แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หนันจี๋เหล่าเซียนองค์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หนันจี๋เหล่าเซียนองค์ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

2558-09-26 สถานธรรมประสาสุข ประเทศสหรัฐอเมริกา

วันเสาร์ที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘        สถานธรรมประสาสุข ประเทศสหรัฐอเมริกา
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  จิตใจเหมือนดังที่ลุ่ม                 ตาหูประชุมกันเข้า
นามรูปติดตามเหมือนเงา             เมื่อเจ้ารู้ทันบำเพ็ญ
             เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่โลกมนุษย์แล้ว แฝงกายกราบ
องค์มารดา        ถามศิษย์รักทุกคน เปิดประตูให้อาจารย์หรือยัง

  แม้ยังไม่รอดภัยโลภโกรธรัก         แต่รู้หลักใจแจ้งจึงไม่หลง
เห็นโลกธรรมลึกซึ้งเจ้าจะปลง        ยืดเอวตั้งหน้ามุ่งตรงสู่สุทธา
กี่ร้อยฝนฝึกมั่นคงกำลังใจ             หนามพันกายใจสำคัญเพื่อฟันฝ่า
เรื่องราวติดขัดวัดใจสอบปัญญา      สะสมมาปัญญาชีวิตใจกายแรมรอน
จดหมายถึงจากฟ้าส่งเจ้าไม่สน       ไม่หลุดพ้นพวกเจ้าไม่ทุกข์ร้อน
กว่าจะปลุกได้จวนค่ำรอนรอน       ข้านี้อ่อนอกอ่อนใจเหลือเกิน
ยามคิดถึงเจ้าใจหวนชวนสะอื้น       เจ้าไม่รู้ใดวันคืนระหกระเหิน
ใช้ปัญญาหาความสุขและหาเงิน      เจ้าเพลิดเพลินใจนี้ไม่มีอาจารย์
                                                                   ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อาจารย์มารบกวนหรือเปล่า ถ้ารบกวนเดี๋ยวอาจารย์กลับเลย
(ไม่รบกวน)  พื้นที่สถานธรรมแค่นี้ เดินไม่กี่ก้าวก็สุดทางแล้ว แต่สถานธรรมแบบนี้ดีมาก เพราะอบอุ่นใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยสังเกตไหม พอบ้านเราใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พี่น้องเราก็ไม่ได้คุยกัน พอแต่ละคนแต่งงานไปมีครอบครัวแล้ว เราต่างคนต่างไม่ได้คุยกันใช่หรือไม่ (ใช่)
เพราะฉะนั้นเล็กๆ แบบนี้ดีหรือเปล่า (ดี)  อย่างนี้ถ้าบ้านเราเล็กๆ ดีไหม เราไม่ต้องออกไปหาเงินอย่างยากลำบาก เพื่อที่จะมีบ้านใหญ่ๆ แล้วก็ถูบ้านไม่ไหว แล้วก็ต้องหาเงินมาเพื่อจ่ายบิลนั่น บิลนี่ บิลโน่น เต็มไปหมดเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  รู้สึกไหมว่าวัตถุในชีวิตเรามีมากเกินไป ถ้าเราตัดออกมาครึ่งหนึ่ง ชีวิตนี้ก็ยังคงอยู่อย่างสวยงาม ชีวิตเราก็ง่ายขึ้น ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเรื่องนี้เต็มไปหมดเลย แต่ในความเป็นจริงทำได้ไหม เพราะว่าในโลกนี้สิ่งที่วิเศษที่สุดคืออะไร อะไรที่ทำให้มีทุกอย่างได้ (Self-awareness การรู้จักตน)  แน่ใจหรือเปล่า แล้วไม่เห็นตามหาสิ่งนี้เลย เราลองหลับตามองภาพในชีวิต สำรวจดูว่าเราตามหาสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดนั้นไหม สิ่งที่เราตามหาทุกวันคืออะไร (เงิน)  สิ่งนี้ใช่ไหม เป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดในโลกนี้หรือเปล่า (ไม่ใช่)  ก็ไม่ใช่ แต่ตามหาทุกวันเลยนะ ไม่ตามวันไหนเหมือนจะตายให้ได้ เป็นสิ่งที่ขัดแย้งและสวนทางกันไหม ภายในเรียกร้องอย่างหนึ่ง ภายนอกไปตามหาอีกสิ่งหนึ่ง ศิษย์ทำงานเหมือนไม่คิดว่าชีวิตนี้จะต้องตาย แล้วก็ไม่คิดว่าจะป่วยด้วย แล้วก็ไม่คิดว่ามีทางอื่นนอกจากไปหาเงินด้วย อย่างนี้แสดงว่าเงินสำคัญที่สุด
ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เพราะว่าจริงๆ แล้วทุกคนมีจิตใจที่เป็นพุทธะอยู่ภายใน เมื่อมีพุทธะอยู่ภายใน พุทธะบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคืออะไร แต่เมื่อเกิดมาในโลกโลกีย์แล้ว ถูกบ่มสอน ถูกผลักดัน ถูกดันให้เดิน ถูกผลักไปจนเดินเอง จนกระทั่งตอนนี้เดินไม่หยุดเลย เดินลิ่วเดินเร็วกว่าคนอื่นด้วย แล้วก็เหนื่อยกว่าคนอื่นด้วย แล้วก็คิดว่าเราก็มีเงินมากกว่าคนอื่นด้วย บางทีก็ยังคิดว่าถ้ามีเงินน้อยกว่าคนอื่นไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ถามว่าเส้นทางในโลก มีเส้นทางไหนที่เป็นจุดจบไหม มีไหม (ไม่มี)  ถ้าตายเรียกว่าจบตัวเอง
เพราะฉะนั้นเส้นทางบนโลกนี้ ไม่มีเส้นทางไหนจบเลย ไม่อย่างนั้นศิษย์จะมาจากลาว ไต้หวัน ไทย มาถึงอเมริกาไม่ได้ เพราะฉะนั้นบนโลกนี้
ไม่มีเส้นทางไหนที่จบเลย เพราะฉะนั้นวันนี้ ที่มาที่นี่ อาจารย์จะบอกว่า
มีเส้นทางหนึ่งที่จบ อยากจะเดินไหม เดินแล้วจบนะ ไม่เหนื่อยตาย หรือตายแต่ไม่เหนื่อย อยากไปเดินไหม รีบๆ ไปเดินก่อนที่ชีวิตนี้จะเป็นอัมพาต ชีวิตนี้เป็นอัมพาตได้ไหม ไม่ใช่อัมพาตที่ป่วยนะ แต่หมายความว่าเป็นชีวิตที่อัมพาตคือ มีแต่ไม่ทำ แม้ว่าอยากไปทำแต่สังขารไม่อำนวย ไม่ว่าติดอุปสรรคต่างๆ นานา อย่างนี้เรียกชีวิตที่เป็นอัมพาต
วันนี้อาจารย์มาที่นี่ มีคนอยู่สองประเภท ประเภทแรกเปิดประตูรออาจารย์เลย เมื่อไหร่อาจารย์จะมา ทุบประตูทิ้งเพื่อเปิดรออาจารย์เลย อีกประเภทหนึ่งปิดประตูไว้แน่นเลย ล็อกอย่างแน่นหนา ถามว่าถ้าอาจารย์เข้าประตูไปได้ อาจารย์ทำอะไร ถ้าอาจารย์เข้าไปในหัวใจของศิษย์ได้ อาจารย์จะทำอะไร อาจารย์จะเข้าไปเปิดไฟ เก็บขยะ ไปกวาดถูให้เรียบร้อย และทำให้สว่างไสว อาจารย์แค่ทำความสะอาด แค่เปิดไฟ อาจารย์ไม่ขโมยของออกมาจากใจศิษย์แม้แต่อย่างเดียว เพราะฉะนั้นอาจารย์ไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคืออะไร คือวันนี้อาจารย์พูดเท่าไรก็ฟังไม่รู้เรื่อง แล้วพอเดินออกจากสถานธรรมไปแล้ว ก็บอกว่าธรรมะก็ธรรมะนะ ชีวิตของเราต้องดำเนินต่อไป เข้าใจนะว่าบำเพ็ญธรรมทำอย่างไร แต่ว่าเดี๋ยวก่อนๆ อย่างนี้น่ากลัวไหม
วันนี้ถ้ามีลูก รู้ว่าลูกเป็นคนที่ฉลาดมาก แต่ลูกไม่ขยันเรียน พอถึงเวลาลูกต้องสอบเรียนต่ออะไรก็ตาม แต่ลูกไม่สอบอะไรสักอย่างหนึ่งเลย สอนอย่างดี แต่ไม่ทำอะไรเลย กลัวที่สุดก็คือศิษย์เป็นลูกแบบนี้ เพราะฉะนั้นช่วยเป็นลูกที่ดีได้ไหม (ได้)  ทุกอย่างที่ทำเพื่อตัวศิษย์เอง เพื่อจิตใจของศิษย์เอง เพื่อไปสู่เส้นทางที่จบสิ้น คือไม่ต้องเกิดแล้วในวัฏฏะสงสารนี้ การตายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย และการที่เรานั้นจะจบเส้นทางการเดิน ไม่ต้องเดินอีกแล้วและไม่ต้องเหนื่อยอีกแล้ว ได้ไหม (ได้)
อยากเกิดอีกไหม คิดยากนะ ถ้าเกิดว่ากินความทุกข์ยังไม่อิ่ม มันจะตอบไม่ค่อยออก แต่ถ้าเรารู้ว่าความทุกข์ที่เราเจอมันไม่มีวันจบ แล้วรู้ว่าวันนี้เรามีเส้นทางหนึ่งที่เดินแล้ว จบแล้ว สิ้นแล้ว ศิษย์จะรีบเดินเลย นั่นเป็นเพราะว่าศิษย์ในปัจจุบันชาตินี้ ยังไม่ได้บำเพ็ญมาดีพอ ตาก็มองเห็นแต่รูป
ใจก็มีแต่ความรู้สึก นึกคิดไปไม่มีที่สิ้นสุด เลยเข้าใจว่าสิ่งที่เป็นอยู่มันก็ดีอยู่แล้ว จงมองไปในสิ่งที่เรายังมองไม่เห็น ตอนนี้เราอายุเท่านี้ เรารู้สึกว่าชีวิตนี้มันดีอยู่ เราลองคิดถึงตอนที่เราเจ็บป่วยสิ คิดถึงตอนที่เราอยากจะมีแล้วมันไม่มีสิ คิดถึงตอนที่เรารักในบางสิ่งแล้วเราไม่ได้รับสิ่งตอบแทนที่ดีจากสิ่งนั้นสิ เพราะฉะนั้นเรามองไปในสิ่งที่เรายังมองไม่เห็นสิ ไม่ได้ให้มองเห็นสิ่งเหล่านี้เพื่อให้จิตตก แต่มองเห็น เพื่อให้เราเห็นสัจธรรม เมื่อเราเห็นสัจธรรมแล้ว ศิษย์จะอยากพาตัวเองไปหาแสงสว่าง จะไม่อยากจะเป็นแบบที่เป็นอยู่ เพราะว่าสิ่งที่เป็นอยู่นั้นทำทุกสิ่งเพื่อตนเอง แต่การทำตัวเองนั้น เป็นหนทางปุถุชน หนทางแห่งพุทธะเป็นอย่างไร ช่วยคนอื่น อาจารย์มาช่วยศิษย์ ในขณะที่ศิษย์คิดว่าศิษย์ไม่ต้องการความช่วยเหลือ แต่อาจารย์ก็ยังช่วย อยากให้อาจารย์ช่วยไหม อาจารย์จะเข้าไปเก็บกวาดในใจให้ ตกลงว่าเปิดประตูหรือยัง (เปิดแล้ว)  ยกประตูทิ้งไปหรือยัง (ทิ้งแล้ว)
(พระอาจารย์เมตตาแจ้งพระนาม)
อาจารย์นับหนึ่งถึงสามให้นั่งพร้อมกันนะ
(อาวุโสเรียนเชิญพระอาจารย์นั่งก่อน)  ศิษย์นั่งก่อนอาจารย์แล้ว ศิษย์เป็นคนลาว ฟังภาษาไทยได้อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นลุกยืนขึ้นใหม่ อาจารย์นับหนึ่งถึงสามให้นั่งพร้อมกันนะ คนอเมริกานั่งเร็วนะ เร็วเกินไปดีไหม (ไม่ดี)  จริงๆ แล้วการเป็นคนทำงานเร็วก็ดีนะ แต่ว่าการที่ทำงานเร็วแล้วสติเร็วด้วยหรือเปล่า ตอนนี้เรารู้ที่ตั้งของจิตวิญญาณตัวเอง เราต้องกำหนดเป็น ใช่หรือเปล่า เหมือนกล้องถ่ายรูป เวลาเราจะถ่ายต้องมีโฟกัสใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราเหวี่ยงกล้องไปเร็วๆ แล้วเราจะถ่ายได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นตอนนี้เมื่อเรารู้ที่ตั้งของจิตวิญญาณของตัวเอง เราจึงต้องหัดที่จะโฟกัสชีวิตของเรา เพื่อให้รู้ว่าเราจะทำอะไร เราจะคิดอะไร บางเรื่องคิดมากเกินไปก็ไม่มีประโยชน์ จริงไหม (จริง)  คิดจนฟ้ารุ่ง คิดจนสว่างเลย มีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  เพราะฉะนั้นความคิดจึงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากเราพิจารณาอย่างละเอียดว่าควรจะทำอย่างนี้ ควรจะทำอย่างนั้น เห็นทั้งลึก เห็นทั้งกว้าง เห็นทั้งชัด เห็นทั้งไม่ชัด เห็นในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แล้วสามารถที่จะมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง มองกำแพงให้ใส อย่างนี้ความคิดจึงมีประโยชน์ นั่นเรียกว่าพิจารณา เป็นผลพวงมาจากสติ
(พระอาจารย์เมตตานับ หนึ่ง สอง สาม)
เห็นไหมว่าความคิดของเรานั้นแยกไม่ได้ พอเราฟังสิ่งหนึ่ง และบอกให้ทำอีกสิ่งหนึ่ง เราทำได้ไหม (ไม่ได้)
(พระอาจารย์เมตตาแจกผลไม้)
อยากได้ผลไม้อะไร (แล้วแต่พระอาจารย์เมตตา)  เอาง่ายๆ ก็แล้วกัน อันนี้เรียกว่าให้เพราะว่าผ่าน คราวที่แล้วลองใจนะ เพราะว่าเราเป็นคนที่มีความสมบูรณ์แบบมาก เพราะฉะนั้นการไม่ให้ จึงเป็นการให้เราได้รู้ว่า ถ้าเราไม่ได้เหมือนชาวบ้านจะเป็นอย่างไรบ้าง เรื่องราวในสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ทำให้เราผ่านอะไรอีกหลายอย่าง แล้วก็ให้รางวัลแก่คนผ่าน ถ้าวันนี้ไม่ผ่านไม่ให้
อธิบายเรื่องโฟกัสจบหรือยัง (อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมเรียน
พระอาจารย์ว่าอธิบายจบแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าถูกต้องครบถ้วนหรือเปล่า
ขอพระอาจารย์เมตตา)  ไม่เป็นไร ศิษย์เหล่านี้เป็นคนลาว เขาฟังภาษาไทยรู้เรื่อง ถ้าคนลาวฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง ต้องไปฟื้นฟูใหม่ เดี๋ยวส่งกลับประเทศลาว แล้วค่อยกลับมาอเมริกาใหม่ ดีไหม
การฟังธรรมะ ต้องใช้เวลาถึงสองวัน ทำให้หลายๆ คน มีความลำบาก หลายๆ คนก็มีความลำบากใจในการที่จะต้องเสียเวลามาสองวัน บางทีศิษย์อยากจะไปหาของวิเศษในโลกนี้ แต่อาจารย์บอกให้ เงินที่เสียไป กับคุณค่า
ที่ได้มาไม่เท่ากัน ธรรมะและจิตใจของตนเองหาค่าประเมินไม่ได้ ธรรมะเหมือนสิ่งที่มาช่วยกรุยทางของเราให้สามารถที่จะโล่งมากยิ่งขึ้น แต่บางทีเงินเหมือนยาพิษ ทำให้ศิษย์นั้นยิ่งมียิ่งตัน อาจารย์พูดอย่างนี้ไม่ใช่บอกว่าเงินนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี เงินก็คือเงิน ก็คือกระดาษที่มีคุณค่า ที่ศิษย์นั้นใช้จ่ายอะไรก็ได้ แต่จ่ายให้มีจิตใจที่ยกระดับสูงขึ้นไม่ได้
เพราะฉะนั้นเราลองมองสิว่า เมื่อเราหลับตาลง สิ่งใดที่อยู่กับตัวเรา ทุกวันที่หลับตาลงบนเตียงนอน อะไรที่อยู่กับเรา ใช่เตียงหรือเปล่า สังขารหรือเปล่า แม้กระทั่งสังขาร ตอนที่หลับตาสังขารนี้ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่อยู่กับเรา เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงเตียงนอนนะ ไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ข้างเราด้วย ต่างคนต่างนอน ไม่มีการนอนแล้วมาเป็นจิตญาณดวงเดียวกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยู่กับเราตอนที่เราหลับตาก็มีแค่ตัวเราเองใช่หรือเปล่า (ใช่)  สิ่งที่อยู่ในใจของเราก็มีอะไร ก็คือความคิดของเรา ความคิดของศิษย์ที่ทั้งวัน ตากับหูของเราทำงานตลอดเวลา แล้วตอนกลางคืนก็เก็บมาคิด
เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยู่ในใจของเราก็มีแค่ความคิดของเรา เป็นเพราะว่าจิตใจเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด เราจึงเอาความคิดของเราไปเก็บไว้ในนั้น คิดอยู่คนเดียวไม่มีใครรู้ คิดร้ายมีคนรู้ไหม คิดดีมีคนรู้ไหม แล้วส่วนใหญ่คิดดีหรือคิดร้าย เมื่อศิษย์คิดร้ายตื่นเช้ามาศิษย์ก็เจอเรื่องร้ายๆ ถ้าศิษย์คิดแต่สิ่งที่ดีๆ ชีวิตของศิษย์ก็จะดีมากยิ่งขึ้น แม้ว่าเราจะเสียเปรียบคนอื่นบ้าง แม้ว่าเราจะถูกคนอื่นรังแกบ้าง อันนั้นเป็นบทสรุปไหม ตอนที่เราโดนเอาเปรียบ โดนรังแก เป็นบทสรุปของชีวิตหรือเปล่า มีบทสรุปว่าจิตใจของเราคิดไม่ดี แล้วเราเอาสิ่งที่ไม่ได้ไปเก็บไว้ในใจมากๆ เก็บมากๆ เข้า เราเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย เมื่อมองโลกในแง่ร้าย ชีวิตนี้มีความสุขไหม (ไม่มี)  เราอยากมีความสุข ถูกหรือเปล่า ความสุขไม่ได้ได้มาด้วยการที่เอาเงินไปซื้อสิ่งที่เราอยากจะได้ ฉะนั้นความสุขเกิดจากการสะสมขึ้นทุกวันๆ ยกตัวอย่างเช่น ให้เรามองใครๆ ก็เป็นคนดี แค่นี้ก็ทำยากแล้ว คนที่ไม่ดี ก็ให้เห็นข้อดีของเขาให้ได้ แค่นี้ก็ยากแล้ว อันนี้เป็นเพราะว่าเราไม่ได้ฝึกฝน ฝึกฝนว่าต้องใช้ความอดทน ต้องดึงใจกลับมาบ่อยๆ เคยคิดไหมคิดไปไกลๆ ลิบเลย ดึงใจกลับมายากไหม ถึงตอนนั้นถามว่าเป็นใจเราหรือใจคนอื่น (ใจคนอื่น)  เป็นจิตใจคนอื่นหรือใจเรา ไหนใครตอบได้
(จิตใจคนอื่น)  แค่นี้เองลุกขึ้นมาตอบก็ได้ผลไม้
คนอื่นว่าอย่างไร เวลาที่เราคิดไปจนไกลลิบ แล้วเราดึงกลับกลับมา ตอนนั้นเป็นใจเรา หรือเป็นใจคนอื่น (ใจเรา, ใจคนอื่น)
(พระอาจารย์เมตตาจะโยนผลไม้ให้นักเรียน)
จะรับได้ไหม สูบบุหรี่เยอะคงรับไม่ได้หรอก มีร่างกายดีๆ แล้วจะได้บำเพ็ญธรรมนานๆ กุศลจะได้เยอะๆ ดีไหม ไม่ใช่กลับไปถึง ไม่มีกุศลเลย เหมือนไม่มีเงินเลย ไหวไหม เหมือนอยู่ในโลกนี้บอกว่าไม่มีเงินเลย ไหวไหม (ไม่ไหว)  มีบัตรเครดิตก็โอเคนะ จริงๆ อาจารย์ก็ให้บัตรเครดิตกับศิษย์ไว้ทุกคน มีเครดิตคือการทุกคนมีกรรมแล้วอาจารย์แบกรับไว้ให้ศิษย์ก่อน แต่ว่าสุดท้ายแล้ว กรรมของใครก็ของมัน บัตรเครดิตนี้ใช้มากเกินไป ก็ต้องจ่ายเยอะหน่อยใช่ไหม (ใช่)  เมื่อทำอะไรด้วยจิตใจที่สะอาดก็เป็นกุศล ถ้ายึดติดกุศลก็ไม่มีกุศล เป็นแค่บุญ ฉะนั้นสิ่งที่เป็นกุศลที่สุดคือ การบำเพ็ญจิตให้สะอาดและสว่าง ตอนนี้ใจหนักเหมือนหินไหม มนุษย์ชอบพูดว่า “ใจหนักเหมือนหิน” แสดงว่า ใจทั้งหนัก เหนื่อย และเลอะเทอะ ต้องบำเพ็ญถึงขั้นใจเบาเหมือนปุยนุ่น เบา สว่าง ขาว สะอาด ท่ามกลางความวุ่นวายใจสงบ
“จดหมายถึงจากฟ้าส่งเจ้าไม่สน           ไม่หลุดพ้นพวกเจ้าไม่ทุกข์ร้อน”
แต่อาจารย์ทุกข์ร้อนมากนะ ตกลงจะตอบคำถามกันหรือเปล่า เวลาใจของเราเมื่อคิดไปไกลๆ แล้ว ตอนนั้นใจยังเป็นของตัวเองอยู่หรือเปล่า
(ยังเป็นใจของตัวเอง)  ยืนหน่อยดีไหม เสียดายมากที่คนมีบุญอย่างเรา ถึงเวลาไม่ยอมต่อบุญนะ มีหลายคนมีบุญใช่ไหม มารับธรรมะแล้ว แสดงว่าศิษย์เป็นคนมีบุญมาแล้ว ๓ ชาติ อันนี้แน่นอน เชื่อไหมว่าเรามีบุญ (เชื่อ)  ทำไมเรายังแย่ๆ อยู่เลย เชื่อไหมว่าเรามีบุญ (เชื่อ)  ไม่หนักแน่นเลย ถ้าศิษย์ไม่เชื่ออาจารย์ก็ไม่เชื่อ ถ้าศิษย์ไม่เชื่อตัวเอง อาจารย์ก็ไม่เชื่อศิษย์เหมือนกัน แต่ทำไมชาตินี้ทำไมเราแย่ๆ อยู่เลย คนดีมีบุญ ต้องให้คนดีมีบุญตอบ (ทำบุญยังไม่พอ)  ทำบุญยังไม่พอ ทำกุศลไม่พอ ก็คิดกันแค่นี้ ทำบุญไม่พอก็ทำกันเข้าไปอีก
(บำเพ็ญไม่พอ)  อาจารย์แจกผลไม้ให้กับคำตอบนี้นะ
(จะตอบว่าทำบุญเหมือนกัน)
คุณจินดา ลองตอบอาจารย์สิ ทำบุญๆ ทำไมไม่พอ ยังแย่อยู่เลย (เพราะว่าทำบุญแบบไม่ตั้งใจ ไม่ใส่ใจ ถ้าตั้งใจใส่ใจก็จะทำบุญกุศลได้เยอะๆ ยิ่งขึ้น)  สรุปก็ต้องยังจะไปทำบุญเยอะๆ เหมือนเดิม
(เลิกทำความชั่ว ตั้งใจทำความดี)  เกือบจะใกล้แล้ว ปรบมือให้หน่อยดีไหม อาจารย์จะบอกให้ ศิษย์ในชั้นนี้ หลายๆ คนเป็นคนมีบุญมากจริงๆ  ทั้งในบุญอดีตชาติและปัจจุบันชาติ ทำไมเรามีบุญ แต่ทำไมยังรู้สึกแย่ๆ อยู่เลย
(จิตใจยังไม่ขาวสะอาด)
ระวังคนอื่นจะได้ผลไม้หลายลูกในเวลาเดียวกัน แต่เราไม่ได้สักลูก คนอื่นจะว่ามาจากรัฐไอโอวา แอปเปิลลูกเดียวยังไม่มีปัญญาเลย เพราะว่าแอปเปิลของอาจารย์ไม่ขาย ได้เฉพาะตอนอ้าปากตอบนะ
(ไม่ใช่ทำเพื่อตัว ให้ทำเพื่อผู้อื่น)  จิตใจเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ อาจารย์รับตอบ ไม่เกี่ยงภาษา
(เราขอมากเกินไป)
(เราควรเข้าอบรมธรรมะอยู่เป็นประจำ)
ที่จริงแล้วเราเป็นคนทำบุญมาเยอะ อดีตชาติก็ทำเยอะ ปัจจุบันก็ทำเยอะ โดยเฉพาะปัจจุบัน ทำบุญเยอะแต่ติดบุญเยอะ เมื่อยึดติดในบุญก็กลายเป็นบุญที่ยึดติด สมมติว่าศิษย์ทำบุญเป็นส้มผลนี้ ถ้าเอากาวมาทาส้มแปะไว้กับมืออย่างแน่นหนา ถามว่าเราปล่อยส้มผลนี้ได้ไหม สุดท้ายส้มนี้เป็นอย่างไร เป็นบุญของเราไง และเป็นบุญของเราตลอดไปใช่ไหม แม้กระทั่งพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกว่าคนๆ นี้ โดนเจ้ากรรมนายเวรทวง อาจารย์บอกว่าเดี๋ยวจะเอาบุญของเขามาจ่ายให้ อย่าเพิ่งทวง ก็ทำไม่ได้
(พระอาจารย์เมตตายกตัวอย่าง โดยการส่งส้มให้นักเรียนในชั้นถือ เพื่อแทนบุญกุศล และพระอาจารย์ก็จะเอาส้มกลับ แต่นักเรียนในชั้นไม่ยอมปล่อยมือจากผลส้ม)  ทำอย่างไรจะดึงบุญจากศิษย์ได้ บุญก็เยอะนะ ทำอย่างไรดีล่ะ
เพราะฉะนั้นเมื่อเรายึดติดในบุญของเราแบบชนิดจับไม่ปล่อย แม้กระทั่งพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยากจะดึงส้มมา เพื่อที่จะนำไปจ่ายหนี้กรรมให้ศิษย์ ก็ยังทำไม่ได้เลย เพราะว่าศิษย์มีความยึดติดสูงมาก ฉะนั้นเมื่อทำบุญอย่าไปยึดติดกับบุญมาก ยิ่งเราให้ไป ความดีความชอบที่คนจะชมเรา เราก็ไปชมคนอื่น ในโลกนี้ไม่มีงานชิ้นใดที่เราจะทำเสร็จได้ด้วยตัวของเราคนเดียว เพราะฉะนั้นการที่เราจะชมคนอื่นเป็นเรื่องง่ายมาก เพียงแต่เราจะมองเห็นหรือเปล่าว่าเราควรที่จะชมคนอื่น อันนี้ก็เป็นบุญเหมือนกันใช่หรือไม่ ส่วนเวลาที่เราชมไปถึงคนอื่นอันนี้เรียกว่าเป็น “กุศล” เวลาที่เราให้คำชมแก่คนอื่นไปเรียกว่า “กุศล” ทำไมถึงเรียกว่า “กุศล” เพราะว่าจิตใจของเราไม่มืด ไม่ยึดติด เรามีความสว่าง เราจึงจะสามารถที่จะสว่างไปทั่ว อันนี้เรียกว่า “กุศล” เพราะบริสุทธิ์ พูดง่ายๆ ก็คือ ยิ่งให้ ยิ่งมี ยิ่งเยอะ ถ้ายิ่งเก็บ ก็ยิ่งยึด ยิ่งติด ยิ่งมั่น สังเกตไหมว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นจะเป็นเรื่องของชีวิตประจำวันเสียส่วนใหญ่ ไม่ได้นอกเหนือไปจากชีวิตประจำวันของตัวเราเลย เพราะฉะนั้นแค่เราพยายามที่จะตั้งอยู่บนพื้นฐานที่จะทำจิตใจของเราให้สว่าง ศิษย์ก็จะคิดออกว่าศิษย์ควรจะทำอย่างไร
กลับมาถึงคำถามที่ถามว่า “ทำไมเราเป็นคนมีบุญเยอะ ชาติก่อนๆ เราก็มีมาอย่างน้อยสามชาติ ปัจจุบันเราก็มีบุญเยอะ ทำไมเรายังแย่อยู่”  เพราะว่าเราเกิดมาพร้อมอายตนะของเรา อายตนะของเราทำงานตลอดเวลา ไม่มีเวลาหลับเลย ภาพที่เราเห็นเกิดจากตาและหูของเราประสานกันตลอดเวลา บางทีเราหลับตาไปแต่หูเรายังได้ยิน ภาพนั้นก็ยังทำงานเหมือนกัน สัญญาเก่าๆ ก็กลับมาบอกเราว่า อันนี้เป็นอย่างนี้ อย่างนั้น
เพราะฉะนั้นการที่เราจะล้างกิเลสที่มีอยู่ในจิตใจของเราจึงเป็นเรื่องยากมาก แต่ว่าคนที่เคยสำเร็จไปอยู่เบื้องบนนี้รวมทั้งอาจารย์ด้วย ทุกๆ คนนั้นล้วนเป็นมนุษย์มาก่อนทั้งสิ้น ฉะนั้นเมื่อคนอื่นทำได้ศิษย์ก็ทำได้ ถ้าหากคิดว่าศิษย์ทำไม่ได้ ก็จะไม่เรียกร้องให้ทำ ถ้าหากว่าลองทำแล้วยากก็ลองทำใหม่ เราจะเป็นคนดีขึ้นภายในเวลาหนึ่งปี ศิษย์จะกลายเป็นคนดีขึ้นภายในเวลาหนึ่งปี และศิษย์จะกลายเป็นคนที่สำเร็จธรรมได้เมื่อศิษย์ขาดลมหายใจ ทำได้ไหม (ได้)  ศิษย์ต้องลองดู ไม่ลองก็จะไม่รู้ ที่อาจารย์บอกว่าตาหูทำงานพร้อมกันตลอดเวลา ฉะนั้นศิษย์จึงมีอกุศลในจิตใจอยู่มากมาย มีคราบที่ฝังอยู่ในจิตวิญญาณของศิษย์เยอะมาก บางคนนั่งสมาธิเข้าฌานยังเห็นภาพในอดีตของตัวเองเลย เพราะตากับหูประสานกันทำให้เกิดภาพมากมาย เหมือนภาพที่ศิษย์เห็นปัจจุบัน ตอนนี้ให้ศิษย์หลับตาแล้วลองนึกถึงบ้านตัวเอง นึกออกไหม (นึกออก)
เพราะฉะนั้นมีสิ่งตั้งมากมายที่ศิษย์ทำอยู่ในอดีตชาติ เมื่อเราสั่งสมกลายเป็นภาพจะฝังอยู่ในใจ แล้วสามารถที่จะอยู่ได้นานมาก  ฉะนั้นตอนนี้จึงบอกว่า จริงๆ การให้บำเพ็ญธรรม ให้ล้างกิเลสเก่าๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ว่าทำได้ ทำได้แน่นอน แต่ต้องพยายาม หลังจากนี้พยายามใช้หูกับตาให้น้อย เรื่องผิดของคนอื่นก็อย่าไปพยายามดู เรื่องชาวบ้านก็อย่าไปพยายามฟัง เมื่อทำได้เช่นนี้ชีวิตก็เรียบง่ายมากขึ้น จริงหรือไม่
บางทีเราเห็นลูกของเรา แล้วเราไม่ถูกตาต้องใจ มันไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ มันเกิดขึ้นมาแล้ว มันเกิดขึ้นมานานแล้ว ใจเย็นๆ มันเกิดขึ้นมานานมาก บางทีนานไปถึงชาติที่แล้วด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นใจเย็นๆ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องลูก เรื่องไหนๆ ก็เหมือนกัน
บางทีก็มีเหตุการณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาให้เราแก้ไขความผิด ตอนที่เราจะเลือกทำคำตอบอีกครั้งหนึ่ง เราก็อย่าเลือกผิดอีกสิ ได้ไหม เหมือนเรื่องง่ายๆ ในครอบครัวก็คือ สามีภรรยาทะเลาะกัน ถามว่าทะเลาะกันครั้งที่เท่าไหร่ (นับไม่ได้)  ถามว่าเหตุการณ์วนซ้ำมาอีกครั้ง ถามว่าเราเลือกคำตอบผิดหรือถูก บ่นเรื่องเดิม พูดเหมือนเดิม เราก็ทำเหมือนเดิม เขาก็ทำเหมือนเดิม ใช่ไหม สนุกไหม (ไม่สนุก)  แต่ดูละครสนุกไหม (สนุก)  ละครสนุก แต่ชีวิตเราอย่าขำ ใครขำโกรธ เวลาที่ตากับหูทำงาน สมองเราก็จะมีความคิดมากมาย มีบางคนเป็นคนคิดมาก เป็นคนวิตกจริต เพราะฉะนั้นคนประเภทนี้ก็จะมีความคิดมาก คิดซ้ำแล้วซ้ำอีก คิดไม่หยุดไม่หย่อน เวลาคิดมากก็พูดเยอะ ไม่ใช่เฉพาะผู้หญิง ผู้หญิงบ่นเยอะหน่อย แต่เวลาผู้ชายบ่นน่ากลัวไหม
ฉะนั้นเมื่อเราฟังคนที่อยู่ในบ้านของเรา หรือเป็นคนที่ทำงาน หรือเป็นใครสักคนหนึ่งที่บ่นมากๆ เราทำอย่างไร ทะเลาะเลยดีไหม พูดถึงสิ่งที่ถูกต้องให้เขาฟัง เขาจะได้รู้สติสักที ใช่ไหม (ไม่)  เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าให้มองเห็นข้อดีในข้อเสียของคนๆ นั้น เมื่อเขาโมโห เราห้ามตอบโต้ ถ้าเราไม่เข้าใจเขา เราพูดอะไรเราก็ผิด เมื่อเราพูดถูกมันก็แปลว่าผิด ชีวิตยากไหม (ยาก)  หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง แต่ชีวิตนี้ หนึ่งบวกหนึ่งไม่เท่ากับสอง บางคนเกิดมาใช้หนี้ใครบางคน มันก็ไม่ใช่สอง เจ้ากรรมนายเวรที่น่ากลัวที่สุดคือใครรู้ไหม คือเจ้ากรรมนายเวรที่เกิดมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน นี่แหละน่ากลัวที่สุด พอเป็นวิญญาณอาจารย์ต่อรองให้ได้ แต่ตอนที่เขาเป็นมนุษย์แล้ว ต้องใช้วิธีการกล่อมเกลาจิตใจแบบนี้
เพราะฉะนั้นหากว่าศิษย์เองฟังธรรมะแล้วดีขึ้น ศิษย์ก็ต้องให้คนที่อยู่ที่บ้านของศิษย์ หรือคนที่ศิษย์รู้จักมาฟังธรรมะเช่นเดียวกัน ให้จิตสำนึกและพุทธะที่อยู่ในตัวตนของเขานั้นทำงาน เพราะว่าทุกวันนี้พุทธะไม่ทำงานเลย ตอนนี้ดับสนิทแบตเตอรี่หมด ตอนนี้เริ่มมีแบตเตอรี่ขึ้นหรือยัง ชาร์ตเข้าหรือยัง (เข้าแล้ว)  คนที่เป็นคนชอบวิตกกังวล บางทีก็เป็นคนที่เป็นอย่างนี้ พูดถึงเรื่องแบตเตอรี่ก็นึกขึ้นมาได้ ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ คิดว่าปัญหาอะไรก็แก้ไม่ได้ โทรศัพท์ดังก็รีบรับเลย Line ดังปุ๊บรีบดึงขึ้นมาดูทันที วันๆ ก้มหน้าทั้งวันเลย ไม่มีอะไร แต่ดูทั้งวันเลย จริงไหม (จริง)  เราเป็นคนอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนี้แสดงว่าเป็นคนช่างวิตกกังวลนะ
จะพูดบอกว่า ทุกวันนี้ที่ชีวิตนี้ยังไม่ดี เพราะว่าเราทำบุญมากแต่เรามีกรรมเยอะ กรรมเกิดจากอะไร (การกระทำ)  ก็เกิดจากการพูด จากการกระทำ เกิดจากการที่เรานั้นไม่ยอมที่จะรู้สึกว่าตัวเองผิด ถ้าเรารู้สึกว่าตัวเราผิดสักนิดหนึ่ง เราก็จะแก้ไขตัวของเราทันที
อาจารย์ยกตัวอย่างเช่น ศิษย์ของอาจารย์นั้นเหยียบอยู่บนน้ำ แล้วข้างๆ เป็นพื้นที่แห้ง ศิษย์จะยืนแช่น้ำอยู่อย่างนี้ไหม (ไม่)  ศิษย์ก็จะต้องขึ้นไปในที่แห้ง แต่นั่นหมายความว่าศิษย์ต้องรู้สึกนะว่าขาของตัวเองเหยียบอยู่บนน้ำแฉะๆ ถ้าหากว่าศิษย์ไม่รู้สึกตัว ใครจะเรียกศิษย์ขึ้นมา ศิษย์ยอมขึ้นไหม (ไม่ยอม)  มีบางคนคิดว่า ขึ้น ขึ้นอยู่แล้วมาเตือนสิ แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว มีคนเตือนตลอดเวลา แต่ความเข้าใจต่อน้ำและที่แห้งของศิษย์กับอีกคนหนึ่งไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นเมื่อไม่เท่ากัน ต่อให้เขาบอกว่านั่นคือเปียก ศิษย์ก็ไม่เข้าใจ
อาจารย์ถึงบอกว่าวันนี้อาจารย์มาช่วยศิษย์ เพราะว่าศิษย์นั้นไม่รู้ว่าศิษย์ควรได้รับการช่วย แต่ตอนนี้เมื่ออาจารย์มาช่วยศิษย์แล้ว อาจารย์เตือนว่านั่นคือที่แฉะ ให้ศิษย์ขึ้นมา ศิษย์จะเชื่อหรือเปล่า อันนี้ก็ยังเป็นความเข้าใจที่แตกต่าง ถ้าไม่เข้าใจ ให้พยายามที่จะศึกษาให้มากๆ ก็แล้วกัน


(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรมร่วมวงพระโอวาท)
วงคำว่าอะไร (หลัก)  หลักหมายความว่า จริงๆ แล้วศิษย์มีความสามารถในการเป็นหลักได้นะ แต่ว่าต้องแบ่งเวลาทางโลกทางธรรมให้ดี เพราะว่าความสามารถของเราเยอะ ถ้าศึกษาธรรมมากๆ ปัญญาที่มีอยู่ก่อนเก่า จะไหลพรั่งพรูออกมา ทำได้ไหม (ทำได้)
จะรับธรรมะต้องมีบุญมาอย่างน้อยสามชาติ ถ้าเป็นสามีภรรยากันต้องมีบุญมากี่ชาติ อย่างน้อยชาติที่แล้วต้องทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน จำได้ไหม ต้องพยายามรักษาอารมณ์ของเราให้ดี รักษากายใจของเราให้บริสุทธิ์ พยายามที่จะใจเย็นๆ ทำได้ไหม ทั้งคู่นะ บ่นแต่พองาม คิดเยอะบ่นเยอะ ไม่หลับไม่นอนยิ่งบ่นเยอะเลย เข้าใจไหม เพราะฉะนั้นให้นอนหน่อย จะได้บ่นน้อยๆ ทำได้หรือเปล่า ถ้าไม่ยอมหลับยอมนอน ถ้าไม่ใช้ชีวิตให้เป็นปกติ อาจารย์ก็ไม่ได้ให้เลิกหายไอง่ายๆ ไอเป็นการเตือน อารมณ์ยิ่งเสียยิ่งไอใช่ไหม จริงไหม (จริง)  ไอเป็นการเตือน อาจารย์ไม่ได้ให้โรคนี้กับศิษย์ แต่ศิษย์ทำให้ร่างกายของศิษย์เป็น เพราะฉะนั้นการที่เราไอมากก็เตือนมาก
อาจารย์จะบอกว่าช่องทางการทำบุญกุศล ตอนนี้มีเยอะ เพราะเนื่องจากว่าเรามีสถานธรรม หลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง คนอื่นอาจไม่ได้ทำ แต่เรานั้นได้ทำ ทำแล้วอย่ายึดติดในบุญกุศล ศิษย์ไม่ต้องร้องไห้ เพราะร้องไห้แล้วจะฟังไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีช่องทางในการทำบุญกุศลมาก ก็ต้องรักษาโอกาสให้มาก อย่าให้เสียโอกาสที่เบื้องบนมอบให้ คนในนี้ทั้งหมด เมื่อเขาเข้าใจธรรมะ ก็เป็นกุศลของเรา ถ้าเราทดสอบให้เขาห่างหายไป ก็เป็นบาปของเรา เข้าใจนะ
เป็นสามีภรรยา มีบุญกันมาอย่างน้อยหนึ่งชาติแล้ว ฉะนั้นต้องส่งเสริมสามีให้ดี ส่งเสริมภรรยาให้ดี ต้องต้องเสริมญาติพี่น้องให้ดี ทำได้ไหม อดทนอดกลั้น จนกว่าความอึดอัดในใจมันจะหายไปเอง ไม่ใช่ว่าเราไปโยนทิ้งนะ ไปโยนทิ้งที่ไหนเดี๋ยวมันก็กลับมาหาเรา แต่ถ้าทำจนกระทั่งมันอึดอัด มันหายไปเอง เพราะเราเอาชนะใจตัวเองได้ โลกนี้ไม่มีอะไรที่เราเอาชนะไม่ได้ รักษาสุขภาพด้วยทั้งสองคน สุขภาพสำคัญมาก ไม่มีร่างกาย ไม่มีสังขาร ทำงานธรรมะไม่ได้ อยากทำอะไรก็ทำไม่ได้ ถึงตอนนั้นใจไปแต่ตัวไม่ไปแล้ว เข้าใจนะ
เรามาว่ากันถึงเรื่องของ “กิเลส” ที่อาจารย์พูดบอกว่าตัดกิเลส กิเลสมีอยู่ ๕ ประเภท มีวิธีการอธิบายถึงกิเลสหลายแบบ แต่ว่าเราพูดถึงกิเลส ๕ ได้แก่
๑.            อาหาร
๒.            นอนหลับ
๓.            กามารมณ์
๔.            ชื่อเสียง
๕.            ลาภยศ (เงินทอง)
มีกิเลสอยู่ ๕ ประเภท
“ชื่อเสียง” เป็นสิ่งที่พวกเราต้องการ ต้องการให้คนอื่นเคารพรัก เข้าใจเราใช่หรือเปล่า ต้องการให้คนอื่นชม ต้องการให้คนอื่นมองเราเป็นคนที่พิเศษ
“ลาภยศ (เงินทอง)” เราก็ต้องการ อยากจะซื้อลอตเตอรี่ให้ถูก อยากจะได้เงินเยอะๆ ฝันเฟื่องไปถึงเงินทองเป็นพันล้าน เฉพาะสองอย่างนี้ เราก็วิ่งวงเหมือนหนูติดจั่น ไม่ยอมหยุดไม่ยอมหย่อนแล้ว ใช่หรือเปล่า
อีกสองอย่างบนล่ะ (ข้อ ๑ และ ๒)  ทุกวันเราหาเงิน สิ่งที่เราให้จ่ายเป็นจำนวนมากก็คือ เรื่องกิน ขี้เกียจก็ไปหาซื้อกิน ขี้เกียจล้างผักก็มีคนล้างให้ เพราะฉะนั้น “อาหาร” ก็เป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตมากๆ เลย แล้วอาหารก็มีหลายเกรด หลายระดับ แต่ส่วนใหญ่เกรดกับระดับมาจากอะไร บางทีก็มาจากการบรรจุหีบห่อ (Package)  แล้วเราก็หลงไปซื้อสิ่งที่แพง พอซื้ออาหารแพง ก็กลับมาเรื่องลาภยศเงินทองใหม่ พอกินแล้วเดี๋ยวไม่น่าดู เดี๋ยวคนอื่นเค้าหาว่าเราจน ก็กลับมาเรื่องชื่อเสียงใหม่ พอกินมากเกินไปนอนไม่หลับ หรือจ่ายมากเกินไปนอนไม่หลับ ก็กลับมาเรื่องการ “นอนหลับ” ใหม่ เครียดต้องจ่ายเงินก็กลับมาเรื่องเงินทองใหม่ เครียดมากเกินไปก็กลับไปกินใหม่ เสร็จแล้วอุปกรณ์เครื่องครัวไม่สมใจ กระทะไม่ดี หม้อไม่ดี ก็ไปซื้อใหม่ แล้วก็กลับไปที่ต้องการเงินใหม่ กลับไปนอนไม่หลับใหม่ ใช่หรือไม่
เสร็จแล้วเรื่อง “กามารมณ์” เป็นอย่างไร กามารมณ์ คือการติดในรูป ในเสียง ในสัมผัส ชอบสิ่งที่สวยงาม เมื่อสวยงามก็กลับมาเรื่องการหาเงินใหม่ เสร็จแล้วนอนไม่หลับใหม่ แล้วก็กลับไปกินใหม่ สรุปว่าอันนี้เป็นกิเลสไหม เป็นกิเลสติดดิน คือเป็นกิเลสที่เรามีอยู่ทุกวัน ทั้งหมดนี่รวมกันได้มาหนึ่งคำคือ “เหนื่อยจะตายแล้ว” ทุกวันก็เหนื่อยให้กับเรื่องพวกนี้ใช่หรือเปล่า เคยมีไหมเสื้อขาดแล้วไปเย็บ ผู้หญิงที่ส่ายหน้าเรื่องเย็บเสื้อนี่ไม่ถูกนะ เคยมีไหมอาหารก็ปลูกเอาเองบ้าง เคยมีไหมกินง่ายๆ โดยไม่ต้องกินหรูหรามาก กินที่มันซับซ้อนมาก พอเป็นโรคก็เป็นโรคที่ซับซ้อน
เพราะฉะนั้นชีวิตขึ้นอยู่กับตัวเรากำหนดเองถูกไหม หมอดูดูเราได้ไหม ชีวิตชะตากรรมเปลี่ยนทุกวันเลยนะ เพราะฉะนั้นเราจะกำหนดชีวิตของเราไปทางไหน เราต้องมาเริ่มตั้งใจที่จะมากำหนดชีวิตของเราตั้งแต่วันนี้ ทำได้ไหม ถ้าหากว่าทำไม่ได้ ชีวิตนี้ก็ยังมีความทุกข์อยู่บ้าง ทุกข์สุขคละเคล้าปะปน แต่ถ้าหากว่าศิษย์ทำได้ ศิษย์ก็จะเป็นคนที่สงบท่ามกลางความวุ่นวาย อันนี้ดีกว่าไหม ความวุ่นวาย ความทุกข์ที่อยู่ภายนอก ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนสร้างให้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นวัตถุนอกกายหมุนไปๆ แต่เรานิ่งอยู่ตรงกลาง เพราะว่าอะไร เพราะว่าความสุขไม่ได้เกิดจากการเอาใจนั้นไปจับสิ่งของต่างๆ มาเป็นของเรา ความสุขเกิดจากภายในพรั่งพรูเปล่งสำแดงออกมา
เมื่อวันใดศิษย์รู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเอง เมื่อวันใดที่รักตัวเองและให้อภัยตัวเอง ศิษย์ก็จะได้ความสุขนั้น ทำได้ไหม
มีอีก ๔ อย่างที่อาจารย์จะให้ทำ เรียกว่า “๔ อ”
๑.            อาหาร
๒.            อากาศ
๓.            ออกกำลังกาย
๔.            อารมณ์
ทั้ง ๔ อย่างนี้ให้ศิษย์ไปทำ แล้วสุขภาพจิต สุขภาพใจ สุขภาพร่างกาย ก็จะดีขึ้น
“อาหาร” คือ ให้กินน้อยๆ กินสักเจ็ดส่วนพอ เรากินอิ่ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ถูกไหม แต่บางคนกินมากกว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ให้กินแค่เจ็ดส่วนพอ ให้เหลือที่ไว้ให้กระเพาะย่อยอาหาร อาหารให้กิน ๗๐ เปอร์เซ็นต์ เคี้ยวเยอะๆ เคี้ยวไปเรื่อยๆ แล้วกินช้าๆ เวลากิน อย่ากินไปคิดไป
“อากาศ” ออกไปข้างนอกโดนแดดบ้าง แต่ถ้าโดดแดดมากเกินไปก็เข้ามาหลบแดดบ้าง อย่าหมกมุ่นอยู่ในที่ที่หนึ่งนานๆ นั่งนานๆ ก็ลุกขึ้นมาบิด เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง
“ออกกำลังกาย” อันนี้เป็นการหาเงินให้สุขภาพ เพราะว่าไม่มียาขนานไหนที่ดีกว่าการออกกำลังกายเลย ป่วยปุ๊บ ไปหาหมอ หมอจ่ายยามาปุ๊บ แล้วกินมากๆ ร่างกายก็ผิดปกติ แต่ไม่กินยาก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นไปออกกำลังกายซะ ออกกำลังกายที่เหมาะสมกับตัวเอง จะเดินก็ได้ จะวิ่งก็ได้ แต่ว่าบางคนบอกว่าทำงานๆ ก็เหมือนการออกกำลังกาย ทำเสียจนหลังขดหลังแข็งยืดไม่ขึ้นเลย เพราะฉะนั้นตอนทำงานกับออกกำลังกายไม่เหมือนกัน ถ้าทำไม่ได้ให้เริ่มวันละ ๕ นาที ถ้าทำได้ ๑๐ นาที ถ้าทำได้วันละครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าทำไม่ได้ให้ทำอาทิตย์ละ ๒ ครั้งๆ ละครึ่งชั่วโมง
ข้อที่ ๔ “อารมณ์” มีอะไรบ้าง รัก โลภ โกรธ หลง อันนี้อารมณ์ที่เกิดขึ้นทุกวัน แต่ว่าอารมณ์เราจะดีขึ้นตอนไหน บางคนเหมือนเอาหินไปทับหญ้า เวลาทับหญ้าเสร็จหญ้าตายไหม ประสบความสำเร็จไหม เวลาเอาหินออกหญ้าก็ขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นการเอาชนะอารมณ์ตัวเอง จึงเป็นการมองดูจิตใจของเรา
พื้นฐานของจิตใจของทุกคนเป็นความว่างอยู่แล้ว เชื่อไหมว่าพื้นฐานของจิตใจของเราคือความว่าง แค่เราเอาอายตนะของเรานั้นมองอารมณ์ของเรา เมื่อเข้าใจว่านี่คืออายตนะ นั่นคืออารมณ์ มองแล้วมองไปเรื่อยๆ อารมณ์ก็จะหายไป กลายเป็นความว่างโดยอัตโนมัติ ปกติเราเห็นคนอื่นโกรธ เรามองคนอื่นโกรธใช่ไหม น่าดูไหม (ไม่น่าดู)  เวลาเราโกรธล่ะ เอาอะไรมาดู ถ้าเราไม่รู้จะเอาอะไรมาดู ให้ไปยืนอยู่หน้ากระจก ใช้ตาคู่นี้ไปมองกระจก จะหายโกรธทันทีเลย เพราะมันไม่งาม เพราะฉะนั้นให้เอาตาของเราไปมองความโกรธของเราก็ได้ แต่ไม่ใช่ใช้ตานอก ให้ใช้ตาใน เมื่อมองไปมองมา ความโกรธก็จะหายไป อย่าลืมให้พุทธะในจิตใจสอนด้วยว่าวันหลังอย่าโกรธ เพราะว่าคนที่สอนเราที่ดีที่สุดคือตัวของเราเอง
อาจารย์หวังว่าอาจารย์เก็บขยะในใจของศิษย์ออกมาแล้ว เปิดไฟให้ใจของศิษย์สว่างแล้ว ตอนนั้นอย่าปล่อยให้ฝุ่นมาจับไฟของศิษย์จนกระทั่งมันดับมอดหรือมืดลงไปอีก อย่าเอาขยะอะไรก็ไม่รู้ มาใส่ใจของศิษย์ไว้ จนกระทั่งมันเต็มไปหมดอีก ให้ใจของศิษย์นั้นกว้างขวาง ใหญ่โต มีที่ว่างให้เวไนยได้วิ่งเล่นบ้าง จำไว้ว่ายิ่งช่วยคนอื่นแปลว่ายิ่งช่วยตัวเอง ทุกครั้งที่บอกหรือพูดธรรมะให้คนอื่นฟังก็เป็นการพูดให้ตัวเองฟังด้วย ฉะนั้นอย่าลืมว่าเราคือพุทธะ มาว่างๆ ไปว่างๆ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนโอวาทคำว่า “ปัญญาดี”)
วันนี้อาจารย์ให้โอวาทซ้อนโอวาทว่า “ปัญญาดี” เพราะว่าศิษย์ในที่นี่ทุกคนเป็นผู้มีปัญญาดี ศิษย์เป็นผู้มีบุญเยอะ มีปัญญาดี เรามีบุญต่อกัน เราจึงมาเจอกันในวันนี้ อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์จะใช้ปัญญาในการบำเพ็ญธรรม แน่นอนศิษย์อาจจะยังไม่เข้าใจ อาจารย์ก็ขอให้ศิษย์นั้นตั้งใจศึกษา ลงแรงไปขัดเกลาจิตใจของตัวเอง ฝึกฝนตัวเองทุกวัน ยิ่งลงแรงศิษย์ก็จะยิ่งไม่ขาดทุน อาจารย์คงไม่ได้หวังมากไปใช่ไหม
อย่าลืมว่าอาจารย์นั้นคอยศิษย์ทุกคน รักศิษย์ทุกคน ศิษย์เหนื่อยอาจารย์ก็เห็น เวลาศิษย์ทุกข์อาจารย์ก็เห็น ยิ่งเวลาศิษย์ยิ่งทุกข์ใจยิ่งวนเวียน อาจารย์ก็ยิ่งอยากจะที่ดึงศิษย์นี้ให้ขึ้นจากทะเลทุกข์ให้เร็วๆ
ศิษย์รู้ไหม จิตวิญญาณของศิษย์นั้นเหมือนตกน้ำ ช่วยตัวเองดีไหมศิษย์ รักตัวเองดีไหมศิษย์ ยอมให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายดีไหมศิษย์ อาจารย์พูดเพราะอาจารย์มองเห็นว่าศิษย์นั้น ทุกคนมาจากเบื้องบนแดนเดิมนั้นดีแค่ไหน อาจารย์ยังมองไปเห็นภาพ เห็นศิษย์ทุกคนกลับไปพร้อมกับอาจารย์แล้ว อย่ายอมให้กิเลสใดๆ มาพันขา พันใจไว้ กลับคืนไปกับอาจารย์ ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี โลกนี้ไม่มีอะไรน่าเสียดายเลย อะไรก็ปล่อยได้อะไรก็วางได้ อะไรก็ช่างมัน อะไรก็ช่างเขาไปได้ อย่าไปหมดหัวใจ หมดเวลากับสิ่งเหล่านี้
อาจารย์รักศิษย์มาก หวังว่าศิษย์นั้นมีแต่เส้นทางที่สว่างไสว ตั้งใจบำเพ็ญนะ หมั่นเก็บกวาดจิตใจของตัวเองทุกๆ วัน การบำเพ็ญไม่ได้ง่ายแต่รับรองว่าไม่ยากเกินความพยายามของศิษย์แน่นอน เจอกับอาจารย์ทุกครั้ง รักษาสุขภาพดีๆ นะศิษย์นะ


วันอาทิตย์ที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘    สถานธรรมประสาสุข ประเทศสหรัฐอเมริกา
พระโอวาทท่านหนันจี๋เหล่าเซียนอง

  ใช้กระจกส่องเห็นเสื้อผ้าอาภรณ์
ใช้อดีตส่องเห็นอนาคต
ฟังคำติเตียนตักเตือนส่องเห็นตัวเอง
             เราคือ
หนันจี๋เหล่าเซียนอง                    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่แดนศิวิไลซ์ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว    ถามหลานน้อยน้อย มีความสุขหรือเปล่า

แต้มรอยยิ้มบนคำพูดอ่อนหวาน ให้บุญและทานเป็นสุขในใจ
โปรดฟังเสียงเพรียกของใจ สุขทุกข์อะไรพลันหายเรียบ เพียงละวางปลงใจสบาย
ให้ดีทุกวันไม่ใช่ความฝัน ให้วันทุกวันพลันเปี่ยมความหมาย อย่าติดยึดอันใดใด สับสนอะไรไม่เข้าใจ เพียงรู้ตามจริงใจถึงว่าง
ความเปลี่ยนผันนั้นก็เป็นปรัชญา บางเวลานั้นเรียกความผิดหวัง
เป็นปัญหายากหากใครไม่ยอมปล่อยวาง การจะหวังมิควรสุดใจ
แค่คนคิดดีใจก็สุขสันต์ ปล่อยความคิดอันใดอยู่นานไป มากะเทาะ
มาเคาะใจ ความคิดหมดไปตอนไหนเนี่ย ชีวิตดีขึ้นเพราะกล้าวาง
ทำนองเพลง : 夜来香 (เหย่ ไหล เซียง)
ชื่อเพลง : ธรรมงาม คนงามกว่า
พระโอวาทท่านหนันจี๋เหล่าเซียนอง
สวรรค์เบื้องบนก็มีความสุขแบบไม่กังวล ไม่วิตกกังวล ไม่ทุกข์ไม่ร้อน มีความสุขสบายใจ ไม่ต้องห่วงว่าแอร์จะไม่เย็น อยากมีความสบายใจแบบนี้ทุกวันไหม ทำอย่างไรถึงจะมีความสบายใจในทุกๆ วัน อยู่เฉยๆ ก็สบายใจเองหรือเปล่า แล้วอยู่เฉยๆ ก็เดินกลับขึ้นสวรรค์ไปได้หรือเปล่า จริงๆ แล้วการกลับขึ้นสวรรค์ ก็เหมือนการทำงานหาเงินนั่นแหละ ต้องเข้าใจชีวิต เข้าใจแล้วก็กำหนดชีวิต กำหนดได้แล้วก็ทำตามที่ตัวเองกำหนดไว้ กำหนดแล้วทำให้ดีจนลมหายใจสุดท้าย เรื่องก็มีอยู่แค่นี้เอง
เพียงแต่ว่าจะว่าง่ายก็ไม่ง่าย จะว่ายากก็ไม่ยาก เป็นเพราะว่าหลานๆ นั้น ทั้งดื้อ ทั้งซน ตาก็หลอกแหลกไปมา อยู่เฉยๆ ก็ไม่เป็น พูดดีๆ กันได้ไม่เท่าไหร่ ใจร้อนใจเร็ว บอกว่าสิ่งนี้ดีก็ไม่ยอมเอา บอกสิ่งนั้นไม่ดีก็วิ่งเข้าใส่ อันนี้เป็นโรคชนิดหนึ่งของมนุษย์ เป็นโรคที่ไม่ต้องใช้ยารักษา แต่ต้องใช้ใจของตัวเองเป็นผู้รักษา ถ้าใจดวงนี้เป็นหมอที่ไม่ดี ไม่ยอมศึกษาธรรมะ ไม่รู้ชีวิตตัวเอง การกำหนดชีวิตก็ดูเหมือนจะวุ่นวายไปหมด ถนนเส้นทางตรงๆ ก็เดินคดไปคดมา แวะนั่นแวะนี่ สนใจสิ่งนั้นสนใจสิ่งนี้ เห็นไหมว่าร่องรอย ริ้วรอยบนใบหน้า ผมที่ขาวขึ้นมาทีละเส้นทีละเส้น หัวที่ล้านขึ้นไปทุกที สายตาก็ยาว ปวดนั่นปวดนี่ ปวดขาปวดเอว เคยเป็นสาวๆ ไม่อ้วนลงพุง ตอนนี้ก็เอาไม่อยู่แล้ว ดูสิว่าแก่หรือไม่แก่ เป็นผู้ชายเคยมีกำลังวังชา ยกอะไรก็ได้ หยิบอะไรก็เบาเหมือนจะปลิว ตอนนี้สังขารก็ไม่อำนวยเท่าเก่าแล้ว ทำไมบังคับสังขารไม่ได้ ทำไมไม่เป็นตามสั่ง ตามใจเรา ก็เพราะเวลาไม่คอยใคร ชีวิตนี้ไม่แน่นอน สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือความไม่แน่นอน
ฉะนั้นจะเอาอะไรกับชีวิตนี้ อยากจะให้ชีวิตนี้ไปทางไหนรู้หรือยัง สิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละองค์ เวลามาชอบพูดถึงสวรรค์ให้ฟัง เราผู้เฒ่าก็ชอบพูดถึงสวรรค์ให้ฟัง บนสวรรค์มีความสุข แต่ไม่สนุกก็ตอนบำเพ็ญเป็นมนุษย์ เพราะว่าต้องเอาชนะตัวเองตลอดเวลา เอาชนะคนอื่นไม่เคยชนะ เอาชนะตัวเองยิ่งไม่ชนะ เอาชนะตัวเองนี้ เอาชนะอย่างไร จะทุบจะตีเขาไหม จะให้อภัยตัวเองได้ไหม ให้ความสันติและให้ความรักแก่ตัวเอง จากนั้นค่อยให้ตัวเองค่อยๆ เดิน เข้าใจทุกสิ่งรอบข้าง เข้าใจทุกคนรอบกาย ไม่โกรธไม่โทษไม่บ่นใคร ยอมได้ก็ยอม ทำใจได้ก็ทำใจหน่อย เพราะทุกๆ อย่างในทุกๆ เรื่องราวของชีวิตแต่ละคน ความทุกข์ในขณะนั้น ในหัวใจมีไม่เท่ากัน บางคนคิดได้เร็ว บางคนคิดไม่ได้เลย
ฉะนั้นหลานจะทุกข์ทำไม ทำไมไม่อยู่อย่างมีความสุข ความสุขง่ายดาย สวรรค์ใครๆ ก็อยากไป แต่ทุกวันพาตัวเองไปตกนรก วันนี้เราผู้เฒ่ามาเพราะว่าอยากจะเตือนแล้วเตือนเล่า แบบคนแก่ที่บ่นแล้วบ่นอีก พูดแล้วพูดอีก ไม่รู้ว่าจะเบื่อหรือเปล่า หากว่าไม่เบื่อ หลังจากวันนี้ให้เริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นให้ดี เริ่มต้นให้สว่างสดใส ให้ชีวิตนี้มีชีวิตชีวา สมกับที่ยังไม่เป็นคนแก่ ให้ดื้อให้ซนเพื่อการศึกษาธรรม อย่าดื้ออย่าซนเพื่อดิ้นรนลงไปนรกอีกเลย


“ใช้กระจกส่องเห็นเสื้อผ้าอาภรณ์
ใช้อดีตส่องเห็นอนาคต
ฟังคำติเตียนตักเตือนส่องเห็นตัวเอง”
ฟังคำติเตียนตักเตือนส่องเห็นอะไร เวลาคนติเตียนตักเตือนชอบไหม เธอไม่ดี นิสัยไม่ดี กำลังโกรธรู้ตัวไหม โกรธทำไม ตอนนั้นคิดอะไร ไม่โกรธ ไม่เลย เป็นอย่างนี้ประจำเลยใช่ไหม ยิ่งถ้ามีคนมาพูดจี้ใจดำ พูดเสียงสูงเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อฟังคำติเตียนตักเตือนจะส่องเห็นอะไร ส่องเห็นตัวเองใช่หรือเปล่า คนดีๆ ไม่ค่อยกล้าพูด แต่คนที่พูดกับเราว่าเราไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ชอบพูดบ่อยๆ พูดเยอะๆ ใช่หรือเปล่า เหมือนเขาตั้งใจจะว่าเราอย่างไรอย่างนั้นเลย ฉะนั้นคนที่ชอบมาเป็นกระจกให้เรา แต่เราไม่อยากได้กระจกนี้ มักจะเป็นคนที่เราไม่ถูกใจเอาซะเลย อย่าหงุดหงิด อย่ารำคาญดีไหม (ดี)  แล้วอย่าว่าเขาดีไหม ถ้าหากว่าเราไม่ใช่ ว่ายังไงก็ไม่ใช่ ถ้าหากว่าเราใช่ ทำเสียงสูงแค่ไหนก็ใช่อยู่ดี
เพราะฉะนั้นเวลาพูดต้องรู้ไว้ว่าพูดอะไร พูดแค่ไหนพูดขนาดไหนพูดทำไม พูดแล้วได้อะไร พระพุทธรูปส่วนใหญ่ที่เขาปั้นขึ้นมา ไม่เคยมีที่ปั้นพระพุทธรูปแบบอ้าปาก ถูกหรือเปล่า เวลาอ้าปากก็คือยิ้มอย่างเดียว ไม่รู้ว่าตอนที่พระพุทธรูปบ่น ไม่รู้จะปั้นอย่างไร อย่างนี้หลานๆ จะสามารถบำเพ็ญเป็นพุทธะได้หรือเปล่า จะให้เขาปั้นตอนไหนดี ปั้นตอนโมโห ตอนทำตาโตๆ หรือว่าปั้นตอนกำลังบ่นอยู่ หรือว่าปั้นตอนที่นั่งโดยไม่มีหลัง คือ นั่งแล้วมีลักษณะเอนไปเอนมา
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม)
วันนี้ยิ้มหรือยัง (ยิ้มแล้ว)  กลับไปแล้วก็ต้องยิ้มทุกวัน ยิ้มออกจากใจ หากใจยังไม่ยิ้ม ก็ต้องทำให้ใจยิ้มให้ได้ เริ่มจากภายนอกยิ้มก่อน เข้าไปสู่ภายในยิ้มให้ได้ หากว่ายังไม่ยิ้ม แสดงว่ากำลังทุกข์ กำลังเครียด ดังนั้นต้องนำธรรมะมากล่อมเกลาจิตใจ ต้องถามตัวเองว่าทุกข์ทำไม เครียดอะไร มีทางออกไหม ถ้าเครียดกว่านี้ แล้วหาทางออกพบไหม หากว่าไม่พบก็อย่าทุกข์อย่าเครียด ทำตัวเองให้มีความสุข เพราะโชควาสนามักอยู่กับความสุข หากเราไม่มีความสุข โชควาสนาก็ไม่มีทางจะมาอยู่ด้วย เข้าใจไหม เหตุผลง่ายๆ แต่ว่าต้องทำให้ได้
เมื่อวานนี้ พระอาจารย์จี้กงของท่าน ให้พระโอวาทคำว่า “ปัญญาดี”
ใช่ไหม ดังนั้น จะพูดเรื่องปัญญาให้ฟัง ปัญญานั้นจะมาพร้อมหรือจะไปได้ดีเมื่อเรามีความอดทน ความอดทนในที่นี้หมายความว่า อดทนในสิ่งยากที่จะทน อดทนในสิ่งที่คนอื่นอดทนไม่ได้ เพื่อที่เราจะสร้างสิ่งที่ดีงาม ยิ่งเราสามารถที่จะทนได้ดีมากเท่าไร ปัญญาก็จะเกิดขึ้นได้ดี เพราะว่าเราใช้ความอดทนในการสร้างปัญญานี้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  แต่คำว่าปัญญา มักจะมีสัดส่วนที่ผกผัน จากคำว่า ศรัทธา คนที่มีศรัทธาสูง ก็มักจะมีปัญญาน้อย เมื่อมีปัญญามาก ส่วนใหญ่ก็ศรัทธาน้อย เป็นเพราะว่าคำนวณ วิเคราะห์พิจารณา
ฉะนั้นเราผู้เฒ่าแนะนำว่า ให้ใช้ปัญญาเป็นตัวนำทาง แล้วใช้ศรัทธาเป็นแรงขับเคลื่อน คนมีปัญญามาก ซึ่งในที่นี้มีหลายคนเป็นผู้มีปัญญามาก ขอให้อย่าคิดถึงเหตุผลมากเกินไปจนทำอะไรไม่ออก ให้ใช้ความเข้าใจ เข้าใจตัวเอง เข้าใจผู้อื่น เข้าใจหลักธรรม เมื่อเข้าใจแล้ว จะสามารถเดินหน้าไปอย่างไม่ถูกกฎเกณฑ์บังคับ เมื่อรู้ว่าคนอื่นกำลังบังคับเรา เพราะว่าความเข้าใจไม่เหมือนกัน เหตุผลไม่เหมือนกัน เราอาจใช้ปัญญามากเกินไป หรือเขาอาจจะใช้ศรัทธามากเกินไป ยิ่งคุยกันก็ยิ่งไม่รู้เรื่อง โจทย์ข้อเดียวกัน คือ ธรรมะ แต่เวลาตอบ ตอบไม่เหมือนกันสักคนเดียว ต้องเข้าใจว่าธรรมะ คือ ธรรมชาติ เมื่ออยู่กับคนที่มีปัญญามากเกินไปก็มีคำตอบหนึ่ง อยู่กับคนที่มีศรัทธามากเกินไปก็มีคำตอบหนึ่ง เพียงแต่ระยะทางเดินของคนสองคนนั้นไม่เท่ากัน เช่น คนนี้อยู่ห่างมากหน่อย ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ ส่วนคนนี้อยู่ใกล้หน่อย ก็เข้าใจมากหน่อย ฉะนั้นคนที่เดินเข้าไปใกล้หน่อย ก็จงเข้าใจคนที่เดินยังห่างหน่อย เมื่อเข้าใจซึ่งกันและกันแล้ว ทำอะไรก็ไม่ยาก คุยกันก็รู้เรื่อง มองตาก็รู้ใจ ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้ ขอให้คิดว่าตัวเองนั้นบวชแล้ว เรียนแล้ว เป็นพระในคราบฆราวาส เมื่อจะไปพบใคร จะพบฝนลมแรง พบอุปสรรคชีวิต พบเหตุการณ์ที่ไม่สมใจ หรือพบบุคคลที่ไม่เข้าตาไม่เข้าใจ ก็ต้องรู้ว่าเราจะทำดี ทำได้ไหม (ได้)  บำเพ็ญธรรมนั้นไม่ยาก แต่จะยากตอนเริ่มต้น เมื่อเริ่มแล้วหนึ่งก้าว เพียงแค่หนึ่งก้าว เรื่องทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น ถ้าไม่เริ่มก็จะยากตลอดไป
ให้เพลงไว้หนึ่งเพลงเป็นที่ระลึก เพลงนี้ใครร้องได้ก็ร้อง ใครร้องไม่ได้ก็ฮัมไป เพราะว่าเพลงนี้ก็เหมือนทำนองเพลงจีน 夜来香 (เหย่ ไหล เซียง) ร้องไปก็คิดไป ความหมายจะช่วยเยียวยาจิตใจ เหมือนกับการรักษาด้วยยา ดีไหม (ดี)
จะเล่านิทานให้ฟังนะ มีอาจารย์ท่านหนึ่งบอกศิษย์บอกว่า ให้ไปบำเพ็ญที่ภูเขาลูกนั้น แล้วเจ้าจะสำเร็จธรรม ศิษย์ก็ขึ้นไปบำเพ็ญจนลมหายใจสุดท้ายขาดหายไป ก็ยังไม่สำเร็จธรรม วิญญาณก็กลับมาเอาเรื่องกับอาจารย์ทันที ทำไมถึงไม่ได้สำเร็จธรรมตามที่อาจารย์พูดล่ะ อาจารย์ก็บอกว่า ตอนที่ชี้ให้ดูบอกว่าไปที่ภูเขาลูกนั้น แล้วเจ้าจะสำเร็จธรรมนี่ ในขณะพูดไปอาจารย์และศิษย์นั้นยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ศิษย์นั้นในขณะที่รับฟังคำสั่งของอาจารย์ มีแมงมุมตัวหนึ่งปล่อยใยลงมา ทำให้ตัวของเจ้านั้นหันไปมองที่แมงมุมตัวนี้ เมื่ออาจารย์ชี้ไปตรงหน้า บอกว่าภูเขาที่อยู่ตรงหน้า เจ้าก็มองอยู่เหมือนกัน แต่ว่ามองไปตามแมงมุม แล้วเข้าใจว่าตรงหน้าของเจ้านั้นก็คือทางทิศนี้ออกไป เจ้าไม่ได้มองตามที่อาจารย์นั้นชี้ให้ดู ฉะนั้นเมื่อเจ้าขึ้นภูเขาผิดลูก ตลอดชีวิตต่อให้บำเพ็ญอย่างเคร่งครัดแค่ไหน ก็ไม่สามารถที่จะบำเพ็ญสำเร็จธรรมได้
เหมือนกันกับชีวิตของหลานทั้งหลาย พวกเจ้าก็มีก้อนหินก้อนกรวดที่ติดอยู่ในรองเท้า พวกเจ้านั้นก็มีสิ่งที่ติดค้างคาใจ ที่บำเพ็ญธรรมแล้ว แต่ถ้าขึ้นภูเขาผิดลูก บำเพ็ญเท่าไรก็ไม่มีทางสำเร็จ คนบำเพ็ญธรรมจึงพูดเสมอว่า ให้ย้อนมองส่องตน ถือคำติเตียนจากผู้อื่นเป็นครู ยิ่งถ้าเราถูกบ่นมากเท่าไร แสดงว่ายังมีคนห่วง คนรักเรา แน่นอนแปลว่าเรายังมีข้อบกพร่องอยู่ ทำด้วยสติ ใช้ปัญญา แล้วก็ใช้เข็มลงไปบ่งหนามที่ตำอยู่ในนิ้วให้ออกให้ได้ เข็มนี้ก็คือปัญญาที่จะใช้บ่งหนามที่อยู่ในมือนี้ ซึ่งก็คืออุปสรรคต่างๆ อย่างเช่น ข้อเสียในนิสัยของเรา ถ้าหากว่าเราไม่สามารถแก้ไขได้ แก้ไม่ได้ หนามนี้ก็จะตำอยู่จนเป็นหนอง สุดท้ายแล้ว คนที่เดือดร้อนก็เป็นตัวของเราเอง จบชีวิตแล้ว ไม่ใช่แค่ไม่ได้ไปสวรรค์ แต่ยังตกนรกอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นเล็งให้ถูกทาง มองให้ถูกทาง
สังขารไม่เอื้ออำนวย จะหยิบจะจับอะไรก็ลำบากใช่ไหม บำเพ็ญก่อนที่สังขารนี้จะไม่อำนวยดีไหม (ดี)  บำเพ็ญแล้วต้องทำให้ดี อะไรทำไม่ได้ต้องไปพยายามทำ การเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เป็นแค่คนดี ทุกวันนี้หลานมักจะหยุดอยู่ที่คำว่า “เป็นคนดีก็พอแล้ว ไม่เดือดร้อนใครไม่เบียดเบียนใคร” แค่นี้ยังไม่พอให้สำเร็จธรรม เข้าใจไหม แม้ว่าสวรรค์จะอยู่ไกลจนเอื้อมไม่ถึง แต่ถ้าหากว่าเราพยายามก็จะไปถึง เพราะเมื่อหลานไปถึงสวรรค์ ไม่ได้ไปด้วยสังขารตัวนี้ สังขารนี้จะทิ้งไว้ในโลก สังขารนี้ไม่สามารถไปถึงสวรรค์ได้จริงๆ แต่วิญญาณไปถึง วิญญาณเบาสบายไม่ติดค้างคาใจ ไร้กิเลส สะอาดหมดจด วิญญาณดวงนี้แหล่ะที่จะไป
ฉะนั้นต้องพยายาม พยายามด้วยความตั้งใจมากๆ เวลาเราจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย อ่านหนังสือมากๆ ก็สามารถสอบเข้าได้ แต่การบำเพ็ญธรรมไม่เหมือนกัน อ่านหนังสือธรรมะทุกวัน ก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจ วันนี้คิดว่าอ่านเข้าใจแล้ว อีกสามวัน ห้าวัน หรือหนึ่งปี ไปอ่านใหม่ก็ไม่เหมือนกัน เพราะว่าวิญญาณต่างไป รู้สึกไหมว่าวิญญาณต่างไป ยังรู้สึกได้ยาก ยังมีความแตกต่างมากกว่านี้อีก ยังมีความเบาสบายยิ่งกว่านี้เพรียกหาหลานทั้งหลายอยู่ ยังมีความสว่างในจิตวิญญาณได้เท่ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฟ้าเบื้องบนได้อีก เพราะว่าหลานทั้งหลายและเราผู้เฒ่านั้น ต่างเป็นวิญญาณหนึ่งเดียวที่มาจากเหลาหมู่ (พระอนุตตรธรรมมารดา) ทั้งสิ้น แต่ว่าทุกวันนี้หลานมอมแมมไปหน่อย ล้างเช็ดทำความสะอาดบ่อยๆ นะ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลง)
เสียงดี ร้องเพราะทุกคนเลย ในเพลงพูดถึงหลายเรื่อง อย่างแรกก็คืออยากให้หลานทุกคนเป็นคนที่มีรอยยิ้มทุกวัน การให้บุญและทานทำให้มีความสุข เมื่อเรามีความสุขแล้ว ไม่ว่าความสุข ความทุกข์อะไร จริงๆ แล้วความสุขก็เป็นกิเลสชนิดหนึ่ง ฉะนั้นการที่ไม่มีความสุข และไม่มีความทุกข์อย่างนี้เป็นความเบาสบายที่สุด เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีความสุข ความทุกข์ใดๆ เกิดจากใจที่ปลงจริงๆ แล้ว ก็จะสบายมากขึ้น สามารถทำให้เป็นแบบนี้ได้ไหม “ให้ดีทุกวันไม่ใช่ความฝัน ให้วันทุกวันพลันเปี่ยมความหมาย” เพราะว่าเราไม่ยึดติดอะไรเลย ไม่มีความสับสนอะไร และไม่เข้าใจอะไร ก็เพียงรู้ตามจริง เมื่อรู้ตามความจริงแล้ว ใจก็ว่าง
ข้อความสำคัญ “ความเปลี่ยนผันก็เป็นปรัชญา” บางทีความเปลี่ยนผันก็เรียกอีกชื่อว่าความผิดหวังก็มี อย่างเช่น เรามีความสุขกับสิ่งนี้ทุกวัน สามีคนนี้ของเราก็ดี ภรรยาของเราคนนี้ก็ดี ลูกของเราคนนี้ก็ดี วันหนึ่งสมมติว่าลูกของเราไปแต่งงาน ให้ความสนใจกับเราน้อยลง อย่างนี้เรียกว่าผิดหวังไหม (ผิดหวัง)  ถ้าหากว่ามันคว่ำอยู่ก็จับมันหงายขึ้น คิดอีกข้างหนึ่ง ก็เรียกว่าเป็นการปล่อยวางปัญหานั้น หมายความว่า การหวังสิ่งใดก็ไม่ควรหวังอย่างสุดจิตสุดใจ เพลงนี้เหมือนกับการเคี้ยวอาหาร ยิ่งเคี้ยวก็จะยิ่งมีรสชาติ ยิ่งเคี้ยวก็จะยิ่งได้รสชาติ ถ้าร้องเพียงเพื่อให้ไพเราะก็ผ่านไป ก็ไม่มีอะไร เป็นแค่เพลงเพราะเพลงหนึ่ง แต่ถ้าเคี้ยวทุกวัน ก็จะเหมือนกับการได้รับรสชาติอาหาร เหมือนกับการสวดมนต์ แต่ว่าเป็นการสวดมนต์ที่ฟังรู้เรื่อง ยิ่งร้องยิ่งปล่อยวาง จะได้เข้าใจคำว่า “สิ่งที่แน่นอนที่สุด ก็คือสิ่งที่ไม่แน่นอน”
“แค่คนคิดดีใจก็สุขสันต์ ปล่อยความคิดอันใดอยู่นานไป
แค่คนคิดดี ใจก็มีความสุขแล้ว “ปล่อยความคิดอันใดอยู่นานไป” เคยเป็นไหม คิดอยู่นาน คิดอยู่สามวัน ห้าวัน สัปดาห์หนึ่ง แล้วดีขึ้นไหม
(ไม่ดีขึ้น)  เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรกว่าการปล่อยมันไป
“มากะเทาะมาเคาะใจ ความคิดหมดไปตอนไหนเนี่ย
เมื่อมากะเทาะแล้ว มาเคาะใจแล้ว ความคิดจะหมดไปตอนไหนยังไม่รู้ตัวเลย เคาะประตูถ้าจะเปรียบเทียบเบาไปหน่อย ต้องบอกว่าเคยพลิกก้นกระทะดูไหม ดูสิว่าก้นกระทะดำไหม (ดำ)  บางทีไม่ใช่แค่ดำเฉยๆ แต่หนาด้วย จะเอาออกอย่างไรล่ะ จริงๆ แล้วเอาคราบดำที่ก้นกระทะออก ยังยากกว่าเอาคราบที่อยู่ในจิตใจออก แปลว่าเราผู้เฒ่ากำลังพูดบอกว่า ก้นกระทะเอาออกยาก หมดแรงเอาออก ก็โยนทิ้งไปเลย แต่ใจของเราเอาคราบดำออกง่าย แค่คิดได้ แค่ปล่อยวาง แค่ปลงตก คราบดำที่อยู่ในจิตใจก็หายวับไปเลย กลับมาสะอาดใหม่เอี่ยมเลย เพราะว่าเป็นพลานุภาพของจิต ขอเพียงแค่หลานกล้าปล่อยวาง ทำได้ไหม (ทำได้)  ทำไมตอบเบาจังเลย เราผู้เฒ่าว่าเราเสียงเบาแล้ว หลานๆ เสียงเบากว่าอีก ทำได้ไหม (ทำได้)
ความคิดมาจาก ๓ ที่  ความคิดที่มาจากสมองจะเฝ้าหาเหตุผล ถูกๆ ผิดๆ วนเวียนไม่สิ้นสุด เหมือนเขาวงกต ความคิดมาจากหัวใจ ก็จะคิดหาอารมณ์ความรู้สึก คิดเป็นภาพ ยิ่งคิดก็ยิ่งเยอะ ยิ่งเลอะเทอะไปใหญ่ ความคิดที่ดีที่สุดมาจากความคิดที่หลั่งไหลออกมาจากจิต เหมือนตาน้ำไม่สิ้นสุด ในความคิดที่มาจากจิตนั้น มีทั้งปัญญา มีทั้งความยับยั้งชั่งใจ มีทั้งจิตสำนึก ธรรมะข้อใดที่จิตเคยฟังแล้ว เข้าใจแล้ว แม้ว่าวันนี้จะลืมไป แต่ถ้าพยายามคิดด้วยสติและสมาธิก็จะกลับมาใหม่ จิตมีพลานุภาพ เก็บทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นความจำที่ดียิ่งกว่าสมอง ฉะนั้นต้องฝึกให้มีสมาธิและมีสติปัญญามากๆ คำว่าฉลาดที่คนในโลกนี้ชอบใช้ ยังเทียบไม่ได้
ฟังเราเบื่อหรือยัง (ยัง)  เห็นทำหน้าไม่ค่อยมีความสุขเลยนะ ลืมบางอย่างไปหรือเปล่า (ลืมรอยยิ้ม)  วันนี้คงไม่มีปัญญาจะไปเดินแจกผลไม้ให้กับใครมาก คงต้องเปลี่ยนเป็นหลานเดินออกมาเอาผลไม้เอง ไหวไหม (ไหว)  ได้ไหม (ได้)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจกผลไม้และลูกอม)
ให้ลูกอมไปกินหวานๆ จะได้มีความสุข ยิ้มหวานๆ แล้วก็พูดหวานๆ เป็นคนมีเสน่ห์ เวลาใครเจอ ใครๆ ก็รัก ใครๆ ก็ชอบ ทำทุกอย่างนี้ให้เกิดจากความจริงใจ จริงใจแล้วคนก็รักเรา ไม่จริงใจแล้วคนก็ไม่รักเรา รักคนอื่นไม่ต้องกลัวคนอื่นไม่รัก อย่างน้อยหลานก็ต้องรักตัวเองก่อน เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลสถานธรรม (ฐันจู่) ให้ดีนะ รับผิดชอบหน้าที่ให้ดี ศึกษาธรรมะ พูดธรรมะให้เป็นนะ พูดไม่เป็นก็จะไม่ก้าวหน้า
หลานเป็นคนโชคดีมาก ที่มีพี่ชายคอยช่วยนะ แต่เราจะต้องพยายามที่จะรู้ว่า ชีวิตมันผ่านไปเรื่อยๆ จะเที่ยวเล่นไปเรื่อยๆ ก็คงไม่ได้ ในขณะที่เที่ยวเล่น ก็ต้องบำเพ็ญธรรมให้ดีๆ ด้วยนะ ไม่อย่างนั้นแล้ว พออีกหน่อยจะได้กลับไปเจอกับเรากับพระอาจารย์ ใช่หรือเปล่า อันนี้ก็เป็นปัญหาที่ต้องคิด ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ ก้าวให้เต็มเท้าหน่อย เดินให้ลงแรงหน่อยนะ
คนนี้ไม่ยอมยิ้มเลย ทำหน้าดำอย่างเดียวเลย ให้ช็อกโกแลตก็ดำด้วย มีความสุขมากๆ ความสุขหาง่าย แค่ขุดความทุกข์ออกมา ความสุขก็เพิ่มมากขึ้นแล้วนะ
อันนี้จะเอาไปฝากใครบ้าง (ฝากคุณแม่, คุณพ่อ, คุณยาย, น้องชาย) สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาบอกว่าให้ตัวเองด้วย ห่วงคนอื่นจนลืมตัวเอง อยู่วงการธรรมมาตั้งแต่เด็ก จริงๆ แล้วความสามารถมีมากมาย โดยเฉพาะวิทยาการสมัยนี้
ก็ทำให้ช่วยอะไรได้อีกมากมาย อย่าปล่อยโอกาสผ่านไป ส่งเสริมแม่ด้วย
ที่นี่มีคนที่ทำงานธรรมะแบบเดียวกันอยู่อีกตั้งหลายคน รวมพลังก็จะเกิดพลัง ถ้าหากว่าทำได้ก็ทำนะ อย่าลืมว่าหาเงิน หามากมาย ก็ไม่เท่าหามากใช้น้อย เงินก็เหลือ ชีวิตก็ดีขึ้น
เมื่อสักครู่ จำที่พูดเรื่องศรัทธาและปัญญาได้ไหม บางทีเราก็คิดว่าเรื่องบางเรื่องก็เก็บไม่ได้เหมือนกัน แต่ว่าทำงานธรรมะให้ฟ้าเบื้องบน มีความเข้าใจตนเอง เข้าใจคนอื่น อะไรก็ผ่านไปได้
มีเด็กขี้น้อยใจ ใครจะไปรู้ว่าจริงๆ แล้ว ภายในใครเด็กกว่าใคร มีแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์กับตัวของเจ้าเองเท่านั้นถึงจะรู้
ที่จริงแล้วก็ไม่อยากจะกลับ แต่ว่าก็สงสารคนที่เป็นล่ามแปลภาษา คิดว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้ว บางคนอาจจะคิดว่าตัวของหลานนั้น จริงๆแล้วเราก็อายุเยอะแล้ว ในความเป็นจริง ยังมีความเป็นเด็กในตัวของคนทุกคนนั่นแหละ เป็นเด็กดีตรงไหน “ไร้เดียงสา น่ารัก ว่าง่าย อารมณ์ดี ยิ้มตลอด” อยากให้รักษาความเป็นเด็กตรงนี้เอาไว้ เพราะฉะนั้นอย่าลืมว่าทุกคนเป็นเด็ก ส่วนแง่ของเด็กที่ดื้อๆ ซนๆ ไม่ยอมฟังใครเลย อันนี้เป็นให้น้อยๆ หน่อย ทำได้ไหม (ได้)

เดี๋ยวร้องเพลงนี้ ส่งเราผู้เฒ่ากลับเบื้องบนนะ แล้วตามกลับไปเจอกันวันหลังนะ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2547

2547-03-27 สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์

西元二00四年  歲次甲申  閏二月初七日       大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗   สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

วันเวลาไหลล่วงผ่านไม่รอคน วัยหนุ่มสาวล่วงพ้นบำเพ็ญไหม
ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้นไม่พ้นไป จงใส่ใจชีวิตใช่ยืนถาวร
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา

สถานการณ์สร้างวีรชนอันเข้มแข็ง การเหนื่อยแรงย่อมดีกว่าการเหนื่อยใจ
การไม่คิดทำให้ทำพลาดไป จงอดใจสู้กิเลสด้วยอดทน
อย่าปล่อยให้ชีวิตผ่านไปวันวัน เรื่องสำคัญเร่งลงมือจึงสัมฤทธิ์ผล
งานสำเร็จเร็วขึ้นวันย่อมดีล้น การเป็นคนจงทำแต่สิ่งประเสริฐ
เกิดเป็นคนประเสริฐสุดกว่าภพใด จงตั้งใจนำชะตามาสูงส่ง
อย่าได้เป็นคนมัวเมาเฝ้าจิตหลง ใจนี้ตรงต้องฝึกฝนทุกเวลา
ต่างเป็นคนมีบุญแต่ก็มีกรรม บำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องยากหรือง่ายนั้น
อยู่ที่ตนจะเห็นความสำคัญ การปฏิบัติจะยืนยันทิศแห่งธรรม

ในวันนี้หลายพื้นที่มาร่วมใจ จงเปิดใจให้โอกาสตนเองเถิด
การฟังธรรมต้องอยู่ในใจล้ำเลิศ พ้นเวียนเกิดเร่งบำเพ็ญเร็วขึ้นอีกวัน
อย่าปล่อยให้ความสงสัยบังปัญญา ชีวิตคนมีค่ากว่าที่เป็นอยู่
จงเข้าใจหลักสัจธรรมด้วยใฝ่รู้ ความรู้ตื่นจะเป็นครูแห่งการเพียร
สองวันนี้จงตั้งใจอยู่ให้ครบ แลเคารพพุทธระเบียบอย่างยิ่งยวด
ยิ่งน้อยคนคุณภาพมาขันกวด การผนวชรักษาวินัยขึ้นกับตน
ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้นย้อนมองตน การมองคนไม่มีประโยชน์หนา
จงทบทวนตนเองให้ดีนา เสียเวลาได้คุณธรรมมากลับคืน
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จงตั้งใจให้จงดีทั้งชายหญิง
เรื่องทางบ้านปล่อยวางใจอย่าประวิง ใจนิ่งนิ่งฟังธรรมะให้เข้าใจ
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา ฮวา หยุด

 
 

วันเสาร์ที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
มะระขมแสนขมยังกลืนลงได้ แต่อ้อยหวานเพียงใดยังต้องคายทิ้ง
อย่าได้กลัวทุกข์ยากสอนคนจริง แต่สุขยิ่งทำคนหลงตายทั้งเป็น
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ตามใจตนบ่อนทำลายกำลังพล ตามส่วนคนความยุ่งขยับเพิ่ม
กลุ่มใหญ่ยังขาดสามัคคีเรื่องเดิม รู้จักความอับจนเริ่มขึ้นได้อย่างไร
รู้จักความลำบากทำให้คนแข็งแกร่งยิ่ง รับความจริงต้องย้อนมองตนให้ได้
รู้อะไรเก่งแต่พูดทำไม่ได้ น่าเสียดายศึกษาไปก็ไร้ค่า
อย่าปล่อยวันเวลาผ่านผ่านไป โดยไม่ทำอะไรให้เกิดค่า
เพราะมัวหลงไม่ตื่นจากอวิชชา เสียเวลาทั้งชีวิตน่าเสียดาย
ศึกษาธรรมต้องเปิดใจคลายลังเล เมื่อมุ่งมั่นไม่หันเหไปทางไหน
เรียนรู้ธรรมมีเป้าหมายด้วยเข้าใจ อย่าปล่อยให้สิ่งใดมาคลอนแคลน
ฮา ฮา หยุด


พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ

 
ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทุกสิ่งทุกอย่างกว่าจะได้มาก็ต้องผ่านความยากลำบาก และก็ต้องมีจิตใจอันเข้มแข็ง อดทน และมุ่งมั่น เราจึงจะสามารถทำสิ่งใดๆ ได้สำเร็จ เหมือนเวลาทำนาปลูกข้าว ถ้าเราจะทำนา ถ้าเราจะปลูกข้าว อย่างแรกก่อนที่เราจะเริ่มทำเราต้องทำอย่างไร ก่อนที่เราจะคิดปลูกข้าว ทำนา อย่างน้อยเราต้องมีความรู้เรื่องนั้นเสียก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  และก่อนที่เราจะมีความรู้ หรือศึกษาเรื่องนั้นจนรู้ถ่องแท้นั้น ทำให้เราต้องมีใจรัก รักที่อยากจะทำ รักที่อยากจะปลูก
วันนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน เราจะมาอยู่ศึกษาธรรมะจนจบได้ เราจะผ่านความยากลำบาก มุ่งมั่นไปถึงที่สุดได้นั้นก็คือใจเราต้องมีใจรัก มีใจที่จะสนใจ มีใจที่จะศึกษา ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้ววันนี้มีใจรักธรรมะกันมากน้อยแค่ไหน รักธรรมะไหม (รัก)  แล้วธรรมะเป็นอย่างไรล่ะ ก็ไม่รู้ ใช่หรือเปล่า รู้แต่ว่าธรรมะคือสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารักที่จะเป็นคนดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  รู้เท่านี้ก็พอแล้วใช่ไหม พอไหม (ไม่พอ)  เป็นเหตุผลหนึ่งที่จะทำให้เราอยู่ศึกษาจนจบสองวันได้ไหม (ได้)  ได้หรือ ยังไม่รู้เลยว่ารักธรรมะ ธรรมคืออะไรก็ไม่รู้ แล้วอย่างนี้จะมีแรงศึกษาต่อจนจบไหม (มี)
ยังไม่ต้องรักก็ได้นะ อย่างน้อยมีใจที่อยากจะศึกษาว่าธรรมะนี้คืออะไร แล้วธรรมะนี้เป็นอย่างไร ทำไมคนถึงเรียกร้องอยากให้เราศึกษา ความใคร่รู้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เราอยู่ติดตาม ตั้งแต่ต้นจนจบได้ จริงหรือไม่ (จริง)  เหมือนเราดูหนัง เราใคร่อยากรู้ไหมว่าหนังเป็นอย่างไร เราดูที่เขามีโฆษณาให้นิดๆ เราก็อยากรู้ไปหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีตอนดุ มีตอนอิจฉา มีตอนตบตี แค่ความใคร่รู้เท่านั้นเองก็ทำให้เราดูตั้งแต่ต้นจนจบ อย่างนั้นวันนี้แค่มีใจใคร่ศึกษา บางครั้งก็อาจจะทำให้ดูตั้งแต่ต้นจนจบ ศึกษาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทำไมบางคนถึงเลิกดูกลางคันได้ เพราะไม่สบอารมณ์ จริงไหม (จริง)  ทำไมนางเอกถูกรังแกอยู่เรื่อยเลย ไม่สบอารมณ์เลย ไม่ดูแล้ว
วันนี้มาศึกษาหลักธรรม ปรากฏว่าต้องนั่งอย่างเดียวเลย ไม่สบอารมณ์แล้ว ไม่นั่งแล้ว พรุ่งนี้ไม่มาเลยใช่หรือไม่ เริ่มหัวเราะแล้ว เราบอกตั้งแต่ต้นแล้วใช่หรือไม่ ว่าเรียนอะไรก็ต้องเรียนให้จบ ได้อะไรไปก็น่าจะได้ให้ครบสมบูรณ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ศึกษาไปแล้วเกือบครึ่ง ฉะนั้นเอาอีกครึ่งหนึ่งให้จบดีหรือไม่ (ดี)
ใครเคยกินมะระมาบ้างแล้วยกมือขึ้น ขมอย่างไรมีใครคายทิ้งบ้าง (ไม่มี)  ทำไมล่ะ มีคนบอกว่าอร่อยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อ้อยหวานอย่างไร ใครกลืนลงได้บ้าง กลืนไหม (ไม่กลืน)  ดูดน้ำเสร็จแล้วต้องคายทิ้ง เฉกเช่นเดียวกัน ชีวิตของเรามีทั้งทุกข์มีทั้งสุข บางครั้งทุกข์ทำให้เราเจ็บ ทุกข์ทำให้เรามีน้ำตา ทุกข์ทำให้เรารู้จักคน แต่ทุกข์ก็ทำให้เราเข้าใจชีวิตและเรียนรู้ชีวิตได้จากทุกข์ แต่ความสุขสิ กลับทำให้เราเป็นอย่างไร ไม่ยอมตื่นจากความฝัน (สุขทำให้สบายใจ)  สบายใจหรือ เวลาเรามีความสุขใช่จะทำให้เราสบาย แต่ความสุขทำให้เราหลง ไม่อยากไปไหน อยากอยู่แค่วันนี้ นาทีนี้ เท่านี้ก็พอแล้วจริงไหม (จริง)  ความสุขเหมือนทำให้เราติดตา ติดหู ไม่ยอมฟังใคร และไม่ยอมก้าวหน้าไปไหน เวลาเรามีเงินห้าร้อย แต่ก่อนเราไม่มี เรารู้สึกสุขไหม (สุข)  รู้สึกว่าวันนี้ดีใจ มองแต่ห้าร้อยพลิกไปพลิกมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้สึกว่าไม่ต้องทำอะไรแล้ว ห้าร้อยนี้แค่เจอข้างถนนเราก็รู้สึกเป็นอย่างไร (ดีใจ)  ดีใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่อยากจะเดินไป ไม่อยากจะเจอใคร เพราะเดี๋ยวเดินไปเจอใครก็บอกว่าเงินของเขา สุขทำให้เราถูกปิดตา ความสุขทำให้เรานั้นหลง แล้วก็ไม่ยอมก้าว หลงแล้วทำให้เราไม่กล้าเผชิญความจริง
ดูคนต้องดูให้ถึงข้างใน ดูให้ถึงจิตใจใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าดูคนเพียงภายนอก ไม่อย่างนั้นจะโดนหน้าหวานๆ คำพูดเพราะๆ หลอกเอาได้ แล้ววันนี้ใครจะหลอกใครกันแน่ แต่ที่แน่ๆ เราคงไม่คิดมาหลอกท่านหรอกนะ ท่านไม่รู้ แต่เราบอกได้แน่นอนว่าตัวเราไม่คิดมาหลอกท่านหรอก อยู่ด้วยความเสแสร้ง อยู่กันด้วยความหลอกลวง หาความจริงใจไม่ได้ไม่มีความสุขหรอก มีแต่อยู่กันด้วยน้ำใสใจจริง พูดกันด้วยความซื่อตรง ย่อมผูกสัมพันธ์ได้ยั่งยืนนานกว่าจริงหรือไม่ (จริง)  แม้จะเจอกันครู่เดียวแต่ใครเล่าอยากให้ชื่อถูกเกลียดไปนาน เราก็คงไม่อยากเอาชื่อของเรามาให้ท่านเกลียดไปตลอดชีวิตหรอก ชีวิตมนุษย์มีเรื่องไม่กี่เรื่องหรอกที่เราต้องพบเจอ ที่เราต้องประสบเจอ เรื่องแรกที่คนทุกๆ คนไม่อยากจะเจอ ก็คือความทุกข์ แล้วเราเคยรู้ไหมว่า ความทุกข์ที่แท้จริงมาจากไหน (มาจากใจ)  ใจเป็นอย่างไรล่ะจึงทุกข์ (ใจที่ยึดมั่น)  ตอบได้ดี เป็นอย่างไรอีกล่ะที่ทำให้ทุกข์ (มาจากใจ)  ใจเป็นอย่างไรล่ะจึงทุกข์ (ใจที่ยึดมั่น)  ตอบได้ดี เป็นอย่างไรอีกที่ทำให้ทุกข์ (ทุกข์มาจากความคิด)  คิดอย่างไรล่ะที่ทำให้เราทุกข์ เขาตอบได้ถูกต้องเลยนะ (คิดแบบอยาก)  คิดแบบอยากได้ทุกสิ่งทุกอย่าง เลยทำให้เป็นทุกข์ แล้วเรื่องเกิดแก่เจ็บตาย เราเคยคิดไหม (เคย)  แล้วอยากหรือเปล่า (ไม่อยาก)  แล้วคิดอย่างไรเราถึงจะสามารถพ้นทุกข์ได้ ลองดูง่ายๆ เรายกตัวอย่าง คนเราพอมีก็ทุกข์ใช่หรือไม่ ทำไมจึงทุกข์ เพราะว่ามีแล้วไม่พอจึงทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  แถมมีแล้วน้อยเกินไปก็หงุดหงิดก็เป็นทุกข์ ไม่มีทุกข์ไหม (ทุกข์)  ไม่มีก็ทุกข์ใช่หรือไม่ คิดใหญ่เลยว่าจะทำอย่างไรให้มี ไม่อย่างนั้นตายแน่เลยถูกหรือไม่ (ถูก)
คนฉลาดทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทำไมจึงทุกข์ล่ะ เราจะบอกให้ เขาทุกข์เหมือนกัน เพราะเขาคิดอะไรก็เป็นเงินเป็นทองหมดถูกไหม (ถูก)  วันนี้น่าจะทำอย่างนี้แล้วก็ทำอันนี้ แล้วก็ทำอันนี้ แต่เวลาไม่พอให้ทำเลยรู้สึกเป็นทุกข์ที่คิดได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วก็รู้สึกเป็นทุกข์ที่คิดได้แล้ว แต่ทำไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  
คนโง่ล่ะทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทำไมทุกข์ เพราะคิดไม่ออกว่าทำอย่างไรถึงจะคิดให้มันมีได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนไม่สวยทุกข์ไหม (ทุกข์)  คนขี้เหร่ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทำไมทุกข์ล่ะ (อยากสวย)  อยากสวย อยากขี้เหร่ อย่างนั้นถามอีก คนสวยคนหล่อทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทำไมจึงทุกข์ (มีแฟนเยอะ)  มีแฟนเยอะ แต่บางคนก็อาจคิดว่าสวยแล้ว หล่อแล้ว กลัวจะสวย หล่อนี้ไม่นานจริงไหม (จริง)  พอหน้าโดนชกเป็นอย่างไร ทุกข์แล้วเพราะไม่หล่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครพูดอะไรก็ต้องระวังรักษาหน้าไว้เดี๋ยวไม่หล่อเดี๋ยวไม่สวยจริงไหม (จริง)  อย่างนั้นเราหนีทุกข์พ้นไหม (ไม่พ้น)  ไม่พ้นเลย บางทีเราบอกว่าไม่มี ถ้ามีแล้วเราจะได้สุข แต่กลับไม่สุขใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความทุกข์ใช่หนีจากฝั่งหนึ่งไปหาอีกฝั่งหนึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  บางทีหนีจากความไม่มีไปมีแล้วจะสุขแต่สุขไหม (ไม่สุข)  ไม่สุขใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทุกข์อยู่ที่ใด ทุกข์อยู่ที่ใจ ใจที่ไม่รู้จักพอและใจที่ไม่รู้จักคิดให้เป็น คิดให้ได้จริงไหม (จริง)  คนเราจะหมดทุกข์ได้ อยู่ที่ใจเรา คิดเป็นไหม คิดออกไหม ถ้าคิดออก คิดได้ คิดเป็น ทุกข์จะกลายเป็นสุข แล้วสุขนั้นจะไม่กลับเป็นทุกข์ ไม่ใช่ไปหาทางแก้สุข หาทางแก้ทุกข์โดยการวิ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง อย่างเช่นไม่มีแล้ววิ่งไปให้ฝั่งมี แต่พอมีแล้วก็กลับทุกข์อีกถูกหรือไม่ (ถูก)  
ฉะนั้นเราจะแก้ทุกข์ต้องหาที่ต้นเหตุของเรา เหตุที่ใจเราคิด คิดอย่างไรล่ะ บางคนคิดเปรียบเทียบจริงไหม (จริง)  ทำไมเราจึงรู้ว่าตัวเองไม่มี เพราะเราไปมองเห็นคนที่มี ทำไมเราจึงบอกว่าตัวเองไม่สวยไม่หล่อ เพราะเราไปเห็นคนที่หล่อกว่า สวยกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมเราจึงทุกข์อีกล่ะ เพราะเราไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี รับไม่ได้กับสิ่งที่ตัวเองเป็น เราจึงทุกข์  ฉะนั้นทุกข์จะกำจัดได้นอกจากคิดให้เป็น คิดให้ได้ ไม่คิดเปรียบเทียบแล้ว นั่นก็คือต้องรู้จัก (พอ) แต่มนุษย์นั้นหยุดคิดไม่เป็นจริงหรือไม่ (จริง)
การจะแก้ทุกข์โดยเวลาที่เรารู้สึกอยากนั้น นั่นก็คือขอให้เรารู้จักสมถะเรียบง่าย ความสมถะเรียบง่ายนั้นอยู่ใกล้ชิดสภาวธรรม แต่ความฟุ้งเฟ้อ เห่อเหิมหลงลำพองบ้าในชื่อเสียงเกียรติยศ ทำให้คนเรานั้นห่างไกลสภาวธรรม  แท้ที่จริงแล้วเราหาจนถึงที่สุด มีทุกๆ อย่างเท่าที่แรงเราพอจะหาได้ แรงเราจะดิ้นรนเอาไปได้ แต่จนแล้วจนรอดเราก็รู้สึกว่าขอเพียงชีวิตไม่ป่วยเป็นโรคก็สุขแล้วจริงไหม (จริง)  เวลาป่วยเป็นโรค สามีช่วยได้ไหม (ไม่ได้) ภรรยาช่วยได้ไหม (ไม่ได้)  บางทีอาจจะช่วยได้ช่วยให้เราอุ่นใจ แต่ถ้าใจเรากลุ้มกังวลใครล่ะจะช่วยผ่อนคลาย ถูกไหม (ถูก)  เหมือนวันนี้อาการปกติสามสิบสองครบ แต่พรุ่งนี้คิดถึงหมอไปหาหมอหน่อยดีไหม ถ้าหมอมาเคาะประตูบ้านไหน บ้านนั้นน่ากลัวใช่หรือไม่ใช่ (ใช่)  คนเป็นหมอจึงไม่เคยมาเยี่ยมใครใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถ้าวันหนึ่งเราคิดอยากไปเยี่ยมหมอแล้วจู่ๆ เราก็ได้โรคกลับมา ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เงินก็มีเต็มบ้าน แฟนก็นั่งอยู่ไม่เคยไปไหน ลูกก็น่ารักเอาอกเอาใจ แต่ทำไมทุกข์ในใจมันกลับไม่หาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าความทุกข์เหมือนความมืด ความสุขเหมือนความสว่าง อย่ารอให้ฟ้ามืดแล้วค่อยจุดความสว่างขึ้นในใจ บางครั้งเราไม่รู้ว่าวันใดใจเราจะมืดบอด ฉะนั้นจงรู้จักจุดแสงสว่างในจิตใจด้วยคุณธรรมในเรื่องความไม่ประมาท แล้วก็จุดแสงสว่างในจิตใจที่คอยย้ำเตือนใจอย่างหนึ่งว่า คนเราเกิดมาต้องเจ็บ หนีไม่พ้นความเจ็บใช่หรือไม่ (ใช่)  เจ็บแล้ววันหนึ่งก็ต้องตาย นั่นก็คือให้เราจุดแสงสว่างในใจอย่างหนึ่งว่า ให้รู้จักปลงบ้าง วันนี้อยู่พรุ่งนี้อาจจะตายก็เป็นได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้แข็งแรงพรุ่งอาจจะเจ็บป่วย เจ็บแล้ววันหนึ่งก็ต้องตาย นั่นก็คือให้เราจุดแสงสว่างในใจอย่างหนึ่งว่าให้รู้จักปลงบ้าง วันนี้อยู่พรุ่งนี้อาจจะตายก็เป็นได้ วันนี้แข็งแรงพรุ่งนี้อาจจะเจ็บป่วยก็เป็นได้ คิดอยู่อย่างนี้ตรึกตรองอยู่อย่างนี้เราจะได้ไม่ต้องตกใจเมื่อถึงคราวเจียนตาย  เตรียมใจพร้อมไว้ก่อนใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเรายังทุกข์อะไรอีกล่ะ ไหนเล่าให้เราฟังบ้างสิ  ว่ายังทุกข์เรื่องอะไรกันอีก
เมื่อสักครู่ก็บอกไม่ใช่หรือ ไปตัดความโลภความหลง ก็คือต้องรู้จักพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ แล้วทุกข์ตรงนี้ก็จะหายไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
มนุษย์เราถ้ารู้จักกินอิ่ม สวมอุ่น  มีที่พักพิง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เท่านี้ก็สุขกายแล้ว แต่ทำไมมนุษย์เรากินอิ่ม สวมอุ่น มีที่ให้พักพิง ร่างกายไม่เจ็บป่วยแต่ยังทุกข์ใจอยู่  มีทุกข์อย่างอื่นอีกหรือไม่ ทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่น จริงหรือไม่ (จริง)  สาเหตุอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกข์นั่นก็คือความหวังดี  คิดออกหรือไม่ว่าทำไมความหวังดีจึงเป็นทุกข์ได้ (ความอยากให้เขาสุขแต่แล้วเขาก็ไม่ได้สุข)  ความอยากให้เขาเป็นแต่เขาไม่เป็นอย่างที่เราหวังใช่ไหม (ใช่)  
เคยฟังนิทานเรื่องหนึ่งไหม เรายกตัวอย่างง่ายๆ นะ มีชายคนหนึ่งเขาไปเจอนกประหลาดตัวหนึ่ง แล้วรู้สึกอยากเอามาเลี้ยงก็เลยเลี้ยงนกในแบบที่ตัวเองชอบ ตัวเองชอบกินอะไรก็ให้นกกินอย่างนั้น ตัวเองฟังอะไรเพราะก็ให้นกฟังอย่างนั้น ตัวเองต้องอาบน้ำแต่งตัวอย่างไรก็ให้นกอาบน้ำแต่งตัวอย่างนั้น นกอยู่ถึงวันไหม (ไม่ถึง)  มันอยู่ไม่ถึงวันมันก็ตาย เพราะอะไรล่ะ (เพราะคนเลี้ยง) นกตายเพราะคนเลี้ยงใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำไมคนเลี้ยงจึงทำนกตายได้ เพราะเขาเลี้ยงแบบไหน (เอาใจตนเอง)  เลี้ยงนกแบบเอาใจตนเอง ไม่ได้เลี้ยงนกแบบเพื่อนก แต่เลี้ยงนกแบบเพื่อตัวเอง เหมือนกันความหวังดีของคน บางครั้งเราให้สิ่งที่ดีที่สุด เราให้ความห่วงใยที่มากที่สุด เราให้ความดูแลเอาใจที่สุดเท่าที่ชีวิตเราชีวิตหนึ่งจะหาได้ให้เขาเต็มที่ที่สุด แต่มันกลับไม่สมบูรณ์สำหรับตัวเขา เพราะเราไม่ได้เลี้ยงเขาในแบบที่เป็นเขา เราไม่ได้ทำในสิ่งที่เขาอยากให้เราทำ แต่เราทำในสิ่งที่เราอยากได้ และเราชอบใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงเลี้ยงแล้วไปไม่รอดเหมือนกัน
ความหวังดีของมนุษย์สามารถทำให้เกิดทุกข์ได้ เพราะความหวังดีนั้นคือความที่เราชอบแต่เขาไม่ชอบ ความหวังดีนั้นเลยไปไม่รอด ความห่วงนั้นเลยกลายเป็นทุกข์กลุ้มกังวล จริงไหม (จริง) แล้วเราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เลี้ยงลูกแบบที่เป็นเราหรือเลี้ยงลูกแบบที่เขาจะเป็น ความทุกข์เลยเกิดได้เพราะความห่วง  ห่วงดีด้วยนะ หวังดีด้วยนะ แต่ทำไมทุกข์ใจล่ะ
วันนี้รู้วิธีแก้ทุกข์สองอย่างแล้วจริงไหม (จริง)  ถ้าโลภให้รู้จักพอแล้วก็ให้รู้จักสมถะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วนอกจากแก้ทุกข์เรื่องนี้แล้วแก้ทุกข์เรื่องอะไรอีก เรื่องความห่วงใช่หรือไม่ แล้วเรายังเกิดทุกข์ได้อีกไหม
มีทุกข์อีกอย่างหนึ่ง ที่เกิดในหมู่คณะใดแล้วมักจะทำให้เกิดความขัดแย้ง นั่นก็คือทุกข์เพราะความแตกต่างจริงไหม (จริง)  คนเรามีความแตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมดาและเป็นเรื่องธรรมชาติใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราเกิดความขัดแย้งขึ้นมา แต่ความขัดแย้งนั้น จะไม่ตกผลเป็นความแตกแยกเพราะไม่เป็นที่อยู่อาศัยของความเศร้าโศกได้ก็ต่อเมื่อเรายอมรับความแตกต่างระหว่างกัน  ที่เราเป็นทุกข์อีกอย่างหนึ่งเวลาทำงาน อยู่ร่วมกับใคร หรือเราอยู่ในครอบครัว แล้วเราเป็นทุกข์นั่นคือความแตกต่างระหว่างความคิด  พ่อแม่คิดอย่างหนึ่ง เราคิดอย่างหนึ่ง พี่น้องคิดอย่างหนึ่ง แต่ตัวเราคิดอย่างหนึ่ง  เราทะเลาะกับสามีทุกๆ วัน เพราะอะไร  เพราะความคิดไปคนละเรื่องคนละมุม เราไปซ้ายเขาไปขวา เราเดินหน้าเขายอมถอยหลัง  แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ
เคยเห็นฟ้ากับดินไหม (เคย)  ฟ้ากับดินแตกต่างกันไหม (แตกต่าง)  แต่ทำไมถึงอยู่ร่วมกันได้ล่ะ นั่นก็เพราะมีมนุษย์อยู่ตรงกลาง  เพราะมีมนุษย์ที่รู้จักสามารถนำฟ้ากับดินมาใช้ให้เกิดประโยชน์   ตัวเราก็เหมือนกัน สามีคิดอย่างหนึ่งเราคิดอย่างหนึ่ง เรายอมรับความแตกต่างได้ไหม แล้วเราสามารถยืนตรงกลางและสามารถอาศัยความแตกต่างนั้นให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร ถ้าเรายังยืนตรงกลางได้เราก็ยังเป็นมนุษย์ แต่ถ้าเรารู้ว่าเราพบความแตกต่างแล้วเรายืนตรงกลางได้และไม่สามารถใช้ชีวิตได้  เราหาใช่มนุษย์ไม่  ถูกไหม (ถูก)  อาจจะไปเป็นนกที่อยู่บนฟ้า หรืออาจจะไปเป็นปลาที่อยู่ในน้ำ  แต่ตอนนี้เราเป็นสองขาที่อยู่บนดิน เรามองเห็นทุกวัน ฟ้าก็คือฟ้า ดินก็คือดิน เราเปลี่ยนให้ดินเป็นฟ้าได้ไหม (ไม่ได้)  เปลี่ยนฟ้าให้เป็นดินได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนกันเราก็คิดแบบเราเขาก็คิดแบบเขา จะให้คิดเหมือนกันได้ไหม (ไม่ได้)  แต่ตัวเราเองจะทำอย่างไรให้ฟ้ากับดินนี้มีอยู่ร่วมกันได้ แล้วเราก็จะเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ  ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่เราชอบเป็นนกที่ขึ้นไปบนฟ้าหรือไม่ก็เป็นหนอนที่ไชดินไม่ยอมฟังเหตุผล ปิดหูปิดตามุดอยู่ในดินลงไปเรื่อยๆ สามีพูดอะไรไม่สนฉันมีเหตุผล ถูกไหม (ถูก)  ลูกพูดอะไรแม่ไม่สน แม่ดำน้ำลงไปบุ๋งๆ จริงไหม ลูกก็บินบนฟ้าไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้ววันไหนจะโคจรเจอกันไหม (ไม่เจอ)  ก็เป็นทุกข์ไหม (เป็น)  เมื่อนกกับปลาคุยกันไม่รู้เรื่อง ถูกไหม (ถูก)  แต่เราคือมนุษย์ผู้ประเสริฐ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาถึงบอกว่าย้ายเขาเคลื่อนแผ่นดินเรายังทำได้ แต่เปลี่ยนใจคนเปลี่ยนไม่ได้ ถูกไหม (ถูก)  ยังยอมมุดดินกันอยู่หรือ (ไม่ยอม)  ไม่ยอมมุดดินก็ต้องทำการบ้านดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าเรารับความแตกต่างของคนได้ เราจะอยู่บนโลกนี้ได้อย่างเป็นสุข ความขัดแย้งจะไม่เป็นที่อยู่อาศัยของความโศกเศร้าเสียใจ รอยแตกร้าวจะไม่บังเกิดขึ้นที่ใด ถ้าที่นั้นรู้จักรับความแตกต่างใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเรารับไหม (รับ)  เหมือนกับเพลงที่ว่า “ยอมรับสิ่งที่เป็นไม่ลำเค็ญที่ใจ” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยอมรับเหมือนกันสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยอมรับสิ่งที่ตัวเราเป็น คนอื่นเป็นไม่ฟังได้ไหม (ไม่ได้)  และยังมีเรื่องใดที่เป็นทุกข์อีกไหม ถ้าแก้ได้เรื่องความโลภ ถ้าแก้ได้เรื่องความห่วง ห่วงหาวิตกกังวล และถ้าแก้ได้ในเรื่องความแตกต่าง ทุกข์ในชีวิตจะน้อยลง จริงไหม (จริง)  ตอนนี้เรามาพูดเรื่องสุขดีไหม (ดี)  อะไรทำให้มนุษย์มีความสุข  (จิตใจ)  ความสุขเกิดได้จากใดบ้าง มาได้จากใดบ้าง (ได้จากความเป็นธรรม)  ได้จากความเป็นธรรม ความยุติธรรม แล้วความยุติธรรมหาในโลกได้ไหม (ได้)  หาได้จากที่ใด (ที่ใจ)  ที่ใจตนเองก่อนนะ  ความสุขเกิดขึ้นได้อย่างไร (จิตใจเราไม่มีกิเลสไม่มีความทุกข์, รู้วิธีกำจัดกิเลสกำจัดความทุกข์)  
“อย่าปล่อยวันเวลาผ่านผ่านไป โดยไม่ทำอะไรให้เกิดค่า
เพราะมัวหลงไม่ตื่นจากอวิชชา เสียเวลาทั้งชีวิตน่าเสียดาย”
(เสียดายชีวิตก็จะกลับคืนแล้ว) เสียดายชีวิตเหลืออีกแค่นี้เองใช่หรือเปล่า เวลาเพียงแค่ชั่ววูบอย่าได้เสียดาย หากชั่ววูบคิดได้ รู้แล้ว แล้วทำสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่แรงกำลังตนจะทำไหว คุณค่านั้นก็มีประโยชน์จริงไหม (จริง) เคยเห็นไหมว่า เทียนหากสว่างในเวลาที่ควรสว่าง เล่มเล็กๆ เหลือแค่นิดหน่อยก็มีประโยชน์ ชีวิตของเราก็เฉกเช่นเดียวกัน ดังคำโบราณกล่าวไว้ว่า หากชีวิตเรามืดมาแต่ขอให้สว่างไป แล้วอะไรล่ะที่จะจุดความสว่างในจิตใจถ้าไม่ใช่คุณงามความดี การประพฤติ ปฏิบัติตน คำโบราณกล่าวไว้ว่า เกิดเป็นคนถ้าคดในข้องอในกระดูก ก็ไม่มีใครเขาอยากคบใช่หรือไม่ (ใช่) สู้ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นานไม่ได้
สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของคนต่างจังหวัด หรือคนที่ไม่ใช่อยู่ในเมืองหลวง นั่นคืออะไรล่ะ นั่นคือความซื่อตรง มีความจริงใจ  เล่ห์เหลี่ยมไม่มี พูดจาแม้จะสวยๆ ไม่เป็น แต่งกายแม้จะเนี้ยบโก้หรูไม่ได้ แต่มีจิตใจที่งดงาม  ขอเพียงว่าเราเกิดเป็นคน มีจิตใจที่ซื่อตรง ค้าขายไม่เอาเปรียบ ไม่กินแรง ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้จักทำบุญตักบาตร รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจ แค่นี้ก็เป็นคนดีได้ แต่ข้อสำคัญคืออย่าพูดมาก อย่าเล่นหวย ทั้งใต้ดินบนดิน อย่าเล่น หวยไม่เคยทำให้คนเป็นคนดี หวยทำให้คนหลง ถูกหรือเปล่า (ถูก)  โชคมาบ่อยไหม (ไม่บ่อย)  นับไปสิ ที่ถูกกินเอามาเก็บเป็นเงินได้ตั้งหลายบาทแล้ว จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วอันไหน โชคมันจะมาตกที่เราล่ะ (ไม่รู้)  รู้อย่างเดียว รู้ว่าเสียไปเกือบทุกงวด เก็บเงินไว้ดีกว่าถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นการศึกษาหลักธรรม สิ่งสำคัญอยู่ที่จิตใจ เรารู้จักรักษาศีลให้ครบไหม เกิดเป็นคนดี สิ่งพื้นฐานอย่างหนึ่งก็คือขอให้มีศีลธรรมครบ เมื่อศีลธรรมครบแล้วอย่างอื่นไม่ต้องกังวล กลัวก็แต่ศีลห้ายังถือไม่ครบ เหล้าก็เหน็บ มือก็หนีบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวก็เบี้ยวๆ ไปมาอย่างนี้ ดีได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะเหล้าไม่เคยทำให้คนเป็นคนดี บุหรี่ไม่ทำให้คนเป็นคนดีได้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  บุหรี่นอกจากทำให้ตัวเองไม่ดีแล้วยังทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)
อบายมุขทำให้เราเสีย ทำให้ครอบครัวนั้นล่มจมด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้อย่างนี้แล้วเอาไหม (ไม่เอา) มีไหม (ไม่มี)  เป็นไหม (ไม่เป็น)  ต่อไปมีสองตัวเอาไหม เดี๋ยวก่อนไปเราให้สองตัวเอาไหม (ไม่เอา, เอา)  ไม่แน่จริงนี่นา เป็นคนดีต้องมุ่งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้เขาเรียกว่าดีไม่จริง คดในข้อ งอในกระดูก มีช่องทางได้ก็เอาทุกทาง ยกตัวอย่างง่ายๆ มีลูกห้าคน เวลาพ่อแม่อยู่ขยันมาก แต่พอพ่อแม่ไม่อยู่ นอนตีพุง ไม่ทำเลย จนกระทั่งพอถึงเวลาแม่จะมาพ่อจะมา รดน้ำหน่อย ตบต้นไม้ให้มันสวยๆ หน่อย อย่างนี้เอาไหมลูก (ไม่เอา)  ฟ้าเบื้องบนก็ไม่เอาคนแบบนี้ขึ้นฟ้านะ จะตายแล้วค่อยทำดีเข้าไว้ สายไปไหม ความดีไม่ใช่ดีได้แค่วันเดียว ความดีต้องมีสิ่งสะสม แต่สะสมแล้วต้องไม่ยึดติด แต่คนในโลกคนดีก็ดี คนชั่วก็ชั่ว เรารังเกียจคนชั่วได้ไหม (ไม่ได้)  เราอุปถัมภ์ค้ำชูคนชั่วดีไหม (ไม่ดี)  ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราเจอคนชั่วควรจะ (ชักชวนให้ทำดี)  ตอบได้ดี การชักชวนคนชั่วให้ทำดีต้องระวังอย่างหนึ่ง เคยเห็นอีกาในฝูงหงส์ไหม (เคย) เข้าไปใครตายก่อนใคร หงส์ตายก่อน ฉะนั้นก่อนที่เราจะไปเปลี่ยนแปลงคนชั่ว เหมือนเราจะไปถอดเขี้ยวเสือเล็บเสือ ต้องรู้จักนิสัยใจคอเขาก่อน ไม่อย่างนั้นเราจะกลายเป็นอีกาในฝูงหงส์ กามันจะตีหงส์ตาย เราต้องรู้จักทำอย่างไร อ่อนน้อมเข้าไปก่อน ไม่เช่นนั้นแล้ว เรานั้นจะกลายเป็น (อีกา)  อีกาเลยหรือ ชวนเขาดีไม่ได้เลยเลวกับเขาเลย ไม่ได้นะ
แม้ฟ้าจะโหดร้าย สังคมจะเปลี่ยนแปลง คนเราจะเปลี่ยนแปลงแค่ไหน เขาชั่วเรื่องของเขา แต่อย่าลากให้เราไปชั่วตามเขาถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนเรื่องง่ายๆ ถูกคนอื่นเข้าใจผิด เราไปต่อว่าเขาได้ไหม ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไปชี้บอกเขาว่าไม่ใช่ๆ แก้ไขไปมีประโยชน์ไหม (ไม่มีประโยชน์)  จึงมีคำพูดโบราณกล่าวไว้ว่า ถูกคนอื่นเข้าใจผิดแม้จะเป็นทุกข์ แต่ให้คนอื่นให้อภัยที่ตัวเองไปต่อว่าเขาก็หาใช่สุขไม่ เข้าใจคำนี้ไหม ไหนรองหัวหน้าตอบให้ฟังหน่อย (เขาใส่ร้ายเรา เราไปต่อว่าเขายังไง ก็ไม่ทำให้ดีขึ้น ยิ่งจะทำให้ขัดแย้งกันยิ่งขึ้น คือการโต้แย้ง ขัดแย้ง อาจจะเกิดการทะเลาะวิวาท จนถึงขั้นตีกันทะเลาะกัน กลายเป็นจากสองสามคนสี่คนจนเป็นกลุ่มก็ได้)  ถ้าเช่นนั้นเราควรใช้อะไร (ก็คือใช้ความนิ่ง ความมั่นใจในตัวเอง อย่างที่เราได้ศึกษาธรรมะตรงนี้เราก็ไม่ควรยึดมั่น ควรปล่อยวางในทุกสิ่งให้ว่าง ไม่ให้อยู่ในความคิด ไม่ให้อยู่ในใจเรา ทุกอย่างก็จะไม่เกิด ทุกอย่างก็สงบ)
บางครั้งถูกคนเข้าใจผิด เป็นธรรมดาเราอยู่ร่วมกับคนในสังคม อยู่ร่วมกันในครอบครัว การเข้าใจผิดเป็นเรื่องปกติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเมื่อเข้าใจผิดแล้ว เราจะใช้วิธีการอย่างไร ถ้าเราโวยวายเอะอะ  ต่อล้อต่อเถียงไป ไม่มีประโยชน์ จริงไหม พอเถียงไปปุ๊บเข้าใจผิดไปใหญ่เลย ตอนนี้มาขอโทษ อภัยให้ฉันเถอะ ผิดไปแล้ว  เราก็รู้สึกเสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อสักครู่มีทุกข์เพราะเขาเข้าใจผิด ก็ยิ่งทุกข์มากเข้าไปใหญ่ เพราะว่าอธิบายไปก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งเป็นเรื่องเป็นราว บางทีเขาอาจไม่คิดอะไรมาก เขาก็กลับมาบอก อ้อ นี่เธอคิดมากเหรอ ใช่ไหม (ใช่)  บางทีให้คนอื่นให้อภัยก็ไม่ใช่ความสุข ถูกไหม (ถูก)  คนอื่นเข้าใจผิดบางทีก็อาจไม่ใช่ทุกข์เสมอไปก็เป็นได้ ขอเพียงเรามีความอดทน แล้วเวลาจะช่วยพิสูจน์ความเป็นคนในตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเราเป็นคนอย่างไรในสายตาเขา คำพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์เท่ากับการกระทำของตัวเราเอง ฉะนั้นเกิดเป็นคนสำคัญอย่างหนึ่ง เชื่อมั่นในตัวเองได้ แต่อย่ามากจนเกินไป มากจนขนาดไม่ฟังใคร ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) คำพูดโบราณจึงกล่าวไว้ว่า เมื่ออยู่ร่วมกันอย่าเห็นแต่จิตใจตัวเอง แต่ต้องมองเห็นจิตใจผู้อื่นด้วย แต่ถ้าทำงานร่วมกัน อย่าเห็นแค่ความคิดเห็นของตัวเอง  แต่ต้องมองเห็นความคิดเห็นของส่วนรวมด้วย เหตุผลและหลักใหญ่ของการอยู่ร่วมกัน หรือการทำงานร่วมกันด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราสามารถอยู่กับเขาได้อย่างเป็นสุข และรักษาใจเราให้เป็นปกติไม่เป็นทุกข์ ถูกหรือไม่ (ถูก)
เราคงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านสั้นๆ ง่ายๆ แค่นี้ดีไหม อย่างน้อยเรามา เราช่วยให้ท่านได้รู้วิธีแก้ความทุกข์ และให้รู้จักคิดอย่างเป็นสุขในการอยู่ร่วมกัน แค่นี้เอง นี่คือปัญหาของชีวิตที่เราทุกคนต้องเจอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จำไว้ว่า ทุกข์อยู่ที่ความคิดของเรา ถ้าคิดเป็นคิดได้ ความทุกข์ในโลกจะไม่สามารถมาทำอะไรจิตใจเราได้ เหมือนอย่างเวลาเราเห็น โค กระบือ  ถ้าเราจับมันก้มหัว ถ้ามันไม่อยากก้มเอง ใครก็กดให้มันก้มไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ความทุกข์ก็เฉกเช่นเดียวกัน มันไม่สามารถมีอิทธิพลหรือทำร้ายใจของตัวท่านได้ ถ้าตัวท่านไม่ตั้งใจไปเอามันมาจริงไหม (จริง) ถ้าตัวเราไม่คิดร้าย ไม่คิดชั่ว ความชั่วหรือความร้ายก็ทำอะไรเราไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ขอเพียงคิดให้เป็นคิดให้ได้ แล้วชีวิตนี้จะมีสุข จริงไหม (จริง) อย่าคิดแบบคนเอาแต่ได้ อย่าคิดแบบคนมองแต่ตนแต่ไม่เคยเห็นใคร คนเช่นนี้หาความสุขในโลกไม่ได้หรอก จริงไหม (จริง) คนที่เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ คนที่มองแต่ตัวเองทุกข์ แต่ไม่เคยเห็นคนอื่นทุกข์ คนเช่นนี้ไม่มีวันพบความสุขที่นิรันดร์จำให้ดีนะ วันนี้ก็คงแค่นี้ มีโอกาสก็ค่อยมาผูกบุญสัมพันธ์กันใหม่ ดีไหม (ดี)


วันอาทิตย์ที่ ๒๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
พระโอวาทท่านหนันจี๋เหล่าเซียนอง
คนบำเพ็ญฝึกตนเป็นสุภาพชน อย่าโหวกเหวกโวยวายจนไม่น่านับถือ
คนบำเพ็ญไม่หัวแข็งและดึงดื้อ อย่ายึดมั่นถือมั่นมากอัตตา
เราคือ
หนันจี๋เซียนอง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมฮุ่ยจื้อ แฝงกายกราบเบื้องหน้า
องค์มารดา ถามหลานน้อยน้อยที่น่ารักตั้งใจบำเพ็ญหรือยัง
คนทนเป็นทนมากสบายมาก ทนลำบากสู้ชีวิตไม่หวั่นไหว
คนรอบคอบยากล้มเหลวในบั้นปลาย ชีวิตจิตเข้มแข็งทำใจรู้จักวาง
ชำนาญการยื้อแย่งให้หัวปั่น อย่ามองเป็นเรื่องขันแก้ไขบ้าง
ทบทวนย้อนการเย็นใจไม่ระวัง ผิดแนวทางทุกข์ทำช้ำฤทัย
ในการบำเพ็ญการเป็นผู้บำเพ็ญ อย่าลืมตัวจงเป็นคนอัชฌาศัย
เวลาไม่คืนให้คนสำนึกได้ ทำสิ่งใดพิจารณาทำให้ดี
ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทท่านหนันจี๋เหล่าเซียนอง
 
สิ่งที่เราได้ยิน สิ่งที่เราได้ฟัง สิ่งที่คิดว่าดีก็จำเป็นที่จะต้องคิดตามและปฏิบัติตามด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อชราเฒ่าก็เดินช้าเป็นธรรมดา ใช่หรือเปล่า คนที่อายุมากๆ แล้ว (ใช่)  สังขารเดินช้าแต่จิตใจช้าด้วยหรือเปล่า สังขารไม่ดี จิตใจต้องดีใช่ไหม (ใช่)  ยิ่งเป็นไม้ใกล้ฝั่ง จะใกล้ไปฝั่งไหน จะใกล้ไปฝั่งเวียนว่ายตายเกิด หรือใกล้ไปฝั่งหลุดพ้นนิพพาน เราผู้เฒ่าคิดว่า ไม่มีใครอยากจะเวียนว่ายตายเกิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าทำอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้ มันก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดแน่นอนใช่ไหม (ใช่)  เพราะว่าเราไม่ได้ปรับตัวของเราให้ดีขึ้น เมื่อไม่ปรับปรุงตัว ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เมื่อไม่มีอะไรดีขึ้นย่ำอยู่กับที่ ไม่แก้ไขตัวเอง ก็ย่อมที่จะเหมือนเดิม ย่อมที่จะเวียนว่ายไปเช่นเดิมใช่หรือเปล่า (ใช่)
ชาตินี้เกิดมามีทุกข์หรือไม่ (มี)  ชาตินี้เกิดมารู้สึกไหมว่า ทำไมเราถึงได้มีบางอย่างไม่เหมือนกับคนที่เรามองแล้วคิดว่าเขาโชคดี ทำไมเรายังขาดแคลนสิ่งนั้นที่เรายังเปรียบเทียบกับคนๆ นั้น ว่าเขาดีกว่า ทำไมเราถึงยังขาดแคลนสิ่งนี้ ทำไมโชคชะตาของเราถึงได้เป็นอย่างนี้ ไม่ได้โชคดีเหมือนกับคนอื่นเล่า ทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้น (เราไม่ได้ทำบุญไว้)  เพราะคิดว่าเราไม่ได้ทำบุญไว้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อันนั้นเป็นเพียงแค่การเปรียบเทียบให้เห็นว่า เรานั้นยังมีข้อบกพร่องอยู่มากมาย ที่เป็นข้อบกพร่องที่เกิดจากชะตากรรมทีเดียว แก้เท่าไรก็แก้ไม่หมด แต่ในตอนนี้ชะตากรรมของเราโชคดี ถึงได้ธรรมะแท้ โชคดีถึงบำเพ็ญแล้วหลุดพ้นได้ แต่เรากลับยังเฉยๆ อยู่ คือร่วงโรยไปแต่สังขาร จิตใจนั้นไม่ได้ร้อนรนอยากที่จะหลุดพ้นเลย เฉื่อยๆ ไปเรื่อยๆ เช่นนี้ ย่อมไม่มีอะไรได้กลับมา มิบำเพ็ญ มิหลุดพ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากจะหลุดพ้นต้องทำอย่างไร  (ทำความดี)  อยากจะหลุดพ้นต้องทำให้ดีกว่านี้อีกใช่หรือเปล่า เราต้องเป็นคนดี เราต้องเป็นคนที่เสียสละให้ผู้อื่นได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  การเสียสละให้ผู้อื่นนั้นยากไหม (ยาก)  เรามักจะเสียสละให้กับคนที่เป็นลูก เป็นญาติ เป็นวงศาคณาญาติ คนใกล้ชิดของเราเท่านั้น อย่างนี้ที่เราสละให้นั้นเป็นความเมตตาหรือเปล่า เมตตาใช่ไหม (ใช่)  เป็นเมตตาวงเล็กๆ เพราะถ้าหากว่าไม่สนิทกัน ไม่รักกัน ไม่มีความสัมพันธ์กัน ก็ไม่อยากจะให้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นความเมตตาเล็กๆ เหมือนดวงไฟเล็กๆ ดวงหนึ่ง จะสว่างไปได้สักมากน้อยเพียงไหน ถ้าหากว่าในห้องที่มีความสว่างอยู่มากพอ เราจุดไฟขึ้นมาดวงหนึ่ง ไฟดวงนี้สว่างมากไหม (ไม่มาก)
ตอนนี้อยู่ในสังคมโลกนี้ สังคมโลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล เราแสดงความเป็นผู้บำเพ็ญเพียงเล็กน้อย จะให้แสงสว่างแก่ผู้อื่นได้มากไหม (ไม่มาก)  แล้วถามว่า สามารถให้สว่างกว่านี้ได้ไหม จิตเมตตานี้ (ได้)  ทำอย่างไร (ต้องพยายามทำความดีให้มากๆ บำเพ็ญให้มากๆ )  
“คนบำเพ็ญฝึกตนเป็นสุภาพชน”
ได้ยินไหม นึกว่ามีแต่คนแก่ที่หูตึง เด็กๆ ก็หูตึงแล้วใช่ไหม (ใช่)  มีความแก่อยู่ในความวัยเยาว์เช่นเดียวกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนต้องดำเนินไปสู่ความแก่เฒ่าใช่ไหม (ใช่)  สักวันหนึ่งแรงที่มีเยอะแยะก็จะหมดใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นตอนนี้ทำอะไรได้ก็ต้องทำใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเราอยากรีบๆ เดินมา รีบเดินเท่าไรก็ยิ่งช้าไปเท่านั้น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ตอนนี้ยังทำอะไรได้อย่างใจก็ยังไม่ยอมทำ อีกหน่อยพอแรงไม่มีอยากจะทำอะไรเยอะแยะยิ่งไม่ได้ทำใหญ่เลย ใช่ไหม (ใช่)  
“อย่าโหวกเหวกโวยวายจนไม่น่านับถือ
เห็นเป็นคนเฉื่อยๆ เรื่อยๆ อย่างนี้ แต่พอเวลามีเรื่องขึ้นมาทีก็เอาเรื่องเหมือนกันใช่ไหม เอาเรื่องกับใคร (เอาเรื่องกันตัวเอง)  คนไหนเอาเรื่องกับตัวเองบ้างมีไหม ส่วนใหญ่ไปเอาเรื่องกับคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเขาก็เห็นเราไปหาเรื่องเขา เขาก็มาเอาเรื่องกับเรา พ้นหรือไม่พ้น เป็นเวียนว่ายตายเกิดแห่งอารมณ์วงเล็กๆ ใช่ไหม (ใช่)  ตอนนี้อยากรู้ว่าหลุดพ้นจากการเวียนว่ายอย่างไร ก็ลองหลุดพ้นจากอารมณ์แห่งตัวเองดีไหม (ดี)  อย่างนี้ก็ต้องเลิกโกรธ เลิกเกลียด เลิกแค้น ใช่ไหม (ใช่)  ต้องอภัยให้คนด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนอยู่ใกล้ตัวอภัยง่ายไหม คนยิ่งอยู่ใกล้ตัวยิ่งอภัยยากใหญ่เลยใช่ไหม (ใช่)  อภัยแต่คนไกลๆ ใช่ไหม เพราะอะไรล่ะ รักมากก็ต้องตีให้เจ็บหน่อยใช่หรือเปล่า เพราะความห่วงมันอยู่ที่มือ แล้วแรงมันออกมาจากใจใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้แล้วจะรักกันทำไมล่ะ รักหรือไม่รัก ว่ากันจริงๆ แล้ว รักกันนั้นรักใครที่สุด (ตัวเอง)  รักตัวเองก็อย่าไปโกรธ รักตัวเองก็อย่าไปเกลียด รักตัวเองก็อย่าไปชัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  รักตัวเองก็อภัยเขาเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในอารมณ์ของตัวเองไม่รู้จักจบ ไม่รู้จักสิ้น คนเราโกรธ มีความสุขหรือเปล่า อยู่นรกขุมที่เท่าไร ยิ่งโกรธมาก นรกขุมนั้นก็ยิ่งลึกใหญ่เลยใช่ไหม (ใช่)  อยากจะดิ่งไปสู่ขุมที่เท่าไรดี หรืออยากขึ้นสวรรค์ไป (อยากขึ้นสวรรค์)  อยากขึ้นสวรรค์ก็ต้องทำตัวเป็นเซียน เซียนก็ต้องเป็นคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส
เซียนเป็นคนที่มีความสุข เซียนเป็นคนที่ไม่เรียกร้องผู้อื่นแต่เรียกร้องตัวเอง เซียนเป็นผู้ที่ยอมให้ผู้อื่น มิได้เอาเปรียบคนอื่นเพื่อตัวเอง ทำได้ไหม (ได้)  อันนี้เป็นแค่เซียนตำแหน่งเล็กๆ เองนะ หากอยากเป็นเซียนใหญ่นี่ ยิ่งเหนื่อยกว่านี้อีกเป็นหลายเท่าตัวนะ ทำได้ไหม (ทำได้)  
คนบำเพ็ญไม่หัวแข็งและดึงดื้อ”  ใครหัวแข็งบ้าง แข็งไม่แข็งลองเอามือเขกหัวตัวเองซิ มีใครในนี้หัวไม่แข็งบ้าง แสดงว่าหลานเป็นคนที่หัวแข็งทุกคนใช่หรือไม่ (ใช่)  หัวแข็งทำอย่างไร และดึงดื้อ ถ้าหากว่าเราอ่อนน้อมถ่อมตนก็เบาความหัวแข็งไปได้หน่อยหนึ่งใช่หรือเปล่า (ใช่)   เพราะเวลาหัวแข็ง หัวแข็งให้ใคร (หัวแข็งให้คนใกล้ตัว)  เวลาหัวแข็งก็ให้คนใกล้ตัวเห็นใช่หรือเปล่า คนไกลตัวมองออกไหม คนไกลตัวเขาก็มองออกเหมือนกันใช่หรือเปล่า (ใช่)  จะออกมากออกน้อย ออกหัวออกก้อยเท่านั้นเองใช่หรือไม่ (ใช่)  คนนั้นพอยิ่งมองออกกันมากเท่าไร ก็ยิ่งเกลียดกันมากเท่านั้นใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นมองออกดีไหม (ไม่ดี)  มองออกดีไหม (ดี)  คนที่เป็นคนจิตใจใสๆ ก็มักจะยอมที่จะมองไม่ออก แต่คนที่มีความชาญฉลาดสูงก็ยังอยากมองคนออกอยู่ร่ำไป ใช่ไหม (ใช่)  ไม่อยากเป็นคนโง่ แต่ก็ถูกความหัวแข็งของคนข้างๆ มาปั่นหัวเล่น อย่างนี้โง่หรือฉลาด (โง่)  ฉะนั้นการอยากจะมองคนอื่นออกหรือไม่ออกอันนี้เราไม่ติเตียน ไม่จูงใจ ไม่เปลี่ยนความคิดใคร แต่อยากจะสุขหรืออยากจะทุกข์ก็อยู่ที่ตัวเอง ตรงความคิดชั่ววูบชั่วขณะนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากเราเป็นคนฉลาดอยากมองคนออก เราก็จะต้องหัดที่จะกำราบจิตใจตนเอง อย่าได้มีความเกลียดมาก เราเป็นคนจิตใจใสซื่อ มองคนไม่ออกก็อย่าได้รู้สึกว่าท้อแท้เสียใจตามคนไม่ทัน มิต้องเสียใจในจุดนี้ แต่หากว่าเราควรที่จะรู้จักว่าสิ่งใดควรไม่ควร หัดฟังคนอื่นให้มาก จะได้เห็นในสิ่งที่คนอื่นนั้นเขามองเรา ดีหรือไม่ (ดี)  เมื่อคนอื่นมองย่อมไม่เหมือนเรามอง เมื่อเรามองย่อมไม่เหมือนเขามอง การฟังคนอื่นพูดช่วยได้มากเข้าใจไหม (เข้าใจ)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานกลอนโอวาท)
จะทนคนหรือทนคนเป็นดีล่ะ สติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเลยนะ คนที่มีความอดทนก็ต้องทนคนอื่นได้ด้วยนะ อันที่จริงเขาเขียนก็ไม่ค่อยผิดเท่าไร ใช่หรือไม่ (ใช่) ความอดทนเป็นสิ่งที่รู้จักกันมานานแล้ว เขียนก็เขียนได้ใช้เวลาไม่นานเท่าไรแต่เวลาจะทำความอดทนสักครั้งนั้นเป็นเรื่องที่ทำยากมากเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) โดยเฉพาะคนแก่คนเฒ่านั้นเป็นคนที่ขี้น้อยใจอยู่มากๆ ยิ่งเราขี้น้อยใจมากเท่าไร คนที่อยู่รอบๆ ข้างก็ยิ่งต้องใช้ความอดทนมากขึ้นเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากเราปรับสภาพจิตใจของเราได้ เราก็ควรปรับสภาพจิตใจของเรานั้นให้เป็นคนที่มีความร่าเริงกว่านี้ดีหรือไม่ (ดี)
บางคนนั้นหงุดหงิดในเรื่องสุขภาพร่างกายของเราเอง ว่าร่างกายไม่ดี จึงมีอารมณ์ไม่ดีอยู่เนืองนิจ อันนี้คนในวัยหนุ่มสาวก็จำเป็นจะต้องเข้าใจ  เหมือนกับเรา ถ้าหากไม่ได้ลงมาใช้ร่างนี้ก็สบายๆ แต่ถ้าหากลงมาใช้ร่างนี้เมื่อไรก็จะรู้สึกถึงความลำบากเมื่อครั้งนู้นมาแล้ว ได้อย่างดีทีเดียว เพราะว่าเมื่อจะขึ้นบันไดถ้าหากเป็นคนสูงวัยก็ขึ้นลำบาก แม้แต่บันไดธรรมดาก็ยากแล้ว หากบันไดยิ่งสูงชันยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
การปล่อยหินลงมาจากภูเขาเป็นเรื่องง่ายหรือยาก การที่ต้องออกแรงผลักหินก้อนใหญ่ๆ ลงมาเป็นเรื่องยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าหากแบกก้อนหินที่มีน้ำหนักเบากว่าขึ้นภูเขาไปอันไหนยากกว่า คนตอบได้อย่านั่งยิ้มเฉยๆ นะใช้ความกล้าลุกขึ้นมาตอบดีหรือไม่ (ดี)  คนที่อายุมากแล้วก็ให้เหมือนกับการผลักหินลงมาจากภูเขา แม้การผลักจะง่ายกว่าการแบกหินขึ้นมาแต่ก็เป็นงานหนักแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) แต่คนในวัยหนุ่มสาวย่อมมีเรี่ยวแรงอยู่ แต่ให้แบกหินที่เบากว่า ให้เบากว่าสิบเท่า เดินแบกขึ้นมาก็ใช่ว่าจะแบกขึ้นมาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตของคนย่อมมีขาขึ้นขาลงไม่เท่ากัน ฉะนั้นการบำเพ็ญของแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน การที่แต่ละคนจะคิดอะไร ทำอะไรก็ย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา แต่ต้องอยู่ร่วมกันให้ได้เหมือนอยู่ภูเขาลูกเดียวกัน ไม่ว่าใครจะขึ้นหรือใครจะลง ก็ยังต้องช่วยเหลือกัน หากเราเห็นเขาต้องการจะผลักหินลงจากภูเขาแต่เราไม่เข้ามาช่วย เราทำได้ไหม (ไม่ได้) หากเราเห็นเขาแบกหินขึ้นภูเขา เห็นว่าเขาหนัก หินมันจะทับตัวอยู่แล้ว แต่เราไม่ช่วย ทำได้ไหม (ไม่ได้) อันนี้เป็นการอุปมาอุปไมย เปรียบเทียบในการที่อยู่ร่วมกัน การอยู่ร่วมกันจึงต้องอาศัยความอดทน ใช่หรือไม่ (ใช่) ต่างคนต่างต้องมีความอดทนต่อกัน อดทนออกแรงแบกหินก้อนหนึ่งบนบ่า อดทนผลักหินก้อนหนึ่งลงจากภูเขาก็ต้องมีความอดทนด้วยกันทั้งนั้น ทุกคนใช้ความอดทนแล้วแต่ขีดความอดทนของแต่ละคนนั้น ย่อมไม่เหมือนกัน
ฉะนั้นการที่เราจะบำเพ็ญร่วมกันอย่างผาสุกได้ จะต้องเข้าอกเข้าใจ เห็นอกเห็นใจกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา การที่เราพูดเช่นนี้ไม่ใช่ให้ใช้ในการอยู่ร่วมกันในสถานธรรมเท่านั้น แม้แต่ที่บ้าน ที่ทำงาน ที่โรงเรียน กับญาติมิตรสหายก็ยังต้องรู้จักอะลุ้มอล่วย เห็นอกเห็นใจกันใช่หรือไม่ (ใช่) แต่การใจดี เป็นเพราะมนุษย์เป็นผู้ที่ได้คืบเอาศอก ฉะนั้นจึงต้องรู้จักตามทันนิสัยมนุษย์ด้วย ทำอย่างไรถึงจะทำให้เขาเปลี่ยนแปลงโดยที่เขาไม่โมโห
เราจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟังมีคนอยู่คนหนึ่งนิสัยประหลาดมักจะมองเห็นความผิดของผู้อื่นมากกว่าความผิดตนเอง มักจะอยากให้ผู้อื่นช่วยตัวแต่ตัวเองไม่อยากช่วยใคร เป็นคนที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต โหดร้ายเป็นเนืองนิจ คนๆ นี้เป็นคนไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) มีอยู่คนหนึ่งเป็นคนดีอยากตักเตือนเขา แต่ถ้าหากเขาไปตักเตือนซึ่งซึ่งหน้าจะเกิดอะไรขึ้น (เกิดการไม่พอใจขึ้น) แต่เวลาเราเตือนคนอื่นเราก็มักจะทำแบบนี้ใช่ไหม (ใช่) ไม่ดูตาม้าตาเรือ แล้วก็เข้าไปตักเตือนยิ่งสนิทกันก็ยิ่งจะตักเตือนกันแรงขึ้นเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) การที่จะเข้าไปเตือนซึ่งซึ่งหน้านั้นทำไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นต้องทำอย่างไรดี (หว่านล้อม)  นักเรียนชั้นนี้ เป็นคนที่ให้ความร่วมมือมากนะ ทำอย่างนี้ถึงน่ารักใช่ไหม คนที่ยังไม่ได้ผลไม้เลย แม้กระทั่งอยู่ข้างหน้านี่ก็ต้องรีบๆ หน่อยใช่ไหม เล่าต่อนะ อยากฟังไหม (อยาก)  เขาก็ไปขอคำชี้แนะจากคนๆ หนึ่ง คนๆ นั้นบอกว่า ให้ตักเตือนเขาด้วยความสุภาพ เขาเป็นคนเช่นไร ให้ทำตัวให้เข้ากับเขาให้ได้ ทำยากไหม ถ้าเป็นคนสมัยก่อนคงไม่ยากเท่าคนสมัยนี้ คนสมัยนี้เห็นเขาโง่ๆ คนฉลาดจะทำตัวโง่ๆ ตามเขาได้ไหม มันฝืนใจ ไม่ได้ทีเดียวใช่หรือไม่ (ใช่)  มันตัดไม่ได้ มันข้ามผ่านไม่ได้ คือข้ามผ่านตัวเองไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นเขาไม่ฉลาดเราจะทำตัวแกล้งโง่ตามเขาก็ทำไม่ได้ เห็นเขาเป็นคนอย่างไร เราก็ยังที่จะอะลุ้มอล่วยกับเขาไม่ได้ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นในปัจจุบันนี้จึงเตือนกันไม่ได้ถูกไหม (ถูก)  แก้ไขให้ถูกจุดนะ แก้เชือกให้แก้ตรงปม มิใช่ไปแก้เชือกที่ฟั่นเกลียวกันอยู่ มองปัญหาต้องมองให้ชัด ให้รู้จริง จึงจะสามารถที่จะแก้ได้ตรงที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งเป็นนิสัยคน จิตใจคน ยิ่งมีความสลับซับซ้อน ซ่อนเงื่อนหลายปม จนไม่รู้ว่าจะแก้ตรงไหนก่อน เพราะฉะนั้นอย่าเป็นผู้ที่พูดให้คนอื่นฟัง จะต้องพูดให้ตัวเองฟังให้รู้เรื่องก่อนนะ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ถ้าหากว่าพูดให้ตัวเองฟังไม่รู้เรื่อง พูดให้คนอื่นฟังรู้เรื่องไหม (ไม่รู้เรื่อง)  ทุกวันนี้พูดให้ตัวเองฟัง รู้เรื่องหรือยัง (ยังเลย)
ฉะนั้นคนๆ นี้เขาก็เปรียบไว้กับสิ่งๆ หนึ่ง คือตั๊กแตน เคยเห็นไหม (เคย)  ตั๊กแตน เวลาเห็นคนจะเข้ามา อยู่ตรงหน้า เขาทำอย่างไร เขาก็ยกหมัดขึ้นมาเตรียมชกเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  พอเห็นรถวิ่งมา ล้อรถใหญ่กว่าตั๊กแตนเยอะไหม ทับทีตั๊กแตนแบนไหม (แบน)  แต่ถามว่าตั๊กแตนกลัวหรือไม่กลัว (ไม่กลัว)  ตั๊กแตนทำอย่างไร เคยเห็นตั๊กแตนถูกทับตายอยู่บนถนนไหม (ไม่เคย)  แล้วคิดว่ามีไหม แมววิ่งหลบเร็วกว่าตั๊กแตนอีก เคยเห็นแมวถูกรถทับตายอยู่บนถนนไหม (เคย)  คิดว่าทำไมมันถูกทับตายล่ะ วันนี้ใครที่เป็นคนแก่แล้ว เอาความแก่มาให้เรา แล้วเป็นสาวๆ กันดีไหม วันนี้มีคนแก่กว่า เพราะฉะนั้นตอบแล้วให้เดินมาเอาดีไหม (ดี)  ถือว่าเรายังสาวอยู่นะ ผมขาวๆ ก็ยังสาวอยู่ ถึงผมขาวๆ แล้วโกรกทิ้งก็ยังสาวอยู่ใช่ไหม เพราะฉะนั้นตอบเราแล้วเดินมาเอานะ ตั๊กแตนตัวนี้ก็ต้องถูกรถทับแน่นอน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เดาสิว่าตั๊กแตนตัวนี้เหมือนใคร (เหมือนคนแก่)  เหมือนแม่ๆ เลย คนแก่ข้ามถนนไม่ค่อยพ้นใช่ไหม มีคนคิดไหมว่า คนที่เป็นตั๊กแตนนั้น ก็เหมือนคนที่เรานั้นพยายามไปเตือน เพราะว่าเขาตั้งการ์ดรอไว้เลยไม่ยอมให้ใครเตือน เหมือนหรือไม่เหมือน พอเห็นเราตั้งท่าจริงจัง ขึงขัง จะไปเตือนหน่อย เขาก็ตั้งการ์ดรอไว้แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เวลาตาย ตั๊กแตนตัวนี้ตายเหมือนใคร เหมือนคนที่เข้าไปเตือนใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นตั๊กแตนตัวนี้คือใคร (ตัวเราเอง)  คือตัวคนเตือน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราควรจะประมาณตน ประมาณตนว่าเรานั้นเตือนเขาได้ไหม ท่าทีของเรานั้นสุภาพอ่อนโยนพอหรือไม่ เรานั้นเป็นคนที่ เขานั้นเชื่อถือมากน้อยเพียงใด ใช่ไหม (ใช่)  การที่เรานั้นจะพูดปุ๊บ คนฟังปั๊บ ถ้าหากว่าเราทำได้เช่นนี้ แสดงว่าเรานั้นต้องเป็นคนที่มีบารมีสูง ใช่หรือไม่ (ใช่)  บารมีนั้นมีอะไรบ้าง บารมีนั้นมีอยู่ตั้งหกประเภท หากว่าเราทำได้เพียงหนึ่งในหกประเภทเท่านั้น เราก็จะเป็นคนที่เวลาพูดแล้ว อย่างน้อยต่อให้เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ยังจะต้องหยุดฟัง
การบำเพ็ญบารมีนั้นหมายถึงอะไร การบำเพ็ญบารมีนั้นหมายถึงการทำในสิ่งนั้นๆ เป็นเวลานานๆ ทำสิ่งดีนั้นๆ ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆ อาจจะใช้เวลาถึงสิบปี หรืออาจจะมากกว่านั้น ถ้าหากว่าเราทำไม่จริงจัง การได้บารมีมา หมายถึงการทำในสิ่งนั้นๆ ในทุกๆ ครั้งที่มีโอกาสแสดงบารมีในเรื่องนี้ พูดเช่นนี้แล้ว ไม่รู้ว่าหลานๆ คิดว่าตัวเองนั้นเป็นผู้มีบารมีได้หรือไม่ มีได้ไหม มีทั้งคนคิดว่ายังไม่มี และมีทั้งคนคิดว่าทำไม่ได้ มีทั้งคนคิดว่ายากเกินไป ย้อนถามกลับไปที่ความเดิม สมัยก่อนพระโพธิสัตว์กวนอิน พระพุทธองค์ รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์นั้น ล้วนแต่เคยเกิดเป็นกายมนุษย์ใช่หรือไม่  (ใช่)  เหมือนกับหลานๆ ตอนนี้ไหม (เหมือน)  ต่างกันตรงไหน
(มุ่งมั่นที่จะทำความดี, ต่างกันตรงที่บำเพ็ญภาวนาต่างกัน, ต่างกันที่คุณธรรม, ต่างกันตรงความมุ่งมั่น )  
ใบไม้เวลาไหลร่วงลงไปในลำธาร แม้ใบไม้หลาย ๆ ใบจะร่วงลงไปเหมือนๆ กัน แต่ใบไม้ทุกใบร่วงได้ใบละหนเดียวใช่ไหม (ใช่)  ใบนี้ก็ไม่ใช่ใบที่เราเห็นเมื่อวันก่อน เราเดินผ่านไม่กี่รอบไม่คิดตอบโอกาสก็ผ่านไปหนึ่งครั้งใช่หรือไม่ (ใช่)  (แตกต่างที่การกระทำ) เราก็อาจจะคิดว่ามันต่างกันไปทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฐานะ ไม่ว่าจะเป็นจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นความมุ่งมั่น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดๆ ทั้งหลายทั้งแหล่ เราก็คิดว่าต่างกันไปหมดเลยแต่จริงๆ แล้วต่างกันหรือไม่ (ต่างกัน)  ดูตรงไหนว่าไม่ต่างกัน ดูตรงที่ตอนพระพุทธองค์นั้นดับขันธ์ ตอนองค์หญิงเมี่ยวซ่านดับขันธ์ตายไป มีฐานะตำแหน่งไหม (ไม่มี)  มีจิตใจและมีความมุ่งมั่นไหม (มี)  จิตใจและความมุ่งมั่นนั้นก็ยังทิ้งไว้ในโลกใบนี้  ชื่อเสียง ลาภยศ บารมีต่างๆ ก็ยังทิ้งไว้ในโลกใบนี้
ตอนนี้ชั้นนี้ที่มีคนอายุมากเป็นส่วนใหญ่เป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว ไปฝั่งไหนไม่รู้จริงๆ แล้วเมื่อตายไปแล้วย่อมไม่มีอะไรต่างกัน ทั้งชื่อเสียงตอนนี้ที่เราจะมีอยู่ หน้าที่การงานที่ตอนนี้เรามีอยู่ ลาภยศที่เรามีอยู่ จิตใจที่เรามีอยู่ บารมีที่เรามีอยู่ แม้จะเทียบไม่ได้แต่ทว่าเมื่อตายไปแล้วก็ย่อมไม่เหลือ
ฉะนั้นสิ่งที่แตกต่างกัน กลับย้อนมาที่จิตใจและความมุ่งมั่นของหลานๆ มิได้เทียบเท่ากับองค์อริยเจ้า ฉะนั้นถ้าหากว่าไม่บำเพ็ญตอนนี้ไปบำเพ็ญตอนไม่มีกายสังขารนั้นได้หรือไม่ (ไม่ได้)   เพราะเมื่อตายไปแล้ว หลานจะต้องทิ้งสิ่งเหล่านี้ไว้ในโลก จะต้องทิ้งทั้งหมด ชื่อเสียง บารมี วาสนา ตำแหน่ง ทุกอย่างจะต้องทิ้งไว้ในโลกใบนี้ จะทำสิ่งใดทิ้งไว้ จะทิ้งไว้เป็นชื่อเสียงอันดีงาม จะทิ้งไว้เป็นชื่อเสียงอันฉาวโฉ่ จะทิ้งไว้เป็นคนไม่มีชื่อเสียง และมิให้ใครยอมรับเราได้ไม่ถูกยอมรับด้วยใครทั้งสิ้น อย่างนั้นหรือถ้าหากว่าตอนนี้อายุมากแล้วมิฉวยโอกาสเร็วไว หากว่าแก่เฒ่า หง่อมยิ่งกว่านี้แล้วก็คงจะไม่ต้องพูดถึงใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นจิตใจที่ควรจะเป็นจิตใจที่มุ่งมั่น ยังเอามาห่วงโน่น ห่วงนี่ ห่วงลูก ห่วงหลาน ห่วงตัว ห่วงครอบครัว ห่วงในสิ่งที่เรื่องราวทุกๆ วันไม่มีซ้ำกันเลย แล้วจิตใจของเราก็ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตั้งอยู่บนพื้นฐานอันเดียวกันคือครอบครัว เช่นนั้นหรือที่อยากจะเอาใจไปใส่ไว้ เช่นนั้นหรือที่อยากฟุ่มเฟือยใจไปทำ
งานเหล่านี้หรือเป็นงานที่ผู้บำเพ็ญธรรมควรที่จะเอาใจใส่ดูแล้วชีวิตก็เป็นดวงแคบลง แคบลง เหมือนมีเมตตาวงเล็ก มิใช่เมตตาวงใหญ่ เหมือนมีการบำเพ็ญธรรมเพื่อชดเชยเวลาว่างเท่านั้น มิใช่เพื่อที่จะบรรลุหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ชีวิตนี้จะคุ้มแล้วหรือที่ได้เกิดมาอย่างนี้ มองหมู หมา กา ไก่ ที่อยู่ข้างนอกถ้าหากว่าชาติหน้าเราต้องเกิดมาเป็นเขาเพราะว่ากรรมของเรานำชักให้เราไปเกิดเป็นเหมือนหมาในบ้านที่เรานั้นเลี้ยงไว้ ชาติหน้าให้เราไปเกิดเป็นหมาแล้วให้คนอื่นเขาเลี้ยง ไม่ดีเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นจะต้องคิดเอาเองแล้วว่าชีวิตนี้ทำแค่นี้คุ้มกับชีวิตหรือเปล่า อันนี้เราพูดจริงจังพูดอย่างจริงใจและเปิดเผยที่สุด เราว่าไม่คุ้ม ชีวิตที่มีสติครบถ้วน ชีวิตที่มีทั้งความฉลาดเฉลียว ชีวิตที่แสนจะยากเย็นฝ่าฟันมามากมาย แต่ไม่รู้ว่าชาติหน้าจะเป็นอย่างไร ไม่คุ้มเลยนะ คิดให้ดีๆ พิจารณาให้ดีๆ อย่าเป็นคนที่ใจร้อน แต่เวลาที่ผ่านไปนอกจากความใจร้อนก็มีแต่ความเรื่อยๆ เฉื่อยแฉะ ปล่อยไปวันๆ อย่างนี้ชีวิตไม่มีประโยชน์เลย
มีใครชอบแย่งกับคนอื่นไหม แย่งโน่นแย่งนี่มาเป็นของตัวเป็นไหม จริงๆ แล้วทุกคนได้ชื่อว่าเป็นคนดี ตั้งใจแย่งคงไม่มี มีแต่ทำไปโดยคิดไม่ถึง จริงไหม (จริง) งั้นเราผู้เฒ่าถามหน่อย คิดไม่ถึงหรือไม่คิด เราไม่ได้คิดเลยจริงหรือไม่ (จริง) แต่ว่าในความไม่เจตนานั้นเราก็แย่งเขามาหรือเปล่า ไม่เจตนาแย่งเขามาบาปไหม มีคนชอบพูดบอกว่าไม่ได้ตั้งใจไม่บาป ใช่หรือเปล่า ได้ยินคำพูดแบบนี้บ่อยครั้งมิได้ตั้งใจไม่บาปหรอก แต่ว่าถ้าทำให้คนเขาเคืองแค้น แก้แค้นกลับไปกลับมา อันนี้ก็เป็นกรรมใช่ไหม (ใช่) ไม่เป็นบาปแต่เป็นกรรมเอาไหม (ไม่เอา) บาปคือผลแห่งความผิดที่เกิดจากการกระทำ ส่วนกรรมคือการกระทำ บาปและกรรมเหมือนกันหรือไม่ ถ้าไม่เหมือนเขาคงไม่พูดติดกัน ถ้าไม่เหมือนคงไม่ได้พูดคู่กันไปเรื่อยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้น ถามใหม่ ถ้าหากไปทำคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ บาปหรือไม่บาป (บาป) บาปหรือไม่นั้นอยู่ที่คนที่เราไปแย่งเขามา ว่าเขาติดอกติดใจหรือเจ็บแค้นหรือไม่  ถ้าหากเขาติดอกติดใจ เจ็บแค้นก็แปลว่าไม่ใช่มีเพียงเราเพียงวงเดียว แต่มีวงอีกวงมาผูกติดกับเราเหมือนกับลูกโซ่ ถ้าหากเราคือวงๆ หนึ่งในลูกโซ่ หากเราต้องการที่จะดึงตัวเราขึ้นไปสูงๆ วงๆ เดียวเราดึงง่ายไหม (ง่าย) หากเราไปทำคนอื่นให้เจ็บแค้นโดยไม่เจตนาจนเขาเอาวงอีกวงมาเกี่ยวกับเราแล้วเขาก็ล็อคเอาไว้เลยขึ้นได้ไหม (ไม่ได้)   
เพราะฉะนั้นบางทีไม่เจตนาก็ไม่ดี เราจะต้องรู้จักคิด ไม่ใช่เป็นคนที่ไม่คิด ไม่เจตนาไม่เป็นไร เราไม่เป็นไร แต่ถ้าคนอื่นเป็นไร แล้วเขาเอาห่วงมาล็อคเราไว้ แล้วก็คนๆ นี้ก็ยังมีกรรมของเขาเป็นอีกห่วงหนึ่งมาล็อคเอาไว้ ล็อคกันไปล็อคกันมาก็กลายเป็นบ่วงกรรมใช่ไหม แล้วต้องทำอย่างไร ก็สมมติว่าจะได้บำเพ็ญบรรลุเป็นพุทธะในชาติหน้า ก็ต้องกลับมาปลดก่อนใช่หรือไม่ ยืดออกไปอีกหนึ่งชาติเลยใช่หรือไม่ ยืดไปอีกหนึ่งชาติ แล้วพอชาตินี้ทำบาปก็ยืดไปอีกหนึ่งชาติ แล้วก็ยืดออกไป ยืดออกไปเรื่อยๆ ดีไหม (ไม่ดี)  
เราจะสังเกตว่า เราเป็นคนที่มีบุญ มีบุญมาก บางทีก็ได้โชคได้ลาภ แต่ว่าเรานั้น ก็ยังเป็นคนที่ยังต้องมีกรรม เป็นของตัว คนข้างๆ คนใกล้ๆ มาทำให้เราไม่พอใจ มาขัดใจเราทั้งๆ ที่ไม่น่าขัด เพราะว่าอะไร เพราะเรานั้นเป็นคนที่เกี่ยวกับเขามา จึงต้องมาปลดกับเขาในชาตินี้ใช่หรือไม่ หากว่าต่างคนต่างถือมีดกันคนละเล่ม ก็จะต้องเลือดโชกไปทั้งสองฝ่าย เสร็จแล้วการชำระหนี้ครั้งนี้ก็ยังไม่จบ เพราะว่าหนี้ที่มาในชาติเก่าจบแล้ว แต่หนี้บาดแผลนี้ยังไม่จบเลย ก็เวียนกันไปเรื่อยๆ น่าสนุกหรือเปล่า น่าทุกข์ใจ น่าทุกข์ใจมากๆ ฉะนั้นระงับอารมณ์ดีหรือไม่ ระงับอารมณ์และให้อภัย มีสติ มีชีวิตอยู่อย่างคนที่รอบคอบหน่อยดีหรือไม่ (ดี)  
หิวข้าวหรือยัง วันนี้เป็นเซียนแล้วนะ ไม่หิวข้าวแล้วนะ ไม่หิวอย่างนี้ แล้วแม่ครัวทำให้ใครกิน มีใครหิวข้าวไหม ยังไม่หิวเลยนะ ดีๆ
เล่านิทานให้ฟังอีกเรื่องดีไหม (ดี)  เป็นคนสูงวัยแล้วก็ชอบฟังนิทานเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  มีอยู่คนหนึ่งเขาเลี้ยงม้า ม้าของเขาตัวนี้ เขารักมากเลย เขาจะเอาตะกร้าไผ่สานรองรับมูลของม้า แล้วเอาเปลือกหอยขนาดใหญ่รองรับปัสสาวะของม้า คนนี้รักม้ามากไหม (มาก)  รักม้ามากเลย แต่ว่ามีอยู่วันหนึ่ง ม้าตัวนี้ก็มีเหลือบตัวหนึ่งไปกินเลือดของม้า คนๆ นี้ทำอย่างไร เขาจะทนปล่อยไปได้ไหม ทนไม่ได้ ไม่อยากจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้เลย ทำอย่างไรหลานๆ คิดว่าเขาทำอย่างไร ไหนคนที่ยังไม่มีผลไม้ ลุกขึ้นตอบหน่อยสิ (ตี)  เวลาที่เรารักลูกมากๆ หรือรักใครมากๆ รักแฟน รักภรรยา รักสามีมากๆ เวลาเห็นเขาทำผิดปุ๊บ เราจะทำอย่างไร เราจะหยุดคิดสักนิดหนึ่งไหมที่จะว่าเขา หยุดสืบสาวราวเรื่องสักนิดหนึ่งไหม ก่อนที่จะว่าเขา หรือว่ามองสักนิดหนึ่งไหม ว่าเขาเหนื่อยไหม แล้วค่อยว่าเขา เคยหยุดไหม (หยุด)  หยุดอยู่สองครั้ง ที่เหลือแปดครั้งไม่หยุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนๆ นี้ก็รักม้ามากเช่นเดียวกัน เมื่อเขาเห็นเหลือบมาดูดเลือดม้า อันที่จริงแล้วเขาก็รู้เหมือนกันว่าม้าห้ามตี เพราะว่าจะตกใจใช่ไหม แต่ว่าตีหรือไม่ตี (ตี)  อันนี้ไม่ใช่ตีทิ้ง ไม่ใช่ปัด แต่ตีเลย
ม้าทำอย่างไร ม้าก็ดีด ใช้ขาหลังดีด ดีดแล้วคนเลี้ยงม้าคนนี้ก็ตายเลย จบนิทานเรื่องนี้แล้ว แต่ว่ายังไม่จบในความรู้สึกของคนที่เป็นหลานๆ ทั้งหลาย เพราะยังต้องเก็บไปคิดว่าเวลารักใคร เวลาชอบพอใคร เวลาปรารถนาดีกับใครจะต้องมีสติให้มากๆ คนตีเองก็ต้องดูตาม้าตาเรือ ส่วนม้าเองได้รับความรักจากคนนั้นๆ เวลาโดนเขาตีเข้าอย่าเพิ่งโกรธ ให้รู้จักตั้งสติ และคิดถึงความรักและความปรารถนาดีของเขาให้มาก เหมือนพ่อแม่ต่อให้ตีลูกก็ตีด้วยความรักความห่วงใย ลูกเวลาที่ถูกพ่อแม่ตีก็จำเป็นที่จะต้องรู้ว่าพ่อแม่คิดอะไร ไม่ใช่โต้ตอบกันไปมา เหมือนตั้งน้ำมันเดือดๆ แล้วสาดกันไปสาดกันมาก็คงจะต้องเละเทะทั้งคู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ตอนนี้เป็นคนเลี้ยงม้าก็มีอยู่มากมายในห้องนี้ คนที่เป็นม้าในห้องนี้ก็อาจเป็นคนเดียวกับคนเลี้ยงม้าในชีวิตจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาทำอะไรออกไปที จะยื่นมือออกไปทำอะไรสักที จะอ้าปากพูดอะไรออกไปสักที ต้องจำไว้ ต้องมีความสุภาพ ต้องมีความสุขุม ต้องมีความเรียบร้อย ต้องมีความนิ่มนวล แล้วชีวิตจะได้ไม่ต้องถูกคนที่เลี้ยงม้าไปตีม้า หรือไม่ต้องถูกการดีดจากม้าดีหรือไม่ (ดี)  
ให้กำลังใจแก่ทุกคน ทำสิ่งใดหากทำสิ่งดีก็จงทำต่อไปเรื่อยๆ เมื่อทำเป็นนิสัยก็กลายเป็นผู้ที่เป็นคนดี เมื่อเป็นคนดีมากๆ เข้า ทำสิ่งใดรอบคอบมากขึ้นก็กลายเป็นบารมีได้เหมือนกัน เข้าใจไหม (เข้าใจ)  เวลากินข้าวหากว่ากินข้าวติดคอแล้วเนี่ยจะเลิกกินข้าวไหม (ไม่เลิก)  ทำความดีก็เช่นเดียวกัน หากว่าความดีติดคอจะเลิกทำดีไหม (ไม่เลิก)  ทำดีแล้วไม่ได้ดีเลิกทำดีไหม (ไม่เลิก)  อย่างนั้นก็แสดงว่าหลานๆ ก็เป็นคนดีทุกคนนะ แต่ว่าอย่าอดข้าวไปเสียหลายมื้อแล้วค่อยมาทำดีทีนึง ไม่ใช่ว่าข้าวมันติดคอแล้วก็เลยคิดว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี กว่าจะกลับมาทำดีอีกทีหนึ่งก็คงจะสายเกินไปแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  
หลายๆ คนที่อยู่ที่นี่ก็เป็นเซียนมาเกิดนะ ตอนอยู่ข้างบนก็ดีอยู่แล้วบอกว่ามาช่วยงานธรรมะ พอลงมาช่วยงานธรรมะบอกว่าไม่สบาย ไม่มีเวลา เดี๋ยวก่อน ไม่ว่าง แล้วก็ไม่ทำงาน อย่างนี้อยู่ในโลกแล้วไม่ดีนะ อยู่ในโลกแล้วลืมตัวหมด
การคิดเป็นทำให้คนไม่ลืมตัว ในตอนนี้ทุกๆ คนก็มีความทุกข์กันคนละแบบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีความทุกข์กันคนละอย่าง มีความทุกข์กันคนละเรื่อง ทุกๆ ความทุกข์ในทุกข์แต่ละคน ในจิตใจของแต่ละคนนั้นก็เป็นทุกข์ที่หนักหนาสาหัสทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าจะเทียบกับคนข้างๆ แล้วทุกข์ของเรานั้นยังเป็นทุกข์ที่เล็กๆ หรือเป็นทุกข์ที่แก้ง่ายๆ แต่ว่าในจิตใจของเราแล้วมันใหญ่โตมหาศาลทีเดียวใช่หรือเปล่า (ใช่)
บางความทุกข์นั้นปลดปลงได้ด้วยการปล่อยวาง ปล่อยวางจิตใจของตัวเองลงทำได้ไหม (ได้)  ฟังไปเรื่อยๆ ใครมีความทุกข์ที่เหมาะกับคำไหนก็เก็บคำนั้นไปใช้ บางความทุกข์นั้น ถ้าเพียงแค่ปล่อยวางก็จะหมดทุกข์ บางความทุกข์นั้นเพียงแค่ทำใจก็จะปลดทุกข์ บางความทุกข์นั้นเพียงแค่ปรับปรุงตัวก็จะหมดทุกข์ บางความทุกข์เปลี่ยนแปลงตนเองได้ก็จะหมดทุกข์ บางความทุกข์นั้นขอเพียงแค่เรานั้นจำกัดนิสัยของเรา ไม่พูดมากก็จะหมดทุกข์ บางความทุกข์นั้นถ้าหากว่ารู้ว่าเราเป็นคนที่ฟังแล้วอดไม่ได้ หยุดไม่ได้ ก็ฟังให้มันน้อยๆ หน่อยจะได้ไม่มีอคติต่อคนอื่น เมื่อไม่มีอคติต่อคนอื่น ไม่เห็นคนอื่นเป็นคนไม่ดีก็ไม่มีทุกข์ เช่นเดียวกัน บางความทุกข์นั้นขอเพียงแค่เรานั้น เข้าอกเข้าใจคนอื่นก็จะหมดทุกข์ เพราะว่าบางคนนั้นเวลาที่เขาเรียกร้องเรามากๆ เรียกร้องจนไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรกันแน่ แต่จริงๆ แล้วเขาเพียงอยากให้เรานั้นสนอกสนใจเท่านั้นเอง ให้เราแก้ปัญหาให้ถูกจุด เราก็จะไม่มีทุกข์เช่นเดียวกัน
หลายๆ ปัญหาในชีวิตคนนั้นเป็นปัญหาประเภทหาทางออกไม่ได้ เพราะว่าหลายๆ เรื่อง มารวมๆ กัน ทำให้มันเป็นอย่างนี้บอกไม่ถูกว่าอะไรคือหัว บอกไม่ถูกว่าอะไรคือหาง ความทุกข์ประเภทนี้ย้อนกลับมาที่การปลดทุกข์แบบแรกคือ การทำใจปล่อยวาง ทำได้ไหม (ได้)  บำเพ็ญธรรมต้องมีความมุ่งมั่น ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง แข็งแกร่ง ต้องมีความเชื่อมั่นในตนเอง แต่มิใช่อัตตาต้องมีการเสียสละและให้ผู้อื่น แต่มิใช่ทำให้คนอื่นเหลิง และเคยตัว ต้องมีความศรัทธาเป็นที่ตั้ง เพราะว่าความศรัทธานั้นคือพื้นฐาน คือเหมือนฐานบ้าน คือที่ๆ ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่จะเกิดในอนาคตข้างหน้า
บารมีต่างๆ นั้นสามารถที่จะอยู่ได้หากว่าเราเป็นคนที่ไม่มีสัจจะ ไม่มีความซื่อสัตย์ เราย่อมเรียกร้องให้ผู้อื่นนั้นเคารพกันไม่ได้ ฉะนั้นทุกๆ อย่างมีความสำคัญ ทุกๆ สิ่งจะต้องไปฝึกฝน บำเพ็ญธรรม บำเพ็ญจิต ยิ่งถูกทดสอบ ยิ่งลำบากเท่าไหร่ แสดงว่าเรานั้นก็จะได้ก้าวหน้าขึ้นเร็วเท่านั้น อยู่ที่เรานั้นคิดออกหรือยังว่าจะทำอย่างไร รู้ไหม สามีภรรยาบางคู่ ก็เป็นคู่อริในชาติที่แล้ว เมื่อเกิดมาคู่กันก็ย่อมทำให้ทะเลาะกันเป็นธรรมดา แต่ชาตินี้หากไม่ปลดให้หมด ชาติหน้าก็มาอีก ฉะนั้นอดทนให้มากๆ อภัยกันให้มากๆ
คราวนี้คนน้อยไหม เพราะอะไร เพราะว่าช่วงนี้ไม่มีเวลาเท่าไหร่นะ  เป็นคนฉลาดแต่อย่าขาดเฉลียว เฉลียวใจเกิดอะไรขึ้น ต้องแก้ให้ตรง และแก้ให้หมดปัญหาเพราะว่าเราเป็นผู้นำ ผู้นำไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ใครทำอะไรไม่ได้ก็ไม่รู้แต่เราต้องทำให้ได้ใช่ไหม  
บางทีอ่อนเข้าว่าบางทีแข็งเข้าว่า ฉลาดไม่ขาดเฉลียว แต่อย่าเหลียวไปเดาอย่างเดียวนะ เพราะว่ายิ่งเดาก็ยิ่งยุ่ง ใช่ไหม (ใช่)  เดี๋ยวเอาขนมฟูๆ ไปให้แม่ครัวหน่อยนะ บอกว่าทำจิตใจให้ฟูๆ หน่อยนะ อย่าเหี่ยวๆ มาก
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “   สูงส่ง”)
อ่านว่าอะไร (สูงส่ง)  คำว่าสูงส่งนั้นคืออะไรนั้น สูงส่งด้วยอะไร เป็นคนนั้นสูงส่งไหม (สูงส่ง)  เป็นคนนั้นจริงๆ แล้วมีความสูงส่งอยู่มากอยู่แล้ว ไม่มีคนๆ ไหนที่ไม่สูงส่งในตนเอง แต่หากว่าจะต่ำเตี้ยเสื่อมโทรมลงมาก็ด้วยเหตุว่า จิตใจนั้นมิได้เป็นคนที่ทำให้สูงส่งตามสิ่งที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ออกจากท้องแม่ ฉะนั้นต้องทำจิตใจนี้ให้สูงส่ง
กำแพงสีทึบ ให้เห็นว่าคนเดิมทีนั้นมีความสูงส่งอยู่แล้ว แต่กำแพงกั้นความสูงส่งเอาไว้ กำแพงนี้ทลายลงได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับความอดทนของทุกคน หากใช้อัตตาหากใช้ทิฐิ หากใช้ความคิดที่มัวเฝ้าแต่คิดวกไปวนมา หากใช้อวิชชาความไม่รู้เข้ามาครอบงำ หากใช้การพูดแรงๆ การฟังแค่หางเสียงชักสีหน้าเข้าใส่กัน ความสูงส่งอันนี้ก็ย่อมที่จะถูกกำแพงกั้นไว้ กั้นแล้วจะอยู่ข้างในหรือว่าอยู่ข้างนอกก็คือขังตัวเองอยู่ในความสูงส่ง คิดว่าเราสูงพอแล้ว มันก็มีแต่อยู่ข้างในถูกกักขัง อยู่ข้างนอกหมายถึงอะไร อยู่ข้างนอกก็คือเราสูงส่งอยู่แล้ว แต่ว่ารอให้คนอื่นทำก่อน แล้วเราทำทีหลัง อันนี้มันก็ไปไม่ถึงความสูงส่ง ถูกกำแพงกั้นไว้ ไม่ทำอะไรก็ย่อมสูงส่งอยู่แล้ว
เหมือนกับคำที่พูดว่า “พูดง่ายกว่าทำ”  คนทำก็ย่อมที่จะถูกความไม่สูงส่ง คือถูกคนว่าคนติเป็นร่ำไป เป็นเรื่องธรรมดานะ ให้มองเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ใครที่คนเขาไม่เคยติ ไม่เคยว่ามองดูตัวเองอีกทีหนึ่ง เขาว่าเราไม่ได้หรือเปล่า เขากลัวว่าเขาจะเป็นตั๊กแตนหรือเปล่า เขากลัวว่าล้อความโกรธของเราจะมาทับหรือเปล่า ดูดีๆ นะ ไม่ใช่ว่าเราไม่มีที่ให้ผู้อื่นเขาติ ไม่เคยถูกคนอื่นเขาว่า หมายความว่าเรานั้นสูงส่งอยู่แล้วนั้นไม่ถูกต้อง คนเกิดมาปีทุกปีผ่านไปไม่มีคนไหนที่หมดเรื่องให้แก้ ทุกคนยังต้องแก้ แก้ไปเรื่อยๆ ยังไม่เคยเห็นคนไหนที่ก่อนตายไปหมดเรื่องแก้ ทุกคนยังมีเรื่องให้แก้อยู่  แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง ทำได้ไหม (ได้)  เราไม่ได้ให้กำแพงอันนี้แต่ต้น เพราะว่าอยากให้ทุกคนนั้นสูงส่ง ขอให้ความสูงส่งอันนี้อยู่ในจิตใจและสูงส่งขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยการบำเพ็ญขัดเกลาตนนะ สามคำนี้อยู่ข้างหน้า ลำบากสู้ชีวิตจิตเข้มแข็ง
วันนี้มีโอกาสมาพบหลานๆ เพราะพระอาจารย์ของหลานๆ นั้น หลีกทางให้ อยากจะมาพูดเล็กๆ น้อยๆ ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์ต่อหลานหรือเปล่า ไม่รู้ว่าหลานนั้นจะฟังเข้าใจมากน้อยเพียงใด อันที่จริงแล้ว สองวันมานั่งประชุมธรรมได้อะไรกลับไปเพียงเล็กน้อยก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่หลังจากสองวันนี้ หากมีโอกาสให้กลับมาสถานธรรมอีก ศึกษาเพิ่มเติมให้มากๆ ให้รู้แน่ๆ ว่าธรรมะที่นั่งฟังตั้งสองวันนี้คืออะไร อย่ามั่นใจเพราะว่าเรานั่งฟังแค่สองวัน แต่หลังจากสองวันนี้เสียเวลาศึกษาไปอีกนานเป็นปี หากว่าตอนนั้นมั่นใจว่าไม่ดี หรือไม่ใช่ ค่อยถอยออกดีไหม (ดี)  อย่าตัดสินใจง่ายๆ คนจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดก็ต้องรู้ให้แน่ก่อนถึงจะตัดสินใจได้ มิใช่รู้เพียงนิดๆ หน่อยๆ เข้าข้างตัวเองไป แล้วก็ตัดสินใจไป ทำได้ไหม
วันหลังเราไปเจอกันเบื้องบนดีไหม (ดี) ตอนนี้ใช้ร่างนี้บอกว่าติดรูปงมงาย แต่หากว่าไม่ให้ใช้ ก็ไม่รู้จะสื่ออย่างไร ฝากไว้แต่ว่า ความไม่ยึดติด เป็นสิ่งที่ดีที่สุด หากยึดติดจงยึดติดในสิ่งที่ดี อยากให้หลานๆ บำเพ็ญให้ดีๆ ให้ก้าวหน้าขึ้นทุกปี โดยเฉพาะอารมณ์และจิตใจนั้น ขอให้มีความเป็นธรรม มีความเป็นพุทธะมากขึ้น
เราจะกลับแล้ว เรามิใช่อาจารย์ของหลาน ไม่ต้องร้องไห้ หัวใจที่แฟบๆ อยู่นั้น ขอให้ใช้ความสงบไปนำพาให้หัวใจนั้นพองโต ฮึกเหิม ต่อสู้ต่ออุปสรรคนานา คนมีชีวิตทุกคนมีความทุกข์ คนมีชีวิตทุกคนมีอุปสรรค ขอเพียงแต่อย่าเป็นอุปสรรคประเภทที่หาเรื่องใส่ตัวก็พอแล้ว อย่าไปสู้อุปสรรคด้วยหัวใจแฟบๆ มันจะไม่ชนะ ตั้งสติให้ดีๆ สู้ทุกอย่างที่มารุมเร้าด้วยจิตใจอย่างวีรชนผู้กล้า มีปัญญาเป็นผู้นำ มีความเมตตาอยู่เนืองนิตย์ จะสวยงามทั้งจิตใจ งามทั้งรอยยิ้มที่ประพรมอยู่ตรงหน้า ขอให้มีความศรัทธาและเชื่อมั่นนำชีวิตของตัวเองไปให้ดี ดีไหม (ดี)  
ไหนยิ้มให้เราหน่อยสิ ทุกๆ คนเลยนะ ให้หน้าตาเบิกบานให้สมกับเป็นคนที่มีชีวิตชีวา ให้สมกับที่เราเรียกเป็นหลานน้อยๆ เพราะว่าเด็กๆ ที่ล้อมรอบตัวเราบ่อยๆ นั้น ไม่เคยมีใครร้องไห้ ทุกครั้งเราก็จะเคยชินกับเสียงหัวเราะ แต่ว่าหลานๆ ที่อยู่ในโลกนี้ ทำไมถึงมีทุกข์นักก็ไม่รู้นะ อยู่กับเราแล้วยังจะมาร้องไห้อีก เอาล่ะ ยิ้มๆ ให้สวยๆ ไปก่อนนะ
คนจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดก็ต้องรู้ให้แน่ก่อนถึงจะตัดสินใจได้ มิใช่รู้เพียงนิดๆ หน่อยๆ เข้าข้างตัวเองไป แล้วก็ตัดสินใจไป ทำได้ไหม
วันหลังเราไปเจอกันเบื้องบนดีไหม (ดี) ตอนนี้ใช้ร่างนี้บอกว่าติดรูปงมงาย แต่หากว่าไม่ให้ใช้ ก็ไม่รู้จะสื่ออย่างไร ฝากไว้แต่ว่า ความไม่ยึดติด เป็นสิ่งที่ดีที่สุด หากยึดติดจงยึดติดในสิ่งที่ดี อยากให้หลานๆ บำเพ็ญให้ดีๆ ให้ก้าวหน้าขึ้นทุกปี โดยเฉพาะอารมณ์และจิตใจนั้น ขอให้มีความเป็นธรรม มีความเป็นพุทธะมากขึ้น
เราจะกลับแล้ว เรามิใช่อาจารย์ของหลาน ไม่ต้องร้องไห้ หัวใจที่แฟบๆ อยู่นั้น ขอให้ใช้ความสงบไปนำพาให้หัวใจนั้นพองโต ฮึกเหิม ต่อสู้ต่ออุปสรรคนานา คนมีชีวิตทุกคนมีความทุกข์ คนมีชีวิตทุกคนมีอุปสรรค ขอเพียงแต่อย่าเป็นอุปสรรคประเภทที่หาเรื่องใส่ตัวก็พอแล้ว อย่าไปสู้อุปสรรคด้วยหัวใจแฟบๆ มันจะไม่ชนะ ตั้งสติให้ดีๆ สู้ทุกอย่างที่มารุมเร้าด้วยจิตใจอย่างวีรชนผู้กล้า มีปัญญาเป็นผู้นำ มีความเมตตาอยู่เนืองนิตย์ จะสวยงามทั้งจิตใจ งามทั้งรอยยิ้มที่ประพรมอยู่ตรงหน้า ขอให้มีความศรัทธาและเชื่อมั่นนำชีวิตของตัวเองไปให้ดี ดีไหม (ดี)  
ไหนยิ้มให้เราหน่อยสิ ทุกๆ คนเลยนะ ให้หน้าตาเบิกบานให้สมกับเป็นคนที่มีชีวิตชีวา ให้สมกับที่เราเรียกเป็นหลานน้อยๆ เพราะว่าเด็กๆ ที่ล้อมรอบตัวเราบ่อยๆ นั้น ไม่เคยมีใครร้องไห้ ทุกครั้งเราก็จะเคยชินกับเสียงหัวเราะ แต่ว่าหลานๆ ที่อยู่ในโลกนี้ ทำไมถึงมีทุกข์นักก็ไม่รู้นะ อยู่กับเราแล้วยังจะมาร้องไห้อีก เอาล่ะ ยิ้มๆ ให้สวยๆ ไปก่อนนะ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา