แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ผู่ถี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ผู่ถี แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

2562-05-11 สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก

西元二〇一九年歲次己亥四月初七日仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๑พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ สถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา
  งานธรรมะเฟื่องฟูเมืองสองแคว        คนเก่าแก่และคนใหม่ไม่แตกต่าง
การบำเพ็ญเป็นหลักใหญ่เป็นแนวทาง   งานแผ่กว้างใช้หลักธรรมเป็นหัวใจ
                    เราคือ
  ศิษย์พี่นาจาน้อย                     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามทุกคนสบายดีไหม
  หมั่นเตือนตนชีวิตคนดั่งเทียนไข     จงตั้งใจบำเพ็ญด้วยความบากบั่น
สร้างทุกบุญเป็นวันดีทุกวัน              ชีพแสนสั้นใช้ชีวิตผิดเป็นครู
เปิดปัญญาประเดิมใจไปทั้งหมดฟ้า    แรกพร้อมศรัทธาสิ่งที่เห็นที่รู้
ทำได้ดีตรงทางธรรมเป็นอยู่            เกียรตินั้นของหน้าที่ผู้ช่วยเบื้องบน
ธรรมคู่คิดหรือไม่มองตาพูด             ธรรมไร้สูตรเอาธรรมไปฝึกฝน
เหล่าความคิดติดลบมักลวงตน         ไม่ช่วยคนสุขแต่เห็นแก่ตัว
คนรักแต่สบายไม่อยู่ให้เข็ญ             ชวนบำเพ็ญไม่บำเพ็ญทุกข์กับเรื่องตัว
ไม่อยากโดนใจทุกข์มาพันพัว           บำเพ็ญทั่วหาไม่แล้วไม่แจ้งใจ
ไม่ว่าใครมีสบายไม่เพลินบ้าง           ที่เพลินบ้างก็ด้วยปล่อยตามนิสัย
คนนั้นเกิดมาอยู่ในโลกทำไม            พ้นเวียนว่ายพ้นทุกข์คนพ้นโลก
รู้จักพิจารณาช้ำแล้วไม่ช้ำอีก            ภายใต้ปีกหลักธรรมแรงลมกรรโชก
ฐานบัวปรากฏฐานย่อมอยู่ในโลก       ดูกระจกชัดแจ้งในตนทบทวน
                                                                         ฮิฮิ หยุด

พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

    ศาสนาเกิดจากความกลัวเรามีศาสนาเพราะเรากลัว  เรายึดศาสนาเป็นที่พึ่งเพราะเรากลัวกลัวตาย กลัวทุกข์กลัวเจ็บใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกศาสนาล้วนมีหลักอันเดียวกันคือสอนให้คนอยู่กับความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกด้วยการที่เราไม่ต้องทุกข์  ฉะนั้นศาสนาเกิดขึ้นเพราะความกลัวแต่ธรรมสอนให้เราเรียนรู้ความจริงอันเป็นธรรมดาที่หลีกหนีไม่พ้นและเมื่อเราพบความจริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องทุกข์แต่เราสามารถพ้นทุกข์ได้เมื่อเราต้องพบความจริงใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังนั้นธรรมจึงไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์แต่ธรรมสอนให้มนุษย์เรียนรู้ที่จะยืนอยู่บนความจริงโดยไม่ทุกข์ การเรียนรู้ธรรมจึงต้องการให้เราเข้าใจความจริงอันเป็นธรรมดาโลกโดยที่เราอยู่กับความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาโลกแล้วเราไม่ทุกข์
ฉะนั้นถ้าใครมีศาสนาแล้วเข้าใจธรรม เมื่อถูกว่าก็จะไม่ (โกรธ)  เจ็บปวดก็จะไม่ (ทุกข์)  พบความตายก็จะไม่ (กลัว)  ถ้าไม่ได้นั่งจะทุกข์ไหม นี่ก็เป็นความจริงอันเป็นธรรมดาได้นั่งก็ต้องได้ (ยืน)  ถ้ายืนแล้วนั่งไม่ได้แสดงว่าเริ่มมีโรคแล้ว  หรือนั่งแล้วยืนไม่ได้ก็เรียกว่าเป็นอัมพาตฉะนั้นถ้าเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตเราก็จะรู้ว่าเกิดเป็นคนไม่ว่าอะไรก็ตามที่เป็นธรรมดาของโลกเราไม่ควรที่จะทุกข์แต่เราควรที่จะพบธรรมและพ้นทุกข์ถึงจะเรียกว่าแนวทางการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องแต่เมื่อไรที่เราถูกว่า เจ็บป่วย สูญเสีย พลัดพราก เรายังทุกข์  พอแก้ไขอะไรไม่ได้เราก็ไปทำบุญเพื่อให้พ้นทุกข์ แต่เราพ้นทุกข์ไหม(ไม่พ้น) เพราะปัญหาอยู่ที่ความคิด ความรู้และความเข้าใจ ไม่ใช่อยู่ที่บุญต้นเหตุของความทุกข์นั้นอยู่ที่ความคิดและไม่ยอมรับความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกเมื่อไม่เข้าใจในสิ่งที่ต้องเป็นไปเราก็ต้องทุกข์แล้วหวังแต่อิทธิปาฏิหาริย์เช่นนั้นแปลว่า เรากำลังบำเพ็ญธรรมผิดใช่หรือไม่ ถ้าคิดแล้วทุกข์ แต่ก็คิดซ้ำๆควรทำอย่างไร(ปล่อยวาง)  ตอบได้ดี แล้วปล่อยวางอย่างไรที่จะทำให้เราไม่ทุกข์บางครั้งสิ่งที่เห็น แต่ถ้าเราไม่เอามาคิดเห็นก็เหมือนไม่เห็นถูกไหม (ถูก)  บางอย่างหากเราไม่คิดถึงสิ่งที่มีก็เหมือนไม่มีแต่ทีไม่มีถ้าเราคิดว่ามีก็ทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  สมมติเราเห็นอะไรแว๊บๆตอนกลางคืน ถ้าเราไม่คิดไม่สนใจก็ไม่มีผีแต่ถ้าเราคิดแม้ไม่มีผีจริงก็เหมือนกับ (มี)  เช่นมีคนที่เราโกรธแต่เราไม่ใส่ใจ ไม่ให้คุณค่าเขา ไม่ให้ความสำคัญเขาจะมีผลต่อใจเราไหม (ไม่มี)  ความทุกข์ฉันใดก็ฉันนั้นถ้าเมื่อไรศิษย์น้องทุกข์แล้วศิษย์น้องไม่คิดทุกข์มีก็เหมือน (ไม่มี)  ฉะนั้นแม้ว่าเวลาเราเจ็บแต่เราไม่คิดถึงเราพยายามทำตัวให้แข็งแรงๆมีก็เหมือน (ไม่มี)  การปล่อยวางที่แท้จริงก็คือสิ่งนั้นมีแต่เราไม่คิดมนุษย์ทุกคนรู้จักคำว่าปล่อยวางชอบพูดคำว่าปล่อยวางใช่ไหม (ใช่)  แล้วจะปล่อยอย่างไรในเมื่อเห็นทุกวันเกลียดทุกวันนั่นคือเห็นแล้วเราไม่คิดเห็นแล้วเราไม่ใส่ใจ หรือถ้าคิดแล้วมันทุกข์ หันไปทางไหนๆ ก็ทุกข์ทำไมเราไม่ลองพลิกใจแล้วหันไปทางอื่นบ้างในเมื่อโลกนี้ยังมีอะไรที่น่าดูและเรียกว่าความสุขอีกมากเลยในเมื่อเห็นแล้วทุกข์เห็นแล้วเจ็บ คิดแล้วปวด แล้วทำไมไม่รู้จักพลิกใจบ้าง ใช่ไหม (ใช่)  แค่เปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยนแค่รู้จักหยุดความคิดชีวิตก็ไม่มีความทุกข์ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้านั่งตรงนี้แล้วเอาแต่คิดว่า “เมื่อย  เมื่อไรจะจบ เบื่อแล้ว” นั่งไปก็ยิ่งทุกข์ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าคิดในทางที่ดี เช่น“มันก็ดีนะ มันก็สบายนะนั่งเฉยๆเดี๋ยวก็มีคนทำนั่นทำนี่ให้กินก็ดีนะ สาธุด้วยนั่นได้บุญนะอนุโมทนาบุญด้วยนะ พูดดี ยินดีด้วยนะ” คิดแบบนี้ได้บุญไหม (ได้)  แล้วทำไมไม่แปรบาปเป็นบุญ แปรทุกข์เป็นสุขธรรมสอนให้เราฉลาด มีปัญญาธรรมไม่เคยสอนให้คนโง่ ฉะนั้นถ้าทำอะไรแล้วโง่แปลว่าไม่ใช่ธรรม แต่หากทำอะไรแล้วฉลาด เกิดการปล่อยวางเกิดการพ้นทุกข์ นั่นเรียกว่าปัญญาธรรม
โดยส่วนใหญ่เราเรียนรู้ธรรม เราศึกษาธรรมกันมามาก แต่ถามว่า ธรรมคืออะไร บางทียังหาไม่ได้ ถ้าธรรมคือความสว่าง ความสงบ ความร่มเย็น ความว่าง ชีวิตเราเคยมีธรรมไหม ถ้าเราอยากมีธรรมเราก็แค่หยั่งรู้ในความสงบหยั่งรู้ในความว่าง มีสติอยู่กับความสงบ ความว่าง เราก็คือคนที่มีธรรมถ้าเมื่อไรเราคว้าความว่างความสงบก็แปลว่าเรากำลังคว้าธรรม แต่ถ้าเมื่อไรที่เราคว้าความมี ความยึดติดความอยาก ความโลภเราก็เป็นผู้ที่ไร้ธรรม ถ้าทุกชีวิตพยายามยึดความมีเราก็จะไม่มีวันพบความว่างถ้าพยายามยึดความมีความอยากได้ สิ่งที่เราได้ก็คือกิเลสตัณหา ทิฐิ อัตตาตัวตน แต่ถ้าทุกขณะที่เราคว้าความว่าง ความไม่มี เราก็พบความสงบและพบธรรมแล้วในชีวิตจริงเราไม่เคยพบธรรมเพราะเราพยายามคว้าความมี ความอยากความโลภ เราจึงหนีไม่พ้นความทุกข์และไร้ธรรม 
ท่านอาจจะบอกว่าเกิดเป็นคนต้องมีนั่นมีนี่ ไม่มีก็ไม่ได้จริงหรือไม่ (จริง) เราถามท่านว่ามีมากมายแล้วพ้นทุกข์หรือไม่มีจนถึงที่สุด สุดท้ายท่านก็อยากหาธรรม อยากว่างบ้างแล้วใครจะช่วยได้ในเมื่อตนเองยังอยากมีฉะนั้นอยากพบธรรมก็แค่หยุดความอยากมี อยากยึดเพราะถ้ายังยึดไม่จบก็ไม่มีวันพบธรรมจริงหรือไม่ (จริง) แต่หากรู้จักวาง รู้จักปลงทำให้ดีที่สุดแล้วสุดท้ายจะเป็นอย่างไรเราก็แค่ยืมเขาใช้แล้วปล่อยวางไปแบบนี้จะทุกข์หรือไม่ แล้วจะวางใจอย่างไรให้มีแล้วไม่ทุกข์ มีแล้วทำให้มีธรรม
ท่านว่าฟ้ากว้างหรือไม่ (กว้าง) ในความกว้างมีขอบเขตหรือไม่ (ไม่มี)ในความไม่มีขอบเขตมีรูปลักษณ์ที่แน่นอนหรือไม่ (ไม่) ไม่แน่นอนแล้วในความว่างของฟ้ามีก้อนเมฆมีลม มีมืด มีสว่าง หรือไม่ (มี) ในเมื่อมี แล้วทำไมฟ้าไม่ทุกข์ แต่ทำไมเราทุกข์  ฟ้าเหมือนเรา ในตัวเรามีความว่างในความว่างก็มีความมี  ในความมีก็มีความว่าง  ในความว่างก็มีความมืด มีความสว่าง  ทำไมเราทุกข์แต่ฟ้ากลับไม่ทุกข์ ต่างกันตรงที่เพราะฟ้าไร้ตัวตนที่ยึดติด ฉะนั้นหากเราไม่ยึดถือไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ถ้าวันหนึ่งจะมืดหรือจะสว่างก็เป็นธรรมดาของชีวิต วันหนึ่งตั้งขึ้นได้วันหนึ่งก็ล้มลงได้ ก็เป็นธรรมดาของชีวิต หากเข้าใจหลักนี้เราจะไม่ทุกข์ฉะนั้นตัวตนคือความหลงที่ยึดติดและหนีไม่พ้นถ้าไม่มีตัวตนก็ไม่มีทุกข์  แต่ถ้ายึดตัวตนเราก็ทุกข์กับทุกๆสิ่งที่เราพยายามเอาตัวตนไปเกี่ยวข้อง  เช่นถ้าเราบอกว่าผ้าผืนนี้เป็นของฉันถ้าผ้านี้หายไป หรือสกปรกไปเป็นทุกข์ไหม (ทุกข์)  แต่ถ้าผ้านี้ไม่เป็นของใครแม้ว่ามันจะหายไปหรือสกปรกไปเราเป็นทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นจำไว้ธรรมสอนให้เราเป็นแค่ผู้รู้ เราไม่จำเป็นต้องไปเป็นและยึดติดนี่เป็นหลักใหญ่รู้และรักษาความรู้ให้ปกติมั่นคงจนเกิดความเห็นแจ้งในปัญญาและความจริงของโลกทั้งปวง เรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญาทันที  ศีลก็คือความปกติสมาธิคือความมั่นคงในความปกติปัญญาคือรู้แจ้งในความปกติจนไม่ยึดมั่นถือมั่นจนไม่ทำให้ตัวเองทุกข์อีกต่อไป ฉะนั้นบำเพ็ญศีล สมาธิ  ปัญญาในทุกขณะที่เรามีสติตื่นรู้ในความเป็นจริงของโลกใบนี้อันเรียกว่าธรรมะ ยากไหม (ไม่ยาก) 
เมื่อไรที่เราเข้าใจความเป็นธรรมดาของโลก เห็นก็เหมือนไม่เห็นถ้าอยากเข้าถึงความว่างที่เรียกว่าธรรมะ ต้องไม่มีขอบเขต   ถ้าเราสามารถเอาสิ่งนั้นมาย้ำเตือนเราทุกครั้งที่เรามองสรรพสิ่งเราก็จะไม่ยึดติด และเราจะค้นพบธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านเห็นใครในโลกแล้วเห็นอย่างแท้จริงบ้าง  เราเห็นก็เหมือน (ไม่เห็น) เหมือนท่านเห็นความว่าง ท่านอยากเข้าถึงธรรมโลกนี้สอนเรื่องความว่างอยู่อย่างหนึ่งว่า เห็นก็เหมือนไม่เห็นเพราะมีบางสิ่งที่เรารู้และสิ่งที่ยากเดาจากคนๆ หนึ่งเช่นกัน  ถ้าท่านอยากพบธรรมะ จำไว้ว่า เห็นเขาเหมือนมีแต่ก็เหมือน (ไม่มี)  แฟนลูก เงิน เหมือนมีอยู่กับเราแต่จริงๆ แล้วก็ไม่อยู่กับเราเหมือนเห็นเขาอยู่ใกล้ๆ เรา แต่จริงๆ แล้วใจเขาไปไหนก็ไม่รู้ เหมือนครอบครองและรู้จัก แต่จริงๆแล้วเราเหมือนคนที่ไม่รู้จักเขาเลย ใช่ไหม (ใช่)  บางครั้งเขาก็ทำในสิ่งที่เราไม่คิดว่าเขาจะทำอย่างนั้นกับเราได้ ใช่ไหมฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจว่า เห็นก็เหมือนไม่เห็น รู้จักก็เหมือนไม่รู้จักเหมือนครอบครองได้แต่ก็ครอบครองไม่ได้และเอาหลักนี้มาใช้ในการดำเนินชีวิตกับทุกสรรพสิ่งแล้วเราจะรู้ว่าไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นของเราเพราะถึงที่สุดแล้วก็คือความว่างการพยายามยึดมั่นถือมั่นในตัวตนทำให้เราหนีไม่พ้นทุกข์และวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย หรือเรียกอีกอย่างว่าวิบากกรรม
ฉะนั้นเมื่อไรที่มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าถึงความว่างของธรรมได้มนุษย์ก็ยังหนีไม่พ้นการยึดติดความคิดแห่งตัวตนเมื่อยึดติดความคิดแห่งตัวตนก็จะมีสิ่งที่เรายึดเรียกว่าดีและไม่ดีชอบและไม่ชอบก็เลยหนีไม่พ้นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกข์เพราะหนีไม่พ้น กิเลส กรรม มนุษย์มักจะพูดบอกว่า “ถ้าเรารู้จักฟ้าเราจะไม่โทษฟ้า ถ้าเรารู้จักคนเราจะไม่โทษใคร” เคยได้ยินคำนี้หรือไม่ ถ้าเรารู้จักฟ้า เราจะไม่ตัดพ้อต่อว่าฟ้าลำเอียงฟ้าไม่ยุติธรรม และถ้าเรารู้จักคนเราจะไม่บ่นด่าใคร ฉะนั้นแปลว่า“ฟ้า”เราก็ไม่รู้จัก “คน”เราก็ไม่รู้จัก เราจึงด่าทั้งฟ้าแล้วก็ด่าทั้งคนจริงหรือไม่ (จริง)  อย่างนั้นเรามาทำความเข้าใจก่อนว่าเป็นเพราะฟ้ากำหนด คนจัดการหรือเราเป็นผู้จัดการและกำหนด
คนเราจะดีหรือร้ายโชคดีหรือโชคร้ายเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้าย ใครกำหนด (เรากำหนด)การกระทำของเรากำหนดเองใช่ไหม (ใช่)  เรา ไม่ควรว่าเขาแต่ควรว่า (ตัวเอง) ไม่ควรบ่นฟ้าแต่ควรบ่น (ตัวเอง)  ฉะนั้นถ้าท่านไม่ทำบาป ไม่ผิดศีลไม่ประพฤติผิดจะกลัวอะไรกับเคราะห์กรรมและโชคร้ายถ้าท่านเป็นคนดีที่สุดเป็นคนน่ารักที่สุดแล้วจะกลัวอะไรกับคำว่าดีหรือไม่ดีที่คนอื่นพูด ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นพิจารณาก่อนทำย่อมประสบสุข แต่ถ้าทำแล้วค่อยคิดย่อมประสบทุกข์หากอยู่ในโลกรู้จักให้อภัยผู้อื่น ไม่ถือโทษโกรธผู้อื่นไม่เคยแค้นเคืองใคร มีหรือจะไม่เป็นที่รักของใครดังนั้นไม่ว่ามีเรื่องอะไรถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมาแล้วตำหนิต่อว่าตัวเองก่อน “ขอโทษนะฉันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรื่องราวมันเกิดขึ้นได้” คนแบบนี้ไปอยู่ที่ไหนมีหรือใครจะไม่รัก  แต่ถึงเวลาดำเนินชีวิตจริงๆ นอกจากเราไม่อภัยแล้วยังถือสาหาความแล้วว่าเขาอีกจริงไหม (จริง)  จึงมีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “มนุษย์นั้นแปลกเดินไกลเป็นร้อยก้าวพันก้าวสามารถมองเห็นชัดแต่สิ่งที่อยู่ข้างหลังตัวเองกลับมองไม่เห็นฉะนั้นถ้าอยากอยู่บนโลกให้เป็นสุขก็ต้องรู้จักเข้มงวดตนผ่อนปรนผู้อื่นเอาความรู้ระดับปราชญ์มาตรวจสอบตน เอาความรู้ระดับปุถุชนไปตรวจสอบผู้คนเรียกว่าเอาสิ่งที่เข้มงวดที่สุดมาตรวจสอบตัวเองนำสิ่งที่ผ่อนปรนไปใช้กับผู้อื่น แล้วเราจะไม่ถือโทษใคร
ถ้าในใจเรารู้สึกว่ามีแต่เรื่องไม่ดีของคนอื่นเต็มหัวใจเราจะไม่สามารถอยู่กับใครได้อย่างร่มเย็น ไม่สามารถเมตตาปรานีเขาได้และเราจะไม่สามารถอยู่กับใครอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ดังนั้นเราจึงไม่ควรช่างว่า ช่างตำหนิ และควรให้อภัยไม่ถือสาถ้าเราเห็นทุกคนไม่มีคุณค่าเราก็อยู่กับคนที่ไร้ค่าเต็มไปหมดแต่ถ้าเห็นทุกคนมีคุณค่ามีคุณประโยชน์เราก็อยู่กับคนที่เต็มไปด้วยความน่ารักถ้าเรายังเข้าถึงความว่างไม่ได้ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความมีอย่างไรไม่ให้ทุกข์ เพราะธรรมะสอนเราว่าคนเราเกิดมาเดินหน้าตรง ไม่ก้มหน้า ไม่เงยหน้าธรรมะสอนให้เรามองอย่างเป็นกลาง แต่เราชอบมองแบบยึดติดว่ามันแย่ธรรมะสอนเราว่าแย่ก็ไม่ไปคิด ดีก็ไม่หลง ศาสนาพุทธสอนให้เราเป็นกลางแล้วตัวเราเป็นกลางหรือไม่ ตัวเป็นกลางแต่ใจมันลำเอียงธรรมไม่เคยสอนให้เรายึดติด มีสุขเราก็ติดสุข มีทุกข์เราก็ติดทุกข์แต่ธรรมสอนให้เราอยู่ตรงกลาง และเข้าใจว่ามันก็มีวันมืดและก็มีวันสว่างและเราเกิดมาเพื่ออยู่ตรงกลางอย่างสมดุล ถ้ายึดเมื่อไรก็หนีไม่พ้นทุกข์ฉะนั้นจะเอาหัวจมอยู่กับทุกข์หรือว่าจะยืนอยู่ตรงกลางระหว่างฟ้าดินยังมีคนที่แย่กว่าเราและคนที่ดีกว่าเราถ้ารู้สึกแย่มันทุกข์เราก็หันไปมองคนที่เขาแย่กว่าเราก็จะทำให้เรารู้สึกดีถ้ามองดีมากแล้วทำให้หลงก็อย่าลืมว่ามันไม่เที่ยงเพราะถึงที่สุดแล้วชีวิตอยู่ที่เราเลือกเดิน ถ้าเข้าใจหลักของฟ้าจะไม่โทษฟ้าเข้าใจหลักของความเป็นคนจะไม่ด่าทอคนให้เกิดวิบากกรรมที่เรียกว่า เกลียดโกรธ หลง แค้น จองเวรจองกรรมอีกเลย การรู้แจ้งจะทำให้เราพ้นกิเลสพ้นทุกข์ได้โดยที่ไม่ต้องอดทน แต่จะเกิดความกระจ่างแจ้งว่า “ช่างเขา” ไม่คิดก็ไม่มี ยิ่งคิดก็ยิ่งมี จริงไหมฉะนั้นปล่อยความคิดและรักษาความเป็นกลางให้สมดุลวันนี้รักมากก็หัดมองให้ชัดเจนวันนี้เกลียดมากก็ลองมองดูว่าเขามีอะไรน่ารักไหม แท้ที่จริงแล้วคนที่เราเกลียดจนแช่งชักหักกระดูกเขาก็มีมุมที่น่ารักและคนที่เรารักมากจนทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเขาก็มีอะไรที่น่ารังเกียจเหมือนกันฉะนั้นเราควรโกรธให้สะใจ แล้วเป็นทุกข์ เป็นหนี้บาปกรรม เป็นวัฏฏะการเวียนว่ายหรือเราควรจะไม่โกรธดี (ไม่โกรธ)  โดยไม่ต้องใช้คำว่าอดทนหรืออภัย แต่เป็นความเข้าใจ
แปลกนะ มนุษย์กลัวทุกข์แต่ไม่หาต้นเหตุเพื่อดับทุกข์แต่พยายามหาสุขทั้งที่จริงๆแล้วถ้าดับทุกข์ได้ทุกข์ก็จะกลายเป็นสุขแต่มนุษย์หนีทุกข์และพยายามหาสุขถึงที่สุดแล้วความสุขที่พยายามหานั้นก็ให้ทุกข์ไม่ต่างกันเลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าเรารู้แจ้งเข้าถึงความจริงแห่งทุกข์เราก็จะพบสุขได้โดยที่ไม่ต้องแสวงหาสุขจากภายนอกเลยสภาวธรรมหรือสภาวะความว่าง จริงๆแล้วมีอยู่ในตัวเราทุกคนนะแต่อยู่ที่ว่าท่านเคยใช้สติ หยั่งลงมองให้เห็นความจริงในใจตนเองไหมถ้าเอาแต่ยึดมั่นถือมั่นก็มองไม่เห็นความว่างแต่ถ้ามองให้ดีแล้วในความมีมันมีความว่างอยู่
สรุปง่ายๆจิตที่ว่างไม่ใช่ไม่มีความคิดอะไรจิตที่ว่างยังมีความคิดเต็มไปหมดแต่รู้เท่าทันความคิดด้วยสติและก็สงบได้จิตที่สงบและบริสุทธิ์ไม่ใช่ว่าไม่มีเรื่องราวหน้าที่อะไรยังมีเรื่องราวหน้าที่แต่สามารถรักษาความสงบสุขท่ามกลางความวุ่นวายได้เวลาเราไปทะเล เราอยากหาความสงบใช่หรือไม่ (ใช่)  เราขึ้นภูเขาเราก็อยากไปตากอากาศเย็นสบายและหาความสงบใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บนภูเขาเราหนีเสียงนกได้ไหม (ไม่ได้)  ขึ้นบนเขาก็ยังมีเสียงนกเสียงน้ำตก เสียงลม และก็ยังมีเสียงจั๊กจั่น จิ้งหรีดแต่ทำไมเราว่ามันสงบนั่นเป็นเพราะเราชอบเช่นกันอยู่ในโลกเป็นไปได้ไหมถ้าจะไม่มีเสียงคนถ้าถือว่าเสียงคนเป็นเสียงนกกระจิบที่เราได้ยินบนภูเขาเราก็จะสงบได้ถ้าที่ไหนก็สงบก็คือที่ที่เราพักผ่อนแต่ถ้าอยู่ที่ไหนก็ไม่สงบถึงจะขึ้นภูเขาเข้าป่า ไปว่ายน้ำไปเหาะเหินเดินอากาศก็ไม่สงบ ก็เหมือนคนที่หลอกตัวเองเพราะลึกๆมันไม่สงบ ฉะนั้นชีวิตที่แท้จริงถึงที่สุดก็ไม่สามารถหนีความว่างได้แต่ถ้าศิษย์น้องยังอยากยึดความมีศิษย์น้องก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เรียกว่ากรรมดี กรรมชั่ว แต่ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์น้องเข้าถึงความว่างศิษย์น้องจะพ้นจากกรรมดีกรรมชั่วและวัฏสงสาร คิดดูนะ ถ้าทำอะไรรู้จักพิจารณาก่อนทำเราก็จะไม่เดือดร้อนแต่ถ้าทำแล้วค่อยพิจารณาเราลำบากแน่เลย
ถ้ายังมีรากบุญดีอีกไม่นานก็จะกลับมาผูกบุญกันอีกแต่ถ้าไร้รากบุญแล้วแม้พบกันวันนี้ก็อาจจะกลายเป็นวันสุดท้ายก็ได้จริงไหม (จริง)  บุญหรือบาปบุญหรือเคราะห์กรรมไม่ได้อยู่ที่ศิษย์พี่กำหนดแต่อยู่ที่ศิษย์น้องเป็นคนสรรค์สร้างเอง  ฉะนั้นรู้จักถนอมบุญและรักษาบุญด้วยการหมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามและช่วยชำระล้างจิตใจได้ไหม (ได้)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกอย่าดูถูกตัวเองเราสามารถสร้างบุญที่ยิ่งใหญ่ได้และสามารถสร้างชะตาด้วยการปลูกบารมีให้ธรรมะเป็นทานได้  แล้วธรรมที่เป็นทานที่ยิ่งใหญ่คือธรรมที่ไม่ถือสาหาความ เห็นเหมือนไม่เห็นไม่ยึดติดความคิดตัวเองจนกลายเป็นวิบากกรรมให้ทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  กลับแล้วนะ

*** ประวัติศิษย์พี่พระนาจา
สมัยปลายราชวงศ์เซียง คาบเกี่ยวต้นราชวงศ์จิว ในรัชสมัยของจิวบุ้นอ้วงเป็นฮ่องเต้ ตำนานกล่าวถึงเทพนาจาเป็นบุตรคนที่ 3 ของแม่ทัพหลี่จิ้ง มีกำเนิดที่ไม่ปกติเพราะอยู่ในครรภ์มารดานานถึง 3 ปี 6 เดือนกว่าจะคลอด และเมื่อคลอดออกมาก็มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อหุ้มอยู่ จนบิดาต้องใช้กระบี่ฟันก้อนเนื้อจึงปรากฏทารกเพศชายมีผ้าสีแดง มีห่วงทองคำ สร้างความปีติแก่ครอบครัวอย่างมาก รุ่งเช้านักพรตไท้อิกจิงยิ้งได้มาร่วมแสดงความยินดีกับแม่ทัพหลี่ และเห็นลักษณะนาจาว่าเป็นผู้มีบุญบารมีสูง จึงได้รับไว้เป็นศิษย์และถ่ายทอดวิชาให้ เมื่อนาจาอายุได้ 7 ขวบ ได้ออกไปท่องเที่ยวจนเกิดการวิวาทกับบุตรชายเจ้าสมุทร และพลั้งมือจนบุตรชายเจ้าสมุทรเสียชีวิต เจ้าสมุทรจึงมาแก้แค้นนาจา บิดาของนาจาโกรธเคืองบุตรของตนเป็นอย่างยิ่งนาจาต้องยอมผ่าท้องควักไส้ตนเองเพื่อชดใช้ความผิดด้วยชีวิต ต่อมาเทพไท้อิกจิงยิ้งได้ชุบชีวิตนาจาขึ้นมาใหม่ หลังจากนั้นนาจา บิดาหลี่จิ้งและพี่ชายทั้งสองได้ไปช่วยแม่ทัพเจียงไท่กงทำสงครามกับกองทัพราชวงศ์เซียง จนได้ชัยชนะ ล้มราชวงค์เซียงไป เกิดราชวงศ์ใหม่ คือราชวงศ์จิว นาจา บิดา และพี่ชายทั้งสองได้กลับไปบำเพ็ญเพียรจนบรรลุธรรม กลับคืนเบื้องบน


วันอาทิตย์ที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒          สถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ในระหว่างตั้งตัวกลัวไม่ตั้งใจ          บอกกับใจว่าไม่เอาแต่หยวน
กำหนดบ้างไว้ทุกข์ในสัดในส่วน        รักชีวิตคงไม่ด่วนให้ท้ายตน
แต่นี้ไปตายจากความเหลาะแหละ      ดับอารมณ์เศร้าซึมและจิตสับสน
ถกเถียงกันไปไหนเรื่องเวียนวน        คำติบ่นไม่ส่งเสริมกำลังใจ
                    เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                                      รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่สถานธรรมโพธิ แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม
    ตั้งใจบำเพ็ญเป็นบุญทุกวัน ใช้ใจประเดิมปัญญาพร้อมศรัทธา สิ่งที่เห็นทั้งนั้นของดีตรงหน้า ไม่เอาธรรมไปมองมักเห็นแต่สุขสบาย ไม่อยู่กับทุกข์บำเพ็ญไม่โดนใจ ทุกข์แล้วสบายมีใครบ้างเกิดมา อยู่ด้วยทุกข์แล้วช้ำพิจารณา
ย่อมปรากฏหลักฐานชัดแจ้งในตัว

    ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้างคงไม่ตายไป ซึมเศร้ากันไปไหน คนดีต้องมีละอาย เพียงผิดหวังไม่ตายไปบ้าง ธรรมไม่ไปไม่มา
    ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้าง จึงได้บำเพ็ญ  เป็นใจเองวุ่นวาย สุขใจก็มีความทุกข์ได้
สุขเพราะปลงความทุกข์ไป คนที่เรียนจากทุกข์มีเชาวน์


ทำนองเพลง: ช้ำคือเรา
ชื่อเพลง: กำไรจากความทุกข์

หมายเหตุ ที่ขีดเส้นใต้คือพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “กำไรจากความทุกข์”



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

   อยู่ในโลกคนที่น่ารักคือคนที่กล้ายอมรับความจริง คือคนที่ไม่เกียจคร้าน มีน้ำใจไม่ใช่รักแต่สบายไม่ใช่คนที่ชอบเอาแต่อู้งานมาตากแอร์ในห้องดีกว่าไม่ต้องทำอะไร ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  คนโดยส่วนใหญ่มักจะบ่นๆ ว่าเกิดเป็นคนดีก็ยากแล้วดีแล้วแล้วยังต้องพยายามบำเพ็ญอีกก็ยิ่งยากจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นบางคนก็ถามอาจารย์ว่าเป็นคนดีไปทำไมเป็นคนดีก็ยากแล้วยังให้บำเพ็ญอีก เป็นคนดียังไม่ค่อยรอดเลยแล้วให้บำเพ็ญจะรอดไหม อาจารย์ถามว่าคนที่ดีคนที่รู้จักบำเพ็ญน่าจะเป็นคนแข็งกระด้างหรือคนอ่อนน้อม (อ่อนน้อม)  น่าจะเป็นคนที่รักการเรียนรู้หรือดื้อแพ่งไม่ฟังใคร (รักการเรียนรู้)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราเป็นประเภทไหน (รักการเรียนรู้)  รู้หมดแล้วอย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่ใช่)  เรามาเริ่มต้นเรื่องง่ายๆ ก่อน เริ่มจากการเป็นคนดีก่อนถ้ายังเป็นคนดีไม่พอจะยังบำเพ็ญไม่ได้ การเป็นคนดีอย่างน้อยคนดีต้องไม่ทำ (ความชั่ว)ขึ้นชื่อว่าคนดีต้องไม่ทำผิดบาป เพราะถ้าเราจะบำเพ็ญแต่ความชั่วความผิดบาปเรายังไม่ละเลิกอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นคนบำเพ็ญยังไม่ได้ เพราะเป็นคนดียังไม่รอดถ้าใจหนึ่งก็อยากทำดี แต่อีกใจหนึ่งก็ยังละบาปไม่ได้อย่างนี้เรียกว่าดีหรือไม่ (ไม่ดี)  เรียกว่าดีแท้ไหม (ไม่แท้)คนดีอยู่ที่ไหนก็ต้องดีใช่หรือไม่ (ใช่) 
เพราะการบำเพ็ญต้องเริ่มต้นตั้งแต่ดีให้ได้ก่อนฉะนั้นคนดีที่แท้จริงคือคนที่ละชั่วบำเพ็ญบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อบายมุข โลภโกรธ หลง สิ่งเสพติด สารมึนเมา ไฮโล การพนัน ติดชาย ติดหญิง ใช่หรือไม่ (ใช่) เราต้องละบาปให้ได้ก่อนเราถึงจะบำเพ็ญบุญ แต่มนุษย์ในโลกส่วนใหญ่พยายามเป็นคนดีแต่ไม่ละบาป หรือไม่ก็ทำบาปก่อนแล้วค่อยทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ศิษย์เอ๋ยถ้าอยากอยู่ในโลกแล้วทุกข์น้อยที่สุดก็คือ จะนั่งหรือยืนก็ได้อะไรจะเกิดขึ้นก็พร้อมเผชิญ ชีวิตก็ไม่ทุกข์  แต่ถ้ายืนแล้วไม่ให้นั่งก็โกรธอย่างนี้ก็ยึดติดเกินไป หาเรื่องให้ตัวเองทุกข์เกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะบางครั้งชีวิตไม่ใช่เรากำหนด มีสิ่งแวดล้อมเกี่ยวข้องด้วยฉะนั้นเราจะหวังให้เป็นดั่งใจทุกอย่างเป็นไปไม่ได้
เป็นศิษย์ของอาจารย์ไม่ต้องพยายามเป็นคนดี แค่พยายามไม่ประพฤติผิดเพราะคนในโลกพยายามเป็นคนดีเหลือเกิน แต่ไม่ละความผิดและยึดติดความดีจนเป็นความดีหลงผิดอย่างน้อยเริ่มต้นการเป็นคนดีก็คือไม่ประพฤติผิด หนทางของความดีคือต้องมีศีล มีธรรม  ศีลยังนำมาซึ่งความสงบและปกติ ธรรมนำมาซึ่งความสุขและสงบเย็น  ตอนนี้ชีวิตเราปกติดีไหม (ดี)ปกติแล้วสบายดี ใช่หรือไม่ เมื่อไรที่ชีวิตเราผิดปกติ นั่นแปลว่าเราขาดศีลเมื่อไรที่ชีวิตเราไม่สงบสุข จงถามตัวเองว่าเราขาดธรรมหรือไม่คนที่ดี ไม่ใช่แค่ดีอย่างเดียวหนทางของการเป็นคนดีนั้นต้องมีศีลมีธรรมด้วย ศีลคือทำให้เราปกติธรรมคือทำให้เราอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสงบสุขศีลสอนให้เราไม่เบียดเบียนธรรมสอนให้เราประพฤติให้ถูกต้องและมีคุณงามความดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเรามีศีลมีธรรมอยู่ทุกขณะกับผู้คน เราก็คือคนดีคนหนึ่งแต่ศิษย์ของอาจารย์ก็บอกว่า “คนเราก็มีผิดพลาดได้ คนเราก็มีดีบ้าง ไม่ดีบ้าง”ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “น้ำผึ้งหยดเดียว เกิดศึกกลางเมือง”  “ถ้าทิ้งก้นยาสูบไม่ถูกที่ก็เกิดไฟไหม้ป่าได้” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความผิดเพียงเล็กน้อย เราอย่าคิดว่าเป็นเพียงแค่เล็กน้อยแต่เมื่อผลสะท้อนกลับมา เราก็ต้องมาเจ็บช้ำน้ำใจกับสิ่งที่เราผิดพลาดถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นคนเราควรที่จะทำผิดไหม (ไม่ควร)  เพราะโลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล ถ้าไม่สร้างเหตุที่ถูกแล้วเราจะได้ผลที่ถูกไหม (ไม่ได้)  ถ้าเราสร้างเหตุที่ผิดเราก็ต้องรับผลที่ (ผิด)  นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำไมเราต้องเป็นคนดีเพราะการเป็นคนดี และอยู่ในศีลในธรรม จะช่วยป้องกันให้ไม่ต้องมีทุกข์และไม่ต้องรับผลของการกระทำที่เรียกว่ากรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดมาแล้วมีทุกข์ เราอยากเกิดไหม (อยาก)  อย่าหลอกอาจารย์ว่าไม่อยากยังอยากไม่จบ อยากได้โน่น อยากได้นี่จริงไหม (จริง)  เราเกิดมามีทุกข์ หนีกรรมไม่พ้น แล้วยังอยากเกิดหรือไม่ (อยาก)อยากเพราะคิดว่าเผื่อจะมีกรรมดีมากกว่ากรรมชั่วหากเราไม่อยากรับกรรมในภายหน้าเราต้องรักษาตัวเองให้อยู่ใน (ในศีลในธรรม)แล้วเราอยู่ในศีลในธรรมหรือไม่ อนาคตจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับอดีตที่ทำมาและปัจจุบันที่ทำไป ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ส่วนใหญ่ไม่อยากทุกข์แต่ศิษย์รู้หรือไม่ว่าที่ศิษย์ทำดีมีศีลมีธรรมแต่ทำไมยังไม่พ้นทุกข์ศิษย์จำไว้นะว่าการทำระดับศีล  ระดับบุญ ระดับการทำความดี ยังไม่สามารถนำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้เป็นเพียงการป้องกันเราไม่ให้ตกเป็นทาสของกรรมชั่วทาสของกิเลสอารมณ์ที่นำมาซึ่งทุกข์  วิบากกรรมและความเจ็บช้ำน้ำใจที่เราจะต้องรับในสิ่งที่เราสร้าง  เข้าใจหรือไม่  เหมือนกับที่ศิษย์บอกว่าบุญศิษย์ก็ทำมาก พระก็สร้าง วัดก็ช่วยทำบุญแต่ทำไมไม่เห็นพ้นทุกข์เลย  อาจารย์จะบอกว่าถึงศิษย์จะทำบุญมากแค่ไหนมีดีมากแค่ไหน  แค่ระดับบุญ ศีล ทาน ธรรมยังไม่สามารถนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้  แต่เป็นเพียงป้องกันไม่ให้เรามีทุกข์เพิ่ม  รู้หรือไม่ (ไม่รู้) ไม่รู้ คิดว่าทำบุญทำทานก็พ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สมมติว่าอาจารย์ชอบทำบุญแต่วันหนึ่งอาจารย์เผลอไปตีหัวคนอาจารย์ถามว่าบุญจะล้างบาป จะชดเชยบาปที่เราทำได้หรือไม่บุญที่เราทำมาก็ส่วนบุญ บาปก็ส่วน (บาป)หากเราไม่อยากมีบาปเราก็อย่า (ทำบาป) ฉะนั้นไม่อยากอายผีก็อย่าทำผิดบาปทั้งในที่ลับและที่แจ้ง  ไม่เช่นนั้นผีและวิญญาณร้ายจะดูถูกและเหยียดหยามถ้าเราทำดีมากๆ เหมือนการเติมน้ำลงไปในน้ำเกลือ เพื่อทำให้น้ำเกลือเจือจางลงแต่อาจารย์จะบอกว่าเกลืออยู่ในน้ำอย่างไรมันก็เป็นเกลือ  เช่นกันถ้าศิษย์ทำผิดไปแล้วยอมขอโทษ และอุทิศส่วนกุศลให้เขาศิษย์คิดว่าเขาจะหายโกรธหรือไม่ (ไม่หาย)อาจารย์ถามว่าเราเกิดมาแล้วถูกทำร้ายหนึ่งครั้ง เราอยากเอาคืนหรือไม่อย่างน้อยก็ต้องตีกลับให้แรงๆ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นสิ่งแรกที่อาจารย์อยากย้ำกับศิษย์มากที่สุดก็คือ อย่าทำผิดบาปเพราะเมื่อผิดบาปส่งผลเป็นกรรมเป็นเวรแล้วให้ผลเป็นทุกข์แล้วแม้ศิษย์จะน้ำตานองหน้า แม้ศิษย์จะกราบพระขอให้อภัยเขาก็ไม่ละเว้นอย่าประมาท อย่าดูเบาความผิดเล็กๆ น้อยๆเพราะเมื่อผลกรรมมันตกผล จะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้นและเขาไม่ได้จองเวรชาติเดียวนะ ถ้าเขาเอาได้เขาก็คงเอาทุกๆ ชาติที่เขาจำได้เหมือนพระเทวทัตกว่าที่จะบรรลุธรรมได้ก็ต่อเมื่อไม่เห็นพระพุทธเจ้าอีกแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) 
นอกจากการมีศีลมีธรรมแล้วสิ่งที่ศิษย์จะต้องรู้อีกอย่างคือการบำเพ็ญ แล้วทำอย่างไรจะเรียกว่าบำเพ็ญเพื่อนำพาให้เราพ้นทุกข์เอาธรรมอะไรที่มาช่วยพิจารณาจนหยั่งถึงและทำให้เราพ้นทุกข์ได้ตอบได้ไหม (บำเพ็ญเพียรภาวนา) เอาอะไรมาภาวนาแล้วเกิดปัญญาเห็นแจ้ง
ถ้ามนุษย์หมั่นพิจารณาเอาหลักความเป็นจริงซึ่งเป็นแก่นของทุกสรรพสิ่งและเป็นแก่นของรูปนามทั้งปวงมาใช้พิจารณาอยู่เนืองๆ มนุษย์จะสามารถพ้นทุกข์ได้หรือที่ศิษย์บอกว่าจะกลับคืนสู่นิพพานได้อย่างไรแต่ก็ยังเป็นแค่นิพพานชั่วขณะหนึ่งที่เราพิจารณา เราได้พิจารณาอย่างต่อเนื่องหรือไม่สิ่งที่เป็นหลักที่จะนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้นั่นก็คือการพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อาจารย์พูดเรื่องนี้บ่อยครั้ง  แล้วเราพิจารณาจนพ้นทุกข์บ้างหรือไม่สิ่งที่เรารู้ส่วนใหญ่อยู่ในระดับเริ่มต้น คือศีลระดับทานและระดับต่อไปคือมั่นคงในความดีงามจนถูกต้องเพื่อเข้าถึงปัญญาแจ่มแจ้งในธรรมแล้วเราจะเข้าถึงปัญญาอันแจ่มแจ้งในธรรมได้ก็ต่อเมื่อเราเอาสิ่งนี้มาหยั่งรู้ในใจและทำให้เราตื่นรู้ในความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาของโลกฉะนั้นเมื่อไรที่เราพบความเจ็บ ความทุกข์ ความพลัดพราก ความสูญเสียพบอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจสิ่งนี้จะเตือนใจว่า มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์และมันว่างเปล่าจากตัวตน  ศิษย์เคยเห็นไหมเวลาที่มีเราโมโหคน เรากำลังมีความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และไม่มีใครเคยทุกข์ครั้งเดียวทุกคนล้วนทุกข์แล้วทุกข์อีกถูกไหม (ถูก)  เวลาที่ศิษย์เคยพบคนที่ไม่ได้ดั่งใจ ทำให้เราทุกข์ศิษย์มักถามอาจารย์ว่า “อาจารย์ทำไมศิษย์ต้องพบคนแบบนี้อาจารย์ศิษย์ไปทำกรรมอะไรมาศิษย์ต้องพบกับคนแบบนี้ทำไมเขาต้องทำกับศิษย์แบบนี้” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่พบในสิ่งที่มันไม่คาดคิดเอาอันนี้มาคิดมาพิจารณามันจะแตกยอดออกไปว่า “จงอยู่กับปัจจุบัน อย่าแขวนตัวเองไว้กับความนึกคิดคาดหวังอย่าผูกใจตัวเองกับอดีตที่แล้วมาแล้วเราจะมีชีวิตอยู่อย่างอิสระและเป็นสุขในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตรงนี้” จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ก่อนเขาอาจเคยเป็นคนให้ศิษย์ แต่ตอนนี้เขาเป็นคนที่จะเอาจากศิษย์จนศิษย์หมดตัวหรือไม่ไหวจนศิษย์อยากหนีไปให้พ้นๆ ถ้าศิษย์พบคนแบบนี้ ศิษย์จะหนีหรือลุกขึ้นสู้ ให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลย  อาจารย์จะบอกศิษย์อีกอย่างนะจำไว้ โลกใบนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ คนทุกคนล้วนต้องมีบุญ กรรมกันมาถึงต้องมาพบกันช่วงแรกศิษย์อาจบอกว่า บุญอะไรให้มาพบกันแต่พออยู่ไปสักพักหนึ่งศิษย์อาจจะบอกว่าเป็นกรรมอะไรนะศิษย์จำไว้ไม่ใช่มีแค่กรรมแต่มีทั้งกรรมและบุญมาพร้อมๆ กัน  และถ้าบังเอิญเกิดขึ้นแล้วเขาทำร้ายเราให้เจ็บปวด  เราอยากจบกรรมหรืออยากเกี่ยวกรรมกันต่อ (จบ) เมื่อจบแล้วยอมไหม (ยอม) ถ้าทั้งชีวิตเขาเอาไปหมดเลย แล้วเราต้องมานับหนึ่งใหม่ เรายอมไหม (ยอม, ไม่ยอม)  อาจารย์จะบอกศิษย์ว่าสู้ได้แค่ระดับหนึ่ง แต่ถ้าระดับหนึ่งแล้วไปไม่รอด ให้กลับมาตั้งหลักใหม่แล้วอยู่กับสิ่งที่มีด้วยหัวใจที่เข้มแข็งไม่ดีกว่าหรือแล้วถ้าสู้ไปก็เจ็บ สู้ไปก็ทุกข์อย่างนั้นอยู่กับสิ่งที่มีให้ได้ไม่ดีกว่าหรือ เราเกิดมาก็มาตัว (เปล่า)ไปก็ไปตัว (เปล่า) แล้วจะเหนื่อยทำไม ไปด่าเขาทำไม ไปแย่งเขาทำไมถ้าเขามีความสุข แล้วเราสละความยึดมั่นถือมั่นได้ ให้ไปเถอะไม่ตายหาใหม่ได้ จริงไหม (จริง) ถ้าศิษย์หมั่นพิจารณาตรงนี้เนื่องๆ  ศิษย์จะเข้าใจและรู้ว่าทุกข์นั้นไม่มี ผลจากการพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะทำให้รู้ว่า
อนิจจังความไม่เที่ยง ถ้าเข้าใจจะ เห็นเหมือนไม่เห็น
ทุกขังความไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิม ถ้าเข้าใจจะ รู้เหมือนดั่งไม่รู้ 
อนัตตาความไม่มีตัวตน ถ้าเข้าใจจะมีเหมือนดั่งไม่มี 
อาจารย์ชอบบทนี้มากที่สุด เพราะบทนี้ช่วยปลดทุกข์ปลดกิเลสได้ ปลดการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้และทำให้ศิษย์พ้นจากการเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารได้ด้วยทั้งหมดนี้ดียิ่งกว่าศีลทานอีก ศีลทานเป็นแค่ความดีเบื้องต้นถ้าศิษย์เข้าถึงบทนี้ได้ ศิษย์จะละชั่วได้เลย ศิษย์จะไม่สร้างบาปศิษย์จะไม่โลภ ศิษย์จะไม่หลง เพราะว่าสิ่งที่เห็นเหมือนไม่เห็นสิ่งที่รู้ก็เหมือนไม่รู้ สิ่งที่มีก็เหมือนไม่มี ในโลกนี้มีอะไรที่อยู่กับเราบ้าง แล้วสิ่งที่ศิษย์บอกว่ารู้ นั้นรู้ไหม (ไม่รู้)  ใครจะทำอะไร ยังไม่ทันอ้าปาก เราก็รู้แล้ว  แต่จริงๆเขาก็อาจทำอะไรที่เหนือความคาดหมายก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่เห็นเราก็เหมือนไม่เห็น สิ่งที่รู้ เราก็เหมือนไม่รู้สิ่งที่มีก็เหมือนไม่มี  ดังนั้น ถ้ามีคนด่าเรา เราก็เหมือนไม่เห็นเราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  ถ้าเราเห็นคนน่ารัก เราก็เหมือนไม่เห็นเราจะหลงไหม (ไม่หลง)  จะทำให้ศิษย์ไม่ประพฤติชั่วได้เลย คือไม่โลภไม่โกรธ ไม่หลง เพราะสิ่งที่ศิษย์เห็นว่าสวยนั้นไม่สวยสิ่งที่ศิษย์เห็นว่าดี ยังดีไม่แท้ ใช่หรือไม่ (ไม่)  แล้วที่ศิษย์เห็นว่าคนนี้ร้ายอย่าเพิ่งโกรธเขา เพราะคนนี้อาจยังไม่เท่าไร  แต่คนที่จะพบในอนาคตอาจจะเลวกว่าคนนี้ที่เราพบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นหากเราเข้าใจในหลักธรรมอันนี้ แม้กระทั่งตัวตนศิษย์ก็ละวางได้และเกิดมาแค่ใช้ชีวิตให้ถูกต้องและเรียนรู้ตัวตน และกลับไปสู่ความว่างเปล่าร่างกายตัวนี้วันนี้เห็นเป็นแบบนี้ พรุ่งนี้จะเหมือนเดิมหรือไม่เอารูปเมื่อสิบปีที่แล้วมาดูก็ไม่เหมือนตอนนี้แล้วหากร่างกายเป็นของเราจริงก็ต้องเชื่อฟังเรา เราต้องบังคับได้จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วเราบังคับมันได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แล้วเราไปยึดมันไว้หรือไม่  ยึดเมื่อไรก็เป็นทุกขัง  ทุกขังแปลว่าสภาพที่ทนได้ยากและต้องการให้เราพ้นจากทุกข์นั้น  ทุกขังไม่ใช่ทุกข์แล้วจะตายเหมือนวันนี้เราเจ็บเราต้องหาทางเพื่อพ้นทุกข์ถ้าเราทุกข์เราควรจมกับความทุกข์หรือลุกขึ้นมาสู้กับความทุกข์ (สู้กับความทุกข์) แต่อาจารย์เห็นแต่ศิษย์ที่จมกับความทุกข์   เข้าใจบ้างหรือไม่ (เข้าใจ)หากศิษย์เข้าใจสักนิดจะรู้ว่าการบำเพ็ญไม่ใช่เรื่องยาก
แล้วการบำเพ็ญคืออะไร  จะบำเพ็ญตอนไหน  ตอนที่เราถูกกระทบใจ สมมติว่าอาจารย์มีผลไม้ถาดหนึ่ง ประมาณยี่สิบลูกเป็นผลไม้ที่กินแล้วดี กินแล้วเป็นมงคลทุกคน อยากได้ไหม (อยากได้)  แต่ผลไม้นี้มีแค่ยี่สิบลูก ถ้าศิษย์บอกว่า “อาจารย์ศิษย์ไม่อยากได้เพราะศิษย์อยากเอาไปให้คนอื่นแทนหรือเสียสละไปให้คนอื่นแทน” ดีไหม (ดี)  แต่ส่วนใหญ่อยากได้ก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเริ่มต้นอยากแล้วค่อยให้ ไม่เรียกว่าบำเพ็ญแต่ยังไม่ทันอยากก็ให้แล้วนั่นเรียกว่าบำเพ็ญตั้งแต่เริ่มต้นเลย คือละบาปบำเพ็ญบุญ และมีปัญญาเห็นแจ้งจริง รู้จักไม่เอาและสละให้แต่ในโลกของความเป็นจริง เอามาก่อนแล้วค่อยให้ ใช่หรือไม่ ถ้าอาจารย์ไปขโมยผลไม้มา เป็นผลไม้ที่สามารถรักษาคนให้หายเจ็บหายไข้ได้ อาจารย์ไปขโมยของคนที่เขากินแล้วเขาใกล้จะหาย เพื่อจะมาให้ศิษย์ ศิษย์จะรับไหม (ไม่รับ)  นี่คือศิษย์กำลังบำเพ็ญและได้ละบาปแล้ว ถ้าศิษย์บอกว่า “ไม่เอาอาจารย์อาจารย์ไปขโมยเขามา อาจารย์เอาไปคืนเขาเถอะสงสารเขา” ศิษย์ได้มีศีลมีธรรมและยังช่วยเตือนอาจารย์ให้ไม่ผิดศีลผิดธรรม 
ฉะนั้นการบำเพ็ญไม่ใช่ต้องไปวัดแต่เราสามารถทำได้ทุกขณะที่เราอยากถ้าอยากแล้วก่อเกิดเป็นกิเลสไม่อยากดีไหม (ดี)  ถ้าอยากแล้วมันผิดกลายเป็นคนไม่มีคุณธรรมหยุดก่อนดีไหม (ดี)  แล้วเมื่อเราไม่อยาก แล้วเราเข้าใจ แล้วเราเกิดปัญญาเห็นแจ้งว่าได้มาก็เหมือนไม่มีอะไร ไม่เอาดีกว่าเราก็มีปัญญาเห็นแจ้งเข้าไปอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่แค่ทำแค่ภายนอกแต่ทำได้ทุกขณะทุกเวลายากไหม (ไม่ยาก)  อย่างนั้นเราจะทุกข์อีกไหม (ไม่ทุกข์)  แก่ก็ไม่ (ทุกข์)  เจ็บก็ไม่ (ทุกข์)  ตายก็ไม่ (ทุกข์) 
เมื่อครู่ใครตอบอาจารย์ให้ยืนขึ้น อาจารย์อยากให้รางวัลเอาหรือไม่ เอาทั้งถาดเลยดีไหม (เอา)  เขากล้าขออาจารย์ก็ให้นะจะเอาแค่หนึ่งหรือเอาทั้งถาด (แค่หนึ่ง)  ศิษย์เอยชีวิตนี้มันก็เหมือนกับการอยากได้อยากมี  มีหนึ่งก็ทุกข์แค่หนึ่ง
สิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกข์อีกอย่างนั่นก็คือใจที่ไม่ยอมรับความจริงความจริงสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น่ากลัวเท่าใจกับใจที่ไม่ยอมรับความจริงมีคำกล่าวคำหนึ่งบอกว่า “อย่าหนีปรากฏการณ์แต่จงหลบหลีกความคิดปรุงแต่งในใจตน” เราไม่สามารถหนีคนที่ว่าคนที่ทำร้ายเราเราเปลี่ยนแปลงคนที่ว่าคนที่ทำร้ายเราไม่ได้อย่างนั้นเราควรเปลี่ยนความยึดมั่นคาดหวังที่เราคิดว่าเขาน่าจะดีแต่ถ้าเขาไม่ดีก็ขอเรียนรู้และยอมรับความไม่ดีของเขา เปลี่ยนจากความคิดที่ว่าชีวิตควรจะสงบแต่ถ้าไม่สงบเราก็เปลี่ยนที่ใจตัวเรายอมรับความไม่สงบนั้นให้ได้
ศิษย์เอยในบรรดาทุกข์ทั้งหลายความผิดพลาด ความล้มเหลว ความตาย ความเจ็บปวดเงินทอง อะไรน่ากลัวที่สุดและทำให้เราทุกข์มากที่สุด (ความทุกข์)  ถ้าโลกนี้ไม่มีความทุกข์ศิษย์ก็ไม่รู้จักวิธีพ้นทุกข์ปัญญาเกิดเพราะมีทุกข์ ความหลุดพ้นได้ก็เพราะมีทุกข์คนเราแจ้งในทุกข์ได้ก็เพราะเห็นทุกข์ชัดฉะนั้นทุกข์ไม่น่ากลัวแต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าความทุกข์คือ
(เงินทอง) เงินไม่น่ากลัวแต่คนที่โลภแล้วอยากได้เงินจนไม่รู้จักผิด รู้จักถูก น่ากลัวจริงไหม เงินอยู่เฉยๆแต่คนที่อยากได้เงินจนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีนั่นน่ากลัว 
(ความเจ็บปวดน่ากลัว)  ความเจ็บปวดไม่น่ากลัว แต่ใจที่ไร้ปัญญา ใจที่ยอมรับความจริงไม่ได้ ใจที่ไม่ต่อสู้กับความเจ็บปวดแล้วกลับมาเข้มแข็งน่ากลัวกว่า ใช่ไหม
(ความตาย) ความตายไม่น่ากลัวเพราะคนที่รู้จักตายก่อนตายคือคนที่พ้นทุกข์ แต่คนที่ไม่รู้จักตายก่อนตายคือคนที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น จงกล้าตายเพราะทำถึงที่สุดแล้ว เราทำดีที่สุดแล้วอย่างไรเราก็หนีความตายไม่พ้นแต่จงตายอย่างมีสติ และมีชีวิตอยู่ให้ดีที่สุดก่อนที่จะตายจะได้คุ้มค่าที่เกิดมาใครก็หนีความตายไม่พ้นฉะนั้นขอแค่เพียงมีศีล มีศีลก็มีธรรมและมีคุณธรรมความเป็นคนปฏิบัติต่อคนก็ไม่ผิดศีลขาดธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน  ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่คือการได้จบจากการเวียนว่ายตายเกิดการได้จบกรรมกลัวแต่มีชีวิตอยู่ชอบสร้างกรรมไม่จบสิ้นเป็นเช่นนี้ความตายถึงจะเป็นสิ่งที่น่ากลัว ใช่ไหม
(ความคิด) ความคิดน่ากลัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  จำไว้นะ“ตัวตน” ถูกสร้างขึ้นมาจากความคิดเราจะรู้จักตัวตนก็ให้มองความคิด เราคิดอย่างไร ตัวเราก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นถ้าเราอยากจะพ้นทุกข์เราต้องเปลี่ยนความคิดถ้าเปลี่ยนไม่ได้ ก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ถ้าเราสามารถอยู่เหนือความคิดและมองเห็นความคิดได้อย่างแจ่มแจ้งก็แปลว่านอกจากเราจะพ้นทุกข์แล้ว เรายังพ้นจากการยึดติดกรรมเวรชีวิตเราก็จะเปลี่ยน
ความคิดคือตัวตน ตัวตนคือความคิดและความคิดจะพ้นจากตัวตนได้ก็ต่อเมื่อมีความรู้ที่แจ่มชัด ความคิดก็ยึดไม่ได้ตัวตนก็ยึดไม่ได้ เรามีหน้าที่แค่รู้แล้วก็วางทำให้ดีที่สุดแล้วก็ยอมวางลงไป ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(การเกิด)  การเกิดเป็นสิ่งที่น่ากลัวเป็นสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนเราเกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียวใช่ไหม( ไม่ใช่)  จริงๆคนเราตายครั้งเดียวแต่ความเกิดมีหลายครั้ง เกิดอยากได้ก็ทุกข์หนึ่งอย่าง เกิดอยากมีก็ทุกข์หนึ่งอย่างเกิดอยากเป็นก็ทุกข์หนึ่งอย่าง เกิดอยากด่าก็ทุกข์อีกหนึ่งอย่าง เกิดอยากชมก็ทุกข์อีกหนึ่งอย่างใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดมากเท่าไรก็ทุกข์มากเท่านั้นดับความเกิดได้มากเท่าไรก็ดับทุกข์ได้มากเท่านั้น ฉะนั้นไม่อยากทุกข์ก็จงอย่ามีความเกิด
(อวิชชา)  สิ่งที่ทำให้เราทุกข์มากที่สุดก็คือความไม่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่รู้เพราะอวิชชา จึงเกิดตัณหา จึงเกิดอุปาทานแต่ตอนนี้รู้ยิ่งกว่ารู้แต่เมื่อไรจะเอาสิ่งที่รู้ไปประพฤติปฏิบัติจนเห็นแจ้ง อย่าบอกว่าไม่รู้  สิ่งที่ทำให้เราไม่รู้คือ การขาดสติ ถ้าขาดสติเมื่อไร สัมปชัญญะปัญญาก็ไม่เกิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถึงรู้ขนาดไหนทำอะไรจงมีสติรู้เท่าทันคนอื่นไม่สู้รู้เท่าทันใจตัวเอง
เราทุกข์เพราะอะไรหรือ (ทุกข์เพราะกิเลส)  จะบอกอะไรให้กิเลสเกิดจากความนึกคิดแห่งตัวตน ถ้ามีตัวตนก็มีกิเลส ถ้าไร้ตัวตนก็ไร้กิเลส  เรารักแบบหนึ่งคนอื่นก็รักแบบหนึ่งเราเกลียดแบบหนึ่งคนอื่นก็เกลียดแบบหนึ่งความรักความเกลียดของแต่ละคนไม่เท่ากันแล้วแต่ความนึกคิดที่เรายึดติดฉะนั้นถ้าเราอยากจะละกิเลส เราก็ต้องรู้จักระวังความนึกคิดความยึดติดแห่งตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่) 
(ตัณหา)  ตัณหาแปลว่าความทะยานอยาก ตัณหาเกิดจากอวิชชา ตัณหา อุปาทานฉะนั้นถ้าศิษย์เห็นชัดๆ ว่าสิ่งที่ศิษย์ได้มาทำให้เกิดโลภ เกิดโกรธเกิดหลง สิ่งที่ศิษย์ได้มานั้น มีก็เหมือนไม่มีเห็นก็เหมือนไม่เห็นแล้วเรายังอยากอีกไหมอาจารย์ถามหน่อยชีวิตเราทุกข์ครั้งเดียวไม่พอหรือ  ต้องทุกข์แล้วทุกข์อีก เจ็บแล้วเจ็บอีกแล้วคนเราเอาทุกข์มาให้เจ็บหรือควรเอาทุกข์มาเรียนรู้เพื่อจะได้ไม่เจ็บฉะนั้นถ้าศิษย์มีความอยากขึ้นมาจงอยากตามหน้าที่แต่ไม่ได้อยากเพื่อสนองกิเลสตัณหาทำตามหน้าที่กับทำสนองกิเลสตัณหาคนละความหมายกันใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างที่เขาเรียกว่าทำเพื่อธรรมหรือทำเพื่อสนองกิเลสอัตตาในใจตน
มนุษย์ทุกข์เพราะยึดติดสมติเขาด่าเราถามว่าเราทุกข์เพราะเขาด่าหรือทุกข์เพราะว่าไม่อยากให้เขาด่าเราห้ามปากให้คนไม่ด่าเราได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นสิ่งที่ห้ามได้คือใจเราเราเปลี่ยนปรากฏการณ์ไม่ได้แต่เราเปลี่ยนการยอมรับในใจเราได้มนุษย์ทุกข์เพราะยึดมั่นกับความคาดหวังในใจยึดติดกับความคิดที่เราผูกไว้ในใจ เขาด่าเราเป็นเรื่องธรรมดาแต่สิ่งที่ทำให้เราทุกข์และเจ็บมากที่สุดก็คือใจที่เราไม่ได้อย่างที่คิด “ต้องชมอย่าด่า ต้องดี ต้องสวย” ถ้าศิษย์อยากจะแก้ทุกข์ศิษย์ต้องมองให้ออกว่าทุกข์ที่เขาหรือทุกข์ที่เราไม่ยอมรับความจริงและเราจะเอาความจริงนั้นมาสอนเราหรือเอาความจริงมาทำให้เราทุกข์แล้วทุกข์อีก 
(ทุกข์เพราะไม่มีใครสนใจ)  นั่นแหละเหตุที่เราทุกข์เพราะเรายึดติดและคาดหวัง อาจารย์ถามว่า “เราเดินไปและบอกให้คนอื่นยิ้ม” หวังให้ทุกคนยิ้มกับเรา หวังให้คนอื่นดีกับเรา ได้หรือไม่ ในเมื่อแก้คนอื่นไม่ได้ ก็แก้ที่เราเปลี่ยนเขาไม่ได้ ก็เปลี่ยนเป็นยอมรับความจริงดีกว่าไหมเพราะคนเราก็มีเข้มแข็งและอ่อนแอสิ่งที่เราต้องแก้เหตุแห่งทุกข์ให้ได้คือความยึดมั่นในความคิดและสิ่งที่เป็นต้นเหตุให้เราทุกข์มากที่สุดคือเราไม่อยากทุกข์ ไม่อยากร้ายไม่อยากผิด ไม่อยากเลว ไม่อยากแย่ ทั้งที่จริงๆ แล้วเราแย่ เราเลวการปฏิบัติที่ดีที่สุดเวลาเราอยู่ร่วมกันก็คือทำหน้าที่ของเราให้ถูกต้อง ไม่ผิดศีล ไม่ขาดคุณธรรมความเป็นคนถึงที่สุดได้ไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องไปกังวลเพราะเราทำดีที่สุดแล้วและอะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ 
คนส่วนใหญ่ทำอะไรจะหวังว่าต้องสำเร็จเท่านั้น ต้องได้ ต้องดีเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในความเป็นจริงที่เรียกว่าธรรมมีสำเร็จก็มีล้มเหลว มีได้ก็มีเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรายังมีปัญญา ยังไหว วันนี้ล้มเหลวก็ลุกขึ้นใหม่ วันนี้ทุกข์วันพรุ่งนี้จะพยายามไม่ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สติเราก็มีอยากแค่เพียงพอบำรุงเลี้ยงชีวิต แต่ไม่อยากจนทำร้ายชีวิตและก่อวิบากกรรมถูกหรือไม่ (ถูก)  ใครบ้างเกิดมาอยากมีกรรมชั่วศิษย์เกิดมาพร้อมกับกรรมดี ฉะนั้นจงรักษากรรมดีนั้นไว้ อย่าเผลอหลงผิดและจงรู้จักต่อยอดกรรมดีนั้น ด้วยการให้ให้มากที่สุด
(ถ้าผมนอนอยู่แล้วร้อน แล้วถีบผ้าห่มออกถามว่าผมทราบไหมว่าผมถีบผ้าห่มออก)  ศิษย์เอย ถ้าทุกขณะเราทำด้วยสติอาจารย์ก็เชื่อว่าความรู้สึกตัวนั่นแหละที่จะบอกว่าเราต้องถีบผ้าแล้วศิษย์ไม่มีสติรู้เลยหรือว่าต้องถีบ  ฉะนั้นถ้าฝึกให้มีสติอยู่ทุกขณะแม้ขณะฝันศิษย์ก็สามารถควบคุมฝันได้ด้วย  ถ้าเขามาทำร้ายศิษย์ยังรู้จักรับมือ แล้วหยุดการทำร้ายนั้นได้  หรือแม้แต่ศิษย์คิดจะทำร้ายศิษย์ยังสามารถควบคุมสติได้จนถึงขนาดว่าเราจะไม่ทำร้ายเขา  เพราะสิ่งที่อยู่ใต้สำนึกเกิดจากการสั่งสมของสัญญา ความรับรู้ความหมายรู้ในจิตของเรา ที่เราฝังลงไปในใจ ที่เรียกว่าจิตเนื้อนาบุญปลูกบุญก็ได้บุญ ปลูกบาปก็ได้บาปแต่โดยส่วนใหญ่สิ่งที่เราปลูกคือความคิดเห็นอันเป็นอัตตาตัวตนที่เรียกว่านิสัย อารมณ์ กิเลส แล้วก็จะฝังอยู่ในตัวเราแล้วออกมาทางความรู้สึก ความฝัน และการประพฤติในชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราสามารถย้อนกลับไปมองที่ตัวต้นเหตุได้ด้วยการมีสติรู้และไม่ฝังอะไรลงไปในสัญญา เราก็จะสามารถควบคุมชีวิตได้เรียกว่า นอนแล้วไม่ฝัน หลับแล้วไม่ทุกข์ 
อาจารย์จะบอกให้ลึกลงไปอีกว่า ต้นเหตุของความทุกข์มาจากไหนเราประกอบด้วยกาย ใจ จิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  จิต เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์แต่ถูกบดบังไป เพราะใจที่มีอัตตาตัวตนจึงทำให้เราไม่สามารถเห็นจิตเดิมแท้ได้ ที่มนุษย์มักจะพูดว่าจิตเดิมแท้บริสุทธิ์ใส ไม่มีรูปลักษณ์ ใช่หรือไม่ จิตไม่ใช่ดวงวิญญาณกลมๆ จิตเดิมแท้เป็นภาวะแห่งความว่าง แต่มนุษย์ไม่ชอบความว่าง จึงพยายามมีเมื่อมีก็เลยถูกกระทบ เมื่อกระทบก็หนีไม่พ้นยึดติดแบ่งแยกแบ่งแยกเป็นสิ่งที่เรียกว่าสุข เรียกว่าทุกข์ เรียกว่าดี เรียกว่าร้ายฉะนั้นถ้าเมื่อไรมนุษย์สามารถกลับคืนไปสู่ความว่างได้นั่นก็คือกลับสู่จิตเดิมแท้ แต่เรากลับยึดติดว่า“ก็หนูเป็นแบบนี้อาจารย์จะเอาอะไรกับหนูนักหนาก็หนูทำได้แค่นี้อาจารย์ก็คิดมากไปช่างมันเถอะ ตายไปมันก็จบกัน”ในความจริงมันไม่จบ ใช่หรือไม่ เพราะว่า กายเกิดมาเพื่อรับกรรมฉะนั้นกรรมจึงเป็นของกายไม่ใช่ของจิต จำไว้นะศิษย์กรรมเป็นของกายไม่ใช่ของจิต จิตพ้นกรรมมานานแล้วแต่ที่มันไม่สามารถพ้นกรรมได้ก็เพราะว่าเราเอาใจไปผูกยึดกับกายและจิตจึงทำให้จิตนี้มีคำว่าตัวตนบังซ้อนอยู่เมื่อไรที่ศิษย์สามารถวางตัวตนที่บังซ้อนอยู่ได้ศิษย์จะสามารถกลับคืนสู่จิตเดิมแท้อันบริสุทธิ์ได้ ด้วยคำว่าว่างแต่มนุษย์ไม่ชอบความว่าง ชอบความมี ทั้งที่จริงๆแล้วความว่างมันทำให้เราพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงที่สุดแล้วกายก็กลับสู่ความว่าง ใจที่อยากได้นั่นอยากได้นี่เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ก็ไม่เที่ยง
ฉะนั้นถ้าศิษย์บำเพ็ญจึงไม่ใช่แค่การเป็นคนดีแต่ยังหยั่งรากลึกลงไปถึงการกลับคืนสู่จิตเดิมแท้ด้วยซึ่งศิษย์จะต้องมาพิจารณาจนบังเกิดธรรม เหมือนถามว่าตัวตนเกิดจากอะไรตัวตนเกิดจากความคิด ความคิดมาจากความรู้ความเข้าใจสั่งสมจนเกิดเป็นตัวตนหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าตัวตนคือสิ่งที่ปรุงแต่งจากความคิดแล้วความคิดมันมีตัวตนหรือไม่ (ไม่มี)  เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  ฉะนั้นตัวเราเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ไหนครอบงำอารมณ์อยากครอบงำตัวเราก็กลายเป็นความอยากอารมณ์ดีครอบงำตัวเราก็กลายเป็นความดีอารมณ์โกรธครอบงำตัวเราก็กลายเป็นความโกรธทั้งที่จริงๆแล้วตัวเราไม่ต้องการอะไร แต่เรามักไม่ชอบความว่างเราชอบฉันต้องแบบนั้น ฉันต้องมีแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นอาจารย์อยากไปให้ลึกกว่านั้น เมื่อไรที่ศิษย์สามารถวางความคิดเห็นแล้วไม่คิดคือใจที่ว่าง แต่มนุษย์เห็นแล้วมักดึงให้ชอบเห็นแล้วมักผลักให้ชัง ก็เลยกลายเป็นกรรมดี กรรมชั่ว ชอบ ชังแต่ถ้าทุกขณะเห็นแล้วไม่ดึงให้ชอบ ไม่ดึงให้ชัง มันก็ว่าง มันก็ไม่มีมันก็จบ เหมือนถูกเขาด่า เราไม่ตัดสิน ไม่ให้ค่า ไม่ปรุงแต่ง ไม่ยึดติด มันก็ว่างจะเป็นกรรมไหม (ไม่เป็น)  มันก็กลายเป็นอกรรม ฉะนั้นสิ่งที่เขาว่ามาเราก็แค่ชดใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่เมื่อเราสิ้นกรรมก็แปลว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่อไม่สร้างกรรมเมื่อสิ้นกรรมตลอดและทุกอย่างทำเพื่อธรรม ไม่ใช่ทำเพื่อตน เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  และยังจะมีวิบากกรรมให้ต้องไปรับอีกไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นทำไมอาจารย์ถึงต้องกลับไปที่คำแรกว่า เกิดเป็นคนต้องมีศีลธรรมเพราะเราปฏิบัติกับเขาด้วยธรรมไม่ได้ปฏิบัติกับเขาด้วยกิเลสตัณหาเราปฏิบัติต่อเขาด้วยความซื่อสัตย์แต่มนุษย์ไม่ใช่ มนุษย์ปฏิบัติต่อกันเพราะฉันอยากได้อะไรจากเธอ เธอจะให้อะไรกับฉัน ฉันจะดีกับเธอแค่ไหน เธอจะดีกับฉันแค่ไหน จึงเป็นกิเลสและกรรมไม่ใช่ธรรม  แต่ถ้าเราปฏิบัติต่อกันด้วยคุณธรรม ความเมตตา ความซื่อตรง จริงใจเคารพให้เกียรติ และไม่ผิดศีล ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่กรรมที่เรียกว่าตัวตนใช่หรือไม่ (ใช่) 
ไม่ใช่ให้ปล่อยวางแต่ให้ปฏิบัติให้ถึงธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติแล้วได้กรรมยกตัวอย่างเช่น ไปทำบุญแล้วขอให้ถูกหวย ขอให้ครอบครัวร่มเย็นการขออย่างนี้ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อละ แต่ปฏิบัติแล้วหลงยึด ปฏิบัติแล้วได้กรรมเพราะที่สุดของบุญคือชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บาปก็คือยึดมั่นถือมั่นจนเกิดความลุ่มหลง ฉะนั้นถ้าทำบุญแล้ววอนขอจึงเป็นบุญที่มีบาป ทำบุญแล้วหวังยังเป็นบุญที่อาบด้วยกิเลส แล้วเราเป็นไหม (เป็น)  ฉะนั้นเราก็ใช้กรรมต่อไป อาจารย์ถามว่าศิษย์สร้างกรรมดีมากกว่าหรือสร้างกรรมชั่วมากกว่ากรรมชั่วเล็กๆ ก็สามารถทำร้ายให้เราเจ็บปวดได้ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นเราจะอยู่เพื่อธรรมหรืออยู่เพื่อสร้างกรรม  แล้วเราปฏิบัติเพื่อธรรมหรือเพื่อตน (เพื่อธรรม)ส่วนใหญ่จะไม่เพื่อธรรม แต่จะเพื่อตนเองตลอดเลยจริงหรือไม่ (จริง)
หนทางการปฏิบัติความหมายจึงต่างกัน อาจารย์ยกตัวอย่าง เวลาเราไปทำงาน ทำเพื่ออยากได้เงินเดือนหรือทำเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องที่สุด (ปฏิบัติหน้าที่)ถ้าทำเพื่อเงินไม่ใช่เรียกว่าธรรมแต่ถ้าเราทำเพราะอยากปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องที่สุด จริงใจที่สุด  ดีที่สุด ให้สมกับคนที่มีคุณธรรมมากที่สุดนั่นเรียกว่าปฏิบัติเพื่อธรรม แต่ถ้าบอกว่าปฏิบัติแล้วจะได้เงินเดือนเพื่อจะได้ไปเที่ยว ซื้อของนั่นเรียกว่าปฏิบัติเพื่อกรรมและสนองกิเลสตัณหาแห่งตน ใช่ไหม (ใช่)  ความหมายต่างกัน  ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกว่าบำเพ็ญต้องเริ่มตั้งแต่ตอนแรกคือเราปฏิบัติหน้าที่ถูกต้อง รับผิดชอบซื่อตรง และเพื่อคุณธรรมแห่งความเป็นคน ฉะนั้นผิดก็ยอมรับผิดแล้วแก้ไข ทำเพื่อธรรมไม่ใช่ทำเพื่อตน  คุณค่าความหมายคือมีชีวิตอยู่เพื่อธรรมและกลับคืนสู่ธรรมแต่ถ้าทำเพื่อตนก็มีชีวิตหนีไม่พ้นเวรกรรมเพราะคำว่าตนมีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คำว่าธรรมมีแค่คำว่าธรรม และธรรมฉะนั้นถามใจตัวเอง จะทำเพื่อตนหรือทำเพื่อธรรม (เพื่อธรรม)  ที่แล้วมาทำเพื่อตนและสนองกิเลสแห่งตนใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงไม่ได้บอกว่าศิษย์ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรไม่ต้องทำอะไร แต่เรายังรับผิดชอบต่อหน้าที่ของความเป็นคนให้สมบูรณ์พร้อมที่สุดแล้วถึงที่สุดอะไรจะเกิดก็ไม่กลัวเพราะอะไรจะเกิด ก็มีปัญญาธรรมจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นถ้าถึงเวลาศิษย์ต้องพบทุกข์ แม้เรื่องที่ง่ายที่สุดที่เรียกว่าถูกด่าถูกว่า ไยจึงไม่เห็นธรรม ไยจึงโกรธกระฟัดกระเฟียดแล้วก่อเวรกรรมทั้งที่เป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดต่อไปถ้ามีคนมาด่าเรา เราจะด่ากลับเหมือนเคยไหม (ไม่)  อยากพบเขาอีกใช่ไหมถ้าอยากพบเขาอีกก็จองเวรจองกรรมไปเลย แต่ถ้าไม่อยากพบเจอก็จบกันแค่นี้ดีไหม (ดี)  เขาด่าเราโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขาปัญหาอยู่ที่เราใช่ไหม (ใช่)  ถ้าคิดว่าเราถูกด่าไม่ได้ก็เป็นกรรมแล้วแต่ถ้าคิดว่าเราถูกด่าได้จากกรรมมันกลายเป็นธรรมสอนใจเลยจริงหรือไม่ (จริง)  อาจารย์ก็พูดอยู่ทุกครั้งที่ว่าธรรมคือความเป็นจริงอันหนีไม่พ้นคือความจริงอันเป็นธรรมดาของโลกแล้วทำไมเราถึงไม่เข้าใจความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาโลก มีได้ก็มีเสียมีสุขก็มีทุกข์ มีสมหวังก็มีผิดหวัง ศิษย์อย่าดูถูกใจตัวเองศิษย์อย่าดูเบาใจตัวเอง คนที่เอาชีวิตไปแขวนไว้กับใบหน้าคนอื่น คือคนที่ดูถูกคุณค่าตัวเองแล้วพร้อมจะตกเป็นทาสอารมณ์ของคนอื่นถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉันจะสุขจะทุกข์ต้องอยู่ที่คนนี้จะยิ้มหรือไม่ยิ้มฉันจะสุขจะทุกข์ก็ต้องอยู่ที่คนนี้จะด่าหรือชม ต่อไปถ้าเขาด่าศิษย์ก็ยิ้มเขาชมศิษย์ก็ยิ้มจำไว้นะศิษย์ชีวิตเรา เราเลือกได้ ทุกข์มาเราเลือกได้ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือจะเลือกทำในสิ่งที่ผิดต่ออย่าดูถูกตัวเองก็พอใช่หรือเปล่า (ใช่)  
อย่างนั้นบอกอาจารย์หน่อยว่าจะรับมือกับโลภ โกรธ หลงในใจอย่างไร (ปล่อยวาง, ทำจนถึงที่สุด, ใช้ปัญญา, ปลง) ปลงบ้าง ได้มาก็สะสมของเต็มไปหมดอายุปูนนี้แล้วถ้ายังปลงไม่ได้ก็ไม่ไหวแล้วนะ (ใช้สติ)เมื่อไร้สติก็เกิดโลภโกรธหลง แต่ถ้ามีสติรู้จักยั้งคิดโลภโกรธหลงก็จะไม่มีอิทธิพลต่อจิตใจ คนมีอารมณ์เป็นเพราะขาดสติ (แค่รู้)  เวลาความโกรธมาไม่ให้ค่าไม่สนใจ เดี๋ยวโกรธจะหายไปเองแต่ถ้าเมื่อไรเราสนใจเราให้ค่าเราปรุงแต่ง ความโกรธจะเผาใจเราเอง จริงหรือไม่ (จริง)  
(ใช้ขันติ)  ใช้ขันติข่มใจ ถ้าปัญญายังหยั่งไม่ถึงความเข้าใจในธรรมนั้นก็ต้องรู้จักใช้ขันติข่มใจ
(ปล่อยจิตให้ปล่อยวางไม่คิดอยากได้ของใครมาเป็นของตน)  เมื่อไรที่อยากเท่ากับศิษย์เพิ่มความทุกข์ขึ้นเรื่อยๆ 
(ปล่อยใจให้ว่าง)  พอได้ก็ว่างได้ ไม่พอก็ไม่ว่าง 
(พระอาจารย์เมตตาให้พระโอวาทซ้อนพระโอวาท“กำไรจากความทุกข์”)
เมื่อเราพบทุกข์จงแปรทุกข์ให้เป็นปัญญาเมื่อไรที่สามารถแปรทุกข์เป็นปัญญาความทุกข์จะทำให้เรามีกำไรในการเกิดมาและในการใช้ชีวิตเราทุกข์พอแล้วนะศิษย์ และเราก็เจ็บมาพอแล้ว และทำไมเราจึงอยากทุกข์อีกอย่าดูถูกปัญญาตัวเอง อย่าดูถูกคุณค่าตัวเองอย่าดูถูกชีวิตตัวเองเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทุกข์แต่เราเกิดมาเพื่อรู้แจ้งในทุกข์อันเป็นความจริงที่เราหนีไม่พ้นและทำให้เราพ้นทุกข์ได้ด้วยปัญญาเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
วันนี้อาจารย์ก็คงต้องกลับแล้ว มีโอกาสก็คงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์หวังน้อยๆ ว่าในสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ จะช่วยทำให้ศิษย์เข้าใจชีวิตมากขึ้นและรู้จักบำเพ็ญให้ถูกทาง อย่าติดแค่บุญ อย่าติดแค่ความดีแต่จงรู้จักเอาบุญและความดีเป็นรากฐานในการบำเพ็ญธรรมเพื่อเข้าถึงความจริงอันไม่เที่ยงในโลกใบนี้ ตัวเราก็ไม่เที่ยง เกิด แก่ เจ็บ ตายแล้วเอาอะไรไปได้ไหม (ไม่ได้) แล้วทำไมไม่สร้างคุณความดีและบำเพ็ญดีให้ถึงที่สุดเพื่อเราไม่ต้องกลับมารับทุกข์อีกต่อไปทุกข์ยังไม่พออีกหรือ ถ้าพอศิษย์จะรู้จักอยากอย่างมีสติอยากอย่างคนที่มีปัญญาเข้าใจความจริงเพราะสิ่งที่น่ากลัวในโลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับใจของเราเองใจที่ไม่สู้กับความจริงซึ่งแม้ความจริงนั้นเป็นทุกข์แต่ก็ใช่ว่าเรานั้นจะต้องทุกข์ทุกข์มาปัญญาเกิด ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
ฉะนั้นมีโอกาสคงได้กลับมาผูกบุญกันอีกนะ  ชีวิตไม่ว่าพบเรื่องราวอะไร ขอให้เข้มแข็ง จริงๆอาจารย์ก็ไม่อยากให้เข้มแข็ง เพราะว่าพอเข้มแข็งแล้วก็กลับมาอ่อนแออีก ใช่หรือไม (ใช่)  รักษาสมดุลของชีวิตให้ได้ วันใดพบเรื่องอ่อนแอจงรู้จักเข้มแข็งให้เป็น วันใดที่ตัวเองเข้มแข็งก็จงเข้าใจว่าชีวิตก็อ่อนแอได้ เหมือนวันใดที่มีสุขวันนั้นก็เข้าใจว่าแม้จะทุกข์มาก็ไม่เจ็บปวด สังขารคืนสู่ดินแต่จงเอาจิตกลับคืนสู่ฟ้าสังขารเกิดมาเพื่อใช้กรรมแต่จิตพ้นกรรมพ้นทุกข์นานแล้วอย่าเอาความเป็นตัวตนไปทำให้จิตหม่นหมองและยึดติดในทุกข์นะ ใช่ไหม (ใช่)  เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่ดูเบาปัญญาตัวเองความเป็นจี้กงจะมีอยู่ในใจศิษย์ได้จี้กงคือหัวใจที่รู้จักอนุเคราะห์ฉุดช่วยชาวโลก ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์
อะไรจะเกิดก็กล้ารับ เข้มแข็งนะ อาจารย์ไม่อยากเห็นศิษย์ทุกข์แต่อาจารย์อยากเห็นศิษย์ที่มีปัญญาเข้าใจในความทุกข์ไม่ต้องพยายามหาว่าตัวเองเป็นอย่างไร เพราะถ้าหาว่าตัวเองเป็นอย่างไรก็กลายเป็นยึดติด สู้ยอมรับว่าจริงๆ แล้วตัวเองไม่เคยเป็นอะไรและไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย  อย่างนั้นจะดีกว่า คิดว่าตัวเองมีก็มีแต่ทุกข์ แต่ถ้าคิดว่าตัวเองไม่มีบางทีอาจจะดีกว่าก็ได้ ลองคิดให้ดี
ขอให้บุญรักษาศิษย์ ขอให้ปัญญาในธรรมจงเกิดแก่ศิษย์ เห็นชัดในชีวิต ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ที่ทำให้เราหนีไม่พ้นบาปเวรกรรม 
หายไข้ไม่มีประโยชน์ ขอแค่เข้าใจในความเจ็บป่วยดีกว่า จริงไหม
อย่าทำสิ่งที่ผิดเลย รู้จักทำสิ่งที่ถูกต้องน  หนทางบุญเดินให้ถึงที่สุด 
รักษาคุณงามความดีด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง รักษาหัวใจให้แกร่งดั่งเพชร
มีโอกาสช่วยงานฟ้านะศิษย์นะ ทำงานธรรมด้วยหัวใจที่สู้ไม่ถอยนะ บำเพ็ญอะไรหรือถ้ายังยึดติดอยู่ก็บำเพ็ญไม่ได้มีปณิธานแล้วจงลุในปณิธาณด้วยหัวใจที่เสียสละขอให้ความดีคุ้มครองศิษย์ให้เดินไปจนถึงที่สุดที่ศิษย์ตั้งใจนะ  ตั้งใจบำเพ็ญนะ สู้ไหม ช่วยงานอาจารย์ทำไมถึงหวาดกลัวล่ะควรจะมีหัวใจที่เข้มแข็งสิ สู้ให้สมกับเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์สู้เพื่อคนอื่นตั้งใจบำเพ็ญนะ อุทิศเสียสละด้วยหัวใจอันดีงามด้วยใจอันประเสริฐ  ควบคุมอารมณ์ให้ได้ รู้จักปณิธาณของตัวเอง ซื่อตรงไปให้ถึงเป้าหมาย เข้าใจไหม มีความมุ่งมั่นและไปให้ถึงที่สุดอย่าหวั่นไหวเลือกทำสิ่งที่ดีงามด้วยหัวใจที่เสียสละอาจารย์อยากเห็นความมั่นคงในหัวใจศิษย์ทุกคนนะ
มีโอกาสกลับมาอีกนะ ชีวิตเกิดมาเพื่อเรียนรู้และเข้าใจชีวิตอย่าอ่อนแอแต่จงเข้มแข็งและกล้าหยัดยืนทำในสิ่งที่ถูกต้อง มีปณิธานมีความมุ่งมั่นก็อยู่ที่ว่าศิษย์จะตั้งใจทำได้มากแค่ไหนขอเพียงแค่อย่าให้อารมณ์ความคิดที่ผิดพลาดมาทำให้เราต้องทุกข์เลยรักษาความดีไว้นะ ถ้าศิษย์มีใจสักครึ่งหนึ่งอย่างอาจารย์ก็คุ้มแล้วที่อาจารย์มา อย่าทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ตั้งจิตให้ดีตั้งใจบำเพ็ญเอาหัวใจที่ดีงามเสียสละเป็นจุดมุ่งหมายเป็นเป้าหมายในการดำเนินชีวิต ไม่จำเป็นต้องถามว่าตัวเองเป็นอะไรแค่ถามว่าตัวเองจะทำอะไรให้ดีที่สุดกับชีวิตหนึ่งที่เกิดมาแล้วถ้าชีวิตหนึ่งทำได้ดีที่สุดทำไมจะไม่ทำสักวันศิษย์จะเข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้ ทำไมถึงต้องเสียสละทำไมถึงต้องช่วยคน
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรียนรู้อยู่กับสิ่งที่มีด้วยหัวใจที่เข้มแข็งดูแลหัวจิตหัวใจตัวเองให้ดีนะ เอาความดีชนะใจสิ ตั้งใจบำเพ็ญเพื่อเข้าถึงธรรม นำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ให้ได้นะ อย่าจมกับความทุกข์ในโลกเลย อย่าจมกับการยึดติดในตัวเองเลยเพราะทำให้ศิษย์หนีไม่พ้นวิบากกรรม เพราะถ้าวิบากกรรมมาสนองเมื่อไรตอนนั้นศิษย์จะเรียกอาจารย์ช่วย อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้เพราะกรรมใครคนนั้นก็ต้องรับ ฉะนั้นเป็นศิษย์อาจารย์แล้วอย่าทำผิดได้ไหม (ได้)  ถ้าจะทำผิดยกความผิดนั้นมาให้อาจารย์ศิษย์จะได้ไม่ต้องทำอย่าเผลอทำเลยนะศิษย์เพราะถ้าทำแล้วศิษย์จะต้องรับผลของกรรมนั้นอย่างหาที่สุดไม่ได้แล้วตอนนั้นใครก็ช่วยไม่ได้ บุญก็ช่วยไม่ได้สิ่งที่ช่วยได้คือปัญญาที่ต้องยอมรับความเป็นจริง ศึกษาธรรมเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ให้เกิดปัญญา  นำพาให้มีสติพ้นทุกข์และอยู่กับความจริงให้ได้นะศิษย์เอย ความจริงในโลก ไม่น่าเจ็บช้ำไม่น่าทุกข์ แต่ที่เจ็บและทุกข์ก็เพราะว่าเราไม่คิดว่าคนที่ทำกับเราคือคนที่รักเรามากที่สุด คือคนที่เรารักเขาสุดหัวใจและก็ไม่คิดว่าคนที่เรารักสุดหัวใจจะต้องมารับกรรมแทนเรา เพราะบางทีกรรมไม่ตกที่เรา แต่ตกที่ลูกหลาน เราจะรับไม่ไหว ฉะนั้นก็อย่าทำผิดเลย เชื่ออาจารย์นะ อย่าทำผิดเลยเพราะถ้าลูกศิษย์ยังดีไม่ได้อาจารย์จะเอาหน้าไปบอกเขาได้อย่างไรว่าศิษย์กำลังบำเพ็ญในเมื่อศิษย์ไม่เลือกทำสิ่งที่ดี อาจารย์ไปต่อรองเจ้ากรรมนายเวรอาจารย์ก็สงสารเขา ศิษย์ทำเขามา และเมื่อเขาจะแก้แค้นคืนอาจารย์ก็ต้องยุติธรรมก็ต้องให้ศิษย์รับกรรมไป ไม่ใช่อาจารย์ไม่อยากช่วยไม่คุ้มครอง แต่กรรมใครก็ต้องรับจริงไหม อาจารย์ขอย้ำแล้วย้ำอีก อย่าทำผิด


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “กำไรจากความทุกข์”


 ตั้งใจบำเพ็ญเป็นบุญทุกวัน ใช้ใจประเดิมปัญญาพร้อมศรัทธา สิ่งที่เห็นทั้งนั้นของดีตรงหน้า ไม่เอาธรรมไปมองมักเห็นแต่สุขสบาย ไม่อยู่กับทุกข์บำเพ็ญไม่โดนใจ ทุกข์แล้วสบายมีใครบ้างเกิดมา อยู่ด้วยทุกข์แล้วช้ำพิจารณา   ย่อมปรากฏหลักฐานชัดแจ้งในตัว ตั้งใจว่าทุกข์ไว้บ้างคงไม่ตายไป ซึมเศร้ากันไปไหน


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

2561-05-05 สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก

西元二〇一八年歲次戊戌三月二十日                       仙佛慈悲訓
  วันเสาร์ที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑      สถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  เมื่อยามทุกข์ท้อแท้และสิ้นหวัง         พึงมีธรรมเป็นพลังให้สู้ใหม่
ยามใจร้อนวู่วามโกรธเคืองไป            พึงมีธรรมยั้งใจเรียกสติมา
        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานผู่ถี แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนรู้จักอาจารย์หรือเปล่า

  หวั่นน้ำกลิ้งใบบอนซ่อนปัญหา         ก่อศิลามาเหมือนทุกข์ใจสมัคร
ปราชัยทั้งสี่ทิศชีวิตติดกับดัก             หนีไม่พ้นรู้ชะงักคิดทบทวน
คนมีหนี้ประจักษ์ด้วยรอยกังวล          จันทร์ใครจะแจ่มพ้นเมฆรบกวน
เผยชัดตนประพฤติธรรมตามสมควร     บุรุษไม่ประมาทธรรมล้วนสำเร็จธรรม
ผู้ประเสริฐไกลเกิดดับหาไม่               เหลือล้นเสบียงขึ้นพุทธาลัยบริสุทธิ์ล้ำ
ดีชั่วเสื่อมสลายกุศลดั่งทองคำ            บำเพ็ญไม่นั้นแลกรรมตามปะทุ
บำเพ็ญไม่มีทุกข์เรียกบำเพ็ญไม่          อายุไม่มีแก่อย่างไรเรียกอายุ
ก่อนเกิดไม่ต้องการไม่สิ้นบรรลุ           ไฟได้คุอาศัยทุกข์ไปนิพพาน
เมื่อการเกิดเป็นทางแห่งวัฏฏะ           ไม่ตัดอนุสัยตัณหาจะกลายวัฏสงสาร
หากสิ้นไร้รากแห่งอวิชชานั้น             การเกิดให้ทรมานจะจบวน
ชินติดจากที่เป็นอยู่ประจำ               ไปมาธรรมยังติดให้สับสน
ธรรมคืนสู่ธรรมตนสู่ตน                  บุญกรรมหลงสร้างวนลืมขัดเกลา
รู้ไม่มีรู้แล้วไม่ศึกษา                       ให้ทางนำคุณธรรมตามบำเพ็ญเศร้า
จิตสว่างทางแท้ไม่มีเก่า                   จริงกระจ่างในจริงเย้ายั่วปัญญา

                                                                        ฮา ฮา หยุด


   พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

วันนี้มาฟังธรรมเพื่อความสงบใจ ยิ่งยึดติดความคิดตัวเองก็ไม่มีวันสงบได้ใช่หรือไม่ (ใช่)   มาฟังธรรมเพื่อความสบายใจแต่ถ้ายิ่งเห็นแก่ตัวเองยิ่งยึดติดความคิดของตัวเอง นั่งอย่างไรก็ไม่สบายใช่หรือไม่ (ใช่)  มาฟังธรรมเพื่อลดละความยึดมั่นถือมั่นแต่ถ้ายิ่งฟังแล้วยิ่งยึดก็ไม่สบายไม่สุขใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามนะ สมมติว่าถ้าอาจารย์มีเสื้อหนึ่งชุดเวลาใส่จะเอาตะเข็บไว้ข้างในหรือเอาตะเข็บไว้ข้างนอก (ไว้ใน) 
อาจารย์ถามแปลกๆ ก็ต้องเอาตะเข็บไว้ข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในชีวิตคนเราอยากสัมผัสสิ่งที่ดี อยากรับรู้แต่สิ่งที่ดี ไม่อยากสัมผัสสิ่งที่มีปัญหาหรือขรุขระ ไม่อยากสัมผัสสิ่งที่เป็นรอยแตกแยกแล้วต้องมาเย็บต่อ อย่างนั้นทำไมเวลาใส่เสื้อผ้าคนจึงยอมเอาตะเข็บไว้ข้างในแล้วยอมเอาเรียบๆ ไว้ข้างนอก นั่นแปลว่าการใส่เสื้อก็เป็นการบ่งบอกให้เรารู้ว่าบางครั้งสิ่งใดที่ทำให้แตกแยก สิ่งใดที่ทำให้เกิดรอยร้าว สิ่งใดที่มองแล้วทำให้ขัดหูขัดตา เราควรเก็บไว้ และข้างนอกควรแสดงความเรียบง่าย ราบรื่น แต่ในความเป็นจริงมนุษย์เราใส่เสื้อเอาตะเข็บไว้ข้างนอกหรือเอาตะเข็บไว้ข้างใน (ไว้ข้างใน)  แม้แต่การใส่เสื้อ ศิษย์ยังรู้ว่าต้องเอาสิ่งที่ไม่สวยเก็บไว้ข้างในแล้วโชว์สิ่งที่สวยออกมา ให้ดูแล้วสบายหูสบายตา ฉะนั้นจิตใจของคนเราเมื่ออยากอยู่ร่วมกับผู้อื่น ทำไมชอบปล่อยอารมณ์ทำให้เกิดความขัดแย้งกัน ทำไมชอบปล่อยนิสัยทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน ทำไมไม่ยอมเรียบๆ ง่ายๆ อะลุ้มอล่วยกัน ศิษย์เอยใส่เสื้อยังรู้จักเก็บตะเข็บ เก็บรอยร้าว เก็บความไม่ดีไว้ข้างใน แล้วชีวิตบางครั้งทำไมไม่รู้จักเก็บคำพูดไม่ดีไว้ข้างในบ้าง เพราะพูดไปมันก็ทะเลาะกัน มีเรื่องกัน บางครั้งสิ่งใดที่เห็นแล้วขัดหูขัดตาไม่ถูกใจ อยู่ร่วมกันแล้วทำให้ชีวิตไม่ราบรื่น อยู่ร่วมกันแล้วทำให้เกิดรอยแตกร้าว เก็บไว้ข้างในดีกว่านะ ถึงจะพูดจริงแต่พูดแล้วทำให้เจ็บปวดบางครั้งไม่พูดดีกว่า
ฉะนั้นเวลาศิษย์นั่งนานๆ แล้วมีความสุขหรือมีความทุกข์ ศิษย์เก็บความรู้สึกไว้หมดเลยใช่ไหม ศิษย์มักจะบอกว่า “อาจารย์ แต่ถ้าบางครั้งเวลาที่เก็บไว้มากๆ ก็เกิดการเน่าในนะอาจารย์” ใช่ไหม ใส่แล้วมันก็อารมณ์เสีย    ใช่ไหม เพราะฉะนั้นจึงมีคำพูดกล่าวไว้ว่า พึงเอาธรรมมาล้างใจให้บริสุทธิ์ พึงรักษาใจบริสุทธิ์ด้วยธรรม” ฉะนั้นวันนี้ศิษย์มาฟังธรรม ธรรมล้างใจให้ศิษย์สะอาดบ้างไหม ฟังมาค่อนวันแล้ว ธรรมสามารถชำระล้างใจให้เราสว่าง สงบบ้างไหม ถ้าฟังแล้วยังเหมือนเดิมแปลว่าเสียเวลาเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ในโลกนี้สิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่ค่อยเป็นสุขนั่นก็คือความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างที่สองก็คือความหวาดกลัว อย่างที่สามก็คือปัญหา เราพยายามที่จะอยู่ร่วมกับสามสิ่งนี้ให้ได้แต่บางครั้งก็ใช่ว่าจะหนีพ้น จนถึงที่สุดจนแล้วจนรอดอย่างไรก็หนีไม่พ้นความทุกข์ ปัญหา และความหวาดกลัวใช่หรือไม่ (ใช่)  ลึกๆ ในใจของศิษย์ทุกคนกลัวเหงาไหม (กลัว, ไม่กลัว)  บางคนก็กลัว กลัวโดดเดี่ยวไหม ใครไม่มีคู่คงกลัวโดดเดี่ยวใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ที่มีคู่แน่ใจหรือว่าไม่กลัวโดดเดี่ยวถูกไหม (ถูก)  แล้วกลัวปัญหาไหม (กลัว)   มีใครหนีปัญหาพ้นไหม (ไม่พ้น)  ทุกคนล้วนมี (ปัญหา)  ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า เมื่อใจว่างทุกสิ่งก็ว่างโดยพลัน เมื่อใจยังยึดติดถือมั่นยึดมั่นไม่ยอมอะไรง่ายๆ ทุกสิ่งก็ง่ายที่จะก่อเกิดเป็นปัญหา ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าคนนี้ไม่คิดมากถ้าคนนั้นเราไม่ยึดติดเราจะทุกข์กับใครไหม ถ้าเราทำเต็มที่ทำดีที่สุดแล้วพยายามเต็มกำลังแล้วได้หรือไม่ได้เราไม่ยึดเราจะทุกข์ไหม จะเป็นปัญหาไหม แปลว่าใจของศิษย์ทุกคนมันไม่เคยว่างใช่ไหม ใจศิษย์ทุกคนยึดหมดเลยใช่ไหม (ใช่)  เราเรียนรู้ธรรม เราศึกษาธรรมเพื่อหาความสงบให้กับชีวิต แต่ถ้าเราเอาแต่ยึดติดถือมั่นแล้วเราจะพบความสงบไหม เห็นอะไรก็ขัดหูขัดตาใช่หรือไม่
สมมติถ้าใจเราไม่มีตะกอนแห่งความโกรธ ใจเราไม่มีตะกอนแห่งความเกลียด ใจเราไม่มีตะกอนแห่งความขี้บ่นขี้น้อยใจ ใจเราไม่มีตะกอนแห่งความหลง อะไรมันเกิดขึ้น เราจะน้อยใจไหม ใจก็น้อยใจไม่เป็นเพราะไม่เคยน้อยใจมาก่อน โมโหไม่เป็นเพราะไม่รู้ว่าโมโหเป็นอย่างไร บ่นคนอื่นไม่เป็นเพราะไม่เคยบ่นใคร ว่าใครไม่ดีไม่เป็นเพราะใจไม่เคยคิดว่าใคร ฉะนั้นใครไม่ดีมองไม่เป็นเพราะในใจไม่เคยมีสิ่งไม่ดีในใจ นั่นแปลว่าถ้าเราด่าใครว่าเป็นอย่างไร แสดงว่าในใจเรามีสิ่งนั้นทั้งหมดใช่หรือไม่ ถ้าเราเห็นข้างนอกไม่ดีอย่างไร แสดงว่าในใจเรามีสิ่งนั้น มิเช่นนั้นเราจะไม่รู้เลยว่าข้างนอกนั้นเป็นอย่างไร
ถ้าใจว่างทุกสิ่งก็ว่างโดยพลัน แต่ถ้าใจยังยึดมั่นถือมั่น ยังมีตะกอน ยังมีกิเลสอยู่ เห็นอะไรก็เป็นปัญหา เป็นทุกข์อยู่ร่ำไป จริงไหม (จริง)
ฟังธรรมมาตั้งนานเราเคยเอาธรรมมาล้างใจบ้างไหม ถ้าเห็นอาจารย์หลอกลวงก็แปลว่าใจศิษย์เคยหลอกลวง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเห็นว่าอาจารย์เก๊ศิษย์ก็มีความเก๊อยู่ข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนที่จะเอาแต่ไปโทษเขาว่าเขาเป็นตัวปัญหา โทษเขาว่าเขาเป็นตัวสร้างความไม่ดีให้เรา ดั่งเช่นที่อาจารย์บอก รอยตะเข็บเสื้อเรายังรู้จักเก็บไว้ข้างใน คำพูดและการกระทำที่ไม่ดี ถ้าทำแล้วมันก่อเกิดการแตกแยก ทำแล้วมันก่อความทุกข์ให้กับผู้อื่น เก็บไว้ไม่พูดดีกว่าไหม (ดี)  เพราะศิษย์รู้ไหมว่าด่าเขาไปแล้ว ว่าเขาไปแล้วภายหลังมา “ขอโทษแล้วขอคืนดี” มันหายหรือ (ไม่หาย)  ถ้าเขาด่าศิษย์แล้วบอกว่า “อย่าโกรธกันนะ” เราจะหายโกรธไหม (ไม่หาย)  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์รู้ว่า ถ้าเกิดใจเราสะอาด ใจเราบริสุทธิ์ อยู่ที่ไหนมันก็สะอาด อยู่ที่ไหนมันก็บริสุทธิ์ แต่ถ้าใจเรามันสกปรก ใจเรามันยึดติด ใจมันเอาแต่ติฉินนินทา อยู่ที่ไหนมันก็ติฉินนินทาสกปรกและไม่บริสุทธิ์ จริงไหม (จริง) 
ศิษย์มักจะพูดว่า “อาจารย์ ศิษย์เหงาจัง ศิษย์เบื่อจัง ศิษย์เหนื่อยจัง ทำไมการเป็นคนดีมันเหนื่อยขนาดนี้” ใช่ไหม (ใช่)  อยู่คนเดียวถ้ารู้จักสู้ชีวิต เข้าใจชีวิต และรู้คุณค่าชีวิตแล้ว ไม่มีเวลาเหงานะ ต้องทำชีวิตของตัวเองให้มีค่าที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  พวกที่นั่งเหงาหงอยนั้นไม่รู้จักคุณค่าตัวเอง เอาแต่เหงาหงอย ไม่มีความสุขเลย คิดว่าอะไรๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจ ศิษย์เบื่อ เป็นไหม (เป็น)  ศิษย์เอ๋ย คนเราเกิดมามีร่างกายก็ยากแล้วใช่ไหม (ใช่)  สมประกอบก็ยิ่งยากใหญ่ แล้วอายุปูนนี้อีกก็ยิ่งยากแล้วใช่ไหม ฉะนั้นยังมีเวลาเหงาหงอยอีกหรือ น่าจะดีใจว่า อายุขนาดนี้ฉันยังรอดอยู่ได้เป็นเรื่องดี ฉะนั้นต้องกระปรี้กระเปร่า สดชื่น เข้มแข็ง อยากมีความสุขอย่ามัวแต่รอพึ่งลำแข้งคนอื่น แข้งตัวเองก็มีทั้งสองข้าง ถูกไหม (ถูก)  รอแข้งคนอื่นนั้นเหนื่อย พึ่งตัวเองดีกว่าไม่เหนื่อย ใช่ไหม (ใช่)  ใครไม่ยิ้ม เรายิ้ม ใครไม่สุข เรามีสุข  และก็ทำให้คนรอบข้างมีสุข ใช่ไหม (ใช่)
อีกอย่างหนึ่งศิษย์ต้องจำไว้ ถ้าเราประพฤติถูกต้อง มีศีลธรรม ไม่ต้องกลัวเหงาหงอย ไม่ต้องกลัวตายเลย จริงไหม (จริง)  เป็นคนดีมีศีลธรรมไหม (เป็น) ฉะนั้นพรุ่งนี้ตายกลัวไหม (ไม่กลัว)  ที่ยังกลัวนั้นแสดงว่ายังไม่มีศีลธรรมใช่ไหม  
ศิษย์จำไว้นะ คนไหนที่กลัวตายแปลว่าคนนั้นยังดีไม่พอ คนไหนที่มีชีวิตแล้วสร้างคุณค่าของชีวิตให้ถูกต้องในศีลธรรม แม้วันนี้จะตายหรือขณะนี้จะตายก็ไม่กลัว ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าทำตัวถูกต้องแล้ว หลักการต่อไปที่อาจารย์อยากจะถาม ศิษย์ก็อยากมีสุขนะ แต่ศิษย์เคยไหมที่อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายแต่ทำไมเหมือนอยู่ ตัวคนเดียวเป็นไหม วันนี้นั่งฟังธรรมอยู่กับคนมากมาย แต่เหมือนมานั่งฟังคนเดียวเลยใช่ไหม หันไปคนนี้ก็ไม่รู้จัก คนนั้นก็ไม่รู้จัก รู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวทั้งๆ ที่คนเต็มห้องเลยใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอยถ้าอยากอยู่บนโลกอย่างมีความสุขอย่ารอให้ใครต้องดีกับเรา อย่ารอให้ใครต้องพูดกับเรา อย่ารอให้ใครต้องช่วยเราเพราะการเอาแต่รอเท่ากับลดคุณค่าตัวเอง แล้วยิ่งรอว่าหวังจะพบคนดีๆ หวังจะพบเพื่อนดีๆ หวังจะพบคู่รักดีๆ ยิ่งหวังจะพบก็ยิ่งไม่เจอเพราะยิ่งหวังก็คาดหวังว่าต้องดีกว่านี้ใช่ไหม (ใช่)  แทนที่เราจะได้เพื่อนดีหรือมิตรแท้ แต่มีใจจะคอยจับผิดอยู่ตลอดเวลาเพราะหวังจะพบสิ่งที่ดีสุดท้ายศิษย์ก็ไม่มีวันพบเจอ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ในทางกลับกันถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกแล้วอยากมีสุขง่ายๆ คือเป็นคนที่ดีมากกว่ารอคนอื่นดีกับเรา  ดีให้สุด เป็นเพื่อนก็เป็นเพื่อนดีที่สุด เป็นสามีภรรยากันก็เป็นสามีภรรยาที่ดีที่สุด เมื่อเราพยายามเป็นให้ดีที่สุดแปลว่าเราจะไม่มีเวลาจับผิดเพื่อน จับผิดใคร ตำหนิว่าใคร เพราะจะถามตัวเองว่าดีหรือยัง
เราไม่มัวหวังวอนขอใคร เพราะจะพยายาม “ให้” ให้มากที่สุด ทำให้ดีที่สุด และเมื่อเป็นอย่างนี้ทุกวันทำดีที่สุด ทุกวันให้ดีที่สุด มันจะมีเวลาเหงาไหม จะมีเวลาเศร้าไหม (ไม่)  แต่ทุกวันจะพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ปัจจุบันนี้ศิษย์อยู่บนโลกเอาแต่เฝ้าถามว่า “ใครที่เป็นมิตรแท้ ใครที่รักเราจริง” แต่ไม่เคยถามว่าตัวเองเคยดีกับใครหรือยัง ตัวเองเคยรักใครจริงหรือยัง เพราะมัวหวังว่า “โน่นต้องดี นี้ต้องดี” แล้วกลายเป็นจับผิดคิดร้าย แต่ถ้าเมื่อไรเรากลับกันว่า ฉันต้องดี จะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด จะเป็นคนทำงานที่ซื่อตรงสุจริตที่สุด จะเป็นสามีภรรยาที่ดีที่สุด แล้วจะมีเวลาจ้องจับผิดใครไหม แล้วจะมีเวลาไปตำหนิด่าใครหรือไม่ ถ้าเราทำดีที่สุดไปอยู่ที่ไหนก็มีคนรัก ไปอยู่ที่ไหนก็มีคนต้องการจริงไหม ไปอยู่ที่ไหนเราก็พยายามทำให้ดีที่สุด เราทำเต็มที่ที่สุด เราตั้งใจที่สุดจะมีใครรังเกียจเราไหม จะมีใครรำคาญเราไหม (ไม่มี)  และถ้ามีคนถามเราว่า “เธอจะดีไปถึงไหน” ให้ดีใจไว้ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งตอบไปเลยว่า “ก็จะดีจนกว่าเธอจะดีนั่นแหละ” ใช่ไหม (ใช่)
การมีชีวิตอยู่ในโลกนั้นยากไหม ศิษย์ดีเกินหน้าเขามันก็ผิด ฉะนั้นเวลาที่เราได้ดีศิษย์ต้องรู้จักแบ่งปัน เวลาเรามีผลสำเร็จเราต้องยกย่องผู้คนที่อยู่เคียงข้างและช่วยเหลือเรา ฉะนั้นเมื่อไรที่เราได้ผลสำเร็จของความดี เราต้องบอกว่า “ขอบคุณทุกคนนะ ฉันมีวันนี้ได้ก็เพราะมีพวกเธอทุกคน” แล้วใครจะอยากกดเราให้แย่ เราบอกว่า “เพราะเธอทุกคนจึงมีผลสำเร็จของความดีนี้” ทุกอย่างนั้นมีทางขึ้นอยู่กับว่าศิษย์จะใช้ธรรมเป็นทางหรือเอาอารมณ์ความเคยชิน เป็นทางในการดำเนินชีวิต ใช่ไหม (ใช่)  
เราเรียนรู้ธรรมไม่ใช่แค่เพียงเพื่อการเป็นคนดี ไม่ใช่แค่มีสมาธิเก่ง ไม่ใช่แค่ทำบุญเก่ง แต่เราเรียนรู้ธรรมเพื่อเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตที่เรียกว่าทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเรียนรู้ธรรมเพื่อเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตที่ทำให้เราเข้าใจทุกข์ ดับทุกข์ได้ และค้นพบธรรม ฉะนั้นศิษย์ต้องเข้าใจก่อนว่าเรามาเรียนรู้ธรรมเพื่อเข้าใจชีวิตที่เรียกว่าทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดมาแล้วแก่ ทุกข์ไหม (ทุกข์) แก่แล้วเจ็บทุกข์ไหม (ทุกข์)  ยังไม่ทันแก่แล้วเจ็บทุกข์ไหม (ทุกข์)  พลัดพรากจากสิ่งที่รักทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักทุกข์ไหม (ทุกข์) ฉะนั้นแปลว่าชีวิตมีทุกข์เป็นธรรมดาถูกไหม (ถูก)  มีลาภก็ (เสื่อมลาภ)  มียศก็ (เสื่อมยศ)  มีสุขก็ (มีทุกข์) มีได้ก็ (มีเสีย)  เป็นธรรมดาของโลกใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือเรียกว่าโลกธรรมแปด ที่หนีไม่พ้นทุกข์ทั้งแปด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามีทุกข์สองอย่างแล้วนะ  ธรรมดาโลกคือเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกอย่างหนึ่งคือ มีโลกธรรมแปด นั่นก็คือทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังมีทุกข์อื่นๆ อีกคือไม่มีเหาใส่หัวก็ชอบเอาเหามาใส่หัว นั่นคือชอบเอากิเลส ตัณหา ความอยากมาครอบงำจิตใจจนก่อให้เกิดทุกข์ แล้วทุกข์นั้นยังก่อให้เกิดบาปกรรมและการเวียนว่ายใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นศิษย์ฟังธรรมก็ต้องเข้าใจว่าทุกข์มาจากไหน ทุกข์คือความเป็นจริงที่เราหนีไม่พ้น ที่เรียกว่าธรรมดาโลกคือ แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ต้องทนอยู่กับสิ่งที่ (ไม่ชอบ)  หนีพ้นไหม (ไม่พ้น)  แล้วยังทุกข์ที่เรียกว่า   มีได้ มีเสีย มีสุข มีทุกข์ มีสมหวัง มีผิดหวัง เป็นโลกธรรมแปดที่หนีพ้นไหม  (ไม่พ้น)  แล้วยังมีทุกข์อีกอย่างคือ มองในสิ่งที่ไม่อยากมอง อยากได้ในสิ่งที่ไม่อยากได้ ผิดศีลก็ยังทำทั้งโกหกคนและด่าคน ใช่ไหม (ใช่)  แล้วสร้างทุกข์แบบนี้ใครเป็นคนสร้าง ใครเป็นต้นเหตุ (ตนเอง)  แล้วขอฟ้าให้ล้างกรรมให้ได้ไหม ไปบนบานฟ้าบอกว่าถ้าพ้นกรรมแล้วจะถวายไก่เจ็ดตัว หมูห้าตัว อย่างนี้ยิ่งสร้างกรรมเพิ่มไหม (เพิ่ม) 
กิเลสคือรากเหง้าแห่งทุกข์และบาปทั้งมวล ฉะนั้นเมื่อไรที่ศิษย์ยังตกเป็นทาสของกิเลส ศิษย์ก็หนีไม่พ้นทุกข์ บาป เวร กรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเคยพอกับทุกข์ที่เรามีไหม แล้วเคยคิดที่จะแก้ไขทุกข์ไหม (เคย)  เคยด้วยการไปแผ่เมตตาแล้วก็ไปฆ่าใหม่ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้เรียกว่าคนดีจริงหรือกลับกลอกหลอกลวง  (กลับกลอกหลอกลวง)  ฉะนั้นเราควรขอฟ้าให้แก้ทุกข์หรือขอตัวเองให้หยุดตกเป็นทาสของกิเลส (ขอตัวเอง)
ใจของมนุษย์เป็นสิ่งละเอียดจับต้องได้ยาก แต่หวั่นไหวได้ง่ายและง่ายที่จะไหลไปตามอารมณ์ที่รักใคร่และปรารถนา ถ้าเมื่อใดมนุษย์สามารถที่จะควบคุมใจได้และระงับกิเลสตัณหาได้ ศิษย์จงเอาใจนั้นเป็นผู้นำที่จะนำพาให้ศิษย์พบความสงบ แต่ที่ใจละเอียดยังง่ายหวั่นไหวไปตามอารมณ์ที่รักใคร่ ยังง่ายที่จะหวั่นไหวไปตามอารมณ์ที่ถูกกระทบ แต่ไม่สามารถควบคุมและยับยั้งกิเลสได้ ใจนั้นแหละที่จะพาให้ศิษย์วุ่นวายและไม่จบสิ้น อาจารย์ถามศิษย์ว่า “ศิษย์เป็นใจแบบไหน” เคยยั้งกิเลสทันไหม เคยรู้เท่าทันกิเลสก่อนมันตกผลหรือไม่ ไม่เคยเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์นับถือศาสนาพุทธ ใช่ไหม  อย่างนั้นอาจารย์ขอถามตั้งแต่รากเหง้าของศาสนาพุทธเลยว่า “เพราะมีอวิชชาจึงก่อเกิดตัณหาและอุปาทาน” เพราะไม่รู้จึงเกิดการอยากและยึด แต่ถ้าเมื่อไรเรารู้ เราก็จะไม่อยากไม่ยึด แล้วรู้ที่จะสามารถระงับยับยั้งชั่งใจ ไม่ตกเป็นทาสกิเลสแล้วอาศัยใจเป็นผู้นำพาความสงบให้กับชีวิต” อาจารย์ขอยกคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “เราฟังธรรมมามาก แต่ทำไมเราไม่เคยมีธรรมเกิดขึ้นในใจและธรรมก็ไม่เคยยั้งใจตัวเองได้สักที” 
พระพุทธะจึงกล่าวไว้จำไว้เลยนะศิษย์ เมื่อไรที่ใจว่างจงหมั่นพิจารณาธรรมแล้วธรรมจะปรากฏขึ้นในใจ เมื่อธรรมปรากฏขึ้นในใจ  ศิษย์จะพบความจริงแท้แห่งชีวิตที่นำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ เมื่อไรที่ใจว่างแล้วลองเอาธรรมมาพิจารณา ธรรมจะบังเกิดขึ้นภายในใจ แล้วเมื่อบังเกิดแล้วธรรมนั่นแหละที่จะสามารถทำให้เราเข้าใจชีวิตและปลดทุกข์ได้ เราเคยใจว่างไหม แล้วเราเคยคิดเรื่องธรรมะไหม ศิษย์เอยในชีวิตนี้ศิษย์เคยคิดอะไรแบบธรรมะๆ บ้างไหม (เคย)  ถ้าเคย ธรรมต้องอยู่กับตัวต้องไม่หายไปไหน ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าไม่เคยมันเหมือนจะมีแต่ก็ไม่มี เหมือนจะมาแต่ก็ไม่มา เหมือนจะอยู่แต่ก็ไม่อยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์คือคนหนึ่งที่อยากมีธรรม ตอนที่ว่างๆ ลองคิดเรื่องธรรมะบ้างสิ เอาง่ายๆ ธรรมอะไรที่ทำให้เราคิดแล้วปลดปลงปล่อยวางได้แล้วดับทุกข์ได้ ตอบว่า (ปล่อยวาง) 
ศิษย์บอกว่า เอาคำว่าปล่อยวางมาพิจารณาให้เกิดธรรมเพื่อดับทุกข์ บอกว่าปล่อยวางแต่มันไม่ปล่อยถ้าไม่รู้กระจ่างแจ้ง  บอกว่าพยายามไม่ยึดมั่น ถือมั่น แต่มันก็ไม่ยึดไม่ได้ ยังรู้สึกว่า “ทำไมปล่อยไม่ได้ หนูอยากปล่อยแต่ปล่อยไม่ได้” นั่นแปลว่ายังไม่ถูก
(โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ทั้งๆ ที่รู้แต่ยังทำไม่ได้) ศิษย์ยังใช้คำว่าอภัยไหม ถ้ายังอภัยแปลว่ายังโกรธอยู่ ถ้าไม่โกรธแล้ว ก็ไม่ต้องอภัย ศิษย์ยังต้องอดทนอยู่ไหม ถ้ายังไม่พอใจยังต้องอดทนแสดงว่ายังแอบไม่พอใจอยู่ ถ้าคนที่ไม่มีโกรธใครแล้ว ไม่โลภ ก็ไม่ต้องอดทนไม่ต้องอภัย
มีศิษย์ท่านนี้ตอบอาจารย์ว่า “เอาความไม่เที่ยงมาพิจารณาจนบังเกิดธรรม”  ศิษย์เอ๋ยเราจะรู้ธรรม แล้วคนโดยส่วนใหญ่จะปฏิบัติธรรมโดยการใช้คุณธรรรมถูกไหม เวลาเจอสิ่งไม่ดีเราก็พยายามใช้ความเมตตา กรุณา ซื่อตรง มโนธรรมสำนึก ซื่อสัตย์ แต่การใช้คุณธรรมเหล่านี้อย่างมากสุดถ้าทำได้ดี จะเรียกได้ว่าแค่เป็นผู้ประเสริฐ แต่ยังหาพ้นทุกข์ได้ไม่
ศิษย์หลายต่อหลายคนมักจะพยายามเอาความเมตตา มาใช้เพื่อดับทุกข์ เอาความซื่อตรงมาใช้เพื่อขจัดทุกข์ แต่อาจารย์จะบอกว่าคุณธรรมที่เรียกว่าความเมตตา มโนธรรม สัตยธรรม ปัญญาธรรม สุจริตธรรม ความซื่อตรงจริงใจ เอามาใช้ได้ในการอยู่ร่วมกับผู้คนเพื่อไม่ก่อเกิดกิเลส แต่ยังไม่สามารถทำให้มนุษย์สิ้นทุกข์ได้ แต่สิ่งที่จะทำให้มนุษย์สิ้นทุกข์ได้ และสามารถเข้าถึงความสงบอย่างแท้จริง คือ พิจารณาความเป็นจริงจนบังเกิดปัญญา แล้วเอาธรรมอะไรล่ะมาพิจารณา เมื่อสักครู่ ศิษย์ตอบอาจารย์ได้ดี ความไม่เที่ยง” จริงไหม (จริง)  ใครด่าเรา เราคิดแค่เพียง “ไม่เที่ยง” ต้องพยายามปล่อยวางไหม เราจะพยายามยึดติดไหม เพราะมัน (ไม่เที่ยง)  ใครชมเรา เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  เราจะยึดไหม เราจะโกรธไหม เราจะหลงไหมทำไมล่ะ (ไม่เที่ยง)  แล้วถึงเวลาศิษย์หลงไหม  เพราะฉะนั้น ศิษย์เอ๋ย เอาความไม่เที่ยงมาพิจารณาเนื่องๆ จะเข้าใจความไม่สมบูรณ์ เมื่อเราเข้าใจความไม่เที่ยง พิจารณาความไม่สมบูรณ์ ศิษยก็จะไม่ยึดติดและตัดสินว่าอะไรดี อะไรชั่ว ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไม่ตัดสินว่าอะไรดี อะไรชั่ว แล้วมองเห็นชัดว่าในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์ สมบูรณ์ที่สุดก็ยัง (ไม่เที่ยง)  ในสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดอาจจะมีความไม่แน่นอน ใช่หรือไม่ (ใช่) 
แต่อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ ศิษย์จงดีใจอย่างหนึ่งว่าในความสมบูรณ์ที่สุดก็มีความเปลี่ยนแปลงถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถึงแม้เราจะแก่ถึงแม้เราจะดำ ถึงแม้เราจะอ้วน ถึงแม้เราจะเหี่ยว แต่เราสมบูรณ์ในความแก่ดำเหี่ยวอ้วนถูกไหม (ถูก)  ไม่มีใครเหมือนใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความสมบูรณ์ของแก่ดำเหี่ยวอ้วนนั้นก็มีความเปลี่ยนแปลงถูกหรือไม่ (ถูก) 
ฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจว่าทุกชีวิตไม่เที่ยง ทุกชีวิตไม่แน่เราจะกล้าว่าเขาอ้วนไหม ถ้าวันหนึ่งเขาผอมกว่าเรา ตอนนั้นเรานั่นแหละอ้วนใช่หรือไม่ (ใช่)  เราว่าเขาดำแต่ถ้าถึงเวลาวันหนึ่งเราดำกว่าเขา เราก็ (ดำ)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์เอาความไม่เที่ยงมาพิจารณาเนื่องๆ ศิษย์จะเห็นความไม่สมบูรณ์พร้อมของทุกชีวิตแล้วศิษย์ก็จะไม่ตัดสินและรังเกียจว่านี่ไม่ดีและก็ไม่ตัดสินว่าตัวเองดี เพราะตัวเองเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  เขาเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  ฉะนั้นเมื่อมีความไม่เที่ยงอยู่หาความสมบูรณ์ไม่ได้ หาความแน่นอนไม่ได้จะโกรธ  เกลียด จะรักไหม (ไม่)  ไม่รักเพราะมันก็ไม่ (เกลียด)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเข้ามันจะยึดไหม (ไม่ยึด)  ต้องพยายามปล่อยไหม (ไม่)  ไม่ต้องปล่อยเพราะไม่อยากได้ตั้งแต่แรก เพราะไม่มีอะไรแน่นอน  เราจึงอยู่ร่วมกับเขาอย่างไม่ยึดถือ เมื่อไม่ยึดถือเราก็ไม่ต้องพยายามปล่อยวางเพราะเราพิจารณาธรรมจนเห็นแจ้งค้นพบความสงบ ไม่ตัดสินใครว่าดีเกินไปและไม่วิพากษ์วิจารณ์ว่าใครแย่เกินไป เพราะทุกสิ่งเปลี่ยนได้เสมอใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมนี้จะทำให้เราเข้าใจและค้นพบความสงบและไม่ตัดสินผู้คนว่าเธออ้วนหรือเธอผอมใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไม่ปักใจจะยึดมั่นไหม (ไม่) เมื่อไม่ยึดมั่นจะปล่อยวางไหม (ไม่) แล้วต้องพยายามจบไหม (ไม่) มันจบตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลย จริงไหม (จริง) ก็คือมันหยุดตั้งแต่อยากได้เลย
อาจารย์ขอถามศิษย์ว่าจะเอาอะไรไหม เงินเอาไหม (เอา)  จึงมีคำกล่าวของคนโบราณกล่าวไว้ว่า มนุษย์ปรารถนาความสมบูรณ์จึงหนี ไม่พ้นการชิงดีแก่งแย่ง มนุษย์ปรารถนาความอยากได้อยากมีจึงหนีไม่พ้นการทะเลาะเบาะแว้งและภัยพิบัติ ไม่มีหายนะใดน่ากลัวเท่ากับความโลภ ไม่มีความผิดพลาดใดในชีวิตน่ากลัวและเลวร้ายเท่ากับความอยากที่ไม่รู้พอ
ฉะนั้นคนโบราณจึงกล่าวไว้ว่า ยอมต่ำจึงได้ ใช่หรือไม่ เพื่อพยายามยกตัวให้สูง คนจึงพยายามกดให้เราต่ำ ยอมเก่าคนจึงอยากให้เราใหม่ ยอมอ่อนจึงคงอยู่ ถ้าแข็งจะแตกหักและมีอันตราย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นศิษย์เอ๋ย ฟังธรรมมาตั้งเยอะ เคยน้อมเอาธรรมสู่ใจบ้างไหมใช่ไหม (ใช่) ชีวิตมันทุกข์แล้วนะ ใช่ไหม(ใช่)
แก่นของเงินคือการสร้างคุณค่า แก่นของการมีชีวิตคือกลับคืนสู่ธรรมใช่ไหม (ใช่)   ชีวิตล้วนต้องกลับคืนสู่ธรรมจริงไหม (จริง)  สูงแค่ไหนก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม แล้วสิ่งที่เรียกว่าของเรานั้นมันใช่ของเราโดยแท้จริงไหม  (ไม่ใช่)  มันมาจากธรรมชาติ แล้วเราก็ต้องกลับไปสู่ธรรมชาติ แต่ตอนนี้เรากำลังหลงตู่เอาธรรมชาติมาเป็นของตัวเอง ส่วนธรรมทำให้เราเห็นแจ้งจริง ธรรมทำให้เราปลดปลงและปล่อยวาง ธรรมทำให้เรากลับคืนสู่ธรรมและพ้นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  
ชีวิตยึดได้ไหม ความเข้มแข็งยึดได้ไหม ยังมีวันอ่อนแอ ยังมีวันแปรเปลี่ยนเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้ที่เข้าถึงสัจธรรมความเป็นจริงจึงอยู่บนโลกอย่างคนที่ไม่ทุกข์กับโลกใบนี้ อาจารย์ก็หวังว่าวันนี้จะทำให้ศิษย์เข้าใจธรรมบ้างไม่มากก็น้อย วันนี้เรามาฟังเพื่อสั่งสมเหตุปัจจัยในการดับทุกข์ รู้ทุกข์ด้วยสติปัญญาและตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ธรรมะไม่สอนแค่เพียงให้เป็นคนดีคนประเสริฐ คนทำบุญเก่ง แต่ธรรมะยังก้าวต่อไปอีกคือ ให้เป็นคนที่เข้าใจความเป็นจริงที่เรียกว่าทุกข์จนมองเห็นและกลับคืนสู่ธรรมที่ไม่ได้อยู่ภายนอก แต่มันอยู่ภายใน
เมื่อไรที่ศิษย์เอาธรรมมาหยั่งใจ ธรรมอะไรที่ศิษย์จะเอามาพิจารณาประจำ คนเราจงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันใช่ไหม ฉะนั้นใครด่าเราจบหรือยัง (จบแล้ว)  ถ้าอยู่กับปัจจุบันจะสนใจไหม ตอนนี้เราเคยเป็นเด็กเคยแข็งแรงมาก่อน เราจะเศร้าไหม ศิษย์จงอยู่กับปัจจุบัน ถ้ามัวอาลัยกับความเข้มแข็งเราก็จะอ่อนแอไม่จบสิ้น ก็แค่ยอมรับความจริง ป่วยก็ได้ ป่วยแล้วก็กลับมาเข้มแข็งได้ กายป่วยแต่ใจไม่ป่วย กายเหี่ยวแต่ใจไม่เหี่ยว กายแก่แต่ใจไม่แก่ ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจธรรมศิษย์จะเข้าใจชีวิตและเข้าใจผู้คนในโลก ศิษย์จะไม่รักใครมาก ไม่เกลียดใคร แต่จะอยู่กับเขาอย่างผู้ร่วมทุกข์ เขาก็มีทุกข์เราก็มีทุกข์ ด่าเขา เราก็มีทุกข์เขาก็ทุกข์ จะด่าทำไม เพราะไม่มีอะไรแน่นอน เมื่อเข้าใจความไม่แน่นอน เมื่อเห็นชัดเราก็พบความสงบโดยที่ไม่ต้องไปไหน อยู่กับใครเราก็สงบ ศิษย์เอาธรรมไปพิจารณา แล้วธรรมจะบังเกิดขึ้นในใจตัวเองและสามารถดับทุกข์ได้ ขอแค่เพียงกล้ายอมรับความจริง แก่ได้ เจ็บได้ ตายได้ แต่แก่ เจ็บ ตายอย่างคนเห็นธรรม ไม่ก่อเกิดเป็นกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  กิเลสเป็นทางแห่งบาปและกรรมเวรทั้งมวล เมื่อไรที่ยังตกเป็นทาสกิเลส ศิษย์ก็หนีไม่พ้นบาป เวรกรรมที่ศิษย์ก่อ  ไปไหว้พระเก้าวัดล้างซวยก็ล้างไม่ได้นะ ถ้าศิษย์ไม่เลิกซวยด้วยตัวเอง
ฉะนั้นถ้าอยากคุยกับอาจารย์โปรดติดตามตอนต่อไป ดีหรือไม่ (ดี)  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์ วันนี้ถือว่าเป็นน้ำจิ้มดีไหม เดี๋ยวดูต่อว่าอีกสองสามวันที่เหลือ ศิษย์จะยังมีบุญกับอาจารย์หรือไม่ ฉะนั้นรู้จักสร้างบุญ อย่าสร้างกรรม เข้าใจไหมศิษย์ รู้จักวางตัวเองให้ดำรงอยู่กับความเป็นจริง ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะดีหรือจะร้าย เราเรียนรู้ความจริงเพื่อเข้าใจทุกข์และอยู่กับทุกข์อย่างคนที่ตื่นรู้ในธรรม ไม่ใช่อยู่กับทุกข์แล้วจมกับความทุกข์ ฝึกจิตให้เบิกบาน เย็นเข้าไว้ เย็นให้มากๆ เพราะคนที่เผาตัวเองก็คือตัวเรา คนที่โกรธ เกลียดและเจ็บปวดก็คือใจของเรา เอาธรรมนำชีวิต อย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่ และว่างๆ จงเอาธรรมมาพิจารณาจนบังเกิดขึ้นในใจ ไม่ว่าจะเจออะไร ธรรมนั้นจะช่วยดูแลรักษาใจให้ศิษย์พ้นภัยทั้งมวล
ขอเพียงซื่อตรงในศีลธรรมให้ได้ก่อนนะใช่ไหม (ใช่)  อย่าเป็นคนศีลธรรมมีไม่ครบคบไม่ได้นะใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นรักษาจิตรักษาใจให้สะอาดนะ ดูแลหัวใจและร่างกายของตัวเองให้เข้มแข็ง ไม่ว่าเจอสิ่งใดอย่ากลัวที่จะเรียนรู้และยอมรับ เพราะบางครั้งความทุกข์ไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่ไม่สู้ทุกข์จริงไหม (จริง)  ทุกข์ไม่น่ากลัว ความเจ็บไม่น่ากลัว ความตายก็ไม่น่ากลัว อาจารย์บอกได้ความตายไม่น่ากลัวถ้าศิษย์ประจักษ์เนื้อแท้ในธรรมของตน ความตายคือการปลดปลงสังขารเพื่อคืนสู่ธรรมเท่านั้นเอง แต่การยึดมั่นและหลงผิดนั้นน่ากลัวกว่านะ ลองพิจารณาให้ดีว่า วันนี้สิ่งที่อาจารย์พูดเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกยังไม่ต้องเศร้านะใช่ไหม (ใช่)  เข้มแข็งนะเราก็สู้ต่อไป ทำสิ่งใดจงอยู่บนพื้นฐานความดีงาม ถูกต้อง เป็นจริง อย่ามีเรื่องนะเก็บตะเข็บไว้ข้างในเข้าใจไหม (เข้าใจ)  แล้วถ้าเก็บแล้วมองให้เห็นจริงแล้ววางเสียล้างใจเสียให้สะอาดจะได้ไม่เน่าในนะ


วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑      สถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ชีวิตโลกกว้างทางไกล                  เข้าใจก็ไม่เป็นทุกข์
ทุกครั้งที่ต้องล้มลุก                       ปัญหามาปลุกจิตใจ
ทองแท้ไม่กลัวไฟหลอม                   ไม่พร้อมสู้ไฟไม่ไหว
ทนได้ไม่สู้รู้ไฟ                             แจ้งใจไฟไม่ร้อนเลย
    เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา   ลงสู่พุทธสถานผู่ถีอีกครา แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว       ถามศิษย์รักทุกคนคิดถึงอาจารย์ไหม

บำเพ็ญอีกแล้วข้าคอยเน้นหนัก   ย้ำย้ำซ้ำซ้ำกำซาบบำเพ็ญคือจุดหมาย   รู้ชาติเดียวดังที่เป็น  ทุกข์จนแทบทนไม่ไหว  เลือดในกายไหลรวมเป็นทะเล
บำเพ็ญแหละหนาก็คือทุกอย่าง   ตรงนี้ที่ไหนไกลเท่าไรเพื่อเดินไปไหน  พร้อมจะทำก็ไม่ยาก  หากรอมีใครจะพร้อม  ขอบำเพ็ญมิวอนมากกว่านี้
ใช้ชีวิตเรียนทั้งชีวิตบำเพ็ญจริงจัง  คนสร้างโชคด้วยมือมิใช่บีบคั้น  ใช้ชีวิตเรียนทั้งชีวิตมีคุณอนันต์ ข้าเชื่อใจศิษย์นั้นว่าทำได้ดี รู้ชีวิตเรียนทั้งชีวิตบำเพ็ญจริงจัง  ข้าเชื่อใจศิษย์นั้นว่าทำได้ดี

ทำนองเพลง : ทั้งชีวิต
ชื่อเพลง : เรียนทั้งชีวิต
หมายเหตุ:
     เนื้อเพลงที่ขีดเส้นใต้ พระอาจารย์จี้กงเมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาทในงานประชุมธรรมสถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์  วันที่  ๑๙ - ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ถ้ามีสองทางให้เลือก ทางหนึ่งเรียกว่าสุข อีกทางหนึ่งเรียกว่าทุกข์ ศิษย์จะเอาสุขหรือเอาทุกข์  ผู้ปฏิบัติธรรมตอบด้วยนะว่าอย่างไร (ทุกข์)  มั่นใจนะ เอาทุกข์นะ เอาทุกข์หรือเอาสุข (เอาสุข)
ถ้าศิษย์อยากเรียนรู้ที่จะเข้าใจชีวิตที่เรียกว่าความทุกข์ ศิษย์ต้องเดินทางทุกข์แล้วศิษย์จะพบสุข แต่ถ้าศิษย์เดินทางสุขศิษย์กลับจะได้พบคำว่าทุกข์ จริงไหม (จริง)  พยายามหาสุขเท่าไรก็ทุกข์มากเท่านั้น แต่ยิ่งพยายามค้นหาความทุกข์เท่าไร เราก็ยิ่งเข้าใจและพ้นทุกข์มากเท่านั้น แล้วยิ่งศิษย์เป็นผู้ปฏิบัติงานธรรม คนที่จะปฏิบัติงานธรรมแล้ว ประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อช่วยคนให้พ้นทุกข์ ยิ่งเป็นทุกข์ศิษย์ยิ่งต้องเดินเข้าไป เพราะยิ่งทุกข์เราจะยิ่งค้นพบทางพ้นทุกข์ และเราจะยิ่งช่วยให้เขาพ้นทุกข์ คนที่จะปฏิบัติธรรมทางที่ศิษย์เลือกเดินง่ายไหม (ไม่ง่าย)  สุขไหม  คนที่จะปฏิบัติธรรมคือคนที่ต้องกล้าจะเผชิญความทุกข์ และพระพุทธะที่ศิษย์กราบไหว้ ท่านเลือกทุกข์หรือเลือกสุข (ทุกข์)  ท่านเลือกมีเงินหรือท่านเลือกทิ้งเงิน (ทิ้งเงิน)  แล้วศิษย์ล่ะ เอาเงิน เอาสุข แต่ผลสุดท้ายก็หนีไม่พ้นทุกข์ แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่เอาเงิน เอาทุกข์ แต่ถึงสุดท้ายท่านพ้นทุกข์ และยังนำพาเวไนยให้รู้ตื่นและก็พ้นทุกข์ แต่เราเลือกทุกข์หรือสุข (ทุกข์)  ถ้าเราเข้าใจทุกข์จนเต็มที่แล้วศิษย์จะต้องวิ่งไปหาความสุขไหม ทุกข์ก็กลายเป็นสุข แล้วชีวิตนี้ต้องกลัวอะไรไหม ตั้งแต่เราเกิดมาสุขมากกว่าหรือทุกข์มากกว่า (ทุกข์มากกว่า)  แล้วทำไมเราไม่ลองเรียนรู้และเข้าใจทุกข์ ทุกข์น่ากลัวไหม ร้ายไหม ตายไหม แล้วทำไมเรากลัวทุกข์ ทำไมถึงหนีทุกข์ อาจารย์อยากบอกว่าทุกข์มันน่ารัก ถ้าไม่มีทุกข์ศิษย์ก็ไม่เข้าใจชีวิต
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราไม่ยืนจนเป็นทุกข์ ศิษย์จะหาเก้าอี้นั่งไหม ฉะนั้นต้องขอบคุณที่ทำให้เรารู้จักทุกข์ ทุกข์แปลว่าทนได้ยาก ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์ต้องพยายามทนแปลว่าศิษย์กำลังทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ไม่ทนแต่ศิษย์เข้าใจ ศิษย์ก็ไม่ทุกข์ แล้วทุกข์ดีตรงไหนทำไมอาจารย์ถึงบอกว่าน่ารัก เวลาเจ็บป่วยทุกข์ทำให้เราเจ็บป่วย เมื่อเราเจ็บป่วยเราจึงรู้ว่าร่างกายเราผิดปกติ เมื่อร่างกายผิดปกติเราจะพยายามทำให้ร่างกายเราแข็งแรงขึ้น อย่างนั้นควรดีใจไหมที่มีทุกข์ 
เมื่อความแก่มา ตาก็เริ่มมองไม่เห็น ฟันก็เริ่มไม่ดี หูก็ไม่ค่อยได้ยิน แต่เรายังทนทายาทอยู่แก่จนหง่อมไม่ตายสักที ดีไหม (ไม่ดี)
ในความเป็นจริงทุกข์นั้นน่ากลัวหรือศิษย์ ถ้าการเดินไปสู่ทางแห่งทุกข์ มันทำให้เราบังเกิดจิตเมตตา แล้วถ้าการเดินไปสู่ทางแห่งทุกข์ มันทำให้เราได้อุทิศเสียสละ แล้วถ้าการเดินไปสู่ทางแห่งทุกข์ มันทำให้เราค้นพบทางพ้นทุกข์ด้วยการช่วยเหลือผู้คน ไยจึงหวาดกลัวที่จะเดินบนทางทุกข์นี้ ไยไม่กล้าหาญที่จะสู้กับทุกข์นี้ จริงไหม (จริง)  คนที่หวังแต่จะสุข อาจารย์ว่าเป็นคนขี้ขลาดที่ไม่รักชีวิตและไม่เคยคิดที่จะเข้าใจชีวิตต่างหาก
สรุปว่าทุกข์กับสุขจะเดินทางไหน (ทุกข์)  ต้องให้พูดสรรพคุณความทุกข์มากมาย ทำไมไม่คิดได้ด้วยตัวเอง จริงไหม (จริง)  ศิษย์ทุกคนมีปัญญา ถ้ามัวรออาจารย์ชี้นำ แล้วเมื่อไรศิษย์จะพึ่งตัวเองได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามนะ มีพระพุทธะองค์ไหน มีอาจารย์คนไหนที่เขาหวังให้ศิษย์ต้องมาพึ่งเขาตลอดชีวิต ถ้าใครเป็นอาจารย์แบบนั้นก็เรียกว่าเป็นอาจารย์ที่ดีไม่ได้ อาจารย์ที่ดีต้องได้ศิษย์ที่เก่งกว่าอาจารย์ ถูกไหม (ถูก)  ต้องทำให้ศิษย์นั้นรอดพ้นได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงจะเรียกว่าอาจารย์ที่ดี แต่ถ้ามีอาจารย์แล้วศิษย์ยังเกาะติดอาจารย์ปล่อยไม่ได้ อย่างนี้อาจารย์ไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  หลงติดแต่อาจารย์ ไม่คิดพึ่งตัวเอง รออาจารย์มาปลอบใจ รออาจารย์มาช่วยคลายทุกข์ใจ อย่างนี้เรียกว่าอาจารย์ไม่ดีถูกไหม (ถูก)  แล้วศิษย์อยากได้อาจารย์แบบนี้ไหม
ฉะนั้นชีวิตอย่าได้กลัวความทุกข์ ยิ่งเราค้นพบหนทางออกแห่งทุกข์เมื่อไร ศิษย์ก็จะสามารถนำพาชีวิตให้พบธรรมได้เมื่อนั้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ทุกข์เหมือนไฟแผดเผา แต่จริงๆ แล้วถ้าใจเราพร้อม ใจเรามีความกระจ่างในทุกข์ ใจเรามีความแจ้งในทุกข์ เราก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วไฟแห่งทุกข์นั้นไม่ร้อนเลย แต่ใจที่ไม่ยอมรับความทุกข์ต่างหากที่ทำให้ทุกข์มันร้อน  ในใจของศิษย์นั้นมีทุกข์มากมายอยู่ในใจใช่หรือไม่ (ใช่)  บางครั้งอยากจะลืมก็ลืมไม่ได้ อยากจะวางก็วางไม่ลงถูกไหม (ถูก)  ในชีวิตของเรามีเรื่องมากมาย ที่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายพัดผ่านเข้ามาตลอดใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์เทียบง่ายๆ ชีวิตคนเหมือนกับสายน้ำไหม (เหมือน )  ไหลไปไม่มีวัน (ไหลกลับ)  ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นบางคนมีชีวิตเหมือนสายน้ำที่อุทิศเพื่อประชาแต่บางคนมีชีวิตเหมือนสายน้ำที่เก็บกักไว้แค่ตัวเองกินคนเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่) ถามใจตัวเราเองนะ ศิษย์มีชีวิตที่เป็นเหมือนสายน้ำที่อุทิศเพื่อประชาหรือเป็นน้ำที่เก็บไว้ให้ตัวเองกินคนเดียวไม่เคยแบ่งปันผู้ใด ใช่ไหม (ใช่) 
อย่างนั้นเรามาคุยต่อ ประเด็นที่อาจารย์จะคุยต่อก็คือว่าถ้าเกิดชีวิตเหมือนสายน้ำที่ไหลไปแล้วเรียกกลับไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเราเกิดมา เราจะมานั่งทอดถอนหายใจ แล้วก็มัวจมอยู่กับอดีตไหม (ไม่)  เป็นไหม (ไม่เป็น)  ศิษย์จำไว้นะ คนที่มัวแต่นั่งทอดถอนหายใจแล้วก็ปล่อยชีวิตไปวันๆ แล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจอยู่อย่างนั้นคือคนที่ปล่อยให้ชีวิตตายทั้งเป็น  (ใช่)  ชีวิตผ่านไปแล้วการจำอดีตเยอะๆ มันดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะ ก็คนที่จมอยู่กับอดีตคือคนที่ปล่อยให้ชีวิตตายทั้งเป็น แต่คนที่มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันคือคนที่รู้คุณค่าชีวิต ใช่หรือไม่เห็นชอบพูดแล้วพูดอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ในเมื่อชีวิตเหมือนสายน้ำที่ไหลไปแล้วมันเรียกกลับไม่ได้ การเอาแต่ทอดถอนใจก็ไม่มีประโยชน์ การเอาแต่คิดกังวลว่าทำไมชีวิตเป็นแบบนี้ มันดีไหม (ไม่ดี)  แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม
ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ คนที่มัวจมอยู่กับอดีตคือคนที่อยากให้ชีวิตตายทั้งเป็น ส่วนคนที่พยายามทำปัจจุบันให้มีคุณค่าและคุ้มค่าที่สุด นั่นคือคนที่เข้าใจชีวิตและเห็นคุณค่าชีวิต จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าศิษย์บอกว่า “อาจารย์การจมอยู่กับอดีตบางครั้งมันก็ดีนะ บางครั้งก็มีสุข” มันก็ดีนะ แต่อาจารย์ถามหน่อยว่า ดีแล้วมันเรียกกลับคืนมาได้ไหม (ไม่ได้)  ดีแล้วยั้งหยุดให้มันอยู่กับเราตลอดได้ไหม แล้วที่ไม่ดีที่ทำเราเจ็บปวดมันยังอยู่กับเราไหม (อยู่)  อยู่แต่จางไปเยอะแล้ว แทบจะพูดได้ว่าจำไม่ได้แล้วว่ามันน่าเกลียดยังไงแต่รู้ว่าเกลียดมัน มันทำเราเจ็บ แล้วศิษย์รู้ไหมว่าเมื่อเวลาผ่านไป ถ้าเรายอมรับว่า ไม่ว่าดีหรือร้าย ถึงเวลามันก็จะจางลงและเบาบางลงใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศิษย์จะเอาสิ่งนั้นมาจองจำความเป็นตัวตนและก่อเกิดเป็นวิบากกรรมที่เรายึดถือ กับการเอาสิ่งนั้นมาพิจารณาจนเกิดการเข้าใจธรรมและปล่อยวางได้ อะไรมันดีกว่ากัน แต่ส่วนใหญ่ยิ่งคิดก็ยิ่งจำ ยิ่งจำก็ยิ่งยึด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อยิ่งยึดมันก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เราต้องไปรับ แล้วเราก็จำได้ว่าเราเคยดีกับใคร ใครเคยว่าเรา ใครเคยด่าเรา ฉะนั้นการจำแบบนั้นแล้วมันจะเกิดเป็นวิบากกรรมที่ศิษย์ต้องไปแบกรับ สู้เอาสิ่งนั้นมาพิจารณาจนเกิดความเห็นแจ้งปลดปลงและปล่อยวางไม่ดีกว่าหรือ (ดีกว่า)  เมื่อถึงเวลาเราเคยพิจารณาแล้วปล่อยวางได้ไหม
ศิษย์จำไว้นะ  ใจนั้นเป็นเนื้อนาบุญ ศิษย์ฝังอะไรไว้มันก็ต้องไปรับสิ่งที่ศิษย์ฝังอันนั้น เหมือนศิษย์ปลูกต้นอะไรไว้ในจิตใจ ต้นนั้นศิษย์ก็ยังยึดถือแล้วก็แบกไว้ตลอดชีวิต แต่ถ้าเกิดสิ่งที่ศิษย์ฝังลงไปนั้นมันสามารถคลายจาง แล้วปลดปลงปล่อยวางจนเห็นธรรมได้ ทำไมไม่เอาสิ่งนั้นมาทำให้เกิดธรรม  คนที่ด่าเรา เขาด่าจบไปนานแล้วใช่ไหม ความเจ็บเราจางไปหรือยัง ถือไปก็หนักเปล่าๆ  ฉะนั้นถ้าศิษย์สามารถยอมรับความจริงแล้วค่อยๆ พิจารณาว่าไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอด มันผ่านไปแล้ว เมื่อมันผ่านไปแล้ว ศิษย์จะเอาเก็บมาไว้ในใจไหม เมื่อมันผ่านไปก็ปล่อยมันผ่านไป มันก็จะปลดปลงได้ทันที แต่มนุษย์เราไม่เคยปล่อยให้มันผ่านไป ใช่ไหม (ใช่)  มันจึงก่อเกิดกลายเป็นทุกข์ที่เรายึดถือแล้วก็จำได้ว่า “คนนี้ด่าฉัน คนนั้นด่าฉัน คนนั้นชมฉัน คนนั้นโกงฉัน คนนี้ให้ฉัน” แล้วเราก็หนีไม่พ้นความเป็น  “ฉัน”  ใครชมฉัน ฉันก็จะยิ้ม ใครด่าฉัน ฉันก็จะด่า ใครดีกับฉัน ฉันก็จะดี ใครไม่ดีกับฉัน ฉันก็จะไม่ดี มันเกิดจากใจที่ศิษย์จดจำและยึดถือใส่เข้าไปในตัวเองทุกวัน แล้วก็แสดงผลของการจดจำมาเป็นวิบากกรรมที่กระทำต่อคนนั้นคนนี้ที่ใจจำ แต่ถ้าทุกวันศิษย์เอาใจมาล้าง เหตุการณ์เมื่อวานนี้จำไม่ได้แล้ว ทุกคนที่ศิษย์เจอเขา เขาจะกลายเป็นคนใหม่ สะอาด เพราะใจเราสะอาด ใจนั้นล้างได้ทุกวันแต่เราเคยนำใจนั้นมาล้างไหม  เราไม่เคยเอามาล้าง แต่เอามาเป็นกรรม เอามาเป็นตัวตน เอามายึดติดแล้วก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมว่า คนนี้โกรธ คนนี้ดี คนนี้ด่า ใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็สะสมทุกวันๆ ก่อเกิดเป็นคำว่าตัวตนขึ้นมา  ทั้งที่จริงๆ แล้ว ถ้าศิษย์เข้าใจธรรม   ทุกชีวิตเกิดมาแล้วก็สูญสลายไป ถูกไหม (ถูก) 
ถ้าสมมติว่าอาจารย์ปลูกต้นไม้ไว้ต้นหนึ่ง ปลูกแล้วอาจารย์ทุกข์เหลือเกิน พอต้นไม้โตแล้ว และก็ตายไปแล้ว อาจารย์ก็ไม่คิดจะปลูกอีก ต้นไม้จะขึ้นไหม (ไม่)  เหมือนกัน ชีวิตเกิดมาแล้ว ถึงที่สุดทุกชีวิตก็ต้องดับไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะหยุดและตัดภพ ตัดชาติ ตัดกรรมได้อย่างไรถ้าใจเรายังยึดติด เก็บไว้ และลืมไม่ลง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ก็ยังมีความอยากที่จะคิดว่า “อ้อ คนนั้นดี คนนั้นไม่ดี”  ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้น ถ้าทุกขณะศิษย์เอาสิ่งที่ศิษย์ใส่เข้าไปในใจมาล้าง มามองว่ายึดไม่ได้ ยึดแล้วไม่มีประโยชน์  ใจจะถูกล้างทุกวันด้วยธรรม ถ้าเข้าใจความเป็นจริง ไม่มีอะไรยึดได้เลย คนที่ชมเราวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็อาจจะด่าเรา คนที่ด่าเราวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็อาจจะชมเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่วันนี้เราได้ดี พรุ่งนี้เราอาจจะไม่ดีก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมองเห็นความเป็นจริง แล้วเราจะเอาอะไรมาใส่ไว้ในใจ แล้วจะมีอะไรที่จะทำให้เราต้องกลับมาเกิดอีกไหม (ไม่มี) 
ศิษย์เคยได้ยินคำกล่าวคำหนึ่งไหม เมื่อไรที่หัวใจซื่อตรงต่อสัจธรรมความเป็นจริง ดีร้ายจะไม่เกิด บาปกรรมจะไม่มี  แล้วมนุษย์ทุกวันนี้ที่เรียกว่าชีวิต เราเกิดมาพร้อมกับกรรม ถูกไหม (ถูก)  เรามีกรรมเป็นผู้ติดตาม เรามีกรรมเป็นตัวอาศัย และเราเป็นผลของกรรมที่เราสร้าง แล้วศิษย์อยากจะเสวยผลกรรมนี้ไปเรื่อยๆ หรือศิษย์อยากจะหยุดกรรม (หยุดกรรม)  อยากจะมีกรรมอีกไหม (ไม่อยาก)  อย่างนั้นควรจะจำหรือควรจะลืม (ลืม)
ทำไมคนที่แก่แล้ว ตาฟางมองไม่ชัด หูตึงฟังไม่ค่อยได้ยิน ฟันเคี้ยวได้ยากขึ้น แล้วสมองก็ลืมง่าย เพราะมันต้องกลับไปสู่ธรรมใช่ไหม (ใช่)  จำมากก็ทุกข์มาก เห็นชัดก็เจ็บมาก ได้ยินเยอะรู้เยอะก็ทุกข์เยอะใช่หรือไม่ (ใช่)  พูดชัดก็สร้างปัญหาเยอะ
ฉะนั้นธรรมสอนอะไร ธรรมสอนให้เข้าใจความเป็นจริงและรักษาความเป็นกลางจนไม่ก่อเกิดกรรม แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ พอจำก็บอกว่าอันนี้ดีอันนี้ไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  แล้วสิ่งที่เรียกว่าดีก็เรียกว่ากรรมดี สิ่งที่ตัวเองไม่ชอบก็เรียกว่ากรรม (ชั่ว)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทั้งชีวิตเราสนองกรรมใช่ไหม (ใช่)  หรือสนองกิเลส  ถ้าเรากล้าเผชิญความทุกข์ เราก็พบความสุข แต่ถ้าเราเลือกที่จะสุขแล้วรังเกียจทุกข์ เราก็จะเจอทุกข์มากกว่าที่เราคาดคิด ถูกหรือไม่ (ถูก)  ง่ายๆ แค่นี้เอง (นักเรียนตอบคำถามโดยยกตัวอย่างของการทำธุรกิจ ต้องทุกข์เรื่องคน เรื่องเงินและปัญหาต่างๆ ต้องใช้ความกล้าและอดทนจนประสบความสำเร็จถึงจะพบความสุขได้)  ตอบได้ดีไหม บางทีเราคิดว่าข้างหน้านี่คือความสุขและมันคงทำให้เราประสบผลสำเร็จ แล้วจะได้พบความสุขถูกไหม  แต่อาจารย์ถามหน่อย พอสำเร็จหนึ่งอย่าง  ศิษย์เริ่มทุกข์หรือสุข (ทุกข์)  ทำไมทุกข์ล่ะ (อยากได้)  ใช่ พอเราคิดว่าข้างหน้านี้คือสุขสำเร็จแล้วคือสุข แต่พอไปหาสำเร็จแล้ว เริ่มจะทุกข์แล้ว ต่อไปจะขยายกิจการอย่างไรดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เงินนี้จะแบ่งอย่างไรดีให้เติบโตและงอกเงย ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เหมือนศิษย์คิดว่าถูกลอตเตอรี่สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  ศิษย์คิดว่าถูกลอตเตอรี่แล้วคือสุขถูกไหม (ถูก)  ถูกสองตัวสุขไหม สุข แต่พอไปเจอเพื่อนบ้านเขาถูกสองตัวเหมือนกัน ทุกข์ทันทีเลย “ทำไมเราไม่ซื้อสักสองใบ”  ถูกหรือเปล่า (ถูก) 
ศิษย์เอยสุขหรือทุกข์ไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือใจที่ไม่รู้จักดำรงชีวิตให้ถูกต้อง เมื่อจะพบสุขก็ดันคิดไปหาทุกข์ เมื่อเวลามีทุกข์ก็พยายามคิดที่จะพบสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเรียนรู้ชีวิตและเข้าใจธรรม ต้องกล้าเผชิญความจริง เมื่อเรากล้ายอมรับก็สามารถที่จะทำให้เรามองออกชัด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราบอกว่า “ไม่เอา ทุกข์หนูไม่เอา โดนด่าไม่ได้ ล้มเหลวไม่ได้”  ยังไม่ทันล้มเหลว ยังไม่ทันโดนด่า เราก็ทุกข์แล้ว ถูกหรือไม่  แต่ถ้าในชีวิตเราไม่จำกัดตัวเอง อะไรก็ได้ เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) 
ถ้าอย่างนั้นเกิดมาชีวิตมีแต่ให้ดีไหม (ดี)  ไม่เอาเลยดีไหม (ไม่ดี)  อาจารย์ถามจริงๆ มีใครคนไหนบ้างที่สอนให้ศิษย์นั้นให้จนหมดตัวใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ต้องให้จนบังเกิดธรรม ให้แล้วมันสละความเป็นตัวตนได้ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าให้แล้วเรียกเป็นทาน แต่ถ้าให้อีกทีก็กลายเป็นบุญ แต่ถ้าให้อีกทีจะกลายเป็นกุศล อาจารย์ถามว่า ศิษย์อยากให้ระดับไหน (กุศล) 
การกระทำใดๆ ในโลกนี้มันมีอยู่สองแบบ ไม่เขาทำเรา ก็เราทำเขา  ถ้าเขาทำเราไม่ดีแล้วเราปฏิบัติต่อเขาไม่ดีมันก็กลายเป็นผูกเวรกรรมถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้ามีคนทำไม่ดีกับศิษย์ แล้วศิษย์มาถามอาจารย์ว่า ทำไมเขาต้องทำไม่ดีกับศิษย์ ศิษย์ลองคิดดูว่าในโลกใบนี้ คนมีตั้งร้อยล้านคนทำไมเขาไม่หลอกคนอื่น ทำไมเขาต้องมาหลอกศิษย์ถูกไหม (ถูก)  คนมีตั้งเยอะแยะทำไมเขาไม่มาทำร้าย แต่ทำไมเขาทำร้ายศิษย์ แปลว่าเราต้องมีกรรมเกี่ยวเนื่องกันถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นมันต้องมีกรรมกันมา ถึงมาเจอกันใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าเขามาทำร้ายศิษย์แล้วศิษย์อยากจองกรรมต่อหรืออยากจบกรรม (จบกรรม)  ถ้าอย่างนั้นศิษย์จะแค่ทำบุญทำทาน คิดว่า “อยากเอาไปก็เอาไปถือว่าให้ทาน”  กับอีกอัน ศิษย์คิดว่าดีแล้ว เขาทำร้ายเรา ฉันจะเมตตาเขากลับ เขาทำร้ายเรา ฉันจะเอาสิ่งที่เขามาทำร้ายฉัน มาล้างใจฉันให้บริสุทธิ์ ไม่โกรธ ไม่เคือง ไม่แค้น นี่เรียกว่าทำบุญ แต่อีกอัน เขาทำร้ายศิษย์ ศิษย์จะเข้าใจ มันไม่มีคำว่าโกรธ ไม่มีคำว่าเกลียด ไม่มีคำว่าต้องใช้กรรมกับมัน แต่เป็นความเข้าใจ “ไม่เป็นไร คนเรามันเกิดมาก็เจอดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ฉันเข้าใจ”  นี่แหละเรียกว่า สามารถกระชากตัวตน แล้วสามารถวางตัวตน ไม่ยึดตัวตน แล้วการที่เขามาทำร้ายเรา มันก่อเกิดเป็นกุศล กุศลคือสิ่งที่สามารถทำลายล้างตัวตนแล้วไม่มีตัวตนให้ยึดถือ  เพราะฉะนั้นทุกขณะจิตที่ศิษย์ดำเนินชีวิต ไม่เขาทำเราก็เราทำเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทุกขณะที่เราทำ ถ้าเราคิด “เขาด่าฉัน ว่าฉัน โกงฉัน ฉันจะจำไว้”  แล้วก็เอาไปด่า คนนั้นด่าฉัน ว่าฉัน แล้วก็ฟื้นฝอยหาตะเข็บ ไม่จบสิ้น มันก็คือการผูกกรรมเกี่ยวกรรมกันไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วชีวิตนี้ศิษย์เป็นอย่างนี้ถูกไหม แล้วก็พูดในใจ “ถือว่าทำบุญทำทานให้เขา” ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าในขณะที่ศิษย์โดนเขาด่า โดนเขาโกง โดนเขาทำร้าย สามารถก่อเกิดเป็นทาน เป็นบุญ กลายเป็นกุศลที่สิ้นการยึดถือในตัวตน มันจะเป็นชั่วขณะชีวิตที่ศิษย์ได้มีอยู่จบลง  เป็นชีวิตที่มีอยู่แต่กรรมหมดลง ศิษย์ไม่เอาแบบนั้นหรือ แต่ศิษย์ตรงกันข้าม มีอยู่และยึดมั่น 
อาจารย์ถามศิษย์ว่าเอาแบบไหน ยังอยากเกิดมามีกรรมไหม (ไม่อยาก)  ยังอยากเกิดมาเจอคนที่ด่าไหม อยากเจอคนที่โกงไหม ถ้าอยากเจอจำไว้เลย ผูกใจเจ็บไว้เลย เดี๋ยวได้กลับมาจองเวรจองกรรมกันแน่ แต่ถ้าอยากสิ้นบาปกรรม เมื่อไรที่จิตตรงต่อสัจธรรมความเป็นจริง ไม่มีคำว่าดี ไม่มีคำว่าร้าย เมื่อนั้นจบสิ้นบาปกรรมทันที และได้เรียนรู้ชีวิตใช่ไหม (ใช่)  ไม่ก่อเกิดเป็นตัวตนให้ยึดถือว่า “ทำไมเขาต้องทำหนู ทำไมเขาต้องด่าว่าหนู ทำไมเขาต้องตีหนู หนูเจ็บ”  ใช่ไหม (ใช่)   ฉะนั้นทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิตศิษย์สามารถฝึกฝนบำเพ็ญแล้วลดละหนี้บาปเวรกรรมได้นะ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เหมือนเวลาที่ทำงาน ศิษย์ทำงานงกๆ แต่บางคนไม่ทำ แล้วพูดว่า “ทำไมว่างจังเลย แล้วเธอยุ่งอะไรนักหนา” ถึงเวลาแบบนี้แล้วเรายังอยากทำไหม (ไม่ทำ)  ถ้าเราทำแทบตายแล้วอีกคนมานั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย ไม่รับผิดชอบอะไรเลย เรายังอยากทำไหม (ไม่ทำ)  อันโน้นเราก็ทำ อันนี้เราก็ทำ แต่อีกคนหนึ่งกลับบอกว่า  เธอยุ่งอะไรนักหนา เฉยๆบ้างไม่เป็นหรือ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่บ้างไม่ได้หรือ เรายังทำไหมศิษย์ ศิษย์เอ๋ย อาจารย์บอกแล้วโลกนี้มีสองอย่าง ไม่เขาทำเราก็เราทำเขา ถ้าเราเห็นแบบนี้แล้วเราก้มหน้าทำไป แล้วด่าไป ไอ้ทุเรศ ไอ้น่าเกลียด ไอ้เอาเปรียบ การทำของศิษย์ก็คือการสร้างกรรม แต่ถ้าเกิดว่าเราทำไป “อืม ไม่เป็นไร ฉันทำหน้าที่ของฉันให้ดีที่สุด ฉันซื่อตรงต่อหน้าที่ ฉันรับผิดชอบต่อหน้าที่ คนอื่นจะไม่ทำไม่เป็นไร” ศิษย์จะผูกใจเจ็บไหม (ไม่)  ศิษย์จะยึดติดอะไรไหม (ไม่)   แต่ชีวิตเราเป็นอย่างไร แม่ทำเหนื่อยแทบตาย ลูกทำอะไรบ้าง พ่อทำอะไรบ้าง ใช่ไหม พ่อก็กลับกัน พ่อก็เหนื่อยเหมือนกัน แม่ก็บ่นอยู่นั่นแหละ แล้วมันสุขไหม (ไม่สุข)  ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากศึกษาธรรม ศิษย์จงเอาธรรมไปใช้ในชีวิตประจำวันทุกขณะ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ถูกต้องที่สุด และทุกขณะใครจะเป็นอย่างไร ศิษย์คิดแค่เพียง ศิษย์อยากให้ทานเขา  ถ้าคิดแค่เพียงว่าทำเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันมันก็เป็นทาน แต่ถ้าคิดว่าทำแล้วมันสามารถชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ทานนั้น มันก็กลายเป็นบุญ แต่ถ้าทำแล้วไม่ยึดติดไม่ยึดถือบุญนั้นมันก็กลายเป็น (กุศล)  ใช่ไหม (ใช่) 
ถ้าทำได้ศิษย์จะไม่มีความคิดว่า “ทำไมฉันต้องทำอะไรอย่างนี้ด้วย ทำไมฉันต้องเป็นอะไรอย่างนี้ด้วย” จะไม่มีความคิดนี้ในทุกขณะที่เราทำ แล้วศิษย์เป็นแบบนี้ไหม
เมื่อไรที่เห็นใจตัวเองมากเท่าไร จิตก็จะแบ่งแยกยึดติดและรังเกียจผู้อื่นมากเท่านั้น  เมื่อไรที่เห็นใจหรือชื่นชมตัวเองมากเท่าไรก็จะก่อเกิดการเปรียบเทียบและรังเกียจเดียจฉันท์มากเท่านั้น  แต่ถ้าเมื่อไรทำอะไรแล้วไม่มีคำว่าตัวเองทำ เมื่อนั้นก็จะไม่มีการแบ่งแยกว่า ผู้อื่นไม่ทำจริงไหม (จริง) 
ศิษย์มักจะคิดว่าการบำเพ็ญธรรมต้องอยู่ที่วัดและทำให้เฉพาะพระ แต่อาจารย์จะบอกให้นะ ศิษย์เอย ศิษย์บำเพ็ญธรรม ศิษย์ทำแค่ที่วัด ทำแค่ที่พระ แต่อยู่กับคนศิษย์ไปสร้างบาปกรรม ใช่ไหม (ใช่) 
ปัจจุบันนี้ศิษย์สร้างกรรมหรือสร้างบุญมากกว่า (สร้างกรรม)  ถามว่าให้ไปเข้าวัดทำบุญ ศิษย์บอกว่า “เดี๋ยวค่อยไป พรุ่งนี้ค่อยทำ” แต่ถ้าตอนนี้อาจารย์บอกว่าถ้าศิษย์รู้ว่าชีวิตนั้นไม่แน่นอน ศิษย์แน่ใจหรือว่ามีพรุ่งนี้ ในเมื่อศิษย์ไม่มั่นใจ สิ่งที่ทำให้ศิษย์ทำแล้วมีค่าสูงสุดมีคุณสูงสุดทำไมศิษย์ไม่ทำ ทำไมเวลาดำเนินชีวิตจึงตกเป็นทาสของกิเลสและหลงเวียนว่ายสร้างกรรม ทำไมไม่อยู่เพื่อสร้างคุณธรรม เรามีชีวิตเพื่อรับหรือมีชีวิตเพื่อให้ (ให้)  ทำอย่างไรที่เรียกว่าปฏิบัติธรรมแล้วให้มากกว่ารับ ขยันไหม เอาเปรียบไหม ถ้าศิษย์อยากจะให้เขา เริ่มแรกง่ายๆ ขยัน ไม่เอาเปรียบ ไม่อู้ ไม่กินแรง แค่นี้ถือว่าทำได้ดีแล้ว ถูกไหม (ถูก)  เมื่อขยันแล้วไม่เอาเปรียบ ไม่อู้ ไม่กินแรงแล้ว ยังไม่เหน็บแนมด่าใครให้เจ็บปวดอีก ก้มหน้าก้มตาทำไปอย่างนี้จะเรียกว่าทำร้ายใครไหม 
ฉะนั้นการเริ่มต้นแรกๆ ในการดำเนินชีวิตแล้วสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะก็คือ หนึ่งรับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่อู้ ไม่กินแรง ไม่เอาเปรียบ ทำหน้าที่ของตนเองให้ซื่อตรงและดีงามที่สุด นี่เรียกว่าให้ไหม (ให้)  แล้วถึงเวลามีโอกาสถ้ามีส่วนแบ่งมาหรือมีตำแหน่งใหญ่โตมา เอาหรือไม่เอา (เอา)  เอาแล้วแบ่งไหม (แบ่ง)  แบ่งมากหรือแบ่งน้อย ศิษย์เอ๋ยถ้าถึงเวลามีโอกาสได้ ควรเอาน้อยแต่ให้ให้มาก หรือยอมเอาทีหลังแต่ให้ก่อน เชื่ออาจารย์แล้วทุกข์จะน้อย แต่ถ้าศิษย์เอามากแต่ให้น้อย ทุกข์มันจะมาก นี่เรียกว่าปฏิบัติธรรม แต่คนในโลกไม่ใช่ เอามากให้น้อย เอาก่อนไม่ให้ใคร ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากปฏิบัติธรรมศิษย์ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติแค่ที่วัดแต่ศิษย์สามารถปฏิบัติทุกขณะที่ศิษย์ทำได้ และสามารถลดละเวรกรรมได้ และสามารถลดละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้ แต่ศิษย์จะทำหรือไม่ทำ ฉะนั้นถ้าตอนนี้อาจารย์มีแอปเปิล ศิษย์จะเอาหรือไม่เอา (เอา)  นี่คือเรื่องยากของชีวิต บางครั้งเราอยู่อย่างไม่เอาบ้างไม่ได้หรือศิษย์ บางครั้งเอาแล้วทุกข์ แต่ไม่เอาแล้วมันสุขกว่า อาจารย์ให้คนอื่นบ้าง หนูไม่เอาแล้ว อาจารย์ถามหน่อย ปัจจุบันนี้ที่เราทุกข์ ทุกข์เพราะเอาหรือทุกข์เพราะไม่เอา (ทุกข์เพราะเอา)  แล้วตอนนี้เอาหรือไม่เอา (ไม่เอา)  เห็นไหมว่ามันอยู่ทุกขณะจิตที่คิด
ฉะนั้นศิษย์อย่าตีกรอบการบำเพ็ญ ว่ามีแค่การนั่งสมาธิ สวดมนต์ ให้ทาน และทำบุญแค่ที่วัดเท่านั้น  แต่การศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรมนั้นทำได้ทุกที่ และทำได้ทุกขณะ  เพราะมนุษย์ล้วนสร้างกรรมเมื่อตอนอยู่กับคน และสร้างบุญเมื่อตอนอยู่กับพระแค่นั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ต้องสร้างบุญกับทุกคน และไม่สร้างกรรมกับใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนอย่างตอนนี้ อาจารย์มีแอปเปิล ศิษย์จะเอาหรือไม่เอา ก็วัดใจศิษย์ได้แล้วว่า ศิษย์ขอเอาก่อน ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าศิษย์บอกว่าไม่เอา ก็คือการให้ คือการสร้างบุญ คือการไม่ยึดติด และเป็นกุศล เพราะเราไม่เอาตั้งแต่แรก  เมื่อไม่เอา เราจะแก่งแย่งใคร เมื่อไม่เอา เราจะมีกิเลสครอบงำไหม เมื่อไม่เอา เราจะสร้างกรรมและสร้างบาปไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกคนบอกว่าเราขอเอาก่อน แล้วให้ทีหลัง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์ถามจริงๆ ศิษย์อยากทุกข์แล้วค่อยมารักษาทุกข์ หรือไม่ทุกข์เลย (ไม่ทุกข์เลย)  แล้วตอนนี้ทุกข์เพราะอะไร เพราะไปเอาของเขามาทั้งนั้น ใช่ไหม (ใช่)  สามีเอาไหม เอา  เงินเอาไหม เอา  ทรัพย์สมบัติเอาไหม เอา  อาจารย์ถามจริงๆ ว่าพอถึงเวลาเราเอาไปได้ไหม สามีไปกับเราไหม (ไม่ไป)  ลูกไปกับเราไหม (ไม่ไป)  สิ่งใดที่ไปกับเรา บุญกุศล คุณงามความดีและหนี้บาปเวรกรรม  อย่างนั้นตอนนี้ศิษย์ควรจะเอาหรือไม่เอา (ไม่เอา)  ไม่เอาอะไร (สามี)  อาจารย์หมายถึงว่า ถ้ายังไม่มีก็อย่าไปเอา  แต่ถ้าใครมีแล้วก็รู้จักดูแลกันให้ดี ก่อให้เกิดธรรม ไม่ใช่พออยู่กันไปอยู่กันมาก็คิดว่า “กรรมอะไรหนอ ฉันถึงได้มาพบเธอ”  ตอนแรกๆ ก็บอกว่า บุญพาวาสนาส่งจึงได้มาพบกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  จงอยู่ร่วมกันอย่างบุญหนุนนำ
การศึกษาบำเพ็ญธรรมไม่ใช่แค่ทำบุญที่วัด ไม่ใช่แค่ให้ทานเป็น ไม่ใช่แค่สงสาร ศิษย์ต้องสามารถทำและปฏิบัติได้ทุกที่ ปฏิบัติกับทุกคนได้ เหมือนเขาด่าเรามาตอนนี้ศิษย์อยากให้แค่คุณธรรมความเป็นคน  ให้คุณธรรมเป็น   ผู้ประเสริฐ หรือศิษย์จะสามารถบังเกิดกุศลว่าเราคงมีกรรมร่วมกันมา ดีแล้ว จบแล้ว แค่นี้ ไม่โกรธ ไม่เกลียด
ศิษย์รู้ไหมว่ารากเหง้าแห่งความทุกข์นั้นมาจากไหน มาจากใจที่ยึดติดที่เรียกว่ารักและเรียกว่าเกลียด  ฉะนั้นถ้าใจศิษย์ไม่มีสิ่งที่รัก ไม่มีสิ่งที่เกลียด ทุกสิ่งเท่ากันหมด อะไรจะเรียกว่ากรรมดีกรรมชั่ว อาจารย์ถามว่า “ใครดีที่สุด ใครเลวที่สุด ตัวเองดีที่สุดไหม ตัวเองเลวที่สุดไหม” เมื่อไรที่ศิษย์เข้าใจสัจจะความเป็นจริงและค้นพบความเป็นกลาง ศิษย์จะไม่ก่อกรรม ศิษย์จะมองทุกสิ่งเท่ากันไม่มีใครดีไม่มีใครร้าย เมื่อทุกสิ่งเสมอกัน ทุกคนต่างเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข แล้วคนไหนที่ศิษย์จะโกรธ คนไหนที่ศิษย์จะรัก คนไหนที่ศิษย์จะหลง เพราะถึงที่สุดแล้วเขาด่าแล้วเดี๋ยวเขาก็ชม เขาชมเดี๋ยวเขาก็ด่า ถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริงและมองเห็นความเป็นกลางศิษย์จะตัดคำว่า “โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า” ได้เลย เพราะไม่มีใครที่ศิษย์จะโกรธ เพราะสิ่งที่ศิษย์ได้มานั้นมันก็คือการเสียไป แล้วกว่าจะได้มาศิษย์เสียไปเท่าไร แล้วทำไมไม่ทำวันนี้ให้มีค่าที่สุด ไม่ต้องรอว่าพรุ่งนี้ค่อยปฏิบัติธรรม ทำตอนนี้เลยสิ ให้มันเห็นชัดตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย พอใครทำดี ขอบคุณ พอใครด่าเรา ขอบคุณ จริงไหม พอใครด่าเราก็ขอบคุณ รักเขาจังเลย ใช่ไหม ถ้าเราทำได้ เราสามารถให้ทานได้ ให้บุญที่งดงามได้ ให้กุศลที่ยิ่งใหญ่ได้ ทำไมไม่ทำล่ะศิษย์ ทำไมต้องรอไปเข้าวัด ทำไมต้องรอคนดีๆแล้วศิษย์ค่อยทำ คนไม่ดีนี่แหละทดสอบใจเราดีที่สุดและสามารถชดใช้กรรมได้ดีที่สุด ฉะนั้นเมื่อพบคนไม่ดี ขอบคุณ จะได้หมดกรรมแล้ว ดีไหม (ดี)  กลับบ้านไปถูกคนหลอกหมดตัวเอาไหม (ไม่เอา)  ไม่เอาก็ต้องเอา ถ้าชีวิตมันต้องเผชิญ อาจารย์ถึงบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า อย่าเลือกสุข จงกล้าที่จะเผชิญทุกข์ ขอเพียงใจศิษย์สู้ไม่ถอย ทุกข์ไม่น่ากลัว แต่ใจที่ไม่สู้ทุกข์น่ากลัวกว่า จริงไหม (จริง)  ความจนก็ไม่น่ากลัว แต่ใจที่อับจนปัญญาน่ากลัวยิ่งกว่าและทำให้เรายิ่งจน ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ตั้งแต่อาจารย์มาจนถึงบัดนี้ ศิษย์พอเข้าใจหนทางการบำเพ็ญบ้างไหม (เข้าใจ)  ศิษย์เอ๋ยการศึกษาธรรมไม่ใช่สอนให้เราเป็นคนดีแล้วยึดติดดี แล้วเกลียดคนชั่ว  ศิษย์ต้องเข้าใจ ความเป็นจริงแห่งชีวิตสอนให้เรารู้ว่าแท้จริงแล้วไม่ว่าดีหรือชั่วทุกคนก็เท่าเทียมกัน ถ้าศิษย์รักดีเกลียดชั่วก็เท่ากับศิษย์กำลังสร้างกรรมดีและกรรมชั่ว แต่ถ้าศิษย์มองทุกสิ่งเสมอกันนั่นก็คือศิษย์พบธรรม แต่มนุษย์มักจะอดไม่ได้ที่จะยึดติดว่าคนนี้ดีคนนี้ไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเกิดคนดีก็ต้องเกิดคนชั่ว เมื่อเกิดคนที่เราชอบ เราก็สร้างคนที่เราชัง ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตล้วนเกิดจากตัวเราเป็นผู้กำหนดทั้งสิ้น ถ้าศิษย์ไม่เห็นชั่ว     ไม่เห็นชัง เห็นแต่ธรรมแล้วก็ธรรม เราก็คือคนที่พบธรรม แต่ถึงเวลาจริงๆ เห็นบ้างไหม
ทำอย่างไรดีให้ใจเราบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ยึดติดดีร้ายได้เสีย ใครตอบอาจารย์ได้มีรางวัลเอาไหม (ไม่เอา)  ศิษย์เอ๋ยอาจารย์ยอมให้ศิษย์เอาแล้วไปให้ต่อ ไม่ใช่เอาแล้วเก็บไว้อย่างเห็นแก่ตัว แต่เอาแล้วไปให้ต่อ เอาบุญมาฝาก เอาบุญมาให้ ดีไหม เอาไหม (เอา) 
(เราต้องคิดอยู่เสมอว่ามนุษย์ทุกคนทำอย่างไรมนุษย์ทุกคนต้องเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว แต่ทำอย่างไรให้จิตใจของเรามีความเมตตากรุณาไม่โกรธไม่โมโหแล้วเราก็จะมีความสุข สิ่งต่างๆ เราต้องคิดอยู่เสมอว่าพ่อแม่เขาทำมาอย่างนั้นเขาก็ต้องเป็นคนอย่างนั้น จะได้ระงับสติอารมณ์ของเราได้ ให้เราไม่โกรธ เราก็จะมีความสุขค่ะ)  ศิษย์เอยเห็นไปถึงพ่อแม่เขาเลยหรือ  อาจารย์จะบอกศิษย์ง่ายๆ เลยนะไม่ต้องคิดอะไรเลย (ไม่คิดก็อดไม่ได้ก็ต้องคิดก่อน)
ศิษย์เอยมนุษย์ตกเป็นทาสของความคิดแล้วเวลาเราตกเป็นทาสของความคิดเราก็หนีไม่พ้นกิเลสใช่หรือไม่ (ใช่)  กิเลสคือสิ่งที่เกิดจากความคิดคำนึงแห่งตัวตน  (แต่เราจะดับกิเลสได้ด้วยสติปัญญาของเราเอง)  อาจารย์จะบอกให้นะศิษย์ไม่ยากเลย สมมติว่าเรากำลังทำแต่อีกคนหนึ่งไม่ทำ เรากำลังขยันแต่อีกคนหนึ่งขี้เกียจ ศิษย์เคยมองเห็นเขาเป็นว่างไหม  อย่าไปเห็นถึงพ่อแม่ต้นตระกูลเลยมันแรงไป ศิษย์เอาแค่ว่าง มันว่างจากความคิด เพราะเมื่อไรที่เราว่างจากความคิด ก็พ้นการยึดติดแห่งตัวตน แต่ถ้าเมื่อไรยังจมอยู่กับความคิด แปลว่ายังยึดติดในความมีตัวตน แต่ถ้าเมื่อไรเราเห็นเขาแล้วไม่ยึดติดในความเห็นแก่ตัวของเขา ก็พ้นการยึดติดแห่งตัวตน  ถ้าใจของเราโล่ง ใจของเราว่าง ทุกคนก็ว่าง แต่ใจเราคอยยึด โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ชอบ ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าเรามองให้ดีจริงๆแล้วที่เราไม่ชอบ ที่ไม่ใช่ ถึงที่สุดมันมีตัวตนไหม (ไม่มี) แล้วเขายืนอยู่ตรงนั้นนานไหม แล้วถึงเวลาอีกประมาณสิบนาที เขาจะหายไปไหม (หายจากจิตใจที่เราคิด)  มันก็หายไปแล้วเราจะไปลากเขามาเกี่ยวไว้ในใจทำไม ศิษย์เอ๋ยจำไว้ว่า เห็นดั่งไม่เห็นจึงว่าง รู้ดั่งไม่รู้จึงกลาง 
มีใครจะตอบอีกไหม (ปล่อยวางแล้วไม่เอามาคิด)  แล้วถึงเวลาเราปล่อยวางได้ไหม แค่รู้แต่ไม่คิด แค่เห็นแต่ไม่ตัดสิน ถ้าทำได้แล้วมันจะปล่อยได้ แต่เราต้องมีสติรู้เท่าทัน ถามตัวเองก่อนว่าทำได้ดีที่สุดหรือยัง ถ้าทำได้ดีที่สุด ใครจะเป็นอย่างไม่ต้องไปสนใจ เรามีหน้าที่ปฏิบัติธรรม ดูแลจิต ดูแลใจตัวเองก็พอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเห็นแล้วเกิดกิเลสอย่าเห็นเลย เหมือนไม่เห็นดีกว่า จริงไหม (จริง)  เห็นเหมือนไม่เห็นดังเช่นเวลาอิ่มแล้ว เห็นก็เหมือนไม่เห็น เวลาพอแล้ว เห็นก็เหมือนไม่เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  และเวลาไม่เอาอะไรแล้ว เห็นมันก็เหมือนไม่เห็น
(มองโลกในแง่ดี)  ศิษย์รู้ไหมเมื่อไรที่พยายามมองโลกในแง่ดี ก็จะมีใจเห็นโลกในแง่ร้าย แต่ถ้ามองโลกในแง่แห่งความเป็นจริง เพราะความเป็นจริงนั้นเป็นกลางเสมอแต่พยายามยึดดีก็ยังมีร้ายให้เห็น เพราะความเป็นจริงไม่มีอะไรดีและไม่มีอะไรร้าย
(คิดดี ทำดี เริ่มที่ตัวเรา คิดเป็นกลาง อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง อยู่กับปัจจุบัน)  แต่อาจารย์มักจะพูดเสมอว่า คิดดี ทำดี อย่าลืมพูดดี คิดดีทำดีพูดดีแต่อย่าลืมละชั่ว เพราะศิษย์ทุกคน พูดดี คิดดี ทำดี แต่ความชั่วไม่เคยละ กิเลสไม่เคยเบาบาง ดีไหม  
(มองให้เห็นความเป็นจริงว่าธรรมะนั้นเป็นธรรมชาติ ธรรมะไม่มีได้ไม่มีเสีย)  ศิษย์เอยถ้าอยากพบธรรม มองแล้วสงบ มันจะจบและพบธรรม แต่ถ้ามองแล้วไม่สงบมันจะไม่มีวันจบและมันจะไม่พบธรรม ใช่ไหม ฉะนั้นถ้ามองแล้วสงบก็มอง แต่ถ้ามองแล้วไม่สงบก็จงจบที่ใจ บำเพ็ญธรรมไม่ต้องจัดการใจคนอื่น บำเพ็ญธรรมมาจัดการใจตัวเองก่อน ถ้าเห็นแล้ววุ่นวายใจ ถ้าเห็นแล้วอดด่าไม่ได้จัดการใจตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ก่อนแล้วค่อยไปคุยกับคนอื่น 
ธรรมแปลว่าสงบและจบและอีกอย่างหนึ่งคืออิสระ ใช่ไหม ถ้าทำแล้วมันทำให้เราอิสระเป็นไท สงบ จบ นั่นคือธรรม  ศิษย์หลักการดี อะไรก็ดีหมดเหลืออย่างเดียว เมื่อไรจะทำ หลักการดี รู้ดีหมด แต่ถึงเวลาไม่เคยอุทิศเสียสละไปช่วยใครเลยมันก็เปล่าประโยชน์  ถ้าทำดี เขาไม่เอารางวัลกัน     นะศิษย์ เราจะไม่รับ เราจะให้ทุกคน ใช่หรือไม่ รับก็แปลว่ายังยึดอยู่
(กลับไปจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เป็นแม่ที่ดีที่สุดของลูก)  ทำให้ได้นะ ถ้าทำดีที่สุดแล้ว แม้ผลนั้นจะดีหรือไม่ดี ก็จงกล้าหาญที่จะยอมรับ  หรือแม้แต่ถูกเข้าใจผิดก็จงกล้าหาญยืนหยัด ทำให้ได้นะ
ปฏิบัติธรรมยากไหม (ไม่ยาก)  บอกอาจารย์หน่อยว่า หลังจากนี้ไปจะปฏิบัติธรรมอย่างไร ตามที่ศิษย์เข้าใจที่ฟังอาจารย์มา อาจารย์อยากร่วมบุญและอยากแบ่งบุญ เผื่อศิษย์จะได้ส่งบุญต่อ หลังจากนี้ไม่ใช่มีชีวิตเพียงเพื่อตัวเอง แต่รู้จักมีชีวิตเพื่อช่วยเหลือคน ดีไหม ถ้าศิษย์ทุกคนอยู่บนโลกนี้มีแต่ให้ ไม่คิดจะเอา เอาเท่าที่ตัวเองพอมีพอใช้ แล้วการเอาไม่ได้ไปเบียดเบียนทำร้ายใคร โลกนี้จะไม่สันติหรือ  แล้วยุคพระศรีอาริย์จะไม่เกิดหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนปัจจุบันนี้ เอาไม่เคยพอ อยากได้ไม่เคยจบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาของเขามาแล้วค่อยทำบุญ ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก)  แล้วศิษย์เป็นแบบนั้นไหม ใช่หรือเปล่า
(จะเลิกเหล้าเลิกบุหรี่)  แน่ใจนะ อาจารย์จะให้น้ำดื่มแล้วทำให้ศิษย์มีร่างกายที่แข็งแรง แล้วทำสิ่งที่ดีต่อไป แต่ไม่ใช่ว่าแข็งแรงแล้วไม่ตายนะ ยังไงมันก็ต้องตาย จำไว้นะกินน้ำอาจารย์แล้วไม่ใช่ไม่ตาย ไม่เจ็บไม่ป่วย แค่ช่วยยืดเวลา แน่ใจนะ ถ้าดื่มน้ำอาจารย์แล้วทำไม่ได้จะตายไวขึ้น แต่ถ้าดื่มแล้วทำได้มันจะยืดอายุให้มากขึ้น (แน่ใจ)  มีคนในบ้านมาด้วยไหม (ไม่มี)  ต่อไปก็ไปทำให้ดี ได้หรือไม่ เดี๋ยวจบแล้วเอาน้ำให้เขาดื่มนะ
(จะเป็นลูกที่ดีของแม่ จะเป็นคนดีในครอบครัว ที่ผ่านมาไม่เคยเป็นเด็กดีในบ้าน จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี เพราะที่ผ่านมาไม่ตั้งใจเรียน ชอบโดดเรียน ก็อยากให้แม่สบายใจ อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อแม่เพื่อพ่อ)  แม่อยู่ด้วยไหม ถ้าพบแม่เข้าไปกอดเลย
(ใช้สติในการดำเนินชีวิต)  สั้นๆ ได้ใจความดี จะทำอะไรด้วยสติใช่ไหม ไม่ประมาทต้องมีสติด้วยและนิ่งให้เป็นก่อนที่จะทำอะไร อย่าใจร้อนนิ่งก่อน สติมาแล้วค่อยไตร่ตรอง ก่อนมันจะเกิดปัญญาต้องนิ่งให้ได้ก่อนใช่ไหม กลัวมันจะสติเตลิดปัญญาไม่มีนะ
(ทำอาชีพครูจะเป็นครูที่ดีจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี จะดูแลลูก เลี้ยงลูกให้ดีครองตน ครองงาน ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด)  ก็ตอบได้ดีแต่ศิษย์เอยเราสามารถขยายความดีของตัวเองให้มากยิ่งขึ้น อย่ารักแค่บุตรของตนแต่จงเอาความเมตตานั้นรักบุตรทุกคน แล้วศิษย์ก็จะไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คน      รักศิษย์เพราะศิษย์รักเขาเหมือนลูก เขาก็จะเคารพศิษย์เหมือนพ่อ มีลูกคนเดียวไม่สู้มีลูกทั่วโลกใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นคนดีแค่กับลูกคนเดียวไม่สู้เป็นคนดีกับคนทั่วโลกใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำให้ได้นะ เป็นอาจารย์ในอุดมคติของศิษย์ที่รักศิษย์จริงๆ แล้วเขาจะสัมผัสได้ ถามศิษย์ตอนเด็กๆ อาจารย์คนไหนที่สอนเราด้วยความตั้งใจแล้วเอ็นดูเรา ด่าเราเจ็บขนาดไหนแต่เรารู้ว่าอาจารย์เขาด่าเพราะเขารัก เชื่อไหมว่าเรียนจนจบไปแล้วอาจารย์จำศิษย์คนนั้นไม่ได้แต่ศิษย์ยังจำ (ได้)  ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการศึกษาธรรมก็เหมือนกัน  จงเอากิเลส จงเอาเหตุการณ์ทุกอย่างมาเป็นแพเพื่อข้ามฝั่งให้ค้นพบธรรม ยืมใช้ไม่จำเป็นต้องครอบครอง ช่วงใช้แต่ไม่จำเป็นต้องยึดติดใช่หรือไม่
ศิษย์เอย ถ้าใจศิษย์ไม่มีสุขศิษย์จะมอบสุขให้ใครได้ ถ้าใจศิษย์ไม่สันติ ศิษย์จะหาความสงบให้กับใครได้ ใช่หรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเริ่มต้นที่ใจตัวเองก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าชีวิตเราค้นพบความสุขที่แท้จริง มีหรือเราจะมอบสุขให้คนอื่นไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอยสิ่งแรกก็คือ มีศีลครองใจ มีธรรมครองกายถ้าเรามีศีลครองใจ ศีลจะช่วยยับยั้งไม่ให้เราตกเป็นทาสของกิเลส ถ้ามีธรรมครองกายจะสามารถทำให้เราอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยคุณธรรม แต่มีศีลครองใจ  มีธรรมครองกายก็ยังไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ถ้าเรายังไม่เข้าถึงความเป็นจริงแห่งหลักสัจธรรม ใช่ไหม (ใช่) 
ศีลช่วยทำให้เราไม่ประพฤติผิดและไม่สร้างบาป ส่วนธรรมทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยสันติ ไม่ว่าจะเป็นเมตตา มโนธรรม สัตยธรรม จริยธรรม ปัญญาธรรม ฉะนั้นเมื่อใจและกายดำรงถูกต้อง ที่เหลือก็คือการเข้าถึงความเป็นจริงจนสามารถนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถึงแม้ศิษย์จะมีศีลและธรรม ถ้ามีแค่ศีลธรรมเท่านี้ ศิษย์ยังไม่สามารถพ้นทุกข์ได้จริงไหม จนกว่าศิษย์จะสามารถเอาธรรมมาพิจารณาจนพ้นทุกข์ได้ ใช่หรือไม่ เหมือนที่อาจารย์บอกว่าเป็นคนดียังไม่พ้นทุกข์ เป็นคนมีธรรม อย่างมากที่สุดได้แค่เป็นคนประเสริฐหรือเรียกว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐในแดนโลก เช่น คนที่เมตตาเป็นหลัก คนที่มีจิตใจเสียสละเป็นหลัก คนที่รู้จักมีความซื่อตรงเป็นหลัก นี่เรียกว่าคนประเสริฐหรือมนุษย์ประเสริฐ แต่ศิษย์จำไว้นะสองแบบนี้ยังไม่สามารถนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้ เพราะยังหนีไม่พ้นการยึดติดแห่งความมีตัวมีตน
พร้อมจะฟังเรื่องยากไหม (พร้อม) แล้วพูดแค่นี้เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นถ้าทุกขณะจิตที่อาจารย์บอกว่าศิษย์บำเพ็ญธรรม ปฏิบัติกับใครทุกขณะจิตศิษย์ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ทุกขณะคือการสละตัวออก กระชากตัวเองออก เมื่อนั้นตัวตนจะไม่มีจึงสามารถพ้นทุกข์ได้ แต่มนุษย์ยิ่งมีศีลและธรรมมากขึ้นเท่าไรก็ยึดติดว่าตัวเองดี และบางทีพอตัวเองดีไม่ได้ก็เลยชั่วเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงก่อเกิดเป็นกรรมดีกรรมชั่ว  ศิษย์บอกว่าศิษย์ทำดีแล้วก็ยังอดมีความอยากไม่ได้ใช่ไหม อยากเกิดอีกไหม (ไม่อยาก)  อย่างนั้นเวลาทำบุญขอไหม (ไม่ขอ)  หวังไหม (ไม่หวัง)
ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์ทำดีแล้วยังขอ แสดงว่าศิษย์ยังอยากยึดติดในบุญและยังอยากกลับมาใช้กรรมดี แต่ถ้าเมื่อศิษย์ทำกรรมดีแล้วศิษย์ยังไม่ละกรรมชั่ว ศิษย์ก็เลยต้องมีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว แต่ถ้าศิษย์ทำดีก็ไม่ยึด ชั่วก็ไม่เอา ตัวตนก็ไม่มี นั่นเรียกว่าพ้นทุกข์พบธรรม แต่มนุษย์ยังไม่สามารถเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงและพบธรรมได้ เพราะยังคิดว่ายังมีทั้งที่ความจริงแล้วไม่มี “เห็นเหมือนไม่เห็น” ได้ไหม “มีเหมือนไม่มี” ได้ไหม อาจารย์อยู่ตรงนี้ตลอดไหม (ไม่ใช่)  ตัวเราก็เหมือนกันเห็นว่าร่างกายนี้อยู่กับเรา แต่ถึงเวลาร่างกายนี้อยู่กับศิษย์ไหม เหมือนจะเป็นของเรา แต่จริงๆ แล้วใช่ของเราไหม ทุกสิ่งมาจากธรรมก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม แต่ศิษย์ยังยึดติดตัวตนอยู่ก็เลยต้องก่อเกิดเป็นการเวียนว่าย
ฉะนั้นเมื่อไรที่ศิษย์สามารถละวางความคิดยึดติดตัวตนได้จิตจะสามารถกลับคืนสู่ธรรม แต่ศิษย์ปล่อยวางตัวตนไม่ได้แม้สักหนึ่งนาที ทำอะไรก็คิดว่า “อยากได้ ชอบแบบนี้ ชอบเป็นแบบนี้” แต่ถ้าต่อไปไม่อยาก อะไรก็ได้ อะไรก็ดี อะไรก็ไม่เอา ทำแค่หน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เมื่อไม่มีการสั่งสมแห่งตัวตนจะมีการยึดติดไหม ทุกวันคือการสลายตัวตน หมดสิ้นตัวตน แต่ทุกวันนี้เรามีตัวตน แต่ความเป็นจริงแห่งธรรมบอกเราเสมอว่าเรากำลังตาย เรากำลังดับ เรากำลังสิ้น แต่มนุษย์กลับคิดตลอดว่า “ฉันกำลังมี ฉันกำลังได้ ฉันกำลังเป็นคนแบบนี้” แต่ธรรมคอยสอนตลอดว่า “เธอกำลังตาย เธอกำลังสิ้น เธอกำลังวาง” แต่เรากลับมองไม่เห็น เรามองเห็นแต่ว่า อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากยึด แล้วก็หนีไม่พ้นกรรม แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์หันกลับไปมองความจริงที่ตัวเองมี ถึงเวลามีจริงๆ ไหม
ฉะนั้นทุกขณะถ้าศิษย์ศึกษาแล้วเป็นผู้ที่จะปฏิบัติเพื่อค้นพบธรรมจริงๆ มันจะไม่ยึดตัวตน เป็นอะไรก็ได้ หรือไม่เป็นเลยก็ได้ หรือพร้อมจะเป็นทุกสิ่งก็ได้ แต่เป็นแล้วก็วางได้ อาจารย์พูดเรื่องยากไปไหม แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์ไปถึงตรงนั้นจริงๆ เมื่อไปถึงตรงนั้น มันจะไม่เอาอะไรเลย เมื่อเข้าถึงตรงนี้ แก่ เจ็บ ตาย มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ แต่มันทำให้เรารู้ว่าเราต้องปลดปลงและปล่อยวาง และกลับคืนสู่ธรรมอันแท้จริงที่เรียกว่า สงบ วาง เบา อิสระและเป็นไท ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายและรับกรรมอีกต่อไป
ศิษย์เอ๋ยรอให้ตัวเองจะตายแล้วค่อยปลดปลงหรือ รอให้ตัวเองทุกข์แล้วทุกข์อีกถึงจะอยากสิ้นทุกข์หรือ รอให้ตัวเองมีกรรมแล้วค่อยใช้กรรมแล้วก็ถามว่าทำไมศิษย์ต้องเจอแบบนี้ ทำไมศิษย์ต้องเจอกับคนแบบนี้ ทำไมชีวิตศิษย์ต้องเป็นแบบนี้ ถ้าอาจารย์ตอบได้อาจารย์จะตอบว่าศิษย์เป็นคนขีดเส้นชีวิตตัวเอง ไม่มีใครขีดเส้นชีวิตนอกจากตัวศิษย์เอง ใช่ไหม (ใช่)
ศิษย์ได้รู้หนึ่งจุดคือจิตญาณเดิมแท้ที่เป็นสภาวธรรมที่ว่างเปล่าจากตัวตนที่ยึดถือ แต่มนุษย์อดไม่ได้ ขอมีตัวตนหน่อย ขอมีตัวหน่อยไม่ยอมว่าง ไม่ยอมปล่อย ถ้าเข้าถึงความว่างอะไรก็ไม่สนแล้ว ถูกไหม (ถูก)
อาจารย์ขอ ขอให้ศิษย์ทำบุญ อย่าทำบาปเลย อย่าสร้างบาปเลย เพราะถ้ากรรมมันตกผล อาจารย์จี้กงก็ช่วยไม่ได้ เพราะมันเป็นกรรมของศิษย์เอง ฉะนั้นอย่าทำบาปเลยนะ  เชื่อพุทธะในตัวตน ดีกว่าเชื่อกิเลสครองกายครองใจตน แล้วก็หนีไม่พ้นวิบากกรรม ตอนนี้ให้ศิษย์เลือก ไม่ต้องเชื่ออาจารย์ เชื่อในพุทธะความดีงามในใจตน เลิกเป็นทาสกิเลสตัณหาได้แล้ว ชีวิตมันปูนนี้แล้วนะ ยังไม่พออีกหรือ จริงไหม (จริง)  ไม่รู้จะพูดอะไร มันจุกไปหมดแล้ว รออย่างเดียวว่าเมื่อไรศิษย์จะทำ ใช่ไหม (ใช่)  ลองไตร่ตรองสิ่งที่อาจารย์พูดให้ดีๆ นะ อาจารย์ห่วง ห่วงจริงๆ แต่คงไม่มีใครเข้าใจ ศิษย์ห่วงแต่ตัวเองไม่มีกิน แต่อาจารย์มองต่าง จริงๆ ถ้ามีปัญญา มันจะอับจน ไม่มีกินหรือ ใช่ไหม (ใช่)  พบธรรมจึงเกิดปัญญา ปัญญาสอนให้เราฉลาด ธรรมสอนให้เราฉลาด  ไม่ตกเป็นทาสของความทุกข์ ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส เอาแต่กิเลสแต่ไม่เอาปัญญามันน่าเสียดายนะ จริงไหม (จริง) 
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
ได้คำว่า “มีธรรมเป็นมิตร” ดีกว่ามีกิเลส และมีความยึดมั่นถือมั่นตัวตนเป็นมิตรนะ ลองอ่านดูแล้วศิษย์จะเข้าใจ
เหมือนศิลากลิ้งมาทั้งสี่ทิศ       ทุกชีวิตไม่มีใครจะหนีพ้น
ศิลา อาจารย์เปรียบเทียบเหมือนความแก่ ความเจ็บ ความตาย ที่สูงเสียดฟ้า ไม่มีใครหนีพ้นความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ ฉะนั้นผู้ตระหนักรู้แล้วไม่ดำเนินชีวิตประมาท จึงพยายามประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อประจักษ์แจ้ง และหลุดพ้นการเวียนว่าย ตาย เกิด ในชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า เพราะไม่รู้ว่าชาติหน้าศิษย์จะได้เป็นคนแบบนี้ไหม ศิษย์มั่นใจหรือว่าศิษย์ดีพอจะได้กลับมาเกิดอีก จริงไหม (จริง) ไม่มีใครจะหนีพ้น
“รู้ประจักษ์แจ่มชัดไม่ประมาทตน  ประพฤติธรรมประเสริฐล้นเสบียงไกล”
ถึงแม้จะไม่พ้นแต่ก็ขอมีเสบียงคือปัญญาในการตื่นรู้ความเป็นจริงที่จะติดตามศิษย์ไป ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติก็ให้ศิษย์ใฝ่ในดี ใฝ่ในธรรม ถ้าอยากทำบุญแล้วขอ อาจารย์อยากให้ศิษย์ขอว่า “ขอให้มีปัญญาใฝ่ดีใฝ่สิ่งที่ถูกต้องไม่เบียดเบียนทำร้ายใครและขอให้บุญที่ศิษย์สร้างนั้นจงเป็นบุญที่สามารถทำให้ศิษย์กลับมาหนุนนำธรรมและมุ่งปฏิบัติธรรมจนพ้นทุกข์” ขอแบบนี้ดีกว่านะ จริงไหม (จริง) ประเสริฐกว่านะ ดีกว่าขอให้รวยใช่ไหม (ใช่) 
เกิดขึ้นแล้วไม่เสื่อมนั้นไม่มี ลองเอาไปคิดพิจารณานะ ที่อาจารย์กลั่นมาให้ศิษย์ ถ้าศิษย์พิจารณาศิษย์จะเกิดธรรมได้ทุกครั้งทุกขณะที่ศิษย์อ่าน อ่านร้อยครั้งก็จะแจ้งร้อยครั้ง แต่ถ้าไม่คิดอ่านเลย พอแจกหนังสือไม่ต้องเอาไปนะ เอาไปก็ไปรกบ้านเปล่าๆใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าคิดว่าอยากจะเอาไปอ่านเอาไปนะ หรือไม่ถ้าไม่อ่านก็เอาไปแจกให้คนอื่นต่อดีไหม (ดี) 
“มาจากธรรมคืนสู่ธรรม     ถ้ายังยึดตนก็มีกรรมหลงสร้าง
รู้ธรรมนำทางสว่าง          กระจ่างในทางแท้จริง”
อาจารย์ให้ไปพิจารณาเพื่อเข้าถึงความจริงแห่งสัจจะ ที่ถ้ามุ่งมั่นทำจริงๆ เราเราจะพบธรรมได้ นั่นคือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และว่างเปล่า เมื่อใครด่าลองพิจารณามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ ควรหรือที่เราจะต้องทนอยู่กับทุกข์แล้วถึงที่สุดเราก็ว่าง เขาก็ว่างใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่จากกันตอนเป็นก็จากกันตอนตายใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำไมไม่ทำวันนี้ให้ดีที่สุดมีค่าที่สุดจริงหรือเปล่า (จริง)  ลองเอาไปพินิจพิจารณาแล้วศิษย์จะพบว่า ความไม่เที่ยงสามารถตัดความโลภ ความเป็นทุกข์  ความโกรธ และความว่างเปล่าสามารถตัดความหลงได้ทันทีเลย มันไม่เที่ยงจะโลภอะไร มันมีแต่ทุกข์จะโกรธไปทำไม โกรธแล้วก็มีแต่ทุกข์ใช่ไหม แล้วถึงที่สุดว่างเปล่า เมื่อว่างเปล่าแล้วจะหลงอะไร มีแต่หลงในความคิดของตัวเองว่าเขาต้องเป็นอย่างนั้น ต้องดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ แค่ฟังยังไม่สามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้ แต่ศิษย์ต้องเอาไปทำจริงๆ เริ่มต้นที่ตัวเองนะ ได้ไหม (ได้)   มีศีลมีธรรมแล้วเอาธรรมมาพิจารณาจนเกิดความปลดปลงและปล่อยวางเข้าถึงหนทางพ้นทุกข์ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ลองมาอุทิศเสียสละตนช่วยคนดีไหม (ดี)  เพราะทุกขณะที่ช่วยคนเราก็พบหนทางที่จะยึดหรือจะปล่อย หลงหรือจะไม่หลง ใช่ไหม
ดูแลตัวเองให้ดีนะศิษย์ ถ้าชีวิตต้องเจอเรื่องราวอะไรที่หนักบ้าง แรงบ้าง จงดีใจที่ได้ชดใช้  จะทำอะไรตัดสินให้ดีว่าเรากำลังสร้างบุญ หรือกำลังสร้างบาป เรากำลังให้บุญ ให้ทาน ให้กุศลเขา หรือเรากำลังให้ความทุกข์ ให้ความเจ็บปวดเขา  ขอให้ความสงบเย็นจงมีอยู่ในใจศิษย์ ขอให้ความร่มเย็นจงมีอยู่ในใจศิษย์ ขอให้ทางพ้นทุกข์จงคงอยู่ในใจศิษย์ อย่าตกเป็นทาสของกิเลสเลย
มีโอกาสลองเอาไปปฏิบัติดูนะ อาจารย์ไม่เคยล้อเล่นกับชีวิต ฉะนั้นศิษย์อย่ามัวล้อเล่นมากนะ ดูแลตัวเองให้ดี ชีวิตมันยาก ใช่ไหม  ฉะนั้นจงรักษาความถูกต้องและดีงามนะ ลองเอาไปปฏิบัติดู
อาจารย์จะรอว่าเมื่อไรศิษย์จะตัดสินใจมุ่งมั่นช่วยเหลือคน  มีโอกาสลองเอาธรรมที่รู้ไปช่วยคน  ศิษย์มีจิตใจที่ดีงาม ศิษย์มีการประพฤติที่ถูกต้องแต่บางครั้งก็ไม่สามารถชนะอารมณ์ตัวเองได้ ฉะนั้นต้องเอาชนะให้ได้ มีจิตใจที่ละวางตัวตน คิดให้ถูกต้อง เลือกทำสิ่งที่ถูกต้องนะ แม้มันจะเป็นทางทุกข์แต่เราก็พร้อมจะก้าวเดิน แม้การช่วยคนจะเป็นเรื่องยากแต่ขอให้ศิษย์ใจสู้ไม่ถอย อย่ากลัวที่จะทุกข์เพราะถ้าทุกข์นั้นทำให้เราช่วยคนได้นั่นคือหัวใจที่ประเสริฐ อย่ากลัวที่จะลำบากเพราะความลำบากนั้นกลับทำให้เราปลดปลงความยึดติดตัวตน
อาจารย์เชื่อมั่นในตัวศิษย์ เชื่อมั่นในความมุ่งมั่นและความดีงาม ฉะนั้นศิษย์ต้องทำให้ได้ หัวใจที่เสียสละนั้นเอาออกมาและนำพาผู้คนให้ถูก ต้องคิดดู ทำให้ได้นะ จิตแห่งโพธิ จิตแห่งพุทธะมีอยู่ในใจศิษย์ทุกคน ขอเพียงเอาชนะตัวตนให้ได้ ถึงแม้จะพูดถูก พูดดีแต่ก็ต้องระวังนะศิษย์ ดูแลตัวเองกันให้ดีนะ ดั่งปณิธานที่ตัวเองมุ่งมั่นไว้ ไม่ลืมคำ ไม่ลืมเลือนนะ 
สังขารไม่น่ากลัว สังขารเป็นทุกข์ มีกรรมเป็นธรรมชาติของสังขาร แต่จิตไม่เคยมีกรรม ฉะนั้นอย่าลากจิตให้มีกรรม จงมีกรรมแค่สังขารเท่านั้น จิตพ้นกรรมพ้นทุกข์มานานแล้ว ลองพิจารณาสิ่งที่อาจารย์พูดให้ดีนะ
ศิษย์เอ๋ยนรกมันน่ากลัวนะ อย่าล้อเล่น เชื่ออาจารย์เถิด เอาความดีที่ศิษย์มี ทำดีกว่า ทำแบบไม่ยึดติด ศิษย์เคยเห็นนายพรานที่รอกระต่ายวิ่งมาชนตอไหม จะมีโอกาสเกิดขึ้นอีกไหม ไม่มี ฉะนั้นมองไปข้างหน้าแล้วทำให้ดีที่สุด แค่นี้ก็โชคดีแล้วใช่หรือเปล่า เข้มแข็งนะ กรรมเรามีไว้ชดใช้ แต่เมื่อหมดกรรมเราก็พ้นทุกข์ได้ด้วยหัวใจที่เสียสละนะ
ศิษย์เป็นคนดีแต่มักจะหวั่นไหว ฉะนั้นรักษาความมั่นคงแห่งความซื่อตรงดีงามนั้นไว้ให้เป็นคุณธรรมคู่ใจ อย่าหลงผิด ระมัดระวังอารมณ์ให้มาก รักษาบุญนะเข้าใจไหม มีโอกาสสร้างบุญได้มาก อยู่ที่จะทำหรือไม่ทำแค่นั้นเอง ดูแลตัวเองนะ เข้มแข็ง อย่าหลงติดกับดัก เป็นทาสของอบายมุขเลย มุ่งมั่นต่อไป ไม่ต้องกังวล ทำให้ดีที่สุด มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองมี มีหนี้กรรมก็ชดใช้ไป เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง ชีวิตนี้เสียสละอุทิศ ถ้าทำได้ก็ประเสริฐ ใช่หรือเปล่า แต่ถ้าเสียสละ อุทิศไม่ได้ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ตัวเองต้องรับ  ปณิธานมีแล้วจงเดินต่อไปให้ถึงที่สุด ปณิธานตั้งแล้วต้องทำให้ได้ ต้องดีที่สุด เป็นศิษย์ของอาจารย์ เรารู้หนทางแล้ว แต่แค่จะทำได้มากหรือน้อยอยู่ที่ตัวเรา รักษาความมุ่งมั่นตั้งใจให้ได้ตลอดไป ทำสิ่งที่ดีงามอย่ายอมแพ้
อาจารย์คงต้องกลับแล้ว  ลองเอาสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ไปพิจารณาดูนะ อาจารย์อยากให้ศิษย์พ้นทุกข์จริงๆ ไม่ใช่อยู่อย่างคนมีกรรม แต่อยู่อย่างคนที่เข้าใจธรรมและนำพาศิษย์ให้พ้นทุกข์นะ คิดอะไรไตร่ตรองให้ดีอย่าตกเป็นทาสของกิเลสเลย อย่ายึดติดตัวตนเลย ตัวตนมันไม่เที่ยง ไม่มีอะไรให้ต้องยึดถือ ไม่มีอะไรที่จะต้องเจ็บปวด ให้กลับคืนสู่ธรรม ถ้าศิษย์ยังยึดติด ศิษย์ก็หนีไม่พ้นความแก่ ความเจ็บ ความตาย แล้วก็ต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้น ลองไตร่ตรองดูนะว่าสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้เพื่อช่วยศิษย์จริงๆ ไหม ลองพิจารณาดู มุ่งมั่นแล้วไปให้ถึง มุ่งมั่นแล้วไปให้ถึงที่สุดอย่ายอมแพ้นะ ทุกข์อย่างไรก็   อย่ากลัว สักวันศิษย์จะพบทางสว่างด้วยหัวใจที่เข้มแข็งและสู้ไม่ถอย


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มีธรรมเป็นมิตร”

เหมือนศิลากลิ้งมาทั้งสี่ทิศ           ทุกชีวิตไม่มีใครจะหนีพ้น
รู้ประจักษ์แจ่มชัดไม่ประมาทตน              ประพฤติธรรมประเสริฐล้นเสบียงไกล
เกิดขึ้นแลไม่เสื่อมนั้นไม่มี                      ทุกข์ไม่มีแก่การไม่เกิดได้
การเกิดเป็นทางแห่งทุกข์ไม่สิ้นไป             ตัณหานุสัยตัดให้สิ้นไร้รากยัง
          มาจากธรรมคืนสู่ธรรม               ยึดตนมีกรรมหลงสร้าง
รู้ธรรมนำทางสว่าง                            กระจ่างในทางแท้จริง


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา