แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จินเอวี๋ยน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จินเอวี๋ยน แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2560

2560-12-23 สถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา

西元二○一七年歲次丁酉十一月初六日 仙佛慈悲訓

วันเสาร์ที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ สถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

ยิ่งทำดีพบคนดีอยู่มากมาย แม้ว่าทำเพื่อผู้อื่นใช่ใจตนนี้

ยอมลำบากยอมเหนื่อยเพื่อสิ่งดีดี ความดีกลับหนุนคนดีให้พบเจอ

เราคือ

หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ

องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤา

ความคิดจะการุณย์เพราะจิตอ่อนโยน ทะเยอทะยานออกทโมนมีแต่แย่

อยากเหมือนนักธรรมธรรมะเป็นกุญแจ ไขปริศนาออกแค่ต้องทำจริง

บำเพ็ญกันแบบประจำไม่ทำเล่น เดินน้ำแข็งบางเว้นบุ่มบ่ามวิ่ง

ใดสำคัญอันสิ่งสรรพสรรพสิ่ง รู้สำนึกในทุกข์ยิ่งต้องพยายาม

เข้าออกอยู่ตอนนี้ห้วงคะนึง ใช้ธรรมะแทรกดึงไม่ใช่ห้าม

ไฟหัวใจไม่อาจรู้โมงยาม ใช้ธรรมะที่สอนปรามกำราบตน

แพร่ธรรมออกไปสู่ผู้ประสงค์ บุญมาส่งชนะจิตเป็นกุศล

ฝึกตัวเองการบำเพ็ญต้องอดทน ตัดตัวกิเลสใจตนคุมอายตนะ

เรียกว่าแพ้ในโลกีย์เวิ้งว้าง ทว่าทางคุณธรรมเรียกว่าชนะ

ใจกายละลดพิชิตทุกขณะ คนมีกรรมโมหะไฟสุมทรวง

ไม่ไว้กันต่ออารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เศร้ามานานเกินจนชีวิตหน่วง

อย่าได้หมักหมมไปว่างทั้งปวง ฝึกไร้จำนวนฝึกไปช่วงอายุขัย

ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

เคยเจอคนที่ทำสิ่งดีๆ เพื่อผู้อื่นไหม แล้วยิ่งเขามุ่งมั่นทำแม้เหนื่อยแม้ลำบากก็ไม่ท้อ เป็นความดีที่เสียสละเพื่อผู้อื่นไม่ใช่เพื่อตัวเอง ยิ่งทำให้เขาได้ปลุกคนดีให้ตื่น ทำให้เขายิ่งพบสิ่งดีๆ เกิดขึ้นและรายล้อมเขามากขึ้นจริงไหม (จริง) ฉะนั้นลองหันกลับมาถามตัวเรา หากเราทำสิ่งที่ดีแล้วแต่เราไม่เคยพบเจอคนที่ดีรายล้อม นั่นอาจแปลว่าความดีที่เราทำยังไม่ใช่เพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้ามีคนหนึ่งคนใดที่มุ่งมั่นทำสิ่งถูกต้องและดีงามเพื่อผู้อื่นโดยไม่เพื่อตัวเองเลยสักนิด ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก สิ่งนั้นจะกลับเป็นการปลุกคนดีให้ยิ่งตื่นขึ้นและปลุกคนดีให้เขาได้พบเจอ และยิ่งปลุกคนดีให้ยิ่งเข้มแข็ง เช่นนี้จึงเรียกว่ายอมลำบากยอมเหนื่อยเพื่อสิ่งดีๆ แล้วความดีกลับหนุนคนดีให้พบเจอ

มีคำกล่าวคำหนึ่งว่า การจะรักษาตัวเองให้รอดปลอดภัย ให้พ้นเวรพ้นภัยในโลกนี้ คือทำดีให้ถึงที่สุด ประกอบคุณธรรมให้ถึงที่สุด ความดีจะคุ้มครองผู้ประพฤติดีเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) และหากเราอยากรักษาการอยู่ร่วมกับผู้อื่นให้เป็นสุขเราควรทำเช่นไร สิ่งที่เราต้องมีคืออะไร (รักษาธรรม, ต้องรักษาศีล) สิ่งที่ดีที่สุดคือ ต้องอดทน สองต้องไม่เบียดเบียน และสามต้องมีเมตตา

เมื่อไรที่เกิดปัญหาแปลว่าเรายังไม่อดทน เมื่อไรที่มีเรื่องมีราวนั่นแปลว่า เราเริ่มจะเบียดเบียนไร้ความเมตตา ฉะนั้นรักษาตัวเองรอดแต่รักษาการอยู่ร่วมกับผู้อื่นไม่รอดก็เปล่าประโยชน์ ใช่ไหม (ใช่) ทำให้ได้นะ

โดยส่วนใหญ่อยู่ในโลกเราเป็นผู้พูดมากกว่าผู้ฟัง เป็นผู้กระทำมากกว่าผู้นิ่งใช่หรือไม่ วันนี้สอนให้เราต้องฟังและนิ่งมากกว่า นี่ก็เป็นธรรมะเหมือนกันนะ เพราะเราอยู่ในโลกเอาแต่ทำจนลืมการนิ่งไป ทั้งที่จริงๆ แล้วการนิ่งการหยุดบางทีก็ให้แง่คิดอะไรดีๆ ได้เหมือนกัน การมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เป็นเรื่องยากไหม (ยาก) บางครั้งก็เหมือนยากมาก บางครั้งก็เหมือนง่าย ตั้งแต่เด็กจนโตเรามักจะถูกอบรมสั่งสอนมาว่า เกิดเป็นคนต้องเข้มแข็ง อย่าอ่อนแอ เกิดเป็นคนต้องทำอะไรรวดเร็ว อย่าเชื่องช้า เกิดเป็นคนต้องฉลาดปราดเปรื่อง อย่าโง่งม เกิดเป็นคนต้องได้มากกว่าให้ แต่พอเราใช้ชีวิตจริงๆ จึงได้รู้ว่าการเกิดเป็นคน ถ้ายิ่งต้องพยายามทำตัวเองให้เข้มแข็งก็ยิ่งอ่อนแอ ท่านเคยศึกษาคัมภีร์ของปราชญ์โบราณหรือไม่ พูดตรงกันข้ามกับความเป็นมนุษย์ในโลก มนุษย์ในโลกให้เข้มแข็ง แต่ปราชญ์ท่านสอนว่าเกิดเป็นคนต้องอ่อนโยน ตำราทางโลกเขาให้หาเยอะๆ แต่ตำราสายปราชญ์ท่านสอนว่าให้ให้เยอะๆ คนในโลกสอนให้ฉลาด แต่สายปราชญ์บอกว่าให้โง่มากๆ คนในโลกบอกให้เข้มแข็ง ตำราสายปราชญ์บอกว่าให้อ่อนน้อมเข้าไว้ แล้วระหว่างอ่อนน้อมกับเข้มแข็งอะไรอยู่ได้ดีกว่ากัน (อ่อนน้อม) แต่ปัจจุบันนี้มนุษย์เราอยู่กันอย่างอ่อนน้อมสุภาพหรือว่าแข็งกระด้างดื้อดึง (แข็งกระด้างดื้อดึง) คนเราในโลกส่วนใหญ่ชอบคนสุภาพอ่อนน้อม แต่เวลาเราอยู่ในโลกเราดื้อดึงแข็งกระด้าง ทำไมเราจึงทำตรงกันข้ามเช่นนั้น ทั้งที่ใจลึกๆ ในความเป็นคนของมนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาคนสุภาพอ่อนน้อม คนใจดี ไม่ใช่คนเอะอะมะเทิ่ง แข็งกระด้าง ดื้อดึง ดันทุรัง แต่เรามักจะเป็นในทางตรงข้ามมากกว่าใช่หรือเปล่า ท่านเคยได้ยินไหมว่าแข็งมากๆ ถึงที่สุดก็กลายเป็นแตกหัก ปราชญ์ท่านจึงสอนไว้ว่าการเรียนรู้จากความอ่อนแอ ความสุภาพอ่อนน้อม จะทำให้เราเรียนรู้ที่จะเข้มแข็งได้ แต่มนุษย์เอาแต่เข้มแข็งและไม่ยอมรับความอ่อนแอ พอถึงเวลาก็รับความอ่อนแอไม่ได้ ฉะนั้นเรียนรู้การอ่อนแอเพื่อเข้มแข็ง เรียนรู้ความสุภาพอ่อนน้อมเพื่ออยู่ร่วมกับผู้คนได้อย่างเป็นสุขถูกหรือไม่ ดังที่พูดไว้ว่าแข็งมากๆ ถึงที่สุดก็ต้องกลับมาอ่อน ยึดติดกับความแข็งกระด้างก็กลายเป็นอ่อนปวกเปียกและยอมแพ้ในที่สุด เหตุผลนี้ทุกคนต่างรู้กัน แต่ไร้คนทำได้จริง

ยังมีคำกล่าวว่า ความอ่อนคือความเป็น ความแข็งคือความตาย เราถามท่านว่าระหว่างลิ้นกับฟันอะไรอยู่ได้คงทนกว่ากัน (ลิ้น) สังเกตต้นไม้ เมื่อต้นไม้ยังอ่อนนั่นแปลว่าอายุของการเป็นต้นไม้ยังไม่มาก แต่เมื่อไรที่ต้นไม้แข็งกระด้างแปลว่าต้นไม้ใกล้สู่ความตาย ฉะนั้นถ้าจิตใจมนุษย์แข็งกระด้าง นั่นก็ไม่อาจเรียกว่าชีวิตที่แท้จริง แต่เป็นชีวิตที่กำลังเดินไปสู่ความตาย ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ชีวิตตายทั้งเป็นก็อย่าดื้อดึงแข็งกระด้างถูกหรือไม่ (ถูก) ดั่งมีคำกล่าวว่า ความอ่อนย่อมชนะความแข็ง ความนุ่มย่อมชนะความแกร่ง มนุษย์ต่างก็รู้แต่หาผู้ใดทำได้จริงถูกหรือไม่ (ถูก) ความสุภาพอ่อนน้อมเป็นสิ่งที่สามารถทำให้มนุษย์เราอยู่ที่ใดก็เป็นที่รัก อยู่ที่ใดก็มีสุข แต่มนุษย์กลับไม่เลือกความสุภาพอ่อนน้อม แต่มักเลือกการกระทำที่ดื้อดึงแข็งกระด้าง ช่างน่าเสียดาย

เราอยู่ในโลกเราอยากเข้มแข็งไม่อยากอ่อนแอ อยากมั่งมีอยากมีมากๆ ไม่อยากว่างเปล่า ไม่อยากไร้ค่า ไม่อยากกลายเป็นคนจน ถูกหรือไม่ (ถูก) เราจึงกำหนดว่าการมีทรัพย์สินคือคนที่โชคดี คนที่ร่ำรวย การมีทรัพย์สิน การมีชื่อเสียงคือคนที่เหมือนโชคดีมีบุญวาสนา แต่เมื่อไรที่เรายกคุณค่าของทรัพย์สินให้สูงก็หนีไม่พ้นการแก่งแย่งช่วงชิงและก่อเกิดความวุ่นวาย

ในที่นี้ใครบ้างไม่มีเงิน ทุกคนต่างมีเงินใช่หรือไม่ แต่ถ้าเมื่อไรที่ใจคิดว่าตัวเองไม่มีเงินนั่นแหละจนแน่ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) เต็มล้นสักวันย่อมล้มคว่ำ มั่งมีถึงที่สุดสักวันย่อมหนีไม่พ้นภัยพิบัติและอันตราย เมื่อไรที่อยากมี เราก็หนีไม่พ้นการแก่งแย่ง

อยากเป็นคนที่ไปอยู่ที่ไหนก็ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ศัสตราวุธอันตรายใดๆ ก็ทำอันตรายเขาไม่เข้าไหม อยากได้วิชานี้ไหม (อยาก) ปราชญ์ท่านได้สอนว่า ไม่อยากมี ไม่อยากได้ ไม่แก่งแย่งแข่งขัน อาวุธศัสตราและคมมีดจะทำอะไรเราได้ แต่ถ้าเมื่อไรอยากมีอยากได้ แม้ไม่โดนอาวุธก็เหมือนโดน ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์ ถ้าไม่อยากต้องแก่งแย่ง ถ้าไม่อยากต้องผิดบาป บางครั้งให้รู้จักไม่มีมากกว่ามี แต่มนุษย์ทำไม่ได้ ช่างน่าเสียดายนะ จริงหรือไม่ (จริง) เราถามหน่อยนะ ห้องนี้จะเกิดประโยชน์ก็ต่อเมื่อมีทุกสิ่งเต็มไปหมดหาที่ว่างไม่เจอ ใช่ไหม (ไม่ใช่) อย่างนั้นแปลว่าห้องนี้จะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อต้องมีที่ว่าง ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตก็เหมือนกัน หวังมีทุกสิ่ง หวังมีทุกอย่าง หวังต้องได้ทุกสิ่ง หวังต้องได้ทุกอย่าง ถึงเวลาความมีทุกสิ่งมีทุกอย่างกลับทำให้เราไม่เกิดปัญญาในการสร้างสรรค์อะไร ใช่หรือไม่ (ใช่) วางสิ่งที่มีแล้วเราจึงจะคิดออกและทำออก ใช่หรือไม่ (ใช่)

อุตส่าห์ตั้งใจมา เผื่อเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะได้ขอสองตัวสามตัว ใช่ไหม แต่ปรากฏว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์กลับบอกว่าไม่ต้องมี ไม่ต้องอยากได้ จะได้พ้นภัย จริงไหม (จริง) คนที่ใส่ทอง ในกระเป๋ามีเงิน มีทอง เดินไปที่ไหน ไม่มีมีดก็มีคมมีดมาจ่อ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่อีกคนหนึ่งเดิน ตัวเองไม่มีอะไร มีใครจะเอามีดมาจ่อ มีใครจะเอาภัยมาให้เป็นอันตรายไหม (ไม่) ก็ยังมี ขนาดเราไม่มีแล้ว แต่คนก็ยังเอาความอยากมาหลอกลวงเรานะ ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากรวยไวไหม พรุ่งนี้รวยไวไหม พรุ่งนี้เป็นเศรษฐีไหม ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นถ้าเรามีความอยากจะทำให้เราหนีไม่พ้นทุกข์ หนีไม่พ้นเวรภัย ทำไมเราไม่รู้จักหยุดอยากบ้าง เพราะบางครั้งจิตที่สงบ จิตที่ว่างๆ จิตที่นิ่งๆ ก็ทำให้ชีวิตเรามีค่า มีความหมายกว่าจิตที่ดิ้นรนขวนขวายต้องมีให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง จริงหรือไม่ (จริง)

ธรรมะสอนไว้อย่างหนึ่งว่า อย่าคิดว่ามีแล้วเรียกว่าสุข บางครั้งการไม่มีก็มีสุข เพราะใจที่ว่างๆ ใจที่เบิกบานบริสุทธิ์ กลับสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ มากมาย ไม่เหมือนกับใจที่อยากได้ใคร่มี กลับทำให้เราไม่สามารถมีปัญญาอันปราดเปรื่องได้ ฉะนั้นถ้าอยากอยู่ในโลกแล้วมีสุขมากกว่าทุกข์ บางครั้งก็ต้องไม่มีบ้าง และบางครั้งความไม่มีก็ก่อให้เกิดประโยชน์ และถึงที่สุดก็ไม่มี เพราะถึงที่สุดเรามีชีวิตไหม ชีวิตเป็นของเราไหม แล้วพรุ่งนี้เราจะยังมีชีวิตไหม ฉะนั้นอย่าคิดว่าสิ่งที่ตัวเองมีนั้นจะมีอย่างแท้จริง บางทีอาจจะไม่มี เพราะทุกสิ่งล้วนเดินไปสู่ความมีเพื่อไม่มี หรือจริงๆ แล้วมันไม่เคยมีเลยสักขณะหนึ่งเลย เหมือนเห็นแต่จริงๆ แล้วไม่เห็น คิดให้ดีๆ นะ

ปกติอยู่ในโลกเรามักจะถูกสอนให้ต้องเป็นคนเก่ง ให้ฉลาด แต่ทางสายปราชญ์กลับสอนว่าให้โง่ โง่ได้ไหม (ได้) มนุษย์ทุกคนเรียนรู้หมดทุกอย่างแต่กลับไม่เก่งจริงสักอย่าง มนุษย์รู้หมดทุกอย่างแต่เรากลับไม่เคยรู้อะไรแท้จริง และก็ยังดันทุรังตอบว่าตัวเองรู้ แล้วท่านเคยได้ยินไหมว่า คนที่ฉลาดที่สุดคือคนที่ยอมโง่ที่สุด เก่งมากก็เหนื่อยมาก บางครั้งต้องไม่เก่งต้องไม่เป็นบ้างใช่ไหม

อย่างนี้เรียกว่าเจ้าเล่ห์มากกว่านะ ฉลาดเกินเก่งเกินไปก็เหนื่อยเกินไปถูกไหม (ถูก) แล้วเรายังอยากฉลาดไหม (ไม่) แต่ถึงเวลาใครว่าเราโง่ยอมได้ไหม (ไม่) ปราชญ์ท่านจึงสอนไว้ว่าจริงๆ ยอมโง่บ้าง ยอมไม่รู้บ้าง แล้วทุกวิชาความรู้จะไหลลงสู่เรา แต่ถ้าพูดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ ตัวเองฉลาด เราจะไม่ได้วิชาความรู้ใดๆ จากใครในโลกเลย ฉะนั้นคนที่เก่งคนที่ฉลาดจริงๆ จึงต้องเป็นคนโง่ แล้วยอมไหม (ยอม) เราขอถามท่าน ไม้ที่มีประโยชน์กับไม้ที่ไร้ประโยชน์ อะไรถูกทำลายบ่อยมากกว่ากัน (ไม้ที่มีประโยชน์) อะไรที่ถูกทำให้สูญพันธุ์ไวกว่ากัน (ไม้ที่มีประโยชน์) ยิ่งมีประโยชน์ยิ่งมีค่าสูงกลับยิ่งถูกทำลาย เช่นนั้นอยากเป็นคนเก่งเป็นคนฉลาดที่มีปัญญาปราดเปรื่องที่สุดในโลกไหม (ไม่) ยิ่งเก่งยิ่งฉลาดคนยิ่งอยากกดอยากข่ม แต่ยิ่งโง่ยิ่งไม่รู้คนยิ่งอยากสอนอยากให้ความรู้ แต่เดี๋ยวนี้คนในโลกทั้งเก่งและไม่เก่งก็โดนทำร้ายได้เหมือนกัน ฉะนั้นผู้มีปัญญาจะต้องก้าวมากกว่าคือ รู้ตอนไหนควรฉลาด ตอนไหนควรโง่ นี่จึงเรียกว่าเก่งแท้จริง ฉะนั้นถ้าอยากอยู่ในโลกให้รอดไม่ยากลำบาก ถามตัวเองก่อน อ่อนน้อมไหม รู้จักได้ รู้จักให้ หรือรู้จักแต่จะเอา รู้จักแต่เป็นคนฉลาดแล้วโง่ไม่เป็นอย่างนั้นหรือ เราก็คงไม่เป็น

มนุษย์ทุกคนอยู่ในโลกก็อยากมีสุขมากกว่ามีทุกข์ ถามต่อว่าแล้วความสุขของท่านอยู่ในความฝันหรือในความจริง ส่วนใหญ่มักจะมีสุขอยู่ในความฝัน ไม่เคยมีสุขกับความจริง อยู่ในโลกยากแล้วยังหาความสุขได้ยากอีก ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นถ้าอยากมีความสุขในชีวิตควรจมอยู่ในความฝัน ความคาดหวังหรือกล้าเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริง (กล้าเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริง) แล้วทุกวันความจริงจะกลายเป็นความสุข ไม่ใช่รอฝันแล้วถึงจะ (มีความสุข) ฉะนั้นถ้าอยากมีความสุขจงเลือกที่จะอยู่กับความจริงมากกว่าความฝัน แล้วทำอย่างไรที่เราจะอยู่กับความจริงได้แล้วเป็นสุข ถ้าอยากมีความสุขในความจริงง่ายๆ คือลดความอยากในใจตนให้มากและอยู่กับปัจจุบันและกล้าเรียนรู้ความจริง

ฉะนั้นถ้าอยากมีความสุข จงพอใจในปัจจุบันและปัจจุบันจะทำให้เราได้เรียนรู้ความจริงได้อย่างมีความสุขและสามารถที่จะปล่อยวาง ไม่คาดหวัง ไม่ผิดหวังได้ แต่ทำได้ยากใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะในใจมักชอบเปรียบเทียบ เพราะในใจชอบยึดติด จึงไม่สุขถูกไหม (ถูก) สมมติวันนี้มีคนชม แต่ก่อนเคยได้รับคำชมมากกว่านี้ แล้ววันนี้เราจะมีสุขไหม เมื่อก่อนได้รับคำชมและตอนนี้โดนคำว่า จะมีสุขไหม (ไม่มี) ที่ไม่มีสุขเพราะไม่ยอมรับความจริงกับใจยึดติดแต่อดีตที่เคยได้รับคำชมถูกหรือไม่ (ถูก) ท่านเคยได้ยินไหม ปัจจุบันคือชีวิต คนที่จมอยู่กับอดีตคือคนที่ตายแล้วถูกหรือไม่ (ถูก) ทำไมเราจึงบอกให้ท่านจงมีความสุขในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันคือชีวิต คนที่จมอยู่กับอดีตแล้วหมกมุ่นอยู่กับอดีตคือคนที่ตายแล้ว หาปัจจุบันไม่ได้ ฉะนั้นถ้าอยากมีความสุขจงกล้าที่จะเรียนรู้ความจริงและมีสุขกับปัจจุบันได้หรือไม่ (ได้) ขอเพียงใจไม่ยึดติด ถ้ามัวยึดติดกับอดีตก็คือคนที่ยอมตายมากกว่าคนที่อยากมีชีวิตต่อ

เหมือนวันนี้ถ้านั่งฟังแล้วมีความสุขได้ แปลว่าท่านกล้าที่จะอยู่กับปัจจุบันและเรียนรู้ความจริงเพื่อเข้าใจชีวิตและเอาธรรมะมาทำให้เราพ้นทุกข์ ไม่ใช่เอาธรรมะที่ฟังกลับมาทำให้เราทุกข์จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นตอนนี้นั่งฟังแล้วยังทุกข์หรือนั่งฟังแล้วพ้นทุกข์ (พ้นทุกข์) ถ้าอยากมีความสุขอยู่ในโลกนี้ไม่อยากทุกข์ จงรู้จักการให้มากกว่าการรับ เพราะจิตที่รู้จักการให้จะทำให้ชีวิตมีคุณค่า และจิตที่รู้จักสร้างสรรค์ความดีงามนั้นจะทำให้เป็นเหมือนยาอายุวัฒนะ ทำให้เรารู้ว่าลมหายใจที่มีอยู่นั้นมีค่ามีความหมาย อยากมีสุขจงมีศีลมีธรรม จงใจเย็น อยากมีสุขจงรู้จักตัวเองให้มาก และรู้จักผู้อื่นให้น้อย แต่มนุษย์กลับรู้ผู้อื่นมากและไม่เคยรู้จักตัวเองเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกข์สุขไม่ใช่ใครกำหนดแต่เราเป็นผู้กำหนด แล้วชีวิตจะดีหรือจะร้ายไม่ใช่ใครเป็นผู้แก้ไขแต่คือเราเป็นผู้จัดการ ใช่หรือไม่ (ใช่)

ตอนนี้อยู่ในโลกอย่างมีสุขได้หรือยัง ถ้ายังเป็นคนใจเย็นไม่ได้ ให้ไม่เป็น และเอาแต่มองผู้อื่นลืมมองตัวเอง เอาแต่มองความฝันมากกว่าความจริง ตลอดชีวิตท่านจะไม่มีวันพบความสุขเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นลองถามตัวเองว่าที่ยังทุกข์อยู่นั้น ทุกข์เพราะขาดศีลขาดธรรม เอาแต่เพ่งโทษผู้อื่น เอาแต่อยากได้อยากมี และลืมมองความจริงหรือไม่

กล้าเรียนรู้รับความจริงนั่นจึงเป็นความสุขที่ดีที่สุด ใจไม่ยึดติด ใจไม่เปรียบเทียบ ใจไม่คาดหวัง ใจเบิกบาน ใจเปิดกว้าง นั่งฟังนานแค่ไหนก็เป็นสุขได้ แต่ถ้าใจยึดติด ใจคาดหวัง ใจเรียกร้อง นั่งฟังตรงนี้แม้หนึ่งนาทีก็ไม่มีวันเป็นสุข

มองความจริง รู้จักพอ ใจเย็น มีศีลธรรม หันกลับมาตรวจสอบตัวเอง ถ้าเข้าใจตรงนี้ความสุขก็ไม่ใช่เรื่องยาก การอยู่ร่วมกับผู้อื่นทำให้ผู้อื่นมีความสุขก็ไม่ใช่เรื่องยาก

อย่างนั้นวันนี้เราคงมาผูกบุญกับท่านเพียงแค่นี้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก อย่างที่เราบอก ทุกสิ่งทุกอย่างมีก็เหมือนไม่มี ไม่มีใครมีสิ่งใดแท้จริงแม้กระทั่งชีวิตตนฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจตรงนี้ เราควรหาคุณค่าที่มีมากกว่าไม่มี นั่นคือ ทางพ้นทุกข์ที่เราเรียกว่า “ธรรมะ” ซึ่งไม่ได้อยู่ข้างนอกแต่อยู่ที่ใจ รู้หรือยัง (รู้แล้ว) รู้แล้วปฏิบัติได้ถึงหรือยัง (ยัง) มีโอกาสคงได้มาศึกษากันอีก

วันอาทิตย์ที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ สถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มองเห็นคุณทุกคนก็มีค่า จ้องจับผิดก็ไร้ค่าไร้ความหมาย

ดั่งเรื่องสองคนยลตามช่องมาสอนใจ ถึงต่างแต่ทุกแง่ให้สอนชีวี

เราคือ

จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินเอวี๋ยน แฝงกายน้อมกราบ

องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีนะ

เกิดเป็นคนหมั่นสร้างบุญบารมี สร้างความดีปฏิบัติธรรมบำเพ็ญจิต

ภัยภายนอกไม่ร้ายเท่าใจหลงผิด ภัยภายในคือความคิดกิเลสเคยชิน

ชีวิตคนดั่งความฝันแสนสั้นนัก หาใช่เพื่อโลภโกรธรักไม่เคยสิ้น

เวียนในสุขทุกข์เปลี่ยนหน้าไม่ชาชิน เป็นโขดหินกลางกระแสน้ำที่แรง

การบำเพ็ญก็เพื่อฉุดช่วยตน เพื่อฝึกตนเพื่อพ้นให้รู้แจ้ง

ความยากเข็ญมาลับคมให้สำแดง ความพลิกแพลงด้วยปัญญาช่วยย่นทาง

บำเพ็ญธรรมตั้งแต่ง่ายจนยากสุด ไม่รอดพ้นปัญญาธรรมแสงสว่าง

จากเบื้องบนลงสู่คนเบื้องล่าง มีเมตตาเป็นสื่อกลางระหว่างกัน

จงศรัทธาด้วยปัญญาจึงยั่งยืน จิตสดชื่นท่ามกลางความแปรผัน

ปัญหาคนคือคนงานคืองาน อย่ามัวค้างสร้างทุกข์กรงขังตน

ฮา ฮา หยุด

การจะคิดออก ออกเหมือนนักธรรม มีธรรมะกันแบบประจำ บางสิ่งอันสำคัญนึกออก ธรรมะแทรกอยู่ในทุกตอน ดึงธรรมะที่ไม่อาจสอน มาส่งออกไป

* ชนะใจตัวเอง กิเลสแพ้ทางคุณธรรม ลดละกายกรรมต่อกันไว้ พิชิตไฟอารมณ์ที่หมักหมมมานานเกินไป ฝึกจนไร้ จนว่างไป

** หากใครคิดมาก ยากไปแสนนาน วางความคิดให้จิตเบิกบาน แสงแรกแห่งใจ

(ซ้ำ *, **)

ทำนองเพลง : เพียงกระซิบ

ชื่อเพลง : นักธรรมที่ดีดีอย่างไร

หมายเหตุ : เนื้อเพลงสองย่อหน้าแรกมาจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “นักธรรมที่ดี”

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)

รักษาจิตอันดีงามไว้ให้คงอยู่ ไม่จืดจางไปไหน ไม่พลาดพลั้งเพราะความผิด ไม่พลาดพลั้งเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ใช่ไหม (ใช่)

(พระอาจารย์เมตตานักเรียนในชั้น)

ชีวิตนี้สุขหรือทุกข์ ส่วนใหญ่สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ใช่ไหม (ใช่) แต่ส่วนใหญ่ทุกข์มากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งว่า “ผู้ใดถึงซึ่งความสุข โดยอาศัยการทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามอยู่เป็นนิจ จะมีชีวิตที่ร่มเย็นและเป็นสุข” เคยได้ยินสิ่งนี้ไหม ผู้ใดอาศัยความดีงามที่ประกอบธรรมอยู่ทุกวัน จะนำพาให้ชีวิตมีแต่ความร่มเย็นและเป็นสุขได้

ศิษย์เคยได้ยินคำพูดนี้ไหมว่า “บุญคือความสุข บาปคือความทุกข์” “บุญคือสวรรค์ บาปคือนรก” ฉะนั้นผู้ใดที่หมั่นทำบุญ แปลว่าผู้นั้นย่อมอาบอิ่มไปด้วยความสุข ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นถ้าผู้ใดอาบอิ่มไปด้วยความทุกข์ ใบหน้าเศร้ามอง จิตใจหดหู่ นั่นแปลว่าเขาอาบอิ่มไปด้วยบาป ฉะนั้นในทางย้อนกลับ ตอนนี้ถ้าศิษย์บอกว่าศิษย์มีทุกข์มากกว่ามีสุข แปลว่าศิษย์ดำเนินชีวิตในทางบาปมากกว่าบุญ ถูกไหม (ถูก) แล้วโดยส่วนใหญ่จิตใจเบิกบาน โปร่งเบา โล่งเบา หรือจิตใจหนักหน่วง กลัดกลุ้ม วิตกทุกข์ร้อน ส่วนใหญ่มันจะหนักกลุ้ม โปร่งโล่งไม่ค่อยมีในชีวิตเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ผู้ใดมีชีวิตหวานอมขมกลืนเต็มไปด้วยความทุกข์หม่นหมองใจ นั่นแปลว่าศิษย์ไม่ค่อยได้ทำบุญสุนทาน จริงไหม (จริง) คนทำดีทุกวันหน้าจะหม่นหมองหดหู่ไหม หน้าจะปิติยินดี ศิษย์รู้ไหมการทำบุญบ่อยๆ การทำดีบ่อยๆ เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้ชีวิตมีค่ามีความหมาย ไม่เหมือนทำบาป ยิ่งทำยิ่งหดหู่หม่นหมองไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร แล้วชีวิตเราอยู่ไปเพื่ออะไร (เพื่อทำความดี) แต่ส่วนใหญ่ไม่ดีมากกว่าใช่ไหม (ใช่)

ศิษย์เคยได้ยินไหม ขึ้นชื่อว่าบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศล ความดีงามอะไรก็ตาม ถ้าทำอยู่เนืองๆ ทำอยู่เป็นนิจ ถ้าทำบ้านทำโลกนี้ให้เป็นสวรรค์ ตายไปก็ขึ้นสวรรค์ แต่ปัจจุบันนี้อยู่บนโลกเหมือนนรกหรือเหมือนสวรรค์ ถ้าทำนรกวันนี้ให้บังเกิด ชาติหน้าอย่างไรก็ต้องตกนรก ถูกไหม (ถูก)

ถ้าเรารู้ว่ารากฐานแห่งความดีคืออะไร เราก็ย่อมจะทำดีต่อไปได้ แต่ถ้ารากฐานแห่งความดีเรายังไม่รู้ เราจะสร้างความดีต่อได้ไหม (ไม่ได้) แล้วอะไรคือรากฐานแห่งความดีงามทั้งมวล (จิตใจ) จิตใจก็เป็นรากฐานแห่งความชั่วได้เหมือนกัน (คิดดี ทำดี) คิดดี ทำดี พูดดี แต่ต้องละชั่วด้วย (คุณธรรม) เมื่อเรามีคุณธรรมก็ย่อมมีความดี แต่เมื่อวานหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอสอนไว้ว่า “ถึงเราจะพยายามมีคุณธรรม แต่ถ้าเราไม่รู้จักอดทนอดกลั้น คุณธรรมก็ไม่มี”

(ความเมตตา ความเข้มแข็ง) ใช่หรือไม่ ถ้าเราเกิดมาแล้ว คิดแต่จะเอา เราอยู่ในโลกนี้จะไม่มีวันทำความดีได้เลย ฉะนั้นรากฐานของความดีเริ่มต้นที่ (การให้ การเสียสละ) ถูกไหม (ถูก) ถ้าศิษย์ไม่เคยคิดจะให้ อยู่บนโลกเอาอย่างเดียว ทำอะไรก็ไม่ให้ความดีจะเกิดได้อย่างไร ถ้าทุกชีวิตคิดแต่จะเอาไม่เคยคิดจะให้ เมตตาจะสำแดงได้อย่างไร คุณธรรมจะสำแดงได้อย่างไรถ้าศิษย์คิดว่า เธอดีขนาดไหนฉันถึงต้องดีกับเธอเมตตากับเธอ ทำไมถึงต้องให้ก่อน ทำไมถึงต้องยอมก่อนล่ะ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าศิษย์ลืมรากฐานของความดีสิ่งนี้ ศิษย์เกิดมาเพื่อที่จะเอาศิษย์ย่อมไม่มีวันเป็นคนดีได้แน่นอน

พระพุทธะยังกล่าวไว้ว่า การให้เป็นบันไดขึ้นสู่สวรรค์ การให้เป็นเครื่องผูกมิตร และการให้ยังเป็นที่รักของมนุษย์และเทพเทวาทั้งปวง แล้วที่เราไม่สามารถทำดีได้ เป็นเพราะว่าเอามากกว่าให้ ถูกไหม (ถูก) อาจารย์ถามหน่อยไปเอาของเขามาแล้ว ทำเขาเจ็บแล้วค่อยไปดีกับเขาทันไหม (ไม่ทัน) แล้วปัจจุบันเราเป็นเช่นนี้ไหม เป็นทั้งนั้นเลย ไปฆ่าคนนี้ ไปตีคนนั้น แล้วก็ไปทำบุญกับคนโน้นแล้วก็ท่องสัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดใช่หรือไม่ แล้วเราทำอย่างนี้ไหม ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ รากฐานของความดีง่ายๆ คือให้ ให้ได้ เราก็หยุดยั้งกิเลสได้ ให้ได้ เราก็หยุดผิดบาปได้ แต่ถ้าให้ไม่ได้ เราก็มีแต่สนองกิเลสตัณหาตัวเอง ฉะนั้นถ้าให้แล้วมันทำให้เราว่าง ทำให้เราโปร่ง ทำให้เราไม่ต้องไปแข่งขัน ไม่ต้องไปกดขี่ ไม่ต้องไปผิดบาป ไม่ต้องไปเบียดเบียน ทำไมไม่ให้ ทำไมต้องกลัวเสียเปรียบ บางครั้งการให้เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องใช้อะไรเลย อย่างเช่นเขาร้ายมาเราให้อภัยไหม เขาเอาเปรียบเรามา เราไม่ถือสาหาความได้ไหม เขาเอาภรรยาสามีเราไป (ให้ไม่ได้ค่ะ) สุดท้ายตัวอยู่แต่ใจไม่อยู่จะเอาหรือ อยู่แล้วหวานอมขมกลืนจะเอาหรือ ทำไมไม่แปรทุกข์ให้เป็นบุญ แปรบาปให้เป็นกุศล ไม่ต้องทำบุญกับใครทำบุญกับสามีเรานี่แหละ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราไม่เคยสร้างบาปที่ไหนก็สร้างบาปกับสามีหรือไม่ก็สร้างบาปกับภรรยานี่แหละถูกไหม แล้วเวรกรรมก็ย้อนกลับมาทำร้ายเราให้เจ็บปวดจริงไหม (จริง) ฉะนั้นอาจารย์ถึงได้บอกไง ถ้าให้แล้วทำให้เราบังเกิดความสบายใจ บังเกิดเป็นบุญเป็นสุขก็ให้ไปเถิด

อาจารย์บอกตั้งแต่ต้นแล้ว ทำบุญก็คือสวรรค์ ถ้าตรงนี้เป็นสวรรค์ภพภูมิหน้าก็เป็นสวรรค์ แต่ถ้าตรงนี้เป็นนรกภพภูมิหน้าศิษย์ก็หนีไม่พ้นนรก แล้วทำไมไม่แปรบาปให้เป็นบุญ แปรร้ายให้เป็นดี เราเกิดมาถึงเวลาเขาก็ไม่ไปกับเราหรอกนะศิษย์ ใช่หรือเปล่า (ใช่) รักกันปานจะกลืนกินถึงเวลาก็ต่างคนต่างตาย ตัวใครตัวมันใช่หรือไม่ (ใช่)

ในโลกนี้แม้เราจะทำดีแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยมีอะไรเป็นได้ดั่งใจเราสักอย่าง ความทุกข์มีกี่อันก็นับไม่ถ้วนความทุกข์ทำเราเจ็บช้ำแค่ไหนก็ไม่รู้จะพูดบรรยายว่าอย่างไร อาจารย์ถามหน่อย ถ้าทุกข์มาแล้วทำให้เราเจ็บช้ำและเจ็บปวด ทำไมเราไม่รู้จักพลิกทุกข์ให้มาสอนใจเราบ้าง จริงหรือไม่ (จริง) มีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า ของบางอย่างทำให้เราทุกข์ แต่ถ้าเราไม่อับจนปัญญา ของนั้นก็ทำให้เราสิ้นทุกข์และพ้นทุกข์ได้ เหมือนพระพุทธะสอนไว้ว่า สิ่งใดเป็นกิเลสสิ่งนั้นก็สามารถเป็นปัญญา สิ่งใดเป็นสิ่งเกิดดับสิ่งนั้นก็เป็นหนทางพระนิพพานได้

บางอย่างถ้ารู้ว่าคิดแล้วจะเป็นทุกข์ ก็ควรที่จะหยุดความคิด หยุดทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ ด้วยการรู้ทันความคิดแล้วไม่ยึดติดในความคิด ถ้าใจของศิษย์ไม่มีกรอบ ไม่มีความยึดมั่น ไม่มีความเป็นตัวตน ไม่มีความยึดถือ มันก็ไม่มีการโดนอะไรให้เจ็บช้ำ แต่ถ้าใจของศิษย์มีกรอบ มีความยึดถือ มีความเป็นตัวตน อะไรนิดอะไรหน่อยมันก็ทุกข์ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นถ้าใจมันว่างจากตัวตน ว่างจากการยึดถือ สิ่งใดจะทำให้ทุกข์

จำไว้นะศิษย์ คนก็เป็นอย่างนี้ ตอนแรกปากก็พูดดีว่าให้ พอถึงเวลาผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงกลับไม่ให้เสียอย่างนั้น แล้วเราควรจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) ฉะนั้นถ้าศิษย์รู้ว่าบางสิ่งบางอย่างไม่เที่ยงไม่แน่นอน วัดค่าอะไรไม่ได้ และก็ไม่สามารถตัดสินอะไรได้ เราควรเอาสิ่งนั้นมาสอนใจหรือเอาสิ่งนั้นมาทำให้เราต้องเจ็บช้ำน้ำใจ (สอนใจ)

หนทางที่จะทำให้เรามีความสุข ก็คือมีชีวิตอยู่เพื่อให้ แล้วเราทำได้ไหม (ได้) สมมติเราเป็นอาจารย์ มีความรู้แต่ไม่เคยคิดให้สิ่งที่ดีที่สุดกับนักเรียนจะเรียกว่าอาจารย์ได้ไหม (ไม่ได้) สอนอะไรก็สอนแบบกั๊กๆ สอนเก็บๆ สอนแบบไม่เต็มใจไม่สุดใจ กับคนที่ทำอะไรอย่างสุดจิตสุดใจเต็มกำลังทุกขณะ ความสุขมีอยู่ทุกขณะที่ได้ทำ แล้วเราจะต้องหวังผลอะไรอีกไหมศิษย์ แต่ถ้าอาจารย์สอนแบบสอนบ้างเก็บบ้าง สอนบ้างหวงบ้าง ให้บ้างงกบ้าง ให้บ้างไม่ให้บ้าง จะมีความสุขไหม ชีวิตเราไม่ว่าเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นลูกศิษย์ เป็นอาจารย์ เป็นคนค้าขาย ถ้าศิษย์ทำสิ่งที่ดีที่สุด ทุกขณะที่ทำคือสิ่งที่ดีที่สุด มันมีความสุขที่ได้ทำ มันมีความสุขที่ได้ให้สิ่งที่ดี มันมีความสุขที่ได้ทำหน้าที่ที่ดีที่สุด ผลของการกระทำมันให้อยู่ทุกขณะ แล้วศิษย์จะต้องหวังผลอะไรอีกไหม แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์เราไม่ใช่ เราทำทุกขณะเพื่อหวังจะเอาตำแหน่ง จะเอาเงินเยอะๆ จะเอากำไรเยอะๆ จะเอาให้มากที่สุด จะทำอย่างไรให้ได้ตำแหน่งใหญ่สุด ทุกขณะที่คิดจะเอาๆ มันไม่เคยสุข เราหวังแค่เพียงสุขแบบนั้นจึงไม่เคยสุข

ฉะนั้นคนที่ทุกขณะให้เต็มที่ ทำเต็มที่ ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด มันมีสุขทุกขณะ ปลูกข้าวก็ข้าวดีที่สุด ปลูกผักก็ผักสะอาดปลอดภัยที่สุด เป็นครูก็สอนดีที่สุด เป็นนักเรียนก็ให้ความเคารพซื่อสัตย์และทำหน้าที่ดีที่สุด เป็นพ่อก็เป็นพ่อที่ดีที่สุด เป็นแม่ก็เป็นแม่ที่ดีที่สุด เป็นลูกก็เป็นลูกที่ดีที่สุด ยังต้องหวังอะไรอีกไหม ไม่ต้องหวังแล้ว เพราะทุกขณะที่ทำเราได้สุขที่สุดในใจอยู่แล้ว แต่มนุษย์ไม่ใช่ ทำนิดๆ หน่อยๆ กินแรงเอาเปรียบแล้วก็หวังว่าจะได้คนชมใช่หรือไม่ แล้วศิษย์เป็นอย่างนั้นหรือไม่ เมื่อศิษย์ไม่สามารถทำอย่างที่อาจารย์บอกได้ศิษย์ก็เลยหนีไม่พ้นความทุกข์ ศิษย์ก็บอกว่าอาจารย์หนูพยายามทำดีที่สุดแล้วนะ หนูหวังดีกับเขามากแล้วนะ ผมทำดีที่สุดแล้วนะทำไมฟ้ายังทำให้ผมเป็นแบบนี้อีก เหมือนบอกว่าผมเป็นคนดีแล้วนะ อาจารย์ แต่บาปผมไม่เคยละเท่านั้นเอง ดีผมก็ทำ แต่ชั่วผมยังลดไม่ได้เท่านั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)

อาจารย์ถามว่าเวลาที่ศิษย์มีชีวิตอยู่ ศิษย์เคยทำงานๆ หาเงินๆ เที่ยวๆ แล้วสักพักศิษย์รู้สึกว่าไม่ได้ทำบุญเลยอยากทำบุญ รู้สึกว่าความดีมันหายไปจากใจอยากทำดี เป็นไหม (เป็น) ถ้าเป็นอย่างนั้นแปลว่าทั้งชีวิตไม่ค่อยได้ทำดี นานๆ ค่อยทำ แล้วพอนานๆ ค่อยทำแล้วพยายามทำดี พยายามเมตตา เสียสละอุทิศให้ อันนั้นไม่เรียกว่าความดีที่แท้จริง อันนั้นเป็นความดีที่พยายามจะชดเชยความไม่ดีที่ทำมา เป็นความดีที่ศิษย์ใช้ปลอบประโลมใจตัวเองว่า ฉันก็ยังพอมีอะไรที่ดีเหลือไว้ให้ภูมิใจบ้าง (ใช่) ทั้งที่ตลอดชีวิตมานั้นไม่ค่อยดีเลยใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นสิ่งที่ศิษย์ทำดีแบบนี้จะทำให้ศิษย์พบกับสิ่งที่ดีเป็นไปได้ไหม แล้วบอกว่าศิษย์เป็นคนดีคนหนึ่งได้ไหม (ไม่ได้)

การให้บุญที่บริสุทธิ์ ความดีที่บริสุทธิ์แบบไหนที่เห็นชัดเจน อย่างเช่นมีเด็กกำลังเดินข้ามถนน ตอนนั้นศิษย์จะทำอย่างไร (จับไว้ก่อน) ไม่รู้ว่าลูกใครไปอุ้มไว้ก่อนใช่ไหม (ใช่) ชั่วขณะที่ศิษย์คิดจะช่วยเด็กคนนั้นโดยไม่สนใจว่าเราจะต้องเป็นคนดีหรือไม่ คิดแต่เพียงว่าจะให้เด็กคนนั้นรอดปลอดภัย นั่นเรียกว่าบุญอันบริสุทธิ์ นั่นคือความดีอันบริสุทธิ์ เพราะเราไม่คิดว่าจะทำเพื่ออะไร แต่มนุษย์เวลาทำดีอะไรมักจะคิดว่าเพื่อจะได้มีเมตตาเยอะๆ จะได้บุญเยอะๆ จะได้หน้าบานๆ หรือจะได้ขอต่อ ถ้าบุญยังแอบอิงไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง บุญนั้นก็เรียกว่าบาป บุญนั้นก็เรียกว่าบุญที่ไม่บริสุทธิ์แท้จริง แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม ทำบุญไม่เคยขอเลยใช่ไหม รากฐานแห่งความดีคือการทำเพื่อให้ ไม่ใช่ทำเพื่อเอา ถ้ายังทำเพื่อเอาก็ยังตกเป็นทาสของกิเลสอยู่ร่ำไป

เราทุกข์กับเรื่องอะไรในโลกบ้าง คนใจร้อนเราชอบไหม (ไม่ชอบ) เย็นแบบเช้าชามเย็นชามชอบไหม (ไม่ชอบ) ถ้าเราเจอคนประเภทนี้เราจะทำอย่างไร อารมณ์เย็นเกินไปเราก็ไม่ชอบ ร้อนเกินไปเราก็ไม่ชอบ แล้วโลกนี้เป็นไปได้ไหมที่จะมีคนไม่ร้อนไม่เย็น เวลาเจออากาศร้อนเราทำตัวให้เย็นไว้ แล้วเวลาเจออากาศเย็นเราทำตัวให้อบอุ่น ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เอยอยู่ในโลกเราหนีไม่พ้น คนบางคนเย็นชาจนเรารู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง มีเขาอยู่แต่เย็นชาเกินไป ฉะนั้นเหมือนใส่เสื้อ เจอใครเย็นต้องทำตัวให้อบอุ่น เจอใครร้อนต้องทำตัวให้เย็น เอาธรรมะมาใช้ในชีวิต เอาธรรมะที่เรียกว่าความจริงมาสอนใจ ไม่ใช่เจอใครร้อนศิษย์ก็ร้อนก็มีแต่พัง เจอใครเย็นศิษย์ก็หนาวเหงาอย่างนี้ก็แย่ใช่หรือไม่ (ใช่) เขาร้อนมาเราต้องเย็นให้ได้ เขาเย็นจนดูเหมือนแล้งน้ำใจ เราก็ต้องสร้างความอบอุ่นให้กับกายใจตนเองก่อนที่จะเอาแรงนั้นไปดันเขา ถ้ายังเอาตัวไม่รอดอย่าเพิ่งไปช่วยใคร ฉะนั้นเวลามีปัญหาอย่าเพิ่งไปจัดการใคร ไม่ใช่ไปแก้ใคร แต่เอาตัวเองให้รอดก่อน เมื่อเอาตัวเองรอดแล้วก็ไม่ทำให้เขาทุกข์ เขาก็ไม่ทำให้เราทุกข์ เราก็สามารถแปรทุกข์เป็นสุขได้ เมื่อเราทำให้ตัวเองมีสุขได้เราก็จะทำให้คนข้างๆ เขาได้ข้อคิดตามด้วย

แล้วเรายังมีทุกข์อีกไหม บางครั้งชีวิตเหมือนขึ้นที่สูงเหมือนโชคดี แต่บางครั้งมันก็ตกลงต่ำ ขึ้นที่สูงมันก็ได้เห็นอะไรชัดเจนดี แต่เมื่อมันต้องกลับมาลงที่ต่ำ มันก็แค่มองไม่ชัดหรือกลับมายืนที่เดิม คนเราไม่มีใครสูงหรืออยู่เหนือใครตลอดไป ขึ้นสูงขนาดไหนอย่างไรก็ต้องลง หนีพื้นดินอันธรรมดาไม่ได้ ถ้าวันหนึ่งชีวิตได้เจอเรื่องที่ดี แล้ววันหนึ่งชีวิตได้เจอเรื่องที่ร้าย ก็จงอย่าลืมว่าแค่กลับมายืนที่เดิม แม้ว่าวันนี้จะไม่ได้สูงแล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยชีวิตหนึ่งเราได้เคยสูงสักวันหนึ่งก็ยังดี

ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจชีวิต เราก็จะรู้ว่าฟ้ายังมีสิ่งที่เรียกว่าภูเขาสูง ยังมีสิ่งที่เรียกว่าพื้นพสุธา แล้วเป็นไปได้หรือที่เราจะขึ้นสูงแล้วไม่มีวันลงสู่พื้นดิน แล้วเป็นไปไม่ได้หรือที่ยืนอยู่บนพื้นดินแล้วจะใฝ่สูงบ้างไม่ได้ แล้วเรายืนอยู่บนพื้นดินเราจะสูงที่สุดไม่ได้เลยหรือ ใช่ไหมศิษย์ (ใช่) สิ่งที่ไกลกลายเป็นใกล้ก็เพราะความเพียร สิ่งที่ยากกลายเป็นง่ายก็เพราะความวิริยะอุตสาหะ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นได้ก็เพราะใจที่สู้ไม่ถอยใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเราอยู่บนโลกบางครั้งอยู่สูงแต่ก็ต้องกลับมาต่ำให้เป็น เมื่อต่ำเป็นแล้วสูงบ้างไม่ได้หรือ เมื่อร้ายแล้วทำไมจะดีไม่ได้ แล้วดีจนถึงที่สุดจนสุดๆ ไม่มีหรือ (มี) แล้วเมื่อไรจะทำ เกี่ยงกันอยู่ให้เขาดีก่อนฉันยังชั่วอยู่ใช่ไหม (ใช่)

ศิษย์เคยเห็นใบไม้ไหม สักวันมันต้อง (ตาย) ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อขึ้นชื่อว่าชีวิตเราหนีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ความสูญเสียไม่ได้ แต่ถ้าต้นไม้งก ไม่ให้ใบไม้ร่วงเลย เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) ยอมให้มันร่วงหล่น จึงเห็นหน่อใหม่ที่ได้แตกออก ยอมให้มันร่วงหล่นจึงก่อเกิดเป็นปุ๋ยที่บำรุงเลี้ยงให้เติบโต บางครั้งยอมเสียเพื่อได้อะไรที่ดีกว่า ยอมเจ็บ ยอมให้ ยอมพลัดพราก ยอมทุกข์ ยอมแพ้แล้วทำให้คนอื่นเป็นสุขใจไม่ได้หรือ (ได้) แล้วเราเกิดเป็นคน เสียบ้างไม่ได้หรือ โดนเขาว่าบ้างไม่ได้หรือ โดนเขาเข้าใจผิดบ้างไม่ได้หรือ โดนเขาเอาเงินไปแล้วไม่คืนไม่ได้หรือ เพราะในความเสียมันอาจจะมีอะไรที่เราได้แอบแฝงอยู่ ถ้าเราไม่เจ็บเราจะรู้จักความเข้มแข็งไหม ถ้าเราไม่ป่วยเราจะรู้ไหมว่าใครห่วงใครรักเราจริง เมื่อเราตกต่ำเราจึงได้รู้ว่าใครที่เป็นมิตรแท้ ถ้าเราไม่ถูกสามีทิ้งเราจะรู้หรือว่าฉันก็ยืนคนเดียวได้ สามีหรือภรรยาตายไปแล้ว ลูกก็ไม่ดูแล เรายืนคนเดียวไม่ได้หรือ ดูแลตัวเองไม่ได้หรือ ต้องรอสามี ภรรยา ลูก มาเลี้ยงตลอดเลยหรือ ทำไมต้องเป็นใจที่ว่างเปล่าแล้วรอคนมาเติมเต็ม แต่เราเป็นใจที่สามารถเต็มล้นและพร้อมให้ทุกคนไม่ได้หรือ เอาธรรมะที่เห็นทุกวันมาสอนใจ ไม่ต้องเอาตำราหรือคัมภีร์จากไหน แต่เอาที่เห็นทุกวันมาสอนใจเรา สอนแล้วให้มันเกิดธรรม ไม่ใช่สอนแล้วให้มันเกิดกิเลส เกิดความโง่ ไร้ปัญญา อย่างนี้เกิดมาเสียเปล่า แต่สอนแล้วมันต้องได้ธรรมได้ความตื่นรู้ ได้ความพ้นทุกข์

สิ่งต่างๆ ในโลกนี้มีอะไรเป็นได้ดั่งใจศิษย์ไหม (ไม่มี) แล้วมีอะไรสมบูรณ์พร้อมไหม (ไม่มี) ศิษย์เคยเห็นนิ้วเท่ากันไหม อย่างนั้นชีวิตคนเหมือนกันไหม แล้วเป็นไปได้ไหมว่าทุกชีวิตต้องเหมือนกันและเท่ากัน ฉะนั้นเจอคนไหนที่ขาดไปบ้างเกินไปบ้างก็คิดว่าอย่างน้อยก็เป็นชีวิตๆ หนึ่ง แต่ว่าเราขาดเขาได้ไหม บางครั้งการมีอยู่ของเราก็ต้องเป็นการมีอยู่ของเขาด้วย แต่บางครั้งถ้าการที่เขาอยู่แล้วทำให้เขาเป็นทุกข์ เราก็ต้องสามารถอยู่คนเดียวให้ได้ด้วย เหมือนนิ้วเราให้มันสมบูรณ์เท่ากันไม่ได้ แล้วมันมีคุณค่าและความสามารถที่ไม่เหมือนกัน ฉันใดก็ฉันนั้นคนในโลกก็เหมือนกัน คิดไม่เหมือนกัน ถนัดไม่เหมือนกัน ดีไม่เหมือนกัน แล้วจะหวังให้เป็นดั่งใจได้ไหม (ไม่) เวลาตอบอาจารย์ตอบดีหมดแต่ถึงเวลาทำไมไม่เห็นดีแบบนี้เลย ถ้าเราคิดอย่างนี้เสมอ เราตระหนักรู้อย่างนี้เสมอ คนนั้นจะทำให้เราทุกข์ไหม ถ้าคนนั้นเกินเลยไปบ้างเขาจะทำให้เราเจ็บไหม คนนั้นขาดไปบ้างจะทำให้เราทุกข์ไหม แล้วถึงเวลาเราทุกข์ไหม ถ้าศิษย์เอาความจริงมาสอนใจแล้วศิษย์กล้ายอมรับในความจริง ศิษย์จะได้เรียนรู้ว่า ทุกข์ไม่ได้มีไว้ให้ทุกข์ แต่ทุกข์มีไว้เพื่อเรียนรู้แล้วก้าวต่อไป

ทุกข์แปลว่า สิ่งที่ทนได้ยากใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นไม่ว่าเราเจอเรื่องอะไร พอเราทนได้ยากเราต้องเปลี่ยนเป็นอีกสิ่งหนึ่ง เพื่อเราไม่ต้องทุกข์กับมันถูกหรือไม่ (ถูก) เหมือนอาจารย์ถามว่า หน้าตาของเราจะเป็นแบบนี้ตลอดไหม จะเปลี่ยนไหม ฉะนั้นถ้าวันนี้คนดีๆ เขาเปลี่ยนแปลงเราทุกข์ไหม คนดีๆ เขาเปลี่ยนใจเราทุกข์ไหม และคนที่ไม่ดีควรจะเปลี่ยนแต่ไม่ยอมเปลี่ยน เราทุกข์ไหม อาจารย์แค่อยากให้ศิษย์ยอมรับความจริงเหมือนนิ้วมือ ใช่ไหม (ใช่) บางคนได้แค่นี้ บางคนสูงตั้งเท่านี้ เหมือนเอานิ้วโป้งเปรียบกับนิ้วกลางต่างกันเยอะไหม คุณค่าเหมือนกันไหม ฉะนั้นถ้าเราเกลียดนิ้วโป้ง ตัดนิ้วโป้งทิ้งดีไหม ตัดแล้วเรียกว่าอะไร (ด้วน) มันเป็นธรรมดาศิษย์เอ๋ย คนที่เคยดีแล้วเปลี่ยนเป็นไม่ดี และคนที่ไม่ดีน่าเปลี่ยนเป็นดีแต่ก็ไม่เคยเปลี่ยนเป็นดี แล้วเราจะทำอย่างไร เราจะทุกข์กับเขาหรือว่าเราแค่เรียนรู้และยอมรับกับมัน (ยอมรับกับมัน) ใช่ไหม (ใช่) เพราะในความที่เขาดีแล้วเปลี่ยนเป็นไม่ดี แล้วความดีเขาไม่เหลือเลยหรือ ยังเหลือไหม (เหลือ)

(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมท่านหนึ่งมายืนหน้าห้อง)

สมมติว่าอะไรอาจารย์ก็รู้สึกดีกับเขาหมด ยกเว้นอย่างเดียวอาจารย์ไม่ชอบความดำ อาจารย์ถามหน่อยนะว่า ถึงแม้เขาจะดำ เขาจะสูญเสียความดีที่อาจารย์ชอบในใจไหม (ไม่) ดีก็ส่วนดี ดำก็ส่วนดำใช่ไหม เราแก้อะไรเขาไม่ได้

วันหนึ่งถึงคนที่ดีที่สุดของศิษย์เขาจะเปลี่ยนแปลงเป็นไม่ดี แต่ใช่ว่าความดีเขาจะไม่มี ความดีเขาจะหดหายไป แต่มนุษย์เวลาเกลียดก็เกลียดมาก เวลารักก็รักมาก จนบางครั้งมองไม่เห็นเลยว่าจริงๆ แล้วในความรักก็มีความน่าเกลียด ในความน่าเกลียดก็ยังพอมีอะไรดีๆ ฉะนั้นเวลาศิษย์มองสิ่งใด เวลาเราเห็นคนที่ไม่เป็นดั่งใจเรา หรือมองเขาว่าน่าจะดีกว่านี้แล้วเขาไม่ดี ศิษย์จะต้องปรับความคิดให้ได้ อย่าปล่อยให้ความคิดนั้นสร้างกิเลสแล้วทำให้เกิดทุกข์ ตอนนั้นศิษย์จะให้ความสุขเขาให้บุญเขาให้ทานเขา หรือศิษย์จะก่อเกิดเป็นกรรม วิบากกรรม ด่าเขาให้ไม่เหลือดีเลย ว่าให้เจ็บปวดไปเลย ในเมื่อเคยดีมาก่อนแล้วกล้าทำแบบนี้ก็ทำให้จมไม่มีที่อยู่เลยดีไหม (ไม่ดี) ถ้าเจอคนไม่ดีนอกจากจะทำให้เราทุกข์ใจแล้ว สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องระมัดระวังที่สุดคือ อย่าสร้างวิบากกรรม หรืออย่าเกี่ยวกรรม เพราะไม่เช่นนั้นแล้วคนที่ศิษย์เกลียดที่สุดก็จะมาจองเวรจองกรรมศิษย์ แล้วเราเกิดมาเพื่อสิ้นกรรมหรือเกิดมาเพื่อสร้างกรรม (สิ้นกรรม) ถ้าเพื่อสิ้นกรรมควรด่าให้ไม่มีชิ้นดีหรือควรเข้าใจแล้วตื่นรู้เห็นแจ้งในธรรม (เข้าใจแล้วตื่นรู้เห็นแจ้งในธรรม) ฉะนั้นถ้ากลับไปเจอสามีด่าหรือเจอภรรยาบ่น เจอลูกไม่เป็นดั่งใจ ก็มองว่าถึงเขาจะแย่อย่างไร เขาก็ยังมีดีอยู่ แล้วเราจะได้มองเห็นสิ่งที่ดีในใจเขาได้ใช่ไหม (ใช่)

ฉันใดก็ฉันนั้นให้อภัยใจตัวเองได้ ไม่ถือโกรธเกลียดตัวเองได้ ทำไมไม่ให้อภัยไม่ให้ทานไม่ให้เมตตาผู้อื่น ในเมื่อบุญของการให้ที่ประเสริฐที่สุดคือให้ธรรมเป็นทาน แต่เราอยู่ด้วยกันเรากลับให้กิเลสอารมณ์เพื่อเกี่ยวกรรมหรือ ในเมื่อศิษย์อยากสร้างความดี เขามาให้เราได้สร้างทานที่ยิ่งใหญ่ ทำไมเราไปไม่ถึง ทำไมเราอยากไปเกี่ยวกรรมจองเวรจองกรรม ทำไมเราอยากไปสนองกิเลสอารมณ์ ทำไมเราไม่ตื่นรู้แล้วพบธรรม ตื่นรู้แล้วได้ให้ธรรมที่ประเสริฐ เขาร้ายเราต้องดี เขาแย่เราต้องดีให้ถึงที่สุดใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นหนักแน่นหน่อยนะศิษย์เอย แล้วเมื่อไหร่ศิษย์หนักแน่นศิษย์จะพบว่าถึงที่สุดไม่มีใครดีงามสมบูรณ์พร้อม หาไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวไม่มีใครดีที่สุดและไม่มีใครแย่ที่สุด แล้วเราจะพ้นทุกข์ได้ด้วยหัวใจที่เปิดกว้างและมองเห็นธรรมมากกว่ามองแล้วเห็นกรรม เราจะอยู่เพื่อเห็นธรรมหรืออยู่เพื่อก่อกรรม ถามใจศิษย์เองนะ

(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาทชื่อเพลง “นักธรรมที่ดีดีอย่างไร” ทำนองเพลง “เพียงกระซิบ” และให้ผู้นำร้องเพลงออกมานำเพลงหน้าห้อง)

จงเป็นพลังเสียงกระบอกเสียงอันไพเราะ นำพาเวไนยให้พ้นทุกข์ด้วยเพลงของเรา ปลุกให้เขาตื่นและปลุกให้ใจเรารู้ตื่นด้วย

(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนในชั้น)

เรื่องบางเรื่องคิดมากไปก็ทุกข์ ทุกสิ่งที่เรากระทำ ไม่ว่าพูดหรือกระทำอะไรก็ตาม ล้วนเป็นการแสดงออกของจิตใจเรา เห็นอะไรที่ชอบก็เข้าหา เห็นอะไรที่ไม่ชอบก็หนีห่าง แสดงว่าใจเรามีความชอบชังอันนั้นอยู่ในใจ แสดงว่าใจของมนุษย์มีอะไรอยู่ข้างใน ถ้ามีอะไรอยู่พอเจอสิ่งที่ชอบเราก็บอกว่าชอบ เจอสิ่งที่ไม่ชอบเราก็บอกว่าไม่ชอบ เจอสิ่งที่ถูกใจเราก็บอกว่าเป็นสุข เจอสิ่งที่ไม่ถูกใจเราก็บอกว่าเป็นทุกข์ ถ้าในใจเราไม่มีอะไรที่เรียกว่าชอบชัง อะไรจะเรียกว่าสุขอะไรจะเรียกว่าทุกข์ ก็จะไม่มีอะไรที่ทำให้เราเจ็บแค้น ไม่มีอะไรที่ทำให้ใจเราโลภ โกรธ หลง แปลว่าต้องไม่มีทั้งข้างนอกและข้างใน เมื่อข้างในไม่มี เห็นอะไรมันก็ไม่รู้สึก ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ตัดสิน เทียบง่ายๆ สมมติว่าอาจารย์เคยกินเหล้า เคยสูบบุหรี่ แม้อาจารย์ไม่เห็นเหล้าไม่เห็นบุหรี่ อาจารย์ก็ยังอยากดื่มอยากสูบอยู่ เพราะมันติดในรสเหล้าบุหรี่อยู่ ถึงแม้จะไม่เห็นเหล้าบุหรี่ ใจมันก็ยังใฝ่หาเหล้าบุหรี่ แม้จะหนีปรากฏการณ์ทั้งมวล พยายามไม่เจอเหล้าบุหรี่ แต่ถ้าใจมันยังชอบอยู่ เราก็จะเดินไปหาเหล้าบุหรี่จนได้

ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าสมมติว่าใจของอาจารย์ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสุข ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าดี ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าแย่ อะไรจะทำให้อาจารย์ทุกข์ อะไรจะทำให้อาจารย์รู้สึกแย่และเกลียด ฉะนั้นจึงมีคำพูดกล่าวไว้ว่า มนุษย์พยายามแก้กิเลส หนีกิเลส วิ่งให้พ้นกิเลส แต่มนุษย์ลืมกิเลสที่อยู่ในใจ มนุษย์พยายามหนีให้พ้นความวุ่นวาย หนีให้พ้นตัวปัญหา แต่มนุษย์ลืมว่าต้นเหตุของปัญหาอยู่ที่ใจ ศิษย์มัวแต่แก้กิเลสแต่ลืมแก้ต้นเหตุที่สร้างกิเลส พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า โลภโกรธหลงสุขทุกข์แท้จริงไม่เคยมีตัวตน แต่กลับมีตัวตนเพราะมนุษย์ยึดติดใจ มนุษย์พยายามแก้โลภโกรธหลง ความยึดติดทิฐิ ความเกียจคร้าน แต่มนุษย์ลืมแก้ต้นเหตุ ฉะนั้นศิษย์จะไปด่าเขา ไปเปลี่ยนเขาไม่มีประโยชน์ ถ้าเหล้าไม่อยู่ในใจ เห็นก็ไม่อยากกิน ถ้าความเกลียดไม่อยู่ในใจ คนน่าเกลียดขนาดไหนเราก็ไม่เกลียด ถึงเขาจะน่ารักขนาดไหน เราไม่รู้ความรักคืออะไรเราก็จะไม่รัก ฉะนั้นถ้าอยากจะแก้ปัญหาทั้งมวล ไม่ใช่พยายามหนีเหตุการณ์แต่ลืมหลีกหนีใจ ไม่ใช่พยายามแก้คนอื่นแต่ลืมแก้ที่ต้นเหตุที่จิตใจ

มีคำกล่าวคำหนึ่งว่า ในตัวของเราประกอบไปด้วยกายกับใจ กายหนีไม่พ้นกฎแห่งกรรม หนีไม่พ้นกฎของไตรลักษณ์ ที่จะต้องเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป พระพุทธกล่าวว่าแท้จริงใจหรือจิตเดิมแท้ไม่มีตัวตน ไม่ต้องการเจ้าของ และพ้นจากกฎของไตรลักษณ์มานานแล้ว เพราะจิตหรือใจแท้จริงเป็นของว่าง เป็นสภาวะธรรมที่ว่าง แต่มนุษย์ไม่ชอบใจว่างๆ จึงพยายามยัดเยียดความเป็นตัวตนให้มียัดเยียดอารมณ์ให้ตัวเองมี แล้วก็บอกว่าตัวเองเป็นคนนิสัยอย่างนั้น ชอบแบบนี้ ไม่ชอบแบบนี้ เมื่อชอบแบบนี้ ไม่ชอบแบบนี้ ก็เลยก่อเกิดเป็นสิ่งที่เรียกว่าทุกข์สุขหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กรรมดี กรรมชั่ว แล้วก็สนองกรรมตัวเองก่อเกิดเป็นวิบากกรรมและเรียกว่าวัฏสงสาร และเราก็ต้องมานั่งแก้เหตุด้วยการสร้างบุญ สร้างคุณธรรม สร้างความดีเพื่อที่จะได้พ้นจากเหตุแห่งกรรมใช่หรือเปล่า ฉะนั้นจึงบอกว่าใจของมนุษย์จริงๆ ว่าง แต่มนุษย์ไม่ชอบความว่าง จึงพยายามมีอารมณ์มาสนองใจ และชอบยึดติดอารมณ์ เอาอารมณ์เป็นปัจจัยสำคัญที่เรียกว่าใจของตัวเอง อารมณ์ใดเป็นใหญ่ อารมณ์นั้นเป็นนายของกาย อารมณ์ใดที่มาบ่อยแล้วเราติดใจ เราพอใจ เราชอบใจก็จะสั่งสมจนฝังแน่นในใจจนก่อเกิดเป็นตัวตน แล้วใจก็มีอำนาจอยู่อย่างหนึ่งคือชอบสะสมสิ่งที่ชอบ อารมณ์ก่อเกิดเป็นกรรมที่สะสมในใจ ฉะนั้นการที่เราทำอะไรก็ได้ที่เราพอใจ ทำอะไรก็ได้ที่สนองใจ ทำอะไรก็ได้ที่ถูกใจ นั่นคือการพยายามสะสมให้ใจมันมีกรรม มีความเป็นตัวตน มีที่อยู่ เมื่อมีที่อยู่จึงง่ายที่จะถูกกระทบ จึงง่ายที่กิเลสจะมาเกาะติด เมื่อกิเลสมาเกาะติดก็เกิดเป็นวิบากกรรม แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์หันกลับไปมองแล้วไม่ยึดติดอะไร ไม่เกลียดอะไร ใจเราว่างๆ อะไรจะทุกข์ อะไรจะสุข มีไหม

ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกว่าใจไม่ใช่มีไว้เพื่อยึดดี ใจไม่ใช่มีไว้เพื่อต้องเป็นคนดี แต่ใจเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า กระทบได้ กระเพื่อมได้ แล้วมันก็กลับมานิ่งได้ แต่ด้วยความที่ไม่รู้ มนุษย์จึงบอกว่าฉันก็คือสังขาร สังขารก็คือฉัน รูปก็คือตัวฉัน ฉันก็คือตัวรูป รูปฉันเป็นอย่างไรก็เป็นไปตามอารมณ์ที่ฉันยึดติด จนพระพุทธะย้อนกลับมาถามว่า รูปที่ศิษย์ยึดติดมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ แล้วมันควรไหมที่จะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา (ไม่ควร) เมื่อไม่ควรแล้วอะไรคือของเรา ฉะนั้นสังขารจึงหนีไม่พ้นกฎแห่งไตรลักษณ์ที่เรียกว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่จิตเดิมแท้ว่างเปล่าอยู่แล้ว แต่มนุษย์ไม่เคยกลับไปสู่ความว่าง มนุษย์กลับชอบเอาความเป็นตัวตนใส่เข้าไปในใจ แล้วก็บอกว่าใจหนูชอบแบบนั้น ใจผมติดแบบนี้ แล้วก็เกิดเป็นวิบากกรรมที่เรียกว่า ทุกข์สุขดีร้าย พุทธะจึงสอนไว้ว่า พยายามอย่ามีใจมาก ให้กลับไปสู่ทางสายกลาง แล้วก็มองให้ชัดว่าจริงๆ แล้วไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรร้าย ทุกสิ่งถึงที่สุดล้วนคงอยู่เพียงชั่วคราว แล้วที่สุดก็ว่างเปล่า ถ้าเวลามีอะไรเกิดขึ้นกับใจแล้วเรารู้ทันความคิด เราจะไม่ทุกข์เพราะความคิด แต่ถ้าเมื่อไรความคิดเกิดแล้วเรารู้ไม่ทัน เมื่อนั้นเราจะทุกข์จากความคิด

หลังจากที่ศิษย์ฟังสามวันนี้ขอให้เป็นนักปฏิบัติธรรม อยู่เพื่อปฏิบัติธรรม อยู่เพื่อให้ธรรม ไม่ใช่อยู่เพื่อสนองกิเลสแล้วก่อเกิดเป็นเวรกรรมดีไหม (ดี) สิ่งใดที่ทำแล้วก่อเกิดเป็นธรรมจงทำ อาจารย์พูดไม่ใช่เรื่องยากแต่ปฏิบัติยากไหม ขอเพียงมีความเพียรและตั้งใจ เอากลับไปพิจารณาต่อนะ

(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “นักธรรมที่ดี”)

เพลงเพราะก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าศิษย์ไม่ได้เอาไปย้อนใช้ ไม่ได้เอาไปหยั่งรู้ให้เห็นแท้ความจริงในใจตนเอง การฝึกฝนบำเพ็ญธรรม สิ่งที่น่ากลัวจึงไม่ได้อยู่ที่โลภ โกรธ หลง แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ รู้เท่าทันใจตัวเองไหม เพราะโลภ โกรธ หลง แท้จริงมันไม่มีตัวตน แต่มันมีตัวตนเพราะเรายึดติด เพราะชอบมัน ฉะนั้นเรากำจัดมันได้ เราอย่ามัวแต่กำจัดกิเลสจนลืมกำจัดที่อยู่ของกิเลส ให้มันตั้งอยู่นานแล้วเมื่อไรจะเอามันออกไปจากใจ มีใครบ้างไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง โลภ โกรธ หลง มันไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่มองไม่เห็นชัด แล้วก่อเกิดเป็นความโลภ ใจที่มองไม่เห็นโลกกระจ่าง จึงก่อเกิดเป็นความหลง เงินมันแค่ต้องใช้แต่บางครั้งมันก็ไม่ต้องใช้เงินในทุกเรื่อง อย่างน้อยเงินก็ซื้อความสุขและความพ้นทุกข์ไม่ได้ แต่ถ้าหลงเงินมันจะทำให้ศิษย์ต้องเวียนว่ายแล้วทุกข์ไม่จบสิ้น ถ้าใช้เงินอย่างขาดศีลขาดธรรม

เมื่อเวลาใดที่ไม่มีตัวเรา เวลานั้นจะเป็นเวลาที่มีความสุข เมื่อเวลาใดที่เราว่างจากความยึดถือในตัวเรา เมื่อนั้นจะเป็นเวลาที่ว่างจากความทุกข์ แต่มนุษย์ไม่ใช่ สิ่งนี้ก็ของฉัน สิ่งนั้นก็ของฉัน เมื่อยึดติดจึงหนีไม่พ้นทุกข์ ฉะนั้นเราจะยึดจนทุกข์หรือเรียนรู้แล้วไม่ยึด ยืมใช้แล้วปล่อยวางหรือยืมใช้แล้วหน่วงเหนี่ยวไว้เป็นของเราตลอดเวลา

เมื่อใดที่มนุษย์อยู่ในโลกแล้วไม่พยายามควบคุมทุกสิ่งให้ต้องเป็นดั่งใจฉัน ปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามธรรมชาติของตัวเอง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ แม้ตัวเองจะเป็นผู้ให้กำเนิดสิ่งใดก็ตามก็จะไม่ยึดติด แม้จะบำรุงเลี้ยงร่างกายหรือบำรุงเลี้ยงใครก็ตามก็จะไม่เห็นแก่ตน ไม่หวังผลประโยชน์ส่วนตน มีแต่ความดีเพื่อให้และให้ เมื่อนั้นความดีของศิษย์อันนั้นจะเป็นความดีที่แท้จริงและไม่มีวันเลือนไปจากโลกใบนี้ แต่ศิษย์ของอาจารย์ สิ่งนั้นฉันก็จะคุม สิ่งนี้ฉันก็จะหวัง สิ่งนั้นฉันก็จะเอา สิ่งนี้ฉันก็ต้องได้ เลี้ยงมาแล้วมันต้องได้ดั่งใจ ดูแลมาแล้วมันต้องดีใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ถามหน่อยสังขารดีได้ดั่งใจไหม นิสัยดีได้ดั่งใจไหม แม้แต่ตัวเองยังคุมไม่ได้ทำไมยังคิดจะไปคุมคนอื่น แปลกจริงที่ไหนอร่อยรู้หมด ที่ไหนสนุกรู้หมด ที่ไหนน่ารื่นรมย์รู้หมด แต่มีอยู่ที่ใจที่เดียวที่ทำอย่างไรให้ดีที่สุดและสงบที่สุดไม่เคยรู้ ใช่ไหม

คนเราเจ็บแล้วอย่าเจ็บซ้ำในเรื่องเดิมๆ ถ้าเจ็บซ้ำในเรื่องเดิมๆ แปลว่าไม่ฉลาด แต่มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบนั้น รู้ว่าโมโหไม่ดีก็ยังโมโหแล้วโมโหอีก รู้ว่าโลภแล้วทำให้ผิดศีลขาดธรรมก็ยังโลภอีก แล้วถึงที่สุดก็หนีไม่พ้นอบายภูมิและวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย

(ไม่คาดหวัง) ถ้าอยู่ในโลกอย่างไม่คาดหวังเราก็จะไม่ผิดหวัง ปล่อยวางความคิดได้ ยอมรับในทุกสิ่งด้วยจิตใจที่กล้าหาญ

(ฝึกการให้ ฝึกให้คนอื่นก่อน) ฝึกให้มากกว่าเอา

(มีศีลธรรมป้องกัน) ศีลคือตัวป้องกันใจ คุณธรรมคือตัวป้องกันกายที่จะไปกระทบผู้อื่น เพราะฉะนั้นมีแต่ศีลแต่ขาดธรรมก็ไม่ได้ คุณธรรมในการอยู่ร่วมกันคือหัวใจที่มีความเมตตา

(ไม่โกรธไม่โลภไม่หลง) ทำได้หรือ อาจารย์ขอแค่อย่างเดียว ทำอย่างไรให้ตลอดชีวิตไม่โกรธเลย (ใครว่าอะไรก็ไม่โกรธ) ใครเอาอะไรไปก็ (ไม่โกรธ) ใครเอาสามีไปก็ (ไม่โกรธ) ใครทำร้ายลูกเราก็ (ไม่โกรธ) ใครทำร้ายเราก็ (ไม่โกรธ) ทำได้อย่างนี้ก็ดีนะศิษย์เอย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุผลและเหตุปัจจัย ถ้าทำแล้วสิ้นเวรสิ้นกรรมปลดปล่อยวางได้บางทีเราก็ต้องยอม เคืองแค้นไป โกรธไปก็มีแต่เจ็บ

(ต้องชนะใจตนเอง) (คิดดีทำดี ไม่หวังโลภจากคนอื่น) แล้วอย่าลืมละชั่วด้วยนะ (ขัดจิตให้สว่างสงบจะได้มีธรรม ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง) เอาอะไรขัดดีศิษย์ (เอาใจ) เอาใจขัดกับใจใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเจออะไรที่ขัดใจก็ต้องขอบคุณ และถ้าเจออะไรที่ถูกใจก็ต้องเอามาขัดใจด้วย ถ้าเจออะไรถูกใจแล้วดีใจ แบบนี้เรียกว่าไม่ได้ขัดใจ ถ้าอยากขัดใจง่ายๆ ทำใจให้ว่าง ไม่มีคำว่าตัวตนอยู่ในใจถูกไหม (ไม่ยึดติดแล้วปล่อยวาง) ถึงเวลายึดติดไหม เงินก็ไม่ยึดใช่ไหม สามีก็ไม่ยึดใช่ไหม

สิ่งที่ดีที่สุดที่ทำให้เราสามารถพ้นจากโลภ โกรธ หลง ได้ก็คือ อยู่เพียงแค่ยืมใช้ ถึงเวลาคืนเขาไป สังขารเราก็ยืมเขาใช้ ยืมธรรมชาติใช้ ถึงเวลาก็ต้องวาง เพราะธรรมชาติก็ต้องเรียกคืนกลับสู่ธรรมชาติ จึงมีคำกล่าวว่า ถ้าเมื่อใดมนุษย์ประจักษ์ชัดในหลักสัจธรรม และมีจิตตรงเที่ยงต่อ สัจธรรม เมื่อนั้นมนุษย์จะพ้นบาปพ้นบุญ และสามารถกลับคืนสู่สภาวะความว่างได้ แล้วจิตที่ตรงเที่ยงต่อสัจธรรมหรือสภาวะธรรมนั้นก็คือ จิตที่เห็นชัดต่อโลกใบนี้ว่า ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ เป็นทุกข์ ว่างเปล่าจากตัวตนที่ยึดถือ เมื่อเข้าใจและหยั่งรู้จนเห็นชัด ศิษย์จะไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง โดยที่ไม่ต้องพยายามกดใจตัวเองเลย

มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก รักษาใจเดิมแท้อันนี้ไว้ อย่าปล่อยให้ใจนี้แปดเปื้อนไป เพราะความไม่รู้และหลงผิด ตกเป็นทาส โลภ โกรธ หลง เลยนะ จิตดีงามมันมีอยู่ในใจศิษย์แล้วนะ เราอยู่เพื่อกายหรือกลับคืนสู่สภาวะธรรม เราอยู่เพื่อสนองกิเลสตัณหาหรืออยู่เพื่อตื่นรู้ในธรรม ธรรมอันแท้จริงในตัวตน ที่ทำให้เราตื่นและเบิกบาน และพ้นทุกข์ด้วยสติ

รักษาใจอันดีงามไว้นะศิษย์ อย่ายอมแพ้เพียงเพราะความโลภ โกรธ หลง ที่ศิษย์มองไม่เห็นชัด เมื่อไรที่ศิษย์เห็นชัดศิษย์จะรู้ว่า ไม่ควรเลยที่จะเอาชีวิตทั้งชีวิต ไปพลาดผิดเพราะความโลภ โกรธ หลง และทิ้งปัญญาอันดีงาม ปัญญาที่ทำให้ศิษย์ตื่นรู้และพ้นทุกข์น่าเสียดายนะ มีโอกาสกลับมาศึกษาอีกนะ เข้มแข็งนะไม่ว่าเจอเรื่องอะไร

มุ่งมั่นให้ถึงที่สุดนะศิษย์เอย ถ้าฉุดศิษย์พ้นทุกข์ได้ เวลานี้อาจารย์ก็อยากจะดึงให้พ้นทุกข์ รู้จักสร้างบุญสร้างกุศล มีศีลธรรมคุ้มครองชีวิตและจิตใจ อย่าดูเบาคุณค่าตัวเอง มุ่งมั่นไปให้ถึงที่สุด บำเพ็ญธรรมอุทิศเสียสละช่วยเหลือผู้อื่นให้ตื่นรู้และพ้นทุกข์ไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงมุ่งมั่นก้าวเดิน

สังขารเป็นอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญคือจิตใจต้องเข้มแข็ง ความเจ็บปวดเป็นเรื่องของสังขาร แต่จิตใจเข้มแข็งและตื่นรู้ เรามุ่งมั่นทำให้ถึง ไปให้สุดกำลังเท่าที่ตัวเองจะทำได้ อย่าหลงกับโลก อย่าให้เสียชื่อที่เป็นศิษย์ของอาจารย์ ทำให้อาจารย์ภูมิใจ ให้อาจารย์มั่นใจ ทำให้อาจารย์เชื่อใจว่าศิษย์จะไปให้ถึง เดินจนถึงที่สุด แม้กายจะเจ็บ แต่ใจจะหนักแน่นมั่นคง แม้กายจะสูญสลาย แต่หัวใจแห่งความเป็นพุทธะยังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง สังขารเจ็บเป็นทุกข์เป็นธรรมดา แต่จิตเราพ้นทุกข์ได้ด้วยความตื่นรู้

อาจารย์ให้กำลังใจศิษย์นะ หัวใจที่ดีงามจะมีอยู่ในใจศิษย์ตลอดไป หัวใจแห่งความมั่นคงและงดงามจงคงอยู่ต่อไป อย่าแพ้ใจตัวเองนะ เข้มแข็งนะ มีโอกาสกลับมาอีกนะศิษย์ กลับมาร่วมเดินหนทางที่ศิษย์เคยทอดทิ้งไปนาน หนทางที่นำพาให้เราพ้นทุกข์และนำพาให้ผู้คนพ้นทุกข์ ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป ในจิตที่ตื่นรู้ในธรรมนะศิษย์

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “นักธรรมที่ดี”

การจะคิดออก ออกเหมือนนักธรรม มีธรรมะกันแบบประจำ บางสิ่งอันสำคัญนึกออก ธรรมะแทรกอยู่ในทุกตอน ดึงธรรมะที่ไม่อาจสอน มาส่งออกไป

ชนะใจตนเอง กิเลสแพ้ทางคุณธรรม ลดละกายกรรมต่อกันไว้ พิชิตไฟอารมณ์ที่หมักหมมมานานเกินไป ฝึกจนไร้จนว่างไป

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2559

2559-12-24 สถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา

#อุปาทาน  #อริยทรัพย์  #ปฏิจจสมุปบาท


西元二○一六年歲次丙申十一月廿七日                     仙佛慈悲訓
วันอาทิตย์ที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙           สถานธรรมจินเอวี๋ยน  จ.นครราชสีมา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ผู้บำเพ็ญมีธรรมอยู่ทุกขณะ             รู้ลดละกิเลสอยู่ทุกเมื่อ
ไขหลักจิตที่เป็นมากกว่าความเชื่อ       ทุกหยาดเหงื่อเลือดชีวิตล้วนเพื่อธรรม         เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่แดนโลก เเฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                            ถามศิษย์รักทุกคนรอนานไหม

  สรรพสิ่งเกิดเพื่อดับอยู่ทุกเมื่อ          ชีวิตเพื่อจบหรือเริ่มรู้บ้างไหม
ยามไม่มีก็อยากมีอยากได้                มีอะไรใครบ้างรู้ถึงความจริง
ชีวิตที่แท้จริงแปรไปทุกเมื่อ              เลิกเบื่อชีวิตย่อมผันทุกข์เพื่อทิ้ง
การติดดีนำใจจะช่วงชิง                  กว่ารู้เหตุหนุนตามสิ่งมากระทบ
ที่คิดอยู่เพื่อยึดหรือเพื่อปลง              ที่คิดปลงปลงหรือว่าถูกสยบ
ตรวจสอบใจจนรู้จะเริ่มสงบ             อย่าหมุนวัฏจักรวุ่นวายหลบในหัวใจ
สับสนต่อหรือหยุดลงตรงนี้ดี             หยุดใจตนที่ตรงนี้ไม่สลาย
รู้หรือไม่ใดกิเลสเหตุเภทภัย              อย่าให้ครอบงำสักขณะก่อนเลย
มีก็รู้เกิดก็ละก็ดับ                         ประดุจจับทุกข์ได้ละครองวางเฉย
ทุกสมัยทุกหนแห่งธรรมไม่เชย           บำเพ็ญเผยสติคุมปัญญานำตนเอง
อยากรอดพ้นพินิจในจิตตนนี้             มหานทีรูปนามแจ้งชัดคือเร่ง
เมื่อแจ้งสัจธรรมสุขทันทีมีเอง            ทุกข์ข่มเหงอย่างไหนไม่ทุกข์จนตาย
เพื่อรู้จีรังทุกข์ยังแค่ทางผ่าน             เพื่อหลุดพ้นตนทันการณ์กระชากไหม
จะรอทุกข์วางวายหามีไม่                ต้องบำเพ็ญกายใจจนตราบสิ้นกรรม                                  

ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

รู้สึกเวลาผ่านไปนานไหม มีความสุขเวลาก็ผ่านไป (เร็ว) ไม่มีความสุขเวลาก็ผ่านไป (ช้า) อย่างนั้นเวลาที่ช้าหรือเร็ว เพราะอะไรหรือ (เพราะเรา)  เพราะเวลาหรือเพราะใจเรา มีความสุขเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว โทษเวลาหรือโทษใจดี โทษใจใช่หรือไม่ อ่านตัวเองออก บอกตัวเองได้ ก็จะสามารถรู้ว่าชีวิตดีหรือร้าย ได้หรือเสีย สุขหรือทุกข์ แท้จริงแล้วบางทีไม่ได้อยู่ที่เหตุปัจจัย แต่อยู่ที่ใจของตัวเราเองรู้สึกเช่นไรต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ถ้ารู้สึกดีเวลาก็ไวเหลือเกิน แต่ถ้ารู้สึกไม่ดีเวลาก็ช้า แล้วเราโทษเวลาหรือโทษใจ โทษคนพูด โทษคนที่เรียกให้มาฟังธรรมได้ไหม นั่งตรงนี้แล้วลำบากไหม สบายไหม จะนั่งต่ออีกหนึ่งวันไหวไหม ถามหน่อยนะ บางครั้งที่เรารู้สึกดี บางครั้งที่เรารู้สึกแย่ ใช่หรือไม่ใช่ที่คนเขาทำให้เราเป็นอย่างนั้น หรือเป็นเพราะใจเราเอง (ตัวเราเอง) แต่ถึงเวลาเราโทษใคร (คนอื่น)  เหมือนกัน เหมือนเวลาถ้าเรารู้สึกดี เวลาก็ผ่านไปไว ใช่เวลาเดินไวไหม เวลาก็ยังคงเดินตามปกติ แต่ใจของเราต่างหากที่ไม่ปกติจึงทำให้เวลามีไวมีช้า คนมีดีมีร้าย แต่จริงๆ ถ้าเรามองอย่างไม่รู้สึกว่า มีใครดี ใครร้าย แต่พอเรารู้สึกปุ๊บ รู้จักคิดว่า เขาน่ารังเกียจหรือเราไม่ชอบ เขาน่ารำคาญหรือใจเราไม่รู้จักอดทนอดกลั้น
ฉะนั้นก่อนที่จะโทษเหตุปัจจัย ถ้าใจเราสงบนิ่ง ไม่รู้สึกอะไร เหตุปัจจัยจะดึงเราให้ดีร้ายได้เสียไหม ถ้าเรารู้สึกดีใครพูดอะไรก็ดี แต่ถ้าเรารู้สึกแย่แม้เขาชมเราก็รู้สึกแย่ เพราะอะไร (เพราะใจเรา) แถมว่าเขากลับว่าไม่จริงใจ ฉะนั้นนั่งฟังธรรมะจะดีหรือไม่ดี ยากหรือง่ายมันไม่ได้อยู่ที่คนพูด ไม่ได้อยู่ที่คนชวนมา แต่อยู่ที่ใจของเรา ชอบหรือไม่ชอบ รู้สึกหรือไม่รู้สึก ใช่หรือไม่
มีอะไรที่แย่ที่สุดไหม และมีอะไรที่ดีที่สุดไหม มีดีก็ยังมีดีกว่า มีแย่ก็ยังมีแย่กว่า ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจเราไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าอะไรดีที่สุด อะไรแย่ที่สุด สิ่งที่เราบอกว่าเลวร้ายแท้จริงแล้วอาจจะไม่เลวร้ายก็ได้ สิ่งที่เราบอกว่าดีที่สุดนั้นดีที่สุดแล้วหรือ ก็ยังไม่ดีที่สุด ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ถ้าเราเอาใจแห่งความเป็นคนไปวัด เอาสายตาแห่งความคิดความรู้สึกของตนเป็นพื้นฐานในการมองสรรพสิ่ง เราจะไม่มีวันพบความจริงสักชั่วขณะหนึ่งได้เลย จริงไหม (จริง) เพราะมนุษย์ชอบเอาความคิด ความรู้สึก ความเข้าใจ ไปมอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเราเอาธรรมไปมอง อะไรดีที่สุด อะไรแย่ที่สุด มีไหม เมื่อไม่มีอะไรดีที่สุด ไม่มีอะไรแย่ที่สุด อะไรที่เราจะเกลียด อะไรที่เราจะโกรธ อะไรที่เราจะหลงรัก กิเลสก็หายไปทันที ความทุกข์ก็ไม่มี แล้วเราจะดับตรงไหน มันก็จบทันทีเลยจริงไหม (จริง) ฉะนั้นตอนนี้ที่ชีวิตยุ่งยากเพราะอะไร เพราะใจเอาแต่ติดยึดความรู้สึก ความเข้าใจ ความคิดโดยไม่มองความจริง ฉะนั้นผู้เข้าถึงธรรม จึงถือธรรมเป็นชีวิตและจิตใจ และดำเนินชีวิตตามธรรม ฉะนั้นธรรมคืออมตะ ธรรมคือชีวิต ชีวิตจึงอยู่เพื่อธรรม นี่คือหนทางการบำเพ็ญ ยากไหม (ไม่ยาก) ให้ท่านทำอะไรวุ่นวายไหม (ไม่) แค่ให้รู้จักมองตามความจริง กลับได้แล้วนะ ได้ไหม ก็จบแล้ว ต้องอะไรมากมายใช่ไหม เมื่องิ้วหมดลง งิ้วก็ต้องลงโรง ใช่หรือเปล่า ศิษย์มักจะคิดว่าอาจารย์มาแสดงละครให้ดูใช่ไหม
ธรรมชาติของมนุษย์ก็มีใจเหมือนๆ กัน ฉะนั้นถ้าเราอ่านใจตัวเองออกทำไมเราจะอ่านใจคนอื่นไม่ออก ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าเรารู้ใจตัวเองเรื่องใด ทำไมเราจะมองผู้อื่นได้ไม่ชัด แต่คนในโลกนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น ชอบรู้ใจคนอื่นแต่ไม่ชอบรู้ใจตัวเอง ชอบเอาแต่ไปมองคนอื่นจนลืมมองตัวเอง จริงหรือไม่ (จริง)
ถ้าตอนนี้อาจารย์บอกให้ยืนขึ้นก็ (ยืน) ถ้าอาจารย์บอกให้นั่งก็ (นั่ง)  ศิษย์อาจารย์เป็นคนว่านอนสอนง่ายจริงๆ นะ ชีวิตจริงเป็นอย่างนี้หรือ ว่าซ้ายไป (ขวา) ว่าขวาไป (ซ้าย) ให้เดินหน้ากลับ (ถอยหลัง) ให้หยุดกลับ (เดิน) จริงไหม (จริง) อาจารย์ถามหน่อยนะว่า การตามใจคนอื่นบ้าง บางทีมันง่ายกว่าการขัดใจคนอื่น จริงไหม (จริง)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นทำตามคำบอก คือ ยืนขึ้นและนั่งลง มีนักเรียนท่านหนึ่งยืนโดยไม่ยอมนั่งลง)
มีความทุกข์อะไรหรือ (ทุกข์ใจ) แล้วอยากให้อาจารย์ช่วยใช่ไหม ใจเย็นๆ คนทุกคนในโลกก็ทุกข์กันทั้งนั้น ถามสิ มีใครบ้างไม่ทุกข์ ใช่หรือเปล่า (ใช่) บางครั้งเราอยู่ในโลกนี้ มันก็มีทั้งเรื่องยากและเรื่องง่าย (ใช่) แต่บางครั้ง อยู่ในโลกนี้ อดทนได้ ชีวิตก็สงบไปตั้งเยอะ ใช่หรือไม่ (ใช่) วางได้ ชีวิตก็เป็นสุขไปตั้งเยอะ แต่บางทีความไม่อดทนในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ การไม่ยอมวางในสิ่งที่ควรวาง ก็ทำให้ชีวิตง่ายๆ กลายเป็นชีวิตที่ยากในทันที จริงหรือไม่ (จริง) เหมือนศิษย์ถามในใจว่า ทำไมหนูต้องยอม ทำไมหนูต้องอดทน ก็เขาเป็นแบบนั้น แล้วทำไมหนูต้องยอมเขาก่อน ทำไมหนูต้องทนเขา มันเหนื่อยนะอาจารย์ จริงไหม (จริง) ใช่ อาจารย์เข้าใจ แต่ศิษย์เอ๋ย มีสิ่งหนึ่งที่มากกว่า ถ้าศิษย์เข้าใจแล้วศิษย์จะรู้เลยว่า ทำไมเกิดเป็นคนต้องรู้จักอดทนอดกลั้น การยอมดีกว่าการสู้และรบชนะ การแพ้แล้วถอยเป็นและการชนะใจตัวเอง จะดีกว่าการจองเวรจองกรรม
อาจารย์ถามง่ายๆ ศิษย์อยากพบคนที่ศิษย์เกลียดหน้าไหม (ไม่อยาก) แล้วจำสำนวนไทยได้ไหมว่า ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ อย่างนั้นเปลี่ยนจากเกลียดเป็นรัก ดีไหม แล้วศิษย์ได้ยินอีกสำนวนหนึ่งไหม ผีเห็นผี ฉะนั้นเกลียดคนแบบไหน เราก็เป็นแบบนั้น อาจารย์พูดตามหลักธรรมหลักความจริง ถูกไหม (ถูก) ทำไมเดินไปรอบโลกแล้ว คิดว่าจะหนีเขาพ้น กลับพบคนแบบนี้อีกแล้ว เกลียดจริงๆ ใช่ไหม (ใช่) เพราะอะไรจึงพบแบบนี้ ก็เพราะว่าใจของศิษย์นั้นจดจ่อ ศิษย์เอ๋ย มีอะไรตั้งหลายอย่าง มีอะไรให้มองกลับไม่มอง แต่ไปมองสิ่งที่ตัวเองเกลียด แล้วสิ่งที่ดีๆ มีให้เห็น แต่กลับมักเห็นแต่สิ่งที่เกลียด ฉะนั้นผีก็เห็นผี เกลียดแบบไหนก็เจอแบบนั้น แปลว่าในใจเรามีแบบนั้นอยู่ ถูกหรือเปล่า (ถูก) เหมือนดั่งว่า กระจกสะท้อนเงา แล้วเราไปด่าว่ากระจกบ้า อย่างนี้ถูกไหม (ไม่ถูก) แล้วคนอื่นเขาสะท้อนความเป็นตัวเรา แล้วเราก็ไปด่าเขาว่า บ้า อย่างนี้จริงๆ แล้วใครบ้า (เราบ้า) ใช่หรือไม่ (ใช่) เราทำเช่นไร ผลก็สะท้อนมาเป็นเช่นนั้น
อาจารย์อยากบอกวิชาให้ศิษย์ ซึ่งวิชานี้ถ้าเอาไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกี่ภพกี่ชาติ ก็จะตามศิษย์ไปทุกภพทุกชาติ และวิชานี้จะทำให้ศิษย์ไม่มีวันตกต่ำ ไม่มีอับจน วิชานี้ศิษย์ไม่คิดจะเรียนกันบ้างหรือ เรียนเป็นแม่ค้าตายไปก็ต้องกลับมาเรียนการเป็นแม่ค้าใหม่จริงไหม เรียนเป็นครู เรียนเป็นอาจารย์ เรียนเป็นหมอ เป็นนักธุรกิจ ตายไปแล้วเอาไปได้ไหม (ไม่ได้) เงินนี้หาจากธุรกิจ หาจากการเป็นหมอ หาจากการเป็นอาจารย์ เป็นครู นำไปได้ไหม ติดไปทุกภพทุกชาติไหม แต่มีวิชาหนึ่งตายไปแล้ว หรือแม้แต่ก่อนตายจะทำให้ตัดภพตัดชาติ สิ้นเวรสิ้นกรรม สิ้นทุกข์ แม้เกิดกี่ชาติก็ไม่มีวันอับจน ทำให้เราได้ดี คิดดี มีสุข วิชาแบบนี้ไม่มีใครคิดเลยนะ
ศึกษาและปฏิบัติบำเพ็ญวิชาอะไร ที่จะทำให้สิ้นทุกข์ พ้นทุกข์และตายไปเกิดใหม่กี่ภพกี่ชาติ ก็ไม่มีวันอับจน ความเข้าใจเป็นปัญญา ที่เรียกว่าปัญญาแห่งความกระจ่างแจ้งและการตื่นรู้ นั่นเรียกว่าวิชาธรรม
การศึกษาบำเพ็ญธรรมนั้นดีอย่างไร การฟังธรรมบ่อยๆ จะทำให้เราเข้าถึงปัญญาแจ่มแจ้งในชีวิต และการฟังธรรมเป็นการทำให้เราได้เพิ่มพูนปัญญา ถ้าศิษย์เป็นคนที่นับถือพุทธ ทำทานแม้ร้อยหม้อพันหม้อทั้งในโลกนี้ยันโลกหน้ายังไม่ประเสริฐเท่ากับการมีศีล 5 ข้อ การมีศีล 5 ข้อร้อยวัน ยังไม่ประเสริฐเท่ากับจิตสงบนิ่งหนึ่งวัน จิตสงบนิ่งเท่าช้างกระดิกหู แค่เขาทำอะไรแล้วจิตศิษย์สงบ ไม่สร้างบาปสร้างกรรม หยุดกรรมจะเป็นสิ่งที่ประเสริฐกว่าการให้ทานเป็นร้อยหม้อ เข้าใจไหม แต่การมีจิตสงบร้อยวัน ยังไม่ประเสริฐเท่ากับมีปัญญาเห็นแจ่มแจ้งในชีวิตหนึ่งวัน เห็นไหมว่าการเข้าถึงปัญญามันประเสริฐที่สุดกว่าการให้ทาน แต่พอถึงเวลาลากดึงก็แล้ว โทรก็แล้ว มาฟังธรรมะเถอะ ก็ไม่เอา ใช่ไหม ศิษย์รู้จักแต่บุญวาสนาจากการให้ทาน แต่ศิษย์ลืมปัญญาจากการเข้าถึงธรรม และถ้ามาฟังตรงนี้ได้บุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ ได้กุศลอันประมาณค่าไม่ได้ถ้าเราเข้าใจ แต่เอาไหม (ไม่เอา) ก็เลยไม่เข้าใจใช่หรือไม่ ฉะนั้นอาจารย์มาบอกให้เข้าใจ ว่าจะเอาไม่เอาก็แล้วแต่ศิษย์ และขณะที่ฟังให้เกิดปัญญานั้นยังรู้จักอดทนอดกลั้น มีความเข้าใจ มีความเพียร มีความวิริยะก็ยังเกิดบารมี เรากลับไม่เอา
เข้าใจธรรมอะไร ที่จะทำให้เราสิ้นทุกข์ ตัดภพตัดชาติ ไม่ต้องเวียนว่ายอีก จะเกิดกี่ชาติก็ไม่ต้องอับจน ไม่ตกต่ำ (ไม่สร้างเวรสร้างกรรมต่อ) ใช่ไหม มีอะไรอีก (คุณธรรรม, ตัดกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง, ความกตัญญู, ไม่ทานเนื้อสัตว์, ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพราะเขาก็รักชีวิตเขาเหมือนกัน) อย่างนั้นยุงกัดเราจะไม่ (ตบ) มดมา แมลงสาบมาเราก็จะไม่ (ไม่ทำร้าย) เนื้อสัตว์มาเราก็จะไม่ (ไม่ทาน) ใช่แค่นี้แล้วทำให้ศิษย์เข้าถึงธรรมดับทุกข์ได้จริงไหม (ไม่)  อย่างนั้นอาจารย์ให้ศิษย์สามประโยค
บาปไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ
ทุกข์ไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด
สิ่งใดที่บุคคลยึดถือ ไม่มีโทษนั้นไม่มี
อาจารย์ถามว่า ถ้าศิษย์เข้าใจสามประโยคนี้ ศิษย์จะสร้างบาปกรรมไหม (ไม่สร้าง)  ฉะนั้นเมื่อไรที่ศิษย์อยากยึดถืออะไร เกิดอยากอะไร หนีโทษ หนีทุกข์ หนีบาป หนีกรรมได้ไหม (ไม่ได้)  แปลว่า เมื่อไรที่เราเกิดอยากมีอยากได้อะไร เรายึดไหม (ยึด)  ยึดแล้วมันจะมีโทษไหม (มี)  ยึดแล้วมีโทษ อยากแล้วมีทุกข์ไหม (มี)  แล้วอดสร้างบาปได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ต้องสร้างใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าคิดอย่างนี้ เข้าใจธรรมอย่างนี้ เราจะอยาก เราจะยึด เราจะหวังมีอะไรไหม (ไม่อยาก)  อยากไหม (ไม่อยาก)  ยึดไหม (ไม่ยึด)  มีไหม (ไม่มี)  เอาไหม (ไม่เอา)  อาจารย์ไม่ได้หลอก แต่อาจารย์พูดตามความจริง ถูกไหม แต่ถึงเวลาอยากไหม (อยาก)  มีไหม (มี)  ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ยึดไหม (ยึด)  บาปไหม (บาป)  กรรมไหม (กรรม)  แล้วศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “มนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม” ทำดีเรียกว่า (กรรมดี)  ทำชั่วเรียกว่า (กรรมชั่ว)  อย่างนั้นแปลว่ากรรมดีทำแล้ว (ขึ้นสวรรค์)  กรรมชั่วทำแล้ว (ตกนรก)  แต่หมดสวรรค์แล้วก็ต้องกลับมา (เกิดใหม่)  แล้วมันต้องเวียนไปถึงเมื่อไรล่ะ อาจารย์จะบอกว่ามีอีกอันหนึ่งที่พ้นจากกรรมดีกรรมชั่วนั่นคือ ทางสายกลาง ดีก็ไม่ยึดชั่วก็ไม่เอา ทางนี้แหละที่จะทำให้พ้นสวรรค์ พ้นนรก เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นิพพาน แล้วทำแบบไหน ก็ทำแบบที่ทำแล้วไม่มีโทษ ไม่มีทุกข์ ไม่มีบาป นั่นก็คือ (ไม่ยึด ไม่เกิด ไม่ทำ)  ถ้าเป็นอย่างนั้นวันๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  พุทธะสอนไว้แล้ว ทำอะไรตามความจริง แต่ไม่ใช่ทำอะไรตามความอยาก มีหน้าที่ก็ทำไปตามความจริงของหน้าที่ จะได้หรือไม่ได้เงิน เงินสูงหรือเงินต่ำ ก็ไม่เป็นไร นั่นแหละเรียกว่า ทำอย่างคนสายกลาง แต่มนุษย์ไม่ใช่เช่นนั้น วันตกนรกคือวันที่ 1-29 วันขึ้นสวรรค์คือวันที่ 30 ได้รับเงินเดือนออก ใช่ไหม (ใช่)  วันตกนรกคือวันทำนา ก่อนให้ข้าวมันตั้งท้อง วันที่ขึ้นสวรรค์คือวันที่ขายข้าวได้ราคาสูง ใช่ไหม ฉะนั้น ถ้าเราอยากทำแบบคนพ้นทุกข์ พ้นบาป พ้นกรรม จงทำสิ่งที่ถูกต้องที่เรียกว่า หน้าที่ ให้ดีที่สุด ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ไม่ยึดติด ดีหรือไม่ (ดี)
ศิษย์เอย ถ้าเข้าใจแค่นี้ ก็จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้จริงไหม ศิษย์ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า มนุษย์ทุกคนให้อยู่อย่างไม่อยากอะไรเลยก็คันหัวใจ ให้อยู่แบบไม่ยึดอะไรเลยก็เหงาเปล่าเปลี่ยวใจ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าให้ทำแบบอาจารย์บางทีก็ยาก ถูกไหม (ถูก)  แต่จริงๆ อาจารย์บอกว่าไม่ยากหรอก อยู่แบบคนยืมใช้ ถึงเวลาก็คืนเขาไป ทำเต็มที่ ถึงเวลาผลมันจะเป็นอย่างไรก็กล้ายอมรับความจริง เป็นเรื่องที่ไม่ยาก แต่มนุษย์ชอบทำอะไรแล้วยึด แล้วหวัง แล้วก็อดเพ้อฝันไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ในความเป็นจริง โลกนี้มีใครบ้างที่ไม่ผิดหวัง มีใครบ้างไม่อกหัก มีใครไม่เคยสูญหายบ้าง มีใครไม่เคยล้มเหลวบ้าง ยกมือขึ้น (ไม่มี)  ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามันเป็นความจริงจะกลัวอะไร ใครๆ ก็เจอ เราก็เจอบ้าง ก็แค่นั้น จริงไหม (จริง)  
มนุษย์มีนิสัยอย่างหนึ่งที่อาจารย์รู้สึกว่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็คือ มนุษย์ไม่ชอบอยู่กับความว่างเปล่า กลัวเหงากลัวไม่มี จึงต้องพยายามหาที่พึ่ง พึ่งลูกไม่ได้ก็พึ่ง (สามี)  แล้วถ้าสามีพึ่งไม่ได้ อย่างนี้ศิษย์จะพึ่งใคร (พึ่งตัวเอง)  แล้วเช็ดน้ำตาไปเท่าไรจึงจะมาพึ่งตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อยนะ บางคนบอกว่า กลัวเหงา กลัวโดดเดี่ยว ต้องมีอันนั้นอันนี้ แล้วชีวิตจึงจะสมบูรณ์แบบ ชีวิตจึงจะใช่เลย แล้วเรื่องธรรมะค่อยว่ากัน อย่างนี้ใช่ไหม (ใช่)  แล้วสิ่งที่ศิษย์บอกว่าต้องพยายามหาให้ครบ หาให้สมบูรณ์แบบ เมื่อถึงเวลาแล้วสิ่งเหล่านั้นทำให้เราพึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  ลูก สามี ภรรยา เพื่อนที่รักที่สุด ยศตำแหน่ง บ้าน ทั้งหมดนี้พึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์ก็รู้หมดทุกอย่าง แล้วยึดไหม (ยึด)  ก็จบแล้ว ไม่ต้องต่อแล้ว ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า ถ้าศิษย์รักตัวเอง เกลียดทุกข์ จงอย่าทำบาปทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เพราะในโลกนี้ ไม่มีแรงใดน่ากลัวและเสมอเท่ากับแรงกรรมที่ศิษย์ก่อ เพราะแม้ศิษย์มีน้ำตานองหน้า แล้วทำดีแค่ไหน กรรมที่ศิษย์เคยก่อ เมื่อถึงเวลาตกผล ศิษย์ก็เรียกร้องขอพระพุทธะไม่ได้ เพราะถึงเวลากรรมตกผลก็ต้องชดใช้
ฉะนั้นถ้าไม่อยากเกิดก็จงอย่ามีตัณหา เพราะตัณหาเป็นต้นทางแห่งความทุกข์ ถ้าไม่อยากรับบาป ไม่อยากรับกรรม ไม่อยากรับความชั่วก็จงอย่าทำผิด อย่าทำบาป อย่าสร้างกิเลส อย่าสร้างกรรม เพราะโลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุผล หว่านอะไรก็ได้อย่างนั้น อยากหยุดผลจงหยุดที่เหตุ มองเห็นเหตุชัด หยุดเหตุได้ ทุกข์ก็จบสิ้น แต่ถ้าศิษย์ยังหาเหตุไม่เจอ หยุดเหตุไม่ได้ ทุกข์ก็ไม่มีวันวางวาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่พุทธะอยากให้คนทำความดี เพราะการทำดีเป็นการหลีกเลี่ยงให้ตัวเองไม่ไปทำความผิด ไม่ไปทำกรรม ไม่ไปทำชั่วเพราะ ผลสุดท้ายจะกลายเป็นทุกข์เพิ่ม ฉะนั้น ถ้าศิษย์เข้าใจอย่างนี้ศิษย์จะสร้างเหตุเพิ่มไหม (ไม่สร้าง)  ดั่งคำกล่าวไว้ว่า “อนาคตเป็นอย่างไรไม่ต้องไปถามใคร ถามตัวเองว่าสร้างเหตุอะไรปรุงแต่งเป็นปัจจัยให้เราต้องรับอนาคตเช่นนั้น” ถ้าเราหยุดเหตุได้ อนาคตก็คือการชดใช้กรรมเก่าจริงไหม
ฉะนั้นต้นเหตุแห่งกรรม ต้นเหตุแห่งทุกข์มันเกิดจากอะไร ถ้าทำดีแล้วยึดติดก็เรียกว่ากรรม ถ้าทำชั่วแล้วไม่ปล่อยวางแล้วยังจดจำ จองกรรมไว้ในใจก็เรียกว่า กรรมชั่ว จองเวรจองกรรม ไม่ต้องให้ฟ้าตัดสินหรอก ใจศิษย์ทุกคนนั้นเที่ยงตรงยุติธรรมที่สุด ถามตัวเองสิว่า ความไม่ดีที่ศิษย์ทำมาตั้งแต่เด็ก นานๆ มันก็วนกลับมาว่าเมื่อไรเราจะชำระมันทิ้ง เดี๋ยวนานๆ มันก็วนกลับมาแล้ว เราเคยขโมยเงินแม่ เคยโกหกเพื่อน เคยโกหกภรรยา เคยเบียดเบียนผู้อื่น เคยโกหกมดเท็จแล้วก็วนมาตลอด แล้วเราจะทำอย่างไร เราเคยที่จะใส่ใจชำระล้างไหม หรือปล่อยให้วนอยู่อย่างนั้น แล้วกลายเป็นรากที่ฝังลึก แล้วก่อเกิดเป็นตัวตนที่กลับมาต้องใช้กรรม ถ้าความชั่วที่ศิษย์เคยทำมันกลับมา แล้วตอนนี้ศิษย์ไม่ได้ทำแล้ว เมื่อไรที่มันกลับมาตอนนั้นจงรู้จักชำระล้างด้วยจิตสำนึก ขออภัย ต่อไปจะไม่ทำแล้ว ขอบคุณที่กลับมาให้เราย้ำเตือนว่า ฉันจะไม่ทำอีกแล้ว แต่ศิษย์จำไว้อย่างหนึ่งนะว่า กรรมชั่วนั้นจะเอากรรมดีมาล้างไม่ได้ เพราะกรรมชั่วมันเหมือนกับหมึกที่เขียนลงไปในใจศิษย์ แม้ศิษย์จะหยุดเขียนแล้ว แต่รอยหมึกนั้นมันยังตรึงตราใจอยู่ จริงไหม (จริง)  และหมึกนั้นจะลบไปได้ก็ต่อเมื่อเราประจักษ์แจ้งความจริง ความจริงอะไร ถ้าวันหนึ่งที่เราต้องชดใช้ ดีใจที่ได้ใช้กรรม ถ้าวันหนึ่งเราถูกเขาโกง ขอบคุณเพราะฉันเคยโกงเขามา เมื่อวันหนึ่งเราเคยโกหกแล้ววันหนึ่งโดนเขาโกหกตลบตะแลงยิ่งกว่าที่เคยทำ จงขอบคุณ เพราะนั่นแหละกรรมมันได้สนองผล ขอบคุณ อย่าคิดเก็บไว้ในใจเด็ดขาด เพราะถ้ายิ่งเก็บมันก็คือการทำเวรให้ยืดเยื้อ จริงไหม (จริง)  เหมือนถามในใจศิษย์ทุกคน ความดีคนอื่นจำได้ไหม (ไม่ได้)  แต่ใครด่าเรามาจำได้ไหม ใครโกงเราเท่าไหร่ ยืมเงินมาไม่คืนจำได้ไหม (จำได้)  ลืมไหม (ไม่ลืม)  ฉะนั้นศิษย์จะบอกอาจารย์ว่า ตายแล้วก็จบกัน นั่นไม่จริง ถ้ายังมีพรุ่งนี้ ยังจำได้ มันไม่จบหรอก จริงไหม (จริง)  เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)
แต่มันยาก ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์บอกว่า “อาจารย์ ศิษย์อดไม่ได้ ยังอยากอีกนิดๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใครดีศิษย์ก็อดมองและชอบไม่ได้ ส่วนใครไม่ดีศิษย์ก็อดหมั่นไส้และเกลียดไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ถามว่าลึกๆ ทุกคนรู้จักผิดชอบชั่วดีไหม รู้จักเมตตาธรรมในใจไหม (รู้จัก)  ฉะนั้น แม้ศิษย์จะบอกว่าถึงศิษย์ยังมีความหลงอยู่บ้าง แต่ว่าศิษย์ก็ยังมีความดีในใจนะ ขอศิษย์โลภเยอะๆ ไปก่อน เดี๋ยวศิษย์ค่อยไปทำบุญกับอีกคนหนึ่ง จะสามารถชดใช้ได้ไหม (ไม่ได้)  เดี๋ยวสวดแผ่บุญกุศลไปให้ ทำแบบนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์ไปกดขี่ขมเหงคนนี้ แต่ไปเมตตาหรือทำบุญกับอีกคน สามารถชดใช้กันได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่ได้นะ ใช่ไหม อย่างนั้นเราควรที่จะหยุดสร้างความเลวร้าย แม้ไม่สร้างความดี เขาก็ยังเรียกเราว่าคนดี จริงไหม (จริง)  ดีกว่าอีกคนหนึ่งที่มือถือสากปากถือศีล แล้วศิษย์ของอาจารย์เป็นอย่างนั้นไหม ฉะนั้นไม่สร้างกิเลส ยังไม่ต้องทำดีเลยนะศิษย์ ศิษย์ก็ดีขึ้นเองโดยไม่ต้องทำความดี จริงไหม (จริง)  
แต่คนปัจจุบันนี้ดีก็ทำ ชั่วก็สร้าง กิเลสก็งก เหมือนกับที่ศิษย์ชอบบอกว่า อาจารย์คนเราก็ต้องมีเกลียดบ้าง มีด่าบ้าง มีชิงชังบ้าง ใช่ไหม แล้วอาจารย์ถามหน่อย เวลาจิตมันฝักใฝ่ตรงนี้มากๆ ศิษย์มีเมตตาจิตไหม ศิษย์ก็บอกว่า “มีนะอาจารย์ แต่คนนี้ขอเว้นไว้หน่อย” ศิษย์ไปทำเขาเต็มที่แล้วบอกว่า “สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์...” อาจารย์บอกว่าศิษย์ไม่ต้องสัพเพสัตตา แต่ศิษย์จงรู้จักทำทานกับทุกคน ทำบุญกับทุกคน ดีกว่าศิษย์ไปทำบุญไว้ที่วัด แต่ทำบาปไว้ที่โลก เมื่อกรรมมาทวงถามกรรมก็เลยมาเต็มที่ สู้ศิษย์ไม่สร้างบาปเลยไม่ดีกว่าหรือ จริงไหม บาปให้ผลเป็นทุกข์ ศิษย์อยากหนีทุกข์ จงอย่าสร้างบาป แล้วบาปเกิดจากอะไร เกิดจาก โลภ โกรธ หลง เห็นแก่ตัว อิจฉาริษยา เอาแต่ได้ไม่คำนึงถึงใคร ผู้ที่เข้าถึงความจริงแห่งธรรม ท่านจะมีจิตหลุดพ้นจากความเห็นแก่ตัว และสามารถทำดีที่ยิ่งใหญ่ โดยมีแต่ให้ไม่หวังเอา เพราะเข้าใจคุณค่าของการให้มากกว่าการมี เพราะยิ่งมีก็ยิ่งยึด มันก็หนีไม่พ้นโทษ ศิษย์อย่าถามอาจารย์นะว่าทำไมต้องทำดี เพราะความดีมันทำให้ใจบริสุทธิ์ผุดผ่อง ความชั่วทำให้ใจเราหม่นหมองเศร้าซึม ถูกต้องไหม ดีมันทำยาก ชั่วมันทำง่าย ใช่ไหม (ไม่ใช่)
 (พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนในชั้นว่า ใครคิดว่าทำดีทำยาก ความชั่วทำง่าย ยกมือขึ้น และให้นักเรียนที่ยกมือสองคนออกมาหน้าชั้น)
ศิษย์บอกว่าทำดีทำยาก ความชั่วทำง่าย อาจารย์จะดูว่าจริงไหม เดี๋ยวให้ศิษย์เดินไปนะ เจอหน้าใครในชั้นเรียนนี้สบหน้าแล้วด่าเขาเลย ด่าไปจนสุดหลังห้อง เดินกลับมาเจอใครสบตาด่าเขาอีกจนกว่าจะกลับมาหาอาจารย์ (นักเรียนที่ออกมาหน้าชั้นไม่กล้าทำ)  ก็ศิษย์บอกว่าชั่วทำง่าย ทำไมตอนนี้ศิษย์ทำไม่ได้ล่ะ อย่างนั้นอาจารย์ถามใหม่ ถ้าอาจารย์บอกให้เดินไปสวัสดีคนที่ศิษย์สบตา เดินไปจนสุดห้องแล้วกลับมาใหม่ อะไรทำง่ายกว่ากัน (สวัสดีง่ายกว่า)  ศิษย์เอยเพราะใจเราจมอยู่กับความโลภโกรธหลง เหมือนถามศิษย์ว่าจิตของศิษย์มีความเมตตาไหม รู้ละอายเกรงกลัวต่อบาปไหม แต่ใจมันเคยฝักใฝ่ไปทางนี้ไหม ถึงเวลาหนูเลือกใช้อารมณ์ก่อน หนูเลือกตัวเองก่อน หนูเคยเมตตาก่อนไหม (ไม่)  เอาอารมณ์ก่อนใช่ไหม (ใช่)  พอจมอยู่กับอารมณ์มากๆ คราวหลังถึงเวลาจะยิ้มจะชมคน ปากก็จะหนัก เพราะด่าเขามาทั้งซอยแล้ว จะให้มาชมเขาก็เหมือนจะกลืนน้ำลายตัวเอง
(นักเรียนที่ออกมายืนหน้าชั้นพูดออกมาว่า “ขอโทษจ้า แค่พูดผิดจ้า”)  ศิษย์เอ๋ย ขอบคุณนะที่พูดคำนี้ เพราะโลกขาดคนยอมรับความจริง และโลกขาดการยอมรับว่าตัวเองผิด ถามจริงในโลกนี้ใครผิด มีแต่บอกว่าเราไม่ผิด แต่ใจลึกของเราก็ยอมรับ อาจารย์จึงบอกว่าจริงๆ แล้ว เรามีธรรมอยู่ในใจ ธรรมนี้เป็นสิ่งที่เที่ยงธรรม บริสุทธิ์ ยุติธรรมในใจของศิษย์อยู่แล้ว แต่ศิษย์ไม่เคยนำสิ่งนี้ออกมาใช้ มีแต่ใช้กิเลส อารมณ์ ไหนบอกไม่อยากมีกรรม ไหนบอกไม่อยากมีทุกข์ แล้วรู้ไหมว่า กิเลส อารมณ์ ให้ผลคือทุกข์ เจ็บ ช้ำ เสียใจ แต่ความดีนะศิษย์ ทำไปเถอะ พระพุทธะยังเคยเมตตาไว้ว่า แม้มีน้ำตานองหน้าก็จงทำดี และความดีนั้นจะแปรเปลี่ยนคนให้สะท้อนสะเทือนใจ หันกลับมาเข้าใจเรา โดยที่เราไม่ต้องไปพยายามบังคับว่า แกต้องดี แกต้องดี ต้องทำตัวของเราให้เห็นเลยว่า นี่คือคนที่ไม่ยอมแพ้ความดี คนที่ไม่ว่าจะด่าอย่างไรเราก็จะดี ทำตัวเองให้เขาเห็น จริงไหม (จริง)
สมมติว่าคนนี้เป็นแม่ของเรา ขาก็ไม่ค่อยดี เราจะเดินแล้วคอยประคองให้เขาไปนั่ง หรือเราจะเดินไปแล้วบอกว่า แม่เดินให้ไวๆ หน่อยสิ เราเลือกแบบไหน (เดินประคอง) อย่างนั้นก็ลองทำเลย
เพราะโดยความเป็นจริงของชีวิต ทุกคนอยากให้เขาดี ย่อมไม่ใช่การชี้เรียกร้องเอาจากผู้อื่น แต่ต้องชี้แล้วถามใจตัวเองว่า ดีหรือยัง ซื่อตรงกับเขาหรือยัง อยากให้ลูกกตัญญู ตัวเรากตัญญูต่อพ่อแม่ตัวเองหรือยัง อยากให้เพื่อนซื่อตรง ตัวเองซื่อตรงจริงใจหรือไม่ อยากให้พี่น้องปรองดอง ตัวเราเคยเสียสละ มีเมตตา รักพี่น้องตัวเองไหม เอาตัวเองทำความดีให้คนอื่นเห็น ธรรมะสอนไว้ว่า ไม่ต้องไปรอเปลี่ยนใคร เปลี่ยนแปลงที่ตัวเอง ไม่ต้องรอไปแก้ใคร แก้ที่ตัวเอง และไม่ต้องรอให้ใครเริ่ม เราเริ่มที่ตัวเอง
ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ คนที่มีโอกาสจะสบายแต่เขาเลือกที่จะไม่สบาย เขายอมลำบากแล้วทำดีเพื่อคนอื่น การทำดีของเขานั้นสะท้อนใจเราไหม (สะท้อน) พอเรารู้แล้วเราอยากดีกับเขาไหม (อยาก) อยากทำเหมือนเขาไหม (อยาก) ถ้านึกถึงหรือเขาตายไปแล้ว เราก็ยังคิดที่จะทำดีหรือจดจำเขาในใจไม่ลืม ถูกไหม (ถูก) แล้วทำไมศิษย์ไม่เป็นแบบนั้น มีโอกาสสบายแต่เลือกที่จะไม่สบาย เลือกทำสิ่งที่ดีและถูกต้องยิ่งกว่าชีวิต มีโอกาสได้แต่ไม่เอา มีแต่จะให้ มีโอกาสจะเห็นแก่ตัว แต่ไม่เลือกเห็นแก่ตัว แต่อยากจะเสียสละ แล้วเชื่ออาจารย์ไหม ว่าความดีนั้นถ้าทำจนสุดจิตสุดใจ ไม่ต้องพูดจนปากเปียกปากแฉะ คนมันเห็นทุกวัน ศิษย์จะใจแข็งขนาดไม่ดีกลับไปที่เขาหรือ ศิษย์จะใจดำกลับไปที่เขาไหม กับคนที่ดีกับศิษย์อย่างไม่มีข้อแม้ ไม่หวังผลตอบแทน ศิษย์จะตอบแทนเขาไหม (ตอบแทน) ศิษย์จะทำดีไหม (ทำดี) และแม้เขาจะตายไป ศิษย์ก็ยังอยากที่จะทำต่อไหม (อยาก) เพราะอะไร เพราะการทำดีของเขานั้นได้ใจเราไปเต็มๆ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นศิษย์อย่าถามอาจารย์ว่าทำไมเกิดเป็นคนต้องทำดี เพราะความดีนั้นซื้อใจคนได้ ผูกใจคนได้นานกว่ารูปลักษณ์ กว่าเงินทอง ใช่ไหม แค่เขาร้องไห้เรายังร้องไห้ตามเลย ถ้าอย่างนั้นการทำดีก็เป็นสิ่งที่ (ดี) แต่เราทำหรือไม่
อาจารย์ถามว่าคนในโลกนี้  มีแต่เรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจ ความสุขกับความทุกข์อะไรมีมากกว่ากัน (ความทุกข์)  ถ้าวันนี้อาจารย์จะคุยต่อเรื่องทุกข์กับสุขให้เลือกเอา เลือกอะไร (ความสุข)  ถ้าศิษย์เลือกสุข ศิษย์ผิดถนัดเลย ถ้าศิษย์แก้ทุกข์ได้มันก็สุขไปตลอดชีวิตแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แค่เริ่มคิดศิษย์ก็ผิดแล้วถูกหรือเปล่า อะไรก็ต้องสุข ใช่หรือเปล่า ฉะนั้นศิษย์เอย โลกนี้เป็นโลกแห่งความทุกข์ ถ้าศิษย์เข้าใจทุกข์ สุขก็บังเกิด แต่ถ้าศิษย์ทุกข์ไม่เอา ก็จะทุกข์อยู่ร่ำไป
อาจารย์อยากบอกว่า ทุกข์ที่ศิษย์เกลียดหนักหนานั้น จริงๆ ไม่ต้องไปเกลียดทุกข์หรอก เพราะทุกข์เป็นสิ่งที่ดีมาก ถ้าไม่มีทุกข์ ศิษย์จะแย่เลยนะ เชื่อไหม (เชื่อ)  ทุกข์มีไว้เพื่อให้เรียนรู้ ถ้าเราไม่ทุกข์กับการต้องยืนจนขาแข็ง แล้วเราจะรู้ไหมว่า เราจะต้องหาเก้าอี้นั่ง และถ้าเราไม่นั่งจนเมื่อยปวดหลัง แล้วเราจะรู้ไหมว่าเราต้องยืน จริงไหม (จริง)  ดังนั้นเราควรเกลียดทุกข์ไหม (ไม่ควร)  ควรขอบคุณความทุกข์ที่ทำให้เราเรียนรู้ทุกข์ เหมือนอาจารย์ถามว่า ศิษย์อยากเจ็บไหม (ไม่อยาก)  อย่างนั้นถ้าให้ศิษย์เป็นอัมพาตอัมพฤกษ์เลย จะได้ไม่ต้องเจ็บเลยไปตลอดชีวิต เอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นต้องขอบคุณที่ยังเจ็บ เพราะถ้าไม่เจ็บก็ไม่เรียกว่าชีวิต ต้องขอบคุณที่ยังทุกข์ เพราะถ้าไม่ทุกข์ก็คือตาย ใช่ไหม (ใช่)  ยืนจนทุกข์ แล้วอยากนั่งไหม (อยาก)  นั่งจนทุกข์ แล้วอยากยืนไหม (อยาก)  พูดมากแล้วหิวไหม (หิว)  ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์จากหิวก็ต้อง (กิน)  ต้องขอบคุณทุกข์ไหม (ขอบคุณ)  เกลียดทุกข์ไหม (ไม่เกลียด)  ฉะนั้นทุกข์ดีไหม (ดี)  ควรขอบคุณทุกข์ไหม (ควร)  แล้วควรจะต้องทุกข์มากมายไหม (ไม่)

พระพุทธะจึงสอนว่า เพราะไม่รู้ จึงอยากจึงยึด แต่ถ้ารู้ ก็ไม่อยากไม่ยึด เพราะมีอวิชชาจึงเกิดเป็นตัณหา อุปาทาน ถ้ามีวิชชา ตัณหา อุปาทาน ก็หายไป แล้ววิชาอะไร ก็วิชาธรรม รู้ธรรมในตนใช่ไหม (ใช่)  รู้อะไร รู้ความจริงอย่างแจ่มแจ้ง เหมือนรู้ทุกข์อย่างแจ่มชัด ฉะนั้นศิษย์โกรธไหมที่รู้สึกเจ็บ ไม่โกรธ ขอบคุณที่ได้รู้สึกเจ็บ แก่ดีไหม (ดี)  อาจารย์ถามว่า ถ้าได้ผู้หญิงสาวๆ ไปก็ต้องพาคนแก่ไปด้วย เอาไหม  อาจารย์ถามผู้หญิง ชอบหนุ่มหล่อๆ ไหม (ชอบ)  ถ้าได้เขาไป ต้องพาคนแก่ๆ ไปด้วยเอาไหม (เอา/ไม่เอา)  ศิษย์เอย ไหนบอกว่าจะรักกันไปจนแก่ จะอยู่กันไปจนแก่ แต่ถึงเวลาศิษย์ก็บอกว่า มันแก่ไม่เอาแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นแก่ดีไหม (ดี)  เกลียดไหมความแก่ (ไม่เกลียด)  แน่ใจนะ (แน่ใจ)  อย่างนั้นอย่าไปฉีด
โบท็อกซ์ อย่าไปทำหน้าขาว เวลาจะออกจากบ้านก็ไม่ต้องส่องกระจก ไม่ต้องบ้วนปากนะ ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)
ถ้าศิษย์เข้าใจทุกข์  เพราะอวิชชา คือ ความไม่รู้ จึงก่อเกิดเป็นตัณหา คือความอยาก พอมีความอยากก็กลายเป็นอุปาทาน คือความยึดมั่น ฉะนั้นต้นเหตุแห่งการเวียนว่ายแห่งวัฏจักรชีวิต ก็เลยไม่จบสิ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเป็นอย่างนี้ มีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน เพราะความไม่รู้ แต่ถ้าตอนนี้เรารู้ความจริง เราเห็นความจริง ความจริงในอะไรที่ทำให้เราก่อเกิดเป็นความอยาก ก่อเกิดเป็นกิเลส ก่อเกิดเป็นกรรม ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากจะเข้าถึงตรงนี้ ศิษย์ต้องเข้าใจก่อนว่า เมื่อเรามีความไม่รู้ เราก็จะเกิดความอยาก จากนั้นเราจะเกิดความยึดมั่น เพราะเราไม่รู้อะไร เราจึงเกิดความอยากแล้วเกิดความยึดมั่น จึงก่อเกิดเป็นวัฏจักรแห่งกรรม นั่นคือความจริงในตัวตน
เราไม่รู้อะไร แล้วเราควรรู้อะไร แล้วความรู้นั้นจะทำให้เราไม่อยาก ไม่ยึดอีกต่อไป ความจริงในอะไร (ในใจ)  ที่เราอยากที่เรายึดเพราะเราไม่รู้อะไร ฉะนั้น ศิษย์อย่าแก้ตอนที่เราไปอยากไปยึดมันแล้ว แต่ศิษย์ต้องรู้ก่อนว่า สิ่งที่ศิษย์ไปอยากไปยึดนั้นศิษย์ยึดอะไร สิ่งที่ศิษย์ไม่รู้แล้วศิษย์ไปอยากไปยึด ศิษย์ยึดอะไร ศิษย์ไม่รู้อะไร (ไม่รู้ตัวตน)  ไม่รู้ตัวตนใช่ไหม (ไม่รู้ทันกิเลส)  ศิษย์เอยกิเลสมันมาทีหลัง ตัวตนมันมาก่อน ถ้าไม่มีตัวตนก็ไม่มีกิเลส ฉะนั้น สิ่งที่ศิษย์ไม่รู้คือ ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริง ต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวลเพราะมีตัวตนที่เรียกว่ากรรม แล้วเกิดมาเพราะเรามีกรรมใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจกรรมตัวนี้ เราก็จะไม่สร้างเหตุอีกต่อไปถูกไหม ทุกอย่างที่เราทำก็เพื่อตัวนี้ ฉะนั้น มันเริ่มตรงนี้ มันก็ต้องละตรงนี้ และจบตรงนี้ ซึ่งตรงนี้มันเรียกว่า “วัฏจักรแห่งชีวิต” ที่เราเรียกว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนหญิงออกมา มีคนสวย คนวัยกลางคนและคนสูงอายุ)
อาจารย์ถามหน่อย ถ้าเรารู้ว่าคนเราเดี๋ยวเกิด แล้วแก่ แล้วเจ็บ แล้วตาย เหมือนเอาคนนี้มา สวย แล้วอาจารย์ถามว่า ถ้ามีคนนี้แล้วกลายเป็นหญิงกลางคนคนนี้ แล้วหญิงกลางคนสวยไหม (สวย)  แล้วกลายเป็นคนอายุมากคนนี้ อาจารย์ถามว่า เป็นไปได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นหน้าตาสวยๆ คือหน้าตาที่แท้จริงและสุดท้ายของเขาไหม (ไม่ใช่)  เขาจะเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  เขาจะแก่ไหม (แก่)  เขาจะเจ็บไหม (เจ็บ)  เขาจะตายไหม (ตาย)  อย่างนั้นเราควรจะยึดเขาไหม (ไม่ควร)  เราควรจะหลงรักเขาไหม (ไม่ควร)  เหมือนที่อาจารย์บอกว่า ถ้าได้คนสวยๆ ไป  แล้วมีคนแก่ตามไปด้วย เอาไหม จำได้ไหม ศิษย์บอกอาจารย์ว่าเอาไหม (ไม่เอา)  แต่อาจารย์ถามจริงๆ ว่ามีใครได้คนสวยบ้างใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเรามองเห็นความจริงแห่งชีวิตอย่างแจ่มชัด แล้วอะไรจะสวยที่สุด อะไรแก่ที่สุด แล้วอะไรที่เราควรรัก มันคงอยู่ไหม มันเปลี่ยนแปลงไหม (เปลี่ยนแปลง)  แล้วถ้ามันเป็นแบบชายคนนี้เอาไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนชายสูงอายุท่านหนึ่งออกมาหน้าชั้น)
เขาเหลือฟันเพียงแค่นี้  แต่ก่อนเขาก็อาจจะหล่อและหนุ่มแบบผู้ปฏิบัติงานธรรมที่ยืนอยู่ด้านข้าง แต่ถึงเวลาก็เปลี่ยนแปลงเป็นแบบนี้   ใช่ไหมศิษย์ (ใช่)  ศิษย์เอย ที่อาจารย์ไม่แต่งงาน ไม่ใช่เพราะไม่มีใครเอาอาจารย์  แต่อาจารย์ไม่เลือกใคร  ถ้าเลือกแล้วมันไม่ได้ดี อาจารย์ไม่เอาดีกว่า ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเลือกแล้วตัวเองยังเอาตัวไม่รอด แล้วยังอยากจะเกี่ยวกรรมไหม ศิษย์จำได้ไหม ตอนแรกชายหญิงอยู่ด้วยกันเป็นคู่บุญคู่วาสนา คู่ตุนาหงัน แต่อยู่ไปอยู่มาก็กลับคิดว่าเป็นคู่บุญคู่กรรม  กลับทอดถอนใจว่าเมื่อไหร่จะจบกันสักที ใช่ไหม(ใช่)  แล้วใครเป็นคนคิด (เรา)  แล้วใครเป็นคนยึด (เรา)  ฉะนั้นถ้าเราเห็นความจริง สิ่งใดในโลกที่จะทำให้ศิษย์อยาก อะไรในโลกที่จะทำให้ศิษย์ทุกข์
จำไว้นะศิษย์ เราเกิดมาเพื่อรู้ทุกข์ เห็นทุกข์ แต่ไม่เอาทุกข์ ทุกข์มีได้ เกิดได้ แก่ได้ มีตายได้ แต่ใจแค่รู้แค่เห็น แต่ไม่ยอมไปเป็น เหมือนกิเลส โลภ โกรธ หลง ศิษย์มีหลงได้แต่ไม่เอา เกลียดมีได้แต่ไม่ยึด ฉะนั้นหน้าที่ของการฝึกฝนบำเพ็ญมีสติ แค่รู้แต่ไม่เป็น แค่เห็นแต่ไม่เอาได้ไหม เราแค่ยืมสังขารใช้ ฉะนั้นกรรมเวรมันเป็นแค่สังขาร มันไม่ได้เป็นของใจเรา 
เราใช้กรรมแค่สังขารเราไม่ได้ใช้กรรมทางใจ จงมีแค่เจ็บที่สังขารแต่อย่าลากลงไปให้เป็นเหตุแห่งกรรมในใจ  เมื่อเราเห็นชัดรู้ชัดในทุกสิ่งทุกอย่างว่ามันไม่เที่ยง  มันทุกข์  แล้วถึงเวลามันก็ว่างเปล่า  ใครไปกับเรา แล้วทำไมไม่ใฝ่ศึกษาธรรมเข้าใจธรรม เพราะมันคืออริยทรัพย์ที่จะนำพาศิษย์ไปทุกภพทุกชาติและไม่มีวันอับจน เพราะมันไม่เหมือนความรัก  เงินทอง เกียรติยศ  พอหมดตำแหน่ง  หมดเงินทอง หมดหน้าที่  เราก็เป็นคนเดินดิน  แล้วเราต้องเศร้าไหมเราก็แค่กลับมายืนที่เดิม  ที่ๆ เราไม่มีใครและเราต้องอยู่คนเดียวให้ได้ ที่ๆ เราไม่มีอะไรและเราก็ต้องอยู่กับความไม่มีให้เป็น  ฉะนั้นถ้าทุกข์เป็น สุขคือคำว่าพอ พอปุ๊บมันดีทันที เพราะไม่พอมันเลยไม่ดี
อาจารย์ถามศิษย์ทุกข์น่ากลัวไหม ความเจ็บน่ากลัวไหม ความตายน่ากลัวไหม แต่การที่ยังไม่รู้แจ้งในตัวเอง แล้วก่อวิบากกรรมก่อเหตุแห่งการเวียนว่ายน่ากลัวกว่าจริงไหมศิษย์ ฉะนั้นจงมีสติระลึกรู้อยู่ในธรรม เห็นธรรมในตัวตนแล้วศิษย์จะเห็นธรรมในผู้คน นี่ก็ธรรมนั่นก็ธรรม เขาด่าเรามามันก็เป็นธรรม เขาชมเรามามันก็เป็นสัจธรรม ใช่ไหม (ใช่)  เขาโกงเรามามันก็ยุติธรรมแล้ว ใช่หรือไม่ แล้วเมื่อถึงตอนนั้นโลภโกรธหลงก็ทำอะไรศิษย์ไม่ได้ เพราะศิษย์เข้าใจในธรรม ใช่ไหม (ใช่)  แต่เพราะว่ามันยังอยากรักอยู่ อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้ เมื่อรู้จักรักก็รู้จักเกลียด เมื่อรู้จักเกลียดก็รู้จักโกรธ เมื่อรู้จักโกรธก็รู้จักแค้น เมื่อรู้จักแค้นก็รู้จักอาฆาต เมื่อรู้จักอาฆาตก็ลุ่มหลงในความผิด ฉะนั้นรากเหง้าของความทุกข์บาปทั้งมวลล้วนเกิดจากรัก  ศิษย์รู้จักโกรธ ศิษย์รู้จักแค้น ศิษย์รู้จักหลง ใช่ไม่ใช่เพราะรัก รักความไม่เที่ยงด้วยนะ แล้วความไม่เที่ยงมันมีทุกข์ แล้วถึงที่สุดมันก็หาตัวตนที่เราพึ่งพิงไม่เคยได้เลย ถามจริงๆ สิ่งที่เรียกว่าสกล อันเรียกว่าร่างกายนี้ มันคือหนึ่งในธรรมชาติใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามันเป็นธรรมชาติ แล้วเราไปตู่เอาธรรมชาติมาเป็นของเรา ถูกไหม (ไม่ถูก)  ธรรมชาติน่ะจริง แต่ตัวเราที่พยายามครอบครองธรรมชาติไม่เคยมีจริงสักขณะเดียว
นิสัยของศิษย์อาจารย์รู้ พอเยอะๆ ก็เบลอ ได้หน้าลืมหลัง ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นมีโอกาสอาจารย์จะกลับมาใหม่ดีไหม (ดี)  เอาแค่ให้เห็นชิมลางๆ ชื่นใจก่อน  มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์ ถ้าพรุ่งนี้ศิษย์มา เราก็ยังได้เจอกันอีก ส่วนใครไม่มาก็ 再見(ไจ้เจี้ยน แปลว่า พบกันใหม่) ใช่ไหม (ใช่)
มีโอกาสคงได้มาฟังธรรมกันต่อนะศิษย์ รักษาบุญรักษาโอกาสนะ สิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้ล้วนคือธรรม และธรรมนั้นก็คือชีวิต ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจธรรม ศิษย์ก็เข้าใจชีวิต ถ้าศิษย์เข้าใจชีวิต ศิษย์ก็เข้าใจความเป็นคนและจะอยู่บนโลกได้ไม่ต้องทุกข์ ดีหรือไม่ (ดี)  มีโอกาสกลับมาเจอกันใหม่นะ


วันจันทร์ที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙                                                            
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ใช้หลักธรรมเป็นหลักในการบำเพ็ญ    คุณธรรมเด่นกว่าผลงานสร้างชื่อเสียง
โดนบีบสร้างบาปอกุศลเฝ้าหลีกเลี่ยง    อย่ายอมเสียคุณธรรมเพียงเพื่อหากิน
     เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา  ลงสู่พุทธสถานจินเอวี๋ยน เเฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาอีกครั้ง                        ถามศิษย์รักของอาจารย์สบายดีไหม

  หลักธรรมเป็นประทีปแห่งโลกหล้า    ชาวประชาเป็นสุขทุกแห่งหน
จิตบำเพ็ญเป็นสวัสดีมงคล                นำผองชนไปสู่ธรรมอำพัน
ในยามทุกข์รู้ว่าสุขอยู่อีกฝั่ง              ในความหวังอย่าแบกความเพ้อฝัน
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดในสักวัน           ถึงสำคัญแค่ไหนก็ต้องวาง
ก่อนปีใหม่ตั้งใจยิ่งกว่าเดิม                ปีใหม่เริ่มจิตดีงามรังสรรค์สร้าง
ชีวิตดั่งศาลาน้อยริมทาง                  ปัญหาอย่างเดียวคือเริ่มกันวันใด
ในยามสุขบอกกับใจอย่าประมาท        คนฉลาดมักพลาดเรื่องง่ายง่าย
คนดีแล้วก็ยังรู้แก้ไข                      จิตเป็นนายสติเป็นผู้บัญชาการ
                                                                        ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ถ้าอาจารย์มาแล้วทำให้กินข้าวช้าจะยอมให้มาไหม (ยอม) ยอมจริงๆ หรือ (ยอม)  กินข้าวบ่ายโมงไหวไหม (ไหว) บ่ายสอง (ไหว) บ่ายสาม (ไหว) อย่างนั้นอาจารย์ให้กินเย็นเลยแล้วกันนะ อาจารย์หยอกศิษย์เล่น
เป็นอย่างไร ผ่านการเคี่ยวกรำมาสองวัน วันนี้เป็นวันที่สาม ทำไมวันแรกกับวันที่สามมันต่างกันฟ้ากับดินเลยนะ เป็นอย่างนั้นไหม
อาจารย์ถามจริงๆ นะศิษย์เอย เกิดเป็นคนก็ยังมีบ้านที่ต้องกลับ ร่างกายนี้มีบ้านให้กลับ แล้วจิตเดิมแท้ไม่มีบ้านให้กลับหรือ กายนี้ยังมีบ้านให้อยู่อาศัย ยังมีญาติพี่น้องเดิมที่ต้องตามหา แล้วจิตเดิมแท้ของเราไม่มีบ้านที่แท้ ไม่มีพี่น้องที่แท้ที่เราต้องกลับไปหาหรือ (มี) แล้วเคยตามหาบ้านตัวเองบ้างไหม (ไม่เคย)  เหมือนเวลาที่ศิษย์ออกไปเที่ยวไกลขนาดไหน แต่วันหนึ่งก็ต้องกลับบ้าน ใช่ไหม (ใช่)  ถึงเวลาก็ต้องทิ้งร่างกายนี้คืนสู่ดินสู่ฟ้า เพราะว่าจิตเดิมแท้ของเรามาจากดินมาจากฟ้า แล้วจิตที่อยู่ในกายที่คอยสั่งให้เรากิน สั่งให้เราทำ สั่งให้เราต้องกลับบ้าน สั่งให้เราต้องเป็นคนแบบนั้นแบบนี้ ไม่เคยคิดอยากกลับบ้านที่แท้จริงบ้างหรือ แล้วบ้านที่แท้จริงอยู่ที่ไหนล่ะ แต่บางคนก็ไม่กล้าคิด เพราะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์อาจคิดว่า “ศิษย์คงไม่ได้มาจากฟ้า ศิษย์น่าจะมาจากรูใดรูหนึ่งจากใต้ดินมากกว่า ดูแล้วน่าจะเหมาะสมกับศิษย์มากกว่า” ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์เอยเวลาเกิดเป็นคน ก้าวก็ต้องก้าวให้ยิ่งใหญ่ เวลาไปก็ต้องไปให้ถึงที่สุด จึงจะเรียกว่าคุ้มค่าในชีวิต ฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าเรามีจิต ในหนึ่งจิตที่ชีวิตหนึ่งจะหาได้ ทำไมเราไม่ไปให้สูงที่สุด ทำไมเราหวังแค่สวรรค์ มันคิดต่ำคิดเตี้ยไป ใช่ไหม (ไม่ใช่) เวลาตกนรกจะเอาเพื่อนไหม ตัวเองยังไม่รอดเลย ใช่หรือเปล่าศิษย์ (ใช่) ตอนนี้ใกล้ปีใหม่ศิษย์อยากกลับบ้าน แล้วตอนนี้จิตเราไม่อยากกลับบ้างหรือ
ถ้าอยากกลับบ้านคิดแบบสรตะง่ายๆ ใจฟ้าใจคนที่จะขึ้นฟ้าได้ควรหนักหรือควรเบา (เบา)  คนใจฟ้าควรจะเป็นคนใจแคบๆ เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ หรือว่าเป็นคนที่ใจกว้าง เอาแค่สองสรตะนี้ถึงไหม เบาไหม ใสไหม กว้างไหม จิตที่ทำให้เราหนัก คือกิเลสความเห็นแก่ตัว ความไม่ชอบความชิงชัง จิตที่ทำให้เราไม่กว้างคือการไม่ยอม การไม่ให้ การไม่อภัย การไม่เปิดใจกว้าง การไม่มองความจริง ถูกหรือไม่ ฉะนั้นกายเรายังรู้จักกลับบ้าน ใจเราไม่กลับบ้านบ้างหรือ ถ้ามองง่ายๆ คนที่จะกลับบ้านได้ ต้องจิตเบา ว่าง กว้างแบบหาที่สุดไม่ได้ หรือจิตที่ไม่มีตัวตนสักขณะเดียว ถ้าถามว่าพุทธะอยากเป็นอะไร ท่านบอกว่าไม่อยากเป็นอะไรในโลก ท่านอยากเป็นธรรมที่ทำให้ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าและดิน เพราะเมื่อไรที่ท่านนำธรรมมาครองกาย จะไม่มีตัวตนให้ยึดถือ และไม่มีทุกข์ให้ต้องวิตกกังวล มีแต่จะให้ โดนว่าอย่างไรก็ไม่เจ็บเพราะไม่มีตัวตนให้เจ็บ แต่มนุษย์ชอบยึด ว่าตัวเราเป็นแบบนี้ ทำดีได้แค่นี้ ถ้าอาจารย์บอกว่าลองอีกนิดหนึ่ง วางอีกนิดหนึ่ง สละอีกนิดหนึ่ง ยากไหม
ยากไหม ถ้าศิษย์เป็นคนที่เข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ ศิษย์ต้องกลัวอะไร อาจารย์รู้ว่านี่เป็นชั้นสุดท้ายที่อีกไม่กี่วันก็จะปีใหม่ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าวันนี้อาจารย์ให้ศิษย์มีโอกาสครั้งเดียวให้ศิษย์ขอพรจากอาจารย์ได้เพียงอย่างเดียว ศิษย์อยากขอพรอะไร
อาจารย์อยู่ไหน อาจารย์ก็มีได้ในใจของศิษย์ทุกคน เหมือนคำว่าความเป็นพุทธะมีได้ในใจของมนุษย์ทุกคน แต่เราหาความเป็นพุทธะในใจตัวเองเจอหรือยัง
บางครั้งการแต่งตัวก็มีผลกับจิตใจเหมือนกัน ถ้าวันหนึ่งศิษย์แต่งตัวธรรมดาเดินออกไปก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าวันหนึ่งศิษย์เอาชุดทหารมาใส่จะเป็นอย่างไร คนที่เป็นทหาร บางทีใจเขาก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่พอเขาสวมชุดทหาร การที่เขาต้องใส่ชุดทหารทำให้เขาต้องเข้มแข็ง ฮึกเหิม ถ้าศิษย์แต่งตัวธรรมดา ศิษย์ก็รู้สึกธรรมดา แต่ถ้าศิษย์ใส่ชุดแม่ชีศิษย์จะเดินไม่สุภาพได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นชุดก็มีผลต่อจิตใจภายในเหมือนกัน จึงอย่าบอกว่าแต่งตัวอะไรก็ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภายใน บางครั้งการแต่งตัวให้ดูภูมิฐาน ดูดี ย่อมมีผลต่อคนรอบข้างเหมือนกัน เมื่อไหร่ที่เขาแต่งตัวดูดี การที่จะหาใครมาพูดคุยกับเขาหรือเตือนเขาจะง่ายหรือยาก (ยาก) ดูดีไปใช่ไหม จะคุยด้วยก็รู้สึกว่าเขาอยู่สูงไปหน่อยไหม ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอย่าคิดว่าการแต่งตัวภายนอกไม่มีผลต่อภายในจิตใจของเรา แต่งตัวดีเกินไปคนก็ไม่กล้าตักเตือนสอนสั่ง วางตัวสูงล้ำเกินไปคนก็ไม่กล้าชิดใกล้เข้าหา ฉะนั้นการแต่งตัวภายนอกใช่จะไม่มีผลกระทบต่อภายในใจ ถ้าวันไหนศิษย์แต่งตัวแล้วมั่นใจ เวลาเดินแล้วรู้สึกว่า ฉันดูดี แต่พอเดินไปมีคนทักว่า “แต่งได้อย่างไร ใครเขาแต่งกันแบบนี้” เราก็โกรธ เธอมีอะไรมาว่าฉัน เธอแต่งดีนักหนา นี่เสื้อฉันกี่บาทรู้ไหม กางเกงกี่บาทรู้ไหม ใช่ไหม เป็นแบบนั้นไหม (เคยเป็น) ดีแล้วศิษย์ที่ยอมรับ อาจารย์เชื่อทุกคนก็เป็นแบบนั้น วันไหนที่ใส่เสื้อราคาแพงจะรู้สึกว่าตัวเองสูงกว่าคนอื่น ทั้งที่จริงๆ แล้วเราสูงกว่าคนอื่นไหม (ไม่) วันไหนที่มีเงินเดือนมากกว่าคนอื่น ทั้งที่คนอื่นไม่รู้เลย แต่รู้สึกเหมือนตัวเองล้ำกว่าคนอื่น จริงๆ แล้วตัวเองล้ำกว่าคนอื่นไหม (ไม่) วันไหนถูกลอตเตอรีก็รู้สึกว่าวันนั้นหน้าบานกว่าคนอื่นใช่ไหม
ถ้าอาจารย์ให้โอกาสศิษย์ขอพรได้หนึ่งข้อ ศิษย์จะขออะไร คิดให้ดีๆ นะ เพราะถ้าออกจากปากศิษย์แล้วจะขอได้ครั้งเดียว ขออีกไม่ได้แล้ว คิดให้ดีๆ นะ เพราะถ้าอาจารย์ให้แล้ว ศิษย์จะถอนคำพูดไม่ได้แล้ว ใช่ไหม (ใช่) ต้องคิดให้ดีๆ ว่าสิ่งที่ขอนั้นต้องครอบคลุมจะต้องเอาไปใช้ตลอดชีวิต
(ขอให้มีแสงสว่างในชีวิตตลอดไป ดวงตาเห็นธรรม ขอให้พ้นทุกข์ ขอสติปัญญา ขออย่าให้เจ็บอย่าให้ป่วย ขอให้ครอบครัวมีแต่ความสุข ขอมีธรรมคุ้มกาย ขอให้ทุกคนมีความสุขตลอดปีใหม่ ขอตรัสรู้ในพระสัมมาสัมโพธิญาณ ในอนาคตกาล เพราะอยากจะช่วยเวไนยเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา) ขอหมดทั้งชั้นแล้วใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ถามหน่อยนะ ศิษย์ที่ขอให้ครอบครัวร่มเย็น แต่ถ้าปากเราขี้บ่น ใจอดกลั้นไม่ได้ ใจเราชอบติดเหล้า ใจเราชอบคดโกง ใจเราชอบเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นมาเป็นชีวิตของตัวเอง ใจเราไม่มีเมตตา ครอบครัวจะร่มเย็นไหม (ไม่) ฉะนั้นก่อนจะขออาจารย์ ควรขอตัวเองก่อน ใช่ไหม (ใช่)
ส่วนคนที่ขอว่า อยากขอให้สุขภาพแข็งแรง ศิษย์เคยได้ยินสำนวนที่อาจารย์มักจะพูดบ่อยๆ ไหมว่า “โรคภัยเข้าทางปาก พิษภัยออกจากปาก” จริงไหม (จริง) ฉะนั้นวันนี้อาจารย์ให้ศิษย์แข็งแรง แต่ถ้าศิษย์ไปกินในสิ่งที่ไม่ควรกิน ไปทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ไปพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด แข็งแรงไปแต่ปากเสียก็ตายไว จริงไหม (จริง) อาจารย์ขอให้ศิษย์แข็งแรง ถ้าหากศิษย์แข็งแรงแต่ลูกหลานตายหมดเอาไหม (ไม่เอา) อย่างนั้นขอตัวเองแข็งแรงคนเดียวดีไหม (ไม่ดี) แล้วถ้าเกิดตัวเองแข็งแรงแล้วไม่ตายสักทีดีไหม แล้วศิษย์ควรจะขออะไรดี ที่จะนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์พ้นภัยแคล้วคลาด เจอเรื่องอะไรก็เข้าใจมองออกปลดปลง เห็นทุกข์เป็นสุขได้ (ดวงตาเห็นธรรม) ขอดวงตาเห็นธรรม ปัญญา สติใช่ไหม (ใช่) แล้วปัญญาจะเกิดได้จากไหน จากอาจารย์ยัดเยียดให้ใช่ไหม (ไม่ใช่) ปัญญาเกิดได้จากการพิจารณาความจริงจนเห็นชัด เมื่อเรามองเห็นอะไรชัด ก็เหมือนกับเวลาที่เราดูหนังจนจบเรื่อง เมื่อหนังฉายอีกรอบหนึ่ง ศิษย์ยังรู้สึกเศร้าไหม (ไม่เศร้า) เห็นตัวโกงโกรธแล้วด่าไหม (ไม่ด่า)  เพราะศิษย์รู้แล้วว่าเดี๋ยวตัวโกงก็ตาย พอเห็นชัดจะโกรธไหม จะหลงรักอะไรไหม พอเห็นชัดแล้วจะรู้หมด เราจะทุกข์เราจะสุขอะไรไหม แต่มนุษย์มีข้อเสียอย่างหนึ่งคือ ไม่ค่อยเห็นชัด สมมติว่าถ้าอาจารย์วาดอะไรอย่างหนึ่ง อะไรที่ทำให้เรามองเห็นความเป็นจริงแล้วไม่ค่อยชัด ถ้ามองคร่าวๆ ไม่อ่านให้ดี จะเข้าใจผิดพลาดได้ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากมองพิจารณาเรื่องราวในโลกให้แจ่มชัด จงอย่ามองแค่ผ่านๆ

(พระอาจารย์เมตตาวาดภาพดอกไม้แห่งสติ)






ถ้ามองคร่าวๆ ไม่อ่านให้ดี ศิษย์จะบอกว่า อาจารย์ให้ “ดอก” นี่นา ใช่ไหม (ใช่)  เพราะคำว่า “ดอก” มันตัวใหญ่มาก ฉะนั้นหากศิษย์อยากมองพิจารณาเรื่องราวในโลกให้ชัด จงอย่ามองผ่าน “ใจ” เพราะใจของมนุษย์มีความยึดติด ใจของมนุษย์มีความคาดหวัง ใจของมนุษย์มีความมั่นหมาย ติดยึด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากมองอะไรให้แจ่มชัด จงมองด้วยแก่นอย่ามองเพียงเปลือกนอก เพราะรูปลักษณ์ที่แท้จริงล้วนมีแก่นแท้อยู่ภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  รูปนามทั้งมวลที่แตกต่างกันเพียงเปลือกนอก แต่ทุกเปลือกนอกมีแก่นเหมือนกัน แล้วแก่นของรูปลักษณ์ทั้งหมดมันมีเปลือกที่แตกต่าง แต่มีแก่นที่เหมือนกันคืออะไร ถ้าเห็นบ่อยๆ เข้าใจบ่อยๆ มันจะไม่อยาก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่เกลียดเลย ตอบได้อาจารย์มีของขวัญปีใหม่ให้ดีไหม
(ใช้สติปัญญา)  ใช่ไหม สติปัญญาคือสิ่งที่เอามาใช้ในการมอง เหมือนที่อาจารย์บอกว่าการที่จะเราจะเข้าใจสรรพสิ่งได้ เราต้องเข้าใจถึงแก่นแท้ของมัน อย่าเอาแต่มองเปลือกนอก เพราะมองเปลือกนอกมันทำให้เราหลงง่าย แต่ถ้าเราเข้าใจถึงแก่นว่ามันมีแก่นเหมือนกัน มันมีหลักเหมือนกัน เพราะเข้าใจหลักแล้วจับจุดได้ เราจะไม่หลง เราจะไม่อยาก และอะไรที่เป็นแก่นหลักในการเข้าใจธรรม และมองชีวิตและทำให้เราไม่หลง
(ตัวตน)  ตัวตนอะไรล่ะที่เป็นแก่น ที่เราจะต้องหมั่นพิจารณา ถ้าศิษย์หมั่นพิจารณาเนืองๆ ศิษย์จะเกิดปัญญาเห็นธรรม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่ตอบคำถามได้ถูกออกมาหน้าชั้น) (ผมขอบคุณพระอาจารย์เมตตา ผมรู้จักพระอาจารย์จี้กงจากหนังที่เคยชอบดูตั้งแต่เด็กครับ ผมตื่นเต้นมากที่ได้พบพระอาจารย์ ผมมองลึกเข้าไปว่าพระอาจารย์มีความสุขมาก)  ศิษย์เอยทุกสิ่งทุกอย่างแม้เปลือกนอกต่างกัน แต่มีแก่นเดียวกันคือ ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หรือเรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเรียกว่า แก่ เจ็บ ตาย (เมื่อวานพระอาจารย์เปรียบเทียบหญิงสาว หญิงวัยกลางคน หญิงชรา ผมเข้าใจครับ) ฉะนั้นเมื่อศิษย์มองทุกสิ่งอย่าติดแต่เปลือก แต่มองให้ถึงแก่นว่า สรรพสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เดี๋ยวก็ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์และว่างเปล่า ทั้งเขาและเราก็ทุกข์ เราจะหาทุกข์ไปเพื่ออะไร ถึงที่สุดเขาก็ไม่มีเราก็ไม่มี จะโกรธไปเพื่ออะไร จะว่าไปเพื่ออะไร จะรักไปเพื่ออะไร เพราะถึงที่สุดก็ไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะรักจะเกลียดไปทำไม เขาก็ทุกข์เราก็ทุกข์ ฉะนั้นถ้าเราต้องพิจารณาทุกสิ่งจนบังเกิดธรรม พิจารณาอยู่เนืองๆ ไม่ว่าเจอสิ่งใดจะบังเกิดธรรม อาจารย์กำลังจะบอกว่า เราไม่มีหน้าที่ไปยุ่งกับใคร เราไม่มีหน้าที่ไปเปลี่ยนใจใคร เราอย่าไปร่วมกรรมกับเขา เขาด่ามาศิษย์มักด่ากลับ แถมเดินกลับไปบ้านเอาเรื่องที่ไม่ดีที่ฟังเขามา  แล้วไปเล่าให้แม่ฟังว่า “บ้านนั้นเขาทะเลาะกับบ้านนี้ดูไม่ได้เลย” เรียกว่าเอากรรมเขามาเกี่ยวด้วย เรื่องมันจบไปตั้งนานแล้วยังเอามาเก็บไว้ในใจเราอีก เรื่องของเราใช่ไหม (ไม่ใช่)  แล้วเราจะเอากรรมมาเกี่ยวไว้ในใจทำไม ไปอ่านข่าวมาแล้วรู้สึกไม่ดี ก็เอาไปเล่าให้คนอื่นฟัง พอคนอื่นฟังก็ร่วมสังฆกรรมกับเรา อย่างนี้เรียกว่าเราลากกรรมไม่ดีของเขามาร่วมเกี่ยว แล้วแถมให้ทุกคนมาเกี่ยวกรรมด้วย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)  ไม่ได้ทำบาปแต่ชอบเกี่ยวบาป ไม่ได้ทำกรรมแต่ชอบร่วมกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่ดูอะไรบนอินเทอร์เน็ตนิดเดียว แล้วเผลอพิมพ์ด่าเขา พอมีคนมาเห็นด้วยกับเรา เขาก็ด่าซ้ำอีก แล้วเป็นอย่างไรร่วมกรรมกันไหม (ร่วม)  เมื่อเป็นเรื่องไม่ดีต้องเอาไปเผยแพร่ไปกระจาย อาจารย์ถามหน่อยว่า ใครในโลกไม่ทำผิด ถ้าหากวันหนึ่งศิษย์ทำผิด ความดีที่ศิษย์เคยทำมามีมากมาย แต่ความไม่ดีเพียงนิดเดียวถูกคนนำไปประจานจนศิษย์ไม่มีที่ยืน ศิษย์ว่าคนไหนบาป คนที่พยายามประจาน ใช่ไหม (ใช่)  นอกจากศิษย์กำลังทำให้เขาไม่มีที่ยืนแล้ว ศิษย์ยังทำให้คนๆ หนึ่งตายทั้งเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมองอะไรอาจารย์จึงบอกว่ามองให้ถึงแก่นแท้
ตอนนี้อาจารย์ให้ศิษย์เลือกรางวัล เอาอะไรดี อาจารย์ให้เลือกหนึ่งชิ้นที่จะทำให้แจกคนอื่นๆ ได้หลายๆ คนด้วย
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่ตอบคำถามได้ถูก เลือกของรางวัลจากบนโต๊ะพระ)
อาจารย์ว่าศิษย์รู้แก่นแต่ถ้าขาดสติปัญญาก็ไม่ดีนะ อาจารย์ขอให้ศิษย์มีสติด้วย  เมื่อสักครู่ที่ศิษย์ตอบว่า “สติ” ให้ออกมาช่วยกันคิดหน่อยว่า เขาจะเลือกอะไร ที่เป็นชิ้นเดียวแล้วสามารถแบ่งแจกคนในห้องนี้ได้ทั้งห้อง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนที่ตอบคำถามว่า “สติ” และผู้ปฏิบัติงานธรรมที่มีนามสกุลว่า “มีปัญญา” ออกมาช่วยกันลือกรางวัล) เวลาเราเข้าใจธรรมอย่าลืม “สติปัญญา” ถามเขาด้วยว่า สิ่งที่ศิษย์จะเลือกจากบนโต๊ะพระนั้นดีไหมบางทีการรู้อะไรซื่อๆ ตรงๆ ก็ดีนะ แต่ถ้าขาดสติปัญญาก็ดูจะซื่อจนเกินไป
(นักเรียนเลือกลูกอม)
เพราะจะได้แจกได้ทุกคนใช่ไหม ดีใจไหม (นักเรียนในชั้นตอบว่าดีใจ)  ฉะนั้น แค่หนึ่งความตั้งใจอันดีงาม ความตั้งใจหรือหนึ่งความเข้าใจแห่งธรรมย่อมสามารถสะท้อนสะเทือนผู้คนหลากหลายที่อยู่ร่วมกันได้ แค่ศิษย์หนึ่งคนในห้องนี้เข้าใจธรรม มีสันติในการอยู่ดำรงชีวิต และมีสันติสุขในการเข้าถึงธรรม ย่อมสะท้อนสะเทือนให้คนที่อยู่รอบข้างเป็นสุขด้วย จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นอาจารย์ให้ลูกอม แล้วจะให้สติกับปัญญาได้ด้วยไหม (ได้ทุกคน ผมไม่ต้องเอาไม่เป็นไรครับ)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนท่านนั้นและตัวแทนของสติปัญญานำลูกอมไปแจกท่านอื่นๆ ในชั้น)
ศิษย์เอยอยากได้บุญต่อไหม (อยาก)  เวลาเขาแจกมาทำอย่างไร (ขอบคุณ)  ไม่ใช่แค่ขอบคุณแต่บอกว่า (อนุโมทนา)  
ถ้าสมมติว่าเราเจออะไรผ่านเข้ามาในชีวิต เราเห็นความจริงตลอดว่าเดี๋ยวก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวก็มีทุกข์ เดี๋ยวก็ว่างเปล่า ถ้าพิจารณาแบบนี้ตลอด เราจะโลภจะโกรธหรือไม่ เราต้องพิจารณาให้ถึงนะศิษย์ อย่ามองเห็นแค่เปลือก เพราะมนุษย์ชอบมองคนผ่านใจ ไม่ได้มองตามความจริง พอมองผ่านใจ ใจเราจะมีสัญญาความจำ นิสัย ความชอบชังที่ไม่เหมือนกัน ศิษย์มักจะอ้างกับอาจารย์ว่าศิษย์หวังดี อยากให้เขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เรียกให้เขาเปลี่ยนเขาจะเปลี่ยนไหม ทุกคนก็มีแบบอย่างของตนเอง
ถ้าอาจารย์มีแอปเปิลอยู่หนึ่งลูก บอกว่าถ้ากินแล้วต้องตายศิษย์จะกินไหม (ไม่กิน)  กินแล้วจะทำให้เจ็บปวดเจียนตายจะกินไหม (ไม่กิน) (นักเรียนสัญญากับพระอาจารย์ว่า จะเลิกกินเหล้า) ถ้าเลิกกินเหล้าได้แอปเปิลลูกนี้ ถ้าทานแล้วจะทำให้อายุยืนขึ้น ถ้าเลิกไม่ได้จะทำให้อายุสั้นลง (นักเรียนสัญญาว่าจะเลิก)  ค่อยๆ ทำให้ได้นะเพื่อตัวเอง ตอนแรกศิษย์กินเหล้าแต่ตอนนี้เหล้ามันกินศิษย์ไปค่อนตัวแล้วนะ รักตัวเองหน่อยนะ ตั้งใจแล้ว ไม่ใช่ต่อหน้าอาจารย์แค่องค์เดียว แต่ต้องต่อหน้าทุกๆ คน ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆ พระองค์ด้วยนะ
ถ้าศิษย์อยากได้เรื่องสวัสดีมงคล ทำไมศิษย์ไม่ทำเรื่องดี ถ้าอยากได้ชีวิตที่มีแต่ความสุข ทำไมศิษย์ไม่มอบความสุขให้กับผู้อื่น แต่มนุษย์มีชีวิตอยู่กันแบบเบียดเบียนผู้อื่น ทำร้ายผู้อื่นเพื่อตัวเองจะได้โดดเด่น อยู่เพื่อการฆ่าเพื่อนำมากินเป็นอาหาร อยากมีชีวิตที่สุขภาพดี อยากอายุยืนต้องไม่ฆ่าสัตว์ การเบียดเบียนชีวิตคนอื่นทำให้เราสุขภาพไม่ดี อายุสั้น ถ้าศิษย์อยากไปอยู่ที่ไหนใครก็รักใครก็เชื่อฟัง ก็ดูว่ามีน้ำใจกับเขาไหม รู้จักเคารพให้เกียรติเขาไหม ถ้าศิษย์ไม่เคารพให้เกียรติไม่มีน้ำใจ ใครจะรักใครจะเชื่อฟัง ฉะนั้นเรียกร้องสิ่งที่เป็นมงคล ทำไมไม่รู้จักเรียกร้องตนเอง ทำตัวเองให้มีมงคล ฉะนั้นถึงแม้อาจารย์จะเอามงคลมาตรงหน้า แต่ถ้าศิษย์มีจิตคิดร้าย ปากศิษย์พูดไม่ดี ทำตัวไม่ดี มงคลจะมาสู่ตัวเราได้ไหม (ไม่ได้)
ศิษย์เอย วันนี้อาจารย์จะมาบอกวิธีหาความสุขง่ายๆ เอาไหม เอาความสุขแบบอาจารย์ไหม (เอา)  ถ้าสุขแบบนี้นะ ศิษย์ไปอยู่ที่ไหน เจออะไรก็คือกำไรชีวิตทั้งนั้นเลย เมื่อวานอาจารย์บอกวิธีเผชิญกับทุกข์ให้กับศิษย์ทุกคนแล้วใช่ไหม แล้วทำอย่างไรให้มีสุข
ถ้าศิษย์อยากมีสุขและเป็นคนที่มีสุขง่ายๆ เราควรจะกำหนดความสุขของเราให้สูงหรือว่าต่ำเตี้ยติดดิน มีบางคนยังไม่เข้าใจเพราะว่าตอนแรกอาจารย์บอกว่า เวลาทำอะไรเราต้องก้าวไปให้ไกลและไปให้ถึงที่สุด อันนี้คือความมุ่งมั่นในการเกิดเป็นคน แต่ความสุขในการที่จะอยู่บนโลกใบนี้ให้ได้ง่ายที่สุด มันควรจะสูง หรือควรจะต่ำ (ต่ำ)  น่าจะต่ำนะ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะถ้าความสุขมันต่ำและเป็นพื้นฐานง่ายๆ เลย ฉะนั้นเวลาเราเจออะไรเพิ่มเติม ก็เป็น กำไรชีวิต ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเกิดอาจารย์บอกว่าความสุขของอาจารย์คือการได้หายใจ ง่ายไหม (ง่าย)  ฉะนั้นอะไรที่ทำให้อาจารย์ยังมีลมหายใจ อาจารย์ก็ยังมี (ความสุข)  อย่างนั้นถ้าวันหนึ่งอาจารย์หมดลมหายใจอาจารย์มีสุขไหม (ไม่มี, มี)  หมดสุขเลยไหม (ไม่) เพราะเราพอใจในสิ่งที่ง่ายที่สุด ถ้าศิษย์บอกว่า ศิษย์จะมีความสุขได้อย่างไร ยังไม่มีอะไรเลย แล้วที่ศิษย์มีอยู่นี้ยังเรียกว่าไม่มีอีกหรือ ถูกไหม
อาจารย์ถามหน่อยนะศิษย์ ถ้าศิษย์บอกว่า ความสุขของศิษย์คือต้องมีรถ มีบ้าน มีสามี มีภรรยา มีตำแหน่ง มีเงินเดือนสูง ศิษย์เหนื่อยไหมกว่าจะไปถึงความสุข (เหนื่อย)  แล้วกว่าศิษย์จะได้สุข ศิษย์ทุกข์ไปเท่าไหร่ ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่า ความสุขของศิษย์คืออย่างนี้ มีแค่นี้ มีเท่านี้ มีแบบนี้ สุขแล้ว ฉะนั้นจะน้อยไปกว่านี้ หรือจะหายไปกว่านี้ ก็สุขแล้ว ยอมรับความจริง จะมีอะไรทุกข์ จริงไหม (จริง)  มีใครบ้างที่ได้แล้วไม่เสีย มีแล้วไม่ไร้ รักแล้วไม่อกหัก สมหวังแล้วไม่ผิดหวัง ฉะนั้นความสุขคือการยอมรับความจริงในสิ่งที่แค่นี้เท่านี้จะน้อยไปกว่านี้ก็สุข ยากไหม (ไม่ยาก)  อาจารย์ว่าการตั้งความสุขไว้สูงๆ มันยากกว่าจริงไหม (จริง) 
สิ่งที่อาจารย์อยากประทานพรให้ศิษย์มากที่สุดคือ หัวใจที่เข้มแข็งยอมรับความจริง ดีกว่าใดๆ ในโลก หัวใจที่เข้มแข็ง ยืนด้วยตัวเองได้ ยอมรับความจริงได้ อะไรจะเกิดก็จะเข้มแข็ง ก็จะสู้ ก็จะมองให้เห็นธรรม เอาทุกข์เป็นบันไดให้เราหลุดพ้นสิ อย่าเอาทุกข์มาทำให้เราเจ็บ อย่าเอาทุกข์มาทำร้ายชีวิต อย่าเอาทุกข์มาผลาญชีวิตอย่างเจ็บปวด มันไม่คุ้ม เกิดเป็นคนทั้งทีต้องเอาทุกข์มาทำให้เราพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
มนุษย์ประเสริฐตรงไหน ประเสริฐตรงมีสติ มีปัญญา และมีคุณอันมหาศาลที่สามารถสร้างคุณที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่เราไม่ทำ ศิษย์เอยแม้เทวดายังอดอิจฉามนุษย์ไม่ได้ เพราะมนุษย์มีโอกาสสร้างสิ่งที่ดีงามที่ยิ่งใหญ่กว่าการเป็นเทวดาอีก แต่มนุษย์ไม่ทำ อ้างแต่เพียงกลัวไม่มีกิน อาจารย์ถามหน่อยนะ มีเงินแต่ไร้ปัญญา วันหนึ่งมันก็หมด ถ้าไร้เงินแต่มีปัญญา วันหนึ่งมันต้องมี และยิ่งเป็นปัญญาที่ไม่ยอมแพ้ ศิษย์รู้ไหมว่าชะตาไม่ใช่ฟ้ากำหนด แต่ตัวเรากำหนด เหมือนที่อาจารย์บอกว่า อนาคตข้างหน้าใครเป็นคนปรุงแต่งให้มันเป็นไป ตัวนี้นี่แหละที่คิดที่ทำ ถ้าตั้งอยู่ในครรลองคลองธรรม ข้างหน้าก็คือความดีงามบริสุทธิ์ แต่ถ้าตั้งอยู่บนกิเลสความเห็นแก่ตัว ความไม่ชอบธรรมข้างหน้าก็คือผลกรรมที่ศิษย์ต้องยอมชดใช้ และยอมรับอย่างหนีไม่ได้ ฉะนั้นฟ้ากลัวคนไม่ยอมแพ้ คนที่สู้ไม่ถอย ฟ้าเปลี่ยนชะตาของเขาไม่ได้ ลองดูสิแม้ฟ้าจะทำให้เขาเจ็บปวด แต่เขาจะดีให้จงได้ แม้ฟ้าจะทำให้เขาทุกข์ทนแต่เขาก็จะมีสุขจนได้ อาจารย์ถามหน่อย คนแบบนี้ฟ้าทำอะไรเขาได้ไหม (ไม่ได้)  แม้แต่คนก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ ฉะนั้นมนุษย์มีจิตประเสริฐ มีจิตที่ดี มีจิตแห่งความเป็นพุทธะ แต่มนุษย์ชอบดูถูกคุณค่าตัวเอง แล้วก็ชอบเดินทางผิด อาจารย์ถามหน่อยนะว่าตอนนี้กรรมยังดีอยู่ บุญยังหนุนส่งให้ศิษย์รอดพ้น แต่ถ้ากรรมชั่วที่ตามติดไปแล้วทำให้เกิดมาภพหน้าภพใหม่ แล้วศิษย์ต้องลำบากอัปยศอดสู เกิดเพราะใครนั่นเป็นเพราะศิษย์ไม่ดีเหรอ ไม่ใช่ แต่มันคือสิ่งที่ศิษย์ทำเองทั้งนั้น ฟ้าไม่ใช่ไม่ยุติธรรม อาจารย์ไม่ใช่ไม่อยากช่วย อาจารย์อยากช่วยแต่อาจารย์อยากบอกว่า กรรมมีให้ชดใช้ และมันเป็นกรรมแค่เพียงสังขาร ไม่ใช่กรรมในจิตใจ ถ้าใช้แล้วมันจบ เราจะได้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก แต่ศิษย์ใส่ความเป็นตัวตน ฝังความเป็นตัวตน จะแค้นจะโกรธไปทำไม จะเกลียดจะผูกเวรผูกกรรมจะเบียดเบียนคนอื่นไปทำไม
อาจารย์เป็นอาจารย์ศิษย์ มีที่ไหนที่อยากให้ศิษย์ไม่ได้ดี มีที่ไหนที่อยากให้ศิษย์พึ่งแต่อาจารย์ไม่รู้จักพึ่งตนเอง อาจารย์ต้องมีศิษย์ที่ประเสริฐกว่าอาจารย์ ไม่ใช่ศิษย์ที่แย่กว่าอาจารย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอาจารย์ให้ศิษย์ดีแต่ศิษย์ไม่เดินศิษย์ไม่ทำ ผิดที่อาจารย์ใช่ไหม (ไม่ใช่)  มันสะท้อนว่าอาจารย์ยังดีไม่พอ เพราะถ้าอาจารย์ดีพอ ศิษย์คงพยายามมุ่งมั่นทำความดีให้ถึงที่สุด ลองดูนะชีวิตหนึ่งก้าวก็ต้องก้าวให้ไกล ไปก็ต้องไปให้ถึง ถึงก็ต้องถึงแล้วดี ไม่ต้องทุกข์อีก ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก บางทีก็พูดไม่ออกนะศิษย์ พูดมากก็กลัวศิษย์รำคาญ ฉะนั้นเมื่อไรที่ท้อ เมื่อไรที่ทุกข์กลับมานะ อาจารย์จะปลอบใจ แต่จงจำไว้ว่า ทุกอย่างมีความถูกต้อง แม้ชะตากรรมจะพลิกผันอย่างไร แย่ขนาดไหน ก็ถือว่าดีแล้วได้ชดใช้ อย่ายึดมั่นถือมั่นในสังขารอันนี้เลย มันไม่เที่ยง ถึงเวลาก็พึ่งอะไรไม่ได้ สิ่งที่เราต้องเอากลับไปคือจิตอันบริสุทธิ์ ที่มีอยู่ในใจของศิษย์ทุกคนใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ก็เชื่อเช่นนั้น และอาจารย์ก็มั่นใจตลอดมาว่าหัวใจที่ดีงามยังอยู่ในใจศิษย์ แต่บางครั้งแค่หลงไป กลับมาเถอะนะ แล้วมุ่งมั่นตั้งใจใหม่ ยังไม่สายถ้ายังมีลมหายใจ แต่ถ้าเมื่อไรหมดลมหายใจแล้ว ตอนนั้นมันสายแล้วศิษย์ มันแก้อะไรไม่ได้แล้ว
ทำให้ได้นะศิษย์ ดีใจที่ศิษย์กลับมาจนจบนะ  กลับไปแล้วต้องกลับมาอีกนะ  จับมืออาจารย์ไหม  อย่าใกล้เกลือกินด่างนะศิษย์เอย  วันนี้อาจารย์ปลอบขวัญให้กำลังใจให้ปัญญาศิษย์  ต่อไปไม่ว่าเจออะไรรู้จักอดทนอดกลั้น  หยัดยืนในความถูกต้องและดีงาม  ลุกแล้วทำให้ได้นะ 
มาแค่วันเดียวเสียดายนะ เข้าใจบ้างหรือยัง ดูที่ความมุ่งมั่นตั้งใจ รักษาสุขภาพให้ดีมีโอกาสจะได้เอาแรงเอากำลังนั้นไปโปรดช่วยคนให้เต็มที่ มุ่งมั่นด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ตั้งใจด้วยหัวใจที่ไม่ท้อ ศิษย์ทำได้อาจารย์เชื่อมั่น  ศิษย์เข้มแข็งอาจารย์ดีใจ ถ้าศิษย์อ่อนแออาจารย์ต้องตีให้หนักๆ มุ่งมั่นบำเพ็ญมีจิตปณิธานให้สูงส่งและหัวใจที่เข้มแข็ง ตั้งใจแล้วไปให้ถึงที่สุด  อาจารย์ขอให้ศิษย์สุขภาพแข็งแรง จับมืออาจารย์แล้วแปลว่ามุ่งมั่นไม่ท้อ  ตั้งใจไม่ถอยนะ ลองตั้งใจศึกษาปฏิบัติดูนะ หัวใจที่เด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง  จิตใจที่มุ่งมั่นจงมีอยู่ในตัวศิษย์ทุกคน ตั้งใจนะ
คงไม่ใช่เป็นการลาแล้วลาเลยนะศิษย์นะ กลับมาเข้มแข็งนะ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ ตั้งมั่นมุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีอย่าท้อนะ เข้าใจไหม ทำให้ได้นะศิษย์เอย จับมือเพื่อเป็นคำสัญญาว่าจะกลับมาเจอกันอีก จับมือเพื่อเป็นคำสัญญาว่าศิษย์จะมุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ไม่ว่าเจออะไรก็ไม่ท้อไม่ถอย ได้ไหม ตั้งใจทำให้ได้นะศิษย์เอย ดูแลตัวเอง รู้จักควบคุมอารมณ์ อย่าปล่อยให้อารมณ์ฟุ้ง มาทำให้ตัวเองต้องทำในสิ่งที่ไม่ควรนะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ยอมทุกข์เพื่อสุข”)
คำสุดท้ายที่อาจารย์อยากทิ้งไว้ให้ศิษย์ย้ำเตือนใจ “ยอมทุกข์เพื่อสุข” อย่างที่อาจารย์บอก ทุกข์ไม่น่ากลัวแต่ทุกข์คือความเป็นจริงที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตและมองเห็นชีวิตอย่างถ่องแท้ว่าไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ฉะนั้นอะไรล่ะที่เราควรยึดมั่นและเป็นหลักชัย นั่นคือความถูกต้องอันดีงามและเห็นด้วยปัญญา สติปัญญาในการเข้าถึงธรรมอันแท้จริง ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงในโลกนี้หรอกนะศิษย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงที่สุดศิษย์ก็ต้องกลับไปสู่ความว่าง เราจะยึดเพื่ออะไร โกรธเพื่ออะไร มีเพื่ออะไร มีเพื่อให้ทุกข์และเจ็บปวดหรือ หรือมีเพื่อเข้าใจและปลดปลงปล่อยวาง คิดให้ดีๆ นะศิษย์
อาจารย์อยากให้กำลังใจนะ กำลังใจอันดีงามและหัวใจที่เข้มแข็งเพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้องนะศิษย์นะ คิดให้ดี ไตร่ตรองให้ดีเวลาทำอะไร ทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ศิษย์รู้ว่าอะไรดีไม่ดี ใช่ไหม แต่อยู่ที่ว่าจะเสียสละหรือเปล่า แค่นั้นเอง ตั้งใจบำเพ็ญนะ เจออะไรยากลำบากอย่าท้อ สำคัญคือเรายอมลดวางอัตตาตัวตนได้หรือไม่
อายุมากแล้วสิ่งที่สำคัญคือ ความใจเย็นสุขุม “ปัญญา” ถ้าเข้าถึงได้คำนี้เป็นคำที่ทำให้เราพ้นทุกข์และเห็นธรรม ฉะนั้นเข้าให้ถึงนะศิษย์  หนทางแห่งชีวิตมีสองทางเสมอ เราเลือกได้ใช่ว่าเราไม่มีสิทธิ์เลือก แต่ต้องตั้งสติให้ดีว่าเราจะเลือกตามความจริงหรือเลือกตามใจ ตั้งใจบำเพ็ญ  รู้จักคิดรู้จักไตร่ตรองให้ดีก่อนจะทำอะไร ทำอะไรขอให้มีสติยั้งคิด สตินั้นคือการรู้จักมองตามความเป็นจริง  ยอมรับความจริง ชีวิตไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นขอให้กล้ายอมรับและเลือกทางที่ถูกต้อง  เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง  คนทุกคนอาจารย์ล้วนเป็นห่วง แต่ขอให้ศิษย์คิดไตร่ตรองให้ดี อุปสรรคปัญหาและสิ่งที่เจอคือการได้ชดใช้ ขอเพียงมีจิตที่ถูกต้องดีงาม อะไรจะเกิดมันก็ดี แต่จิตคิดไม่ดี  สิ่งที่เกิดจากดีมันก็จะกลายเป็นร้าย รู้จักควบคุมจิตตนเองให้ได้ อย่ามัวแต่สนใจภายนอกจนลืมดูแลใจตนเอง
อาจารย์กลับแล้วนะศิษย์ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ดูแลตนเองให้ดี ของขวัญที่ประเสริฐที่สุดที่อาจารย์อยากให้คือ หัวใจที่เข้มแข็ง กล้ายอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยปัญญาที่มองออกนะ เข้าใจใช่ไหม


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท "ยอมทุกข์เพื่อสุข"

  เริ่มหรือจบมีใครบ้างรู้จริงแท้ ชีวิตย่อมผันแปรตามเหตุนำหนุน
อยู่เพื่อยึดหรือปลงปลงจนวายวุ่น วัฏจักรหมุนหรือหยุดลงตรงที่ตน
กิเลสใดไม่ครอบงำสักขณะ ก่อนก็รู้เกิดก็ละได้ทุกหน
สติคุมปัญญาครองธรรมนำตน พินิจพ้นรูปนามแจ้งในสัจธรรม

สุขไหนจีรัง ทุกข์ยังไม่ทน
แค่รู้ทันตน พ้นทุกข์วางวาย 




พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาท สถานธรรมจื้อเจวี๋ย อ.สิงหนคร จ.สงขลา วันที่ ๓-๕ ธันวาคม ๒๕๕๙
หน้า ๔๒ กลอน
เดิม ไม่ให้ข้ามไม่ปรุงแต่งไม่ตามไป มาก็เฉยมีก็รู้ตามดูใจ
แก้ไขเป็น ไม่ให้ค่าไม่ปรุงแต่งไม่ตามไป มาก็เฉยมีก็รู้ตามดูใจ

 หน้า ๔๗ ย่อหน้าแรก
เดิม ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ที่ดีที่สุดคือ รักษาความถูกต้องดีงาม เพื่อปกป้องเวรกรรม รักษาความถูกต้องดีงาม เพื่อปกป้องเวรกรรม
แก้ไขเป็น ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ที่ดีที่สุดคือ รักษาความถูกต้องดีงาม เพื่อชำระหนี้เวรกรรม รักษาความถูกต้องดีงาม เพื่อชำระหนี้เวรกรรม

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา