แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ฮั่นจงหลี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ฮั่นจงหลี แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

2562-11-30 สถานธรรมหมิงอี้ จ.ตาก

西元二○一九年歲次己亥十一月初五日                   仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒                   สถานธรรมหมิงอี้ จ.ตาก
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี
  เมื่อเริ่มต้นก็ต้องไปให้ถึงสุด         อย่าเดินเดินหยุดหยุดหมดความหมาย
เมื่อเข้าใจก็ต้องเดินให้ถึงชัย           ความลำบากคัดคนให้ใครเก่งจริง
                              เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบอัญชุลี
องค์มารดา                               ถามเมธีทุกท่านเกษมสำราญฤๅ
   ตามรอยเท้าแห่งอริยาแนบสนิท     หมุนชีวิตแห่งกงล้อบาปบุญเคลื่อน
ประสบการณ์ล้วนแล้วเป็นเครื่องเตือน      ไว้เป็นประกันเหมือนสัจธรรมความจริง
ความเหงาเศร้าอันวิเวกน่าสะพรึง     เหงาที่หนึ่งเป็นหนีหลีกสรรพสิ่ง
ปกติคงไว้ยากมีใครนิ่ง                  แยกแยะความสิ่งสิ่งนั้นอะไร
ถือสาจริงได้ทุกข์เองนั้นสนอง         วัฏจักรล้วนต้องเป็นไปเช่นไหน
อุเบกขาใดสิ่งทำก่อนทำใจ             รวบรวมนั้นสิ่งกระจัดกระจายหนียิ่งลึก
รู้จักทำใจได้ไม่หมองหม่น              ขณะพ้นไม่สร้างแต่รู้สึก
ประเมินผลตระหนักเหตุทุกข์รู้ลึก     ให้มาฝึกปล่อยวางเพิ่มหวั่นลำพอง
ไม่ข่มเหงไม่ก่อบาปพยาบาท          ไม่เร่งบำเพ็ญเกรงอำนาจชวนผยอง
คนบำเพ็ญฝึกอ่อนน้อมตามครรลอง  ปฏิบัติธรรมเตือนตนต้องประจำวัน
คนไม่มีดีพร้อมโดยธรรมชาติ          หากไม่ขาดก็เกินต้องบากบั่น
เข็นครกขึ้นภูเขาต้องฝ่าฟัน            นอกในใจนั้นมีธรรมครอง
                                                                                                               ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี


ทำอะไรต้องทำจริง เมื่อมุ่งมั่นแล้วก็ต้องไปให้สุด ใครเปลี่ยนใจมาวันนี้วันเดียวพอ (ไม่เปลี่ยน)  อยากจะรู้อะไรก็ควรรู้ให้ชัดก่อนที่จะปฏิเสธ จะได้ไม่เสียโอกาส หรือเสียสิ่งที่ไม่น่าจะเสียไป การศึกษาธรรม สิ่งที่สำคัญคือ เรียนรู้ใจตน ผ่อนปรนเรื่องผู้อื่น จะปฏิบัติธรรมไม่ใช่เอาธรรมะไปตีกรอบวัดค่าใคร ไปตรวจสอบใคร แต่ผู้ปฏิบัติธรรมคือผู้ที่เข้มงวดตนเอง ผ่อนปรนผู้อื่น แก้ไขตัวเองไม่แก้ไขผู้อื่น เรียกว่าหนทางที่ถูกต้องในการปฏิบัติธรรม แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเราปฏิบัติธรรมเข้มงวดผู้อื่น ผ่อนปรนตัวเอง เรียกร้องผู้อื่น แต่ลืมเรียกร้องใจตน เช่นนี้ไม่ถูกต้อง
บางครั้งการนิ่งเงียบคือธรรมะที่ดีที่สุด เพราะหนึ่งคำพูดคือหนึ่งความคิดเห็น และหนึ่งความคิดเห็น ชอบตัดสินผู้คนว่าถูกว่าผิด ทั้งที่จริงๆ แล้ว ทุกความคิดเห็นมีทั้งถูกและผิด แต่ถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นจริงตามธรรมชาติ สิ่งที่ดีที่สุดบางครั้งก็คือการนิ่งเงียบและยอมรับความจริง ซึ่งบางทีชีวิตเราลืมตรงนี้ไป เรื่องบางเรื่องเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เราไม่มีส่วนรู้เห็น แต่เราก็ทำตัวเหมือนรู้ไปหมด ใช่หรือไม่
เรื่องบางเรื่องเรายังไม่เข้าใจแจ่มชัด แต่เราก็คิดว่าเรารู้ชัด จนถึงที่สุดแล้วชีวิตเป็นสิ่งที่ยาก ยากจะทำให้ดีที่สุด ใช่หรือเปล่า ท่านว่าโลกนี้น่าอยู่เพราะ (มีธรรมะ)  มีธรรมะ แล้วทุกวันเรามีธรรมะไหม (มีบ้างไม่มีบ้าง)  ชีวิตก็เลยน่าอยู่บ้าง ไม่น่าอยู่บ้าง แล้วเรายังมีชีวิตอยู่ได้เพราะ (เรามีธรรมะในใจ)  อย่างนั้นเมื่อไรไม่มีธรรมะ ก็ขาดชีวิตชีวาใช่ไหม ไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรถูก เมื่อพูดถึงธรรมะและความเป็นจริงในชีวิต
เคยได้ยินไหมว่าถ้าไม่มีคนๆ หนึ่งเสียสละเพื่อเรา เราจะยังอยู่บนโลกนี้ได้ไหม ถ้าไม่มีคนที่รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ และเห็นผู้อื่นสำคัญกว่าตัวเอง จะมีเราอยู่บนโลกนี้ได้ไหม แต่พูดอย่างนี้คงนึกไม่ออกใช่ไหม มีคนๆ หนึ่งที่กินอิ่มและอยู่สบายโดยที่ไม่ต้องทำอะไร เพราะมีคนที่ยอมลำบาก เพื่อให้เรากินอิ่มและอยู่สบาย
โลกนี้น่าอยู่และเรายังมีชีวิตอยู่ได้ เพราะมนุษย์รู้จักเห็นคุณค่าของผู้อื่นมากกว่าตัวเอง และรู้จักเสียสละผลประโยชน์ส่วนตน เสียสละความสุขส่วนตนเพื่อคนอื่น วันนี้เรามีเงินใช้ มีเงินเที่ยว มีชีวิตอยู่ได้จนเติบโตทุกวันนี้ เพราะความรับผิดชอบของพ่อแม่ เพราะความเสียสละความสุขตัวเองเพื่อลูก ถูกไหม (ถูก)  เราเกิดเป็นคน เราจะห่วงแต่ความสุขตนจนไม่นึกถึงความสุขผู้อื่นได้ไหม (ไม่ได้)  โลกนี้น่าอยู่ก็เพราะมีผู้เสียสละ เพราะมีผู้เมตตา เพราะมีคนที่เมื่อมีความสุขคิดถึงคนที่ทุกข์ เมื่อได้ดีคิดถึงคนที่โชคร้าย จริงไหม (จริง)  แต่มนุษย์มักจะให้เหตุผลในการทำดีว่า ขอให้มั่งมีก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยอนุเคราะห์ช่วยเหลือคน ถ้าคิดอย่างนี้พ่อแม่คงไม่ต้องดูแลเรา เพราะพ่อแม่ทำทุกอย่างเพื่อจะให้มีฐานะและมาดูแลเรา ถูกไหม (ถูก)     วันหนึ่งถ้าเรามีโอกาสเป็นพ่อแม่บ้าง แล้วเราไม่เคยคิดเสียสละเลย เราจะเลี้ยงลูกได้สำเร็จไหม และชีวิตนี้จะมีรุ่นต่อไปไหม (ไม่มี)  ถ้าทุกคนคิดแค่เพียงว่า ขอตัวเองมีก่อน แล้วค่อยช่วยคนอื่น แล้วเราจะมีรุ่นหลังให้สืบต่อไหม (ไม่มี) 
โลกนี้น่าอยู่ได้และเรายังคงอยู่ได้เพราะเมื่อเราสุขนึกถึงคนที่ทุกข์ เมื่อเรามีนึกถึงคนที่ไร้ ไม่จำเป็นจะต้องรอจนร่ำรวยแล้วถึงให้ เพราะถ้าคิดแบบนั้นคงไม่มีวันให้ใครได้ จริงไหม (จริง)  เมื่อไรเรารวย (ไม่ทราบ)  เมื่อไรเราพอ (ไม่มี)  มีแต่ว่ายิ่งให้ก็ (ยิ่งได้)  แต่มีคนคิดจะให้ไหม ในเมื่อตัวเองยังบอกว่าตัวเองยังไม่ได้เลย  ฉะนั้นมีน้อยแต่ยังได้ให้ ดีกว่ารอจนสมบูรณ์แล้วไม่เคยให้ใครเลย เช่นนี้น่าเสียดาย
อยากเกิดเป็นคนที่มีเท่าไรก็ให้ หรือเกิดมาเป็นคนที่มีแต่ได้รับ ท่านอยากเกิดเป็นคนประเภทใด (คนที่มีแล้วให้)  เราว่าไม่จริงนะ เพราะชีวิตเกิดมามีแต่ขอ ขอให้รวยก่อน ขอให้ดีก่อน ขอให้สุขก่อน แล้วฉันถึงจะให้ คนที่เกิดมามีแต่ให้ เขาเรียกว่าราชา คนที่เกิดมามีแต่ขอก่อนแล้วค่อยให้ เขาเรียกว่า (ยาจก)
ในเมื่อท่านก็รู้อยู่เต็มอกว่า โลกนี้น่าอยู่และตัวเรานี้ยังอยู่ได้เพราะมีคนเสียสละที่รู้จักคิดถึงสุขของคนอื่นมากกว่าสุขของตัวเอง โลกนี้น่าอยู่เพราะมีคนที่เมื่อตัวเองสุขยังนึกถึงคนที่ทุกข์ และโลกนี้ทำให้เรายังอยู่ได้เพราะว่าความรับผิดชอบของคนที่ยอมเสียสละความสุขของตัวเองเพื่อความสุขของลูกหลาน ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่าอยู่อย่างราชาที่มีแต่ให้ ดีกว่ามีชีวิตอยู่อย่างขอทาน ที่เอาแต่ขอแต่ไม่เคยให้ใคร เพราะตัวเองไม่เคยพอสักที แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม การมาฟังธรรมะ ถ้าท่านไม่ตีกรอบธรรมะว่าจะต้องเป็นพระเทศน์ จะต้องได้ธรรมะเฉพาะในวัด ที่ไหนก็มีธรรมะได้ ท่านก็คงเปิดใจฟังเราได้รู้เรื่อง แต่มนุษย์มักอดไม่ได้ที่จะตีกรอบความรู้ความเข้าใจของตัวเองอย่างยึดมั่นตายตัว ความเป็นจริงล้วนไม่คงที่ ฉะนั้นมั่นใจหรือว่าสิ่งที่เรารู้นั้นเป็นความจริง
มนุษย์มีความรู้ความเข้าใจอยู่ในใจ แล้วเราก็มั่นใจว่าสิ่งที่เรารู้เข้าใจนั้นถูกต้อง เราถามท่านง่ายๆ หนึ่งบวกหนึ่งเป็น (สอง)  แล้วหนึ่งบวกหนึ่งเป็นศูนย์ได้ไหม แล้วหนึ่งบวกหนึ่งติดลบได้ไหม ทำไมไม่เป็นสองล่ะ แอปเปิลรวมกับตัวเราเป็นอะไร หนึ่งหรือสอง ถ้าเราถือก็เป็นแอปเปิลหนึ่งและตัวเราหนึ่ง ถ้ามนุษย์ตีกรอบความจริงว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ แต่มันใช้วัดทุกสิ่งทุกอย่างได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าเกิดว่าแอปเปิลเราได้มาแล้วเรากินไปแล้ว ตอนนี้ก็ยังเหลือเราหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งที่เราอยากจะบอกก็คือ ในโลกของความเป็นจริงเราคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะต้องได้แบบนี้ เรามักมีสูตรสำเร็จ ทำดีต้องได้ดี พูดดีต้องมีคนชม แต่ในโลกของความเป็นจริงทำดีแล้วไม่ได้ดีเป็นไปได้ไหม (ได้)  แล้วการไม่ได้ดีคือเรื่องแย่ไหม โลกนี้เป็นโลกของความสัมพันธ์กัน มีคนเก่งก็ต้องมีคนไม่เก่ง อย่างนั้นหมายความว่าคนไม่เก่งเป็นคนไม่ดีใช่ไหม (ไม่ใช่)  ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อทำดีแล้วโดนว่า อย่างนั้นการโดนว่าไม่ดีใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่าตีกรอบของความคิดตัวเองจนทำให้เราไม่ซื่อตรงกับความจริง อย่าเอากรอบของความรู้ความเข้าใจมามองสรรพสิ่งอย่างตายตัวจนทำให้เราไม่เปิดใจกว้าง เราบอกว่าทำดีต้องได้ดี แต่ถ้าทำดีแล้วไม่ได้ดีนั่นเป็นคนอื่น หรือเป็นเพราะแบบนั้นไม่ดี หรือเป็นเพราะว่าคนอาจจะคิดได้ทั้งดีและไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราเก่งถ้าเราฉลาด เราควรดูถูกคนที่ไม่เก่งไหม เราควรหงุดหงิดกับคนที่สอนยากไหม (ไม่ควร)  คนล้มอย่าข้าม วันนี้เขาไม่เก่งต่อไปเขาอาจจะเก่ง แล้วเราอาจจะไม่เก่ง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่าตีกรอบตายตัวว่าฉันเรียนไม่เก่ง ฉันไม่ประสบผลสำเร็จอะไรเลย ฉันไม่มีดีอะไรเลย คิดแบบนี้ทำร้ายตัวเองไหม ไม่ดูถูกตัวเองจนเกินไป แต่ก็ไม่ใช่จะย่ำอยู่กับที่จนไม่คิดจะพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้า ตอนนี้เรายืนอยู่ตรงนี้ แต่อีกสิบนาทีเรายืนอีกที่หนึ่ง อย่างนั้นคนที่บอกว่าเมื่อสักครู่เรายืนอยู่ตรงนี้เขาพูดผิด คนที่บอกว่าเรายืนอยู่ตรงนั้นคือคนถูก ใช่ไหม (ไม่ใช่)  วันนี้เราพบสุขแต่อีกวันหนึ่งเราพบทุกข์ ชีวิตเราต้องทุกข์แล้วไม่มีวันสุข ใช่ไหม (ไม่ใช่)
ถ้าวันนี้เราโดนคนทำร้าย แล้วเราจำเป็นต้องเกลียดคนที่ทำร้ายไหม เมื่อไรที่คิดจะเกลียดก็แปลว่าเราพร้อมจะทิ้งความสุขและเอาความทุกข์หรือนรกเผาไหม้ใจด้วยความเกลียด อย่างนั้นควรหรือที่จะเกลียด (ไม่ควร)  เขาเกลียดเราวันนี้ แต่เขาอาจจะสอนอะไรดีๆ กับเราในวันหน้า ความเกลียดของเขาในวันนี้ อาจจะให้คุณค่าและความหมายที่แท้จริงที่เราไม่เคยรู้จักตัวเองก็เป็นได้ ยิ่งเขาเกลียดเรามากเท่าไหร่ เรายิ่งต้องดูแลตัวเองให้เข้มแข็งมากเท่านั้น จริงไหม (จริง)  แต่ในทางตรงกันข้าม เขายิ่งรักเรามากเท่าไรทำไมเรายิ่งอ่อนแอมากเท่านั้น ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นควรหรือที่จะเกลียดคนที่น่ารังเกียจ (ไม่ควร)
ไม่มีอะไรจริงเสมอไป และไม่มีอะไรเป็นเช่นนั้นตลอดกาล ขอเพียงเราไม่ดูถูกคุณค่าตัวเองและปล่อยชีวิตเป็นไปตามสิ่งแวดล้อม ชีวิตเราก็อยู่ในกำมือและเราควบคุมได้ เก่งภายนอก แข็งแกร่งภายนอก ไม่สู้ความเก่งที่หนักแน่นและรู้คุณค่าตัวเองในใจ ความแข็งแกร่งภายนอกจะมีประโยชน์อะไรถ้าไร้ซึ่งความแข็งแกร่งและสงบนิ่ง รู้คุณค่าตนในใจ
ต่อไปจะเกลียดคนที่น่ารังเกียจไหม จะเกลียดคนที่ว่าเราไหม (ไม่)  เพราะอะไรหรือ  ในดีมีร้ายในร้ายมีดี ถ้ามนุษย์พยายามหาความสมบูรณ์แบบ มนุษย์อาจจะไม่ซื่อตรงต่อความจริง เพราะมนุษย์มักจะบอกว่า ความสำเร็จ ความงาม ความดี ความสมหวังชัยชนะ หรือความสุข คือสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดในชีวิต เพราะเมื่อใดที่เราบอกว่า สิ่งนั้นคือสุขเราก็ต้องเรียนรู้ทุกข์ สิ่งนั้นสมบูรณ์ เราก็ต้องรู้จักความไม่สมบูรณ์ สิ่งที่ไม่สมบูรณ์สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ แท้จริงแล้วมันใช่ทุกข์ไหม แท้จริงคือสิ่งที่ไม่งามไหม (ไม่ใช่)
มนุษย์มักจะกำหนดสิ่งที่เรียกว่าความสุขคือแบบนี้ เมื่อกำหนดความสุข ความทุกข์ก็บังเกิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เมื่อกำหนดความดี ความไม่ดีก็เกิด เมื่อไรที่เรามีสิ่งที่ชอบ ความไม่ชอบก็เกิด ฉะนั้นสิ่งที่ไม่ชอบ สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ แท้จริงแล้วคือสิ่งที่ไม่ดี จริงหรือไม่ (ไม่จริง)
โลกนี้เป็นโลกของความสัมพันธ์กัน ความเกี่ยวเนื่องซึ่งกัน มีคนดีก็มีคนไม่ดี มีสิ่งที่เรียกว่าสำเร็จก็มีสิ่งที่เรียกว่าล้มเหลว ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์อยากมีธรรมะก็เพราะว่ามนุษย์พบความทุกข์ พบความล้มเหลว พบความพ่ายแพ้ พบความผิดหวัง แล้วชีวิตจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อพบความสุข พบความสำเร็จ ชนะเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ต่อไปแม้เราจะพ่ายแพ้ เราก็เข้าใจความสมบูรณ์ในชีวิต แม้เราจะทุกข์เราก็รู้ว่ามันมี (สุข)  ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกข์กับสุขไม่ได้แยกจากกัน อยู่ที่ใจเรากำหนดเท่านั้นเอง
อยากถามหาความหมายของชีวิต จงอย่าถามใครไกลเกินเอื้อม แต่จงหันกลับมาถามที่ใจตน เพราะถ้าโลกนี้เป็นโลกแห่งความเป็นจริง ผู้มีสติปัญญาเรียนรู้อยู่กับความเป็นจริง ย่อมไม่หวาดหวั่นเมื่อเจอความทุกข์ แต่จะก่อเกิดความเข้าใจและเป็นอิสระ มนุษย์มีเรื่องให้ติดเยอะแยะไปหมด แล้วพอติดก็หนีไม่พ้นความหวาดกลัว และพอกลัวขึ้นมา ทุกข์ขึ้นมา ก็ค่อยนึกถึงธรรม ทั้งที่จริงๆ แล้วผู้ที่กำหนดชีวิตให้สุขทุกข์ไม่ใช่ใคร นอกจากใจเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ระหว่างต้นกล้วยกับต้นทุเรียน ท่านว่าอะไรดีกว่าอะไร (กล้วย)  ชีวิตเราควรเป็นเหมือนต้นทุเรียนหรือต้นกล้วย ต่างก็ดีคนละแบบ ถ้าเกิดว่าทางเลือกมีแค่สอง ท่านก็คิดได้แค่สอง ใช่หรือไม่  มีใครจะบอกว่าจะเป็นทั้งกล้วยและทุเรียนบ้าง กล้วยมีประโยชน์ไหม (มี)  ส่วนไหนมีประโยชน์ (ทั้งต้น)  แต่สิ่งที่น่ากลัวของกล้วยคือ เมื่อหน่ออ่อนแทงยอดมา ต้องฟันหน่อเก่าทิ้ง ถ้ายังเสียดายหน่อเก่าก็จะล้ม หน่อใหม่ก็จะตาย ฉะนั้นในสิ่งที่ดีที่สุดก็ยังมีข้อที่ต้องระวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)
คนบางคนเหมือนต้นกล้วย แต่เพื่อนเราบางคนเหมือนต้นทุเรียน อยู่กันตั้งนานหาอะไรไม่ค่อยเจอ เหมือนอยู่กับสามีอยู่กันตั้งนานกว่าจะออกผลสักทีเหมือนทุเรียนไหม เหมือนเราอยู่กับเพื่อนเราขยันทุกอย่างแต่เพื่อนเป็นเหมือนต้นทุเรียน มีไว้ประดับ นานๆ จะมีค่าสักทีใช่หรือไม่ (ใช่)
ในความเป็นจริงไม่มีอะไรดีพร้อมสมบูรณ์แบบ ในความเป็นจริงไม่มีอะไรที่มีค่ามากกว่าอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีค่าในตัวของตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมจึงไม่ได้สอนให้เรายกตัวเองสูงแล้วข่มคนอื่น แต่การเรียนรู้ธรรมสอนให้เรารู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นต้นกล้วยหรือต้นทุเรียน ไม่ว่าจะเป็นต้นใหญ่ที่ให้ร่มเงาหรือต้นหญ้า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีคุณ แต่ในคุณประโยชน์นั้นก็ต้องรู้จักระมัดระวังโทษที่ตามมาด้วย ถ้าคนๆ นั้นไม่รู้จักแก่นของสรรพสิ่งหรือไม่รู้ความจริงของชีวิต
ในโลกมีคนหลากหลายแบบ เป็นหญ้าเทียมพื้นหรือเป็นต้นไม้สูงให้ร่มเงา เป็นดอกไม้ที่ไม่มีกลิ่นหอมแต่กลับมีกลิ่นเหม็น เขาควรหรือที่เราจะผูกใจเจ็บและรังเกียจ แล้วทำให้เราต้องสูญเสียความสุขไปจากใจ ทั้งที่จริงๆแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีดีมีร้าย ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เมื่อสอนตัวเราได้ ทุกสิ่งก็เท่าเทียมกัน เมื่อไม่เอาตัวเองวัด ทุกอย่างก็มีค่าเท่ากัน แต่ที่เรียกว่าดีร้ายได้เสียทุกข์สุขนั้นล้วนเป็นเพราะใช้ใจตัวเองไปวัดทั้งสิ้น เมื่อใจบริสุทธิ์แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เท่ากัน ไม่มีอะไรร้ายในวันที่เราดี จริงหรือไม่ (จริง)
วันนี้เราได้มาผูกบุญกับท่าน อย่าเพิ่งดูถูกคุณค่าตัวเอง นั่งวันนี้อาจจะทรมาน อาจจะลำบาก และอาจจะฟังไม่รู้เรื่องก็ไม่เป็นไร มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก วันนี้เรามาเพื่อให้ท่านได้ประจักษ์ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเลวร้าย ถ้าใจเราเข้าใจทุกสิ่ง โลกนี้ไม่มีอะไรดีที่สุด ถ้าเราซื่อตรงต่อความจริง อย่ายึดมั่นความคิดจนลืมเปิดใจกว้าง ตราบใดที่ชีวิตยังต้องหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ไม่มีอะไรดีที่สุดและแย่ที่สุด ใช่ไหม (ใช่)


วันอาทิตย์ที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๒                      สถานธรรมหมิงอี้ จ.ตาก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ลี้ลับเพราะไม่ศึกษา                    ศรัทธาแบบงมงายไร้วันตื่น
ชอบปาฏิหาริย์เพ้อฝันทั้งคืน           แม้ลืมตาตื่นศิษย์รักหลงทางเรื่อยไป
                        เราคือ
     จี้กงอาจารย์เจ้า       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานหมิงอี้ แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                   ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม

  หนทางพิสูจน์ม้า                       กาลเวลาพิสูจน์คน
ชีวิตต้องฝึกฝน                           เกิดเป็นคนต้องเดินทาง
เดินไปทางไหนสดใส                    เดินไปทางไหนใจกว้าง
เดินเข้าใกล้ใจไม่จาง                     สว่างภายในจิตตน
ค้นหาตัวเองให้เจอ                      ไม่เผลอท่ามกลางสับสน
แม้จะมีวันอับจน                         แต่ตนรู้จักตัวเอง
ปัญหาเป็นเรื่องธรรมดา                ความคิดอารมณ์ข่มเหง
ฝึกตนรู้จักตัวเอง                         คนเก่งสติต้องไว
ทุกข์สุขเป็นเรื่องธรรมดา               ศรัทธาความดียิ่งใหญ่
อย่าเป็นหินทับหญ้าไว้                  สะสางภายในจิตตน
                                                          ฮา ฮา หยุด



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ศิษย์เคยได้ยินไหมว่าสูงสุดคืนสู่สามัญ ถ้าธรรมะคือสิ่งที่สูงที่สุด สิ่งที่ดีที่สุด แปลว่าสิ่งที่สูงที่สุดและดีที่สุดก็คือความเป็นธรรมดา ดังนั้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นธรรมดา โดนด่าก็เป็น (ธรรมดา)  สามีทิ้งก็เป็น (ธรรมดา)  อกหักรักคุดก็เป็น (ธรรมดา)  ฉะนั้นผู้สามารถยืนอยู่บนสิ่งที่ธรรมดาได้โดยรักษาจิตปกติไม่เสียศูนย์ ไม่เสียความเป็นคนดี คนนั้นก็คือคนที่สามารถเอาธรรมมาใช้และรักษาความปกติได้ แต่คนโดยส่วนใหญ่ยังรับความเป็นธรรมดาไม่ได้ มักชอบทำอะไรตามใจตัวเอง แต่โลกในความเป็นจริงนั้นเดินตามความเป็นจริง ไม่ได้เดินตามใจเรา ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากพ้นทุกข์ แค่ยอมรับความจริงอันเป็น (ธรรมดา)  ที่เราทุกข์เพราะเราไม่รับความจริงและเอาแต่ใจตน ใช่ไหม (ใช่) 
ถ้าเรามีสติอยู่เสมอหนทางพ้นทุกข์คือการค้นหาความจริงภายในใจตน ถ้าเราอยากพ้นทุกข์ ขอแค่มีสติปัญญา ยอมรับความจริงแล้วเราจะพ้นทุกข์ พ้นความกลัวในโลกนี้ ศิษย์กลัวตายไหม แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เรายอมรับ ความตายเป็นเรื่องธรรมดา ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่สิ่งสำคัญคือ อยู่ให้ดีหรือยัง ถ้าอยู่ไม่ดี อย่าเพิ่งตาย เพราะตายไปแล้วก็ยังจะไม่พ้นทุกข์
เกิดเป็นคนถ้าไม่คิดว่าตัวเองผิดพลาดบ้างเลย เราก็ไม่มีวันก้าวหน้า ผิดก็แก้ไขยอมรับ ทำให้ดีขึ้น อย่าซ้ำรอยเดิม ไม่เช่นนั้นแล้วจะเป็นบาปกรรมติดตัว ถูกหรือไม่ (ถูก)  มนุษย์มีทางเลือก อย่าพูดว่าตัวเองไม่มีทางเลือก ขอแค่เพียงเราขยันสู้ และเลือกทางที่ถูกต้อง หนทางสว่างอยู่ไม่ไกล แต่เสียอย่างเดียวเรามักอดใจไม่ไหว ห้ามใจไม่อยู่ ความโลภ กิเลส เลยทับถมให้เรามองไม่เห็นทางที่ถูกต้อง
บางครั้งความอยากอาจจะดูไม่บาป แต่การสนอง โดยที่ไม่คำนึงถึงเหตุผล ความถูกต้อง และความดีงาม ทำให้กลายเป็นบาป และบาปให้ผลคือความทุกข์ และให้ผลคือกรรมที่หนีไม่พ้นเพราะเราเป็นคนสร้างเหตุ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ส่วนใหญ่มนุษย์มักจะมองว่าธรรมะคือสิ่งที่อยู่ในวัด ธรรมะคือสิ่งที่พระพูด ถ้าอยากจะปฏิบัติธรรมะก็แค่ให้ทาน สวดมนต์ ทำบุญอาจารย์จะบอกศิษย์ว่า ธรรมะมีอะไรมากกว่านั้น ธรรมะที่ศิษย์รู้เป็นไปเพื่อ “ละ” ไม่ใช่เป็นไปเพื่อ “ยึด” ทุกครั้งที่ปฏิบัติ ปฏิบัติเพื่อละ ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อยึด ธรรมะคือสิ่งที่ทำเพื่อปล่อยวางไม่ยึดถือ เราทำบุญเพื่อละ ไม่ใช่ทำบุญเพื่อยึด เราบำเพ็ญทานเพื่อละ ไม่ใช่บำเพ็ญทานเพื่อยึด
ศิษย์เอยถ้าจะพูดเรื่องธรรมะเราต้องปรับเรื่องความคิดให้ถูกต้องก่อน ถ้ามีความคิดที่ผิด เราก็จะดำเนินผิด ธรรมะเราปฏิบัติเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อยึด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราทำบุญเพื่อชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ ฉะนั้นเราทำบุญทำทานเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อยึด  แต่ตอนนี้ศิษย์กำลังหลงกับการปฏิบัติธรรม เหมือนจะละ แต่ก็เหมือนจะยึด แล้วตกลงจะละหรือจะยึด (ละ)    ละด้วยแล้วก็ยึดด้วย ไม่ถูก ปฏิบัติธรรมละด้วยยึดด้วย เหมือนที่ศิษย์ชอบเป็น ทำบุญไปแล้วก็ขอถูกสามตัว ให้ไปแล้วขอลูกหลานร่มเย็น ขอสามีเชื่อฟัง ขอลูกประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงาน ไปที่ไหนก็มีแต่คนดีคนรัก สาธุ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วตกลงเราละหรือเรายึด บุญคือสิ่งที่ทำเพื่อชำระล้างใจให้สะอาด คำว่าละคือสะอาด แล้วตอนนี้เราละหรือเรายึด (ละ)  มือหนึ่งละมือหนึ่งยึดถูกไหม (ไม่ถูก)  ถ้าธรรมะมีไว้เพื่อให้เราละมากกว่ายึด แล้วอะไรจะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจล่ะ สิ่งที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจคือความจริงแท้ เพราะความจริงแท้จะทำให้ศิษย์ไม่ทุกข์ แต่ถ้าศิษย์ยึดเหนี่ยวความดี ความดีก็ทำเราทุกข์ ทำดีต้องได้ดี พอไม่ได้ดีทุกข์ไหม (ทุกข์)  เราทำดีเพื่อละ ไม่ใช่ทำดีเพื่อยึด ทุกข์เพราะละหรือทุกข์เพราะยึด (ยึด)   
ถ้าทำบุญไปเพื่อจะหวังผลและจะได้กลับมา แก่ เจ็บ ตาย ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเอาไหม (ไม่เอา)  ควรทำเพื่อละหรือควรทำเพื่อยึด (ละ)  ควรทำเพื่อหวังผลหรือควรทำเพื่อไม่ต้องมีผลอะไร (ไม่มีผลอะไร)  ที่แล้วมาทำเพื่อหวังผลใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์เรียนรู้หลักธรรม ศิษย์ต้องเข้าใจแก่นของหลักธรรมให้ถูกต้อง เราศึกษาธรรมแปลว่าเราต้องไม่ยึดอะไรเลย แก่นแห่งธรรมะทั้งมวลล้วนสอนไว้ว่า ใดๆ ในโลก ล้วนไม่ควรยึดมั่นถือมั่น สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นล้วนมีความดับ เมื่อไรที่เราพยายามจะดับแปลว่าเรายังมีการยึดไม่ปล่อยวาง ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและผล ถ้าเราไม่สร้างเหตุเราก็ไม่ต้องไปรับผล ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร สิ่งนั้นก็ไม่เป็นนายมาบังคับใจเรา วันนี้ศิษย์ยังทุกข์อยู่เพราะศิษย์พยายามยึด ทั้งที่จริงๆ แล้ว ไม่มีอะไรในโลกยึดได้เลย จริงไหม (จริง)  บอกห้ามแก่ แก่ไหม (แก่)  บอกห้ามเจ็บ เจ็บไหม (เจ็บ)  บอกห้ามตาย ตายไหม (ตาย)  มันฟังเราไหม (ไม่ฟัง) สิ่งนี้ต้องเป็นของฉันคนเดียว ห้ามเปลี่ยนแปลง เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องรักฉันคนเดียว ห้ามแบ่งใจเด็ดขาด อย่าตาย อย่าเจ็บ เราเป็นแบบนี้ ใช่ไหม (ใช่)  ห้ามร้าย ห้ามชั่ว ห้ามโกหก ห้ามตระบัดสัตย์ เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) ที่เราทุกข์อยู่เพราะเรากำลังหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ทุกสิ่งเกิดแล้วมันก็ดับอยู่แล้ว เราอยากพ้นทุกข์ต้องพยายามปล่อยเพราะเรายึดกับความคิดไว้ ปล่อยที่ความคิด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างศิษย์ยื้อไม่ได้ จริงไหม (จริง)  
พอเข้าใจธรรมะหรือยัง (เข้าใจ)  อาจารย์พูดง่ายๆ คนด่าเรา ถ้าเราไม่ถือสา  เราไม่เอามาใส่ใจ เราเห็นเหมือนไม่เห็น ทำอะไรเราได้ไหม แต่ถ้าเราถือสา เราใส่ใจ เราคิด แล้วเราทุกข์เพราะ (คิด) อยากดับทุกข์ จงหาความจริงแท้ในใจตน อยากจะพ้นทุกข์ พ้นความกลัวในโลก จงมีสติปัญญามองให้เห็นความจริง แล้วมนุษย์จะพ้นทุกข์พ้นความกลัวได้  ถ้าจิตใจเข้มแข็ง จริงไหม (จริง)  แล้วเราจะเอาอะไรมารับมือ เวลาที่เราเจอความทุกข์ รู้ขนาดนี้ ทำใจได้ไหม (ได้)
เขายืมเงินไปแล้วไม่คืน ถ้าศิษย์ไม่สร้างเหตุให้เขามายืม ศิษย์ก็ไม่ต้องมานั่งกลุ้มใจว่าเมื่อไรเขาจะคืน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอยากจะช่วยคน ให้แบบที่เขาไม่คืนก็ไม่เป็นไร แต่อย่าให้เขาเท่าที่เขาอยากได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะขออยู่ร่ำไป ถูกไหม (ถูก)  ให้เท่าที่เราช่วยเหลือแล้วเขาไม่คืนเรา เราก็ไม่เดือดร้อน เหมือนเวลาเรารับมือกับความทุกข์ เราจะเอาธรรมะมาปฏิบัติในชีวิตอย่างไร
เมื่อครู่อาจารย์บอกวิธีในการดับทุกข์ด้วยการเข้าถึงธรรมะ ด้วยการเข้าใจธรรมะอันเป็นพื้นฐานของความเป็นคน หรือเรียกว่าเข้าใจธรรมะอันเป็นจริงที่หลีกหนีไม่พ้น วิธีปฏิบัติที่จะดับทุกข์ได้ง่ายๆ ถ้าโดนเขาด่ามาศิษย์ทำอย่างไร (เฉยและพยายามนิ่ง)  แต่คำว่า “เฉย” กับคำว่า “พยายามนิ่ง” ของศิษย์นั้น ในใจเก็บสิ่งนั้นมาเป็นอารมณ์ไหม (เก็บ)  แล้วจำได้ไหมว่าเขาว่าเรา (จำได้)  ทำไมอาจารย์ถึงพูดเช่นนี้ เวลาคนเขาว่าเรา ที่เรานิ่ง เราเฉยเป็นสิ่งที่ดี ศิษย์รู้ไหมว่าการนิ่งการเฉยนี้ สามารถตัดรากแห่งบาปทั้งมวลได้ การอดทนนิ่งได้ สามารถหยุดรากเหง้าของการทะเลาะวิวาทไม่ให้เกิดได้ ลดการติเตียนได้ แล้วการอดทนนิ่งได้เป็นทางแห่งการเจริญศีล สมาธิ และเป็นการเจริญกุศลทั้งมวลด้วย จิตที่นิ่งได้เมื่อโดนกระทบยังสามารถพ้นบ่วงเวร พ้นบ่วงมารได้ด้วย แต่โดยส่วนใหญ่เวลาเราโดนว่า หรือเราโดนทำร้าย เราอภัย เรายอม อดทนใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่ศิษย์ทำได้คือพยายามให้อภัยทาน แต่คำว่าให้อภัยเป็นทาน เวลาเจอหน้าเขายังขัดเคืองใจไหม (มีบ้าง)  และในใจยังจำสิ่งที่เขาว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ทำดีทำไมจึงไม่พ้นทุกข์เราก็อภัยแล้ว เราก็นิ่งแล้ว คำว่าผูกเวรแปลว่า ใจจำได้ว่าเขาด่าว่า เอาชนะ ถากถาง กินแรง เวรกำลังถูกผูกไว้ที่ใจ เมื่อไรที่ใจจำได้ว่าคนอื่นทำไม่ดีกับเรา ทำร้ายเราแล้วจำไม่ลืม นั่นเรียกว่า “ผูกเวร” และเมื่อไรที่เจอคนที่ทำไม่ดีกับเราแล้วเผลอประชดประชัน เผลอด่ากระแหนะกระแหน หรือเผลอนินทานั่นเรียกว่า “จองกรรม” ถึงแม้ศิษย์จะบอกว่า ศิษย์อภัย แต่ถ้าในใจยังไม่สิ้นความยึดถือในตัวตน ไม่มีวันสิ้นทุกข์ ดังที่พระพุทธองค์บอกไว้ว่า ปฏิบัติธรรม ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ละบาปบำเพ็ญบุญเข้าถึงความบริสุทธิ์ ทานเป็นเบื้องต้นของศีล ศีลเป็นเบื้องต้นของสมาธิ และสมาธิเป็นเบื้องต้นของปัญญา ถ้าศิษย์ทำแค่ทาน แต่ศิษย์ยังไม่สามารถละการเบียดเบียนในใจได้ ศิษย์ก็ยังไม่พ้นทุกข์ ถึงแม้ศิษย์จะทำดีขนาดไหน ก็ยังไม่พ้นทุกข์  ให้อภัยแต่ในใจยังเก็บความไม่ดีของเขาอยู่ ยังจำได้อยู่ อย่างนี้จะพ้นไหม เวรยังถูกยืดเยื้ออยู่ในใจเพราะเรายังผูกเวรไว้ยังยึดความโกรธไว้ในใจ ยังยึดความเกลียดไว้ในใจ  ฉะนั้นหนทางที่จะถึงความบริสุทธิ์ได้ก็คือ เมื่อจะให้ต้องให้ให้ถึงที่สุด เมื่อจะปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติให้สูงสุด เห็นแจ้งจนไม่เกิดความหวั่นไหวในใจ และมองเห็นเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง มนุษย์จะสิ้นวัฏฏะเวียนว่ายตายเกิดได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์สามารถดับสิ้นซึ่งความคิดยึดมั่นถือมั่นในตัวตนจนหมดไม่เหลือ มนุษย์จึงจะสามารถพ้นเวียนว่ายตายเกิดได้ ยากไหม (ไม่ยาก) 
(พระอาจารย์เมตตาเรียกนักเรียนฝ่ายชายหนึ่งคนออกมายืนหน้าชั้น แล้วทักทายด้วยการตีศรีษะ)  
ทำแบบนี้อาจารย์ตีเสร็จก็แล้ว ศิษย์จบไหม (ไม่จบ)  นั่นคือกำลังผูกเวรให้ยืดเยื้อ ถ้าแค่โดนตบ คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วด่าในใจตกนรก แต่ถ้าพ้นจากความคิด ไม่คิดอะไร ช่างมัน ทุกอย่างเกิดแล้วจบแล้ว จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ฉะนั้นที่อาจารย์ตีก็จบแล้วถูกไหม ถ้าเราไม่ยึดติด เราอยู่กับปัจจุบัน เรายอมรับความจริง ก็แค่ตีก็แค่เจ็บที่กาย แต่ไม่เจ็บที่ใจ จบไหม (จบ)  ฉะนั้นอยากสิ้นเวรสิ้นกรรมก็อยู่ที่ว่าจบหรือไม่จบถ้าไม่จบก็ผูกใจเจ็บ ก็หนีไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าจบแล้วจบกัน ศิษย์เอ๋ย ถูกตีเจ็บแค่กาย แต่ถ้าเราแค้นมันเจ็บไปถึงใจและทำให้เราต้องกลับมาเวียนว่าย ต้องแก้แค้นอีก ศิษย์จำไว้นะ คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก แต่ถ้าพ้นจากความยึดติดในตัวตน นั่นคือพ้นทุกข์พ้นบาปกรรมนิจนิรันดร์
การศึกษาธรรมไม่ใช่การปฏิบัติแค่ภายนอก ต้องลงแรงปฏิบัติที่ภายใน มนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม เราเป็นผลพวงของกรรมที่เราสร้าง เราอยากสร้างกรรมต่อหรือเราอยากจบกรรม (จบกรรม)  แล้วทุกวันนี้เราผูกกรรมต่อหรือเราจบกรรม อย่าบำเพ็ญแค่ระดับทาน แต่ให้ก้าวไปจนระดับศีลบริสุทธิ์ ถ้าเราโดนเขาเบียดเบียน เราไม่เบียดเบียนกลับ เราจะให้ธรรมะเป็นทาน ประเสริฐกว่าทานทั้งปวง ถ้าเขาด่าเรามา แต่เราปฏิบัติด้วยเมตตากลับ เราให้ทานที่ประเสริฐ เขาเบียดเบียนเรา แต่เราเมตตากลับ เราสามารถทำทานได้ทุกที่ทำให้อยู่ที่ไหนก็เย็นได้ด้วยใจเราเอง เขาด่ามาฉันจะเมตตากลับ เขาโกงมาฉันจะซื่อตรงกลับ เขาทำร้ายมา ฉันจะใจเย็นกลับ ฉันจะไม่ทำร้ายเขา นี่เรียกว่า ให้ทานที่ยิ่งใหญ่และทานนั้นสามารถเป็นบุญเป็นกุศลได้ ทำได้ไหม (ได้)  ปฏิบัติธรรมอย่างนี้ยากไหม (ไม่ยาก)  เมื่อเรามองเห็นความเป็นจริงว่า มันก็เป็นธรรมดา วันนี้เขาด่าฉัน วันพรุ่งนี้เขาอาจจะชมฉันก็ได้ ในเมื่อชีวิตมีโอกาส ทำไมไม่พลิกชีวิตให้เป็นการพ้นทุกข์ ทำไมปล่อยให้ชีวิตจมอยู่กับความทุกข์ อย่าบอกว่าไม่มีทางเลือก ชีวิตมีทางเลือก แต่เมื่อเลือกจงก้าวให้สูงที่สุดและจงไปให้ดีที่สุด อย่ามีธรรมะแค่ผิวเผิน ทำทุกวันให้เป็นการพ้นทุกข์พ้นกรรม ดีกว่าใช้อารมณ์ ดีกว่าสร้างบาปแล้วผลสุดท้ายก็หนีไม่พ้นทุกข์
มนุษย์ยังทุกข์เพราะเรื่องอะไรบ้าง (การเรียน)  การเรียนทำให้เกิดปัญญา ปัญญานำพาให้เราพ้นทุกข์ได้ แล้วปัญญาสามารถนำพาชีวิตให้พ้นความลำบากได้ ฉะนั้นอย่าไปทุกข์ ก้มหน้ายอมรับความจริง ใช่ไหม (ใช่) 

(อยากมีปัญญา)  อยากในสิ่งที่ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม ความอยากนั้นจะไม่ทำให้เราทุกข์ แต่ต้องไม่ลืมความจริงว่า บางทีอาจจะสมหวังหรือไม่สมหวังก็ได้ ความอยากก็จะไม่ทุกข์   
(ทุกข์เพราะเจ็บป่วย)  เจ็บป่วยหนีพ้นไหมศิษย์ (ไม่พ้น)  รักษาได้ให้รักษา สู้ได้สู้ และยอมรับกับสิ่งที่เป็น อย่าทุกข์กายแล้วลงไปที่ใจไม่อย่างนั้นจะทำให้ทรมาน ใครบ้างไม่เคยเจ็บ ใครบ้างไม่เคยป่วย มีไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นเราป่วยเป็นเรื่องธรรมดา
ความเจ็บป่วยมีอยู่สองแบบ แบบที่หนึ่งคือ เราสร้างเอง แบบที่สองคือ เวรกรรมตกผล ทำไมกินเหมือนกัน อยู่เหมือนกัน คนอื่นไม่ป่วยแต่เราป่วย เมื่อป่วยแล้วรักษาไม่หาย เป็นเพราะเวรกรรม แล้ววิธีจะแก้เวรกรรมได้คือ ยินดีชดใช้และสร้างบุญกุศลให้มากๆ อย่าสร้างบาปอีก 
(ทุกข์เพราะใจยึดมั่น)  ตอนนี้รู้หรือยังว่ามันยึดไม่ได้ ศิษย์จำไว้นะ ทำตัวเองให้ดีที่สุด ถึงเวลาผลจะเป็นอย่างไรกล้ายอมรับ จะทำให้เราไม่ทุกข์
(ทุกข์เพราะหนี้สิน เรื่องทำมาหากิน อาชีพ)  ตอนแรกคิดว่าเราหามาเพื่อเราจะได้มีความสุข แต่หาไปหามากลายเป็นหนี้สิน ยังอยากทำต่อไหม (ก็ยังต้องทำ) ถ้าศิษย์อยากให้จบ แค่ยอมรับ อย่าหนี สู้ด้วยใจที่ยอมรับความจริง เมตตาธรรมจะแปรบาปให้เป็นบุญ แปรทุกข์ให้เป็นพ้นทุกข์มนุษย์ยังทุกข์ไม่จบสิ้นเพราะไม่สามารถควบคุมความคิดได้ และความคิดเป็นต้นเหตุสำคัญที่สุด  ฉะนั้นถ้าเราเปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยน ถ้ายังดื้อดึงในความคิดเดิมเราก็ทุกข์เพราะความคิด จิตมนุษย์ชอบไหลลงสู่ที่ต่ำ ชอบคิดแย่มากกว่าคิดดี ถ้าศิษย์อยากพ้นทุกข์ ต้องเปลี่ยนความคิดให้ได้
(เรียนไม่รู้เรื่อง)  ถ้าใจชอบ ยากอย่างไรก็ทำจนได้ เต้นไม่เป็น แต่ถ้าชอบเต้น ท่ายากๆ ศิษย์ก็เต้นได้ เพราะใจชอบ เพราะใจรัก ถ้าอยากเรียนให้รู้เรื่องต้องเริ่มที่ใจศิษย์ก่อน ถ้ารักในการเรียน ยากอย่างไรก็เรียนรู้เรื่อง แต่ถ้าไม่รักในเรียน ง่ายอย่างไรมันก็เรียนไม่รู้เรื่อง จริงไหม (จริง)  แล้วการเรียนก็เพื่อตัวเองนะ ไม่ใช่เพื่อพ่อแม่
(หนี้สินของตนเอง)  ทุกคนในโลกนี้ไม่มีใครไม่มีหนี้ บางคนมีหนี้ทางใจ บางคนมีหนี้ทางร่างกาย หนี้ทางทรัพย์สินยินดีชดใช้ด้วยใจเป็นสุข ยังดีกว่าปล่อยให้เป็นหนี้ทางใจ ฉะนั้นมีหนี้ก็ใช้ และพยายามลดความอยากให้มาก เงินที่มีอยู่ก็จะเพิ่มขึ้น ถ้ายังอยากเท่าเดิม แต่เงินเท่านี้ ก็มีหนี้ไม่จบสิ้น แล้วประคองสติให้ดี ทำอะไรคิดให้เยอะๆ หยุดความอยากของตัวเองให้น้อยลงสิ่งที่มีจะมีมูลค่าที่จะไปใช้หนี้ได้ แต่ถ้าความอยากยังสูง หนี้ก็ยังมีอยู่ จะไม่มีวันชดใช้ได้หมดลดความอยากของตัวเองให้มากที่สุด หนี้จะได้ผ่อนหมด ลูกหนี้ที่ดีคือใช้แต่น้อยแต่ไม่เกี่ยงงอนเขาก็จะรับ พยายามพึ่งตนเองให้มาก อย่าคิดพึ่งคนอื่น ที่มีหนี้เพราะเราคิดว่าพึ่งคนนั้นก็ได้ พึ่งคนนี้ก็ได้ใช่ หนี้เราถึงมีเต็มไปหมด แต่ถ้าเมื่อไรเราคิดพึ่งตัวเองเราจะก่อหนี้ไหม ถ้าเรารับผิดชอบต่อตัวเองเราจะสร้างหนี้ให้ใครเดือดร้อนไหม เงินใครใครก็รักจริงไหม ยืมเขามาเขาก็อยากได้คืน ฉะนั้นเป็นลูกหนี้ที่ดี ยินดีชดใช้นะ แต่ละคนมีปัญหาที่แตกต่างกัน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเมื่อเราเจอปัญหา เราพร้อมรับความเป็นจริงไหม ชีวิตไม่อยากสูญเสีย แต่มีใครบ้างไม่สูญเสีย ชีวิตไม่อยากพลัดพรากไม่อยากล้มละลาย แต่ใครบ้างไม่พลัดพรากไม่ล้มละลาย เพราะถึงที่สุดเราต้องกลับไปสู่ความไม่มี ไม่ได้ ไม่เอา แล้วเราจะยึดเพื่อให้ทุกข์ทำไม ถ้าของจะเป็นของเราอย่างไรก็เป็นของเรา แต่ถ้าไม่ใช่ของเราทำอย่างไรก็ไม่ใช่ของเรา ให้รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ทำอะไรให้คิดถึงหัวอกของพ่อแม่ พ่อแม่จะเดือดร้อนไหม พ่อแม่จะเจ็บปวดไหม พ่อแม่จะเสียใจไหมที่เราทำแบบนี้ ถ้าทำได้แบบนี้ศิษย์จะไม่ทุกข์นะ
(ทุกข์เพราะแค้น)  ถูกกดขี่ข่มเหง ถูกดูถูก ถูกเหยียดหยาม เราโกรธแค้น เราเคืองใจ ถูกคนดูถูกคุณค่าเรา เราเจ็บแค้น  แต่ความเจ็บแค้นนี้มันเป็นเหมือนไฟเผา เราสูญเสียความสุขไปเพียงเพราะว่าเราแค้นเราเจ็บ ศิษย์รู้ไหมว่า การเกิดเป็นคน สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คืออัตตาตัวตนที่ยึดมั่นถือมั่นอย่างไม่ปล่อยวาง รู้อะไรแล้วรู้ไม่สุดมันคืออวิชชา ที่ทำให้เราไม่มีวันพ้นทุกข์  ยังอยากจะผูกไว้หรือ (ตอนเขาทำเรา เขาก็จบโดยที่เขามีความสุข ถ้าเราทำแบบนั้นเราก็จบแบบเรามีความสุข)  ศิษย์มั่นใจว่าคิดถูกใช่ไหม (ถูก)  วัฏจักรของมนุษย์ที่ยังเวียนว่ายไม่จบสิ้นก็เพราะมนุษย์ไม่สามารถวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เราก็เลยไม่มีวันพ้นทุกข์ ทั้งที่จริงๆ แล้วศิษย์มีหนทางพ้นทุกข์ในตัวเอง ศิษย์มีสิ่งที่ดีในตัวเอง เอาเป็นแค่แรงผลักดันแต่ไม่ผูกใจเจ็บไม่ได้หรือ ไม่ผูกใจเจ็บ แค่ยอมรับความจริง ถ้าอาจารย์บอกว่าชาติที่แล้วศิษย์ไปทำเขา ชาตินี้เขาทำศิษย์กลับ ถ้าอย่างนั้นแปลว่าศิษย์อยากทำกลับเพื่อจะได้กลับมาเจอกันอีก เอาไหม (คิดว่าไม่น่าจะได้กลับ)  ไม่แน่นะ แต่จะกลับมาเป็นคนหรือเปล่า ถ้าอยากได้อย่างนั้น อาจารย์ไม่ว่าอะไร เพราะถึงที่สุดไม่มีใครขีดเส้นชีวิตศิษย์ได้นอกจากตัวเอง

อาจารย์ให้ส้มโอก็แล้วกัน ลองไปไตร่ตรองทีละนิด ส้มโอก่อนจะกินมันต้องปอกเปลือกก็หนามาก ใช่ไหม (ใช่)  ชีวิตก็เหมือนกัน กว่าศิษย์จะเข้าใจความจริงแท้ของชีวิต บางครั้งต้องผ่านความยากลำบาก ผ่านการเรียนรู้ แล้วศิษย์จะเข้าใจ เราอยู่ในโลก คนๆ หนึ่งที่ทำให้เรารักสุดจิตสุดใจ คนๆ หนึ่งที่ทำให้เราอยู่ด้วยไม่ไปไหน เราอยู่กับเขาแล้วรักเขาเพราะเขาทำในสิ่งที่ธรรมดา แต่ซื่อตรงและจริงใจ ค่าของคนอยู่ที่การกระทำ มีแฟนเป็น      ด็อกเตอร์ มีลูกเป็นด็อกเตอร์ แต่คุยกับเราไม่รู้เรื่อง สู้มีลูกธรรมดาดีกว่า จริงไหม มีเพื่อนสวย มีเพื่อนเก่ง แต่ไม่แยแสไม่สนใจเราเลย ไม่เคยคำนึงถึงหัวอกเราเลย เราขอมีเพื่อนธรรมดาที่เข้าใจเราดีกว่า จริงไหม (จริง) 
ศิษย์เคยดูประวัติพระพุทธเจ้าไหม เคยดูประวัติพระกวนอินไหม ยิ่งกรรมหนักแต่สามารถพลิกใจได้ คนธรรมดากลายเป็นพุทธะ ยิ่งทุกข์หนักแล้วพลิกใจรักษาใจจนสะอาดบริสุทธิ์ มีผู้หญิงคนหนึ่งโดนเผาทั้งเป็น เพราะเมียน้อยอิจฉา เลยจุดไฟเผาผู้หญิงที่เป็นเมียหลักให้ตายทั้งเป็น ขณะที่เขาโดนเผาทั้งเป็น ในใจเขาคิดเสมอว่า เขาจะไม่แค้น ไม่โกรธ เขาขอบคุณที่ทำให้เขาสิ้นทุกข์และสิ้นกรรมจบชาตินี้เลย ตายแล้วกลับพ้นทุกข์ทันที แต่ถ้าขณะนั้นถ้าเขาคิดแค่เพียงว่า ทำไมต้องทำฉัน ทำไมต้องฆ่าฉัน จิตเมื่อยังไม่พ้น ความคิดก็กลายเป็นตกนรก แล้วก็กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ชั่วขณะจิตเดียวเองนะศิษย์ แปรบาปให้เป็นบุญ แปรทุกข์ให้เป็นสิ้นทุกข์สิ้นกรรม อาจารย์บังคับศิษย์ไม่ได้ อยู่ที่ตัวศิษย์เองเลือกเดิน รู้นะว่าอะไรดี อะไรไม่ดี แต่อดใจไม่ได้ว่าทำไมต้องทำกับฉัน ทำไมต้องทำกับผมซึ่งเป็นลูก แต่เหตุผลอธิบายกันไม่ได้ แต่สิ่งที่อยู่เหนือเหตุผลคือ ความจริงแห่งธรรมะที่ทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ เราจะยอมรับไหม ล้างใจให้บริสุทธิ์เพื่อกลับคืนสู่ภาวะธรรมอันเดิมแท้ มนุษย์มาจากธรรมะ ไม่ใช่มาจากความทุกข์ คิดให้ดีๆ
(ทุกข์เพราะความคาดหวัง)  เหมือนศิษย์คาดหวังแอปเปิลจากอาจารย์ โอกาสที่จะได้ไม่ได้มีเท่ากันไหม (เท่ากัน)  แล้วคิดยังไงเพื่อจะได้ไม่ทุกข์ (อย่าไปคาดหวัง)  แล้วเราไม่คาดหวังได้ไหม เรามีหน้าที่ทำให้ดีที่สุด ถ้าศิษย์กล้าจริง ศิษย์เข้มแข็งจริง ศิษย์สู้ชีวิตจริง และศิษย์รักตัวเองจริง กลัวอะไร ล้มแล้วลุก ผิดแล้วสู้ใหม่ พ่ายแล้วชนะได้ ขอเพียงศิษย์ไม่ยอมแพ้ใจตัวเอง ไม่ต้องไปสนใจคำดูถูกใคร สนใจประคองใจตัวเองให้ดีก็พอ ธรรมะคือความเป็นกลาง มีธรรมคือดึงใจให้เป็นกลาง เพื่อไม่ต้องเสียศูนย์
(ทุกข์เพราะหลงสาว)  หลงสาวหรือหลงตัวเอง สิ่งที่เห็นว่าสวย แท้จริงอาจไม่สวย สิ่งที่ไม่สวย แท้จริงอาจสวย ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่มีอะไรเที่ยงแท้ อย่าหลงจนลืมความจริง เหมือนอาจารย์บอกว่ากินแอปเปิลผลนี้อร่อย กินแล้วแข็งแรง แต่ก็ตายเร็ว เอาไหม (ไม่เอา)  หลงกับสิ่งที่ตัวเองชอบ มีแล้วทำให้ศิษย์ตายไวหรือตายช้า และทำให้ศิษย์ตายทั้งเป็น ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าไม่อยากตายทั้งเป็น ก็จงมองสิ่งที่หลงให้แจ่มชัด ไม่อย่างนั้นก็จะทุกข์เพราะตัวเอง 
(ทุกข์เพราะไม่เคยพอใจในสิ่งที่มี สิ่งที่เป็น) ศิษย์รู้ไหมคนที่เกิดมาแล้วไม่เคยพอใจตัวเอง คือคนที่เกิดมาแล้วขาดทุนตั้งแต่เกิด แต่ถ้าคิดว่า แบบนี้ก็ดีแล้ว ดีไหม (ดี)  อย่างน้อยอยู่กับตัวเองเงียบๆ คนเดียวก็อยู่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  
(ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี)  ทุกข์เพราะความไม่พอ (มีความทุกข์เพราะความอยาก ที่ทนทุกข์เพราะสิ่งที่ตนมีอยู่ไม่เพียงพอ)  ได้แล้วก็ไม่รู้สึกสุขเลย แปลว่าภรรยาอยู่นี่มีสุขไหม (ภรรยาเราไม่สามารถอ่านใจเขาได้ เขาจะทุกข์หรือจะสุขก็ได้ ทุกคนทุกข์เพราะว่าไม่พอใจสิ่งที่ตนมี) เราทุกข์เพราะเราไม่พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ น่าสงสารนะ ศิษย์ควรจะดีใจแล้วควรมีความสุขนะ อายุตั้งปูนนี้แล้ว ยังอยู่รอดปลอดภัยยืนได้เข้มแข็ง โชคดีที่สุด เกิดมาควรพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ และจงเป็นสุขกับสิ่งที่มี แค่นี้ก็ดีนักหนาแล้ว ตอนนี้ไม่ทุกข์แล้ว ใช่ไหม (ไม่ทุกข์)  ดีแล้วที่ได้แก่ ดีกว่าเกิดมายังไม่มีโอกาสแก่แล้วก็ตายเลย
(ทุกข์เพราะความคิด)  ต้องระมัดระวังความคิด เพราะจิตของมนุษย์ง่ายที่จะไหลลงต่ำ ง่ายที่จะใฝ่หาความทุกข์และง่ายจะไปตามอารมณ์ ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมคือการฝึกข่มจิต จิตที่ฝึกดีแล้วคือจิตที่นำสุขมาให้ แต่เราเคยข่มจิตตัวเองบ้างไหม เราเคยระงับใจตัวเองได้ไหม ทุกข์เพราะพูดในสิ่งที่ไม่น่าพูด ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำ และยังข่มจิตตัวเองไม่ได้ เพราะไม่รู้อะไรดีอะไรไม่ดี  ฉะนั้นเวลาจะทำอะไร คิดง่ายๆ ทำแบบนี้แล้วมันโหดร้ายกับคนอื่นไหม ทำแบบนี้แล้วทำร้ายใจคนไหม ถ้าคิดแบบนี้เสมอจะทำผิดไหม (ไม่ทำ) 
(ทุกข์เพราะไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร)  ถ้าวันนี้ขยัน วันนี้พากเพียร วันนี้ซื่อตรง วันนี้รับผิดชอบหน้าที่ ไม่ต้องกลัวอนาคต แต่ถ้ามัวห่วงอนาคต วันนี้ยังเอาไม่รอดอนาคตก็ดับ ฉะนั้นชีวิตอยู่ที่ปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อนาคตดีแน่ แต่ถ้าปัจจุบันยังขี้เกียจ ขี่มอเตอรไซต์เที่ยวอยู่ทุกวัน อนาคตก็ไม่รอด จริงไหม
(กลัวทำให้พ่อแม่เสียใจ)  ตอบอาจารย์ตอบดี แต่พอถึงเวลาสนใจพ่อแม่ไหม ถ้าศิษย์คิดได้อยู่เสมอว่าไม่มีพ่อแม่ก็ไม่มีเราในวันนี้ ทำอะไรคิดถึงพ่อแม่เป็นหลัก ถือว่าเป็นลูกกตัญญู ขอให้คิดได้อย่างนี้เสมอ แอปเปิลผลนี้เอาให้ใครดี (ครึ่งหนึ่งของพ่อ ครึ่งหนึ่งของแม่)  ปรบมือให้หน่อย
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ทำใจให้เป็น”)
พูดไปจนถึงที่สุด ถ้าศิษย์ไม่ทำอาจารย์ก็พูดอะไรไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  รู้ธรรมแต่ไม่ปฏิบัติธรรมก็น่าเสียดาย จริงไหม (จริง)  เสียดายนักเรียนในชั้นนี้ มีโอกาสฝึกปัญญาเพิ่มพูนทางธรรมบ้าง อย่าคิดว่าธรรมะเป็นเรื่องไกลชีวิต เพราะถึงที่สุดแล้ววันหนึ่งคนที่ต้องทุกข์และหนีไม่พ้นทุกข์ก็คือตัวของศิษย์เอง จะปฏิบัติบำเพ็ญอย่างไร ไม่ยากเลย ดำเนินชีวิตแบบไม่ผิดศีล ดำเนินชีวิตกับผู้คนไม่ขาดคุณธรรมความเป็นคน กับพ่อแม่รู้กตัญญู กับพี่น้องรู้จักรักใคร่ปรองดอง กับเพื่อนซื่อตรงจริงใจ รับผิดชอบหน้าที่ด้วยคุณธรรมเต็มหัวใจ เช่นนี้แล้ว เงยหน้าก็ไม่อายฟ้า ก้มหน้าก็ไม่อายดิน ชีวิตก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว เพราะศีลไม่ขาด ธรรมไม่พร่อง กรรมเวรไม่ยืดเยื้อ แม้ต้องตายวันนี้ก็ไม่เสียดายชีวิต ฉะนั้นความตายไม่น่ากลัว ความเจ็บก็ไม่น่ากลัว แต่การเกิดเป็นคนแล้วไม่รู้ทางดับทุกข์ น่ากลัวกว่า จริงไหม (จริง)  

ดูแลกาย ดูแลใจตัวเองให้ดี เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง เรามาจากธรรม  เราก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม เราคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และเราก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติ บ้านเดิมแท้ของศิษย์คือบ้านแห่งธรรม บ้านในโลกหนีไม่พ้นทุกข์ แต่บ้านแห่งธรรมคือความสงบเย็น รู้จักกลับบ้านในโลกแล้วไม่อยากกลับบ้านที่แท้จริงหรือ บ้านที่ไม่มีทุกข์  บ้านที่พ้นทุกข์ บ้านที่พ้นเวรพ้นกรรม ยังละบาปไม่ได้ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าคนดี ฉะนั้นเริ่มต้น ละบาป บำเพ็ญบุญ ถือครองคุณธรรมในการอยู่ร่วมกับคน หนทางบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่เรื่องยาก มีโอกาส อาจารย์คงได้มาผูกบุญกับศิษย์อีกนะ รักษาบุญอันนี้ไว้ด้วยหัวใจที่ดี อย่าทำผิด ได้ไหม (ได้)  ถ้าศิษย์ทำผิด แม้ตัวจะอยู่แต่ใจศิษย์ติดอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ พุทธะมาโปรดจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าธรรมะที่ฟังไม่เคยเข้าไปอยู่ในใจศิษย์ ลองเอาไปคิดพิจารณาดูว่าสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ เพื่ออาจารย์หรือเพื่อศิษย์ ทุกข์แล้วค่อยมีธรรม หรือควรมีธรรมก่อนแล้วจะได้ไม่ทุกข์ คิดไตร่ตรองให้ดีนะ 


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ทำใจให้เป็น”
    กงล้อแห่งชีวิตล้วนเหมือนกัน        เป็นสัจธรรมอันเป็นหนึ่งที่คงไว้
ยากมีใครหลีกหนีความจริงได้           ทุกสิ่งล้วนต้องเป็นไปเช่นนั้นเอง
ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้นหนีไม่พ้น                ไม่สร้างเหตุตกผลมาข่มเหง
ไม่ก่อบาปเพิ่มทุกข์รู้หวั่นเกรง           บำเพ็ญเร่งฝึกมีธรรมเตือนตน




พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาทและประทานชื่อเพลงที่ให้ไว้ ณ สถานธรรมหมิงเอิน จ.เพชรบูรณ์ วันที่ ๙-๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๒
เพลงพระโอวาทหน้า ๑๒ ย่อหน้าสุดท้าย
เดิม
    แพ้นี้เพราะไม่อยากแพ้ อ่อนแอกว่าคนยอมแพ้ชินชา ถ้าเรียนรู้เห็น เพี้ยนหลอกสายตา ชอบฟังดีกว่า กำไรธรรมะกว่าเดิม
แก้ไขเป็น
    ลี้ลับเพราะไม่ศึกษา ศรัทธาแบบงมงายไร้วันตื่น ชอบปาฏิหาริย์ เพ้อฝันทั้งคืน แม้ลืมตาตื่น ศิษย์รักหลงทางเรื่อยไป

    ลึกลับเพราะไม่เรียนรู้ อะไรนั้นคือธรรมะจริงจริง ใช้เดาแบบนี้เพราะไม่รู้จริง เมื่อขวัญมินิ่ง อย่างไรจะศึกษา
    แพ้นี้เพราะไม่อยากแพ้ อ่อนแอกว่าคนยอมแพ้ชินชา ถ้าเรียนรู้เห็นเพี้ยนหลอกสายตา ชอบฟังดีกว่า กำไรธรรมะกว่าเดิม
    *หลักในวันนี้ ธรรมะดีดี อย่าละทิ้งการศึกษา จิตใจเท่านั้นกลับคืนฟ้ามา ธรรมที่อรรถาครบถ้วนเพราะทำ
    **ลี้ลับเพราะไม่ศึกษา ศรัทธาแบบงมงายไร้วันตื่น ชอบปาฏิหาริย์ เพ้อฝันทั้งคืน แม้ลืมตาตื่น ศิษย์รักหลงทางเรื่อยไป (ซ้ำ *,**) 
ทำนองเพลง : คิดถึงฉันบ้างคืนนี้

ชื่อเพลง : ธรรมะไม่ใช่เรื่องลี้ลับ
x

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2561

2561-01-13 สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี

西元二○一八年歲次丙申十一月廿七日                 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑          สถานธรรมเจิ้งซิน  จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี
  ทำผิดศีลอย่าพูดว่าจำเป็น              แล้วที่เป็นตัวเราก็ต้องเปลี่ยน
ตัดอวัยวะรักษาชีวิตดุจเล่มเทียน         อย่าวนเวียนติดนิสัยกิเลสอารมณ์
           เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว                     ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ


จ้องบำเพ็ญเหมือนกับพร่อง ไม่ลองดูเหมือนจะง่าย ถ้าไม่ทุกข์จะเป็นจะตาย ก็ไม่ทำใจโลกที่ท่านรู้กัน ชีวิตของคนที่มีทุกข์ สร้างบุญไม่หวังผลบ้าง ไม่รู้
ก็ไม่ระวัง ไม่เกิดทุกข์ก็ไม่พบธรรม

* อย่าได้หลงรักความโลภแบบไม่ลืมตา อย่าเสียปัญญา อุตส่าห์ฝึกฝนไว้จนได้ คิดจนหลับใหล ทุกข์มาจากไหน ก็ยิ่งหนักหัวตา ไม่ใช้ความเครียดเพราะหมายถึงความเศร้าหมอง ทุกข์สุขเป็นกองอากาศ ก็พัดผ่านได้ ทุกข์แค่ไหนท้อแค่ไหนแค่ใจหลอก
การบำเพ็ญเป็นการพัก วันหนึ่งประจักษ์กับหัวใจ ถอนสลักไร้ตัวตน หลุดพ้นได้
** ถ้าบำเพ็ญได้ไม่พอ พร้อมทะเลาะกับผู้คนเสมอ เตือนท่านควานที่แผลจนเจอ เจ็บที่สุดอย่าเผลอลืมแก้ไข ซ่อนกิเลสบำเพ็ญสร้างปัญหา
ไม่ศึกษาแล้วจะพูดธรรมแบบไหน ท่านเกิดแก่เจ็บและตายได้ ชีวิตเพื่ออะไร

(ซ้ำ **, *, *, เบิ่งให้ออกเด้อ…คนดี)
                                         ทำนองเพลง : คำแพง
                                         ชื่อเพลง : ยืมความทุกข์มาบำเพ็ญ

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี

เกิดเป็นคนถ้าไม่ซื่อตรงแล้วยังผิดศีลธรรม จะหาความเป็นมงคล ความประเสริฐ ความดีในชีวิตก็คงยาก ดังที่มนุษย์พูดว่า หว่านพืชเช่นไร
ก็ได้รับผลเช่นนั้น ถ้าหมั่นสร้างความดี กรรมดีย่อมนำพาให้เราพบความสุข ความเจริญ แต่ถ้าเราสร้างกรรมชั่ว ประพฤติปฏิบัติผิดศีลธรรม จะหวังความเป็นมงคลให้กับชีวิต ก็คงเป็นไปได้ยาก คนที่ทำผิดศีลธรรม ก็คือคนที่ประพฤติปฏิบัติไม่ดี เมื่อประพฤติปฏิบัติไม่ดี หวังจะมีความสุขก็เป็นไปได้ยาก หวังจะก่อเกิดชีวิตอันร่มเย็นก็ยิ่งยาก ถามตัวเองว่าวันนี้เป็นเช่นไร จะโทษฟ้าโทษดินได้กระนั้นหรือ ควรจะถามตัวเองว่าแต่ก่อนทำเช่นไรมา วันนี้ถึงต้องพบพาลเรื่องราวแบบนี้ วันหน้าจะเป็นเช่นไร ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้ทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามหรือไม่ หวังให้ชีวิตดีงาม มีสิ่งมงคล มีโชคลาภ ถามตัวเองว่า ประพฤติปฏิบัติถูกต้องต่อศีลธรรม มีความซื่อตรงหรือไม่ เหมือนเราถามท่านว่า เกิดเป็นคนเอาแต่โลภ มีหรือจะไม่ถูกลวงให้หลง เกิดเป็นคนเอาแต่หลงหัวปักหัวปำ มีหรือจะไม่ทำผิดพลาด เกิดเป็นคนเอาแต่ยึดมั่นความคิดของตัวเอง ไม่รับฟังความคิดของใคร คิดว่าตัวเองถูกอยู่ร่ำไป มีหรือชีวิตจะพานพบสิ่งที่ดีงาม ไม่พบความเสียใจ ฉะนั้นก่อนที่จะถามคนอื่นว่ามา
ทำร้ายเราทำไม ควรจะหันมาย้อนมองและถามตัวเองก่อนว่า ตนเองปฏิบัติได้ดี ได้ถูกต้องในศีลธรรมแห่งความเป็นคนหรือไม่

ท่านอยู่กับใครก็อยากอยู่อย่างมีความสุข แล้วอยู่อย่างไรให้มีความสุข เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ โกหกผิดศีลขาดธรรม เช่นนี้หรือเรียกว่ามีความสุข ปลูกแตงย่อมได้แตง ปลูกถั่วย่อมได้ถั่ว กระทำเช่นไรย่อมได้รับผลเช่นนั้น ถ้าเราประพฤติปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความซื่อตรงจริงใจ มีน้ำใจ เปิดใจกว้าง เห็นใจและให้อภัย มีหรือผู้คนจะไม่จริงใจ ซื่อตรง เห็นใจ และให้อภัยเรา แต่คนโดยส่วนใหญ่ต่างคนต่างเอาตัวเองรอด ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว แล้วความเห็นแก่ตัวจะทำให้เราพบความสุขไหม (ไม่)  แต่ไยมนุษย์จึงชอบบ่นตัดพ้อว่า ทำไมต้องทำดีกับคนที่ไม่ดี ทำไมฉันต้องเป็นคนเสียสละ ทำไมฉันต้องเป็นคนยอม ทั้งที่คนที่เรายอมเป็นคนที่เห็นแก่ตัวและเอาแต่ได้ จนบางครั้งเราท้อจนไม่อยากทำ
ท่านเคยได้ยินไหมว่า ความคิดที่ยึดติดในตัวตนเป็นหนทางแห่งความเห็นแก่ตัว และนำพาให้มนุษย์ง่ายที่จะหลงทำผิดพลาด แต่การที่รู้จักอุทิศเสียสละให้ ยอมทำดี เป็นมงคลอันประเสริฐแก่ชีวิต
ถ้าเราพยายามที่จะให้ พยายามที่จะเสียสละ แต่อีกฝ่ายก็ยังจะเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ เรายังทำดีไหม (ทำ)  เพราะอะไร เพราะความคิดที่ยึดติดว่าคนนั้นถูก คนนี้ผิด แล้วไม่มุ่งมั่นทำดีตลอด ก็ง่ายที่จะทำให้ตัวเราเห็นแก่ตัว และก็ง่ายที่จะทำให้หลงผิดพลาด ไม่เหมือนกับจิตใจที่เราอุทิศให้ เสียสละ มุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีงามอันเป็นมงคลที่เรียกว่า คุณธรรม เมตตา ความซื่อตรง ความเสียสละ ยิ่งทำให้เป็นมงคลกับชีวิตและเป็นความสุขกับชีวิต เรียกง่ายๆ ว่า กรรมดีกับกรรมชั่ว
กรรมชั่วเมื่อทำ ผลที่ได้ก็คือเป็นทุกข์ ทำลายชีวิต ถ้าถึงที่สุดก็หนี
ไม่พ้นผลชั่วที่ตัวเองสร้าง แต่การประพฤติปฏิบัติความดีโดยไม่ย่อท้อ ความดีเป็นชื่อของความสุข เป็นชื่อของชีวิต ความสว่างไสว ความเจริญเติบโต
ยิ่งทำยิ่งเป็นสุข ยิ่งทำยิ่งสว่างยิ่งโล่ง ถ้าเมื่อไรเลิกทำความดี ก็ง่ายต่อการที่จะเดินไปสู่หนทางที่เรียกว่า นรก คือคนที่เห็นแก่ตัว ไม่เคยเห็นแก่ใครจนถึงที่สุด เมื่อไรที่ทำดีแล้ว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เมื่อนั้นไม่อาจเรียกว่า ความดี

ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้เป็นคนมีศีลมีธรรมไหม มีคำกล่าวว่า เกิดเป็นคนถ้าผิดศีลขาดธรรม แม้จะไม่มีภัยภายนอก แต่ภายในใจก็ยากหาความสงบได้  ฉะนั้นแม้มีความสำเร็จมากมาย แต่ใจลึกๆ หาความสุขกายสบายใจไม่ได้ นั่นก็แปลว่าตัวท่านต้องถามตัวเองและยอมรับว่าศีลธรรมเรามีครบหรือไม่ รู้ทั้งรู้ว่าทำบาปเป็นสิ่งที่ไม่ดี ผิดศีลเป็นสิ่งที่นำพาให้เป็นทุกข์ แต่มนุษย์ก็อ้างว่าจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ช่างน่าเสียดาย ฉะนั้นถ้าถอนเสียได้ซึ่งจิตอกุศล ถอนเสียได้ซึ่งความผิดบาปทั้งมวล มุ่งมั่นเติมจิตใจให้มีแต่ความดีงามถูกต้อง แผ่ขยายต่อชีวิตตัวเองและไปสู่ชีวิตของผู้อื่น มีหรือวันหน้าจะไม่พบสุข มนุษย์เอาแต่ผิดศีลขาดธรรม แล้วผลที่สุดก็ต้องมานั่งแก้ในสิ่งที่ตัวเองได้ทำ หยุดยั้งความชั่วร้ายในใจนั้นหยุดยากหรือ เราว่าทำดีง่ายกว่าทำชั่วอีกนะ เดินไปขอบคุณ เดินไปขอโทษ กับเดินไปต่อว่าให้เขาเจ็บปวด อะไรง่ายกว่ากันหรือ (เดินไปขอบคุณ เดินไปขอโทษ)  แต่เมื่อถึงเวลา ทำไมคำว่า “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” จึงออกจากใจของเราได้ยากกว่า
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าชีวิตนี้จะเป็นอย่างไร อยู่ที่ตัวเองกำหนดตัวเอง

เราใคร่ขอถามท่านว่า ท่านปล่อยให้ชะตาชีวิตกำหนดเรา หรือเราเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิต ท่านมักจะปล่อยให้ชีวิตไปตามยถากรรมมากกว่า ถูกไหม (ถูก)  เกิดเป็นคนไม่ซื่อตรงต่อตัวเองแล้ว อย่าพูดถึงศีลธรรมเลย แค่พูดกับเรายังโกหกเลย แล้วจะหาความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร
เราเคยคิดไตร่ตรองไหมว่า ถ้าเราเป็นผู้กำหนดชีวิตตัวเอง แล้วชีวิตเราขึ้นอยู่กับอะไร ทำไมบางครั้งจึงอยากทำดี บางครั้งไม่อยากทำดี ท่านคิดว่า ตัวเรานี้มักจะปล่อยให้ตัวเราทำไปตามอะไร (ตามใจ)  ถ้าอย่างนั้นชีวิตนี้ขึ้นอยู่ที่ใจ ใจดีก็ (ดี)  ใจร้ายก็ (ร้าย)  ถ้าใครว่าเรา ตอนนั้นเราใจดี เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)
ตกลงชีวิตของท่านไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่นกำหนด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอยู่ที่ (ตัวเราเองกำหนด)  ฉะนั้นเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้าย ชะตาดีหรือชะตาร้าย อย่างนี้จะโทษใครได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วจะโทษที่ไหน (โทษที่ตัวเราเอง)
ฉะนั้นถ้าอยากจะแปรเคราะห์ร้ายให้กลายเป็นดี ก็ต้องแปรที่ใจ
ใจของเราจะดีหรือจะร้ายนั้น ขึ้นอยู่กับอารมณ์ตอนนั้นว่าเป็นเช่นไร
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอารมณ์ดี อะไรๆ ก็ดี ถ้าอารมณ์ร้าย อะไรๆ ก็ร้าย ฉะนั้นถ้าเขาด่าเรา หากเราอารมณ์ดี ใจของเราก็ (ดี)  อย่างนั้นหากเขาชมเรา
แต่เราอารมณ์ร้าย ผลก็ไม่ดี เพราะอารมณ์ของเราไม่ดี ฉะนั้นดีหรือร้ายนั้นไม่ได้อยู่ที่ใครกำหนด แต่ดีหรือร้ายก็ไม่ได้อยู่ที่ฟ้ากำหนด แต่ดีหรือร้ายอยู่ที่ใจของเราเป็นเช่นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)

ท่านเคยได้ยินไหม “ชีวิตหมุนเปลี่ยนไปตามความคิด ผลของการกระทำแห่งชีวิตล้วนมาจากใจที่นึกคิดเช่นไร” สิ่งที่ควบคุมใจเราได้คือ “ความคิด”  ฉะนั้นถึงตามใจได้ ถึงรู้ทันใจ แต่ถ้าไม่เท่าทันความคิด ความคิดก็ชักพาใจให้หลงผิดได้ ลองมองดูว่าความคิดมีอิทธิพลต่อใจไหม ความคิดบงการทั้งกายและใจ และความคิดยังอิทธิพลต่อคำพูด การกระทำและชะตากรรม เราคิดเช่นไรเราก็ดำเนินชีวิตเช่นนั้น เราคิดตัดสินแบบใดเราก็พูดแบบนั้น ใช่ไหม (ใช่)  แล้วโดยส่วนใหญ่มนุษย์คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้นทันที ไม่เคยฝืนความคิด คิดจะว่าก็ว่า คิดจะโมโหก็โมโห แปลว่าใจมักไหลไปตามความคิด ถ้าอยากเปลี่ยนใจเปลี่ยนชะตากรรมเปลี่ยนชีวิต ก็ต้องเปลี่ยนความคิด เรามาดูหน่อยว่าความคิดของคนน่ากลัวไหม มนุษย์มักคิดต่ำมากกว่าดึงตัวเองสูง แล้วเมื่อความคิดรวมกับนิสัยของใจคน ยิ่งน่ากลัวยิ่งนัก เพราะใจคนมักเป็นใจที่ไม่ค่อยยอมแพ้ เอาแต่ได้ ถือดี เมื่อใจรวมกับความคิดจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัว ยอมคนไหม ท่านแพ้เขาชนะ ท่านยอมไหม
ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ใจอย่างเดียว แต่เป็นนิสัยของใจที่รวมกับความคิด นิสัยของใจชอบระแวงมากกว่าระวัง คิดร้ายมากกว่าคิดดี และเมื่อคิดร้ายแล้วก็ชอบเชื่อมั่นยึดติดว่าตัวเองคิดถูกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นพูดออกมา กระทำออกมา แสดงออกมา จึงกลายเป็นชะตากรรมที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นได้ไม่ค่อยซื่อตรงและจริงใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากเปลี่ยนต้องเปลี่ยนที่ความคิดและนิสัยของใจ เปลี่ยนเป็นคิดดีๆ เข้าไว้ดีไหม (ดี)  ดีแต่น่ากลัวตรงที่พอคิดดีแล้วกลายเป็นคนชอบจับผิด เหมือนที่ท่านบอกว่าให้มองแง่ดีไว้ แต่มองแง่ดี มองไปมองมากลายเป็นคนจับผิด ไม่เห็นดีเลย ธรรมะจึงสอนว่าจงเอาธรรมะมาช่วยขัดเกลาความคิด จงเอาธรรมะมาช่วยชำระล้างใจให้ถูกต้อง เพราะถ้ามนุษย์ไม่มีธรรม มนุษย์ก็ง่ายที่จะคิดและปล่อยตามนิสัยของใจที่ไหลลงต่ำมากกว่าขึ้นสูง ที่ชอบเอาดีเอาได้มากกว่ารู้จักให้ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วนำธรรมะอะไรมาคอยควบคุมความคิด และชะล้างนิสัยของใจที่ชอบหลงผิด ถ้าเป็นมนุษย์ก็ต้องคิดให้เป็น คิดให้สูง คิดอย่างคนมีสติ รู้เท่าทันความคิด ไม่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำชักนำความคิดใช่หรือไม่ (ใช่)  การมีสติรู้เท่าทันความคิด ไม่ปล่อยอารมณ์ครอบงำความคิด จึงเป็นยารักษาที่ดี ช่วยให้เราดำเนินชีวิตอย่างสุขุม ใจเย็นและระมัดระวัง อันนี้แค่เป็นความเข้าใจ เป็นความรู้พื้นฐาน แต่สิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ช่วยยับยั้งความคิด
ชะล้างนิสัยของใจ

นิสัยของใจอีกอันหนึ่งที่น่ากลัวก็คือ ชอบจมอยู่กับความทุกข์ แล้วรู้ว่าเป็นทุกข์ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ แต่ก็ชอบจมอยู่ในความทุกข์ เราจะมาช่วยแก้ วิธีที่จะแก้ก็คือ จงรู้จักนำธรรมะมาควบคุมความคิด มาชะล้างใจ เคยไหมเวลาเจอคนที่หน้าบึ้ง จิตเราก็ตก พูดไม่ไพเราะ ใจก็แย่ ใช่ไหม (ใช่)  แค่คนที่ขายของสะบัดเสียงใส่เรา เราก็อารมณ์เสีย นั่งรถด้วยกัน เจอใครพูดนินทา เราก็อารมณ์ไม่ดี ทั้งที่ก็บอกว่า ชีวิตขึ้นอยู่กับใจของเรา แต่ถึงเวลาเราก็อดผันแปรไปตามสิ่งที่กระทบที่เรียกว่า แวดล้อมพัดผ่านมาไม่ได้ ฉะนั้นพระพุทธะท่านสอนว่า จงรู้จักนำธรรมมาใช้ควบคุมความคิด ชำระล้างใจ
ท่านเคยได้ยินไหมว่า ธรรมสอนให้เราพบเจอความสว่าง ความสงบ ความเย็นและพ้นทุกข์ ถ้ายิ่งคิดแล้วยิ่งมืด ยิ่งทุกข์ ยังจะคิดต่อไหม ก็ยังคิด แถมหาดนตรีมาบรรเลงขับกล่อมให้ยิ่งเศร้า แถมอะไรมาซ้ำเติมให้ตัวเองยิ่งเจ็บ ถ้าคิดแบบนี้ทำให้พ้นทุกข์ไหม (ไม่)  ธรรมสอนว่า ทำอะไรก็ได้ที่ทำแล้วทำให้สว่าง สงบเย็นและพ้นทุกข์  เคยไหม คิดแบบคนสว่าง คิดแล้วทำให้เราสงบ คิดแล้วทำให้เราใจเย็น คิดแล้วทำให้เราพ้นทุกข์ คิดแบบไหน (ปล่อยวาง)  ปล่อยได้ไหม ก็ยากใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่มนุษย์มักเป็นคือการจ้องจับผิด เมื่อจ้องจับผิดก็จะเห็นคนโน้นก็ไม่ดี เห็นคนนั้นก็แย่ การจ้องจับผิดคือทางที่ทำให้เรามืด ทำให้เราทุกข์ ทำให้เราไม่สงบ ฉะนั้นไม่จ้องจับผิดใคร เอาแต่ขัดเกลาแก้ไขตนเอง อย่างนี้จะสว่างไหม (สว่าง)  จะสงบไหม (สงบ)  พ้นทุกข์ไหม (พ้น)  ฉะนั้นถ้าอยากสว่างก็เลิกจับผิด แล้วเปลี่ยนระแวงเป็นระมัดระวังใจ อยากแก้ความคิด อยากแก้นิสัย ก็เลิกระแวงผู้อื่น แล้วทำตัวเองให้ดี ทำตัวเองให้ถูก แล้วเอาเวลาจับผิดผู้อื่นนั้นมาเป็นเวลาแก้ไขตัวเอง ระมัดระวังตัวเอง เพราะตัวเองจะได้ไม่สร้างเหตุให้ตัวเองทุกข์
ใช่หรือไม่ (ใช่)

อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยดับให้เราสามารถคลายความเศร้า คลายความรังเกียจเขาได้ ก็คือ แปรความเกลียดความไม่ชอบ เป็นความเห็นใจ เข้าใจ อภัย ไม่เกลียดไม่โกรธ สิ่งนี้จะแปรเปลี่ยนใจที่คิดร้าย ใจที่ทุกข์ ให้เป็นใจที่สงบเย็น หากเราว่าเขา เราก็เจ็บ เขาผิดเราก็ไม่ได้ถูกกว่าเขา เขาแย่เราก็ไม่ได้ดีกว่าเขา จริงไหม (จริง)  ว่าเขาไม่ดี แล้วเราดีกว่าเขาสักเท่าไรหรือ เห็นเขาแล้วไม่เห็นเรา หรือว่าเราก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเขาเลย เขานิสัยไม่ดี เราก็ (ไม่ดี)  ใช่ไหม (ใช่)
ถ้ากล้ายอมรับอย่างนี้ การที่เราจะมองเขาแย่ การที่เราจะรังเกียจ การที่เราจะโกรธ จะแปรเปลี่ยนเป็นความเห็นใจ ความมืดความทุกข์จะกลายเป็นความสว่าง สงบเย็นและสบายใจ และธรรมะก็สอนให้สร้างบุญอย่าสร้างบาป ทำคนอื่นเจ็บก็คือบาป ทำคนอื่นมีสุขก็คือบุญ ท่านอยากสร้างบุญหรือสร้างบาป (บุญ)  และทุกครั้งที่ว่าผู้อื่นบาปหรือบุญ (บาป)  ทำบุญแต่ที่วัด กับคนไม่เคยทำบุญเลย รู้จักแต่ให้ทาน แต่ไม่เคยให้ธรรมะเป็นทานเลยใช่ไหม ให้อภัยเป็นทานไม่ได้หรือ  ฉะนั้นก่อนจะคิดอะไรตามใจตัวเอง ตามนิสัยของใจ จงมีสติคิดทบทวนก่อนว่า ถ้าความคิดนั้นพาไปสู่ความมืด ความวุ่นวายและความทุกข์ นั่นไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง แต่ถ้าความคิดใดทำแล้วสว่าง ทำแล้วพ้นทุกข์ ทำแล้วบังเกิดบุญ คิดแบบนั้น
ไม่ดีกว่าหรือ คิดได้ทันอย่างนั้นไหม นิสัยของใจชอบขึ้นแล้วก็ลง ดีแล้วก็ร้าย ใจเราก็ไม่ต่างอะไรกับธรรมชาติที่มีขึ้นได้ก็ลงได้ ลงได้ก็ขึ้นได้ แต่แปลกเวลาลงทำไมขึ้นยาก แล้วเวลาขึ้นหรือลงกลับมาปกติไม่ได้หรือ ทำไมต้องเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวา เป็นคนปกติไม่เป็นใช่ไหม น้ำยังมีวันขึ้นและลง ใจของคนมีขึ้นและลง แต่อย่าลืมกลับมาปกติ และอยู่กับความปกติธรรมดา ธรรมชาติของใจก็ไม่ต่างอะไรกับธรรมชาติของน้ำ ขึ้นได้ลงได้และกลับมาปกติได้ ความปกติคือคุณธรรมของความเป็นคน แต่ความเหวี่ยงซ้าย เหวี่ยงขวา คือความผิดปกติที่ทำให้มนุษย์ง่ายที่จะขาดศีลธรรม ธรรมคือความเป็นธรรมดาอันเป็นกลาง ฉะนั้นถ้าศึกษาปฏิบัติธรรม อย่าลืมใจอันเป็นกลาง แต่มนุษย์ใจมักจะติดร้าย ติดดี แล้วก็บอกว่า ก็เป็นได้แค่นี้ แต่จริงๆ แล้วมีอีก คือความธรรมดา

อีกเรื่องหนึ่งก่อนจะจากกัน มนุษย์แปลกอยู่อย่างหนึ่งตรงที่เวลามีความสุข ก็ชอบคิดในเรื่องที่พาลให้ทุกข์ เจอคนชมน่าจะดีใจก็กลับระแวง เจอเรื่องที่ได้ น่าจะสุขใจก็กลับวิตกกังวล ฉะนั้นถ้าเป็นหนึ่งในผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ควรคิดแบบนี้ เพราะถ้าคิดแบบนี้ทำให้ตัวเองทุกข์เปล่าๆ ถ้ากลัวแล้ว
ทำให้ทุกข์ วิตกกังวล กลัวตัวเองเจ็บปวด ทำไมไม่กล้าสู้และยอมรับความจริง ใจของคน ชีวิตของคน ไม่ได้เกิดมาเป็นทาสของอารมณ์เสมอไป แล้วเมื่ออารมณ์มาแล้ว จำไว้นะว่าเราเลือกได้ที่จะจมอยู่กับอารมณ์หรือจะหลุดพ้นจากอารมณ์

เราหนีให้เราไม่คิดไม่ได้ เราหนีให้เราไม่มีอารมณ์ไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะมีอารมณ์แล้วพ้นทุกข์ เห็นแจ้งจริง หรือวิตกกังวลและจมกับทุกข์ เราเลือกได้ ใช่ไหม (ใช่)  ขอแค่เพียงมีสติ รู้ทันความคิดและนิสัยของใจตน แล้วชะตาชีวิตก็ไม่ต้องกราบฟ้า ไม่ต้องไหว้ดิน ไม่ต้องขอใครให้ชม เราก็สามารถกำหนดชีวิตของเราได้ เพราะเรารู้จักคิดให้เป็น คิดให้สูง คิดให้สว่าง คิดให้สงบเย็น และพ้นทุกข์
ลองไตร่ตรองสิ่งที่เราพูด ถ้าฟังแล้วไม่รู้เรื่องก็แปลว่าใจไม่ได้จดจ่อ ไม่ได้ใส่ใจ ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์มีใจอันประเสริฐอยู่หนึ่งอย่าง ขอแค่เพียง
ใส่ใจและรักที่จะทำ สิ่งที่ธรรมดาก็จะกลายเป็นสิ่งที่วิเศษ สิ่งที่ดูเป็นปกติ
ก็จะกลายเป็นคุณงามความดีได้ ขอแค่เพียงการใส่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มัวแต่ใส่ใจเรื่องอื่น แต่น่าเสียดายลืมใส่ใจที่จะกำหนดชีวิตของตนเอง มัวแต่ห่วงคนอื่นว่ารักหรือไม่รักเรา แต่น่าเสียดายที่ท่านไม่ใส่ใจและรักคุณค่าของตัวเองให้เดินไปสู่ทางที่ถูกต้องและดีงาม สุดท้ายคนที่ต้องรับผลของการกระทำคือตัวเรา แล้วทำไมไม่คิดให้ดีก่อนจะพูด ก่อนจะทำ คิดอย่างคนสว่าง คิดอย่างคนสงบ คิดอย่างคนพ้นทุกข์ ไม่ใช่คิดอย่างคนวุ่นวาย มืดมน หลงผิดบาปและจมในห้วงทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)

ชีวิตอยู่ที่ความคิด ความคิดควบคุมได้ด้วยคุณธรรม ความคิดชีวิตและจิตใจควบคุมได้ด้วยธรรม อย่าปฏิบัติธรรมแต่เพียงภายนอก แต่ลืมเอาธรรมมาควบคุมนำพาชะตาชีวิตและจิตใจตน หว่านพืชเช่นไรรับผลเช่นนั้น ไยจึงไม่สร้างธรรมเพื่อรับผลธรรม ไยจึงสร้างกรรมแล้วผลสุดท้าย
ก็ต้องรับกรรม

มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก รักษาบุญรักษาโอกาสนี้กันให้ดี มีชีวิตคิดอย่างสว่าง คิดอย่างสงบ และคิดอย่างคนพ้นทุกข์ อย่าคิดอย่างคนจมอยู่ในทุกข์ และนำพาให้ตนเองมืดมนเลยนะ


วันอาทิตย์ที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑       สถานธรรมเจิ้งซิน  จ.อุบลราชธานี

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  บำเพ็ญนอกแต่ภายในไม่ฝึกฝน         ท้ายก็พ่ายติดขัดวนนิสัยเก่า
ติดอัตตาตัวตนความเป็นเรา              ยอมขัดเกลาหรือว่าทำตัวแบบเดิม
ใจที่วุ่นก็วุ่นไปทุกสิ่ง                      ใจที่นิ่งทุกสิ่งก็ยิ่งเพิ่ม
ทุกสิ่งล้วนเริ่มจบที่ใจเดิม                 ไม่โทษเขาแต่เริ่มย้อนดูตน
        เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานเจิ้งซิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีบ่

  เพราะศรัทธาจึงพร่ำยกมือไหว้         ศรัทธาใดไม่ปฏิบัติไร้ประโยชน์
มีศรัทธาไม่ปฏิบัติย่อมเกิดโทษ           แสนปราโมทย์ปฏิบัติเป็นธรรมบูชา
ฝึกธรรมะฝึกปัญญาฝึกพลิกแพลง        ฝึกความแกร่งฝึกนิสัยฝึกจิตนิ่ง
ฝึกยอมรับโดยไม่แบกไว้ทุกสิ่ง            ฝึกวางจริงแต่ไม่ใช่แล้งน้ำใจ
โลกที่รู้ไม่เป็นอย่างที่เห็น                 เรื่องที่เจนไม่เป็นอย่างที่หมาย
มีเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป                  ไม่ยึดในรูปธรรมนามธรรม
บำเพ็ญจิตให้เป็นไทไม่เป็นทาส          บำเพ็ญกายไม่ให้พลาดไม่ให้พลั้ง
คำพูดจาต้องไม่สร้างวจีกรรม            หนทางธรรมไม่สร้างหนี้จองเวรใคร
ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มีนกตัวหนึ่งที่พยายามบินและบินให้สูงที่สุด ชีวิตของนกตัวนี้ต้องหมดสิ้นแล้ว แต่ใจของนกตัวนี้ยังอยากที่จะบินให้สูงที่สุด แม้ร่างกายตัวนี้จะหมดไปแล้ว แต่ใจที่จะกลับคืนสู่สภาวะที่สูงที่สุด ดีที่สุด ยังคงมีอยู่
ศิษย์เกิดเป็นคนย่อมหนีไม่พ้นความแก่เจ็บตาย แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถจะลืมได้คือ หัวใจที่ยิ่งใหญ่และมุ่งมั่น แม้สังขารและร่างกายเราจะไม่มี แต่เรามีใจที่ยิ่งใหญ่และมุ่งมั่น ใจดวงนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับสภาวธรรม ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งมันต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ยอมทิ้งร่างกาย ยอมทิ้งความยึดมั่นถือมั่น เพื่อกลับคืนสู่สภาวธรรมที่เคยทอดทิ้งมา ไม่ห่วงแล้วร่างกาย ขอกลับไปสู่ใจที่เป็นสภาวะเดิมที่ประเสริฐที่สุด ที่งามที่สุด ที่ดีที่สุดดวงนั้นดีกว่า
ความเป็นคนมีเวลาจำกัด แต่ใจที่เข้าถึงธรรมที่ไม่ยอมแพ้ ที่จะมุ่งมั่นไปสู่สิ่งที่ดีงามที่สุด ไม่มีเวลาจำกัด สามารถสละตัวตนและกลับคืนสู่สภาวธรรมได้ ความมุ่งมั่นของคนเป็นหัวใจที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งถ้าทำอะไรด้วยใจที่สู้ไม่ถอย แม้สังขารจะละแล้วแต่ใจที่สู้ไม่ถอยสามารถกลับคืนสู่ฟ้าได้
ถึงเวลาศิษย์ต้องทิ้งร่างกายไหม (ทิ้ง)  ระหว่างนรกกับฟ้า เราอยากไปไหน (ฟ้า) หลายคนก็อยากเลือกไปฟ้า แล้วฟ้าเป็นแบบไหน (กว้าง)  แล้วใจเรากว้างหรือแคบ วันนี้เราอยู่บนโลกถ้าตายไปเราก็อยากกลับสู่ฟ้า ไม่อยากลงนรก นรกใจกว้างหรือแคบ (แคบ)  แคบมากใช่ไหม แคบจนดำมาก แล้วใจเราตอนนี้ใจขาวหรือใจดำ กว้างหรือแคบ (กว้าง)  ขาวหรือดำ (ขาว)  หนักหรือเบา (หนัก)
หากอยากขึ้นฟ้า นอกจากต้องใจกว้าง ใจสะอาด ใจเบา แล้วเบาไหม (เบา)  เห็นยึดถือทุกอย่าง สิ่งนั้นก็ไม่ยอม สิ่งนี้ก็ไม่ยอม อย่างนี้เรียกว่า หนักหรือเบา (หนัก)  ตอนนี้มีความสุขหรือความทุกข์ ถ้าอยู่บนโลกแล้วทุกข์มากกว่าสุข นั่นก็แปลว่าไม่ใช่สวรรค์ นั่นคือนรก เพราะนรกเป็นที่ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ แต่สวรรค์เป็นที่ที่เต็มไปด้วยความสุข อย่างนี้ไม่ต้องถามแล้วว่าตายแล้วไปไหน
สวรรค์เป็นที่ที่มีธรรมหรือไร้ธรรม แล้วตอนนี้เรามีธรรมหรือไร้ธรรม มีเมตตา มีความซื่อตรง มีความเสียสละ มีจิตใจกรุณาปรานี เรามีแบบนี้ไหม นานๆ ถึงจะมีใช่ไหม
อาจารย์ถามศิษย์ง่ายๆ แค่นี้ ศิษย์ก็ดูตัวเองออกแล้วว่าชีวิตตัวเองจะไปทางไหน จะไปสุขหรือไปทุกข์ ไปนรกหรือไปสวรรค์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้เราสุขหรือทุกข์มันอยู่ที่ใจของศิษย์ เมื่อรู้อย่างนี้อยากมีใจที่เป็นสุขไม่มีใจที่เป็นทุกข์กันบ้างไหม ถ้าอยากแล้วทำแบบไหน กลับไปทำแบบเดิม หรือว่าเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น อาจารย์ถามศิษย์ว่าระหว่างเงินกับชีวิตอะไรสำคัญกว่ากัน (ชีวิต)  ทำไมอาจารย์เห็นหลายๆ คนหาเงินแบบลืมชีวิต หาเงินแบบไม่คิดชีวิต และบางคนหาเงินจนทำร้ายชีวิตก็มี หรือยิ่งหนักเข้าไปอีกคือทำร้ายชีวิตแล้วยังไปผูกเวรผูกกรรมก็มี นั่นแปลว่าเงินสำคัญกว่าชีวิตใช่ไหม (ไม่ใช่)  แต่ในใจก็บอกอาจารย์ถ้าชีวิตนี้ไม่มีเงินมันก็ตายนะ ตกลงจะเอาเงินหรือเอาชีวิต แต่ตอนนี้เอาเงินก่อน ชีวิตไว้ที่หลังใช่ไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม (ยินดี)  อาจารย์ขอเวลาสักช่วงหนึ่งสนทนาธรรมกับศิษย์ ถือเป็นการแลกเปลี่ยนธรรมะซึ่งกันและกัน และการแลกเปลี่ยนนี้เผื่อจะเป็นการเพิ่มพูนปัญญาให้ศิษย์มองเห็นโลก เห็นชีวิตได้เข้าใจยิ่งชัดขึ้น เหมือนที่ตอนแรกศิษย์บอกว่า เงินกับชีวิตอะไรสำคัญ เราก็พูดได้ว่าชีวิตสำคัญ แต่บางครั้งเราหาเงินจนลืมชีวิต เราว่าชีวิตเป็นสิ่งสำคัญแต่บางครั้งเรามัวสนใจอารมณ์ ความรู้สึกตนจนทำร้ายชีวิต ห่วงแต่ความรู้สึกว่าตัวเราทุกข์ แล้วก็ฆ่าชีวิตตัวเองให้ตายทั้งเป็น อารมณ์สำคัญกว่าชีวิตหรือ สิ่งที่สำคัญในชีวิตกว่าชีวิตนั่นก็คือการยังมีลมหายใจเพื่อสร้างสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม แต่บางครั้งความคิดสั้น ความคิดง่ายๆ ก็ทำร้ายชีวิตโดยไม่รู้ตัว
ชีวิตคือร่างกาย แต่ในชีวิตก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่าจิตใจ เรามัวแต่บำรุงร่างกาย เรารู้วิธีบำรุงร่างกายให้ดีให้งดงาม แต่เราอย่าลืมบำรุงใจ มนุษย์มักสนใจเพียงกายภายนอกจนลืมสนใจจิตใจ เพราะถ้าไม่มีจิตใจที่เข็มแข็ง ถ้าไม่มีจิตใจที่รู้จักคิด รู้จักเข้าใจชีวิต เราก็ไม่สามารถทำชีวิตภายนอกให้เติบโตได้ ฉะนั้นภายในก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนเท่ากับภายนอก ถ้าเราสนใจแต่ภายนอก จนลืมดูแลภายใน เราก็จะพบทุกข์และแก้ไขทุกข์ไม่ออก
เคยเห็นไหมคนที่ใจสลาย เคยเห็นไหมคนที่ตรอมใจจนตาย ร่างกายของเขาก็ดีๆ แต่เพราะอะไรหรือที่เขาใจสลาย เพราะอะไรหรือที่เขาตรอมใจ เพราะอะไรหรือที่เขาทุกข์เจ็บปวดใจจนไม่อยากมีชีวิต เราไม่เคยฝึกจิตให้ยอมรับความจริงเลย ทุกขณะที่มีชีวิตเราเอาแต่ตามใจตัวเองตลอด สนองใจของตัวเองตลอด แล้ววันหนึ่งให้มายอมรับความจริง อย่างนี้ทำใจได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาศิษย์ตามใจตัวเองมาโดยตลอด แล้วถ้าวันหนึ่งเจอเรื่องที่ขัดใจ เจอเรื่องที่ไม่ใช่กับใจที่เราต้องการ แล้วตอนนั้น ศิษย์จะทำใจทันไหม (ไม่ทัน)  เมื่อไม่ทัน บางคนก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกเลย เพราะรับความจริงไม่ได้ อายที่จะต้องเจอกับความจริง แล้วทำไมตอนนี้เราไม่เรียนรู้ที่จะฝึกใจของตัวเราเอง ฝึกใจที่จะยอมรับความจริงบ้าง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาตามใจตัวเองมาเยอะ วันนี้ลองมาฝึกใจเรียนรู้ความจริง เพื่อให้ภายในเข้มแข็งและภายนอกแข็งแกร่ง
การยอมรับความจริงคือเรียนธรรมะ เรียนความจริงให้ฝึกฝนที่จะอยู่บนโลกความจริงนี้ให้ได้ ใจที่ฝึกดีแล้ว ใจที่เรียนรู้รับความจริงได้แล้ว จะสามารถอยู่กับโลกที่ผันผวนพลิกผันได้ด้วยความเข้าใจและไม่ทุกข์ ปัจจุบันนี้เราไม่คิดจะมองความจริง เรามองแต่สิ่งที่ตามใจ พอความจริงฟาดเข้ามาทีหนึ่ง เราก็ทุกข์ทีหนึ่ง พอเข้ามาหลายๆ ที ก็เกือบตายทั้งเป็น ถ้าเรารู้จักยอมรับความจริง ไม่เอาแต่โทษและไม่ยึดติดความคิดตัวเอง เราก็ไม่ทุกข์ แต่คนในโลก ชอบคิดว่าผู้อื่นทำเราลำบาก ไม่ยอมช่วยเรา แต่ลืมมองว่าตัวเรายึดติดความคิดตัวเราเองหรือไม่
ใจของมนุษย์ที่รับความจริงไม่ได้เพราะมนุษย์อยากมี อยากเป็น อยากได้ แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์เรียนรู้ความจริงแห่งธรรม ศิษย์จะรู้ว่าไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร และเราไม่เคยได้อะไร เมื่อถึงเวลาจะได้จะมีจะเป็นหรือจะไม่ได้จะไม่มีจะไม่เป็น ศิษย์ก็จะไม่ทุกข์ เพราะความต้องการของมนุษย์กับความจริงมักตรงข้ามกันเสมอ มนุษย์ต้องมีต้องเป็นต้องได้ต้องยิ่งใหญ่ แต่การเรียนรู้ธรรมกลับทำให้เรายิ่งเรียนรู้ยิ่งเข้าใจว่า แท้จริงแล้วเราไม่เคยมี ไม่เคยเป็น และไม่เคยได้ ถึงที่สุดเราก็เล็กจนแทบไม่มีอะไร ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าถึงสภาวธรรม เข้าถึงธรรมแห่งความเป็นจริง ศิษย์จะไม่ทุกข์ แต่มีมนุษย์กี่คนที่จะเข้าใจประโยคที่อาจารย์พูดตรงนี้
เรามีไปเรื่อยๆ มีก็เหมือนไม่มี เราพยายามจะเป็นคนเก่งเป็นคนดีเป็นคนมีความสามารถเป็นคนที่สำเร็จ แต่ยิ่งเป็นก็เหมือนไม่ได้เป็น สำเร็จอย่างหนึ่งถึงเวลาอีกอย่างหนึ่งก็ไม่สำเร็จ สำเร็จที่เคยคิดว่าเป็นแบบแผนของความสำเร็จ ก็ไม่ใช่ความสำเร็จที่จะใช้ได้อีก
ธรรมสอนให้เรารู้ว่า เรียนรู้ให้เป็น ให้มี แล้วอย่าไปเอา เพราะไม่เคยมีอะไรเป็นของเราจริงๆ เราว่าเรามีแฟน ถึงเวลาแฟน (ไปมีคนอื่น)  เราว่าเรามีเงินมากมาย ถึงเวลาตายไปเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  โมโห เกลียด ด่าเขา ถึงเวลาเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  เอาไปได้แต่ความเจ็บแค้นในใจ แล้วก็เผาใจ ทำให้ใจหนักและตกนรก แล้วควรจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  โกรธไปก็ไม่ได้อะไร หลงไปก็ไม่ได้อะไร แต่พอโกรธไป หลงไป แต่ได้เพิ่มมาอย่างหนึ่งเป็นของแถมคือ ตกนรก แต่ถ้าไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ไม่ยึดมั่น ได้ของแถมคือ ขึ้นสวรรค์
อาจารย์ขอถาม เราอยู่เพื่อให้หรือเราอยู่เพื่อรับ คนที่รับมาแล้วค่อยให้ กับคนที่ทั้งชีวิตไม่เคยรับมีแต่ให้ ควรเอามาก่อนแล้วค่อยให้ หรือควรจะให้ไปเลยแล้วไม่ต้องเอา (ควรให้ไปเลย)  ถ้าขึ้นสวรรค์ก็ควรจะให้ไปเลย ไม่ต้องเอาอะไรไป เพราะจะได้เบาที่สุด จะได้ไม่มืด ไม่หนัก ใช่ไหม (ใช่)  แล้วชีวิตของเราจะรับหรือให้ คนที่ไปรับมาก่อนแล้วค่อยให้ อย่างนี้เรียกว่าคนดีไหม
ศิษย์ชอบทำบุญทำทานไหม (ชอบ)  แล้วเคยได้ยินไหม การถวายสังฆทานเป็นทานที่ยิ่งใหญ่กว่าทานใดๆ สังฆทานคือทางที่ไม่เจาะจง ใช่ไหม (ใช่)  ดังนั้นถ้าเราอยากทำบุญที่ดีเราต้องถวายสังฆทาน เพราะเป็นทานที่ไม่เจาะจง ดังนั้นไม่ว่าจะกับใคร ศิษย์ก็ไม่เจาะจง ศิษย์ก็ให้ อย่างนี้ศิษย์ก็ได้ให้ตลอดชีวิตเพราะไม่เจาะจงว่าให้กับใคร ไม่มีทานใดประเสริฐเท่ากับการให้ธรรมะเป็นทาน การให้นั้นได้ถอนความเป็นตัวตน ถอนความงง ถอนความงก ถอนกิเลส ถอนอัตตา ถอนความยึดติด คนดีเขาจะเลือกที่รักมักที่ชังไหม (ไม่) ถ้าคนที่ดีจริง เขาต้องทำได้ทุกที่ ทุกคน ทุกเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเดินหนทางที่แท้จริง หนทางที่กลับคืนสู่ความจริง ในเมื่อศิษย์ก็รู้ว่า โลภไปแล้ว หลงไปแล้ว ตายไปก็เอาไปไม่ได้ แต่ถ้าศิษย์เริ่มต้นปฏิบัติด้วยการให้ เราดำเนินชีวิตทำสิ่งที่ดีที่สุด ทุกขณะเรามีความสุขที่ได้ทำงาน ความสุขเราไม่ได้อยู่ที่เงินเดือน ตำแหน่ง และศักดิ์ศรี ความสุขเราอยู่ที่ทำตัวเป็นคนให้ดีที่สุด
เราก็รู้ว่าเราเกิดมาพร้อมกับกรรม แล้วศิษย์อยากมีกรรมเพิ่มไหม (ไม่อยาก)  ในเมื่อศิษย์ไม่อยากมีกรรม แค่ได้มีชีวิตอยู่ ได้ทำงาน ได้ปลูกข้าว ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง มีความสุขแล้ว ความสุขมีอยู่ทุกวันที่ได้ทำงาน แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่ ความสุขอยู่ที่การเอาเงินไปเที่ยว ความสุขอยู่ที่การได้รับเงินเดือน ความสุขอยู่ที่การได้กำไร ความสุขมีอยู่วันเดียว แต่ความสุขของอาจารย์มีทุกวันที่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่เห็นแก่ตัวและไม่ผิดศีลธรรม อาจารย์มีสุขทุกวันแล้ว อาจารย์ต้องง้อใครไหม ว่าคนนี้ต้องให้ตำแหน่งอาจารย์ ต้องชมอาจารย์ อาจารย์ไม่ง้อแล้ว เพราะอาจารย์มีสุขทุกวันที่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่ สุขเมื่อผู้อื่นชม แล้วเราไม่รู้คุณค่าตัวเองหรือ สุขเมื่อเลื่อนตำแหน่ง สุขเมื่อได้รับคำชมได้รับเกียรติ
ฉะนั้นถ้าศิษย์จะเริ่มต้นหนทางกลับคืนสู่ฟ้า ฟ้าต้องการให้เราเบา ให้เราสูง ให้เรามีธรรม ให้เราให้ ฟ้าไม่เคยให้แล้วเรียกร้องผล ฉะนั้นอยากกลับสู่ฟ้า อยากเป็นใจฟ้า อยากมีใจธรรม ศิษย์ลองไปให้คนที่เขายากไร้มากๆ เราคิดว่าเราช่วยเขา เราให้เขาแล้วเขายิ้มและขอบคุณ เราได้สุขกลับมาทันที ป้าๆ ไม่ต้องขอบคุณหนูขนาดนั้น หนูมีเยอะหนูเลยแบ่งให้ป้า เราคิดว่าเราช่วยเขาแต่ไปๆ มาๆ เขากลับ (ช่วยเรา)  พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ความสุขของพระพุทธะคือ การกระโดดลงไปช่วยคนให้พ้นทุกข์ แต่ความสุขของมนุษย์คือ ความสุขอย่างเห็นแก่ตัวที่นิ่งดูดาย ไม่คิดช่วยใคร นี่คือใจเราต่างจากใจฟ้ายิ่งนัก เพราะเริ่มต้นเราไม่คิดจะให้ เราคิดแต่จะรับ ศิษย์รู้ไหมการให้คือ รากฐานแห่งความดีงามทั้งปวง ถ้าศิษย์ให้ไม่ได้ ศิษย์จะเมตตาใคร ยอมใครและซื่อสัตย์กับใคร ให้ได้ไหม (ให้ได้)  การให้ที่ง่ายที่สุดคือ ให้ความเมตตา ให้ความจริงใจ ให้น้ำใจไมตรี ให้ความซื่อตรง ให้ความน่าเคารพเชื่อถือ ให้ความน่าศรัทธา ให้เกียรติ แบบนี้ต้องเสียทรัพย์ไหม (ไม่เสีย)  ซื่อตรงได้ไหม ไม่ใช่ซื่อแต่ไม่ตรงนะ
เคยถวายสังฆทานกับคนไหม (เคย)  อะไรก็ถวายได้โดยไม่เจาะจงใช่ไหม (ใช่)  ให้น้ำใจเขา ให้อภัยเขา ไม่เคืองโกรธเขา ไม่ผูกใจเจ็บเขา ให้เมตตาเขา นี่เรียกว่าให้ธรรม ทำได้โดยการให้ธรรมะเป็นทาน สร้างบุญแล้ว สร้างสังฆทานแล้วยังสร้างกุศล ได้ชำระล้างตัวตนไม่ยึดถือด้วย ฉะนั้นการเริ่มต้นจึงเป็นเรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องยากเลย แล้วศิษย์ทำได้ไหม (ได้)
ถ้าเรามีโอกาสเจอหน้าใคร เราจะให้อะไรเป็นทาน
(ให้โอกาสคนผิด)  ให้โอกาสคนผิดด้วยหัวใจที่เข้มแข็งและลุกขึ้นสู้อีกครั้ง (ให้มิตรภาพ ให้ความจริงใจ)  ทำให้ได้นะ ไม่ว่าคนนั้นเขาจะจริงใจหรือไม่จริงใจ (ให้อภัยและมีความเป็นมิตรกับทุกคน ให้อภัย ความรู้) ก่อนที่จะให้อภัยแปลว่า โกรธ ฉะนั้นถ้าพยายามให้ความเข้าใจ เราจะไม่ต้องพยายามอภัยใครเลย ยิ่งถ้าเราเมตตาเขามากๆ เรายังต้องให้อภัยใครไหม (ให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้น)  โดยเอาตัวเราเป็นแบบอย่าง ทำเป็นแบบอย่างให้เขาเห็น ดีกว่าสอนด้วยคำพูดอีก (ให้ความรักความเมตตา)  แต่เลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้ รักแล้วต้องรักเท่าๆ กันถึงจะไม่บาป ไม่สร้างกรรม รักแล้วยึดติดก็ก่อเกิดทุกข์ รักแล้วต้องวางให้เป็นด้วย (ให้รอยยิ้ม)  รอยยิ้มอย่างเดียวไม่พอ ปากยิ้มแต่ใจคดโกงไม่เอา ปากยิ้มแต่ตาแอบไปมองคนอื่นก็ไม่ได้ ต้องมีความซื่อตรงจริงใจ
รู้จักให้เกียรติไม่ดูถูกดูหมิ่นใคร แล้วก่อนที่จะให้เกียรติผู้อื่น เราก็ต้องทำตัวเองให้น่าเคารพด้วยใช่ไหม (ใช่)  แล้วอย่าเป็นเพียงแค่คำพูด แต่ต้องทำให้ได้ด้วย จริงไหม (จริง)
(ความเมตตาและรักกัน)  แต่รักกันก็อย่ารักกันเฉพาะแค่พวกพ้อง ถ้าจะรักก็ต้องรักให้เท่ากันทุกคนใช่ไหม (ใช่)  (รู้จักบุญคุณคน)  แปลว่าทุกคนมีบุญคุณเราก็จะไม่นินทาใช่ไหม (ใช่)  (ให้ความจริงใจ)  ทำให้ได้นะ เพราะถ้าเจอคนที่ไม่จริงใจ จงอย่าท้อ (ความรักความเมตตา)  ความรักนั้นต้องไม่เป็นการยึดมั่นถือมั่น (ให้รอยยิ้มและกำลังใจ)  บางครั้งก็ต้องรู้จักให้โอกาสคนที่เขาผิดพลาดด้วยใช่ไหม (ใช่)  แล้วถ้าเจอโลกที่ไม่ยุติธรรมไม่ซื่อสัตย์แล้วเรายังจะให้อยู่ไหม (ให้อภัย)  ศิษย์เอ๋ยถ้าเมื่อไรศิษย์คิดจะให้อภัย แปลว่าลึกๆ แล้วศิษย์แอบโกรธเขาก่อน ไม่พอใจเขาก่อน ใช่ไหม (ใช่)  (ให้อภัยและให้ธรรมะ)  ธรรมะอะไรหรือ (ให้เขามาปฏิบัติธรรม)  สู้เราปฏิบัติธรรมเป็นตัวอย่างให้เขาดูดีกว่า
(อภัยและรอยยิ้ม)  ถามจริงๆ ตอนที่รู้สึกต้องให้อภัยเรายิ้มออกไหมศิษย์ พยายามให้ความเข้าใจ ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร เราต้องเข้าใจให้มากที่สุด แล้วศิษย์จะได้ไม่ต้องใช้คำว่า อภัย เพราะเขาผิดได้ เราผิดได้ เขาแย่ได้ เราแย่ได้เหมือนกัน (รักกันและชอบกัน)  แต่บางคนเหม็นขี้หน้ากัน ยังไม่ทันได้ชอบกัน ต้องทำอย่างไร (ขอบคุณ)  ทำให้ได้อย่างนี้นะ (เขาไม่ดีเราต้องให้โอกาสและต้องซื่อสัตย์)  เราต้องอดทนให้ได้ในสิ่งที่เขาเป็นแบบนั้น บางครั้งนอกจากให้คนอื่นเป็นแล้ว ศิษย์ต้องให้ใจตัวเองทำอย่างไรให้รับกับคนแบบนั้นให้ได้ ศิษย์อย่าลืมสังฆทานให้คนอื่น อย่าลืมให้กำลังใจตัวเอง หนูจะต้องทนให้ได้ (ต้องจริงใจและซื่อสัตย์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน)  ตอบได้ดี เพิ่งก้าวแรกเองไปรอดไหม เริ่มต้นทำอย่างไรก็ได้ที่ทำให้เรารู้จักให้ แต่เราต้องให้กำลังใจตัวเองในการยอมรับผู้คนที่ไม่ได้ดั่งใจเรา
รู้จักถวายสังฆทานให้ผู้อื่น อย่าลืมสังฆทานให้ตัวเองด้วยนะ อดทนให้ได้กับสามีที่เป็นแบบนี้ เข้มแข็งให้ได้กับลูกที่เป็นแบบนี้ ยอมรับให้ได้กับเพื่อนที่เป็นแบบนั้น เมื่อเคลียร์ใจตัวเองได้ เราก็ยอมให้ได้ เขาไม่จริงใจแต่เราจะจริงใจ เขาไม่ดีแต่เราจะดี ให้รู้กันไปชีวิตนี้ดีไม่ได้แต่เราจะดีให้ได้ เราจะสู้และไปต่อ ก้าวแรก คือ “ให้”
ก้าวที่สอง คือ ต้องละชั่วให้ได้ ต้นเหตุแห่งบาปทั้งมวลล้วนก่อเกิดมาจากกิเลสที่เรียกว่า “โลภ โกรธ หลง” ถึงแม้เราจะขจัดกิเลส โลภ โกรธ หลง ได้ แต่ตัวต้นเหตุที่สร้างโรงงานโลภ โกรธ หลง คือ (ความคิด)  ฉะนั้นถึงบอกว่าสิ้นกิเลสยังไม่สิ้นทุกข์ ตราบใดตัวสร้างทุกข์ยังคิดไม่เป็น ยังไม่มีสติยังไม่มีธรรมะพอ อย่างนั้นคนที่จะเดินขึ้นสวรรค์นอกจากให้แล้ว อยู่เพื่อสนองกิเลสหรืออยู่เพื่อลดละกิเลส (ลดละกิเกส)  เรากินเพื่ออยู่หรืออยู่เพื่อกิน ใส่เพื่ออุ่นหรือใส่เพื่อสวยหล่อ ถ้าศิษย์จะก้าวต่อไปศิษย์ต้องละกิเลสให้ได้ ถ้าศิษย์ยังละกิเลส ละความโลภโกรธหลงไม่ได้ ศิษย์ก็จะก้าวต่อไม่ได้ ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “ไม่มีหายนะใดน่ากลัวเท่ากับความไม่รู้จักพอ ไม่มีภัยพิบัติใดยิ่งใหญ่เท่ากับความโลภ” ถ้ารู้จักพอก็สงบได้ รู้จักพอรู้จักหยุดก็หลีกหนีภัยพิบัติได้
แต่มนุษย์มีใครบ้าง มีแบงก์ร้อยแล้วไม่มีแบงก์พัน ได้เงินมาสนองกิเลสอารมณ์ แต่ครอบครัวแตกแยก ไม่มีมิตรแท้ ไม่มีเพื่อนจริงเอาไหม (ไม่เอา)  มีบ้านมีรถครบครันแต่ลูกอยู่ทาง พ่อแม่อยู่โดดเดี่ยวเอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นถ้าศิษย์ยังคงผิดศีลขาดธรรม ศิษย์ก็จะไม่มีวันครอบครัวร่มเย็นได้ เมื่อละบาปได้ก็ต้องบำเพ็ญบุญ เมื่อเราไม่ผิดศีลแล้ว สิ่งที่ศิษย์ต้องสร้างให้คนที่ดีแล้วดียิ่งๆ ขึ้นไป นั่นก็คือการมีคุณธรรมต่อกัน การมีคุณธรรมต่อกันทำให้ครอบครัวร่มเย็น ทำให้ชีวิตมีค่ามีความหมาย ไม่มีความซื่อตรงจริงใจกับใคร ไปอยู่ที่ไหนจะมีใครรักไหม (ไม่มี)  อาจารย์ถามศิษย์เจอใครหล่อ สวย มองไหม (ไม่มองแค่เหล่ๆ)  หลงไหม (ไม่หลงแต่ขอดูอีกสักทีหนึ่ง)  ไม่ได้นะศิษย์ ใจเขาใจเรา อกเขาอกเรา เรายังอยากได้คนซื่อตรงแต่ตัวเราไม่ซื่อตรง เรายังอยากได้คนจริงใจไม่เอาเปรียบไม่เอาแต่ได้ แต่เราเอาเปรียบเอาแต่ได้ไม่จริงใจ ฉะนั้นก้าวที่สองที่อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำให้ได้คือ หนึ่งต้องไม่เบียดเบียนทั้งตา กาย ใจ สองต้องไม่อยากได้ของเขามาเป็นของเรา สามซื่อตรงจริงใจรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดีที่สุด คำไหนคำนั้นถ้าทำได้เช่นนี้ นี่แหละก้าวที่สอง
ซื่อตรงไหม (ซื่อตรง)  เบียดเบียนไหม (ไม่เบียดเบียน)  จริงใจไหม (จริงใจ)  แน่ใจนะ อย่างนี้แปลว่ากลับบ้านไปจะไม่เบียดเบียนชีวิตของใครให้เป็นชีวิตของเราใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้ก็แปลว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์ใช่ไหม เอาไหมอาจารย์ให้ ไม่กิน 3 อย่างเอง แค่ไม่กินสัตว์บนฟ้า สัตว์บนบก และสัตว์ในน้ำ ศิษย์เอ๋ย โลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล ถ้าเราไม่สร้างเหตุแล้วเราจะได้รับผลไหม (ไม่รับ)  แล้วศิษย์ไปเบียดเบียนชีวิตของเขาเพื่อชีวิตของเรา แล้วศิษย์คิดว่าเขาจะไม่เบียดเบียนศิษย์กลับหรือ ตัวอย่างง่ายๆ เช่น ในใจของศิษย์จำคนที่ด่าศิษย์ได้แม่นกว่าจำคนที่ชมศิษย์ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนกันกับที่ศิษย์ไปเอาชีวิตของเขา แล้วคิดว่าเขาจะไม่จำศิษย์ฝังใจหรือ แล้วศิษย์กินเขา คิดว่าเขาจะไม่แค้นศิษย์หรือ แล้วถ้าศิษย์ตบเขาแล้วเขาขอตบคืน คิดว่าเขาจะตบกลับเท่ากับที่ศิษย์ตบเขาไหม (ไม่)  เขาก็เอาคืนให้ศิษย์เจ็บที่สุด ถ้าศิษย์ไม่เจ็บ เขาก็เอาคนที่ศิษย์รักที่สุด แล้วทำให้ศิษย์ทรมานแล้วตายทั้งเป็น เอาแบบนี้ไหม (ไม่เอา)  จงไปคิดดูนะ
ละบาปบำเพ็ญบุญ บำเพ็ญบุญด้วยการไม่เบียดเบียน ไม่อยากได้ของใครมาเป็นของเรา รักแค่ไหน ดีแค่ไหน ได้แค่นี้พอแล้ว ดีกว่านี้ก็ไม่เอา แต่มนุษย์ไม่ใช่มีแต่เรียกร้องให้เธอต้องดีกับฉันอีกนิด เธอไม่เหมือนเดิมนะ เธอต้องดีกว่านี้อีกสิ ใช่ไหม เพียงแค่คิดว่าเขาต้องดีกับเรา นั่นก็แปลว่า อยากได้ของเขามาเป็นของเรา แล้วเมื่อได้แล้ว เราเคยพอไหม (ไม่พอ)  ฉะนั้นเมื่ออยากลดความโลภ ก็ต้องรู้จักพอ รู้จักหยุดเป็น
อาจารย์ถาม กิเลสอะไรที่ศิษย์อยากกำจัดทิ้งที่สุด (กิเลสตัณหา)  อายุขนาดนี้แล้วยังมีตัณหาอีกหรือศิษย์ อาจารย์ตกใจนะ ตัณหาแบบไหน ไม่ใช่แบบชายหญิงนะ ตัณหาคือ ความอยากไม่รู้จักพอ ใช่ไหม (ความโลภ)  ต้องไม่โลภ เพราะถ้าโลภมากจะเป็นเปรตนะศิษย์ (ใจเย็นมีสติ)  ทำอะไรอย่าใจร้อน (น้อยใจ, อย่าเห็นแก่ตัว)  ตัวโตทำไมขี้น้อยใจ กล้าตอบก็ตอบได้ดี บางทีน้อยใจที่รักเขาแต่เขาไม่รักตอบเลยน้อยใจ เราอย่าเห็นแก่ตัว เพราะถ้าเราเอาแต่เห็นแก่ตัว เราก็จะไม่มีน้ำใจให้กับใคร
(กิเลสตัณหา)  ยังเหลืออยู่หรือ (ยังเหลือ)  อายุเท่าไร (62 ปี)  ยังมีตัณหาอีกหรือ อายุขนาดนี้ไม่ควรมีแล้ว ควรจะต้องปลงและปล่อยวางได้แล้ว (ไม่โกรธมากลาภหาย)  อาจารย์เคยได้ยินแต่ว่า โลภมากลาภหาย (ต้องมีศีลห้าเป็นหลัก)  เพราะสิ่งที่อาจารย์พูดคือ ศีลห้า คือความเป็นปกติ คนที่ไม่มีศีลห้าคือ คนที่ผิดปกติ แล้วชีวิตนี้ศีลห้าถือได้ครบไหม (ครบครับ)  แค่นี้ก็โกหกแล้ว ศีลห้าทำคนให้เป็นคนปกติ แต่ถ้าไม่มีศีลห้าก็ไม่ปกติ
(ไม่โลภ ไม่โกรธและไม่หลงตัวเอง)  ไม่หลงตัวเองหรือเพศตรงข้าม ต้องระวัง (ความใจร้อน)  ตอนนี้ทำอะไรต้องมีสติยั้งคิด ไตร่ตรองให้ดี (กิเลสในใจเรา)  ก็คือความยึดมั่นถือมั่นในความคิดตน มักคิดว่า ตนถูกเสมอ

ข้อที่สาม มองเห็นความเป็นจริงอย่างแจ่มชัด จนไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้กระทั่งตัวตน เมื่อเข้าถึงสภาวสัจธรรม สัจธรรมจะสลายความเป็นตัวตนจนหมดสิ้น จนเข้าถึงสภาวะว่าง หรือเรียกว่า “ธรรมอันเดิมแท้”  แต่มนุษย์มักจะชอบใช้ความคิดความเข้าใจจนลืมมองความจริง ในโลกนี้ทุกสิ่งเปลี่ยนไหม คงอยู่ไหม ทุกสิ่งมีเหมือนไม่มี ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราเข้าใจว่าสิ่งที่คงอยู่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง เราจะทุกข์กับมันไหม ถ้าวันหนึ่งหน้าเราจากดีๆ กลายเป็นเหี่ยว มีแขนขาครบกลายเป็นแขนด้วน วันหนึ่งชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ แล้วศิษย์จะทุกข์ไหม ศิษย์เอ๋ย ถ้าศิษย์มองแล้วเข้าใจความเป็นจริง ศิษย์จะรู้ว่าในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น ไม่มีอะไรที่คงที่ตลอด เมื่อเกิดการแปรเปลี่ยนเกิดการพลิกผัน ศิษย์จะได้ไม่ทุกข์กับสิ่งนั้น เพราะเราเห็นแจ้งจริง
ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์ต้องก้าวไปให้ถึงก็คือ พิจารณาธรรมแห่งความเป็นจริงจนบังเกิดความรู้แจ้ง และกลับคืนสู่สภาวธรรมอันเดิมแท้ในใจตน นั่นแหละคือสิ่งที่ศิษย์ต้องพิจารณาให้เนื่องๆ ด้วยการพิจารณาไตรลักษณ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า หมั่นพิจารณาแล้วศิษย์จะเข้าใจในธรรมอันแจ่มแจ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างแค่คงอยู่ชั่วคราว แล้วถึงเวลาก็เปลี่ยนแปลงไป
อาจารย์ถามศิษย์ว่า ระหว่างไฟกับน้ำอะไรน่ากลัวกว่า (ไฟ)  อะไรดีกว่า (น้ำ)  ถ้ามีแต่น้ำแต่ไม่มีไฟ (อยู่ไม่ได้)  ถ้าอาจารย์เปรียบเทียบไฟเหมือนความโกรธ ความเกลียด น้ำเหมือนความเมตตา จิตใจที่ดีงาม จิตใจที่เสียสละ เราอยู่ในโลกมีแต่น้ำไม่มีไฟ (อยู่ไม่ได้)  แล้วเป็นไปได้ไหม ที่ในโลกนี้มีแต่คนมีเมตตา ไม่มีคนน่ากลัว (เป็นไปไม่ได้)  เป็นไปได้ไหมที่ภูเขากับพื้นดินต้องเป็นระนาบเดียวกัน (ไม่ได้)  ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า สูงและต่ำ แล้วเราอยู่ระหว่างสูงกับต่ำได้ จึงเรียกว่า ชีวิต ถ้าคำชมเหมือนการขึ้นภูเขาสูง คำด่าเหมือนกับคนที่กดให้เรามาเหยียบพื้นดิน อยู่บนพื้นดินน่ารังเกียจสู้ไม่ได้กับการอยู่บนภูเขาสูงหรือ แล้วเป็นไปได้ไหมว่าชีวิตนี้จะมีแต่พื้นดินไม่มีเขาสูง และมีเขาสูงไม่ยอมรับพื้นดิน (ไม่ได้)  เมื่อเป็นไปไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น
แท้จริงแล้วโลกมีความเป็นกลางอยู่ แต่มนุษย์ยึดติดชอบชัง จึงรู้สึกว่าอันนี้ดีอันนี้แย่ แต่ถามจริงๆ คำด่าของเขาแย่ไหม (ไม่แย่)  คำด่าทำให้เราเห็นตัวเองชัด แต่คำชมทำให้เราลืมความจริงและหลงตัวเอง เหมือนที่ศิษย์ว่า “ไฟมันร้อนแต่ก็ขาดไฟไม่ได้ น้ำมันเย็นแต่ถ้าอยู่กับน้ำจนเกินไปก็ฆ่าเราให้ตายทั้งเป็น”  ธรรมะจึงสอนให้เรียนรู้ว่า แท้จริงแล้วโลกนี้ไม่มีอะไรดีไม่มีอะไรแย่ แต่สิ่งที่เรียกว่า ดี แย่ คือใจของศิษย์ที่ยึดติดแบ่งแยก แท้จริงแล้วฟ้าสอนว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง เมื่อไรที่ศิษย์สามารถเข้าถึงสภาวธรรมอันเป็นกลางได้ เมื่อนั้นบาปกรรมจะไม่เกิดขึ้นในใจศิษย์ แต่เมื่อไรที่ศิษย์ยังยึดติดแบ่งแยก ศิษย์ก็หนีไม่พ้นบาปกรรมและการเวียนว่าย เราอยากอยู่เพื่อทุกข์หรืออยากอยู่เพื่อสุข (สุข)  ในทุกข์ยังมีสุข ในสุขยังมีทุกข์ แล้วชีวิตนี้เราด้อยปัญญาจนหาสุขในทุกข์ไม่เจอหรือศิษย์ คนเราเข้มแข็งขนาดไหนยังต้องมีอ่อนแอ แต่อ่อนแอขนาดไหนเราหาความเข้มแข็งไม่ได้หรือ แล้วในความอ่อนแอเข้มแข็งเรากลับมาปกติ ไม่ต้องเข้มแข็งไม่ต้องอ่อนแอไม่ได้หรือ แล้วเราอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีใครรัก แต่รู้จักรักตัวเองและรักคนอื่นไม่ได้หรือ (ได้) ทำไมต้องรอให้ใครมารัก ต้องรอให้ใครมาเห็นค่าด้วย ตัวเองไม่เห็นค่าตัวเองหรือ สร้างสรรค์คุณงามความดีด้วยชีวิตตัวเอง ด้วยความศรัทธาเชื่อมั่นในใจตัวเอง
ศิษย์เอ๋ยเกิดเป็นคนไม่มีใครหนีความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ เมื่อเป็นศิษย์อาจารย์อย่ากลัวตาย อย่ากลัวเจ็บ เพราะความเจ็บความตายมันทำให้ศิษย์เด็ดเดี่ยวต่อความมุ่งมั่นว่าจะกลับคืนฟ้า และกลับสู่สภาวธรรมที่เรียกว่าว่างเปล่า สังขารนี้ไม่ต้องห่วงมัน อยากตายๆ ไป รักษาใจดีกว่า ใจมันไม่มีกรรม ใจมันไม่มีอยากได้ ด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน และกลับสู่ความจริงแท้ ถ้าชีวิตได้เดินกลับสู่ความจริง และทำให้เราว่างเปล่า ทำให้เราปลดปลง ทำไมต้องกลัวความจริงข้างหน้า สู้เข้มแข็งไปให้ถึงสภาวธรรมที่แท้จริงที่ไม่ได้อยู่ข้างนอก ที่ไม่ต้องพึ่งใครแต่พึ่งตัวเอง เชื่อมั่นในความดีตัวเอง และนำพาผู้อื่นให้พ้นทุกข์ด้วยหัวใจความเป็นพุทธะ ด้วยใจที่แจ้งถึงความเสียสละ ถอนตัวตนจนหมดสิ้น กลับสู่สภาวธรรมอันเดิมแท้ที่เป็นรากเดิมของใจศิษย์ อย่ามัวหลงกับโลภ กิเลส อย่ามัวหลงกับร่างกายอันไม่เที่ยงแท้ แต่ต้องตื่นขึ้น และเห็นความจริง ไม่มีอะไรเป็นของเรา และเราไม่เคยได้อะไร และเราไม่จำเป็นต้องเป็นอะไร แค่กลับสู่ที่เดิมที่เรามา มีชีวิตไหนบ้างที่เกิดมาแล้วไม่ตาย มีแล้วไม่กลับสู่ความว่าง ถ้ายังหลงมีอีกมันก็จะมีไม่จบสิ้น แต่ถ้าปล่อยความมีได้ กลับสู่ความว่างได้ นั่นแหละพ้นทุกข์โดยแท้จริง แล้วจะยึดความมีให้ทุกข์ทำไม
อาจารย์อยากให้ขวัญและกำลังใจแก่ศิษย์ทุกคน ให้เข้มแข็ง มุ่งมั่นก้าวต่อไป ด้วยหัวใจที่ไม่ยึดติดในโลภ โกรธ หลง หรือสังขารอันไม่เที่ยงแท้นี้ มีปณิธานความมุ่งมั่นที่แจ่มชัด โลกนี้น่าหลงใหลนักหรือ ตัวตนนี้น่ายึดถือจนทิ้งวางไม่ลงเลยหรือ รักษากายใจและความมุ่งมั่นให้เด็ดเดี่ยว เหมือนสวรรค์ชั้นฟ้าที่มีแต่ให้ แล้วก็ให้ แล้วยังจะเอาอะไรอีกหรือกับโลกใบนี้ แล้วศิษย์จะรู้ว่าการปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวตนนั้นคือความสุขที่สุด สุขที่เย็นที่สุด สุขที่พ้นทุกข์ที่สุด ทำให้ได้นะ อาจารย์เชื่อมั่นในตัวของศิษย์ ศิษย์ก็ต้องเชื่อมั่นในความมุ่งมั่นของหัวใจนี้ ลองดูนะ ลองนำธรรมไปพิจารณาให้เห็นแจ้งความเป็นจริง
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายความหมายของเนื้อเพลง “ยืมความทุกข์มาบำเพ็ญ”)
“ทุกข์แค่ไหน ท้อแค่ไหน แค่ใจหลอก” ใจนั้นหลอกให้ไหลไปตามอารมณ์ แต่ถ้าเรามองให้เห็นความเป็นจริงแล้ว จะเห็นว่าความท้อก็เป็นเพียงแค่ช่วงหนึ่ง ทุกข์ก็เพียงแค่ช่วงหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของจริงแท้ สำคัญที่ใจ อย่าให้ไหลไปตามอารมณ์ ต้องเป็นแบบใจเดิม ใจที่ว่าง ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร อะไรจะเกิดก็กล้ารับได้ คำว่า “จ้องบำเพ็ญเหมือนกับพร่อง”แปลว่า ยิ่งเราฝึกฝนบำเพ็ญมากเท่าไร เราก็ยิ่งรู้ตัวเองว่า เรายังพร่องอยู่ เรายังไม่ดีอยู่ เราจึงต้องแก้ไขให้มากที่สุด
อาจารย์ให้กำลังใจศิษย์นะ มุ่งมั่นในการทำความดีต่อไปนะ จิตที่อุทิศเสียสละคือจิตแห่งโพธิสัตว์ จิตที่ยอมทุกข์เพื่อคนอื่น จิตที่ไม่กลัวความเหนื่อยยากคือจิตแห่งพุทธะที่ศิษย์ต้องรักษาให้ดี ยอมเสียสละความสุขของตัวเอง เพื่อนำพาให้คนอื่นพ้นทุกข์ เพื่อให้คนได้กินอิ่มมีสุข นี่คือจิตแห่งพุทธะ
เดินให้ถึงที่สุดนะ ไม่รักศิษย์ตรงนี้แล้วจะไปรักศิษย์ที่ไหนใช่ไหม
มีโอกาสคงได้กลับมาร่วมบุญศึกษาธรรมร่วมกันอีกนะ  อย่าปล่อยชีวิตให้ซัดเซพเนจร หลงโลก หลงกิเลส จนลืมมองความจริง อย่าเอาแต่ใจ เอาแต่อารมณ์ จนลืมความจริงแท้ที่ทำให้ชีวิตต้องทุกข์เศร้า ทุกข์ของโลกใบนี้ ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับทุกข์แห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ดูแลตัวเองให้ดีนะศิษย์เอ๋ย เพื่อช่วยเวไนย อย่าท้อ เพื่อช่วยผู้คนให้พ้นทุกข์ เข้มแข็งให้ได้นะ


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

2560-06-10 สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา

西元二〇一七年嵗次丁酉五月十六日              仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐               สถานธรรมเต๋อฮว่า  จ.สงขลา
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี
  ใช้ชีวิตไหลไปตามกระแส               สุดแล้วแต่สังคมสิ่งแวดล้อม
สูญเสียตัวเองไปในโลกอันจอมปลอม    คนถูกย้อมในสิ่งที่ตนรู้ดี
           เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่แดนโลกแฝงกายน้อมกราบอัญชุลี
องค์มารดา                         ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ       
      แผนที่ใดล้วนมีไว้พิชิตแดน              แต่ชีวิตคนดำเนินแผนที่วุ่นวาย
ชอบเร่งไวไปบีบให้คนตาย               แข่งรีบใจถูกผิดเป็นปากประตู
ประสงค์ทางหมดทุกข์ต้องไม่เสแสร้ง     จงใช้หัวใจแห่งความจริงตื่นรู้
หยุดวิ่งหนีกรรมจี้ถูกสำนึกดู             ใช้ปัญญาคู่ความดีแม้ไม่ชาญ
สติไม่ให้เผลอพูดดั่งก้นรั่ว                 คิดทำชั่วอย่ามีไม่ไถหว่าน
กายใจสงบเป็นเย็นได้เบิกบาน           สงบเป็นว่างทุกข์นั้นในทุกที่
กลัวจะลืมก่อนดีชั่วคืออะไร              ทุกวันนี้สุขไหมบ่ายหน้าหนี
อาจไม่ใช่โกรธเช้าสายเพียงเท่านี้         ธรรมหายไปแต่ไม่มีรู้สึกตัว
เพียรเช้าค่ำให้กับคำคนตำหนิ            กินอยู่ปกติใจธรรมล้อมเป็นรั้ว
ตามืดบอดไม่เท่าใจมืดมัว                   คนน่ากลัวที่ความคิดกว่าอะไร
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี
รู้จักกันก่อนจึงจะสนทนากันดีไหม (ดี)  มีหลายท่านคงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ แล้วก็ไม่ค่อยจะเชื่อมั่นหรือคลางแคลงใจเป็นแน่แท้ใช่ไหม (ไม่)  เป็นธรรมดาอยู่ในโลกโดยส่วนใหญ่ไม่ถูกเขาหลอก  เราก็หลอกเขา สลับกันไปสลับกันมา ใช่ไหม (ใช่)  ยอมรับว่าเคยหลอกเขาด้วยใช่ไหม (ใช่) สักครู่ท่านบอกเองว่าไม่ถูกเขาหลอกก็หลอกเขา อย่างนั้นก็แปลว่าเราก็เคยไปหลอกเขามา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยอมรับอีกนะ ถือว่าเราพูดคุยสนทนากันในเรื่องของธรรมะดีไหม (ดี)  อย่าพึ่งตั้งป้อมรังเกียจเราเลย เพราะนั่งฟังมาเกือบวันหนึ่งแล้วได้รู้ธรรมบ้างไหม (รู้) หรือว่าได้แค่นอนหลับ (ได้รู้ธรรม)  ได้รู้ธรรมหรือ เรานึกว่าได้นอนหลับ ต้องถามว่าได้ฟังธรรมเต็มอิ่มหรือว่าได้นอนหลับเต็มอิ่ม เป็นเช่นไร (ฟังธรรมเต็มอิ่ม)  เรานึกว่านอนหลับเต็มอิ่ม ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แปลกนะอยู่บ้านไม่ค่อยจะหลับไม่ค่อยจะนอนวันๆ เอาแต่เที่ยว แต่พอมาห้องพระไม่รู้ทำไมมันอยากหลับมากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าที่นี่น้ำธรรมของคนดีนะพูดปุ๊บหลับปั๊บเลย อย่าพึ่งตกใจเสียงเราดังเราก็เหมือนคนใต้เสียงแข็งแต่ใจไม่มีอะไรใช่ไหม (ใช่)  คนใต้เสียงห้วนไหม (ห้วน)  แต่ใจมีอะไรไหม (ไม่มีอะไร)  ใจดีแต่ปาก (ร้าย)
ถ้าทำอะไรด้วยใจชอบ สองชั่วโมง สามชั่วโมง หรือหนึ่งวัน สองวันเราก็สู้ไหว แต่ถ้าทำอะไรแล้วใจไม่ชอบ แม้เพียงผ่านไปหนึ่งนาที เราก็สู้ไม่ไหวแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใครอยู่ฟังจนจบครบสองวัน แปลว่ามีใจที่ชอบธรรม แต่ใครอยู่ไม่ครบสองวัน แปลว่าใจนั้นไม่เคยชอบธรรมเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เมื่อสักครู่พูดว่า ถ้าชอบยังไงก็สู้ ยังไงก็ไหว เหมือนฝ่ายชายให้ยืนเฉยๆ หนึ่งชั่วโมง ไหวไหม (ไหว)  แต่ให้ดูแข่งฟุตบอล แข่งวัว แข่งนกสองชั่วโมง สามชั่วโมงไหวไหม (ไหว)  ต่างกันตรงที่ใจเราชอบกับไม่ชอบ ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าใจเราทำด้วยความรู้สึกที่ชอบ อะไรก็ไหว แต่ถ้าใจเราไม่ชอบ เชื่อไหมว่านิดๆ หน่อยๆ เราก็ไม่ไหวใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเป็นแบบนี้เราใคร่ขอถามท่านหน่อยนะว่า โลกใบนี้ดีหรือร้ายอยู่ที่ฟ้ากำหนด หรือคนกำหนด (คนกำหนด)  ดีหรือร้ายฟ้ากำหนดหรือคนกำหนด (ฟ้า)  จำเรื่องเมื่อสักครู่ได้ไหม เวลาชอบอะไรฟังแล้วรู้สึกดีจริงไหม (จริง)  แต่ถ้าไม่ชอบแล้ว แม้ฟังคนพูดดีก็ยังรู้สึกแย่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เราถามหน่อยนะดีหรือร้ายฟ้ากำหนดหรือคนกำหนด (คนกำหนด)  จริงไหม (จริง)  ถึงฟ้าจะให้เราโชคร้าย แต่เราหาทางออกที่ดีที่สุดได้ เราคิดดีไว้เราก็จะเจอดี จริงไหม (จริง)  ถึงฟ้าจะให้เราโชคดี แต่ถ้าเราคิดร้ายดีหรือร้าย (ร้าย)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นฟ้ากำหนดหรือคนกำหนด (คนกำหนด)
ถ้าอย่างนั้นสุขหรือทุกข์อยู่ที่คนกำหนดหรือใจเรากำหนด (ใจเรากำหนด)  สุขหรือทุกข์อยู่ที่คนภายนอก หรือหัวใจเรา (หัวใจเรา)  ทำไมตอบได้ชัดเจนเลย แต่เวลามีทุกข์ทำไมกลับโทษเขาลืมโทษใจ เวลารู้สึกแย่ทำไมว่าเขา ไม่ว่าใจเรา ใช่ไหม (ใช่)  ยกตัวอย่างง่ายๆ (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาถามนักเรียนชายในชั้น)  ใจมันไม่เคยมีเหล้าเดินผ่านร้านเหล้า รู้สึกอะไรไหม (ไม่รู้สึก)  แต่ถ้าใจมันเคยกินเหล้า แม้ไม่เดินผ่านร้านเหล้ามันทำไมรู้สึกเปรี้ยวปาก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใจมันไม่มีอะไร สิ่งภายนอกมี มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ จริงไหม (จริง)  เหมือนถ้าใจท่านรักเดียวใจเดียว ผู้หญิงจะสวยหยาดเยิ้มขนาดไหน ท่านจะหวั่นไหวไหม (ไม่)  เหมือนกันฉันใดก็ฉันนั้น ผู้หญิงถ้ารักเดียวใจเดียวในสามีตัวเอง ผู้ชายจะดูดีขนาดไหนปากหวานขนาดไหน เราจะหวั่นไหวไหม (ไม่)
ฉะนั้นดีร้ายทุกข์สุขอยู่ที่ภายนอก หรืออยู่ที่ใจ (อยู่ที่ใจ)  อยู่ที่ใจเขาไม่ดี หรือใจเราแอบมีสิ่งไม่ดีแล้วหวั่นไหวไปกับการไม่ดีอันนั้น (ใจเราแอบไม่ดี)  คิดได้เช่นนั้นตลอดไหมนะ พอมีปัญหาก็โทษเขา ไม่โทษตัวเอง ฉะนั้นพอเกิดปัญหาขึ้นมา เกิดความทุกข์ขึ้นมาก็บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยหน่อยสิ เอาน้ำมนต์มา ๙ วัด เผื่อจะปัดเคราะห์ ปัดร้าย ปัดปัญหา ปัดทุกข์ได้ ใช่ไหม( ใช่)  ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เราไปหวั่นไหวกับเขา เราไปมีปัญหากับเขาแล้วถึงเวลาฝ่ายหญิงก็เลยบอกสงสัยต้องไปเอาน้ำมนต์ ๙ วัด มาปัดสามีตัวเองให้เลิกหลงใหลผู้หญิง ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถึงน้ำมนต์สัก ๙ วัดศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน ก็ล้างคนให้บริสุทธิ์ไม่ได้ ล้างคนให้ดีไม่ได้ ก็ถ้าจะล้างได้ดีที่สุดคือตัวเขาเองต้องไม่หวั่นไหว
ฉันใดก็ฉันนั้น มนุษย์จะดีหรือไม่ดี ไม่ใช่ผู้อื่น คนเราจะบริสุทธิ์ได้อย่างแท้จริง ก็ดูที่ว่าท่านทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม มีศีลธรรมหรือไม่ อยากล้างใจให้บริสุทธิ์ อยากให้ชีวิตมีสิ่งมงคลมาเกิดขึ้นกับตัว มันต้องดูที่การกระทำใช่ไหม (ใช่)  ถ้าท่านไปทำชั่ว ท่านไปคิดผิด ท่านไปทำบาปแล้วเอาน้ำมนต์ ๙ วัดมาล้างๆ หมดไหม (ไม่หมด)  จะล้างได้ก็ต้องหยุดที่ใจของตัวเอง ทำดีละชั่วหรือยัง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อยู่ในโลกอยากเป็นที่รักของทุกคนไหม อยากเป็นที่รักของผู้อื่นไหม อยากให้เขารักแต่ด่าเขาทุกวัน จับผิดเขาทุกวัน เขาจะรักไหม (ไม่รัก)  ฉะนั้นอยากให้เขารักต้องรู้จัก (รักตัวเอง, รักผู้อื่น)  ก็เพราะคิดว่ารักตัวเองฉะนั้นอยากให้เขารักต้องรู้จักอยู่แล้วอยากให้เขาเข้าใจ เราต้องรู้จักเคารพให้เกียรติกัน เชื่อถือ ซื่อตรง ซื่อสัตย์จริงใจต่อกัน จริงไหม (จริง)  ไม่ใช่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่มีใครเขารักท่านหรอก เขารักแค่เพียงรูปพอถึงเวลาจูบแล้วไม่หอมเขาก็เลิกราไปใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอยากให้คนอื่นรักจงรู้จักเคารพให้เกียรติ ซื่อตรง จริงใจ มีชีวิตอยู่อยากอยู่อย่างสงบหรืออยากอยู่อย่างวุ่นวาย (อยู่อย่างสงบ)  ถ้าอยากอยู่อย่างสงบก็อย่าเอาสายตาไปเบียดเบียนใคร อย่าเอาสายตาไปฆ่าใคร อย่าเอามือไปทำร้ายเบียดเบียนใคร อย่าเอามือไปตบตีเข่นฆ่าใคร อย่าเอาความคิดไปเบียดบังทำร้ายใคร และอย่าใช้ความคิดไปฆ่าใคร อยู่ที่ไหนมีหรือจะไม่สงบสุข จริงไหม ทำไหม (ทำ)  มองทีก็จับผิดมากกว่าจับถูก เห็นคนก็เห็นแย่มากกว่าเห็นดี มองปุ๊บก็ดูถูกมากกว่าให้เกียรติใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยู่ในโลกไม่มีสุข ไม่มีใครรัก ไม่ต้องไปไหว้พระ ถามตัวเองว่าทำตัวให้น่าเคารพกราบไหว้ไหม
ดังที่มนุษย์มักจะกล่าวไว้ว่า ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น ก่อนที่จะโทษผู้อื่น หรือก่อนว่าฟ้าดิน ต้องถามตัวเองก่อนว่า เราเป็นเหตุของความทุกข์และปัญหาทั้งมวลหรือไม่ หรือที่ตามคำธรรมะสอนว่า หว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลอย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตใจเหมือนผืนนา ปลูกบุญก็ได้บุญวาสนา ปลูกบาปก็ได้เภทภัย ทุกข์ภัยพาล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นบุญ บาป มงคล อัปมงคล ล้วนเราเป็นผู้สร้าง และเราเป็นผู้เก็บผลนั้นทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากมีสุข ไม่ใช่เอาแต่ไหว้พระอย่างเดียว แต่ตัวเองไม่รู้จักแก้ไขที่ตัวเองก็ไม่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราถามท่าน เราอยากอยู่อย่างมีเภทภัย มีเคราะห์ร้ายไหม (ไม่อยาก)  เราอยากอยู่อย่างคนที่สงบสันติสุขไหม ก็อยากทั้งนั้น มนุษย์ทุกคนอยากมีสุข ไม่อยากมีเภทภัย ไม่อยากมีทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราพอรู้ไหมว่า เภทภัยเวรกรรมมาจากไหน (มาจากตัวเรา)  ตัวเราทำอย่างไรหรือจึงมีเภทภัย จึงมีเวรมีกรรม ไม่รู้เหมือนกันใช่ไหม (ใช่)  ถ้ารู้ก็คงไม่มานั่งฟังตรงนี้หรอกใช่ไหม (ใช่)  คำว่าเวร เภทภัย มาจากไหน พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ถ้าไม่มีเวร ก็ไม่มีภัย แล้วเวรคืออะไร
เวรกรรมคืออะไร คือสิ่งที่ไม่ดี ฉะนั้นถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ดี เราก็จะก่อเวร ก่อภัยใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ชอบประพฤติผิดมีเวรมีภัยไหม (มี)  คนที่ชอบโกหกมุสา ชอบผิดศีลผิดธรรม และชอบอบายมุขมีเวรมีภัยไหม (มี)  แปลว่าถ้าเราผิดศีล โกหก ติดอบายมุข เราล้วนสร้างเวรภัยด้วยตัวเองใช่ไหม (ใช่)  มีเวรแล้วท่านชอบเวรไหม (ไม่ชอบ)  เพราะมีเวรก็ต้องรับภัยพิบัตินั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้ามีเวรแล้วเราอยากให้เวรยืดเยื้อไหม (ไม่อยาก)  อยากไหม (ไม่อยาก)  รู้ไหมว่าเวรยืดเยื้อเกิดจากเช่นใด เราล้วนมีชีวิตสร้างเวรหรือสร้างสันติสุข (สร้างสันติสุข)  ไม่เคยโกหก ไม่เคยผิดศีล ไม่เคยติดอบายมุข ไม่ถือสาหาความ ไม่ไปโกรธใครใช่ไหม (ไม่ใช่)  ฉะนั้นไหว้พระแล้วไม่ได้ประโยชน์ ทำดีแล้วไม่ได้ประโยชน์ ไม่ใช่ แต่ต้องถามก่อนว่าทำดีแล้ว ไม่หยุดทำชั่วท่านจะหยุดเวรภัย หยุดทุกข์ภัยได้ไหม (ไม่ได้)  ก็รู้อยู่เต็มอก ถ้าอยากหยุดทุกข์ อยากหยุดเวรหยุดภัย เราก็ต้องพยายามเป็นคนมีศีลไม่ประพฤติผิด ไม่ติดอบายมุข ไม่โกหก ไม่เบียดเบียนฆ่าใคร หรือทำร้ายใคร ทั้งกาย วาจา ใจ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วที่แล้วมาทำไหม (ทำ)  ทำไมทำเวรทำภัย เวรภัยมันถึงไม่จบรู้ไหม (ไม่รู้)  ผู้ที่คิดอยู่เสมอว่า เขาด่าฉัน เขาว่าฉัน เขาโกงฉัน เขาชิงชังฉัน เขาทำร้ายฉัน นี่เรียกว่าผู้ผูกเวรให้ยืดเยื้อในใจเรามีแต่สิ่งนี้ ทำแล้วยังจดจำฝังใจใช่ไหม (ใช่)  ไหนบอกว่าไม่ชอบเวรยืดเยื้อ อยากจบเวรจบกรรม กันแต่ถึงเวลาถามใจลึกๆ ท่าน ความดีของตัวเองจำ ได้แต่ความดีผู้อื่นไม่เคยจำใช่ไหม (ใช่)  ความชั่วของตัวเองจำไม่ได้ แต่ความชั่วของผู้อื่นจำได้แม่นยำ ใช่ไหม นั่นแหละเรียกว่าผู้ผูกเวรจองเวรให้ยืดเยื้อ ฉะนั้นอยากหยุดกรรม อยากหยุดเวร พระพุทธจึงสอนไว้ว่า ผู้ที่มีสุข ผู้ที่เกษม ผู้ที่สันติ คือผู้อะไร คือผู้มีจิตใจปลอดโปร่งไม่ยึดมั่นถือมั่น ยอมรับความเป็นจริง และมีปัญญาเห็นแจ้ง คนด่าเราก็คือคนรักเราหัวเราะ แปลว่าไม่ยอมรับใช่ไหม ถามท่านจริงๆนะ ถ้าคนที่ท่านเกลียดจนสุดใจ ท่านจะด่าเขาให้เมื่อยปากไหม (ไม่ด่า)  บ่นไหม (ไม่บ่น)  เพราะอะไรไม่อยาก ที่ยังด่าที่ยังบ่น แปลว่ายังรักเขาอยู่จริงไหม (จริง)  มิฉะนั้นถ้าเขาด่าเรา เราเข้าใจว่าเขารัก เราเราจะโกรธจะชิงชังเขาไหม (ไม่)  ถ้าเราเข้าใจธรรมตรงนี้ เราจะผูกเวรเกี่ยวกรรมกับใครไหม (ไม่)  ถ้าไม่อยากจะผูกเวรผูกกรรม ทำอย่างไรดี ที่จะให้เกิดเป็นคนแล้วไม่ผิดศีล ไม่โกหก ไม่ติดอบายมุข ไม่เกลียดด่าคนอื่น ทำอย่างไรดี (เลิกความชั่วทำความดี)  เลิกความชั่วมาทำความดี แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนมักมือหนึ่งถือศีลมือหนึ่งถือสาก ยอมรับเต็มปากเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
โดยส่วนใหญ่มนุษย์ในที่นี้เป็นคนดีไหม (ดี)  ท่านว่าตัวเองเป็นคนดีไหม (ดี)  เราขอดูหน้าคนที่พูดว่าตัวเองเป็นคนดีหน่อยนะ รู้ไหมคนที่พูดว่าตัวเองเป็นคนดี แต่ยังระงับยับยั้งชั่งใจเรื่องความชั่วไม่ได้ คนนั้นก็ไม่อาจดีได้แท้จริง จริงไหม (จริง)  คนที่พูดว่าตัวเองเป็นคนดีแต่ขาดจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี คนนั้นก็ไม่อาจดีได้แท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่พูดว่าตัวเองเป็นคนดี แต่ศีลยังรักษาไม่ครบ คุณธรรมในความเป็นคนยังประพฤติปฏิบัติได้ไม่มั่นคง ก็ยังไม่อาจเรียกว่าคนดีใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้ยังพูดว่าตัวเองดีไหม(ไม่ดี, ดีบ้างไม่ดีบ้าง)  ท่านรู้ไหมว่าคนที่ทำผิด คิดร้าย ก็คือคนที่มักพูดว่าตัวเองดี แต่คุมใจไม่ได้ต่างหากใช่ไหม (ใช่)  ผู้ร้ายในสังคมปัจจุบันนี้ เขาก็คือคนดีคนหนึ่งใช่ไหม (ใช่)  แต่เมื่อไหร่ที่เขาหยุดความโกรธไม่ได้ หยุดความเห็นแก่ตัวไม่ได้ หยุดใจที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีไม่ได้ เขาก็สามารถเป็นคนที่ร้ายและน่ากลัวได้จริงไหม (จริง)  ไม่ต้องมองใคร ตัวเราเองนั่นแหละใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการที่เราจะยับยั้งความชั่วได้ สิ่งที่ดีที่สุดนั่นก็คือ การประพฤติปฏิบัติดี แต่ถามหน่อยนะว่า คนในที่นี้เคยทำดีจนสุดจิตสุดใจหรือยัง (ยัง) ยังเป็นพวกสามวันดีสี่วันไข้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามาดูหน่อยนะว่า ทำไมถึงต้องทำดี บางคนทำดีแล้วเหนื่อยใช่ไหม (ใช่)  บางคนถามว่าทำดีไปเพื่ออะไรใช่ไหม (ใช่)
อย่างนั้นเราจะบอกให้การศึกษาธรรมเพื่อรักษาใจให้ปกติ และดำเนินชีวิตอยู่ในศีลธรรม ถ้าทำได้ ท่านก็จะยากประพฤติผิดประพฤติชั่ว ถูกไหม (ถูก)  แต่เราทำดีเพื่ออะไรหรือ เพราะว่ารากฐานแห่งความสงบและความเจริญของชีวิตคน จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีหัวใจที่เมตตาและปรารถนาดีต่อกัน ท่านว่าจริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเมื่อไหร่เราอยู่กันอย่างคนจับผิดคิดร้าย มองในแง่ไม่ดี ล้วนเป็นรากฐานให้เราสร้างบาปกันจริงไหม (จริง)  เวลาเราอยู่อยากมีความสงบ อยากมีความเจริญในชีวิต มองเขาดีหรือมองเขาร้าย (มองเขาดี)  มองเขาด้วยหัวใจเมตตาหรือมองเขาด้วยการจับผิด (มองเขาด้วยหัวใจเมตตา)  เช่นนั้นหรือ แล้วรู้ไหมว่าทำดีมีค่าตรงไหน ทำดีมีค่าตรงที่คนที่มุ่งมั่นปฏิบัติดีจะไม่ตกเป็นทาสของกิเลส ตัณหา และความชั่ว คนมุ่งมั่นปฏิบัติสิ่งที่ดีงาม จะไม่มีผลเป็นทุกข์ ไม่มีผลเป็นเภทภัยต่อกัน  ฉะนั้นเกิดเป็นคนควรหรือที่เราจะล้มเลิกไม่ทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ควรที่จะมุ่งมั่นปฏิบัติดีจริงไหม (จริง)  แล้วอะไรล่ะเป็นเหตุแห่งความไม่ดี นอกจากการผิดศีล นอกจากการติดอบายมุข ใครพอตอบเราได้บ้าง (อารมณ์ต่างๆ)  อารมณ์ต่างๆ เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ เป็นต้นเหตุแห่งกรรมเวรใช่ไหม (ใช่)  แต่หยุดอารมณ์ได้ไหม (ได้)  จริงๆ แล้วต้นเหตุแห่งความผิดพลาดต้นเหตุแห่งเภทภัยต่างๆ มีสาเหตุง่ายๆ ไม่กี่เรื่อง มีสามเรื่องอะไรบ้าง  (ความโลภ ความโกรธ ความหลง)  ความโลภ ความโกรธ ความหลง ใช่ไหม (ใช่)  มีใครหักห้ามความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อไม่ได้เราก็หนีไม่พ้นเหตุแห่งเภทภัยใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะบอกให้ง่ายๆ ก่อนจะได้โลภ โกรธ หลง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในจิตใจมนุษย์มีไม่กี่อย่างหรอก มนุษย์ทุกคนรักสบาย เมื่อรักสบายแล้วเอาเปรียบไหม (เอาเปรียบ)  นั่นแหละสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ก่อเวรก่อทุกข์ภัยให้กับผู้อื่น ก็คือชอบรักสบาย พอคิดรักสบายก็เลยเอาเปรียบผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วบางทีพอเอาเปรียบแล้วดีใจไหม (ไม่ดีใจ)  เราจะบอกท่านนะ ในโลกนี้ไม่มีใครชนะแท้จริงแล้วได้แท้จริง วันนี้ท่านเอาชนะเขาได้ เอาเปรียบเขาได้ แต่พอถึงวันที่ผลกรรมมันตามสนอง ตอนนั้นท่านถึงได้รู้ว่า ไม่มีใครได้มากกว่าใคร เอาเขามากเท่าไร ท่านก็จะได้รับผลคืนมากเป็นเท่าทวีคูณ จริงไหม (จริง)  ลองคิดง่ายๆ นะสามีลองเอาเปรียบภรรยาดูสิ ภรรยาลองเอาเปรียบสามีดูสิ เป็นอย่างไร บ่นจำไม่ลืมเลย ลองเอาเปรียบเพื่อนดู เป็นอย่างไร เขาไม่รักเราเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นความดีหนึ่งที่เคยทำเพียงแค่ท่านเผลอเอาเปรียบเขาสักนิดหนึ่ง เขาก็ลืมความดีท่านจนหมดสิ้นได้เช่นกัน จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอย่าเผลอแค่เพียงคิดกินแรงเอาเปรียบ ท่านก็สร้างทุกข์ภัยให้กับตัวเอง จริงไหม (จริง)
อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถพ้นเวรพ้นภัยได้นั่นคืออะไรรู้ไหม ภัยต่างๆ กลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ได้ เล็กๆ กลายเป็นบานปลายมโหฬาร เพราะเพียงคำว่าอดทนไม่มี ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเพียงไม่อดทนเรื่องเล็กๆ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าอย่างนั้นถามหน่อยนะ ท่านเป็นคนอดทนไหม (ไม่ค่อยจะอดทน)  อดทนไม่ได้ปัญหาจะเกิด อดทนไม่ได้เรื่องนิดๆ ก็มีเรื่องมีราวใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นปัญหาที่เกิดอย่าเพิ่งไปถึงเรื่อง โลภ โกรธ หลงเลย แค่เรื่องง่ายๆ คือชอบเอาเปรียบ อดทนไม่เป็น ปัญหาเกิดไหม แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม (เป็น)  ถ้าอย่างนั้นกราบไหว้พระก็เปล่าประโยชน์ ถ้ายังไม่รู้จักอดทนอดกลั้น แล้วชอบกินแรงเอาเปรียบผู้อื่น อีกอย่างหนึ่งคือแพ้ไม่เป็น ใช่ไหม (ใช่)  เถียงกันฉันต้อง (ชนะ)  ท่านต้องเป็นผู้ (ชนะ)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นปัญหาทั้งมวลล้วนเกิดจากที่ เราแพ้ไม่เป็น เสียไม่ได้ ยอมไม่มี อดทนไม่เหลือใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นเราถามหน่อยนะ ทะเลาะกันแล้วถึงที่สุดใครถูกใครผิด ว่าอย่างไร (ผิดทั้งคู่) แต่ถึงเวลาเถียงไหม (เถียง) ทะเลาะไหม (ทะเลาะ)  ทะเลาะแล้วผลที่สุดชนะแล้วเราสะใจไหม (สะใจ)  มิตรเมื่อทะเลาะกันความเป็นมิตรก็จืดจาง สามีภรรยาเมื่อทะเลาะกันไม่ยอมกันความรักก็จางหายใช่ไหม (ใช่)  เมื่อทะเลาะกันจิตใจเราก็รู้สึกย่ำแย่ เข้าหน้ากันไม่ติด แล้วใครล่ะที่ทำให้ตัวเองทุกข์ ยังไม่ถึง โลภ โกรธ หลง แต่ใจที่ไม่ยอมแพ้ต่างหาก ชอบเอาชนะคนอื่นเป็นที่ตั้ง ถูกหรือไม่
ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์คืออะไรรู้ไหม ก็คือ ถือดีใช่ไหม (ใช่)  ต้นเหตุปัญหาและความทุกข์ทั้งปวงก็คือถือดี ถือดีว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น เมื่อเวลาเราถือดีแล้วอวดดีด้วยแล้วความดีก็หดหาย ถูกต้องหรือไม่ (ถูก)  แล้วสิ่งที่น่ากลัวก็คือเวลาที่ถือดีแล้วก็มัวแต่ไปเรียกร้องผู้อื่นให้ต้องปฏิบัติดี โดยลืมเรียกร้องตัวเอง และชอบอ้างว่าฉันหวังดีเลยเข้มงวดเธอ ฉันหวังดีจึงบ่นด่าเธอ
ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่าการปฏิบัติดีเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าเอาสิ่งที่ดีไปเรียกร้องผู้อื่นจนกลายเป็นเขารำคาญและรังเกียจ สู้ทำตัวเองให้ดีแล้วสอนเขาด้วยการกระทำดีกว่าสอนเขาด้วยคำพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของคนที่ถือดีอีกอย่างหนึ่งก็คือบังคับให้ทุกคนต้องทำดีต่อเราจนเราลืมทำดีกับเขาหรือยัง ใช่ไหม (ใช่)  ถึงท่านจะเป็นคนดีทำดีแล้วทำไมบอกว่ายังไม่ได้ดี ถามตัวเองก่อนนะเวลาตัวเองทำดีแล้วเราเป็นแบบนั้นไหม เอาธรรมะไปเรียกร้องบังคับให้คนอื่นทำ แล้วไปประณามคนอื่นที่ไม่ดีว่าคนชั่วร้าย ถูกไหม (ไม่ถูก)  ฉะนั้นคนดีมุ่งแต่บำเพ็ญตัวเองแก้ไขตัวเอง แต่คนที่ยังไม่เข้าใจความดีคือพยายามเรียกให้คนอื่นทำดีต่อตัวเองแต่ตัวเองยังไม่ทำ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นจำไว้นะ อย่าบอกว่าทุกคนต้องมีหน้าที่ดีกับเรา ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง แต่สิ่งที่ถูกต้องสำหรับการประพฤติปฏิบัติธรรม คือเราทำดีกับผู้คนแล้วหรือยัง คนอื่นดีไม่ดีไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถ้าเรามีเมตตาจิต เรามีหัวใจที่รู้จักปรารถนาดีกับผู้อื่น แม้เราทำดีถึงที่สุด เขามองไม่เห็นดี เราก็พอใจแล้วใช่ไหม เพราะเราทำดีไม่ได้หวังคนชม แต่เราทำดีเพื่อหลีกหนีเภทภัยที่เรียกว่า ความทุกข์และเวรกรรมต่างหากใช่หรือไม่(ใช่)
เราคงต้องกลับแล้ว ถ้าอยู่กับเราแล้วเพื่อความดี แต่ท่านกำลังตัดพ้อบ่นว่าเรา เราก็ขอกลับดีกว่าใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) แต่มนุษย์แปลกนะ ชอบเอาตัวเองไปบังคับคนอื่น เราจึงทุกข์จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าทุกคนยอมรับธรรมชาติของแต่ละคน จากทุกข์ก็จะกลายเป็นสุขจริงหรือไม่ (จริง)  แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบเอาตัวเองไปวัดคนอื่น ชอบเอาความคิดตัวเองไปใส่แล้วกล่าวโทษคนอื่น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราอยากอยู่ในโลกอย่างหมดทุกข์ หมดเวร หมดภัย จงเลือกที่จะทำสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรมแห่งความเป็นคนให้ถูกต้องได้หรือไม่ (ได้)  ศีลธรรมแห่งความเป็นคน คือ ไม่โกหก ไม่เบียดเบียนชีวิตเขาเพื่อชีวิตเรา ถูกไหม (ถูก)  ถ้าท่านไม่โกหก พูดคำไหนเป็นคำนั้น เขาเรียกว่า ศักดิ์สิทธิ์จริงไหม (จริง)  พูดได้ทำได้ ทำได้พูดได้ศักดิ์สิทธิ์ไหม (ศักดิ์สิทธิ์)  ท่านอยากได้ครอบครัวร่มเย็นไหม (อยากได้)  ถ้าอยากได้ครอบครัวร่มเย็น รู้จักเคารพให้เกียรติ สุภาพอ่อนน้อม มีหรือครอบครัวไม่ร่มเย็น ซื่อตรงจริงใจ มีหรือเพื่อนฝูงไม่รักใคร่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมงคลและความดีทั้งมวล ล้วนต้องเริ่มที่ตัวเรา มีศีล มีธรรมหรือยังถ้ายังขาดศีล ขาดธรรม ก็ยากจะมีสุขจริงไหม (จริง)
ฉะนั้นสิ่งที่จะนำพาให้มนุษย์พบทางที่ดีงาม พบทางที่สงบสุข และพบทางที่บรรเจิด ไม่ใช่เรื่องการเอาแต่ใจ แต่เป็นเรื่องที่ทำแล้วถูกต้องในทำนองคลองธรรม เอาแต่ใจง่ายที่จะหลงผิด เอาแต่ความคิดง่ายที่จะตกเป็นทาสของกิเลสและอารมณ์ แต่ถ้าทำอะไรอยู่ในกรอบของศีลธรรม ความถูกต้องดีงาม มีหรือชีวิตนี้จะไม่พบความสุขความสงบใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราคงพูดกับท่านเตือนท่านได้แค่นี้ ทำหรือไม่ทำ (ทำ)  ทำอย่างคนมีธรรมหรือทำอย่างคนเอาแต่อารมณ์ (อย่างคนมีธรรม)  เอาแต่ใจ (ไม่ทำ)  ก่อนทำอะไร ไม่ว่าคิด พูด ถามตัวเองก่อนว่าตามอารมณ์ หรือตามศีลธรรม (ศีลธรรม)  พูดง่ายทำไม่ง่ายนะ ฉะนั้นจงรู้จักทำให้อยู่ในกรอบของศีลธรรม คุณธรรมความดี เพื่อยับยั้งชั่งใจ  เพราะมนุษย์ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเจออะไร ฉะนั้นวันนี้ต้องคิดดีพูดดีมีศีลธรรม เพื่อหยุดยั้งกรรมชั่วที่เราเคยได้ก่อมา ไม่ว่าจะเป็นเบียดเบียนเขาทั้งชีวิต กาย วาจา ใจ ถ้าวันหนึ่งกรรมมันตกผล แม้ท่านจะมีน้ำตานองหน้า มืออุ้มองค์พระ พระก็คุ้มครองล้างท่านให้พ้นกรรมไม่ได้ ไม่มีแรงใดน่ากลัวเท่ากับแรงกรรมที่มนุษย์ก่อ  ฉะนั้นหยุดก่อนที่กรรมจะตกผลไม่ดีกว่าหรือ จริงไหม (จริง)  วันนี้คงมีโอกาสผูกบุญกับท่านแค่นี้มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ
วันอาทิตย์ที่ ๑๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๐           สถานธรรมเต๋อฮว่า  จ.สงขลา
  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  พาชีวิตตนอยู่กับเรื่องใดที่ใด            ไม่ฝึกฝนอะไรพาไกลยาก
คนอยู่กับความเคยชินเป็นส่วนมาก      จึงลำบากกว่าบำเพ็ญในสักวัน
           เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส         รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานเต๋อฮว่า แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                       ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม  
จิตหนึ่งใจเดียว หนนี้บำเพ็ญแท้จริง เรื่องคำติติง อยู่ในโลกใครพ้นไป  แต่ศิษย์ยอมทุกข์  ชีวิตมีเพียงเศร้าใจ  คิดได้สายไป  ศิษย์รักอาจารย์เสียดาย  ศิษย์อยากบำเพ็ญ  ทบทวนหัวใจเจ้าก่อน  ข้ายังคอยสอน  แต่คนรับฟังหายไป   ขาดศิษย์คนนี้   ธรรมะช่วยคนอย่างไร  เจ้าเหลือน้ำใจ     แด่ฟ้าอาจารย์ไหมเอย
คนไหน คนไหน เป็นเหมือนกัน  แค่คำเย้ยหยัน  ศิษย์ยอมแพ้โดยเปิดเผย  จิตดินใจฟ้า  แพ้เป็นพระใครบ้างเคยเอ่ย  เจ้าเฉยเจ้าทน  อย่างคนคิดเป็นคงดี
    รอศิษย์กลมเกลียว  เหมือนเกลียวกับคลื่นชิดใกล้  เรื่องอยู่ในใจ  อย่าเปรยเลยเป็นเรื่องดี  ศิษย์เอยศิษย์รัก  จากนี้เดินไปอีกที  ให้ถึงสักที  กลับคืนฟ้าที่จากมา
ทำนองเพลง:คำสัญญาที่หาดใหญ่
ชื่อเพลง:อย่าทิ้งกัน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
สองวันนี้ใครนั่งฟังธรรมะแล้วมีความสุขมาก ยกมือขึ้น สุขไหม (สุข)   ร้อนจนสุกเลยใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์รู้ว่านั่งฟังในชั้นนี้ร้อนจนสุกเลย ใช่ไหม(ใช่)  อาจารย์อยากบอกให้นะศิษย์ ถ้าเรานั่งอยู่ตรงนี้เราอิ่มใจ สบายใจ บริสุทธิ์ใจ นั่งไปเราก็ได้บุญ แต่ถ้านั่งฟังแล้วมีแต่ความทุกข์ใจ หม่นหมองใจตัดพ้อต่อว่าคน นั่งฟังไปมันก็บาปใจเปล่าๆ อาจารย์พูดเสมอเกือบทุกๆ ที่  ฉะนั้นวันนี้ศิษย์นั่งได้บุญหรือศิษย์นั่งได้บาป (บุญ)  นั่งได้ธรรมะหรือนั่งได้กิเลสว่าเขา (ธรรมะ) 
ด่าคนที่ชวนมาครั้งหนึ่ง ว่าคนพูดบรรยายครั้งหนึ่ง กลับมาว่าตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ไม่น่ามาเลย อย่างนั้นหรือเปล่า “บุญ” นั้นอาจารย์บอกได้เลยว่าทำได้ทุกที่ทำได้ทุกคน ถ้าทำแล้วสบายใจ บริสุทธิ์ใจ ก็เกิดบุญ ถ้าทำแล้วเราให้คุณธรรมด้วยก็เป็นการสร้างบุญที่เรียกว่า ให้ธรรมะเป็นทาน เขาพูดมาเรามีท่าทีอ่อนน้อมกลับ นั่นก็คือการสร้างบุญ เขาพูดดีมาเราอนุโมทนานั่นก็คือการสร้างบุญ ฉะนั้นทุกขณะเราสามารถสร้างบุญได้ อย่าจำกัดว่าบุญต้องทำที่วัด บุญทำได้กับทุกคน และบุญก็สามารถสร้างได้ทุกที่ แต่อยู่ที่ว่าเราคิดจะให้บุญ หรือให้เวรให้กรรม เวรก็คือการคิดร้าย คิดไม่ดี คิดไม่เป็นมงคล คิดบาป คิดอกุศล เหมือนกับที่ศิษย์รู้ๆ กัน คิดดีก็ได้ (ดี)  คิดชั่วก็ได้ (ชั่ว)  แล้ววันนี้คิดดีหรือคิดชั่ว (คิดดี)  ดีตลอดเลยใช่ไหม ไม่มีเจือปนเลยใช่ไหม
ฉะนั้นอาจารย์มีวิธีบอกสุขง่ายๆ สมมติว่าศิษย์ไปอยู่ที่ไหน ศิษย์อยากมีสุขง่ายๆ ให้คิดง่ายๆ คิดเสมอๆ แค่นี้ขอบคุณแล้ว ดีแล้ว พอแล้ว สุขไหม  ฉะนั้นจะสุขได้ทุกๆ ก้าวทุกก้าวที่เดินก็มีสุขได้ทุกก้าว แต่มนุษย์เราสุขไหม ยังไม่พอ ยังไม่ดี ยังไม่ได้ ยังไม่สุข ทุกข์มันทุกก้าวเลยใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอาจารย์บอกว่าต่อไปนี้ ดีแล้ว พอแล้ว สุขแล้ว แล้วตอนนี้สุขง่ายหรือสุขยาก (ง่าย)  ใครๆ มักจะพูดว่า ยังไม่ค่อยสุข ตอนนี้มันทุกข์เหลือเกิน  ฉะนั้นศิษย์มาฟังธรรมแล้วต้องให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ฟังธรรมแล้วทำให้ตัวเองจมอยู่กับความทุกข์ เราอยากอยู่ในโลกอย่างมีสุขหรือมีทุกข์ (สุข)  แล้วทุกวันก้าวมาอย่างสุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  สามีอยู่กันนานๆ เบื่อไหม (เบื่อ)  ลูกอยู่นานๆ รำคาญไหม (รำคาญ)  อาจารย์ถามหน่อย สามีตอนนี้ภรรยาเป็นอย่างไร น่ารักไหม ไม่มีสัญญาณตอบจากหมายเลขที่ท่านเรียก อาจารย์อยากบอกศิษย์ แค่นี้ก็ดีแล้ว ขอบคุณแล้ว ก็พอแล้ว จะทำให้สุขได้ทุกที่ และสุขได้ทุกคน ถ้าบอกว่ายังไม่ใช่ ยังไม่ดี ยังไม่ได้ ต้องมากกว่านี้ ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ คนที่คิดคือคนที่ทุกข์ คนที่ไม่ยอมรับความจริงคือคนที่สุขยาก แล้วศิษย์อยากมีสุขหรือมีทุกข์ ถึงเวลาคิดอย่างคนมีสุขหรือคนมีทุกข์ ฉะนั้นบางทีแค่นี้ก็ขอบคุณแล้ว เมื่อศิษย์คิดได้อย่างนี้จะมองโลกได้อย่างเป็นสุข แต่ถ้าเมื่อไหร่บอกว่า อันนี้ก็ไม่ใช่ ไม่ดี เลวร้าย อันโน้นก็มีแต่เรื่องราวไม่ดี มันอยู่ก็มีแต่หัวใจหดหู่หม่นหมองจริงไหม
เมื่อมองโลกแย่ใจเราก็ (แย่)  เมื่อมองโลกไม่ดีใจเราก็ (ไม่ดี)  เมื่อมองโลกทุกข์ใจเราก็ (ทุกข์)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนทีจะแปรโลกแปรใจเราก่อนดีไหม (ดี)  ก่อนที่จะไปเปลี่ยนใครเปลี่ยนใจเราก่อนดีไหม (ดี) 
เมื่อขึ้นชื่อว่าชีวิตก็ต้องมีขยับเขยื้อนนิดหน่อยใช่ไหม (ใช่)  ถึงจะเรียกว่าชีวิต ถ้ายึดแล้วไม่ขยับ แปลว่ามันตายหรือเรียกว่าเป็นโรคอัมพฤตอัมพาตใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์ให้ศิษย์ขยับเขยื้อนก็ถือว่าเป็นการรู้จักอะไร ยืดหยุ่นชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้ชีวิตรู้จักยืดหยุ่นเป็นดีหรือไม่ (ดี)  สมมติว่าอาจารย์โบกพัดขึ้นแปลว่ายืน อาจารย์โบกพัดลงแปลว่า (นั่ง)  แต่อย่างนี้ง่ายไปไหม (ง่าย)  ฉะนั้นอย่าลุกก็โอยนั่งก็โอย ต้องคิดว่าได้ยืดหยุ่นชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าชีวิตมันยืดแล้วมันไม่หยุ่นขึ้นมานั่นเรียกว่า ใกล้ตายแล้วนะ แต่ว่ามันมีเรื่องอยู่อย่างหนึ่งว่า เราดำเนินชีวิตการมองแต่คนข้างหน้า บางทีมันก็ไม่ใช่จะถูก บางทีเราก็ต้องมองข้างซ้าย ข้างขวาด้วยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าแถวนี้ทำตาม แถวหลังทำแย้ง แถวนี้ทำตาม แถวหลังทำแย้ง สลับกันอย่างนี้ได้ไหม (ได้)  ถ้าแถวไหนผิดแถวนั้นต้องเต้นเป็ดทั้งแถว ตกลงไหม (ตกลง)  เราพร้อมใจกันนะ มีข้อตกลงเหมือนกัน แถวนี้หน้ากระดานเรียงหนึ่ง ทำตามอาจารย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่แถวสองต้องแย้งกับอาจารย์ พออาจารย์โบกพัดขึ้น ศิษย์ต้องนั่งลงพออาจารย์โบกพัดลง ศิษย์ต้องยืนขึ้น อาจารย์ย้ำแล้ว ฉะนั้นผิดไม่ได้นะ ฉะนั้นถ้าอาจารย์เอาพัดตั้งแปลว่า (นั่ง)  ถ้าอาจารย์เอาพัดลงอย่างนี้แปลว่า (ยืน)  อาจารย์อธิบายให้แต่ละแถวแล้วโบกพัดขึ้นแปลว่า (ยืน)  โบกพัดลงแปลว่า (นั่ง)
ถ้าผิด ๑ คน โดนทั้งแถวพร้อมไหม (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นตอบคำถาม)  แถวไหนจะตอบยกมือขึ้น เอามือลง จำไว้ ดูแลตัวเองให้ดี ถ้าตัวเองไม่ผิด คนอื่นก็ไม่เดือดร้อน ตัวเองก็ไม่เดือดร้อนด้วย ธรรมะก็เหมือนกัน ถ้าศิษย์ดูแลตัวเองไม่ดี ศิษย์เดือดร้อน คนอื่นก็เดือดร้อนใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่งลง นักเรียนในชั้นเรียนเชิญพระอาจารย์นั่ง)
เรียนเชิญอาจารย์นั่ง อาจารย์จะแย้งหรือตามดี ศิษย์จำไว้ อยู่ในโลกนี้ เรื่องราวบางเรื่องก็ควรตาม เรื่องราวบางเรื่องคิดให้ดีควรตามหรือควรแย้ง การเป็นตัวของตัวเองก็ดี แต่ถ้าเป็นตัวของตัวเองมากเกินไปแล้วทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน ยอมลดความเป็นตัวของตัวเองแล้วตามผู้อื่นบ้างก็ไม่เสียหายอะไรใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นควรตามหรือควรแย้ง เกิดเป็นคนต้องมีจุดยืนเป็นของตัวเอง ไม่ใช่ไหลลื่นไปตามผู้อื่นจนขาดจุดยืนของตัวเองก็ไม่ดี
(พระอาจารย์เมตตาเล่นเกมกับนักเรียนในชั้น)
เริ่มจากฝ่ายหญิงก่อนฝ่ายชายนั่งลง ฝ่ายชายเขาเงียบ ฝ่ายหญิงมีนิสัยที่แก้ไม่ได้คือชอบจับผิด ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นกลุ่มหนึ่งก่อน แล้วจะเป็นกลุ่มสองฝ่ายหญิงเขาขี้อาย เขาผิดก็ให้อภัยเขา แต่ถ้าฝ่ายชายผิด ไม่ต้องให้อภัย จับเต้นเป็ดเลยจริงไหม ดีไหม (ดี)  เป็นผู้ชายมันต้องมีความกล้าหาญ ฉะนั้นผิดก็ว่าไปตามผิด เป็ดก็ต้องเป็นเป็ด
อาจารย์ถามจริงๆ ถ้าอาจารย์บอกว่า การเต้นเป็ดมันก็เหมือนความทุกข์อันหนึ่ง ที่ศิษย์กลัว ศิษย์ไม่อยากเจอ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น แต่อาจารย์ถามหน่อย ถ้าลองเป็นเป็ดสักครั้งหนึ่ง ความทุกข์มันจะดูน่ากลัวไหม (ไม่)  แล้วมันยากเกินจะรับไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นผิดก็ว่าไปตามผิด
เข้ามาสู่เรื่องธรรมะกันบ้างดีกว่า อาจารย์อยากจะให้ศิษย์เข้าใจธรรมะ เพราะการเข้าใจธรรมะมันจะทำให้เรามีหลักในการดำเนินชีวิต และการเข้าใจธรรมะช่วยเยียวยาใจเวลาเจอเรื่องที่เกินยากจะรับไหว ศิษย์เคยไหมอยู่ในชีวิตมันมีทั้งเรื่องที่เราไม่คาดคิดเกิดขึ้น แล้วเรื่องที่คิดไม่ถึงเกิดขึ้นมันก็มีใช่ไหม แล้วเมื่อมันมี ใจเราตั้งรับทันไหม (ไม่ทัน)  ใจเรามันสู้ไหวไหม (ไม่ไหว)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรม การเข้าใจธรรมนั้นจะช่วยเยียวยาใจ และการเข้าใจธรรมนั่นแหละ ไม่ประมาทและพร้อมจะเผชิญทุกข์ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง แต่เวลาเราจะเข้าใจธรรมะ บางทีมันเป็นเรื่องยาก ฟังมาสองวันแล้วปลดทุกข์ได้หรือยัง (ยัง)  เข้าใจแล้วปลดทุกข์ได้ไหม (ได้) อาจารย์เข้าห้องน้ำปลดปุ๊บหมดปั๊บทันที ใช่ไหม (ใช่) ถ้ามันปลดทุกข์ง่ายอย่างนั้นมันก็ดี แต่ชีวิตมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะปลดทุกข์ได้ มีศิษย์คนหนึ่ง เป็นคนที่อยู่ในโลกนี้ และบอกอาจารย์ว่า ศิษย์จะมีสุขได้ก็ต่อเมื่อต้องได้ ต้องดี ต้องมีถึงจะสุข ถ้าไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่สุข ใช่ไหม (ใช่)  แต่คนๆ นี้ไม่ใช่แค่นี้ยังบอกอาจารย์อีกว่า อาจารย์ไม่ใช่ต้องได้ ต้องดี ต้องมี และต้องสุข ไม่พอ ศิษย์ยังต้องเป็นคนที่ว่าถ้าจะตาย ก็ต้องขอให้ตายไม่ลำบาก ให้นอนแล้วก็ตายเลย ศิษย์จะโชคดีที่สุดแล้ว
ถ้าเกิดศิษย์จะเจ็บขอให้เจ็บปุ๊บแล้วหายไปเลยใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์มักจะชอบกำหนดแบบนี้ กำหนดทั้งความตายของตัวเอง กำหนดทั้งการเจ็บของตัวเอง และกำหนดทั้งการมีชีวิตของตัวเอง ศิษย์ของอาจารย์คนนี้ยังบอกอาจารย์ว่า อาจารย์ศิษย์จะสุขก็ต่อเมื่อถ้าศิษย์มีสามี ต้องเป็นอย่างนี้ ศิษย์ถึงจะสุข เท่านี้ไหมสุขของศิษย์ ยังไม่พอศิษย์จะสุขก็ต่อเมื่อภรรยาของศิษย์ต้องเป็นอย่างนี้ ศิษย์ถึงจะสุข สามีต้องรับผิดชอบ ซื่อตรง ขยัน เอาใจดูแลเราเป็น ปากหวาน ไม่เจ้าชู้ ไม่กะล่อน รับผิดชอบหน้าที่ ศิษย์ถึงจะสุข แต่ศิษย์เชื่อไหมผู้ชายขอผู้หญิงอย่างเดียวอะไรรู้ไหม เลิกบ่น สุขเลยใช่ไหม (ใช่)  เลิกบ่น เลิกใช้เงินเก่ง  ฉะนั้นอาจารย์ถามศิษย์คนนี้ กว่าจะสุขได้เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  แล้วเขาต้องการแค่นี้ไหม (ไม่)  เขายังกำหนดไปว่าถ้าศิษย์เรียนจบขอให้ศิษย์แต่งงาน มีครอบครัว มีลูก มีครอบครัวที่ร่มเย็น ศิษย์ถึงจะสุข ศิษย์กำหนดสามี หน้าที่การงาน ลูกต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องเป็นเด็กดี ต้องประสบผลสำเร็จ ต้องเจริญก้าวหน้า ต้องเป็นที่พึ่งพา มีเพื่อนกำหนดเพื่อน เพื่อนฉันต้องจริงใจ มีน้ำใจ ไม่เห็นแก่ตัว ต้องไม่กินแรง มีเงิน หน้าที่ตำแหน่ง เสื้อผ้าต้องกำหนด
ฉะนั้นความสุขของศิษย์คนหนึ่งถูกตีกรอบไว้แบบนี้เรียบร้อย ฉะนั้นถ้าสามีไม่อยู่ในกรอบ ลูกไม่เป็นดังกรอบที่ศิษย์คิดทุกข์ไหม (ทุกข์)  เพื่อนไม่เป็นดังใจศิษย์ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เงินไม่ได้ดังใจศิษย์ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ตำแหน่งไม่มีดังใจศิษย์หวังทุกข์ไหม (ทุกข์)  มีครอบครัวแล้วไม่ร่มเย็นทุกข์ไหม (ทุกข์)  อย่างนั้นถ้าอยากหมดทุกข์ทำอย่างไร อาจารย์ถามจริงๆ อย่างนั้นถ้าอยากหมดทุกข์ทำอย่างไร ตายก่อนหรือศิษย์ ยังตายไม่ได้เพราะไม่ใช่ตายแบบนี้
จะตายก็เมื่อดับแล้วตายเท่านั้น ฉะนั้นอาจารย์ถามศิษย์จะหลุดพ้นได้อย่างไร เห็นมองทีไร มีความคาดหวังทุกที ยึดติดทุกที ฉะนั้นถ้าเราอยากหลุดพ้นทำอย่างไร ปล่อยวางหรือ อาจารย์จะเล่าให้ฟัง เมื่อศิษย์ยึดมั่นกับความคิดว่าอย่างนี้เรียกว่าสุข ศิษย์ก็ปักใจยึดมั่นว่าอันนี้เรียกว่าสุขจริง สุขแท้ และสุขตัวเดียวเท่านั้นที่ศิษย์จะเจอในชีวิต ถ้าไม่มีแบบนี้ ศิษย์จะไม่มีวันสุขเลย ใช่ไหม มนุษย์ชอบกำหนดตายตัวว่า ความสุขเป็นแบบนั้น แบบนี้ แล้วบอกว่าสิ่งที่เรากำหนดนั้น เป็นของจริงสมบูรณ์แบบที่สุด พอไม่เป็นเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องมีแต่สุขไม่มีทุกข์ เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ในเมื่อรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เรายังหวังให้มันเป็นไปได้ใช่ไหม (ใช่)  ห้ามคนด่า ห้ามเสียเงิน ห้ามผิดหวัง ห้ามล้มเหลว ได้ไหม (ไม่ได้)  ในเมื่อห้ามไม่ได้แล้วปัญหาอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ)  ทุกความยากลำบากของชีวิตไม่น่ากลัวเท่ากับใจเราที่ตั้งไว้ผิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ภัยอันตรายภายนอกไม่น่ากลัวเท่ากับใจเราที่คิดผิด และเรื่องราวในโลกไม่น่ากลัวเท่ากับเรารู้สึกต่อเรื่องราวเช่นไร
ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์ วิธีอาจารย์ง่ายๆ สนใจไหม (สนใจ)  แค่ทำใจว่างๆ อะไรจะเกิดก็ดีแล้ว พอแล้ว ขอบคุณแล้ว  ฉะนั้นไม่ว่าสามีจะอยู่หรือจะไปก็ (ดีแล้ว)
ถ้าไล่เขา เขาไม่ไป อย่างนั้นก็อยู่ก็ดีแล้ว ใช่หรือเปล่า เพราะโลกใบนี้นะศิษย์ ไม่มีเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัยมา อาจารย์ถามหน่อยเงาะป่ามีตั้งหลายตัว ตัวไม่ดำ แต่ทำไมเรามองเห็นตัวดำนั้นน่ารักที่สุดล่ะ (เพราะมันมีดอกไม้สีแดง)  คนมีตั้งมากมาย ทำไมเราไม่ไปรัก คนมีตั้งมากมายทำไมเขาไม่ด่า ทำไมเขามาด่าเรา มารักเรา มาเกลียดเรา มาชอบเรา ใช่ไม่ใช่เพราะบุญกรรมทำร่วมกันมา ถูกไหม (ถูก)  อย่างนั้นเมื่อเวลาบุญกรรมมันสร้างร่วมกันมา เราจะใช้บุญใช้กรรมนั้นให้หมด หรือเราจะสร้างบุญต่อ แล้วไม่ยึดติดบุญนั้นดี (สร้างบุญต่อ)  สร้างบุญต่อ ส่วนใหญ่คิดอยากสร้างบุญต่อ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าสร้างบุญต่อแล้วยังหวังผลแปลว่าเรายังอยากกลับมาเกิดเจอเขาอีก ใช่ไหม (ใช่)  ถูกไหม (ถูก)  ก็จริงนะ ถ้าศิษย์เอ๋ย ขอว่าให้ฉันร่มเย็น ทำให้สวยวันสวยคืน แปลว่าเรายังอยากกลับมาเกิดเพื่อรับบุญอีก แต่จริงๆ แล้ว ความหมายของการศึกษาธรรมคือทำบุญเพื่อละวางความยึดถือในตัวตน เหมือนที่อาจารย์บอก ถ้าอาจารย์มีตัวตน อาจารย์ตีตรงไหน อาจารย์ก็เจ็บถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าอาจารย์ว่างจากตัวตนที่ยึดถือ เชื่อไหมศิษย์ จะตีตรงไหนมันก็ไม่เจ็บ จะมาสุขหรือมาทุกข์ มันก็ไม่สุขไม่ทุกข์อะไร จริงไหม (จริง)  เหมือนเทียบง่ายๆ สมมติว่าอาจารย์กำหนดว่ามือซ้ายนี่คือสุข มือขวานี่คือทุกข์ วันใดที่อาจารย์เหลือแต่มือซ้าย ไม่มีมือขวาอาจารย์ถามว่าสุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  อะไรนะ มือซ้ายคือสุข มือขวาคือทุกข์ วันหนึ่งอาจารย์มีแต่มือสุข แต่ไม่มีมือนี้สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  ถ้าอาจารย์บอกว่ามือซ้ายคือสุข มือขวาคือทุกข์ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ตัดมือขวาไปทิ้ง แล้วเหลือแต่มือซ้าย อาจารย์ถามจริงๆ ว่าศิษย์มีสุขหรือมีทุกข์ (ทุกข์)  ทำไมล่ะ ก็รู้นะว่ามีมือข้างเดียว เหมือนกันศิษย์เอ๋ย สิ่งที่เรียกว่าสุข ศิษย์ลองเสวยสุขมันทุกวันๆ สิ ทำไมกลายเป็นทุกข์ วันนี้เขาก็ชม พรุ่งนี้เขาก็ชม มะรืนเขาก็ชม มะเรื่องเขาก็ชม ทั้งปีเขาก็ชม ชมอยู่อย่างเดียว  สวยๆๆๆ  ชมอย่างนี้ทุกวันจากที่สุข  เราก็จะรู้สึกว่ามันบ้า หรือเปล่านะใช่ไหม
ถ้าศิษย์เข้าใจ ก็อยากให้ศิษย์เข้าใจในหลักธรรม เพราะหลักธรรมคือความจริงของโลกที่ไม่สอนให้ศิษย์แยกตัวเองออกจากธรรม แต่สอนให้ศิษย์อยู่กับธรรมอย่างกลมกลืนสอดคล้อง ความจริงสอนให้เรารู้ว่า เราอย่าแยกตัวเอง และเราอย่าพยายามแก้ไขเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เรียกว่าธรรม แต่จงอยู่กับธรรมอย่างกลมกลืนสอดคล้อง แล้วจะมีสุข แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบแยก ฉันอยากได้หน้าไม่อยากได้หลัง ฉะนั้นเวลาเจอศิษย์ อาจารย์ต้องให้ศิษย์เห็นแต่ด้านหน้า ห้ามให้ศิษย์เห็นด้านหลังเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์ชอบความสว่างไม่ชอบความมืดได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นธรรมชาติยังสอนเลยว่า ฟ้ามีมืดมีสว่าง คนอยู่กลางระหว่างฟ้าและดิน มืดกับสว่างอย่างกลมกลืนสอดคล้อง เราจึงเรียกว่าชีวิต ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อเราอยากศึกษาธรรม ชีวิตมีสุขและมีทุกข์ ธรรมะไม่ได้สอนให้เรารักสุข เกลียดทุกข์ รักดีด่าชั่ว ธรรมสอนให้เราตั้งตนอยู่ตรงกลาง แล้วยอมรับความเป็นจริงไม่ว่าสุขหรือทุกข์ด้วยหัวใจปกติ จึงเรียกว่ามีธรรม แต่มนุษย์เราเป็นอย่างนั้นไหม เราชอบแยกธรรมะ ฉันต้องเอาแบบนี้ ฉันไม่เอาแบบนั้น แล้วกำหนดตายตัวว่าต้องเป็นแบบนั้นไม่เป็นแบบนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วใช่ธรรมะไหม มีไหมพระพุทธองค์ มีไหมพระองค์ไหนที่ศิษย์กราบไหว้บอกว่า ให้ด่าคนชั่ว ให้แช่งคนไม่ดีมีไหม (ไม่มี)  แล้วศิษย์เป็นศิษย์ของพระพุทธองค์ไหม เป็นศิษย์ของพุทธะที่ศิษย์กราบไหว้ไหม ฉะนั้นเจอคนชั่ว ด่าหรือไม่ด่า (ไม่ด่า)  ฉะนั้นอาจารย์อยากสอนว่า ถ้าศิษย์แปรเปลี่ยนจากความโกรธเกลียดเป็นใจที่ปกติเรียกว่าศีล เรียกว่าธรรม แต่ถ้าใจมันเอียงซ้าย เรียกว่าบุญ เอียงขวาเรียกว่าบาป แต่ถ้าปกติ เรียกว่าธรรม ฉะนั้นไม่ว่าเจอเรื่องอะไร ด่าก็ได้ ทุกข์ก็ได้ โกรธก็ได้ เสียก็ได้ ใจยังคงปกติ นั้นแปลว่าศิษย์เข้าถึงธรรม แต่ถ้าศิษย์ยังเอียงว่า ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ เรียกว่าการก่อกรรม ไปด้านดีเรียกกรรมดี ไปด้านชั่วเรียกว่ากรรมชั่ว ถ้ามากไปด้านดีเรียกว่ากรรมดี และศิษย์ยังหวังผลแปลว่า ศิษย์ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับกรรมดี ใช่ไหม (ใช่)
แต่ถ้าศิษย์ไปด้านชั่ว ศิษย์เกลียดเขา ด่าเขา ชิงชังเขา โกรธแค้นเขา นั่นคือศิษย์กำลังสร้างกรรมชั่ว ที่เรียกว่า วิบากกรรมหรือเวรกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเวรกรรมหนีไม่พ้นคือนรก อบายภูมิ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่ศิษย์โดนอะไรกระทบ ยังเอียงดี ยังเอียงชั่ว ศิษย์ก็หนีไม่พ้นบุญบาปที่เรียกว่า สนองผลกรรม แต่ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์เจอเรื่องอะไรมากระทบ ศิษย์รักษาใจปกติ เห็นชัดไม่โกรธ เห็นชัดไม่ด่า เห็นชัดไม่ลุ่มหลง รักษาใจปกติได้ นั่นแหละเรียกว่าเข้าถึงธรรม เราศึกษามาตั้งนาน เราเคยเข้าถึงธรรมบ้างไหม เราวิ่งไปแต่ด้านกรรมเดี๋ยวก็ไปทำกรรมดีเดี๋ยวก็ไปทำกรรมชั่วใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็วิ่งวนรับสนองผลกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ธรรมะไม่ได้สอนให้เราแตกแยกไม่ได้สอนให้เราขัดแย้งแต่สอนให้เรากลมกลืนสอดคล้องฉะนั้นอยู่ในโลกเป็นไปได้ไหมมีคนดีตลอดได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเป็นไปได้ไหมมีคนเลวตลอด (ไม่ได้)  เมื่อเราห้ามไม่ได้ห้ามเขาไม่ได้เปลี่ยนเขาไม่ได้รักษาใจตัวเองดีกว่าไหม ฉะนั้นธรรมะไม่ได้สอนให้เปลี่ยนแปลงใคร แต่ธรรมะสอนให้ดูแลใจให้เข้าถึงธรรมแค่นั้นเอง เมื่อเรายอมรับความปกติได้ มันก็สงบ มันก็เย็น มันก็วาง มันก็สุข แม้โดนด่าเป็นเรื่องปกติใช่ไหม (ใช่)  โดนคนเอาเงินไปไม่คืนเป็นเรื่องปกติใช่ไหม (ใช่)  สามีไปไม่กลับเป็นเรื่องปกติภรรยาด่าไม่จบเป็นเรื่องปกติ ศิษย์เอ๋ยอาจารย์จะบอกให้บนโลกนี้มันมีวันหมดอายุจริงไหมล่ะ (จริง)  ด่าสักพักเดี๋ยวมันก็หมดอายุใช่ไหม (ใช่)  รำคาญไปสักพักเดี๋ยวมันก็หมดอายุใช่ไหม (ใช่)  ใจของมนุษย์เรา ใจเราเองเรารู้ดีโกรธมากๆ มันเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  โกรธมากๆ เหนื่อย เหนื่อยสักพักเดี๋ยวขอหยุดโกรธก่อน สักพักค่อยมาโกรธใหม่ใช่ไหม (ใช่)  มีแบบนี้ด้วยหรือ อาจารย์นึกว่าโกรธแล้วจบแล้วจบกัน มีค่อยมาโกรธมาด่ามันใหม่ แบบนี้ด้วยหรือ อาจารย์ตกใจมนุษย์มีโกรธภาคสองภาคสามต่อด้วยเพิ่งรู้นะ
อยากอยู่กับคนอื่นอย่างสันติสุขลองทำหัวใจให้ว่าง ไม่มีกำหนด ไม่มีขอบเขต ไม่มีตัวตน ไปอยู่ที่ไหนศิษย์ก็ไม่ทุกข์ แต่มนุษย์ไม่ใช่ อยู่กับคนก็บังคับให้คนต้องเป็นแบบนี้ ต้องเป็นแบบนั้น พอเขาไม่เป็นดั่งที่คาดหวัง คนที่ทุกข์ก็คือคนที่ยึดติด ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่บนโลก แล้วไม่ทุกข์กับเรื่องอะไรในโลกทั้งมวล ลองทำหัวใจให้ว่าง อยู่กับเขาแบบไม่ยึดมั่นไม่คาดหวังไม่ผูกติดได้ไหม ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น แม้ลูกจะเกเรก็ได้ใช่ไหม (ใช่)  หรือแม้วันนี้จะเป็นทุกข์ไม่ใช่สุขก็ได้ แล้วศิษย์จะเข้าใจความเป็นกลางอันเป็นธรรมดา ไม่ร้ายไม่ดี จะร้ายจะดีอย่างไรเราก็หนีไม่พ้นบนโลกนี้ใช่ไหม อาจารย์ขอถามหน่อย ในโลกนี้มีอะไรไม่มีคู่ มีไหม (ไม่มี)  มีค่ะอาจารย์หนูอยู่คนเดียวมาตั้งนานแล้ว ใช่ไหม อาจารย์จะบอกให้ คำว่าคู่ของอาจารย์หมายความว่า ในโลกนี้มันมีภาวะคู่เสมอ มีได้ก็ต้องมีเสีย มีชมก็ต้องมีติ มีผู้หญิงก็ต้องมีผู้ชาย ถูกไหม (ถูก)  มีคนหนุ่มมันก็ต้องมี (คนสาว)  ฉะนั้นคนหนุ่มสาวเกลียดคนแก่ดีไหม (ไม่ดี)  คนแก่เกลียดคนหนุ่มสาวได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นอาจารย์จะบอกให้ว่า ถ้าเราเข้าใจความสัมพันธ์ที่เกี่ยวเนื่องกันว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันล้วนเกี่ยวพันกันเราจะอยู่กันอย่างกลมกลืนสอดคล้องได้ใช่ไหม ถ้าเรายึดติดว่าฉันชอบแต่คนแก่ ไม่ชอบคนสาวเราจะทุกข์ไหม (ทุกข์)
เราชอบคนชมไม่ชอบคนด่าถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเรายอมรับความเป็นจริงอะไรๆ มันก็ปกติธรรมดา การเรียนรู้ธรรมคือ หันกลับมามองว่าต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งมวล มันไม่ใช่อยู่ที่เขา มันไม่ได้อยู่ที่ใคร หรือมันไม่ได้อยู่ที่เรื่องราวอะไร แต่มันเกิดจากใจของเราที่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มองความจริง และไม่ยอมรับความจริง เอาแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเอง  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยอมรับแล้วใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าอยากมีสุขก็จงยอมรับว่าแก่ก็ (ทุกข์)  ศิษย์เอยจะแก่จะเด็กก็ทุกข์ทั้งนั้น ถ้าคิดไม่เป็น จริงไหม (จริง)  ถ้าแก่แล้วยังไปทำให้ตัวเองทุกข์นั้นก็คือคนโง่ น่าจะดีใจว่าชีวิตผ่านมาร้อนหนาวมาหลายปีแล้ว ยังรอดมาได้ถือว่าโชคดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  และยังโชคดีที่ได้แก่ปานนี้ แต่เด็กๆ สิน่ากลัว ไม่รู้ว่าชีวิตจะได้แก่หรือไม่ ก็ไม่รู้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอย่าดูถูกคุณค่าคนแก่ เพราะมีคนแก่เราถึงได้มีชีวิตยาว ฉะนั้นถ้ารักแต่วัยหนุ่มสาวคึกคะนอง ท่านได้ตายก่อนแก่แน่ จริงไหม (จริง)  อาจารย์ถึงบอกว่าการเรียนรู้เข้าใจธรรม คือการยอมรับความเป็นจริงไม่ว่าจะเกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนดี อย่าไปกำหนด ขอให้ตายได้ก็ดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามจริงๆ  ถ้าเกิดมาไม่ตายทรมานนะ เกิดมาไม่เจ็บลำบากนะ จริงไหม (จริง)  อาจารย์บอกให้ถ้าเกิดมาแล้วตายเลยไม่เจ็บ ดีไหมล่ะ (ดี)  ศิษย์ลองไปถามคนที่เรียนๆ อยู่แล้วตายเลย แล้วเขาจะบอกว่าขอเจ็บก่อนเถอะ อาจารย์จะบอกให้เจ็บก่อนดีตรงไหน ความเจ็บมันเป็นสัญญาณเตือนภัยว่าศิษย์กำลังผิดปกติแล้ว ศิษย์ต้องดูแลความผิดปกตินั้นให้ดี เพราะถ้าดูแลไม่ดีศิษย์จะตายโดยไม่ต้องเจ็บจริงไหม (จริง)
ฉะนั้นถ้าเข้าใจชีวิตมีอะไรที่ไม่ดีบ้าง ไหนบอกอาจารย์มา ไม่มี โดนด่ายังดีเลย โดนคนเอาเงินไปแล้วไม่คืนก็ดี ดีตรงไหนล่ะอาจารย์ ดีแล้วขอให้หมดเวรหมดกรรมกัน ชาตินี้จบพอแล้วไม่ติดหนี้กันอีกแล้ว ใช่ไหม
อาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่า ถ้าเรายอมรับความเป็นปกติของชีวิต ที่มันดีร้าย ได้เสีย ทุกข์สุขได้ ศิษย์จึงบังเกิดธรรม แล้วเชื่อไหมว่า กรรมจะไม่มี มันจะมีชีวิตอยู่เพื่อชดใช้กรรมเก่า กรรมใหม่ไม่สร้างอีกแล้ว บาปไม่มีอีกแล้ว แล้วไม่ต้องพยายามทำบุญเพื่อเสวยบุญอีกต่อไป เพราะขอเท่านี้ก็พอแล้ว ดีไหม (ดี)  ทำตรงนี้ เดี๋ยวนี้ตรงนี้ได้เลย แค่ยอมรับอะไรๆ ก็ดี ดีที่ได้เรียนรู้เข้าใจ และไม่เกี่ยวกรรมกันอีกต่อไป หรืออยากจะเกี่ยวกรรมอีก  (ไม่อยาก)  แต่ศิษย์มักจะบอกว่าอาจารย์บางทีคนเรายังต้องมีอารมณ์รู้สึกบ้าง จะให้รักษาใจปกติ ไม่รู้สึกมันทำใจยากนะอาจารย์ (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายออกมา)  อาจารย์การจะรักษาใจให้ปกติ ไม่ให้รู้สึกอะไร มันยากนะ ถ้าอาจารย์ถามว่า จะทำอะไรก็ทำไป รู้สึกอย่างไร ไม่ต้องสนใจ ก็ทำไป ก็ปล่อยอารมณ์มันออกมาเลยใช่ไหม ถ้าสมมติอาจารย์หมั่นไส้คนนี้แล้ว ตีแบบนี้ ดีไหม (ไม่ดี)  ไม่เป็นไรศิษย์เดี๋ยวอาจารย์ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ดีไหม (ไม่ดี)  ทำอะไรก็ช่างมัน ไม่รู้สึกรู้สา จิตไม่รู้สึกรู้สาไม่ได้ บางทีเราเกลียดมัน เบื่อ รำคาญ ด่ามันไปเลย ทำร้ายมันไปเลยดีไหม (ไม่ดี)  เดี๋ยวค่อยมา ขอโทษนะเธอ ถ้าทำแบบนั้นมันแก้อะไรกันได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์ของอาจารย์ปล่อยให้รู้สึกรู้สา สร้างเวรกรรมเต็มที่แล้วค่อยไปทำบุญที่วัด อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เขา ลบล้างใจเขาได้ไหม (ไม่ได้)   “ขอโทษนะเมื่อสักครู่ไม่ได้ตั้งใจ แค่มือพลั้งไป” หายไหม (ไม่หาย)  ฉะนั้นหยุดก่อนสร้างกรรม หรือสร้างกรรมแล้วค่อยหยุด (หยุดก่อนสร้างกรรม)  ไม่เอาอาจารย์ มันต้องรู้สึกรู้สาก่อนสิ ด่ามันให้สะใจก่อน เดี๋ยวค่อยไปสร้างบุญใช่ไหม ถูกไหม หยุดก่อน พลั้งมือ ทำร้าย เกี่ยวกรรมสร้างเวรกรรม  หรือไปสร้างเวรกรรมแล้วสร้างบุญชดเชยอะไรประเสริฐกว่ากัน ศิษย์โกรธเต็มที่ไปรักมาเต็มที่ ไปเกลียดมาเต็มที่ ไปด่ามาเต็มที่ แล้วทำบุญชดเชยทันไหม (ไม่ทัน)  ฉะนั้นสู้หยุดแล้วมองอย่างเข้าใจ ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ด่า ไม่หลง ฉะนั้นเมื่อมีอารมณ์มา ท่านจึงบอกว่า อย่าพยายามไปกดมัน อย่าไปพยายามบังคับมัน อย่าไปพยายามคิดถึงมัน เพราะความคิดการกด ไม่ช่วยให้เราดีขึ้น วิธีที่จะดีที่สุดคือ เปิดใจกว้าง ยอมรับความจริง ด้วยสติยั้งคิด เขาก็คือส่วนหนึ่งของธรรม เขาร้ายมากเท่าไร เราไม่ต้องทำอะไร เราก็ดีขึ้นดีขึ้น โดยไม่ต้องมีคำชม จริงไหม
สมมติว่าอาจารย์ด่าศิษย์คนนี้ว่า เลว ชั่ว อ้วน ศีรษะล้าน ใครเลว อาจารย์เลวใช่ไหม แต่ถ้าเขายืนเฉยๆ ไม่พูดอะไร แถมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เป็นอย่างไร มันสุดยอดนะ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า อะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้น เรานิ่งได้ เราสงบได้ เราเย็นได้ เราคือผู้ที่เข้าถึงธรรม แต่คนที่กำลังโกรธ เกลียด เขากำลังตกอยู่ในอบายภูมิ ตกอยู่ในนรก  ฉะนั้นถ้าเราเย็นได้ ว่ามันก็แล้ว เกลียดมันก็แล้ว มันยังยิ้มอยู่อีก ศิษย์ลองปล่อยให้เขา
ด่าสัก ๑๐ วัน แล้วศิษย์ไม่โกรธเลย เชื่อไหม เราจะแปรเปลี่ยนคนที่ตกนรกให้ขึ้นสวรรค์ได้ด้วยหัวใจที่ปกติ เขาก็จะหันมาถาม แกมีดีอะไรนะ ทำไมแกไม่โกรธฉันเลย ฉะนั้นจึงถามศิษย์อย่างไรล่ะ จะเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น หรือจะหยุดเวรหยุดกรรมด้วยตัวเอง (หยุดเวรหยุดกรรมด้วยตัวเอง)  ถ้าศิษย์หยุดได้ ศิษย์ยังแปรเปลี่ยนคนที่กำลังจะสร้างกรรมกับเราให้เขาพ้นทุกข์ได้ด้วยความเข้าใจ จริงไหม (จริง)  ถ้าอย่างนั้นควรจะรู้สึก หรือไม่รู้สึกดี อาจารย์ก็ไม่ได้ห้ามศิษย์ไม่รู้สึก แต่เข้าใจใจที่มันปกติ รู้สึกไปมันก็เจ็บ ด่าไปมันก็ทุกข์ รักมากไปมันก็เต็มไปด้วยน้ำตาจริงไหม (จริง)  หลงมากไปมันก็ตามืดบอด แล้วเราควรหรือที่จะมองเห็นแค่นี้ ถ้าเขาเป็นทุเรียน อาจารย์จะกินแต่เปลือก หรืออาจารย์จะกินเนื้อ (เนื้อ)  อย่างนั้นถ้าศิษย์เป็นคนๆ หนึ่งที่มันทำให้เราได้เห็นเนื้อ ได้เห็นแก่นแท้ เราจะมัวแต่ติดเปลือก หรือเราจะเอาให้ถึงเนื้อ เอาให้ถึงเนื้อในนั่นแหละที่แท้มันคือธรรม ที่ทำให้เราเข้าใจสัจธรรม เนื้อแท้แห่งความเป็นคนของเขาที่มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ หาที่สุดไม่ได้ มีแต่ทุกข์ แล้วก็ว่างจากตัวตน เมื่อเราไม่ยึดมั่นได้ เมื่อนั้นแหละเราจะพบธรรม ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าอยากอยู่ในโลกแล้วไม่ทุกข์ จำไว้นะศิษย์อะไรก็ดี ไม่นั่งก็ดี ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ก็ดี
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงธรรม ทำนองเพลง :คำสัญญาที่หาดใหญ่ ชื่อเพลง:อย่าทิ้งกัน)
ร้องได้ไหม (ได้)  เพลงนี้เศร้านิดหนึ่งนะ เป็นเพลงที่กลั่นออกมาจากใจ ที่อาจารย์อยากให้ศิษย์คนหนึ่ง เขาได้รับรู้ เพียงแค่โดนว่า เพียงแค่โดนด่า ศิษย์ก็ไม่เอาอะไรแล้วหรือ ศิษย์ก็ไม่อยากดีแล้วหรือ มันน่าเสียดายนะศิษย์นะ ฉะนั้นเกิดเป็นคน อย่าแค่โดนว่านิดหน่อยก็ไม่อยากดีแล้ว เสียดายนะศิษย์จริงไหม
อาจารย์เอากลอนของท่านแปดเซียนมาแยกเป็นคำๆ และอาจารย์จะวงคำข้างใน ให้มีความหมายอีกความหมายหนึ่งเพื่อฝากไว้เป็นสิ่งเตือนใจศิษย์ ได้หรือไม่ (ได้)  ช่วงที่บางคนยังไม่ได้วง ตอบคำถามได้อาจารย์มีรางวัลให้เอาไหม (เอา)  แต่ถ้าเกิดรางวัลที่อาจารย์ให้ไป กินแล้วมันต้องทุกข์เอาไม่เอา (ไม่เอา)  กินแล้วมันต้องเจ็บเอาไม่เอา (ไม่เอา)  กินแล้วมันต้องตายเอาไม่เอา (ไม่เอา)  ไม่เอาจริงนะ (ไม่เอา)  พูดจริงหรือ เอาไม่เอา (ไม่เอา)  ผู้ปฏิบัติงานธรรมเอาไม่เอา (ไม่เอา)  นักเรียนเอาไหม (ไม่เอา)  อาจารย์ถามจริง ศิษย์ไม่เอาสักวันศิษย์ก็ต้องเอา ถูกไหมล่ะ (ถูก)  ศิษย์ไม่กลืนกินมันให้ได้สักวันมันก็จะกลืนกินศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสู้ตั้งมือยอมรับกับมันดีกว่าว่าความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ความเจ็บ ความปวดไม่ใช่เรื่องเลวร้าย และความตายก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องทุกข์ทน ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอาจารย์จะถามว่า ทำอย่างไรเราถึงจะไม่ทุกข์ ตอบได้อาจารย์ให้รางวัล รางวัลที่ได้ไปแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย อย่างเป็นคนที่ไม่ทุกข์ ดีไหม (ดี)  รับมันให้ได้ มันคือใจและคือความเป็นจริงของทุกชีวิตที่ต้องเจอ ทุกชีวิตที่หนีไม่พ้น ฉะนั้นถ้าเราเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ดี ความทุกข์ ความเจ็บ ความตาย ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่มันทำให้เรามีสติ ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต จริงไหม (จริง)
มีใครตอบอาจารย์ได้บ้างมีไหม (ทำใจว่างๆ)  อย่างนั้นเอาแอปเปิลว่างๆ ไปไหม (เอา)  มีใครอยากตอบอีก ถ้ารับแอปเปิลอาจารย์ไปแล้วแอปเปิลอาจารย์มันว่าง แต่แอปเปิลมันกินแล้วต้องกล้าทุกข์ กล้าเจ็บ กล้าป่วยนะ ได้ไหม ทำใจว่างๆ นะ ฉะนั้นเอาแอปเปิลนี้ไปก็จะไปแบบว่างๆ นะ (คิดแต่สิ่งดีๆ)  ถ้าอาจารย์เขวี้ยงใส่หัวศิษย์ ศิษย์ก็มองเป็นด้านดี ใช่ไหม ก็ศิษย์บอกอาจารย์เองให้คิดด้านดี ฉะนั้นถ้าอาจารย์เขวี้ยงใส่หัวศิษย์ก็จะไม่โกรธมองในด้านดี ใช่ไหม (ใช่)  คิดในด้านดีไว้นะศิษย์ แต่บางทีในด้านดีแม้จะมีร้ายเราก็ต้องมองให้เห็นว่ามันมีดี แล้วเราก็จะได้ไม่จมอยู่กับความแย่ใช่ไหม (มองโลกให้กว้างๆ)  มองโลกให้กว้างๆ ไม่ว่าจะบวกจะลบก็ทำใจให้ได้นะ
(ทำใจจิตว่างให้อยู่กับธรรมะ)  การจะทำจิตใจให้ว่างคือต้องมองว่า โลกนี้มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันว่างเปล่า ทำจิตใจให้ว่าง ถึงเวลามันว่างได้จริงๆ ไหม มัวแต่เลอะเลือนมันก็ไม่ว่างหรอกนะ ใช่ไหม (ให้อภัย)  รู้จักการให้อภัย แล้วก็ให้ธรรมแก่เขา ให้ความปราณี ให้ความเมตตา เมื่อให้ความเมตตาจะลดพยาบาท เมื่อให้ความกรุณาจะลดการเบียดเบียน
(รู้จักปล่อยวาง)  อย่างนั้นแปลว่าจะไม่รับแอปเปิลใช่ไหม รู้จักละวางทำให้ถึงที่สุดจำไว้นะศิษย์ ก่อนจะปล่อยวางศิษย์ต้องทำให้ถึงที่สุด ทำให้ถูกต้องในศีลธรรม แล้วถึงเวลาใครจะว่าใครจะชมเราต้องปล่อยวาง นี่ถึงจะเรียกว่าปล่อยวาง และละวางอย่างถูกต้อง ทำให้ถึงที่สุดก่อน ถ้าไม่ทำยังปล่อยไม่ได้ จริงไหม รับผิดชอบหน้าที่ให้ดี ทำตัวเองให้มีศีลธรรม (ปลง)  ให้มันปลงได้จริงๆ เถอะถึงเวลาคิดได้ ปลงไม่ตกก็มีใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าคิดไม่ได้ มันก็ปลงไม่ตก แต่เรื่องของอารมณ์ต้องใช้สติ อย่าใช้ความคิด กับคนบางคนต้องคิดให้ได้ปลงให้ตก แต่กับเรื่องของหัวใจต้องใช้สติยั้งคิด ไม่ใช่เอาแต่อารมณ์
(รู้จักให้อภัย)  ก่อนจะให้อภัย แปลว่าต้องโกรธเขาแล้วถึงจะพยายามให้อภัยใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศิษย์ยังรู้สึกว่ายังต้องให้อภัยแปลว่าลึกๆ ในใจศิษย์ยังโกรธอยู่ แต่ถ้าศิษย์ใช้ความเมตตา ใช้ความเข้าใจ ไม่ต้องอภัย ใช้ความเข้าใจใช้ความเมตตา จะดีกว่านะ (สามารถค้นหาและทำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากจะทำ อันนี้คือเปิดเผยมาก แต่ความสุขเหล่านั้นของเรามันเป็นความสุขที่ห้ามไปเบียดเบียน หรือไปทำร้ายคนรอบข้างเราหรือคนอื่น ก็คือเรามีความสุขได้ ก็คือทำอะไรก็ได้โดยที่แบบไม่ต้องทำอะไรไม่ต้องมีอะไรมากีดกัน)  ความหมายของศิษย์ก็คือทำในสิ่งที่ตัวเองเรียกว่าความสุข แต่ความสุขนั้น ต้องไม่ตั้งอยู่บนการเบียดเบียน คดโกงหรือทำร้ายใคร ใช่หรือ ไม่ ปรบมือให้เขาหน่อยนะ ตอบได้ดีนะ ตอบได้ดี มีใครตอบอีกไหม (เข้าใจค่ะ เข้าใจในที่นี้ก็คือ เราต้องเข้าใจก็คือ เริ่มจากเข้าใจตัวเราเองก่อน เมื่อเราเข้าใจตัวเองแล้ว เราก็จะเข้าใจธรรมชาติของทุกอย่าง เข้าใจคนอื่นมีความเข้าใจค่ะ)  เพราะใจของคนเหมือนกันทุกคน รักสุขเกลียดทุกข์ ชอบคนพูดดีไม่ชอบคนพูดร้าย ชอบคนชมไม่ชอบคนด่า ชอบคนเคารพให้เกียรติ ฉะนั้นถ้าเราเอาใจของเราตรงนี้ ไปปฏิบัติกับผู้อื่น เราก็จะเข้าใจคน และเราก็จะไม่เอาสิ่งนั้นไปทำร้ายคน ใช่ไหม หน้าตาเหมือนไม่ยอมรับเลยนะ
(มีสติแล้วก็อดทนกับสิ่งที่มากระทบ)  แต่ระวังนะ บางทีความอดทนมันก็มีจำกัดนะ อาจารย์อยากบอกศิษย์ เปิดใจให้กว้างแล้วกล้ายอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง และยอมรับความเป็นจริง ไม่ต้องใช้คำว่า “อดทน” แต่ใช้คำว่า “พยายามเข้าใจ” เพราะอดทนมันมีขีดจำกัดจริงไหม (จริง)  (อยู่กับความจริง)  ทำให้ได้อย่างนั้นนะ อยู่กับความจริง ห้ามอยู่กับสิ่งที่คาดหวังในใจ เขาไม่รักก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่รัก เขาได้แค่นี้ก็ต้องยอมรับว่าแค่นี้ (มองโลกในแง่ดี)  แต่ศิษย์จำไว้นะ บางทีแม้โลกมันจะมีดีมีร้าย แต่จงจำไว้ว่า “ลองหาดีในร้ายให้เจอ” แล้วเราจะไม่ได้ทุกข์กับมัน และในดีเราลองมองให้ดีว่ามันก็มีร้าย เราจะได้ไม่หลงกับมันเกินไป
(ที่เป็นทุกข์ก็เพราะว่าไม่เข้าใจตัวเอง)  ที่เราทุกข์ก็เพราะเราไม่เข้าใจตัวเอง แล้วอยากให้อาจารย์ปลดทุกข์ให้ใช่ไหม แล้วเราเคยทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายบ้างไหม เราเคยยอมคนได้ไหม ถ้าอยากเข้าใจ อยากปลดทุกข์ ถามตัวเองก่อนยอมคนเป็นไหม ให้เขาโดยไม่หวังผลได้ไหม ถ้าทำได้แบบนี้ศิษย์ก็ไม่ทุกข์หรอก มนุษย์ทำอะไรชอบหวังผล ทำอะไรชอบเอาชนะ ทำอะไรชอบถือทิฐิอัตตาตัวตนมันเลยทุกข์ใช่ไหม (รักษาใจให้ปกติ)  รักษาใจให้ปกติดีนะ
(ต้องตั้งสติ ทำดี มองในแง่ดี)  ตั้งสติ คิดดี ทำดี แล้วก็ต้องละชั่วให้ได้ด้วย ใช่ไหม ละกิเลสอารมณ์ที่เป็นต้นเหตุที่มาทำให้เราทำผิดคิดร้ายให้ได้ด้วยนะศิษย์ คิดดี ทำดี แต่ไม่ละชั่วก็เปล่าประโยชน์นะ (ต่างคนต่างอยู่ไม่จองเวรจองกรรม)  ฉะนั้นถ้าเขามาทำร้ายเราล่ะ (เย็นไว้)  แล้วถ้าเขายังทำอีกล่ะ (นับหนึ่งถึงสิบ)  ถ้าเกิดเขายังทำอีกล่ะ ก็คิดเสียว่าเราจะได้จบเวรจบกรรมกันนะ ให้อภัยเขาก็ได้สันติใช่ไหม (แผ่เมตตา)  รักษาจิตจำไว้ศิษย์ ใครจะทำอะไรไม่ต้องไปสนใจ รักษาจิตของเราให้ปกติยกใจให้สูงให้ได้ อย่าทำให้เขาทำร้ายเราทั้งกายและใจ ให้เรามีกรรมแค่สังขาร แต่ไม่มีกรรมทางใจให้เขาทำร้ายเราได้แค่กายแต่ไม่ทำร้ายใจทำให้ได้นะ
(ต้องมีความอดทนอดกลั้นควบคุมอารมณ์ของเราเองให้ได้)  ถ้ารู้จักพอ เราก็ไม่ต้องอดทนอดกลั้น ถ้าไม่พอก็ต้องอดทนอดกลั้นไปตลอดนะใช่ไหม (ยอมรับได้ทุกอย่างไม่ว่ามีอะไรมากระทบ)  ให้ได้อย่างนั้นนะ (คิดดีพูดดีไม่พูดให้คนอื่นเสียใจ)  คิดดีพูดดีไม่ทำให้คนอื่นเสียใจ แต่อย่าเผลอพลั้งอารมณ์ เพราะถ้าไม่รู้จักควบคุมอารมณ์นั่นแหละ จะทำให้เราคนดีกลายเป็นคนร้ายได้เสมอ จริงไหม (ตัดกิเลสจากใจเราให้ได้ก่อน)  แต่ศิษย์เคยได้ยินไหม สิ้นทุกข์ได้ก็สิ้นกิเลสได้ แต่สิ้นกิเลสได้อาจจะไม่สิ้นทุกข์ก็ได้ ลองพิจารณาคำของอาจารย์ให้ดีนะจริงไหม
(ผิดก็ยอมรับผิด) ตอบได้ดีนะ จิตสำนึกที่ดีงามเป็นโอกาสที่จะทำให้เราแก้ไขข้อผิดพลาดทั้งมวลได้ แค่ยอมรับ ใช่หรือไม่ (ใช้ความเมตตาปราณี)  เมื่อเมตตาจะไม่พยาบาท เมื่อกรุณาจะไม่เบียดเบียน เมื่อยินดีในเขาเป็นสุขจะไม่ริษยา เมื่อวางใจเป็นกลางจะไม่ยึดติดถือดี มีความอดทนอดกลั้น ถ้าทำได้อย่างนี้เรียกว่าพรหมวิหารสี่ (เป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ)  ตอบได้ดีทำให้ได้อย่างนั้นนะ และจงจำไว้ว่าสิ่งที่เราทำให้ ไม่ใช่ต้องการให้คนชม แต่เราทำเพราะเราอยากหนีห่างจากความชั่ว และขอเป็นคนทำดีแบบปิดทองหลังพระ มีธรรมะไว้ในจิตใจ กราบพระจงอย่าเห็นแต่ความสวย แต่จงเอาธรรมะกล่อมเกลาใจนะ
(ต้องทำใจให้เย็น)  ต้องทำใจให้เย็น ไม่ว่าน้ำจะกลายเป็นน้ำเดือดก็ตาม ก็ต้องกลับมาเย็นให้ได้ ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดไม่ว่าเจอเรื่องราวอะไร ถ้ามันเดือดร้อน วู่วาม นิ่งก่อน นิ่งจะทำให้เกิดสติ แต่ถ้าร้ายมา ร้ายกลับมันจะทำให้เกิดความวุ่นวาย และเป็นอารมณ์ ฉะนั้นจงหยุดให้เป็น จงเย็นให้ได้ ใช่ไหม เพราะถ้าชีวิตคนหยุดไม่เป็นก็ไม่มีวันเย็นได้
(ตั้งใจทำความดี)  แต่ทำความดีต้องลดละการเบียดเบียนชีวิตนะ (ต้องมีเมตตา มีสติ ขอบคุณทุกสิ่งที่เข้ามาไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี)  ทำให้ได้นะศิษย์เอ๋ย
(อยู่อย่างพอเพียงและเพียงพอ)  แล้วเมื่อไรจะพอเพียงและเพียงพอจะได้ไม่ทำร้ายร่างกาย ทำให้ได้นะ
(ตั้งสติ ปล่อยวาง ไม่กลัวความแก่ ความเจ็บ ความตาย)  ฉะนั้นทำให้ดีที่สุด มีศีลมีธรรม ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว รักษาจิตของตัวเองให้ดีนะ
(ยอมรับความจริงเปิดใจให้กว้าง)  ถ้าเกิดคนนั้นเป็นลูกเรา คนนี้เป็นเพื่อนบ้านเรา เข้าข้างใครมากกว่ากัน
(ไม่เบียดเบียนผู้อื่น)  ทำให้ได้อย่างนั้นเถอะนะ กลัวถึงเวลาทำไม่ได้ อยู่อย่างไม่เบียดเบียนคือไม่ฆ่าเขาเพื่อชีวิตเรา ใช่ไหม
(สอนลูกและสามีให้เดินในทางที่ดี) ขอให้ยิ้มให้เก่งก็พอนะ เพราะบางทีสอนไปมากๆ เขาก็ไม่ฟังนะศิษย์เอ๋ย สู้การทำให้ดูดีกว่า
(ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น) แค่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในข้างหน้านี้ให้ดี แล้ว ทำหน้าที่ตัวเองให้สมบูรณ์ ไม่ใช่ขี้เกียจนะ ต้องขยันรู้ไหม
(รู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน)  ถ้อยทีถ้อยอาศัย เคารพให้เกียรตินะ  (อยู่อย่างมีเหตุผล)  บางครั้งเหตุผลของเราก็ถูก แต่เหตุผลของคนมักง่ายที่จะเข้าข้างตัวเอง เพราะคนทุกคนต่างมีเหตุผล ใช่ไหม เปิดใจให้กว้างยอมรับแค่นี้ให้ได้ แม้เขาจะเป็นได้แค่นี้ก็ดีแล้ว ใช่ไหม
(เป็นคนที่สงสารเพื่อน สงสารและก็เอ็นดูด้วย ทำให้มีความสุขใจไม่เกิดทุกข์)  รู้จักมีจิตที่สงสาร จิตที่สงสารจะทำให้เราไม่เบียดเบียนใครนะจำคำของอาจารย์ไว้ จิตที่รู้จักสงสาร จิตที่รู้จักมีเมตตา จะมีแต่ให้และไม่เบียดเบียนใคร รักษาใจนี้ไว้นะ (การให้ที่สำคัญคือการให้อภัย แล้วก็มีสติ อย่าใช้อารมณ์ก่อนพูดเสมอ) ทำให้ได้นะ (ถือศีลห้าอยู่ที่บ้าน ทำจิตให้ว่างอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด)  ศีลห้าครบจริงๆ หรือไม่โกหกจริงๆ หรือ ยุงไม่ตบจริงๆ หรือ (ยอมรับความจริงของตัวเอง แล้วยอมรับความจริงของคนอื่น ไม่คาดหวังและตีกรอบคนอื่น)  ทำให้ได้นะไม่เสียทีที่ฟังอาจารย์
(อย่าไปยุ่งกับสิ่งที่เป็นทุกข์)  ใช่ถ้ายอมรับมัน บางทีความทุกข์มันคือส่วนหนึ่งของชีวิต และบางทีความทุกข์นั่นแหละ ทำให้เรามีชีวิตจริงไหม (จริง)  ถ้าไม่ทุกข์เราจะรู้จักชีวิตหรือ จริงไหมศิษย์ (จริง)  เพราะรู้สึกจึงทุกข์ แต่ถ้าเราไม่รู้สึก เราไม่ทุกข์ นั่นแหละแปลว่าชีวิตเราไม่มีแล้ว จริงไหม (จริง)  (ทำใจให้เป็นปกติ เพราะว่าทุกอย่างในโลกนี้มันเป็นเรื่องปกติทั้งนั้นเลย)  ใช่ ศีลคือความปกติ สมาธิคือความมั่นคงไม่หวั่นไหว ความเห็นแจ้งในสรรพสิ่งคือปัญญาที่ตื่นรู้ ถ้าทำได้ในทุกข์ขณะจิต เราก็คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในตัวเรานั่นเอง (อดทนอย่างมีสติ)  รุ่นนี้ยังต้องอดทนอีกหรือ น่าจะเข้าใจโลกได้มากขึ้นนะ ใช่ไหม เด็กๆ เขาใช้ความอดทนไม่เท่าไร  แต่ถ้ารุ่นนี้ยังต้องอดทนนี้ต้องคิดหนักแล้วนะ (การเรียนรู้ทุกข์ได้สุขเป็นกำไร)  ปล่อยวางเรียนรู้ได้สุขเป็นกำไร ตอบเป็นกลอนเลยนะ แต่ก่อนจะปล่อยวาง ทำให้ดีที่สุด อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรม ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยคุณธรรม แล้วถึงเวลาอะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ นี่แหละเรียกว่าหนทางของการปล่อยวางที่แท้จริง เข้าใจไหม (เปิดใจให้กว้าง ทำจิตใจให้ปกติ เพื่อเข้าถึงหลักธรรม)  จริงๆ ใจมนุษย์ปกติอยู่แล้วจริงไหม แต่พอโดนกระทบทางตา ทางหู มันเลยไม่ปกติ แล้วใจมันยึดติดมั่นหมาย มันก็เลยมองอะไรไม่ปกติ ใช่ไหม (นักเรียนชายคนหนึ่งยืนขึ้นและหัวเราะ)  ขอให้หัวเราะอย่างนี้ตลอดนะ เพราะตั้งแต่อาจารย์มา คนนี้ก็หัวเราะไม่หยุดเลย ฉะนั้นโดนด่าก็ (หัวเราะ)  เจ็บป่วยก็ (หัวเราะ)  ภรรยาหนีไปก็ (หัวเราะ)  หัวเราะไม่ได้ ต้องมีสติ (ทำจิตให้ว่างแล้วหยุดที่ใจเรา) 
แต่จิตของมนุษย์ไม่เคยว่าง ใช่หรือไม่ ชอบมีความเป็นตัวตนเข้ามาอยู่ แต่อาจารย์จะบอกโดยแท้จริงว่า จิตเดิมแท้นั้นว่าง แต่ใจแห่งความเป็นตัวตนมาบดบังจิตเดิมแท้ จึงทำให้เรามองไม่เห็นความจริง แต่ถ้าเมื่อไรเราวางอัตตาตัวตน เมื่อนั้นล่ะมนุษย์ว่างโดยแท้จริง และกำลังเดินกลับไปสู่ความว่างจริงไหม
(ไม่ยึดติดจากการเห็นหรือได้ยิน)  หยุดตั้งแต่ผัสสะ ผัสสะแปลว่ารู้สึก เห็นแล้วไม่ก่อเกิดเป็นความรู้สึก มันหยุดแค่นั้น เหมือนที่เรียกว่า รูปก่อเกิดเป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฉะนั้นถ้าเห็นเป็นแค่รูปแล้วไม่เกิดสัญญา สัญญาคือความจำได้หมายรู้ มันก็ไม่กลายเป็นเวทนา สังขาร วิญญาณ ภพชาติ ชรา มรณา มันหยุดการเกิดได้อาจารย์พูดยากเข้าใจไหม
(ปล่อยวางทุกอย่าง)  ศิษย์คนสุดท้ายตอบอาจารย์น่ารักปล่อยวางทุกอย่าง แปลว่าแอปเปิลเขาก็ไม่เอาใช่ไหม บอกปล่อยวางทุกอย่างแต่ตามองแอปเปิลไม่ห่างเลย
(เลิกจากการกระทำความชั่ว ทำแต่ความดีทำ จิตใจให้บริสุทธิ์)  แล้วการจะเลิกชั่วได้คืออะไร (ไม่ผิดศีลธรรม)  ไม่ขาดคุณธรรมความเป็นคน ธรรมนั้นไม่ได้เกิดจากการที่อาจารย์ยัดเยียดให้ศิษย์ แต่ศิษย์ต้องบังเกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งด้วยตัวเอง แล้วออกมาจากตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
(อยู่แบบเป็นกลาง)  รักษาใจให้เป็นกลาง หรือเรียกว่าหนทางแห่งทางสายกลาง ใช่ไหม จริงๆ มนุษย์มีทางสายกลางอยู่แล้ว แต่ใจของเรามักชอบเอียงเอน มองแค่นี้แต่ไม่มองให้กว้างๆ เหมือนวันนี้อาจารย์ถามง่ายๆ
(พระอาจารย์เมตตายกตัวอย่างหัวหน้าชั้นกับนักเรียนในชั้นยืนเรียงกันสามคน)
มนุษย์เรามีความเป็นกลางอยู่เสมอ แต่เรามักจะชอบเห็นแค่นี้เหมือนเรามองอย่างนี้ เรามองแค่นี้ ใช่ไหมแต่จริงๆ แล้วเรามีความเป็นกลางอยู่ทุกขณะ มีคนที่สูงกว่า มีคนที่ดีกว่า มีคนที่แย่กว่า มีคนที่ร้ายกว่า ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเรามองอยู่ทุกขณะเราจะไม่จมอยู่กับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แต่เราจะเปิดใจกว้าง แต่มนุษย์ไม่ใช่พอเจอเรื่องนี้มาปุ๊บก็จมอยู่แค่เรื่องนี้แล้วก็ตายเพราะเรื่องนี้ แต่ชีวิตจริงๆ มันยังมีอีกหลายเรื่องแต่เราเคยเปิดกว้างดูไหม
(พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สงบใจให้เป็น” พระอาจารย์เมตตาประทานให้ที่ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน)
อาจารย์ขอเอาพระโอวาทซ้อนครั้งที่แล้วมาต่อกันนะ ต่อกันจะได้คำว่า “สงบใจให้เป็น เย็นใจให้ได้” ถ้าจิตใจสงบ เราจะควบคุมและเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มาแวดล้อมได้ แต่ถ้าจิตไม่สงบ เราจะถูกสิ่งที่แวดล้อมเปลี่ยนแปลงใจจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นลองเอากลอนที่อาจารย์ให้ ไปพิจารณาจนบังเกิดธรรมดีไหม (ดี) ถ้าอย่างนั้นวันนี้อาจารย์คงกลับได้แล้วใช่ไหม พระโอวาทซ้อนนี้มีกลอนอยู่ข้างใน
วันนี้อาจารย์ก็คงต้องจากลาศิษย์แล้วนะ ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์อย่ายึดมั่นถือมั่นในตัวตนจนมองไม่เห็นความจริง อย่ายึดมั่นกับสิ่งที่คาดหวัง จนลืมมองสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนคือสิ่งที่เป็นจริง ยอมรับได้ก็หมดทุกข์ได้ ถ้าไม่ยอมรับเราก็ทุกข์ไม่จบสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ดี ร้าย ได้ เสีย ทุกข์ สุข เกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนเป็นเรื่องธรรมดา ผู้ใดที่เข้าใจในความธรรมดานั้นจนบังเกิดธรรม จนปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นตัวตนได้ คนนั้นก็สามารถกลับคืนสู่สภาวธรรมแห่งความว่างได้ จริงหรือไม่ (จริง)  แต่น่าเสียดายที่หลายคนๆ ฟังอาจารย์ไปแล้วก็เบื่อ ไม่ได้อะไรนะ ใช่ไหม คนเราเกิดมาล้วนต่างมีบุญที่ดีใช่หรือไม่ แล้วทำไมจึงไม่รักษาบุญโอกาสที่ดีอันนั้น อย่าปล่อยชีวิตจมอยู่กับความประมาท และปล่อยชีวิตจมอยู่กับการตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ จนลืมความดีงามแห่งหัวใจ มนุษย์ดีงามได้เพราะ ซื่อตรง เที่ยงตรง โดยเฉพาะถ้าทำงานขาดความซื่อตรง ขาดความเที่ยงตรง คนๆ  นั้นก็ยากมีชีวิตที่ยั่งยืนยาวได้ โดยเฉพาะคนที่ทำงานราชการเป็นทหาร เขาว่ากันว่ามีเทพคุ้มครอง แต่เทพจะคุ้มครองคนที่ทำงานราชการด้วยหัวใจที่ซื่อตรง แต่ถ้าไม่ซื่อตรงเทพก็ไม่คุ้มครอง พญามาร ผี ก็จะมาจองเวรจองกรรมจริงไหม ต้องถามตัวศิษย์เองว่าซื่อตรงหรือยัง ใช่หรือไม่
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์ฝากเพลงนี้ไปให้ใครคนหนึ่งที่เขาทิ้งอาจารย์ หรือว่าใครสักคนหนึ่งที่วันนี้อยู่กับอาจารย์ แต่วันหน้าไม่กลับมาแล้วดีไหม ใครที่คิดว่ามาสองวันนี้แล้วไม่เจออาจารย์แล้วก็ลองเอาไปพิจารณาดู เป็นผู้ชายต้องกล้าหาญ ต้องเข้มแข็ง ไม่ใช่หวาดกลัวใช่ไหม มีโอกาสกลับมาอีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะ ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง และรู้จักทำในสิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์ใช่ไหม ไปแล้วนะ สามัคคีกันหรือยัง เข้มแข็งนะ อาจารย์อยากเห็นคนที่หาดใหญ่สามัคคีกันได้ไหม ทำงานฟ้าไม่กลัวลำบาก ทำงานฟ้าไม่กลัวทุกข์ หัวใจอะไรเป็นแบบนี้ อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์เป็นแบบนี้ ทำงานฟ้าจงแบกหัวใจที่ยิ่งใหญ่ กล้ายอมรับ รู้จักเคารพให้เกียรติผู้คน และก็จงทำงานอยู่กับผู้คนด้วยหัวใจที่เสียสละยากไหม
ศิษย์เอ๋ย จิตสำนึกจะได้แก้ไขข้อผิดพลาดที่เราเคยทำกับคนอื่นเขามา ฉะนั้นศิษย์ต้องกล้าชดใช้กรรม ยอมรับผลกรรมเราที่ก่อ ถ้าศิษย์ไม่รู้จักสำนึก กรรมเวรนั้นมันก็ไม่มีวันหายไปได้ ฉะนั้นรับแล้วก็ต้องสำนึกร่วมผิดด้วยว่าตัวเองไปทำอะไรเขามา เราถึงเป็นแบบนี้ จริงไหม ถ้าไม่เบียดเบียนทำร้ายเขา เขาจะมาเบียดเบียนทำร้ายเราไหม ฉะนั้นศิษย์ต้องมีสติที่จะเข้าใจ ความเป็นจริงของชีวิตด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง เข้มแข็งให้ได้ ความอ่อนแอมีได้ แต่เราก็ต้องกลับมาเข้มแข็งให้ได้นะ เพราะคนเราเกิดมา มาคนเดียวเราก็ต้องกลับคนเดียว มาตัวเปล่าเราก็ต้องกลับตัวเปล่า ไม่มีใครไปกับเราได้ นอกจากหัวใจที่ตื่นรู้แห่งความจริงเท่านั้น ใช่ไหม แต่เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์นะ ทำให้ได้นะ รู้จักศึกษาธรรม ธรรมที่แท้จริงและเป็นความรักอยู่ในใจเรา รักษาใจแห่งรักให้ได้นะ ทำให้ได้นะ ศิษย์เอ๋ย รักษาจิตใจที่ดีงามด้วยการปฏิบัติสิ่งที่ถูกต้อง อย่าหลงผิด อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบทำร้ายชีวิตนะ เข้าใจไหม รู้เรื่องไหม
มีโอกาสมาฟังให้ครบดีไหม จะได้เข้าใจ ไม่ใช่เข้าใจอาจารย์ แต่เข้าใจว่าชีวิตที่เกิดมาเป็นธรรม เพราะชีวิตหนีไม่พ้นธรรม ธรรมแห่งความเป็นจริงที่พวกเราต้องเข้าใจในทุกข์ สุข แต่เราจะอยู่ระหว่างเกิด แก่ เจ็บ ตาย และทุกข์ สุข ด้วยหัวใจที่ตื่นรู้ได้อย่างไร ถ้าเราเอาแต่วิ่งวุ่น แต่ลืมค้นหาใจที่แท้จริงของตัวเอง ถ้าเราหวังแต่จะให้คนอื่นมาเติมเต็ม แต่ตัวเองไม่เคยเติมเต็มใจตัวเองได้เลย ความทุกข์ก็เกิดจากใจเราจริงไหม สามัคคีให้อาจารย์ได้ไหม ตั้งใจบำเพ็ญ หนทางบำเพ็ญที่แท้จริง คืออุทิศ เสียสละ เวลาตัวเองเพื่อผู้อื่น ชีวิตของศิษย์ หัวใจที่เข้มแข็ง หัวใจที่อุทิศเสียสละ หัวใจที่มั่นคงในการช่วยเหลือโปรดผู้คน ต้องมีอยู่ในศิษย์เสมอ ไม่หาย ไม่จาง ไม่คลาย ด้วยความมั่นคง ศิษย์ทำดีหรือยัง ความคิดศิษย์ยังชอบฟุ้งซ่าน ฉะนั้นมีเวลาว่างสวดมนต์ให้เยอะๆ กราบพระขอขมาให้เยอะๆ เลิกฟุ้งซ่าน ทำตัวเองให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นคนอื่นจะเป็นทุกข์ และตัวเองก็เป็นทุกข์ใช่ไหม
สมัครสมาน ดูแลจิตใจของศิษย์ให้ดีงาม ให้ถูกต้อง ด้วยหัวใจที่อุทิศเสียสละเพื่อช่วยผู้คน แม้ตัวเองจะทุกข์ก็ไม่เป็นไร ได้ไหม ศิษย์คือลูกศิษย์อาจารย์จี้กง หัวใจของอาจารย์จี้กงคืออนุเคราะห์ปกโปรดชาวโลกให้รู้ตื่นในธรรม เอาหัวใจนี้ไปนะ หัวใจที่จะอนุเคราะห์ช่วยเหลือปกโปรดชาวโลกให้รู้ตื่นในธรรมจนลืมความเป็นตัวตนเหลือแต่ธรรม ที่จะเอาไปให้เขา ทำได้เช่นนี้ศิษย์ก็คือคนที่มีหัวใจแห่งพระพุทธะ ทำให้ได้นะ ได้ไหมหัวใจที่อุทิศเสียสละ หัวใจที่มองเห็นความเป็นจริงในโลกนี้ว่า โลกนี้ไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ภัยภายนอกยังไม่น่ากลัวและโหดร้ายเท่ากับใจที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่รู้จักคิดอยู่ในศีลในธรรม จริงหรือไม่ มงคลใดจะดีงาม ก็ไม่สู้จิตที่เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต หวังให้อาจารย์เคาะกะโหลก เพื่อจะได้แข็งแรงหรือ หวังให้อาจารย์เคาะกะโหลก เพื่อจะได้โชคดีไม่ซวยหรือ แต่ถ้าศิษย์ยังคิดไม่เป็น เอาแต่เที่ยวไม่รู้จักรับผิดชอบ ไม่รู้จักทำมาหากิน มันก็ไม่มีมงคลหรอก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นต้องรู้จักรับผิดชอบทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี รู้จักมีศีลมีธรรม มงคลนั้นประเสริฐยิ่งกว่าอาจารย์ตีหัวอีก ฉะนั้นจงรู้จักทำตัวเองให้ถูกต้องและดีงาม ไม่ใช่แค่อาจารย์ตบแล้วมันจะดี แต่ถ้าตบวันนี้ดีแต่ใจมันคิดร้าย ตบไปมันก็เจ็บเปล่าๆ
คนในโลกน่ากลัวเพราะอะไร น่ากลัวเพราะไม่รู้จักยับยั้งความคิด อารมณ์ตัวเองให้อยู่ในทำนองคลองธรรม ศิษย์เอ๋ยจำไว้นะ ทุกชีวิตหนีไม่พ้นต้องกลับคืนสู่ความตาย และความตายนั้นคือความว่าง แต่เราจงว่างก่อนว่าง ตายก่อนตาย เราจะได้ไม่ต้องเวียนว่ายในวัฏฏะแห่งทุกข์อีกต่อไป ว่างก่อนว่าง ตายก่อนตาย เข้าใจปริศนาธรรมที่อาจารย์พูดไหม
อยู่อย่างคน ทำให้ดีที่สุด ยืมใช้ถึงเวลาก็ปล่อยวาง อย่าอยู่อย่างคนที่มีแต่ความอยาก อย่าอยู่อย่างคนที่ถมอยากไม่เต็ม มันมีแต่ทุกข์จริงไหม เราสุขได้ด้วยตัวเองถ้าพอ แค่นี้ ขอบคุณ ดีแล้ว จริงไหม มันอิ่มโดยที่ไม่ต้องรออะไรมาเติม มันสุขได้โดยที่แม้ไม่มีใคร เราก็สุขได้ เพราะถึงที่สุดทุกคนต้องกลับคนเดียวทุกคนก็กลับไปสู่ความไม่มี แล้วจะยึดความมีให้ทุกข์ทำไม แล้วจะยึดความโกรธ ความเกลียดเป็นอบายภูมิให้เราเวียนว่ายต่อไปทำไม ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์ไม่ใช่ต้องการให้ศิษย์มาเคารพอาจารย์ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักเคารพธรรมในตัวเอง และเห็นคุณค่าในตัวเอง ที่เป็นพุทธะ เป็นคนดีได้ ไม่ต้องไหว้อาจารย์ ทำดีจนตัวเอง หรือคนอื่นกล้ายกมือไหว้ศิษย์จากใจนั่นแหละ ศิษย์เข้าถึงธรรมได้ระดับหนึ่งแล้วจริงไหม (จริง)  ทำให้ได้นะ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สงบใจให้เป็น เย็นใจให้ได้”
     หยุดเขาหรือหยุดใจตน                         หนีคนหวังพึ่งสงบ
แม้ธรรมข่มใจไม่จบ                                        ยากพบหนทางคลี่คลาย
แค่เพียงทำใจให้ว่าง                                       ทุกอย่างก็ว่างทันใด
เมื่อใจหยุดแกว่งลงได้                               สงบก็จบทันที
แต่คนไม่ทำใจว่าง                                   ทั้งที่จิตว่างเดิมที
ความว่างคือธรรมเดิมมี                            ความมีคือหลงวุ่นวาย
     ชีวิตคนดำเนินไปไวเร่งรีบ                     ใจถูกบีบให้เป็นทุกข์หมดทางหนี
ใช้หัวใจแห่งปัญญาคู่ความดี                       แม้ถูกจี้ให้ทำชั่วอย่าเผลอใจ
สงบเป็นเย็นได้ไม่มีทุกข์                            วางเป็นสุขก่อนลืมจะดีไหม
ไม่ใช้โกรธเช้าสายบ่ายค่ำหายไป                  แต่ให้ใจปกติอยู่กับธรรม
หมายเหตุ พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สงบใจให้เป็น” พระอาจารย์เมตตาประทานให้ที่ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา