แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ศีล แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ศีล แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2562

2562-12-14 สถานธรรมจินโจว อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ

西元二○一九年歲次己亥十一月十九日                                   仙佛慈悲訓

วันเสาร์ที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒  สถานธรรมจินโจว อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

  เป็นดั่งน้ำช่วยคนดับกระหาย        เป็นร่มเงาช่วยคลายความทุกข์เข็ญ
เป็นดั่งแสงทองนำทางส่องเช้าเย็น    ผู้ฝึกเป็นเสียสละให้ไม่หน่ายเลย
                              เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก  แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว                       ถามทุกท่านเกษมฤๅ

  โลกกลมกลมคนเดินกันขวักไขว่         คนบำเพ็ญล้ำสมัยมีหลายความเห็น
คิดใหม่ได้แต่ไม่ไร้การบำเพ็ญ             โลกยามเย็นจึงเห็นไฟส่องทาง
ความแค้นใจทำบ้านให้เป็นไฟ             ความใจเย็นทำบ้านไม่เหินห่าง
ใต้ร่มน้อมให้กันอุดช่องว่าง                เปิดรับฟังทุกความสามารถความเห็น
ต่างความเห็นจึงกว้างใหญ่ได้พัฒนา      คนศึกษาคนด้วยการต่างความเห็น
ดึงศักยภาพได้ดึงด้วยสิ่งที่เป็น            ดีทุกวัยทำใจเป็นบำเพ็ญดี
ส่งไม้ต่อรุ่นก่อนรุ่นใหม่รับ                  เหมือนได้ใจคืนกลับมาตอนนี้
รุ่นหลังรุ่นปลูกไม่รู้จักดินดี                  รุ่นร่มเย็นเห็นวิธีแตกกิ่งก้านใบ
    คนปฏิบัติเป็นเห็นได้เป็นนักปราชญ์      เดินหน้าปฏิบัติตามเวลาเอื้ออำนวยให้
ถือคุณธรรมเป็นหลักเป็นดั่งธงชัย         มั่นคงเหนือกาลร่วมใจร่วมเวลา
จะตลอดไปหรือไม่อยู่ที่เรา                 เปลี่ยนเมตตาอันเหงาเศร้าของเราหนา
เป็นเมตตาอันอบอุ่นคนเข้าหา             ด้วยปัญญาเป็นเข็มทิศในชีวิตตน
                                                                          ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

ฟังธรรมเหนื่อยไหม ยังไหวอยู่ใช่หรือเปล่า (ไหวค่ะ) เป็นคำตอบที่น่าชื่นใจนะ รู้จักกันก่อนดีไหม  อากาศเย็นๆ พออยู่ร่วมกันก็กลายเป็นอบอุ่นได้ เพราะอะไรหรือ เพราะทุกคนต่างมีความร้อนในตัว ใช่หรือไม่ เกิดเป็นคนใจเย็นดีหรือใจร้อนดี แล้วส่วนใหญ่เราใจเย็นหรือเราใจร้อน ชอบคนใจเย็นแต่ตัวเองชอบใจร้อน จริงไหม ใจร้อนไม่ดีแล้วใจร้อนไหม เกิดเป็นคนกลัวเคราะห์กรรมเภทภัยไหม และเวรกรรมไหม (กลัว) ท่านเคยได้ยินไหมว่า ไม่มีเคราะห์ภัยใดน่ากลัวเท่ากับไฟที่เกิดจากโทสะ คนที่ขี้โมโหมักโกรธ เป็นคนที่ไม่มีใครอยากคบด้วย ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วอยากรู้ไหมว่าเราเป็นคนขี้โมโหหรือใจเย็น เวลาไปไหนคนเข้าหาหรือคนเดินหนี   เวลาไปไหนแล้ววงแตกไม่ใช่คนใจเย็น ใช่ไหม (ใช่)  ไปไหนมีแต่คนเดินหนีไม่มองหน้า แปลว่าเป็นคนใจร้อน จริงไหม (จริง)  ตกลงแปลว่าท่านเป็นคนใจร้อนที่อยากมีเวรมีภัย ที่ไม่มีใครเขาคบหา ไม่มีใครเขารักใคร่ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นเราควรจะเป็นคนที่มักโกรธบ่อยๆ หรือเปล่า (ไม่)  รู้ว่าเป็นศัตรูตัวร้ายควรจะมีความโกรธไหม (ไม่มี) แล้วอะไรล่ะที่จะช่วยดับความร้อนได้ (ธรรมะ)
เราถามท่านหน่อยนะ เราจะทำอย่างไรให้เราเป็นคนไม่โกรธ ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งที่คนโบราณมักจะชอบพูดและสอนคนไว้บ้างไหมว่า “คนเราดีไม่ทั่ว ชั่วไม่หมด” แปลว่าไม่มีใครดีจริงๆ และไม่มีใครร้ายจริงๆ ถึงจะขี้โมโหแต่ก็มีอะไรดีเหมือนกัน อารมณ์ร้อนแต่ก็ใจดีเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่) แปลว่ามีทั้งร้อนและเย็นอยู่ในตัว แต่ร้อนมากกว่าเย็น ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นเราอยากจะบอกท่านอย่างหนึ่งนะ บางครั้งมนุษย์ก็รู้ว่าอะไรไม่ดีอะไรดี แต่บางทีความดี
ไม่สามารถชนะความไม่ดีในใจได้ จริงหรือไม่ (จริง) ดีชั่วรู้หมดแต่อดใจไม่ไหว ใช่หรือเปล่า (ใช่) อันนี้จำได้ขึ้นใจเลย ใช่ไหม ถ้าเราบอกว่าจริงๆ แล้วการที่เราฝึกเป็นคนใจเย็นๆ หน่อย ฝึกโมโหให้น้อยหน่อย ฝึกเกรี้ยวกราดให้น้อยหน่อยนั้นดี เราไม่ได้ทำดีเพื่อหวังให้คนรัก แต่เราทำดีเพื่อป้องกันการที่เราจะไปเบียดเบียนทำร้ายคนที่เรารัก จริงไหม (จริง) เรารักคนที่อยู่รอบข้างเราไหม (รัก) แล้วคนที่อยู่รอบข้างเรา เราเห็นเขาเป็นทุกข์ เราทนได้ไหม (ไม่ได้) เห็นเขาหน้าเบี้ยวหน้าบูด เราก็พลอยหน้าบูดหน้าเบี้ยว จริงไหม (จริง) ลองอยู่ในบ้านมีแต่คนหน้าบูดหน้าเบี้ยว เรายิ้มออกไหม แต่ถ้าเกิดทุกคนในบ้านยิ้ม
เราหน้าบูดหน้าเบี้ยวเรายังยิ้มออกเลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่เราพยายามใจเย็นไว้ไม่โกรธคนอื่น เพราะว่าเราไม่อยากเบียดเบียนและไม่อยากทำร้ายคนที่เรารัก
ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เคยไหว้แล้วเอาท่านมาเป็นตัวเองไหม รู้ไหมว่าตัวท่านเอง
ก็คือพระพรหมของบ้านได้ ทำไมเราจึงบอกว่าท่านเป็นพระพรหมในโลกได้ และท่านเป็นพระพรหมในบ้านได้ เคยได้ยินไหม บิดามารดาเป็นพระพรหมของลูก แล้วเราเป็นพระพรหมของลูกจริงไหม (จริง)
นั่นแหละเรียกว่า “จิตแห่งกรุณา” เห็นใครทุกข์อยากช่วยให้เขาพ้นทุกข์
เป็นพระพรหมได้หรือยัง (ได้)  สองแล้วนะ และเมื่อเขาได้ดีมีสุข เรายินดีหรือเราอิจฉา (ยินดี)  นั่นได้สามข้อแล้ว ท่านเป็นพระพรหมของลูกได้ไหม (ได้) ฉะนั้นเวลาลูกทำผิดโกรธไหม (ไม่โกรธ) อันนี้ยากนะ แต่เราสามารถกลับใจ
เป็นกลางรักเขาเหมือนเดิม ใช่หรือไม่ (ใช่) ว่าส่วนว่า โกรธส่วนโกรธ แต่ใจ
ยังรักเหมือนเดิมไหม (รัก) นี่แหละจิตที่สามารถกลับคืนสู่ความเป็นกลางได้
ไม่ว่าเขาจะร้ายจะเลวอย่างไร ก็ยังมีความหวังดีและอยากช่วยให้เขาพ้นทุกข์เสมอ แล้วอย่างนี้กราบไหว้พระพรหมไม่สู้ทำตัวเองเป็นพระพรหมในบ้าน  แล้วถ้าเกิดเราแผ่ความเป็นพระพรหมออกสู่คนในโลก อย่างนี้เราไม่ใช่คนที่ปฏิบัติแล้วเป็นที่ร่มเย็นของผู้อื่นหรอกหรือ ท่านรู้ไหมขอหวยสามตัวเดี๋ยวมันก็หมด มันชื่นใจครู่เดียวใช่ไหม (ใช่)  แต่การประพฤติปฏิบัติจนมีคุณค่า จนเป็นที่ร่มเย็นเป็นที่พึ่งพิงของคนอื่นนั้นอยู่ได้หลายภพหลายชาติจริงไหม (จริง) เพราะการประพฤติวันนี้เป็นตัวบ่งบอกอนาคตในวันหน้า เพราะการดำเนินชีวิตในวันนี้เป็นตัวกำหนดภพภูมิในชาติหน้า แล้วคุณค่าของการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องดีงามในวันนี้จะสามารถพกติดตัวไป แม้จะต้องสิ้นชาติในการเป็นมนุษย์ แต่เราก็มีความดีงามพกติดตัวไปเป็นบุญวาสนานำพาให้เราไม่ว่าเกิดภพใดชาติใด ความเป็นพระพรหมนั้นก็จะคุ้มครองให้คนๆ นั้นประพฤติหรือปฏิบัติอยู่ที่ใดก็ร่มเย็นเป็นสุข หาเงินหาทองมีวันหมด แต่ประพฤติปฏิบัติด้วยความถูกต้องดีงามมันไม่มีวันหมด   มันจะติดตัวไปจนตาย และไม่ว่าจะภพไหนชาติไหน ความดีนั้นก็จะอยู่ในใจของเราไม่มีใครแย่งไปได้ อย่ามัวเห็นคุณค่าเงินทอง ทรัพย์สิน จนลืมคุณค่าความดีงามที่เรียกว่าธรรมในใจ เห็นอะไรมีค่าได้ แต่อย่าลืมเห็นคุณค่า
ในการประพฤติปฏิบัติอย่างผู้มีธรรม เห็นไหมว่าเป็นพระพรหม คนทั่วโลกก็มากราบไหว้ แล้วทำไมไม่เอาพระพรหมนั้นมาสถิตในใจเราด้วยการประพฤติปฏิบัติกันเล่า เราอยากช่วยให้คนมีความสุขไหม อยากช่วยให้คนพ้นทุกข์ไหม เห็นใครได้ดีมีสุข เราก็ดีใจกับเขาด้วยใช่ไหม ถ้าเห็นใครผิดพลาดไป เราซ้ำเติมเขาไหม ใครๆ ก็ผิดพลาดได้ ใช่หรือไม่ ถ้าท่านสามารถวางใจเป็นกลางได้
ไม่โกรธเกลียดใคร ไม่แช่งชักหักกระดูกใคร ไม่ด่าใคร ไม่นินทาใคร การเป็นพระพรหมในโลกยากหรือไม่ ยากอย่างเดียว เมื่อไหร่จะทำ
ก็คงไม่เผารนจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกท่านปาดเหงื่อเลยหรือ จริงๆ แล้วสุขนั้นร้าย ทุกข์นั้นดี ความลำบากนั้นดีไหม ความสบายนั้นดีไหม ถ้าเราพูดตรงกันข้ามว่า “ความสบายนั้นแย่ ความลำบากนั้นดี” ท่านว่าจริงไหม เราถามท่านหน่อยนะ ยิ่งสบายเรายิ่งเอาแต่ใจตัว ขี้เกียจ อ่อนแอ และสู้คนไม่เป็น ใช่หรือไม่ เช่นนั้นยิ่งลำบากเรายิ่งเข้มแข็ง
ยิ่งยืนหยัดด้วยตัวเองได้ ยิ่งโดนคนกดขี่ข่มเหงเรายิ่งรู้จักอยู่รอดให้ได้ ถ้าเราพูดว่าลำบากนั้นดี สบายนั้นแย่ผิดตรงไหน ในทางเดียวกัน “สุขนั้นแย่ทุกข์นั้นดี” พูดแบบนี้ผิดหรือไม่ ยิ่งสุขมากเรายิ่งอ่อนแอ ยิ่งสุขมากเรายิ่งเรียกร้องไม่จบสิ้นใช่ไหม แต่ยิ่งทุกข์เรายิ่งบอกว่าพอแล้ว คนที่ท่านรังเกียจ คนที่ท่านไม่ชอบ แท้จริงแล้วไม่มีดีหรอกหรือ ว่าฉันมากๆ เดี๋ยวฉันจะดีให้ได้ ดูถูกมากๆ เดี๋ยวฉันจะเก่งให้ได้เลย
แต่งงานนึกว่ามีความสุข เป็นอย่างไงล่ะ สุขจนพูดไม่ออกเลย ใช่ไหม (ใช่) มีลูกนึกว่าจะได้พึ่งพา เป็นอย่างไรเล่า หาไม่เห็นหัวเลยใช่ไหม (ใช่)  มีเงินนึกว่าจะได้มีบ้าน มีที่ดิน มีทรัพย์สินเป็นอย่างไรล่ะ หนี้ล้นพ้นตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) พุทธะจึงสอนไว้ว่าบางครั้งคิดว่ายิ่งหาแล้วยิ่งได้ แต่ถึงที่สุดจึงได้รู้ว่าพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ ไม่อย่างนั้นยิ่งหายิ่งได้ไม่คุ้มเสียเลย ใช่ไหม (ใช่)  เคยคิดว่ายิ่งมีแล้วจะได้เต็มเปี่ยม แต่ทำไมยิ่งมีกลับยิ่งอยากให้มันโล่งๆ ถูกไหม (ถูก) แต่เมื่อไรรู้จักคำว่าโล่งจึงรู้จักคำว่าเต็มเปี่ยม เหมือนกับ เดี๋ยวก็ซื้ออันนี้เข้ามาในบ้าน เดี๋ยวก็ซื้ออันนั้นเข้ามาในบ้าน ซื้อจนเต็มบ้านจนสุดท้าย จะเอาอะไรไปบริจาคดี มันจะได้โล่งๆ ใช่ไหม (ใช่)  เราพูดอะไรตลกไหม ตลกนะชีวิต เหมือนชีวิตเรายิ่งพยายามดึงตัวเองให้เก่ง ดึงตัวเองให้สูง ยกตัวเองให้มี แต่คนมีเขา
ไม่อวด คนอวดนั้นไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่) คนดีจริงเขาไม่คุย คนคุยแปลว่ายังไม่ดี แล้วเราเป็นแบบนั้น ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นพูดกันแบบเหมือนมีเหตุมีผล แต่ท่านรู้ไหมว่าถึงที่สุดเหตุผลก็ยังไม่ใช่ที่สุดของความจริง เหตุผลคือสิ่งที่พิสูจน์ได้ และเหตุผลเป็นรากของความจริง แต่ความเป็นจริงบางครั้งก็อยู่เหนือเหตุและผล ถูกไหม (ถูก)  เหมือนเราเปรียบเทียบว่าตะกร้าคือสิ่งที่ถูก อย่างนั้นแปลว่าสิ่งที่ไม่ใช่แบบนี้กลายเป็นผิด แต่เราถามว่าสิ่งนี้ถูกจริงไหม เหมือนวันนี้เราพูดชนะเขาได้ เราเป็นคนถูก แต่เมื่อผ่านไปอีกสักวันหนึ่ง เราจะเป็นคนถูกไหม แล้วเราจะเป็นคนถูกเสมอไหม (ไม่เสมอ) แล้วเราจะเป็นคนที่ถูกตลอดไหม (ไม่ตลอด)  ก็เหตุผลนี้ฉันเป็นคนถูกแล้วนี่ ฉันคิดว่าฉันถูกต้องแล้ว เธอคือคนที่ผิด อย่างนี้เราจะยืนยันว่าเราถูก แล้วเธอเป็นคนที่ผิด ตลอดได้ไหม (ไม่ได้) ก็เธอคือคนที่น่าเกลียด แต่ฉันเป็นคนที่น่ารัก จริงไหม ถ้าพูดกันตามเหตุผล ฉันยังหน้าเด็ก แต่เธอเหี่ยวแล้ว อย่างนี้ใช่ไหม ถ้าเราพูดกันตามเหตุผลอย่างนี้ถูกต้องไหม ฉันน่ารักกว่าถูกไหม (ถูก)  เธอน่าเกลียดใช่ไหม (ใช่)  แต่ต่อไปฉันจะน่ารักตลอดใช่ไหม (ไม่ใช่) เดี๋ยวฉันก็เหี่ยวไม่ต่างจากเธอถูกไหม (ถูก) อย่างนี้ตกลงใครถูก
ไม่ผูกพัน ช่วงใช้แล้วไม่ยึดติด อยู่ร่วมแล้วไม่เป็นทุกข์ คงยากนะ ตอบได้ดี
เราให้ดอกไม้เป็นกำลังใจ ดีไหม 
อันเป็นกลาง ถ้าเราเข้าใจความจริงอันเป็นกลาง เราจะยอมรับได้เลยว่า แท้จริงในโลกในร้ายก็ยังไม่ได้ร้ายที่สุด ยังมีคนร้ายกว่า ในดีก็ยังไม่ดีที่สุด
ยังมีคนดีกว่า ฉะนั้นถ้าเราวางใจเป็นกลางมองโลก เรานั่นแหละคือเข้าถึงพระพรหม และเข้าถึงธรรม
และระหว่างเจ็บกับตายอันไหนดีกว่ากัน หลายคนบอกว่าเจ็บนั้นทรมาน  ใช่ไหม (ใช่) แต่ตายโดยที่ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้สั่งเสีย บางทีอาจจะทำให้เรายิ่งเป็นทุกข์นะ จริงหรือไม่ (จริง)  
แต่ลืมลงแรงทำความเข้าใจที่ภายใน ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเข้าใจแล้วจะโกรธ จะปฏิบัติผิดไหม จะทุกข์ไหม (ไม่) ควรกลัวไหมความทุกข์ (ไม่กลัว) เพราะทุกข์ยังไม่แท้ สุขยังไม่จริง สู้ประคองใจให้นิ่งๆ และยอมรับความเป็นจริงอันเป็นกลางดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
ยึดติดความคิดว่าแบบนี้ดี อีกแบบหนึ่งก็จะไม่ดีในทันที ใช่หรือไม่ (ใช่) เราถามท่านว่า เวลาเราถูกลอตเตอรี่ เป็นสิ่งที่ดีใช่ไหม (ใช่) แล้วเวลาที่เราไม่ถูกลอตเตอรี่ เป็นสิ่งที่แย่ใช่หรือไม่ (ใช่) การถูกลอตเตอรี่บ่อยๆ ทำให้เราเสียเงินบ่อย ใช่ไหม (ใช่) แล้วการไม่ถูกลอตเตอรี่บ่อยๆ ทำให้เราไม่อยากจะเสียเงินแล้วใช่ไหม (ใช่)  แล้วอะไรดีกว่าอะไร (การไม่เล่น)  เหมือนกัน ถ้าเรารู้ว่า
เราเอาใจไปวางไว้กับคนที่เราเกลียด แล้วรู้สึกว่าเจ็บ เราก็ไม่ต้องเอาใจเรา
ไปวางไว้ที่เขา มนุษย์แปลกอยู่อย่างหนึ่ง อะไรก็เสียได้ ใช่ไหม (ใช่)  จำไว้นะ
เสียภายนอก เสียแล้วดีขึ้น ก็เสียไปได้ แต่สำหรับใจ อย่าพยายามเสีย เพราะเมื่อเสียไปแล้ว จะเรียกกลับคืนมาใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้ารู้ เห็น มองแล้วจะรู้สึกว่า เสียใจ เราก็ต้องเห็นเหมือนไม่เห็น เหมือนมีแต่เหมือนไม่มี อย่างนี้จะ
ไม่มีผลกับใจ อย่าเอาใจไปเสียเด็ดขาด เพราะเมื่อเสียไปแล้ว จะเรียกกลับมาไม่ได้ จำไว้นะ อยู่ในโลกหากเสียเงินเสียทองแล้วดีขึ้นก็เสียไป แต่หากเสียที่ใจ เสียแล้วแก้ไม่ได้ หากผิดหวังแล้วจะให้กลับมาดีเป็นเรื่องที่ยาก ฉะนั้นพยายามอย่าให้ใจเสีย ถ้าเมื่อเห็นแล้ว จะรู้สึกเสียใจ จะรู้สึกทุกข์ใจ จะไม่สบายใจ อย่างนี้เราไม่ใส่ใจ จะดีกว่าไหม (ดี)

โดยส่วนใหญ่บางทีที่เราใจเย็น เพราะว่าเมื่อเราเย็นเราก็สุขใจถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นเมื่อเราใจเย็นเพราะเราไม่ได้หวังให้คนรัก แต่เราใจเย็นเพราะว่าเราไม่อยากเบียดเบียนใคร ไม่อยากทำร้ายใครให้เป็นทุกข์ จะทำให้เราโกรธคนยากขึ้น เขาสุขเราก็สุข เขาทุกข์เราก็ทุกข์ ฉะนั้นที่เราใจเย็นเราก็อยากเห็นเขามีสุข ไม่ใช่เพื่อให้เขามาชมเราว่าเราดี ถ้าเราคิดอย่างนี้ เราก็คงโกรธน้อยลง แต่ท่านรู้ไหมว่าคนใจเย็นยังมีอีกอย่างหนึ่งที่เป็นหนทางนำไปสู่การอยู่อย่างคนประเสริฐ มนุษย์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ผู้ประเสริฐ เราประเสริฐตรงไหน อารมณ์ร้อน ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ท่านรู้ไหมว่าคนที่มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คือ คนที่มีธรรมอันประเสริฐ มีที่อยู่อันประเสริฐที่เรียกว่า ธรรม ฉะนั้น ถ้าเกิดเป็นคนแล้วเราใจเย็นไม่ได้ เราเอาแต่โมโห แปลว่าเราไม่ใช่คนประเสริฐ ผู้ใดก็ตามซึ่งสามารถรักษาซึ่งธรรมแห่งความใจเย็นได้ ผู้นั้นคือคนที่มีธรรมอันประเสริฐดำรงอยู่ และสามารถรักษาความบริสุทธิ์เฉกเช่นพรหมในโลกได้ ท่านเคยเห็นพระพรหมสี่หน้าไหม (เคย) ไหว้ไหม (ไหว้) ไหว้เพราะขอ
เราลองมาดูคนที่เป็นพระพรหมของลูกได้ เราถามหน่อยว่าเวลาลูกเขาทำอะไรเราอยากให้เขามีสุขไหม (อยาก) ทำอะไรเขายิ้มได้เรามีสุขถูกไหม (ถูก) นั่นแหละเรียกว่าเมตตา หวังให้คนอื่นเป็นสุขโดยที่ตัวเองไม่สุขไม่เป็นไร ขอเขาได้สุขนั่นแหละ “เมตตา” และเมื่อไรที่ลูกทุกข์อยากให้เขาพ้นทุกข์ไหม
ลองมองดูให้ดีๆ ระหว่างความโกรธกับความใจเย็น ให้ผลแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนที่มักโกรธ หนีไม่พ้นเคราะห์กรรมเวรภัย ไม่มีใครรักจริง และไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ จริงไหม (จริง)  แต่คนที่ใจเย็นมีเมตตา รู้จักเห็นใจผู้อื่น กลับนำสู่ซึ่งความร่มเย็น คนที่ชิดใกล้ก็อบอุ่น คนประพฤติปฏิบัติก็มีความสบายใจร่มเย็นใจ ฉะนั้นถ้ามนุษย์รู้จักยั้งคิดรู้จักควบคุมอารมณ์ได้ ความโกรธ
แต่บางทีคนบางคนก็น่าโกรธ จริงไหม (จริง) ถ้ายังตอบว่าจริงอยู่ ก็ยังแปลว่าหนีความโกรธได้ไม่พ้นนะ ถ้าเราบอกท่านว่า “ในโลกนี้ไม่มีสุขจริง ในโลกนี้ไม่มีทุกข์แท้” ท่านว่าจริงไหม (จริง)  เชื่ออย่างนั้นเลยหรือ ถ้าเราพูดว่า ในโลกนี้สุขนั้นดี ทุกข์นั้นร้ายจริงๆ ท่านว่าใช่ไหม (ไม่ใช่) อย่างนั้นเราถามท่านหน่อยนะ เราพยายามแสวงหาความสุข แต่ทำไมในความสุขกลับให้ความทุกข์
มีสามีดีไหม ภรรยาน่ารักไหม มีเงินดีไหม สุขหรือทุกข์ พูดอย่างนี้
กลับกันถ้ามีคนชมมากๆ เหลิงไหม (เหลิง)  แย่ไหม (แย่)  แย่แน่ๆ เลยจริงไหม ก็จะไม่พัฒนาตัวเองต่อแล้วคิดว่าตัวเองดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่) เราถามท่านว่า ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงในโลก อะไรหรือที่เรียกว่าสิ่งที่เราควรโกรธ อะไรหรือคือสิ่งที่เราเรียกว่าแย่จริงๆ และอะไรหรือคือสิ่งที่เราเรียกว่าสุข
ฉะนั้นที่สุดของความจริง ไม่ใช่การยึดติดถูกผิดดีร้าย แต่ที่สุดของความจริงสามารถทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้ คือ ความเป็นอิสระ ไม่ชอบและไม่เกลียดสิ่งใด เพราะทุกสิ่งล้วนมีดีและไม่ดี ไม่ต่างกัน  ถ้าอยากเป็นอิสระและอยู่บนโลกได้อย่างคนที่เข้าใจความจริง ก็จะต้องไม่รักและไม่ชังอะไร
แล้วเมื่อนั้น ท่านจะเข้าใจพุทธพจน์ที่กล่าวไว้ว่า “ความจริงคือสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่แท้ ไม่ทน” โลกพอดีอยู่แล้ว แต่ใจของเราต่างหากที่ไม่เคยพอ มองอะไรก็จึงไม่ดี จริงไหม (จริง)  เพราะความไม่เที่ยง ไม่แท้ ไม่ทน เมื่อไม่เที่ยงแล้วอะไรหรือที่ร้าย จริงๆ เมื่อไม่แท้แล้วอะไรหรือที่ดีจริงๆ เมื่อไม่ทนแล้วอะไรหรือที่แท้จริง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้รางวัลกับผู้ที่ตอบคำถาม)
อยากได้ผลไม้ ดอกไม้ หรือไม่เอาอะไรเลยดี  (ไม่เอาอะไรเลย) แปลว่าไม่เอาอะไรเลยก็ดี จริงๆ ถ้าเราอยู่ในโลกนี้ได้แบบไม่เอาอะไรเลย แค่ยืมใช้ แล้วรู้จักปล่อยวาง เราก็คงไม่ทุกข์ แต่มีอะไรบ้างที่มนุษย์ข้องเกี่ยวแล้ว
(จิตที่ไม่ยึดติดว่าใช่หรือไม่ใช่) พูดได้ต้องทำได้ อย่างนั้นจะรับดอกไม้ดีหรือผลไม้ดี (ผลไม้ดีกว่า) ไหนบอกว่าไม่ยึดติดไง เห็นไหมพอถึงเวลา รู้กับปฏิบัติเรายังทำไม่ได้ ถูกไหม ถึงที่สุดแล้ว ถ้าเราเข้าใจหลักธรรม อะไรก็ดี ผลไม้หรือดอกไม้ไม่สำคัญ สำคัญที่คนได้รับสิ่งนั้นไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะบอกให้นะ ได้ดอกไม้ไปทุกข์น้อยกว่าผลไม้ เพราะได้ดอกไม้ไปไม่ค่อยมีใครจะขอเท่าไร จริงไหม แต่ได้ผลไม้ไปเขาต้องบอกว่า แบ่งกันบ้างสิ ใช่ไหม
(จิตใจที่เข้าถึงธรรมะ) เลือกผลไม้ดีหรือดอกไม้ดี ดอกไม้ก็ให้แง่คิดของดอกไม้ ทำอะไรทำให้เต็มที่เพราะถึงวันที่ร่วงโรยแล้ว ไม่มีแรงแล้วต่อให้อยากทำเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้แล้ว ฉะนั้นมีเวลาอย่าผัดวันประกันพรุ่ง ทำวันนี้ให้ดีที่สุดเพราะเราไม่รู้วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะคนที่ยังชอบแอบไปสูบบุหรี่ จริงไหม
(ทางสายกลาง) คำตอบนี้คือคำตอบที่ถูกที่สุด ธรรมคือความจริง
อยากได้ดอกไม้หรืออยากได้ผลไม้ (ไม่อยากได้อะไรเลย) จริงๆ แล้วร่างกายเราก็ไม่ใช่ของจริง ตัวท่านก็ไม่จริง ถ้าจริงต้องไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  แล้วเราเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  ตอบว่า (ใจเราไม่มีวันไขว้เขว, ความจริงอันธรรมดา) ปรบมือให้นักเรียนในชั้นนี้ ล้วนตอบได้ดี ล้วนมีภูมิธรรม ไม่มากก็น้อย น่ายกย่อง
(คุณธรรม รู้พระคุณพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนเรามา) มโนธรรมสำนึกเป็นสิ่งดีงามที่มีอยู่ในจิตใจ สิ่งนี้ขอให้รักษาและแผ่ขยายไปให้กว้างไกล เราจะไปอยู่ที่ไหนก็เป็นที่รักของคนอื่น
ล้วนตอบได้ดีทั้งอายุน้อยและอายุน้อยมาก รับผลไม้นี้ไปเพื่อเป็นมงคลกับชีวิตก็ได้นะ ถ้าชีวิตสามารถรักษาได้ในความคิดอันเป็นกลางตลอดก็ไม่มี  สิ่งใดที่ทำให้เรารักมากและเกลียดมาก เมื่อเราไม่ตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ เราก็ไม่ต้องกลัวความทุกข์ใช่หรือไม่ และเมื่อเรามองเห็นความเป็นจริงแห่งชีวิตความทุกข์ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ความเจ็บน่ากลัวไหม ความตายน่ากลัวไหม
เราอยากบอกท่าน บางครั้งความเจ็บดี ตรงที่มาเตือนเรา ให้เรารู้จักคุณค่า เวลา และการอยู่ร่วมกัน ดีกว่าตายโดยที่ไม่ได้สั่งเสียเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจึงบอกว่าถ้าเรามองดูความเป็นจริงของชีวิตให้ดี ในโลกนี้ไม่มีอะไรร้ายถ้าใจเรารับไหว และในโลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว ฉะนั้นถ้าวันนี้เราทำดีที่สุดพรุ่งนี้จะตาย ก็ไม่น่าห่วงใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้ายังกลัวตายแปลว่ายังไม่ดีใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฟังธรรมะวันนี้ยากเกินไปไหม (ไม่ยาก)  การเริ่มต้นศึกษาปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช่แค่เพียงสวดมนต์ไหว้พระทำบุญสุนทาน หลักธรรมที่แท้จริง  คือการมีปัญญาเข้าถึงธรรมและนำพาให้ตนเองพ้นทุกข์  ฉะนั้นถือธรรมเพื่อประพฤติปฏิบัตินำพาให้พ้นทุกข์ ไม่ใช่ถือธรรมเพื่อหวังวอนขอและวนเวียนอยู่ในทุกข์ พอเข้าใจไหม โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนมักเน้นปฏิบัติแต่ภายนอก
ที่เราโกรธเพราะเรายึดติดความคิดของเรา ถูกไหม (ถูก)  เราใช้ความคิดของเราเป็นหลักใช่ไหม ฉะนั้นหากเราต้องการทำใจให้เป็นกลาง ก็ต้องเปลี่ยน (ความคิด)  เพราะความคิดเป็นตัวกำหนดชีวิต เป็นตัวครอบงำจิตใจ ถ้าเรา
ท่านเคยได้ยินไหม พุทธะพูดบ่อยๆ ถ้าใจเราดีอะไรๆ ก็ดี แต่ถ้าใจเราแย่เมื่อเขาพูดอะไรก็แย่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อพบปัญหาอย่าเพิ่งจัดการเขา เมื่อพบปัญหาต้องจัดการตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) เขาอยากได้ก็ได้ไป เขาอยากได้อะไรก็ให้ไป แต่ขออย่างเดียว อย่าใจเสีย เพราะถ้าเสียใจกับเขาแล้ว ก็เหมือนกับน้ำที่ไหลไปแล้วเรียกกลับไม่ได้ ด่าไปแล้วจะทำดีแค่ไหนก็ไม่ขึ้น ถูกไหม (ถูก)  เกลียดไปแล้ว ผูกพันไปแล้ว สร้างเวรสร้างกรรมไปแล้ว ชาติเดียวก็ใช้ไม่หมด ท่านว่าจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเห็นอะไรไม่ดี อย่าเพิ่งจัดการเขา แต่ต้องจัดการตัวเราเอง
เมื่อใจเราดีอะไรก็ดีขึ้นได้ เมื่อใจเราร้ายอะไรก็ดีไม่ขึ้น ฉะนั้นหน้าที่ของการดำเนินชีวิตและการปฏิบัติประพฤติธรรมให้ถูกต้อง คือ ไม่ได้แก้ที่เขาแต่แก้ที่เรา ไม่ต้องไปว่าเขาแต่ควรว่าเรา ถ้าคิดแล้วเจ็บแล้วจะไปคิดทำไมให้เจ็บใจ อยู่กันแบบห่างๆ ห่วงๆ ดีหรือไม่ ใกล้เกินมันอึดอัด ชิดเกินไปหายใจรดกัน มันเหม็น มันร้อน ฉะนั้นอยู่ร่วมกันต้องมีระยะห่าง ทำอะไรต้องรู้จักระยะห่างแล้วเราจะได้ไม่เจ็บปวด รักษาระยะ ห่างอย่ายุ่งกับเขามากเกินไป เพราะถึงที่สุดทุกชีวิตล้วนมีหนทางของตนเอง เมื่อเราหวังให้เป็ดเป็นไก่ไม่ได้ เมื่อนั้นไก่ก็ไม่มีวันเป็นเป็ดได้ เราพูดตลกแต่มนุษย์ก็มักจะทำอะไรตลก รู้ว่าเขาได้แค่นี้ ก็ยังหวังว่าต้องมากกว่านี้ ต้องดีกว่านี้ นั่นคือหวังเป็ดเป็นไก่ ทั้งที่จริงๆ แล้วได้แค่นี้ก็ดีแล้ว มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ ด้วยการให้เวลาตัวเองมาศึกษาปฏิบัติธรรม ธรรมสอนให้คนมีปัญญา ฉลาดในการดำเนินชีวิตแบบไม่ทุกข์


วันอาทิตย์ที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ สถานธรรมจินโจว อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ความสำเร็จในชีวิตทุกทุกอย่าง      ล้วนแล้วสร้างมาจากใจทั้งสิ้น
คนยิ่งใหญ่ต้องรู้ละความเคยชิน       คนติดดินรักเรียบง่ายจึงสูงส่ง
                              เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินโจว แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                       ถามศิษย์รักทุกคนตั้งใจฟังดีไหม

บำเพ็ญต้องลงแรงให้ดีดี มาให้เห็นบ่อยบ่อย บำเพ็ญต้องลงแรงให้ดีดี ทำให้เห็นสักหน่อย บำเพ็ญต้องทำใจ       ให้ดีกับปัญหากร่อยกร่อย ทำบาปกันซะอร่อย ท่องหนึ่งถึงร้อยเอาไว้
บำเพ็ญต้องลงแรงถ้าให้ดี มาให้เห็นตลอด บำเพ็ญต้องลงแรงถ้าให้ดี ต้องทำให้ตลอด บำเพ็ญต้องตั้งใจให้ดี จึงจะไม่หายตลอด เมื่อไหร่ก็รู้ตลอด แต่ตอนนี้ไม่ไหว
*   ศิษย์ก็เฝ้าแต่คิด แต่ไม่คิดจะตระหนัก คิดเป็นข้อไม่กี่ข้อก็ฟุ้งซ่าน จิตอ่อนไหวต้านไม่ไหวก็พลุ่งพล่าน เรื่องพื้นฐานใครไม่ดื้อหันเข้าบ้าน จิตเป็นอะไรบ้าง จะต้องหาเรื่องแก้ คนฝึกหัดแก้ไข วันหนึ่งวันใดคนเหนือคนแน่ ไม่ต้องถือไว้ตลอด ท่องหนึ่งถึงร้อยเอาไว้
**  จะต้องอย่างนั้น จะต้องอย่างนี้ ที่จริงทำแล้วถึงไหน ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนี้ ชีวิตแบกมาแสนไกล บำเพ็ญชีวิตบำเพ็ญหัวใจ ขอให้เบา
 *** จะต้องอย่างนั้น จะต้องอย่างนี้ ที่จริงทำแล้วไม่ไหว ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนี้ กลับทำมากมาย สรุปตัวเองบำเพ็ญเรื่อยไป ต้องลงแรงเพื่อการบำเพ็ญ
    บำเพ็ญต้องลงแรงถ้าให้ดี มาให้เห็นตลอด บำเพ็ญต้องลงแรงถ้าให้ดี ต้องทำให้ตลอด บำเพ็ญต้องตั้งใจให้ดี จึงจะไม่หายตลอด เมื่อไหร่ก็รู้ตลอด แต่ตอนนี้ไม่ไหว (ซ้ำ *, **, ***)

ทำนองเพลง : รักติดไซเรน
ชื่อเพลง : ท่องหนึ่งถึงร้อยเอาไว้


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ใครอยากโดนพัดอาจารย์ตีหัวบ้าง เอาด้านสันตีหรือเอาด้านหน้าตี หรือเอามือตี ชีวิตถ้าเราคิดว่าอะไรก็ดี อะไรก็ได้ คงทุกข์น้อยลงจริงไหม ถ้าเราเรื่องเยอะเราก็ทุกข์เยอะจริงไหม (จริง)  ถ้าเราเรื่องมากเราก็ทุกข์มากจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าเกิดบอกว่าอะไรๆ ก็ดี มันก็คงมีเรื่องง่ายๆ ขึ้นเยอะในชีวิตจริงไหม (จริง)  แล้วเรายอมให้ชีวิตมันง่ายแบบนั้นไหมหนอ อาจารย์แค่ถามง่ายๆ นะ ถ้าสมมติว่าในชีวิตของเรามีสิ่งที่ใจเราคิดใจเรากำหนด แล้วถ้าเกิดใจเราคิดใจเรากำหนด แล้วเราบอกว่า ขอให้เราเป็นคนที่ทุกข์ยาก สุขง่ายดีไหม ศิษย์อาจารย์ชอบเป็นคนผัดวันประกันพรุ่ง ทำอะไรก็จะบอกว่า “เดี๋ยวก่อน”  ถ้าเกิดความทุกข์มาศิษย์ก็บอกว่า “เดี๋ยวก่อน”  ดีไหม (ดี)  ทำไมถึงเวลาไม่เห็นทำอย่างนี้
คิดถึงกันไหม (คิดถึง)  บางคนคงไม่คิดถึงอาจารย์แล้วใช่ไหม ออกจากห้องพระไปก็ลืมแล้วจริงไหม (ไม่จริง)  จริงหรือ (จริง)  อาจารย์ได้ยินว่ามนุษย์ในโลกปากหวาน แต่ก้นก็เปรี้ยว เป็นอย่างนั้นไหม หรือเป็นประเภทปากว่าตาขยิบ เป็นคนพูดได้และเชื่อได้ใช่ไหม (เชื่อได้)  จริงหรือ (จริง)  เรามาคุยปรับความคิดกันก่อน ถ้าพูดถึงธรรมะปฏิบัติธรรมไม่ใช่ให้ตัดทางโลกเลย ไม่ใช่ให้เราไม่รับผิดชอบทางโลกเลย ไม่ใช่ไม่ให้เรารับผิดชอบทางโลกแล้วมาปฏิบัติธรรมอย่างเดียว การปฏิบัติธรรมยังประกอบหน้าที่ของความเป็นคนอย่างถูกต้องสมบูรณ์ แล้วยังรู้จักปฏิบัติธรรมในสังคม และก็ยังเอาธรรมมาปฏิบัติเพื่อช่วยคนในสังคมใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังนั้นเข้าใจให้ถูกต้องว่าการมาบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ตัดทางโลกแล้วไม่สนใจทางโลก แต่ยังรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดี และยังรู้จักมีน้ำใจที่จะช่วยเหลือผู้คนด้วยการเอาธรรมมาใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังนั้นเรามารู้จักกันก่อนได้ไหม
ความสำเร็จในชีวิตทุกทุกอย่าง      ล้วนแล้วสร้างมาจากใจทั้งสิ้น
คนยิ่งใหญ่ต้องรู้ละความเคยชิน     คนติดดินรักเรียบง่ายจึงสูงส่ง”
ทำอะไรต้องทำด้วยใจใช่ไหม (ใช่) แต่ในใจนั้นเมื่อเราทำอะไรสักอย่างแล้ว เราต้องไม่คิดว่าเป็นเพราะเราคนเดียว แต่เรื่องราวในโลกหลายๆ อย่างสำเร็จได้ เพราะต้องเกิดจาก ความร่วมแรงร่วมใจของทุกๆ คน ไม่ใช่มีเราแล้วถึงสำเร็จได้ ไม่ใช่ขาดเราแล้วมันจะไม่สำเร็จ ถูกหรือไม่ (ถูก)  จะยิ่งใหญ่ขนาดไหน หรือจะเล็กกระจ้อยร่อยขนาดไหน สิ่งที่สำคัญก็คือไม่ถือตัว ต้องไม่สำคัญตัวเองผิด เก่งแค่ไหนก็ต้องอาศัยคนที่ไม่เก่ง ฉลาดแค่ไหนก็ยังต้องอยู่ร่วมกับคนที่ไม่ฉลาดให้ได้ อยากอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ตัวเองสบายแล้วไม่คิดถึงคนอื่นได้ด้วยหรือ ถ้าทำให้คนอื่นเขาเป็นทุกข์ เดี๋ยวเขาก็ทำให้เราทุกข์เหมือนกัน จริงไหม (จริง)  

(พระอาจารย์เมตตาเปรียบเทียบ ความแตกต่างทางโลกและธรรม)
โลก
วุ่นวาย
สุข ทุกข์
ลำเอียง
ธรรม
ความสงบ / จบ
พ้นทุกข์
เป็นกลาง

อาจารย์ถามหน่อยถ้าพูดถึงโลก เรานึกถึงความวุ่นวาย ถ้าพูดถึงธรรมเรานึกถึงความสงบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่มีใจธรรม คือใจที่สงบ ฟังแล้วเข้าใจง่ายขึ้นมาเลยใช่ไหม (ใช่)  ฟังธรรมมาแล้ว ใจแบบไหนหรือที่เรียกว่า “ใจมีธรรม ใจที่ปฏิบัติธรรม” เปรียบเทียบแบบนี้เข้าใจง่ายดี ถ้าพูดถึงทางโลก เรียกว่า ความวุ่นวาย ถ้าพูดถึงทางธรรม เรียกว่า ความสงบสุข ถ้าพูดถึง ทางโลกมีความสุขและความทุกข์ สลับกันไปไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นหากพูดถึงทางธรรม ก็จะเป็นความสุขที่ไม่ใช่กลับไปเป็นทุกข์ แต่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เรานั่งฟังธรรมะมาตั้งนานแล้ว แต่บางทีเราก็ยังมองเห็นคำว่า “ธรรม” ไม่ชัดเจน มนุษย์มักชอบการเปรียบเทียบ ดังนั้นอาจารย์จึงนำการเปรียบเทียบมาทำให้เรามองเห็นอย่างชัดเจนขึ้น
โลกคือความวุ่นวาย ธรรมคือความสงบ โลกคือสิ่งที่มีทั้งความสุขและความทุกข์ มีดีและชั่ว แต่ธรรม คือ การพ้นทุกข์ ดีอย่างแท้จริง ดีแบบไม่กลับกลาย ไม่ใช่ดีหนึ่งวันแล้วก็ร้ายอีกหนึ่งวัน ดังนั้นคนที่ปฏิบัติธรรมก็ต้องเป็นคนที่ดีแท้ๆ ถ้าเราบอกว่าเราปฏิบัติธรรม แต่ความจริงเรายังดีบ้างไม่ดีบ้าง แปลว่าเรายังไม่ใช่คนที่ปฏิบัติธรรม อย่างนี้เห็นชัดขึ้นไหม (ชัด)  อย่างนี้คนที่ปฏิบัติแบบสามวันดีสี่วันร้าย ก็แปลว่ายังไม่ใช่คนที่เข้าถึงธรรม ตอนนี้รู้กันแล้วว่าปฏิบัติธรรม เขาปฏิบัติอย่างไร ดังนั้นคนที่ประพฤติปฏิบัติธรรม แล้วมีธรรมจริงๆ นั้น ยิ่งอยู่ในโลกก็ยิ่งสงบไม่วุ่นวาย ยิ่งอยู่ในโลกก็ยิ่งต้องพ้นทุกข์ ไม่ใช่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ปฏิบัติธรรมจริงๆ แล้ว ดีต้องดีแท้จริง ไม่ใช่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย  ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นตอนนี้อาจารย์ถามศิษย์จริงๆ ว่า ปฏิบัติแล้วไปทางโลกหรือไปทางธรรม (ไปโลก, ไปทางธรรม)  ศิษย์บอกว่าไปทางธรรม แต่ก็เอียงเอนไปทางโลกเล็กๆ นะ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นอาจารย์อยากบอกว่า คนปฏิบัติธรรมเขาควรยิ่งปฏิบัติยิ่งเข้าสู่ทางสายกลาง ไม่ใช่รักลำเอียง ไม่ใช่เอียงซ้ายเอียงขวาใช่ไหม (ใช่)  แล้วใจเราตรงหรือใจเราเอียง (ตรง)  ดังนั้นถ้าพูดถึงธรรมคือความเป็นกลาง อะไรที่ทำให้เรากลับสู่ความเป็นกลางนั้นเรียกว่าธรรม  และธรรมคือความเป็นเช่นนั้นเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ถามศิษย์ว่า ศิษย์เคยเจอคนที่ขี้เกียจตัวเป็นขนไหม (เคย)  เดินไปเดินมาอยู่นั่น เราก็ทำเข้าไป เขาจะเดินลอยไปลอยมาแล้วก็พูดว่า “แกต้องทำอย่างนั้นสิ แกต้องทำอย่างนี้” แต่ไม่เห็นเขาทำสักอย่างเลย เขาดีแต่พูด ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าวันหนึ่งเราขยันแล้วเจอคนขี้เกียจ ทำอย่างไรให้ใจเราเป็นธรรมไม่เป็นโลก ถ้าวันหนึ่งเรารับผิดชอบหน้าที่แต่คนเอาเปรียบ ทำอย่างไรให้ใจเรามีธรรมไม่มีโลก เคยเอามาใช้จนเกิดธรรมบ้างไหม (เคย)  ทำอย่างไรหรือ (ทำด้วยตัวเอง)  เขาไม่ทำเราก็ทำเอง
(เราต้องตั้งใจทำ)  ใช่ โดยส่วนใหญ่ถ้าเราขยัน เรามีความรับผิดชอบต่องาน แล้วเราอยากมีหัวใจที่มีธรรม ไม่อยากมีหัวใจที่เป็นโลก เพราะเป็นโลกแล้วมันรก มันวุ่นวาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
 ถ้าเราเป็นคนขยันแต่เจอคนขี้เกียจ  แล้วเราด่าไหม ไม่ด่าทางปากแต่ด่าในใจไหม ถ้าเราปฏิบัติธรรมทั้งข้างนอกและในใจ เราต้องเอามาทำให้มันสงบ  ศิษย์รู้ไหมว่าสิ่งที่น่ากลัวในตัวมนุษย์ที่น่ากลัวมากที่สุดคือ มโนกรรม เพราะมันเป็นตัวชักพาชีวิตและความคิดให้เกิดการกระทำ และส่งผลเป็นกรรม ฉะนั้นเราปฏิบัติธรรมอย่าเก่งแค่ปฏิบัติภายนอก แต่เราต้องเอาธรรมมาควบคุมใจเราได้ มายั้งใจได้ จำไว้เลยนะศิษย์ ธรรมแปลว่าสงบ สงบแปลว่าจบ จบแปลว่าไม่ต่อแล้ว ถ้าต่อแปลว่าอยากเกี่ยวกรรม ถ้าต่อแปลว่าอยากมีกรรมไม่อยากมีธรรม แล้วเราต่อไหม เกี่ยวกรรมเสร็จแล้วยังลากกรรมมาให้คนเขาร่วมเวรร่วมกรรม ก็ให้เพื่อนช่วยวิพากษ์วิจารณ์แล้วเราก็สะใจว่าเราคิดถูก แบบนี้เรียกว่าตอกย้ำความยึดมั่นถือมั่น และยึดกรรมเข้าไปอีกจริงหรือไม่ พูดแล้วทำให้คนที่โดนว่าดีขึ้นได้เพราะเราพูดไหม (ไม่ได้)  ถ้าอยากเข้าใจธรรมง่ายๆ อยากปฏิบัติธรรมง่ายๆ เริ่มตรงนี้ ธรรมแปลว่าสงบ จบ และพ้นทุกข์ ถ้าคิดแล้วยังทุกข์ไม่ต้องคิดดีไหม หน้าที่ปฏิบัติธรรมก็คือทำตัวเองก็พอ ถ้าตัวเองได้ดีเดี๋ยวมันก็ไปสะท้อน สะเทือนใจคนอื่น สอนโดยไม่ต้องพูดดีกว่าพูดจนปากเปียกปากแฉะ แต่เขาก็ไม่ทำ
ฉะนั้นเริ่มต้นการปฏิบัติธรรม ถามใจตนเองก่อน ทำแบบนั้นแล้วมันสงบไหม ถ้าสงบเรียกว่าใจมีธรรม ทำแบบนั้นแล้วพ้นทุกข์ไหม ถ้ามันพ้นทุกข์ด้วยสงบด้วยแล้วดีด้วย ก็ยิ่งกว่าการปฏิบัติธรรมทั้งนอกและในอีกจริงไหม(จริง) แต่เราเป็นแบบดีนอกแต่ข้างในร้ายไหม 
อาจารย์ให้กลอนยาวจนลืมหันมาคุยกับศิษย์เลย ให้คุยต่อดีไหม (ดี)  อย่างนั้นอาจารย์ถามต่อว่า เราอยู่ในโลกเราทุกข์ไหมศิษย์ (ทุกข์)  ทุกข์ไม่ทุกข์ (ทุกข์)  แปลว่ายังไม่ค่อยทุกข์เท่าไรนะ ยังยิ้มได้ จริงๆ แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  มีทุกข์บ้างไม่ทุกข์บ้าง สลับกันไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้ทุกข์ไหม ง่วงไหม กินข้าวเหนียวมากท้องตึง ทุกข์หรือไม่ทุกข์ (ไม่ทุกข์)  ไม่ทุกข์ แต่จริงๆ ก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราทุกข์กายหรือทุกข์ใจ (ทุกข์กาย, ทุกข์ใจ)  
ส่วนใหญ่กายจะทุกข์เพราะเป็นโรค ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ใจทุกข์เพราะมีปัญหา โดนว่าก็ทุกข์ โดนเขาเอาเงินไปไม่คืนก็ทุกข์ สามีไม่รักก็ทุกข์ ภรรยาหนีไปก็ทุกข์ มนุษย์มีทุกข์ทางใจเยอะแยะไปหมด แล้วเวลาเราทุกข์ใจ มันทุกข์หรืออะไรมาทำให้เราทุกข์ (ความคิด)  สิ่งที่ทำให้ทุกข์คืออะไร เหมือนเราทำงานแต่เพื่อนขี้เกียจ เราทุกข์เพราะความคิด เหมือนเราทำงานแล้วเราคิดว่าต้องได้กำไร แต่บังเอิญมันขาดทุน เราทุกข์เพราะความคิด อาจารย์ถามหน่อย เป็นเพราะเขาทำให้เราทุกข์หรือทุกข์เพราะใจเรา (ใจเรา) หรือว่าเขาไม่ดีดั่งใจเรา หรือเหตุการณ์ไม่เป็นดั่งใจเรา หรือสิ่งที่เราคาดหวังมันไม่เป็นอย่างที่เราคาดหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใจเราไม่คิดอะไรเลย อะไรจะเกิดเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้ใจทุกข์คือความคิด ถ้าเราจัดการความคิดได้เราก็สิ้นทุกข์ได้ ถ้าเราควบคุมความคิดได้ ความคิดก็ไม่ทำให้เราทุกข์ได้ ทุกวันนี้ที่เราทุกข์อยู่ก็เพราะพยายามทำอย่างไรให้เราไม่ต้องคิด จริงหรือไม่ (จริง)  เราจะเป็นบ้าตายก็เพราะความคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรานอนไม่หลับก็เพราะเรายังคิดไม่ตกใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นชัดหรือยัง สิ่งที่ทำให้เราทุกข์ไม่ใช่ใจ แต่เป็นเพราะความคิดที่ครอบงำใจ และบังคับใจ แล้วเมื่อเราไหลไปตามความคิด เราก็ง่ายต่อการตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ เพราะความคิด  ง่ายต่อการเข้าข้างตนเอง เมื่อเป็นเพราะความคิดก็ง่ายมากที่จะโทษคนอื่นไม่โทษตนเอง แล้วความคิดก็ชอบที่จะมองตามในสิ่งที่ตนเองอยากได้ แต่ไม่มองความจริง ฉะนั้นตัวปัญหาไม่ได้อยู่ที่ใจ แต่อยู่ที่ความคิด ใจไม่มีปัญหา แต่ความคิดต่างหากที่มีปัญหา แล้วความคิดมาจากไหน ความคิดมาจากความรู้ความเข้าใจที่เราสะสมเป็นตัวตนของเรา สิ่งที่ผ่านเข้าออกในใจของเราเป็นความคิดนั้นมาจากการสะสม เมื่อมีความคิดผ่านเข้าออก แล้วกระทบกับอารมณ์จึงกลายเป็นกิเลส ฉะนั้นความคิดที่เราสะสมจนกลายเป็นความรู้แล้วเรียกว่า “ใจ” ของเรานั้นจะไม่เหมือนกัน คนหนึ่งก็รักอย่างนี้ ส่วนอีกคนหนึ่งก็รักอย่างนั้น คนหนึ่งก็คิดว่าแบบนี้ถูกต้อง แต่อีกคนหนึ่งบอกว่าไม่ใช่ ต้องแบบนั้นจึงจะถูก ฉะนั้นเราไม่ได้มีปัญหาทางใจ แต่เรามีปัญหาทางความคิด ความคิดไม่ลงตัวกัน เมื่อทะเลาะกันใจแม่กับใจลูกยังเหมือนเดิม ใจแม่ยังรักลูกอยู่ แต่ความคิดของแม่กับลูกเพียงไม่ตรงกัน ฉะนั้นต้องแยกให้ออก  หากเราแยกออก เราก็จะเกลียดใครไม่ลง เพราะเราเกลียดที่ความคิดไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผิดไหมที่เขาคิดแบบนี้ (ไม่ผิด)  แล้วผิดไหมที่เขาคิดแบบนั้น (ไม่ผิด)  แล้วผิดไหมที่เราคิดแต่อย่างนี้ (ไม่ผิด) ก็เพราะว่าไม่เคยคิดเลยว่าเราคิดผิด ก็เลยไม่แก้ความคิดของตนเอง แล้วก็มาทะเลาะกันอย่างนี้ จริงไหม (จริง)  เมื่อไรเราจะควบคุมความคิดให้เราไม่ทุกข์ รู้ไหมว่าอะไรช่วยให้เราควบคุมความคิด และก็ทำให้เราไม่ทุกข์ได้ ท่านบอกว่าให้เอา “สติ” มาดึงเราให้กลับมาสู่ความเป็นกลางและหยุดกิเลสไม่ให้มันเติบโต เหมือนเราทำอะไรผิดไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบที่คิดไม่รอบคอบ คิดแบบขาดสติใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาด่ามาเราด่ากลับ เขาโกงมาก็โกงเขาเลย ลืมตัวไปจึงร้ายไป ใช่หรือไม่ (ใช่) ความคิดมาปุ๊บก็ทำไปทันทีโดยเราไม่มีสติยับยั้งถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าอยากมีธรรมต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ ความคิดของคน เพราะความคิดของคนง่ายที่จะติดในอารมณ์กิเลส และอารมณ์กิเลสก็มาจากการเข้าออกของความคิดที่ยึดติด ชอบชัง ฉะนั้นเมื่อไรมนุษย์ดึงความชอบชังออกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เท่าเทียมกัน ถ้าเมื่อไรที่เอาชอบชังเข้าไปใส่ เราเริ่มแบ่งแยกว่า คนนี้หัวดำคนนั้นหัวขาว คนนี้หล่อคนนั้นน่าเกลียด คนนี้เหี่ยว คนนั้นไม่เหี่ยว เพราะเอาตัวตนเป็นบรรทัดฐานในความคิด ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเรามีสติควบคุมและระงับความคิดได้ ความคิดก็จะไม่เกิด
ศิษย์เอ๋ยเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “บำเพ็ญธรรมเพื่อเป็นพุทธะ” (เคย)  แล้วพุทธะแปลว่าอะไร (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) และเราก็เป็นพุทธะได้ถ้าเรารู้ ฉะนั้น “การมีสติ แปลว่า การระลึกรู้ รู้ตัวรู้ตน” การเป็นพุทธะก็เป็นผู้รู้ ถ้าเราหาตัวรู้ได้เจอและไม่ขาดสาย รู้อย่างต่อเนื่องกับอาการของความคิดที่ผ่านเข้ามาแล้วผ่านออกไป แล้วไม่ไหลไปตามกิเลสอารมณ์นั้น แปลว่าเรากำลังดำเนินตามหนทางของความเป็นพุทธะตื่นในตัวเอง ตื่นแล้วพ้นทุกข์ ตื่นแล้วไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ศิษย์อยากมีเวรไหม แล้วศิษย์อยากจองเวรจองกรรมใครไหม (ไม่)  อยากอยู่แบบจบกรรม อยู่แบบคนมีบุญร่วมกันถูกไหม แล้วเวลาเขาด่ามาแล้วเราด่ากลับนี่มีบุญร่วมกันหรือมีกรรมร่วมกัน เรากำลังสร้างกรรมหรือกำลังสร้างบุญ ทำไมไม่เอาคำด่าของเขามาชำระล้างให้เราเกิดบุญ ทำไมเอาคำด่าของเขามาทำให้ตัวเองเกิดบาปทั้งๆ ที่ตัวเองก็ชอบทำบุญ ชอบหาความสงบไม่ใช่หรือ แล้วพอถึงเวลาไม่เห็นสงบเลย ศิษย์จำไว้นะ อารมณ์โลภ โกรธ หลง มันไม่มีตัวตน และมันชอบคนใส่ใจและแยแส แต่ถ้าเมื่อไหร่เราไม่ใส่ใจและแยแเส เดี๋ยวมันก็หายไปใช่หรือไม่ หากความโกรธมาแล้วเราใส่อารมณ์เข้าไปอีกก็เท่ากับยิ่งเติมเชื้อไฟ
การฝึกสติไม่ได้ฝึกตอนที่ไม่มีใครด่า นั่งเงียบๆ ท่องพุทธโธๆ แต่การฝึกสติและสมาธิคือตอนโดนเขาด่า ตอนโดนเขาว่า ตอนโดนเขากดขี่ ตอนโดนเขาเอาเปรียบ แล้วเราสามารถรักษาความดีและไม่หวั่นไหวแล้วทำความเห็นแจ้งในธรรมได้ นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรมสุดยอด อะไรมาก็ให้แค่รู้ รู้แล้วอย่าเผลอไปเป็นมัน อย่าเผลอไปมีมัน มีตัวตนก็ทุกข์เพราะตัวตน มีลูกก็ทุกข์เพราะลูก มีความอยากก็ทุกข์เพราะความอยาก เป็นแม่ก็ทุกข์อย่างคนเป็นแม่ เป็นพ่อก็ทุกข์อย่างคนเป็นพ่อ แต่ก่อนเราเป็นลูก ตอนนี้เรากลายเป็นพ่อ สักพักหนึ่งเราไปทำงานเรากลายเป็นเพื่อน จบจากที่ทำงานแล้วเรากลายเป็นคนแก่อยู่บ้าน เราเคยมีอะไรเป็นของเราจริงบ้าง แล้วเราควรยึดไหม
ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากทุกข์กับสิ่งที่มี เราก็จงจำไว้ว่า ทุกสิ่งมันมาแค่ให้เรารู้ รู้แล้วอยู่ร่วมกันอย่างไม่ทุกข์ ด้วยการมีก็เหมือนไม่มี  อยู่อย่างมีบุญดีกว่าอยู่อย่างมี (บาป, กรรม)  ด้วยการรู้จักมีสติเท่าทันความคิด อย่ายึดติดความคิดอย่างตายตัวพลิกแพลงไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นคนที่ทำให้ศิษย์ทุกข์ไม่ใช่คนอื่น แต่คือความคิดเราเอง
 ฉะนั้นสิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติเริ่มต้นอย่างแรกเราต้องละบาปให้ได้ก่อน ถ้าละบาปไม่ได้ก็บำเพ็ญบุญไม่ได้ ถึงบำเพ็ญบุญแค่ไหน แต่ถ้าบาปไม่ละมันก็ไม่เรียกว่าบุญ
 (พระอาจารย์เมตตาให้ผลไม้ผู้ดูแลสถานธรรมและผู้มีส่วนร่วมในการสร้างสถานธรรมแห่งนี้)
ห้องพระนี้สวยไหม ปาดเหงื่อไปกี่รอบ เหนื่อยไหมทุกคน อาจารย์ขอให้กำลังใจฐันจู่ที่ดูแลที่นี่ด้วยนะ อาจารย์ฝากดูแลห้องพระนี้ที่ศิษย์ตั้งใจกันด้วยนะ เริ่มต้นเสียสละแล้วไปให้ถึงที่สุด กลอนนำที่ท่านหลันต้าเซียนให้ อาจารย์อยากส่งให้ถึงใจศิษย์ เป็นทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยคน เป็นน้ำดับความร้อน เป็นร่มเงาดับความทุกข์เข็ญ เป็นเรือนำพาส่งผู้คนให้พ้นทุกข์ แต่ต้องเริ่มจากใจที่อุทิศเสียสละ อาจารย์ให้สับปะรดแล้วกันนะความหมายจะได้รุ่งเรือง ยิ่งให้อย่ายิ่งยึดติด ยิ่งให้ยิ่งต้องปล่อยวางให้ได้ ให้เหมือนไม่ได้ให้ ยิ่งให้ยิ่งกว้างใหญ่ ใช่หรือไม่ มุ่งมั่นไปให้ถึงที่สุด ดูแลสถานธรรมนำพาผู้คนด้วยจิตใจเบิกบาน ไม่ว่าเขาจะมาอย่างไรต้องให้เขาออกไปด้วยความสุข ออกไปด้วยความร่มเย็น ขอให้ที่นี่เป็นดั่งที่กลอนอาจารย์ให้ ร่มไม้ใบบัง ใครก็อยากเข้ามา ทุกข์แค่ไหนพอมาอยู่ที่นี่ก็เย็นสบาย อาจารย์มีอีกหลายคนที่อยู่เบื้องหลัง บอกคนที่ร่วมแรงร่วมใจจนทำให้วันนี้ประสบความสำเร็จได้ อาจารย์ฝากผลไม้ไปแจกด้วย คนที่ต้องเหนื่อยยาก เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ไม่เหนื่อยและยิ่งต้องเข้มแข็งด้วย จริงไหม (จริง)  ผ่านไปได้สำเร็จด้วยดี ยกนิ้วให้ ศิษย์ของอาจารย์เก่ง ทำได้ในสิ่งที่ยากทำ ทนในสิ่งที่ยากทน ศิษย์เอ๋ย อาจารย์ถามจริงๆ ให้เราควักเพียงหนึ่งร้อยบาท เราคิดไหม คิดใช่ไหม แล้วนี่มากกว่าหนึ่งร้อย แล้วต้องลงทั้งแรง ลงทั้งเงิน และลงใจด้วย ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย อาจารย์จึงขอนับถือน้ำใจของศิษย์ทุกคนที่ทำจนห้องพระนี้ประสบความสำเร็จ งดงามได้ ฉะนั้นเมื่อพบสิ่งยากลำบาก ขอให้จดจำวันนี้ไว้ วันที่เราสำเร็จ วันที่เราทำได้ ทำในสิ่งที่เราไม่คิดว่าเราจะทำได้ ใช่ไหม (ใช่)  ตอนที่สร้างก็คิดว่าจะเสร็จเมื่อไร จะมีเงินไหม แต่เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็ภูมิใจ ได้ทำในสิ่งที่เราไม่คาดว่าจะทำได้  อย่างนี้อาจารย์จะมอบอะไรให้ดี ถ้าเป็นลูกอมก็เดี๋ยวฟันจะพุ ถ้าเป็นขนมก็เดี๋ยวจะอ้วน ไม่รู้ว่าจะให้อะไรศิษย์ดี อย่างนี้ให้ส้มโอแล้วกัน รู้ว่ากินแอบเปิ้ลเบื่อแล้ว เอาส้มโอและแตงโมไปแบ่งกัน กว่าจะสร้างเสร็จต้องใช้หลายคน รู้ว่าหนักก็ยังสู้ต่อ รักษาใจนี้ไว้นะ
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่า อย่าดูถูกความสามารถและคุณค่าความดีงามในตัวเอง มนุษย์หากได้ตั้งใจทำอะไรดีๆ มักทำได้ดี ดีที่หนึ่ง ดีอย่างแน่แท้ด้วย ศิษย์อาจไม่ต้องเชื่ออาจารย์ก็ได้ แต่ขอเพียงศิษย์เชื่อศรัทธาความดีในใจตน เกิดเป็นคนนะศิษย์ บุญบารมีใครๆ ก็อยากได้ แล้วรอให้ฟ้าประทานหรือเราจะสร้างเอง (สร้างเอง)  แล้วการทำบุญบารมีจะทำด้วยวิธีอย่างไร จิตที่มีแต่ให้ ศิษย์รู้ไหมว่า ธรรม คือ ความโปร่ง โล่ง เบา จิตที่เอามีแต่หนัก แต่จิตที่ให้นั้นเบา โล่ง เหมือนอย่างนี้  ของมีเพียงชิ้นเดียว แย่งกันไปแย่งกันมา อย่างนี้เหนื่อยไหม เกลียดไหม (เหนื่อย, เกลียด)  ถ้าเราคิดง่ายๆ ก็ถ้าเขาอยากได้ก็ให้เขาไป เราก็รู้สึกโล่งทันที ถ้าแย่งกัน ชิงชังด่าว่ากันแทบตาย เมื่อถึงเวลาก็เอาไปไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นในเรื่องของธรรมะสามารถใช้ได้ในทุกอย่าง เรื่องศีลไว้สำหรับละบาป เรื่องคุณธรรมไว้สำหรับประกอบกิจในการดำรงความเป็นคน อยู่ให้มีคุณธรรมมีบุญบารมี ศิษย์อยากไปอยู่ที่ไหนใครๆ ก็รัก เคารพนับถือ และให้เกียรติไหม (อยาก)  อย่างนั้นเราควรปฏิบัติอย่างคนที่มีธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีเมตตายากไหม เป็นคนพูดแล้วรักษาคำพูดยากไหม แต่เป็นคนชอบด่าคนอื่น ชอบจับผิดคนอื่น ชอบกินแรงคนอื่นดีไหม ชอบพูดมากแต่ไม่เคยทำเลยดีไหม แล้วเราเป็นไหม ฉะนั้นการที่เราต้องมีคุณธรรมไว้ ก็เพื่อยับยั้งจิตที่ชอบคิดเข้าข้างตัวเอง และส่วนที่เราต้องมีศีลธรรมก็เพื่อยับยั้งไม่ให้เราก่อบาป เราชอบทำบาปไหม ยุงมาตบไม่ตบ มดมาบี้ไม่บี้ แมลงสาบมาเหยียบไม่เหยียบ เกิดเป็นคน สิ่งที่ดีที่สุดในการทำบุญก็คือไม่สร้างบาปเลย แล้วบาปที่เราไม่ควรทำมากที่สุดคือ การเบียดเบียนชีวิตคนอื่นเพื่อชีวิตตัวเอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ร่มไม้ใบบัง”)
ต้นไม้นั้นต้องมีใบบังได้ ปกคลุมได้ ต้นไม้นั้นจึงร่มเย็น ตัวศิษย์ไปอยู่ที่ไหนแล้วมีแต่คนอยากใกล้ชิด แปลว่าคนนั้นเป็นคนที่อยู่ใกล้แล้วร่มเย็น แล้วศิษย์เป็นประเภทนั้นหรือเปล่า ฉะนั้นคำว่าร่มไม้ใบบัง ความหมายโดยนัยก็คือความร่มเย็น ร่มไม้ใบบังในความหมายนี้มีกลอนซ้อนอยู่ ลองอ่านดูแล้วลองไปทำความเข้าใจให้ละเอียดดีไหม (ดี)
ขอให้เป็นเกียรติบัตรที่นี่และประทับไว้ที่นี่ ขอให้เป็นสถานธรรมที่ใครเข้ามาก็คลายความทุกข์ร้อน ขอให้เป็นสถานธรรมที่ใครเข้ามาก็ช่วยดับความทุกข์ในใจผู้คนได้ ทำให้ได้ในทุกที่นะ ขอให้เราเป็นคนที่ใครอยู่ใกล้แล้วอบอุ่น ใครอยู่ใกล้แล้วไม่ทุกข์ร้อน
มนุษย์ทุกข์เพราะความคิด ฉะนั้นต้องรู้จักมีสติกำกับ มีสติคอยดึง ดังนั้นถ้ามีสติคอยดึง เมื่อมีอะไรผ่านเข้ามาในความคิด มีอะไรผ่านเข้ามาในใจเรา เราก็ได้แค่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จะทำอย่างไรให้แค่รู้แล้วจบ บางครั้งเราไม่แค่รู้ เราจะเป็นประเภทแบบว่ารู้แล้วเราชอบตัดสิน รู้แล้วเราชอบเปรียบเทียบ ใช่หรือไม่ (ใช่) รู้แล้วเราชอบมองยึดติด รู้แล้วเราไม่ยอมจบ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเวลาเจออะไรที่ผ่านเข้ามาไม่ใช่ไปกระทบกายแล้วไปกระทบใจ แต่เมื่อกระทบกายแล้วจิตต้องแค่รู้แล้วไม่ตัดสินได้ไหม (ได้)
(พระอาจารย์เมตตาหยิบกล้วยและส้มขึ้นมา)
อันไหนดีกว่ากัน (กล้วย) เห็นไหมว่าความคิดคนมันไว ศิษย์เอยอะไรมันก็ดี จริงไหม (จริง) นี่แหละนิสัยที่น่ากลัวของมนุษย์ ชอบยึดติด ชอบตัดสิน จึงทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความเป็นจริง ใช่หรือไม่ ศิษย์เคยไหม เวลาเจออะไรมากระทบใจ ขอให้นิ่งให้ถึงที่สุดแล้วความจริงจะปรากฏ ไม่ต้องตัดสิน ไม่ต้องให้ค่า ไม่ต้องยึดติด มองตามความเป็นจริง เหมือนอาจารย์ถามว่ากล้วยหรือส้มดีกว่าถ้ายึดติดความหมายเราก็ชอบกล้วย แต่ถ้าจะกินก่อนกินข้าวเราก็คงเลือกส้ม ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถามว่าอะไรดีที่สุดในชีวิต เวลาเราเจออะไรที่ไม่ดีของเขา (พระอาจารย์เมตตาให้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมออกมา 2 ท่าน) เห็นอะไรชัดไหม เราอดตัดสินไม่ได้นะ ความคิดมันไว แค่มองเห็นก็คิดแล้วว่า คนนี้จะสูงไปไหนเนี่ย แต่พอมองเห็นอีกคน ทำไมอ้วนอย่างนี้ เตี้ยจังเลย เห็นไหมว่าความคิดมันไว ถูกไหม (ถูก) อย่าบอกนะว่าในใจศิษย์ไม่คิด ฉะนั้นแค่รู้แต่ไม่ตัดสิน แค่รู้แต่ไม่ยึดติด เพราะทุกสิ่งเกิดแล้วมันก็จะจบทันที แต่ถ้าบอกว่าคนนี้สูงยาวเข่าดีได้ก็ดีนะ คนนี้อ้วนคงไม่ไหวท่าทางจะกินจุไปนะ มันเลยไม่จบเลยถูกไหม ฉะนั้นความโลภ โกรธ หลง จะไม่เกิดในจิตใจศิษย์เลย ถ้าศิษย์สามารถมีสติรู้แต่ไม่ตัดสิน อารมณ์จะไม่เกิดขึ้นทันที ถูกไหม (ถูก)
เริ่มต้นบำเพ็ญธรรมต้องมีศีลเพื่อละบาป มีคุณธรรมเพื่อสร้างบุญบารมี รู้จักจิตตนเอง ฝึกจิตตัวเองด้วยคุณธรรม เรียกว่าสัจธรรมเพื่อรู้แจ้งและพ้นทุกข์ ธรรมมีสามกองแค่นี้เอง กองหนึ่งคือกองละบาป กองหนึ่งคือกองบำเพ็ญบุญ อีกกองหนึ่งคือเข้าถึงความบริสุทธิ์ รู้แจ้งถึงความเป็นจริงและนำพาให้ตนเองพ้นทุกข์ ที่เรียกว่า ศีลธรรม คุณธรรม และปัญญาธรรม มีโอกาสคงได้มาร่วมบุญกันอีกดีไหม เป็นบุญที่สร้าง เป็นบุญที่ร่วมกันศึกษาแล้วก่อเกิดปัญญา มีความตื่นรู้และพ้นทุกข์ ฉะนั้นมีโอกาสหมั่นให้ตัวเองมาเพิ่มปัญญาธรรม ด้วยการเสียสละ ละวางทางโลก วันนี้ถ้าไม่รู้จักฝึกหัด วันหน้าเราจะหัดทำใจไหวไหม
ใกล้ปีใหม่แล้วใครๆ ก็อยากให้อาจารย์อวยพร อาจารย์ไม่ขอให้แข็งแรง ไม่ขอให้ร่ำรวย แต่อาจารย์ขอให้ศิษย์มีปัญญารับมือกับทุกปัญหาเรื่องราวในความเป็นจริงของโลกด้วยสติและหัวใจที่กล้าหาญ เพราะในชีวิตเราเลือกไม่ได้ที่จะต้องเจอแต่สิ่งที่ดี บางครั้งถ้าเราไม่ดี ขอให้ศิษย์สู้ให้ไหว รับให้ได้ ไม่ว่าโลกมันจะพลิกไปขนาดไหน ขอให้พลิกใจตนเองให้เป็น ยกตัวเองให้พ้นทุกข์ให้ได้ แล้วความร่มเย็นสันติสุขจะเกิดจากใจ และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่างน้อยตื่นก็เป็นสุข ตายก็เป็นสุข เพราะทำดีที่สุดแล้ว จะกลัวอะไรกับความแก่ เจ็บ ตาย ถ้าทำเต็มที่แล้ว ขอให้ศิษย์มีสติ มีปัญญาและกล้าหาญ ฝ่าฟันความทุกข์ฝ่าฟันอุปสรรค อย่าให้ความคิดทำร้ายตัวเอง เป็นเด็กดีเข้มแข็ง รู้จักดูแลตัวเอง
(อาจารย์เป่าหัวให้หน่อย) หมดทุกข์หมดโศกได้เราต้องไม่สร้างเวร (หมดหนี้หมดสิน) หมดหนี้หมดสินต้องรู้จักลดละความอยาก ถ้ายังอยากอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องมีหนี้ไม่จบสิ้น ชดใช้ด้วยจิตใจที่รู้จักไม่ฟุ่มเฟือยนะ (สุขภาพแข็งแรง) ความแข็งแรงไม่สู้จิตใจที่กล้าสู้กับความจริงนะ
อย่ากลัวกับโรคภัย อย่ากลัวกับปัญหา ขอเพียงศิษย์สู้ โรคภัยก็สามารถเบาบางได้ ขอเพียงศิษย์เข้มแข็งปัญหาต่างๆ ก็ผ่านได้ เหนื่อยกันไหม ดูแลตัวเองให้ดี อย่าลืมจิตใจนี้ รักษาใจนี้ไว้ ใจที่มุ่งมั่นบำเพ็ญเพื่อฉุดช่วยคน ใจที่ช่วยคนโดยไม่ห่วงตัวเอง ศิษย์ของอาจารย์เข้มแข็งแล้ว เก่งแล้ว ตั้งใจมุ่งมั่นบำเพ็ญไปให้ถึงฝั่งด้วยหัวใจที่กล้าหาญ หัวใจที่มุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ เด็ดเดี่ยวห้าวหาญ ยอมรับความยากลำบากเป็นหัวใจที่ยอดที่สุดแล้ว ไม่ร้องไห้แล้วนะ เข้มแข็งนะ ไปให้ถึงฝั่งฟ้า ไปให้ถึงที่สุดที่เราทำได้ ดึงหัวใจที่ดีงามออกมานำทางผู้คน ดึงหัวใจที่เสียสละ ดึงหัวใจที่เสียสละอันนี้ให้คงอยู่จนทำให้เขาอยากเดินตามด้วยใจ ทำอะไรด้วยใจ เราก็จะได้ใจกลับมา จริงไหมศิษย์ เข้มแข็งนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะ
เมื่อคิดจะทำอะไรต้องไตร่ตรองให้ดี อย่าคิดทำบาป อย่าทำผิด เพราะเมื่อศิษย์ผิดไปแล้ว อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเวรกรรมของใครคนนั้นก็ต้องรับเอง อาจารย์มีหน้าที่เพียงตักเตือนและชี้นำศิษย์ให้ถูกทาง อย่าหลงทางผิด จงเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นเด็กดี อาจารย์ให้ผลไม้คนที่ปวดขา เอาผลไม้มาให้เขาด้วย และต้องรู้จักละบาป ไม่สร้างบาปเพิ่ม อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จะได้สิ้นกรรม อาจารย์ช่วยได้เพียงการชะลอ แต่กรรมนั้นจะกลับมาอีก ถ้าศิษย์ยังกระทำเหมือนเดิม ศิษย์ต้องแก้ชะตาชีวิตของตนเองด้วยการเปลี่ยนการกระทำของตัวเอง คือ ไม่สร้างบาป ละบาป บำเพ็ญบุญให้ได้ ทำได้ไหม (ได้) 


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ร่มไม้ใบบัง”

    คนใจเย็นจึงทำบ้านให้ร่มเย็น           น้อมรับฟังทุกความเห็นจึงกว้างใหญ่
สามารถดึงศักยภาพคนได้ทุกวัย           ทำด้วยใจได้ใจคืนกลับมา
รุ่นก่อนปลูกรุ่นหลังร่มเย็น                  ปฏิบัติเป็นเห็นตามปฏิบัติหนา
คุณธรรมคงเหนือกาลเวลา                  เป็นร่มเงาอันเมตตาตลอดไป








อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

2562-11-09 สถานธรรมหมิงเอิน เพชรบูรณ์

西元二○一九年歲次己亥十月十三 日                                       仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒             สถานธรรมหมิงเอิน เพชรบูรณ์
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ
  ความจริงอันเป็นธรรมะ               ไม่ยากเกินจะหยั่งรู้
ขอเพียงสงบตรองดู                     กล้าสู้ยอมรับความจริง
                              เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก น้อมกายอัญชุลี
องค์มารดา                               ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ
   เวลาในโลกมนุษย์                     สร้างวิมุตติ[๑]สุดประมาณ
หัวใจที่มีตะวัน                            ปัญญาญาณรู้วิธี
วุ่นวายในความสับสน                   กระวนกระวายใจนี้
ถึงปัญญาศรัทธามี                       สติใช้ต้องระวัง
ประโยชน์อำพรางความโลภ           ความโลภเมื่อไรกระจ่าง
ชีวิตซุกซ่อนความหลัง                  จะอยู่ธรรมมังอย่างไร
ปัจจุบันเชื่ออะไรอยู่                     รู้รู้มีอนุสัย[๒]
เข้าใจแบบไม่เข้าใจ                      ทำอย่างไรได้บำเพ็ญ
ฟังแล้วปราศจากธรรมะ                เสวนาควรงดเว้น
อคติความคิดเห็น                        คู่ซ้อมบำเพ็ญชั่วคราว
ไว้มารยาทนำกิริยา                      ไว้กายาไม่ก้าวร้าว
จงชั่งศีลธรรมเอา                        ครองเชาวน์[๓]พ่ายแพ้อย่างไร
บำเพ็ญไม่ยั้งอุปสรรค                   ธรรมมากกิเลสสลาย
ระวังเรื่องใจงมงาย                      สถิตในอารมณ์คน
รู้แล้วต้องปฏิบัติ                          สามารถแล้วอย่าสับสน
ปล่อยวางหัวใจกังวล                    อดทนในเรื่องธรรมดา
                                                                                                ฮา ฮา หยุด



[๑] วิมุตติ [วิมุด, วิมุดติ] น. ความหลุดพ้น; ชื่อหนึ่งของพระนิพพาน.(ป.; ส. วิมุกฺติ).
[๒] อนุสัย น. กิเลสที่สงบนิ่งอยู่ในสันดาน, กิเลสอย่างละเอียด มี ๗ อย่างได้แก่ ๑. กามราคะ = ความกำหนัดในกาม ๒. ปฏิฆะ = ความขัดใจคือโทสะ ๓. ทิฏฐิ = ความเห็นผิด ๔. วิจิกิจฉา = ความลังเลสงสัย ๕. มานะ = ความถือตัว ๖. ภวราคะ = ความกำหนัดในภพ ๗. อวิชชา = ความไม่รู้แจ้งคือโมหะ. (ป. อนุสย; ส. อนุศย).
[๓] เชาวน์ [เชา] น. ปัญญาหรือความคิดฉับไว, ปฏิภาณไหวพริบ. (แผลงมาจาก ป., ส. ชวน).

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ


ยังไม่เบื่อฟังธรรมะใช่ไหม หรือว่าตัดสินใจพรุ่งนี้ไม่มาแล้ว (มา)  ตอนยังไม่พูดเราเป็นนายเหนือคำพูด แต่ถ้าพูดไปแล้วเราต้องทำตามสิ่งที่พูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น อยากเป็นคนที่พูดอะไรแล้วศักดิ์สิทธิ์ ไตร่ตรองให้ดีก่อนพูด ไม่อย่างนั้นเราต้องตกเป็นทาสของคำพูดอยู่ร่ำไป แล้วก็กลายเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ จริงหรือไม่ (จริง)
“ความจริงอันเป็นธรรมะ      ไม่ยากเกินจะหยั่งรู้
ขอเพียงสงบตรองดู              กล้าสู้ยอมรับความจริง”
ธรรมะคือความเป็นจริงอันเป็นสัจธรรมของโลก อย่ามองธรรมะแค่เพียงการสวดมนต์ไหว้พระ อย่ามองธรรมะแค่เพียงการเป็นคนดี แต่แก่นของหลักธรรมะคือ ตื่นรู้ เข้าใจแท้จริง จนนำพาให้เราพ้นทุกข์
มีใครที่ยืนอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างเข้มแข็งมั่นคง โดยไม่สูญเสียความดีงามในจิตใจ มีใครบ้างที่สามารถอดทนฟันฝ่าความทุกข์แต่ไม่ทุกข์ใจได้ มีแต่ผู้ที่เข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรมะ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าท่านยังทุกข์ ยังเจ็บปวด ยังอ่อนแออยู่ แปลว่ายังไม่เข้าใจธรรมะที่แท้จริง
ท่านเคยได้ยินคำพูดไหมว่า “วางดาบพลันพบพระพุทธะ” อะไรที่ทำให้เราอยู่ร่วมกับคนแล้วเราชอบใช้ดาบมากกว่าใช้ความเป็นพุทธะ อารมณ์ความโกรธใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราวางอะไรก็ตามที่อยู่ในชีวิตเรา ที่ทำให้เราควักดาบออกมาแล้วทำร้ายผู้คน เราวางเสีย เราจะพบความเป็นพุทธะ เราวางเสียเราจะพบความสงบเย็น ฉะนั้นถ้าวางดาบได้ความเป็นพุทธะก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม จริงหรือไม่ (จริง)
ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีธรรม ถ้าทุกข์มันเกิดที่ตัวเรา ทุกข์มันอยู่ที่นี่ อย่างนั้นก็แปลว่า ธรรมไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่ธรรมอยู่ในตัวเรา ทุกข์เกิดจากตัวเรา ฉะนั้นคำกล่าวที่ว่า ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีธรรม ถ้าตัวเรานี้เป็นทุกข์ ตัวเรานี้ก็พร้อมจะเป็นธรรม ที่ใดมีกิเลสที่นั่นเป็นที่สิ้นทุกข์พบพระนิพพาน ต่างกันแค่ชั่วขณะคิด ถูกหรือไม่ (ถูก)  วางดาบลงก็พบพุทธะ ชั่วขณะคิดไม่ได้ ทำใจไม่ได้ กลายเป็นกิเลส กรรม เวียนว่าย ความทุกข์ แต่ชั่วขณะคิดได้ขึ้นมา กลายเป็นสิ้นกรรม หมดกรรม พ้นทุกข์ อยู่ที่แค่ชั่วขณะคิด พลิกใจได้ทุกข์ก็กลายเป็นสุข พลิกใจไม่เป็นก็จมอยู่กับความทุกข์ ซึ่งไม่มีใครช่วยได้ ไปหลายวัดแล้วทุกข์ก็ไม่หมดจากใจ จริงไหม (จริง)
เราถามคำถามท่านว่า ถ้ามีอาจารย์ที่มีความรู้ แต่ไม่เคยคิดจะสอนวิชาความรู้ถ่ายทอดให้กับผู้อื่นเลย พออาจารย์ท่านนี้จากไป ความรู้ก็หมดไป จริงไหม (จริง)  ทำไมพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงต้องลงมา นี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งก็เป็นได้ ถ้าท่านรู้แล้ว แต่ไม่บอกต่อ และปล่อยให้ความรู้นั้น บิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปก็น่าเสียดาย ฉะนั้นผู้ที่รู้ก่อนแล้วไม่สอน ท่านว่าใจร้ายใจดำหรือไม่ เหมือนพวกหวงวิชา เหมือนพวกเก็บความรู้ไว้กับตัวเองคนเดียว ฉะนั้นจะมาบอกว่าเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วจะมาสอนทำไม ก็คงเป็นแบบเดียวกันว่าทำไมอาจารย์ต้องถ่ายทอดความรู้ เพื่อจะได้ให้ความรู้นั้นไม่หายไป และความรู้นั้นก็เป็นความรู้ที่สามารถนำพาให้เราอยู่บนโลก แต่ไม่ต้องทุกข์ ทั้งกับตัวเอง ทั้งกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีธรรม ที่ใดมีกิเลสที่นั่นมีความเป็นพุทธะ พุทธะกับกิเลส หรือความทุกข์กับธรรมะ ต่างกันแค่ชั่วขณะ พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ความไม่รู้แสดงออกซึ่งกิเลส ตัณหา เวรกรรม แต่ความรู้แสดงออกซึ่งพุทธธรรม แล้วรู้อย่างไรจึงเรียกว่าธรรม แล้วไม่รู้อะไรจึงเรียกว่า กิเลส กรรม และความทุกข์
ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีธรรม ที่ใดมีกิเลสที่นั่นมีความเป็นพุทธะ เพราะความไม่รู้จึงแสดงออกเป็นกิเลส เพราะความตื่นรู้จึงแสดงออกเป็นธรรม รู้หรือไม่รู้ จึงแสดงออกต่างกัน หากเราสามารถรู้ได้ กิเลสก็จะกลายเป็นธรรม แต่ถ้าเราไม่รู้ธรรมก็จะกลายเป็นกิเลส
มนุษย์เราทุกข์เพราะความอยาก เวลาอยากแล้วไม่สมหวังทุกข์ไหม (ทุกข์)  เวลาอยากได้อะไรสักอย่างหนึ่ง เรารู้แก่ใจไหมว่า มีโอกาสได้และมีโอกาสไม่ได้ มีโอกาสสำเร็จและก็มีโอกาสล้มเหลว รู้ไหม (รู้)  อย่างนั้นเวลาล้มเหลวทุกข์ไหม (ทุกข์)  นี่ไง รู้แต่ไม่ยอมทำตัวให้รู้ ถ้าเราระลึกอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่เราจะอยากได้นั้นมีโอกาสได้และไม่ได้ ได้แล้วก็ดีใจ แต่เมื่อไม่ได้ จะทุกข์ไหม ก็รู้อยู่เต็มอกว่าโอกาสได้และไม่ได้มีเท่ากัน จริงไหม (จริง)  เรารู้อะไรที่เรียกว่าธรรมะ แล้วเราไม่รู้อะไรที่กลายเป็นความทุกข์ เราทุกข์เพราะเราสูญเสีย เราเสียใจที่เราสูญเสีย ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเราถามว่า รู้ไหมว่าอยู่ในโลกจะต้องสูญเสีย รู้ไหมว่าถ้าอยู่กับใครแล้วเราต้องพลัดพรากสูญเสียเป็นธรรมดา (รู้)  ถ้ารู้แล้วถึงเวลาสูญเสียทุกข์ไหม (ทุกข์)  รู้แต่เลือกที่จะไม่ยอมรับรู้
ทุกครั้งที่ท่านได้มาล้วนต้อง (สูญเสีย)  เสียเวลาไหม เสียเงินไหม (เสีย)  แล้วได้ไหม (ไม่ได้)  หลอกตัวเองว่ารู้ หลอกตัวเองว่าได้ ทั้งที่จริงๆ แล้ว เสียหรือได้ (เสีย)  เสียเวลาทั้งชีวิตเพื่อเงิน เงินที่ได้มาก็ไม่เคยอยู่กับเราเลย ถึงที่สุดเราก็ต้องเสียไหม (เสีย)  เราไม่ได้อะไร แล้วเราเสียอะไรไหม คิดให้ดีๆ ถึงที่สุดมีเงิน มีความรู้ มีตำแหน่ง มีหน้าที่ มียศถา มีบ้าน มีอะไรมากมาย ถึงเวลาจริงๆ ของใคร รู้ไหม (รู้)  รู้แล้วจะทำผิดไหม รู้แล้วจะทุกข์ไหม รู้แล้วจะเหนื่อยแทบตายเพื่อได้มาไหม เมื่อใดที่ท่านยอมรับว่าตัวเองรู้ ท่านจะพบธรรม แต่ถ้าท่านไม่ยอมรับให้ตัวเองรู้ ท่านก็หนีไม่พ้นทุกข์ แล้วหลอกตัวเองให้ทุกข์อยู่ร่ำไป
แล้วท่านเคยได้ยินไหม ถ้าของจะเป็นของเรา ยังไม่ทำอะไรก็ได้มา แต่ถ้าไม่ใช่ของเราทำแทบตาย เจ็บแทบตาย ยังไงเขาก็ไม่อยู่กับเรา เรารู้ไหม (รู้)  เราทุกข์เพราะโดนเขาทำร้าย เราทุกข์เพราะเขาสวยกว่า เราทุกข์เพราะเขารวยกว่า เราทุกข์เพราะเขาว่าเรา ทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วรู้ไหมว่าในโลกไม่มีใครไม่โดนว่า ก็รู้ใช่ไหม (ใช่)  ผู้หญิงที่หน้าตาสวยๆ รู้ไหมว่าในโลกนี้สวยอย่างไรก็มีคนสวยกว่า ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ขอถามฝ่ายชาย ท่านมีครบหมดทุกอย่าง บ้าน รถ หน้าตาดี แต่ถึงเวลามีคนที่มีบ้านเยอะกว่า เงินเยอะกว่า หน้าตาดีกว่า แล้วเราทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  และถึงแม้ไม่มีเงิน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ เราทุกข์ไหม (ทุกข์ )  บางคนอวัยวะยังมีไม่ครบสามสิบสองเลย ถ้าเราตรองให้ดีๆ เรารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เราพูดว่าทุกข์ แท้จริงแล้วอาจจะไม่ใช่ทุกข์เมื่อเทียบกับคนที่แย่กว่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  วันนี้เราโดนเขาว่า ถ้าเทียบกับอีกสองสามวันข้างหน้าเราจะโดนเขาว่าหนักกว่า วันนี้เราคงหัวเราะที่โดนเขาว่าแค่นี้ จริงไหม (จริง)  แล้วเราควรทุกข์ไหม (ไม่)  ทำอะไรจะไม่มีการโดนว่า เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)
ในโลกนี้มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครดีพร้อม ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีดีและไม่ดีคละเคล้ากันไป คนๆ หนึ่งมีดีบ้างก็ต้องไม่ดีบ้างเป็น (ธรรมดา)  สิ่งที่เขากระทำต่อเราเขาก็อาจจะไม่ดีบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร แต่บางทีผ่านไปสองสามวันเขาอาจจะมาทำดีกับเราก็ได้ ใช่ไหม (ใช่)  หรือไม่ก็ทำไม่ดีกับเราตลอดชีวิต เช่นนี้เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
สัจธรรมมีอยู่ในทุกชีวิตและมีอยู่ในตัวเรา เราดี เราไม่ดี เรารู้ จริงไหม (จริง)  บางทีเราก็โลภจนน่ากลัว บางทีก็ขี้บ่นจนน่าใจหาย บางทีก็เห็นแก่ตัวจนไม่มีใครอยากจะคบหา เรารู้ว่าเราเป็นอะไร เรายอมรับไหม (ยอมรับ)  เราขี้เกียจไหม เราชอบเอาเปรียบไหม เราก็รู้อยู่เต็มอก แต่ละคนเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  แต่ก็ไม่อะไรที่ต่างกันจริงไหม (จริง)  บางทีเราขยัน เขา  ขี้เกียจ บางทีเราขี้เกียจ เขาขยัน แล้วทำไมไปว่าคนอื่นขี้เกียจ ธรรมะจึงสอนว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่รู้ข้างนอก แต่รู้ธรรมที่แท้จริงภายในอันทำให้เราพ้นทุกข์ และความจริงนั้นก็ไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อม อยู่ที่เราย้อนมองและยอมรับธรรมนั้นในตัวเราหรือไม่ ถ้าตามหลักธรรมะก็จะสอนว่า เมื่อเวลาเจอเรื่องราวอะไร จะทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ รู้แล้วว่ามีคนดีและคนไม่ดี คนมีได้ มีเสีย รู้แล้วจะต้องทำอย่างไรต่อ
พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า ทำสิ่งใดก็ตามก็ต้องมีศีล มีศีลก็ต้องมีสมาธิ มีสมาธิแล้วก็จะมีปัญญาเห็นแจ้ง ฉะนั้นเมื่อเจอเรื่องอะไรมา สมมติโดนเขาว่ามา รู้ไหมว่าการถูกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา และช่วงที่เป็นธรรมดานั้นเกิดคิดได้ สงบ นิ่ง ไม่หวั่นไหว ตรวจสอบตนเองแล้วไม่ผิดในศีล ไม่ผิดในธรรม สงบ ไม่หวั่นไหว มีปัญญาเห็นแจ้ง มันเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง การที่โดนเขาว่ามันจบทันทีเลย ไม่เกี่ยวกรรมต่อ ถูกไหม (ถูก) สิ่งที่โดนเขาว่ากลายเป็นพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่โดนเขาทำร้ายกลายเป็นตื่นรู้ในความเป็นจริง ที่เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ฉะนั้นปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช่แค่ตื่นรู้ในความเป็นจริงแล้วแค่แสดงออกภายนอก แต่สามารถสงบและจบลงที่ใจด้วยความเป็นปกติ หรือรักษาความเป็นปกติของใจได้ ยากไหม (ไม่ยาก)  ทุกครั้งที่ถูกกระทบไม่ว่าจะก่อเกิดเป็นกิเลสหรืออารมณ์ ลองยั้งสติคิดดูว่า สิ่งที่เราโดนกระทบลึกๆ เรารู้ไหม (รู้)  ถ้าไม่ยอมมันก็กลายเป็นทุกข์ แต่ถ้ายอมรับ ทุกข์ก็จะแปรเป็นสุขได้ แปรเป็นธรรมะที่เข้าใจความจริงได้
อะไรหนอที่บดบังปัญญาทำให้เราไม่สามารถตื่นรู้ในความเป็นจริง ทั้งที่แท้จริงแล้ว สิ่งต่างๆ นั้นเราก็รู้ ความจริงอันเป็นธรรมดาโลก ถ้าเราหมั่นพิจารณาเสมอ จะทำให้เราไม่ทุกข์ มีอะไรบ้างหนอ พอตอบได้ไหม
(ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง)  มีแล้วดีไหม (ไม่ดี)  แล้วมีไหม (มี)  เรารู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่ทำไมเราจึงไม่สามารถแปรสิ่งที่รู้ กลายเป็นรู้แล้วพ้นทุกข์ได้ นั่นคือสิ่งสำคัญ เราขาดสติไหม เราขาดความเข้าใจในความเป็นจริงอันแจ่มชัดหรือไม่ เราชอบตามอารมณ์มากกว่าตามความเป็นจริงใช่ไหม (ใช่)  อะไรที่เป็นความถูกต้องเราไม่เคยตาม อะไรที่เกิดอารมณ์เราวิ่งไปทันที ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นหากมีเรื่องอะไรมากระทบ ก่อนที่จะวิ่งตามอารมณ์ เราลองหยุดสักพักหนึ่ง แล้วลองหันไปมองความจริง ทำอะไรด้วยสติ แล้วลองหันไปมองความจริง เราจะตามอารมณ์ไหม
คนข้างนอกทำให้เราทุกข์หรือเราทำให้ตัวเราทุกข์เอง (เราทำทุกข์เอง)  แต่ถึงเวลาเราแก้ที่คนข้างนอกหรือเราแก้ตัวเอง (คนข้างนอก)  เรามักบอกให้คนอื่นแก้แล้วก็อ้างว่าตัวเองหวังดีปรารถนาดี ใช่ไหม (ใช่)  เราหวังเป็ดให้กลายเป็นหงส์ ได้ไหม (ไม่ได้)  เราหวังเป็ดให้ขายาวเหมือน นกกระยางได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)  และอาจจะยังเป็นอยู่ถ้ามีลูกหลาน และอาจจะเป็นอยู่ถ้ายังมีความหวัง ความอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นกลับมาดูให้ชัดว่า อะไรที่บดบังปัญญาทำให้เราไม่สามารถตื่นรู้ในความจริงได้ สิ่งนั้นเริ่มที่นี่ สิ่งนั้นเกิดที่นี่ สิ่งนั้นทุกข์ที่นี่ สิ่งนั้นก็ต้องจบที่นี่ เขาว่าเรา เราทุกข์เพราะเขาว่า หรือเราทุกข์เพราะเราไม่อยากโดนว่า (ทุกข์เพราะไม่อยากโดนว่า)  เราทุกข์เพราะเขาหรือทุกข์เพราะความคิดเราเอง เขาว่าเราคำพูดเขาจบแล้ว แต่เรายังเจ็บอยู่ เราเจ็บเพราะเอาความคิดมาเชือดเฉือนเรา และเรารู้ไหมว่าเราเจ็บเพราะความคิด (รู้)  แล้วแก้โดยไปไหว้พระเก้าวัด หายไหม (ไม่หาย)  ไปบนร้อยวัด หายไหม (ไม่หาย)  จะหายต้องแก้ที่ตัวเราเอง จริงไหม (จริง)
ชีวิตทุกชีวิตเกิดมาได้เพราะความรู้ ความคิด ความเข้าใจ ก่อเกิดเป็นตัวตน ตัวตนคือผลิตภัณฑ์ของความคิด ความรู้ ความเข้าใจและตัวเราเป็นผู้ผลิตความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรามีชีวิตอยู่ เราไม่คิดตีกรอบชีวิตเรา อะไรเราก็ยอมรับ อะไรเราก็ยอมได้ เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่โดยส่วนใหญ่คำว่าตัวตนของมนุษย์ทุกคน มักตีกรอบว่า จนไม่ได้ ทุกข์ไม่ได้ ด่าไม่ได้ แพ้ไม่ได้และทำไมต้องให้คนอื่นก่อน เมื่อคิดแบบนี้ก็ทุกข์ แค่คิดว่าโดนว่าไม่ได้ ให้ไม่ได้ ก็เห็นแก่ตัวแล้ว แค่คิดว่า ต่อว่าไม่ได้ ยอมไม่ได้ ก็แล้งน้ำใจแล้ว และในความคิดนี้เมื่อฝังอยู่ในตัวเรา เมื่อฝังแล้วด่าเมื่อไหร่ก็เจ็บ และเมื่ออยู่ในตัวเราแล้วว่าอย่างไรก็ทุกข์ แต่ถ้าตัวเราไม่มีความคิดนี้ ด่าได้ไม่เป็นไร ทุกข์ได้ไม่เป็นไร สูญเสียได้เป็นธรรมดา เราจะทุกข์ไหม สิ่งที่ทำให้เราไม่เห็นความจริงและไม่สามารถตื่นรู้ในธรรมะได้ คือความคิดที่ตีกรอบปิดบังความจริง ไม่ใช่ผู้อื่นทำให้เราทุกข์ รักแล้วต้องรักเลย รักแล้วห้ามจากไป ตัวเรากำหนดเอง แล้วเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ได้แล้วต้องมีแต่ได้ แล้วก็ต้องได้อีก ห้ามสูญเสีย ห้ามขาดทุน เป็นไปได้หรือ (ไม่ได้)  แล้วใครเป็นผู้กำหนด (ตัวเรา)  ฉันต้องสวย ฉันต้องเลิศเลอ ฉันต้องดีงาม เป็นไปได้หรือ ฉะนั้นอย่าลืมหันไปมองความจริงบ้าง อย่าเอาแต่ตามใจตัวเอง เพราะการตามใจตัวเองและปลูกฝังความคิดการตามใจตัวเอง ผลที่สุดคือ หนีไม่พ้นทุกข์ และน่ากลัวที่สุดคือ วิบากกรรมที่ทำให้หนีไม่พ้นอบายภูมิ แต่การเรียนรู้ที่จะยืนอยู่บนความจริง ผลที่สุดคือกลับคืนสู่สภาวธรรมและพ้นทุกข์นิจนิรันดร์
หนึ่งชีวิตที่ยังมีลมหายใจ ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสิ้นทุกข์ และสิ้นกรรม อยู่เพื่อใช้กรรมเก่าไม่สร้างกรรมใหม่ ฉะนั้นอยากให้ดี ตามความคิดหรือตามความถูกต้อง (ความถูกต้อง)  มองอย่างคนเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ตีกรอบคับแคบ หรือเปิดใจกว้าง (เปิดใจกว้าง)  กล้ายอมรับความจริงไหม (กล้า)  เรียนรู้ธรรมไม่ใช่เพียงแค่เป็นคนดี แต่แก่นหลักของการเรียนรู้ธรรมคือ นำพาตัวเองตื่นรู้แล้วพ้นทุกข์ด้วยธรรมในใจตน ไม่มีใครฉุดเราขึ้นจากความทุกข์ได้นอกจากตัวเอง ไม่มีใครปลุกให้เราเข้มแข็งได้นอกจากหัวใจเราเอง หัวใจที่เข้าใจความเป็นจริง อยากเข้าใจคนอื่น แต่ไม่เข้าใจตัวเองก็เปล่าประโยชน์ อยากจะเป็นแบบคนอื่น แต่ยังไม่เข้าใจแบบที่ตัวเองเป็นก็ น่าเสียดาย เกิดเป็นคนอย่าลืมรากเหง้าของตนเอง เรามีรากเหง้าเหมือนกันคือธรรมะ และถึงที่สุดเราก็ต้องกลับสู่ธรรมะ ถ้าเราเอาแต่ยึดตัวตน ก็หนีไม่พ้นเวรกรรม แต่ถ้าเราสามารถวางตัวตนได้กลับคืนสู่สภาวธรรมได้ นั่นเรียกว่าพระนิพพาน ไม่ยากเลยนะ แค่เราไม่ยอมรู้ใจตัวเอง ไม่ยอมรู้ธรรมในใจตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
ไม่มีบุญก็คงไม่ได้มาเจอกัน เวลาเจอใคร อยากให้เป็นบุญหรือเป็นกรรมร่วมกัน (เป็นบุญ)  อยู่ที่ตัวเราเองไม่ใช่อยู่ที่คำพูด จริงไหม (จริง)  เวลาเจอใครว่า เราอยากให้สิ้นบุญหรือว่าอยากให้สิ้นกรรม (สิ้นกรรม)  อย่างนั้นเขาต่อว่าเราก็โต้ตอบเลย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ไตร่ตรองให้ดี เราเจอเขาแต่ทำไมคนอื่นไม่เจอเขา เพราะมีกรรมร่วมกันมา รู้ไหม (รู้)  แล้วจะอยากมีกรรมต่อไหม (ไม่อยาก)  ถ้าอยู่กันอย่างมีธรรมเราก็จบกรรม แต่ถ้าอยู่กันอย่างมีกรรม เราก็ไม่มีวันสิ้นเวรกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เราคงมาผูกบุญกับท่านสั้นๆ เพียงแค่นี้ รักษาโอกาสและเวลาของชีวิตให้ดี อย่ามัวผัดวันประกันพรุ่งทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะไม่มีใครรู้วันพรุ่งนี้ ถ้าไม่อยากเจ็บปวดและทุกข์เพราะการสูญเสีย รักษาเวลาตอนนี้ให้ดีที่สุด อยู่กับเขาอย่างมีความสุขที่สุด อยู่อย่างคนมีบุญร่วมกัน มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก


วันอาทิตย์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒         สถานธรรมหมิงเอิน เพชรบูรณ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  อันหลักธรรมแก่นแท้มีหนึ่งเดียว    จงขับเคี่ยวตนเองดั่งน้ำงวด
ไม่ต้องสนใครเป็นเพชรใครเป็นกรวด คนยิ่งยวดเมื่อเข้าถึงสภาวธรรม
                        เราคือ
     จี้กงอาจารย์เจ้า       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานหมิงเอิน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                   ถามศิษย์รักทุกคนยังคงสบายดีไหม
   
    ลึกลับเพราะไม่เรียนรู้ อะไรนั้นคือธรรมะจริงจริง ใช้เดาแบบนี้เพราะไม่รู้จริง เมื่อขวัญมินิ่ง อย่างไรจะศึกษา
    แพ้นี้เพราะไม่อยากแพ้ อ่อนแอกว่าคนยอมแพ้ชินชา ถ้าเรียนรู้เห็นเพี้ยนหลอกสายตา ชอบฟังดีกว่า กำไรธรรมะกว่าเดิม
    *หลักในวันนี้ ธรรมะดีดี อย่าละทิ้งการศึกษา จิตใจเท่านั้นกลับคืนฟ้ามา ธรรมที่อรรถาครบถ้วนเพราะทำ
**ลี้ลับเพราะไม่ศึกษา ศรัทธาแบบงมงายไร้วันตื่น ชอบปาฏิหาริย์ เพ้อฝันทั้งคืน แม้ลืมตาตื่น ศิษย์รักหลงทางเรื่อยไป (ซ้ำ *,**)

    **แพ้นี้เพราะไม่อยากแพ้ อ่อนแอกว่าคนยอมแพ้ชินชา ถ้าเรียนรู้เห็น เพี้ยนหลอกสายตา ชอบฟังดีกว่า กำไรธรรมะกว่าเดิม (ซ้ำ *,**)

ทำนองเพลง : คิดถึงฉันบ้างคืนนี้
ชื่อเพลง : ธรรมะไม่ใช่เรื่องลี้ลับ



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อย่าปล่อยให้จิตมัวหมองเพราะกิเลสตัณหาในใจเรา ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่สามารถรักษาจิตให้บริสุทธิ์ได้ แต่อย่าปล่อยให้มันมัวหมองไปเพราะความหลง ความโลภ ความไม่เที่ยง ศิษย์บริสุทธิ์ได้ แล้วทำไมไม่รักษาให้มันแกร่งดั่งเพชร
อยากมีชีวิตอิ่มเอิบก็ยิ้มเข้าไว้ ทุกข์อย่างไรก็ต้องยิ้มเพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเอง มีแต่รอยยิ้มที่ช่วยปลอบใจเราได้ดีที่สุด ถ้าเรื่องที่แย่ที่สุด เรื่องที่ทุกข์ที่สุด เรื่องที่เจ็บปวดที่สุด เรายังยิ้มได้ เรายังสู้ไหว จะมีอะไรน่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือใจตัวเอง ใช่หรือไม่
อย่ากลัวความจน อย่ากลัวลำบาก แต่ควรกลัวใจที่ไม่ยอมสู้กับความจน ใจที่ไม่สามารถเอาชนะความลำบากได้ อย่ากลัวคนอื่นดูถูก แต่ควรที่จะกลัวใจตัวเองที่ชอบดูถูกตัวเอง อย่าไปกลัวคนอื่นกดขี่ข่มเหง แต่ควรที่จะกลัวใจตัวเองที่ชอบกดตัวเองให้ไร้ค่า อย่าดูถูกคุณค่าตัวเองถ้าศิษย์อยากจะเป็นคนที่น่ารัก นอกจากยิ้มเก่งแล้วอย่าเป็นคนยกตนข่มท่าน อย่าเป็นคนที่ชอบเอาใจตัวเองเป็นเกณฑ์แล้วตัดสินคนอื่นว่าคนอื่นผิด ตัวเองถูก สิ่งที่ไม่ชอบอย่าไปทำกับคนอื่น สิ่งที่เราไม่อยากได้ก็อย่าไปทำกับคนอื่น
พระพุทธะสอนให้เราไม่ใช่เป็นคนดีอย่างเดียว แต่เป็นคนดีแล้วต้องมีปัญญา ไม่ใช่เป็นคนดีที่ไร้ปัญญา การเรียนรู้ธรรมสอนให้เราทำอะไรอยู่บนโลกแล้วต้องรู้จักใช้ปัญญาให้เป็น อย่าเอาแต่เชื่ออย่างงมงาย อย่าเอาแต่เชื่ออย่างที่เขาว่าตามกันมาแล้วเราก็ทำตามไป แต่เราต้องมีปัญญาด้วย ทุกเรื่องราวต้องเอามาทำให้เราสูงขึ้น ไม่ใช่กดเราต่ำเตี้ยลง นี่ถึงจะเรียกว่าคนมีปัญญา แล้วทุกวันนี้ชีวิตเรายกให้ตัวเองสูงขึ้นหรือต่ำลง เอาเรื่องราวมาทำให้ตัวเองดีขึ้นหรือแย่ลง
ถามศิษย์รักทุกคนยังคงสบายดีไหม (สบายดี)  บางทีคำว่าสบายดีของชีวิตแต่ละคนไม่ใช่ออกมาง่ายๆ จะพูดคำว่าสบายดีได้ก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะสบายจริงๆ ไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอ๋ย ไม่มีที่พึ่งไหนประเสริฐที่สุดเท่ากับที่พึ่งของคนที่รู้จักมีปัญญาปัญญาที่เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตตัวเอง ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์เข้าใจชีวิตตัวเอง โลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัว รู้จักผู้อื่นไม่มีประโยชน์เท่ารู้จักใจตัวเอง และพื้นฐานของการเข้าใจชีวิตตัวเอง ก็เมื่อเจอเรื่องราวอะไร หันกลับมาย้อนดูตัวเอง และรักษาความสมดุลให้ได้
คนเมื่อยามทุกข์ คนเมื่อยามเจ็บ เรียกว่า คนเสียศูนย์  แต่ธรรมะคือความสมดุลอันเป็นกลางและเป็นจริง ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่ศิษย์ทุกข์เพราะเสียศูนย์ ก็ต้องเอาธรรมะมาช่วยยั้งให้กลับมาสมดุลและเข้าใจความจริงอันเป็นกลางความเป็นจริงอันสมดุลทำให้เราอยู่ตรงกลางได้อย่างสงบสุข      ถ้าเมื่อไรที่มองคนอื่นมากจนเจ็บปวด ลองลดการมองคนอื่นแล้วหันมามองตัวเองว่าดีกว่าเขาแล้วหรือยัง เมื่อไรที่ทุกข์มากๆ ลองมองให้ดีว่า มีทุกข์แล้วไม่มีสุขเลยจริงหรือ เมื่อไรที่มนุษย์หาความสมดุลในชีวิตได้ เมื่อนั้นเราจะไม่ทุกข์ แต่เราจะอยู่อย่างคนกลมกลืน สอดคล้องในธรรม
เมื่อพูดถึงเรื่องธรรมะศิษย์มักบอกว่าไกลเกินตัว เพราะตายแล้วก็จบกัน  ธรรมะก็ไม่ต้องสนใจ ผิดชอบชั่วดีก็ไม่ต้องกังวล ตายแล้วจบไหม     (ไม่จบ)  ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า การกระทำวันนี้จะเป็นตัวกำหนดอนาคต อนาคตจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำวันนี้ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
โดยส่วนใหญ่มนุษย์เราทุกคนจำสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดีแม่นกว่ากัน (สิ่งที่ไม่ดี)  ใครทำดีจำได้ไหม (ไม่ได้)  ใครทำไม่ดีจำได้ไหม (จำได้)  อย่าบอกว่าเวรกรรมไม่มีจริง เมื่อไรที่มนุษย์จำสิ่งที่ร้ายได้มากกว่าสิ่งที่ดี โอกาสที่มนุษย์จะผูกเวรจองกรรมก็เป็นเรื่องง่าย และโอกาสที่เราจะแก้แค้นก็เป็นเรื่องง่าย ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถ้าตอนเกิดยังไม่สิ้นทุกข์ ตอนตายก็ไม่มีวันสิ้นทุกข์ตอนเกิดยังเต็มไปด้วยความโลภ ความเศร้า กิเลสเต็มตัวไปหมด ตอนตายจะสิ้นทุกข์ไหม (ไม่)  มีแต่ต้องสิ้นทุกข์ก่อนตาย ตายไปถึงจะหมดทุกข์ แล้วเราสิ้นทุกข์หรือยัง หมดทุกข์หรือยัง (ยัง) 
อย่างนั้นเราควรจะทำอะไรเผื่อก่อนตายไหม (ความดี)  ถ้าชีวิตต้องมีเวรกรรมที่ต้องชดใช้ เราควรจะทำอะไรเพื่อที่จะทำให้ตัวเองไม่ต้องกลับมาชดใช้ดีไหม (ดี)  แล้วถ้าชีวิตหนึ่งเผื่อสิ้นทุกข์ได้ แล้วทำไมเราไม่ลองทำดูบ้าง แล้วเราคิดว่าเราสิ้นทุกข์ได้ไหม (ได้)  อยากจะอยู่ในโลกให้สิ้นทุกข์ได้ เราต้องมองทุกอย่างในโลกอย่างที่คนมองแล้วเห็นชัด แล้วทำให้เราไม่เจ็บปวดได้เลย ถึงจะเรียกว่าคนที่สามารถเข้าใจชีวิต มีแฟนเราก็ทุกข์ มีเงินก็ทุกข์ มีเสื้อผ้าก็ทุกข์ มีรองเท้าก็ยังทุกข์ มีผมดำแล้วกลายเป็นผมขาวทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วมีอะไรที่ไม่ทำให้ทุกข์มีบ้างไหม (ไม่มี)  มีเงินแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  ธรรมง่ายๆ มีเหมือนไม่มี แต่เรามีแล้วเหมือนไม่มีไหม มีเงินอยู่ในธนาคารหนึ่งหมื่นบาทถามว่ามีไหม (ไม่มี) เพราะถ้ามีแล้วจะเอาอีกไหม (ไม่เอา)  แต่บอกว่าไม่มีทุกทีทั้งที่จริงๆ มีใช่ไหม (ใช่)  แล้วทุกข์เพราะมีหรือไม่มี (มี)  ฉะนั้น ถ้ามีแล้วทุกข์ก็คิดว่ามีก็เหมือนไม่มี มีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกมีได้ ถ้าใจยังไม่พอ ถ้าใจยังไม่สุข ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกอย่างมีความสุข จงคิดว่า ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว ดีแค่นี้ก็ดีแล้ว ส่วนที่เหลือจะได้หรือไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร รักษาความสมดุล มีก็เหมือนไม่มี ไม่มีก็เหมือนมี ฉะนั้นอย่าลืมความสมดุลของจิตใจ อย่าคิดว่าตัวเองขาดแคลน จนลืมว่าตัวเรามี อย่าคิดว่าตัวเองมีจนขาดแคลนไม่ได้ ไม่เช่นนั้นศิษย์จะทุกข์ใจเพราะตัวเองที่ถูกความคิดครอบงำ ตายเพราะความคิดตัวเอง ทำไมฉันยังไม่มี ทั้งที่จริงแล้วถ้าเทียบกับคนอื่น ก็เรียกว่ามีแล้วนะ
มนุษย์มีทุกข์กับสิ่งที่มี และทุกข์กับสิ่งที่ไม่มี อะไรที่ทำให้เราเห็นว่ามีแล้วทุกข์ ก็หลับตาแล้วคิดว่า มีก็เหมือนไม่มี เหมือนอะไรที่เห็นมาก รู้มาก เจ็บไหม (เจ็บ)  แล้วศิษย์เคยคิดไหมว่า สิ่งที่เห็นสิ่งที่รู้ จริงๆ แล้วศิษย์ยังไม่เห็น ไม่รู้ รู้จักสามีมาก็นานแล้ว ทำไมสามีถึงทำกับเราอย่างนี้ จริงไหม (จริง)  สามีเองก็รู้จักภรรยา แต่ถึงเวลาภรรยากับสามีต่างก็ทำอะไรที่ทำให้คาดไม่ถึงได้เหมือนกัน จริงไหม (จริง)  แล้วชีวิตที่เราคิดว่าเรารู้ชัด เห็นชัด คนที่เรารู้จักเขาดี ทำอะไรที่เราไม่คาคคิดได้ไหม (ได้)  แล้วชีวิตสามารถพลิกจนเรานึกไม่ถึง เป็นไปได้ไหม แล้วทำไมไม่เผื่อใจบ้าง เวลาชีวิตเจอทางตันจะได้มีสติ ว่าชีวิตมันเกิดอะไรขึ้นก็ได้ ขึ้นชื่อว่าชีวิต อะไรมันก็เปลี่ยนได้ ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์รู้บางครั้งก็อาจจะ (ไม่รู้)  สิ่งที่ศิษย์เข้าใจ บางครั้งศิษย์ก็อาจจะ (ไม่เข้าใจ)  เพื่อรักษา (ความสมดุล)  และกลับคืนสู่สภาวธรรมอันเป็นปกติ เมื่อไหร่ที่จิตรักษาความเป็นปกติได้ นั่นคือการดำเนินชีวิตอย่างสอดคล้องกลมกลืนกับความแตกต่างที่เรียกว่า สภาวะคู่
โลกนี้มีภาวะคู่ มีดำก็มี (ขาว)  มีดีก็มี (ชั่ว)  มีทุกข์ก็มี (สุข)  มีล้มเหลวก็มี (สำเร็จ)  ฉะนั้นเวลาทำอะไรหวังแต่สำเร็จไม่ให้ล้มเหลว ได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อไหร่ที่คิดอย่างนั้นศิษย์กำลังจะทำให้ตัวเองเสียศูนย์ในความเป็นจริง และหลงลืมความเป็นจริงที่เรียกว่า สภาวธรรมอันเป็นกลาง
ศิษย์เอ๋ย เกิดมาทั้งทีอย่าอกหักแล้วตาย อย่าจนแล้วฆ่าตัวตาย อย่าล้มละลายแล้วผูกคอตาย น่าเสียดาย จริงไหม (จริง)  เอาให้อกหัก ล้มละลาย ยากจน ชดใช้ให้ครบ ก่อนจะตายถ้ายังไม่ครบอย่าเพิ่งตาย ให้รู้หมดทุกรสชาติ จะได้เกิดมาไม่เสียเปล่า ยากจนก็เคย ล้มละลายก็เคย แล้วตอนนี้ยังยืนอยู่ได้ น่าภูมิใจนะ การเกิดเป็นคน ประเสริฐที่สุด สามารถทำบุญสร้างกุศลได้ สามารถทำให้ถึงคำว่า “มรรคผลพระนิพพาน” ได้ ฉะนั้นอย่าดูเบาตัวเอง ถึงแม้จะผ่านมาครึ่งชีวิตแล้ว ถ้าเราทุกข์แล้วจะทำอย่างไรที่ทำให้เราพ้นทุกข์ได้ ทำได้ด้วยการเอาธรรมะมาใช้ (รู้ทันใจตัวเอง, ความเป็นจริงของชีวิต, การยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรา) 
(พระอาจารย์เมตตาหยิบลูกทับทิมขึ้นมาเป็นตัวอย่าง)
ศิษย์เคยใช้อะไรอย่างหนึ่งมาทำให้เห็นในใจตัวเองไหม เห็นสิ่งหนึ่งแล้วสะท้อนเห็นอีกสิ่งหนึ่ง 
เห็นสิ่งหนึ่งแล้วสะท้อนตัวตนและเห็นสิ่งหนึ่ง เห็นมากกว่าเห็น เหมือนเราเห็นทับทิมลูกหนึ่งเราสามารถเห็นได้ถึงความทุกข์ยากลำบากกว่าจะปลูกอันนี้มาได้ เราเห็นถึงน้ำตา เห็นถึงการสูญเสีย เห็นถึงการหลอกลวง เห็นทั้งหยาดเหงื่อแรงงาน เรามองเห็นไหม (เห็น) แต่ชีวิตมนุษย์มักไม่เห็นในสิ่งที่ควรจะเห็น แต่เห็นเฉพาะสิ่งที่ตัวเองอยากเห็น ถ้าอาจารย์ถามว่ากินทับทิมอันนี้อร่อยไหมก็น่าจะอร่อย แต่คำว่าน่าจะอร่อยมันมีไม่อร่อยไหม (มี) ฉะนั้นถ้าเราซื้อแล้วเราคาดหวังว่ามันจะอร่อย แล้วก็ยึดติดว่ามันจะอร่อย คนที่ยึดติดและคาดหวังก็คือคนที่สร้างกรอบให้ตัวเองทุกข์โดยง่าย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ศิษย์รู้ว่าอันนี้มันคือทุกข์ แล้วเราเห็นชัด แล้วเราไม่เป็นทุกข์กับมัน เราแค่เห็น แล้วไม่เอามาใส่ใจ จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่ทุกครั้งที่เวลาทุกข์มา เราหยิบมาใส่ใจทันที “ฉะนั้นถ้าอยากจะพ้นทุกข์ เมื่อไรที่รู้ว่าเป็นทุกข์ จงมีสติยั้งคิด จงมีธรรมะยั้งใจว่าเราจะเป็นแค่ผู้เห็น แต่ไม่ไปเป็น” ธรรมะนี้เป็นธรรมะขั้นสูงนะ เพราะต้องฝึกที่จิตใจตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ยังไม่เห็นใครทำได้อย่างนี้ จริงไหม (จริง)  ศิษย์เคยไหม ถ้าตอนนี้เราเห็นมันเป็นทุกข์และเราเห็นใจตัวเราเองด้วย ประเมินใจตัวเองได้ ไม่ไหวแน่ ไม่รับ ไม่เอา แล้วเราหยุดทุกข์ได้ไหม (ได้)
ศิษย์ส่วนใหญ่ใครโกรธมาก็โกรธกลับ ใครด่ามาก็ด่ากลับ แรงมาก็แรงกลับ อาจารย์จะบอกว่า ผู้เข้าถึงธรรมจะสามารถทั้งเห็นและไม่เห็น จะเห็นทั้งข้างนอกและสามารถสะท้อนถึงข้างใน นั่นเรียกว่า ฝึกฝนบำเพ็ญจนเกิดปัญญา อะไรก็ลวงให้หลงไม่ได้อีกต่อไป ยากไหม (ไม่ยาก)  แต่เมื่อไรจะทำสักที ตกเป็นทาสของความคิดทุกที ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ฉะนั้นถ้าอยู่ในโลกไม่ให้เป็นทุกข์นะศิษย์ ทั้งอยากและไม่อยาก เผื่อใจไว้ศิษย์ รักษาสมดุลในใจไว้ ได้ไม่ได้ ไม่เป็นไร ดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ ฉันเข้าใจตัวเองว่า ฉันไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรมก็พอ ส่วนใครจะว่าอย่างไรก็เรื่องของเขา เราถูกต้องเป็นพอ จริงไหม (จริง) สิ่งที่มันธรรมดา มันกลายเป็นสิ่งที่อยากและไม่อยากได้ด้วยหัวใจของมนุษย์ กินแล้วสุขมากเท่าไร ก็ทุกข์มากเท่านั้น จริงไหม (จริง)  แล้วชีวิตนี้มีอะไรบ้าง ที่สุขแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี) 
อะไรในโลกที่ศิษย์มีสุขมากแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)  ตัวเราสุขมากเท่าไหร่ ตัวเราก็เจ็บมากเท่านั้น เรารักสามีมากเท่าไรก็เจ็บมากเท่านั้น เงินทองหามาเหนื่อยแทบตาย ยิ่งหามากก็ยิ่งเจ็บมาก แล้วเอาไหม (เอา)  สิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกข์มีอยู่ไม่กี่อย่าง อย่างแรกคือทุกข์จากความเป็นจริงที่ใครๆ ก็หนีไม่พ้น ใครหนีความแก่ หนีเจ็บ หนีความตายได้ไหม (ไม่ได้) 
ฉะนั้นควรดีใจกับความเป็นจริง (แก่,เจ็บ,ตาย) เพราะเมื่อไรที่จิตไม่ยึดมั่นถือมั่นในความแก่ เจ็บ ตาย เมื่อความแก่เจ็บตายมาถึงจะได้ไม่ทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรใจเราตีกรอบ อย่าแก่ พอแค่โดนทักหน่อยว่าแก่แล้ว พูดอย่างนี้ได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความทุกข์ทีศิษย์เป็นคนสร้างแล้วตีกรอบให้ตัวเองยิ่งทุกข์นั่นคือ “ห้ามทุกข์ ห้ามล้มเหลว ห้ามโดนด่า ห้ามอกหัก” เป็นทุกข์ที่ศิษย์เป็นคนกำหนดเอง ตีกรอบยึดมั่นว่าห้ามทั้งที่จริงๆ แล้วห้ามได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วในใจเรามีสิ่งนี้อยู่ไหม (มี)  แล้วห้ามได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นแล้วควรจะมีไหม (ไม่ควร)  ฉะนั้นวิธีแก้ที่ดีที่สุดที่เราจะพยายาม ศิษย์รู้ไหมสิ่งที่ทำให้ศิษย์ทุกข์ก็คือ ความคิดที่ครอบงำชีวิต เมื่อไรที่ปล่อยให้ความคิดครอบงำชีวิต มนุษย์จะไม่สามารถเข้าถึงปัญญาที่เห็นแจ้งในธรรมได้ ดั่งเช่นเวลาที่เราตีกรอบว่า “ธรรมะ ต้องเป็นพระภิกษุพูดเท่านั้น” ถ้าคิดแค่นี้ศิษย์ก็จะฟังใครที่พูดธรรมะไม่ได้ “ธรรมะต้องอยู่ในวัดเท่านั้น” ฉะนั้นข้างนอกไม่ใช่ธรรมะหรือ เหมือนกันถ้าชีวิตเราตีกรอบความคิดว่า ฉันต้องสุข ห้ามทุกข์ ฉันต้องดีห้ามร้าย ฉันต้องสำเร็จห้ามล้มเหลว คิดแบบนี้ก็ทุกข์แล้ว ฉะนั้นถ้าเราอยากมีชีวิตที่เข้าใจความจริง ศิษย์ต้องล้างความคิดนี้ออกจากใจ เพราะถ้าล้างไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็ทุกข์
แม้ฟังพระเทศน์หรือแม้แต่พระพุทธองค์ลงมาโปรดศิษย์ก็ทุกข์ เพราะศิษย์อยากมีสุขอย่างเดียว ไม่เข้าใจความทุกข์ ในทุกข์ที่สุดในผิดหวังที่สุด ไม่มีความสำเร็จไม่มีความสุขหรือ (มี)  ยามที่ศิษย์อ่อนแอที่สุด มีความเข้มแข็งไหม (มี)  ในวันที่เราเจ็บปวดที่สุด ไม่มีเรื่องดีๆ ให้เราเห็นบ้างหรือ (มี)  แล้วเราลุกขึ้นมายืนกับความเป็นจริงนั้นไม่ได้หรือ ถ้าศิษย์อยากไม่ทุกข์ ศิษย์ต้องระวังความคิดที่มาครอบงำจิตใจศิษย์ เหมือนที่ศิษย์มองอาจารย์แล้วคิดว่า นี่คือพระอาจารย์จริงหรือเปล่า หลอกกันหรือเปล่า หากคิดเช่นนี้ตลอดก็ฟังอาจารย์ไม่เข้าใจ เพราะความคิดอยู่ข้างใน มองใครก็มองไม่รู้ ฟังใครก็ฟังไม่ชัด
มีทุกข์อีกอย่างหนึ่งที่น่ากลัว และทำให้เราหนีไม่พ้นเวรกรรม นั่นคือ ทุกข์ที่เกิดจากกิเลส ตัณหา ความโลภหลง
ศิษย์จำไว้นะ โลภ โกรธ หลง หนีไม่พ้นคือ ทุกข์ บาป เวรกรรม และวิบากกรรมที่ต้องรับ เมื่อไหร่ที่ศิษย์ตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ศิษย์จะหนีไม่พ้นเวรกรรมที่ศิษย์ต้องชดใช้ เมื่อไหร่ที่ศิษย์ตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง จนลืมซึ่งคุณธรรมความดี ศิษย์จะหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ศิษย์จะต้องกลับไปแบกรับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไรละ ที่จะแก้ไข โลภ โกรธ หลง นี้ได้ เราไม่เคยจัดการมันได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลภ โกรธ หลง ใครเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา (ตัวเราเอง)  แล้วโรงงานที่ผลิตโลภ โกรธ หลงคือใคร (ตัวเราเอง)  เช่นนั้นเราควรทำลายโรงงาน หรือควรทำลายโลภ โกรธ หลง (โลภ โกรธ หลง)  พระพุทธองค์จึงกล่าวไว้ว่า เราไม่สามารถทำลายกิเลสได้ ถ้าโรงงานผลิตกิเลสยังคงสร้างอยู่ไม่จบสิ้น  แก้กันมาเป็นสิบปีก็ยังแก้ไม่ได้ จริงไหม (จริง)  เห็นอะไรก็อยากได้ เห็นตัวเองก็อดหลงตัวเองไม่ได้ (เป็น)  เห็นใครไม่ดีก็อดโมโหโทโสไม่ได้ แต่ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถ้าเราสามารถเข้าใจอะไรจนชัด เห็นอะไรจนมันแจ่มแจ้งแล้ว เรายังอยากจะได้มันอีกไหม (ไม่)  ถ้าสิ่งที่ศิษย์จะได้ มันทั้งทุกข์ ทั้งเจ็บ ทั้งพลัดพราก ทั้งทำให้เราสูญเสียความเป็นคน หรือทำให้เราสูญเสียชีวิตได้ เราจะมีมันไหม (ไม่มี)  จะเอาไหม (ไม่เอา)  แล้วถึงเวลาเอาไหม (เอา)  แปลว่าเรายังเห็นไม่ชัดใช่ไหม (ใช่)  ถ้ามีเงินแล้วมันเจ็บเพราะเงิน จะมีไหม (ไม่มี)  ถ้าอยากมีเงิน มีแล้วมันทำให้เราผิดศีล ไม่มีก็ได้ ความอยากนั้นก็จะไม่ฆ่าเรา แล้วส่งผลให้เราต้องทุกข์ ถ้ามีเงินแล้วทำให้เราขาดความเป็นคน ขาดคุณธรรมความเป็นคน มีน้อยหน่อยก็ได้ ดีไหม (ดี)  ถ้ามีเงินแล้วมันทำให้เราต้องทุกข์จนหาที่สิ้นสุดทุกข์ไม่เจอ ก็ควรพอเท่านี้ เราจะหยุดโลภทันทีเลยจริงไหม แต่ถึงเวลาพอมีเงิน เรามักไม่สนใจศีลธรรม ศิษย์เอ๋ย ธรรมะที่เราเรียนรู้ ศีลมีไว้เพื่อไม่ประพฤติผิด ธรรมมีไว้เพื่อดำรงตนให้มีคุณค่า สร้างคุณค่าให้กับตัวเองในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ส่วนการรู้แจ้งในธรรมเพื่อนำพาให้เราพ้นทุกข์และไม่ตกเป็นทาสของความทุกข์ หรือไม่ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นถ้าดำรงชีวิตครองในศีล ไม่เบียดเบียนใคร ความโลภนั้นจะทำให้เราทำบาปไหม (ไม่)  ถ้าดำรงชีวิตครองในคุณธรรม จะมีเมตตาธรรม มีมโนธรรมสำนึก เราจะโกงใครไหม (ไม่)  เราจะเบียดเบียนใคร เราจะฉ้อฉลไหม (ไม่)  แล้วทุกครั้งที่เราตกเป็นทาสของกิเลส เรามีศีลไหม (ไม่มี)  เรามีธรรมไหม (ไม่มี)  แล้วเรานึกถึงความเป็นจริงไหม (ไม่) มันก็เจ๊งไปตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว จริงไหม
ฉะนั้นถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องทุกข์ แล้วเวียนไปในวัฏจักรแห่งกรรมที่เรียกว่า “ตัวตนเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งมวล” หรือเรียกอีกอย่างว่า มนุษย์เป็นผู้สร้างและก็เป็นผู้ทำลายทุกอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เป็นตัวตนของผลผลิตกรรมที่เราสร้าง อนาคตจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับวันนี้เราทำสิ่งใด ฉะนั้นเมื่อยังมีกรรมก็ต้องเวียนไม่สิ้น เพื่อรับผลกรรม แต่ถ้าเรามีวิถีทางหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเรามีโอกาสที่จะทำให้กรรมมันสิ้น แล้วกลับคืนสู่สภาวธรรม โดยที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก เราสนใจไหม (สนใจ)  และเราคิดว่าเราทำได้ไหม (ทำได้)  เหมือนเวลาที่เรารู้กันโดยส่วนใหญ่ว่า เราเกิดมาเพราะเรามีกรรม ฉะนั้นเมื่อไรที่เราสิ้นกรรม เราก็จะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเรายังสร้างกรรมอยู่เราก็จะเวียนว่ายไม่จบสิ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ถามศิษย์นะ ถ้าเราไปตีเขาเบาๆ ครั้งหนึ่ง เวลาเขาเอาคืนเขาตีเราคืนเบาๆ ไหม (ไม่)  เขาจะตีเราแบบไหน (ตีแรงมากกว่าเราตี)  ถ้าเราด่าเขาว่า ไอ้โง่ แล้วเขาจะด่าเราคืนว่า ไอ้โง่ เหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  แต่จะด่ามากกว่านั้น ใช่ไหม (ใช่)  เราจะเจ็บกว่าเราด่าเขาไหม (เจ็บกว่า)  แล้วที่ศิษย์ไปเอาของเขามาทั้งชีวิต แล้วที่ศิษย์ไปโกงเขามาทั้งชีวิต ไปเบียดเบียนเขาทั้งชีวิต ทั้งพรากลูก พรากแม่ พรากพ่อเขา เขาจะไม่เอาคืนเจ็บกว่าหรือ และเมื่อกรรมนั้นตกผล ตอนนั้นศิษย์จะร้องขออะไร ขอให้ธรรมะช่วยหรือ ในเมื่อตอนมีธรรมะไม่คิดอยากจะมี แล้วพอมีกรรมถึงอยากจะมีธรรมะ ทันไหม (ไม่ทัน)
ควรจะยั้งก่อนมี หรือมีแล้วค่อยมีธรรม (ยั้งก่อนมี)  แล้วถึงเวลาเรามีธรรมหรือเราสร้างกรรม (สร้างกรรม)  ศิษย์จำไว้นะ เมื่อไรที่ศิษย์ทำอะไรขาดศีลจะตกเป็นทาสของการสร้างกรรม เมื่อศิษย์ทำอะไรศิษย์ขาดคุณธรรม ศิษย์จะหนีไม่พ้นเวรกรรม ฉะนั้น พระพุทธะจึงสอนให้เราเกิดเป็นคน ศีลมีไว้เพื่อละบาป ธรรมมีไว้เพื่อประพฤติความเป็นคนให้ถูกต้องและสมบูรณ์แบบ ที่คนเขายกย่องว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐ ประเสริฐเพราะคุณธรรม ผู้ใดมีธรรมผู้นั้นมีคุณอันประเสริฐ ฉะนั้น ถึงศิษย์จะทำดีแค่ไหน แต่ถ้าบาปศิษย์ไม่ละ ศิษย์ก็ยังหาเป็นคนดีไม่ ถึงศิษย์จะทำบุญมากขนาดไหนแต่ใจนั้นยังแอบเคลือบแฝงไปด้วยความโลภ โกรธ หลง บุญนั้นก็หาบริสุทธิ์ไม่ ถ้ากระทำบุญนั้นยังยึดติดในความถือตัวถือมั่น บุญนั้นก็ไม่เรียกว่าบุญอย่างแท้จริง แต่ยังเคลือบแฝงไปด้วยความหลง ฉะนั้นถ้าอยากทำบุญแล้วไปให้ถึงที่สุด บุญนั้นจะได้มากกว่าบุญ ถ้าทำแล้วไม่ยึดติดตัวตน ทำแล้วไม่ยึดมั่นหวังวอนขอ บุญนั้นเรียกว่า กุศล ถ้าทำแล้วสามารถชะล้างความเป็นตัวตนได้ บุญนั้นจะกลายเป็นบุญแท้ที่นำไปสู่กุศล ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าทำแล้วยังมีตัวตนไปรองรับ แปลว่าเราอยากได้บุญนั้นเพื่อกลับมาเสวยบุญอีก และเมื่อหมดบุญเราก็ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดอีก แล้วมั่นใจหรือว่าบุญที่ศิษย์สร้างจะพอทำให้ศิษย์กลับเป็นคน ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้ควรที่จะตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ไหม (ไม่ควร)  ฉะนั้นก่อนที่ศิษย์จะทำอะไร ยั้งใจถามตัวเอง ถูกต้องในศีลไหม มีคุณธรรมความเป็นคนไหม เสียสมดุลจนลืมธรรมะที่แท้จริง หรือเปล่า
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ซึ่งศิษย์ก็ไม่เคยผ่านด่านนี้เลยนั่นคือ โดนคนเขาด่า เป็นอะไรที่ง่ายที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ไม่มีใครผ่านได้สักคน หวั่นไหวทุกที ใช่หรือไม่ (ใช่)  เจ็บปวดทุกทีที่โดนว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าโดนเขาด่า แล้วเราทำบุญด้วยการให้อภัย นั่นเรียกว่าเรากำลังสร้างทาน แปรบาปให้กลายเป็นบุญ แปรบุญให้กลายเป็นกุศล อภัยแปลว่าในใจยังยึดติดอยู่ แต่ถ้าเขาด่ามา เราเข้าใจความเป็นจริง รักษาจิตให้มันปรกติ มีปัญญาเห็นแจ้งในความเป็นจริงว่ามีคนชมก็มีคน (ด่า)  มีดีก็มี (ชั่ว)  มันเป็นเช่นนั้นเอง เราจะพ้นไหม (พ้น)  พ้นแล้วนะ มันไม่มีตัวตนไปรองรับทุกข์อีก ถูกไหม (ถูก)  มันกลายเป็น เช่นนั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามนุษย์อยากสิ้นทุกข์ สิ้นการเวียนว่ายตายเกิดจนหมดสิ้น มนุษย์จะต้องขจัดความเป็นตัวตนให้หมด เพราะถ้าขจัดความเป็นตัวตนหมดได้ มนุษย์จะสิ้นทุกข์ได้บนโลกใบนี้ จริงไหม (จริง)  
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายเพลง)
“ถ้าเรียนรู้เห็น เพี้ยนหลอกสายตา”  ถ้าศิษย์เรียนรู้อะไรเอาแต่มอง แต่ไม่ศึกษาอาจจะทำให้เราโดนหลอกได้ เพราะสิ่งที่เห็นอาจจะไม่เป็นจริงอย่างที่เข้าใจ และสิ่งที่เห็นพร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ฉะนั้นให้ใช้การรู้จักฟัง ฟังมากๆ ยิ่งได้กำไรมากใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเอาแต่มองอย่างเดียวโดยไม่ศึกษาเรียนรู้ โดยไม่ศึกษาเพิ่มเติมเช่นนี้น่าเสียดาย หลักธรรมะโดยส่วนใหญ่บางคนบอกว่าลึกล้ำ ลึกลับ จริงๆ ธรรมะไม่ลึกลับเลยอยู่ที่เราจะค้นหาแล้วศึกษาด้วยความตั้งใจหรือเพียรพยายามหรือไม่
คนตอบคำถามอาจารย์ แล้วจะได้แอปเปิลแห่งความทุกข์มาก แล้วก็สุขมากเอาไหม (เอา)  ให้ก็เอา เอาทุกอย่างเลย เอาทั้งทุกข์ทั้งสุขไม่จบสิ้นสักทีใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอ๋ยถ้าศิษย์เห็นโลกใบนี้อย่างแจ่มชัด ศิษย์จะรู้ว่าไม่มีสิ่งไหนน่ายึดน่าเอาเลย เหมือนตอนที่ศิษย์ยังไม่แต่งงาน ก็อยากแต่ง แต่พอแต่งแล้วก็อยากไม่แต่ง ใช่ไหม (ใช่)
เกิดเป็นคนควรมีคุณธรรมอะไรอยู่ในใจตน ง่ายมากเลยจริงไหม 
(ความเมตตา)  เมื่อเมตตาจะนินทาใครไหม (ไม่)  ถ้าเราเมตตาเราจะด่าใครไหม (ไม่)  เราจะมีแต่ความเข้าใจ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นรักษาความเมตตาในใจจนทำให้เราสามารถมีศีล ธรรมและไม่ประพฤติผิด ถ้าเมตตาเราจะเบียดเบียนใครไหม เราจะคดโกงใครไหม (ไม่)  เมตตาแล้วเราจะเข่นฆ่าใครไหม (ไม่)  อย่างนั้นที่เรานินทาเขาได้ โกงเขาได้ เพราะเราไม่เมตตาพอ จริงหรือเปล่า
(ไม่คดโกง)  ซื่อตรงแล้วอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเองไหม ถ้าคนไม่อยากจริงๆ อะไรเขาก็จะไม่โลภแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  รักษาความซื่อตรงนี้ไว้นะ ถ้าซื่อตรงได้ โลภ โกรธ หลง ก็คงน้อยลง
(การยอมรับความจริง) ถ้ารู้จักยอมรับความจริง เราจะเข้มแข็งได้นะ ยากนะ ทำให้ได้นะ
(ความซื่อสัตย์ ของเราและเขา) ไม่ต้องไม่สนใจเขา ของเราพอ เขามีไม่มีไม่เป็นไร เพราะเราเปลี่ยนคนข้างนอกไม่ได้ แต่เราดูแลใจตนเองได้ ใช่ไหม (ใช่)  รักษาให้ดีนะ ไม่ใช่แค่นิดหน่อยก็โกงนะ
(ความอ่อนน้อมถ่อมตน)  ตอบได้ดีนะ  ถ้าศิษย์มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไปอยู่ที่ไหนจะเป็นที่รักเลย (ความอดทน)  อดทนนั้น อดทนได้ แต่สิ่งที่จะทำให้เราอดทนได้มากกว่านั้นคือ เข้าใจ เพราะอดทนมันมีเวลาจำกัด มันมีความจำกัด แต่ถ้าศิษย์เข้าใจ เข้าใจความเป็นคน เข้าใจคนเป็นแบบนี้ ไม่ต้องอดทนเลย คนก็เป็นแบบนี้ อ่อ เราก็เคยเป็นแบบนี้ เขาก็เป็นได้ จริงไหม (จริง)  ใช้ความเข้าใจให้กว้างให้ลึกที่สุด แล้วเราจะไม่โกรธใคร แต่เราจะมีแต่เข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(มีความเพียร)  คนเราจะสำเร็จได้นั้นต้องอาศัยความเพียรพยายาม ฉะนั้นถ้าศิษย์ตั้งใจอะไร อาจารย์ก็คิดว่าขาดความเพียรไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่ที่ล้มเหลว ถามใจตัวเองว่าเราเพียรน้อยไปหรือเปล่า เรายังมีความเพียรในความดีไม่ถึงที่สุดหรือไม่  (ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป)  เกิดเป็นคน ถ้ามีความละอายเกรงกลัวต่อบาป ผิดบาปจะไม่เกิดเลย เมื่อผิดบาปไม่มี ทุกข์และเวรกรรมก็จางหายได้ แต่กลัวอย่างเดียว เล็กๆ กล้าทำ มันก็ขยายใหญ่ขึ้น ใช่หรือไม่ ฉะนั้นอย่าประมาทกับสิ่งที่เล็ก เพราะสิ่งที่เล็กเมื่อมันขยายใหญ่ขึ้นก็กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัว ถูกหรือไม่ (ถูก)  รักษาใจดวงนี้ให้ดีนะ (ละบาปทำความดี)  รู้จักละบาปบำเพ็ญบุญ อะไรที่เป็นบาปเราจะไม่ทำ แล้วบาปที่น่ากลัวที่สุดคือ (คิดผิดในใจตัวที่ไม่รู้จักบังคับตัวเอง)  ผิดแล้วยังฝืนใจทำ ไม่ได้ฝืนใจ ผิดแล้วยังจงใจทำอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นหยั่งรากลึกแห่งธรรมให้เยอะๆ อย่าทำให้ชีวิตต้องมัวหมองเพราะบาปกรรมที่ตัวเองก่อ เพราะเมื่อผลกรรมมันตกผลไม่มีใครช่วยศิษย์ได้นอกจากตัวเอง จริงไหม (จริง)   
(ความซื่อสัตย์ ไม่ขโมยของผู้อื่นและมีธรรมในตน)  ซื่อสัตย์ไม่ใช่แค่ขโมยของนะศิษย์ ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ซื่อสัตย์ต่อความเป็นคน ซื่อสัตย์ต่อการอยู่ในครอบครัว และซื่อสัตย์ต่อการดำรงตน ถ้าดำรงตนซื่อสัตย์ จะไม่ผิดลูกผิดเมียผู้อื่น ไม่ทำร้ายเพื่อน ถ้าดำรงตนซื่อสัตย์ในหน้าที่การงาน เราจะไม่ฉ้อฉล ไม่คดโกง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ทำให้ได้นะ
(นักเรียนถามพระอาจารย์ว่า กลับบ้านไปสามารถนำอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์มาถวายพระได้หรือไม่)  อาจารย์ให้ศิษย์คิดเองนะ อาจารย์ถามใจของศิษย์ ถ้าเกิดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเทพที่อยู่บนฟ้า สิ่งหนึ่งที่ท่านมีคือ คุณธรรมมหาเมตตาที่ไม่จำกัด อย่างนั้น หัวอกคนมีเมตตาจะเอาชีวิตเขาเพื่อมาบำรุงชีวิตเราไหม (ไม่)  และจะทนเห็นคนเขาทำบาปเพื่อเราไหม (ไม่)  และจะทนเห็นคนทำผิด ฆ่าคน เพื่อเราไหม (ไม่)  อย่างนั้น พุทธะอยากได้อาหารเนื้อสัตว์ไหม (ไม่)  แต่อาจารย์เห็นที่ไหว้เนื้อสัตว์ ไม่ได้ไหว้ให้พุทธะ แต่ไหว้เพราะตัวเองอยากกิน จริงไหม (จริง)  ส่วนตอนนี้การที่ศิษย์จะกินเจหรือไม่ ทำไมอาจารย์ถึงไม่ได้บังคับ เพราะเมตตาจิตต้องออกมาจากจิตที่ตั้งใจจริงๆ  จึงเรียกว่าเมตตา ถ้าออกมาจากการบังคับก็ไม่ใช่เมตตา แต่คือการข่มใจ แต่การกินเจต้องเกิดจากใจเมตตา เหมือนอาจารย์ถามว่าศิษย์รู้ไหมว่าสิ่งที่ศิษย์กินล้วนต้องเกิดจากการฆ่า รู้ แต่ศิษย์ทำเหมือนไม่รู้ ศิษย์รู้ไหมว่าทุกครั้งที่ศิษย์เจ็บจากการโดนมีดบาดหนึ่งที ศิษย์ยังร้องโอย ไกลหัวใจ แต่ร้องเหมือนถูกเชือด
เล็บหลุดแค่นี้ยังเจ็บแทบตาย แล้วความตายที่ศิษย์ไปยัดเยียดให้กับสัตว์ตัวหนึ่งที่ไม่รู้อะไร เพื่อมาเสวยความอยากของเราแค่ไม่กี่คำ แล้วกลืนลงไปก็ออกมาเป็นของเสีย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จะบอกว่า งดได้ก็งด ละได้ก็ละ  เพราะกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นก็ต้องรับ ถึงศิษย์จะมีน้ำตานองหน้า ขอพระพุทธะก็ช่วยไม่ได้ เพราะศิษย์ทำเอง ฉะนั้นหัวอกของคนที่เรียกว่า มนุษย์ประเสริฐควรหรือที่ทำบาปเพียงเพื่อสนองความอยากของตัวเอง อาจารย์ถามจริงๆ นะ ไม่กินเขาแล้วเราจะตายไหม (ไม่ตาย)  ไม่กินเขาแล้วเราอยู่ได้ไหม (อยู่ได้)  พระพุทธะที่มีคนนับถือ มีคนกราบไหว้ เพราะเขายอมลำบากเพื่อคนอื่น เลือกให้ตัวเองลำบากเพื่อให้คนอื่นสบาย จึงเรียกว่า จิตแห่งพุทธะ จิตของคนที่มีธรรม แต่คนปัจจุบันนี้ ตัวเองสบายคนอื่นจะลำบากก็ช่างเขา อย่างนี้เรียกว่า จิตพุทธะหรือจิตมนุษย์ (จิตมนุษย์)  ฉะนั้นศิษย์อย่าบอกอาจารย์ว่า เกิดเป็นคนไม่มีทางเลือก ทางมีให้เลือกแต่ศิษย์จะเลือกทางไหน แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า ไม่ใช่มีแค่สองทางคือนรกกับสวรรค์ แต่ยังมีอีกทางที่เรียกว่า ทางพ้นทุกข์นิจนิรันดร์ ก็คือทางกลับคืนสู่สภาวธรรมในใจตัวเอง กายกลับคืนสู่ดิน แต่จิตต้องกลับคืนสู่ฟ้า เมื่อใดที่มนุษย์ยังยึดถือความเป็นตัวตน มนุษย์ก็หนีไม่พ้นวัฏแห่งการเวียนว่าย คือผลแห่งกรรม แต่เมื่อใดที่ศิษย์ดำเนินชีวิต ทำบุญ ทำทาน สวดมนต์ อาจารย์ให้ศิษย์ยังทำเหมือนเดิม แต่อย่าทำบุญแค่เอาบุญ แต่ทำบุญไปให้ถึงกุศลและความสิ้นทุกข์ และเข้าถึงธรรมด้วยการที่ทำแล้วสลัดความยึดมั่นถือมั่น จะได้ไม่โลภมาก จะได้ปลงได้บ้าง ให้ไปเลย นั่นไม่ใช่แค่บุญ แต่ยิ่งกว่าบุญคือได้กุศล ได้ละความยึดมั่นถือมั่น ได้กระชากความหลงความยึดติดที่เราเคยมีมานาน ยากไหมไม่ยากเลย แล้วทุกครั้งที่เวลาใครว่าเรามา ดี ขอบคุณ ฉันจะจบกรรมวันนี้ โดนด่าฉันจะขอบคุณ เพราะถ้าด่ากลับก็เป็นเวรกรรมไม่จบสิ้นถูกไหม (ถูก)  ถ้าแช่งชัก ไม่เป็นไรอดทนไว้ อย่างนี้ก็ยังไม่สิ้นกรรม เราต้องสามารถสิ้นกรรมจนใจนี้กลับคืนสู่ภาวะปกติ ไม่หวั่นไหว ไม่เอียงซ้าย ไม่เอียงขวา กลับคืนสู่ความสมดุล นั่นเรียกว่ากลับสู่ธรรม ไม่ห่วงตัวเองหรือศิษย์ ศิษย์ไม่รักตัวเองหรือ ในเมื่อมีโอกาสที่จะไปอีกทางหนึ่ง ให้ถึงที่สุด ทำไมเราไม่ไป 
“ความเชื่อซ่อนพรางปัญญา” เวลาที่ศิษย์ทำอะไรก็ตามโดยเชื่อในหลักความถูกต้อง เชื่อในหลักความดีงาม แต่ความเชื่อนั้นต้องไม่อำพรางปัญญาที่แท้จริง เขาทำตามกันมาแล้วศิษย์ก็ทำ ทำอย่างไรที่บุญนั้นไม่ก่อบาป บุญนั้นไม่อิงแอบไปด้วยความโลภ ถ้าบุญนั้นยังมีบาปอยู่ บุญนั้นยังไม่บริสุทธิ์ แต่บุญนั้นต้องสามารถชะล้างความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และหมดสิ้นซึ่งกิเลสตัณหาในใจได้ บุญนั้นจึงจะบริสุทธิ์และบุญจะกลายเป็นกุศล นำพาให้ชีวิตพ้นทุกข์ได้ 
ศิษย์ยังมีบ้านที่ต้องกลับ กายยังรู้จักกลับบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจิตเดิมแท้ไม่มีบ้านหรือ เราคือหนึ่งในธรรมะ เราคือหนึ่งในสภาวธรรม และทุกคนมีสภาวธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน และไม่คิดกลับบ้านที่แท้จริงหรือ ทำไมอยากกลับแต่บ้านที่มันมีแต่เวรกรรมทุกข์สุข ไม่เคยอยากกลับบ้านที่แท้หรือ บ้านที่ทำให้ศิษย์ไม่ต้องทุกข์ บ้านที่ศิษย์ไม่ต้องเจ็บปวดอีก ไม่ต้องมาร้องขอให้อาจารย์ช่วยอีก แต่บ้านนั้นจะค้นพบได้ด้วยตัวศิษย์ทุกคนรู้จักประพฤติปฏิบัติ จริงไหม (จริง)  เวลาท้อแท้ เรามีบ้านให้พึ่งพิง แต่เมื่อไหร่ที่ศิษย์ทุกข์ ศิษย์ยังมีธรรมะให้ศิษย์พ้นทุกข์ มีธรรมะให้ศิษย์กลับคืน ฉะนั้น อย่าลืมธรรมในตัวเอง ธรรมที่บริสุทธิ์งดงาม ร่มเย็น ธรรมที่ไม่ต้องการอะไรเลย แต่มันคือความบริสุทธิ์ใสที่แท้จริง
อาจารย์ก็ไม่อยากร้องไห้หรอก แต่เสียดายจริงๆ ที่ศิษย์ยังทำไม่ได้ แล้วถึงที่สุดศิษย์ก็ไม่ทำ ช่างน่าเสียดาย รู้จนถึงที่สุด แต่ถึงที่สุดก็ไม่ทำ ที่รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่ถึงที่สุดก็เลือกทำในสิ่งที่ไม่ดี ประคองรักษาความดีงามในใจตัวเองนะ อย่าพ่ายแพ้กิเลส อารมณ์ และความอยากเพียงชั่ววูบ ไม่เคยมีอะไรที่ศิษย์มีแล้วไม่เจ็บไม่ทุกข์ ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดก็คือ ไม่อยากได้อะไรในโลกนี้แล้ว จริงไหม (จริง)  เราเคยมาหมดทุกอย่างแล้วนี่ พอไม่ได้หรือ หยุดไม่ได้หรือ โกรธแล้วได้อะไร โกรธแล้วเราก็เจ็บ โลภ หลงมาแล้วได้อะไร เราจะสูงกว่าคนอื่นไหม เราก็ต้องกลับคืนสู่ความเป็นธรรมดาเหมือนกัน จริงไหมมาตัวเปล่าก็ต้องกลับ (ตัวเปล่า)  มาแบบไม่มีก็ต้องกลับสู่ (ไม่มี)  แล้วจริงๆ เรามีอะไร เราอยากมีอะไร อยากเพื่อให้เจ็บ เจ็บเพื่อให้ทุกข์ ทุกข์แล้วก็ทุกข์อีก แล้วถึงเวลาต้องมาทำใจดับทุกข์ ไตร่ตรองให้ดีนะ สิ่งที่อาจารย์พูดมานี้เพื่อตัวศิษย์เอง ถ้ารู้ได้เราก็พ้นทุกข์ได้ จริงไหม (จริง)  อย่ากลัวความพ่ายแพ้ คนที่กล้ายอมแพ้คือคนที่ชนะแท้จริง แต่คนที่ไม่เคยแพ้แล้วพยายามไม่อยากแพ้ นั่นคือคนที่แพ้อย่างแท้จริง 
อย่ากลัวความทุกข์ ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ความทุกข์มันมีทางพ้นทุกข์อยู่ในนั้นอยู่แล้ว อาจารย์ก็ขอบคุณในความมุ่งมั่นตั้งใจของศิษย์ รักษาสิ่งที่ถูกต้องอย่าทำในสิ่งที่ผิดบาปเลย ไม่อย่างนั้นคนที่ต้องรับผลของการกระทำนั่นก็คือตัวเราเอง บำเพ็ญให้ดี ไปให้ถึงที่สุด ถ้ายังมีอัตตาตัวตนเราจะไม่มีวันสิ้นทุกข์ อะไรที่ทำให้เราสิ้นอัตตาตัวตน สิ่งนั้นคือการตัดภพเวียนว่ายตายเกิดได้ “ทำเพื่อธรรม ไม่ใช่ทำเพื่อตน” ทำดีแล้วรักษาความดีต่อไป ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีนะศิษย์ เข้มแข็งไม่อ่อนแอ  เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าเกียจคร้าน ตั้งใจบำเพ็ญ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก
บำเพ็ญยากไหม ไม่ยาก แต่กลัวศิษย์ไม่ทำ  ดูแลตัวเองให้ดีนะ รักษาความดีงามไว้ มีจิตใจที่มุ่งมั่นเป็นสิ่งที่ดี มีจิตใจเมตตาก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ขอให้รักษาจิตใจมุ่งมั่นและเมตตาไปพร้อมกัน อาจารย์คงต้องไปแล้ว บุญของศิษย์อยู่ที่ความกตัญญูรู้คุณ บารมีของศิษย์ก็อยู่ที่คุณธรรม ฉะนั้น รักษาบุญกับบารมีนี้ไว้ด้วยหัวใจที่ถูกต้องนะ
พากเพียรจนถึงที่สุด นั่นแหละคือหัวใจของศิษย์และหัวใจของอาจารย์ที่เหมือนกัน ไม่ยอมแพ้ ไม่กลัวลำบาก เสียสละอุทิศเพื่อผู้คน ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวทุกข์
ศิษย์เอ๋ย ถ้าอาจารย์พูดอย่างหนึ่งยอมฟังไหม ยอมรับความจริงเถิดนะ อย่าฝืนเลย อาจารย์อยากให้ศิษย์ยอมรับความจริง กลับไปเริ่มต้นใหม่ ศิษย์อย่าไปฝืนเลย มันเจ็บพอแล้ว มันทุกข์พอแล้ว เริ่มต้นใหม่เถอะเชื่ออาจารย์ ได้ไหม อย่าฝืนในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม
บุญรักษานะ ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้อง ขอความเข้มแข็งจงมีแด่ศิษย์ทุกคน ลุกขึ้นเดินนะ ดูแลตัวเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองทุกข์ในสิ่งที่ไม่ควรทุกข์เลย มีโอกาสกลับมาร่วมศึกษาบำเพ็ญกันอีกนะศิษย์เอ๋ย อย่าดูถูกดูเบาคุณค่าธรรมะในใจตัวเอง อย่าหลงพลาดผิดเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบ แล้วทำให้ชีวิตต้องพังทลายเลย น่าเสียดายนะ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้สิ่งที่ถูกต้องนั้นอาจจะแลกด้วยน้ำตา เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้สิ่งที่ถูกต้องอาจจะฝืนใจ แต่ถ้าผ่านได้ เราคือผู้ที่เข้าใจสภาวธรรมอันว่างเปล่าจากตัวตน กลับคืนสู่ธรรมกันเถิด ตัวตนมีแต่ความทุกข์ กลับสู่ธรรมกันไหม


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ศีล ทำ”

ความเชื่อซ่อนพรางปัญญา    ศรัทธามีโลภหลงอยู่
สับสนในความรู้รู้   จะอยู่มีธรรมเมื่อไร
ต้องใช้สติมานำ    ศีลธรรมยั้งใจเอาไว้
ครองธรรมสถิตคู่กาย ไม่แพ้กิเลสอารมณ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา