แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เอวี้ยฮุ่ยผูซ่า แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เอวี้ยฮุ่ยผูซ่า แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2544

2544-10-13 สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี (ชั้นฐันจู่)


วันเสาร์ที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมถงซิน  ดำเนินสะดวก
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

น้ำรวมตัวกันเป็นสายธารา อันภูผาเกิดจากหินก้อนน้อยน้อย
รวมพลังคนละนิดคนละหน่อย หนึ่งสู่ร้อยยากมีอะไรทำลายได้
เราคือ
อรหันต์อนุเคราะห์ชาวโลก รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่แดนโลกีย์   กราบ
องค์มารดา ถามเมธีศิษย์ชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนตั้งใจฟังคำอาจารย์ ฮา    ฮา
เสียงจากใจรินไหลไปไม่เคยสิ้น อยู่แดนดินเคล้าทุกข์โศกโลกปลุกปั่น
ชีวิตหนึ่งเป็นเพียงฝันไม่ยาวนาน ศิษย์รู้กาลเร่งตื่นใจไม่สายเกิน
บางคนยังชะล่าใจบำเพ็ญอยู่ แต่ใจดูเลื่อนลอยเมฆคล้อยต่ำ
อันเวลาไม่คอยคนคร้านเดินย่ำ ศิษย์จะนำคนอื่นต้องนำตนก่อน
ได้ชื่อว่าบำเพ็ญต้องเคร่งครัด เดินทางลัดอาจลำบากอดทนเถิด
ศิษย์ต่างมีจิตใจแสนประเสริฐ อย่าได้เกิดอวิชชาเข้าครอบงำ
ศึกษาธรรมให้หนักหน่อยจักได้รู้ ผิดเป็นครูแต่อย่าได้คอยอ้างนั่น
ทุกคนต่างก็มีความสำคัญ จงยืนยันทิศทางด้วยการลงมือ
อย่าได้มีเพียงชื่อน่าเศร้าใจ ทำลงไปรับผิดชอบทุกสิ่งสรรพ
บัดนี้ฟ้าคับขันจึงบังคับ ให้คนรับมือบำเพ็ญให้จริงจัง
มหาธรรมทางสายใหญ่มากคนเดิน ใครเดินเพลินย่อมถูกทิ้งอาจเป็นได้
ปลูกถั่วย่อมได้ถั่วไม่คลาดไป คนตั้งใจทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น
ทั้งพูดจาพรสวรรค์ใช่มีทุกคน ธรรมแยบยลน้อยคนแจ้งอย่างแท้จริง
แต่ยังหวังว่าทุกคนทำจิตนิ่ง เร่งละทิ้งตัณหาเหตุกรรมทั้งมวล
ฝึกคุณธรรมอดทนต่อความกลัดกลุ้ม คนใดที่ทุ่มเทจิตจงเมตตา
เป็นดั่งโพธิสัตว์อวตารมา ทุกสิ่งหนาคือหน้าที่ของตนเอง
ปรมิตาทั้งหกอยู่กลางใจ วิริยะเหมาะสมในศิษย์กลุ่มนี้
จงรักษาโอกาสทุกนาที อย่าได้มีจิตน้อยใจใดเผชิญ
ปัจจุบันคนเห็นคนเป็นศัตรู จงเชิดชูฝึกอ่อนน้อมเข้าขันแข่ง
จงยอมให้งานเลือกคนฝึกความแกร่ง อย่าได้แบ่งฉันและเธอให้หมองใจ
ขอให้ฟังคำส่อเสียดเป็นเสียงเพลง และรู้เกรงใจผู้อื่นไม่เสียหาย
ช่วยเหลือกันผูกมิตรให้ทั่วไป อันว่าใครต่างชมชอบอยู่กับคนดี
เป็นศิษย์ของอาจารย์แล้วอย่าแปรใจ ช่วยเจ้าแต่ละคนไม่ใช่ง่ายง่าย
ศิษย์รักเอยอย่าเอาแต่รักสบาย กาลยุคปลายทนลำบากเราช่วยกัน
สถานธรรมเพิ่มขึ้นหนึ่งแห่งยามใด เปรียบดอกบัวผุดอยู่ในแดนวิมุติ
จงอดทนตั้งใจให้ถึงที่สุด เพื่อได้หลุดพ้นเกิดตายคืนแดนเดิม
ขณะนี้พระอาจาริณีร่วมอยู่นี่ ศิษย์จงมีจิตศรัทธาและมุ่งมั่น
ต่างก็มีบุญและกรรมมาร่วมกัน ฝ่าภยันด้วยจิตแท้ทดสอบจริง
ในวันนี้ชั้นเรียนของฐันจู่ จงเรียนรู้กลับไปให้มากมาก
เพื่อช่วยคนในแดนโลกอันหลายหลาก ฝ่าความยากที่สุดจะพบสบาย
ใครที่ยังพุทธระเบียบไม่แคล่วคล่อง ให้ย้อนมองตนเองเร่งก้าวหน้า
อย่าได้เอาฝึกแต่ง่ายเท่านั้นนา หนึ่งชีวาช่วงสั้นสั้นสั้นเหลือเกิน
เคารพเบื้องหน้านำพาผู้น้อยเจ้าอย่าลืม ชาตินี้ยืมกายปลอมบำเพ็ญแท้
มีทุกวันนี้ได้เพราะอาวุโสดูแล อย่าคิดอย่างเอาแพ้เอาชนะเลย
จากเบื้องบนลงมาหล้าด้วยสำราญ เวลาผ่านค่อยหมดไปต้องจำจาก
อาจารย์อดไม่ได้น้ำตาพราก หมื่นถ้อยคำไม่อาจฝากให้สิ้นความ
จงเดินทางด้วยสวัสดิภาพทางบำเพ็ญ ถึงลำเค็ญอาจารย์จะอยู่เป็นเพื่อน
ขอเพียงจิตพวกเจ้านั้นอย่าลางเลือน ใครมาเตือนนึกเสียว่าฟ้าฝากมา
จงทำตนเป็นแบบอย่างให้ดีดี หากใครที่ยังเบียดเบียนเร่งกระเตื้อง
จงรู้ว่าชีวิตอันฟุ้งเฟื่อง อย่าสิ้นเปลืองกุศลไปสลายกรรม
เพียงนาวาล่องลอยอยู่กลางน้ำ ฟ้าใกล้ค่ำทัศนคติต้องตรงเที่ยง
ต้องตรวจสอบกันบ่อยบ่อยอย่าเอนเอียง อุปสรรคเพียงเครื่องวัดใจคนเดินทาง
ในวันนี้ยินดีเจอศิษย์รัก ขอตระหนักปัญหาต่างด้วยปัญญา
อย่ายิ่งเพียรยิ่งหลงงมงายนา อันทรัพย์สินแม้นมีค่าไม่ติดตัว
ขอให้ตั้งใจฟังวันนี้ให้ดีดี หากว่ามีโอกาสจะเร่งมาเยือน
กราบลา
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     เทียมเมฆาคืนสู่แดนนิพพาน

ฮา  ฮา  ถอย

วันเสาร์ที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมถงซิน  ดำเนินสะดวก
พระโอวาทท่านเอวี้ยฮุ่ยซือหมู่

ในจิตใจมีกรอบเหลี่ยมที่เข้มงวด ภายนอกกวดขันลักษณะไม่หน่ายหนี
คือจิตใจที่รักษาระเบียบประเพณี อ่อนน้อมมีอยู่ภายนอกเสมอมา
เราคือ
เอวี้ยฮุ่ยซือหมู่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   แฝงกายกราบ
องค์มารดา พร้อมด้วยความเมตตาของซือจุน
ถามศิษย์ทุกคนบำเพ็ญธรรมยังท้อแท้กันหรือเปล่า

จุดตะเกียงให้สว่างกลางจิตใจ การช่วยเหลือต้องมีใจเมตตาแท้
ขณะเดียวกันหมั่นพิจารณาผิดรู้แก้ หมั่นดูแลตนดีทั้งนอกใน
มือซ้ายปักธูปลงในกระถาง ใจเป็นกลางสงบนิ่งจึงยิ่งใหญ่
สำรวมตนดีให้พร้อมจากจิตใจ หน้าที่ให้รู้รับผิดชอบย่อมเจริญ
ก้มกราบด้วยจิตศรัทธาเฝ้าสำนึก คอยตรองตรึกทุกขณะให้ดีเถิด
เฝ้าหมั่นเพียรสำรวจตนสู่ความประเสริฐ ไม่ปล่อยตนให้จิตเกิดมารครอบงำ
พร้อมสะดวกต้อนรับด้วยไมตรี ไม่เกี่ยงมีมากน้อยหรือเช้าค่ำ
ชี้แนะกล่าวเตือนรู้เหมาะปัญญานำ เรือทั้งลำผ่านมรสุมด้วยสามัคคี
สถานธรรมรู้รักษาความสะอาด หวังผงาดแต่เลอะรกไร้ราศี
หมั่นดูแลทุกขณะกลางวารี ให้ฤดีสะอาดดั่งแท่นบูชา
อยู่ร่วมกันรู้ถ้อยทีถ้อยอาศัย ความจริงใจต้องมีในทุกสถาน
โอบอุ้มกันช่วยเหลือกันกาลนาน อย่าเผาผลาญใจตนด้วยความคิดไม่ดี
ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทท่านเอวี้ยฮุ่ยซือหมู่

ในการบำเพ็ญธรรม  ถ้าหากใครสามารถเจริญรอยตามแบบอย่างของเรา  ก็คงได้พบเราแน่นอน  แต่ว่าใครล่ะจะยอมรับความลำบาก จะยอมรับทุกข์ของเวไนย  หาได้ง่ายไหม  ศิษย์บางคนก็ยังบำเพ็ญแบบลุ่มๆ ดอนๆ บางคนก็ทำได้ดีแล้ว  แต่ว่าจิตใจก็อ่อนแอเหมือนคนที่จะหมดลมหายใจ  ไม่วันนี้ก็วันพรุ่ง  ทำไป  เพราะว่าหน้าที่บังคับ ใช่หรือไม่ (ใช่) ขอให้พยายามมองให้ออกปลงให้ตกว่า โลกนี้อะไรคือความสุข  อะไรคือความทุกข์ สิ่งที่ศิษย์ได้รับอยู่นั้นเรียกว่าสุขหรือ  ลาภ ยศ เงินทอง ชื่อเสียง สักการะที่เราได้นั้นนี่สุขหรือทุกข์กันล่ะ  ถ้าเมื่อใดที่เราไม่รู้ว่าโลกนี้คือความทุกข์  ชีวิตนี้ไม่จีรัง เรายังมองทุกข์ไม่ออก  เรายังปลงไม่ได้  เราจะไม่สามารถบังเกิดจิตที่เมตตาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เราจะไม่สามารถเกิดปณิธานที่มุ่งมั่นยอมรับทุกข์แทนเวไนยได้  แม้ตัวเองจะเจ็บ  แม้ตัวเองจะตาย ก็ขอให้เวไนยได้รู้ตื่น
 ศิษย์ที่ทำหน้าที่ดูแลห้องพระก็เหมือนกับเรา  ที่ชีวิตนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และตัวเราเท่านั้น  วันๆ เราได้แต่กราบขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้น้อยที่อยู่ข้างหลังอย่าได้รับทุกข์อีกต่อไป  ถึงเราจะตายในวันนี้  ก้มกราบจนไม่มีแรงจะยืนแล้ว  เราก็ขอรับ เพื่ออะไรล่ะ  เพื่อให้ทุกท่านบำเพ็ญได้อย่างเป็นสุข ไม่มีอะไรที่ต้องทุกข์ แต่ถ้าตอนนี้ยังรู้สึกว่ายิ่งบำเพ็ญ       ต้องอดทน ต้องทุกข์ยาก  เราอยากบอกว่าน้อยแล้วนะ  น้อยแล้ว   น้อยจริงๆ เราไม่มีโอกาสมีร่างกายนี้  สิ่งที่จะช่วยก็เลยช่วยได้เท่านี้  ฟ้าเบื้องบนก็เมตตาให้เราได้ช่วยท่านได้เท่านี้  โอกาสที่จะช่วยทุกท่านที่มาข้างหลังก็เลยได้ไม่เต็มที่  อาจารย์ของท่านก็เลยต้องรับภาระหนัก  แต่ขอให้รู้ว่าเมื่อใดที่ท่านยังมีธรรมะอยู่ในใจ  เมื่อนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยห่างหายไปจากใจ  แต่ถ้าเมื่อใดท่านบ่นท้อ ท่านท้อแท้ ธรรมะจะไม่อยู่ในตัวท่านเลย แต่จะกลายเป็นมารที่ครอบงำชักนำท่านให้ยิ่งเดินยิ่งไม่มีวันถึง  ให้ยิ่งบำเพ็ญยิ่งไม่อาจค้นพบ  กลับยิ่งลุ่มหลงกลับยิ่งมืดมิด
หากเราสบายในวันนี้  แล้วท่านต้องลำบาก  เราก็ขอเดินจนตายก็ยังดี  เราไม่อยากสบายเพื่อให้ท่านต้องทุกข์ยาก ยุคนี้เป็นการโปรดยุคสาม การทดสอบความยากลำบากจึงอยู่ที่จิตใจของตัวท่าน จะหาผู้นำให้รับทุกข์แบกทุกข์แทนท่าน  พุทธะก็ทำไม่ลง อาจารย์หรือซือหมู่เราก็ทำไม่ได้  สู้เรารับเองดีกว่าไหม  อย่างน้อยเราก็ไม่มีกายให้เจ็บปวดอีกแล้ว เหลือแต่จิตใจที่ห่วงหาและยอมเจ็บปวดแทนดีไหม  เราเป็นศิษย์อาจารย์กันใช่หรือไม่  (ใช่)  รู้ไหมแม้เราตายบางทียังไม่มีใครรู้เลยว่าอยู่ที่ไหน  ชื่อไม่รู้จักก็ไม่เป็นไร  เราเห็นน้ำตา เห็นความทุกข์ยากท่านมามากแล้ว  เรารู้ว่ามันยากเหลือเกินจะบำเพ็ญในยุคนี้ จิตใจก็รักสบาย  อยากจะช่วยคนก็เป็นอย่างไร  ช่วยเขาไม่ได้  เพราะตัวเองยังปลงไม่ตก  ยังไม่รู้พอ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ไม่ง่ายเลยใช่ไหมที่วันนี้เราได้มีโอกาสมาผูกบุญร่วมกัน  ต้องขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณฟ้าเบื้องบน และผู้อาวุโสที่นำพาทุกท่าน ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำให้มีทุกท่านในวันนี้  แต่ว่ามีข้างหน้าจึงมีข้างหลัง  แต่ข้างหน้ากับข้างหลังอย่าทำให้เกิดช่องว่าง  จงอยู่ร่วมกันทำงานร่วมกันด้วยความสามัคคี    อย่าเพราะว่าเห็นเป็นผู้ใหญ่ ใช่ ความอ่อนน้อมต้องมี แต่อย่าเกรงกลัวจนไม่กล้าที่จะคุยหรือปรึกษา  อย่างนั้นเราจะทำงานเข้ากับท่านไม่ได้ การจะทำงานเข้ากับใครได้  เราต้องรู้ว่าข้างหน้าต้องการอะไร  ข้างหลังจึงเดินได้ถูก  ถ้าหัวเดินทางหนึ่ง หางคิดอย่างหนึ่ง  ก็ย่อมไปได้ไม่สวย  จะเป็นหงส์หรือเป็นมังกรก็อยู่ที่ว่าเราเลือกแบบที่จะบำเพ็ญเช่นไร ใช่ไหม (ใช่)
ทุกวันต้องกราบพระ ไหว้พระ ใช่หรือไม่ (ใช่)  กราบพระ ปักธูป จุดตะเกียง  ทุกขณะจิตต้องสำรวม ใสบริสุทธิ์และสะอาด อย่าทำแบบลวกๆ ผ่านๆ ไม่อย่างนั้นกราบพระไปก็ไม่ได้อะไร  ทุกขณะที่ทำ ทุกขณะที่ก้าว ล้วนเป็น จริยระเบียบที่ได้ให้ฝึกเป็นพุทธะ รู้จักน้อมนำหวนกลับมามองตัวเอง ด้วยความสำนึก ด้วยจิตใจที่ตรงเที่ยง ว่าอะไรที่ตัวเองทำในวันนี้  พิจารณาดูทั้ง 9 หรือสำรวจดูทั้ง 3 สิ่งที่พูดตลอดทั้งวันถูกต้องไหม  เที่ยงหรือเปล่า  สิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่ได้ฟัง ได้ลงไปค้นคว้า ได้ลงไปสืบหาดูว่าถูกต้องไหม สมควรหรือเปล่าที่จะเอามาพูดหรือเอามากล่าวต่อไป  หากมองสิ่งใดก็จงรู้ว่าอะไรต้องมอง  อะไรไม่ต้องมอง  ตาเมื่อเปิดแต่ก็ยังรู้จักปิดได้เมื่อยามฝุ่นผงเข้า  เมื่อยามมีสิ่งใดมากระทบ  ฉะนั้นก็ต้องรู้ไว้ว่าจิตเราก็เฉกเช่นเดียวกับนัยน์ตาที่มองเห็น  แม้จะมองเห็น แต่บางครั้งก็ต้องปิดใจไม่รับรู้บ้าง  ได้ทำงานสิ่งใดก็จงเคารพในงานที่ตัวเองทำ ทำด้วยความเคารพ  ทำด้วยความศักดิ์สิทธิ์  งานที่ออกมาย่อมดูยิ่งใหญ่  ย่อมดูมีค่าและทรงเกียรติ  แต่ถ้าสิ่งใดทำแล้วไม่แจ่มชัด ต้องรู้จักไต่ถาม ค้นคว้าจากอาวุโสหรือค้นคว้าจากหนังสือ  ใบหน้าต้องยิ้มแย้ม ท่าทีต้องอ่อนน้อม อย่าไหว้พระด้วยความหวานอมขมกลืน  เห็นหน้าพระก็กลายเป็นเหมือนเห็นหน้าอะไร  อย่างนี้ไม่เอา
ต้องรู้จักพอใจในการแสวงหาในโลกนี้บ้าง เมื่อไรที่มาหยุดยืน ถึงเวลาที่จะไหว้พระ  เมื่อนั้นต้องหยุดแล้ว วางแล้วซึ่งทุกสิ่ง  ถึงเวลาแล้วที่ต้องปล่อยวาง  รู้ไหมทำไมถึงกำหนดการไหว้พระเป็นเวลา ก็มีความนัยตรงที่ว่า ถึงเวลาที่เราต้องพอแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องหยุดได้แล้ว  กลับมามองที่ตัวเอง  กลับมาค้นหาซึ่งพุทธะในใจ กลับมาสำรวจความผิดของตัวเองว่ามีมากน้อยแค่ไหน อย่าได้เป็นผู้ที่ไหว้พระแล้วก็ท่องเป็นเหมือนนกแก้วนกขุนทอง  แต่ไม่ได้มีจิตสำนึกหรือระลึกถึงว่าแต่ละพระองค์กว่าที่ท่านจะสำเร็จกลับคืนขึ้นไปได้  สิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละพระองค์มีบุญคุณกับตัวเรามากแค่ไหน  ทุกขณะที่กราบไหว้ต้องระลึกได้ถึงจริยวัตรอันดีงาม ประวัติที่น่าเจริญรอยตาม  สำรวจตัวเองด้วยว่าวันนี้คิดดี  ทำดี  พูดดี พร้อมสมบูรณ์ไหม  กล่าวสิ่งใดไปบิดเบือนเผลอไผลหลงลืมไม่ได้ทำตามหรือเปล่า วันนี้ได้ความรู้หรือวันต่อไปเรียนรู้อะไร  ได้ยินใครพูดอะไร เอามาตรวจสอบ เอามาวัด เอามาคิดพิจารณาหรือไม่  หากทำได้เช่นนี้ก็ถือได้ว่าทุกขณะที่ก้มกราบ ปักธูป จุดตะเกียง ก็มีค่าแห่งการบำเพ็ญแล้ว  แต่จะพูดมากไปทำไมล่ะ  ถ้าจิตของศิษย์รักทุกคนยังไม่รู้ว่าอะไรคือการบำเพ็ญ  แล้วทำไมต้องบำเพ็ญ ก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่  (ใช่)  ถ้าจะไหว้พระไปแต่ไม่ได้ศึกษาเพิ่มเติม  ฉะนั้นต้องรู้ด้วยว่าแม้จะไม่ได้เป็นอาจารย์บรรยาย เป็นแค่ผู้ดูแลห้องพระ  แต่ธรรมะยังต้องศึกษาเอาไว้  ต้องเรียนรู้ไว้ว่าเรือธรรมะนี้คืออะไร  การปลดปล่อยหมายถึงอะไร ใช่หรือเปล่า ไม่ใช่ไม่เคยจำอะไรเลย  แล้วศิษย์รักทั้งหลายจะส่งเสริมคนได้อย่างไร  แล้วจะนำพาคนอื่นได้อย่างไร
ห้องพระนี้บางครั้งมีคนก้าวเข้ามา  ใบหน้าศิษย์ต้องยิ้มแย้ม  ทุกเวลาต้องพร้อมเสมอ สะดวกให้แก่การมีคนเข้ามาศึกษา ไม่เกี่ยงงอนว่าจะเช้าหรือจะค่ำ จะมากหรือจะน้อย  แม้ตัวเองจะเหนื่อยขนาดไหน แต่เมื่อเขามาถึงบ้านเรา  เราต้องอย่าดูดาย  เราต้องดูแล เราต้องช่วยเขา  เขาเหมือนคนหลงทางเข้ามาอยู่ในบ้านเรา เขาเหมือนคนที่ทุกข์เข้ามาอยู่ในบ้านเรา  จิตเมตตาต้องบังเกิด  ช่วยเขาปัดทุกข์ให้เป็นความสุข ใช่ไหม (ใช่)  ปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า  รับธรรมะนั้นง่าย  ทำไมบำเพ็ญจึงแสนยาก หรือบำเพ็ญง่ายแต่ทำไมจึงเข้าใจเรื่องธรรมะได้ยากเหลือเกิน  ก็เป็นเพราะว่าเราไม่มีความเสมอต้นเสมอปลาย ใช่หรือไม่  (ใช่)  จิตใจของศิษย์นั้นเปลี่ยนแปลงง่าย พอเปลี่ยนไปเราก็เริ่มไม่ค่อยมั่นใจในธรรมะ ไม่ค่อยเคารพในอาวุโส  เบื่อหน่ายที่จะกราบพระและลงแรงบำเพ็ญ เป็นเพราะอะไร  เป็นเพราะว่าบุญสัมพันธ์นั้นเบาบาง ความเข้าใจนั้นตื้นเขิน  จิตมุ่งมั่นเสียสละนั้นอ่อนแรง  การบำเพ็ญจึงลุ่มๆ ดอนๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เพลียกันไหม  บางคนมาจากที่ไกลใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังมาทั้งวันเพลียกันหรือเปล่า  (ไม่เพลีย) เหนื่อยไหม  (ไม่เหนื่อย)  ต้องขอบคุณฟ้าดินจริงๆ นะที่ทำให้เรามีโอกาสได้มาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านอีก ถ้าไม่มีเบื้องบน ไม่มีพระอนุตตรธรรมมารดา  เราก็คงไม่ได้มาผูกบุญกับท่าน   และเราก็คงไม่รู้ว่าเรามีชีวิตไปเพื่ออะไร  ทำไมเราจึงต้องช่วยคน ใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้รู้บ้างหรือยัง  นาวาธรรมหรือสถานธรรมมีความหมายว่าอะไร  การปฏิบัติทั้งทางโลกและทางธรรมคือการกระทำเช่นไร  สองอย่างนี้ต้องรู้ชัด ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้  แล้วทำไมจะต้องลงแรงบำเพ็ญทั้งกายและใจ  ก็เพราะว่าใจของเรานั้นมีพุทธะอยู่ใช่ไหม (ใช่)  เราจะต้องรู้คุณค่าของตัวตน  รู้คุณค่าของกายตนนี้แล้วตั้งใจบำเพ็ญด้วย  แล้วรู้ไหมว่าทำไมธรรมะจึงอุบัติลงมาในยุคนี้  สี่อย่างนี้ขอให้ผู้ดูแลสถานธรรมทุกๆ คนต้องพยายามหาความกระจ่างในจิตใจให้ได้
ทำไมต้องช่วยคนล่ะ  ตราบใดที่มนุษย์โลกยังมีความทุกข์  ตราบนั้นจิตเมตตายังต้องมี  มีไว้เพื่ออะไร  มีไว้เพื่อขจัดความเห็นแก่ตน  ขจัดความคิดยึดติดในตัวตน ให้รู้จักให้ด้วยความบริสุทธิ์  ให้โดยที่ไม่หวังอะไร  ให้แม้ตัวเองจะทุกข์  แต่คนอื่นสุขก็ยินดีและเต็มใจ นี่คือการฝึกเมตตาจิตเฉกเช่นพุทธะ  เรารู้ว่ามันเป็นเรื่องยาก  แต่เราลองมุ่งมั่นดูด้วยใจรัก  ด้วยใจที่ตั้งมั่นไม่ยอมแพ้  อะไรมาขวางหน้าก็จงยิ้มสู้  จะรู้ว่าเป็นบันไดให้เขาก้าวได้สูงขึ้นๆ ยิ่งเจอใครทุกข์ ยิ่งเจอใครเดือดร้อน เรายิ่งต้องยื่นมือเข้าไปช่วย ยิ่งเดินเข้าไปหา  ยิ่งเข้าไปประคับประคองโอบอุ้มให้เขาฟื้นขึ้นมาเป็นคนที่สู้ได้อีก  มีคุณค่าอีก อย่ามองว่าการฉุดช่วยคนอื่น  การยอมให้คนอื่น การเสียสละให้คนอื่น คือทำเพื่อคนอื่น แท้จริงแล้วไม่ใช่  ทุกขณะที่ทำให้เขา ทุกขณะที่ช่วยเขา หรือทุกขณะที่นึกถึงเขา นั่นคือเราได้ฝึกตน ตนที่ไม่มีตน  ตนที่ว่างเปล่า ตนที่ประเสริฐ ใช่ไหม (ใช่)  ต้องหนักแน่น  เป็นกุลสตรีแม้ภายนอกจะดูอ่อนโยนนิ่มนวล  แต่ภายในจิตใจต้องเข้มแข็ง เข้มงวดรักษาซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีของความเป็นหญิง  สืบทอดจริยวัตรอันดีงาม เป็นแบบอย่างให้รุ่นลูกรุ่นหลาน  แม้ศิษย์รักฝ่ายชายดูภายนอกเข้มแข็ง แต่จิตใจก็อย่าได้อ่อนยวบยาบสู้อิสตรีไม่ได้ อย่างนั้นไม่ถูกต้อง  อย่าเกี่ยงงาน หนักก็เอาเบาก็สู้  ต้องร่วมมือกันประสานกันอย่านิ่งดูดาย เขาเหนื่อยเราสบาย อย่างนี้หรือคือผู้บำเพ็ญ ไม่ได้ ไม่ใช่  เขาเหนื่อยเราต้องเหนื่อยกว่า เขาทุกข์เราต้องแบกรับทุกข์ แม้จะหนักกว่า เราก็ต้องสู้  นี่คือจิตแห่งพุทธะ  นี่คือจิตของผู้บำเพ็ญ รับไหวไหม (ไหว)  คิดให้ดีๆ นะ  รับปากซือหมู่แล้ว  จะรับปากต้องคิดให้ดีๆ อย่าได้แต่รับ  ไม่อย่างนั้นทุกข์ไป เหนื่อยไป ก็คือศิษย์เองนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์อยู่ในห้องพระ อะไรเรียกว่า แนะนำ อะไรเรียกว่า ว่ากล่าว อะไรเรียกว่า ตักเตือน ต้องแยกให้ออก เพราะบางครั้งเราเป็นผู้ที่อยู่ในห้องพระ  ตอนไหนชี้แนะ ตอนไหนกล่าวเตือน ตอนไหนพูดจา ต้องแยกให้ออก อย่าเอาอารมณ์มาสับสน   ปนเป  อย่าเอาจิตมนุษย์มาพูดกับมนุษย์  ไม่อย่างนั้นจะคุยกันไม่รู้เรื่อง  แต่จงเอาจิตแห่งพุทธะ จิตแห่งโพธิสัตว์มาคุยกับเขา ทำได้ไหม  ด้วยปัญญาของศิษย์รักเองศิษย์รักจะรู้ว่าคนไหนควรพูด คนไหนควรเตือน  เวลาตอนไหนควรบอก เวลาตอนไหนไม่ควรบอก ต้องรู้ ใช้ปัญญาหยั่งรากลึกลงไปในตัวตนเอง  สติต้องมีอยู่เสมอ  ต้องรู้พร้อมและตามเท่าทัน อย่าให้อารมณ์เป็นใหญ่  อย่าถือความรักความชอบจนหน้ามืดตามัว แยกไม่ออก อย่าเห็นคน ส่งเสริมคนแต่เพียงภายนอก แต่ต้องส่งเสริมเขา ช่วยเขาให้ถึงจิตใจ เข้าให้ถึง แล้วจะนำพาเขาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ซือหมู่เราเห็นห้องพระแต่ละห้องพระล้วนสวยงาม ดูเป็นระเบียบ แต่ทำไมสวยงามแต่ห้องพระ  ส่วนอื่นสกปรกเลอะเทอะกันจังเลย เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า  อะไรเลอะก่อน ใจเลอะ แล้วก็รก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ห้องพระสวย องค์พระขาว โต๊ะพระเรียบร้อย แต่ที่อื่นเลอะเทอะช่างปะไร  ได้หรือเปล่าศิษย์รัก  ไม่ได้นะสะอาดต้องสะอาดหมดจด สงบราบเรียบก็ต้องสงบราบเรียบให้หมด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่าสะอาดแต่ห้องพระ แต่ใจยังขมุกขมัว ยังสกปรก หรืออย่าสะอาดตรงโต๊ะพระ แต่ใต้โต๊ะฝุ่นเขลอะอย่างนี้ก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดอกไม้สวย แต่น้ำในแจกันกลับเน่าเหม็น หมายความว่าอย่างไร  ศิษย์รักรู้ดีใช่หรือไม่  อย่ามองหนึ่งให้เป็นหนึ่ง แต่ต้องรู้จักมองหนึ่งแล้วแตกเป็นสอง เป็นสามได้ นี่คือใช้ปัญญา ไม่อย่างนั้นวันนี้พูดกันทั้งวันศิษย์รักก็ไม่ได้นอนแน่เลย
คงมาเวลาสั้นๆ นะ อยากอยู่กับศิษย์รักให้นานๆ อยากพูดจาส่งเสริมให้มากๆ แต่บางครั้งคำพูดก็จุกอยู่ในลำคอ ไม่รู้จะพูดอะไรได้มากมาย เพราะก็เห็นว่าศิษย์รักทุกคนบำเพ็ญได้ดีแล้ว  จะมีผิดมีพลาดบ้างศิษย์รักก็รู้กันเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ขอให้ทุกขณะยิ่งบำเพ็ญยิ่งมองเห็น อะไรดีอะไรไม่ดีในตน  ทุกขณะยิ่งบำเพ็ญยิ่งอ่อนน้อมลง  ยิ่งใสยิ่งบริสุทธิ์ยิ่งเที่ยงตรง  อย่ายิ่งบำเพ็ญยิ่งเต็มไปด้วยฝุ่นฟุ้ง กิเลสและความไม่ดีของผู้อื่น  สถานธรรมไม่ว่าจะเล็กหรือจะใหญ่ล้วนต้องดูแลให้ดี  ล้วนต้องมีและต้องส่งเสริมบุคลากรให้ขึ้นมาให้ได้  เราเหมือนคนที่ยืนอยู่ในเรือลำใหญ่ลำหนึ่ง  จะช่วยเขาต้องช่วยให้ทั่วให้เท่าๆ กัน ใช่หรือเปล่า  (ใช่)  แม้จะอยู่ลำเล็กแต่ถ้ามีโอกาสอย่าลืมหมั่นมาดูแลลำใหญ่บ้าง  อย่าเห็นว่าเป็นหน้าที่ของเขา แล้วไม่ใช่หน้าที่ของเรา  ขึ้นชื่อว่าฐันจู่ แปลว่า ผู้ดูแลสถานธรรม  ตอนตั้งปณิธานมีบอกไว้ไหมว่า ต้องสถานธรรมลำนี้เท่านี้เท่านั้น มีหรือเปล่า (ไม่มี)  ไม่มี ตั้งขึ้นมานั้นตั้งด้วยใจหรือตั้งด้วยถูกบังคับ  (ตั้งด้วยใจ)  ตั้งด้วยใจ แล้วทำด้วยใจหรือทำด้วยหน้าที่ (ทำด้วยใจ) ตอบให้ได้ทุกวันนะ  อย่าทำเพราะหน้าที่  แต่ต้องทำเพราะใจของเรา  บำเพ็ญด้วยใจของเรา  ก้าวเดินทุกขณะไม่ว่าจะพูด ไม่ว่าจะทำ ก็เพราะใจของเราต้องการช่วยเหลือ ต้องการช่วยเหลือด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ อย่าถือทิฐิ อย่าเอาอารมณ์ อย่าเอาแต่ตน ไม่อย่างนั้นยิ่งบำเพ็ญจะยิ่งสูญเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่) ทำแล้วอย่าคิดสะสม  อย่าคิดเอาหน้า อย่าคิดหยิ่งผยอง เคยเห็นหมากรุกไหม ย่อมมีรุกและรับสลับกันไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์รักร่วมกันบำเพ็ญ ต้องสลับกันเป็นคนรุก สลับกันเป็นคนรับบ้าง  อย่าเอาแต่รุกแล้วไม่รู้จักรับ อย่างนี้ก็ไม่ได้  หรืออย่าเอาแต่รับแล้วคิดนำไม่เป็น อย่างนี้ก็ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขารุกกับขารับต้องได้เหมาะสม แล้วงานธรรมะจึงจะก้าวหน้าไปได้อย่างงดงามและรุ่งเรือง  เบื้องบนกับเบื้องล่างต้องประสาน  หากไม่ประสานกัน ทำงานในใจย่อมขัดแย้งจริงหรือไม่ (จริง)
 อย่าให้คนแพร่ธรรม แต่ธรรมไม่แพร่ในคน เช่นนี้ก็เปล่าประโยชน์ เข้าใจวรรคนี้ไหม ธรรมะฟุ้งไป ธรรมะแพร่ไป  แต่ในใจของเราไร้ซึ่งธรรมไม่ได้นะ ใจเราต้องมีธรรมอยู่เสมอ เมตตาต้องให้บริสุทธิ์ ความโลภ ความโกรธ ความหลงทำไมยังมีกันอยู่  ไม่ได้มีมานานแล้ว พอมีทำไมจึงปล่อยออกมาได้อย่างน่ากลัว  อย่างนั้นมีกับไม่มีก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่ กลับมาก็เหมือนเดิม ไม่มีก็จงไม่มีตลอดไป อย่าได้เรียกกลับมาอีกรู้หรือเปล่า รู้ไหม บางครั้งถ้าเกิดมารมา กรรมเวรมาทวงถาม จิตเราต้องฝึกเป็นพุทธะ อย่าทำตัวเป็นมารรับกรรม ไม่อย่างนั้นจะลำบาก เมื่อมีกรรมมาทวงถาม ถ้าศิษย์รักทำได้เต็มที่ ปฏิบัติหน้าที่อย่างบรรลุเป้าหมาย แม้วันนี้กรรมจะมาทวงถาม ศิษย์รักก็จะจากไปหรือไปพร้อมกับกรรมได้อย่างไม่หวั่นเกรง แต่ถ้าเกิดหน้าที่ปณิธานศิษย์รักยังไม่สามารถทำได้เต็มที่ กรรมมาทวงถาม ศิษย์รักจึงหวาดกลัว  จึงร้องขอให้พุทธะช่วย นั่นแปลว่าศิษย์รักต้องย้อนมองดูตัวเองแล้วว่า เป็นเพราะว่าเรายังทำไม่ถึง ยังไม่บรรลุหน้าที่ เราจึงหวาดกลัว เรายังมีสิ่งที่ไม่ดีเต็มไปหมด  เราจึงเกรงกลัว ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกวันหมั่นสำรวจ 3 บริสุทธิ์ 4 เที่ยงตรง ทำให้ได้ ทำให้ได้นะ หนักหรือเปล่า หนักไหมหน้าที่นี้ อย่าให้ห้องพระว่างคนหรือคนว่างธรรม ไม่ดีเลยนะ สวยงามไป สะอาดไป แต่ไม่มีใครอยู่ก็น่าเศร้าใจ  อย่าทำให้ห้องพระว่างคน และอย่าทำให้ตัวคนว่างจากธรรม เข้าใจไหม (เข้าใจ)
จงก้าวต่อไปด้วยความมั่นคง ถือปณิธานความมุ่งมั่นเป็นเหมือนไม้ค้ำยันให้ก้าวเดินไปอย่างไม่หวาดหวั่น ด้วยจิตใจที่แน่วแน่ ใจแม้จะดูเป็นกรอบเหลี่ยม แต่กรอบเหลี่ยมนั้นก็คือถือระเบียบพุทธะเคร่งครัดมีความเคร่ง ครัดในใจตัวเอง ภายนอกกลมมนใสหมายความว่าไม่มีเหลี่ยมมุมมาทิ่มแทงทำร้ายใคร นี่คือเหลี่ยมในใจ แต่กลมภายนอกทำได้ไหม (ได้) ต่อไปนี้บ่าของเราจะไม่เบาอีกแล้ว ต้องหนักและแบกรับภาระหน้าที่นี้ให้จงดี อย่าปล่อยตัวเองให้เพลิดเพลินใจ ลุ่มหลงในอายตนะจนลืมหน้าที่ตัวเอง ลืมปณิธานตัวเอง อย่าเป็นเช่นนั้นเลย
 โลกนี้แม้จะสวยอย่างไร ก็ไม่สู้ทำจิตใจให้สวยให้ได้  โลกนี้จะดีอย่างไร ใครจะดีเท่าใด ก็ไม่สู้ใจของศิษย์รักงดงามและดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องดีให้ได้นะ บำเพ็ญต่อไปอย่ายอมแพ้ความทุกข์ยาก ซือหมู่เรารู้ว่าทุกข์นั้นเกิดเพราะว่าตัวศิษย์รักเองยังมีความไม่บริสุทธิ์ ยังไม่เที่ยงพอ ถ้าเมื่อไรศิษย์รักบริสุทธิ์และเที่ยงพอ ศิษย์รักจะรู้ว่าอุปสรรคและความยากลำบากนั้นแทบไม่มีเลย จริงไหม (จริง) และต้องปลงให้ตก มองให้ออกว่าโลกนี้คืออะไรกันแน่ โลกนี้คือสิ่งที่ให้เรามาแสวงหา แต่แสวงหาอะไรล่ะ แสวงหาคุณค่าแห่งตน ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนที่เป็นแบบอย่างอันดีงาม และมีอิสระอย่างอริยะ ใช่ไหม (ใช่) จงตื่นขึ้นและเป็นคนมองโลกได้อย่างใสและเข้าใจถ่องแท้ ในการแบ่งแยกก็ต้องมองออกว่าอะไรคือเอกภาพ ในเอกภาพก็ต้องมองออกว่าอะไรคือการแบ่งแยก นั่นแหละคือการบำเพ็ญ แล้วใช้จิต สติปัญญานี้หยั่งรู้โลกภายนอก หรือที่ปราชญ์กล่าวไว้ว่า บางครั้งไม่ต้องออกไปไหน อยู่ในบ้านก็เห็นทุกสิ่ง รับรู้เรื่องราวได้ทั้งหมด ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้ก็คงไม่กล่าวอะไรอีกแล้วนะ ให้ศิษย์รักบำเพ็ญกันให้ดีๆนะ ทำได้ไหม (ทำได้)

พระโอวาทซือหมู่เมตตากับอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม
ตอนนี้ศิษย์รักสบายไหม  สบายกันหรือเปล่า แล้วถ้าลำบากจะทำกันอย่างไร  ต้องรู้จักฝึกฝนความลำบากด้วยนะ  ซือหมู่เรารู้ว่าตอนนี้ผู้นำมีทั้งความสบายและความลำบาก  แต่ถ้าสบายมากเท่าไร ลำบากก็จะตามมามากเท่านั้น เข้าใจความหมายเราหรือเปล่า  ทำไมซือหมู่จึงเป็นซือหมู่  ก็เพราะว่าซือหมู่รับความทุกข์ แต่ตอนนี้ศิษย์คือศิษย์ของซือหมู่  ทำไมถึงทำตัวสบาย  ไม่ใช่ซือหมู่อยากให้ศิษย์ลำบาก  แต่ว่าการโปรดเวไนยสัตว์  ถ้าเราไม่ลำบากบ้าง แล้วเราจะนำพาเขาได้อย่างไร  ถ้าเราไม่สามัคคีกัน อยู่กันรับปากกัน ยอมกัน แต่ในใจกลับไม่ได้ทำในสิ่งที่ปากตัวเองพูด


  วันอาทิตย์ที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔       สถานธรรมถงซิน  ดำเนินสะดวก
พระโอวาทท่านเม่าเถียน
ห่วงเวไนยที่ยังหลงไม่ตื่น ห่วงเวไนยที่ตื่นแล้วยังหลงหลับ
ห่วงคนที่รู้แล้วไม่ขยับ ห่วงท่านดับแล้วไม่อาจคืนแดนเดิม
เราคือ
เม่าเถียนศิษย์พี่เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกท่านบำเพ็ญดีแล้วหรือยัง


พระโอวาทท่านเม่าเถียน

คนที่ไม่มีคุณสมบัติขอเชิญลงได้  กฎระเบียบต้องเป็นกฎระเบียบ  จริงๆ แล้วจิตใจของเราต้องมีกฎระเบียบ  ไม่ใช่กฎระเบียบที่เราพูดถึง แต่เป็นกฎระเบียบที่อยู่ในใจ กฎระเบียบที่เราทำได้  แม้ว่ากฎระเบียบนั้นมีไว้อาจจะอึดอัด แต่ถ้าทุกท่านมีกฎระเบียบในใจทุกท่าน  ชีวิตทุกท่านมีระเบียบเรียบร้อยก็มีผลดีต่อตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มฝึกฝนบำเพ็ญเป็นพุทธะ แต่ตอนนี้แค่เริ่มก็ควรจะเริ่มให้จริงจัง  ไม่ใช่เริ่มอย่างเหยาะแหยะ ขอไปที  ทำลวกๆ อย่างนั้นบำเพ็ญไปอีกสิบปีก็ไม่เท่ากับที่ท่านลงแรงจริงจังเพียงหนึ่งปี ใช่หรือไม่ (ใช่) หากว่าคนอื่นกำหนดเราไม่ได้  มีใครกำหนดเราได้  ย่อมมีแต่ตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกๆ วันผ่านไป ขอให้ผ่านไปอย่างคนที่มีคุณค่า ทุกวันนี้คนที่อยู่ที่นี่ลงปณิธานทานเจแล้ว  ถือว่าก้าวขึ้นฝั่งพุทธะแล้ว  แต่จิตใจนั้นยังฝักใฝ่ทางโลก ไม่เป็นไร  เพราะว่าถึงที่สุดแล้ว ใครสำเร็จใครไม่สำเร็จ ก็ย่อมอยู่ที่ตนเองบำเพ็ญได้มากเท่าไร
 คนที่ชอบติผู้อื่น ติไปทำไม เขาบำเพ็ญได้แค่ไหนก็คือตัวของเขา  ท่านบำเพ็ญได้แค่ไหนก็คือตัวของท่าน ใช่ไหม (ใช่)  จำเป็นต้องติต้องว่ากันไหม (ไม่จำเป็น)  จำเป็นต้องตักเตือนกันไหม  การตักเตือนนั้นตักเตือนกันได้  แต่มีขอบเขตของการตักเตือน ไม่มีใครชอบฟังคำบาดหู  ฉะนั้นจงอย่าพูดจาบาดหู  ไม่มีใครชอบฟังคำพูดเพ้อเจ้อ  ฉะนั้นจงอย่าพูดเพ้อเจ้อ ไม่มีใครชอบฟังคำส่อเสียด จงอย่าพูดส่อเสียด  อย่าปั้นน้ำเป็นตัว  อย่าเห็นแก่ประโยชน์ตนหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง  พูดไปพูดไป ในที่สุดแล้วกินเข้าไปเป็นเจ แต่ออกมากลับไม่เป็นเจ  ฉะนั้นจึงบอกว่าเมื่อขาเราเข้าไปอยู่แดนพุทธะแล้ว  จิตใจของเรานั้นจงอย่าฝักใฝ่แต่ทางโลก  หน้าที่ของลูกทำให้ดี  หน้าที่ของพ่อแม่ทำให้ดี  เราจะสร้างบุญไปพร้อมกับบาปทำไม  จะสร้างบุญไปแล้วถังของกุศลเราก็เจาะรูไว้ข้างล่าง  ทำไปก็รั่วไป ยิ่งทำดีเท่าไรก็ยิ่งหมดไปเท่านั้น  ใครบำเพ็ญมา 10 ปี  ยกมือขึ้น   ถือว่าคนใหม่ยังมีมาก คนเก่ามีน้อย  ขอถามคนเก่าๆ ว่าทำตัวเหมาะสมกับความเก่าของตัวเองไหม  หากเราไม่เป็นแบบอย่างที่ดี  คนข้างหลังก็ก้าวตามเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) จะเก่าแต่ตำแหน่ง  จะเก่าแต่สิ่งที่ไม่ควรนั้นไม่ได้ ต้องเก่าอย่างคนที่มีสติ มีปัญญา เก่าอย่างคนที่นำหน้าด้วยความเมตตา  ไม่ใช่เก่าแบบคนที่ยึดติด เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
พุทธะย่อมห่วงเวไนย  เวไนยย่อมห่วงตนเอง  ทุกท่านในที่นี้เป็นทั้งเวไนย เป็นทั้งพุทธะ อยู่ที่ท่านจะเลือกเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หนึ่งวันเป็นพุทธะกันได้นานสักกี่มากน้อย  ส่วนใหญ่จะเป็นเวไนยทั้งสิ้น ใช่หรือไม่  แต่ยามใดที่จิตใจของเราตื่นขึ้นมาแล้ว  จะต้องตื่นอย่างแท้จริง  ไม่ใช่ตื่นไปหลับต่อ หลับต่อตื่นไป อย่างนี้สลับกันเรื่อยๆ แม้พุทธะลงมาจากฟากฟ้าก็คงจะช่วยไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มาถึงช่วงนี้แล้ว  ท่านรู้สึกห่วงตัวเองบ้างหรือไม่  มัวแต่คิดว่าบำเพ็ญไปแล้วคงจะสำเร็จไปไม่ได้   เมื่อท่านไม่มั่นใจ จะให้ใครมั่นใจ  ให้เราไหม  ต้องรู้จักคิด ไม่ใช่รู้แต่พูด  ต้องรู้จักทำ ไม่ใช่เอาแต่นั่งคิด เข้าใจไหม (เข้าใจ)
มีหลายคนบอกว่าเราศิษย์พี่นั้นดูแล้วดุ   บางคนก็ไม่อยากจะเจอ ใช่หรือไม่  แต่อยากทราบว่าทุกวันนี้เคร่งครัดกับตัวเองดีแล้วหรือยัง  ให้อาจารย์ของเรามาพูด ท่านก็พูดกับน้องๆ อย่างดี  ท่านจำใส่ใจกี่วัน  พูดดีกับท่าน ท่านแก้ไขหรือไม่  แต่ละคนนั้นความผิดเต็มตัวท่วมตัว  จึงอย่าให้พูดว่าค่อยๆ บำเพ็ญเลย   เราผู้พี่อยากจะพูดว่า รีบเร่งบำเพ็ญเถิด  คนที่ละกายสังขารไปก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเด็ก  ทุกท่านก็รู้ว่าในตัวของทุกท่านมีเหตุแห่งการดับสิ้นของสังขารแฝงเอาไว้ทั้งนั้น  เพียงแต่ไม่รู้ว่าวันไหนเท่านั้นเอง  แล้วอย่างนี้จะให้เราพูดว่าค่อยๆ บำเพ็ญ  ค่อยเป็นค่อยไปหรือ  คงต้องบอกว่า รีบเร่งบำเพ็ญ  ยกระดับจิตใจของตนเองขึ้นมา  จิตใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่ต้องมั่นคง  เข้มแข็งอดทน มีสติ รู้ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร  เช่นนี้จึงเหมาะสม   หากเป็นจิตใจที่อ่อนแรง อ่อนล้า จิตใจที่ท้อแท้ เอาแต่ใจตัวเอง  เห็นแก่ตน รักหน้า  ทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศ หรือรักแต่พวกพ้องของตน ท่านจะช่วยใครได้ แล้วท่านจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้กี่มากน้อย ใช่หรือไม่  (ใช่)
ทุกคนต้องย้อนมองตนเอง  มองให้เห็นถึงตัวเองจริงๆ รู้จักตัวเองจึงจะสามารถชนะตัวเองได้  ความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้น  สามอย่างนี้เป็นพิษร้าย  บางคนหนักไปทางความโลภ  บางคนหนักไปทางความโกรธ  บางคนหนักไปทางความหลง  ฟังธรรมะตั้งมากมาย  หากไม่สามารถปฏิบัติได้  แม้แต่หนึ่งอย่าง จะฟังธรรมะไปทำไม  เคยคิดถึงเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองไหม  (เคย)  ตอนนี้ตัดกรรมไปแล้ว  กรรมเก่าก็ใช่ว่าจะตัดได้  คนบำเพ็ญจึงพบกับวิบากกรรม  เราบำเพ็ญจึงหลบเลี่ยงไม่พ้น  จิตใจต้องสำนึกแท้ สำนึกจริงในสิ่งที่ตัวเองเคยก่อ  แม้ว่าเราจะลืมไปแล้วก็ตาม
 หากว่าเมื่อยก็ขอให้ทนสักนิด  เราจะให้ท่านยืนอยู่แบบนี้ รู้ไหมว่าให้ยืนทำไม  ทำจิตใจให้นิ่ง สำนึกให้จริง  กรรมที่มีจะได้เบาบางลงบ้าง  คนที่บำเพ็ญมาจนถึงตอนนี้  หากจิตใจยังมีความเคลือบแคลงเสแสร้ง  จิตใจยังสงสัยบ้างไม่สงสัยบ้าง  ก็เท่ากับว่าเรานั้นประสบความล้มเหลวในการบำเพ็ญธรรม  แม้ท่านจะตั้งปณิธานทานเจด้วยเหตุผลใดก็ตาม  แต่เมื่อถึงบัดนี้ได้ตั้งปณิธานไปแล้ว  ถวายสาส์นขึ้นสู่เบื้องบนแล้ว   ท่านนั้นย่อมมีสิทธิ์ที่จะสำเร็จเป็นพุทธะได้  ฉะนั้นจงอย่าดูถูกตัวเอง  ขอให้ตั้งใจในสิ่งที่ตัวเองได้ตัดสินใจทำ  เวลาที่สถานธรรมมีงาน  ขอให้ท่านมาถึงสถานธรรมเป็นคนแรก  มีบางคนพอมีงานชอบมาถึงเป็นคนสุดท้าย อย่างนี้ใช้ได้หรือไม่  (ไม่ได้)   ญาติธรรมทั่วไปนั้นมาถึงคนสุดท้ายอันนี้ว่าไม่ได้  แต่หากว่าท่านเป็นคนที่ตั้งปณิธานทานเจแล้ว  หมายความว่า ตั้งใจจะสร้างกุศลอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร   ตั้งใจจะสร้างกุศลเพื่อคืนเบื้องบน  ก็ยังทำตัวเฉื่อยแฉะเชื่องช้า อย่างนี้ควรเรียกว่า ใช้ไม่ได้
ในสถานธรรมมีเรื่องของความบริสุทธิ์ 3 อย่าง ได้แก่ ชายหญิงชัดเจน  เงินทองชัดเจน  โลกและธรรมชัดเจน  สามอย่างนี้ให้ระมัดระวังให้ดี  เพราะว่าคนที่อยู่ในนี้ก็มีหลายคนที่ไม่สามารถทำได้  ในรายละเอียดปลีกย่อยนั้นไม่ขอพูดถึง  อยากให้ท่านสำรวจตนเอง  เวลาในการบำเพ็ญธรรมของเรานั้นยังมีอีกยาวนาน  แต่หากเป็นคนขี้เกียจ เป็นคนเกียจคร้าน  เวลายาวนานนั้นก็คงจะไม่พอให้ท่านใช้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อมาสถานธรรมเจอคนที่ดุหน่อย  เจอคนที่อ่อนโยนหน่อย ก็ขอให้อภัยกันให้ดี  เหมือนอย่างเราศิษย์พี่ท่านว่าดุ   พระอาจารย์จี้กงท่านว่าใจดี  เมื่อวานนี้หลายคนคงจะได้เจอพระอาจาริณี  ท่านเป็นคนที่อ่อนโยน  แต่อยากจะทราบนักว่า หากพูดด้วยความอ่อนโยนตลอดเวลา  คนที่ไม่รู้จักสำนึก ก็คงจะไม่สำนึกตลอดไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมาสถานธรรมเพื่อขัดเกลานิสัยของตนเอง  เจอสิ่งที่ถูกใจบ้าง  ไม่ถูกใจบ้าง  ท่านต้องฝ่าไปให้ได้  เป็นอุปสรรคอยู่ที่ไหน  ไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น  แต่อยู่ที่ตัวเองทั้งสิ้น
การทานเจนั้นขอให้เข้าก็สะอาด  ออกก็สะอาด พูดจาให้ดี  คิดให้ดีจึงพูดดี  ขอให้กินให้สะอาด  ไม่ใช่กินอย่างลวกๆ หรือว่าแล้วแต่เหตุการณ์อำนวย  เหตุการณ์อำนวยก็กินสะอาดหน่อย  เหตุการณ์ไม่อำนวยก็ขอไปที  อย่างนี้ท่านจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ตั้งปณิธานทานเจจริงๆ หรือเปล่า  ขอให้คิดและทบทวน  ขอให้เข้าใจในธรรมะที่ตัวเองศึกษา  หลายคนนั้นอาจจะยังไม่เข้าใจ  หลายคนนั้นอาจจะแค่เพียงเริ่มต้น  ขอให้เราตั้งใจศึกษา  เพื่อให้ศิษย์และอาจารย์ของเราทุกคนได้อยู่ร่วมกัน  ดังเช่นเรากลับคืนไปอยู่กับพระอาจารย์  เราก็หวังว่าทุกๆ ท่านที่เป็นน้องจะสามารถกลับไปอยู่กับพระอาจารย์เช่นเดียวกัน  ทุกวันท่านคอย  เราจึงต้องเร่งหมั่นพยายาม  คอยนี้คอยอะไร  คอยให้ท่านกลับตนเป็นคนดี  คอยให้ท่านละอารมณ์ คอยให้ท่านดีขึ้นๆ ท่านคิดว่าคนที่รอมีความทุกข์ไหม  (มี)  ทุกข์นี้ไม่ใช่ทุกข์ให้ตัวเอง  แต่ทุกข์เพื่อเวไนยทั้งมวล  ท่านจึงต้องคิดให้ดี  ตัวท่านมีความสำคัญมาก
วันนี้ศิษย์พี่ขออนุญาตพระมารดามาพบได้  ก็เพราะบอกว่า ทุกๆ ครั้งที่มีงานประชุมธรรมเจอกันบ่อย แต่ไม่สามารถที่จะบอกกล่าว  ไม่สามารถที่จะสอนได้โดยตรง  เพราะว่ามีทั้งคนที่ใส่ใจและมีทั้งคนที่ไม่ใส่ใจ  มีทั้งคนที่ขอไปทีและมีทั้งคนที่เคร่งครัด  วันนี้ขอให้เราพี่และน้องได้คุยกัน  ขอให้เราได้สืบสานสืบทอดในปณิธานแห่งพระอาจารย์  แห่งพระศรีอาริย์ฯ และเราขอให้ทุกท่านรู้จักที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคนที่ดีขึ้น คนที่บำเพ็ญธรรมก็อาจจะมีหลายอย่างที่ไม่ได้ดีไปกว่าคนที่ไม่บำเพ็ญ  ฉะนั้นจึงต้องเคารพซึ่งกันและกัน  สามัคคีกันให้มาก  หลายๆ คนเมื่อทานเจไปถึงช่วงหนึ่งก็กลับเปลี่ยนใจ ทนไม่ได้กับอาหารที่ยั่วเย้า กิเลสที่ยั่วยวน  จึงหวังว่าเตือนน้องๆ ไว้ก่อน  ถ้าหากว่าท่านเปลี่ยนใจ ผลลัพธ์จะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน  หากท่านรักษาปณิธานได้  ถึงจะไม่สามารถบรรลุเป็นพุทธะได้  อย่างน้อยก็รับรองได้ว่าท่านก็ไม่ตกต่ำ  แต่หากท่านรักษาปณิธานไม่ได้  ผลก็ตรงกันข้ามกับนิพพาน  กลายเป็นนรกขุมที่ลึกที่สุด  ฉะนั้นเตือนใจทุกท่านให้ดี  เมื่อยหรือยัง
โอวาทนั้นถ้าหากว่าไม่สมบูรณ์ไม่เรียบร้อย  ขอให้พิจารณาถามอาจารย์อาวุโสว่าจะแจกหรือไม่  หากว่าทำไม่ดี ทำไม่เรียบร้อย ยังขาดตกบกพร่องไป  ขอให้พิจารณาให้ดี  หากไม่สมบูรณ์ก็ต้องพิจารณาเช่นกัน  แล้วให้อาจารย์อาวุโสเป็นผู้ตัดสิน หากว่าอาจารย์อาวุโสอ่านไม่ออก ให้รู้ที่จะแปลให้ฟัง  ออกความคิดเห็นให้ฟัง  เข้าใจหรือยัง
หลายคนที่นี่ไม่ใช่เป็นแค่คนที่ตั้งปณิธานทานเจเท่านั้น  แต่ยังมีตำแหน่งทางธรรมพ่วงมาด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การทานเจเป็นการเริ่มต้นที่เราจะไปช่วยงานธรรมะอย่างแท้จริง  ความหมายของการเป็นฐันจู่  เจี่ยงซือ  เจี่ยงเอวี๋ยนนั้นไม่ใช่ว่ามีเอาไว้เพื่อให้คนมาโค้งคำนับ มีเอาไว้ให้ดูว่าตนอยู่ในตำแหน่งของการทำหน้าที่อะไร  ก็ไปทำหน้าที่นั้นให้ชัดเจน  ส่วนหน้าที่รองๆ ลงมา  ถ้าหากว่ามี แม้กระทั่งขัดห้องน้ำก็ยังต้องไปหัดทำ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นจะมีตำแหน่งไว้โอ้อวดไม่ได้  แต่ต้องมีตำแหน่งไว้เพื่อย้ำเตือนจิตใจของเราให้รู้จักที่จะก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นในสิ่งที่ตัวเองแบกรับ  บางคนเป็นทั้งฐันจู่  เป็นทั้งเจี่ยงซือ และเป็นทั้งคนที่ตั้งปณิธานทานเจแล้ว เป็นความยากลำบากที่สุด อย่าคิดว่าเป็นเรื่องที่สบาย  อย่าคิดว่าเป็นเรื่องที่เวลากราบพระแล้วจะต้องมาอยู่ข้างหน้า ไม่ใช่อย่างนั้น  ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่เป็นฐันจู่  เป็นเจี่ยงซือ  บางทีเรายอมอยู่ข้างหลังก็เป็นเรื่องสมควร  อย่าคิดว่าเรานั้นจะต้องอยู่ข้างหน้าเสมอไป  เพราะว่าการอยู่ข้างหน้าไม่ได้มีความหมายแค่อยู่ข้างหน้า  แต่การอยู่ข้างหน้ามีความหมายถึงภาระอันยิ่งใหญ่  หมายความว่าเรานำหน้าคนทั้งหมด  ฉะนั้นเวลากราบพระคนที่มายืนข้างหน้าแล้ว  จึงต้องรู้จักสำนึกตัวเองว่าในขณะนี้เรายืนอยู่ข้างหน้าคนอื่น  หมายความว่าภาระของเราก็หนักยิ่งกว่าคนอื่น  การที่บางคนจะแบกรับงานยุคสามอันนี้  ไม่ใช่อยู่ที่ว่าอายุมาก  อายุน้อย  ไม่ใช่อยู่ที่การเข้ามาบำเพ็ญธรรม 3 ปี 5 ปีหรือ10 ปี  แต่อยู่ที่ความตั้งใจจริงที่เราตั้งใจจะแบกรับหรือไม่  บางคนมาไวแบกรับได้มาก  มีความสามารถพิเศษมาก  ก็ต้องรู้จักใช้ความสามารถนี้ให้เป็นประโยชน์  แต่ในขณะเดียวกันต้องรู้จักหัดอ่อนน้อมถ่อมตนไว้ด้วย  เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  รับรองได้ว่าหากท่านฝึกอ่อนน้อมถ่อมตน  ก็ไม่เป็นการเสียหายที่ตรงไหน  หากว่าท่านฝึกปากกับใจตรงกัน  ก็ไม่เป็นการเสียหายที่ตรงไหน  ท่านเป็นคนจริงใจคนก็ยิ่งรัก  หากท่านเป็นคนที่มีมิตรสัมพันธ์ที่ดี รู้จักช่วยเหลือคนอื่น  คนอื่นก็ยิ่งชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านต้องฝึกหัดเป็นคนที่มนุษย์ด้วยกันเองชมชอบได้ จึงจะสามารถให้พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชมชอบท่านได้  หากว่าท่านหวังว่าการที่ท่านทำดีนั้น เพื่อให้พุทธะชมชอบ  แต่ในมนุษย์ด้วยกันเอง  ท่านยังไม่สามารถทำสำเร็จ แล้วคิดว่าพุทธะจะชมชอบท่านหรือไม่  ย่อมเป็นไปไม่ได้  ฉะนั้นจึงต้องรู้จักตัวเองให้มาก  เคร่งครัดกับตัวเองให้มาก
การที่พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์สอนว่า  พลิกแพลงไปตามสภาพการณ์  ใช้ปัญญาพลิกแพลงไปตามสภาพการณ์นั้น  ท่านต้องดูสภาพการณ์จริงๆ ท่านต้องรู้จักที่จะพิจารณาจริงๆ ไม่ใช่เห็นว่าตอนนี้ถึงทางเราตันแล้ว  เราก็พลิกแพลงไปอย่างนั้นไม่ใช่  แต่หมายความว่าท่านนั้นเกิดความขัดข้อง  แล้วถ้าหากว่าทำไปจะเดือดร้อนผู้อื่น  อย่างนั้นจึงใช้การพลิกแพลงไปตามสภาพการณ์ การทานเจเป็นสิ่งที่เป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับมนุษย์มาก  แต่หากว่าท่านทานด้วยจิตใจที่เมตตาแล้ว  ท่านจะไม่รู้สึกว่ายุ่งยากใครเลย  เพราะถ้าหากว่าท่านกล้าแม้แต่หยิบเนื้อสัตว์เข้าปาก  ก็แสดงว่าจิตเมตตาของท่านนั้นมันลบหายไป
หลายคนทานเจแล้วคิดว่าเรื่องทานไข่เป็นอย่างไรบ้าง  เราจะช่วยตอบให้ดีหรือไม่ (ดี)  เพราะว่าตอนนี้กำลังเป็นปัญหาของพวกท่านใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่บอกว่าไข่ทานไม่ได้นี่ใครพูด  สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดใช่หรือไม่  ท่านได้ยินกับหูไหม  (ไม่ได้ยิน)  เป็นการบอกเล่าเก้าสิบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เชื่อได้ไหม  หลายๆ ปัญหาในโลกนี้ก็เกิดแบบนี้  คือฟังกันมา พูดกันไป  แม้กระทั่งคำพูดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยังพูดกันไปไม่เว้น ใช่หรือไม่  (ใช่)   เราขอแนะนำให้ทุกท่านพูดแต่เรื่องดีๆ หัดพูดแต่เรื่องดีๆ ที่ตัวเองรู้ชัดแล้ว  อย่าทำตัวให้เป็นลมช่วยกันกระพือเข้าไปให้ไฟมันลุกโหม ดีหรือไม่ (ดี)  วันใดที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องการบอกให้พวกท่านเลิก  พวกท่านก็จะรู้เอง  ตอนนี้หากว่าใครทำได้ก็ทำไป  ใครเลิกได้ก็เลิกไป  ใครเลิกไม่ได้ไม่ต้องว่า  ไม่ขอพูดว่ามันเป็นเรื่องผิดหรือถูก  เพราะว่าคงจะไม่อยู่ในความคิดที่สามารถจะพูดออกมาได้  ขอให้ทุกท่านทานด้วยความสบายใจ  แต่ระมัดระวัง  สิ่งใดที่รู้ว่าไม่ใช่  คิดว่าไม่ใช่ก็อย่าไปทาน  เข้าใจหรือไม่  (เข้าใจ)  และอย่าฟังคำพูดที่บอกเล่าเก้าสิบมา  ดูอย่างเรื่องนี้เห็นไหมว่าคนพูดนั้นร้ายกาจยิ่งกว่าพุทธะพูดอีก ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นจึงมีทั้งสองประเภทคือ ทั้งกินได้และกินไม่ได้ ขอให้ตัดสินใจ ขอให้ยกระดับตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ แต่อย่าพูดว่าไม่ได้ แต่อย่าพูดว่าได้ เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ) หากว่ามีเด็กเล็กๆ ฝึกหัดทานเจ ท่านไม่ให้พวกเขาทาน พวกเขาจะทานอะไร หากถึงคราวลำบากแล้ว  ท่านไม่ให้เขาทาน  เขาจะทานอะไร  ท่านต้องคิดเรื่องนี้ให้รอบคอบ  อย่าเอาตัวไปขัดขวางโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังขวางอะไรอยู่  ท่านทำได้  คนอื่นทำไม่ได้  ฉะนั้นการที่ท่านขวางไปก็เท่ากับเป็นการทำให้คนอื่นมีอุปสรรคมากขึ้น เข้าใจหรือไม่  (เข้าใจ)
 ใครมีอะไรจะถามเรื่องการทานเจบ้าง  ขอเป็นเรื่องที่ไม่ได้เป็นปัญหาของตัวเองคนเดียว หากไม่มี ศิษย์ผู้พี่จะกลับแล้ว  หวังว่าท่านนั้นจะทานเจอย่างคนที่สบายใจ อย่างคนที่อิ่มเอิบใจ  แต่ให้ระมัดระวังให้รอบคอบ  ให้รู้ทันในสิ่งที่ตัวเองได้ทานเข้าไป  ให้รู้ทันในสิ่งที่ตัวเองคิด  เพราะว่าการทานเจนั้นไม่ได้มีความหมายครอบคลุมอยู่แค่การทานเข้าไปเท่านั้น  แต่หมายถึงการคิดออกมาด้วย  การพูดออกมาด้วย  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดตกบกพร่องไม่ได้  ไม่เช่นนั้นแล้วตัวท่านอยู่ในแดนพุทธะ  จิตญาณท่านโปร่งใส  แต่การกระทำของท่านสวนทาง  การกระทำของท่านเป็นสิ่งผิดบาปอยู่เป็นระลอกๆ หากเป็นเช่นนี้แล้วก็ไม่สามารถที่จะบำเพ็ญเป็นพุทธะได้ เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  ใครทำไม่ดี  ในบ้านของเราเป็นอย่างไร  เราไม่ต้องสนใจ ขอให้หัด ขอให้ฝึก ฝึกจิตใจให้เข้มแข็งมีความอดทน ห้ามปากของเรา  ห้ามใจของเรา  ห้ามความคิดของเรา เข้าใจหรือไม่  (เข้าใจ)
ทุกๆ คำพูดที่วันนี้เราผู้พี่พูดล้วนออกจากใจ  ขอให้น้องๆ เก็บจำใส่ใจและขอให้รู้ไว้ว่า ทุกๆ เวลาเราผู้พี่คอยมองและจดบันทึกอยู่  ใครทำสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น ความผิดใดๆ ไม่จำเป็นต้องพูด  ถ้าหากท่านพูดเมื่อใด  ขอให้พูดแล้วเขาสามารถแก้ไขได้ อย่างนั้นเร่งพูด  แต่กลัวว่ามนุษย์ด้วยกันพูดกัน  คนไม่อยากฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เช่นนั้นพูดไปก็จะเสียประโยชน์เปล่า บางทีจึงต้องรู้จักอดทนอดกลั้น  บางทีจึงต้องรู้จักระมัดระวัง  ขอให้รักษาจิตญาณของตัวเองนั้นให้กลมใสสว่าง  ตอนนี้ปากของเราสะอาดแล้ว ใจของเราสะอาดตาม  จิตญาณของเราจะกลม ใสและสว่าง  พูดตามหน่อยได้ไหม  กลม ใสและสว่าง   (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ทุกคนพูดตามว่า  กลมใสและสว่าง)  เวลาพูดไห้รู้สึกว่า จิตใจของเรานั้นกลมใสหรือยัง (ยัง) ไม่กลม ไม่ใสและไม่สว่างด้วย ใช่หรือไม่  (ใช่)  จึงหวังว่ากลับไปหลังจากวันนี้  เวลาผ่านไปหนึ่งปี  บำเพ็ญไปหนึ่งปี  ขอให้หนึ่งปีที่ผ่านไปนั้นผ่านไปดั่งคนที่บำเพ็ญ  ไม่อย่างนั้นบำเพ็ญไปสิบปี  ไม่สู้บำเพ็ญแค่หนึ่งวัน ใช่หรือไม่  (ใช่)  บำเพ็ญไปสิบปี  ขอให้ก้าวหน้าดั่งคนที่ก้าวหน้าสิบปี ดีหรือไม่ (ดี)  ขออวยพรให้ทุกท่านนั้นบำเพ็ญบรรลุขึ้นสู่แดนฟ้า  ขอให้ทุกท่านนั้นอย่าท้อแท้ ขอให้ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้น

อ่านต่อ...

วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2544

2544-04-13 สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรขันธ์


วันศุกร์ที่  ๑๓  เมษายน  พุทธศักราช  ๒๕๔๔    สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  อ.ปราณฯ จ.ประจวบฯ
  สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

สามคนเดินมีหนึ่งเป็นอาจารย์เรา ชราเยาว์มีหนึ่งใจไม่แปรเปลี่ยน
       ตลอดชีพสละตนดุจเล่มเทียน ตามรอยเกวียนอาวุโสไม่คลาดคลา
เราคือ
    เอวี้ยฮุ่ยผูซ่า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรม  กราบ
องค์มารดา ถามเมธีศิษย์ชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮา  ฮา

บำเพ็ญนานสุขเกษมหรือทุกข์ใจ เจ้าเหนื่อยไหมงานหนักสองบ่าแบก
จงมีใจศรัทธาดุจคราแรก ที่เจ้าแทรกตนลงช่วยเวไนย
หากความทุกข์มากมายจงปล่อยวาง ใจบางบางจะรับได้มากแค่ไหน
จงอดทนในเรื่องที่ต้องทนไป แต่กลุ้มใจศิษย์น้อยยังคอยลังเล
บำเพ็ญดีคือสิ่งที่ฟ้าอยากเห็น ความลำเค็ญนำให้ศิษย์ยิ่งแกร่งกล้า
รับหน้าที่ประกาศธรรมแทนฟ้า ต้องเมตตาช่วยเวไนยอีกมากมาย
สิ่งที่รู้อาจยังไม่ใช่ความรู้ พินิจดูตรงหลักธรรมเที่ยงแท้ไหม
เข้าใจในสิ่งใดใช่ผิวเผินไป ต้องรู้จริงจึงได้เข้าใจจริง
สิ่งที่พูดสิ่งที่ทำเป็นหนึ่งเดียว จงกลมเกลียวจากจิตใจภายในส่อ
อย่าได้เป็นคนยอมหักไม่ยอมงอ เอาลาภยศเป็นต่อทางพุทธา
ต้องเหมือนเด็กยิ่งตียิ่งเข้าหา จึงก้าวหน้าดั่งที่ข้าเฝ้าสอน
ในวันนี้แม้โลกยังรอนรอน แต่อย่าร้อนใจเร่งรีบจนผิดทาง
สงสารคนต้องสร้างตนค่อยสร้างคน ความอับจนมากมายตนเป็นผู้หา
อย่าได้แต่กราบขอฟ้าให้เมตตา สำนึกหนายามนี้ต่างโชคดีพอ
เรียนพันวันอาจเพื่อใช้เพียงครั้งเดียว ใจลดเลี้ยวเกียจคร้านไม่อ่านหนังสือ
จะเอาสิ่งใดไปสอนคนเขาฤๅ ขอให้ถือความขยันเป็นมั่นคง
หากใครมีพรสวรรค์ผนวกเข้า บรรยายธรรมอย่าให้เศร้าคนนั่งหลับ
รู้ไม่จริงพูดไปสลับสลับ เพราะตนจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย
อย่าลืมว่าดื่มน้ำรำลึกต้นธาร รักสถานธรรมดุจบ้านจะดีไหม
บ้านยิ่งร้างบ้านยิ่งเก่าน่าเศร้าใจ ขอตั้งใจในยุคปลายบำเพ็ญจริง
จงเป็นดั่งสะพานเชื่อมสองโลก มนุษย์โลกกับนิพพานให้เป็นหนึ่ง
แปรแดนดินให้สันติให้ตราตรึง จิตใจหนึ่งของตนจึงต้องมั่นคง
เคารพอาจารย์เทิดทูนธรรมด้วยเข้าใจ รู้ยืดหยุ่นว่องไวปัญญาใส
ฉลาดมากเสียกุศลได้โดยง่าย อ่อนน้อมได้เป็นพุทธะเพราะฝึกตน
ดอกไม้งามไม่บานอยู่บ่อยบ่อย ขอศิษย์คอยรักษาโอกาสให้แม่นมั่น
โลกใบนี้ไม่จีรังดั่งหมอกควัน เงินทองนั้นหาเท่าไรก็ไม่พอ
อุทิศตนช่วยงานธรรมจิตใจงาม ก้าวเท้าตามอาวุโสอย่าได้บ่น
อาวุโสตรวจสอบตนอย่าตกหล่น ความอดทนเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมี
จงรู้แจ้งในโอวาทเบื้องบนสอน ท่านอาทรศิษย์จึงได้สั่งสอน
รอโพธิสัตว์มาช่วยไม่รู้ย้อน สามหนผ่านยังร้องขอน่าเสียดาย
จงได้เริ่มจริงจังหากยังไม่เคย มีบุญเอยอย่าดูถูกตนเองหนา
โลกทันสมัยวงการธรรมยิ่งรุดหน้า และเจ้าคืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง
จงรักษาบรรยากาศธรรมทั้งนอกใน ศรัทธาไกลอารมณ์ใกล้ไม่ดีแน่
โลภโกรธหลงพิษสามอย่าเชือนแช จงดูแลพี่น้องกันด้วยจริงใจ
บำเพ็ญจิตปฏิบัติรู้มีธรรม ชำระกรรมเคยก่อให้สะอาด
คนเดินช้ากรรมก้าวเร็วอย่าประมาท จงอย่าขลาดในการทำหน้าที่ของตน
ในวันนี้ด้วยจิตใจใฝ่คิดถึง อยากจะดึงศิษย์น้อยที่กลับไปหลง
ตื่นแล้วหลับหลับแล้วตื่นน่าพะวง เดินทางตรงแต่ใจคดยากรับมือ
ขอให้ทำในสิ่งที่ดีที่สุด ศึกษาธรรมเร่งรุดคัมภีร์ต่างต่าง
หากไม่รู้คอยหลีกหน้าที่ต่างต่าง แล้วจะสร้างตนอย่างไรอาจารย์ถาม
ขอให้มีความมั่นคงตรงจุดหมาย งานยุคปลายอาศัยศิษย์ทั้งหลาย
เมื่อต้องพูดค่อยรู้ตนรู้น้อยไป จงขวนขวายสร้างสรรค์ทำงานธรรม
ในวันนี้ไม่ขอกล่าวให้มากไป คำสุดท้ายขอย้ำบอกอย่ากลัวลำบาก
กินขมมากจะหวานเองรู้ตระหนัก คมในฝักรู้ย้อนมองอีกส่องตน
รักษาสุขภาพให้ดีดี โอกาสมีค่อยมาร่วมผูกบุญสัมพันธ์
ฮา   ฮา  หยุด


พระโอวาทท่านหลี่เอวี๋ยนเซียนจวิน

ต่างคนต่างมีปณิธาน  มีภาระหน้าที่ต้องทำให้ดีๆ  ต้องบำเพ็ญให้ดีๆ  บำเพ็ญไม่ดี  สำเร็จธรรมไม่ได้ก็น่าเสียดาย  บำเพ็ญมาตลอดชีวิตก็เพื่อเวลาที่เราตายจากกายนี้ไปแล้ว  ยังสามารถที่จะกลับไปอยู่กับพระอาจารย์พระอาจาริณีได้  ยังสามารถกลับไปอยู่กับท่านเหล่าเฉียนเหยรินได้ และก็ยังสามารถกลับไปอยู่กับเฉียนเหยรินได้  วันนี้เฉียนเหยรินขอเหลาหมู่มาพบศิษย์น้องทุกๆ คน  ก็เพราะว่าทุกๆ คนนั้นมีความศรัทธาคิดถึง  เฉียนเหยรินก็คิดถึง  แต่ว่าไม่สามารถที่จะมาได้บ่อยๆ ยังหวังว่าทุกๆ คนบำเพ็ญให้ดีๆ บำเพ็ญธรรมะบำเพ็ญที่ใจ  ถ้าหากว่าจิตใจไม่ซื่อสัตย์  ไม่จริงใจ  ไม่มีมโนธรรมสำนึก  แล้วจะบำเพ็ญไปได้อย่างไร  ใช่หรือเปล่า  (ใช่)
อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมทุกท่าน  ทุกๆ คนนั้นบำเพ็ญธรรมด้วยจิตใจดีงามเป็นที่เริ่ม  บำเพ็ญต่อๆ ไป  นานๆ ไปก็ต้องมีจิตใจที่ดีงาม  การบำเพ็ญธรรมต้องเจริญรอยตามอาวุโส  ถึงเป็นอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมก็ยังมีอาวุโสกว่า  เพราะฉะนั้นทุกๆ คนเชื่อฟังผู้อาวุโสให้ดีๆ  แต่ละคนต่างมีความยากลำบาก  บ้านใครๆ ก็มีความยากลำบาก จิตใจใครๆ ก็มีความยากลำบาก  แต่ว่าเราบำเพ็ญธรรมก็เพื่อที่จะฝ่าความลำบากเหล่านี้ออกมา  เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้น้อย  อย่าได้มีความลับลมคมใน  เข้าใจไหม  บำเพ็ญจริงใจ  บริสุทธิ์ใจ  เปิดเผยได้  สิ่งที่ไม่ดี  ความเคยชินที่ไม่ดีต้องหัดขจัดล้างเอง  เพราะตอนนี้เป็นอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมแล้ว  ไม่รู้จะให้ใครเตือนดี  ถ้าหากว่ามังกรตาบอดแล้ว  จะให้หางไปอย่างไร  ถ้าหากว่าเราท้อแท้แล้ว  ข้างหลังจะตามเราไปอย่างไร  อยู่เมืองไทยวงการธรรมะขยายกว้าง  ถ้าหากว่าต่างคนต่างคิดจะไปคนละทาง  แล้วจะให้เฉียนเหยรินบอกว่า หลี่เอวี๋ยน  ไม่กล้าพูด  เพราะโฮ่วเสวี๋ยตอนนี้หมายถึงต้องเชื่อฟัง  มีอยู่แค่ครู่เดียว  ส่วนใหญ่จิตใจมันจะแตกร้าวเสียมากกว่า ใช่ไหม  ต่างคนต่างฉลาด  ต่างคนต่างมีวิถีทาง  แต่ขอให้เราอย่าเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่  แนวทางนั้นขออย่าให้ผิดจากกันมาก  เพื่อให้เฉียนเหยรินได้ชื่นชมบ้าง  จะได้รู้สึกว่ามีผู้น้อยที่ดีที่เดินตามมาติดๆ  แต่ว่าทุกๆ คนมีผิดแล้วก็มีถูก  ทุกๆ วัน ทุกๆ เวลาสำรวจใจตัวเองให้มากๆ  อย่าให้กิเลสโลกแสงสีมาเกาะกินใจ  จนไม่สามารถที่จะบำเพ็ญได้  เข้าใจไหม  เฉียนเหยรินมีคำพูดมากมาย  แต่เมื่อเห็นหน้าพวกเราทุกๆ คนแล้วพูดไม่ออก  สิ่งที่ตั้งใจมาพูดก็แทบจะลืมไปหมดสิ้น  เพราะว่าได้เห็นหน้าพวกเราทุกๆ คน บำเพ็ญให้ดีๆ คนเหล่านี้เป็นตัวแทนของพระอาจารย์  พระอาจาริณี เป็นคนที่เราสมควรให้ความเคารพ  แต่เมื่อใดที่ความเคารพขาดไปจากใจ  ก็ขอให้เรายึดธรรมเป็นหลักบำเพ็ญให้ดีๆ ตั้งใจบำเพ็ญให้มากๆ
วันนี้วันสงกรานต์เป็นวันปีใหม่  เฉียนเหยรินอวยพรให้ทุกๆ คนมีสุขภาพแข็งแรง  เพื่อไว้ใช้บำเพ็ญธรรม  อยากให้เบื้องบนช่วย  เราต้องช่วยตัวเองด้วย  เราต้องช่วยเบื้องบนด้วย  มีเวลาว่างศึกษาเรียนรู้แก้ไข  พุทธระเบียบต่างๆ ต้องจำให้แม่นยำ  ทุกๆ คนมีบุญสัมพันธ์กับเรา  แต่ดูเหมือนว่าเราจะไม่ค่อยมีบุญ  ไม่สามารถดูแลท่านได้ด้วยตนเอง ขอให้ท่านรักกันดั่งพี่ดั่งน้อง  ขอให้เป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ  ขอให้กลมเกลียวกันมากๆ สิ่งใดอภัยได้จงอภัยกัน  อย่าถือโทษโกรธเคืองในจิตใจ  อย่าขุ่นข้องหมองมัว
(ท่านหลี่เอวี๋ยนเซียนจวินเมตตากับญาติธรรมสิงค์โปร์)
มาจากแดนไกล  พวกท่านต้องตั้งใจฟังหัวข้อ  กลับไปต้องไปพูดดีๆ  เพราะว่าพวกเธอเป็นความหวัง   ของวงการธรรม  ถึงแม้ว่าเฉียนเหยรินไม่ได้ไปที่นั่น  แต่ก็เฝ้าดูพวกเธอทุกคน  บำเพ็ญให้ดีๆ ปฏิบัติดีๆ  พวกเธอต้องตั้งใจ  ถ้าทำได้ก็ไปทำ  ถ้ายังทำไม่ได้ขอให้หยุดก่อน  เข้าใจไหม
คิดถึงเฉียนเหยรินก็ต้องบำเพ็ญให้ดีๆ อีกหน่อยก็จะได้ไปอยู่ด้วยกัน  เพราะว่าพวกเธอเป็นเตี่ยนฉวันซือ  ฐันจู่  เจี่ยงซือ  ก็สามารถที่จะตกลงไปนรกได้  ดูว่าพวกเธอจะเลือกอะไร ก็ดูว่าวันนี้ที่เธอทำ
(ท่านหลี่เอวี๋ยนเซียนจวินเมตตาให้นำขนมถ้วยฟูมาแจกทุกคน)
เฉียนเหยรินให้ขนมถ้วยฟูไว้  วงการธรรมะจะได้เฟื่องฟู  อยู่ที่พวกเราทุกๆ คน  หลายๆ คนเป็นคนที่ดื้อรั้น  หลายๆ คนก็เคยถดถอยมาก่อน  จึงขอให้ระวังจิตใจอันนี้ให้ดีๆ  วันนี้แต่ละคนเสื้อผ้าเปียกชื้นเดี๋ยวจะไม่สบาย  ฉะนั้นวันนี้คงไม่รบกวนมาก  อีกอย่างก็ดึกแล้ว  พรุ่งนี้ยังต้องฟังธรรมอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ตอนนี้อาจารย์บรรยายธรรม  อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม มาจากแดนไกลพูดธรรมะให้เราฟัง  ต้องตั้งใจฟังอย่าสัปหงก  สิ่งที่ดีๆ ให้เลียนแบบไว้ให้มากๆ  เพราะเรานั้นสักวันหนึ่งอาจจะเป็นหัวมังกรก็ได้  อย่าให้มีผลกระทบต่อคนอื่น  อย่าให้มีผลกระทบต่อวงการธรรม  เพราะนิสัยของเราเป็นเหตุ รู้ไหม (รู้)  ตอนนี้เฉียนเหยรินกำลังสอนทุกคน  ก็อย่าไปคิดว่ากำลังว่าใคร  การบำเพ็ญธรรมตอนนี้สำหรับทุกคนก็คือการสั่งสมบารมี  ขอให้บารมีทั้ง ๖ เต็มเปี่ยม  ขอให้ขยันขันแข็ง  อย่าท้อใจ  ทำตัวให้ดีๆ  ไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่า “บำเพ็ญให้ดีๆ ”  เพราะว่าเฉียนเหยรินนั้นทั้งจิตใจก็มีแต่คำว่า บำเพ็ญให้ดี ก็ยังสามารถบรรลุได้  ทุกคนก็เหมือนกันเดินตามเรามา  บำเพ็ญให้ดีๆ ตั้งใจให้ดีๆ เข้าใจไหม  (เข้าใจ)  


วันเสาร์ที่  ๑๔ เมษายน  พุทธศักราช  ๒๕๔๔
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงและท่านเป้าซื่อหลิงถง

มองตั้งนานแต่กลับมองไม่เห็น ฟังไม่เป็นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
       คิดทีไรวนไปก็วนมา พูดออกมามีแต่น้ำไม่มีเนื้อ
                                  เราคือ
   จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ขอให้ทุกคนกลับไปตั้งใจใหม่ให้ดี

ละทิฐิอ่อนน้อมน่าเคารพ แผ่นดินกลบค่อยจบปณิธานนั้น
       ศิษย์รักเอยอย่าเป็นคนดื้อดึงดัน จงแบ่งปันโอกาสให้ทั่วถึงกัน
       สำรวจตนสำรวมจิตมั่นคงยิ่ง คนจิตนิ่งพบทดสอบจึงจะผ่าน
      เมื่อยิ่งรู้ว่าโลกนี้แสนทรมาน กลับไปบ้านดีไหมศิษย์อาจารย์รอ
      แบ่งงานเพื่อร่วมกันทำให้เบาแรง อย่าแข็งเกินอ่อนเกินรู้ไหมหนอ
      ทุกทุกคนสำรวจตนให้เพียงพอ คดในข้องอในกระดูกไม่เคยดี
      อาจารย์ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ศิษย์ ลำบากนิดทุกข์ใจหน่อยอย่าคิดหนี
      กระทำตนเป็นแบบอย่างที่ดี ขอศิษย์มีมรรคผลจริงทั่วหน้ากัน
ฮา  ฮา  หยุด

  รู้ดั่งว่าไม่รู้ ทำได้ เป็นสุข
       รู้แต่ไม่เข้าใจ ใช่รู้
       รู้แต่ทำไม่ได้ ใช่ว่า จะดี
       รู้เร็วกับรู้ช้า ต่างรู้ คือกัน

จิตใจแข็งขัน อยากอุทิศและสร้างสรรค์
        หยิบยกความดีให้กัน ต่างไม่ยึดครองเป็นของตน
        จิตใจขวนขวาย ใฝ่เรียนรู้ทำการศึกษา
         ดั่งคล้ายลืมวันเวลา ปลุกความดีในโลกนี้
* เป็นเพราะเราคือครอบครัวเดียวกัน ทุกข์สุขแบ่งปัน   ร่วมชีวีด้วยกัน
        เป็นเพราะเราคือครอบครัวเดียวกัน รักกลมเกลียวกัน   ร่วมสำนึกขอบคุณ
                                                              ทำนองเพลง : อี้เจียเหยริน

หมายเหตุ  :  สองบรรทัดสุดท้ายเป็นบทพระโอวาทท่านหลี่เอวี๋ยนเซียนจวิน  พระอาจารย์เมตตาให้นำมาต่อกับพระโอวาทของท่าน

ปณิธานเกิดจากสิ่งใดกัน ความมุ่งมั่นหรือโลเลกันแน่หนา
       เริ่มต้นถูกมีทิศทางสุดปลายนา แต่ทว่าเริ่มต้นผิดจะถึงอย่างไร
เราคือ
   เป้าซื่อหลิงถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านได้หมั่นตรวจสอบตนเองบ้างหรือเปล่า

สู่หนทางปณิธานในครานี้ ย่อมต้องมีความมั่นคงเป็นจุดหมาย
       หากท้อแท้ย่อมง่ายล้มใช่หรือไม่ หากเด็ดเดี่ยวไม่หวั่นไหวย่อมสบาย
        ความอ่อนน้อมลดความลำพองจิต อยากพิชิตกิเลสที่ตนร้าย
       มองให้ลึกถึงก้นบึ้งในจิตใจ ล้างด้วยใจธรรมสำนึกเป็นสิ่งดี
       ว่าตนดีแน่ใจหรือว่าดีแท้ ว่าตนแน่ตนเก่งประเสริฐศรี
       รู้ว่ารู้ไม่รู้ว่าไม่รู้จึงเรียกดี เหมือนไม่มีแต่มากล้นคือคนจริง
       ประกาศธรรมแทนฟ้าต้องทำได้ ทั้งกายใจประสานเป็นหนึ่งยิ่ง
       ปากพูดดีทำไม่ดีต้องละทิ้ง เป็นคนจริงต้องเปลี่ยนได้เพราะรู้ตน
       สามสำรวมสี่เที่ยงตรงต้องตรวจสอบ ความรอบคอบระมัดระวังไม่สับสน
       ใจบริสุทธิ์กายเที่ยงตรงรู้วางตน บำเพ็ญค้นหาพุทธะแท้ในกาย
       ต้องหมั่นศึกษาซึ่งความรู้ จักต้องปูพื้นฐานให้กว้างไว้
       อย่าเกียจคร้านอย่าเลือกครูมาสอนใจ เรียนแล้วต้องทบทวนไปไม่หน่ายเลย
ฮิ   ฮิ   หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กงและท่านเป้าซื่อหลิงถง

ท่านเป้าซื่อหลิงถง : รู้ใช่ไหมว่าเป็นหน้าที่  หากจบชั้นนี้ไปต่างต้องมีหน้าที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปณิธานถ้าจะตั้ง  แต่ขาดซึ่งจุดหมายจากจิตใจลึกๆ  อยากตั้งเพราะว่ามีให้ตั้ง  อยากตั้งเพราะว่าได้เกียรติหรืออยากตั้งเพราะว่าเหตุผลจนใจทำให้ต้องตั้ง  เช่นนี้ไม่สมควรตั้ง  อยากตั้งเพราะว่าตั้งแล้วได้นำคนอื่น  ตั้งแล้วได้อยู่หน้าคนอื่น  เช่นนี้ก็ไม่เหมาะสม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตั้งเพราะว่าเกิดจากอะไรล่ะ  ปณิธานเกิดจากอะไร  ดูจากอดีตเพื่อมาพัฒนาหรือฝึกความก้าวหน้าในปัจจุบัน ใช่หรือไม่  (ใช่)  อดีตที่พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตั้งปณิธานนั้นเพราะอะไร  เห็นใครแล้วตั้งตามหรือเปล่า  (ไม่ใช่)
พระอาจารย์ : ทำเต็มที่หรือเปล่า  มีความสุขที่ได้ทำงานนั้น
ท่านเป้าซื่อหลิงถง : สุขหรือทุกข์หรือลำบากใจ  พูดให้แจ่มชัด  อย่าพูดแต่ปาก  แต่ใจคิดอีกอย่างหนึ่ง  อย่างนี้เรียกว่าเจี่ยงซือ หรือผู้ที่จะมาเป็นเจี่ยงซือได้อย่างไร ใช่ไหม (ใช่)  หากหน้าที่มีแล้วต้องทำ  แต่ใจไม่เคยลบล้างสิ่งที่คิดว่าไม่อยากปฏิบัติ  ไม่อยากทำ เช่นนี้เอาตำแหน่งไปทำไม จริงไหม (จริง)  หากเอาตำแหน่งไปเกี่ยงงอน  ถึงเวลาให้พูด ไม่พูด  ถึงเวลาได้พูดกลับทำแบบขอไปที  สมควรไหมที่จะขึ้นมาพูด  สมควรไหมกับเกียรติที่ได้รับ  ปณิธานเกิดจากอะไร  ขาดความกล้าแล้วจะเป็นเจี่ยงซือได้อย่างไร
พระอาจารย์ :  สมควรทำงานแทนฟ้าเบื้องบนหรือเปล่า
ท่านเป้าซื่อหลิงถง :  ทำงานแทนฟ้าคือทำงานอะไรต้องรู้ด้วย  หากจุดเริ่มต้นเราไม่เข้าใจ  สิ่งที่เราตั้งใจไป  ก็จะเดินได้อย่างไรไม่มั่นคง  ท่านก็รู้ว่าภูผาสูงเกิดได้จากหินก้อนเล็กๆ แต่ก้อนเล็กๆ ก้อนเดียวหรือไม่  (ไม่ใช่) ต้องหลายๆ ก้อนรวมตัวกัน  จึงค่อยสูงขึ้นๆ จริงหรือเปล่า  (จริง)  แต่ถ้าก้อนเล็กๆ รวมๆ กัน  แต่คนละอย่าง  ต่างชนิดกัน  ย่อมเกิดความไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว  ต้องเป็นก้อนเล็กๆ แม้จะต่างชนิดกัน  แต่มีความเหมือนกันอยู่  สอดคล้องกันอยู่
พระอาจารย์ : เวลาทำงานธรรมะ  ต้องมีสติเหมือนกัน  ไม่มีสติทำงานก็เป็นการเสียเวลา  ดูว่าตอนนี้มองถึงแม้ว่าจะเห็นอยู่  แต่ไม่เห็นภาพจริงๆ ของสิ่งที่มอง  แล้วถ้าหากว่าฟังก็ฟังไม่เข้าหูเลย  เวลาคิดจะเป็นอย่างไร  เวลาคิดก็คิดไม่ออกใช่ไหม  เป็นอาจารย์บรรยายธรรมต้องเก่งทั้งทางด้านการมอง  มองสายตาต้องเฉียบคม   คมมากจนไปบาดคนอื่นก็ไม่ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  มองไปเห็นข้อดีหรือข้อเสียคนอื่น  (ข้อดี)  แล้วตอนนี้เห็นข้อดีหรือข้อเสียคนอื่นเป็นส่วนใหญ่ (ข้อเสีย)  อย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้  ต้องปรับปรุง  ถ้าเรายังต้องปรับปรุง  แล้วข้างล่างจะเชื่อถือเราหรือเปล่า  ถ้าหากเรายังเป็นคนประเภทที่ยังต้องปรับปรุงอยู่ทุกอย่างๆ  ข้างล่างจะเชื่อเราไหม  สามารถนำใครได้หรือเปล่า  (ไม่ได้)  เวลาคนเขายกย่องว่าเราบรรยายเก่ง  เราละอายใจไหม  ถ้าหากว่าเราพูดเป็นน้ำไหลไฟดับ  แต่ทำไม่ได้สักข้อหนึ่งน่าละอายหรือเปล่า (น่าละอาย) เพราะฉะนั้นตอนนี้การมองก็ต้องมองให้ดี  มองให้เห็นถึงข้อดีของคนอื่น  จึงสามารถส่งเสริมคนอื่นได้ใช่ไหม  ถ้ามองไปก็เห็นแต่ข้อเสียของเขา  เราอยากจะส่งเสริมเขาหรือเปล่า  มีแต่ความรังเกียจ ใช่ไหม  เมื่อรังเกียจแล้วส่งเสริมไปรอดไหม  (ไม่รอด)   ฉะนั้นต้องเอาตัวเองให้รอด  เราต้องรู้จักที่จะมอง  แล้วก็มองให้ออกถึงข้อดี  เพื่อที่เราจะได้คิดว่าเราจะไม่เป็นอย่างนี้  นี่เป็นการบำเพ็ญธรรมพื้นฐานที่เราฟังกันมามากต่อมากแล้ว  มากี่ครั้งก็พูดแบบนี้  แต่ว่าฟัง (เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา) จริงๆ แล้วทะลุหรือเปล่า ไม่รู้  รู้แต่ว่าเก็บไม่อยู่  พอเราเจอกิเลส อารมณ์ยั่วเข้าหน่อยก็แพ้ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าหากว่ายังแพ้อยู่จะชนะใครได้  ชนะตัวเอง  ชนะผู้อื่นได้หรือเปล่า (ไม่ได้)
เวลาคิดก็คิดออกมาแต่เรื่องอะไร  เวลาเราคิดก็คิดในสิ่งที่เรารู้อยู่แล้วเป็นพื้นฐาน ถ้าหากว่าเรารู้ว่าคนนี้ไม่ดี  เวลาเราคิดออกมาเกี่ยวกับเขาก็จะเป็นเรื่องไม่ดี  เวลาที่คิดจะบรรยายธรรม  พื้นฐานเราเป็นอย่างไร  เวลาบรรยายธรรมออกมาก็จะเป็นอย่างนั้นใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าหากว่าเรารู้แล้วรู้ไม่ลึกซึ้ง  ถามว่าสามารถพูดให้ใครฟังได้ไหม  (ไม่ได้)  ฉะนั้นความคิดที่เรามีอยู่เป็นสิ่งที่เป็นพื้นฐานสำหรับการบรรยายธรรมด้วย  พื้นฐานลงไปลึกๆ ที่พูดถึงประจำเลยก็คือ  “นิสัย” นิสัยออกมาทางบุคลิกลักษณะท่าทางของเราถูกหรือเปล่า  ถ้าหากว่าเป็นคนที่ใจร้อน รีบเร่ง  เวลาพูดออกมาก็พูดเร็วๆ  คนที่ใจเย็นมากเกินไป  พูดออกมาก็ชักช้าใช่หรือเปล่า  แล้วเราล่ะพูดแบบไหน  เป็นอย่างไร  เป็นทางสายกลางไหม  (ไม่เป็น)  แล้วจะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเราเป็นกลางได้ไหม  ฟังอย่างนี้แล้วรู้สึกว่าปณิธานที่เราได้ตั้งไปหรือคนที่กำลังจะตั้งรู้สึกว่ายิ่งใหญ่ไหม  เราหนึ่งคนจะทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงคนอื่นให้เป็นคนดี  ในขณะที่เรานั้นยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จะทำได้ดีไหม  (ไม่ได้) ไม่มีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงคนอื่นได้  ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า  คนที่อยู่ที่นี่ไม่ดีเลย  แต่หมายความว่าสามารถดียิ่งขึ้นกว่านี้ได้ทุกๆ วัน ทุกๆ นาที ทุกๆ เวลา  แต่ว่าอยากจะดีกันหรือเปล่า (อยาก) อยากได้ดีก็ต้องทำดีถูกไหม
  สุดท้ายคนที่เป็นอาจารย์บรรยายธรรม  สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือ ปากของเรา  พูดดีก็เป็น (ศรีแก่ปาก) พูดมากก็ (ปากมีสี)  เวลาที่เรากำลังบรรยายธรรมต้องฉะฉาน  พูดสิ่งใดต้องรู้จริง  รู้ไม่จริงก็พูดตะกุกตะกัก  หรือพูดเข้าข้างตัวเองอยู่นั่น  หรือพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดทั้งหมด  ไม่สามารถทำให้คนอื่นเข้าใจธรรมะได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นเวลาเราพูดก็คือ พูดในสิ่งที่เรารู้และรู้จริง เรามีปากเป็นเอก  เราต้องใช้ปากของเราให้ดีๆ พูดแต่ในสิ่งที่ดี  เวลาที่เราพูดก็คือพูดด้วยความคล่องแคล่ว  เวลาลงมาล่ะ  ใครอยากจะฟังเราพูดตลอดเวลาไหม  เวลาเจอคนมักอยากฟังคนอื่นพูดหรืออยากพูดให้คนอื่นฟัง (อยากพูดให้คนอื่นฟัง)  ทุกคนอยากเป็นคนพูดหมดเลย  แล้วใครเป็นคนฟัง  ทุกคนก็พูดๆ เสร็จ มีใครฟัง  แล้วสรุปที่เราพูดไปมีใครฟัง  แล้วมีใครเอาของเราไปปฏิบัติได้   แล้วเราปฏิบัติอย่างที่เราพูดว่าดีได้หรือเปล่า  ก็ยังไม่ค่อยได้อีกเหมือนกัน  อย่างนี้จบชั้นนี้ไปก็ถือว่านับหนึ่งใหม่ใช่หรือเปล่า  จะได้นับหนึ่งไหม  หรือไปนับเอาติดลบสิบ ให้เลือกระหว่างไปนับหนึ่งใหม่กับติดลบสิบ เอาอันไหน (นับหนึ่งใหม่) นับหนึ่งเรื่องอะไร
 ใครเป็นอย่างนี้บ้าง “พูดออกมามีแต่น้ำไม่มีเนื้อ”  ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนที่พูดออกมามีแต่น้ำไม่มีเนื้อ อยู่สองวันนี้เก็บเนื้อไปได้เยอะไหม (เยอะ) เก็บไปกินเองหรือให้คนอื่นกิน  ตัวเองก็ต้องกินแล้วก็ย่อยก่อน ถูกหรือเปล่า  ย่อยเสร็จแล้วถึงจะให้คนอื่นกินได้ ใช่ไหม (ใช่)
ท่านเป้าซื่อหลิงถง : เรากลัวว่าย่อยวันนี้แล้วก็ย่อยวางไว้ตรงนั้น  ได้หนังสือมากี่เล่มก็กองไว้ที่เดิม  ใหม่อย่างไรก็ใหม่อย่างนั้น
พระอาจารย์ : วันนี้เป้าซื่อหลิงถงอุตส่าห์มา  อาจารย์ให้เขาพูดก่อน  แล้วเดี๋ยวอาจารย์ค่อยคุยกับศิษย์ดีไหม
ท่านเป้าซื่อหลิงถง : วันนี้เรามา  ตั้งใจไว้ว่า  ตรวจสอบ  ใครรู้ตัวว่าผิด ก้าวออกมา  ก่อนจะก้าวถามใจลึกๆ ก่อนว่ามีข้อผิดพลาดอะไร  ก้าวแล้วจะไม่ก้าวถอยลงไปอีก  หากยังเหมือนเดิมจะให้เราทำอย่างไร  จดชื่อซ้ำแล้วซ้ำอีกหรือ   ก้าวแล้วต้องมั่นใจว่าจะไม่ถอยกลับไปเหมือนเดิม  ผิดแล้วต้องยอมรับโทษ จะลงโทษตัวเองหรือว่าให้เราลงโทษ  แล้วความผิดที่อยู่ในใจนั้นควรจะลงโทษเช่นไร  ว่าอย่างไร  ไม่ว่าเช้า กลางวัน เย็น ก็กราบชั่นหุ่ย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชื่อแรกก็คือ   พระอนุตตรธรรมมารดา  แต่ในใจนั้นเป็นอะไร  เมื่อมายืนตรงเบาะกราบ  จิตต้องสงบ  ความฟุ้งซ่านต้องตัดทิ้ง  ความพร้อมต้องมี  เมื่อเข้าสู่ห้องพระ  ฝุ่นมาจากไหน  ข้างนอกหรือข้างในใจที่ท่านพกพามา  ว่าอย่างไร (จากภายใน)  แล้วจะให้เราลงโทษอย่างไร  อาจารย์ท่านก็รีบตามมาทันที  เพราะว่าเป็นห่วงพวกท่าน  แต่พวกท่านทำอะไรได้ดีหรือยัง  เก็บน้ำตาไว้ล้างลงไปลึกๆ ที่ใจ  หากเป็นผู้บำเพ็ญแต่ขาดซึ่งความสำนึก  ไร้ซึ่งการย้อนมองจิตใจตัวเอง  มองแล้วแต่มองไม่เห็น  ดังที่ปราชญ์โบราณกล่าวว่า “ไม่มีเวลาเห็นความผิดผู้อื่น” เพราะเห็นตัวเองมีแต่ข้อผิดพลาดทุกวัน  พวกท่านหาไม่  วาจามีเพื่ออะไร  เพื่อเอาไว้ฉายปณิธานของตัวเองที่ได้ตั้งอย่างไรล่ะ  หากวันนี้ใจยังไม่มีความมุ่งมั่นแท้จริง  จนถึงขั้นเรียกว่าปณิธาน  อย่าออกจากห้องเลยดีไหม  คุกเข่า  พร้อมไหม (พร้อม) สำนึกแล้วตั้งใจเอาเอง  ว่าจะเท่าไหร่  วันนี้ให้หมดหรือว่าวันนี้เพื่อมีต่อๆ ไป
พระอาจารย์ : ศิษย์เอ๋ย  ได้โอกาสสำนึกแล้ว  ก็สำนึกจริงๆ อย่าเป็นการสำนึกเล่นๆ กรรมมีมากมาย  กรรมเก่าก็มีมาก  ใหม่ก็สร้างมาก  ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกๆ คนทำตัวเป็นคนใหม่  ดีก็ให้เก็บรักษาไว้  อย่าได้ผิดแล้วผิดอีก  ถ้าปณิธานไม่เจริญลุล่วงยากที่จะกลับบ้านได้  อาจารย์อยากจะพาศิษย์ทุกคนนั้นกลับเบื้องบนด้วย  อยู่ที่ว่าทุกคนจะทำได้ไหม  ปณิธานยิ่งใหญ่  หน้าที่ยิ่งใหญ่เท่าไหร่  ก็ยิ่งทำตัวยากเท่านั้น  พยายามหน่อยนะ  สำนึกออกมาด้วยความจริงใจ
ท่านเป้าซื่อหลิงถง : “ประกาศธรรมแทนฟ้า” คำนี้มีไว้ทำไม  หากเอ่ยขึ้นครั้งหนึ่งก็คือความโลภ  หากเอ่ยขึ้นครั้งหนึ่งก็คือความอิจฉาริษยา  หากเอ่ยขึ้นอีกครั้งหนึ่งก็คือการแบ่งแยกพรรคพวก  แต่บางครั้งยังไม่เอ่ยปาก  ใจก็ไม่เคารพผู้นำ  นี่หรือวงการธรรมที่อยู่ในตัวทุกๆ ท่าน  ทำลายลงกับมือหรือจะสร้างขึ้นกับมือ  จิตใจต้องซื่อสัตย์  การศึกษาหาความรู้  ท่านเป็นคนไทยศาสนาพุทธต้องถือเป็นพื้นฐาน  ศึกษาปราชญ์โบราณเป็นแนวทาง  แต่ถ้าพุทธก็ไม่เอา  ปราชญ์ก็ไม่มอง   ความเข้าใจก็ผิดๆ ถูกๆ  จะประกาศอะไร ใช่ไหม  แต่ท่านที่มาจากต่างแดนศึกษาคัมภีร์  ต้องมองดูคนที่มาร่วมประชุม  ข้อมูลต้องไม่ตายตัว  สามารถพลิกได้ตามสภาวะของผู้ฟัง  ที่เรียกว่า “สภาวะแวดล้อมสร้างปราชญ์  แต่ปราชญ์ก็สามารถสร้างสภาวะแวดล้อมได้ “ ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อยหรือยัง  เตี่ยนฉวันซือลุกขึ้นก่อน  เห็นผู้นำไหม  เคารพเทิดทูนมีหรือเปล่า  ไม่ใช่แค่ภายนอก  ไม่ใช่เฉพาะผู้นำของสายตัวเอง  แต่ต้องออกมาจากจิตใจ  ไม่เลือกที่รักมักที่ชังใช่หรือไม่ (ใช่) ลุกขึ้น  (ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา)
พระอาจารย์ : แม้วันนี้ท่านเป้าซื่อหลิงถงพูดไปเหมือนกับพูดแรง  แต่ว่าจริงๆ แล้วหวังดี  หวังว่าทุกคนจะคิดได้  โดยเฉพาะคำสุดท้ายที่พูดถึงอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมว่านำพาผู้น้อยเหล่านี้  พูดตรงชนิดอาจารย์เองเคยคิดจะพูด  แต่พูดไม่ได้  ผู้นำก็รักเขา รักให้จริงๆ  หากคิดจะว่าก็คิดทบทวนสักนิดหนึ่ง  โดยเฉพาะวาจาคำพูดของอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมอย่าได้หนักเกินไป  ตั้งใจฟังนะ  พูดผิดคำหนึ่งก็สอบคนให้เลิกบำเพ็ญได้  หนึ่งคนก็บรรพชนของเขาอีก  แล้วศิษย์จะสร้างบุญหรือสร้างกรรม  ถึงบอกว่าภาระหนักเท่าไหร่  การสร้างกรรมก็มีมากเท่านั้น  การสร้างบุญก็มีมากเท่ากัน  บางคนความประพฤติไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่  บางคนก็วาจาไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่  บางคนก็รักแต่พวกพ้องของตนมากไปหน่อย  บางคนก็ไม่ยอมให้โอกาสคนอื่น  บางคนก็ชอบเปรียบเทียบเปรียบเปรย  พูดจากระทบกระเทียบไม่ยอมที่จะเข้าใจคนอื่น  ยังมีอื่นๆ อีกมากมาย  เราต้องรู้จักตัวเอง  ค้นพบตัวเอง   จึงนำพาคนอื่นได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ) ทุกคนมีความทุกข์ใช่ไหม  นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์คิดอยู่ในใจ  แล้วบางทีทำให้ไม่กล้าที่จะให้ศิษย์เปลี่ยนแปลงอะไร  แต่หากว่าคนเราไม่เปลี่ยนแปลง  แล้วย่ำเท้าอยู่กับที่อย่างนี้  การย่ำอยู่กับที่ก็คือถอยหลัง เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ท่านเป้าซื่อหลิงถง : สิ่งสำคัญในการบำเพ็ญ  ใจบริสุทธิ์  เมื่อบริสุทธิ์ย่อมเที่ยงตรง  เมื่อเที่ยงตรงย่อมกระจ่างชัด  เมื่อกระจ่างชัดต้องลงมือปฏิบัติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อตนดีแล้ว รอบข้างย่อมจะดีด้วย  เมื่อรอบข้างดีสังคมย่อมดีใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่เป็นคำสอนของใคร (ท่านขงจื้อ)  ศึกษาให้กว้างๆ นะ  ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าตัวแทนได้อย่างไร  แล้วจะอธิบายพระโอวาทได้อย่างไร  หากเรามีความรู้ลึก  การอธิบายย่อมไปได้กว้าง  บางทีหนึ่งคำก็สามารถตีได้เป็นประโยคๆ อยากนั่งกันหรือเปล่า
พระอาจารย์ : ให้เขายืนอยู่อย่างนี้นะ  ไม่รู้ว่าเมื่อสักครู่นี้จิตใจที่สำนึกได้  ตอนนี้ก็เกือบจะกลับไปเป็นอย่างเดิมอีกแล้ว  อย่างนั้นใช่ไหม (ไม่ใช่)  เมื่อคิดสำนึกต้องสำนึกให้นานๆ เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงมันรวดเร็ว   การสำนึกชั่วขณะหนึ่งไม่อาจจะแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีในตัวเราได้  อย่าสำนึกเพราะว่าอยู่ในบรรยากาศ  แต่ต้องสำนึกออกจากใจจริง  ตอบอาจารย์หน่อยซิว่าจริงๆ แล้วทุกคนนั้นทำตัวน่าห่วงไหม  แล้วถ้าเราบำเพ็ญแบบนี้เราจะก้าวหน้าได้ไหม  แล้วทำอย่างนี้จะไปอยู่กับอาจารย์ได้ไหม (ไม่ได้) ช่วยอาจารย์สักอย่างหนึ่งได้ไหม  ในขณะที่เรามีสติ  ขอให้ทำในสิ่งที่ดีที่สุด  เพื่อให้ความผิดต่างๆ นั้นน้อยลงกว่านี้ได้ไหม (ได้) อย่าให้ความหวังของอาจารย์ที่ฝากไว้กับศิษย์ทุกคนไม่มีทางออก  โดยทั่วไปแล้วเวลาอาจารย์เวลามาพบศิษย์ก็จะพูดถึงเรื่องทำความดีๆ ทำให้ดี  แต่ใจจริงๆ แล้วอาจารย์อยากจะพูดกับศิษย์ว่า พวกเจ้าที่เป็นคนบำเพ็ญมานานแล้ว  ได้ยกระดับเป็นอาจารย์บรรยายธรรม  อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมแล้ว  ต้องทำให้ดียิ่งกว่าที่อาจารย์พูดไว้นั้นอีก  ต้องทำความดีที่เหนือขึ้นไปกว่าที่อาจารย์พูดโดยปกติอีก  ต้องศึกษาไปถึงวิถีจิตต่างๆ  เพื่อให้เรามีความรู้ทางธรรมที่ลึกซึ้งขึ้น  เห็นไหมว่าเรื่องของความรัก โลภ โกรธ หลง ต่างๆ นั่นเป็นสิ่งที่ผู้เริ่มบำเพ็ญนั้นมาเรียนรู้ปฏิบัติแล้วขจัดไป  เพราะฉะนั้นพวกศิษย์ต้องไม่มีแล้ว  หรือมีก็มีให้น้อยที่สุด  อ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งเป็นเรื่องทำได้ง่ายที่สุด  ไม่ใช่มาฝึกหัดมาบำเพ็ญกันตอนนี้แล้ว  การเปรียบเทียบยกยอ  ความเห็นแก่ตนทั้งหลาย  เรื่องพวกนี้มันน่าจะผ่านไปแล้วไม่ใช่หรือ  ทำไมถึงได้หายไปแล้วก็ปล่อยให้มันกลับมาอีก  หายไปแล้วก็ปล่อยให้มันกลับมาอีก  ยอมให้บรรยากาศโลกต่างๆ นั้นมากลืนเราเสียสิ้น  เห็นคนอื่นยังบำเพ็ญไม่ก้าวหน้าไปถึงไหน  เราจะก้าวหน้ากว่าเขา  ก็ยังอุตส่าห์เหลียวไปดูเขา  เห็นเขายังไม่ค่อยดีเท่าไหร่  เราก็ไม่ค่อยอยากจะนำหน้าเขาไปอย่างนั้นหรือ  แล้วก็กลับเข้าไปขลุกกับอารมณ์เหล่านี้ใหม่  กลับเข้าไปขลุกกับคนเหล่านี้ใหม่  ให้เหมือนติดกัน  เหมือนติดเชื้ออย่างนั้น
เมื่อวานนี้เฉียนเหยรินของพวกเจ้าก็มาที่นี่  อาจารย์ก็ดีใจกับทุกๆ คนด้วย  แต่อีกใจหนึ่งต้องสะดุ้งกลัว  กลัวว่าเรานั้นจะทำอย่างท่านไม่ได้  แสดงว่าให้เขาห่วงจนถึงที่สุด  คิดถึงแล้วคิดถึงอีกจนถึงที่สุด  ทำตัวให้ดีๆ สิ่งใดที่เขาหวังไว้ก็จงทำดั่งที่เขาหวัง  อย่าพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้  เวลาพูดต้องรู้จริงๆ พูดแล้วต้องพูดให้ดี   มองดูคนที่เราพูดด้วยว่าเขาฟังเข้าใจไหม  เพราะว่าเขาอาจจะมีโอกาสแค่ครั้งเดียวที่มาฟังธรรมะ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย  หรือเขาอาจจะฟังเราอธิบายเกี่ยวกับอนุตตรธรรมหรือสถานธรรมเพียงแค่ชั่วโมงเดียว  แล้วเขาก็ตัดสินใจว่านี่คืออนุตตรธรรม  ฟังอย่างนี้แล้วกลัวไหม (กลัว) อาจารย์จะบอกให้ทุกคนนั้นผ่านตรงนี้มาแล้ว  มีโอกาสทำแบบนี้แล้ว  ทำให้คนเขาตัดสินใจไปแล้วก็ตั้งหลายคน  ฉะนั้นให้รู้ถึงภาระหน้าที่ ให้เข้าใจในสิ่งที่ทำอยู่  ให้เห็นคุณค่าและก็บอกตัวเองว่า ตัวเองนั้นเป็นผู้มีค่า  อย่าดูถูกตัวเอง  แล้วทำลงไปให้เต็มที่  เมื่อเราทำเต็มที่แล้ว  สิ่งที่เราทำถึงแม้จะผิด  แต่สิ่งที่ถูกนั้นก็ยังมีมาก  ก็เหมือนกับในร้อยเปอร์เซ็นต์ที่ทำลงไป  แปดสิบเปอร์เซ็นต์อาจจะยังทำถูกอยู่ถ้าเราพยายาม  อีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์นั้นทำผิด  ทบกันไปทบกันมาวันหลังความผิดที่มีอยู่ก็ยังน้อยอยู่ ใช่ไหม  อย่างนี้ดีกว่านะ
ท่านเป้าซื่อหลิงถง : ยืนอย่างนี้ลำบากไหม  ไม่ว่าจะทำหน้าที่ใด  ยืนตำแหน่งใด  หากยังมีตัวตนอยู่ความลำบากย่อมบังเกิดได้  ยิ่งมีตัวตนมากเท่าไร  ความลำบากยิ่งทวีคูณมากเท่านั้น  หากมีอารมณ์ร่วมด้วย  ความลำบากยิ่งกลายเป็นอุปสรรค  ฉะนั้นเราจะต้องลดอัตตาตัวตนให้เบาบาง  ทิฐิต้องกลายเป็นความอ่อนน้อม  จิตใจต้องโอบอ้อมอารีเอื้อเฟื้อใช่ไหม  ถ้าเรามีจิตใจรักทุกคน  มีจิตใจโอบอ้อมอารี  เราจะทำร้ายเขาลงไหม  เราจะคิดอิจฉาริษยาเขาไหม  แล้วเราอยากจะช่วยเขาไหม  อาจารย์บรรยายธรรมที่ได้ตั้งปณิธานไปแล้ว จำได้ไหมว่าปณิธานตัวเองมีอะไรบ้าง  จำได้หรือเปล่า (จำได้) ครบกระบวนความหรือไม่  แล้วทุกครั้งที่มาบำเพ็ญธรรม  มาทำงานธรรมจึงค่อยใช้ปณิธานหรือ  ต้องอยู่ทั้งข้างนอกและข้างในสามารถเจริญปณิธานตัวเองได้ด้วยใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอยู่บ้านทำอย่างหนึ่ง  อยู่ในห้องพระทำอย่างหนึ่ง น้อมนำใครได้  คนทำตัวไม่น่าเคารพจะเรียกให้ใครเคารพ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเคารพตัวเองทำอย่างไรล่ะ  ว่าอย่างไร  ป้ายทองป้ายเงินไม่ใช่หรือ และกำลังจะมีป้ายไม่ใช่หรือ  ถ้าเราถามแต่ละอย่างมา  ตอบไม่ได้เลยก็กลับไปค้นคว้าเพิ่มเติม  แต่ถ้าตอบได้ไม่มีความกล้าจะขึ้นแท่นพูดได้อย่างไร  นั่นก็คือต้องทำตัวให้ดีเป็นแบบอย่างที่ดีใช่ไหม (ใช่) ถ้าในบ้านไม่ตาม  นั่นย่อมสะท้อนใจเราแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่)
 อีกอย่างหนึ่งเมื่อเราเป็นผู้บำเพ็ญ  เราต้องไม่ถือความคิดเห็นของตนเป็นที่ตั้ง  สิ่งใดรู้ไม่ชัดอย่าคาดเดา  การคาดเดาย่อมไม่สามารถเป็นเจี่ยงซือที่ดีได้  การถือตนเป็นที่ตั้งวัดคนอื่น  เอาความรู้ตัวเองเป็นพื้นฐาน  อย่างนี้ก็ไม่ใช่  ถ้าใจไม่บริสุทธิ์ไม่มีความเที่ยงธรรม  ความรู้ที่ตัวเองมีแน่ใจหรือว่าถูกต้อง ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมเราต้องเข้มงวดกับทุกท่าน  ถ้าต้นไม่บริสุทธิ์ปลายจะสะอาดไหม (ไม่สะอาด)  ถ้าท่านคือหน้าแรกของหนังสือแห่งอนุตตรธรรม  หน้าต่อไปจะมีใครอยากอ่านไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นต้องเข้มงวดกับตัวเองมากๆ เรียกร้องตัวเองสูงๆ ทำไมจึงต้องเรียกร้องสูง  เพราะปณิธานท่านสูงหรือต่ำกัน (สูง)  เพราะเป็นสื่อกลางระหว่างผู้นำกับผู้น้อย  ถ้าตรงกลางประสานไม่ดี  เรือนี้ก็อาจล่มได้เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างที่เรียกว่าน้ำพาเรือลอยได้  น้ำก็ทำให้เรือล่มได้ ใช่ไหม (ใช่) จิตใจของท่านไม่บริสุทธิ์ใจของท่านก็ทำร้ายตัวท่านเอง  ทุกข์ก็ย่อมเกิดเป็นธรรมดา  เมื่อไรถ้าล้างได้บริสุทธิ์มากเท่าใด  ดั่งคำที่กล่าวไว้ว่า “ท้องใหญ่ย่อมรับทุกๆ สิ่งได้” รู้ไหมที่เรากล่าวมานี้เป็นคำสอนของปราชญ์โบราณทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมจึงต้องยึดถือแนวของปราชญ์โบราณด้วยล่ะ รู้ไหม  หากยังมีความสงสัย   ยังไม่อาจเรียกว่าเป็นผู้บรรยายธรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเพราะอะไรจึงต้องศึกษาแนวปราชญ์  แนวพุทธก็มี   นั่นคืออะไร ว่าอย่างไร  แนวทางพุทธต้องถือทางหินยานหรือมหายาน  เพราะแนวพุทธจะมีแนวหนึ่งที่เป็นแนวอรหันต์  บรรลุแล้วสำเร็จด้วยตัวเอง  แต่ไม่ได้ช่วยใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มีแนวหนึ่งคือบรรลุแล้วยังช่วยด้วย  ถ้าหากยังไม่บรรลุก็จะช่วยต่อไป ไม่ยอมบรรลุ ใช่หรือไม่ (ใช่) รู้หรือไม่  (มหายาน)  แต่ปัญญาจะเกิดได้อย่างไร  ถ้าเราขาดซึ่งสมาธิ แล้วสมาธิจะเกิดได้อย่างไร  ถ้าเราขาดซึ่งความสงบนิ่งและรู้พอ นี่คือแนวพุทธใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเป็นผู้อยู่ตรงกลางจึงต้องรู้จักอ้างอิง และรู้จักแนวความรู้อย่างกว้างขวาง  ไม่หน่ายในการเรียนรู้  ไม่คร้านในการศึกษากับคน
พระอาจารย์ : ที่อาจารย์ยังให้ยืนอยู่  ก็เพราะอยากให้ทุกคนนั้นได้รู้ว่า ทุกๆ คนนั้นจะสำนึกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อาจารย์มีอยู่คำหนึ่ง  ภาษาจีนเรียกว่า “เฟินกงเหอจั้ว” หมายความว่าอย่างไร  เฟินกง ก็คือ แบ่งงานกัน  คำว่า เหอจั้ว ก็แปลว่า ทำด้วยกัน ในตอนนี้ที่ทุกคนอยู่ภายใต้การนำของอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมแต่ละท่านก็เป็นอย่างนี้  การที่อยู่ภายใต้การนำแบบนี้นานๆ ไป เกาะกลุ่มกันไป  ก็ทำให้เกิดความรู้สึกแบ่งพรรคแบ่งพวกไปเอง  ไม่มีมากก็มีน้อย  ฉะนั้นอาจารย์อยากให้แก้ความคิดแบบนี้ใหม่  พูดเรื่องนี้มาหลายปี  จะพูดจริงจังคราวนี้และขอเป็นคราวสุดท้าย  การที่บอกว่าต้องรายงานหรือว่าการขอคำชี้แนะ  ศิษย์ของอาจารย์ต้องรู้ไว้ชัดเจน  อาจารย์จะให้โอกาสทุกๆ คน  เพราะว่าอาจารย์บรรยายธรรมทุกคนที่อยู่ที่นี่  แม้บอกว่ารู้แต่ก็ยังรู้ไม่ค่อยดีเท่าไร  คราวนี้มีอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมอาวุโสอยู่ เดี๋ยวจะทำให้เขาบอกเราได้อย่างไรว่าความแตกต่างนั้นอยู่ที่ไหน  แล้วก็เดี๋ยวจะดูว่าการที่บอกว่าอยู่ภายใต้การนำของเฉียนเหยรินท่านเดียวกันนั้น  ความรักความกลมเกลียวอยู่ที่ไหน  ลองทำให้อาจารย์ดูหน่อยนะ  บำเพ็ญธรรมยิ่งบำเพ็ญยิ่งต้องมีความสุข  ถ้าหากว่าเรายิ่งบำเพ็ญยิ่งมีความทุกข์ใจ  บำเพ็ญไม่รู้จะทำอย่างไร  อย่างนั้นแสดงว่าเรากำลังบำเพ็ญผิดทาง ใช่ไหม (ใช่) เคยท้อไหม  นับครั้งไม่ถ้วนใช่ไหม  อาจารย์ก็รู้สึกชื่นชมในคนที่มีความท้อแท้แล้วยังสามารถทำให้ตัวเองสามารถยืนหยัดอยู่ได้  และอาจารย์หวังว่าศิษย์จะเป็นอย่างนี้เสมอต้นเสมอปลายอย่างนี้ไปจนชั่วชีวิตของศิษย์  แม้ว่าคนที่บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญไม่ค่อยดีเท่าไหร่  แต่อาจารย์ก็ให้ความหวังศิษย์ได้ว่า ถ้าหากว่าศิษย์ไม่ได้ทำผิดอย่างมากมายจนเกินไป  บำเพ็ญชั่วชีวิต  มั่นคงชั่วชีวิต  ทำบุญสร้างกุศลบ้าง  อย่างน้อยก็สามารถที่จะกลับไปฝึกฝนต่อได้
ท่านเป้าซื่อหลิงถง : งั้นเรามาแค่นี้แล้วกันนะ
พระอาจารย์ : ตอบท่านให้ท่านได้รู้อีกสักครั้งหนึ่งว่า  เราได้สำนึกจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านเป้าซื่อหลิงถง : ความผิดที่เราจะพูดวันนี้กับท่านนั้น  ไม่สามารถพูดได้หมด  หากแต่ก็ต้องผิดย่อยๆ เยอะแยะมากมาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่ากลัวผิดแล้วไม่ทำอะไรเลย  อย่างนี้จะเรียกว่าผู้บำเพ็ญได้ไหม (ไม่ได้) ไม่ผิดแล้วจะรู้ว่าสิ่งใดที่เรียกว่าถูก  ไม่ทำหรือจะเรียกว่าความก้าวหน้าเป็นอย่างไร ใช่ไหม (ใช่) พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะก้าวล้ำเหนือคนอื่นหนึ่งก้าวด้วยปณิธานที่เกิดจากใจอันมุ่งมั่น จึงเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คนกราบไหว้  วันนี้ท่านจะก้าวล้ำเหนือคนอื่นหนึ่งก้าวด้วยใจที่มุ่งมั่นหรือเปล่า  ขึ้นอยู่กับวันนี้ทำได้หรือไม่ได้  หากก้าวล้ำหนึ่งก้าว  แต่ปณิธานกับใจไม่สอดคล้องกันย่อมไม่อาจให้ใครเคารพและกราบไหว้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
พระอาจารย์ : วันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านมา  ยิ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาดุเท่าไหร่ก็แสดงว่าเรานั้นเป็นคนน่าเป็นห่วงมากเท่านั้น  แสดงว่าเรานั้นต้องได้รับการสั่งสอนอย่างหนักมากเท่านั้น  เพราะฉะนั้นขอให้ทุกๆ คนรู้แจ้งในตนเอง  ทำตามพุทธระเบียบ
วันนี้เดิมทีอาจารย์ไม่ได้คิดจะมาเลย  เพราะอาจารย์ก็ถือว่าศิษย์ทุกๆ คนมีคนมาสอนศิษย์นั้นเก่งอยู่แล้วทุกคน  อาจารย์ก็จะให้เวลาของเขาเต็มที่  ทุกๆ คนได้แสดงสิ่งที่ตัวเองเตรียมมาอย่างเต็มที่  แต่เป็นเพราะว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้รับบัญชาจากเหลาหมู่ให้ลงมา  ให้ศิษย์รู้ว่าตัวเองทำผิดไปแล้ว  เพราะฉะนั้นวันนี้อาจารย์ก็อยากให้ทุกคนได้สำนึกผิดอย่างจริงๆ  จึงให้ยืนอยู่อย่างนี้
วันนี้หากไม่ใช่เป้าซื่อหลิงถงมา  ก็คงจะเป็นศิษย์พี่ของพวกเจ้า  รู้ไหมว่าองค์ไหน  หลังจากวันนี้ไปสำรวมตนสำรวจตนให้ดีๆ ทำในสิ่งที่ดีที่สุด  อาจารย์นั้นพบศิษย์อยู่บ่อยครั้ง  สิ่งที่ควรจะพูดอาจารย์ก็พูดแฝงๆ  อยู่ในทุกๆ ชั้นเรียนนะ  เพราะถึงแม้ว่าคนใหม่จะน่าเป็นห่วง  แต่คนเก่าที่เริ่มบำเพ็ญแล้วกลับบำเพ็ญไม่ไปถึงไหนนั้นน่าเป็นห่วงยิ่งกว่า  ไม่ว่าจะเป็น จุนเฉียนถี่โฮ่ว (เคารพอาวุโสข้างหน้า นำพาคนรุ่นหลัง)  เฉิงซั่งฉี่เซี่ย  (น้อมเชื่อมระหว่างอาจารย์อาวุโส นำพานักธรรมรุ่นหลัง)  จุนซือจ้งเต้า (เคารพอาจารย์และเทิดทูนธรรมะ)  3 ข้อนี้จะต้องพยายามที่จะทำให้ได้  เราก็รู้จักในสิ่งที่ตัวเองนั้นได้ปณิธานไปจริงๆ ว่าคืออะไร  อย่างเช่นเรื่องของการ จุนเฉียนถี่โฮ่ว  ก็คือ “การเคารพเบื้องหน้า นำพาผู้น้อย”  เราเป็นคนที่อยู่ตรงกลางจะเป็นคนที่สำคัญที่สุด  ว่าไปแล้วก็เหมือนกับการที่เราอยู่ตรงกลาง  เวลาที่จะทำให้คนทะเลาะกัน  ก็ทะเลาะกันเพราะคนกลาง  ทำให้คนสามัคคีกัน  ก็สามัคคีกันเพราะคนกลาง ใช่ไหม (ใช่) มีคำพูดหนึ่งบอกว่า “คนบำเพ็ญมากดุจขนวัว แต่คนบรรลุธรรมนั้นน้อยดุจเขาวัว” แต่ว่าเขานี้ไม่รู้จะเป็นเขาสองเขาที่เป็นเขาที่สง่างาม  แล้วก็ไม่ใช่เป็นเขาที่คอยจะเสี้ยมให้ใครมาชนกัน  ดีหรือไม่ (ดี)
อาจารย์ให้โอวาทไว้เป็นทำนองเพลง อี้เจียเหยริน เหมือนกับที่เฉียนเหยรินของทุกคนให้ไว้  อาจารย์ให้ครึ่งหนึ่งเป็นของอาจารย์  แล้วอีกครึ่งหนึ่งอาจารย์ยังคงให้ของเฉียนเหยรินของพวกเจ้านั้นในครึ่งหลัง  จะได้รู้ว่าเมื่อร้องเพลงแล้วก็คิดถึงเฉียนเหยรินของพวกเจ้าด้วย  ความหวังของอาจารย์  ความหวังของเฉียนเหยรินก็ฝากไว้ที่ตัวศิษย์ทุกๆ คน
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลง ทำนองเพลง อี้เจียเหยริน)
เฉียนเหยรินของศิษย์ทั้งหลายนั้นเป็นคนที่ปักจิตปักใจ  เห็นเราทุกๆ คนนั้นห่วงใยไม่เลิกรา  เพราะฉะนั้นเหลาหมู่จึงประทานนามให้ “หลี่เอวี๋ยน” แล้วเวลาเขาให้เพลงเห็นไหม  เขาก็ยังให้ศิษย์บอกว่า เพราะเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นแสดงศักยภาพแห่งความสามัคคีออกมาให้มาก  อย่ามัวแต่ทะเลาะกัน  ทะเลาะกันยังทำได้ขนาดนี้  ถ้าหากว่าเลิกทะเลาะกันจะไปไกลขนาดไหน
อาจารย์รู้ว่าบางทีพวกเราทุกคนทำอะไรด้วยความศรัทธา และศรัทธาอย่างเต็มที่ลงแรงเต็มที่  เวลาเหนื่อยจึงเหนื่อยมากเกินไป แล้วขอหยุดไปเลย  แต่อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์ทุกๆ คนเมื่อได้รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร  แล้วก็อย่าหลงผิดอีก
อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมทุกท่าน  อาจารย์ฝากคนเหล่านี้ไว้ในมือท่าน  ต่างคนต่างย้อนมองส่องตน  ไม่โทษกันไปโทษกันมา เหมือนสาดโคลนใส่กัน  เพราะสาดกันไปสาดกันมา  ในที่สุดก็เลอะกันทุกคน
วันนี้อาจารย์จะร้องเพลงอะไรลาดี  มีทั้งศิษย์คนจีน  มีทั้งศิษย์คนไทย  มีทั้งศิษย์คนดื้อทั้งหลาย  เอามือจับกันไว้  ตอนนี้ศิษย์ทุกคนก็เหมือนคนที่ละพยศแล้ว  มองๆ ไปก็เป็นศิษย์ที่น่ารักของอาจารย์ทุกๆ คน  อาจารย์อยากให้รักษาจิตใจเดิมแท้  ฟื้นฟูจิตใจออกมาให้แท้จริง  ไม่มีวันไหนที่คนไม่ทำผิด  แต่ขอให้ทุกๆ วันเป็นวันที่ศิษย์ได้พยายามให้ดีที่สุด  ปณิธานต้องเจริญให้สิ้น  อย่าได้ผลัดกันไปผลัดกันมา  ทำได้ก็ไปทำ  ทำแล้วก็ทำให้ดีที่สุด  ไม่ใช่ว่าจะพูดธรรมะแล้วก็ถึงไปเตรียม  เตรียมตอนนั้นมันก็ช้าไปหน่อย
อย่าลืมเอาปณิธานของอาจารย์ไปเป็นปณิธานของศิษย์ทุกคนนะ  อาจารย์ไม่กลัวศิษย์ล้ำหน้า  แต่กลัวมาไม่ถึง  รักษาตัวเองให้ดีๆ  มีโอกาสพบกันใหม่

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา