แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หยรูอี้ถงจื่อ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หยรูอี้ถงจื่อ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

2552-04-19 เปิดสถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น



西元二○○九年歲次己丑三月二十四日 仙佛慈悲訓
วันอาทิตย์ที่ ๑๙ เมษายน  พุทธศักราช ๒๕๕๒ สถานธรรมฮุ่ยอวี้  อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
พระโอวาทท่านหยรูอี้เซียนถง
คนพากเพียรต้องมีแรงไม่เหือดแห้ง ต้องมีเลือดแห่งพุทธะอันเข้มข้น
เป็นคนดีล้วนต้องเคยสู้อดทน หากฝึกฝนขัดเกลาได้ย่อมดีเอง
เราคือ
หยรูอี้เซียนถง (如意仙童) รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานใหม่   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสบายดีไหม


ปฏิบัติงานธรรมด้วยใจฟ้า ทุกเวลาทุกนาทีเป็นประโยชน์
แพร่งานธรรมกว้างไกลให้ช่วงโชติ จิตปราโมทย์ปัญหามาสำเร็จมี
คนใช้ใจใจก็ต้องสะอาด คนฉลาดฉลาดก็ต้องคุณธรรมปรี่
บำเพ็ญด้วยจิตสำนึกแห่งความดี อย่าได้มีอคติบั่นทอนใจ
เรื่องหน้าพระต้องรู้เห็นทำเป็นหมด จริยระเบียบทุกบทหยิบใช้ได้
มาว่างว่างปัจจุบันอย่าหนักไป ธรรมในใจบำเพ็ญจิตกุศลบุญ
ใช้อารมณ์ย่อมผิดตั้งแต่แรก เป็นคนแบกอารมณ์มากย่อมหัวหมุน
ที่ลงทุนเพียรไปกลับขาดทุน อย่าว้าวุ่นฝึกใจให้เย็นเย็น
อยู่ร่วมกันอย่าว่ากันให้รักกัน อย่าหักหาญน้ำใจด้วยลมปากเหม็น
ขัดแย้งกันต่างกันให้ใจเย็น คนไม่อาจเป็นพุทธะในวันเดียว
ฮิ ฮิ  หยุด
พระโอวาทท่านหยรูอี้เซียนถง
ท่านต้องเข้าใจการเป็นผู้ลงแรงปฏิบัติธรรม การขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมคืออะไร ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมแล้วต้องจำไว้ว่าเราไม่กลัวความทุกข์ เราไม่กลัวความลำบาก เพราะความทุกข์เป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญธรรมต้องเอาชนะให้ได้ และค้นหาทางออกให้เจอ ถ้าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมกลัวทุกข์ ท่านจะบำเพ็ญอะไร จริงไหม (จริง)  ขึ้นชื่อว่าบำเพ็ญธรรมแล้วกลัวความลำบาก แล้วท่านจะสบายไปเพื่ออะไรล่ะ บำเพ็ญธรรมไม่มีคำว่าสบาย บำเพ็ญธรรมคือต้องยอมลำบากและเอาชนะทุกข์ให้ได้ ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมให้มาฟังธรรมอีก ฟังไหม (ฟัง)  ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมแล้ว หรือขึ้นชื่อว่าคนปฏิบัติดีแล้ว ถ้าโดนคนว่า โดนคนเข้าใจผิด โดนคนกระแนะกระแหน โดนคนดูถูก ยังบำเพ็ญไหม (บำเพ็ญ)  ยังทำดีไหม (ทำ) จริงนะ (จริง)
เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย) เมื่อยหรือยัง (ยัง) ถ้าอย่างนั้นเราลองเล่นอะไรกันหน่อยนะ จะดูความร่วมแรงร่วมใจกัน การทำงานอะไรก็ตามต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยิ่งพูดมากเสียงก็จะยิ่งดังใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นลองดูซิว่าการทำงานร่วมกับผู้อื่นนั้นยากไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้หันหน้าจับคู่กัน แล้วตบมือกับคู่ของตัวเอง)
เราเป็นคนที่อยู่ในโลก เราไม่สามารถทำอะไรได้สำเร็จด้วยตัวเองเพียงคนเดียว บางทีต้องร่วมแรงร่วมใจกับผู้อื่น ถูกไหม (ถูก)  ถ้าตีเขาแรง นอกจากเขาเจ็บเราก็เจ็บ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นรู้จักควบคุมกำลังตัวเองให้ดี ไม่อย่างนั้นตัวเองจะเจ็บด้วย เขาก็จะเจ็บด้วย ระหว่างต่างคนต่างตีเจ็บไหม (เจ็บ, ไม่เจ็บ)  มีทั้งเจ็บและไม่เจ็บ คนหนึ่งรองรับ คนหนึ่งตี ดูซิว่าการตีแบบนี้กับการตีแบบต่างคนต่างชนกันนั้นอันไหนเจ็บกว่ากันนะ แต่เราเชื่อว่าปะทะกันแรงๆ พร้อมกันย่อมเจ็บกว่าคนหนึ่งตีอีกคนหนึ่งรับ ถูกไหม (ถูก)
ในความเป็นจริงการอยู่ร่วมกันนั้น ถ้าต่างคนต่างแรงมา ต่างคนต่างมีความคิดเห็นมา มันก็มีแต่จะกระทบกันให้เจ็บ สู้ถ้าเกิดเรายอมได้ให้อีกคนหนึ่งได้ตี อีกคนหนึ่งเป็นผู้รับ แปลว่าบางครั้งเราอยู่ร่วมกัน เราต้องเป็นคนฟังบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราฟังมากๆ แล้ว คนที่พูดมากๆ ก็ต้องรู้จักหยุดเพื่อเป็นคนฟัง  แต่ในโลกของความเป็นจริง จะมีใครยอมฟัง ในตัวเราเองเราเคยฟังเสียงตัวเรากี่ชั่วโมง แค่หนึ่งนาทียังฟังได้ไม่ครบเลย แล้วจะให้ใครฟังเสียงท่าน ถูกหรือเปล่า ฉะนั้นในสังคมเวลาเราอยู่ร่วมกันมีแต่คนต่างตีกันใช่หรือไม่ ใครล่ะจะฟังในเมื่อตัวเรายังไม่ฟังตัวเราเลย ตัวเราอยู่นิ่งๆ ฟังเสียงตัวเราสักหนึ่งนาทีได้ไหม (ได้)  จริงหรือ เห็นกลับบ้านฟังยังไม่ถึงหนึ่งนาทีก็หลับแล้วใช่หรือเปล่า ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญต้องทำในสิ่งที่ยากทำ ใครไม่ฟัง เรายอมฟัง เขาอยากพูดให้พูดไป เราฟังแบบรู้จักกลั่นกรองรับรู้ความคิดเห็น ไม่ใช่ฟังแบบพูดไปเถอะ ใช่หรือไม่ อย่างนั้นเราจะได้ประโยชน์อะไร กลายเป็นเราต้องใช้ความอดทนอดกลั้นในการข่มใจตัวเอง ใช่หรือไม่
ฉะนั้นเราบำเพ็ญธรรม นอกจากต้องทนในสิ่งยากทน คือไม่กลัวความยากลำบาก ไม่กลัวความทุกข์ ไม่กลัวความท้อ อย่างที่สองก็คือ ต้องฝึกให้เป็นคนใจกว้างๆ ไม่ยึดมั่นถือมั่น รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น นี่คือคุณธรรมที่เป็นเอกของความเป็นปราชญ์หรือเป็นกัลยาณชน ไม่มีอะไรที่เก่งแต่รู้อย่างเดียวเป็นคนรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ทำได้ยากไหม (ไม่ยาก)  คนที่บอกว่าไม่ยาก ต้องเป็นคนที่มีจิตใจกว้างใหญ่เหมือนพระศรีอาริย์ ท้องใหญ่ใจกว้างจึงรับได้ทุกสิ่ง เราเห็นผู้บำเพ็ญธรรมลงพุงกันเป็นแถว ฉะนั้นลงพุงแล้วต้องรับเรื่องทุกอย่างได้ด้วย ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นคนที่จิตใจกว้างขวางไม่ยึดมั่นถือมั่นในความคิดเห็น ไม่แบ่งเขาแบ่งเราจะเป็นผู้ที่สามารถรับฟังและรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างแจ่มกระจ่าง
คนที่ยึดมั่นถือมั่นมากคนนั้นก็ทุกข์มาก ถูกไหม (ถูก)  คนที่มีอัตตาตัวตนมาก คนนั้นก็เจ็บปวดมากใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรารู้จักบำเพ็ญแล้วปล่อยวาง บำเพ็ญแล้วเขาอยากไปก็ไป เขาจะไปไหนก็ตาม แต่บางครั้งก็ต้องมีจุดยืนด้วย ไม่ใช่ตามจนไร้จุดยืนก็ไม่ถูกต้อง เขาบอกว่ากินเจไม่ดี เราก็เลยไม่กินเจเลยได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นจุดยืนก็ต้องมี อะลุ้มอล่วยก็ต้องเป็นใช่หรือไม่ (ใช่)
เรายกตัวอย่างเรื่องง่ายๆ วันหนึ่งท่านได้เห็น หรือต้องเจอกับตัว ลองคิดดูนะว่าเราจะจัดการเรื่องราวแบบนี้อย่างไร  มีชายคนหนึ่งไปที่วัด แต่เผอิญว่าตอนที่เขาไปวัด เขาถือถังใส่น้ำมาหนึ่งใบ มีคนถามเขาว่าไปไหน เขาก็บอกไปจับปลา เขาถามที่ไหน ที่วัด ท่านคิดว่าอย่างไร พอเดินไปสักพักหนึ่งก็ถึงสระน้ำ แต่สระน้ำนั้นกลับแห้งขอด ตอนเขาไป เขาเอาแมวไปด้วยหนึ่งตัว พอไปถึงสระน้ำแมวก็เริ่มดม แมวมีจมูกดีใช่ไหม พอได้กลิ่นหรือเห็นใต้ดินมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ แมวก็จะรู้ทันที ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเราเดินผ่านไป เราเห็นคนทำอย่างนี้   ในใจเรารู้สึกอย่างไร นี่ในวัดนะ จับปลาด้วย แถมเอาแมวมาช่วยจับปลาอีก ใช่ไหม แมวนี่ก็จมูกดี พอเห็นอะไรอยู่ตรงไหนก็ไปเขี่ย เขาก็จับมาแล้วก็ใส่ถังทันที ทำกันอย่างมีความสุขสนุกสนานมาก ตรงไหนมีปลา จับมาใส่ถังทันที ถ้าท่านเห็นอย่างนี้ ท่านกำลังเดินผ่านคนที่ทำแบบนี้ ท่านคิดเห็นอย่างไร
(ไม่สบายใจ คิดว่าเขาไม่มีจิตเมตตา) คิดในใจว่าเขาไม่มีจิตเมตตา เราเดินผ่านมาแล้วผ่านไปใช่ไหม  (ตัวเองสร้างกรรมแล้วยังลากแมวไปสร้างกรรมด้วย, ชักชวนให้เขาไปปล่อยในหนองน้ำ, เตือนเขาว่ามันบาป, คิดว่าเขาอาจไม่ได้จับไปกินก็ได้)  บางคนคิดว่าเขาไม่ได้จับไปกิน อาจจะจับไปปล่อยก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านอื่นล่ะ ถ้าเจอเรื่องแบบนี้เราจะจัดการเรื่องแบบนี้อย่างไร (จะถามเขาก่อนว่าจะจับปลาไปทำอะไร ถ้าเขาจะเอาไปทำลายก็บอกเขาว่ามันบาปให้เอาไปปล่อย)  ใช่แล้ว เมื่อเวลาเราอยู่ร่วมกันหรือเราเห็นสิ่งใดที่ไม่ถูกต้อง เรารู้สึกไม่ดีหรือผิดแผก ก่อนที่จะด่วนสรุป ก่อนที่จะตัดสินใจ ทำไมเราไม่หัดถามให้ชัดเจน นิสัยอย่างหนึ่งของมนุษย์หรือคนทั่วไปคือชอบเดา เดาเสร็จแล้วเอาร้ายไว้ก่อน ดีไว้ทีหลัง ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นจึงเป็นธรรมดาที่คนเราไม่ว่าจะทำเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ย่อมมีทั้งคนที่เห็นชอบและคนที่รังเกียจ ย่อมมีคนที่เข้าข้างและคนที่ไม่เข้าข้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) นี่คือตัวอย่างหนึ่งที่เราอยากจะบอกท่าน เหมือนกันเราทำสิ่งใดก็ตามย่อมเป็นที่มองของคนหมู่มาก โดยเฉพาะสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่แปลก ไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินมาก่อน แล้วถ้าเราทำเหมือนเดิมคือเดาไว้ก่อน คิดร้ายไว้ก่อน มองแย่ไว้ก่อน เท่ากับเรากำลังปฏิเสธคนหรือไม่รู้จักรับฟังคน ไม่รู้จักเปิดกว้าง ยึดมั่นแต่ความคิดเห็นตน
เหมือนเวลาเราปฏิบัติธรรม คนยังไม่รู้คนยังไม่เข้าใจ เขาก็ต้องมองในแง่ร้ายไว้ก่อน เหมือนชายคนนี้จะไปช่วยปลาที่มันกำลังจะตายอยู่แล้ว แต่เขาจะสามารถมองเห็นได้ไหม แล้วเขาจะสามารถช่วยได้หมดไหม เขาก็เลยยืมความฉลาดของแมวมาใช้ให้เกิดประโยชน์ แล้วก็จะได้จับปลาได้ง่ายขึ้น แต่ถ้ามนุษย์เราเห็นก็คิดว่าคนนี้บ้าจริงๆ ขนาดในวัดยังจับปลาได้ ไม่ถามแล้วก็เดินไป เรากำลังทำบาปไหม (ทำ)  เราบาปไหม บาปที่คิดร้าย บาปที่ดูถูกคนโดยที่ยังไม่ได้ถาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนในสังคมเป็นแบบนี้ไหม (เป็น)  แล้วชอบเดาอย่างนี้ไหม (ชอบ)  แล้วปากเราถามได้ไหม (ได้)  แล้วทำไมเราไม่ถาม เรากลัวโดนเขาว่ายุ่งอะไรด้วยใช่ไหม
ฉะนั้นถ้าไม่อยากโดนว่ายุ่งอะไรด้วย วิธีการในการเป็นผู้บำเพ็ญธรรมก็คือ เมื่อเรามองสิ่งใดก็ตาม เมื่อเราเห็นคนกำลังทำอะไรก็ตาม สิ่งสำคัญก็คือในหัวใจเรา ถ้าน้ำใสย่อมสะท้อนสิ่งต่างๆ ได้เด่นชัด ถ้าน้ำขุ่นย่อมสะท้อนอะไรไม่ได้เลย แถมมองได้อย่างสกปรกด้วย ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรม คือต้องรักษาใจให้สะอาด เพื่อเวลาเรามองสิ่งใดจะได้มองได้อย่างแจ่มชัด ถูกต้องและรอบคอบ
ฉะนั้นอย่างที่สามสำหรับผู้บำเพ็ญธรรมคือ ภายนอกดี ในหัวใจต้องดีด้วย ปฏิบัติภายนอกได้ ภายในใจต้องปฏิบัติได้ด้วย รักความสวยงามข้างนอก หัวใจก็ต้องรักให้ดีด้วย ใช่ไหม (ใช่)  เข้าใจสิ่งที่เราพูดหรือเปล่า (เข้าใจ)  ฉะนั้นการมองสิ่งใดก็ตาม มนุษย์เรานั้นอดไม่ได้หรอกที่จะมองแล้วมุมนี้ก็ต้องเป็นมุมนี้ ใช่ไหม (ใช่)  เห็นด้านนี้ก็ต้องเห็นด้านนี้ ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราควรจะเป็นอย่างนี้ตลอดชีวิตไหม  (ไม่ควร)  เห็นด้านหน้าท่านก็ยังรู้ว่าเรามีด้านหลัง ถูกไหม เห็นหน้ามือท่านก็รู้ว่าเรามีหลังมือ เห็นมีมือเดียวท่านเดาได้ไหมว่าเราจะมีมือเดียวไปตลอดชีวิต ท่านยังเห็นว่ามีอีกมือหนึ่งใช่ไหม (ใช่)   แต่ความเป็นจริงของสรรพสิ่งในโลกนี้ เวลาเราเห็นสิ่งใดก็อย่ายึดมั่นตายตัวว่าต้องเป็น อย่างนั้นไปตลอด เหมือนท่านเห็นเราวันนี้อย่างนี้ต่อไปเราก็จะอย่างนี้ไหม (ไม่)  เห็นเป็นอย่างนี้ต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไหม (ไม่) ท่านก็ยังรู้จักคาดเดาได้ว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้
ฉะนั้นเมื่อไรที่เรามองคน อย่าเห็นว่าคนนี้น่ารังเกียจก็น่ารังเกียจไปตลอดชีวิต คนนี้ดีก็จะดีไปตลอดชีวิต บางทีในดีอาจจะมีไม่ดี ในร้ายอาจจะมีดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนบำเพ็ญธรรมไม่ใช่พวกตายตัว หัวดื้อหัวแข็ง มองไปอย่างไรก็หัวแข็งอย่างเดียวได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องเป็นหัวพลิกแพลงได้ด้วย  ฉะนั้นต้องกล้าที่จะเปิดใจให้กว้างและรับมุมมองใหม่ๆ ให้เป็นด้วย
เหมือนเรามีมือมีขา นั่นก็คือเรามีร่างกาย เรามีหัวใจ หัวใจและร่างกายนั้นต้องอยู่ในความคิดที่ถูกต้องและดีงาม อย่าเป็นคนที่จมปลักอยู่กับความคิดที่ตายตัว ยึดมั่น เปลี่ยนแปลงไม่ได้ อย่างนี้คนที่ยึดมั่นและเปลี่ยนแปลงไม่ได้คือคนที่หาทุกข์ให้ตัวเองนั่นเอง ถูกไหม (ถูก)
เมื่อครู่เราสรุปว่ารักษาใจให้สะอาด อย่าสะอาดแค่เพียงภายนอก  อย่าปฏิบัติแค่เพียงภายนอก แต่ภายในไม่ได้ทำ ใช่ไหม (ใช่)  ทุกวันเรายังรู้จักอาบน้ำ แล้วหัวใจเราล่ะ เคยเอาธรรมะมาชำระล้างใจให้สะอาดบ้างหรือไม่ เราจะชำระล้างใจให้สะอาดด้วยการย้อนมองส่องตน หมั่นพิจารณาตัวเองก่อนว่าคนอื่น เราดีหรือยัง ก่อนคิดว่าร้ายคนอื่นลองถามใจเราดู เราเที่ยงตรงไหมที่จะไปตรวจสอบคนนี้ดีหรือคนนี้ร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนเวลาท่านมองอะไรต้องมองให้ถึงที่สุด อย่ามองแป๊บเดียว ถ้ามองแป๊บเดียวก็อย่าด่วนสรุป ไม่อย่างนั้นคนที่ด่วนสรุปก็กลายเป็นคนที่ผิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเราเห็นอะไรอยากรู้ให้ชัดเจนถ้าไม่กล้าถามก็ดูให้ถึงที่สุด ถูกหรือเปล่า (ถูก) หรือไม่ก็ลองไปช่วยเขา ถ้าเกิดอ้าปากแล้วกลายเป็นยุ่ง ก็ถามเขามีอะไรให้ช่วยไหม พอช่วยไปสักพักแล้ว การที่เราจะโน้มนำคนก็ง่ายขึ้นเพราะเราไปลงแรงช่วยกับเขาถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ถ้าเราไม่ช่วยแถมยังบอกอย่าทำอย่างนั้น อย่าทำอย่างนี้ เขาจะฟังไหมล่ะ (ไม่ฟัง)  เรากำลังทำงานอยู่ มีคนมาชี้นิ้วใช้ ท่านจะฟังไหม ไม่ฟังแถมรำคาญแถมไล่ตะเพิดอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเราจะเปลี่ยนแปลงคน ถ้าไม่กล้าถามลองลงแรงเข้าไปช่วย พอช่วยเสร็จแล้วค่อยๆ พูด เออ ปลานี่มันน่าสงสารจริงๆ นะ รู้จักพูดแบบอ้อมๆ มันจะตายอยู่แล้ว ถ้าเราเอาไปปล่อยน้ำก็คงดีนะ เดี๋ยวเขาก็พูดออกมาเองว่าเขาจะปล่อยหรือเขาจะกิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นผู้บำเพ็ญธรรมต้องรู้จักพลิกแพลงและใช้ปัญญาให้เป็น อย่าเป็นคนตายตัว
เรามีเรื่องอีกเรื่องที่ลืมไม่ได้ นั่นก็คือห้องพระนี้เมื่อวานนี้มีเรื่องน่ายินดีใช่ไหม (ใช่)  เรามีสถานธรรมอันใหญ่โต แต่ถ้าสถานธรรมใหญ่โตแต่ปราศจากคนที่ร่วมกันดูแล สถานธรรมใหญ่นี้ก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอให้ห้องพระนี้ถือเป็นที่ของทุกๆ คน ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง ห้องพระนี้จะก้าวหน้าและเดินต่อไปได้ก็ต้องเป็นของทุกๆ คนมาร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนล้วนมีส่วนร่วมไม่มากก็น้อย ไม่มีสิ่งใดในโลกหรอกสำเร็จได้ด้วยน้ำมือเราเพียงคนเดียว ใช่หรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ต้องมีคนที่เรียกว่า    คนเบื้องหน้า คนเบื้องกลาง และคนเบื้องหลัง ถูกไหม (ถูก)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานสับปะรดให้กับผู้ที่ดูแลรับผิดชอบสถานธรรม)
เมื่อรับปณิธานแล้วก็ต้องกล้าที่จะฟันฝ่าเผชิญกันนะ สับปะรดยังเปรี้ยวอยู่ ต้องอาศัยการบ่มเพาะถึงจะหวาน เข้าใจนะ นี่เพิ่งแค่เริ่มต้น งานธรรมะยังอีกยาวไกล ขอให้สมัครสมานสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจ อดทนแบกรับภาระอันใหญ่ให้ได้นะ ร่วมแรงร่วมใจกันนะ ไม่ว่าจะเป็นชนบทหรือขอนแก่น ที่ไหนก็คือห้องพระของบ้านเรา ปรบมือให้กับทุกคน ที่ช่วยทำงานวันนี้จนสำเร็จลุล่วงด้วยดี ไม่ใช่แค่ฐันจู่แต่ยังมีคนอีกหลายๆ คน ที่ต่างมาร่วมแรงร่วมใจกัน มีเบื้องหน้าก็ต้องมีเบื้องหลัง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นขอให้สมัครสมานสามัคคีอะลุ้มอล่วยกัน
บำเพ็ญธรรมยังกลัวความทุกข์อีกไหม (ไม่กลัว)  ไม่กลัวจริงหรือ (จริง)  เราจะเอาชนะความทุกข์ได้อย่างไร ถ้ามนุษย์ยังต้องมีชีวิตเกี่ยวพันอยู่กับสรรพสิ่งในโลก เมื่อไรที่เราเกี่ยวพันเมื่อนั้นเราต้องมีเยื่อใย เมื่อเรามีเยื่อใยเมื่อนั้นเราต้องมีห่วงหาอาทร เมื่อมีห่วงหาอาทรเมื่อนั้นเราย่อมมีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราอยากทุกข์น้อย เยื่อใยน้อย ห่วงหาอาทรน้อย เราก็ต้องรู้จักบำเพ็ญอย่างคนที่พึงพอใจในความเรียบง่าย
เคยเห็นคนที่ทุกข์ทั้งกลางวัน กลางคืน แล้วตอนนอนหลับไหม หลับก็ทุกข์ ตื่นก็ทุกข์ เดินก็ทุกข์ ทำงานก็ทุกข์ เคยเห็นคนทุกข์แบบนี้ไหม คนที่ทุกข์แบบนี้คือคนที่ไม่รู้จักควบคุมอายตนะ และไม่รู้จักประมาณตนถูกไหม (ถูก)  คนที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ความอยากของตัวเองได้ เรียกว่าตื่นก็ทุกข์ นอนก็ทุกข์ เดินก็ทุกข์ นั่งก็ทุกข์ กินก็ทุกข์ จริงไหม (จริง)  พอกินอันนี้เข้าไปก็บอกว่าถ้ามันเปรี้ยวกว่านี้คงอร่อยกว่านี้ ถ้าหวานกว่านี้ก็คงอร่อยกว่านี้ ใช่ไหม (ใช่)  ขนาดกินก็ยังทุกข์ได้ ถูกไหม แล้วเคยเห็นคนนอนก็ทุกข์ไหม ถ้าเป็นที่บ้านก็คงเปิดแอร์เย็นฉ่ำ นอนพลิกแล้วพลิกอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่แหละนอนก็ทุกข์ ใช่ไหม
ฉะนั้นเกิดเป็นคนถ้าอยากไม่ให้ตัวเองทุกข์ก็ต้องรู้จักควบคุมความอยากของตัวเองให้เป็น อยู่กับสิ่งที่มีและรับได้กับสิ่งที่เป็น ถ้าอยู่กับสิ่งที่มีแล้วบอกเค็มอีกนิดก็ดี หวานอีกหน่อยก็คงกลมกล่อม อย่างนี้ไม่มีวันมีสุขได้หรอก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่าเป็นคนที่กินก็ทุกข์ ยืนก็ทุกข์ เดินก็ทุกข์ นั่งก็ทุกข์ ไปอยู่ที่ไหนทุกข์ก็ตามไปทุกที่เพราะใจไม่รู้จักพอ ใจไม่รับความเรียบง่าย หรือใจไม่รับสิ่งที่เกิดสิ่งที่เป็น ใช่ไหม (ใช่)  ความทุกข์อีกอย่างหนึ่งที่มนุษย์ชอบเป็นกัน อยากหนีอย่างไรก็ต้องเจอ นั่นก็คือเกิดมามีชีวิตเราอยากมีความสุขแต่ไม่อยากมี ความโศก อยากมีรอยยิ้มไม่อยากมีความเศร้า ใช่ไหม (ใช่)  มีรักที่ใดก็ต้องมีเศร้าและโศกที่นั่น ถูกไหม ฉะนั้นไม่รักใครเลยจะได้ไม่เศร้า ไม่โศก ไม่ทุกข์ ดีไหม (ดี)  ทำได้หรือเปล่าเถอะ
ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญถ้าไม่อยากทุกข์และอยากเอาชนะความทุกข์ให้ได้ สิ่งที่เราต้องรู้อีกอย่างก็คือควบคุมตา หู จมูก ปาก และใจให้ดี เพราะถ้าควบคุมไม่ดีแล้ว ทั้งตา หู จมูก ปาก และใจจะนำพาชีวิตเราให้ถูลู่ถูกังไปกับความทุกข์ไม่จบสิ้น
“อยู่ร่วมกันอย่าว่ากันให้รักกัน อย่าหักหาญน้ำใจกันด้วยลมปากเหม็น”
มนุษย์มีอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดนั่นก็คือปาก ฆ่าคนได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต จริงไหม (จริง)  แม้ตัวจะไม่อยู่แต่ปากนั้นก็ไปได้ไกลมาก  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมต้องระวังปากเหม็นๆ นี้หน่อยนะ ไม่อย่างนั้นปากเหม็นจะเป็นอาวุธที่คมกริบ ฟันทีไรคนก็เจ็บ แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม ทุกคนล้วนมีวาจาที่เชือดเฉือนทำร้ายคนได้ ถ้าพูดไม่รู้จักคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือคิดให้หนักๆ แล้วพูดก็ทำได้เหมือนกัน ใช่ไหม
ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมไม่เข้มงวดผู้อื่นแต่เข้มงวดตัวเอง เรายกตัวอย่างง่ายๆ นะ ถ้าสมมติว่าเราเป็นคนเล่นกายกรรม  เรายืนอยู่ตรงนี้  และเอาเด็กอีกคนอยู่บนบ่าเรา สิ่งที่เราควรทำมากที่สุดคืออะไร หันไปบอกเขาว่ายืนดีๆ หรือหันมาบอกเราว่ายืนดีๆ  เราควรบอกตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันในสังคมเป็นเรื่องเกี่ยวพันกัน บางทีเราคิดว่าสิ่งที่เราทำหวังดีกับเขา แต่อย่าลืมนะว่าความหวังดีก็อาจจะทำให้เขานั้นล้มลงได้เพราะเรา ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นทำตัวเองให้ดีดีกว่า เป็นคนที่พูดแต่สิ่งที่ดีดีกว่า อย่าพูดสิ่งร้ายของใครเลย เพราะขนาดตัวเราเราก็ไม่ชอบให้ใครมาพูดเรื่องร้ายของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่ควรส่งเสริมกันคือเรื่องดีๆ สิ่งที่ควรลืมเลือนไปจากใจคือความไม่ดีของผู้อื่น เราอยากมีหัวใจอันบริสุทธิ์แล้วเก็บแต่สิ่งที่ดี หรือมีหัวใจอันบริสุทธิ์แต่เก็บสิ่งที่เน่าเหม็นของคนอื่นล่ะ
ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรม ใจเย็นๆ ยิ้มเยอะๆ ได้ไหม (ได้)  เป็นสิ่งที่ไม่ยากเลยใช่ไหม (ใช่)  ใจร้อนวู่วามก็มีแต่เสียหายและเจ็บปวด ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จา หรือพูดน้อยหน่อยทำเยอะหน่อย อันไหนดีกว่ากัน พูดน้อยหน่อยทำเยอะหน่อยดีกว่าใช่ไหม (ใช่)  ใจร้อนวู่วามใครล่ะเจ็บปวด (ตัวเราเอง)  ใจร้อนหน้าบึ้งใครล่ะทุกข์ (ตัวเราเอง)  แล้ววันหนึ่งเรายิ้มกี่ครั้งเชียว ยิ่งกับคนในบ้านยิ้มไหม (ไม่ยิ้ม)  บางคนแปลกขึ้นชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมอยู่กับคนนอกบ้านดี แต่อยู่ในบ้านไม่รู้จะอมหมากอมพลูไว้ทำไม ทำไมใจร้ายกับคนในบ้านจังเลย อยู่กับคนอื่นยิ้มพอเข้าบ้านหน้าตาบึ้งตึง ใช่หรือเปล่า  ฉะนั้นทำอะไรไม่ได้ยิ้มเข้าไว้ อะไรๆ ก็ยิ้ม ใช่ไหม (ใช่)  อย่าทำปากตกนะ เดี๋ยวเขาบอกว่ายิ่งบำเพ็ญยิ่งหน้าเด็กทำไมเธอดูแก่ ว่าใครไม่ได้นะต้องโทษตัวเราเอง
วันนี้เราก็มาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านแค่นี้ ขอให้สมปรารถนากับความตั้งใจกับการเป็นผู้บำเพ็ญธรรมนะ เรามาไม่ให้ลาภไม่ให้หวยไม่ให้เลขเด็ด ไม่มีรักษาโรค เพราะรอยยิ้มจะช่วยทำให้เรามีชีวิตที่ยืนนาน จิตใจที่สวยงามจะทำให้เราอายุมั่นขวัญยืน ใช่ไหม (ใช่)  คนที่เอาแต่หน้าบึ้งคิดร้ายอยู่ไม่ยืดนะ แต่คนที่รู้จักยิ้มแย้มทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส มองโลกในแง่ดีจะอายุยืนและเป็นที่รักของทุกผู้คนใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนต้องรู้จักดูแลตัวเองให้เป็น ความสุขไม่ใช่สิ่งที่อยู่ไกล ความสุขไม่ใช่เกิดจากผู้อื่นมาเติมเต็ม แต่ความสุขเกิดจากเรารู้จักเติมเต็มตัวเองให้เป็น และส่งเสริมผู้อื่นให้เป็น อย่าหวังว่าจะได้ความรักจากคนอื่นถ้าตัวเองยังรักตัวเองไม่เป็น ท่านจะไม่มีวันพบความสุขได้จากความรักเด็ดขาด เชื่อเราเถอะ ถ้าท่านยังรักตัวเองไม่เป็น ยังดูแลตัวเองไม่ได้ การมีคนอื่นมาเติมความรักให้ ท่านก็จะรักษาความรักนี้ได้ไม่ยืนนานหรอก จริงหรือเปล่า (จริง)
รักตัวเองให้เป็น อภัยตัวเองให้ได้ และนำพาชีวิตตัวเองให้ถูก การที่จะมีคนมารักเพิ่มอีกคนหนึ่ง หรือนำพาคนที่น่ารักอีกคนหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้ามีชีวิตแล้วยังรักตัวเองไม่เป็น อภัยตัวเองไม่ถูก นำพาชีวิตตัวเองให้ดีไม่ได้ ไปเกี่ยวมาอีกคนหนึ่งก็หาปัญหามาใส่หัวเปล่าๆ ใช่ไหม (ใช่)

ฉะนั้นดูแลตัวเองให้ดีนะ ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญธรรมแล้ว ฟันฝ่าต่อไป อย่ากลัวความทุกข์ยากนะ ความทุกข์ยากเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญธรรมต้องเดินเข้าหานะ มนุษย์เป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญต้องรีบเดินเข้าไปช่วย ไม่ใช่เดินหนีตัวใครตัวมันนะ นี่แหละเรียกว่าจิตโพธิสัตว์ ขอให้ทุกท่านมีอยู่ในหัวใจนะ ใจเย็นๆ อย่าใจร้อน ไปแล้วนะ เหนื่อยหน่อยแต่ก็ขอให้กลับมามีพลังใหม่นะ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2550

2550-01-06 สถานธรรมหมิงเฉิง จ.ตาก



西元二○○年歲次丙戌十一月十八日     大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ มกราคม  พุทธศักราช ๒๕๕๐    สถานธรรมหมิงเฉิง อ.สามเงา จ.ตาก
                                              สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

  ฟ้ามนุษย์ร่วมมือกันน่ายินดี                 ในบัดนี้นาวาธรรมมั่นคงนัก
ความสมบูรณ์อยู่ที่คนรู้ตระหนัก            ถนอมรักปฏิบัติธรรมลงมือทำ
                        เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา        ถามศิษย์น้องชายหญิงเกษมฤๅ
                        ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง     ฮวา  ฮวา

  อาศัยโลกเพื่อพ้นโลกไม่ โศกศัลย์         คนทั้งนั้นอยู่ร่วมกันย่อมยากเข็ญ
ลาภสักการะอันตรายต่อผู้บำเพ็ญ          คนอยู่เป็นไม่ติดโลกไม่ผูกพัน
ปัญญาคือการทวนกลับจับดวงจิต         ศรัทธาผิดหากยังหลงอยู่ร่วมด้วย
ศรัทธาและปัญญาร่วมกันจึงอาจช่วย     ขอให้รวยความเข้าใจสัจธรรม
เกิดเป็นคนอย่าช่างยึดติดถือมั่น             ปล่อยวางพลันโล่งสบายอยู่ในหัว
จะบำเพ็ญอย่าได้เอาแต่ใจตัว                ความเมามัวขจัดสิ้นที่ อวิชชา
ชีวิตนี้มีค่าสุดประมาณ                         วัฏสงสารอยู่ในตนไม่พ้นหนา
วนคิดวนเข้าใจมาแล้วกี่ครา                  วนปัญหาเดิมเดิมอยู่ในตน
ขอจงใช้ชีวิตนี้กันให้เป็น                        ต้องมองเห็น อนุสัย อย่างถ่องแท้

โศกศัลย์         ทุกข์เดือดร้อนเหมือนถูกศรแทง
อวิชชา          ความไม่รู้อริยสัจ ๔, ความเขลา, ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
อนุสัย           กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน
 

ประภัสสร     บริสุทธิ์
 
บุคคลขจัดสิ่งใดจึงมีความสุข  ไม่โศกศัลย์
บุคคลขจัดสิ่งใดจึงมีความสงบ  ไม่วุ่นวายพลัน
บุคคลใดขจัดสิ่งใดแล้วทำให้เรามีอิสระเสรี
ความประพฤติเป็นมิตร
กล่าววาจาเป็นมิตร
เจตนาความคิดเป็นมิตร
ชีวิตตนจะให้ใครมาดูแล                       จงหัดแก้อย่างแข็งใจฝืนโลกีย์
หากทำให้คนสิ้นเกียรติเขาจะโกรธ          คนชอบโทษเรื่องหนึ่งลงอีกเรื่องหนึ่ง
ย้อนมองตนผู้บำเพ็ญอย่าได้ตึง              ต้องเข้าถึงใจคนจึงนำพาคน
สองวันนี้ประชุมธรรมฟื้นฟูจิต                ปรับสมดุลความคิดเป็นคนใหม่
เข้าใจธรรมด้วยเข้าใจตนภายใน             ธรรมไกลใกล้แท้อยู่ในตัวตนเอง
ปฏิบัติธรรมด้วยชีวิตที่สะอาด                อย่าประมาทอัตตาพาเดินเขย่ง
ในชีวิตอันวุ่นวายอันรีบเร่ง                    ขอน้องเปล่งปณิธานพ้นว่ายเวียน
ศิษย์พี่รับบัญชาคุมชั้นเรียน                   หวังน้องเรียนธรรมะสลักจิต
ขอน้องละอัตตาหมายพิชิต                    ขอดวงจิตจงสว่างกลางมายา
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป               น้องทั้งหลายรักษาระเบียบให้เคร่งครัด
จงบำเพ็ญด้วยท่าทีหมายขจัด               เดินทางลัดต้องตั้งใจกว่าเรื่องใด
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
                                                                                     ฮวา  ฮวา   หยุด


วันเสาร์ที่ ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐      สถานธรรมหมิงเฉิง  อ.สามเงา จังหวัดตาก
พระโอวาทท่านหยรูอี้ถงจื่อ

  มนุษย์มีเรื่องน่ายินดีตลอดเวลา           อยู่ที่ว่าใครเห็นบ้างหรือไม่
ทั้งเรื่องดีและร้ายอยู่ที่ใจ                      ของเก่าแล้วใช่ว่าไม่มีดี
                        เราคือ
  หยรูอี้ถงจื่อ  (如意童子)            รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่พุทธสถานหมิงเฉิง   แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา        ถามเมธีทุกท่านหายง่วงหรือยัง
  ทำสิ่งใดทำให้ถึงที่สุด                        อย่าได้หยุดเทธารน้ำใจท่าน
เมื่อเรานิ่งเห็นความเคลื่อนไหวพลัน         ไร้รูปญาณทิพย์หนุนคนที่ตรอง
ทำสิ่งใดไม่ลืมต้องคิดเผื่อ                      อยู่กับเรืออย่ากลัวน้ำพาคล่อง
ชีวิตย่อมเปลี่ยนแปลงไปอย่างสอดคล้อง  ใจลอยล่องความคิดล้วนต้องระวัง
ทำสิ่งใดจากหนึ่งสองสามสี่                   เฟื่องฟูดีแข่งตนกับความหวัง
ความสอดคล้องและขัดแย้งแฝงพลัง        คลื่นฟ่องดุจเป็นเกลียวสร้างภาพมายา
ทำสิ่งใดคำนึงถึงคำปราชญ์สอน             แข็งเกินไปยิ่งหย่อนอยู่ร่วมหล้า
คุณธรรมงามจับตาเพรียกหาคนนา        อยู่ภายในใจประชาความทรงจำ
ค้นหาใจเดิมคืนแดนไร้อัตตา                  พันหมื่นฝ่าความยากคอยตอกย้ำ
การบำเพ็ญคนน้อมรู้แล่นลอยลำ           ฟ้าใกล้ค่ำธรรมเป็นแสงเดียวกัน
ฟ้าหลังฝนรุ้งทองสีแสง ประภัสสร          คนตื่นก่อนเหนื่อยหน่อยช่วยเก็บเกี่ยว
อยู่ร่วมกันใช้ธรรมจึงกลมเกลียว            คำลดเลี้ยวชนะใครไม่สุขใจ
                                                                                            ฮิ  ฮิ   หยุด
พระโอวาทท่านหยรูอี้ถงจื่อ
วันนี้มานั่งฟังต้องฝืนใจตัวเองไหม ลองทำอะไรฝืนตัวเองบ้างนะ เพราะเราเคยชินกับการตามใจตัวเองบ่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำอะไรแล้วต้องมีต้องได้ตลอดเวลา ถ้าวันนี้มาทำแล้วไม่มีบ้างได้ไหม (ได้)  เป็นการฝึกอยู่ด้วยกันแบบไร้รูป บางครั้งสิ่งที่เห็นว่ามี สักวันก็ต้องไม่มี  บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าใช่บางทีก็ต้องตอบว่าไม่ใช่บ้าง  บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าใช่ตลอดเวลา แต่วันหนึ่งเขาบอกว่าไม่ใช่ เราทำใจได้ไหม
บางครั้งอย่าคิดว่าของใหม่ๆ ของสวยๆ เท่านั้นที่ดีมีคุณค่า แต่บางทีของเก่าๆ ก็มีค่า  ใครเบื่อของเก่าชอบแต่ของใหม่ ยกมือขึ้น แล้วเคยอยากได้ตัวเองใหม่บ้างไหม
มนุษย์เราถ้าชอบของใหม่ เปลี่ยนรถได้ เปลี่ยนบ้านได้ ถึงเวลาก็ต้องเปลี่ยนร่างกายได้จริงไหม  มีใครบ้างเกิดมาแล้วไม่ตาย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่มีการเปลี่ยนจากร่างเก่าไปสู่ร่างใหม่
ใครๆ ก็ไม่อยากคิดถึงเรื่องนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทุกครั้งที่เราเกิดมา ทุกครั้งที่เรามีชีวิตอยู่ ทุกครั้งที่อายุของเรามากขึ้น เรามิใช่กำลังเดินไปสู่ความตายหรือ
(มีนักเรียนในชั้นบอกว่าไม่อยากฟังเรื่องเป็นเรื่องตาย)
เราไม่พูดเรื่องนี้ดีกว่านะมีคนไม่พอใจ แต่อยากบอกให้ท่านรู้ว่าเรื่องราวในโลกนี้ย่อมมีเรื่องที่ฟังแล้วรื่นหูกับเรื่องที่ฟังแล้วขัดหู เราจะฟังเสียงรื่นหูตลอดได้หรือไม่ (ไม่ได้)  บางครั้งเราก็ต้องได้ยินเสียงที่ (ขัดหู)  แล้วเสียงที่รื่นหูกับเสียงที่ขัดหูอะไรเป็นความจริงมากกว่ากัน (เสียงที่ขัดหู)  ขอให้คิดพิจารณาให้ดีนะว่าจริงๆ แล้วเสียงที่ขัดหูมีความเป็นจริงมากกว่าเสียงที่รื่นหู  ฉะนั้นเรื่องที่เราไม่ชอบมีความเป็นจริงมากกว่าเรื่องที่เราชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ส่วนใหญ่มีคนบอกว่าห้องพระนี้เป็นห้องพระใหญ่น่ายินดี แต่อย่าลืมว่ามีห้องพระใหม่ได้เพราะมีห้องพระเก่ามาก่อน  มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นได้เพราะมีสิ่งเก่าๆ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นเราอย่าลืมคุณค่าของสิ่งที่เรามี อย่าเห็นว่าสิ่งใหม่มีประโยชน์สิ่งเก่าไร้คุณค่า
เหมือนพ่อแม่ของเราเก่าแล้วเบื่อแล้ว มีพ่อแม่คนใหม่ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ในชีวิตเราพ่อแม่มีแค่ชุดนี้ชุดเดียว ฉะนั้นก่อนที่จะเก่าต้องรักษาท่านให้ดี อย่าปล่อยให้เก่าจนทรุดโทรมแล้วค่อยเห็นคุณค่า
เฉกเช่นร่างกายเราก็เหมือนกัน อย่าปล่อยให้เจ็บป่วยแล้วค่อยคิดรักษา ทุกครั้งที่กินทุกครั้งที่พูด ทุกครั้งที่กระทำอะไรก็ขอให้ถนอมรักษาร่างกายนี้ไว้ด้วย อย่าลืมว่ายิ่งเก่ายิ่งมีคุณค่า
ใครว่าชีวิตนี้ทุกวันมีแต่เรื่องน่ายินดี ยกมือขึ้น  แล้วใครว่าทุกวันมีแต่เรื่องไม่น่ายินดียกมือขึ้น  ตื่นขึ้นมายังมีร่างกายอยู่ ยังมีบ้านอยู่ ครอบครัวยังอยู่ครบน่ายินดีไหม (น่ายินดี)  ตื่นมายังแข็งแรงอยู่ ยังไม่เจ็บคอ ยังไม่ปวดหัว ยังไม่เจ็บขาไม่น่ายินดีหรือ (น่ายินดี)
ฉะนั้นเรื่องอะไรที่อยู่ใกล้ตัวแล้วมีความสุขจงมีความสุขกับสิ่งนั้น อย่าไปหวังความสุขในเรื่องไกลตัว  ไม่ใช่ตื่นขึ้นมาแล้วฉันต้องถูกลอตเตอรี่ เป็นไปได้ทุกวันไหม ตื่นมายินดีที่ฝันว่าได้เลขสามตัว ยินดีไหม (ยินดี)  จะถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้  ฉะนั้นสู้ตื่นขึ้นมาร่างกายยังอยู่ครบ สุขภาพร่างกายยังแข็งแรง คนในบ้านยังอยู่ครบไม่ไปไหน ทุกวันก็คือเรื่องน่ายินดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือตื่นขึ้นมายังมีชีวิตอยู่ไม่ได้ตายไปจากโลกนี้ก็น่าภูมิใจแล้วมิใช่หรือ (ใช่)
วันนี้ท่านมาฟังธรรมะ อย่างนั้นเรื่องที่เราพูดคุย หรือเรื่องที่เราเล่นก็ต้องเกี่ยวกับ (ธรรมะ) ใช่หรือไม่ (ใช่)  เริ่มต้นอะไรก่อนดีล่ะ  ปีใหม่ผ่านไปแล้ว ควันหลงในวันปีใหม่น่าจะอยู่ในหัวใจบ้างใช่ไหม
ถ้าพูดถึงปีใหม่เรานึกถึงอะไร พอปีใหม่ปุ๊บทุกคนจะนึกถึงแต่วันพักผ่อนใช่ไหม กับอีกอย่างหนึ่งพอพูดถึงวันปีใหม่ทุกคนจะนึกถึงความสุข แปลว่าปีใหม่หนึ่งปีเรามีความสุขให้นึกถึงแค่หนึ่งวันหรือ ทำไมเราไม่คิดว่าทุกวันคือวันปีใหม่ล่ะ เราจะได้มีความสุขทุกๆ วัน  ความสุขอะไรที่เคยทำให้เราอิ่มใจ และเมื่อเราระลึกถึงความรู้สึกอิ่มใจนั้นก็ยังคงอยู่กับเราตลอดไป
ส่วนใหญ่พอพูดถึงความสุขทุกคนก็จะนึกถึงปีใหม่  เราอยากบอกว่าแท้จริงแล้วความสุขไม่ใช่มีแค่เฉพาะวันปีใหม่ แต่มีทุกๆ วันได้ถ้าเรารู้จักทำวันนั้นให้เป็นวันใหม่อยู่เสมอ  ไม่ใช่ตื่นเช้ามาก็คิดว่าพระอาทิตย์ดวงเดิม ท้องฟ้าเดิมต่างอะไรกับทุกๆ วัน  แล้วทำไมมีวันเดียวเองที่เป็นวันปีใหม่  ฉะนั้นอย่าตีกรอบความคิดจนตายตัว  ถ้ากรอบไหนเราทำลายแล้วไม่ผิดกฎสังคม ไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร การทำลายกรอบออกมาบ้างเพื่อให้ตัวเองมีความสุขก็เป็นสิ่งดีไม่ใช่หรือ (ใช่)
ในหมู่แกะขาวจะมีแกะดำไหม (มี)  ในหมู่คนดีจะมีคนคิดร้ายไหม (มี)  ในช่วงวันที่น่ายินดีจะมีคนคิดอยากทำอันตรายไหม (มี)  แล้วเราเปลี่ยนแปลงความคิดคนทุกคนได้ไหม (ไม่ได้)  แต่เราเปลี่ยนแปลงความคิดใครได้ล่ะ (ตัวเราเอง)  ถึงวันปีใหม่จะโดนว่า แต่ถ้าเราคิดว่าไม่เป็นไร เขาว่าเราหนึ่งครั้งเราจะได้ล้างสิ่งไม่ดีออกไปหนึ่งครั้ง ต่อไปเราจะได้พบสิ่งที่ดีขึ้นไม่ดีกว่าหรือ
ในโลกใบนี้วันนี้มีเรื่องน่ายินดี แต่คนอื่นเขาอาจจะไม่ยินดีกับเรา  วันนี้มีเรื่องสุขใจ แต่คนอื่นอาจจะพูดให้เราไม่สุขใจได้  แล้วเราควรจะช่วยคนที่มีความสุขหรือช่วยคนที่มีความทุกข์ดี (คนที่มีความทุกข์)
ส่วนใหญ่พอปีใหม่เราก็จะนึกถึงคนที่เรารัก คนที่เกลียดไม่อยู่ในสายตาเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยากจะบอกท่านว่า คราวหน้าถ้ามีวันไหนเป็นวันที่ท่านรู้สึกดีๆ  ลองนึกถึงคนที่เขากำลังทุกข์ ลองนึกถึงคนที่เรากำลังเกลียด เผื่อจะช่วยให้แกะดำนั้นไม่ทำลายแกะขาว ที่สังคมปัจจุบันนี้วุ่นวายเพราะว่าแกะดำตัวเดียวที่ทำลายคนในสังคมถูกไหม
ฉะนั้นเมื่อไรที่มีเรื่องน่ายินดี จงรีบเอาเรื่องน่ายินดีไปให้คนที่ทุกข์ เพื่อเขาจะได้ไม่เอาทุกข์นี้มาทำลายแกะขาวทั้งโลก  เมื่อไรที่เรารู้สึกดีมีความสุข จงรีบเผื่อแผ่ความสุขนี้ให้กับคนที่เราเกลียดให้กับคนที่เขามีทุกข์ เพื่อจะได้ป้องกันอันตราย ให้มีแต่เรื่องน่ายินดีไปตลอดชีวิตดีไหม (ดี)
เราถามท่านหน่อยว่าเพราะอะไรในหมู่แกะดำจึงมีแกะขาว ในหมู่คนดีจึงมีคนคิดร้าย  เพราะอะไรคนดี ๆ จึงกลายเป็นคนร้าย  ทำไมแกะขาวจึงยอมทำตัวเป็นแกะดำ
สังเกตไหมว่าคนที่ทำร้ายผู้อื่นเพราะเขากำลังมีเรื่องทุกข์ใจ  ใครๆ ก็ยิ้มแต่ฉันทุกข์อยู่คนเดียว  เวลาที่มีความไม่สบายใจ ฉันต้องหาคนระบาย  ฉันต้องหาคนปล่อยออก ถูกไหม (ถูก)  มีอะไรอีก (เพราะความโลภของคน, เพราะมีความเห็นแก่ตัวเอง)
คนที่ทำร้ายคนอื่นได้ก็เพราะว่าเมื่อฉันไม่มีสุข คนอื่นจะมีสุขได้อย่างไร  เมื่อฉันไม่ได้รับ คนอื่นจะได้รับได้อย่างไร  เพราะเห็นแก่ประโยชน์สุขส่วนตนมากกว่าประโยชน์สุขส่วนรวม  หรือที่กล่าวว่า เมื่อไรที่มนุษย์มีความปรารถนาอยากได้ใคร่มีมากเกินไปก็ย่อมทำร้ายผู้อื่นได้มากเท่านั้น  แต่ความปรารถนาอยากได้ใคร่มีไม่น่ากลัวเท่ากับความคิดร้าย  แต่ทั้งความปรารถนาใคร่มีและความคิดร้ายก็ไม่น่ากลัวเท่ากับความคิดร้ายและอยากได้ใคร่มีมารวมกัน
เพราะถ้าเราแค่อยากได้แต่เราไม่คิดร้าย ความอยากได้ก็ยังไม่ทำร้ายใคร  หรือถ้าเราคิดร้ายอย่างเดียวแต่เราไม่อยากได้ ความคิดร้ายก็ยังอยู่แค่ความคิด  แต่ถ้าเมื่อไรที่ความอยากได้กับความคิดร้ายมารวมตัวกันน่ากลัวยิ่งนัก
ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์และสามารถเปลี่ยนแปลงให้มนุษย์เปลี่ยนจากสีขาวกลายเป็นสีดำ คนดีกลายเป็นคนร้ายก็คือความอยากได้ใคร่มีและจิตใจที่คิดร้าย เห็นแก่ตัว ทำร้ายผู้อื่น แล้วเราจะควบคุมคนพวกนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ยากใช่หรือไม่
เราเลี้ยงลูกมากับมือเรายังเลี้ยงได้แค่ตัวแต่หัวใจเราเลี้ยงไม่ได้ ดีได้แค่ร่างกายแต่ใจยากจะเดาใช่หรือไม่ (ใช่)  สามีหรือคนที่รัก อยู่กันมาเป็นสิบๆ ปียังเปลี่ยนแปลงได้  หรือแม้กระทั่งเพื่อนที่ทำงานด้วยกันมาตลอดชีวิต ไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะคิดร้ายกับเราได้ หรือหักหลังเราได้ลงคอ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นเราจะเอาอะไรมาช่วยดลใจ หรือเราจะทำอย่างไรที่จะทำให้เขาได้รับรู้ว่าถ้าเขาเปลี่ยนเป็นคนร้าย เขาจะเป็นคนที่ไม่น่ารักเลย  ลูกเลี้ยงได้แต่ตัว เอาลูกไปอยู่วัดเลย เผื่อวัดจะเปลี่ยนแปลงลูก แต่ถึงเวลาก็กลับมาอยู่กับเราเหมือนเดิม  เปลี่ยนได้ไหม (ไม่ได้)  สามีไม่ซื่อสัตย์ เอาสามีไปอยู่วัดเลย  เปลี่ยนได้ไหม (ไม่ได้)  เราจะเปลี่ยนแปลงหัวใจคนอื่นได้ด้วยอะไร (ความดี, ธรรมะ)
เรายกตัวอย่างง่ายๆนะ  ถ้าเกิดแหวนเพชรหนึ่งวงตกลงไปในกองอาจม จะเขี่ยมันขึ้นมาไหม  สร้อยทองหนึ่งบาทตกลงไปในมูลสัตว์ เราจะดึงมันขึ้นมาไหม (ดึง)  เงินแค่ยี่สิบบาทตกไปยังเสียดายแล้วเสียดายอีก  หาไม้มาเขี่ยๆ ก็ยังดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ถามท่านหน่อยนะว่าคุณธรรมความดีที่หายไปในสังคม ทำไมมนุษย์ไม่ตามกลับคืนมา สังคมของมนุษย์เป็นสังคมที่สกปรกเลวร้าย คนนี้เป็นคนไม่ดี  แต่ทำไมเราไม่ดึงความดีออกมาจากใจเขาล่ะ
อยากจะเปลี่ยนแปลงคนไม่ต้องเอาธรรมะจากที่ไหนไกลหรอก แค่เอาธรรมะในหัวใจของเราไปเปลี่ยนแปลงเขา  ถ้าลูกไม่ดีแม่จะทำดีให้ลูกดู  สามีไม่ซื่อสัตย์ฉันจะซื่อสัตย์และดียิ่งๆ ขึ้นให้สามีดู  เพื่อนอยากคดโกงเจ้าเล่ห์คดโกงไปฉันจะทำความดีให้เพื่อนดู  เขาอยากอู้งานไม่เป็นไรฉันจะปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบอย่างซื่อตรงให้เขาดู  คือเอาธรรมะจากหัวใจเรามาใช้ในการดำรงชีวิต ช่วยได้ทันกว่าไปเอาน้ำไกลๆ มาดับไฟใกล้อีกใช่หรือไม่ (ใช่)
คนทุกคนในโลกไม่ว่าจะเป็นโจรหรือคนที่เราเกลียดขนาดไหน  เขาก็ยังมีดี จริงไหม (จริง)  น้ำสกปรกเรานำไปกลั่นกรองก็ยังมีน้ำสะอาด ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นคนที่เลวร้ายแน่ใจหรือว่าเขาจะไม่มีดี
ทุกๆ ที่ก็สามารถมีธรรมะและธรรมะนั้นทำให้มีความสุขได้  แต่เพราะอะไรเราจึงมองไม่เห็น  เพราะอะไรจึงดึงธรรมะจากตัวเราเอาออกมาช่วยไม่ได้ ก็เพราะว่าอารมณ์และกิเลสมันบดบังหัวใจและดวงตา จึงทำให้เรามองธรรมะหรือมองคนดีไม่เคยขึ้น และไม่สามารถสร้างสุขได้ทุกๆ ที่
อย่าลืมว่ากระท่อมหญ้าคาหรือบ้านที่ปลูกหลังใหญ่ๆ ถ้าเรามีความสุข แม้อยู่กระท่อมหญ้าคาก็มีความสุขได้  ถ้าเรารู้จักดำรงชีวิตเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คิดถึงใจเขาใจเรา แม้บ้านจะมุงจากก็มีสุขได้ ดีกว่าบ้านใหญ่โตแต่ไร้ความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นคุณธรรมไม่ได้อยู่แค่ที่วัด ไม่ได้อยู่ที่หนังสือ แต่อยู่ที่หัวใจของเราในการอยู่ร่วมกัน  เขาแล้งน้ำใจมา ฉันจะมีน้ำใจตอบ เขาเห็นแก่ตัวมาฉันจะมีน้ำใจให้ และถ้าทุกวันเราทำอย่างนี้คนที่ร้ายจะไม่กลับใจกลับตัวมาดีกับเราหรือ
ลูกที่คิดไม่ดีแต่ถ้าแม่เขาทำดีอย่างนี้ทุกๆ วัน ลูกก็ไม่ต้องไปเรียนที่ไหน เรียนกับพ่อกับแม่นั่นแหละ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สังคมที่ดีเริ่มต้นที่ตัวเราเอง คุณงามความดีเริ่มต้นที่หัวใจเราเอง อย่ามองที่ไหนไกล อย่าเอาแต่ชี้ว่าคนโน้นไม่ดี คนนี้แล้งน้ำใจ สังคมเลวร้าย  ในที่เลวร้ายให้เรามีดี ในที่วุ่นวายเราสงบได้ คนนั้นก็คือคนยอดคน
อยากเป็นคนที่ทำอะไรก็สำเร็จจะต้องเป็นคนที่ลงแรงทำอะไรให้ถึงที่สุด ถ้าทำอะไรไม่ประสบผลสำเร็จก็ต้องย้อนถามตัวเองว่าลงแรงถึงที่สุดหรือยัง  ฉันใดก็ฉันนั้นเมื่อเราจะทำอะไรต้องรู้จักมองให้เป็นก่อน ถ้ามองไม่เป็นแล้วจะทำเป็นได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนมองใครก็ต้องมองให้ถึงข้างใน จะมองแค่เพียงเปลือกนอกได้ไหม (ไม่ได้)  คนเราบางครั้งดีแต่บางทีก็เปลี่ยนเป็นไม่ดี บางครั้งไม่ดีก็เปลี่ยนเป็นดีได้ ฉะนั้นอย่ามองสิ่งใดอย่างหยุดนิ่ง
เคยไหมเวลาเรามองว่าคนนี้ตอนเด็กเลว โตมาก็ต้องเลวแน่  ถ้าใครเคยขโมยหนึ่งครั้ง ตีตราเลยว่าเขาต้องเป็นหัวขโมยตลอดชีวิต ได้ไหม (ไม่ได้)  เขาเคยโกหกเราหนึ่งครั้งเราก็ตีตราไปเลยว่าคนนี้พูดอะไรเชื่อถือไม่ได้ ได้ไหม (ไม่ได้)
ถามท่านว่าใครไม่เคยขโมยเงินพ่อแม่บ้างยกมือขึ้น ใครไม่เคยโกหกบ้างยกมือขึ้น เคยไหมเวลาไปกินข้าวบ้านเพื่อน เขาทำอาหารไม่อร่อยแต่ต้องบอกว่าอร่อยมากๆ เลย พูดเพื่อไม่ให้เขาเสียน้ำใจ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วจะบอกว่าไม่โกหกจริงไหม (ไม่จริง)
ฉะนั้นใครทำผิดพลาดครั้งหนึ่ง ใครทำเราเสียใจครั้งหนึ่งเราอย่าตีตราว่าเขาจะต้องเลวร้ายตลอดชีวิต เพราะขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ขึ้นชื่อว่าหัวใจคนเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ฉะนั้นอย่ามองสิ่งใดอย่างหยุดนิ่ง อย่ามองใครอย่างตายตัว เพราะคนทุกคนเปลี่ยนแปลงได้
วันนี้ดีพรุ่งนี้อาจร้าย วันนี้ร้ายพรุ่งนี้อาจกลับมาเป็นดี  ฉะนั้นมองใครต้องมองให้ถึงแก่นแท้ภายใน อย่ามองแล้วติดเพียงแค่เปลือกภายนอก  ผู้มีปัญญาและมีสติตลอดเวลาเขาจะมองเห็นว่าโลกใบนี้สิ่งใดเท็จสิ่งใดแท้ และเขาสามารถยึดกุมเรื่องราวต่างๆ ได้ ไม่ให้รูปหลอกตาหลอกใจ ฟังแล้วเข้าใจไหม (เข้าใจ)
คนหนึ่งคนมีด้านเดียวไหม เรารู้ว่าเขามีด้านหน้าก็ต้องมีด้านหลัง มีด้านซ้ายก็ต้องมีด้านขวา ถูกไหม (ถูก)  คนหนึ่งคนมีดีแล้วมีร้ายไหม (มี)  มีสมหวังแล้วมีผิดหวังไหม (มี)  มีวัยหนุ่มแล้วมีวัยแก่ไหม (มี)  มีอ้วนแล้วมีวันผอมไหม (มี)
ผลไม้เราเห็นเปลือกแล้วเราก็รู้ว่าข้างในเปลือกต้องมี (เนื้อ) แล้วข้างในเนื้อต้องมี (เมล็ด)  แล้วข้างในเมล็ดต้องมีอะไร  มองอะไรต้องมองให้ถึงที่สุด อย่าให้ปรากฏการณ์ภายนอกทำให้เราไม่เห็นภายใน
ในเมล็ดก็มีต้นอ่อน ในต้นอ่อนถ้าเอาไปปลูกลงดินก็เกิดต้นใหญ่ พอต้นใหญ่ก็เกิดเป็นดอก ในดอกก็เกิดเป็นผลเวียนไปไม่จบสิ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)
มองอะไรต้องมองให้เป็นวัฏจักร ถ้าเรามองสิ่งใดเป็นวัฏจักรเราจึงจะสามารถตัดขั้วพ้นเวียนว่ายได้ เราก็จะรู้ว่าจะตัดตรงไหนไม่ให้เกิดต้นอีกต่อไป แต่ถ้าเรายังมองไม่เห็นวัฏจักรเราก็ยังไม่พ้นการเวียนว่ายอย่างไม่จบสิ้น
แล้วในตัวมนุษย์เรามีเมล็ดพันธุ์อะไรที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกนี้ไม่จบสิ้น (กรรม, จิตวิญญาณ, มีความคิด, เวรกรรม)  กรรมเวรคือผลของการกระทำ แล้วผลของการกระทำอะไรที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิด (ความดี)  ความดีทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดได้หรือไม่ (ได้)  มีทั้งได้และไม่ได้  เคยได้ยินไหมทำบุญมากๆ ตายไปแล้วก็ไปเสวยสุขแล้วต้องกลับมาเกิดใหม่ (เคย)
ทำดีแบบไหนจึงจะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก (มีธรรมะในหัวใจ)  ธรรมะแบบไหนที่มีแล้วไม่ต้องมาเวียนว่าย รับความจริงไม่ได้จึงทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป รับความจริงไม่ได้เพราะยึดติด เมื่อยึดติดจิตใจก็ไม่โปร่งเบาก็ง่ายที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด  สังเกตง่ายๆ รักลูกมากเมื่อตายไปแล้วเรายังห่วงเขาอยู่ วิญญาณก็ไม่ไปผุดไปเกิดต้องล่องลอยดูแลเขาอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราเฉลยเลยดีไหม (ดี)  ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เมื่อไรมีตัวตนเมื่อนั้นมีที่ให้ทุกข์อยู่ ถ้าเมื่อไรไร้ตัวตนทุกข์จะอยู่ที่ไหน  ฉะนั้นเมื่อไรเรามีตัวตนมีอัตตา มีความยึดมั่น มีของเราของเขา เราก็ยังต้องทุกข์อยู่ร่ำไป  แต่ถ้าเมื่อไรเราปล่อยวางตัวตนได้มากเท่าไหร่เราก็เบาสบายไม่เวียนว่ายตายเกิดมากเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
อีกอย่างหนึ่งคือเรามองเห็นทุกสิ่งอย่างถ่องแท้ถึงที่สุดแล้วหรือไม่  ถ้าเราเห็นคนหนึ่งคน เราเห็นเขามีหรือไม่มี  เมื่อไหร่เห็นว่ามี เมื่อนั้นยังต้องทุกข์อยู่ยังต้องเวียนว่าย
คนทุกคนมาจากความไม่มี เริ่มต้นเรามาจากตัวเปล่า จากตัวเปล่าจึงมีหนึ่ง มีหนึ่งจึงมีสอง มีสองจึงมีสาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวคนเดียวก็แทบแย่แล้ว นี่มีสามยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่  แล้วท่านเคยเห็นไหมว่าจากศูนย์แล้วมีหนึ่ง จากหนึ่งแล้วมีสอง จากสองแล้วมีสาม มีไปเรื่อยๆ แต่ผลสุดท้ายก็ต้องกลับไปสู่ศูนย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าในช่วงหนึ่งถึงนานัปการเราสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุขและสอดคล้องได้ไหม  ถ้าอยู่อย่างสอดคล้องได้ต้องไม่มีคนที่ท่านรังเกียจและไม่มีคนที่เรารู้สึกรักมากเป็นพิเศษ
คำว่า อยู่อย่างสอดคล้อง”  ยกตัวอย่างง่ายๆ เหมือนฟ้ากับดิน  ฟ้ากับดินนั้นตรงข้ามกับสุดขั้ว ฟ้าสว่างใส ดินหนักแน่นขุ่น
ฟ้ากับดินอยู่กันอย่างสอดคล้องไหม (สอดคล้อง)  ขัดแย้งไหม ขัดแย้ง ทุกอย่างขัดแย้งหมดเลย แต่ต่างก็อยู่กันอย่างสอดคล้อง และในความขัดแย้งมีความสอดคล้อง มีความเปลี่ยนแปลงไหม (มี)  แล้วฟ้ากับดินนี้เป็นหนึ่งเดียวไหม ก็รวมเป็นโลกหนึ่งเดียว
ฉันใดก็ฉันนั้นตัวมนุษย์ก็เหมือนกัน เรามีหนึ่งคนที่เหมือนเรา แต่ก็มีหนึ่งคนที่แตกต่างจากเรา  แต่ไม่ใช่เพราะมีความแตกต่างหรอกหรือจึงได้มีความเหมือนที่กลมกลืนสอดคล้อง  และในความเหมือนความต่างไม่ใช่คือหนึ่งเดียวกันหรอกหรือ ทุกอย่างและทุกคนก็เหมือนๆ กัน คือถึงที่สุดแล้วเราจะโกรธอะไรกับคนที่ไม่มีอะไรให้น่าโกรธ  เราจะชอบอะไรกับคนที่เขาก็เหมือนๆ กัน
ฉะนั้นความรักความชอบจึงไม่สามารถจะมาทำให้อารมณ์เรากระเพื่อมไหวได้ ใจเราเลยนิ่ง  เมื่อใจเรานิ่งเราก็พอใจอะไรง่ายๆ  ใครมารักมาชังเราก็มองเป็นธรรมดา
ทุกสิ่งในโลกนี้มีเหมือนก็ต้องมีขัดแย้ง มีขัดแย้งก็ต้องมีเหมือน  ในความเหมือนและความขัดแย้งก็คือความกลมกลืนที่สัมพันธ์กัน และในความกลมกลืนที่สัมพันธ์กันก็มีความเปลี่ยนแปลงและมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน และในหนึ่งเดียวกันที่สุดแล้วก็คือความว่างเปล่า
แล้วตอนนี้เรากำลังหาเงินเพื่อเดินไปสู่ความไม่มีใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำไมต้องไม่มีมากๆ เพื่อสูญเสียให้เจ็บปวดมากๆ  ไม่มีน้อยก็เจ็บน้อย  เคยไหมรักมากก็เจ็บมาก เกลียดมากก็ทุกข์มาก โลภมากก็สูญเสียมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วรวยมากๆ มีสุขไหม (ไม่มี)  เงินคือความสุขที่ท่านต้องการจริงๆ หรือ  เคยไหมมีเงินเยอะแยะแต่ผลสุดท้ายกลับไม่มีสุข
แต่ก่อนเคยคิดว่าถ้าวันใดฉันมีทองหนึ่งบาท ฉันจะดีใจมากๆ  แต่พอมีหนึ่งบาทแล้วกลับกลุ้มใจอยากมีเพิ่มเป็นสองบาท จริงหรือเปล่า (จริง)  แต่ก่อนบอกอยู่คนเดียวเหงาเปล่าเปลี่ยวใจ ถ้ามีอีกสักคนคงสุขใจไม่น้อย พอมีแล้วบอกว่าไม่น่ามีเลย แต่ก็มีกันเป็นแถว จริงไหม (จริง)
คนแก่ใส่แว่นสายตาสั้นหรือสายตายาว (สายตายาว)  จำไว้นะยิ่งแก่มาก ฟ้าก็ส่งสัญญาณมาบอกแล้ว มองอะไรมองให้ยาวๆ ไกลๆ จะได้ไม่เจ็บ  อย่ามองใกล้ๆ เพราะมองใกล้ๆ แล้วมันเจ็บ  มองสั้นๆ แล้วมันแคบจะเห็นแต่ตัวเอง  เมื่อเห็นตัวเองจำกัด ก็คิดอย่างจำกัด  เมื่อคิดอย่างจำกัดก็มองใครได้จำกัด แล้วฟังอะไรก็ฟังได้อย่างจำกัด  แล้วก็เจ็บปวดเพราะความจำกัด ใช่หรือไม่ (ใช่)
บุคคลขจัดสิ่งใดจึงมีความสุข  ไม่มีทุกข์
ถ้าบำเพ็ญเราจะขจัดสิ่งใดจึงมีสุขไม่โศกศัลย์ (กิเลส)  กิเลสอะไรที่อยู่ในตัวเราแล้วทำให้เราหมดความสุข มีแต่ความทุกข์ มีแต่เรื่องวุ่นวายใจ เราต้องลดอะไร  ความโลภโกรธหลงเป็นมารร้ายในหัวใจมนุษย์ที่มาอยู่เมื่อใดก็มีทุกข์และก็มีความวุ่นวายมากเท่านั้นความโกรธมียอดเป็นผักหวานแต่มีรากเป็นรสขม  ฉะนั้นอย่าได้คิดโกรธ
ถ้าขจัดความโกรธได้เราก็มีสุขไม่โศกศัลย์
ขจัดความโลภได้เราก็มีแต่ความสงบไม่วุ่นวาย
และถ้าเราขจัดความหลงในโลกได้เราก็สามารถมีอิสระเสรี
แต่เพราะเรายังติดโลกอยู่ ติดการแต่งกายอยู่ ติดชื่อเสียง ติดเกียรติยศอยู่ เราจึงไม่สามารถมีชีวิตอย่างอิสระที่แท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วลดอะไรอีกที่ทำให้เรานั้นมีความสุข ลดความอิจฉา เขาได้ดีไม่เป็นไร เพราะในโลกนี้มีคนสมหวังก็ต้องมีคนผิดหวัง มีคนได้ก็ต้องมีคนเสีย วันนี้เรายอมเสียเพื่อให้คนอื่นได้บ้างจะเป็นไร  การรู้จักสละให้ เป็นทานอันยิ่งใหญ่ การรู้จักไม่ยอมรับ และปฏิเสธในสิ่งที่เรียกว่าผลประโยชน์เป็นการสละที่เป็นมงคลนัก
คนที่ตอบบางคนก็ได้ผลไม้สองผลแล้ว คนที่ไม่ตอบก็ไม่ได้อะไรเลย อยากได้แล้วเหมือนไม่ได้ไหม เวลาได้ผลไม้แล้วเอาไปให้คนอื่นต่อ การได้ของเราก็เหมือนไม่ได้ การมีของเราก็เป็นการไม่มี เพื่อให้คนอื่นมีได้เหมือนกันใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้ารู้จักอยากก็ต้องอยากให้เป็น ความอยากนั้นก็จะไม่ทำร้ายใคร เหมือนดั่งคำกล่าวว่า เมื่อใดที่เรามั่งมีจงรู้จักแบ่งปัน ความมั่งมีของเราจะไม่ถูกคนอิจฉาริษยา
ขอให้รักให้เป็น รักให้ถูก ไม่ใช่รักอย่างคนลุ่มหลง รักอย่างคนปิดตาปิดหูไม่ฟังใคร  ความรักก็มีทั้งคุณและมีทั้งโทษ ฉะนั้นก็ต้องรักให้เป็น
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงประกอบท่า ฉันอยู่ที่นี่มีความสุข)
เราต้องรู้ว่าเวลาใดควรช้า เวลาใดควรเร็ว และเวลาใดควรพอเหมาะพอดี ชีวิตเราจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป ไม่วุ่นวายเกินไป
เกิดเป็นคนอย่ากลัวความยากลำบาก คนไหนที่ลำบากแล้วยังกล้าสู้กล้าเผชิญ คนนั้นเป็นคนที่แข็งแกร่งและสามารถฝึกฝนจนกลายเป็นคนยอดคนได้  ไม่ใช่เจอเรื่องลำบากแล้วโยนให้คนอื่น เรื่องสบายเรารับเป็นคนแรก คนเช่นนี้ไม่น่าคบ ถูกหรือไม่ (ถูก)
บางคนเรียกให้คนอื่นไหว้ เรียกให้คนอื่นเคารพ แต่ความประพฤติปฏิบัติไม่น่าไหว้ ไม่น่าเคารพ อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้องจะเป็นคนน่าเคารพน่ากราบไหว้ก็ต่อเมื่อเขาเสียสละเพื่อผู้อื่น เขายอมลำบากเพื่อผู้อื่นถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าเกิดเป็นคนแล้วไม่เคยเสียสละให้ใคร ไม่เคยลำบากเพื่อใคร คนเช่นนี้คนอื่นก็ไหว้แค่มือ แต่เขาไม่ได้ไหว้ด้วยหัวใจ
ฉะนั้นถ้าเราอยากให้คนอื่นเคารพกราบไหว้ต้องเริ่มต้นที่ตัวเราเองเข้าถึงตัวเองหรือยัง  เพราะคนที่เคารพตัวเองจะไม่พาตัวเองไปทำสิ่งที่ไม่น่าเคารพ  เขาจะไปเที่ยวดึกไหม (ไม่)  จะเล่นการพนันไหม (ไม่)  จะพูดจาดูถูกคนไหม (ไม่)  ฉะนั้นอยากให้คนอื่นเคารพ อยากให้คนอื่นรัก เราต้องทำตัวให้น่ารักน่าเคารพก่อน
วันนี้เรามาศึกษาธรรมะไม่ใช่เริ่มต้นไปขัดเกลาใคร แต่เริ่มต้นขัดเกลาที่ตัวเราก่อน  เอาธรรมะมาขัดเกลาให้เราเป็นคนดีที่หนึ่งให้จงได้ และในช่วงที่เราขัดเกลาเป็นคนดีเรายังมีจิตใจช่วยเหลือผู้อื่น ทำได้ไหม คงไม่ยากเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ก็เลยปีใหม่แล้ว ถึงแม้จะช้าไปหน่อยแต่สิ่งที่เราอยากมอบเป็นของขวัญให้ท่านก็คือขอให้ทุกคนมีร่างกายที่แข็งแรง มีสุขภาพพลานามัยที่ดีและก็สมบูรณ์อย่างพอเหมาะ  การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ถ้ามีเงินมากมายแต่เจ็บออดๆ แอดๆ ก็ไม่คุ้ม ใช่ไหม (ใช่)
สถานธรรมที่นี่สร้างขึ้นใหญ่โต ไม่ใช่เป็นแค่ของคนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นของทุกๆ คนมาร่วมสร้างบุญสร้างกุศลด้วยการรู้จักเสียสละ  สุขไหนจะเท่าการเห็นคนอื่นมีความสุข ยิ้มคนเดียวไม่เท่ากับทำให้คนอื่นมีรอยยิ้ม สุขคนเดียวไม่เท่ากับทำให้คนอื่นมีความสุข
วันนี้เรามาฝึกฝนการเป็นพุทธะบนแดนดิน เราจะไม่พูดถึงความสนุกสนานความร่ำรวยนะ แต่เราจะพูดถึงการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและเสียสละให้ได้มากที่สุด ยิ่งเราเสียสละมากอัตตาตัวตนเราก็ยิ่งลดน้อยลง  แต่ถ้าเรายึดติดว่าฉันต้องมาก่อนก็มีแต่ยึดตัวตนไปเรื่อยๆ  วันนี้เรามาศึกษาธรรมะที่นำพาให้ทุกคนสามารถหลุดพ้นได้ แต่อยู่ที่จะปฏิบัติหรือไม่
งานวันนี้สำเร็จลงได้เพราะความร่วมแรงร่วมใจของทุกๆ คนและผู้ปฏิบัติงานธรรมที่ทำงานทุกฝ่าย ไม่ใช่เกิดจากคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่เกิดจากแรงใดแรงหนึ่ง โลกใบนี้ก็เหมือนกันจะสันติสุขได้เพราะเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจเป็นคนดีของทุกๆ คน
วันนี้เรามาศึกษาธรรมกับท่าน ไม่ใช่ให้ยึดติดเรื่องการยืมร่าง แต่มาเพื่อเป็นประจักษ์หลักฐานถึงหลักธรรมที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน ถ้าเมื่อไรค้นหาธรรมะในหัวใจของตนเองเจอ จงดึงธรรมะนี้ออกไปช่วยคน ธรรมะนี้จะนำพาตัวเราให้พ้นเวียนว่ายตายเกิดได้  สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีหน้าที่แค่บอกแค่ชี้ทาง คนที่เดินตามคำชี้คำบอกเท่านั้นถึงจะหลุดพ้นได้  ทุกข์พอแล้วนะ เดินไปหาความสุขที่แท้จริงเถอะ  อะไรล่ะคือความสุขที่แท้จริงถ้าไม่ใช่การเสียสละและอุทิศให้
วันนี้เราก็คงมาศึกษากับท่านเพียงแค่นี้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก  ขอบคุณทุกคนที่ร่วมแรงร่วมใจให้งานนี้สำเร็จลงได้ด้วยดีอย่างงดงาม ความเหนื่อยอันนี้จะไม่สูญเปล่านะ


วันอาทิตย์ที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐        สถานธรรมหมิงเฉิง  อ.สามเงา จ.ตาก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

พรปีใหม่
ความประพฤติเป็นมิตร
กล่าววาจาเป็นมิตร
เจตนาความคิดเป็นมิตร
                        เราคือ
  พระพุทธะจี้กง               รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา       ลงสู่สถานธรรมหมิงเฉิง   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                ถามศิษย์รักทุกคนมีความสุขหรือเปล่า

    มีใจจะเปลี่ยน  แถมลงมือเพียรดูสมกัน  มีใจให้นาน  ขาก้าวไปใจถึงเอง  เล็กน้อยแต่กลับขัดขวาง  หลงเคยชินไม่ยอมเร่ง  เมื่อมีใจเหมาะเหม็ง  มิเกรงเคยชินหมดไป
    การเริ่มจากความเต็มใจนั้นทำให้ง่ายหายความทุกข์ทน  ไม่คิดจะไปเป็นนักบ่น  รู้ตนแต่ไม่ยอมทำ  อันเงาของวันหน้า  ประเมินวันนี้ที่ทำ  ฝึกหัดตนให้หนำ  ลอยลำบำเพ็ญสุขใจ
    ภายใต้เหตุความจำเป็น  ปมเงื่อนเขม่นวัดใจปัญญา  เรื่องความดีของคนรู้ค่า  ทิ้งตาสุดจะเท่ากัน  ความงามทุกความงาม  จิตใจงามหนีห้ำหั่น ศิษย์ลงหลักปักฐาน  ทุกวันคือวันที่ดี
    คนเริ่มจากความมีใจ  สายตายาวไกลแล้วไม่ต้องกลัว  ยิ่งพร้อมยิ่งพ้นคนรู้ทั่ว  ถึงตัวจริงแห่งจิตใจ  บำเพ็ญธรรมต้องเปลี่ยน  เปลี่ยนคนคนนี้ให้ใหม่  ขัดเกลาจริงจริงไหม  ฟ้าไกลมีใจเท่าเดิม
    (ซ้ำทั้งเพลง)

ทำนองเพลง : ชาวดง
ชื่อเพลง : ลงหลักปักฐาน

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
การตามวัตถุสิ่งของภายนอกเป็นเรื่องเหนื่อยหรือเปล่า (เหนื่อย)  เพราะว่าวัตถุที่อยู่ภายนอก เสื้อผ้าก็เปลี่ยนแบบเปลี่ยนรุ่นเครื่องใช้ไฟฟ้าก็เปลี่ยนรุ่น เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ทุกๆ อย่างเปลี่ยนหมด แล้วก็เปลี่ยนจนเราตามไม่ทันเลย เวลาเราตามสิ่งใดมากๆ เราก็จะรู้สึกเหนื่อย จริงหรือไม่ (จริง)
เราตามภายนอกเราใช้อะไรตาม เราต้องลงทุนลงใจลงแรง หาเงินมาเท่าไรก็ซื้อๆ ซื้อแล้วก็ยังไม่พอเสียทีจริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นวัตถุภายนอกจึงเป็นสิ่งที่เราตามเท่าไรก็จะไม่รู้จักจบจักสิ้น เป็นคนล้าสมัยหน่อยแต่จิตใจมีความสูงค่าขึ้นอีกนิดหนึ่ง อย่างนี้ชีวิตก็จะมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น
ชีวิตที่มีคุณค่า มีคุณต่อมนุษย์อย่างไร  ทุกวันนี้เคยเบื่อตัวเองไหม (เคย, ไม่เคย)  เคยเบื่อตัวเองไหมตอบลำบาก แต่ว่าเคยเบื่อคนอื่นไหม (เคย) ถ้าเรามองเขาว่าเป็นชีวิตที่สูงค่า เป็นของที่เรานั้นได้มาด้วยความยากลำบาก เราจะเบื่อเขาไหม (ไม่เบื่อ)  เมื่อเรารู้จักที่จะไม่เบื่อตัวเอง เราก็จะต้องรู้จักไม่เบื่อคนอื่น แต่ทุกวันนี้ถามว่ามีทุกข์มากๆ เบื่ออะไร เบื่อทุกข์หรือ จริงๆ แล้วไม่ได้เบื่อทุกข์หรอก แต่เบื่อตัวเองที่คิดไม่ได้ ตัวเองปลงไม่เป็น  เพราะฉะนั้นการที่วัตถุต่างๆ มีมากมาย เรายิ่งหาก็ยิ่งเบื่อ ยิ่งทรมาน และยิ่งเหนื่อย ฉะนั้นต้องกลับมาตามหาใจตัวเองคืนมา
เรารู้ว่าใจของเราอยู่ตรงไหน แล้วเรากำลังใช้ใจวิ่งตามวัตถุสิ่งนั้น เมื่อเราตามไปสักพักหนึ่ง เรารู้ว่าวัตถุสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่ควรจะได้ รู้ว่าวัตถุสิ่งนั้นเป็นสิ่งไกลตัวมากเกินไปเราก็หยุดที่ใจใช่หรือไม่ (ใช่)
บางคนอยากจะได้สิ่งนั้นมากๆ สมมติว่าอยากได้มอเตอร์ไซค์สักคันหนึ่ง แล้วเราก็รู้ว่ามอเตอร์ไซค์นั้นยังไกลตัวเกินไป เอาแค่จักรยานก็พอ ถามว่าหยุดที่มอเตอร์ไซค์หรือหยุดที่จักรยาน (หยุดที่ใจ)  อย่างนี้เรียกว่ามีปัญญา ไม่ใช่หยุดที่มอเตอร์ไซค์ ไม่ใช่หยุดที่จักรยาน แต่ต้องมาหยุดที่ใจของตัวเอง
แล้วรู้ไหมว่าใจของตัวเองอยู่ไหน (ตัว) ใจอยู่ที่ตัว แล้วตัวของเราอยู่ที่ไหน ตัวก็ชอบไปวนเวียนกับของที่เราชอบ เอาตัวของเราไปที่ๆ ใจอยากได้  สมมติว่าอยากได้มอเตอร์ไซค์คันนั้นมากๆ เราพาตัวไปวนเวียนแถวๆ มอเตอร์ไซค์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถามว่ามอเตอร์ไซค์เป็นกิเลสหรือใจเราเป็นกิเลส (ใจ)  มอเตอร์ไซค์ไม่ใช่กิเลส แต่กิเลสอยู่ที่ใจ  เพราะฉะนั้นการที่เราเป็นอะไร ก็ขึ้นอยู่ที่ว่าใจของเราคิดอะไร
อยากจะมีเงินสักหนึ่งล้านก็พอแล้ว แต่ว่าในความเป็นจริงมีหรือไม่มี (ไม่มี)  แต่ถ้าอยากได้อะไรแล้วไม่ได้สิ่งนั้น  วันๆ ไม่ทำอะไรเลย  ๒๔ ชั่วโมงผ่านไป กินข้าว ไร้อารมณ์ ถึงเวลาง่วงก็นอนอีก  ตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำ แล้วก็กลับมานอนอีก  อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำแบบนี้ไหม (ไม่อยาก)
ความหมายของการที่เราบอกว่าเราไม่เอาอารมณ์ ไม่เอาจิตใจของเราไปพันผูกกับสิ่งใด แต่ก็ไม่ใช่ให้เราไปนอนรอโชคชะตา  เราจำเป็นที่จะต้องขวนขวายและใฝ่รู้  ขวนขวายคือขวนขวายทำในหน้าที่ของตัวเองที่ควรจะทำ
อย่างเช่น เราเป็นลูกเราก็ควรจะเป็นลูก  เราเป็นพ่อเรามีหน้าที่เป็นพ่อเราก็ต้องทำตนเป็นพ่อ  เรามีหน้าที่เป็นแม่เราก็ควรจะทำตัวเป็นแม่  แต่ในขณะเดียวกันทุกๆ หน้าที่ที่เราทำนั้นเราต้องใช้ใจของเราทำ  ใจของเราต้องเป็นจิตใจที่ไม่มีกิเลสมากเกินไป
ถามว่าไปทำงานหาเงินมาพอเลี้ยงลูก อันนี้สมควรไหม (สมควร)  ทุกคนก็ต้องไปทำในหน้าที่ของตน  แต่หากว่าทำเท่าไหร่ก็ไม่ได้มา เราก็ควรที่จะตัดใจใช่หรือไม่ (ใช่)
บางคนในดวงวาสนานั้นไม่มีความสุขสบายเลย ถามว่าเขาอยากจะได้ความสุขสบายมากๆ เขาทำได้ไหม  ได้หรือไม่ได้ก็เป็นได้ทั้งสองอย่าง ขึ้นอยู่กับความขวนขวาย ขึ้นอยู่กับเราว่าลงแรงมากเท่าไหร่
แต่ศิษย์รักเอย จะลงแรงทั้งทีอย่าไปลงแรงเพื่อที่ตนเองนั้นอยากจะได้วัตถุเป็นคนร่ำรวย เป็นคนมั่งมี อย่าไปอยากได้อย่างนี้  ลงแรงทั้งทีต้องลงแรงเปลี่ยนชีวิตจิตใจของตนเองเสียใหม่
คนคิดดีดวงก็จะดี ถึงแม้ว่าในดวงวาสนาเป็นคนที่ไม่สามารถจะได้ดี แต่อย่างน้อยก็เปลี่ยนหนักเป็นเบา  คนที่วาสนาดีอยู่แล้วแต่หากว่าคิดชั่วทำชั่ว ถึงเวลาแล้วต่อให้ในวาสนานั้นมีสิ่งที่ดีมากมาย แต่ก็อาจจะพลิกจากดีกลายเป็นร้ายได้เช่นเดียวกัน จริงหรือเปล่า (จริง)
หลังจากวันนี้ไปจะดูหมอดูไหม  เวลาดูดวง ถ้าหมอดูบอกว่าดีก็ยิ้มแก้มแทบปริ แต่ถ้าหากเขาบอกโชคร้ายก็หน้าเหี่ยวเลย จริงหรือเปล่า (จริง)  คนไปดูดวงต้องใจเข้มแข็งพอ ยิ่งเจอหมอดูแม่นเท่าไหร่ยิ่งไม่ดีเท่านั้น เพราะหมอดูยิ่งแม่นก็ยิ่งทำลายชะตาที่ฟ้ากำหนดมาให้  แพร่งพรายความลับสวรรค์ออกไป ทำให้ขาดจากความเป็นโชคชะตาที่ควรจะเป็น ภาษาจีนเรียกว่า เซี่ยโล่วเทียนจี
อยากได้พรปีใหม่ไหม (อยากได้)  แต่อาจารย์มีเงื่อนไขว่าเมื่อให้พรแล้วต้องทำตามที่อาจารย์พูด ทำได้หรือเปล่า (ทำได้)  พรนี้ไม่ได้ซื้อด้วยเงินแต่ซื้อด้วยใจ  ศิษย์ต้องเอาใจของศิษย์นั้นมาซื้อพรของอาจารย์  ทำได้หรือเปล่า (ได้)
พรปีใหม่
มีกายวาจาและใจ  ความประพฤติเป็นเรื่องของกาย  วาจาเป็นเรื่องของคำพูด  ใจเป็นเรื่องของความคิดเจตนา  เพราะฉะนั้นพรปีใหม่ของอาจารย์มีแค่สามข้อเท่านั้นเอง
ทุกๆ วันนี้เวลาเราพูด เราคิด เราทำ เรามักจะพูดแต่ไม่ได้ทำ เรามักจะทำโดยไม่ได้คิด เรามักจะคิดโดยไม่ได้พูดหรือไม่ได้ทำออกมา
เพราะฉะนั้นวันนี้ คำพูด ความคิด การกระทำของเรานั้นจึงไม่สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียว เพราะสิ่งที่เราคิดมันทำไม่ได้ หมายถึงว่าคิดในสิ่งที่ไม่ควรจะคิด หรือคิดในสิ่งที่ยังทำออกมาไม่สำเร็จ หรือเวลาเราคิดออกมาแล้ว เราทำแล้วแต่ก็ยังไม่สำเร็จอีก เพราะฉะนั้นทั้งคำพูด ความคิด และการกระทำของเรานั้นจึงไม่ออกมาเป็นสิ่งที่กลม
กลมเป็นความรู้สึกหรือเป็นสัญลักษณ์ของปัญญา เพราะฉะนั้นเราต้องทำความคิด คำพูดและการกระทำของเรานั้นให้กลมให้ได้
สิ่งใดที่เรารู้คือเราคิดขึ้นมา เราคิดเสร็จแล้วเราก็ต้องเอามาพูดได้ พูดได้แล้วต้องทำได้ ทำได้แล้วต้องคิดได้ เพราะฉะนั้นถ้าออกมาในลักษณะกลมเช่นนี้ก็จะออกมาเป็นลักษณะของปัญญา
ทุกวันนี้เราทำแล้วขาดเป็นช่วงๆ อย่างเช่น คิดได้พูดไม่ได้ พูดได้ทำไม่ได้ ทำได้ก็ดีไม่ได้ เป็นต้น
การกระทำนั้นมักเป็นปลายทางของทั้งสามเรื่องนี้ แต่ก็ไม่เสมอไป  การกระทำนั้นมักจะทำให้เรานั้นประจักษ์ตัวให้ผู้อื่นเห็นเสมอ ฉะนั้นการกระทำของเราจึงเป็นสิ่งที่ปิดบังไม่ได้  หลายๆ คนชอบทำแล้วปิดบัง คิดว่าทำคนเดียว ตัวเองรู้อยู่คนเดียวแล้วก็ปิดบังไว้
คำพูดของปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า ฟ้ารู้ ดินรู้ เธอรู้ ฉันรู้  ถ้าหากว่าเราทำอยู่คนเดียวอย่างน้อยมีรู้ตั้งสามรู้ มีฟ้ารู้ ดินรู้ มีเรารู้ ยิ่งถ้าเราปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน ทุกสิ่งที่เราทำนั้นมีคนอื่นเป็นพยานในการกระทำของเรา เราจะบอกว่าเราทำไปแล้วและไม่ให้คนอื่นรู้ได้ไหม (ไม่ได้)
คำพูดเป็นเหมือนกับเกสรของดอกไม้ คำพูดเสียงที่เปล่งออกไป เมื่อเราพูดออกไปคำพูดจะแพร่ไปไกลแสนไกล คำพูดนั้นจึงเป็นสิ่งที่ปิดไม่ได้ ยิ่งพูดกันแบบกระซิบยิ่งไกลเลย จริงหรือไม่ (จริง)
ยิ่งเป็นคำพูดซุบซิบนินทา พูดเรื่องคนอื่น ยิ่งเป็นคำพูดที่แพร่ไปไกลแสนไกลเลย  เพราะฉะนั้นปิดบังไม่ได้ เราจึงต้องหัดเป็นคนที่มีความประพฤติที่เป็นมิตร
คำว่า เป็นมิตร หมายถึงเป็นเพื่อนเป็นสหาย เป็นเพื่อนกับคนอื่น  ฉะนั้นเราจะต้องมีความประพฤติ กล่าววาจาและความคิดเป็นมิตรกับคนอื่น เราจะต้องพูดกับคนอื่นอย่างเป็นมิตร ด่าไม่ได้ พูดส่อเสียดไม่ได้ พูดกระทบกระเทียบเสียดสีไม่ได้ พูดกำกวมไม่ได้ โกหกไม่ได้ เอ็ดตะโรเสียงดังฟังไม่รู้เรื่องไม่ได้ บ่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นคำพูดจะต้องเป็นคำพูดที่เป็นมิตรกับคนอื่น เป็นมิตรกับลูก เป็นมิตรกับหลาน เป็นมิตรกับคนรู้จัก เป็นมิตรกับญาติ เป็นมิตรกับพ่อแม่ เป็นมิตรกับเพื่อน เป็นมิตรกับคนทุกคน เป็นมิตรกับศัตรู
เพราะฉะนั้น ความประพฤติของเรา คำพูดของเราและการกระทำของเราต้องเป็นมิตรกับผู้อื่น ต้องพูดดี ทำดีกับผู้อื่น สำคัญมากๆ อันสุดท้ายเจตนาและความคิดต้องเป็นมิตรด้วย
เวลาเราคิดนั้นส่วนใหญ่เราคิดดีหรือคิดร้าย (คิดดี, คิดร้าย)  บอกไม่ถูกเลยใช่ไหมเพราะในดีมันก็มีร้าย ในร้ายมันก็มีดี อย่างเช่นเราบ่นเขาด้วยเจตนาบริสุทธิ์อยากให้เขาได้ดี แต่ถามว่าคนที่ถูกบ่นแปลเจตนาออกไหม (ไม่ออก)
ถ้าเราทำอะไรออกไปแล้วไม่ได้ผลดีเราจะทำไหม ถามว่าถ้าทำการค้าขาดทุนจะทำไหม (ไม่ทำ)  ถ้าพูดออกไปแล้วขาดทุนจะพูดไหม (ไม่พูด)  ก็เห็นพูดกันประจำนะ ชอบทำการค้าขาดทุนใช่ไหม
เราต้องมีคำพูด ต้องมีความคิด ต้องมีการกระทำที่เป็นมิตร เมื่อเราทำได้อย่างนี้ก็เป็นมิตรกับคนอื่นได้เสมอ  ถามว่าเมื่อเป็นมิตรกับคนอื่นแล้วคำพูดความคิดการกระทำของเราเป็นมิตรกับใคร (ตัวเราเอง)  แสดงว่าเรานั้นเป็นคนดีได้อย่างบริสุทธิ์ เป็นคนดีโดยเนื้อแท้ เป็นคนดีตัวจริง ไม่มีใครสามารถแย่งความดีจากเราไปได้ จริงหรือไม่ (จริง)  เสื้อผ้า รองเท้า มอเตอร์ไซด์ ภรรยา บุตร ทุกอย่างพรากจากเราไปได้หมดเลย สุดท้ายเหลือแต่ตัวเราเอง ถามว่าถ้าเราเป็นคนดีล้วนๆ มีใครเอาความดีจากเราไปได้หรือเปล่า (ไม่ได้)
เพราะฉะนั้นเรามาสร้างสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถพรากแยกหรือแย่งจากเราไปได้ ดีหรือไม่ (ดี)  แต่ว่าเวลาที่เราทำสิ่งนี้ มักจะมีคำบ่นคำว่า คำติเตียน บททดสอบจิตใจต่างๆ  ทดสอบว่าเหล็กอันนี้แข็งจริงหรือเปล่า ทดสอบว่าทองอันนี้ทนไฟได้จริงหรือเปล่า ทดสอบว่าน้ำนี้บริสุทธิ์จริงหรือเปล่า ทนได้ไหม (ได้)
ทุกวันนี้ไม่ใช่ศิษย์ไม่ดี ทุกวันนี้ศิษย์ทั้งเก่งทั้งดี แต่ทนพิษรอบตัวไม่ไหว ถ้าให้เราบำเพ็ญอยู่คนเดียว วันๆ ไม่ต้องพบปะเจอหน้าใครเลยดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ในเมื่อบอกว่าไม่ดีอย่างนั้นก็ต้องมีเสียงบ้างใช่ไหม เพราะทุกคนมีปาก มีปากก็มีเสียง มีการกระทำ มีคนเดินไปมามันก็มีอะไรขัดหูขัดตาบ้าง
ความคิดคนอื่นเป็นอย่างไรเรารู้ไหม (ไม่รู้) แต่บางทีเขาทำหน้าเศร้าหน่อยหนึ่งเราก็รู้จริงไหม (จริง) แปลว่าเราเดาความคิดของเขาอยู่ บางทีเราเก่งมากๆ สามารถรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่และส่วนใหญ่สามารถเดาถูกด้วย เพราะว่าเราเป็นคนที่ออกข้อสอบเองและตรวจข้อสอบเอง เพราะฉะนั้นทุกคำตอบจึงถูกหมด จริงหรือไม่ (จริง)  ในความคิดไม่ดียังมีความคิดดีเลย เช่นเราบ่นคนอื่นเพราะอยากให้เขาได้ดีเป็นต้น
เวลาคนอื่นคิด เราจะบอกว่าเรารู้ทุกอย่างที่เขาคิดเป็นไปไม่ได้ คนข้างนอกเหมือนดุแต่ข้างในใจดีก็เยอะแยะ คนข้างนอกใจดีแต่ข้างในดุก็เยอะแยะ ใจคนเป็นสิ่งที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมาก เป็นเงื่อนปมที่ทับซ้อนเยอะแยะไปหมดเลย  ทุกคนเป็นอย่างนี้ จะบอกว่าดีก็ไม่ใช่จะบอกว่าไม่ดีก็ไม่เชิง เพราะฉะนั้นเราจึงต้องรู้ว่าตัวเราเป็นอย่างไร
การที่อาจารย์สอนศิษย์เป็นประจำเพื่อบอกศิษย์ว่าจงคลายเงื่อนปมที่อยู่ในตัวเอง ให้ลดเบาความรู้สึกลงลดอารมณ์ลง แต่ไม่ใช่เพิกเฉยหรือเฉยเมยต่อโชคชะตา แต่เราจำเป็นที่จะต้องเบาอารมณ์ลงเพื่ออยู่ร่วมกับคนอื่นให้ได้และเหลือไว้แต่ในสิ่งที่ดี ยิ่งถ้าหากว่าเราเจอคนที่ไม่ดี เราก็จะต้องผ่านบททดสอบว่าตัวเราเป็นคนดีได้มากแค่ไหน
ฉะนั้นการที่อยู่ร่วมกับคนที่ไม่ดี จึงเป็นสิ่งที่ดีมาก คนไม่ดีรอบตัวเยอะแยะไปหมดเลย แต่ถ้าหากศิษย์ดีจริงๆ ศิษย์จะมองคนรอบข้างเป็นคนดี ทุกวันนี้มีคนไม่ดีมากก็เพราะว่าความไม่ดีนั้นออกมาตั้งแต่ตาของเราแล้ว
ทุกคนนั้นต้องเคลื่อนไปสู่ความเป็นคนอายุมาก  ทุกชีวิตก็เคลื่อนไปสู่วันข้างหน้าทั้งสิ้น จากเด็กเป็นผู้ใหญ่ จากผู้ใหญ่เป็นคนแก่ จากคนแก่แล้วก็ต้องตาย เหมือนกันทั้งนั้น ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งหลบพ้น  เพราะฉะนั้นตอนนี้ยังไม่แก่ต้องเตรียมตัวแก่ ถ้ามีอะไรทำได้ก็ทำเข้าไปเยอะๆ  ถ้ายังมีแรงบำเพ็ญธรรมมาสถานธรรมได้ก็ต้องทำเยอะๆ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่งลง)
ถ้าหากลุกนั่งไม่พร้อมกันแสดงว่ายังไม่มีใจเดียวกัน  การที่จะมาอยู่ร่วมกันต้องมีใจเดียวกัน หรืออย่างน้อยใกล้เคียงกันให้มากที่สุด ความใกล้เคียงกันเกิดจากอุดมการณ์ ปณิธาน และความตั้งใจไปอยู่ในทิศทางเดียวกัน แม้จะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างก็จะสามารถที่จะประคองกันไปได้
เวลาปิดตาข้างหนึ่งรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง (เห็นไม่ชัด)  เราปิดตาตัวเองนั้นเราทำใจได้ไหม เราปิดตาของตัวเองทำไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่คนอื่นเขาทำไม่ดี ที่เราบอกว่าคนนั้นเกเร คนนั้นคนนี้ไม่ดี  เราปิดตาข้างหนึ่งของเรามองให้ชัดน้อยกว่านี้จะได้มีความสุขมากกว่านี้ดีไหม (ดี)
ทีนี้ลองเปลี่ยนกันเอามือคนข้างๆ ปิดตาเรา  ถามว่าถูกคนอื่นปิดตาเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  ตอนนี้ถูกคนอื่นปิดตาอยู่ ทนได้ไหม (ได้, ไม่ได้)  ให้คิดใหม่ ไม่ให้อยู่ภายใต้ภาวะบีบคั้น เวลาถูกคนอื่นปิดตาทนได้ไหม
การเป็นผู้บำเพ็ญธรรมนั้น เมื่ออยู่กับคนรอบข้างจำนวนมาก บางทีเราถูกคนอื่นปิดตาไว้ แล้วเมื่อเรามารู้ทีหลัง รู้สึกว่าเราเป็นคนโง่มากๆ เราทนไม่ไหวที่จะกลายเป็นคนโง่นั้น  คนจึงทนไม่ได้ที่ถูกคนอื่นปิดตา
พรปีใหม่ของอาจารย์บอกว่า เจตนาความคิดเป็นมิตร เจตนาของคนอื่นที่ทำต่อเรา เขาอาจจะทำต่อเราอย่างเป็นมิตรก็ได้
สมมติมีแม่คนหนึ่งมีลูกอยู่สามคน  คนโตเป็นคนที่ดีมาก ส่วนลูกคนกลางก็เกเรมาก ลูกคนสุดท้ายเป็นคนที่ออดอ้อนเอาใจเก่งที่สุด  แล้วลูกคนโตเห็นว่า แม่คงทนไม่ได้หากรู้ว่าลูกคนกลางเป็นคนเกเรไปทำผิดมา ดังนั้นลูกคนโตจึงยกมือขึ้นมาปิดตาแม่ไปข้างหนึ่ง โดยที่ไม่บอกแม่ ถามว่าลูกคนโตทำถูกหรือผิด (ทำถูก)
อย่างนี้เป็นการปิดตาที่ดีไหม (ดี)  ลูกคนโตบอกว่าผิดก็ผิด จะบอกว่าถูกก็ใช่ แล้วอาจารย์คิดว่าเขาทำด้วยเจตนาที่ดี แต่ว่าถ้าไม่สามารถแก้ความประพฤติหรือนิสัยของลูกคนกลางได้ ในที่สุดแล้วลูกคนกลางก็จะทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ลูกคนโตจะยกมือปิดตาแม่ทั้งสองข้าง ถ้าหากว่าลูกคนกลางทำผิดในที่สุดแม่ก็จะรับรู้อยู่ดี ด้วยสัญชาติญาณของความเป็นแม่ จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นเราอย่ายกมือปิดตาคนอื่น แต่จงยกมือมาปิดตาตัวเองดีที่สุด ความจริงบางเรื่องรับรู้ไว้ก็ใช่ว่าจะดี บางเรื่องจึงต้องปิดอยู่  ความจริงบางเรื่องนั้นไม่รู้ก็ไม่ใช่จะดี เพราะฉะนั้นความจริงบางเรื่องจำเป็นที่จะรู้อย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องนิสัยของตัวเอง ความคิดของตัวเอง สิ่งที่ตัวเองดีและไม่ดี เราจำเป็นที่จะต้องรู้อย่างชัดแจ้งมากกว่าที่จะให้คนอื่นรู้และมาวิจารณ์เรา จริงหรือไม่ (จริง)
หากเราเป็นคนที่มีพรปีใหม่อันดีอย่างที่อาจารย์ว่า เราก็จะไม่ถูกคนอื่นว่าติฉิน  ถ้าวันนี้เรายังถูกคนอื่นว่า ถูกคนอื่นยกมือปิดตาเรา ถามว่าเราจะมีความคิดที่ดีได้หรือไม่
ถ้าหากว่าวันนี้มีคนทำกับเราเช่นนี้ เรายังจำเป็นที่จะต้องมาตรวจสอบตัวเอง ทบทวนตัวเอง ย้อนมองส่องตนเพื่อเห็นความจริงในตนมากกว่าความจริงภายนอก เพราะว่าความจริงภายนอกสามารถเปลี่ยนได้ ความจริงภายนอกเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่ความจริงที่อยู่ภายใจตนนั้นควบคุมได้
อย่างเช่นเราเป็นคนไม่กตัญญู เรารู้ตัวว่าเราสามารถกตัญญูกับพ่อแม่ได้ดีมากกว่านี้ แต่ทุกวันนี้เรายังไม่ได้ทำเราก็จำเป็นที่จะต้องทำใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราทำไปแล้วเราจะเกิดความสบายใจมาก ที่เรารู้ว่า เราควรจะทำอะไรแล้วเราไม่ได้ไปทำ ทำให้เราลำบากใจ มานั่งทุกข์นั่งกังวลใจตลอดเวลาจริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้ตัวเองสบายใจ จำเป็นที่จะต้องลงมือทำ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
การใช้ชีวิตของคนเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะว่าทุกวันนี้ศิษย์มีความป่วยไข้เป็นที่ตั้ง ไม่มีคนไหนที่ไม่มีโรคเลย ไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือใหญ่มาก อาจารย์อยากให้ศิษย์ดูแลตัวเองให้มาก ที่สำคัญก็คือเรื่องของครัว
ครัวนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากเป็นขุมพลังของบ้าน ฉะนั้นศิษย์ทุกคนจะต้องมีการรักษาอนามัยของครัวให้มาก เครื่องใช้จานชามหม้อกระทะ ระวังหนูแมลงสาบ ถ้าไม่อยากให้เขามากวนใจจำเป็นจะต้องรักษาความสะอาดให้มาก ไม่ใช่อยู่กันจนเป็นเพื่อน แต่เราจะต้องรู้จักที่จะรักษาความสะอาดให้มาก
ไม่มีครัวบ้านไหนสะอาดเลย ครัวทุกบ้านล้วนแต่ไม่สะอาดทั้งนั้น แต่เวลามาสถานธรรมศิษย์ของอาจารย์ไหว้เทพเจ้าเตาครัวหนึ่งกราบ แต่ว่าเรานั้นกราบที่หน้าพระ เราไม่ได้กราบในครัวเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อเราไม่ได้รักษาความสะอาดจึงทำให้เกิดโรคมากมาย เพราะว่าครัวเป็นขุมพลังของบ้านเราจึงต้องรักษาความสะอาดในครัวให้ดี  อย่าได้ล้างชามก็ล้างไม่สะอาด ล้างแก้วก็ล้างไม่สะอาด
ล้างไม่สะอาดมีสองอย่างคือ ล้างน้ำยาออกไม่หมด กับอีกอย่างหนึ่งก็คือล้างไม่สะอาด ข้าวติดเป็นเม็ดเลย  ทำครัวก็ทำกินตามรสชาติจัดจ้านไปตามภาษา อยากกินรสอะไรก็เน้นหนักไปรสนั้น คนกินเปรี้ยวก็เปรี้ยว กินเผ็ดก็เผ็ด กินเค็มก็เค็ม กินหวานก็หวาน อย่างนี้ทำให้เรากลายเป็นคนที่เป็นโรค เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องรู้จักกินให้ถูกต้องมากกว่านี้
นอกจากจะสะอาดแล้วรสชาติที่ทำต้องเน้นไปทางจืดเป็นหลัก อย่าได้เน้นไปทางเปรี้ยวหวานเผ็ดเค็มให้มาก คนที่กินทั้งเปรี้ยวหวานเค็มเผ็ดนี้ยิ่งหนักเลย กระเพาะลำไส้รับไหวไหม (ไม่ไหว)  กระเพาะลำไส้รับไม่ไหวก็กินยา กินยามากเกินไปตับก็ทำงานหนัก ไตก็รับไม่ไหว ในที่สุดแล้วแม้ตอนนี้ยังไม่เป็นโรค แต่ว่าอายุมากขึ้นมีโรคไหม (มี)
อาจารย์ถึงบอกว่าเตรียมตัวแก่ วันนี้ต้องเตรียมตัวทุกอย่างทั้งทางด้านจิตใจ ต้องรู้จักปลงต้องรู้จักคิด  ทางด้านอาหารการกินก็ต้องเตรียมตัวไว้ ต้องรู้จักกินต้องรู้จักใช้  ทางด้านเงินทองอาจารย์บอกให้ศิษย์ไม่ต้องพูดว่า พยายามสะสมแต่อาจารย์อยากให้ศิษย์พูดว่า พยายามประหยัด เมื่อประหยัดก็จะเหลือ สิ่งที่เหลือนั้นคือสิ่งที่เราควรจะได้ เพราะว่าเวลาทำงานอาจารย์ก็ให้ไปทำงานตามหน้าที่อย่างเต็มที่คือขยันขันแข็ง เวลาใช้ก็ให้ประหยัด ถามว่าจนไหม (ไม่จน)  คนที่จนคือคนที่ไม่รู้จักพอเท่านั้น
เพราะฉะนั้นการที่เราบำเพ็ญธรรมอย่าบอกว่า บำเพ็ญธรรมมากทำบุญมากเดี๋ยวจน  อาจารย์จะบอกให้ เงินที่ไปทำบุญ ถ้าทำได้ก็คือเงินที่เราเป็นคนที่รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ เงินก็จะเหลือ เหลือตรงนี้ไปทำบุญ ทำบุญก็เพื่อต่อยอดตัวเองที่จะมีบุญกุศลเหลือ
แต่หากว่านำเงินกินข้าวไปทำบุญ ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  เอาค่าเทอมลูกไปทำบุญ ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  อาจารย์จึงบอกว่า คนทำบุญนั้นต้องไม่เบียดเบียนตัวเอง ต้องรู้จักคิดและรู้จักบริหารให้ดี
แต่ว่ามีบุญอีกประเภทหนึ่งที่ศิษย์นั้นไม่ต้องเสียเงินคือบุญอันเกิดจากการลงแรง การลงแรงปฏิบัติซึ่งหลายๆ คนก็เป็นคนที่ปิดทองหลังพระเป็นประจำอยู่แล้ว ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น คนที่ทำไปบ่นไปก็เหมือนเอาถังรั่วมาใส่น้ำ ทำไปก็รั่วไป หมดหรือเปล่าก็ไม่รู้ เหลือเท่าไหร่ก็เหลือเท่านั้น
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งในบ้านนั้นสังเกตไหมว่าลูกๆ กับเราจะเข้ากันไม่ได้ ลูกๆ กับเราเข้ากันได้เป็นเรื่องธรรมดาหรือเปล่า เด็กๆ บอกว่าธรรมดา ผู้ใหญ่บอกว่าธรรมดา คือไม่อยากจะพูดใช่หรือไม่ (ใช่)
จริงๆ แล้วคนแก่ก็เคยเป็นเด็ก  จริงๆ แล้วทุกคนเข้าใจกัน เพียงแต่ว่าคนที่เติบโตขึ้นมาก็เติบโตมาพร้อมกับความยึดมั่นในตัวตนของตน เพราะฉะนั้นช่องว่างระหว่างวัยของคนที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นเพราะทุกคนนั้นมีตัวตนมากเกินไป ถ้าหากพูดเป็นภาษาธรรมะก็คือต้องละอัตตาตัวตนของตนลง พยายามที่จะเข้าใจคนอื่นให้มาก แต่ถ้าหากว่าจะมองเป็นทางโลก อาจารย์จะเอียงมาทางโลกนิดหนึ่งแล้วก็สอนศิษย์ ทำไมถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะว่าอยากให้ในบ้านของศิษย์ทุกคนสมัครสมานสามัคคีและกลมเกลียว
ถามว่าเดี๋ยวนี้บางบ้านไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันแล้วใช่ไหม (ใช่)  นี่เป็นจุดที่แยกเป็นจุดแตกหัก อาจารย์บอกว่าครัวมีความสำคัญเป็นขุมพลังของบ้านได้ ด้วยการที่ว่าทุกคน พ่อแม่ลูกหรือคนในบ้าน ต้องพยายามกินข้าวพร้อมกัน ทำกับข้าวที่ทุกคนชอบและกินข้าวพร้อมกัน  เมื่อมีความสบายใจตอนกินข้าวแล้ว เราจะกล้าพูดในสิ่งที่เราไม่กล้าพูด เป็นการเพิ่มความสนิทสนมของทุกคนให้มากขึ้น
แต่ทุกวันนี้โดยเฉพาะหลายๆ จังหวัดเป็นแบบที่ลูกไปทำงานต่างจังหวัดไกลแสนไกล ปีหนึ่งพ่อแม่ลูกเจอกันแค่หนเดียว เมื่อเขาไปเติบโตที่อื่นเขาก็เป็นแบบอื่น ไม่ได้เป็นแบบพ่อแบบแม่ ไม่ได้เป็นแบบคนในบ้าน จึงจำเป็นที่จะต้องหาเวลาที่จะอยู่พร้อมหน้ากันแล้วกินข้าวพร้อมกันให้มาก
บ้านไหนที่ทะเลาะเบาะแว้งกันมากยิ่งต้องพยายามหาเวลากินข้าวด้วยกันให้มาก  จะมีกี่ครั้งที่กินข้าวแล้วทะเลาะกันจนขว้างช้อนทิ้ง วิ่งหนีออกจากบ้านไป ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมี เพราะฉะนั้นพยายามเป็นผู้ฟังที่ดี ฟังลูก ฟังแม่ ฟังพ่อ ฟังผู้ใหญ่แล้วศิษย์จะเป็นคนที่ได้ดี
ศิษย์หลายๆ คนก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว แม้กระทั่งคนที่อายุแค่สิบกว่ายี่สิบกว่าก็เป็นผู้ใหญ่แล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เป็นผู้ใหญ่นับได้ตรงที่ทำงานแล้วหาเงินแล้ว ถามว่าใจยังต้องการความอบอุ่นไหม เวลาเหนื่อยอยากให้คนถามไหม (ต้องการ)
ทุกคนอ่อนแอได้แต่จงอ่อนแอให้ถูกเวลา ทุกคนสามารถพูดธรรมะได้แต่ต้องรู้จักพูด  คนพูดธรรมะไม่ใช่เอาแต่พูดธรรมะ โดยปกติเวลาที่เราพูดก็ต้องมีธรรมะเช่นเดียวกันหรือต้องให้ใกล้เคียงสิ่งที่ผู้มีธรรมพูดอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราพูดธรรมะคนถึงจะฟัง
บางคนชอบด่าคนไปทั่ว ชอบนินทา พูดจากำกวม พูดจาติดตลก พูดจาไม่ได้เรื่องตลอดเวลา แล้วเวลาพูดธรรมะให้คนอื่นฟัง คนจะฟังรู้เรื่องไหม เพราะภาพของคนที่พูดไร้สาระจะวนเวียนอยู่ตลอดเวลา
ฉะนั้นถ้าหากศิษย์อยากให้ลูกฟัง อยากให้ลูกเข้าใจ เราจำเป็นต้องปรับปรุงพฤติกรรมในยามปกติด้วย แต่อย่าบอกว่าเราอายุมากแล้วคงจะเปลี่ยนไม่ได้ ไม่มีใครเปลี่ยนไม่ได้ มีแต่ว่าไม่อยากจะเปลี่ยน คือรู้แต่ไม่อยากจะทำ เพราะฉะนั้นเพลงที่อาจารย์ให้ไว้จึงบอกว่า มีใจจะเปลี่ยน แถมลงมือเพียรดูสมกัน
ถ้าหากว่าเรามีใจจะเปลี่ยน เราย่อมเปลี่ยนได้ ต่อให้ศิษย์ผมขาวหมดแล้ว แต่ถ้าศิษย์อยากจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้ ทุกอย่างจะเปลี่ยนตามมือตามใจของศิษย์ แต่ศิษย์ต้องพยายามลงมือลงทุนของตัวเองไป นอกจากนี้ศิษย์ยังต้องเป็นนักฟังที่ดี เพราะว่าอาจารย์บอกเสมอๆ ว่าถ้าหากศิษย์ฟังศิษย์จะยิ่งได้กำไร ยิ่งพูดมากก็ยิ่งจะขาดทุน
เรื่องความดีของคนรู้ค่า ทิ้งตาสุดจะเท่ากัน
บางคนก็ทิ้งตาเรื่องของความดีนานหน่อย บางคนบอกว่าตัวเองทำไม่ได้ ก็มองเดี๋ยวเดียว บางคนพยายามทำมากก็แทบจ้องเลย  แต่ละคนทิ้งตาในเรื่องของความดีไม่เท่ากัน คือเอาตาไปมองเรื่องของความดีไม่เท่ากัน เรื่องความดีก็เป็นเรื่องของคนที่รู้ค่า
คนเริ่มจากความมีใจ
ถ้าหากว่ามีใจแล้ว มีใจอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีสายตายาวไกล คือไม่ใช่มีใจแล้วมองเห็นแต่ตรงนี้
สมมติว่ามีใจกับส้ม ก็มองแต่ส้ม ไม่มองคนกินส้มเลย บางคนก็ชอบกินส้ม บางคนอาจจะไม่ชอบกินก็ได้ บางคนอาจจะรู้สึกว่าตอนนี้ไม่อยากกินก็ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นนอกจากมีใจแล้วต้องมีสายตายาวไกลด้วย เมื่อมีสายตายาวไกลแล้วไม่ต้องกลัว
ยิ่งพร้อมยิ่งพ้นคนรู้ทั่ว
เพราะฉะนั้นการที่จะพ้นจากสิ่งใดไปก็แล้วแต่ ต้องมีความพร้อมด้วย  พร้อมคือ พร้อมกาย พร้อมใจ พร้อมวาจา  พร้อมที่จะทำงานกับคนๆ นี้ที่เราชอบและพร้อมที่จะทำงานกับอีกคนที่เราไม่ชอบด้วย
ไม่ใช่บอกว่าเวลาเราทำงานกับคนนี้คล่อง เราก็ต้องทำงานกับคนนี้ๆ เท่านั้น ไม่ยอมไปทำงานกับคนอื่น พอไปทำงานกับคนอื่นมีปัญหาเลย  ฉะนั้นปัญหาอยู่ที่ตัวเราไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
บำเพ็ญธรรมต้องเปลี่ยน  เปลี่ยนคนคนนี้ให้ใหม่  ขัดเกลาจริงจริงไหม  ฟ้าไกลมีใจเท่าเดิม
ให้ศิษย์เดินๆ ไปไกลเท่าไร ตั้งแต่วันที่ศิษย์ออกเดินทางจนกระทั่งศิษย์เกือบจะถึงเป้าหมายแล้ว ขอให้เรานั้นมีจิตใจเหมือนจิตใจเดิมแรกที่เรานั้นมีใจเข้ามาสถานธรรม มีใจเหมือนวันแรกที่เรานั้นอยากที่จะบำเพ็ญธรรม
ในระยะทางการเดินแล้ว จากจุดเริ่มต้นไปยังเป้าหมาย ศิษย์เดินเป็นแนวราบคือขนานกับฟ้า เพราะฉะนั้นต่อให้เดินไปเท่าไร ฟ้าไกลเท่าเดิม ใจของเราก็ต้องมีเท่าเดิม แต่ว่าฟ้ากับเรานั้นใกล้กันที่ใจ เพราะฉะนั้นฟ้าไกลเท่าใดขอให้เรามีใจเท่าเดิม  อาจารย์ไม่เรียกร้องศิษย์ให้มีใจมากกว่าเดิม แต่เรียกร้องให้ศิษย์มีใจเท่าเดิม เท่ากับวันแรกที่ศิษย์นั้นตัดสินใจตั้งใจที่จะบำเพ็ญธรรม
เพราะฉะนั้นมาวันนี้บำเพ็ญธรรมขอให้คนที่อยากจะเปลี่ยนตัวเองแล้วบอกว่ายังไม่พร้อมหรือยังไม่ได้ ต้องถามตัวเองว่าพยายามแล้วหรือยัง  ขอให้มีใจที่จะไปเปลี่ยนแปลงความเคยชินที่ไม่ดีของตัวเอง ขอให้มีใจจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสียที  ไม่ใช่กี่ปีๆ แล้วก็ยังเป็นเหมือนเดิม นานแค่ไหนแล้วก็ยังเปลี่ยนไม่ได้  เรื่องที่ยังเปลี่ยนไม่ได้เมื่อสิบปีที่แล้วตอนนี้ก็ยังเปลี่ยนไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าไม่ก้าวหน้า
ต้องดูแต่ละเรื่องๆ เลยว่าเราก้าวหน้ามากแค่ไหน  บางคนมีอนุสัย มีความเคยชินในเรื่องของความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ไม่ดี สิบปีแล้วศิษย์ก็ยังไม่ดีอยู่นั้นเอง
บางคนมีความเคยชินในด้านของพฤติกรรม ความประพฤติของตนเองไม่ดี รู้ว่าตัวเองมีข้อบกพร่องตรงนี้แต่ก็ไม่ยอมเปลี่ยน  อาจารย์บอกได้เลยว่าไม่กลัวศิษย์ทำผิด แต่อาจารย์กลัวศิษย์นั้นไม่กล้าผิด เมื่อไม่กล้าผิดเราก็ยิ่งปิดบังใช่หรือไม่ (ใช่)  หาเรื่องโน้นเรื่องนี้มากลบเกลื่อน หาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาทำให้การตกผลนั้นช้าออกไป
ศิษย์ของอาจารย์นั้นไม่กล้าผิด ยิ่งไม่กล้าผิดยิ่งกลบเกลื่อน จากความผิดเล็กๆ ก็กลายเป็นความผิดใหญ่ขึ้น  เพราะฉะนั้นเราจึงต้องกล้ารับผิด แม้เพียงแต่ศิษย์สารภาพสำนึกแก้ไข ทุกคนก็พร้อมจะอภัยให้เลย ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่แค่ไหน คนก็อภัยให้
เรื่องเล็กๆ ให้พูดว่าขอโทษ  เรื่องใหญ่ๆ ให้สารภาพ สำนึกและแก้ไข  แต่อาจารย์บอกได้เลยว่ามนุษย์ไม่มีกฎเกณฑ์ในการให้อภัย เรื่องใหญ่ๆ ศิษย์ก็ให้อภัยได้ถ้าเห็นว่าคนนั้นเขาสำนึก จริงหรือไม่ (จริง)  เรื่องเล็กๆ ศิษย์ทำเป็นเรื่องใหญ่ เพราะว่าเรื่องเล็กๆ มันกระแทกความรู้สึกของศิษย์ ศิษย์เอาความรู้สึกเป็นที่ตั้ง มันกระแทกความรู้สึกของศิษย์ ศิษย์ไม่พร้อมจะอภัยเลย เพราะฉะนั้นเรื่องเล็กให้อภัยไปตามเรื่องเล็กๆ เรื่องใหญ่ให้อภัยไปตามเรื่องใหญ่
เมื่อเขาสารภาพสำนึกและแก้ไข ศิษย์ต้องอภัย แต่หากเรื่องเล็กๆ ให้มองเป็นเรื่องเล็กๆ และศิษย์จงพูดคำว่า ขอโทษ ให้ติดปาก ให้ออกมาจากใจ อย่าให้ออกมาจากปากนะ ทำได้ไหม (ได้)
กล้าที่จะผิดอย่ากลบเกลื่อน ยิ่งกลบเกลื่อน ยิ่งนานวันคนจะคิดดอกเบี้ยเท่าเวลา ยิ่งนานดอกเบี้ยยิ่งสูงยิ่งแพง ศิษย์จ่ายไหวไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทเป็นรูปน้ำเต้าและเรือ)
โอวาทวันนี้ที่อาจารย์ให้  น้ำเต้าเป็นสัญลักษณ์ของอาจารย์ แต่ว่าน้ำเต้าอันนี้เทน้ำออกมาช่วยศิษย์ในการล่องเรือ  ไม่ใช่แค่เรือลำนี้ที่อาจารย์เทน้ำออกมาช่วยให้ศิษย์ไปง่ายขึ้น อาจารย์เทไปให้เรือทุกลำที่ศิษย์กำลังพายอยู่  คนมีใจ ๓๐  ฟ้าช่วย ๗๐  ดีไหม (ดี)
ศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนนั้น ทุกคนต่างเป็นเรือหนึ่งลำ นั่นคือเปรียบชีวิตเสมือนเรือหนึ่งลำที่กำลังล่องอยู่ในกระแสธาร
หากศิษย์ของอาจารย์นั้นมุ่งหน้าไปทางค้าขาย มุ่งหน้าไปในการใช้ชีวิตทางครอบครัว มุ่งหน้าไปทางโลก ชีวิตของศิษย์ก็ประสบความสำเร็จแบบทางโลก  หากศิษย์พาชีวิตของตัวมามุ่งในทางธรรม ศิษย์ก็สามารถที่จะบรรลุธรรมพ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้
แท้จริงแล้วศิษย์ของอาจารย์ทุกคนแม้กระทั่งคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ คนที่บำเพ็ญมานานยังไม่กล้าที่จะคิดใช่หรือไม่  ยิ่งบำเพ็ญนานก็ยิ่งเกิดความรู้สึกไม่กล้าคิดเท่านั้น  อาจารย์บอกให้ กล้าคิดหรือเปล่า ขอให้ศิษย์กล้าไปดูตัวเองว่าตัวเองใกล้เคียงมากเท่าไหร่
อริยะบุคคลนั้นเลือกถิ่นที่อยู่อันเหมาะสมกับตัวเอง เลือกคบคนที่เหมาะสมกับตัวเอง เลือกชีวิตที่เหมาะสมกับตัวเอง เลือกพูดในสิ่งที่ตนควรพูด เลือกทำในสิ่งที่ตนควรทำ แล้วศิษย์ก็จะกลายเป็นอริยะบุคคล
แต่หากว่าศิษย์บอกว่าแม้กระทั่งตัวเองยังไม่กล้ารับประกัน ถามว่าอาจารย์กล้าประกันให้ศิษย์ไหม  อาจารย์ช่วยจิตใจของศิษย์ให้พ้นจากความทุกข์ แต่ไม่รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์อยากพ้นทุกข์หรือเปล่า
ความทุกข์คือการที่ไม่สามารถอยู่อย่างเป็นปกติสุขได้  ทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์อยู่กันเป็นปกติแต่ว่าไม่ปกติสุขเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนยังมีความทุกข์อยู่  กิเลสไม่ได้เกาะอยู่ที่วัตถุสิ่งของ แต่กิเลสนั้นเกาะอยู่ที่จิตใจของตัวเราเอง
ถ้าหากว่าเมื่อไหร่เราคลายความยึดมั่นถือมั่นในวัตถุ ในตัวบุคคลต่างๆ ออกไปให้มาก คือไม่เอาใจเป็นที่ตั้งแห่งกิเลสแล้ว ใจดวงนี้ก็จะคลายความยึดติดถือมั่นลงไปมาก
ใจที่เป็นอัตตาตัวตนของศิษย์นั้นยึดมั่นว่านี่คือฉัน นี่คือเรา มันทำให้เกิดความทุกข์  อันนี้คือเรา อันนี้คือของของเรา อันนี้คือคนของเรา มันทำให้เป็นทุกข์อย่างมาก  เพราะฉะนั้นให้ละความยึดติดถือมั่น เพราะว่าแม้กระทั่งวัตถุยังยึดติดถือมั่นกลายเป็นกิเลสแล้ว ศิษย์ก็จะยึดมั่นในธรรมะเช่นเดียวกัน
คนบำเพ็ญธรรมนานๆ ยึดมั่นธรรมะจนบังธรรมะ  ถามว่าธรรมะที่ศิษย์นั้นยึดไว้อยู่นี้เป็นธรรมะหรือเปล่า  ธรรมะจริงๆ นั้นอยู่ภายใน ธรรมะจริงๆ นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีรูป  ศิษย์อย่ายึดธรรมะให้มีรูป อย่ายึดในบุคคลผู้ซึ่งบำเพ็ญธรรมะ  ขอให้ศิษย์ปล่อยวางเสียสิ้น  หากยึดอะไรไว้แม้เพียงนิดเดียวแม้กระทั่งเป็นเพียงเชือกเส้นบางๆ เป็นใยแมงมุมเส้นบางๆ ยังสามารถฉุดศิษย์ให้ลงไปเวียนว่ายตายเกิดได้เลย  ฉะนั้นต้องหัดที่จะปล่อยวางให้มากๆ
อยู่กับอาจารย์ศิษย์มักจะคิดว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ต้องทำ แต่นี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะทำ เวลาที่จะทำของศิษย์นั้นคือเวลาที่ศิษย์ต้องอยู่คนเดียวท่ามกลางคนมากมาย หรืออยู่ท่ามกลางคนมากมายแต่ไม่มีคนรู้ใจ ยามนั้นเป็นยามที่ศิษย์ต้องปฏิบัติธรรมแล้วล่ะ
การปฏิบัติธรรมจึงเป็นการปฏิบัติท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากมากมาย แต่ยิ่งมีความทุกข์มากก็ความสุขความอิ่มใจอยู่ในนั้น ความเข้าใจธรรมต้องอยู่ในนั้น ศิษย์ศึกษาธรรมจากตรงนี้ แต่ศิษย์อาจจะเข้าใจเมื่อยามศิษย์เจอความทุกข์อยู่ภายนอกก็ได้
ศิษย์หลายคนที่อยู่ที่นี่เป็นคนอายุมาก ขอให้ใช้ชีวิตทุกๆ เวลา ทุกๆ นาทีอย่างมีคุณค่า  คนที่ไปจากโลกนี้ไม่จำเป็นต้องคนที่อายุมากเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ล้วนดำเนินไปสู่เส้นทางเดียวกันทั้งนั้น
ศิษย์ไม่ใช่เป็นคนแรกและไม่ใช่เป็นคนสุดท้าย จงครองชีวิตของตัวเองให้ดี ตั้งมั่นในความดี ตั้งมั่นในธรรม พรปีใหม่ที่อาจารย์ให้ไปก็หวังว่าศิษย์จะทำ พรปีใหม่ของอาจารย์พูดว่าอย่างไร (ความประพฤติเป็นมิตร กล่าววาจาเป็นมิตร เจตนาความคิดเป็นมิตร)
วันนี้อาจารย์ขอนำพรทุกข้อๆ ในใจของอาจารย์อวยพรให้กับศิษย์ ขอให้ใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิต ชีวิตจะได้ไม่ผิดพลาด
ขอให้เป็นคนที่อารมณ์ดีอยู่เสมอ เพราะว่าโชคลาภจะวิ่งมาหาคนที่อารมณ์ดีมากกว่าคนที่อารมณ์เสียอยู่เสมอ  อย่าอารมณ์เสียใส่คนบางคนที่คิดว่าศิษย์นั้นสามารถระบายอารมณ์ได้ เพราะว่าคนที่ศิษย์ข่มเหงได้นั้น วันหนึ่งเขาก็สามารถหยัดยืนขึ้นมาได้เช่นเดียวกัน
ขอให้ศิษย์ทรงคุณค่าแห่งความเป็นคนไว้ ตั้งมั่นในความดีมากๆ รักและถนอมชีวิตของตัวเอง อย่าปล่อยให้สายเกินไปแล้วจึงรู้จักสำนึกตัว  แม้จะเคยสายเกินไปแล้วแต่ยังสำนึกตัว อาจารย์ก็ยังชื่นชมศิษย์อยู่ ทำใจให้ดีๆ ทำใจดีสู้เสือ คิดสิ่งใดก็ขอให้ไปลงมือทำ อย่าได้เป็นคนที่บำเพ็ญผ่านไปแต่ละปีแล้วไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย
คนอื่นเขาไม่รู้หรอก เห็นเราหน้าตายิ้มๆ เห็นเราพูดธรรมะ เขาก็คิดว่าเรานั้นดีพร้อม แต่ว่าดีพร้อมหรือเปล่านั้นศิษย์คงตอบตัวเองได้มากกว่า บางทีอาจจะมากกว่าที่อาจารย์จะบอกว่าศิษย์ไม่ดีตรงไหนด้วยซ้ำ จึงหวังว่าปีนี้ศิษย์จะผ่านไปด้วยความราบรื่น
ภัยภายนอกไม่สู้ภัยภายในใจของศิษย์ อย่าวางพิษให้กับชีวิตตัวเองด้วยความโลภโกรธหลง คนติดกับกิเลสตัณหา ติดกับโลกีย์ที่โลภโกรธหลง แม้เรื่องราวจะต่างกันในรายละเอียดของชีวิต แต่มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือโลภหรือโกรธหรือหลง  ขอให้ศิษย์มีสติกับตัวเองให้มาก  ลาก่อนนะ



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท
        เทธารทิพย์หนุนเรือล่อง             ฟูฟ่องไปในหมื่นฟ้า
ลำแสงสีทองจับตา                            เพรียกหาคนเดิมคืนแดน

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา