แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โลภโกรธหลง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โลภโกรธหลง แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561

2561-06-17 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร

西元二○一八年歲次戊戌五月初四日                                          仙佛慈悲訓

วันอาทิตย์ที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑                         สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  แม้สวดมนต์ใส่บาตรฟังธรรมะ          แต่ไม่ลดละเคยชินและนิสัย
เที่ยวว่าเขาเข้าข้างตัวเอาแต่ใจ           ยากเข้าถึงหัวใจแห่งธรรมะจริง
                                เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานจินจง  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

  แจ้งโลกธาตุ[1]อย่างไรในเมื่อหนึ่งเดียวไม่รู้  ผู้เฝ้าดูดวงจิตเป็นกับไม่เป็น
ปลงไม่เป็นยังปรุงแต่งสิ่งที่เห็น               วางไม่เป็นยึดสัจจะสร้างตัวสร้างตน
ฝันที่พังมลายจะกรรมหรือความประมาท    ผู้เพียรตัดขาดอัตตาสิ้นด้วยฝึกฝน
ผู้มีธรรมในจะอยู่ก็เหมือนพ้น                อย่าเวียนวนมลทินซึ่งไร้ความเมตตาปรานี
ทำกายใจให้ว่างว่างไม่ต้องฝืน                คนเดิมคืนถิ่นคืนธรรมในความดี
ทำดีมีธรรมอยู่ทั่วไปความดี                  ทำดีละชั่วสัจจะทำความเป็นจริง
ควบคุมตนอยู่คงมีแต่ดีขึ้น                    ตามใจตนเมามึนไปได้ทุกสิ่ง
ค้นใจตนขณะที่หาที่ความจริง                คำว่าจริงจะเที่ยงแท้ไม่เคยมี
    ต่อให้ชัดเจนก็ชัดสุดแค่นั้น                   แม้แต่ขันธ์ต้องว่างไร้จึงเต็มที่
มีไม่เที่ยงในไม่เที่ยงคือไม่มี                   ลอกกระพี้[2]ชี้แก่นจริงใครก็ต้องการ
ไม่อยากใช้ธรรมแท้อยากใช้มักคุ้น            ทุกวันวุ่นโลภทุกข์อยากอยู่อย่างนั้น
รู้ตัวว่าหลงเป็นปลงไม่ปล่อยผ่าน            หากดื้อรั้นยากเปล่าในพ้นทุกข์ไกล
ยิ่งลดละยิ่งว่างตัวเองให้หมด                 แจ้งในกฎแห่งสามกาล[3]เป็นคนใหม่
น้ำใสใจจริงสิ่งตระหนักเดินทางไกล         ไกลแค่ไหนแก่นแท้สัจธรรมมานำทาง
                                                                         ฮา ฮา หยุด




[1] โลกธาตุ : แผ่นดิน
[2]กระพี้ : ส่วนของเนื้อไม้ที่หุ้มแก่น,  เนื้อไม้ที่อยู่ระหว่างเปลือกกับแก่น
[3] สามกาล : 三心 จิตที่ผูกพันกับอดีต ปัจจุบัน อนาคต

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ฟังมาเกือบวันครึ่งบางทีเราก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ตรงนี้ปฏิบัติธรรมกันอย่างไร เพราะว่าปกติเราก็ปฏิบัติธรรมกันมาบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  สวดมนต์ไหม (สวด)  ตักบาตรไหม (ตัก)  ทำบุญไหม (ทำ)  ทำบ่อยไหม (บ่อย, ไม่บ่อย)  นานๆ ทีหรือนานๆ ถี่ (นานๆ ที)  แปลว่าเราก็มีการทำบุญ สวดมนต์ มีไหว้พระมาบ้างใช่หรือไม่ เรียกว่าเราปฏิบัติธรรมถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเราปฏิบัติธรรม ทำบุญ ใส่บาตร สวดมนต์แล้ว เราเหมาตัวเองว่าเป็นคนดีได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เมื่อเหมาตนเองว่าเป็นคนดีไม่ได้ อย่างนั้นเรามีสิทธิ์ว่าใคร โกรธใครได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แต่อาจารย์เห็นบางคนไม่ใช่แบบนั้นนะ บางทีพอทำบุญใส่บาตร พยายามมีศีลมีธรรม แล้วก็เหมาว่าตนเองเป็นคนดี มีสิทธิ์ด่าใครที่ไม่ดีได้ มีสิทธิ์ตัดสินคนอื่นว่าไม่ดีได้และก็มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ว่าคนอื่นชั่วร้ายได้ อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เราเป็นอย่างนั้นเป็นบางครั้งหรือเกือบทุกครั้งกันล่ะ ถ้าเรามั่นใจว่าเราปฏิบัติดี แปลว่าอยู่ทุกที่เราก็ต้องปฏิบัติดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  และคนที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติแค่ที่วัดหรือทุกๆ ที่ (ทุกที่)  ฉะนั้นถ้าท่านเป็นผู้หนึ่งที่มุ่งมั่นอยากเป็นคนดีและมุ่งมั่นอยากปฏิบัติดี การปฏิบัติดีที่แท้จริงจึงไม่ใช่เอาความดีไปข่มคนอื่น การปฏิบัติดีที่แท้จริงคือทุกที่ก็สามารถปฏิบัติดีได้ การปฏิบัติดีที่แท้จริงไม่ใช่ปฏิบัติดีแต่กับพระ แต่เราต้องสามารถทำเหมือนทุกคนเป็นพระในทุกที่ เพราะเขากำลังมาโปรดเรา ให้เราเห็นพระแล้วเราจะได้เป็นพระ แต่เราทำได้อย่างนั้นไหม (ไม่ได้)
เราถามท่านง่ายๆ ถ้าพูดถึงธรรม ธรรมน่าจะแปลว่าความสงบ เย็น สบาย ถ้าอยากมีธรรม อยากพ้นทุกข์จึงต้องเข้าใจความหมายของธรรมให้แท้จริง และต้องเข้าใจการปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเดินแล้วจะหลงทาง กลายเป็นการปฏิบัติตามใจตัวเอง ดังนั้นถ้าเราปฏิบัติกับใครแล้วเกิดความสงบ เย็น สบายใจ นั่นคือการปฏิบัติธรรม อยู่กับเขาแล้วทำให้เขาร่มเย็นเป็นสุข นั่นคือการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นอย่ามองการปฏิบัติธรรมอย่างคับแคบตีกรอบ อย่ามองธรรมอย่างคับแคบจดจ่อ แต่จงมองแล้วเปิดให้กว้าง แล้วเราจะเห็นว่าเราก็ปฏิบัติธรรมได้จริงในทุกที่กับทุกคนจริงหรือไม่ (จริง)
ที่สุดของการปฏิบัติธรรมคือการดับทุกข์ แล้วศิษย์ปฏิบัติธรรมทุกที่หรือไม่เคยปฏิบัติเลยสักที่ คนที่ปฏิบัติดีจะไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ที่ไหนก็ต้องปฏิบัติดีจึงจะเรียกว่าเป็นนักปฏิบัติดีตัวจริง แต่ศิษย์เป็นนักปฏิบัติไม่จริง เพราะเลือกที่จะปฏิบัติกับบางคนเท่านั้น ศิษย์เป็นเช่นนั้นไหม
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม ถือว่ามาร่วมผูกบุญสัมพันธ์กัน แต่จะเป็นบุญหรือเป็นกรรมต่อกัน มนุษย์นั้นแปลก อยู่กับใครมักบอกมีบุญได้เจอกัน แต่พออยู่นานๆ รู้จักนิสัยใจคอ ก็จะบอกว่าเหมือนมีกรรม โดยเฉพาะสามีหรือภรรยา บุญนำพาหรือกรรมนำส่ง (กรรมนำส่ง)  แต่ตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆ ไม่เห็นบอกว่าเป็นกรรม ให้มองเป็นบุญดีกว่า ถ้ามองเป็นกรรมก็ต้องก้มหน้ารับกรรมต่อไป ถ้ามองเป็นบุญก็มีแต่ความสบายใจสุขใจ แต่ถ้ามองเป็นกรรม เมื่อต้องมาเจอกันก็มีแต่ทุกข์ใจจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นกรรมหรือบุญที่ได้มาเจอกัน (บุญ)  ไม่อาจหยั่งได้ จนกว่าเราจะได้เรียนรู้ใจซึ่งกันและกันและดำเนินชีวิตร่วมกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ตอนนี้อยากยืนหรืออยากนั่ง (นั่ง)  ถ้าอาจารย์ไม่ให้นั่งแปลว่าบุญหรือกรรม (กรรม)  จะบุญหรือกรรมอยู่ที่ใจเราคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่ได้นั่งคือกรรมจริงๆ หรือ (ถ้ายืนทำให้มองไม่เห็นอาจารย์)  จิตนิ่งอยู่ที่ไหนก็สามารถเห็นอาจารย์ได้ ถึงตอนนี้ตาจะมองเห็นอาจารย์ แต่ถ้าใจไม่นิ่งเห็นก็เหมือนไม่เห็น จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นยืนหรือนั่งดี (นั่ง)  ให้อาจารย์นั่ง แล้วให้ศิษย์ยืนใช่ไหม (ใช่)  ยืนไหวไหม เวลาศิษย์ยืนเชียร์บอลยังยืนได้เป็นชั่วโมงๆ เลย เวลาไปจ่ายตลาดยังเดินได้นานไม่เห็นเมื่อยเลย ก็คิดว่าตอนนี้มาจ่ายตลาด มาเชียร์บอลกับอาจารย์ จะได้ไม่เมื่อยได้ไหม (ได้)
อาจารย์ถามศิษย์หน่อยนะ ในโลกนี้สิ่งใดร้ายที่สุด (ใจตัวเอง)  ใจแบบไหนที่เรียกว่าร้าย (คิดไม่ดีต่อคนอื่น)  คิดไม่ดีบ่อยไหม ถ้าคิดไม่ดีบ่อยจะได้บอกให้คนอื่นๆ อยู่ห่างๆ ศิษย์ไว้ เพราะว่าไม่ว่าจะทำดีอย่างไรศิษย์ก็คิดไม่ดี
ใจคือสิ่งที่น่ากลัวและร้ายที่สุด เพราะใจคนมีทั้งดีร้าย ที่ดีก็ดีใจหาย ที่ร้ายก็ร้ายน่ากลัว ฉะนั้นคนที่ยอมรับว่าตัวเองร้ายก็ยังพอที่จะควบคุมจัดการได้ คนที่บอกว่าตัวเองร้าย อะไรบ้างที่ทำให้เราร้าย แล้วคนที่คิดว่าตัวเองดีจะร้ายได้ไหม (ได้)  แปลว่าเริ่มรู้ตัวแล้ว เพราะคิดว่าตัวเองดีใครว่าไม่ได้ เราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)  บางครั้งก็คิดว่าตัวเองดีมีสิทธิ์ว่าคนอื่นได้ บ้างก็คิดว่าตัวเองดีทุกคนต้องดีกับฉัน อย่างนี้เรียกว่าร้าย
ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องระมัดระวังในการศึกษาปฏิบัติธรรมคือ นอกจากปฏิบัติให้ดีแล้ว ต้องมีสติรู้เท่าทันใจตัวเองด้วย เพราะไม่ว่าจะดีหรือร้าย เราก็พร้อมเป็นคนที่น่ากลัวได้เสมอ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วคนที่ชอบสงสารตัวเอง ร้ายได้ไหม (ได้)  อาจารย์ถามหน่อย “ฉันเหนื่อย ฉันไม่ไหว ไม่เอา แกทำไป” ร้ายไหม (ร้าย)  เมื่อไรที่เห็นแก่ตัวเอง สงสารตัวเองมากเท่าไร เราก็พร้อมที่จะเอาเปรียบและร้ายกับคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ แต่จริงๆ ก็แอบมีเจตนาเล็กๆ ถูกไหม (ถูก)  เพราะเมื่อไรที่เราเห็นใจตัวเอง เราจะเห็นใจผู้อื่นน้อยลง เมื่อไรที่เราสงสารตัวเองมาก เราจะสงสารผู้อื่นได้น้อยลง ฉะนั้นอย่าคิดว่า คำว่าสงสารจะไม่น่ากลัว ศิษย์คิดว่า “ฉันเหนื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว แย่แล้ว” แล้วศิษย์เคยมองเห็นไหมว่า คนอื่นที่เขาก้มหน้าก้มตาทำ เขาก็เกือบจะตายอยู่แล้ว
เมื่อไรที่ศิษย์มีกินโดยที่ไม่ต้องทำอะไร เมื่อไรที่ศิษย์มีโอกาสได้โดยที่ยังไม่ได้สร้างผลงาน จำไว้ว่าต้องมีอีกคนหนึ่งที่เขาต้องเหนื่อยมากกว่าเราเป็นหนึ่งเท่า เพื่อทำให้เราได้กิน ได้ผลงาน ฉะนั้นอย่าสงสารตัวเองจนลืมสงสารผู้อื่น อย่าเห็นแก่ตัวจนลืมเห็นใจคนอื่น เพราะความสงสารตัวเองก็จะทำให้เราสร้างพิษร้ายกับคนอื่นได้เหมือนกัน เพราะทำอะไรทำเพื่อตนเอง คนอื่นไม่สนใจ ร้ายไหม (ร้าย)  เมื่อไรที่ทำอะไรถือตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง ทำอะไรเพื่อตนเองเป็นที่ตั้ง คือหนีไม่พ้นเหตุแห่งบาปและความหลง พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า เมื่อไรที่เราเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ หนีไม่พ้นทางบาปหนีไม่พ้นความทุกข์ ไม่มีภัยพิบัติใดในโลกน่ากลัวเท่ากับการสนองความอยากของตนโดยเบียดบังชีวิตผู้อื่น ไม่มีภัยใดน่ากลัวเท่ากับสนองความอยากของตนแล้วผลาญทรัพยากรในโลกเพื่อความต้องการของคนๆ เดียว แล้วเราใช่หรือไม่ใช่คนเช่นนั้น ทำอะไรก็ได้ตามใจอยาก โดยที่ไม่สนใจผิดชอบชั่วดีและถูกต้องในศีลธรรม
มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า ถ้ามนุษย์ปรารถนาความสงบสุขเมื่อยามมีชีวิต จงอย่าเบียดเบียนผู้อื่นเพื่อชีวิตตน ผู้ใดทำความยากลำบากให้ผู้อื่น ผู้นั้นจะต้องพบความยากลำบากในชีวิต ผู้ใดรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น ผู้นั้นก็จะเท่ากับช่วยเหลือชีวิตตน ผู้ใดเบียดเบียนผู้อื่นแม้กรรมนั้นจะแล่นไปไกลขนาดไหน แต่สักวันหนึ่งกรรมนั้นก็จะกลับมาหาผู้กระทำนั้นอย่างไม่บิดพลิ้ว
ฉะนั้นเกิดเป็นคน อย่าให้ความอยากของตนไปเบียดเบียนชีวิตคนอื่น หรือผิดศีลขาดธรรม เพราะเมื่อกรรมตกผล ต่อให้ศิษย์หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว ต่อให้ศิษย์พ้นจากชะตากรรมในสังขารนี้ ไม่ว่าจะเกิดกี่ภพกี่ชาติกรรมนั้นก็จะติดตามไปอย่างหลีกหนีไม่พ้น พระพุทธะจึงกล่าวต่ออีกว่า “กิเลสอารมณ์ดุจไฟบรรลัยกัลป์” ถ้าใครคิดอยากจะลองเล่นกับกิเลสอารมณ์ก็หนีไม่พ้นไฟนรก ตัณหาความอยากได้อยากมีเปรียบเหมือนทะเลทุกข์ ถ้าศิษย์ยังหยุดความอยากไม่ได้ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ฉะนั้นแปรความคิดให้กลายเป็นจิตบริสุทธิ์แปรไฟร้อนให้กลายเป็นน้ำเย็น แปรจิตทำบาปทำชั่วเป็นละอายเกรงกลัวต่อบาปกรรม นาวาก็แล่นคืนสู่ฝั่ง เหมือนดังคำกล่าวว่า “เพชรฆาตวางดาบลงก็กลายเป็นพุทธะ” มนุษย์สำนึกได้ ไม่ทำผิด ไม่ก่อบาป เขาก็กลายเป็นพุทธะบนแดนดิน ที่อาจารย์กล่าวยาวมาทั้งหมดนั้นก็มีแค่เพียงจุดประสงค์เดียวคือ เกิดเป็นคนอย่าผิดศีลอย่าขาดธรรมเพียงเพราะความอยากในใจตน
ศิษย์รู้ไหมว่าต้นเหตุของความทุกข์ล้วนมาจากความโลภ โกรธ หลงและการตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาอารมณ์ ฉะนั้นถ้าไม่อยากมีทุกข์ เราต้องหยุดกิเลสอารมณ์ให้ได้ แม้ยากแต่จะพยายามทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์จะบอกวิธีทำให้เราไม่กลายเป็นคนโลภโกรธหลง สมมติว่าศิษย์ไปมีเรื่องกับเขามาแล้วค่อยมาใช้ธรรมะข่มใจ เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ศิษย์เคยสงสัยไหมว่าทำไมเขาด่าเรา แปลว่าเราต้องไปทำอะไรเขา ทำไมเขาโกงเรา แปลว่าเราต้องเคยไปโกงหรือไปเบียดเบียนอะไรเขามา ฉะนั้นระหว่างการที่เจอปัญหาแล้วจึงค่อยใช้ธรรมะดับทุกข์ กับการที่พยายามใช้ธรรมะก่อนเพื่อไม่สร้างปัญหาอะไรดีกว่ากัน ส่วนใหญ่ก็บอกได้ว่าใช้ธรรมดับเพื่อไม่สร้างปัญหาใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วระหว่างให้ก่อนแล้วค่อยเอาหรือเอาก่อนแล้วค่อยให้ ศิษย์เลือกอะไร (ให้ก่อนแล้วค่อยเอา)  แล้วชีวิตจริงๆ ศิษย์รับมาก่อนแล้วค่อยให้ หรือให้ก่อนแล้วค่อยรับ (รับก่อนแล้วค่อยให้)  ปัจจุบันนี้เราเจอปัญหาเราพยายามใช้ธรรมะข่ม พยายามใช้ธรรมะดับใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มีใครบ้างที่ใช้ธรรมะก่อนที่ปัญหาจะเกิด (ไม่มี)  เพราะสาเหตุง่ายๆ คือเราไปรับก่อนแล้วค่อยให้ สร้างปัญหาเสร็จแล้วก็ค่อยมาแก้ปัญหาด้วย ขันติ อดทน เมตตา แต่ไปทำไม่ดีกับเขามาเต็มที่แล้วค่อยมาขันติ แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลใช่หรือไม่ ศิษย์ไปเบียดเบียนเขาก่อน ศิษย์ไปโป้ปดกับเขาก่อน ศิษย์ไปแก่งแย่งกับเขาก่อน ศิษย์ไปร้ายกับเขาก่อน เขาจะร้ายกับเราไหม (ร้าย)  อยู่ๆ เขาไม่มาร้ายกับเราถ้าเราไม่เคยไปร้ายกับเขาก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตอนนี้การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือหยุดยั้งก่อนที่จะสร้างเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วพยายามใช้ธรรมดับทุกข์ ให้ก่อนรับทีหลัง ถ้าทำได้ศิษย์ก็สามารถแก้ปัญหาได้ แต่ถ้าศิษย์ทำไม่ได้ ก็เป็นเรื่องยากที่ศิษย์ต้องตามมาแก้ทีหลังถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ถามนะ ผ้าที่ไม่เคยสกปรกซักอย่างไรก็ขาว จิตไม่เคยแปดเปื้อนทำอย่างไรก็สะอาด ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่ในทางกลับกัน ศิษย์ของอาจารย์เอาผ้าไปเปื้อนก่อนแล้วค่อยมาซักให้ขาว เหนื่อยไหม (เหนื่อย)
ศิษย์รักบุญ ชอบทำบุญ ชอบคนมีเมตตา อย่างนั้นยอดของบุญ ยอดของคนมีเมตตาคือ ไม่ทำผิดไม่ทำบาปคือสุดยอดบุญแล้ว จริงหรือไม่ (จริง) ไม่ใช่ไปทำบุญที่หนึ่งแล้วไปด่าอีกที่หนึ่ง ไปเบียดเบียนอีกที่หนึ่ง แล้วค่อยไปทำบุญอีกที่หนึ่ง อย่างนี้เรียกว่าบุญหรือไม่ (ไม่ใช่)  ฉะนั้นยอดของบุญที่แท้คือการไม่ทำบาปเลยนั่นคือสุดยอดบุญแล้ว ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วทำบุญขอหรือไม่ (ขอ)ศิษย์เอยถ้าอยากได้บุญอยากได้มหากุศล ทำบุญแล้วอย่าขอ บุญนั้นจะกลายเป็นมหากุศล เพราะถ้าขอ แปลว่าศิษย์ยังอยากกลับมารับผลบุญ ศิษย์อยากจะกลับมาเจอสิ่งนั้นอีกหรือ แล้วแน่ใจหรือว่าจะได้เจอสิ่งที่ดี ฉะนั้นทำแล้วอย่าขอ บุญจะกลายเป็นกุศลตามมา ไม่ขอ ไม่ยึดติด สละได้ทั้งตัวตนและความยึดถือว่า ใครจะด่า ใครจะแช่งที่ฉันทำบุญก็ไม่สนใจ บุญนั้นจะกลายเป็นมหากุศล บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ กุศลคือตัดรากเหง้าแห่งตัวตนไม่มีที่ให้ทุกข์อีกต่อไป ฉะนั้นทำไมไม่ก้าวให้ถึงที่สุด ทำไมดีครึ่งไม่ดีครึ่ง เมื่อจะดีก็ดีให้เต็มร้อย
  “ควบคุมตนอยู่คงมีแต่ดีขึ้น           ตามใจตนเมามึนไปได้ทุกสิ่ง
ค้นใจตนขณะที่หาที่ความจริง          คำว่าจริงจะเที่ยงแท้ไม่เคยมี
ต่อให้ชัดเจนก็ชัดสุดแค่นั้น             แม้แต่ขันธ์ต้องว่างไร้จึงเต็มที่
มีไม่เที่ยงในไม่เที่ยงคือไม่มี              ลอกกระพี้ชี้แก่นจริงใครก็ต้องการ
แล้วศิษย์จะควบคุมความอยาก กิเลส อารมณ์ตัวเองได้อย่างไร รู้ว่ามีโกรธ โลภ โมโหร้าย อารมณ์ไม่ดี ขี้บ่น งก ใจแคบ ขี้น้อยใจ มีแต่ขี้เต็มตัวเลย แล้วเคยทำให้มันเบาบาง เคยหยุดได้ไหม ผู้ปฏิบัติงานธรรมหยุดได้ไหม ตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญมา โลภ โกรธ หลง เบาบางลงเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนไหม มนุษย์มีทุกข์เป็นธรรมดา เป็นทุกข์แห่งสัจธรรม แต่ทุกข์หนึ่งที่น่ากลัวที่สุดและทำให้เราหนีไม่พ้น นั่นคือทุกข์แห่งโลภ โกรธ หลง ที่ทำให้เราหนีไม่พ้นวัฏสงสาร
ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์ยังตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ศิษย์ก็หนีไม่พ้นอบายภูมิทั้งหก ถ้าศึกษาให้ลึกๆ จะรู้ว่า วิธีที่จะควบคุมความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้นง่ายลองฝึกดู เมื่อไรที่เราจะโกรธ โลภ หลง ขอให้เอาสิ่งนี้มาเป็นตัวกรอง หนึ่งคือลองใจเย็นๆ นิ่งก่อน ใครว่ามานิ่ง เห็นอะไรสวยก็นิ่ง เห็นเงินตกก็นิ่ง เห็นล็อตเตอรี่ตกมาก็นิ่ง ไม่ว่าเจออะไรขอให้นิ่งไว้ก่อน เพราะสิ่งที่ร้ายไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่คนแต่งตัวเซ็กซี่ ถ้าศิษย์บอกว่าโลภ โกรธ หลงน่ากลัว คนที่แต่งตัวเซ็กซี่ก็น่ากลัว ผู้ชายที่ดูดีก็น่ากลัวจริงไหม (จริง)
ก่อนที่เราจะมาควบคุมโลภโกรธหลง เราต้องรู้จักโลภโกรธหลงก่อน โลภโกรธหลงน่ากลัวไหม (น่ากลัว)  อาจารย์ขอถามว่า เหล้าน่ากลัวไหม (น่ากลัว)  ร้ายไหม (ร้าย)  แต่ถ้าเหล้าไม่อยู่ในใจเห็นอย่างไรก็ไม่อยาก ที่เห็นแล้วเปรี้ยวปากเพราะเคยกิน ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ลองไปถามคนที่ไม่กินเหล้า เห็นแล้วเขารู้สึกไหม เขาก็ไม่เห็นว่าเหล้าร้ายเลย ที่ศิษย์เห็นว่าร้ายเพราะใจศิษย์มีสิ่งนั้นอยู่ ถ้าบอกว่าผู้หญิงแต่งกายไม่มิดชิดเป็นคนที่เลวร้าย แปลว่าใจศิษย์มีสิ่งนั้นอยู่ ถ้าเห็นผู้ชายแล้วรู้สึกว่าเขาแต่งตัวดูดีแปลว่าใจศิษย์หวั่นไหวแอบหลงเขาอยู่ โลภโกรธหลง นั้นไม่ได้ร้าย แต่ที่ร้ายเพราะใจเราแอบยอมเป็นทาสมันอยู่ มากี่ทีเราก็ยอมตกเป็นทาสมันทุกที ทั้งที่จริงแล้วโลภโกรธหลงไม่มีตัวตน แต่มันชอบอิงอาศัยคนที่ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน อาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าเงินน่ากลัว เงินทำให้เราโลภ ฉะนั้นเงินมีอำนาจ บังคับให้ศิษย์ทำจนหัวหกก้นขวิด ศิษย์เหนื่อยมากแต่ก็ยังทำเพื่อเงิน นั่นคือเงินร้ายหรือเราร้าย เงินไม่มีอำนาจ เงินอยู่ของมันดีๆ แต่เราต่างหากที่ถึงเวลาอยากจะมีเงิน แล้วมีไม่เป็น มีเงินแล้วเอามันมาเฆี่ยนตัวเองให้ตาย โลภโกรธหลงมันไม่ได้น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือใจที่คิดจะโลภ ใจที่คิดจะโกรธ และใจที่คิดอยากจะหลง ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวก็คือการใช้ความหลงที่ผิดทาง การยึดในโกรธแล้วก็ไปพาลโทษว่า ตำหนิคน อันเป็นต้นเหตุให้ฉันหวั่นไหว ทำให้ฉันทำผิด มองเห็นเหล้าถ้าเหล้าไม่อยู่ในใจเรา เราจะกินเหล้าไหม ถ้าเราไม่มีความโลภหลงอยู่ในใจ เราจะเอาอะไรมาเป็นของเราไหม เมื่อใจสะอาด ทุกอย่างก็บริสุทธิ์ แต่ถ้าเมื่อไรที่ใจไม่บริสุทธิ์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูแปดเปื้อน ฉันใดฉันนั้น อารมณ์ดีมองอะไรมันก็ดี อารมณ์ร้ายมองอะไรก็มีแต่ตำหนิติเตียน ในเมื่อใจมันโกรธมองอย่างไรมันก็โกรธ
ในเมื่อใจมันอยากได้ มองเห็นอะไรก็หลง ฉะนั้นไม่ใช่แก้ที่ข้างนอกแต่ต้องแก้ที่ใจ ไม่ได้ดับที่ข้างนอกแต่ต้องดับที่ข้างใน แล้วสิ่งใดที่ช่วยดับยับยั้งใจ (หยุดคิดปรุงแต่ง, รู้จักมีสติ, ศีล สมาธิ และปัญญา, รู้จักใช้สติปัญญา, ใช้ธรรมะ, ใช้ขันติ)  ใครโกรธมาก็อดทนหรือ จริงๆ เมื่อไรที่ศิษย์ยังใช้ขันติ แปลว่าลึกๆ ศิษย์แอบหวั่นไหว
(การที่จะยับยั้งใจตัวเอง มีสติปัญญา สัพพัญญู ความอดทน ความเข้มแข็ง สติต้องคิดอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่คืออะไร แล้วเราจะสามารถผ่านไปได้ด้วยดี)  สติกับความคิดไม่เหมือนกัน สติคือความระลึกได้ สติช่วยให้เราระลึกถึงความถูกต้องและเป็นกลาง ความคิดคือสิ่งที่ง่ายที่จะไหลไปตามอารมณ์ เพราะความคิดเกิดจากความรู้ ความจำได้หมายรู้ในตัวตน ฉะนั้นต้องแยกให้ดีนะ เพราะถ้าเอาแต่คิดความคิดจะพาเราฟุ้งซ่าน ฉะนั้นใช้สติหรือความคิด (สติ)
(สติควบคุม ข่มใจตัวเอง)  สิ่งที่อาจารย์อยากบอกคือ “พอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้” เห็นอะไรจะโลภอยากหลงอีกไหม (ไม่)  แต่เราเคยพอไหม (ไม่พอ)  (ใจเย็นใจต้องนิ่ง)  แต่ถึงเวลาเจอแล้วนิ่งหรือหวั่นไหว (หวั่นไหว)
(จิตคือศูนย์รวม)  ฉะนั้นต้องรู้จักควบคุม ควบคุมก็ไม่เท่ารู้ใจตัวเอง
(ธรรมะในใจทำให้ยั้งคิด มีสติไตร่ตรองพิจารณา)  ธรรมะที่ทำให้เรายั้งคิด คือ มโนธรรมสำนึก รู้ละอายเกรงกลัวต่อบาป ไม่อยากได้ของใคร
(รู้จักปล่อยวางทุกอย่าง)  ยิ่งว่าง ปล่อยวาง ตัวตนให้หมด แปลว่า กลับถึงบ้านก็ไม่เอาใครๆ แล้วใช่ไหม (ตัวเองก็ไม่เอา)  แน่ใจหรือ กลับบ้านไปแล้วน้ำก็ไม่ต้องอาบ ข้าวก็ไม่ต้องกินใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ดูแลตัวเองให้ดี การดูแลตัวเองให้ดีคือรับผิดชอบต่อหน้าที่ตัวเองให้ถูกต้องและดีงามที่สุด ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่คนปัจจุบันนี้แค่ทำตัวเองให้รอดยังไม่รอด แล้วชอบไปพึ่งคนอื่น ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ขอแค่เพียงศิษย์ทำหน้าที่ของความเป็นคนให้สมบูรณ์พร้อม มีหรือจะทำใครทุกข์ กลัวก็แต่เพียงซื่อตรงก็ไม่ซื่อตรง ขยันก็ไม่ขยันใช่ไหม
(อดทน อดกลั้น)  อดทนอดกลั้นให้ได้จริงๆ เถิด
(รู้จักปฏิบัติอดทน)  อย่างนั้นถ้าไม่ได้อะไรเลยก็อดทนนะ
(ต้องมีสติและมีสมาธิ)  สมาธิที่ดีคือ เห็นแล้วไม่หวั่นไหว เห็นแล้วไม่อยากได้
(จิตเมตตา)  ศิษย์เอยคำตอบนี้เป็นคำตอบที่ดี อาจารย์ถามหน่อยว่าถ้าเราเมตตาเราจะด่าใครไหม เราจะโมโหหรือเบียดเบียนทำร้ายใครไหม ถ้าเราเมตตาเราจะทำอะไรไม่ดีไหม (ไม่)  แต่ถึงเวลาจริงๆ ศิษย์อยากก่อนแล้วค่อยเมตตาทีหลัง ถ้าเราเมตตาเราก็ไม่คดโกงใคร ไม่เอาเปรียบใคร ไม่อยากได้ของใคร
(มีสติรู้เท่าทัน)  มีสติรู้เท่าทัน รู้ยั้งคิด
(อยากจะถามอาจารย์ว่าจะทำอย่างไร ยายถึงจะเลิกตกปลาได้สักที ลูกก็บ่น แต่ก็ตกปลาไม่ค่อยได้หรอก)  อาจาย์มีวิธี ใช้เบ็ดที่มีแต่สายเบ็ดไม่มีตะขอ ไม่มีอาหารที่เบ็ด รับรองตกกี่ปีก็ไม่บาป ศิษย์รู้แต่ไม่ทำ ถ้าห้ามใจไม่อยู่ก็ต้องใช้วิธีแบบนี้
(วางเฉย)  เราวางเฉยได้ทุกเรื่องหรือไม่ (พยายามทำให้ได้ดีที่สุด)  สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ก่อนจะวางเฉย เราต้องเห็นให้ชัดก่อน ถึงแม้การว่าผู้อื่นนั้นไม่ดี แต่หากศิษย์ถูกว่าแล้วนำมาพิจารณา ทำให้ศิษย์ได้ยั้งคิด และได้มองเห็นตัวตนของศิษย์ ศิษย์จะวางเฉยกับคำตำหนินั้นอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องนำมาตรวจสอบตัวเราด้วย ถูกหรือไม่ แม้วางเฉยคือทางสายกลาง แต่บางอย่างต้องพิจารณาก่อน มีประโยชน์ก็เอามาสอนใจ มีโทษก็ยั้งใจ ทำให้ได้นะ วางเฉยให้ได้จริงๆ นะ
(ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ใช้สติปัญญาของตัวเอง)  พยายามไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทำอะไรก็ได้ที่ซื่อตรงต่อหน้าที่ ทำตัวให้ถูกต้อง รับผิดชอบหน้าที่ให้ดีที่สุด จะขายของก็ขอเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าที่ดีที่สุด ไม่ได้ขายของเพราะอยากเอาเงินของเขามาใส่กระเป๋าเราแล้วไปโกหกกลายเป็นผิดบาป
(ปฏิบัติธรรมให้ใจเย็นขึ้น)  ทำอย่างไรให้ใจเย็น มันใจร้อนตลอดเวลาที่มีความอยาก (นั่งสมาธิ)  แล้วมีเวลานั่งหรือเปล่า (วันพระ)  แต่เวลาลืมตาสมาธิก็กระเจิง
อาจารย์จะบอกให้ เวลาที่เราเกิดโลภ โกรธ หลง สิ่งง่ายๆ ศิษย์ลองเอาศีลทั้งห้ามาตรวจสอบ เมื่อเกิดโลภแล้วอยากแล้วเบียดเบียนเขาเพื่อตัวเราเองไหม หลงแล้วไปเอาของเขามาเป็นของตนเองจนขาดคุณธรรมไหม พูดอะไรแล้วโกหกตระบัดสัตย์ไหม ทำอะไรแล้วทำอย่างผู้มีปัญญาหรือผู้โง่เขลา ถ้าหมั่นทำแบบนี้ทุกขณะศีลก็ได้ตรวจสอบ คุณธรรมก็ได้มี ผิดบาปก็ได้ชะล้าง แต่มนุษย์เราไม่เคยลงมือทำ มีเมตตาไหม ซื่อตรงไหม ทำด้วยปัญญาไหมหรือทำแบบอารมณ์ชั่ววูบล้วนๆ ถ้าทุกขณะศิษย์เอาศีลมาตรวจสอบแล้ว ธรรมยังสอนต่อว่ามีศีลแล้ว จงมีสมาธิเมื่อตรวจสอบ แล้วมั่นคงไหม ถ้าอยากได้แล้วต้องโกหกต้องไร้คุณธรรมความเป็นคน ถ้าอยากได้แล้วต้องตระบัดสัตย์เสียมิตรเสียเพื่อนไม่อยากดีกว่าไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเรียกว่ามีศีลแล้วยังมีสมาธิมั่นคงไม่หวั่นไหว จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้ววางความโลภความโกรธความหลงได้ในชั่วขณะที่ศิษย์อยาก ฉะนั้นศีลสมาธิไม่ได้ปฏิบัติที่วัดแต่ปฏิบัติเพื่อหยุดยั้งความโลภโกรธหลง เพื่อไม่ให้ศิษย์ประพฤติชั่วทำผิดศีล ฉะนั้นถ้าศิษย์ประคองศีลได้ดีศิษย์จะไม่ประพฤติชั่ว แต่คนปัจจุบันนี้ศีลก็ไม่มี ดีก็ทำ แต่ชั่วก็ไม่ละ
แล้วจะบอกว่าอยากหนีเคราะห์กรรม อยากหนีภัยพิบัติ ก็ตัวเองเป็นคนสร้างกรรมทั้งนั้น ชีวิตเราเกิดมาพร้อมกับกรรม กรรมเป็นสิ่งปรุงแต่งให้เราเป็นไปในอนาคต และแม้แต่ในปัจจุบันจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับในอดีตที่ศิษย์สร้าง แล้วตอนนี้ศิษย์สร้างบุญหรือสร้างบาป มือหนึ่งก็บุญอีกมือหนึ่งก็บาป ฉะนั้นอย่าบอกว่าทำดีแทบตายแล้วไม่ได้ดีเลย ก็ในเมื่ออีกด้านหนึ่งยังหยุดไม่ได้ในการทำบาป ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า “ยอดของศีล ยอดของบุญ คือการไม่ทำบาปเลย” ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(การวางเฉย)  ถ้าทำได้ก็ดี ก่อนจะวางเฉยศิษย์พิจารณาดูว่าสิ่งที่เขาเบียดเบียนเรา สิ่งที่เขาทำร้ายเรา สิ่งที่เขาว่าเรา ใช่หรือไม่ใช่สิ่งที่เราเคยทำกับเขามาก่อน ถ้าใช่ก็ต้องขอโทษและกล้ายอมรับ อย่าเอาแต่นิ่งเฉย เพราะคนโกรธอยู่ ศิษย์นิ่งเขาไม่หายโกรธ ที่จะหายโกรธได้คือ การขอโทษจากใจ ใช่ไหม (ใช่)  เวลาศิษย์โกรธ แล้วเขาคุกเข่าขอโทษ ยอมรับความผิดอย่างจริงใจ จะไม่หายโกรธหรือ ศิษย์ต้องจำไว้ว่าญาติพี่น้องยังพออภัยให้ได้ แต่คนที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องของเรา ถ้าเขาโกรธเราแล้วอย่างไรก็ไม่อภัยให้เรา แล้วควรหรือที่จะไปทำให้เขาโกรธแล้วไปตามแก้ไม่จบไม่สิ้น ถ้าศิษย์ไปตีเขา แล้วศิษย์บอกว่าขอโทษ แม้เขาก็อยากให้อภัย แต่เจอหน้าเราทีไร เขายังเจ็บใจลึกๆ ใช่หรือไม่
ฉะนั้นจุดประสงค์ที่แท้จริงของการปฏิบัติธรรมไม่ใช่ทุกข์แล้วค่อยดับด้วยธรรม แต่ “จุดประสงค์ที่แท้จริงของการปฏิบัติธรรมคือ ดับด้วยธรรมก่อนจะเกิดทุกข์ หยุดก่อนจะเป็นเหตุให้ศิษย์ทุกข์ไม่จบสิ้น” เพราะลึกๆ ในใจศิษย์ทุกคนใครดีจำไม่ได้ แต่ใครไม่ดีศิษย์จำได้แม่น ให้เขายิ้มอีกสิบวัน ศิษย์ก็ยังไม่หาย ให้เขาเอาของมาปลอบใจ ศิษย์ก็ยังไม่หาย ฉะนั้นเหมือนกันศิษย์ “อกเขาอกเรา ใจเขาใจเรา” ทำไมไปเบียดเบียนเขาก่อน แล้วค่อยมาปฏิบัติธรรม ทำไมไม่รู้จักปฏิบัติธรรมเสียก่อน ด้วยการปฏิบัติต่อเขาด้วยการมีธรรม กับใครศิษย์ก็เมตตา กับใครศิษย์ก็ซื่อตรง กับใครก็จริงใจ ไม่อยากได้ของเขามาเป็นของเรา ใครในโลกจะไม่เมตตากลับกับศิษย์บ้าง ใครในโลกจะทำกับศิษย์ได้ ในเมื่อศิษย์ทำเต็มที่แล้ว มีแต่ศิษย์ใช้กรรมเก่า แต่กรรมใหม่ในข้างหน้าไม่มีอีกแล้ว
ถ้ารู้ว่ามันยังทำใจไม่ได้ให้ใจเย็นเข้าไว้ ความนิ่งความใจเย็นจะทำให้ใจเราแข็งแกร่ง ความนิ่งจะสะท้อนทุกสิ่งอย่างเป็นจริงไม่บิดพลิ้ว ความนิ่งจะก่อเกิดความเข้าใจและประจักษ์แจ้งในใจเราและใจเขา เขาด่าเราแล้วลองนั่งคิดว่าเราไม่ดีตรงไหน ทำไมเขาด่าเรา เป็นเพราะรักมากจึงด่ามาก ถ้าไม่เห็นอยู่ในสายตาจะด่าทำไมให้เหนื่อย ถ้าเราไม่รักเขาเราจะไปด่าหรือเดินไปสอนเขาไหม รักแต่พูดรักไม่เป็นขอด่าไว้ก่อน อย่างน้อยถ้าเรานิ่งจึงจะมองเห็นว่าคนที่ด่า เขาก็น่ารักเหมือนกันนะ ตอนที่ปากไม่ขยับน่ารักมากเลย เจออะไรให้นิ่ง แล้วเอาศีลมาไตร่ตรอง ทำแล้วเบียดเบียนคนอื่นไหม ทำแล้วอยากได้ของคนอื่นจนลืมนึกถึงหัวอกเขาไหม ทำแล้วโกหกไหม ทำแล้วผิดศีลขาดธรรม มโนธรรม จริยธรรมในใจไหม ถ้าตรองอย่างนี้ทุกวันมันจะหยุดไม่ได้หรือศิษย์ เมื่อตรองแล้วนิ่งจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้วปล่อยวาง ศีล สมาธิ ปัญญามันอยู่ตรงที่เวลาเราเห็นอะไรแล้วหยุดยั้งได้มันก็จบแล้ว เป็นพระที่นี่ไม่ต้องเป็นพระที่วัด ทำตรงนี้ ไม่ต้องไปรอที่วัด ทำที่ภายในอย่าไปรอคนอื่น ไม่ต้องไปเรียกคนอื่น เอาตัวเองก่อน
(ต้องใช้สมาธิและความนิ่งมาไตร่ตรอง)  (ทำใจเย็น มีสติ แต่พอเวลามีใครพูดไม่ถูกใจ จะโมโหขึ้นมาทันที)
(พูดไม่เข้าหูก็ขึ้นเลย)  อาจารย์จะบอกให้เวลาอารมณ์ขึ้นหุบปากไว้ แล้วอยู่กับลมหายใจ ฉะนั้นถ้าเกิดใครพูดแล้วอารมณ์ขึ้นบอกเขาเลยว่า อย่าพูด เธอหยุดตรงนั้นเลย เพราะถ้าเธอพูดมากกว่านี้เดี๋ยวฉันองค์ลง แล้วไม่รู้องค์อะไรลงด้วย บอกเขาไปจะได้ใจเย็น และยอมรับไปตรงๆ เธออย่าทำอย่างนี้ ฉันไม่อยากหวั่นไหว เธออย่าดีกับฉันมากเลยเดี๋ยวฉันไม่ไหว พยายามตอกย้ำตัวเองว่าฉันมีลูกมีเมียมีผัวแล้ว ให้นำศีลธรรมมาครองใจ ศิษย์เอยโลกปัจจุบันนี้ที่วุ่นวายเพราะทุกคนต่างไม่รับผิดชอบ ไม่ซื่อตรง ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าลืมนะศิษย์เขาโมโหกับศิษย์โมโหไม่เท่ากัน เราโมโหเรายังรู้จักยับยั้ง แต่บางคนโมโหแล้วมีปืนก็ยิงเลย ชีวิตเราก็รักไม่อยากตาย ฉะนั้นต้องควบคุมตนเองให้อยู่ในศีลในธรรม ถ้าเราผ่านด่านการฝึกฝนบำเพ็ญสิ่งสำคัญคือ ละบาปบำเพ็ญบุญ ถ้าบาปยังละไม่ได้ ศิษย์จะเดินสายบุญก็เป็นไปไม่ได้ การละบาปเราเริ่มละได้หรือยัง ถ้ายังละไม่ได้เราต้องมาใช้ธรรมเพื่อมายับยั้งใจ ธรรมอีกอันหนึ่งคือ ธรรมแห่งความเป็นจริงที่ถ้าหมั่นพิจารณาเนืองๆ จะช่วยยับยั้งลดโลภ โกรธ หลง และลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมชายและนักเรียนหญิงออกมาหน้าชั้น)  อาจารย์ถามศิษย์ว่า สิ่งนี้ที่ศิษย์มีแล้วมันไม่เปลี่ยนแปลงมีไหม (ไม่มี)  เขามีวันเปลี่ยนใจมีวันแก่มีวันป่วยและมีวันทำให้ศิษย์เจ็บยังจะเอาหรือไม่ อยากแต่จะเอาๆ เคยดูตัวเองบ้างหรือไม่ว่าสังขารตัวเองรอดหรือไม่ ในบรรดาสรรพสิ่งในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคน สิ่งของหรืออาหาร มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อมันต้องเปลี่ยนยังอยากได้หรือไม่ หรือมีแล้วจะทำให้ศิษย์มีแต่สุข ไม่มีทุกข์ (ไม่มี)  แล้วในสิ่งที่เรียกว่า คน สิ่งของ หรือของกิน มีไหมที่ศิษย์ครอบครองเขาได้ (ไม่ได้)  แล้วอยากได้หรือไม่ (ไม่อยากได้)  นี่แหละธรรมะ ธรรมะสอนให้ศิษย์รู้ว่า ไม่มีสิ่งใดเที่ยง ไม่มีสิ่งใดเป็นของเราจริง และไม่มีสิ่งใดที่มีแล้วไม่ทุกข์ มีแล้วไม่เจ็บ แล้วสิ่งที่ศิษย์มีนั้นมีแล้วเป็นดังใจไหม (ไม่)  แล้วยังอยากมีไหม (ไม่อยาก)
ถ้าเราประจักษ์แจ้งในสัจจะความเป็นจริง ใดๆ ในโลกศิษย์ก็ไม่สามารถครอบครองได้ เพราะทุกสิ่งมีสุขก็มีทุกข์ถนัด มีคงอยู่ก็มีดับไป มีสมหวังก็ผิดหวังได้ มีได้ก็มีเสีย สิ่งนี้ศิษย์รู้อยู่เต็มอก มีใครบ้างที่เป็นดั่งหวัง มีใครบ้างที่ศิษย์ครอบครองแล้วทำให้ศิษย์สุข มีสิ่งใดบ้างที่ศิษย์มีแล้วไม่ทุกข์ มีสิ่งใดบ้างที่ศิษย์มีแล้วไม่เจ็บปวดใจ แล้วมีสิ่งใดบ้างที่มีแล้วจะคงอยู่กับศิษย์จริงๆ ไม่เคยหายไปไหน มันไม่มี ธรรมสอนศิษย์อยู่เนื่องๆ ในใจ แต่เราเคยเอาธรรมมาย้อนมอง แล้วปลดปลง พิจารณาจนเห็นแจ้ง เข้าถึงความจริงบ้างไหม เราเคยเอาธรรมมาย้อนมอง แล้วเห็นชัดว่า สิ่งที่เราหลงภายนอก แท้จริงมันมีแก่นแท้ที่เหมือนกันอยู่ในทุกๆ สิ่ง คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า หวังไม่ได้ สุขไม่เคยนาน ทุกข์ไม่เคยจริง แล้วเรายังอยากอีกใช่ไหม สิ่งที่มนุษย์มองข้าม พุทธะเอามาพิจารณาจนเกิดการปลดปลงและเข้าถึงภาวะธรรมที่เรียกว่า แก่นแท้แห่งสรรพสิ่ง และพบธรรมในใจตน ซึ่งมันเป็นแก่นอันเดียวกันหมดเลยคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า และคงอยู่แค่ชั่วขณะหนึ่ง มีหรือไม่ที่สวยแล้วไม่เหี่ยว มีไหมขาวแล้วไม่ดำ มีไหมหุ่นดีแล้วไม่อ้วน สามีจะดีตลอดไหม ภรรยาจะขี้บ่นตลอดไหม เราอยู่ในโลกไม่ใช่เกิดมาเพื่อทุกข์แล้วทุกข์อีก แต่เราอยู่ในโลกเพื่อเรียนรู้ทุกข์ ฝึกอยู่กับทุกข์จนไม่ทุกข์และพบธรรม นี่แหละคือเป้าหมายของชีวิตที่ศิษย์ควรเกิดมา แต่มนุษย์เกิดมาเพื่อ กิน อยู่ นอน มีครอบครัว แล้วก็เวียนว่ายในทุกข์ไม่จบสิ้น หวังพึ่งเขาก็ไม่เท่ากับพึ่งตนเอง แต่พอพึ่งตนเองจนถึงที่สุด เราจึงเข้าใจว่า แม้แต่ตัวเองก็พึ่งไม่ได้ สิ่งที่พึ่งได้คือ ความจริงแห่งสัจธรรม
สิ่งที่มาจากธรรมก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม แล้วจะยึดมั่นตัวตนเพื่อหลงแล้วมีกรรมทำไม ศิษย์ต้องเข้าใจความหมายของการมีชีวิต การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หรือเพื่ออยู่เหนือคนอื่น ศิษย์เคยได้ยินคำว่า “สูงสุดคืนสู่สามัญ”  ไหม ดังนั้นการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือ กลับสู่ธรรม ธรรมที่เราจากมา ธรรมที่ทุกชีวิตต้องเดินกลับไป แล้วเราจะยึดตัวตนนี้เพื่อมีกรรมดี กรรมชั่วทำไม เพราะถึงที่สุดตัวตนก็ต้องกลับคืนสู่ภาวะธรรม ฉะนั้นยศตำแหน่งสูงขนาดไหนก็ต้องกลับมาเหมือนกันคือธรรมดา มีเงินมากแค่ไหนเราก็ต้องกลับมาเดินดินเหมือนกัน เก่งแค่ไหนเราก็ต้องอยู่กับคนให้ได้ เพราะทุกชีวิตหนีไม่พ้นกล่องสี่เหลี่ยมที่เรียกว่าโลงศพ ฉะนั้นทำดีไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่จริงๆ แล้วทำดีเพื่อละความชั่ว ปฏิบัติธรรมเพื่อกลับคืนสู่ธรรมที่แท้จริง อย่าหลงในกิเลส ในอำนาจ เพราะมันไม่มีอะไรถาวรเท่ากับความดีและคุณธรรมในใจเรา ไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาอาจารย์ ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาที่น่ากลัวคือศิษย์เชื่อในความดีตัวเองไหม ศิษย์ศรัทธาธรรมในตัวเองไหม บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เพื่อความสมบูรณ์ในลาภยศ แต่บำเพ็ญธรรมเพื่อค้นหาความสมบูรณ์ที่แท้จริงในใจตน ค้นหาความสมบูรณ์ที่งดงามในตัวตนที่มีอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยมุ่งมั่นทำให้ถึงที่สุด เหมือนอาจารย์ถาม ศิษย์ชอบคนใจดำอำมหิตหรือคนมีเมตตามีน้ำใจ (เมตตา)  แล้วเราเอาแต่รอหรือเราเป็นผู้กระทำ ลึกๆ ศิษย์ชอบคนซื่อตรงหรือคนตระบัดสัตย์
แล้วศิษย์ซื่อตรงหรือตระบัดสัตย์ แค่ศิษย์กลับคืนสู่ความเมตตาในใจ เมตตาให้ถึงที่สุด ซื่อตรงให้ถึงที่สุด เมื่อเราทำดีให้ถึงที่สุด พรุ่งนี้หรือวันนี้เดินออกไปฟ้าผ่าตายอาจารย์ก็ไม่กลัว เพราะอาจารย์ทำถึงที่สุดแล้ว แต่ทำไมในใจลึกๆ ศิษย์กลัวตาย เพราะศิษย์ยังไม่ดีพอ เพราะกลัวว่าตายแล้วตกนรก แต่นรกอาจารย์ก็ไม่กลัว เพราะอาจารย์ทำดีถึงที่สุดแล้ว และกล้ารับผิดรับชอบ แต่เรานั้นนรกก็กลัวสวรรค์ก็ขึ้นไม่ได้จริงไหม (จริง)
อายุก็ไม่น้อยแล้วยังอยากจะทำบาป เป็นผีพนันบอล เล่นหวยไฮโลอีกหรือ ยังอยากจะโลภโกรธหลงอีกหรือ ตายไปเอาไปไม่ได้ แล้วทำไมจึงไม่ทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม
พอเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูดไหม แล้วพอเข้าใจหนทางในการปฏิบัติธรรมบ้างหรือยัง (พอเข้าใจ)  ไม่ได้ยากเกินที่เราจะทำ แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องระมัดระวังมากที่สุดคือทำอย่างไรเราจะสามารถควบคุมใจเราให้อยู่ในธรรมได้ตลอดเวลา ฉะนั้นการมีสติการรู้เท่าทันความคิดจึงเป็นสิ่งที่เราต้องพยายามพึงมีไว้
ฉะนั้นถ้าเรามีสติรู้เท่าทันความคิดอยู่ตลอดเวลา การจะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่าอะไรที่ทำให้เรายังคงทุกข์อยู่ไม่จบสิ้น
(กิเลส ความโลภ ความอยาก ความไม่รู้จักพอ ความไม่รู้จักปล่อยวาง โลภ โกรธ หลง มีสติระลึกรู้อยู่ภายใน)  รู้คนอื่นไม่สู้รู้เท่าทันใจตน

(ความอยากได้อยากมี มีแล้วไม่รู้จักพอ)  เป็นกันทุกคนเลย มนุษย์จะหยุดโลภ หยุดวุ่นวายได้ ถ้าเรารู้จักพอ แต่คำว่า “พอ” ไม่ใช่ว่าให้ศิษย์ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ไม่ทำอะไร แต่เมื่อทำแล้วได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร เพราะพอใจในสิ่งที่มีแล้ว บางคนตีความหมายผิดว่า พอแล้วคือไม่ต้องทำอะไรนั้นไม่ใช่ ถ้าเรามีความสุขในสิ่งที่เราเป็น ได้หรือไม่ได้ก็ไม่ทุกข์ แต่คนในปัจจุบันมักไม่ค่อยพอใจ เมื่อได้มาอีกก็ยังไม่พอ จึงทุกข์ไม่จบสิ้น
วิธีหนึ่งที่จะทำให้ศิษย์สามารถปฏิบัติธรรมและเข้าถึงธรรมได้อย่างแรกคือ หนึ่งละบาป เพราะบาปเป็นเหตุแห่งทุกข์ โดยส่วนใหญ่ธรรมะสอนให้เรารู้จักให้ เวลาเราปฏิบัติธรรมศิษย์มักจะตรงข้ามกันคือไปเอามาก่อนแล้วค่อยให้ ซึ่งถ้าศิษย์จะปฏิบัติธรรมจำไว้เลยต้องให้มากกว่าเอา เพราะการให้จึงสามารถทำให้ศิษย์สร้างศีลสร้างคุณธรรมได้ แต่ถ้าศิษย์ไปเอามาก่อนแล้วค่อยให้มันจะสร้างอะไรได้ยาก
แต่ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นในทุกขณะที่ศิษย์ทำ สมมติว่า ถ้าศิษย์ได้ผลไม้จากอาจารย์มาแล้ว เป็นการสนองกิเลส เป็นความสะใจ เป็นความดีใจ อาจารย์ให้แล้วต้องรักษาโรคได้แน่เลย นี่คือการยึดติดผลบุญ มันไม่เป็นกุศล ถ้าเราได้มา เราสามารถสละออกได้ทันที เราให้โดยไม่รู้สึกเสียดาย นั่นแหละเป็นการกระทำด้วยการปฏิบัติธรรม แต่ถ้าเอามาแล้วกลายเป็นการยึดติดตัวตน เพื่อเรา ของเรา ก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ เพราะว่าถึงที่สุดแล้ว แม้แต่ตัวตนเราก็ยึดไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อศิษย์ยัง “ให้” ไม่ได้ก็เลยก่อเกิดจากที่จะกลับกลายเป็นธรรมก็จะกลายเป็นกรรมแทน นั่นเป็นเพียงแค่ “ขณะหนึ่ง” เองศิษย์ สมมติเมื่อศิษย์ซื้อแอปเปิลมา แม่ค้าบอกว่า อร่อย หวาน ซื้อหรือไม่ (ซื้อ)  แล้วถ้ากินแล้วไม่หวาน ไม่อร่อย โกรธหรือไม่ (โกรธ)  ตอนนี้นั่นแหละที่ศิษย์อยากให้เป็นธรรมหรือเป็นกรรม ถ้ากินแล้วไม่หวานไม่อร่อย ศิษย์ก็คิดว่าช่างมันเถอะ มันเป็นธรรมดา จากกรรมจะกลายเป็นธรรม แต่ถ้าคิดว่าเดี๋ยวเจอหน้าแม่ค้าจะกลับไปด่า กรรมก็เลยก่อเกิดเป็นวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากกินแล้วหวานอร่อยแล้วอยากอีก ไปซื้ออีก ก็ก่อเกิดเป็นกรรมเหมือนกัน แต่เรียกว่ากรรมดีที่ก่อเกิดเป็นวิบากกรรมที่อยากจะกินแอปเปิลอีก เมื่อสร้างกรรมมากๆ บางครั้งก็เรียกว่ากรรมดีบางครั้งก็เรียกว่ากรรมชั่ว เมื่อสร้างกรรมไม่ดีมากๆ ศิษย์ก็รู้สึกว่าอยากสร้างบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสร้างบุญเสร็จศิษย์ก็หนีไม่พ้น บุญนั้นอิงแอบไปด้วยหวังผล
แต่ถ้ากินเพื่ออยู่ อร่อยหรือไม่อร่อยไม่เป็นไรแค่นั้นจบ เจอหน้าก็ไม่ว่าแม่ค้า จะกลายเป็นกรรมไหม (ไม่)  แต่ทุกครั้งที่ศิษย์ได้อะไรมา อดจะยึดติดไม่ได้นะ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าศิษย์ได้อะไรมาแล้วไม่ตกมาเป็นกรรมที่ยึดติดแล้ววิบากกรรมที่ต้องแบกรับก็จะจบสิ้น สมมติอาจารย์ตีศิษย์ตอนนี้ ศิษย์จบไหม (ไม่จบ)  ง่ายๆ คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วลงนรก พ้นจากความคิดนั่นคือแก่นแท้แห่งธรรม เหมือนอาจารย์ตี ศิษย์คิดว่าจะได้หายเจ็บหายป่วยก็ยังเป็นการยึดติดในตัวตน ยังไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าอาจารย์ตีแล้ว ดีก็ไม่คิดชั่วก็ไม่คิด นั่นจึงเรียกว่าสภาวธรรม ว่างจากตัวตนที่ยึดติด ว่างจากตัวตนที่ปรุงแต่ง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจบในตัว ไม่มีกรรมต่อ แต่เราไม่ใช่ อยากได้อันนี้เพื่ออันนั้น ทำอันนี้เป็นอันนั้น มีอันนั้นเพื่อเป็นอันโน้น เกี่ยวกรรมกันไปเกี่ยวกรรมกันมา พอมีกรรมแล้วก็ต้องมานั่งสร้างบุญ แล้วบุญก็หนีไม่พ้นบาป แต่ถ้าทุกขณะที่ศิษย์ทำหน้าที่ถึงที่สุด ไม่ยึดติดไม่หวังผล วางลงจบลงทุกขณะ ทำอะไรจบเสร็จ แต่ถ้าไม่จบ ก็อย่างน้อยทำเต็มที่แล้วดีที่สุดแล้ว จะมีอะไรต่อไหม
ทุกขณะที่ศิษย์เจอ ศิษย์จะให้มันเป็นกรรมหรือเป็นธรรม เรากินเพื่ออยู่ หรือเราอยู่เพื่อกิน เรากินตามใจอยาก หรือเรากินเพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ ความหมายมันต่างกัน ถ้ากินตามใจอยาก ศิษย์ก็ยังสร้างกรรมเพื่ออยากกลับมากินอีก ทุกขณะมันเป็นตัวบ่งบอกเลยว่า เรากำลังสร้างกรรมเป็นชีวิต หรือสร้างชีวิตเพื่อพ้นกรรม แต่ปัจจุบันนี้เราสร้างกรรมเป็นชีวิตและเราก็มีชีวิตเพื่อใช้กรรม หนทางธรรมคือสร้างชีวิตเพื่อเข้าสู่ธรรมและลดละกรรม เข้าใจไหม ยากไหม
 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงพระโอวาท “ทำตนสายกลาง”)
เก่งเกินไปก็เหนื่อยใช่ไหม (ใช่)  แต่ว่าทำตัวไม่เก่งเลย แล้วปล่อยตัวเองเรื่อยเปื่อยก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์ปล่อยให้ตัวเองเรื่อยๆ ไม่ตั้งใจจะรับผิดชอบอะไร ไม่ตั้งใจที่จะมุ่งมั่นทำอะไร หรือไม่กล้าที่จะยืนหยัดทำอะไรได้แท้จริง แม้ศิษย์จะเดินอยู่ในงานธรรมะ เหมือนจะบำเพ็ญ แต่ศิษย์ก็ไม่ได้อะไรเข้าใจไหม เมื่อตั้งใจบำเพ็ญต้องกล้าแบกรับ เมื่อตั้งใจจะมุ่งมั่นฉุดช่วยคน ต้องกล้ายืนหยัดที่จะต่อสู้ ไม่ใช่โน่นก็ไม่กล้าทำนี่ก็ไม่กล้าทำ ที่สุดก็เลยไม่มีอะไรเป็นหลักที่เราจะทำได้สักอย่าง ศิษย์มาบำเพ็ญแต่ศิษย์กลายเป็นคนที่ไม่กล้ารับผิดชอบอะไรเลยก็ไม่ได้นะ เก่งเกินไปจะเหนื่อย รับผิดชอบเกินไปงานจะเยอะ ศิษย์กำลังใช้ชีวิตเพื่ออะไร กินอยู่หลับนอนแล้วก็สร้างกรรม หรือศิษย์ใช้ชีวิตเพื่อเข้าถึงธรรมและสิ้นกรรม ทุกวันนี้ศิษย์ทำและสะสมกรรมเพื่อเป็นชีวิตหรือศิษย์ทำเพื่อมีธรรมให้กับชีวิต ธรรมไม่ใช่อยู่ข้างนอก แต่แค่ศิษย์กลับคืนสู่ธรรมที่สมบูรณ์แล้วในใจ มีเมตตาในใจไหม ทำแล้วมีน้ำใจไหม เคยเห็นใจคนอื่นไหม ปฏิบัติหน้าที่เพื่อเงินเดือนหรือปฏิบัติหน้าที่เพื่อรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดีที่สุด
ความหมายนั้นต่างกัน ทำเพื่อเงินเดือนก็ทำสักแต่ว่าทำ ทำแบบขอไปที แต่ทำเพื่อทำหน้าที่ให้ดีที่สุดจะให้ความหมาย ให้ชีวิต เราทำด้วยความสุข ทำเต็มที่ ด้วยความซื่อตรง ด้วยความเต็มใจ คุณค่าก็กลายเป็นธรรมะ หากสักแต่ทำเพื่อรับเงินเดือน แล้วจะได้เอาเงินไปเที่ยวมันเป็นกรรม มันเป็นการสนองกิเลสนั่นไม่ใช่ธรรมะ ความหมายจึงต่างกัน เราเกิดมาก็เพื่อมาใช้กรรมแล้วนะ แล้วเรายังจะสร้างกรรมอีกหรือ ลองถามตัวเองดูให้ดี ถ้ายังยึดติดดีร้ายก็หนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว แต่ถ้าอะไรก็ไม่ตัดสิน มันก็คือความเป็นกลาง อาจารย์ถามจริงๆ คนที่ศิษย์เกลียดนักหนา แล้วบอกว่าเขาไม่ดีนั้น เขาไม่ดีจริงๆ ไหม คนที่ศิษย์หลงนักหนาว่าเขาดีนั้น เขาดีที่สุดไหม ไม่แน่นอนว่าใครสมบูรณ์ที่สุด ทำไมต้องเข้าใจธรรม เพราะเข้าใจธรรมเราจะไม่หลงใคร เพราะถึงที่สุดเขาก็เปลี่ยน
ฉะนั้นถ้าเรายึดหลักสัจธรรมความเป็นจริง จะมองเห็นทุกคน แล้วเราจะสามารถปลงตกคิดได้ โดยปกติของชีวิตเมื่อเราเกิดขึ้นเราต้องตาย เป็นความเป็นจริงที่เราหนีไม่พ้น ฉะนั้นเมื่อถึงที่สุดแล้วความเป็นจริงยังสอนอีกว่า เรามาคนเดียวเราก็ไปคนเดียว เรามาตัวเปล่าเราก็ไปตัวเปล่า เรามาจากความไม่มีเราก็กลับสู่ความไม่มี จริงๆ ชะตาชีวิตน่าจะเป็นแบบนั้น แต่ทำไมคนเราถึงไม่เป็นแบบนั้น เพราะว่าตัวของศิษย์นั้นยังยึดติดความมีตัวตน หนูเป็นแบบนั้น ผมเป็นแบบนี้ ผมชอบแบบนั้น ผมชอบแบบนี้ ผมเคยดีแบบนั้น ผมเคยดีแบบนี้ มันก็เลยก่อเกิดเป็นกรรมที่เกิดเป็นคำว่า “ตัวตน” เป็นผู้สร้าง มันก็เลยกลายเป็นว่าทั้งที่ชีวิตควรจะเดินไปตามความเป็นจริงแห่งสัจจะคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่มันไม่เป็นแบบนั้น ที่มันไม่เป็นแบบนั้นเพราะเรายึดว่า มีตัวผม มีตัวฉัน
และในตัวผมตัวฉันที่ศิษย์สร้าง ศิษย์ก็ยึดติดกับคำว่า ชอบ กับคำว่า ไม่ชอบ แล้วในตัวฉันก็มีคำว่า “ศิษย์ดีกับศิษย์ไม่ดี”  แล้วก็มีสิ่งที่เรียกว่าสุขกับทุกข์ถูกหรือไม่ ที่เรียกว่าความคิด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความคิดนี้สร้างตัวเราขึ้นมา แล้วตัวเราก็มาจากความคิด ความคิดนี้ก็แตกออกเป็นสองอันคือ คิดดีกับคิดไม่ไดี คิดดีก็ขึ้นสวรรค์ คิดชั่วก็ลงนรก ฉะนั้นคิดดีจึงเรียกว่ากรรมดี คิดชั่วจึงเรียกว่ากรรมชั่ว ทั้งที่จริงๆ แล้วชะตาชีวิตของเราถ้าเราสามารถเข้าถึงแก่นแท้ ความเป็นจริง แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นในคำว่าดีร้ายได้เสีย ไม่ตัดสินโลกว่าสุขหรือทุกข์ มองเห็นว่าเป็นธรรมเดียวกัน มันจะจบตั้งแต่ตรงนี้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ มนุษย์เห็นอะไรชอบตัดสิน เห็นอะไรชอบยึดติด เห็นอะไรชอบปรุงแต่ง เราอดปรุงแต่งไม่ได้ว่า อันนั้นสวย อันนั้นไม่สวย อันนั้นดี อันนั้นไม่ดี จึงก่อเกิดเป็นกรรมดีกับกรรมชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีขึ้นสวรรค์ ทำชั่วตกนรก แต่ถ้ามีทั้งดีและชั่วผสมกันก็จะขึ้นสวรรค์เสร็จแล้วลงมาใช้กรรมในนรกต่อ แล้วถ้ายังไม่สามารถลดตัวตนได้ ยังยึดติดใน สัญญา ความจำได้หมายรู้ ตัวตนนี้มีเมื่อใช้ผลของกรรมดีกรรมชั่วเสร็จก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก เพราะว่ายังไม่กลับคืนสู่ธรรม ฉะนั้นเราจะละยึดติดได้ก็ต่อเมื่อเราประจักษ์แจ้งในตัวตนว่า ตัวตนเราก็ไม่จริง เขาก็ไม่จริง
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมที่มีลักษณะต่างกันสองท่านมายืนด้านหน้าชั้นกับท่าน)
อาจารย์ตัวใหญ่หรือตัวเล็ก (ตัวเล็ก)  อยู่กับคนนี้อาจารย์ตัวใหญ่หรือตัวเล็ก (ตัวใหญ่)  นี่แหล่ะอาจารย์กำลังชี้ให้ศิษย์เห็นธรรมนะ เราพูดว่าเราอยู่ตรงนี้เราตัวเล็กกว่าเขาเยอะเลย เราสุข คนนี้อ้วน คนนี้ผอม ฉะนั้นถ้าศิษย์ยึดติดว่าศิษย์ตัวเล็ก จริงๆ ศิษย์เล็กไหม (ไม่เล็ก)  ฉันสุขฉันตัวเล็ก แต่พอไปอยู่ในอีกเหตุการณ์หนึ่งเราตัวเล็กไหม (ไม่เล็ก)  ฉันทุกข์ที่ตัวฉันใหญ่ แต่ถึงที่สุดแล้วธรรมะสอนว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง ไม่ดีไม่ร้าย ที่ร้ายเพราะความคิดยึดติด
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความจริงใครคือคนที่เราควรดีใจ ใครคือคนที่เราควรโกรธหรือเสียใจ อะไรที่ควรทำให้เราดีใจหรือเสียใจ
(พระอาจารย์เมตตาเปรียบเทียบผู้ปฏิบัติงานธรรมสองท่าน ที่มีรูปร่างแตกต่างกัน)
คนนี้ตัวอ้วนไหม แล้วมีคนที่อ้วนกว่านี้ไหม เขาคือคนที่อ้วนที่สุดและเขาควรทุกข์กับความอ้วนไหม ไม่ทุกข์ถ้ายังไม่มีโรคใช่ไหม ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจแก่นแท้ความเป็นจริงมันจะไม่ก่อเกิดกรรม มันจะไม่ก่อเกิดการยึดติดว่าสิ่งใดที่เราควรโกรธ สิ่งใดที่เราควรเกลียด สิ่งใดที่เราควรรัก เพราะทุกสิ่งล้วนคือความจริงที่ไม่มีความสมบูรณ์แท้ แต่ในความเป็นจริงนั้นมีความเป็นกลางอยู่ เหมือนเงยหน้าขึ้นไปมีคนใหญ่กว่าเราไหม ก้มหน้าลงไปมีคนเล็กกว่าเราไหม ทุกคนคือความเป็นกลางอันเป็นธรรมดา แต่มนุษย์เอาแต่มองบนจึงคิดแต่ว่าตนเองแย่ ถ้าเอาแต่มองล่างจึงคิดว่าตัวเองดี จริงๆ แล้วเราดีหรือเราแย่ เหมือนกับที่เราเกลียดเขา เรามองแค่เขาหรือเรามองทั่วไป ถ้ามองทั่วไปเขาอาจจะไม่ได้แย่ใช่หรือไม่ เมื่อไรที่เราประจักษ์แจ้งในสัจธรรม ดำเนินชีวิตเที่ยงตรงไม่ก่อบาปแล้ว ถ้าประจักษ์แจ้งในสัจธรรมมีหรือที่ศิษย์จะไม่พ้นทุกข์ แต่มันยากเพราะศิษย์ไม่เคยพิจารณาสิ่งใดให้ถึงแก่นแท้ มองอะไรก็มองผิวเผิน ทำอะไรก็มองอยู่แค่สิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่ตัวเองชัง แท้ที่จริงแล้วชอบชังมันไม่มีใช่ไหม
ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องรู้ได้ด้วยตัวเอง ตื่นได้ด้วยตัวเองและประจักษ์ชัดด้วยตัวเองสิ่งที่อาจารย์พูดในวันนี้ไม่สามารถทำให้ศิษย์ตื่นได้ เป็นแค่เพียงแนวทาง แต่ศิษย์จะปฏิบัติแล้วไปให้ถึงความสว่างไหมขึ้นอยู่กับตัวศิษย์เอง อาจารย์จะบอกว่าทุกก้าวคือการปฏิบัติธรรม เห็นแล้วจะเลือกกิเลสหรือเลือกธรรมะ เห็นแล้วจะมีกรรมหรือจะสิ้นกรรม เห็นแล้วจะมีธรรมหรือมีกรรม ถ้ามีกรรมก็ตัดสินดีหรือไม่ดี ชอบหรือไม่ชอบ อยากได้ไม่อยากได้ แต่ถ้าเห็นแล้วทำหน้าที่ได้ดีที่สุดหรือยังอายฟ้าดินไหม อายผู้คนไหม ถ้าไม่อายฟ้าไม่อายดินไม่อายผู้คนทำดีที่สุดแล้ว อะไรจะเกิดก็เกิดไม่ยึดติดนั่นคือการสิ้นกรรมตรงนี้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ห่วงสิ่งนั้นห่วงสิ่งนี้ห่วงกังวล ห่วงถึงที่สุดแล้วเขาจะเปลี่ยนแปลงตามเราไหม
มีแต่ทำตัวเองให้ดีที่สุด ถึงเวลาเราก็ดูแลเขาไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงเวลาเราก็เปลี่ยนใครไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตื่นรู้ในใจตน และมองเห็นความจริงที่เรียกว่าสัจธรรม มนุษย์จะพ้นทุกข์ได้บนโลกใบนี้ ไม่ต้องรอตื่นรู้ในชาติหน้า มันตื่นได้ในทุกขณะ เขาด่าเรา จะเอากรรมหรือเอาธรรม เขาโกงเรา จะสร้างกรรมหรือจะชดใช้กรรมแล้วมีธรรม เขารักเราแล้วอยากผูกกรรมหรืออยากสิ้นกรรม ฉะนั้นการเรียนรู้ชีวิตคือการเรียนรู้ความจริงแห่งธรรม

(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตหนึ่งสัจธรรม”)
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตหนึ่งสัจธรรม
  เมื่อดวงจิตเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ      ยังปรุงแต่งสร้างกรรมจะมลายสิ้น
อัตตาขาดจะว่างไร้ซึ่งมลทิน             ธรรมคืนถิ่นสัจธรรมอยู่ทั่วไป
  ในความมีคงอยู่ชั่วขณะ                ที่จะเที่ยงแท้หาไม่
ที่สุดก็ต้องว่างไร้                          ชัดในแก่นธรรมแท้จริง
ไม่เที่ยงใครอยากโลภหลง                เป็นทุกข์ยากปลงยากยิ่ง
ว่างเปล่าในตัวตนจริง                    สามสิ่งแก่นแท้สัจธรรม
วันนี้อาจารย์คงต้องกลับแล้วนะ ได้คำว่าอะไร “จิตหนึ่งสัจธรรม” จิตหนึ่งนั้นก็คือสัจธรรม สัจธรรมนั้นก็คือจิตหนึ่ง เมื่อดวงจิตเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ เมื่อไรที่จิตตรงเที่ยงกับความเป็นจริง บาปกรรมมันจะไม่มี เมื่อไหร่ที่จิตยังเอนเอียงไปสู่ความอยากได้ใคร่มี ดีร้าย ได้เสีย เมื่อนั้นศิษย์จะไม่มีวันพบ
สัจธรรม ศิษย์จะยังหนีไม่พ้นเวรกรรม

ในคำที่ศิษย์วง จะมีคำว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า คือแก่นแท้ของความจริง สามสิ่งนี้คือแก่นแท้ของสัจธรรม ชีวิตนี้เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  เป็นทุกข์ไหม (เป็นทุกข์)  ว่างเปล่าไหม (ว่างเปล่า)  แล้วควรหรือที่จะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราและของเรา (ไม่ควร)  แล้วมีอะไรเป็นของเรา (ไม่มี)  มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ติดกันมากก็คือ กรรม แต่ถ้ายังไม่เข้าถึงธรรม ก็หนีไม่พ้นกรรม เอาไปพิจารณานะ อย่าปล่อยให้ชีวิตผ่านไปวันหนึ่งๆ ลองเอาทุกข์มาเป็นบันไดคืนสู่ธรรม
อันนี้เป็นปริญญาบัตรที่ศิษย์ในชั้นนี้ร่วมกับอาจารย์ทำดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นจิตหนึ่งก็คือสัจธรรม ทุกสิ่งล้วนมีจิตหนึ่งเดียวกัน นั่นคือความเป็นจริงอันหนีไม่พ้น ฉะนั้นเป็นศิษย์อาจารย์จี้กง อย่ากลัวตาย อย่ากลัวเจ็บ
แต่กลัวเวรกรรมที่ศิษย์สร้างแล้วศิษย์หนีไม่พ้นต่างหากจริงไหม เพราะมันจะทำให้ศิษย์ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ฉะนั้นก่อนทำอะไรไตร่ตรองในศีลในธรรม อย่าผิดบาป อย่าสร้างบาป อย่าตกเป็นทาสอบายมุขและบาปกรรมในโลกนี้เลย ฉะนั้นมีสติรู้ตื่นให้เท่าทันใจตนเองจะได้เข้าใจชีวิตแห่งธรรมะ ถ้าวันนี้เข้าใจก็จบในวันนี้ได้ ลองไตร่ตรองดูนะ เราไม่ใช่ปฏิบัติธรรมแค่ทำบุญใส่บาตร สวดมนต์ฟังธรรม แต่ต้องเอามาปฏิบัติแล้วตื่นรู้ในใจตนเองให้แท้จริง เพราะธรรมแท้จริงไม่ได้อยู่ที่ภายนอกแต่อยู่ที่ภายใน เริ่มต้นจากการปฏิบัติเป็นคนให้สมบูรณ์ ปฏิบัติต่อเพื่อนต่อพ่อแม่ต่อพี่น้องให้สมบูรณ์ แล้วการรู้แจ้งธรรมก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่กลัวอย่างเดียว อดใจไม่ไหว ห้ามใจไม่อยู่ ผลสุดท้ายคนที่ต้องรับผลของการอดใจไม่ไหว ห้ามใจไม่อยู่ไม่ใช่ใครแต่คือตัวศิษย์เอง กรรมไม่ว่าจะเดินทางไปไกลแค่ไหนมักจะย้อนกลับมาหาผู้กระทำเสมอ ไม่เคยบิดพลิ้ว ไม่เคยผิดเพี้ยน ฉะนั้นเมื่อไรที่ต้องเจอในสิ่งที่คาดไม่ถึงก้มหน้ายินดีขอบคุณที่ได้ใช้กรรม และจะไม่สร้างกรรมอีก ด้วยจิตใจที่รู้ผิดชอบชั่วดีได้หรือไม่ (ได้)  พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรยากหยั่งรู้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่เสียทีที่เกิดมา มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก บุญรักษา ธรรมรักษานะศิษย์เอย บุญรักษา ความดีรักษานะ
ทำให้ได้นะ ตั้งใจนะ รักษาบุญ บุญรักษานะ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง มีศีลมีธรรม ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้องนะ กำลังใจอาจารย์มีให้เต็มเปี่ยม แต่ศิษย์ของอาจารย์กำลังใจเต็มเปี่ยมหรือเปล่า เข้มแข็งไหม มุ่งมั่นถึงที่สุดหรือยัง ศิษย์เอยป่วยก็ต้องรักษา กล้าหาญรับความจริงแค่นั้นเอง เข้มแข็ง เป็นลูกศิษย์อาจารย์อย่าอ่อนแอ เราแค่ทำให้ดีที่สุดเพราะบางอย่างเราห้ามไม่ได้ ขอเพียงแค่ศิษย์เข้มแข็ง แค่ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดแล้วยอมรับความจริงในสิ่งที่มันเกิด หมั่นกราบพระ เผื่อจะทำให้บุญนี้ส่งให้เขาเกิดการเปลี่ยนแปลง สู้นะ อารมณ์ควบคุมได้หรือยัง ยังขี้โมโห ยังเอาแต่ใจไหม ควบคุมตัวเองให้ดีระวังอารมณ์ ระวังความหลง ฟังรู้เรื่องนะ ทำให้ได้นะ ถ้ามีโอกาสมาอุทิศเสียสละช่วยเหลือผู้คน
รู้เรื่องหรือเปล่า รักษาชีวิตให้ดี ระมัดระวังความคิดและอารมณ์นะ บุญรักษา ความดีคุ้มครอง มีโอกาสตั้งใจบำเพ็ญ เสียสละตนเองฉุดช่วยผู้คน อย่าปล่อยให้ชีวิตเปล่าไร้นะ เข้มแข็งนะ มุ่งมั่นนะ ไปให้ถึงที่สุด เรามีธรรมเป็นที่พึ่ง เรามีธรรมเป็นหนทางแห่งความสว่าง พึ่งธรรมดีกว่าพึ่งตัวตนนะ เพราะตัวตนมันหลอกเราให้เราเจ็บปวดให้เราทุกข์ แต่ธรรมคือความเป็นจริงมันย้ำเตือนเสมอว่าอะไรก็ถือไม่ได้ อะไรก็ยึดไม่ได้ มีแต่สภาวธรรมที่ว่างไร้เท่านั้นที่จะทำให้เรากลับคืนสู่ความสงบ ลองคิดไตร่ตรองให้ดี ทำอะไรไตร่ตรองให้ดีให้จงหนัก ชีวิตมีทางเลือก เลือกในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดก่อนที่จะไร้ทางเลือกและต้องจำใจอยู่กับสิ่งที่ตัวเองสร้างมันขึ้นมา ลองคิดดูให้ดีนะศิษย์เอย


วันจันทร์ที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑                           สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง

  ศรัทธาในความถูกต้องอันดีงาม        จึงจะนำสู่หนทางบุญกุศล
แต่หากไร้ศรัทธาธรรมในตน             ย่อมนำตนสู่อบายทุคติไป
ศรัทธาแต่อย่าไร้ซึ่งปัญญา               หมั่นศึกษาเพียรอุตส่าห์รู้นำใช้
สักวันย่อมประจักษ์แจ้งตื่นรู้ใจ           เกิดความเย็นสงบในชีวิตตน
                                เราคือ
  เสี่ยวผีเซียนถง                    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามเมธีทุกท่าน สบายดีไหม

เดือนดาวจ้องมองดูเรา ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด ใต้แสงแห่งธรรมฉายส่อง ท่านต้องบำเพ็ญให้มั่นใจ
ไม่มีสุขทุกข์ใด...ยั่งยืน ตื่นเถิดใจนี้ รักษาทุกวันให้ดี จงอย่าได้ไร้ปัญญา
* ที่มองที่เห็น ที่เป็นทุกอย่าง อะไรที่ทำทุกข์ใจ ไม่ปลงไม่พ้น รีบปลงไม่สาย ปัญหาหามาถือไว้เอง
เมื่อยังไม่ถาม เจ้าท่านลืมหรือเปล่า ความคิดอย่าได้แค่คิด ทบทวนด้วยใจ กันด้วยธรรม เห็นด้วยธรรม สุขที่ใจ คล้ายวิมาน

ทำนองเพลง: หนึ่งคำที่ล้นใจ
ชื่อเพลง : ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด

พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
ชีวิตบางทีอย่าไปคิดอะไรยุ่งยาก อย่าไปทำอะไรซับซ้อน ง่ายๆ แล้วมีความสุขดีกว่า ถือตัวถือตนยึดนั่นยึดนี่คนที่ทุกข์ก็คือเรา คนที่ทุกข์ก็คือคนรอบข้าง แต่ถ้าเราวางได้บ้าง ปล่อยได้บ้าง ง่ายๆ แต่มีสุข ย่อมดีกว่ายากแล้วมีแต่ทุกข์ใจ เหมือนถามท่านลึกๆ ท่านชอบคนใจกว้างหรือคนใจแคบ ท่านชอบคนใจดีหรือคนใจร้าย ท่านชอบคนเห็นแก่ผู้อื่นหรือเห็นแก่ตนเอง (เห็นแก่ผู้อื่น)  ท่านชอบคนมีน้ำใจหรือแล้งน้ำใจ (มีน้ำใจ)  แล้วสิ่งที่ท่านทำเป็นอย่างไร ชีวิตก็เหมือนกับการขว้างบอล ท่านเคยเล่นบอลไหม ขว้างแรงบอลก็เด้งกลับมาแรง แต่ถ้าเราขว้างเบาก็เด้งกลับมาเบาๆ หรือแทบจะไม่มีแรงกลับมา เหมือนกันถ้าท่านขว้างสิ่งที่ดีไป จะไม่มีสิ่งที่ดีตอบกลับมาหรือ เราถามใจเราเองอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ว่าเราขว้างให้เขาไปดีจากใจเราที่สุดแล้วใช่ไหม เราให้เขาเต็มที่จริงๆ ใช่ไหม เราทำโดยไม่หวังผลเรียกร้องใช่ไหม
ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวในมนุษย์ไม่ใช่โลภ โกรธ หลง แต่สิ่งที่น่ากลัวในมนุษย์คือ ความยึดติดในตัวตน ความยึดติดในตัวตนที่ทำให้เราทำดีไม่ค่อยขึ้นนั่นก็คือ ยอมไม่ค่อยเป็น แพ้ไม่ค่อยได้ เสียไม่ค่อยมี เรื่องอะไรฉันต้องยอมก่อน เรื่องอะไรฉันต้องให้ เรื่องอะไรฉันต้องดีก่อน เธอยังไม่ดีเลย แต่ถ้าเกิดว่าในโลกมีแต่คนแบบนี้เต็มไปหมด แล้วเมื่อไรในบ้านเรา ในสังคมเราจะมีคนดีที่กล้าทำดีอย่างไม่หวั่นไหว ถ้าคนดีขาดความกล้าหาญ คนดีขาดความยืนหยัดทะนงตนในความดี แล้วเราจะมีคนดีในโลกที่แท้จริงไหม
บางอย่างบางเรื่องบางที มันไม่เหมาะไม่ใช่ แต่ถ้าไม่ลำบากเกินไป ถ้าเรายอมอดทนได้ แล้วทำให้ทุกคนมีความสุข บางทีก็ต้องยอมบ้าง ถ้าตามใจตัวเองแล้วทำให้คนที่เขาเตรียมและตั้งใจให้เรามา แล้วเราไม่ชอบ ทำให้เขาไม่สบายใจ สู้เราฝืนใจตนเองแล้วทำให้คนตรงข้ามมีความสุขได้ มันก็ไม่เสียหายอะไร ฉะนั้นสุขทุกข์มันอยู่ที่ว่า ยอมหรือไม่ยอม ยอมเพื่อคนอื่นบ้าง ยอมถอยเพื่อให้คนอื่นได้บ้าง ยอมถอยเพื่อให้คนอื่นมีสุขบ้าง ยอมเสียเพื่อให้คนอื่นได้บ้าง ถ้าทำแบบนี้ได้ คนเช่นนี้จะมีใครไม่รักบ้าง คนเช่นนี้ถ้าทำจนถึงที่สุด เขาจะไม่มีคุณธรรมในใจหรือ ยอมได้ก็ยอม ให้ได้ก็ให้ ให้เขากินอิ่มเรากินน้อยหน่อยไม่เป็นไร เขาได้หัวเราะเราก็ได้หัวเราะตามที่เขาหัวเราะ เราก็ไม่เป็นไร แต่สังคมปัจจุบันนี้ หรือแม้แต่ตัวเราทุกวันนี้ยอมไหม หนทางยอมดีกว่าหนทางไม่ยอม เพราะจิตมักจะไหลลงต่ำ และจิตที่ไหลลงต่ำ แล้วบอกว่าไม่ยอม ไม่อยากเสีย ไม่อยากให้ มันก่อผลเป็นกิเลส อารมณ์ และความยึดติดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ใจที่รู้จักยอม ใจที่รู้จักให้ ใจที่รู้จักไม่เคืองโกรธ ใจที่รู้จักอดทนในสิ่งที่ยากทน เรากลับพบหนทางสว่าง หนทางแห่งการเปิดใจกว้าง หนทางแห่งความเย็น หนทางแห่งความสงบ ถ้าบอกว่าไม่ยอม เหมือนท่านมาฟังธรรมวันนี้ ในใจเราจะไม่ทำแล้ว จะกลับแล้ว แข็งไปดื้อไปเราก็เจ็บ คนที่พามาเขาก็เจ็บทั้งที่เขาก็รักเรานะ อยากให้เราได้ดี
ฉะนั้นถ้ามีคนแข็ง แต่อีกคนหนึ่งยอม โลกก็สมดุล แต่ถ้าต่างคนต่างแข็งก็มีแต่ชนกันเจ็บ ฉะนั้นชีวิตก่อนจะทำอะไร คิดอย่างหนึ่ง เราแนะนำง่ายๆ ถามตัวเองง่ายๆ มันกำลังไหลลงต่ำหรือมันกำลังไหลขึ้นสูง ถ้าสิ่งที่ทำไหลลงต่ำแล้วกลายเป็นความเคยชิน กลายเป็นนิสัย กลายเป็นอารมณ์ มันดีหรือไม่ (ไม่ดี)  แต่ถ้ายอมแล้วกลายเป็นความเบิกบาน กลายเป็นความเมตตา กลายเป็นคนอภัย กลายเป็นความสันติ กลายเป็นความร่มเย็น กลายเป็นความสมัครสมาน ยอมหรือไม่ (ยอม)  อดทนสักนิดหนึ่ง เหมือนพระพุทธะกล่าวว่า ถ้าทำดีแล้ว ถึงขนาดต้องน้ำตานองหน้า ถึงขนาดต้องเจ็บนิดๆ ในใจ ท่านบอกให้ฝืนทำเถอะ เพราะสุดท้าย ที่สุดของคนทำดีคือความสงบเย็น แต่คนที่ดื้อดึงดันทุรัง เอาแต่ชนเอาแต่แข็ง ไม่ยอม ผลสุดท้ายคือความโดดเดี่ยว ไม่มีใครรัก ไม่มีใครสนใจ จริงหรือไม่ (จริง)  เลือกเอานะ อยากมีสวรรค์บนดินหรืออยากมีนรกบนดิน แล้วทุกวันนี้ทำสวรรค์หรือทำนรกในบ้าน แค่ไม่ยอมก็จุดไฟเผาตัวเอง แต่ถ้ายอมเราก็เปลี่ยนไฟเป็นน้ำเย็นดื่มชื่นใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าอยากมีความสุข ท่านต้องเข้าใจว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าสุขแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามาศึกษาธรรมปฏิบัติธรรมแล้ว จะต้องถูกล็อตเตอรี่ อุบัติเหตุไม่มี เจ็บป่วยไม่มี เป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายคนคิดว่าไหว้พระ ทำบุญ ทำดีต้องไม่เจอเรื่องอัปมงคล เป็นไปได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ธรรมะสอนเรื่องความเป็นจริงและเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริงด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ธรรมะสอนให้เราเรียนรู้เข้าใจความเป็นจริง และมีภูมิต้านทานความจริงที่ยากเกินรับมือ ธรรมะสอนให้เราเข้าใจทุกข์และอยู่กับทุกข์โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ ฉะนั้นต้องเข้าใจให้ถูก ความจริงที่แท้คือ ในโลกนี้ไม่เคยมีสุข มีแต่ทุกข์ แต่จะทุกข์มากหรือทุกข์น้อย หรือไม่มีทุกข์เท่านั้นเอง
พระพุทธะกล่าวไว้ว่า “อย่าถือท่านเป็นสรณะ แต่ให้ถือธรรมแห่งความเป็นจริงเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง” เพราะคำว่าตัวคนหรือตัวบุคคล มีวันเปลี่ยนแปลง มีวันสูญสลาย แต่ความเป็นจริงแห่งโลกอยู่ค้ำฟ้าดิน ไม่ว่าคนจะเปลี่ยนไปกี่ยุคกี่สมัย ความจริงนั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นผู้ที่ยึดถือความเป็นจริงเป็นที่พึ่งย่อมพบทางสว่าง พบทางที่แท้จริง เหมือนเราถามท่านว่า ท่านเคยสูญเสีย เคยเจ็บปวด เคยทุกข์ไหม (เคย)  แล้วยังจำสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่นที่ทำร้ายตัวเองอยู่อีกไหม
ถ้ายังจำได้แปลว่ายังอยากเจอเขาอีก แต่ถ้าไม่จำแล้วแปลว่าจบกันแล้ว ไม่เจอกันอีก ฉะนั้นควรจำหรือควรลืม (ควรลืม) เพราะยิ่งจำเราก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งยึดเราก็ยิ่งเจ็บ แล้วเราควรจำหรือควรยึดไหม (ไม่ควรยึด) ในเมื่อผ่านไปแล้ว โลกนี้ผ่านแล้วก็ผ่านไป เราจะยึดทำไมให้เจ็บปวด แล้วเราเคยผ่านแล้วผ่านไปไหม
เราถามท่านนะ ธรรมแห่งความเป็นจริงอะไรที่ช่วยทำให้เราพอจะดับทุกข์ในใจเราได้บ้าง (ขันติ, อุเบกขา, มโนธรรม, ความสุข, ความเมตตา, อดทนและอดกลั้น, ให้อภัย, วางเฉย) แปลว่าท่านยังไม่เข้าถึงความจริงแห่งธรรมนั้น ถ้าท่านทำด้วยใจอันเต็มร้อย ทำด้วยความเข้าใจอันเต็มเปี่ยม จะก้าวผ่านความทุกข์นั้นไปได้อย่างแท้จริง
เวลาเราโดนด่า โดนว่า เคยวางใจเป็นกลางได้จริงๆ ไหม เวลาโดนว่าจริงๆ เราสามารถเมตตาเขาได้ไหม เราสามารถให้อภัยเขาได้ไหม เราไม่เคยทำได้ ถ้าคิดไม่ยอมก็โกรธแล้วก็ด่าในใจ หรือมีโอกาสก็แอบไปนินทา แล้วก็จบลงที่ความทุกข์ กับอีกทางหนึ่ง ย้อนกลับไปคิดว่า เขาว่าถูกไหม ถ้าว่าถูกก็ขอบคุณ เราผิดจริงไหม ถ้าผิดจริงเจอหน้าใหม่ก็ขอโทษ ว่ากันด้วยเหตุผลและความเป็นจริง แต่ถ้ายังหาความจริงไม่ได้ เราก็ควรคิดว่าตามใจตัวเองไม่ดี ตามธรรมะดีกว่า เพราะธรรมะเป็นที่พึ่งที่สงบเย็นที่สุด และคิดว่าเขาเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนกันต้องการความจริงใจ ถ้าเขาเป็นผู้ใหญ่กว่าเรายังเคารพให้เกียรติเขาไหม ถ้าเขาอ่อนวัยกว่าเรายังเมตตารักเขาได้ไหม ถ้าเขาเป็นน้องแต่เขาว่าเรา ถ้าเรายังรักษาธรรมได้ เราก็ผ่านด่านได้ เราก็พบความสุขได้ นั่นคือข้อหนึ่ง แต่เมื่อผ่านด่านมาได้เรื่องหนึ่ง มันก็ยังไม่สามารถล้างใจเราได้ ถ้าท่านเข้าใจธรรมะ ธรรมะจะสอนว่า ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อม สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดก็พร้อมที่จะพร่องที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดก็พร้อมที่จะมีโอกาสพร่องได้เหมือนกัน ถ้าเราเอาธรรมะนี้มาคิด ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม แม้แต่เราก็ไม่พร้อม เขาก็ไม่พร้อม หรือไม่มีใครดีที่สุด คิดได้เช่นนี้ยังต้องพยายามอดทนไหม
อย่าใช้แค่อารมณ์ อย่าใช้แค่ความรู้สึก เพราะอารมณ์ความรู้สึกไม่เที่ยง แต่เอาความจริงมาใช้ ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม ไม่มีใครดีจริง ไม่มีใครร้ายจริง ลองนำมาใช้จะช่วยขจัดปัดเป่าแล้วเกิดความปล่อยวางและปลดปลงได้ เราถามจริงๆ ใครสมบูรณ์พร้อม ใครดีที่สุด หรือพูดง่ายๆ มีใครในโลกไม่เคยโดนด่ายกมือขึ้น มีใครในโลกไม่เคยโดนนินทายกมือขึ้น ฉะนั้นมันเป็นความจริงอันเป็นธรรมดาของโลก เมื่อไรที่เราเอาตัวเราเข้าไปยึด เข้าไปเกาะกุม เราจึงมองไม่เห็นความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาของโลก อย่างนั้นเมื่อถึงเวลาโดนด่าก็ให้เราหัวเราะว่า โดนด่าบ้างแล้ว ได้ไหม แล้วห้ามไม่ให้โดนด่าได้ไหม (ไม่ได้) อายุมากขนาดนี้ยังโดนด่า โดนนินทาได้เลยจริงไหม แล้วถ้าเราเข้าใจว่า เป็นธรรมดา เป็นเช่นนั้นเองเราจะทุกข์ไหม แล้วทำไมต้องมองเป็นทุกข์เรื่อยเลย เมื่อมีโดนด่าแล้วมีใครไม่เคยโดนชมไหม (ไม่มี) ทั้งโดนชมและโดนด่าก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราเข้าใจความเป็นธรรมดาของโลกเราจะทุกข์ไหม เพราะความทุกข์ไม่ได้แปลว่า เศร้า เหงา ซึม ตาย แต่ความทุกข์คือสิ่งที่ทำให้เราทนได้ยากและต้องแปรเปลี่ยนไป ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ความทุกข์สอนให้เรารู้ว่า สรรพสิ่งล้วนต้องแปรเปลี่ยนไป ถ้าเกิดถึงเวลาเราสูญเสียทุกข์ไหม ถ้าท่านมองธรรมดาได้ท่านก็ปลดทุกข์ได้เยอะเลย เพราะเป็นธรรมดาที่เป็นความจริงของโลก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัจธรรม หรือเรียกให้สูงขึ้นมาหน่อยก็คือ โลกธรรม[๑]ทั้งแปด เรารู้แล้วว่ามันเป็นธรรมดา แล้วทำไมเราถึงไม่ยอมธรรมดา ฉะนั้นสิ่งที่ทุกข์ไม่ใช่คำโดนว่า แต่สิ่งที่ทำให้ทุกข์คือ ใจที่ไม่ยอมรับความเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเกิดท่านไม่อยากทุกข์ ท่านต้องยอมรับความเป็นธรรมดาให้ได้ก่อน ถ้ายอมรับได้ ความทุกข์ก็ปลดปลงไปได้เยอะเลย จริงหรือไม่ (จริง) อย่าวิ่งไปตามความรู้สึก ดึงความรู้สึกขึ้นมาแล้วมองตามธรรมะ เพราะความรู้สึกนั้นง่ายที่จะไหลลงต่ำ และง่ายที่จะดึงให้ใจเราแย่มากกว่าที่จะดึงให้ใจเราสูงขึ้น เมื่อมีความทุกข์แล้วรู้สึกเศร้า เหมือนตัวคนเดียว รู้สึกหดหู่ใช่หรือไม่ (ใช่) แย่ไหม (แย่) มีอะไรดีขึ้น (ไม่มี) แล้วอยากจมอยู่ในนั้นหรือไม่ (ไม่อยาก) แล้วทำไมชอบคิดให้ทุกข์ (มันเป็นธรรมดา) มันไม่ธรรมดา เพราะไม่มีธรรมะไหนที่บอกว่า การคิดให้ตัวเองทุกข์นั้นมันเป็นธรรมดา มีพระธรรมบทไหนบอกบ้างว่า การคิดให้ตนเองทุกข์ แล้วจมอยู่ในความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา มีหรือไม่ (ไม่มี) มีแต่ว่า การโดนว่า มีสุขมีทุกข์ มีได้มีเสียเป็นธรรมดา ถูกหรือไม่ (ถูก)
เราสูญเสียเราทุกข์ไหม มีบ้านไหนไม่เคยสูญเสียบ้าง (ไม่มี) ไม่ว่าจะเสียลูก เสียเงิน เสียสามีหรือภรรยา เสียพ่อแม่หรือคนที่เรารัก เราทุกคนเคยสูญเสียทั้งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก่อนมาเราเคยมีใครหรือไม่ (ไม่มี) ดังนั้นแค่กำลังกลับไปสู่ความไม่มี เราแค่กลับไปสู่ที่เดิม ถูกหรือไม่ (ถูก) เมื่อก่อนเราเคยมีญาติ มีพ่อแม่หรือไม่ (ไม่มี) แล้วมีอะไรในโลกที่ได้มาแล้วไม่เสียไป (ไม่มี) ถ้ามีความรู้สึกแล้วทำให้ทุกข์ ทำให้เราแย่ ทำไมไม่ลองมีธรรมะมาทำให้เราคิด แล้วทำให้เราพ้นทุกข์ ระหว่างมีความรู้สึกกับมีธรรมะ ท่านว่ามีอะไรดีกว่า (ธรรมะ) ชีวิตเราเหมือนมีดาบสองอัน อันหนึ่งคือความรู้สึก แล้วกลายเป็นกิเลสอารมณ์ อีกอันหนึ่งคือธรรมะความเป็นจริง แล้วกลายเป็นพ้นทุกข์
เราเคยดึงธรรมะด้านนี้ออกมาบ้างไหม ทำไมไม่ลองดึงออกมาและพิจารณาจนแจ่มแจ้งพ้นทุกข์ เรามาตัวคนเดียว เรามาจากความว่างเปล่า เราแค่กลับไปสู่ความว่างเปล่าเหมือนเดิม ซึ่งเราไม่ได้เสียอะไร แต่เราแค่กำลังกลับไปเหมือนเดิม ความว่างคือที่สุดของความจริง ความมีคือการมีแค่ชั่วขณะหนึ่ง หาใช่มีแท้จริงไม่ เพราะถึงที่สุดทุกสิ่งก็คือว่าง ฉะนั้นเรากำลังเสียใจอะไร เรากำลังเสียอะไร เราไม่เคยเสียเพราะเราไม่เคยมี ความมีแค่ชั่วคราว และถ้าเกิดเราเสียไป ขออย่างเดียวอย่าเสียศูนย์ที่ใจของเรา ถ้าอยากพบความสงบในใจลองนำธรรมะมาใช้บ้าง ดีหรือไม่ (ดี)
ถามจริงๆ นะท่านมาฟังธรรมะเพื่อแค่ฟัง หรือท่านมาฟังธรรมเพื่ออยากมีธรรมบ้าง ถ้าคนอยากมีธรรมจริงๆ ต้องกระตือรือร้นที่จะใช้ธรรมะ แต่พอเราพูดเรื่องธรรมะท่านก็ไม่เข้าใจ เพราะเราถูกปลูกฝังมาว่า ถ้าอยากปฏิบัติธรรมอยากมีธรรมะก็แค่ทำบุญ สวดมนต์ไหว้พระแค่นั้นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จริงๆ แล้วแก่นธรรมไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่แก่นแท้ของธรรมอยู่ที่ภายใน เราถามท่านลึกๆ นะ ว่าท่านชอบคนดูถูกไหม (ไม่ชอบ) ชอบคนใจร้ายไหม (ไม่ชอบ) แล้วทำไมเราไม่มีเมตตา แล้วทำไมเราไม่รู้จักเคารพให้เกียรติ แล้วทำไมเราไม่รู้จักซื่อตรงจริงใจ แล้วทำไมเราไม่รู้จักมีน้ำใจไมตรี แล้วทำไมเราไม่รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาปใช่หรือไม่ (ใช่)
จงยั้งคิดก่อนจะทำสิ่งใดว่า สิ่งที่ตัดสินใจนั้น สิ่งที่พูดออกไปนั้น สิ่งที่คิดที่ทำนั้น ตามอารมณ์ตามใจ หรือตามคุณธรรมความถูกต้อง ความหมายจะต่างกัน ชีวิตจะต่างกันเลย คนหนึ่งมุ่งมั่นทำแต่ความถูกต้อง มีความเมตตา ความซื่อตรงเป็นหลัก รู้จักให้เกียรติเคารพผู้อื่น แต่อีกคนหนึ่งเอาแต่ใจเอาแต่อารมณ์เอาแต่นิสัยตัวเอง ความหมายมันต่างกัน จริงหรือไม่ (จริง) วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ท่านต้องถามตัวเองว่า อยากจะกลับไปเดินเหมือนเดิมหรือจะเดินสู่ทางที่ถูกต้องที่แท้จริงให้กับชีวิต เรามีความงามเรามีความดีอยู่ในใจ แล้วเราเคยเอาความดีความงามนั้นออกมาจากใจแล้วใช้มันอย่างเต็มที่บ้างหรือยัง เมตตาอย่างสุดจิตสุดใจ จริงใจอย่างสุดจิตสุดใจ เคารพผู้อื่นอย่างสุดจิตสุดใจ ไม่เคยโกรธเคืองใครอย่างสุดจิตสุดใจ เพราะเข้าใจความเป็นจริงว่าในโลกไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม
ไม่มีใครดีที่สุด เอาแค่นี้ไม่ต้องยาก แล้วเราจะโกรธใครไหม หรือพูดง่ายๆ คือใจเขาใจเรา เราเคยร้ายไหม เราเคยด่าคนไหม เราเคยโกงคนไหม ถ้าเราเคยร้าย เราเคยด่า เราเคยโกง เราไม่เข้าใจคนเคยร้าย เคยด่า เคยโกงหรือ มันเป็นธรรมดาของมนุษย์ เมื่อเขายังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว เขามีสิ่งที่ดีที่สุด ไยจึงเลือกสิ่งที่ไม่ดี
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง หนึ่งคำที่ล้นใจ ชื่อเพลง ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด)
เรามองเหมือนธรรมะไกล แต่เมื่อไรที่เราเข้าใจธรรมะ ธรรมะนั่นแหละคือจิตเดิมแท้ในใจเรา ธรรมะไม่เคยห่างไปจากใจ แต่อยู่ที่ว่าเมื่อไรตัวท่านจะคิดเอาธรรมะมาเป็นตัวเอง เอาแต่อารมณ์เอาแต่นิสัย มันก็ได้แต่ความทุกข์ วิบากกรรม และสังสารวัฏ แต่ถ้าเอาธรรมมาเป็นตัวเป็นตน ท่านก็จะกลับคืนสู่ธรรม พ้นทุกนิรันดร์ ถามใจท่านเองว่าจะเลือกธรรมะหรือนิสัยอารมณ์
ชีวิตนี้ไม่มีอะไรยาก ถ้าใจเราสู้และตั้งใจจริง ธรรมะไม่ใช่เรื่องยากที่จะปฏิบัติ ขอเพียงอุทิศเสียสละตัวเอง ลดความยึดมั่นถือมั่นและตั้งใจจริง ลดความเคยชิน ลดการตามใจตัว และเอาธรรมะออกมาใช้ให้กับผู้คน เราอยากได้เพื่อนแท้ เราอยากได้มิตรแท้ เราอยากได้คนรอบข้างน่ารัก แล้วทำไมจึงไม่เอาธรรมะให้เขา เอาอารมณ์ใส่กันก็มีแต่เจ็บ เอาจิตใจเด็กๆ ใส่เข้าไปในใจบ้าง มันจะได้ใส
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาห้องผู้ร่วมฟัง)
ไหว้เราไม่มีประโยชน์ สู้นำสิ่งที่เราบอกไปประพฤติปฏิบัติจะดีกว่า ฝึกจิตใจให้สะอาด ฝึกความคิดให้บริสุทธิ์ เมื่อใจสะอาด ความคิดบริสุทธิ์ กิเลสตัณหาก็จะกลายเป็นธารน้ำอันใสเย็น แต่ถ้าเมื่อไรความคิดยังไม่สะอาด ยังไม่บริสุทธิ์ กิเลสตัณหาก็คุกรุ่นทำร้ายใจเราได้ แม้นไม่มีเรื่องแต่ถ้าเราคิดร้ายก็กลายเป็นเรื่อง แม้นมีเรื่องแต่ถ้าเรารู้จักคิดให้ดี คิดให้เป็น คิดตามความเป็นจริง เรื่องก็สามารถสลายได้ แต่คิดอย่างไรถึงจะทำให้เราเป็นสุข นั่นคือคิดอย่างคนมองตามความเป็นจริง โดนด่าได้ โดนโกงได้ เจ็บได้ สูญเสียได้ แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องเข้าใจธรรม ว่าในใจเราไม่เคยมีอะไรสูญเสีย ไม่เคยมีอะไรเจ็บ เพราะใจเราเข้าถึงความว่าง ถ้าโดนว่ายังเจ็บแปลว่าเรายังยึด เมื่อยึดก็หนีไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าโดนว่าแล้วยังยิ้มได้ ไม่เจ็บ แล้วเข้าใจ แล้วขอบคุณ แล้วขอโทษ นั่นคือสุดยอดของการบำเพ็ญธรรม เพราะอายุก็หลายแล้ว ถ้าป่านนี้ยังปลงไม่ได้ก็ไม่รู้จะปลงตอนไหนแล้วจริงไหม (จริง)
ไม่มีสิ่งใดทำเราทุกข์และเจ็บนอกจากใจเราที่ไม่ยอมรับความจริง แล้วบีบให้ตัวเองยิ่งเจ็บ ทุกข์มาเยอะแล้ว เจ็บมาก็เยอะแล้ว เสียก็เยอะแล้ว แต่ความเป็นจริงของธรรมะสอนให้เรารู้ว่า แท้จริงเราไม่เคยเสียอะไร ไม่เคยเจ็บอะไร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือความว่าง คนที่ยึดคือคนที่อยากทุกข์ แต่คนที่เข้าถึงธรรมและเข้าถึงความว่างคือคนที่อยากพ้นทุกข์ ฉะนั้นบำเพ็ญแล้วอย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวตาย อย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวสูญเสียเพราะเราไม่เคยมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เมื่อไม่มีแล้วเราจะเจ็บอะไร เมื่อว่างแล้วเรากำลังทุกข์อะไร เราทุกข์เพราะความหลงผิดที่เรายึด แล้วอะไรในโลกที่ยึดได้บ้างใช่หรือไม่ (ใช่) บอกว่าอย่าแก่ก็แก่ บอกว่าอย่าเจ็บก็เจ็บ แล้วเราควรจะทุกข์กับสิ่งนั้นไหม (ไม่ทุกข์) ทำให้ได้นะ เพราะสิ่งที่สำคัญนอกเหนือจากสังขารนั่นคือ จิตเดิมแท้ว่างจากตัวตนผู้ยึดถือ ว่างจากเจ้าของ ไม่ต้องการเจ้าของ ต้องการแค่ธรรมะ ทุกชีวิตล้วนกลับสู่ธรรมะ ฉะนั้นนำธรรมเป็นตัวตน อย่าเอาตัวตนเป็นอารมณ์เป็นนิสัยมันมีแต่ทุกข์ แล้วเมื่อเข้าใจแล้วจงนำธรรมะนี้ส่งต่อให้ผู้คน ให้เขาได้ตื่น ให้เขาได้รู้ รับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดี และเอาเวลาที่หลังจากรับผิดชอบหน้าที่ได้ดีแล้วไปช่วยคน ชีวิตจะได้มีค่ามีความหมายมากยิ่งขึ้น ไม่ได้เกิดมามีลมหายใจเพื่อตัวเอง แต่ยังมีลมหายใจเพื่อช่วยคน ได้หรือไม่ (ได้) มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกัน
(มีนักเรียนในชั้นลุกขึ้นถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระทีปังกรพุทธเจ้ามาจากไหน เพราะคำสอนมาจากพระศากยมุนีพุทธเจ้า)
พระทีปังกรคือก่อนพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระพุทธองค์ท่านตื่นรู้ในคำสอนอันเดียวกับท่านทีปังกรพุทธเจ้า การตื่นรู้ธรรมไม่ใช่ตื่นรู้ที่ท่านมาชี้ แต่ท่านแค่มาสืบต่อและก็รับช่วงต่อในธรรมนั้น ท่านถึงบอกว่า “อย่าถือตัวท่านเป็นสรณะ แต่ให้ถือธรรมแห่งความเป็นจริงเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ” ไม่ต้องสงสัยเยอะเพราะสงสัยแบบนั้นไม่ทำให้ท่านพ้นทุกข์ สิ่งที่จะทำให้ท่านพ้นทุกข์คือปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือยัง ปฏิบัติต่อผู้คนได้ดีหรือยัง และเข้าถึงความเป็นจริงได้ดีหรือยัง สงสัยผู้อื่นไม่ช่วยอะไร ไม่สามารถทำให้ท่านพ้นทุกข์ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้คือในจิตของเราเป็นเนื้อนาบุญ ถ้าหมั่นหย่อนเมล็ดพันธุ์ธรรม สักวันถ้าจิตนิ่งพอธรรมนั้นจะก่อเกิดคำตอบขึ้นมาเองด้วยใจ เหมือนที่พระพุทธองค์ได้รู้คำตอบด้วยตัวเอง อย่าเอาแต่ถามผู้อื่นเพราะธรรมแท้ต้องค้นหาในใจ
มั่นใจๆ รักษาตัวเองให้ดีนะ ขอให้บุญรักษา ขอให้ธรรมรักษา แต่อย่าให้อารมณ์ทำร้ายชีวิต ไตร่ตรองให้ดีอย่าให้อารมณ์ชั่ววูบทำร้ายตัวเองนะ สู้ๆ วันนี้เราถือโอกาสสั้นๆ มาผูกบุญสัมพันธ์กับท่าน ย้ำในความเข้าใจแห่งการปฏิบัติธรรมว่า จงเลือกธรรมนำชีวิตแต่อย่าเลือกอารมณ์และความคิดต่ำนำพาชีวิตเลย ฉะนั้นก่อนจะทำอะไรไตร่ตรองให้ดีว่ามีเมตตาธรรมไหม ดูถูกผู้อื่นหรือเปล่า เบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่ ซื่อตรงจริงใจหรือเปล่า คนอื่นทำเราไม่ต้องไปสนใจ แต่ขอตัวเราปฏิบัติต่อเขาอย่างจริงใจ เพราะในโลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุและผล ถ้าเราสร้างเหตุดีไม่ต้องกลัวว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าเราสร้างเหตุไม่ดีนั่นสิต้องมานั่งทุกข์ใจ เพราะเราต้องรับผลกรรมที่ตัวเองสร้าง ฉะนั้นเลือกปฏิบัติให้ถูกธรรมอย่าถูกใจ เพราะบางครั้งถูกใจตามมาด้วยกิเลสและอารมณ์ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แต่ถ้าถูกธรรมจะตามมาด้วยความแจ่มแจ้งชัดเจนและพบทางสว่างที่มีแต่ให้โดยไม่เรียกร้องหวังผลใดๆ นั่นแหละเรียกว่าบุญแท้กุศลจริง ปฏิบัติได้ในทุกคนและทุกขณะ ดีกว่ารอแค่ที่วัดกับพระ กับใครก็ให้ได้ ให้ด้วยความจริงใจ ให้ด้วยความเมตตา ให้ด้วยความเคารพ ให้ด้วยความรักและจริงใจ
อารมณ์นิสัยเบาๆ บ้างนะ บางคนอายุก็ไม่น้อยแล้ว เหมือนที่มนุษย์เรารู้ ในโลกนี้มีอยู่สองขั้ว ขั้วหนึ่งมืดอีกขั้วหนึ่งสว่าง แต่ในความมืดก็มีข้อดี ในความสว่างบางทีก็มีข้อร้าย แต่เราเป็นผู้อยู่ระหว่างมืดและสว่าง ในโลกก็เหมือนกันมีทั้งคนดีและร้าย เราอยู่ระหว่างกลางเราจึงต้องรักษาใจตัวเองให้มั่นคง และอยู่ร่วมกับเขาให้สันติสุขให้ได้ ร้ายก็ไม่เกลียด ดีก็ไม่หลงรัก เมื่อนั้นแหละคือความเป็นกลาง ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมะแท้คือเดินสายกลาง อะไรก็ไม่เกลียด อะไรก็ไม่รัก มีแต่ความเข้าใจ และก็เข้าใจ และก็เข้าใจ เมื่อใจไม่ยึดติด ดีร้าย ได้เสีย ไม่แบ่งแยก เราก็จะพบความจริงอันเป็นกลางที่เรียกว่า “ธรรมะ”
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก รักษาโอกาส ฟังธรรมะเยอะๆ เพื่อจะได้เกิดปัญญา เรียนวิชาอื่นตายไปแล้วก็ลืม แต่เรียนวิชาธรรมะ ไม่ว่าต้องตายกี่ภพกี่ชาติ ปัญญาแห่งการตื่นรู้จะนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้ในทุกภพทุกชาติ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตหนึ่งสัจธรรม”
    เมื่อดวงจิตเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ      ยังปรุงแต่งสร้างกรรมจะมลายสิ้น
อัตตาขาดจะว่างไร้ซึ่งมลทิน                ธรรมคืนถิ่นสัจธรรมอยู่ทั่วไป
    ในความมีคงอยู่ชั่วขณะ                 ที่จะเที่ยงแท้หาไม่
ที่สุดก็ต้องว่างไร้                            ชัดในแก่นธรรมแท้จริง
ไม่เที่ยงใครอยากโลภหลง                  เป็นทุกข์ยากปลงยากยิ่ง
ว่างเปล่าในตัวตนจริง                      สามสิ่งแก่นแท้สัจธรรม


แก้ไขเพลงพระโอวาทที่พระอาจารย์เมตตาให้ไว้ ณ สถานธรรมไท่อิน เมื่อวันที่ ๒-๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑   

จากเดิม หัดโง่ไว้แล้วจะทำให้สบาย แก้เป็น หัดโง่แล้วจะทำให้สบาย
จากเดิม เก่งแค่ไหนไม่มีสุขเท่านั้น แก้เป็น เก่งแค่ไหนไม่มีสุขก็เท่านั้น
จากเดิม กอบกรรมบำเพ็ญ แก้เป็น กอบกำบำเพ็ญ
จากเดิม ศิษย์ต้องรู้ชีวิตทำอะไร แก้เป็น ศิษย์ต้องใช้ชีวิตทำอะไร
จากเดิม แก้ไขคิดทันรวดเดียว แก้เป็น แก้ไขคิดทำพรวดเดียว

การเป็นคนที่เก่งอยู่อย่างนั้น อาจกลายเป็นคนที่เหนื่อยจับขั้วหัวใจ หัดโง่แล้วจะทำให้สบาย เก่งแค่ไหนไม่มีสุขก็เท่านั้น
* ไม่กลายเป็นคนเรื่อยเปื่อยอยู่อย่างนั้น กอบกำบำเพ็ญทั้งหอบกอบธรรมหายไป ศิษย์ต้องใช้ชีวิตทำอะไร ต้องเข้าใจต้องรู้เรื่องจริงที่แท้นั้นคือ
** เจ้าไม่ต้องเก่งแต่รู้จักทำ กุศลต้องสร้างประจำเสกสรรด้วยมือ ห้ามไม่ค่อยอยู่เหตุผลนั้นคือ ศิษย์ต่างก็ถือความคิดตนด้านเดียว (ซ้ำ * / **)
ศิษย์ต้องใช้ชีวิตทำอะไร ต้องเข้าใจต้องรู้เรื่องจริงที่แท้นั้นคือ (ซ้ำ ** / **)
ศิษย์เหนื่อยบ้างไหม แก้ไขคิดทำพรวดเดียว
ทำนองเพลง พูดไม่ค่อยเก่ง
ชื่อเพลง ทำตนสายกลาง



[๑] โลกธรรม : ธรรมที่มีประจำโลก, ธรรมดาของโลก มี ๘ อย่าง คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ
เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554

2554-06-18 สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา


西元二〇一一年 歲次辛卯五月十八日    仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๔ สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่
   อาจดูเศร้าที่ต้องพรากจากสิ่งที่รัก อาจยากหักจิตใจที่ทุกข์ขม
อาจยากชินชากับความเจ็บไข้ตรม แต่ทุกปมคือชีวิตเห็นแจ้งใจ
เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา  ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

    คนยุคก่อนไยจึงมีคุณธรรมกว่า ก็เพราะว่าเชื่อกฎแห่งกรรมใช่เงิน
คนปัจจุบันทำผิดยังกล้าสู้หน้าเกิน สุขเพลินเพลินไม่มีคำว่าผิดไป
การคิดเพื่อคุณธรรมใช่ใช้เหตุผล แต่ใช้สำนึกอันแยบยลเป็นผู้ไข
คมปัญญาย่อมเผยทางที่ไม่ทั่วไป คนโบราณจึงเกริกเกรียงไกรตราบนานเท่านาน
อันกายที่สำแดงธรรมคือมนุษย์ผู้ดี อันใจที่สำแดงธรรมคือมนุษย์แห่งสวรรค์
สร้างบุญวาสนาคุณผู้บำเพ็ญตัวด้วยทาน เมตตาธรรมนำสู่การมีบารมีสุดประมาณ
คนใหญ่ยิ่งด้วยรู้จริงตัวแห่งเรา ขัดจิตเงาออกคุณูปการรากใจของท่าน
น้ำแห่งฐานรากของกระดูกปฏิบัติพยายามนั้น คือคุณอันอนุตตรธรรมเริ่มจากมนุษยธรรม
จะบำเพ็ญจริงจะยากก็ดูไม่ยาก เป็นแหล่งหลักเป็นประพฤติฐานจิตสูงล้ำ
คือคุณธรรมคือธรรมคือมนุษย์ผู้ทำ แล้วมีกรรมแล้วพ้นกรรมด้วยตัวเอง

โลกมีภัยฟ้าลงช่วยคนทำเฉย ติดชินเคยความมีกิเลสทำอวดเก่ง
ไม่เป็นไม่รู้ยังทำใจนักเลง ยามทุกข์เศร้าใจวังเวงคลายไม่เป็น
ชอบเรียนรู้ทำอย่างไรก็ไม่รู้ เพราะไม่รู้ใจตัวเองมองไม่เห็น
สว่างนอกใจบอดมืดจ้องก็ไม่เห็น ฝึกบำเพ็ญหมั่นขัดเกลาให้สงบจิตใจ
ฮา ฮา  หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลี่เถียไกว่
โอกาสดีที่ได้ฟังสิ่งที่ดี หรือดีที่ต้องอดทนอดกลั้น (ดีทั้งสองอย่าง)  ไม่เคยเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ร่างกายพิการใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ก็ได้เห็นแล้ว  ฉะนั้นเป็นโอกาสที่ดี  ขึ้นชื่อว่าชีวิต สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นย่อมมีดี ถ้าเรารู้จักคิดให้เป็น ถ้าเราคิดไม่เป็น สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็อาจจะไม่มีอะไรดีเลย รู้สึกว่ามาฟังสองวันนี้เป็นการตัดสินใจที่จะต้องฝึกฝนตัวเอง  อย่างแรก ที่วันนี้ได้คือความ (อดทน) 
วันนี้ที่ยอมมานั่งฟังจนจะครบหนึ่งวัน ได้ความอดทนแล้วก็ยังได้ความรู้จักเสียสละ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครๆ ก็อยากเข้าห้องน้ำ แต่ห้องน้ำมีจำกัด  แล้วคนก็ไม่อยากลงไปข้างล่าง บางครั้งใครที่ไหวก็ต้องยอมเสียสละให้ผู้สูงวัยได้อยู่ข้างบน  และเราผู้มีอายุน้อย ลงไปเข้าข้างล่าง  แล้วเราเสียสละหรือเปล่า เราได้อดทนไหม (อดทน)  จริงหรือ  เห็นบอกป้าๆ เดี๋ยวๆ ให้หนูก่อน 
ชีวิตนี้กว่าจะเกิดเป็นคนก็เป็นเรื่องยาก กว่าเราจะมีโอกาสได้เกิดมาเป็นคน เราอาจจะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องยาก แต่จริงๆ แล้วยากแสนยาก  เมื่อเป็นคนแล้วก็ต้องดำรงตนให้ดีก็ยากยิ่งกว่า  ฉะนั้นชีวิตมีแต่ความยากลำบาก ถ้าเรายอมแพ้ไปเสียตั้งแต่ต้น เราก็จะไม่รู้จักชีวิตที่แท้จริง  แต่ถ้าเราไม่ยอมแพ้ยังอดทนสู้ต่อไป เราอาจจะได้เข้าใจความหมายชีวิตที่ยิ่งใหญ่ก็เป็นได้  แล้ววันนี้เข้าใจชีวิตที่ยิ่งใหญ่บ้างหรือยัง  ขึ้นชื่อว่าชีวิตไม่ใช่ว่าจะมีวันดีได้ทุกๆ วัน  บางครั้งก็โชคดี บางครั้งก็โชคร้าย แล้วเราจะอยู่กับโลกใบนี้ได้อย่างไร ก็มีแต่ทำจิตใจให้เข้มแข็ง เปิดใจกว้างยอมรับกับความเป็นจริงที่แม้จะเลวร้ายเพียงใดก็ตาม  เราจึงจะฟันฝ่าชีวิตให้ผ่านไปได้วันๆ หนึ่ง 
ฉะนั้นวันนี้ที่ท่านพูดว่าท่านนั่งลำบาก วันนี้มีคนลำบากกว่ายืนอยู่ตรงนี้  แถมจะต้องเดินไปให้รอบห้อง  ฉะนั้นอย่าคิดว่าเราลำบากคนเดียว  ในโลกนี้ถ้าเราเปิดใจให้กว้าง เราจะรู้ว่ายังมีคนลำบากกว่า อย่าคิดว่าเราแย่คนเดียว  ถ้าเราเปิดใจให้กว้าง เราจะมองเห็นว่าในโลกนี้ยังมีคนที่ยังแย่กว่าเรา
แต่ในทางกลับกันก็อย่าได้หยิ่งผยองว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ เพราะคนที่เก่งก็ยังมีคนที่เก่งกว่า คนที่ฉลาดก็ยังมีคนที่ฉลาดกว่า ถึงเราจะแก่แต่ก็ยังมีคนที่ (แก่กว่า) แล้วจะกลัวทำไม ฉะนั้นใครบอกว่านั่งแล้วเมื่อย นั่งแล้วเจ็บ ลองมายืนแบบเรา อะไรเจ็บกว่า มีขาให้รู้จักเจ็บปวดยังดีกว่ามีขาแต่ไร้ความรู้สึกเจ็บปวด มีชีวิตให้รู้จักเรียนรู้ทุกข์สุข  ดีกว่าไร้ชีวิตแล้วไม่รู้จักทุกข์สุขอะไรเลย อะไรมีค่ากว่ากัน มีขายังเจ็บได้ แต่ถ้ามีขาแต่ไม่เจ็บ ดีไหม (ไม่ดี)  ก็มันมาอย่างนี้แล้วเราก็ต้อง (อดทน)  ไม่ต้องอดทน เราก็ต้องสู้กับมันไป ทำไมต้องอดทนเพราะนี่ก็ขาเรา แม้ขาหนึ่งจะรู้สึก แต่ขาหนึ่งไม่รู้สึก แต่มันก็เป็นขาเรา ใช่ไหม (ใช่)  ดีกว่าไม่มีขา  อย่าคิดว่าในโลกนี้จะมีตัวเองเท่านั้นที่ทุกข์ มีตัวเองเท่านั้นที่แย่ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงยังมีคนที่แย่กว่าเรา ยังมีคนทุกข์กว่าเรา ถ้าเราคิดได้อย่างนี้ เราก็จะมีกำลังใจ ใช่ไหม (ใช่) 
เรารักชีวิตไหม (รัก) เรารักตัวเองไหม (รัก)  แล้วถ้าเกิดความเป็นจริงแห่งชีวิตทำให้เราต้องทุกข์ ความเป็นจริงแห่งชีวิตทำให้เราต้องเจ็บ ความเป็นจริงแห่งชีวิตทำให้เราต้องเศร้า เรายังอยากจะมีชีวิตอยู่ไหม (อยาก)  เราเห็นคนบางคนพอพบความพลัดพราก ความผิดหวัง รักชีวิตก็รัก แต่พอเวลาพบกับเรื่องแบบนี้เข้าก็ขอยอมตายเสียดีกว่า
ผิดหวังกับลูก ตายเลยดีไหม ไหนบอกว่ารักชีวิตไง รักชีวิตไหม (รัก) แปลว่าคนที่รักชีวิตอย่างแท้จริงคือต้องรับให้ได้ในทุกๆ สิ่งที่เรียกว่าชีวิต แม้จะต้องอกหักก็ (ยอมรับได้) แม้จะต้องล้มละลายก็ (ยอมรับได้) ตอนนี้พูดกับเราก็รับได้ แต่พอถึงเวลาผูกคอตายดีกว่า ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) เป็นบ้าเลย
เมื่อก่อนเราก็ร่างกายปกติ แต่เพราะเราสามารถบำเพ็ญจนถอดจิตญาณได้ เราจึงไปเที่ยวสวรรค์ แล้วเราก็ฝากลูกศิษย์ให้ดูแลร่างกายเรา เมื่อครบกำหนดถ้าหากเราไม่กลับมา เราบอกเขาว่าให้เผาร่างเราไปเลย แต่เผอิญว่า ลูกศิษย์เราเขามีเรื่องด่วน ยังไม่ทันครบกำหนดแต่เขามีธุระที่จะต้องไปทำอย่างอื่น เขาเลยเผาร่างเราทิ้ง พอเรากลับมา เราเข้าร่างไม่ได้ เราไม่มีร่างให้เข้า เราโกรธไหม เรารับได้ไหม เราไม่โกรธ เรารับได้ เราต้องไปหาร่างใหม่อยู่ ถึงแม้ว่าร่างใหม่จะอัปลักษณ์ จะพิการอย่างไรก็ตาม แต่เราก็ต้องเลือกที่จะอยู่กับร่างนี้ให้ได้ เพราะมีชีวิต มีร่างกายยังจะสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ที่ประเสริฐได้มากมายแต่หากว่าไร้ชีวิตแล้วเราแก้ไข เราเปลี่ยนแปลงอะไรอีกไม่ได้แล้ว
ฉะนั้นถ้าหากชีวิตต้องพบเรื่องทุกข์ เรื่องผิดหวัง เรื่องหมดตัว ขอให้รับให้ได้ เพราะนั่นคือ ส่วนหนึ่งของชีวิต  ถ้ามีชีวิตแม้จะผิดหวัง แม้จะหมดตัว แม้จะล้มเหลว ชีวิตก็ยังทำให้เราเริ่มต้นใหม่ได้ แต่หากผิดหวัง ล้มเหลว แล้วเราฆ่าชีวิตทิ้ง เราแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่เราคือผู้แพ้ตลอดชีวิต
แม้จะเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ลองฟังดูหน่อยก็ไม่เสียหายอะไรใช่หรือไม่  อย่าเพิ่งรังเกียจกันเลย แม้ตัวเราจะดูน่ารังเกียจแต่ขอให้ใจท่านอย่าเกลียดเราก็พอ ได้หรือไม่
 ธรรมะบางครั้งเรารู้สึกว่าเหมาะสมกับคนที่กำลังทุกข์ คนที่กำลังแย่ เหมาะสำหรับคนที่พ่ายแพ้ ล้มเหลวในชีวิต ส่วนคนที่มีความสุข ธรรมะดูไม่เหมาะ  ฉะนั้นธรรมะเหมาะทั้งคนที่มีสุขและมีทุกข์ โดยเฉพาะคนที่มีความสุขก็อย่าได้ประมาทคิดว่าตัวเองไม่ทุกข์ เพราะว่าถึงแม้ว่าเราจะสุขขนาดไหน แต่เรามั่นใจหรือว่าเราจะไม่ทุกข์เลย ไม่มีทางที่จะสุขได้ตลอดหรอก และเราจะมั่นใจหรือไม่ว่า ธรรมะมีก็ได้ ไม่มีก็ได้ และทำไมเราต้องมีธรรมะ เพื่อเป็นเครื่องปรุงใจ เพื่อเป็นเครื่องควบคุมจิตใจ เพื่อเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เราประพฤติผิด และธรรมะทำให้เรานั้นต่อสู้กับความเป็นจริงบนโลกนี้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง สุขุมและรู้จักควบคุมตัวเองให้เป็น
ถ้าหากเราถามท่าน มนุษย์เราในโลกนี้ทุกข์เพราะเรื่องอะไรหรือ และเคยถามตัวเองไหม (ความโลภ, ความหลง)  มนุษย์ส่วนใหญ่ทุกข์เพราะรับไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลง ถามจริงๆ ถ้าวันหนึ่งท่านต้องเป็นแบบเรา ท่านจะทุกข์ไหม (ทุกข์, ไม่ทุกข์)  จะทุกข์ทำไม เพราะใครๆ ก็ต้องเจ็บ ใครๆ ก็ต้องป่วย ฉะนั้น สาเหตุที่ทุกข์อีกอย่างของมนุษย์ก็คือ ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงแล้วก็ยึดมั่นถือมั่นอย่างตายตัว แล้วมีใครบ้างในโลกนี้ เกิดแล้วไม่เจ็บ เจ็บแล้วไม่ตาย ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งท่านต้องเป็นแบบเรา ทุกข์ไม่ทุกข์ (ไม่ทุกข์)  และถ้าเป็นแบบเราแล้วต้องตาย ทุกข์ไม่ทุกข์ (ไม่ทุกข์)  จริงหรือ (จริง)  อย่ารอให้เราบอกแล้วถึงทำใจได้ ถ้าถึงเวลาชีวิตพบเจอกับชีวิตจริงๆ ชีวิตพบเจอกับความเปลี่ยนแปลงจริงๆ คนที่จะดึงใจให้พ้นทุกข์ได้ ไม่ใช่สิ่งสักดิ์สิทธิ์ แต่คือตัวท่านเองที่มีสติปัญญา และรู้จักเอาธรรมไปใช้ อย่าเอาธรรมไปแค่ ฟังทะลุหูซ้ายแล้วออกหูขวา อย่าเอาธรรมะมาฟังแค่สองวันกลับบ้านแล้วเหมือนเดิม แต่ ต้องเอาธรรมไปใช้กับชีวิตให้ได้ เพราะธรรมจะช่วยบำรุงเลี้ยงชีวิต ธรรมจะช่วยทำให้เรารู้จักรับกับความเป็นจริงของโลกนี้ได้อย่างเข้มแข็ง และต่อสู้ก้าวต่อไปด้วยความอดทน และมองเห็นความจริง

(ผู้ดำเนินรายการนำนักเรียนในชั้นเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่ง)  ส่วนใหญ่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้นั่ง แล้วถ้าเราไม่นั่งท่านจะยืนกับเราไหม จริงหรือ (จริง)  เราคงไม่ใจร้ายพอ  แม้เราจะทุกข์ เราก็คงไม่ทำให้ท่านต้องทุกข์กับเราหรอก  แม้เราทุกข์แต่ทำให้ผู้อื่นสุขย่อมประเสริฐ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
  คนโบราณเชื่อกฎแห่งกรรม เชื่ออย่างแนบแน่นฝังจิตใจ  แต่คนปัจจุบันนี้เชื่อกฎแห่งกรรมไหม  เชื่อแต่เรื่องกฎแห่งเงิน   ใครมีเงินมากกว่าเป็นพระเจ้า ใครมีอำนาจมากกว่าเป็นนาย  แต่คนที่เชื่ออย่างนั้นล้วนหนีไม่พ้นวังวนแห่งนรก และความทุกข์ทน  แต่คนที่เชื่อกฎแห่งกรรม เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว  ถึงที่สุดแล้วเขายังได้ไปสู่สวรรค์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือไม่สู่สวรรค์ อย่างน้อยก็สุขใจตนที่ได้ทำสิ่งที่ดี ถึงแม้จะมีคนเห็น หรือไม่เห็นก็ตาม
เหมือนถามว่าหนึ่งชีวิตที่เราเกิดมา ทุกครั้งที่เราสามารถหลับตาแล้วเราไม่กลัวอะไร ก็เพราะว่าเรารู้สึกว่าเรายังเป็นคนดีคนหนึ่งในโลก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าวันหนึ่งเราจะนอนแต่เราหลับตาไม่ลง เพราะว่าเรายังดีไม่พอ  จะออกไปก็ไม่รู้ว่าจะรอดไหม   แต่เชื่อเถิดว่าคนที่ทำดีไม่ว่าจะอยู่หรือออกไป เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร อย่างน้อยชีวิตนี้ฉันก็ยังมีดีที่ได้ทำ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าตลอดชีวิตมาเราไม่เคยทำดีเลย อยู่ก็กลัว ไปก็กลัว
 มีชีวิตต้องรู้จักคิดอย่างคนที่มีคุณธรรม ไม่ใช่คิดอย่างคนที่โลภ โกรธ หลง แล้วเราคิดแบบไหน คิดอย่างคนมี (คุณธรรม) คนมักจะบอกว่าอยู่ให้รอดไปวันๆ ก็พอแล้ว ดีไม่ดี ไม่เป็นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่ต้องรับผลของการพูดว่าชั่งมันคือใคร (ตัวเราเอง)  แล้วเรารับไหวไหม (ไม่ไหว) พุทธะจึงกล่าวไว้ว่าฟ้าทำให้เราโชคร้าย หรือคนทำให้เราเจ็บปวด แท้ที่จริงฟ้าต้องการให้มนุษย์เห็นความยุติธรรมว่าใครหว่านเมล็ดพันธุ์อะไร คนนั้นก็จะได้รับผลของการกระทำนั้น ปัจจุบันเป็นอย่างไร เป็นเพราะอดีตที่ทำมา แล้วเราอยากกำหนดอนาคตให้ดีไหม (อยาก)  ฉะนั้นต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะถ้าเราทำไม่ดีก็เท่ากับว่าเรากำลังปูทางอนาคตแห่งตัวตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าบอกว่าเขาทำร้ายเรา บางทีเป็นเพราะว่าเราไปทำเขามาก่อน วันนี้เรากำลังใช้คืน
พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่าผู้ใดทำความยากลำบากให้ผู้อื่น ผู้นั้นก็คือคนที่ทำร้ายตัวเอง ผู้ใดที่รู้จักช่วยผู้อื่น ผู้นั้นก็คือผู้ที่รู้จักช่วยตัวเองยิ่งนัก เมื่อยามเรามีชีวิตอยู่เรายอมเขาไหม เราอภัยเขาไหม เมื่อเราไม่ยอม ไม่อภัย เราก็คือคนที่ผูกใจเจ็บผูกเวรผูกกรรม แปลว่าการที่เราไม่ยอมให้อภัยเขา เท่ากับว่าเราอยากกลับมาเจอเขา ใช่ไหม วันนี้เขาทำเรา เราผูกใจเจ็บ วันหน้าเราทำเขา เขาผูกใจเจ็บ แล้วเราต้องเจอกันกี่ครั้ง อยากเจอหลายครั้งหรือ (ไม่)  วันนี้เขาทำเราเจ็บ ทำเราขาหัก เราผูกใจเจ็บต่อดีไหม เราไม่ต้องอภัย เราไม่ต้องเมตตา เราใช้ความโกรธเลย ผูกเก็บไว้ในใจ จำไม่ลืม ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วในใจทำไมเก็บไว้เต็มหมดเลย ถามว่าความดีมีอะไรบ้าง จำไม่ได้ แต่ใครทำชั่วขนาดไหน จำได้หมด ฉะนั้น ยิ่งจำก็แปลว่ายิ่งอยากเจอ ยิ่งจำแปลว่ายิ่งอยากไปก่อเวร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราไม่จำ เราให้อภัย เราคือคนที่จบเวรจบภัย
ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าชีวิตไม่ใช่แค่สุขหรือทุกข์ แต่อาจจะสุขหรือทุกข์ไม่จบสิ้นได้ถ้าเรายังผูกใจเจ็บ ไม่ให้อภัย อยากผูกใจเจ็บไหม (ไม่อยาก)  อยากเจอเขาอีกไหม (ไม่อยาก)  จะได้แก้แค้นไม่ดีหรือ (ไม่ดี)  สิ่งที่มนุษย์ต้องทุกข์อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะความยึดมั่นถือมั่น ท่านรู้ไหมว่าแม้สิ่งที่ไม่มีชีวิตก็ยังผูกใจท่านได้ แม้สิ่งที่ไม่มีรูปร่างก็ยังขังท่านได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และแม้สิ่งมีชีวิตตัวเล็กนิดเดียวก็ยังทำท่านเจ็บปวดได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นมนุษย์ก็คือผู้ที่สรรหาทุกข์ตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ จริงไหม (จริง) แล้วเราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร เชื่อไหมว่าสิ่งที่ไม่มีชีวิต ขนเส้นเดียวก็ทำให้เรา (เจ็บ) ทุกข์ไหม (ทุกข์)  แค่เห็นหงอกเส้นเดียว ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เห็นไหมสิ่งไม่มีชีวิตยังทำให้เราทุกข์ได้ ง่ายๆ เห็นตีนกาหนึ่งอัน เจ็บไหม (เจ็บ)  เจ็บปวดไหม แก่แล้ว สิ่งที่ไม่มีชีวิตยังทำให้เราทุกข์ได้เพราะอะไร ฉะนั้นเราศึกษาธรรมเราต้องเข้าใจว่ามนุษย์ทุกข์มาจากไหน ถ้าเราไม่เข้าใจต้นเหตุแห่งทุกข์ เราจะดับทุกข์ได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้นเหตุแห่งทุกข์มาจากหนึ่งไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง สองยึดมั่นถือมั่นอย่างตายตัว ขนาดมีผม ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ไม่มีผม ทุกข์ไหม (ทุกข์) 
ตัวคนเดียวทุกข์ไหม (ทุกข์) แล้วยังหามาอีกคนจะทุกข์ไหม (ทุกข์) แล้วยังหาอีกไหม (หาอีก)  (สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยืมกระเป๋านักเรียนในชั้นเรียน) หากระเป๋ามาแบกหนักไหม (หนัก) แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์) แล้วยังแบกไหม (แบก) ฉะนั้นมนุษย์ขยันนะ ขยันทุกข์ ทุกอย่างเลย ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องทุกข์เลย ฉะนั้นมีหนึ่งสิ่งก็ทุกข์หนึ่งสิ่ง มีสิบสิ่งก็ทุกข์สิบสิ่ง แล้วพวกเรามีกี่สิ่ง (หลายสิ่ง) แล้วเราทุกข์กี่สิ่ง(หลายสิ่ง) เพราะอะไร เพราะมีแล้วยึด ใช่หรือไม่ (ใช่) ยึดแล้วรับไม่ได้ที่มันต้องเปลี่ยนแปลง กระเป๋าใบนี้เมื่อได้มาใหม่ๆ ดีใจหรือไม่(ดีใจ) พอคนมาทำให้เลอะโกรธไหม (โกรธ) แล้วด่าไหม (ด่า) ด่าแล้วยอมไหม (ไม่ยอม) เพราะกระเป๋าใบเดียวทำให้มีเวรแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เวลาเราแก่ เรายอมไหม (ไม่ยอม) พอโดนคนด่าไอ้แก่ เรายอมไหม (ไม่ยอม) นั้นคือการผูกเวรแล้ว เห็นไหมว่าทุกข์มาจากอะไร ถ้าหากเรายอมรับว่าเราแก่เราก็จะไม่ทุกข์ มนุษย์ทุกข์กับคำพูดไหม (ทุกข์) สวยชอบไหม ไม่สวยรับได้ไหม (ไม่ได้) หล่อชอบไหม ไม่หล่อรับได้ไหม (ไม่ได้) ก็ต้องรับให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอย่าหลงความสุขในโลก อยากสุขแท้จริงต้องทำอย่างไร ง่ายๆ เลย ตัดขาดจากความยึดมั่นถือมั่นที่ไม่เที่ยงในโลกใบนี้ ตัดให้ขาดอะไรที่ไม่เที่ยงอย่าไปยึดมั่นถือมั่น เพราะยึดมั่นถือมั่นเมื่อไร เราก็ต้องหนีไม่พ้นทุกข์ แล้วอะไรในโลกนี้ที่ไม่เปลี่ยนแปลง ลองบอกเราหน่อยสิ ถ้าอะไรที่ไม่เปลี่ยนแปลงยึดไปเลย แต่ถ้าเมื่อไรอะไรที่ยังต้องเปลี่ยนแปลงอย่ายึด ไม่อย่างนั้นจะทุกข์ไม่รู้ตัว
ตอบว่า (ธรรมะไม่เปลี่ยนแปลง, ความดีไม่มีวันเปลี่ยนแปลง, เวรกรรม, กฎแห่งกรรม)  กฎแห่งกรรม ใครทำสิ่งใดย่อมได้รับสิ่งนั้น ตอบได้ดี  ธรรมะมีวันเปลี่ยนแปลงไหม ธรรมะในความเปลี่ยนมีความไม่เปลี่ยน  ในความแน่นอนมีไม่ความแน่นอน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความดีจริงๆ แล้วไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าจิตใจมั่นคง แต่มนุษย์มักจะไม่มั่นคง  เพราะเป็นคนทำดีหวังผล  แต่พุทธะจะสอนให้มนุษย์ทำดีไม่หวังผล ประเสริฐยิ่งกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะถ้าเราทำดีหวังผล เราก็ต้องกลับมารับการเวียนว่ายวน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราทำดีแล้วไม่หวังผล เราก็ไม่ต้องมาเวียนว่ายวนอีกต่อไป จริงหรือเปล่า (จริง)  อยากได้รางวัลจากเราบ้างไหม (อยากได้)  ขอแอบเปิ้ลหน่อยนะ  มนุษย์ใจร้อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้อยู่กับเราช้าๆ หน่อยได้ไหม (ได้)  เพราะเราเป็นคนที่เดินช้านะ 
ไม่เป็นไรเราเดินไปหาก็ได้เราแข็งแรง ไม่ต้องพิธีเยอะ  ขอบคุณที่อุตส่าห์พบกันครึ่งทางนะ   มีใครอยากตอบอีกไหม  คำถามยากไหม  มนุษย์เรายึดทุกอย่างเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยึดทั้งเงิน ยึดทั้งตัว ยึดทั้งคนในบ้าน เสื้อผ้าทำให้เราทุกข์ไหม  ของกินทำให้เราทุกข์ไหม (ทุกข์)  ฉะนั้นถ้าอยากจะเป็นสุข จะต้องยอมรับกับความเปลี่ยนแปลง และตัดวางจากความยึดมั่นถือมั่นที่ไม่เที่ยงในโลกนี้ เพราะเมื่อไหร่ที่เราคิดว่าจะยึดมั่น ตัวเราทุกข์ไหม (ทุกข์)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยึดอะไรก็ทุกข์  ฉะนั้นไม่ยึดอะไรสักสิ่งก็ไม่ต้องทุกข์ ได้หรือเปล่า (ได้)  อย่าหลอกตัวเอง เพราะถ้าท่านไม่หลอกตัวเองเราจะพูดต่อได้ แต่ถ้าท่านยังหลอกตัวเองอยู่เราจะไม่พูดต่อ เรายังยึดไหม (ยึด)  ลองง่ายๆ ท่านเดินลงไป เขาด่าท่านว่าโง่จริงๆ ท่านโกรธไหม (โกรธ)  ไหนบอกว่าไม่ยึดไง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ต้นยางปลูกอยู่ดีๆ ต้นยางหายไปโกรธไหม (โกรธ)  นกเขาเลี้ยงอยู่ดีๆ แขวนไว้หายไปโกรธไหม (โกรธ)  ด่าแช่งชักหักกระดูกเลยใช่ไหม (ใช่)  บางคนรักนกยิ่งกว่ารักคนอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่าทำให้นกมันเป็นสะพานทำให้เราต้องมีเวรมีกรรมเลยนะ ถูกไหม  ถ้าจะเป็นของเราก็ยังเป็นของเรา แต่ถ้าไม่ใช่ของเราแม้จะรักษาอย่างไรมันก็ยังต้องหนีไปสักวันหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนถ้าเรารักเขา แต่เขาไม่รักเรา เราก็ต้องรู้จักทำใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าอยากมีความสุขในโลกนี้  จำไว้นะ ใดๆ ในโลกอย่าได้ยึดมั่นถือมั่น เพราะโลกนี้หนีไม่พ้นความไม่เที่ยงแท้  เมื่อไหร่ที่ยึดมั่นตัวเอง ก็ต้องทุกข์กับตัวเอง  เมื่อไหร่ที่ยึดมั่นกับเงินทองก็ต้องทุกข์กับเงินทอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงๆ แล้วสิ่งที่เรายึดมั่น แท้จริงใช่ของของเราไหม จริงหรือ (จริง)  ทำไมวันนี้ต้องไปจดนี่ชื่อฉัน นี่ของฉัน  ทำไมอยู่กับเราตอบได้เป็นฉากๆ แต่เวลาทุกข์มาถึงกับตัวตอบไม่ได้เลย ใช่ไหม (ใช่)  เรายกตัวอย่างง่ายๆ มนุษย์เราบอกว่าเราเสียเงิน เราเสียใจ เราเสียทรัพย์ เราเสียต้นยาง เราเสียลูก เราเสียบุตร  เราถามท่านจริงๆ นะ แต่เดิมเราเคยมีทรัพย์ เรามีบุตร เรามีลูกไหม (ไม่มี)  ถึงเวลาเขาจะมาก็ไม่ได้เรียก  ถึงเวลาลูกจะไปเราก็ไม่ได้ขับไล่ให้ไป แต่มันดันไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นต้นเดิมของเราคืออะไร  แต่เดิมเรามีกายนี้ไหม  แล้วเราคืออะไร  มนุษย์บอกว่าฉันเสียใจ ฉันเสียเงิน ฉันเสียทรัพย์ ฉันเสียลูก ฉันเสียสามี ฉันเสียภรรยา แต่จริงๆ แต่ก่อนเรามีภรรยาไหม (ไม่มี)  แล้วแต่ก่อนเราเงินเยอะขนาดนี้ไหม (ไม่มี)  แล้วแต่ก่อนเรามีต้นยางไหม (ไม่มี)  ตอนนี้เรากำลังกลับไปสู่สิ่งที่เดิมมีมา เราเคยเสียไหม ไม่ได้เสีย แต่เรากำลังกลับไปสู่ภาวะเดิม 
ขนาดชีวิตก็สอนให้เรารู้ว่าเรากำลังเดินกลับไปสู่ที่ๆเราเคยมา คือความว่างเปล่า ใช่ไหม (ใช่)  มีใครไหมยิ่งแก่แล้วยิ่งรวย ใช่อาจจะมียิ่งแก่แล้วยิ่งรวย แต่ดูหูซิ แต่ก่อนฟังชัด แต่เดี๋ยวนี้ฟังไม่ชัด ตาเมื่อก่อนมองเห็นชัด แต่เดี๋ยวนี้ทำไมมองไม่ชัด แต่ก่อนมีแรงทำอะไรได้ตั้งเยอะ แต่เดี๋ยวนี้ทำไม่ไหว ฉะนั้นความเป็นจริงแห่งชีวิตสอนให้มนุษย์รู้ว่าแม้มนุษย์จะไปถึงที่สุด แต่ถึงเวลาที่สุดที่แท้จริงก็คือความไม่มีอะไรเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าวันหนึ่งเราไม่รู้จักทำใจให้ได้ ความเป็นจริงแห่งชีวิตสอนให้เรารู้ว่าเราต้องยอมรับให้ได้
เบื่อเราพูดหรือยัง (ยัง)  เมื่อยไหม (ไม่เมื่อย)  วันนี้อย่างน้อยท่านก็เก่งนะ อดทนได้ตั้งหนึ่งวัน อดทนฟังคนอื่นพูด โดยที่ตัวเองไม่พูด เก่งจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฝึกไว้บ้างก็ดีนะ สักวันหนึ่งเราอาจจะหูตึง ใครพูดอะไรไม่ได้ยินก็ได้ เราจะได้ยิ้มอย่างมีความสุข อ๋อมันเป็นอย่างนี้เอง อยากจะฟังไปทุกเรื่องแต่จริงๆ แล้วถึงที่สุดชีวิตก็สอนให้เรารู้ว่า บางเรื่องไม่ต้องฟังเลย ดีที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความสุขของเราเข้าถึงยากไหม เราบอกไปแค่ข้อเดียวเองนะ จำได้ไหม (ไม่ได้)  น่าเสียดายจริงๆ เราบอกว่าอยากมีความสุข  ความสุขของเราก็คือตัดความยึดมั่นถือมั่นใดๆ ในโลกที่หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้  เพราะสิ่งที่ท่านพยายามจะยึดมั่นถือมั่น หนีไม่พ้นความไม่เที่ยง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไม่เที่ยง มีเปลี่ยนแปลง มีสุข มีทุกข์ เราก็ต้องยอมรับให้ได้ ถ้ายังยอมรับไม่ได้ก็อย่าไปยึดมั่นมันเลยดีไหม (ดี)  แล้วเราทำได้ไหม ฉะนั้นเราจะข้ามต่อไปยังความสุขข้อที่สอง คืออยากมีความสุขจงเรียนรู้ที่จะอยู่กับความตาย ได้ยินชัดไหม (ชัด)  อยากมีความสุขจงเรียนรู้ที่จะอยู่กับความตายให้ได้นะ เพราะความตาย ทำให้เรามีคุณค่า เวลามีคุณค่าชีวิตมีความหมาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  และการเรียนรู้จากความตายให้เป็นจะทำให้เราเป็นคนที่ตายก่อนตายเป็นอมตะ แม้เจอภาวะใดกระทบ เราก็ไม่หวั่นไหว เราจะสามารถควบคุมหัวใจเราได้ ฟังเรื่องเดียวแต่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วใช่ไหม พอเราพูดเรื่องที่สอง เริ่มไม่รู้เรื่องเลย ใช่หรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นเราพูดเรื่องเดียววันนี้จบแล้วเรากลับได้ไหม ไม่ได้หรือ นั่งตัวตรงๆ ถ้าหากตบสองข้างแล้วยังไม่ตื่น ตบหัวหน่อย ตื่น ตื่น ตื่น  เผื่อจะช่วยปลุกให้ตื่น ตื่นได้แล้ว ชีวิต นี้ของมนุษย์ประเสริฐสุดตรงที่ได้ดำเนินตนอย่างคนที่มีครรลองครองธรรม แต่ชีวิตของมนุษย์จะทุกข์ที่สุดถ้าไม่รู้จักนำพาชีวิตตน ปล่อยตนไปตามกิเลสอารมณ์ วันนี้ท่านมาฟังธรรมเพื่อเบากิเลส เบาการตามใจตัวเอง ตามใจตัวเองมากี่ครั้งแล้ว ตามใจตัวเองแล้วเป็นอย่างไร สุขๆ ดิบๆ เหลือเกิน
ฉะนั้น วันนี้พุทธะมาถึงที่นี่แล้วอยากให้ท่านได้เรียนรู้ชีวิต และสิ่ง ที่ท่านได้เรียนรู้จนกลายเป็นพุทธะก็คือตอนที่ท่านยังมีชีวิตและเป็นคน จึงทำให้ท่านได้เป็นพุทธะ แล้วเป็นคนอย่างไร คือคนที่รู้จักนำพาตัวเอง เพราะถ้าหากนำพาตัวเองได้ดีเราก็หลุดพ้น เราก็พ้นทุกข์หรือหากไม่พ้นทุกข์อย่างน้อยไปสวรรค์ก็ยังดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จริงๆ แล้วสิ่ง ที่ประเสริฐยิ่งกว่าสวรรค์ก็คือ พ้นการเวียนว่ายตายเกิด เพราะทำบุญขึ้นสวรรค์พอหมดบุญจากสวรรค์ก็ต้องกลับมาเกิดเป็นคนใหม่ การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่แค่ทำบุญ แต่บำเพ็ญธรรมคือสอนให้เราขัดเกลาจิตใจและรู้จักนำพาฉุดช่วยผู้อื่น อย่างที่เราบอกตั้งแต่ต้น ผู้ใดทำความยากให้กับผู้อื่น ผู้นั้นคือผู้ทำร้ายชีวิต แต่ผู้ใดที่รู้จักช่วยผู้อื่น คนนั้นคือคนที่รู้จักช่วยชีวิตตน ใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะพูดเรื่องที่สองได้หรือยัง พร้อมหรือยัง
อยากมีความสุขจงกล้าที่จะอยู่กับความตาย กลัวไหม กลัวตายไหม (ไม่กลัว)  เรามาทั้งวัน เราพูดประโยคนี้หลายครั้งแล้ว เพราะท่านพูดอะไรให้เราเชื่อไม่ได้สักอย่างเลย ไม่อยากให้เราหลอกท่าน ตัวท่านอย่าหลอกตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นกลัวตายไหม (กลัว)  ก็ยอมรับมาก็จบแล้ว ไม่ยอมรับแล้วชอบทำตัวกล้าบ้าบิ่น พอตายจริงๆ ขอก่อนอย่าเพิ่งตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนั้นทันไหม (ไม่ทัน)  ฉะนั้น ถ้าอยากมีสุขที่แท้จริง จงเรียนรู้กับความตายและเรียนรู้ว่าอะไรในชีวิตที่หนีไม่พ้นความตาย ถ้าเราเรียนรู้และเข้าใจ เราก็จะไม่ทุกข์กับมันเพราะถึงเวลาเราก็ต้องตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอะไรในโลกที่เกิดมาแล้วไม่ตาย มีหรือไม่ (ไม่มี) 
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจชีวิต เราจะรู้ว่าความตายได้ให้พร 3 ประการ
ประการแรกคือ ความตายพาเราออกจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง ความตายไม่ใช่เรื่องเศร้าแต่ความ ตายทำให้เรารู้ว่า เราเปลี่ยนจากคนคนหนึ่งไปเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ตามแต่จิตสั่งสมหรือตามแต่บุญกรรมที่ตัวเองสร้างมาเมื่อมีชีวิต แต่ถ้าคนสามารถเรียนรู้ความตายได้ เขาจะตายก่อนตาย เพราะเขาจะสามารถแจ้งรหัสในการมีชีวิต นี่คือพร 3 ประการ แต่มนุษย์เอาแต่กลัวตายจนไม่ยอมเข้าใจชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราถามท่าน พูดจนจบแล้วพร 3 ประการจำได้หรือไม่
พรประการแรกคือทำให้เรารู้ว่า การตายคือการทำให้เราออกจากที่หนึ่งไปยังสู่อีกที่หนึ่ง แม้ร่างกายจะแตกสลายแต่จิตญาณไม่มีวันสูญสลาย พรประการที่สองทำให้เรารู้ว่าใครทำกรรมอะไรไว้ก็ต้องกลับไปรับผลกรรมนั้น แม้เราจะหยุดแล้ว แต่กรรมนั้นก็ยังคงสถิตอยู่กับหัวใจและจิตใจของเราที่เก็บสั่งสม เหมือนเราจำความโกรธใคร เราก็ต้องอาจจะกลับไปพบเจอกับเขา อยากเก็บไหม เก็บไปเลย จะได้กลับไปพบเจอกับเขาอีก แต่ถ้าบุญน้อยกว่า ท่านจะเกิดเป็นอะไร สุนัขมากัดเขา ถ้าบุญมากกว่าก็ได้เป็นเจ้านาย ชี้ด่าเขา ใช่หรือเปล่า ถ้าบุญเท่าๆ กันก็ได้เป็นคู่เวรคู่กรรมกัน ใช่หรือไม่ ฉะนั้นอย่ากลัวความตาย เพราะความตายทำให้เราเข้าใจพรแห่งชีวิตสามประการ  ประการที่หนึ่งคือ การตายคือการทำให้เราออกจากที่หนึ่งไปยังสู่อีกที่หนึ่ง ประการที่สองคือใครทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น  และประการที่สามคือ ความตายทำให้เราแจ้งรหัสในแห่งการมีชีวิตที่แท้จริง ข้อที่สามเข้าใจยากใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเข้าใจให้ดีก็จะไม่ยาก อยากรู้ไหมคืออะไร (อยากรู้)
ตอนนี้ก็เข้มแข็งดีนะ ทำไมจึงอ่อนแอกันเหลือเกิน  อย่าอ่อนแอเลย  บางครั้งความเป็นจริงแห่งชีวิตกลับทำให้เราเข้าใจหัวใจเรายิ่งขึ้น  ความเป็นจริงแห่งชีวิตทำให้เราเห็นตัวเราเองชัดเจนขึ้น  ตอนนี้ยังไม่มีอะไร  เราก็ยังว่าเราเข้มแข็ง เราก็ว่าเราไหว  แต่พอเรื่องจริงๆ เจอขึ้นกับตัว  เราจึงรู้ว่าจริงๆ เราไม่ได้เข้มแข็งเลย  แต่ลึกๆ แล้วเราเปราะบางเสียนี้กระไร  โดนนิดโดนหน่อยเราก็พร้อมพังทลายและแตกเป็นชิ้นดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  จำไว้นะ ธรรมะมีไว้เพื่อให้เราเข้มแข็งรับกับความจริงในโลกนี้ให้ได้ แม้ว่าโลกใบนี้จะเลวร้ายอย่างไรก็ตาม เพราะยิ่งเลวร้ายก็ยิ่งทำให้เราปลดปลง  เพราะมนุษย์นี้พยายามยึดมั่นถือมั่น แต่ยิ่งยึด ยิ่งเกาะกุมยิ่งมีแต่ทุกข์ แต่บำเพ็ญเพื่อปลดปลงปล่อยวาง  เพราะยิ่งถ้าเราปล่อยวางมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เราเข้าใจสัจภาวะแห่งธรรมมากเท่านั้น  และสัจภาวะแห่งธรรมนั้นไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก แต่อยู่ที่ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ที่เราต้องเจอ เกิดแล้วต้องตาย เกิดแล้วต้องเจ็บ เกิดแล้วต้องพลัดพราก รับได้นั่นคือความจริง  นั่นคือสัจภาวะ  นั่นคือธรรมที่ทำให้เราเป็นธรรม  เราจะทำให้ใครไม่ตายได้ไหม  ฉะนั้นจงยอมรับ  เราจะทำให้ใครทุกคนรักเราได้ไหม (ไม่ได้)  มีรักก็ต้องมีเกลียด  มีสุขก็ต้องมีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นนี่แหละคือความจริง  แต่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจถึงความจริง เพราะมนุษย์ชอบยึดติดกับสิ่งที่ตัวเองชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งที่ชอบนั้นทำให้มนุษย์ต้องทุกข์และเวียนว่ายไม่จบสิ้น  แต่ความจริงนั้น  คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ แต่มนุษย์กลับไม่อยากลืม ไม่อยากยอมรับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไหร่ที่สัจภาวะคือชีวิต ชีวิตคืออมตะ และอมตะนั่นคือนิพพาน
แต่มนุษย์กลับยอมรับให้ชีวิตคือ สิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่ตัวเองรัก  สิ่งที่ตัวเองรักตัวเองชอบและยึดมั่นถือมั่นนั้นก็คือความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไหร่เรามองว่าอันนี้ก็ยึดไม่ได้ ใจนี้ก็พึ่งไม่ได้เพราะใจนี้เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เดี๋ยววันนี้ชอบ อีกสองสามวันเบื่อ พอชอบบ่อยๆ ก็เบื่อ เบื่อบ่อยๆ ก็รำคาญ พอรำคาญบ่อยๆ ชักเกลียดแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใจนี้เดินไปสู่สัจภาวะที่เรียกว่าความจริง ไม่มีสิ่งใดที่รัก ไม่มีสิ่งใดที่เกลียด ก็คือคุณธรรมที่สามารถรักษาความเป็นกลางได้ แต่ถ้าเมื่อใดนี่คือสิ่งที่รัก ก็ต้องมีสิ่งที่เกลียด เมื่อมีสิ่งรักมีสิ่งเกลียดเราย่อมไม่ยุติธรรม เราคือคนอยุติธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอยากเข้าถึงแห่งในสัจภาวะที่แท้จริงต้องเรียนรู้ความตาย ใจตัวนี้ก็ตายได้ กายตัวนี้ก็ตายได้ ความคิดตัวนี้ก็ตายได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ตายคือความจริง และความจริงนั่นคือความว่างเปล่า ฉะนั้นใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด ถึงเวลาก็ต้องปล่อยวาง เอาอะไรไปไม่ได้เลย สิ่งที่เอาไปได้คือ สิ่งที่จิตสั่งสมคุณงามความดีคุณธรรม แต่ถ้าสั่งสม โลภ โกรธ หลง ก็คือหนีไม่พ้นอบายภูมิและนรกภูมิ
ฟังไปก็มากแล้ว แต่ถ้าถึงเวลาชีวิตเจอจริงๆ รับให้ได้ เอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ วันนี้เหมือนคนเข้าถ้ำเสือ เอาลูกเสือไป แต่เสือตัวนี้ขอให้หักเขี้ยวหักเล็บหน่อยนะ ไม่ใช่ไปฟังธรรมะมาแล้ว ฉันฟังมาดีๆ หากใครมาว่าไม่เห็นดีเลย โกรธทันที แบบนี้ไม่ได้ผลนะ ฉะนั้นแม้แต่ความดีก็ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ เพราะถ้ายึดมั่นถือมั่นเราก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ชีวิตมีคุณค่าเพราะได้ทำสิ่งที่ประเสริฐยิ่งกว่า โลภ โกรธ หลง นั้นคือการมีคุณธรรมและรู้จักปล่อยวาง จงรู้จักสร้างชีวิตตัวเองเพื่อผู้อื่นบ้าง อย่ามีชีวิตแบบเห็นแก่ตัว เพราะความเห็นแก่ตัวล้วนนำพาให้ชีวิตมนุษย์ทุกข์ไม่จบสิ้น แต่การรู้จักช่วยเหลือผู้อื่นทำให้เราพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง ยอมได้ก็ยอม อภัยได้ก็อภัย แม้เขาจะเอาสิ่งที่รัก สิ่งที่หวงไปก็ตาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้เขาจะทำสิ่งที่รักหวงนี้ให้เจ็บก็ตาม จงดีใจสิว่าดี เขาทำเราเจ็บ เราจะได้ปลงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราไปแล้วนะ เข้มแข็งอดทนรับกับความเป็นจริงในโลกนี้ให้ได้ ดูเราสิ เรายังรับได้เลย ไม่มีกายต้องไปอยู่กับกายคนอื่น เคยเข้มแข็ง เคยขาเดินได้ยังต้องกลายเป็นคนขาเดินไม่ได้ การเข้าใจชีวิตนี้ ทำให้เราที่จากมนุษย์ธรรมดากลายเป็นพุทธะให้คนกราบไหว้ ท่านก็ทำได้ ขอเพียงแค่ทำให้ถึงที่เราบอกเพียงสองอย่างเท่านี้เอง  





วันอาทิตย์ที่ ๑๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๔ สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ถึงภัยใต้พันพัว ตัวเราไม่ต่อตี  งานธรรมหน่อยหนึ่งที่มี คุณภาพเกินใคร  ถึงเราจะตัวเล็ก ไม่เคยว่าอ่อนหัดไป  งานเสร็จไปกับมือ ไม่เคยอู้..แรง ขวานคนใต้มีแต่..ชนะ   ร้อยแปดสู้สิบทิศ ไม่ใช่เรื่องแตกต่าง แพ้ชนะ มาเก็บซ่อนซ่อนไว้ คนต้องต่างพากเพียร และบำเพ็ญแพร่ขยาย
ชื่อเพลง : ขวานใต้ตัดกิเลสสิบทิศ
ทำนองเพลง : ราชสีห์กับหนู
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเต๋อฮว่า  แฝงกายกราบ
องค์มารดา แล้ว  ถามศิษย์รักทุกคนง่วงนอนหรือเปล่า

ถึงทำดีแต่ไม่ตัดโลภโกรธหลง ความทุกข์คงไม่มีวันหมดสิ้นได้
เหตุแห่งภัยล้วนมาจากกิเลสอารมณ์ใช้ ฝึกหัวใจคุมให้ได้ละให้ทัน
แม้สายธารไหลไปไม่อาจเรียกกลับได้ คนใจร้อนวู่วามไปทุกข์ทั้งนั้น
ใจเย็นนิดพูดน้อยหน่อยดีต่อกัน      โลกสีสันน้อยคนนักรู้จักตัว
ในท่ามกลางหมู่ภัยมีโอกาสหลากหลาย กุศลมีมากมายรอคนเก็บไปทั่ว
อยู่ตรงหน้ามีความกล้ามีความกลัว เรื่องพันพัวมีความจริงสอนข้างใน
ฮา  ฮา  หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อยู่บนโลกไม่มีใครได้ทั้งสองอย่าง ต้องได้อย่างเสียอย่าง อยากได้อะไร (อยากฟังพระอาจารย์) ฟังเขาดีกว่าไหม ฟังอะไรต้องฟังให้จบ อย่าฟังให้ครึ่งๆ กลางๆ อยู่ในโลกนี้ต้องได้อย่างเสียอย่างใช่หรือไม่ แล้วมีโอกาสที่ โชคหล่นลงมาสองชั้นเป็นไปได้ไหม ได้ แต่มันน้อยนะศิษย์ แต่โชคไม่ดีซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นไปได้ง่ายกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าบุญเคยหล่นมาสองชั้นมีไหม (ไม่มี)  มี แต่มันน้อย แต่ซวยซ้ำแล้วซ้ำอีกมีไหม (มี)  ศิษย์เอ๋ยจำไว้นะ ชะตาชีวิตไม่ใช่ฟ้ากำหนด แต่ตัวเราสามารถกำหนดและลิขิตชะตาชีวิตตัวเองได้  คนบางคนแม้จะโชคร้ายแต่ก็แปรเปลี่ยนเป็นโชคดีได้ อยู่ที่ว่าเราตั้งจิตเราไปทางไหน ตั้งที่สูงคิดสูงก็นำพาไปสู่สิ่งที่ดี ตั้งไว้ในที่ต่ำคิดต่ำก็นำพาไปสู่สิ่งที่ไม่ดี
ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าชีวิต สิ่งสำคัญที่จะนำพาชีวิตได้ก็คือจิตใจของตัวเราเอง ถ้ารู้จักวางใจวางตัวเองวางชีวิตได้ถูกต้องก็นำพาชีวิตได้ดี แต่ถ้าวางใจวางชีวิตตนเองไม่ถูกต้อง เรานั้นเหละที่เป็นคนที่หาทุกข์ใส่ตัว หาเหาใส่หัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า คิดดีก็ขึ้นสวรรค์คิดชั่วก็ลงนรก และถ้าเกิดว่าคิดอย่างกลางๆ ไม่ชั่วไม่ดี บริสุทธิ์ และเป็นจิตที่สะอาด สงบ แล้วจิตไปไหน เรารู้เพียงว่าคิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก แต่ถ้าไม่มีดีไม่มีชั่ว มีความสงบเป็นกลางและบริสุทธิ์ ไปไหนล่ะ (นิพพาน)  ใช่ ไปนิพพาน นิพพานคือที่ๆ สงบเย็น ใช่หรือเปล่า  นำพาจิตสู่ความบริสุทธิ์ แล้วเราไปถึงได้ไหม (ได้)  แค่ช่วงขณะจิตที่ศิษย์นั่งตรงนี้  ไม่คิดร้าย ไม่คิดดี วางจิตให้สงบ พอแล้วกับสิ่งที่วุ่นวายในโลก สุขแล้วกับสิ่งที่เคยได้เคยมี แค่นี้ก็สามารถเข้าได้ถึงความสงบเย็นและนิพพานได้ชั่วขณะหนึ่ง จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ถ้าเป็นแบบ เบื่อ เซ็ง เมื่อไหร่จะจบ ชั่วขณะหนึ่งศิษย์ก็ตกนรกทันที แล้วพอบอก เบื่อ เหนื่อย เซ็ง ร้อน หงุดหงิด รำคาญ เหมือนจุดไฟนรกเผาตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ชีวิตจะไปทางใดอย่าบอกว่าฟ้าลิขิต ไม่ใช่หมอดูทำนาย แต่มันอยู่ที่ตัวเรา วางจิตวางใจไว้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ใจดีก็มีสุข วางใจแย่ก็ต้องทนทุกข์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หรือที่เรียกว่า คิดอะไรขอให้คิดให้รอบคอบ  เมื่อจะแสดงออกขอให้แสดงออกอย่างรัดกุม เราจะได้ไม่เป็นคนที่มีชีวิตแล้วเป็นผู้ที่ชอบปล่อยมลภาวะเป็นพิษให้กับผู้อื่น หรือมีความคิดเป็นมิจฉา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เคยเห็นไหม คนบางคนแม้จะอมลูกอมแม้จะหอมๆ แม้จะอร่อยๆ  แต่พูดออกมาทีเจ็บเหลือเกิน เคยไหม ปากเหม็นนะห้ามได้ แต่เวลาพูดแล้วมันไม่น่าฟังนี่ห้ามไม่ค่อยได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปากเหม็นแปรงฟันก็หาย อมลูกอมก็เบาบาง แต่ถ้าพูดแล้วเหม็นๆ ทำอย่างไรมันก็ไม่หาย ตัวเหม็นอาบน้ำก็ยังสะอาดได้ แต่ถ้าใจมันเหม็น แม้ตัวจะสาดน้ำหอมเป็นขวดๆ ไปอยู่ที่ใดมันก็เหม็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยากทำอะไร อยากคิดอะไร ขอจงให้รอบคอบ แสดงออกขอให้รัดกุม  ไม่เช่นนั้นจะเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ แต่พออ้าปากก็พ่นพิษ  มีชีวิตอยู่ทำอะไรก็แสดงออกแต่สิ่งที่ไม่ดี เป็นโทษแก่คนอื่น เช่นนี้ก็ไม่น่าดู ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า คนเรานั้นฆ่าพ่อฆ่าแม่ถือว่าเป็นบาปที่สุดในโลก ตกนรกขุมลึกที่สุด แต่คนที่ฆ่าพ่อฆ่าแม่ทำบาปที่แย่ที่สุดนั้น ถึงตกนรกก็ยังมีเวลาจำกัด แต่คนที่วางจิตวางใจผิด มีความคิดที่ผิดๆ อยู่ในชีวิต  ตกนรกลึกกว่าคนที่ฆ่าพ่อฆ่าแม่อีกนะ  นรกนั้นอยู่หลังจักรวาล  ถูกไฟแห่งจักรวาลเผาไหม้ เป็นตอของวัฏฏะ แม้พุทธะร้อยองค์พันองค์มาฉุดเขาก็ช่วยเขาไม่ได้ เขาจะถอนจากความผิดพลาดอันนี้ได้ก็ต่อเมื่อละความยึดมั่นถือมั่นที่ผิด ถึงจะพ้นจากอบายภูมิจากทุกขเวทนาได้  ฉะนั้นสำคัญมากๆ นะ เกิดเป็นคนถ้ามีความคิดที่ผิดๆ ตกนรกน่ากลัวยิ่งกว่าฆ่าพ่อฆ่าแม่อีกนะ  และนรกนั้นแม้จะมีพุทธะมายืนโปรดตรงหน้าก็ช่วยเขาไม่ได้นะ ถ้าเขายังมีความคิดผิดๆ เขาจะถอนจากนรกได้และพ้นจากอบายภูมิได้ ก็ต่อเมื่อเขาจะต้องละความคิดของตัวเองที่ผิดๆ ออกไปจากใจได้  และสิ่งที่มนุษย์ชอบคิดผิดๆ และมีอยู่ในชีวิตกันคืออะไรรู้ไหมศิษย์  ไม่กลัวเรื่องบาปบุญคุณโทษ คิดว่าทำดีไม่ได้ดีเลยไม่ทำ ใช่ไหม (ใช่)  โอ้เวรกรรมไม่มีจริงหรอก บาปบุญไม่มีจริงหรอก ถ้าตายแล้วจบกัน ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไหร่ที่ศิษย์มีความคิดอันนี้ฝังอยู่ในใจ ศิษย์จะตกนรกที่ลึกยิ่งกว่าคนที่ฆ่าพ่อฆ่าแม่อีกนะ  แม้พุทธะมาโปรดก็ช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากคนๆ นั้นจะถอนจากความคิดผิด ถึงจะพ้นจากนรกได้ เรามีความคิดนี้ไหม (ไม่มี)  จริงหรือ
อาจารย์เชื่อว่ามนุษย์โดยส่วนใหญ่ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ จะเชื่อก็เชื่อไม่หมดใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วก็คิดว่าทำดีก็ไม่ค่อยจะได้ดีหรอก เลยทำบ้างไม่ทำบ้าง เห็นไหมว่าเพราะความคิดผิดแค่ครั้งเดียว มันก็ฝังอยู่ในใจ ทำให้ศิษย์ตกนรกยิ่งกว่านรกขุมไหนๆ แล้วก็ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากตัวเราจะถอนจากความคิดผิดนั้นมาเป็นความคิดที่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้พระพุทธะจะมาโปรดตรงหน้า เขาไม่เชื่อ ก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
กินอิ่มไหม (อิ่ม)  ใครไม่อิ่มอาจารย์ให้ลงไปกินต่อเอาไหม เดี๋ยวกลับบ้านไปไม่ได้กินเจแล้วนะ เพราะหลายคนอยากกินเนื้อสัตว์ ใช่หรือเปล่า
ฉะนั้นแปลว่าต่อไปนี้จะไม่กินเนื้อสัตว์ใช่ไหม   อย่าเพียงแค่ลิ้นสั้นๆ นิดหน่อยทำให้เราลืมความเมตตา ทำร้ายเบียดเบียนสัตว์ไม่จบไม่สิ้น มันก็น่าเสียดาย อย่าเพียงจมูกติดกลิ่น อย่าเพียงปากติดลิ้น เลยตัดใจจากเนื้อสัตว์ไม่ได้สักทีจริงไหม ถ้าอย่างนั้นต่อไปจะตัดให้เบาๆ ลงได้ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ให้ศิษย์แค่เลิกกินสัตว์สามชนิดเอง เอาหรือไม่เอา (เอา)  ให้เลิกแค่สามอย่างเอง อาจารย์จะบอกทีละชนิด ใครเอายกมือขึ้น แน่ใจนะ สัตว์ที่อยู่บนฟ้าไม่กินได้ไหม อยู่บนบกไม่กิน ได้ไหม  ทำไมตอบเบาลงล่ะ และอีกชนิดหนึ่งคืออยู่ที่ไหน ในน้ำหรือในทะเลไม่กิน ทำไมยกมือต่างกันอย่างมากล่ะ ไม่แน่จริงนี่นา อาจารย์บอกแล้วนี่ว่า คิดอะไรก็ต้องคิดให้รอบคอบ จะทำอะไรก็ต้องทำให้รัดกุมจะได้ไม่โดนคนประนาม หยามเหยียดว่าเป็นคนพ่นมลภาวะเป็นพิษ คำพูดเชื่อถือไม่ได้ ไหนใครเมื่อสักครู่ยกมือ  อาจารย์ถามง่ายๆ นะ  อาจารย์ไปเกือบทุกๆ  ที่อาจารย์ก็อยากบอกศิษย์ทุกๆ ที่ อาจารย์ถามนะ เกิดเป็นคน การไม่มีโรค คือลาภอันประเสริฐ  แล้วศิษย์รู้ไหมว่า พระพุทธะ กล่าวไว้ว่า คนที่ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่เบียดเบียนผู้อื่นด้วยความอยากคนนั้นจะมีอายุมั่นขวัญยืน สุขภาพแข็งแรง ถ้าศิษย์ของอาจารย์สามารถไม่กินสัตว์สามชนิดได้ อาจารย์รับรองได้ว่าแข็งแรง อายุยืน ถ้าเกิดมาไม่เคยเบียดเบียนทั้งคน ไม่เคยเบียดเบียนทั้งสัตว์ ไม่ปล่อยให้ความอยาก ทำร้ายตัวเองและทำร้ายผู้อื่น คนๆ นั้นมีหรือจะไม่มีคนอวยพรให้อายุมั่นขวัญยืน แต่ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์เป็นเหมือนกับสุสานเคลื่อนที่  เก็บไว้ด้วยซากศพ 
ฉะนั้นเกิดเป็นคนนะศิษย์ เรามาคุยกันแค่สองเรื่องง่ายๆ  คือเรื่องของความดีและความชั่ว อาจารย์พูดง่ายๆ
รู้สึกลังเล จริงไหม (จริง)  วันนี้เห็นคนน่าสงสารขอทาน ถ้าเราบอกน่าสงสารจัง ควักหยิบให้ทันที ไม่มีปัญหาจบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราบอกสงสารจัง ให้ดีไหมหนอ  หรือไม่ให้ดี  หรือเอาไปทำอย่างอื่นหรือเปล่า  เชื่อหรือไม่ว่าพอลังเล  มันไม่ได้ดีเลย ใช่ไหม  เหมือนเพื่อนมายืมเงิน จะช่วยดีไหม ช่วยไปเลย  ถ้าช่วยทันทีเราก็ได้ดีจบ แต่บางคนช่วยทันที ได้ดีไหม ดีไม่สมบูรณ์  ไม่น่าให้ไปเลย  ฉะนั้นทำไมทำดีไม่ได้ดีก็นี่แหละ ทำเสร็จก็คิดไม่น่าให้เลย  ก่อนทำก็ยังคิด จะให้ดีไหมหนอ เดินเลยไปแล้ว ช่างมันเถอะ เลยแล้วเลยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไปไม่ถึงความดีเลย
ฉะนั้นศิษย์เอ๋ยบุญจะยิ่งใหญ่ได้ คือ ก่อนให้ก็บริสุทธิ์ ตอนให้ก็บริสุทธิ์ หลังให้ก็บริสุทธิ์  ไม่คิดแล้วไม่คิดอีก นั่นแหละบุญบริสุทธิ์ แล้วบุญบริสุทธิ์จะเป็นยอดของบุญก็คือ คนที่ให้สามารถกำลังอยู่ในช่วงตัดรัก โลภ โกรธ หลง หรือคนที่เรากำลังให้นั้น ไม่มีโลภ โกรธ หลง บุญทานนั้นจะยิ่งใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เรามาบำเพ็ญธรรม ศึกษาธรรม ไม่ใช่แค่เรื่องบาปบุญแค่นั้น แต่ยังมีมากไปกว่านั้น  ที่เรียกว่า กุศลหรืออกุศล ศิษย์เคยได้ยินไหม 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเรียนเล่นเกม "ลมเพลมพัด")
และให้เล่นเกม ลุกนั่ง โดยจะกล่าวให้ลุกหรือนั่งว่า “บอกถึงสิ่งใดถ้านักเรียนในชั้นมีให้ยืนขึ้น และถ้าสิ่งใดไม่มีก็ให้นั่งลง”
มีเงินไหม (มี) แต่หาเงินไหม (หา) เพราะอะไรถึงหา มีมันเหมือนไม่มีนะอาจารย์ว่า ฉะนั้นใครบอกมีเงิน ยกมือ ไม่มีเงิน ยกมือ  ศิษย์บอกแล้วนะมีเงิน มีใช่ไหม พอกลับไปบ้านไม่ต้องหาไม่ต้องลำบากใช่ไหม คนมีเงินบางครั้งก็เหมือนไม่มี เป็นเพราะสิ่งที่เรียกว่ามีบางครั้งก็เหมือนไม่มี แล้วบางทีมีแล้วมันดูค่าน้อย  แต่จริงๆ ศิษย์รู้ไหมว่าสิ่งที่มีค่าน้อยๆ ถ้ารู้จักใช้ก็เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่  แต่สิ่งที่มีค่าไม่รู้จักใหญ่ๆ มันก็ดูเล็กใช่หรือไม่  (ใช่)   วันนี้เราลืมตาได้สักวันเราก็หลับตา   ไม่ต้องสักวัน พอตกเย็นใครไม่หลับตาก็ต้องตายแน่ๆ ทรมาน ถูกหรือไม่ (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกมส่งของ) คิดหน่อยนะศิษย์จะได้เอาตัวรอดจะได้ไม่ต้องทุกข์นะศิษย์
อาจารย์บอกไปตอนต้นว่าสิ่งที่อาจารย์จะคุยกับศิษย์ในวันนี้คือความดีกับ ความชั่ว มนุษย์อยากไปถึงซึ่งความดี สำคัญอย่างแรกเมื่อตั้งใจจะทำอะไรจงอย่าลังเล แม้คนที่เรากระทำด้วยนั้นจะดีหรือไม่ดีก็ตาม แต่ถ้าชั่วขณะจิตบริสุทธิ์อยากช่วย ทำไปเถอะ เพราะบุญนั้นจะเป็นบุญที่บริสุทธิ์ แต่ถ้าเกิดคนเดิมมาอีกตอนนั้นจะต้องคิดให้ดีๆ  เพราะไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นตามใจจนเสียคน ถ้าคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนมาขอความช่วยเหลือเราช่วยได้ แต่มาแล้วมาอีก ศิษย์ก็ต้องคิดว่าอย่าช่วยบ่อยๆ  เพราะถ้าช่วยบ่อยๆ  ก็อาจจะกลายเป็นคนที่เคยตัว และเราจะกลายเป็นคนที่ให้เขายืม ให้ไม่จบสิ้น ฉะนั้นทำอะไรก็ตาม มีเมตตาก็ต้องใช้ปัญญาไปด้วย
คนเราจะทำดีได้ นั้น สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ต้องรู้จักว่าอะไรคือรากฐานแห่งความดี และอะไรคือรากฐานแห่งความไม่ดี รากฐานแห่งความดีก็คือ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ไม่โลภก็คือคนที่รู้จักให้ คนที่ไม่โกรธก็คือคนที่มีเมตตาอยู่เป็นนิจ คนที่ไม่หลงก็คือคนที่มีปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ฉะนั้นอยากถึงซึ่งความดีงามจงมีสามสิ่งนี้อยู่ในใจ รู้จักให้ มีเมตตาและใช้ปัญญาให้เป็น ยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่ยากแต่ไม่ค่อยทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์ถามต่ออีก รากฐานแห่งความชั่วร้ายคืออะไร (ความโลภ, ความโกรธ, ความลังเล, ความหลง, ความเห็นแก่ตัว, ความตะหนี่ถี่เหนียว, ความอยากได้, ความอิจฉา, ชอบเบียดเบียนผู้อื่น, ความเกลียด, ความแค้น, ความไม่เข้าใจต่อกัน, ความคิดที่ไม่บริสุทธิ์, ความงมงาย, ตัณหาราคะ, ความโมโห, ความโลเล,        จิตใจที่คับแคบไม่เปิดกว้าง)  คิดได้แล้วปรบมือหน่อยนะ (ความมักมาก, ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ผิด, ความเคียดแค้น, ไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่, ความทะเยอทะยาน, ความอยากได้, ความไม่รู้จักพอ, การโกหกพูดเท็จ) โดยเฉพาะกับพ่อแม่เรา บอกว่าไปเรียนแต่ที่ไหนได้ แอบไปเที่ยว (ไม่ซื่อสัตย์ต่อบุพการี, ความไม่รู้จักพอ, ความไม่มีเมตตา, กิเลสมันครอบงำ, ความเย่อหยิ่งจองหอง, ความโมโห, ชอบเข้าข้างตัวเองคิดว่าตัวเองดีถูกแล้ว, มีความเชื่อที่ผิด, ความอิจฉา, มิจฉาทิฐิ) ถ้าหัวหน้าตอบถูกทุกคนสามารถได้แอบเปิ้ลหมดเลย คิดให้ดีๆ  (ความไม่เกรงกลัวต่อบาป, ความอาฆาตแค้น, พูดสิ่งที่ไม่เป็นมงคล, ห่วงแต่ความสุขของตัวเอง, ความหลอกลวง, ความโลภ, ความไม่รักดี, ความเห็นแก่ตัว, ทะเยอทะยานความมักใหญ่ใฝ่สูง)  ทำตัวมักใหญ่ใฝ่สูงไม่น่าเคารพ สู้ยิ้มแย้มไม่ได้ แค่ยิ้ม ก็น่ารัก ยิ้มง่ายๆ ยิ้มบ่อยๆ  (ไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่มี, ไม่เบียดเบียน, ความอยากได้, หลงตัวเอง, ไม่หวังดี, กิเลสตัณหา, ทิฐิ, ความกลัวอาจจะกลายเป็นความหวาดระแวง)  เกิดเป็นคนต้องกล้า อย่ากลัวเกินไป เอาชนะตนเองได้ ก็เอาชนะผู้อื่นได้ (การผิดลูกเมียผู้อื่น, ดื่มสุรา)
(ความประมาท ไม่คิดก่อนทำ, หน้าซื่อใจคด, ปากว่าตาขยิบ, ต้องมีศีลประจำใจ) ต้องมีศีลประจำใจ ถ้าไม่มีศีลประจำใจ อาจทำผิดคิดร้ายได้ (ความไม่รู้จักพอดี, ความอยากความมีกิเลส) ความอยากความมีกิเลส กิเลสอะไรที่น่ากลัวที่สุดสำหรับศิษย์ ไม่รู้จักพอ ใช่ไหม (ความชิงชัง, พูดจาให้ร้ายผู้อื่น) พูดจาให้ร้ายผู้อื่น ชอบยุแยงเขา ใช่หรือไม่ (โกหกหลอกลวง, ไม่มีความเมตตา, ไม่รู้จักบุญคุณคน, การใช้ความรุนแรง, การดื่มน้ำเมา, ความไม่ซื่อสัตย์, ความฟุ้งเฟื้อ, เห็นผิดเป็นชอบ, การไม่ปล่อยวาง,ไม่รู้จักรักในสิ่งที่ควรรัก) การไม่รู้จักรักในสิ่งที่ควรรัก กลับไปรักในสิ่งที่ไม่ควรรัก ใช่ไหม คนที่มีให้รักกลับไม่รัก ชอบไปรักคนนอกบ้าน แล้วก็ต้องทุกข์ใจ (ความทะเยอทะยาน, ความอยากมีอยากได้)  ไม่อยากให้คนอื่นได้ดี ตอบได้ดีนะ  (เย่อหยิ่ง, ปากอย่างใจอย่าง, ความมักใหญ่ใจกว้าง)  มีแต่มักใหญ่ใฝ่สูง มักใหญ่ใจกว้างมีด้วยหรือ มีแต่มักใหญ่แต่ใจแคบ (ชอบดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น)  ตัวเราก็อย่าดูถูกเหยียดหยามตัวเราเอง ทำสิ่งที่ควรเคารพ คนอื่นจะได้เคารพเรา รู้จักคิดรู้จักแก้ปัญหา ปัญหาก็คลี่คลายได้ แต่บางครั้งก็ต้องกล้ายอมรับความจริงนะ (นินทาผู้อื่น) แล้วแอบนินทาอาจารย์ไหม แอบนินทาเพื่อนไหม ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเวรกรรม เขาก็ไปทางของเขา แม้จะลำบากหน่อย ก็ต้องรอกุศลของศิษย์ช่วยเขานะ (เกิดจากกิเลสในใจตัวเอง)
(ลืมตัวไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณคน, ความไม่ละอายต่อบาป)  ศิษย์เอ๋ย ความชั่วเกิดจากอะไร  ความชั่วเกิดจากอกุศล และอกุศลมีอะไรบ้าง  ศิษย์ก็ได้ตอบเกือบไปหมดแล้วก็คือ โลภ โกรธ หลง ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์อาจจะมองว่า โลภ โกรธ หลง มันเลวร้ายขนาดไหน ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงอยากให้เราตัดอยากให้เราละมันเสียที ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความโลภ คนเราพอโลภมากๆ จะตระหนี่ และจะเป็นทุกข์กับสิ่งที่ตัวเองโลภ เพราะว่าเรารักทั้งนั้นเลยในสิ่งที่เราอยากได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่โลภบ่อยๆ ก็จะมีทุกข์ในความรักบ่อยๆ ทุกข์เพราะรัก ทุกข์เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่รัก มักเกิดจากโลภเป็นพื้นฐาน  โลภมากๆ ทำให้เราตระหนี่ไม่รู้จักให้ ความโลภทำให้เรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัว 
ความโกรธทำให้เรากลายเป็นคนที่กล้าจะเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น และก็สามารถทำได้แม้กระทั่งผู้มีพระคุณ ฉะนั้นคนที่มีความโกรธ ความโกรธสามารถทำสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือทำร้ายผู้มีพระคุณได้
ความโลภทำให้กลายเป็นคนตระหนี่ ความโกรธทำให้เป็นคนที่รู้จักเบียดเบียนและที่น่ากลัวที่สุดก็คือลบหลู่คุณ คนได้ และคนที่โกรธบ่อยๆ ก็มักจะเป็นทุกข์กับสิ่งที่ไม่ชอบ ใช่ไหม (ใช่)  ความหลง เราหลงไหม หลงอะไรฝ่ายชาย หลงตัวเองหรือหลงรัก หลงเหล้า หรือบุหรี่ ล้วนเป็นความชั่วที่ทำให้ตกนรกได้ ไม่กินก็เหมือนกับตกนรก พอได้กินขึ้นสวรรค์ใช่หรือไม่ ไม่ได้เรียกว่าขึ้นสวรรค์หรอกนั่นแหละนรกจริงๆ  เพราะคนที่หลงจะเห็นสิ่งที่ไม่ควรหลงว่าควรหลง สิ่งที่ไม่ควรอยากว่าควรอยาก จึงไม่สามารถสร้างสิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นในชีวิตได้  หัวหน้าจะตอบว่าอะไร หัวหน้าตอบว่า (ความหลอกลวงผู้อื่น, คอรัปชั่น) สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ถ้ามนุษย์ทุกคนรู้จักพอเราจะเบียดเบียนทำร้าย คนไหม ไม่มีทาง แต่มนุษย์ไม่เคยพอมีก็เหมือนไม่มี จึงทำให้มนุษย์นั้นอยากไม่รู้จักจบสิ้น ยิ่งถมความอยาก ทะเลแห่งความอยากก็ถมไม่เคยเต็ม ยากมากถ้าจะอยู่กับคนที่คอรัปชั่นแล้วต้องรักษาความดีให้ได้ อย่าเผลอไปคอรัปชั่นกับเขานะ เอาไหมอาจารย์ให้สิ่งที่เป็นมงคล มังคุด ดีไหม (ดี) ชื่อดีไม่ดี ชื่อไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ความประพฤติ ถ้าคนเรารู้จักทำดีชื่อก็ไม่ได้สำคัญหรอก แล้วศิษย์รู้ไหมว่าคนที่โลภ ไม่รู้จักพอ แล้วไม่สามารถรักษาคุณธรรมของความเป็นคนได้สักข้อหนึ่ง วันๆ มีแต่แสวงหา โดยไม่คิดหาคุณธรรม ถึงที่สุดชะตาชีวิตเขาจะกลายไปเป็นสัตว์อะไร
เป็นเปรตที่กินอย่างไรก็ ไม่มีวันอิ่ม  ฉะนั้นใครอยากทำชั่วปล่อยเขา ถ้าเราพูดเตือนแล้วเขาไม่เชื่อก็พอ อย่าพูดมากเกินไป เพราะไม่เช่นนั้นเขาอาจจะกำจัดเราทิ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นจำไว้นะ สิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์ก็คือ ถ้าเกิดเป็นคนโดยไม่แสวงหาโดยไม่คำนึงถึงคุณงามความดี ถึงที่สุดแล้วเรานั่นแหละคือคนที่กำหนดชะตาชีวิตให้ตัวเองไปเป็นเปรต อยาก ไปไหม (ไม่อยาก)  ก็ถ้าวันนี้ศิษย์กินไม่เคยอิ่ม อยากไม่เคยพอ ศิษย์ก็คือคนที่กำหนดชะตาชีวิตให้ตัวเองไปเป็นเปรตนะ คุณธรรมแห่งความเป็นคนสักข้อหนึ่งรักษาได้ไหม (ได้)  ไม่โกหกเลยได้ไหม ข้อที่ง่ายที่สุดศิษย์ยังทำไม่ได้เลย รู้จักเมตตาไม่เบียดเบียนคนอื่นได้ไหม (ได้)  ไม่เอาชีวิตเขามาบำรุงบำเรอชีวิตเรา ได้ไหม (ได้)  สามอย่าง เห็นไหมศิษย์คิดให้ดีๆ นะ  คุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคนข้อแรกคือ เมตตา ข้อสองคือ มโนธรรมสำนึก  ข้อสามคือ จริยธรรม  ข้อสี่คือ  ไม่รู้เรื่องเลยหรือ ฉะนั้นเกิดเป็นคนจะต้องรักษาคุณธรรมแห่งความเป็นคนให้ครบนะ ถ้าไม่ครบแล้วยังปล่อยให้ตัวเองมีความโลภเป็นหลัก ศิษย์ก็คือ คนที่กำหนดชะตาชีวิตว่าตายไปแล้ว ศิษย์จะยอมเป็นเปรต  โกรธมันแล้ว อะไรนิดอะไรหน่อยก็ขี้หงุดหงิด  ขี้โมโห  ขี้บ่น  จอมว่า  ตายไปแล้วเป็นอะไรไหม ตกนรกให้ไฟอเวจีเผาผลาญความร้อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ว่าได้แม้กระทั่งพ่อแม่ตัวเอง นี่แหละคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับคนที่มีความโกรธ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ส่วนความหลงน่ากลัวที่สุดเป็นอะไร  สัตว์เดรัจฉาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลงไปกับสิ่งที่ตาเห็น หลงไปกับสิ่งที่ลิ้นชอบกิน ปากชอบกิน เราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  มีชีวิตต้องกินอร่อย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเมื่อสักครู่บอกไม่เป็น ตกลงเป็นหรือไม่เป็น


ฉะนั้นศิษย์จงจำไว้นะ ภพภูมิแห่งมนุษย์เป็นภพภูมิที่ประเสริฐ ถ้าเราสามารถละชั่ว หมั่นสร้างกุศลทำคุณงามความดีจนถึงที่สุด ศิษย์จะสามารถพ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้ แต่ถ้าเกิดว่าศิษย์ยังไม่รู้จักละชั่ว ยังประพฤติชั่วอีก ศิษย์ก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์แล้วทุกข์เล่าในโลกใบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าความชั่วน่ากลัวไหม (น่ากลัว) เพราะพระพุทธะกล่าวไว้ว่า ระหว่างความชั่วกับความตาย  ความตายยังไม่น่ากลัวเท่ากับความชั่ว  เพราะคนที่ประพฤติชั่ว ทำให้ตัวเองนั้นต้องตายแล้วตายอีก คิดแล้วคิดอีก  จำไว้นะ  เพราะฉะนั้นเกิดเป็นคนเส้นแบ่งระหว่างดีกับชั่ว อยู่ที่ชั่วขณะศิษย์ตัดสินใจ เราตบทีหนึ่งโกรธไหม (โกรธ)  โดนด่าทีหนึ่ง โมโหไหม (โมโห)  พูดจนถึงที่สุดตบทีหนึ่งโกรธ ด่าทีหนึ่งด่า แล้วอย่างนี้จะได้อะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญตอนไหน ก็บำเพ็ญตอนที่ถูกตบถูกด่า ก็บำเพ็ญตอนนี้แหละ
จะด่ากลับไหม (ไม่) ถ้าศิษย์ด่ากลับ ศิษย์ก็คือคนที่หลงตัวเองและโกรธเขา มีทั้งความชั่วในความโกรธและความหลง และก็มีการด่าด้วยคือ อย่ามาด่าฉัน ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมก็คือ การปฏิบัติอยู่ในทุกขณะจิตที่ตาเห็น หูได้ยิน มือขยับเขยื้อน เท้าเดิน เมื่อมีเกิดขึ้นเหมือนเรามองเห็น เราอยากได้ไหม (อยากได้) ถ้าอยากได้ ศิษย์ก็ต้องดูด้วยว่าความอยากนี้มันทำเรากลายเป็นคนอยากและขาดคุณธรรมไหม อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ช่วงที่ราคายางขึ้นสูง ใครๆ ก็อยากขายยาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราไม่มียางทำอย่างไร เห็นคนข้างๆ เขากรีดยางเสร็จแล้ว ยางตากเรียบร้อยแล้วขโมยเลยดีไหม อย่าเพียง เพราะความอยากทำให้ลืมคุณธรรมแห่งความเป็นคน ถ้าทำถึงขนาดนี้ศิษย์ก็คือคนที่ชั่วร้ายและปล่อยให้ความชั่วฆ่าตัวเอง ศัตรูภายนอกไม่น่ากลัวเท่ากับศัตรูที่เกิดจากตัวเองที่หลงผิดไปตามความโลภ ความโกรธ ความหลง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นเวลาโดนคนว่าก็ตาม โดนคนเอาของไปไม่คืนก็ตาม โดนเพื่อนกินแรงก็ตาม เราอดทนได้ไหม (ได้)  อยู่ๆ เตะมันเลย อดทนได้ไหม (ได้)
ฉะนั้นสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ อย่าไปดู อย่าไปทำ มนุษย์ภาคใต้ชอบมากที่สุดคือ แข่งนก แข่งวัว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วชีวิตเป็นอย่างไร อยู่ดีๆ ไม่มีเรื่องมีราวอะไร ก็โดนยิง กรรมมาถึงแล้ว เพราะว่าอะไร สัตว์มันอยู่ของมันดีๆ แต่หาเรื่องให้มีเรื่องกัน แล้วคนใต้เป็นอย่างไร ต้องรับผลกับภัยที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อ ศิษย์น่ารักของอาจารย์ ทำไมทั้งบุหรี่ทั้งเหล้า เอาหมดเลยหรือ ต้นเหตุแห่งความทุกข์ยากที่มนุษย์หามา กว่าจะสูบได้ก็แย่แล้ว สูบแล้วเลิกไม่ได้ก็นรกชัดๆ  อย่าทำร้ายตัวเองด้วยสิ่งที่ไม่ควรทำ
สิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์นอกจากความชั่วร้ายแล้ว สิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างก็คือความทุกข์ มนุษย์ไม่เคยหนีความทุกข์ในตนได้สักที อาจารย์ถามสำหรับคนที่ไม่ได้ตอบอาจารย์ ทุกข์อะไรนะที่แก้ยากที่สุด (ใจ, กาย)  ฝ่ายหญิงมักจะทุกข์ใจมากกว่าใช่ไหม (ใช่) ฝ่ายชายชอบประพฤติผิดใช่หรือไม่ ฝ่ายชายเงียบไม่พูด แปลว่าทำผิดจริงๆ ใช่หรือไม่ มนุษย์นั้นหนีไม่พ้นความทุกข์ และทุกข์ที่มีบ่อยที่สุดคือ เรายากตัดอกตัดใจ เพราะว่าเรามักจะหวังให้สิ่งที่เรารักให้สิ่งที่เราชอบนั้นเป็นอย่างที่เรา นึก แต่ศิษย์อย่าลืมนะว่า ในโลกกลมๆ ใบนี้ เป็นโลกแห่งความเปลี่ยนแปลง เราหวังให้ทุกๆสิ่งนั้นนิ่งตายตัวเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)   มีวันรัก ก็มีวันเกลียด
เริ่มจะเบื่อก่อนแล้วค่อยเกลียด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจะหวังให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นอย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ขนาดนิ้วยังไม่เท่ากันเลยนะศิษย์ ถูกหรือเปล่า อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ เลยนะ ไหนใครอายุสี่สิบยืนขึ้น  ใครสี่สิบออกมา  สี่สิบนะศิษย์ดูซิยังไม่เท่ากันเลย  อายุสี่สิบเป็นไง เท่ากันไหม (ไม่เท่า)    ใครห้าสิบ  เป็นอย่างไร ดูต่างกันไหม เห็นไหม  ถ้าเกิดว่าให้ยืนสลับกันศิษย์จะดูออกไหมว่าใครสี่สิบใครห้าสิบ (ไม่ออก)  ใช่หรือไม่ 
ฉะนั้นบางครั้งมนุษย์เราจะไปคิดอะไรกับอายุ จะไปทุกข์อะไรกับสิ่งมีชีวิต เพราะขึ้นชื่อว่าชีวิตนั้นคือสิ่งที่หนีไม่พ้นความเปลี่ยนแปลง ถ้าเราหวังยึดให้มันต้องเป็นไปแบบนี้ เราก็คือคนที่หวังจะเป็นอัมพาตอัมพฤกษ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และหวังที่จะให้ทุกคนเป็นอย่างที่เราคิด เราก็คือคนที่หลอกลวง เพราะโลกแห่งความเป็นจริง เป็นโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ไม่จบสิ้น  เราบอกว่าเปลี่ยนแล้วไม่ดี ไม่แน่เปลี่ยนแล้วอาจจะดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไหนใครบอกว่าแก่แล้วไม่ดี อาจารย์บอกแก่แล้วก็ดี จริงไหม  ฉะนั้นสี่สิบอย่ากลัวห้าสิบ ถ้ารู้จักดูแลชีวิตดีๆ ห้าสิบก็เหมือนสี่สิบ   ฉะนั้นอย่าทุกข์กับความเป็นจริงในโลก เพราะสิ่งต่างๆ ล้วนมีคุณค่าและความหมายในตัวเอง
(ทุกข์เพราะอยากมีอยากรวย) รวยถ้าไม่มีใครรักบางทีก็ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)   รวยแล้วตอนนี้โชคดี  แต่ต่อไปโชคร้ายหมดก็ไม่ดี มีใครจะตอบอาจารย์อีก (ประสบความรักที่ไม่สมหวัง)  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัย ถ้าบุญคู่กันอย่างไรก็คู่กัน บางทีอยู่คนเดียวอาจจะเป็นสุขกว่า (การไม่รู้จักพอ,ลูกหลาน,ความเจ็บปวด,) มีร่างกายให้เจ็บปวดดีกว่าไม่มีร่างกายให้เจ็บปวด (ปัญหา)  ปัญหาเกิดจากอะไร เกิดจากการไม่ยอมรับความจริง (ไม่สมหวังในชีวิต, พลัดพราก, ยากลำบาก, ไม่มีเงิน) ต้องรู้จักทำมาหากิน รู้จักใช้ ถ้าขยัน ทำมาหากิน ก็จะได้มีเงิน (เจ็บป่วย, การเปลี่ยนแปลง, สังขาร) ทุกข์เพราะติดบุหรี่ และหลงตัวเองใช่หรือเปล่า คนนี้หล่อไหมศิษย์ ไม่หล่อหรอก เดี๋ยวชมเขามากเขาจะยิ่งทุกข์
(ทุกข์กับสิ่งแวดล้อม) ถ้าทำได้ดี รู้จักถนอม รู้จักใช้ สิ่งแวดล้อมก็ไม่ก่อโทษให้เราหรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  (พระอาจารย์เมตตาให้เล่นเกมส่งผลไม้ แข่งขันระหว่างแถว) ทุกข์อะไร  (เลี้ยงลูกไม่ได้ดี)  บางทีก็ต้องทำใจ พูดน้อยๆ ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น จะได้ไม่ทุกข์นะ (กลัวแก่ ไม่มีลูกหลานดูแล)  ถ้าตอนเรามีชีวิต เรารู้จักให้ เรามีน้ำใจ เพื่อนบ้านจะไม่ทอดทิ้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ห่วงลูกหลาน)  ตอนนี้ให้ห่วงตัวเองก่อน ห่วงลูกหลานแต่ถ้าเขาไม่เอาเราก็ไม่มีประโยชน์ ถูกหรือไม่ (ติดหนี้สามหมื่นอยากให้อาจารย์ช่วย)  มีหนี้ก็ต้องใช้ ถ้าศิษย์ไม่ใช้ ศิษย์อาจจะกลับมาเกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้ ฉะนั้นต้องใช้ด้วยความใจเย็น มีความสุข อย่าไปทุกข์กับมันนะ (คิดมาก) คิดในสิ่งที่ควรคิด คิดมากไปก็ไม่สบาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ต้องกล้ารับ คิดมากไป ศิษย์จะอุดอู้ ไม่มีประโยชน์ สู้กล้าเผชิญความจริงด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง เราก็จะฟันฝ่าอุปสรรคได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  (ความพลัดพรากสูญเสียคนที่รัก)  มีใครบ้างในโลกที่ไม่สูญเสีย การพลัดพรากก็อาจจะมีดีตรงที่ทำให้เรารู้จักคุณค่า คุณค่าของคนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ทำให้ดีที่สุด เมื่อถึงเวลาเขาจากไป เราจะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง (การเรียน)  ต้องรู้จักขยัน ตั้งใจฟัง ไม่มัวแต่มองหนุ่มๆ (อยากรวย)  ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า คนที่มีบุญวาสนา ทำอะไรนิดๆ หน่อยก็รวย แต่บางคนไม่มีบุญวาสนา ทำให้ตายก็ไม่รวย ฉะนั้นบุญวาสนาอยู่ที่ตัวเราสั่งสม รู้จักให้ รู้จักเมตตา รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไหม (การสูญเสียสิ่งที่รัก)
ทุกคนต้องสูญเสียทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)   แต่ตอนที่เขามีชีวิตอยู่เราต้องทำกับเขาให้ดีที่สุด เมื่อตอนเขาจากไปเราจะได้ไม่เสียใจ  แต่ตอนนี้เราเสียไปแล้วหรือยัง เสียไปแล้วด้วยและยังไม่เสียด้วย ฉะนั้นจงรักษาสิ่งที่ยังไม่เสียให้ดี ส่วนสิ่งที่เสียแล้วเราก็ต้องเอาเป็นบทเรียนสอนใจ (โรคประจำตัว)  เพราะกรรมที่เราทำเขามาเราต้องชดใช้ให้เขาไป (ทำบุญอย่างไรให้บรรพบุรุษให้ถึงไหม)  ได้อยู่แล้วแต่ต้องดูด้วยว่าวาระเขาเหมาะได้รับหรือไม่ ถ้าเขาอยู่ในที่ต่ำและลึกที่สุดบุญบางทีก็อาจไปไม่ถึง บุญนั้นก็ต้องสะอาดและบริสุทธิ์ ถ้าบุญนั้นยังแปดเปื้อนไปด้วยเลือดและกลิ่นคาวด้วยความอาฆาตแค้น มันก็ไม่ใช่เรียกว่าบุญนะศิษย์ บุญที่ประเสริฐสุดคือบุญที่ไม่เบียดเบียนชีวิต (พระอาจารย์เมตตาให้ศิษย์เล่นเกมส่งต่อขนม)

(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนเล่นส่งถุงลูกอมพร้อมเปิดเพลง)  อาจารย์ว่าต้องเขียนหมายเลข เพราะรู้สึกว่าบางถุงมันไม่ใช่แถวของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อ้าวนั่งลง อ้าวปรบมือ  หายง่วงหรือยัง (หายแล้ว)  อยากดูแถวไหนเต้นเป็ดไหม (ไม่อยาก)  ถ้าอยากดูเดี๋ยวอาจารย์จะจับทุกคนยืนเต้นเป็ดให้หมดเลย  เสร็จแล้วยัง
มนุษย์มักจะทุกข์กับอะไร ศิษย์ก็ได้ตอบไปแล้ว บางคนบอกว่าทุกข์กับตัวทุกข์กับใจ แต่อาจารย์อยากจะบอกกับศิษย์ว่าสิ่งที่เรียกว่าทุกข์นั้น อาจารย์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อะไรรู้ไหม  มนุษย์เราเพราะมีสังขาร การยึดมั่นถือมั่นในตัวตนไม่พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ก็วิ่งไปตามกิเลสและ อารมณ์ แต่ถ้ามนุษย์เรารู้จักพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมี แล้วสิ่งที่ตนมีนั้น แท้จริงแล้ว มันไม่น่ายึดเลย สิ่งที่เราพยายามจะมีและเรียกตัวเอง ว่าตัวตน เรียกว่าคน แท้จริงแล้วสิ่งนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอะไรนะศิษย์  เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "กองทุกข์"  ขึ้นชื่อว่าสรรพสิ่งนี้ หนีไม่พ้นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไร้ตัวตน พูดถึงกองทุกข์ แล้วศิษย์ยังรักกองทุกข์นี้ ไหม ก็ยังรัก อาจารย์จึงเปลี่ยนนิยามใหม่ ไม่เรียกว่ากองทุกข์ เปลี่ยนเป็น "ถุงขี้" ออกจากปากเรียกว่า "ขี้ปาก" จากหู "ขี้หู" จากตา "ขี้ตา" จากก้น "ขี้ก้น" ขี้เฉยๆ ไม่ต้องเรียกว่าขี้ก้น ออกจากตัวก็เรียกว่าขี้ไคล  ฉะนั้นสิ่งนี้อาจารย์เรียกว่าถุงขี้ ชอบไหม ชอบ  แล้วหาทุกสิ่งทุกอย่างจนกลายเป็นคนที่ขาดคุณธรรม เพื่อมาบำรุงบำเรอ "ถุงขี้"  ขี้กองเดียวเหม็นไหม แล้วยังอยากหาอีกไหม หาขี้สวยๆ เหม็นๆ มาขึ้นกับเรา เหม็นไหม  (เหม็น)  แรกๆ ก็หอม นานๆ ไปมันเริ่มเหม็นใช่หรือไม่  (ใช่)  ลูกเรา บอกว่าน่ารัก  นานๆ ไป เหม็นชะมัดเลยลูก
ฉะนั้นร่างกายที่เรายึดมั่นถือมั่นเราเรียกว่าตัวตน พุทธมองเห็นว่าคือความเปลี่ยนแปลง เป็นกองทุกข์ เป็นถุงขี้ หาความมีตัวตนไม่ได้ แต่มนุษย์ก็หลง และทำทุกอย่างจนขาดความเป็นคน เพื่อถุงขี้นี้ แถมยังเอาบุหรี่ เหล้ามายัดใส่ถุงขี้นี้  โง่ ไหม หาเงินแทบตาย เอามาเผาๆ แล้วก็เอาใส่ถุงขี้
ฉะนั้นคิดให้ดีๆ นะ เรามีชีวิตสิ่งที่ประเสริฐกว่าถุงขี้คือ  คุณธรรมในจิตใจ ใช่หรือไม่ และคุณธรรมนี่แหละ สามารถทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้ แต่ถ้ามนุษย์ยังปล่อยให้ โลภ โกรธ หลง และมัวบำรุงบำเรอถุงขี้ คนนั้นคือ คนโง่ที่กอดกองขี้ และก็รักขี้ อาจารย์พูดจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และศิษย์ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ใช่หรือหรือไม่ (ใช่)  เจ็บอะไร เจ็บขี้ จริงๆ น่ะ เจ็บบ้างหรือยัง (ในชั้นมีศิษย์บอกว่าไม่สบาย)  ลูกศิษย์ไม่สบายก็ต้องรักษาไปตามเหตุปัจจัย  อาจารย์อยากบอกว่าคนในโลกมีใครบ้างไม่เจ็บป่วย มีใครบ้างไม่พลัดพรากจากสิ่งที่รัก มีใครบ้างไม่ต้องทุกข์ ทุกคนล้วนต้องทุกข์ ต้องพลัดพราก ต้องเจ็บป่วย แต่ถ้ารักษาจนถึงที่สุดแล้ว ไม่หาย เราก็ต้องฝึกใจตัวเองให้เข้มแข็ง เอาชนะโรคให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  กายเจ็บใจไม่เจ็บได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์เห็นเวลาคนเขาด่าเรามาทีหนึ่ง ถ้าตอนนี้เรามีความสุข ทำไมศิษย์ถึงไม่เจ็บเลยล่ะ ก็เพราะเรามีความสุขที่เต็มล้นอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้ศิษย์มีความทุกข์ เขาไม่ทันด่าอะไร ศิษย์ก็ทุกข์ แต่ถ้าตอนนี้ศิษย์มีความสุขใครด่าอย่างไรก็เฉยๆ เพราะตอนนี้ศิษย์รู้สึกดีๆ ฉะนั้นสุขทุกข์อยู่ที่ใจ แม้จะเจ็บปวดกายก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าใจเราไม่เจ็บป่วย ฉะนั้นเกิดเป็นคนจงรู้จักพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมี ความสุขพื้นฐานก็คือพอใจในสิ่งที่ตนเองมีให้ได้ก่อน ถ้าไม่พอใจศิษย์ก็ทุกข์อยู่ทุกๆ วัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นฝึกร้องเพลงทำนองราชสีห์กับหนู) 
อาจารย์ไปแล้วนะ ได้ไหม (ไม่ได้)  อาจารย์ไปก่อนนะ มีโอกาสคงได้กลับมาเจอกันอีกนะศิษย์นะ เพราะว่าศิษย์ยังต้องมีสิ่งที่ต้องตั้งใจฟังอีก  แล้วเดี๋ยวต้องกลับบ้านอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บ้านของถุงขี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์จำไว้นะ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยงแท้ สิ่งที่ศิษย์เห็นว่ามีแท้จริงแล้วอาจจะไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนสิ่งที่ศิษย์เห็นคุณธรรมดูเหมือนไม่มี แต่ถ้าปฏิบัติให้ดี ล้วนนำพาให้มนุษย์ไปสู่ที่ๆ พ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หน้าตานี้มันเป็นแค่ถุงขี้แค่นั้นเองนะ  รักมันมาก แต่ก็ทำให้กลายเป็นรักแล้วขาดคุณธรรมแล้วก็ไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จงรักแล้วมีคุณธรรมยิ่งกว่าความเป็นคน ถึงจะประเสริฐกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้มีศิษย์มาจากหลายๆ ที่  ไหนใครมากจากสิงคโปร์  เขาฟังไม่รู้เรื่องแต่เขายังยืนฟังอยู่ตอนนี้  ปรบมือให้เขาหน่อยนะ  เขามาช่วยงาน แต่ศิษย์ไม่รู้เลยนะ ดูเพื่อนกันหมดเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดูเหมือนคนไทยหมดเลย จริงๆ แล้วไม่มีความแตกต่าง ไม่ว่าจะมาจากสิงคโปร์ มาเลเซีย ทุกคนล้วนมีความเป็นคนเท่าเทียมกัน  ทุกคนล้วนมีจิตแห่งพุทธะเท่าเทียมกัน  แต่ต่างกันตรงที่จิตตรงนั้นรู้ตื่นหรือยัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราบำเพ็ญถึงที่สุดไม่ใช่ยึดมั่นถือมั่นความดี แต่เราบำเพ็ญถึงที่สุดคือ กลับคืนสู่ความสงบอันแท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความดีก็ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้นะ แต่สิ่งที่นำพาจิตศิษย์ไปหาอาจารย์ได้คือ ความสงบอันแท้จริงที่บริสุทธิ์ ไม่มีแม้กระทั่งตัวเขา หรือตัวเรา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเท่าเทียมกันหมด อาจารย์ไปแล้วนะ ศิษย์ดูแลตัวเองให้ดีๆ  ขนมที่ถือไว้แจกๆ เพื่อนนะ ได้ไหม (ได้)  มีโอกาสคงมาผูกบุญสัมพันธ์กันอีกนะศิษย์นะ ตั้งใจสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม อะไรรู้ว่าไม่ดีก็เลิกเถอะ ใช่หรือเปล่า  เสียดายที่ไม่ตอบอาจารย์นะ อาจารย์ไม่เคยหลอกลวงศิษย์ อาจารย์มีแต่ความจริงใจ กลัวอย่างเดียว ศิษย์ของอาจารย์หลอกอาจารย์ ใช่หรือไม่  หลอกว่าจะทำดี แต่ถึงเวลาก็ดื้อไม่ทำสิ่งที่ดีใช่ไหม  ดูแลตัวเองกันดีๆ นะ  ชีวิตนี้ไม่เที่ยง แต่สิ่งที่เที่ยงแท้ที่สุด คือ จิตที่ดีงาม ใช่หรือไม่   ดูแลตัวเอง รู้จักรักตัวเอง และรู้จักรักผู้อื่น  กลับมาหาอาจารย์อีกนะ  ตั้งใจบำเพ็ญเพื่อตัวเอง ศรัทธาในความดีงามที่ตัวเองมี ไม่ต้องทำเพื่ออาจารย์ แต่ทำเพื่อตัวศิษย์เอง ได้ไหม
ห่วงลูกอมจนไม่ห่วงอาจารย์แล้วหรือ ได้ก็ได้นะ ไม่อย่างนั้นศิษย์นั่นแหละคือคนที่ทำร้ายตัวเอง  สิ่งใดที่ดีอาจารย์ก็อยากมอบให้ศิษย์ แต่ศิษย์ก็ต้องรู้จักรักษาความดีนะ   รู้จักปฏิบัติดี ทำสิ่งที่ถูกต้องอย่าดื้อเลยนะ ไปกับอาจารย์นะ ตั้งใจบำเพ็ญ  อดทนตั้งใจบำเพ็ญ อยู่บนโลกนี้ต้องมีความกล้า กล้าที่จะเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่นนะ  อาจารย์ไปแล้วนะ  ต้องทำให้ได้นะ มีโอกาสอาจารย์จะอธิบาย ตั้งใจบำเพ็ญนะ ศิษย์รัก 
(อาจารย์เมตตากับนักเรียนในชั้น)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์นะ ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงามด้วยคุณธรรมแห่งความเป็นคน อย่าคิดผิด อย่าทำผิด เพราะสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งตัวกำหนดชะตาชีวิตของศิษย์ เพราะคิดผิดเพียงชั่ววูบ ศิษย์อาจต้องทุกข์แล้วทุกข์อีก ทุกข์ในโลกยังไม่พออีกหรือ  ฉะนั้นต้องรู้จักระมัดระวังตัวเองนิดนึง ก้าวไม่ผิดศิษย์ก็ไม่ต้องทุกข์ซ้ำกับการเวียนว่าย ก้าวต้องก้าวให้ถูกด้วยจิตใจที่สุขุมรอบคอบ เราจะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง เราคือผู้กำหนดชะตาชีวิตตัวเองในอนาคต ฉะนั้นอยากได้อนาคตที่ดี จงสร้างแต่สิ่งที่ดีงาม ที่ทำและไม่เสียใจไปตลอดชีวิต นั้นคือความเป็นคนที่รู้จักเมตตา ให้อภัย ได้ไหม (ได้)

 



อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา