PDF 2543-10-21-อิ๋งเซียน #17.pdf
วันเสาร์ที่ ๒๑ ตุลาคม พุทธศักราช.๒๕๔๓ สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กรุงเทพฯ
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ละอัตตาลงได้น่าชื่นชม เมื่อกินขมสุดท้ายก็จะหวาน
เกิดเป็นคนทนต่อเรื่องนานาประการ เมื่อพ้นผ่านด้วยความดีย่อมโล่งใจ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
ในโลกามีสิ่งใดไหมจีรัง กลับคืนฝั่งย้อนมองตนให้ถ้วนถี่
ทะเลทุกข์จะมีใครไหมปรีดี ใช้ความดีชนะร้ายสู่ทางธรรม
ในบัดนี้น้องคนใหม่มาประชุม ฟังธรรมนั้นต้องสุขุมจิตตรงยิ่ง
เรื่องทางบ้านวางไว้ก่อนอย่าประวิง จิตนิ่งนิ่งศึกษาธรรมให้เข้าใจ
ความเป็นมาก่อนเกิดกายมนุษย์ คือวิสุทธิ์จิตเดิมแท้สะอาดใส
เกิดมาแล้วลุ่มหลงอย่างเต็มใจ หลงสบายอบายมุขน่าภิรมย์
เมื่อจะคิดบำเพ็ญธรรมต้องระวาง อย่าได้สร้างบาปกรรมไม่สิ้นสุด
กลางน้ำเหม็นฟองอาจมเฝ้าลอยผุด ขอให้หยุดจิตอันร้ายพาทุกข์ทน
เทน้ำใหม่แทนน้ำเก่าน้องทำได้ ต้องตั้งใจสู่ทางธรรมสร้างมรรคผล
ความดีงามคุณธรรมกลางใจตน เบาดิ้นรนเพื่อปัจจัยสี่เบาเวียนหลง
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขอจงทุ่มเทจิตใจฟังธรรมหนา
ชีวิตคนมีเท่ากันซึ่งเวลา สร้างคุณค่าอย่างพยายามและปลงได้
ฟังธรรมะหลายครั้งเพื่อปฏิบัติเป็น แม้จะเป็นเพียงหนเดียวก็ยังดี
จงชอบฟังมากกว่าพูดเป็นผลดี ศึกษามีความตั้งใจย่อมรู้จริง
จงรักษาระเบียบวินัยแห่งพุทธะ อย่าลดละผัดผ่อนให้ตนได้ใจ
ผัดวันประกันพรุ่งสำเร็จอย่างไร เมื่อเข้าใจอย่าปล่อยโอกาสให้หลุดลอย
ในชาตินี้ขอเป็นชาติสุดท้าย คนทำได้จะมีสักกี่คนหนา
อวิชชาบังตาหลงนานมา น้องจงกล้าฝ่าฟันด้วยใจจริง
สองวันนี้จงอยู่ศึกษาครบ จงประสบความเจริญและก้าวหน้า
ปลูกอะไรได้อย่างนั้นใช่ไหมนา อย่ามัวล้าทางยาวยิ่งต้องเร่งเดิน
ขจัดจิตความสงสัยให้หมดสิ้น ดั่งวารินไหลผ่านใจตนนั่น
จะหลับตาลืมตาหนาเท่าทัน ปวงอนันต์แห่งกิเลสที่กล้ำกราย
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ศิษย์พี่ได้รับบัญชามาคุมชั้น
จะดูแลน้องไปทั้งสองวัน ขอให้หมั่นตั้งใจฟังอย่าหลับนอน
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๒๑ ตุลาคม พุทธศักราช.๒๕๔๓ สถานธรรมอิ๋งเซียน ดอนเมือง กรุงเทพฯ
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
ไม่กล้าตัดสินใจพาลเสียโอกาส คนเด็ดขาดมีรอบคอบย่อมมีหวัง
ต้องรุกไวถอยไวด้วยระวัง คุณธรรมตั้งควบคู่การตัดสินใจ
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน แฝงกายกตัญชุลี
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
อย่าบำเพ็ญแบบตามตามกันไป ต่างคนต่างเข้าใจต่างมุ่งศึกษา
ต่างคนต่างมีจุดยืนปฏิปทา ไร้อัตตาร่วมมือกันอนาคตไกล
พื้นเพจิตใจคนล้วนแต่ดี สามัคคีคือขุมพลังสู่จุดหมาย
ปัญญาใหญ่ยิ่งอันผู้มีไว้ หากรู้จักใช้ถูกประหยัดแรง
แจ้งไม่เกิดอย่าหวังจิตสว่าง แสวงทางประโยชน์ย่อมเหี้ยมขันแข่ง
ใช้จิตละเอียดประเสริฐเข้าเปลี่ยนแปลง ดั่งดรีงามแสนแกร่งฝ่าเวทนา
พิศวงเชิดหุ่นเป็นกลับถูกบงการ ด้วยปัญหาสารพันยึดติดนักหนา
มนุษย์โลกฉันทาเคราะห์ดีนานมา ปรารถนาสร้างทางวิบากกรรมล้อมราย
วันเวลาผาสุกต้องสร้างมา จิตพรากความพยายามหนาพบไฉน
มีสติวางเฉยไม่สนใจ ยามโมหันธ์อุเบกขาไปใช้ได้การ
รักผูกพันมอบใจระดมกลอง ชังเมื่อไหร่ไม่ข้องเพราะรังเกียจเดียดฉันท์
ทำลายกันให้ขวัญเสียทำไมกัน เมตตาแทนรักหลงพลันมลทินวาย
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอเมตตา
ใครมาเพราะอยากเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยกมือขึ้น ใครมาเพราะตั้งใจอยากจะมาศึกษาธรรม เพราะอยากรู้ว่าสิ่งที่รับไปนั้นคืออะไรกันแน่ ยกมือขึ้น ที่ยกทั้งตอนแรกและตอนหลังนี้ มีจิตใจโลเลหรือเปล่า (ไม่โลเล) คนไม่โลเลต้องมีจิตหนึ่งใจเดียว ไม่ใช่สองอย่างสองใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่างนี้ท่านใจเดียวหรือว่าสองใจกันแน่ ไหนใครอยากดูสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยกมือใหม่อีกทีหนึ่ง แล้วใครที่อยากมาเพื่อจะมาไขความข้องใจในสิ่งที่ตัวเองได้รับไปบ้าง มีคนตอบให้เราฟังว่าทุกคนมาตั้งใจหมด อยู่ที่จะฟังหรือไม่เท่านั้น ใช่ไหม (ใช่) มนุษย์มักจะมีเหตุผลเข้าข้างตัวเองอยู่เสมอ อย่างน้อยตัวเองต้องถูกไว้ก่อน ใครผิดช่างเขา อย่างน้อยฉันต้องดีไว้ก่อน คนอื่นจะเสียหายอย่างไรก็ช่างเขา อย่างนี้ก็ไม่ค่อยถูกใช่ไหม เราอยู่ร่วมกันในคนหมู่มาก ต่างคนต่างก็อยากเอาตัวรอด ต่างคนต่างก็อยากให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ แล้วอยู่ได้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ดีมากก็ดีน้อย ไม่ดีบ้างก็ชั่วน้อยหน่อยก็ยังดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้ มนุษย์เรานั้นไม่พ้นในเรื่องการทำดีและการทำชั่วใช่ไหม (ใช่) เพราะว่าเรื่องดีเรื่องชั่วนั้นอยู่คู่กับมนุษย์มาทุกผู้ทุกคน แต่อยู่ที่ว่าขณะที่ทำนั้นนึกดีหรือนึกชั่วมากกว่า หรือขณะที่ทำนั้น นึกถึงตัวเองมากกว่าหรือนึกถึงผู้อื่นมากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) จุดนี้จึงเป็นจุดต่างที่พอผลสรุปออกมาแล้ว คนนี้ดีหรือชั่ว คนนี้น่ายกนิ้วให้ หรือน่าผลักไสให้ไปไกลๆ แล้วเราอยากได้ผลตัดสินแบบใด (อยากดี) แล้วอยากจะให้เขาเรียกมาหา หรือขับไล่ไปไกลๆ (เรียกมาหา) ฉะนั้นใคร ๆ ก็อยากได้ผลสรุปเช่นนี้ แสดงว่ามนุษย์เราทุกคนนั้นมีชีวิตอยู่ สิ่งที่ลืมมิได้เลยคือการต้องนึกถึงความดี แต่เมื่อนึกถึงความดีแล้วเราก็ต้องไม่ลืมอีกเรื่องหนึ่ง คือ "คุณธรรม" เพราะคนที่ทำดีได้นั้น คือ คนที่มีคุณธรรม แต่คุณธรรมในข้ออะไร คุณธรรมในเรื่องอะไร ขึ้นอยู่กับว่า ตอนนั้นเขาดำรงสถานะอะไร ถ้าเป็นบุตร-คุณธรรมเรื่องกตัญญูต้องมีไว้ ถ้าเป็นพี่เป็นน้อง-คุณธรรมเรื่องรักใคร่ปรองดองต้องมีไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเป็นสามีภรรยา-คุณธรรมที่จะทำให้เรียกว่า นี่คือสามีที่ดี นี่คือภรรยาที่ดี เราจะต้องมีความซื่อสัตย์และจริงใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดว่าเราอยู่กับหมู่เพื่อนล่ะ คุณธรรมที่ต้องมีไว้แล้วเขาจะเรียกว่า นี่คือมิตรแท้ นี่คือมิตรปลอม ต้องมีอะไร
บางทีเวลาไม่รอเรา ตอนนี้มีโอกาสได้พูดแล้ว ท่านยังไม่รีบพูด ตอนนี้มีโอกาสให้ทำแล้ว เราไม่รีบทำ คุณธรรมที่จะทำให้เราเป็นคนดีได้ครั้งหนึ่ง ก็หายวับไปกับตา จริงไหม ฉะนั้นจึงต้องรู้จักกุมโอกาสและควบคุมตัวเองไว้ให้ดี แล้วทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราก็จะสามารถจับใช้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และเป็นคนดีได้ จริงหรือไม่ (จริง) อยู่กับเพื่อนบางครั้งเราจริงใจก็จริง แต่จริงใจบางครั้งก็ยังไม่สามารถกุมใจเขาได้ แล้วเขาไม่สามารถเรียกเราว่าเพื่อนรักได้ นอกจากว่าถึงคราวแล้วเราเสียสละได้ ต้องเสียสละชนิดที่สะเทือนใจเขาด้วย แล้วเราจะสามารถกุมใจเขาได้ทั้งใจเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่บางครั้งความจริงใจก็มีส่วนด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นจะทำดีทั้งทีจึงต้องพยายามคิดให้รอบคอบ ทำให้รัดกุม แล้วสิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราทำ จะส่งผลให้เรายิ่งดีขึ้นๆ และสวยงามขึ้นในใจเขา ในสายตาเขา สวยกว่าภายนอก หล่อกว่ารูปลักษณ์อีกใช่หรือเปล่า (ใช่) นี่แหละเรียกว่าวิธีเอาชนะใจคน ซึ่งทุกท่านก็ทำ แต่เสียอยู่อย่างเดียวคืออะไร เรารู้ว่าการเป็นคนดีในสังคมเป็นสิ่งที่ดี การเป็นคนดีในหมู่เพื่อน หมู่พี่น้อง หมู่ครอบครัวเป็นสิ่งที่ดี แต่หลายๆ คนมักพูดว่า เรื่องอะไรเราต้องทำดีก่อน เรื่องอะไรฉันต้องจริงใจก่อน เรื่องอะไรผมต้องเสียสละก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอนนี้อย่าเพิ่งสงสัยเรานะ ถ้ามัวสงสัยจะฟังเราไม่รู้เรื่อง เพราะตั้งแต่เรามา เราก็ไม่ได้บอกว่าต้องเชื่อเราทันทีนะ เชื่ออย่างเดียว อย่างนี้งมงายไหม (งมงาย) แต่พอเรามาถึง เราก็คุยเรื่องง่ายๆ กันก่อน จะได้ทำให้ท่านเข้าใจ แล้วจะทำให้ท่านได้ค่อยๆ พิจารณาว่า สิ่งที่มานี้ สิ่งที่ท่านเห็นนี้ น่าเชื่อหรือไม่น่าเชื่อ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะแค่มองตา เราก็รู้ใจทุกๆ คนแล้วว่ากำลังเชื่อหรือไม่เชื่อ กำลังสงสัยหรือว่าหวาดระแวงแคลงใจกันแน่ ถ้าไม่เชื่อใครมีกระจกอยู่กับตัว ลองมองตัวเองตอนนี้ดูก็ได้ ว่าหน้าตัวเองตอนนี้เหมือนดั่งใจที่ตัวเองคิดไหม ฉะนั้นอยู่กับเราไม่ต้องกลัว อยู่กับเราไม่ต้องกังวล อยู่กับเราอย่าเพิ่งเครียด เพราะเรามาพูดกันในเรื่องที่ง่ายๆ ศึกษากันในเรื่องที่ท่านรู้อยู่แล้ว และให้เข้าใจยิ่งขึ้น ให้ท่านออกไปแล้วมองเห็นเด่นชัดยิ่งขึ้น บ่อยครั้งที่เราอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก หรือคนในครอบครัวกันเอง เห็นกันอยู่ทุกวันเหมือนไม่เข้าใจกัน เห็นกันอยู่ทุกวันแต่ทำไมถึงทะเลาะกันได้ ทะเลาะแล้วก็ทะเลาะอีก เห็นกันอยู่ทุกวัน รู้ว่าเขารักแต่บางครั้งก็ทำใจให้รักเขาไม่ได้ เพราะอะไร ปัญหาอยู่ที่ไหน หลายต่อหลายคนบอกว่าโลกวุ่นวาย คนก็เดือดร้อน โลกเลวร้ายก็ย่ำแย่ เศรษฐกิจทรุด จิตใจคนก็ห่อเหี่ยว ใช่ไหม (ใช่) ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น แท้ที่จริงแล้วมีมูลมาจากสิ่งใด หลายคนโทษคนนั้นโทษคนนี้ แต่วันนี้เราขอบอกว่าไม่ใช่ใครที่ไหนเลย ศัตรูตัวร้ายกาจที่สุด นั่นคือ จิตใจของมนุษย์เอง เหตุที่ทำให้โลกปั่นป่วนวุ่นวาย สังคมน่าหวาดกลัวยิ่งนักก็เกิดมาจากใจมนุษย์เอง หาใช่ผู้อื่นที่เป็นศัตรูไม่ ทำไมเราจึงพูดเช่นนี้ เดี๋ยวเราค่อยมาศึกษากันต่อดีไหม (ดี) เกริ่นนำสักนิดหนึ่ง เผื่อจะสนใจเปิดหนังสือเล่มนี้จากเราบ้าง ดีไหม (ดี) เหมือนท่านเปิดหนังสือเล่มหนึ่ง ดูหน้าปก ดูหลังปก อ่านคำนำสักนิดหนึ่ง น่าสนใจ ท่านจึงจะอ่านเนื้อใน ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้ถ้าท่านมองตัวเราแค่ข้างหน้าข้างหลัง ไม่พูดอะไรเลย ท่านก็คงไม่อยากจะสนใจ ใช่ไหม (ใช่) การที่เราพูดก็เหมือนกัน เราเกริ่นคำนำให้ท่านดู แล้วคราวนี้ ใครจะเปิดต่อก็จงตั้งใจหน่อย ดีไหม (ดี) เคยเห็นแปดเซียนบ้างไหม (เคย) มีองค์หนึ่งที่ถือตะกร้าดอกไม้ นั่นก็คือเราในวันนี้นั่นเอง
เป็นพุทธะก็ต้องมีชุดของพุทธะอีกนะ มาตรฐานความคิดของทุกๆ คนนั้น ขึ้นชื่อว่าผู้ชายต้องคู่กับความเข้มแข็ง ความกล้าหาญอดทนหรือคู่กับดาบและกระบี่ใช่หรือไม่ (ใช่) ขึ้นชื่อว่าสตรีต้องคู่กับความอ่อนหวานนุ่มนวล แต่มิใช่อ่อนแอ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เรามาพร้อมกับตะกร้าดอกไม้ ขัดแย้งกับความรู้สึกในใจของท่านไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้หัวหน้าชั้น และรองหัวหน้าชั้นฝ่ายหญิงถือตะกร้าดอกไม้ไปรอบๆ ห้อง)
ไหนใครว่าขัดยกมือขึ้น ใครว่าไม่ขัดยกมือขึ้น ทำไมว่าขัด ทำไมจึงว่าไม่ขัด ใครบอกว่าที่ผู้ชายถือตะกร้าแล้วขัดแย้งอธิบายซิว่าขัดแย้งเพราะอะไร บ่อยครั้งที่ความรู้ความเข้าใจของมนุษย์ทำให้มนุษย์เรามองแต่ละสิ่งแตกต่างกันออกไป บางคนมองได้มุมกว้าง บางคนมองได้มุมแคบ บางคนมองได้ละเอียดลึกซึ้งมีความหมาย บางคนมองแล้วเข้าใจทะลุปรุโปร่งถึงจิตใจคน อย่างเช่นผู้ชายถือตะกร้า แม้จะบอกว่าผู้ชายต้องมีกระบี่กับดาบ แต่ถ้าถือกระบี่กับดาบเข้าไหม (เข้า) กลัวไหม (กลัว) ปัจจุบันนี้ผู้ชายถือตะกร้าดอกไม้ไปเยี่ยมคนป่วย ไปทำบุญ ไปงานแต่งงาน งานมงคล ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จะให้ถือกระบี่หรือดาบแล้วเดินไป ขัดแย้งไหม (ขัด) ฉะนั้นคำว่าขัดแย้ง-ไม่ขัดแย้ง สอดคล้อง-ไม่สอดคล้อง บางครั้งตาเราตัดสินคนเดียวไม่ได้ ความเข้าใจความรู้เราตัดสินก็ไม่แน่ว่าจะถูกเสมอไป ต้องอยู่ที่สังคมสภาพแวดล้อมและการตัดสินใจของหมู่ชนทั้งมวล ใช่ไหม (ใช่) สมัยก่อนเราถือดอกไม้ ทุกคนต่างหัวเราะเรา ทุกคนต่างยิ้มเยาะเรา แต่ถ้าสมัยก่อนเราถือกระบี่ถืออาวุธทุกคนจะภาคภูมิใจ ทุกคนจะถามด้วยความเป็นห่วงว่า เกิดการรบที่ไหน เกิดศึกที่ไหนหรือ นี่คือการตัดสินใจหรือมุมมองที่แตกต่างกันออกไป วันนี้ก็เช่นเดียวกัน การที่ท่านจะตัดสินใจว่าเราน่าเชื่อหรือไม่น่าเชื่อ เราจริงหรือไม่จริง สิ่งที่เราพูดลวงหลอกหรือน่าสนใจ จึงไม่ได้ขึ้นอยู่แค่การตัดสินในใจท่านเท่านั้น แต่ต้องมองให้รอบๆ ดูให้กว้างๆ หรืออีกทางหนึ่ง นั่นก็คือบางครั้งในคนหมู่มาก เราต้องเป็นผู้ตัดสินใจ หากเรามองแต่ตัวเอง ไม่ได้มองสภาพแวดล้อม เราคือผู้ลงโทษคนๆ หนึ่ง ใช่ไหม (ใช่) หากว่าเราเป็นผู้ตัดสินใจว่าคนนี้ถูกหรือผิด หากเราขาดซึ่งความยุติธรรมและความรู้ที่กว้างขวางและรอบคอบ เราจะฆ่าคนผู้นั้นทั้งเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเกิดเป็นคนเราต้องพินิจพิจารณาให้ดี อย่าได้เอาแต่ความรู้ประสบการณ์ หรือสิ่งที่ตัวเองมั่นใจมาตัดสินแค่นั้นไม่พอ แต่ต้องมองดูรอบข้างและหมู่ชนว่าคิดอย่างไร มีพื้นฐานแนวทางแบบไหนในการตัดสิน ใช่หรือไม่ (ใช่) และเราจะเป็นผู้ที่ไม่ทำร้ายใคร แล้วเราจะเป็นผู้ที่ตัดสินใจแล้วตัวเราทำถูกต้อง แล้วบอกคนได้อย่างถูกทางด้วย ฉะนั้นคราวนี้เห็นใครถือตะกร้าคงไม่ตัดสินอะไรผิดๆ ถูกๆ อีกนะ หรือเห็นคนวิ่งออกไปถือมีดอันหนึ่งก็คงไม่ว่าเขาอีกแล้วนะ แต่ต้องมองให้ลึกซึ้งเข้าใจให้ถ่องแท้ อย่าตัดสินใจคนเพียงแค่สายตาหรือความคิดประสบการณ์ในใจตน ไม่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่) มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราลงมาเยือนหรือผูกสัมพันธ์ แต่ไม่ใช่คนในกรุงเทพฯ เป็นโคราช เราเล่านิทานง่ายๆ ให้เขาฟังเรื่องหนึ่งว่าบ่อยครั้งมนุษย์เรามักจะเชื่อสายตามากกว่าใช้ปัญญาคิด แต่ในทางกลับกันบางคนก็เอาแต่คิดโดยไม่เชื่อสายตา ใช่ไหม
เหมือนนิทานเรื่องหนึ่งที่เราจะเล่าให้ฟัง เรื่องก็มีอยู่ว่าชายคนหนึ่งรองเท้าขาด อยากซื้อรองเท้าใหม่จึงหาเชือก สมัยก่อนไม่มีไม้วัด ต้องใช้เชือกมาวัดเท้าตัวเอง พอเขาวัดได้ตัดเชือกได้ระดับเท่ากับเท้าก็เลยออกไปตลาด พอไปถึงตลาดแล้วเขานึกขึ้นมาได้จึงพูดว่า ลืมหยิบเชือกวัดเท้ามา เจ้าของที่ขายรองเท้าก็บอกว่าไม่เป็นไรเท้าก็อยู่ตรงนี้ ท่านสวมซิคู่ไหนใส่ได้ก็เลือกไป แต่ชายคนนั้นยังมั่นใจในตัวเองและคิดว่าตัวเองคิดถูก ไม่ได้เอาเชือกมา วัดไม่ได้ ใส่ไม่ได้ เขาก็เลยบอกรอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวจะกลับมาก็เลยกลับไปเอาเชือกที่บ้านแล้วก็กลับมาที่ร้านตรงนี้ แต่ร้านรองเท้ารอไม่ไหวปิดร้านไปเรียบร้อยแล้ว นั่นเป็นเพราะว่าเขาเชื่อสายตาตัวเองมากกว่าความคิด หรือเชื่อความคิดตัวเองมากกว่าสายตา เขาเชื่อทั้งความคิดเชื่อทั้งสายตา ใช่ไหม (ใช่) ความคิดหนึ่งคือถ้าไม่มีเชือกไม่ได้ อีกสายตาหนึ่งคือ ลองไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) เราอยู่ในโลกมนุษย์นี้อย่าพลาดโอกาสไปเพราะว่าสายตาหรือความคิดของตัวเอง ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเรื่องตลกขบขันไป ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ในที่นี้มีจำนวนนักเรียนทั้งหมดกี่คน (114 คน) ฉะนั้นเสียงคงน่าจะดังกว่านี้ได้หรือไม่ (ได้) ทำได้อย่างไรให้คนที่ไม่มีใจได้มีใจสักทีหนึ่ง คนที่ไม่ยอมตื่นได้ตื่นขึ้นมาสักทีหนึ่ง ว่าตอนนี้กำลังไปถึงไหนกันแล้ว หลายๆ คนพอเรามาถึงก็ยังไม่เชื่อ พูดด้วยก็ยังไม่แน่ใจ ใช่ไหม (ใช่) พอคุยไปคุยมาก็ระแวงสงสัยใช่หรือเปล่า พอพูดได้เก่งก็บอกว่าท่องมาได้ดีเหลือเกิน พอพูดติดๆ ขัดๆ ก็บอกว่าไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แน่นอน ใช่ไหม (ใช่)
หากกายต้องการแต่ใจไม่ต้องการ การกระทำย่อมยากจะสำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่) หากใจหนึ่งอยากอีกใจหนึ่งไม่อยาก การกระทำก็ยากบรรลุเป้าหมายใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นก็คือกายกับใจต้องรวมเป็นหนึ่ง นี่คือการทำงานอย่างสามัคคีและสอดคล้องกันทั้งกายและใจ หากใจอยากดูแต่ปิดตาไว้ ทรมานไหม (ทรมาน) ฉะนั้นท่านคือคนที่โชคดี ตาก็มองเห็น หูก็ได้ยินร่างกายก็มีครบ ฉะนั้นโอกาสที่จะสร้างจึงเป็นโอกาสที่ไม่ยากเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ต้องรู้จักกลั่นกรองและเลือกสรรสิ่งที่ดีมาสู่ชีวิต ไม่ใช่เป็นคนดีแต่เลือกทำเลือกปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรก็ยากเป็นคนดีที่แท้จริงได้ใช่หรือไม่ (ใช่) บ่อยครั้งที่เรานั้นพอพูดคำว่าบำเพ็ญ ภาพในจิตใจของทุกคนเป็นเช่นไรกันบ้าง (เบื่อ, ต้องเสียสละ, ต้องละ, ต้องออกบวช)
ท่านได้ลูกอมเม็ดเดียว เสียใจไหม (ไม่เสียใจ) เพราะความหวานก็อยู่ได้นานใช่หรือไม่ (ใช่ครับ) ท่านที่ตอบว่าเบื่อก็น่าเศร้าใจ ทำไมพอพูดว่าบำเพ็ญถึงต้องเบื่อด้วย (ปกติไม่เบื่อ ถ้าบอกว่าบำเพ็ญความรู้สึกครั้งแรกจะเบื่อ แต่ว่าถ้าเราศึกษาถึงจุดแล้วจะไม่เบื่อ) หลายๆ คนในโลกนี้หากพูดว่าบำเพ็ญ ทุกคนจะมีความรู้สึกก่อนว่า ชอบไม่ชอบ เบื่อไม่เบื่อ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าบอกว่าชอบไม่ชอบ เบื่อไม่เบื่อก็สามารถตัดสินชีวิตได้เลยว่าต่อไปเขาจะบำเพ็ญหรือไม่ ใช่ไหม (ใช่) ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจของเรานั้น ทุกคนต้องมีเมื่อพูดถึงสิ่งหนึ่ง แต่ถ้าเกิดว่าเราเอาอารมณ์มาเหนือเหตุผล เหนือความคิดพิจารณา อารมณ์จะทำลายชีวิตให้เราไม่มีสิ่งนั้นไปตลอดชีวิตก็เป็นได้ เคยไหม (เคย) ฉะนั้นต่อไปอย่าให้มีอารมณ์ ดีหรือเปล่า (ดี) จะพูดว่าให้ท่านไม่มีเลยเป็นไปได้ไหม ก็ยังไม่ได้ มนุษย์ในโลกนี้มีอยู่แค่เพียงสองอารมณ์ ไม่ชอบก็ชอบ และคำว่าไม่ชอบกับชอบนี้ทำให้มนุษย์อยู่ใกล้หรืออยู่ไกลได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) และก็เพียงแค่สองอย่างนี้เท่านั้นเองที่จะทำให้เรารู้ได้ว่าคนๆ นั้นเป็นเช่นไร รักสิ่งใด เกลียดสิ่งใดอย่างเด่นชัด เด็ดขาดหรือไม่เด็ดขาดใช่ไหม (ใช่) แต่ต่อไปมีแล้วต้องไม่เอาอารมณ์เป็นใหญ่ แต่มีแล้วยังมีเหตุผลควบคู่ตามไปด้วยได้ไหม (ได้)
ที่นี้พอพูดว่ามาบำเพ็ญธรรม ทุกคนก็จะบอกนั่งเฉยๆ ฟังอย่างเดียวใช่ไหม (ใช่) แล้วก็ที่ตามมาคือเมื่อย เบื่อ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่แท้ที่จริงแล้วคำว่าบำเพ็ญ ใช่แข็งไม่มีความยืดหยุ่นไม่ การบำเพ็ญธรรมหากมนุษย์ทุกคนได้ศึกษา ได้มองอย่างทะลุปรุโปร่ง จะรู้ว่าในการบำเพ็ญธรรมมีความยืดหยุ่นความอิสระและเสรีอยู่ในตัวด้วยเหมือนกัน แต่อยู่ที่ว่าตอนที่ท่านพูดถึงคำว่า "บำเพ็ญ" ท่านได้ทำความเข้าใจคำว่าบำเพ็ญมากน้อยแค่ไหน ตอนนี้เราขอมาเปลี่ยนความคิดคำว่าบำเพ็ญในใจท่านเล็กน้อย คำว่าบำเพ็ญแท้ที่จริงแล้วก็คือ การดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อย่างอิสระและสามารถกลมกลืนกับสรรพสิ่งในโลกนี้ได้อย่างสอดคล้องเหมาะสม หากใครบำเพ็ญธรรมได้เช่นนี้จึงเรียกว่าบำเพ็ญได้ถูกทาง แต่ถ้าเกิดว่าบำเพ็ญแล้วยังรู้สึกอึดอัด ไม่มีอิสระ ยังถูกบีบยังถูกรัด แสดงว่าการบำเพ็ญยังไม่ค่อยถูกทางนัก เพราะการบำเพ็ญที่แท้จริงนั้นก็คือ การบำเพ็ญเพื่อให้เราสามารถยืนอยู่บนโลกนี้แล้วหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นรูปนามสิ่งสมมติหรือตัวตนเอง จะบำเพ็ญอย่างไร นั่นก็คืออยู่บนโลกนี้ได้อย่างหลุดพ้นหรือพูดง่ายๆ คือ ดำเนินชีวิตอย่างทางสายกลาง ทางสายกลางหาใช่ความหมายว่า ตรงกลางไม่เอียงไม่เอนอย่างเดียวไม่ ทางสายกลางที่แท้จริงยังหมายความว่า การยืนอยู่ ณ จุดหนึ่งแต่รอดพ้นจากพันธนาการในเรื่องรูปลักษณ์ กลิ่น เสียง สัมผัส อารมณ์ และตัวตนเอง นี่คือการยืนอยู่เป็นกลางในโลกนี้ หรือพูดง่ายๆ ก็คือสามารถยืนอยู่บนโลกนี้แต่ไม่มีทัศนคติที่ยึดติดด้านใดด้านหนึ่งจนเกินไป จนไม่สามารถเป็นอิสระ เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างเช่นมนุษย์เราอยู่ในโลกนี้ติดคำว่าชอบและไม่ชอบ ถ้าชอบจะยินดีปรีดาในความสุข ถ้าไม่ชอบจะเป็นทุกข์และห่อเหี่ยวหดหู่ นั่งอย่างกระวนกระวายเหมือนวันนี้ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเมื่อใดท่านรอดพ้นจากความรู้สึกทั้งสองอย่างนี้ แต่นั่งอยู่เหมือนคนที่นั่งแล้วมีชีวิต นั่งแล้วมองเห็นภาพลักษณ์ความเคลื่อนไหว นั่งแล้วมองเห็นจิตใจตนนิ่งหรือสงบเพียงใด นั่นคือการนั่งอย่างเป็นกลาง ไม่ติดในชอบไม่ติดในชัง แต่ถ้านั่งแล้วผิดก็ดีถูกก็สวย อย่างนี้เรียกว่ายังไม่กลางใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้านั่งแล้ว ไม่ชอบ ผิด น่าเกลียด ถูก ไม่เห็นดี นี่เรียกว่ายังไม่กลาง นั่งแล้วยังไม่สามารถมีอิสระได้ พอเข้าใจไหม
ทำไมเราจึงพูดเช่นนี้ ตราบใดที่มนุษย์มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ หากไม่สามารถอยู่ตรงกลางหรือวางตัวได้อย่างพอเหมาะพอควร มีคำว่าเกินกับคำว่าขาดก็ไม่สามารถดำรงชีวิตได้อย่างเป็นสุข จริงไหม (จริง) ถ้าท่านอยู่กับเพื่อนที่เขาดีเกินไป อยู่ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) ร้ายเกินไป อยู่ได้ไหม (ไม่ได้) เราเศร้าเขาเศร้าจนไม่หยุดสักทีรำคาญไหม (รำคาญ) เราสุขแต่หยุดสุขแล้วจะเศร้าอยู่แล้วเขายังสุขต่อ รำคาญไหม (รำคาญ) เราแสวงหาอย่างพอดีแล้วแต่เขายังโลภอยู่ไม่หยุด เกลียดไหม อยากขจัดทิ้งไหม
เขารักเราเท่านี้แต่เราบอกเอาอีก เขายังรักเราไหม ใครไม่รักท่านแล้วแต่ท่านบอกขออีกๆ เขาจะให้ไหม น่ารำคาญไหม นั่นก็คือมนุษย์ทุกคนขาดความรู้จักพอ ใช่หรือไม่ (ใช่) พอในระดับไหน ไม่ใช่พอในระดับตัวเอง แต่ต้องอยู่ร่วมกับเขาแล้วรู้จักพอในระดับที่เขาเป็นด้วย แล้วเราจะเป็นสุขในการอยู่ร่วมกันและการมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราอยากจะมีอยากจะได้ โดยที่ไม่ต้องกังวลทุกข์เลยแม้เพียงกระพี้เดียว จริงไหม (จริง) ซึ่งถ้าทุกท่านสามารถทำได้แล้ว ท่านจะอยู่กับเขา แล้วท่านก็จะเป็นคนที่น่าต้องการ ไม่ทำอะไรเกินเลย ไม่ทำอะไรแบบขาดตกบกพร่อง แต่ในความละเอียดรอบคอบ สุขุมและละเมียดละไม จริงไหม (จริง) ซึ่งเราเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้ทำได้ และได้ดีด้วย อยู่ที่ว่าจะทำหรือไม่ทำ ฉะนั้นอย่างที่เรากล่าวไว้ ปัญญาทุกคนมีหากใช้ได้ถูกทาง ทางนี้จะไม่ใช่แบบเกินไปแล้วคนทิ้งขว้าง ขาดไปแล้วคนด่าทอตามหลัง จริงหรือไม่ (จริง) จะทำให้เราประหยัดแรงแล้วทำได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ และน่าปรบมือให้ ใช่หรือไม่
วันนี้เรามาให้ท่านตักตวงไปให้ได้มากที่สุดดีไหม (ดี) เจอคนๆ หนึ่ง ยินดีที่จะให้หมดจิตหมดใจ มีเท่าไรให้หมด แต่ให้ในสิ่งที่เป็นจริง ไม่ใช่สิ่งที่เป็นมายา หลายต่อหลายคนอยู่บนโลกมักอยู่ร่วมกันเพื่อผลประโยชน์ แต่ประโยชน์นั้นท่านลองมองลึกๆ ดู แล้วท่านจะรู้ว่าเป็นเพียงมายาหาใช่รูปแท้จริงไม่ ทำไมจึงบอกว่ามายา เหมือนท่านทำงานร่วมกับคนหนึ่ง หากเขาไม่ให้ผลประโยชน์มากกว่า ท่านจะไม่ทำงานด้วย แต่ผลประโยชน์ที่ท่านได้ สักวันหนึ่งจะต้องเปลี่ยนไปตกอยู่ในมือคนอื่นบ้างก็ย่อมเปลี่ยนได้ สักวันหนึ่งสิ่งที่ได้ประโยชน์จากเขา ย่อมเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งอื่นที่เรียกว่าสูญสลายได้ แต่ถ้าท่านอยู่กับเราค่อยๆ คิดพิจารณา ท่านจะได้สิ่งที่เป็นจริง และเอาไปใช้ในชีวิตได้อย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หลายต่อหลายคนในโลกนี้อยู่เพื่อเอาตัวรอด หรืออยู่เพื่อมีชีวิต แต่อีกคติหนึ่งก็คือว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ใครใหญ่ใครอยู่ คนโง่เป็นเหยื่อของคนฉลาดที่เอาตัวรอด พอมีสามเรื่องนี้เข้ามาคิด ก็ตัวใครตัวมัน ใช่ไหม (ใช่) ฉันว่าอย่างนี้คนอื่นช่าง ฉันสบายคนอื่นลำบากก็ไม่เป็นไร ใช่หรือเปล่า (ใช่) ที่เราเป็นแบบนี้หาใช่ความผิดจากการเอาตัวรอดไม่ แต่ผิดตรงไหน ผิดตรงที่ใจเราพิกลพิการ ยอมรับไหม ไหนใครไม่ยอมรับยกมือขึ้น ใครค้านในใจบ้าง อย่างนั้นเราเปลี่ยนเป็นคำที่สวยหรูกว่านี้หน่อยหนึ่ง แต่เป็นเพราะว่าจิตใจเราคิดไม่ถูก ใครยอมรับบ้าง ถ้าไม่ยอมรับยกมือขึ้น ใครไม่เข้าใจเลยยกมือขึ้น มีหลายคนไม่เข้าใจใช่ไหม พูดง่ายๆ ก็คือว่า แท้ที่จริงแล้วการมีชีวิตอยู่นั้น ทำให้เราคิดแบบนี้ ทำให้เราสรุปการเอาตัวรอดเป็นแบบนี้ว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็ก คนโง่เป็นเหยื่อของคนฉลาด ใครใหญ่ใครอยู่ ใครเล็กต้องโดนเหยียบ ใช่หรือไม่ (ใช่) แท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะสังคมทำให้เราสรุปความคิดในการเอาตัวรอดออกมาเป็นแบบนี้หรือเป็นเพราะว่าใจเรามีความผิด เข้าใจผิด จึงทำให้เราสรุปออกมาเช่นนี้ ใครว่าจิตใจยกมือขึ้น ใครว่าสังคมยกมือขึ้น ใครว่าทั้งสองอย่างยกมือขึ้น แล้วใครว่าคนอื่นยกมือขึ้น ใครว่าเป็นเพราะบรรพชนพูดมาแบบนี้เราเลยพูดตามแบบนี้ยกมือขึ้น แท้ที่จริงแล้วเราอยากบอกว่า ไม่ใช่เป็นเพราะว่าภายนอกทำให้เป็นแบบนี้ แต่ถ้าคิดพิจารณาให้ลึกซึ้งเกิดจากใจเรานั่นเอง ที่ทำให้เราต้องคิดแบบนี้ เรากลัวจะเสียหน้าเราจึงไม่ยอมเขา เรากลัวจะโง่เราจึงต้องไต่เต้าให้ฉลาด เรากลัวที่จะโดนเขาว่าโง่ๆๆๆๆ ใช่ไหม (ใช่) โง่คำเดียวก็พอทน แต่พอโง่เป็นสิบก็ทนไม่ไหว ใช่ไหม (ใช่) เรากลัวว่าจะเป็นเหมือนปลาเล็กที่ไม่รู้ว่าปลาใหญ่จะกินเราเมื่อไร เราจึงต้องเอาตัวรอดทุกวิถีทาง แต่ถามท่านจริงๆ ถามท่านลึกๆ แท้ที่จริงในโลกนี้ตลอดชีวิตใครฉลาดแล้วไม่โง่มีไหม (ไม่มี) ใครไม่เคยเป็นปลาเล็กแล้วให้ปลาใหญ่กินบ้าง ก็ไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่) อยู่ที่ว่าเป็นแล้วรับได้หรือเปล่า แต่เป็นแล้วจะพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้าขึ้นบ้างหรือไม่ เป็นแล้วมีจุดยืนหรือเปล่า ทำไมพุทธะหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงบอกว่าการเป็นคนโง่บางทีไม่ใช่เรื่องที่โง่จริงๆ แต่การเป็นคนโง่ของหลายๆ คนแท้ที่จริงแล้วคือคนฉลาด การเป็นคนแข็งไม่สู้การเป็นคนอ่อนน้อม เพราะความอ่อนน้อมยืนยงกว่าความแข็ง ใช่หรือไม่ (ใช่) การยอมเป็นปลาเล็กให้คนอื่นเป็นปลาใหญ่ แต่เพราะว่ามีปลาเล็กอย่างเราปลาใหญ่จึงยืนได้ นี่คือการรู้ตัวว่าโง่ โง่แล้วยังตอบว่าโง่ ใช่ไหม (ใช่) แต่ที่เราโง่เพราะเรามีจุดยืน การยอมให้คนอื่นฉลาดขึ้น เพราะท่าน แม้จะเคยเป็นปลาใหญ่ แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า ที่ว่าใหญ่สุดของท่านแล้ว แน่ใจหรือว่าจะไม่มีใหญ่กว่า จริงหรือไม่ ฉะนั้นการดำรงชีวิตอย่าเอาจุดนี้มาอ้าง แล้วทำให้เราเบียดเบียนคนอื่น การที่เราพยายามเอาชนะคนอื่นได้เป็นสิบเป็นร้อย แต่ใจตัวเองไม่เคยชนะได้ จริงหรือไม่ (จริง) แต่ถ้าเมื่อไรเราคิดกลับกัน โง่บ้างไม่เป็นไร โง่แล้วสักวันหนึ่งทำให้เราฉลาด เล็กบ้างไม่เป็นไร เล็กเพื่อจะได้เติบโตเป็นปลาที่ยิ่งใหญ่ จริงหรือไม่ (จริง) นี่คือจิตใจเราเมตตา เสียสละใช่หรือไม่ (ใช่) มีใครบ้างที่จะสามารถเป็นเจ้าของเก้าอี้ตัวนี้ได้ตลอดชีวิต มีใครบ้างที่จะสามารถดำรงตำแหน่งตรงนี้ได้โดยที่ไม่เปลี่ยนแปลง บางครั้งเราได้นั่ง แต่ต้องมีเวลาที่เราต้องลุกขึ้นมายืนบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) สังคมในโลกก็เฉกเช่นเดียวกัน ขอให้รู้จักคิด ใช้ปัญญาให้ถูก อย่าคิดว่าการเป็นคนโง่นั้นน่าเศร้าใจ อย่าคิดว่าการเสียสละคือเรื่องพ่ายแพ้ อย่าคิดว่าความพ่ายแพ้ คือเรื่องที่พ่ายแพ้ ไม่แน่ ถึงจะเป็นความพ่ายแพ้แต่ชนะที่จิตใจ จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นขอให้มีแนวความคิดที่ถูกต้อง หากมีแนวความคิดที่ถูกต้อง ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างไม่ปลอดภัย แต่ถ้าแนวความคิดท่านไม่ถูกต้อง ตนเองอยู่คนอื่นเป็นอย่างไรก็ช่าง อย่างนี้รับรองอยู่ที่ไหนก็ไม่รอด ใช่ไหม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตากล่าวกับผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ยืนเมื่อยหรือเปล่า ต้องเป็นแบบอย่างให้เขานะ แม้จะยืนก็ไม่เมื่อย ฉะนั้นเขาจะได้คิดว่า เรานั่งอยู่เราจะเมื่อยได้อย่างไร ได้ไหม (ได้) ถ้าเรายืนได้อย่างมั่นคง ไม่เหลาะแหละ คนที่นั่งจะรู้สึกละอายใจ ใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเรายืนเมื่อย เขาว่ายืนยังเมื่อยนับประสาอะไรกับนั่ง เข้าข้างตัวเองถูกไหม การอยู่ร่วมกัน อย่าได้คิดถึงแต่ตัวเอง เพราะเราไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกระทำนั้นไปสะท้อนหรือไปทำร้ายจิตใจเขาโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า อย่าพูดว่านั่งเฉยๆ แล้วไม่ทำร้ายใคร อาจจะทำร้ายก็ได้นะ เราคนหนึ่งล่ะ ท่านยิ้ม เราก็ยิ้มด้วย ท่านเศร้าท่านก็ทำร้ายเราไปหนึ่งใจแล้วนะ
(นักเรียนท่านหนึ่งได้เรียนถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่ามนุษย์เราถูกพรหมลิขิต ลิขิตชีวิตมาหรือเปล่า) มีส่วนหนึ่งถูกลิขิตมา แต่ที่เหลือท่านสามารถลิขิตให้เป็นไปได้ เหมือนคนๆ หนึ่ง ทำไมมาเกิดบ้านนี้ เหมือนตัวท่านทำไมมาเกิดบ้านนี้ ทำไมไม่ไปเกิดบ้านข้างๆ นี่คือสิ่งที่ฟ้าลิขิตให้ท่าน ต้องเกิดบ้านนี้ ต้องเป็นคนบ้านนี้ ต้องเป็นคนตระกูลนี้ ใช่ไหม (ใช่) (แต่ผู้นั้นสามารถเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าก่อน ได้หรือไม่) ได้ ไม่ใช่เลือกเฟ้นแต่คือปัญญา ทำไมพระพุทธองค์เมื่อมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ท่านอยากค้นคว้าในสิ่งที่คนอื่นไม่เคยค้นคว้า อยากรู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้อยากรู้ เมื่อท่านลองค้นคว้า เมื่อท่านได้กระทำ แม้จะรู้ว่าไม่มีใครในโลกนี้ทำ และไม่รู้ว่าทำได้หรือไม่ได้ ท่านก็ลองทำ แล้วก็ทำจนสำเร็จ เมื่อสำเร็จท่านได้เกิดปัญญา ปัญญาหนึ่งที่เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น รู้ก่อนในสิ่งที่คนอื่นไม่เคยรู้ เพราะท่านทำในสิ่งที่คนอื่นไม่คิดทำ ฉะนั้นท่านก็สามารถรู้ก่อนได้ และทำในสิ่งที่คนอื่นไม่เคยทำได้ และเห็นก่อนใครได้ อยู่ที่ว่าท่านจะตั้งใจบำเพ็ญ ฝึกฝนตนเองขัดเกลาตนเองท่ามกลางสังคมโลกที่มืดมนใบนี้หรือไม่ ท่านจะยังยืนหยัดอย่างมั่นคงในการบำเพ็ญตนปฏิบัติตนได้หรือเปล่า ปัจจุบันนี้หรือยุคสามนี้เป็นการโปรดครั้งยิ่งใหญ่ให้ท่านบำเพ็ญไม่ว่าจะเป็นชายเป็นหญิง ไม่ต้องโกนหัว แต่สามารถบำเพ็ญอยู่ท่ามกลางสังคมแวดล้อม เฉกเช่นที่ท่านได้ยิน บำเพ็ญดั่งรากบัว แม้ดินจะสกปรกแต่รากบัวสามารถขัดเกลาตัวเองให้ขาวสะอาดได้และรู้จักเอาความสกปรกนั้นมาฟื้นฟูตัวเองให้บริสุทธิ์ผุดผ่องและหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งให้งดงาม แม้จะอยู่ใต้ดินที่ดำมืดก็ตาม ยอมที่จะเอาดอกบัวยอมที่จะผลิใบบัวเอื้อแก่สาธุชน นี้คือทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำและเราจะได้เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถเห็นได้ พอเข้าใจไหม (เข้าใจ) ภาพนิมิตเกิดได้ด้วยการบำเพ็ญภาวนา แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นภาพนิมิตก็ได้ถ้ารู้จักใช้ปัญญาอันแจ่มแจ้ง พอเข้าใจไหม
หลายต่อหลายคนทำไมดำเนินชีวิตได้อย่างถูกทาง ไม่ต้องเป็นทุกข์มีความเป็นสุขในการดำเนินชีวิตหรือเรียกว่าพุทธะเดินดินก็เพราะว่าสามารถดำเนินชีวิต แล้วรู้ได้ว่าถ้าทำเช่นนี้จะผิด ถ้าทำเช่นนี้จะถูกทาง ถ้าทำเช่นนี้แม้ไม่สำเร็จกลับไปก็ยังเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนปราชญ์อริยะโบราณกาลที่ท่านได้เคยศึกษากันมาหลายต่อหลายพระองค์ใช่หรือไม่ (ใช่)
(นักเรียนในชั้นถาม ผมว่านักเรียนในห้องนี้ทุกคนก็อยากจะทำในสิ่งที่อาจารย์พูด แต่มันมีอวิชชาบางชนิดที่ปิดบังปัญญาอยู่ ทำให้สิ่งเหล่านั้นลบเลือนได้เมื่อออกจากสถานที่นี้ไป ผมอยากทำทุกคำที่อาจารย์พูดสอนแต่เวลาออกไปแล้วเหมือนกับปัญญามันดับไปอวิชชาครอบงำ ทำให้ผมต้องตกอยู่ในความมืดเหมือนตกอยู่ในความมืดบอดนั้นคือปัญญาผมเกี่ยวกับกรรมเวร หรือเปล่าครับ) อาจจะเป็นเพราะว่ากรรมเวรก็มีส่วนด้วย และอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ท่านไม่ได้ทำบ่อยๆ พอจะไปเริ่มต้นจึงนึกไม่ออกใช่ไหม (ใช่) เหมือนเวลาท่านมีวิทยายุทธ์หนึ่ง ท่านหมั่นฝึกซ้อมอยู่สม่ำเสมอ เมื่อจะนึกถึงย่อมแสดงท่วงท่าออกมาได้ทันที ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อสงบนิ่งท่วงท่านั้นจะยังคงอยู่ในจิตใจอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเกิดว่าวันนี้ท่านได้เรียนวิทยายุทธ์จากเราไป แต่ถ้าท่านไม่ได้หมั่นฝึกซ้อมท่านไม่ได้หมั่นทบทวน ท่านไม่ได้ลงมือไปกระทำ สักวันหนึ่งแม้จะเรียนจนจบท่านก็จะลืมได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้จะหยิบมาใช้ก็จะใช้ได้ไม่คล่อง ฉะนั้นเริ่มต้นย่อมเป็นเรื่องง่ายที่จะติดขัดหรือเหมือนกับคนที่ไม่รู้ ฉะนั้นท่านต้องกลับมาศึกษาบ่อยๆ หรือมีโอกาสเอาหนังสือไปศึกษาเพิ่มเติมให้มากยิ่งขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่มีใครในโลกนี้เรียนจบหนึ่งเล่มแล้วสามารถจำหนึ่งเล่มได้ไม่มีตกสักหัวข้อหนึ่ง หาได้ไหม (ไม่ได้) แต่ที่จำได้ไม่ตกหล่นสักข้อหนึ่งคือได้แต่จำแต่ไม่เข้าใจใช่หรือไม่ (ใช่) ส่วนมากที่เข้าใจจะจำไม่ค่อยได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ที่จำได้มักไม่เข้าใจใช่หรือเปล่า ฉะนั้นอยู่ที่ว่าวันนี้ท่านได้สิ่งใดไป ถ้าเข้าใจก็อาจจะจำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ถ้าจำได้มักจะจำได้ว่ามีเด็กคนหนึ่งมาพูดเป็นชั่วโมง กลับบ้านไปก็เหมือนดี จำได้เท่านี้ก็น่าเสียเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่) ขอให้คิดดูให้ดีนะว่าเรามาเราจะหลอกท่านได้อะไร ในเมื่อถ้าท่านเอากลับไปทำคือการทำดีเป็นคนดีให้กับตัวเองและถ้าท่านดีได้ครอบครัวท่านก็ดีตามด้วยเหมือนท่านยืนหยัดในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าทำได้ดีทำได้เจริญก้าวหน้าทำได้มีแต่คนยกย่องชื่นชมคนอื่นย่อมปฏิบัติตามใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วสิ่งที่เราพูดมานี้มีไหมบอกท่านว่าไปเถอะไปทำชั่วไปทำเลยไม่ต้องคิด เห็นแก่ตัวเองไม่เห็นแก่ใครตั้งแต่เรามาจนบัดนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอย่าคิดว่าเราหลอกเลยนะ วันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาไม่ใช่จะเสกให้หินเป็นทอง ไม่ใช่จะให้หวยสองเลข ไม่ใช่จะทำอภินิหารแทงตัว แต่ต้องการที่จะทำให้ท่านเห็นว่าชีวิตที่เป็นอยู่นี้จะสามารถแปรจากชีวิตที่ธรรมดาให้เป็นชีวิตที่ดีงาม จากชีวิตที่ดีงามให้เป็นชีวิตที่ประเสริฐ จากชีวิตที่ประเสริฐให้เป็นชีวิตที่เป็นพุทธะบนแดนดินได้ อยู่ที่ว่าท่านดำเนินชีวิตแบบไหน แต่ถ้าดำเนินชีวิตยังไม่เข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้ท่านก็จะก้าวไม่พ้น เมื่อก้าวไม่พ้นเอาตัวไม่รอดช่วยใครก็ย่อมลำบากใช่หรือไม่ เหมือนตอนนี้หากท่านยังไม่เข้าใจชีวิตเราบอกว่าต้องไปช่วยคนโน้นต้องไปช่วยคนนี้ ก็ดูเป็นการใจร้ายกับท่านเกินไปจริงไหม (จริง) หลายต่อหลายคนจะพูดว่าตัวเองยังเอาไม่รอดเลยจะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร ฉะนั้นเริ่มต้นในการบำเพ็ญอย่างแรกที่เราจะวิงวอนและขอร้องนั้นก็คือดำรงชีวิตเอาตัวรอด แต่จะทำอย่างไรให้เป็นการเบียดเบียนและทำร้ายผู้อื่นให้น้อยที่สุด ให้การดำรงชีวิตได้แสวงหา ในการมีชีวิตอยู่นั้นหมั่นสร้างแต่สิ่งที่ดีงามและไม่ทิ้งร่องรอยอะไรให้คนต้องด่าทอหรือเก็บต่อ หากทำได้เช่นนี้นี่แหละเรียกว่าก้าวแรกในการบำเพ็ญถูกไหม (ถูก) ถ้าเป็นคนในฐานะนี้ หน้าที่นี้ ตำแหน่งนี้ หากยังทำไม่ดี แล้วไปช่วยคน บางครั้งก็ไม่มีใครเชื่อใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นหน้าที่นี้ ตำแหน่งนี้ สถานะนี้ ทำให้ดีที่สุด เมื่อดีที่สุดแล้ว มั่นคงแล้ว บางครั้งยังไม่ต้องเรียกใคร เขาก็พร้อมที่จะเชื่อ แม้ทำตรงนี้ได้ดีที่สุดแล้ว บางครั้งยังไม่ต้องเอ่ยปากสอนใคร เขาก็อยากจะมาขอทำตาม จริงหรือไม่ (จริง) เมื่อท่านทำได้ถึงระดับนี้ การที่จะมีใจช่วยคนเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม แม้จะทำยังไม่ดีเท่าไร แต่ยังมีใจคิดถึงคนอื่นอยู่เสมอ รู้ว่าเงินสิบบาทที่ตัวเองมีนี้ ยังแตกออกเป็นหนึ่งร้อย สองร้อย สามร้อย เมื่อแตกออกไปสามร้อย ในสามร้อย ยังรู้จักหนึ่งร้อยเก็บ หนึ่งร้อยใช้ อีกหนึ่งร้อยช่วยผู้อื่น แม้จะยังไม่ดี แต่สิ่งที่สละได้ ก็เรียกว่าดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากเลยในการบำเพ็ญตน ไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินเลยในการที่จะขัดเกลาและควบคุมตน น้ำก่อนจะไหลรินลงไปสู่ประชา ต้องอยู่กับตัวเองได้ระดับหนึ่ง จึงจะรินไหลได้ ถูกไหม (ถูก)
เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์เรา เรารู้ว่าการที่จะทำอะไรเพื่อคนอื่นนั้นเป็นการยาก เรายอมให้ท่านทำตัวเองให้ดีก่อนก็ได้ เมื่อดีแล้วขอให้รีบๆ ช่วยหน่อย เพราะในโลกนี้ยังมีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ รอคนที่ช่วยเหลือตัวเองได้ไปช่วยเขา ใช่ไหม (ใช่) เหมือนเด็กที่ถูกทอดทิ้ง ผู้ใหญ่ที่กลายเป็นขอทาน เพราะอะไรท่านเคยคิดไหม ไม่ใช่เพราะความเจ้าเล่ห์ของคน แต่เป็นเพราะว่าตัวบุคคลต่างหากที่มีจิตใจขาดคุณธรรมแล้วลืมดูแลครอบครัวของตัวเอง ทำครอบครัวของตัวเองได้ไม่สมบูรณ์ จึงเกิดปัญหาแก่สังคม ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราจึงต้องร่วมมือกันช่วย อย่าปัดความรับผิดชอบ พูดง่ายๆ หากทุกๆ บ้านปัดขยะทิ้งออกนอกบ้าน ขยะจะล้นสังคม ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกๆ คนต่างปัดความรับผิดชอบให้กับคนอื่น ไม่คิดจะช่วยเหลือใคร คนที่เดือดร้อนใครจะช่วยเหลือ แล้วถ้าเกิดวันหนึ่ง ท่านคือคนที่ถูกปัดทิ้ง ใครจะช่วยท่าน ถ้าตราบใดที่ท่านไม่เคยช่วยใครให้ลูกหลานเห็น ลูกหลานก็จะทำเช่นเดียวกับที่ท่านทำกับเขา ฉะนั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้ามเลย ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ก่อนที่จะมาฟังเรา หัวข้อที่ท่านฟังจบไปคือความหมายของการทานเจ หากเราจะบอกว่าก่อนที่เราจะมาถึงนั้น มีสัตว์จำนวนมากมายร้องไห้คุกเข่าข้างๆ เรา ท่านจะเชื่อหรือไม่ คิดง่ายๆ หากมีสัตว์จำนวนมากมาย คุกเข่าอยู่ข้างๆ แล้วท่านกำลังจะเอามีดฆ่าเขา ท่านลองนึกถึงคุณธรรมข้อหนึ่งว่า ความเมตตาของท่านอยู่ที่ไหน ความสงสารมีหรือเปล่า แต่หากท่านจะปัดว่าท่านไม่เห็นเขาถูกฆ่า ท่านไม่เห็นเขาคุกเข่า ท่านไม่ได้ยินเสียงที่เจ็บปวด ท่านได้บอกว่าตัวเองยังเมตตา ตัวเองยังเจ็บ ตัวเองสงสารคนอื่นได้ไหม ถามใจลึกๆ เมื่อเห็นรู้จักสงสาร รู้จักเมตตา แต่พอบอกไม่เห็นเลยไม่มีความสงสาร เลยไม่มีความเมตตา ก็จะดูเป็นความเมตตา ความสงสารแบบคับแคบไป เพราะเมตตาสงสารเฉพาะที่เห็น ที่ไม่เห็นไม่เมตตาไม่สงสาร หลายต่อหลายครั้งที่สิ่งศักดิ์สิทธ์มาพยายามไม่พูดเรื่องนี้ เพราะว่าถ้าพูดก็กลายเป็นบังคับจิตใจท่านเกินไป แต่วันนี้ที่ต้องพูดเพราะว่าวิญญาณเขามาขอร้อง ถ้าเราไม่พูดเลยก็จะดูเป็นการเกินไป ขออภัยนะ ถ้าเราพูดแล้วทำให้ท่านต้องเกิดความรู้สึกที่ควบคุมความรู้สึกไม่ได้ แต่ถ้าพูดแล้วทำให้จิตใจท่านเกิดความรู้สึกว่าอยากจะละบ้างตัดบ้างได้ เราก็ขออุทิศบุญกุศลนั้นส่งไปให้วิญญาณสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เขายังคงเจ็บปวดอยู่ทุกค่ำคืน
"รักผูกพันมอบใจระดมกลอง" เวลาเรารักใคร เราทุ่มเททั้งกายและใจ เพื่อจะให้เขารักเราตอบ แต่เวลาเราเกลียดใครเราก็ทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขาไปไกลๆ เรา ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนี้ยังไม่เรียกว่าถูก คนเรารักใคร รักแล้วต้องรู้จักปล่อยวางบ้าง เกลียดแล้วต้องรู้จักให้อภัยและเมตตาบ้าง นี่ถึงจะเรียกว่าบำเพ็ญได้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) สมัยก่อนนั้นเวลาเรียกรวมพล เขาจะใช้สัญญาณกลองเป็นการเรียก ใช่หรือไม่ (ใช่) เราก็เลยใช้ความหมายนี้เหมือนกัน เวลาเรารักใคร เราก็พยายามโน้มน้าวคนที่อยู่ใกล้ ให้รักเหมือนที่ใจเรารักเขา ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำทุกวิถีทาง พูดทุกวิถีทาง ให้เขาเห็นใจและรักคนๆ นี้เหมือนที่เรารักเขา ใช่หรือเปล่า (ใช่) ความรักเป็นสิ่งที่ดีงาม แต่ต้องรักอย่างเหมาะสม รักอย่างถูกทาง รักอย่างไม่หลงหัวปักหัวปำ รักอย่างรู้จักคิด รู้จักทำ ทำได้ไหม (ได้) ไม่ยากเกินไปใช่หรือเปล่า (ใช่) อะไรที่ประโคมได้เราประโคมเต็มตัว ใช่หรือเปล่า เหมือนลูกเราดีอย่างไร ก็ยังไงชมๆๆๆ ใช่ไหม ลูกคนอื่นดียังไง ไม่ชมๆๆ ลูกเราดีอยู่คนเดียวใช่หรือเปล่า ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่นะ ไม่เช่นนั้นเมื่อเวลาลูกเราทำผิดคนอื่นจะไม่กล้าบอกเรา คนอื่นจะไม่ช่วยเตือนเราเลย เพราะว่าอะไร เพราะเรารักมากถ้าเขาพูดตรงๆ จะทำร้ายใจเราใช่ไหม (ใช่) จึงทำให้เราเหมือนถูกปิดตาไปข้างหนึ่ง ไม่สามารถมองเห็นความเป็นจริงของลูกเราได้ ฉะนั้นรักแล้วต้องมีสติ
เรารู้ว่าทุกท่านในที่นี้ล้วนมีจิตใจที่ดีงาม มีจิตใจที่เมตตาและมีจิตใจที่สงสารคนอื่น แต่ว่าอย่าสงสารตัวเองมากเกินไป ถ้าสงสารตัวเองมากเกินไปจะสงสารใครไม่เป็นเลย จริงไหม (จริง) ถ้ารักตัวเองมากจะรักใครไม่เป็นเลยแล้วตัวท่านเองจะทำลายคนอื่นโดยไม่รู้ตัว ขับไล่คนดีๆ ให้ทิ้งห่างออกไปโดยไม่รู้ตัว
หลายคนท้องร้องแล้วอย่าเพิ่งทรมานเลยนะ เราก็ไม่อยากทำให้ท่านต้องทรมาน มาได้ก็จะรีบมา ไปได้ก็จะรีบไปให้ไวที่สุดจะได้ไม่ทำให้ท่านเสียเวลามาก วันนี้เราก็ดีใจที่ได้มาพบกับท่านและได้มาผูกบุญร่วมกันในชั้นนี้ หากพรุ่งนี้ไม่ติดเหตุอะไรขอให้มาศึกษาให้ครบ หากวันนี้ได้ฟังสิ่งใดไปขอให้พิจารณาให้ดี
(นักเรียนในชั้นคืนตะกร้าดอกไม้ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์) คืนเราแล้วหรือ เรายินดีที่จะให้ท่าน แต่ว่าตะกร้านี้ต้องทำให้เกิดประโยชน์ได้หรือเปล่า (ได้) เป็นครั้งแรกที่เราจะให้ตะกร้ากับผู้อื่น ขอให้รักษาให้ดีและนำตะกร้านี้ไปใช้เกิดประโยชน์ที่ดีที่สุด หรือให้ตะกร้านี้ทำให้ท่านเป็นพุทธะได้เราจะดีใจมากที่สุด คิดให้ออกนะว่าตะกร้านี้ทำให้เป็นพุทธะได้อย่างไร บางคนอาจจะดูยากใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดทุกครั้งเขามีโอกาสมาศึกษา ติดขนมใส่ตะกร้าเจอใครก็แจกๆๆๆ ก็ได้แล้ว ใช่หรือไม่ แม้ตะกร้านี้เดินถือไปยังไม่มีอะไรพอมีคนขอก็ให้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ก็เป็นการฝึกเปิดจิตเมตตาให้กับตัวเองได้เหมือนกัน
ต่อไปนี้หวังว่าท่านจะมีใจศึกษาบำเพ็ญธรรมมากยิ่งขึ้นและมั่นคงไปเรื่อยๆ ดีใจที่ได้พบหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง ขอให้รักษาจิตใจอันดีงามนี้ไว้อยู่ตลอด เมื่อตั้งใจจะบำเพ็ญขอให้บำเพ็ญด้วยความมั่นคงและยืนหยัดในสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ อย่าท้อถอย คนเราจะทำอะไรสำเร็จได้ก็เพราะมีใจหนึ่งใจเดียวเท่านั้น หากเมื่อไรที่ใจหนึ่งใจเดียวแตกเป็นสองก็ยากที่จะเดินได้ถึงและยากที่จะสัมฤทธิ์ผล และขอให้เป็นใจหนึ่งใจเดียวที่บริสุทธิ์และสะอาด
วันอาทิตย์ที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
คนเพ้อฝันวาดวิมานในอากาศ ย่อมไม่อาจมองการณ์ไกลด้วยสติ
ไม่มีใครทำทุกอย่างอย่างชำนิ หากศิษย์มิเคยฝึกหัดเลยสักครา
ข้าคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถานอิ๋งเซียน แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนมีจิตใจศรัทธาหรือไม่
ชีวิตคือการอภัยให้มีสุข จำต้องคุ้นทุกข์หนักหนักทั้งหลาย
ชีวิตมีช่วงเจอศึกแปรใจ วินิจฉัยเป็นแปรอุปสรรคไปได้เอง
ปณิธานอันยิ่งใหญ่เมื่อได้ตั้ง บันดาลแรงพลังขับเคลื่อนเร็วเร่ง
คิดออกไม่คิดเพื่อตนเอง เด็กน้อยค่อยเขย่งจนสูงจริง
ไม่ค่อยคิดไม่มีความสุขุม ตรองเป็นไรตกหลุมใช้สวิง
เวลาไม่ใส่ใจพรางความจริง ศิษย์เองยิ่งใช้ปัญญายิ่งดี
จงทำตนเที่ยงประดุจตาชั่ง และระวังใจตนกว่าทุกที่
ใช่ว่ามีแต่ตนเท่านั้นดี ใจกว้างพลีเวลามาบำเพ็ญธรรม
ฮา ฮา หยุด
นานเท่าใดที่ยืน ณ ตรงที่เก่า ความผิดเหมือนเงามิแก้สิ้นไป เมื่อความหลงตนลึกลงแปดเปื้อนจิตใจ ปลุกศิษย์ก่อนจะสายไป ขวนขวายตื่น
วันต่อไปจากวันนี้มีใจหนึ่ง การรู้คำนึงฉายชั่วข้ามคืน ยอมเสียน้ำตาไม่ยอมผิดซ้ำกล้ำกลืน ฝืนศิษย์ให้ยืนท่ามกลางโลกอันสับสน
* ใครแพ้ตลอดไป คนลองคิดก็จะรู้ ดูถูกคนทุกผู้คือดูถูกตน คนชอบแย้งกัน เพราะยังยึดแต่เหตุผล ต้องดูเจ้าทุกข์ทนแล้วข้าปวดใจ
นานเท่าใดไม่ยืน ณ ตรงที่เก่า ความหลงบรรเทาเห็นจิตผ่องใส ความรักอาทรของข้ามอบไว้หมดใจ วอนศิษย์อย่าเมินเฉยไปเหมือนดังไม่รู้ (ซ้ำ *)
ชื่อเพลง อย่าทำเป็นไม่รู้
ทำนองเพลง สิ้นเยื่อขาดใย
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงเมตตา
คนอื่นบำเพ็ญใครได้ คนอื่นบำเพ็ญก็คนอื่นได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ตักข้าวใส่ปากใครได้กิน (เรา) เพราะฉะนั้นการที่เราจะทำอะไรนั้น เราต้องทำด้วยตัวของเราเอง ถ้าคนอื่นทำให้เราก็ย่อมไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ตอนนี้เรามีคนในบ้านที่เคยล่วงลับไหม มีญาติที่เคยเสียไปหรือเปล่า (มี) ตอนนี้ถ้าหากว่าอยากจะให้เขาได้กุศลต้องทำอย่างไร กรวดน้ำใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วเราคิดว่าตอนนี้เราต้องให้คนอื่นกรวดน้ำให้เราหรือเปล่า (ไม่ต้อง) เพราะฉะนั้นต้องให้ใครทำ (ตัวเราเอง) ตัวเราทำเองเราถึงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเรามัวแต่รอ พ่อแม่ก็รอให้ลูกบำเพ็ญให้ บางทีพี่น้องก็รอ บอกว่า พี่คนนั้นบำเพ็ญแล้ว น้องคนนั้นบำเพ็ญแล้ว เราไม่ต้องบำเพ็ญก็ได้ อย่างนี้แสดงว่าเรารอเขากรวดน้ำให้ใช่ไหม (ใช่) ตอนนี้เรามีร่างกายเป็นอะไร (เป็นคน) ร่างกายเราเป็นคน แล้วจิตใจของเราล่ะ (เป็นคน) มั่นใจไม่มั่นใจ ใครมั่นใจยกมือสูง ๆ ใครยกมือไม่สูงแสดงว่าไม่มั่นใจ เราก็ต้องมั่นใจว่า เราเกิดเป็นมนุษย์และจิตใจของเราก็เป็นคนที่สมบูรณ์ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่สมบูรณ์ทำอะไรบ้างล่ะ (ทำความดี) ทำความดีอะไรบ้าง (กตัญญูต่อพ่อแม่) เป็นคนที่สมบูรณ์ทำอะไรอีก (เป็นคนดีของสังคม) คนดีของสังคมทำอะไรบ้าง (ช่วยเหลือครอบครัวก่อนแล้วค่อยช่วยเหลือคนรอบข้างเรา) แล้วถ้าครอบครัวเราไม่ดีขึ้นสักทีล่ะ (แสดงว่าเราไม่ดี) คนอื่นว่าอย่างไร (ขยัน, ให้ความรักกับทุกคน) หันไปดูสิ คนที่รอความรักความเมตตาอยู่ เยอะแยะเลย แล้วเราเห็นคนอื่นยิ้มเรายิ้มไหม (ยิ้ม) ทุกคนเลยไหม ถ้าสมมติเราโกรธคนๆนั้นอยู่เราจะยิ้มไหม คนที่สมบูรณ์เป็นอย่างไร เอาตัวมาด้วย เอาใจมาด้วย ต้องตอบเป็นใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่ามัวนั่งคิดคนเดียว เออเองคนเดียว ไม่ตอบเพราะว่าคิดอะไรอยู่ใช่ไหม แล้วเมื่อไรจะเลิกคิดสักที แล้วคิดๆไปนี่จะฟังอาจารย์รู้เรื่องหรือเปล่า เวลามีคนพูดกับศิษย์อยู่ตรงหน้า แล้วถ้าศิษย์คิดโน่น คิดนี่ คิดนั่น คิดไปเรื่อยๆ ถามว่าจะฟังคนที่อยู่ตรงหน้ารู้เรื่องไหม (ไม่รู้เรื่อง) เพราะฉะนั้นตอนนี้ต้องทำอย่างไร (ฟัง) ต้องฟัง ฟังเสร็จแล้วค่อยคิด แต่ต้องคิดให้ไวหน่อยใช่ไหม (ใช่) บางคนเป็นคนคิดช้า กว่าจะคิดได้ว่าต้องบำเพ็ญธรรมก็ตายแล้ว เป็นอย่างไร รอคนกรวดน้ำ ใช่ไม่ใช่ (ใช่) เราเป็นคนแล้วเราจะต้องเป็นคนที่สมบูรณ์ คนที่สมบูรณ์นั้นจึงสามารถบำเพ็ญธรรมได้ คนที่มีร่างกายเป็นมนุษย์มีข้อดีไหม (มี) มีข้อดีมากมาย ศิษย์อยากจะทำอะไรก็ทำได้ อยู่ในโลกนี้ไม่ทุกข์ทรมานเหมือนอยู่ในนรก ไม่ได้สุขสบายเหมือนอยู่ในสวรรค์ก็จริง แต่ว่ามีร่างกายเป็นมนุษย์อยากทำอะไรก็ทำได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้ถ้าหากว่าคิดอยากจะทำความดีก็ต้องรีบทำ ถ้าหากว่าคิดอยากจะเลิกสิ่งที่ไม่ดีก็ต้องรีบเลิก แล้วที่สำคัญคือถ้าเราบำเพ็ญธรรมเราก็ได้เอง บำเพ็ญถึงเท่าไหร่ก็เท่านั้นเราได้เอง ไม่ต้องรอ ไม่ต้องหวังรอให้คนอื่นคิดถึงเราแล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้เรา ถึงตอนนั้นอุทิศมาจะถึงหรือเปล่า (ไม่แน่) ไหนใครคิดว่าเรากรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลนี่ถึงหมดเลยยกมือ ไหนใครเคยอุทิศส่วนกุศลยกมือ แล้วศิษย์คนที่กรวดเอง คนที่อุทิศเองไม่เคยมั่นใจว่ามันไปถึง แล้วจะถึงหรือเปล่า สมมติง่ายๆ ตักบาตรแล้วกัน เคยทำทุกคนนะ ใครไม่เคยทำก็ไปทำนะ เผื่อไม่ได้ไปนิพพานไปสวรรค์ยังมีข้าวกิน เวลาเราตักบาตรเราคิดอะไร ในขณะที่เราตักลงไปใจของเราเป็นกุศลล้วนๆ ไหม (เป็นกุศล) ตอนที่เราเตรียมของที่จะตักบาตรทำอะไรบ้าง เป็นความดีล้วนๆ ไหม (เป็น) ตอนหุงข้าวอยู่เคยว่าลูกไหม หุงข้าวไปด่าลูกไปเคยไหม สมมติว่าเราคุกเข่าตักบาตรพระอยู่ แล้วมีคนเดินมาตัดหน้าเรา แสดงว่าคนๆนี้ไม่มีสัมมาคารวะเลย กำลังตักบาตรหรือกำลังว่าเขาอยู่ในใจ (กำลังว่าเขา) ทำให้กุศลที่เราสร้างลดลงแล้วตอนที่เราอุทิศเหลือเท่าไหนไปถึงเขา เหลือเท่านี้น้อยไหม แสดงว่าตัวเราเองนั้นต้องมีอะไร อาจารย์จะบอกให้ แสดงว่าเราต้องมีความระมัดระวังในทุกอย่างทุกเรื่องที่เราทำไปใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่ชอบบำเพ็ญธรรมะ คนที่ชอบทางธรรมะก็อาจจะคิดถึงเรื่องตักบาตรนี้อาจจะฟังเข้าใจ คนที่ไม่ได้ฝักใฝ่ในทางธรรม ก็ยังมีเรื่องการทำงานอีกใช่หรือไม่ (ใช่) มันเป็นเรื่องเดียวกันไหม เรื่องเดียวกันอย่างไร คนทำงานต้องมีความซื่อสัตย์ไหม (มี) ถ้าไม่มีความซื่อสัตย์อนาคตก็ล้มเหลวใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราทำงานแล้วเราไม่มีความระมัดระวังจะเป็นอย่างไร อาจารย์ไม่ได้มานานใครคิดถึงอาจารย์บ้าง (คิดถึง) อาจารย์ถามตอนที่คิดถึงอาจารย์ทำอะไร เวลาเราคิดถึงบรรพบุรุษคิดถึงคนตายยังต้องกรวดน้ำเอาความดีส่งผ่านไปให้เขาใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาคิดถึงอาจารย์ก็ต้องทำอย่างไร (คุณความดี) ต้องทำอย่างที่อาจารย์นั้นเคยพูดไว้ ไม่ใช่คิดถึงอาจารย์ตอนฝนตกหนัก ฝนตกไม่หยุดเลยอาจารย์จี้กงอยู่ไหน เวลาฝนตกหนักๆ รถติดๆ ก็คิดถึง อย่างนี้ให้อาจารย์เป็นอย่างไร ให้อาจารย์เป็นจราจรหรือให้อาจารย์เป็นร่มดี เวลาเรากางร่มก็ใช่ว่าจะพ้นจากการเปียกฝนทุกคนใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นรู้ไว้เลยว่าทุกอย่างบนโลกนี้ที่เราทำขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นความดี ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีต่างๆ ที่เราทำขึ้นมามากมาย ขนาดร่มที่เรามั่นใจกางขึ้นมายังไม่แน่ว่าจะกันฝนได้ ความดีที่เราทำขึ้นมาอย่าคิดว่าเมื่อทำแล้วจะได้รับผลตอบกลับมาเป็นสิ่งที่ดีเสมอไป คนที่หวังสูง คนที่ปีนไปที่สูง เวลาตกลงมาก็มักจะเจ็บใช่หรือไม่ (ใช่) การที่ศิษย์นั้นมีความคิดทุกอย่างจะต้องตอบกลับมาเป็นผลที่ดีทำให้เรานั้นไม่สามารถจะรักษาความมั่นคงได้เวลาเจออุปสรรค ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนมีอุปสรรคไหม (มี) แต่ว่าเราจะฝ่าพ้นอุปสรรคนั้นได้ด้วยอะไร เราจะฝ่าอุปสรรคด้วยเงินทองหรือ เงินทองก็ไม่ค่อยจะมี จะฝ่าอุปสรรคด้วยอาวุธหรือ ก็กลัวจะไปทำร้ายคนอื่นเจ็บ จะฝ่าอุปสรรคด้วยอุปกรณ์หรือ ก็ไม่รู้อุปกรณ์เหล่านั้นไปอยู่ไหน มีอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่ต้องหา แค่มองส่องตนเองก็จะพบคือปัญญาที่อยู่ ณ ใจของเรา ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวาย ไม่ต้องเอาเงินไปแลกมา ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตนี้จึงไม่ต้องเห็นเงินเป็นพระเจ้า ดีหรือไม่ (ดี)
“คนเพ้อฝันวาดวิมานในอากาศ ย่อมไม่อาจมองการณ์ไกลด้วยสติ
ไม่มีใครทำทุกอย่างอย่างชำนิ หากศิษย์มิเคยฝึกหัดเลยสักครา
คนทุกคนนั้นชอบเพ้อฝัน เราก็คิดว่าถ้าเรานั้นได้ทำอย่างที่เห็นคนอื่นเขาทำ ถ้าเปลี่ยนให้เราไปทำ เราคงจะทำได้อย่างดีตอนนี้เขาทำ เราเห็นเขาพลาดกันเยอะแยะ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นเราต้องดีกว่านี้แน่นอน ใช่หรือไม่ (ใช่) เราคิดอย่างนั้นไม่ถูก เพราะว่าเรานั้นอยู่ในฝ่ายของคนมอง แต่อีกคนหนึ่งอยู่ในฝ่ายของคนทำ เขาอาจจะโดนปัญหาปั่นหัวจนเขาหัวหมุนไปแล้ว เพราะฉะนั้นการทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ใช่หรือเปล่า เรานั้นจึงว่าคนอื่นเขาไม่ได้ เพราะเวลาที่คนอื่นเขาทำไม่สำเร็จ และคิดว่าเขานั้นไม่เก่งไม่ดี แต่เราไม่รู้หรอกว่าในขณะที่เรานั้นมัวแต่คิด เขาก็ยังอยู่กับปัญหานั้น ใช่หรือไม่ หันกลับไปมองอีกครั้งหนึ่ง เขาอาจจะแก้ปัญหาเสร็จแล้วก็ได้ ในขณะที่เรานั้น ถ้าปล่อยให้ไปทำจริงๆ นั้น ปัญหาที่เขาเคยแก้เสร็จแล้ว แต่เราอาจจะมาวุ่นวายกับปัญหานั้นๆ แทนเขาก็ได้ ใช่หรือไม่ ฟังเข้าใจที่อาจารย์พูดไหม (เข้าใจ)
พอสรุปได้ไหมว่าอาจารย์ต้องการให้ศิษย์ทำอะไร (รู้จักคิดในการทำความดี, ทำความดีปัดเป่าความชั่ว) อาจารย์ต้องการบอกว่า ให้เรานั้นอย่าว่าคนอื่น เพราะว่าเรานั้นมีปากไว้กินไม่พอ มีปากไว้พูดแต่เราพูดเยอะ ช่างพูด บางทีเราเห็นข้อเสียของเขามากกว่าตัวของเขาเห็นเองอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถ้าเราอยากจะบำเพ็ญธรรม เราจะช่างพูดอย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้) จำเป็นที่จะต้องแก้ไขปรับปรุงความผิดของเรา เราแก้ไขหมดไหม (ไม่หมด) ถ้ายังเอาตัวไม่รอดก็จะช่วยคนอื่นได้หรือเปล่า (ไม่ได้) พอเราไปว่าเขาๆ ก็ว่ากลับ แสดงว่าเราต้องแก้ไขตัวเองก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์นั้นได้เห็นศิษย์ในที่นี้ไม่กี่คนหรอกที่เวลาว่าคนอื่นแล้วจะมีคนฟัง เพราะอะไร เพราะเรายังแก้ไขตัวเองไม่ได้ จึงไม่มีคนฟังเรา ใช่หรือไม่ วิธีง่ายๆ การที่จะว่าคนอื่นแล้วให้คนอื่นฟัง ต้องทำอย่างไร (ทำตัวเองให้ดี) ทำตัวเองให้ดีก่อน บำเพ็ญธรรมก็คือบำเพ็ญที่ตัวเอง เท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ไม่ใช่บำเพ็ญอยู่คนเดียว บอกว่าเราบำเพ็ญดี แต่เราบำเพ็ญที่บ้าน บำเพ็ญในห้องของเราเอง บำเพ็ญในหัวใจของเราเอง แต่ไม่เคยช่วยคนอื่นเลย อย่างนี้บำเพ็ญไปคนเดียวก็เป็นอย่างไร เวลาที่ศิษย์นั้นบำเพ็ญไปคนเดียว ศิษย์เคยต้องลำบากไหม เคยต้องเจออุปสรรคไหม เคยมีความท้อแท้ไม่อยากที่จะบำเพ็ญไหม (เคย) ถึงตอนนั้นให้ใครช่วย (ไม่มีใครช่วย) เพราะไม่เคยช่วยใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์คงไม่ถามว่าร้อนหรือเปล่า เพราะที่นี่มีอะไร (แอร์) แอร์ดับใจร้อนได้ไหม (ไม่ได้) แล้วมนุษย์คิดแอร์ขึ้นมาทำไมล่ะ ดับใจร้อนก็ไม่ได้ ดับได้แต่กายร้อน ดับได้จริงๆ หรือเปล่า ถ้าหากว่าใจร้อน กายยังร้อนไหม (ร้อน) อย่างนี้มารับแอร์สวรรค์ดีกว่า ใครอยากรับแอร์สวรรค์ยกมือหน่อยซิ ไหนใครขี้ใจร้อนยกมือขึ้น เกือบจะไม่มีใครไม่ยกเลย แสดงว่าเป็นคนใจร้อนทุกคนเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่างนี้ต้องเสียค่าไฟให้อาจารย์แล้วนะ จะได้แอร์ดับใจร้อน ดีหรือเปล่า (ดี) ค่าไฟอาจารย์คิดเป็นอะไรดี (คิดเป็นกุศล) ไม่เอาหรอกกุศลของศิษย์ ถ้าเอากุศลศิษย์เดี๋ยวจะไม่เหลือ ตอนนี้ใครคิดว่าตัวเองมีกุศลไหม ไม่มีเลย อย่างนี้ที่มีอยู่ก็ริบคืนให้หมด ดีไหม ไม่รู้จะตอบอาจารย์จี้กงอย่างไร ตอบว่ามีก็ไม่ได้ ตอบว่าไม่มีก็ไม่ได้ อย่างนั้นหรือเปล่า
ถามศิษย์รักทุกคนมีศรัทธาหรือไม่ (มี) ศรัทธาแบบไหน ศรัทธาแบบเปลี่ยนแปลงเสมอใช่หรือเปล่า ศรัทธาแบบมั่นคงหรือศรัทธาแบบเฉยๆ แบบไหนอาจารย์จี้กงต้องรับทุกอย่างเลยใช่ไหม ช่วยไม่ได้มาเป็นอาจารย์ใครก็ไม่รู้
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลง)
อย่างที่อาจารย์บอกศิษย์ ถ้าพายเรืออาจารย์ก็เห็นถึงความศรัทธา ถ้าหากไม่ตั้งใจพายก็แสดงว่าไม่มีความศรัทธาใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเราพายเรือ เรารู้สึกไหมว่าตัวเองไม่ค่อยมีแรง ถ้าเรารู้สึกว่าเราไม่ค่อยมีแรงก็แสดงว่าเราแก่แล้ว ใครที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีแรงพาย และรู้สึกว่าตัวเองแก่แล้วต้องรีบๆๆ (พาย) ต้องรีบบำเพ็ญใช่หรือไม่ (ใช่) แสดงว่าเราไม่มีแรง ถ้าหากว่าให้เราวิ่ง สมมติออกจากจุดเริ่มต้นเหมือนกันทุกคน คนที่ไม่มีแรง ถ้าให้ออกเริ่มเท่ากับคนอื่นเป็นอะไร จะเป็นกระต่ายมาทีหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นต้องฉวยโอกาสที่คนยังไม่ได้ตั้งตัว ยังไม่เริ่มต้น รีบวิ่งออกไปก่อนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเรารู้สึกว่าเรานั้นเป็นคนที่อายุมากแล้วเราต้องรู้จักปล่อยวาง เรื่องในครอบครัวทะเลาะเบาะแว้งกันก็ดี ทะเลาะกันทุกวัน ทะเลาะวันไหนจบ วันไม่มีลมหายใจก็จบแล้ว เหมือนละครจบ ทำงานๆๆ ต้องหาเงินๆๆ ทำงานหาเงินทุกวันเมื่อไหร่พอใช้ (ไม่พอ) ทำไมไม่พอใช้ล่ะ ก็ทำทุกวันนะ
เราห่วงใยลูกหลาน เมื่อไหร่เลิกห่วงใย ทุกอย่างจบลงที่ตายหมดเลย รู้สึกไหม เพราะฉะนั้นตอนนี้เราตายหรือยัง (ยัง) แล้วเราอยากจะมีชะตาชีวิตอย่างที่อาจารย์ว่าไหม (ไม่อยาก) ฉะนั้นเราต้องรู้จักที่จะเจียดเวลามาทำประโยชน์ต่อตนเองบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกวันก็ทุ่มเทเวลาให้กับลาภยศเงินทอง ชื่อเสียง ลูกหลาน การเงิน อาชีพ ญาติพี่น้อง แต่ไม่มีใครบอกว่าจุดจบคืออะไร ไม่มีใครกล้าคิดถึงจุดจบเรื่องนี้ แต่อาจารย์พูดให้ศิษย์ได้เข้าใจ จุดจบของเรื่องนี้ก็อยู่ที่ศิษย์สรุปเอง นั่นคือ “ตาย” ทุกอย่างจบ ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าปลงบ้าง ละบ้าง สิ่งใดไม่ดีเลิกไปแล้วบำเพ็ญ คำว่า “ปลง” เขียนยากไหม (ไม่ยาก) เด็กๆ ก็เขียนได้ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ว่าเราโตมาจนถึงทุกวันนี้ทำได้หรือยัง (ยัง) ทำไมล่ะ (ยาก) ทำไมถึงทำไม่ได้ ไหนใครเคยปลง เล็กๆ น้อยๆ ได้ถึงห้าเรื่องยกมือขึ้น ไหนใครคิดว่าตัวเองปลงได้ถึงสิบเรื่องยกมือขึ้น อาจารย์ไม่คิดว่าศิษย์คนไหนเป็นเด็ก ทุกคนนั้นมีปัญญา เพราะฉะนั้นถึงจะเป็นเด็กอาจจะปลงได้มากกว่าผู้ใหญ่ก็ได้ ใครเคยปลงได้ถึงสิบเรื่อง สิบเรื่องไม่มี เก้าเรื่อง แปดเรื่อง เจ็ดเรื่อง หกเรื่อง ห้าเรื่อง คนที่ยกเมื่อสักครู่ไม่ยอมยกเลย สี่เรื่อง สามเรื่อง สองเรื่อง หนึ่งเรื่อง ใครไม่เคยปลงอะไรเลยยกมือขึ้น อาจารย์อาจจะถามและศิษย์อาจจะคิดไม่ออกว่าจริงๆ เคยปลงไปเท่าไหร่ แต่อาจารย์ถามศิษย์โดยคร่าวๆ ว่าโดยความรู้สึกของศิษย์ๆ ปลงไปกี่เรื่อง คนที่ปลงได้มากที่สุดในห้องนี้ห้าเรื่องเท่านั้นเอง ชีวิตนี้เจอมากี่เรื่อง ร้อยเรื่องน้อยไปไหม พันเรื่อง (น้อยไป) เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกว่ามันกี่เรื่องผ่านมาแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) โลกในความ รู้สึกของศิษย์เพิ่งจะปลงได้ห้าเรื่อง น้อยไหม (น้อย) เมื่อเทียบเป็นส่วนแล้วก็ยังน้อยเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่) เราคิดว่าเราน่าจะก้าวหน้ามากกว่านี้ไหม (มากกว่า) คนที่อายุน้อยก็ยังมีโอกาสก้าวไปเยอะ คนที่อายุเริ่มเลขสาม สี่ ห้า หก เจ็ด โอกาสปลงน้อยลง เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าคนที่อายุมากต้องวิ่งเร็ว ถึงแม้ว่าเราอายุมากแรงน้อยเหมือนเต่า แต่ในนิทานที่เล่ากันเต่ากับกระต่ายใครชนะ (เต่าชนะ) อยากเป็นเต่าหรือเป็นกระต่ายในเรื่องนั้น (เป็นเต่า) ฉะนั้นคนเราโง่ก็ไม่เป็นไร ไม่ฉลาดก็ไม่เป็นไร แรงน้อยอายุมากก็ไม่เป็นไร มีแต่อะไรชนะ (ความพยายาม) มีแต่ความพยายามเท่านั้นเองที่พาให้ศิษย์นั้นเข้าถึงเส้นชัยได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ที่อาจารย์เทียบว่าเป็นคนแก่เพราะสมัยนี้ไม่ต้องให้อายุมากก็เรียกว่าแก่ อายุน้อยๆ ก็แก่ พอสิบห้าขึ้นไปก็เริ่มแก่แล้วใช่หรือเปล่า (ใช่) แก่จนไปถึงอายุห้าสิบ หกสิบ เจ็ดสิบเลย ฉะนั้นทุกคนก็เหมือนเต่า เราเป็นเต่าแต่เราเข้าเส้นชัยไหม (เข้า) แต่เต่าห้องนี้เยอะมาก คนที่ตอนนี้คิดอยากเป็นกระต่ายก็คงจะมีอยู่ เต่าในห้องนี้ถ้าให้วิ่งกันคนที่ถึงเส้นชัยมีกี่คน คนที่ถึงเส้นชัยคนแรกนั้นมีได้คนเดียวเท่านั้นเอง แล้วคิดว่าคนนั้นจะเป็นเราไหม อันนี้ไม่ได้แข่งทางด้านระยะทางไกล แต่แข่งทางด้านการบำเพ็ญไกล บำเพ็ญมาราธอน ดูซิว่า ที่อาจารย์พูดอย่างนี้ศิษย์จะคิดว่าตัวเองจะบำเพ็ญมากขึ้นหรือไม่ก็แล้วแต่ศิษย์ ศิษย์คิดว่าอาจารย์สอนให้ศิษย์ปลง ปลงได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวศิษย์เอง คนปลงได้มากก็ได้เปรียบมาก เราได้เปรียบโดยที่เราไม่ต้องไปเอาเปรียบใคร โดยการที่เรานั้นแค่รู้จักว่าอะไรควรและไม่ควรเท่านั้นเอง ศิษย์จะได้เปรียบโดยไม่ต้องเอาเปรียบ แล้วก็ไม่กลัวใครเอาเปรียบเราด้วยเพราะนี่คือสิ่งที่อยู่ในใจ บำเพ็ญที่จิตใจ ไม่กลัวใครชนะ กลัวแต่เราไม่ทำเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นพายเรือธรรม) ยังมีคนพายผิดจังหวะอีกนะ เหมือนปรบมือผิดจังหวะ แต่ขยันๆ ฝึกฝน ผิดจังหวะก็กลายเป็นถูกจังหวะได้ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
(เมื่อนักเรียนนั่งเก้าอี้แล้วจึงเชิญพระอาจารย์นั่ง) เห็นไหมว่าศิษย์ของอาจารย์เวลาสบายไม่คิดถึงอาจารย์เลย คิดถึงอาจารย์แต่ตอนฝนตก แดดออก รถติดเท่านั้นเอง อาจารย์พูดเล่นนะ อาจารย์ก็เป็นพระสงฆ์บ้าๆ บ๊องๆ ไม่ถือสาเอาความใช่ไหม ศิษย์นั้นเวลาที่อยู่กับคนอื่น บางคนก็ดีบางคนก็ร้าย ถ้าหากว่าเรานั้นมัวแต่ถือสาคนอื่น ถือสาทุกอย่าง ทุกเรื่องที่เราได้รู้ ได้ยิน ได้ฟัง ได้เข้าใจ ถ้าเราถือสาทุกเรื่องนี่ใครบ้าตาย (ตัวเรา) เราบ้าตาย อยากเป็นบ้าตายไหม (ไม่อยาก) ไม่อยากบ้าตาย ฉะนั้นเราต้องมีปัญญาที่จะแยกแยะ ถ้าเราแยกแยะไม่เป็น ก็เป็นอย่างไร เราก็มองคนพูดเล่นเป็นพูดจริง พูดจริงเป็นพูดเล่น เราก็ไม่รู้จักแยกแยะ เวลาคนเขาว่าเรา เราก็ฟังความนัยของความหมายของเขาไม่ออกก็เป็นอย่างไร เราก็ยิ้มแฉ่งเลย คนว่าเราว่าตั้งยาวแล้วนะ ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาว่า แต่การว่ากันนั้นบางทีคนเขาก็ว่าอย่างอ้อมๆ มนุษย์โลกปัจจุบันมีไม่กี่คนหรอกที่ว่ากันตรงๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ว่าตรงๆ ดีหรือเปล่า (ดี) จริงหรือ คนที่บอกว่าชอบคนว่าตรงๆ ถึงเวลาเจอคนเขาว่าตรงๆ ก็รับไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเรารู้สึกว่าเขาพูดไม่น่าฟังเลย เราไม่ชอบเลย แล้วคนว่าอ้อมๆ เราก็ฟังไม่รู้เรื่อง ทำอย่างไรล่ะ
อาจารย์ถามศิษย์สักอย่างหนึ่งนะ หากว่าศิษย์เป็นคนใหญ่คนโตคนหนึ่ง เป็นผู้ใหญ่แล้ว เคยผ่านประสบการณ์ความวุ่นวายต่างๆ มา แล้ววันหนึ่งเผอิญศิษย์ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่ง ทะเลาะเบาะแว้งมีเรื่องแล้วก็กำลังมีภัยมาถึงตัว ศิษย์เป็นคนยืนมองเขาเฉยๆ ได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าหากว่าศิษย์ยังคิดไม่ออก กว่าศิษย์จะเดินเข้าไปช่วยเขา เขาก็อาจจะฆ่ากันตายแล้ว ถ้าศิษย์ไม่คิดจะช่วยนอกเสียจากจะหันหลังไปมองไม่เห็นแล้ว นอกนั้นที่เหลือต้องช่วยหมดใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้โลกมนุษย์เป็นคนกลุ่มนั้น คนที่ยืนมองอยู่นั้นเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์ว่าโลกทุกวันนี้วุ่นวายไหม (วุ่นวาย) เชื่อใจตัวเองไหม (ไม่เชื่อ) ถ้าหากว่าศิษย์เชื่อใจตัวเองเชื่อว่าเราเป็นคนดี ก็จงเชื่อเถอะว่ายังมีคนดีอยู่ในโลก แต่หากศิษย์คนไหนไม่เชื่อใจตัวเอง คิดว่าใครจะทำให้ศิษย์เชื่อใจตัวเองได้ ตอนนี้โลกของศิษย์นั้นวุ่นวายทีเดียว เมื่อก่อนนี้มีแต่ครอบครัวทะเลาะเบาะแว้งวุ่นวายใช่หรือไม่ ตอนนี้สังคมวุ่นวายไหม (วุ่นวาย) ศิษย์อาจจะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ศิษย์ลองไปดูให้ละเอียดจะเห็นว่าสังคมวุ่นวายมากกว่าธรรมดา ศิษย์อย่าเป็นคนทำใจกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะเรื่องเหล่านั้นไม่ได้เกิดกับตัวศิษย์ ศิษย์จึงไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันวุ่นวาย ถ้าตราบใดรอให้เรื่องต่างๆ ปัญหาต่างๆ มาชนศิษย์เข้าเหมือนรถยนต์ ศิษย์คงจะต้องหามส่งโรงพยาบาล ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อสังคมก็วุ่นวายกว่าปรกติ ประเทศชาติก็วุ่นวายกว่าปรกติ โลกทั้งโลกก็วุ่นวายกว่าปรกติ ทุกๆ ที่ทุกๆ ก้าวที่ศิษย์เหยียบย่างไป มีที่ไหนที่ไม่มีความวุ่นวาย ศิษย์จะยืนมองเฉยๆ หรือ ไม่ใช่แต่มนุษย์วุ่นวายอย่างเดียว ธรรมชาติวุ่นวายไหม (วุ่นวาย) ชั่วชีวิตศิษย์เคยเจอแผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟไหม้ไหม (เคย) แล้วมากเท่านี้มาก่อนไหม ยิ่งนับวันยิ่งมากใช่หรือไม่ (ใช่) แสดงว่าไม่ใช่เพราะมนุษย์เท่านั้น สมัยก่อนนั้นคนจะเคารพพระธรรมมากเป็นพิเศษ แต่สมัยนี้คนก็เอาพระธรรมมาล้อเล่น ทำให้ศิษย์นั้นไม่มีความเชื่อมั่นในเรื่องกฎแห่งกรรม จนเหมาเอาว่าทุกอย่างที่เราเห็นนั้นเป็นเท็จ แต่อาจารย์ถามศิษย์อย่างหนึ่ง เวลาที่ศิษย์ทำไม่ดีกับคนอื่น แล้วคนนั้นจะทำดีกับศิษย์ไหม (ไม่) นี่เป็นผลกรรมหรือเปล่า (เป็น) ไม่ต้องคิดว่าเรื่องใหญ่ๆ เรื่องที่เราเห็นเราไม่เชื่อ เชื่อเฉพาะเรื่องที่เรารู้ ที่เราได้สัมผัสกับตัวเราเท่านั้น เพราะนั่นเป็นอุปสรรคในใจของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์เป็นผู้ใหญ่ที่มองดูกลุ่มนั้นตีกัน มองเห็นเขาไปตีกันกลางถนน เดี๋ยวรถจะวิ่งมาชน จะให้ทำอย่างไร ยืนอยู่เฉยๆ หันหลังกลับไปหรือ ทำได้ไหม (ไม่ได้) ทำไม่ได้จริงๆ ฉะนั้นอาจารย์ลงมาช่วย เพราะว่าทุกคนเป็นศิษย์ของอาจารย์ อาจารย์มีสิทธิช่วย แต่อาจารย์ช่วยศิษย์แล้ว ดึงขึ้นมาจากทะเลทุกข์ ศิษย์อยากจะกระโดดกลับไปในทะเลทุกข์ไหม (ไม่อยาก) ศิษย์คิดว่าศิษย์ทำอย่างทุกวันนี้ ประพฤติปฏิบัติอย่างทุกวันนี้ จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ไหม (ไม่ได้) จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งยิ่งใหญ่ ทำในสิ่งที่ตัวเรานั้นก็คาดไม่ถึง สร้างกุศลครั้งยิ่งใหญ่ แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงจิตใจ การลงแรงที่จิตใจของเรา ให้เรานั้นเป็นคนที่ดีอย่างแท้จริง และมั่นคงตลอดไป ถ้าหากว่าคนที่ทำ ศิษย์คิดว่าคนนั้นมีสิทธิไหม
(มีสิทธิ) แล้วศิษย์คิดว่าศิษย์มีสิทธิไหม (มีสิทธิ) ทุกคนมีสิทธิแต่ทุกคนพยายามจะสละสิทธิ เชื่อไหมว่าตัวเองจะพยายามสละสิทธิ ทุกคนมีสิทธิอยู่ในมือ เหมือนเล็บที่อยู่บนมือนี้ แต่ศิษย์พยายามจะดึงเล็บออกอย่างเดียวนะ ถ้าดึงเล็บออกเจ็บไหม (เจ็บ) แต่ศิษย์นั้นยอมเจ็บปวดในการที่จะมีชีวิตอยู่ในโลก และสมหวังอย่างคนทางโลก โดยไม่มองว่าในความเป็นจริงแล้ว ศิษย์ของอาจารย์นั้นยังกำลังฝันหรืออยู่กับความจริง ศิษย์ยอมเจ็บไหม ลองคิดสิว่า ที่ผ่านมาชีวิตของเรานั้น เรายอมเจ็บปวดทุกๆ ครั้งไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นความคิด อาจารย์ไม่รู้จะยกตัวอย่างอย่างไร เพราะแต่ละคนนั้นก็มีแต่ละแบบ อาจารย์รู้แต่ว่าทุกๆ ครั้งที่ให้ศิษย์นั้นมาบำเพ็ญธรรม ศิษย์ของอาจารย์ไม่อยากบำเพ็ญ ทุกคนยอมที่จะหลงโลกีย์โลกนี้ต่อไป โดยที่ไม่อยากที่จะบำเพ็ญ แต่อาจารย์หวังเสมอว่า ศิษย์ทุกๆ คนนั้น จะมีจุดยืนความเชื่อมั่นของตัวเอง เชื่อมั่นพอที่จะพาตัวเองให้หลุดพ้นจากอวิชชาเหล่านี้ได้ ใช่ไม่ใช่ (ใช่) หวังว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนจะได้บำเพ็ญธรรม อาจารย์ยกตัวอย่างนี้ก็เพื่อให้ศิษย์รู้ว่า ทำไมเบื้องบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงต้องมาช่วยศิษย์ในตอนนี้ หวังว่าศิษย์คงจะไม่เห็นเรื่องที่อาจารย์ยกตัวอย่างขึ้นมาเป็นเรื่องเล่นๆ ถ้าวันหนึ่งเราให้ความเดือดร้อนต่างๆ มาถึงตัวเรา ไม่ทันการที่เราจะหนี วันหนึ่งเราไม่มีร่างกายอันนี้ ก็รอได้แค่คนกรวดน้ำ ถ้าหากว่าศิษย์มีร่างกายนี้ แล้วศิษย์ลงมือตั้งแต่วันนี้ ทำสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้แก่นักเรียนที่ตอบคำถาม และให้นักเรียนในชั้นบางคนออกมาร่วมเล่นเกมโดยใช้ผลส้มแทนปลา)
อาจารย์จะให้ศิษย์คนนี้ทำบุญปล่อยปลา แล้วให้ศิษย์ทั้งหลายเป็นคนจับปลา ศิษย์ต้องปล่อยปลานี้ให้พ้นคนทุกคนไป เวลาเราปล่อยปลาก็ต้องปล่อยให้เขามีชีวิตรอด ใช่หรือเปล่า (ใช่) ทีนี้ศิษย์ต้องปล่อยให้ข้ามคนทุกคนไปโดยไม่ให้ใครจับปลาได้
อาจารย์ให้เล่นเกมนี้อาจารย์มีเหตุผล คนที่ยืนอยู่อย่างนี้เป็นอุปสรรคของเรา สมมติเราทุกคนเป็นคนๆ นี้ที่จะทำความดีสักอย่างหนึ่งแต่โดนอุปสรรคนั้นขวางไว้ นอกจากศิษย์จะต้องเร็วแล้ว ยังจะต้องดูลู่ทางให้ดีใช่หรือไม่ (ใช่) เราต้องหาวิธีทำความดีของเรานั้นไปให้ถึงที่สุด แต่ว่าอุปสรรคนั้นที่ตั้งขึ้นมา คนที่ยืนอยู่ตรงนี้ทุกคนอาจารย์ถามว่ามีใจไหมที่คิดว่าต้องจับให้ได้ ถ้าหากว่าศิษย์ไม่เห็น ในความเป็นจริงแล้วเวลาอุปสรรคมา ปัญหามา ศิษย์ไม่เห็นหรอกว่ามีกี่ด่าน ไม่รู้หรอกว่าเวลาที่เราจะต้องไปเจอนั้นจะจับอย่างไร แต่ในความเป็นจริงนั้นด่านทุกด่านตั้งใจจะจับ แล้วถามว่าเรานั้นจะท้อแท้ไหมถ้ามีอุปสรรคมาตั้งไว้อย่างนี้ ถ้าเรามีความเชื่อมั่นว่าเราจับไม่ได้ แล้วเราจะจับได้ไหม กว่าเราจะรู้อีกทีส้มอาจจะรอด เพราะเราคิดว่าส้มมาไม่ถึง เราคิดว่าทุกคนไวเหมือนเราเก่งเหมือนเรา แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจจะมีคนที่ช้ากว่าเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจจะมีคนที่เขาเผลอเหมือนกัน ทำให้ส้มสามารถหลุดมาที่เราได้ ฉะนั้นจึงอยากจะบอกศิษย์ว่า คนทุกคนนั้นเวลาจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งมีอุปสรรคมากมาย จำเป็นที่จะต้องรู้จักฝ่าทะลวงไป แม้กระทั่งศิษย์คนสุดท้ายศิษย์ก็ต้องมั่นใจว่าศิษย์นั้นจะสามารถประสบความสำเร็จคือนำความดีนั้นมาให้สุดปลายทางได้เหมือนกัน บำเพ็ญธรรมแล้วต้องว่องไวรวดเร็ว อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนนั้นคิดในเรื่องที่อาจารย์ให้เล่น ไม่ใช่เล่นไปเฉยๆ คิดในด้านกลับกัน ถ้าหากว่าเรานั้นยืนเป็นที่กั้นอยู่แต่ละประตู เราคงไม่คิดว่าตัวเราเป็นอุปสรรค แต่จะคิดว่าถ้าหากว่าเราเป็นฝ่ายที่จับปัญหา จับปัญหาให้อยู่หมัด แล้วถ้าหากว่าเรานั้นอยู่หลังๆ เกินไป เราไม่มั่นใจว่าเราจะจับปัญหาได้อยู่ แล้วศิษย์จะเอาชนะปัญหาเหล่านั้นได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นจึงอยากบอกว่าไม่ว่าเราจะอยู่ในจุดของคนส่งปลาหรืออยู่ในจุดของคนจับปัญหา เราต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ในการบำเพ็ญธรรมนั้นแม้ว่าศิษย์นั้นจะยังไม่เข้าใจอะไรแต่ก็ต้องมีความเชื่อมั่น คนที่เข้าใจมากกว่าคนอื่น ก็ไม่ได้หมายความว่าเขานั้นจะเข้าใจไปทุกอย่าง อาจารย์เห็นคนที่มีความเข้าใจมากกว่าคนอื่นนี้มีความมั่นใจมากเหมือนกับทุกอย่างในโลกนี้เรารู้หมด แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยว่าศิษย์เลยว่าศิษย์นั้นเป็นคนที่โอ้อวดเกินไปหรือเปล่า หรือว่าเป็นคนที่รู้ไม่จริง ขอเพียงศิษย์นั้นมีความมั่นใจ สามารถพาตัวเองให้รอด สามารถพาคนอื่นให้รอด อ่อนน้อมถ่อมตนให้มาก ศิษย์นั้นจะเป็นคนที่มีคนอื่นรักแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะคนทุกคนนั้นมีข้อดีข้อเสีย ถ้าหากว่าเราเลือกมองเฉพาะข้อเสีย เราก็จะเห็นแต่ข้อเสีย หากเราเลือกมองเฉพาะข้อดีเราก็จะเห็นข้อดีใช่หรือไม่ (ใช่) คนทุกคนมีข้อดีข้อเสียรวมทั้งตัวเราเองด้วย แต่ว่าจะมามัวมองข้อดีของตัวเองได้ไหม (ไม่ได้) จะกลายเป็นคนหลงตัวเอง เหมือนกับเวลาศิษย์ไปส่องกระจกสี่คน คนที่สวยที่สุดคือตัวเองใช่หรือเปล่า (ใช่) ต่อให้ดาราชั้นนำก็ชิดซ้าย ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะว่าเห็นตัวเองนั้นสวยที่สุดเสมอ ทุกคนหรือเกือบทุกคนเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์มีความมั่นใจอย่างนี้ในการบำเพ็ญธรรม ที่หนึ่งเราก็ทำได้ ต้องอย่าลืมว่าถ้าเราทำทุกอย่างคนอื่นก็อดทำใช่ไหม ฉะนั้นคิดอย่างมีสติคิดอย่างมีเหตุผล รอบคอบ ดีหรือไม่ (ดี)
ใครเจอศึกหนักมาแล้วบ้าง เดี๋ยวครั้งต่อไปเจอหนักกว่านี้แล้วจะรู้สึกว่าครั้งนี้เบา อาจารย์อวยพรถูกหรือเปล่า ถูกแต่ไม่อยากรู้ ฟังไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม เวลาคนเขาชี้แนะก็ต้องรู้จักฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับอาจารย์บอกว่าครั้งนี้หนักแล้ว ครั้งหน้าเจอหนักกว่านี้จะรู้สึกว่าเรื่องนี้เบา เป็นความจริงแต่ว่ารับไม่ค่อยได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ว่าจะเจอศึกหนัก ศึกย่อย อุปสรรคมาก อุปสรรคน้อย หวังว่าศิษย์นั้นจะไม่ทิ้งธรรมะไม่ทิ้งอาจารย์ เพราะถ้าหากศิษย์ไม่ทิ้งธรรมะไม่ทิ้งอาจารย์ ศิษย์ก็ย่อมจะเจอทางที่ดีกว่าในวันนี้ เจอในทางที่ดีกว่าก่อนที่ศิษย์จะเจออุปสรรคอีก
“ความหลงบรรเทาเห็นจิตผ่องใส” ตอนนี้ถ้าจิตของเรายังไม่รู้สึกแจ่มใส ไม่รู้สึกผ่องใส จิตของเรายังขมุกขมัว เรื่องไหนเป็นเรื่องเก่าๆ ก็ยังจำไม่เลิก แสดงว่าเรายังหลงอยู่ หลงมากหลงน้อย เราหลงไหม (หลง)
ศิษย์คนนี้ถึงจะวงช้าที่สุด แต่ก็เป็นศิษย์ที่น่ารัก เด็กๆ บำเพ็ญธรรมดูแล้วน่ารัก ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเกิดอายุมากแล้วยังไม่รู้จักบำเพ็ญธรรมเป็นอย่างไร
คนไม่รู้หนังสือสำเร็จเป็นพุทธะได้เยอะแยะใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมะนั้นไม่สามารถหาได้ในตำรา ธรรมะนั้นแท้ที่จริงไม่มีอยู่ในตำรา ที่มีอยู่ในตำรานี้ก็เพื่อบอกให้เรารู้ทางเพียงคร่าวๆ ฉะนั้นคนที่หลงยึดติดว่าหนังสือนั้นจะเป็นทางออกให้กับทุกๆ อย่างนั้นไม่ใช่ หนังสือนั้นเป็นเพียงแค่การชี้แนะ การบอกเล่า ส่วนธรรมะจริงๆ อยู่ที่การปฏิบัติลงแรงจริง คนที่ลงแรงจริงจึงเห็นธรรมะจริง สมมติว่าศิษย์เคยอ่านเรื่องของความโมโห ความใจร้อนแล้วบอกว่าแก้ได้ด้วยขันติ แต่ถ้าหากว่าในชีวิตศิษย์ไม่เคยขันติเลย อ่านไปขันติอีกยี่สิบหนมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)
คนอายุมากนั้นมีประสบการณ์มากกว่า เรานั้นต้องรู้จักเคารพคนที่สูงอายุ อย่ามองเห็นว่าเขานั้นเลอะเทอะเลอะเลือน เพราะว่าสักวันหนึ่งเราก็ต้องแก่ ถ้าเรามองว่าวันนี้พ่อแม่ของเรานั้นเลอะเทอะเลอะเลือน วันหน้าลูกหลานของเราก็มองเราว่าเลอะเทอะเลอะเลือน เนื่องด้วยความคิดความอ่านที่ไม่ตรงกัน เมื่อก่อนนี้เราเป็นลูก ตอนเราเล็กๆ พ่อแม่ทำอะไรเราก็ไม่เคยคัดค้าน ไม่เคยบอกว่าไม่ถูก พอเราโตขึ้นพ่อแม่อายุมากขึ้นแรงก็ถดถอย พ่อแม่ก็ยังมีความคิดเดิมๆ แต่เป็นความผิดของท่านไหม (ไม่ใช่) เป็นเพราะว่าท่านก้มหน้าก้มตาเลี้ยงลูก เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็แก่แล้ว เพราะฉะนั้นความคิดของพ่อแม่ยังเหมือนเดิม แต่ความคิดของเรามันล้ำหน้าเริ่มจะคัดค้านว่าพ่อแม่พูดผิด คิดผิด ทำผิด ไปๆ มาๆ ก็มองเขาว่าเลอะเทอะเลอะเลือน แต่ไม่ได้ดูว่าจริงๆ แล้วมันเป็นแค่เพียงช่องว่างระหว่างวัยเท่านั้นเอง ฉะนั้นเราผู้เป็นลูก สักวันหนึ่งเราก็คงแต่งงานมีครอบครัว แล้วเราจะรอให้ลูกของเรามาว่าเราเลอะเทอะไหม ถ้าวันนี้เราว่าพ่อแม่ วันหนึ่งลูกก็ว่าเรา ความกตัญญูนั้นเป็นความดีที่ทำให้คนนั้นเป็นคนเต็มคน ไม่ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นตอนนี้จะมีพ่อแม่ที่มีชีวิตอยู่หรือไม่ เราก็ต้องมีจิตใจที่กตัญญู คนที่มีพ่อแม่ถือว่ามีโอกาสแสดงความกตัญญู ขอให้แสดงออกมาอย่างจริงใจ ทำเท่าที่เราทำได้แล้วทำให้ดีที่สุด แล้วศิษย์ก็จะเห็นผลดีที่ติดตามมาเป็นกุศลผลบุญที่ศิษย์สร้างเอง หากว่าเป็นลูกแล้วกตัญญูไม่ได้ ศิษย์ไปทำงานแล้วจะทำงานสำเร็จไหม (ไม่สำเร็จ) ในเมื่อแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่สามารถที่จะนำพาตัวเองให้มีความกตัญญูได้ ในบ้านก็ไม่สามารถเป็นลูกที่กตัญญูได้ ทำงานก็คงจะทำให้ดีไม่ได้ ไม่ว่าทำอะไรก็จะไม่สำเร็จ ฉะนั้นบำเพ็ญธรรมเริ่มแรกหลังจากวันนี้กลับไป ใครไม่เคยยกน้ำให้แม่ก็ลองยกน้ำให้แม่ ใครไม่เคยตักข้าวให้พ่อก็ลองไปตักข้าวให้พ่อ ใครไม่เคยทำสิ่งดีๆ ให้กับพ่อแม่ เพราะว่าแค่คำว่าเขิน เราไม่รู้หรอกว่าพ่อแม่รอให้เรานั้นดีกับท่าน เราโตขึ้นมาเป็นคนแล้ว เรายังคิดอยู่ว่าเรายังเขินๆ แล้วเมื่อไหร่จะได้ทำ รอให้ท่านไม่มีชีวิตแล้วจะทำกับข้าวดีๆ ไปให้ จะเรียกญาติพี่น้องลูกหลานไปให้ครบแล้วจะมีประโยชน์อะไร เพราะเวลาศิษย์ไหว้ท่านอาจจะไม่ได้อยู่ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นทำให้ดีในสิ่งที่ตนทำได้ ไม่ยากแค่ลงมือ
วันนี้อาจารย์มาที่นี่เจอหน้าศิษย์ทุกคน หลังจากที่ศิษย์ไม่ได้เจออาจารย์มานาน บางคนมีความเปลี่ยนแปลงในด้านดี และบางคนเปลี่ยนแปลงในด้านแย่ลง แต่อาจารย์หวังว่าศิษย์ทุกคนจะเข้มแข็ง มั่นคง ไม่ถูกกระแสโลกพัดพา ความรักโลภโกรธหลงที่อาจารย์เคยพูดไปนั้น เขาไม่ยอมให้ศิษย์ล้อเล่นด้วยหรอกนะ ลองใครคิดว่าลองดีกับเขาได้ แค่สัมผัสเขาก็หลงแล้ว แค่สัมผัสก็รักแล้ว แค่สัมผัสก็โกรธแล้ว แค่สัมผัสก็โลภแล้ว การที่เราบำเพ็ญธรรมในชาตินี้ เราบำเพ็ญกันจริงๆ ไม่ได้บำเพ็ญกันเล่นๆ เหมือนกับที่ศิษย์บอกอาจารย์ว่าในความเป็นจริงแล้วมันทำไม่ได้หรอก อาจารย์อยากจะถามศิษย์ รู้ไหมว่าอะไรคือความจริงและอะไรคือความฝันกันแน่ ที่ศิษย์อยู่ในตอนนี้ศิษย์บอกว่านี่คือโลกความจริงของศิษย์ แต่ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มองบอกว่านี่คือโลกความฝันของศิษย์ เวียนว่ายตายเกิดหลายภพหลายชาติ ชาติหนึ่งใช้เวลาเท่าไหร่ ถ้าเป็นแมลงก็สั้นหน่อย ถ้าเกิดเป็นคนก็ยาวหน่อย แล้วศิษย์คิดว่าหลายภพหลายชาติที่ผ่านมา หกหมื่นปีที่ผ่านมา โลกความจริงของศิษย์มีร้อยปี แต่โลกความฝันของศิษย์นั้นมันยาว มองให้เห็นให้รู้จริงๆ ว่าอะไรคือความจริงอะไรคือความฝัน อดทนร้อยปีสำเร็จกลับคืนเบื้องบน หรือว่าตามสบายตามใจร้อยปี ทุกข์ทนตลอดกาล เลือกอะไร
ศิษย์บางคนเข้มแข็ง มีโรคภัยไข้เจ็บไม่เคยปริปากบ่น ศิษย์บางคนแค่มดกัดก็ไม่ได้แล้ว ศิษย์ลองไปทำอย่างที่อาจารย์พูด วันนี้ทำไม่ได้วันหน้าก็ทำได้ วันหน้าทำไม่ได้ วันต่อๆ ไปก็ทำได้ หนทางแพ้คนที่ขยันเดิน ตอนนี้ที่ศิษย์บอกว่าโลกความจริงศิษย์ทำไม่ได้ ศิษย์นั่งลงดูความลำบากหรือต่อสู้กับความลำบาก (ต่อสู้) การต่อสู้ของศิษย์นั้นดูไม่จริงจัง ถ้ายอมตายไม่ยอมหลงวนในโลกีย์ ศิษย์ของอาจารย์ก็ยอมตาย จะตายอย่างไรเลือกเอง คนที่นั่งข้างๆ เราในวันนี้ คนข้างขวาอาจจะสำเร็จเป็นพุทธะ คนข้างซ้ายอาจจะเลิกบำเพ็ญ แล้วเราที่อยู่ตรงกลาง เราเลือกอย่างไร เลือกบำเพ็ญธรรมตลอดไป หรือเลิกบำเพ็ญธรรมตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
อาจารย์ให้เพลงไว้ที่บอกว่า “นานเท่าใดที่ยืน ณ ตรงที่เก่า” หมายความว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่มีความก้าวหน้า ยืนอยู่ตรงนี้มาตั้งนานแล้ว สภาพจิตใจไม่ได้ถูกพัฒนาให้ดีขึ้น มัวแต่รอให้คนอื่นดีขึ้นก่อน คนในโลกชอบพูดกันว่าทุกอย่างต้องเริ่มต้นจากตนเองไม่ใช่หรือ บำเพ็ญธรรมก็เช่นเดียวกัน ทุกอย่างต้องเริ่มต้นจากตนเองก่อนแล้วค่อยคนอื่น ถ้าหากว่าคนอื่นต้องลำบาก เราก็ลำบากก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ในทางกลับกัน ถ้าในสิ่งที่ดีมากๆ เราอาจจะต้องให้คนอื่นก่อน บำเพ็ญธรรมดีๆ นะ ทุกคนมีบุญถึงเป็นศิษย์อาจารย์ได้ อย่าปล่อยโอกาสไปนะ รู้ไหม
ผู้ชายนั้นเป็นคนที่มีความรู้ อาจารย์ไม่ได้หมายถึงความรู้ที่เล่าเรียน แต่หมายถึงความรู้ทุกอย่างที่ผ่านมา ความรู้ยิ่งมากยิ่งทำให้ศิษย์มีความสงสัยมาก แต่อาจารย์ไม่สามารถขจัดให้หมดไปได้ นอกจากศิษย์จะขจัดเอง การศึกษาจะช่วยให้ศิษย์ก้าวหน้ายิ่งขึ้น อาจารย์มาชวนไปนิพพาน อาจารย์ไม่ได้เอาเงินทองอะไร หากศิษย์ทำในสิ่งที่อาจารย์พูดได้ ศิษย์ก็ได้รับผลดีต่างๆ เอง มีเรื่องอย่างนี้แล้วศิษย์ยังคิดเป็นอย่างอื่นได้อีกหรือ อย่าคิดเป็นอื่นเลย เอาหัวใจของศิษย์ในความเป็นศิษย์จริงๆ ให้มีความศรัทธาให้กับอาจารย์ แล้วถึงตอนนั้นอาจารย์ก็ไม่ต้องใช้ร่างมนุษย์อย่างนี้อีก อาจารย์ไม่ใช่คนหน้าตาแบบนี้ อาจารย์ก็หวังให้ศิษย์บำเพ็ญบรรลุกลับคืนไปได้ แต่การบำเพ็ญนั้นต้องฝ่ากิเลสทุกวันๆ เหมือนคนเหนื่อยไม่เป็น ต้องพยายามนะ ถ้าศิษย์คนไหนมีความรักความเข้าใจ ให้ความศรัทธาต่ออาจารย์ ทำในสิ่งที่อาจารย์พูดให้ได้ อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคนมีคนที่รักเรา มีคนที่เรารัก บำเพ็ญธรรมให้ดี ให้พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นได้ชื่นชม ให้เมื่อยามศิษย์หมดลมหายใจ อาจารย์สามารถมารับศิษย์ได้อย่างสง่าผ่าเผย ไม่ต้องเข้าไปช่วยศิษย์ในนรกขุมแล้วขุมเล่า
หลังจากวันนี้ขอให้เราได้เจอกัน ขอให้ศิษย์นั้นเป็นศิษย์ที่น่ารักทุกๆ ครั้งที่อาจารย์นั้นต้องมองลงมาในโลก รักษาตัวเองให้ดีๆ ตราบจนชีวิตหาไม่ บำเพ็ญตัวเองให้ดีๆ ให้อาจารย์นั้นได้พบศิษย์ ณ หนันผิงซันนะ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “แปรอุปสรรคเป็นพลัง”
จิตใจคนคือขุมพลังอันยิ่งใหญ่ รู้จักใช้ถูกทางประโยชน์เกิด
อย่ายอมลดจิตดีงามแสนประเสริฐ ดั่งเป็นหุ่นเชิดปัญหาสารพัน
ยึดติดโลกฉันทาสร้างทางวิบาก เคราะห์กรรมพรากความผาสุกยามโมหันธ์
อุเบกขาวางเฉยไปไม่ผูกพัน มอบของขวัญให้กันคือการอภัย
ทุกคนต้องมีช่วงเจอศึกหนักหนัก แปรอุปสรรคแปรเป็นพลังอันยิ่งใหญ่
คิดไม่ออกค่อยค่อยคิดไม่เป็นไร ไม่ใส่ใจตกหลุมพรางที่ตนทำเอง