว่าการเป็นเทวดาอีก แต่มนุษย์ไม่ทำ อ้างแต่เพียงกลัวไม่มีกิน อาจารย์ถามหน่อยนะ มีเงินแต่ไร้ปัญญา วันหนึ่งมันก็หมด ถ้าไร้เงินแต่มีปัญญา วันหนึ่งมันต้องมี และยิ่งเป็นปัญญาที่ไม่ยอมแพ้ ศิษย์รู้ไหมว่าชะตาไม่ใช่ฟ้ากำหนด แต่ตัวเรากำหนด เหมือนที่อาจารย์บอกว่า อนาคตข้างหน้าใครเป็นคนปรุงแต่งให้มันเป็นไป ตัวนี้นี่แหละที่คิดที่ทำ ถ้าตั้งอยู่ในครรลองคลองธรรม ข้างหน้าก็คือความดีงามบริสุทธิ์ แต่ถ้าตั้งอยู่บนกิเลสความเห็นแก่ตัว ความไม่ชอบธรรมข้างหน้าก็คือผลกรรมที่ศิษย์ต้องยอมชดใช้ และยอมรับอย่างหนีไม่ได้ ฉะนั้นฟ้ากลัวคนไม่ยอมแพ้ คนที่สู้ไม่ถอย ฟ้าเปลี่ยนชะตาของเขาไม่ได้ ลองดูสิแม้ฟ้าจะทำให้เขาเจ็บปวด แต่เขาจะดีให้จงได้ แม้ฟ้าจะทำให้เขาทุกข์ทนแต่เขาก็จะมีสุขจนได้ อาจารย์ถามหน่อย คนแบบนี้ฟ้าทำอะไรเขาได้ไหม (ไม่ได้)  แม้แต่คนก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ ฉะนั้นมนุษย์มีจิตประเสริฐ มีจิตที่ดี มีจิตแห่งความเป็นพุทธะ แต่มนุษย์ชอบดูถูกคุณค่าตัวเอง แล้วก็ชอบเดินทางผิด อาจารย์ถามหน่อยนะว่าตอนนี้กรรมยังดีอยู่ บุญยังหนุนส่งให้ศิษย์รอดพ้น แต่ถ้ากรรมชั่วที่ตามติดไปแล้วทำให้เกิดมาภพหน้าภพใหม่ แล้วศิษย์ต้องลำบากอัปยศอดสู เกิดเพราะใครนั่นเป็นเพราะศิษย์ไม่ดีเหรอ ไม่ใช่ แต่มันคือสิ่งที่ศิษย์ทำเองทั้งนั้น ฟ้าไม่ใช่ไม่ยุติธรรม อาจารย์ไม่ใช่ไม่อยากช่วย อาจารย์อยากช่วยแต่อาจารย์อยากบอกว่า กรรมมีให้ชดใช้ และมันเป็นกรรมแค่เพียงสังขาร ไม่ใช่กรรมในจิตใจ ถ้าใช้แล้วมันจบ เราจะได้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก แต่ศิษย์ใส่ความเป็นตัวตน ฝังความเป็นตัวตน จะแค้นจะโกรธไปทำไม จะเกลียดจะผูกเวรผูกกรรมจะเบียดเบียนคนอื่นไปทำไม
อาจารย์เป็นอาจารย์ศิษย์ มีที่ไหนที่อยากให้ศิษย์ไม่ได้ดี มีที่ไหนที่อยากให้ศิษย์พึ่งแต่อาจารย์ไม่รู้จักพึ่งตนเอง อาจารย์ต้องมีศิษย์ที่ประเสริฐกว่าอาจารย์ ไม่ใช่ศิษย์ที่แย่กว่าอาจารย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอาจารย์ให้ศิษย์ดีแต่ศิษย์ไม่เดินศิษย์ไม่ทำ ผิดที่อาจารย์ใช่ไหม (ไม่ใช่)  มันสะท้อนว่าอาจารย์ยังดีไม่พอ เพราะถ้าอาจารย์ดีพอ ศิษย์คงพยายามมุ่งมั่นทำความดีให้ถึงที่สุด ลองดูนะชีวิตหนึ่งก้าวก็ต้องก้าวให้ไกล ไปก็ต้องไปให้ถึง ถึงก็ต้องถึงแล้วดี ไม่ต้องทุกข์อีก ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก บางทีก็พูดไม่ออกนะศิษย์ พูดมากก็กลัวศิษย์รำคาญ ฉะนั้นเมื่อไรที่ท้อ เมื่อไรที่ทุกข์กลับมานะ อาจารย์จะปลอบใจ แต่จงจำไว้ว่า ทุกอย่างมีความถูกต้อง แม้ชะตากรรมจะพลิกผันอย่างไร แย่ขนาดไหน ก็ถือว่าดีแล้วได้ชดใช้ อย่ายึดมั่นถือมั่นในสังขารอันนี้เลย มันไม่เที่ยง ถึงเวลาก็พึ่งอะไรไม่ได้ สิ่งที่เราต้องเอากลับไปคือจิตอันบริสุทธิ์ ที่มีอยู่ในใจของศิษย์ทุกคนใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ก็เชื่อเช่นนั้น และอาจารย์ก็มั่นใจตลอดมาว่าหัวใจที่ดีงามยังอยู่ในใจศิษย์ แต่บางครั้งแค่หลงไป กลับมาเถอะนะ แล้วมุ่งมั่นตั้งใจใหม่ ยังไม่สายถ้ายังมีลมหายใจ แต่ถ้าเมื่อไรหมดลมหายใจแล้ว ตอนนั้นมันสายแล้วศิษย์ มันแก้อะไรไม่ได้แล้ว
ทำให้ได้นะศิษย์ ดีใจที่ศิษย์กลับมาจนจบนะ  กลับไปแล้วต้องกลับมาอีกนะ  จับมืออาจารย์ไหม  อย่าใกล้เกลือกินด่างนะศิษย์เอย  วันนี้อาจารย์ปลอบขวัญให้กำลังใจให้ปัญญาศิษย์  ต่อไปไม่ว่าเจออะไรรู้จักอดทนอดกลั้น  หยัดยืนในความถูกต้องและดีงาม  ลุกแล้วทำให้ได้นะ 
มาแค่วันเดียวเสียดายนะ เข้าใจบ้างหรือยัง ดูที่ความมุ่งมั่นตั้งใจ รักษาสุขภาพให้ดีมีโอกาสจะได้เอาแรงเอากำลังนั้นไปโปรดช่วยคนให้เต็มที่ มุ่งมั่นด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ตั้งใจด้วยหัวใจที่ไม่ท้อ ศิษย์ทำได้อาจารย์เชื่อมั่น  ศิษย์เข้มแข็งอาจารย์ดีใจ ถ้าศิษย์อ่อนแออาจารย์ต้องตีให้หนักๆ มุ่งมั่นบำเพ็ญมีจิตปณิธานให้สูงส่งและหัวใจที่เข้มแข็ง ตั้งใจแล้วไปให้ถึงที่สุด  อาจารย์ขอให้ศิษย์สุขภาพแข็งแรง จับมืออาจารย์แล้วแปลว่ามุ่งมั่นไม่ท้อ  ตั้งใจไม่ถอยนะ ลองตั้งใจศึกษาปฏิบัติดูนะ หัวใจที่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง  จิตใจที่มุ่งมั่นจงมีอยู่ในตัวศิษย์ทุกคน ตั้งใจนะ
คงไม่ใช่เป็นการลาแล้วลาเลยนะศิษย์นะ กลับมาเข้มแข็งนะ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ ตั้งมั่นมุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีอย่าท้อนะ เข้าใจไหม ทำให้ได้นะศิษย์เอย จับมือเพื่อเป็นคำสัญญาว่าจะกลับมาเจอกันอีก จับมือเพื่อเป็นคำสัญญาว่าศิษย์จะมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ไม่ว่าเจออะไรก็ไม่ท้อไม่ถอย ได้ไหม ตั้งใจทำให้ได้นะศิษย์เอย ดูแลตัวเอง รู้จักควบคุมอารมณ์ อย่าปล่อยให้อารมณ์ฟุ้ง มาทำให้ตัวเองต้องทำในสิ่งที่ไม่ควรนะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ยอมทุกข์เพื่อสุข”)
คำสุดท้ายที่อาจารย์อยากทิ้งไว้ให้ศิษย์ย้ำเตือนใจ “ยอมทุกข์เพื่อสุข” อย่างที่อาจารย์บอก ทุกข์ไม่น่ากลัวแต่ทุกข์คือความเป็นจริงที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตและมองเห็นชีวิตอย่างถ่องแท้ว่าไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ฉะนั้นอะไรล่ะที่เราควรยึดมั่นและเป็นหลักชัย นั่นคือความถูกต้องอันดีงามและเห็นด้วยปัญญา สติปัญญาในการเข้าถึงธรรมอันแท้จริง ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงในโลกนี้หรอกนะศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงที่สุดศิษย์ก็ต้องกลับไปสู่ความว่าง เราจะยึดเพื่ออะไร โกรธเพื่ออะไร มีเพื่ออะไร มีเพื่อให้ทุกข์และเจ็บปวดหรือ หรือมีเพื่อเข้าใจและปลดปลงปล่อยวาง คิดให้ดีๆ นะศิษย์
อาจารย์อยากให้กำลังใจนะ กำลังใจอันดีงามและหัวใจที่เข้มแข็งเพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้องนะศิษย์นะ คิดให้ดี ไตร่ตรองให้ดีเวลาทำอะไร ทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ศิษย์รู้ว่าอะไรดีไม่ดี ใช่ไหม แต่อยู่ที่ว่าจะเสียสละหรือเปล่า แค่นั้นเอง ตั้งใจบำเพ็ญนะ เจออะไรยากลำบากอย่าท้อ สำคัญคือเรายอมลดวางอัตตาตัวตนได้หรือไม่
อายุมากแล้วสิ่งที่สำคัญคือ ความใจเย็นสุขุม “ปัญญา” ถ้าเข้าถึงได้คำนี้เป็นคำที่ทำให้เราพ้นทุกข์และเห็นธรรม ฉะนั้นเข้าให้ถึงนะศิษย์  หนทางแห่งชีวิตมีสองทางเสมอ เราเลือกได้ใช่ว่าเราไม่มีสิทธิ์เลือก แต่ต้องตั้งสติให้ดีว่าเราจะเลือกตามความจริงหรือเลือกตามใจ ตั้งใจบำเพ็ญ  รู้จักคิดรู้จักไตร่ตรองให้ดีก่อนจะทำอะไร ทำอะไรขอให้มีสติยั้งคิด สตินั้นคือการรู้จักมองตามความเป็นจริง  ยอมรับความจริง ชีวิตไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นขอให้กล้ายอมรับและเลือกทางที่ถูกต้อง  เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง  คนทุกคนอาจารย์ล้วนเป็นห่วง แต่ขอให้ศิษย์คิดไตร่ตรองให้ดี อุปสรรคปัญหาและสิ่งที่เจอคือการได้ชดใช้ ขอเพียงมีจิตที่ถูกต้องดีงาม อะไรจะเกิดมันก็ดี แต่จิตคิดไม่ดี  สิ่งที่เกิดจากดีมันก็จะกลายเป็นร้าย รู้จักควบคุมจิตตนเองให้ได้ อย่ามัวแต่สนใจภายนอกจนลืมดูแลใจตนเอง
อาจารย์กลับแล้วนะศิษย์ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ดูแลตนเองให้ดี ของขวัญที่ประเสริฐที่สุดที่อาจารย์อยากให้คือ หัวใจที่เข้มแข็ง กล้ายอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยปัญญาที่มองออกนะ เข้าใจใช่ไหม


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท "ยอมทุกข์เพื่อสุข"

  เริ่มหรือจบมีใครบ้างรู้จริงแท้ ชีวิตย่อมผันแปรตามเหตุนำหนุน
อยู่เพื่อยึดหรือปลงปลงจนวายวุ่น วัฏจักรหมุนหรือหยุดลงตรงที่ตน
กิเลสใดไม่ครอบงำสักขณะ ก่อนก็รู้เกิดก็ละได้ทุกหน
สติคุมปัญญาครองธรรมนำตน พินิจพ้นรูปนามแจ้งในสัจธรรม

สุขไหนจีรัง ทุกข์ยังไม่ทน
แค่รู้ทันตน พ้นทุกข์วางวาย 




พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาท สถานธรรมจื้อเจวี๋ย อ.สิงหนคร จ.สงขลา วันที่ ๓-๕ ธันวาคม ๒๕๕๙
หน้า ๔๒ กลอน
เดิม ไม่ให้ข้ามไม่ปรุงแต่งไม่ตามไป มาก็เฉยมีก็รู้ตามดูใจ
แก้ไขเป็น ไม่ให้ค่าไม่ปรุงแต่งไม่ตามไป มาก็เฉยมีก็รู้ตามดูใจ

 หน้า ๔๗ ย่อหน้าแรก
เดิม ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ที่ดีที่สุดคือ รักษาความถูกต้องดีงาม เพื่อปกป้องเวรกรรม รักษาความถูกต้องดีงาม เพื่อปกป้องเวรกรรม
แก้ไขเป็น ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ที่ดีที่สุดคือ รักษาความถูกต้องดีงาม เพื่อชำระหนี้เวรกรรม รักษาความถูกต้องดีงาม เพื่อชำระหนี้เวรกรรม

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา