แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความสุข แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความสุข แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559

2559-04-23 สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์

西元二○一六年歲次丙申三月十七日                                        仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่  ๒๓  เมษายน  พ.ศ.  ๒๕๕๙    สถานธรรมฮุ่ยจื้อ    อ.กระสัง    จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

  ฟังธรรมเพื่อสงบจิตแจ้งปัญญา         ฟังธรรมเพื่อลดอัตตาดัดนิสัย
ฟังธรรมเพื่อหัดลดละการตามใจ         ฟังธรรมเพื่อธรรมสู่ใจใจสู่ธรรม
                                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ          รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา              ลงสู่แดนโลก  ประณตน้อมกราบ
องค์มารดา                 ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
   สุขใดหรือจีรังที่ใฝ่หา                   หลงคว้าไว้ภาพลวงตาใดคงอยู่
เมื่อมีได้ก็มีเสียต่างก็รู้                     ที่คงอยู่หรือกำลังค่อยจากไป
ไม่อยากทุกข์แต่ทุกข์มีทุกสิ่ง              โลกความจริงกล้าเรียนรู้ฝึกใจไว้
อย่าอยากจนไม่มองความจริงอะไร      แม้ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนไปก็รับทัน
จริงหรือปลอมเท็จหรือแท้ที่มองเห็น     สิ่งที่รู้อาจไม่เป็นดั่งที่ฝัน
ก็แค่ช่วงหนึ่งสมมติปรุงแต่งกัน           ต่างรู้ใช้ใดของท่านอย่าหลงมี
ทุกข์ใดหรือจะเท่าทุกข์เวียนว่าย         สุขใดหรือจะเท่าใจสงบนี้
อย่าสร้างบาปก่อกรรมทำไม่ดี            ฝึกใช้ธรรมนำชีวีสติเตือนใจ
ไม่มีเพราะมีเท่าไรถมไม่เต็ม              ไม่พอเพราะแม้มีเต็มก็ว่าไร้
คนขยันอย่าเหนื่อยจนต้องทุกข์ใจ       รักสบายจนคร้านเป็นภัยแก่ตน
แท้ที่สุดไม่มีอะไรเป็นของเรา             ต่างล้วนเฝ้ายึดถือจนสับสน
หลงความมีในความไร้จนวกวน          ท้ายก็จนปัญญากับความไม่มี
                                                                  ฮา    ฮา    หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

“ฟังธรรมเพื่อสงบจิตแจ้งปัญญา       ฟังธรรมเพื่อลดอัตตาดัดนิสัย
ฟังธรรมเพื่อหัดลดละการตามใจ       ฟังธรรมเพื่อธรรมสู่ใจใจสู่ธรรม”

วันนี้มาฟังเพื่อให้  หรือมาฟังเพื่อรับ  มาฟังธรรมเพื่อลดละ  หรือมาฟังธรรมแล้วยังยึดมั่นถือมั่น  (ลดละ)    ฉะนั้นถ้าฟังแล้วได้ลดละการตามใจตัวเอง  หรือตามนิสัยตัวเองได้บ้างก็ดี  แต่ถ้าฟังแล้วยังยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง  ก็จะเบื่อหน่ายทนไม่ไหว  นั่นก็แปลว่าเราไม่สามารถลดละอะไรได้  แล้ววันนี้ได้ลดละอะไรได้หรือยัง  หรือยังเหมือนเดิม  เขาห้ามอะไรก็ยังแอบทำเหมือนเดิม  อย่างนั้นหรือเปล่า
มนุษย์มีความแปลกอยู่อย่างหนึ่ง  ถ้าคิดว่าทำได้อะไรก็ทำได้  แต่ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ยังไม่เริ่มก็ทำไม่ได้แล้วใช่ไหม  (ใช่)    แล้วถ้าพุทธะคิดอย่างนี้ก็คงไม่คิดจะมาปกโปรดมนุษย์หรอกจริงไหม  (จริง)    ถ้ามนุษย์ชั่วร้ายเกินโปรด  ถ้ามนุษย์คดเกินเยียวยา  พระพุทธะก็คงไม่คิดที่จะมาโปรด  ใช่หรือไม่  (ใช่)    ฉะนั้นถ้าเกิดคิดว่าทำได้ท่านก็ทำได้  แต่ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ก็ทำไม่ได้  แต่ความน่ากลัวของมนุษย์ก็มีอยู่อย่างหนึ่ง  ชอบบอกว่าตัวเองไม่รู้  และอีกอย่างหนึ่งก็ชอบบอกตัวเองว่ารู้แต่ก็ไม่คิดจะทำอะไรให้ดีขึ้น  แล้วท่านว่าอย่างไหนน่ากลัวกว่ากัน  (รู้แล้วไม่ทำให้ดีขึ้น)    แต่จริงๆ  เราว่าอย่างแรกก็น่ากลัวนะ  ชอบบอกว่าตัวเองไม่รู้แต่จริงๆ  รู้  ใช่หรือไม่  (ใช่)
เคยรู้จักเราไหม  ไม่เคยใช่หรือไหม  (ใช่)    อย่างนั้นเราจะบอกให้นะว่าในบรรดาชีวิตของทุกท่านในชั้นเรียนนี้บางคนอาจจะโชคดียิ่งกว่าเราเสียอีก  เพราะเราเกิดมาไม่มีพ่อ  ไม่มีแม่  ไม่รู้ว่าพ่อแม่เป็นใคร  ไม่มีญาติพี่น้อง  ต้องเลี้ยงตัวเองคนเดียว  อาชีพที่ทำได้สำหรับคนที่ไม่มีความรู้ก็คือต้อนวัว  ต้อนควายไปกินหญ้า  ทำอะไรคนก็ดูถูก  คนก็ไม่รัก  ดูน่าสงสารไหม  (น่าสงสาร)    จะทำอะไรก็ลำบากกว่าจะได้เงินสักบาทกว่าจะได้กินข้าวสักจาน  ฉะนั้นอยากบอกว่าท่านโชคดีแล้ว  จริงไหม  (จริง)    เราถามท่านนะว่า  ถ้าหากเราเกิดมาพร้อมกับความไม่มีไม่สมบูรณ์  แล้วยังมีคนกดเราให้ต่ำ  ดูถูกเราให้แย่  แล้วท่านอยากแย่อยากต่ำตามที่เขาดูถูกเหยียบย่ำไหม  (ไม่)    ถ้าเราพยายามทำอะไรก็ตาม  อย่างไรเขาก็ไม่รัก  อย่างไรเขาก็ดูถูกว่าเราจน  ไม่มีเกียรติ  ไม่มีศักดิ์ศรีเราจะรักเขาไหม  (รัก)    เราจะรักคนที่เกลียดเราไหม  (รัก)    เราจะโกรธแค้นคนที่ดูถูกเราไหม  (ไม่)
สิ่งที่ท่านกำลังคิดว่านั่งตรงนี้ทุกข์  แต่ชีวิตจริงที่ออกไปจากตรงนี้  มีทุกข์มากยิ่งกว่า  ฉะนั้นถ้าแค่นี้ทนไม่ได้  ชีวิตจริงท่านจะผ่านไม่ได้เลย  ถ้าแค่นี้ยังรับไม่ไหว  ชีวิตจริงท่านจะรับไหวหรือ  ฉะนั้นเราขอเอาตัวของเรามายกตัวอย่างให้ท่านดู  ถ้าท่านเกิดมาพร้อมกับพ่อแม่คือใครก็ไม่รู้  ญาติพี่น้องมีหรือไม่ก็ไม่เห็น  แล้วทุกชีวิตไม่มีคิดว่าวันนี้จะทุกข์อะไร  คิดแต่เพียงว่า  วันนี้จะหาอะไรกิน  คำว่าทุกข์คืออะไร  ต้องตอบว่า  ไม่มีเวลาให้คิดด้วยว่าทุกข์อยู่ตรงไหน  เพราะทุกขณะคือทุกข์อยู่แล้ว  ใช่หรือไม่  (ใช่)
ถ้าไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครสนใจ  ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครเห็นคุณค่า  พยายามทำอะไร  แม้จะดีขนาดไหนเขาก็ไม่รัก  แถมยังรังเกียจและดูถูกอยู่ร่ำไป  แล้วใจเรายังจะรักเขาไหม  ใจเราจะชิงชังเขาไหม  ท่านจะเลือกวิธีใด  ตามใจตัวเองหรือว่าเขาอยากให้เราไม่ดี  เราก็ไม่ดี  เขาอยากไม่รัก  เราก็ทำให้เขาไม่รัก  เลือกวิธีใด  (ตามใจตัวเอง)    ตามใจตัวเองใช่ไหม  (ใช่)    เขาไม่รักก็ไม่รักเขาใช่ไหม  เขาเกลียดเรา  เราก็เกลียดเขาใช่ไหม  (ใช่)    ก็ตอบได้ดีนะ  นี่คือวิถีทางคน  ใครร้ายมาอย่างไรก็ร้ายตอบอย่างนั้น  ใครไม่ดีอย่างไร  เราก็ไม่ดีอย่างนั้น
แต่เชื่อไหมว่าเมื่อเราทุกข์จนถึงที่สุดเราจะหันกลับมาถามตัวเองว่า  แล้วเราจะทำให้ตัวเองทุกข์อีกทำไม  แต่ท่านจะกลับเป็นอย่างไรรู้ไหม  จากหน้ามือจะเป็นหลังมือ  จากสิ่งที่ร้ายจัดๆ  ท่านจะกลับหัวเราะและยิ้มสู้กับมัน  และท่านจะเดินตามวิถีแห่งธรรมที่เรียกว่า  วิถีแห่งฟ้า  ไม่เลือกวิถีแห่งคน  เพราะคนมีดีมีร้าย  มีได้มีเสีย  มีทุกข์มีสุข  แต่วิถีแห่งฟ้าที่คนลืมนึกถึง  ไม่มีอะไรร้าย  ไม่มีอะไรดี  ไม่มีอะไรทุกข์  ไม่มีอะไรสุข  มีแต่ความเป็นเช่นนั้นเองอันเป็นธรรมดา  จริงไหม  (จริง)    ลมฟ้าเราด่าแค่ไหน  ฟ้าโกรธไหม  (ไม่)    ฟ้าผ่ากลับทันทีไหม  (ไม่)    เกลียดฟ้าแค่ไหน  ฟ้าเกลียดกลับไหม  (ไม่)    ให้ฝนตกแก่เราไม่ต้องให้คนอื่นเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า  (ไม่)    ฉะนั้นถ้าเราโดนกดจนถึงที่สุด  เราจะเลือกวิถีคนหรือเราจะเลือกวิถีฟ้า  (วิถีฟ้า)    แล้วฟ้าสอนอะไรเราหรือ  ฟ้าสอนให้เราเมตตา  เขาร้ายมาเราร้ายกลับไม่ใช่เมตตา  แต่คือการจองเวรจองกรรมไม่จบสิ้น  ถ้าเราเลือกวิถีฟ้า  วิถีฟ้าอย่างแรกสอนให้เราเมตตา  เขาร้ายมา  เราร้ายกลับได้ไหม  (ไม่ได้)    เราชอบคนที่ปฏิบัติกับเราดีหรือร้าย  (ดี)    แล้วถ้าเขาปฏิบัติกับเราร้ายเราจะดีหรือร้าย  (ดี)    ให้จริงนะ  ทองแท้ไม่หวั่นการหล่อหลอม  เพชรแท้ย่อมไม่กลัวการถูกเจียระไน  ฉะนั้นคนที่ดีจริงต้องไม่กลัวการถูกทดสอบ  ถึงเขาจะกดเราให้แย่  ถึงเขาจะเกลียดเราให้ไม่ดี  เราจำเป็นจะต้องไม่ดีตามไหม  (ไม่ตาม)    ไม่ตามนะ
ฉะนั้นขอให้มนุษย์เลือกวิถีฟ้า  เพราะวิถีฟ้าสอนให้มนุษย์มีเมตตากัน  และวิถีฟ้ายังสอนอีกว่า  เราเปลี่ยนคนไม่ได้  แต่เราเปลี่ยนความคิดเราได้  เราแก้คนไม่ได้  แต่เราแก้ใจเราให้ดีขึ้นได้  เหมือนเช่น  เรายิ้ม  นักเรียนในชั้นนี้จะยิ้มกับเราไหม  ฉะนั้นคนที่เข้าใจวิถีฟ้า  จะไม่เปลี่ยนแปลงคนอื่น  แต่จะพยายามเปลี่ยนแปลงแก้ไขตน  ยากไหม  (ไม่ยาก)    แต่บางคนบอกว่ายาก  อย่างนั้นเราจะบอกให้อย่างหนึ่ง  เป็นการปลอบใจ  ถ้าเราโดนเขาว่า  โดนเขาด่า  เราจะด่ากลับไหม  (ไม่ด่า)    ไม่อ้าปากแต่ด่าในใจใช่ไหม  ท่านจำไว้นะ  ใครว่าเราแล้วเรานิ่งเงียบไม่โต้ตอบ  ไม่โต้แย้ง  สักวันหนึ่งของที่เขาให้เรามา  จะคืนกลับเขาไป  จริงไหม  (จริง)    เหมือนเขาให้ของเรา  เรานิ่ง  เราเฉย  เราไม่รับ  ของนั้นมันก็ต้อง  (กลับคืน)    แต่ถ้าเมื่อไรเราด่ากลับแปลว่าเรายอมรับอย่างเต็มตัวและเต็มใจ  แล้วเราก็เป็นอย่างที่เขาด่าใช่ไหม  ฉะนั้นคิดให้ดีๆ 
แล้วรู้ไหมว่าพระพุทธะยังบอกว่า  “เขาด่ามาแล้วเราด่ากลับ  ท่านว่าเขาเลว  แต่คนด่ากลับเลวยิ่งกว่า”  จริงไหม  และเป็นคนที่ทำเวรให้ยืดเยื้อ  ฉะนั้นจะด่ากลับไหม  (ไม่)    ฉะนั้นเขาเกลียดเรามา  เราจะเกลียดเขากลับไหม  เขาดูถูกเรามา  เราจะดูถูกเขากลับไหม  (ไม่)    ถ้าเกิดเขาต่อยเตะแล้วทำร้ายเรา  ยอมไหม  (วิ่งหนี)    ฝ่ายหญิงเข้าใจตอบนะ  วิ่งหนี  อยู่ทำไมให้เขาเตะให้เขาด่าใช่ไหม  (ใช่)    นี่แหละวิถีของมนุษย์  เจอทุกข์เมื่อไรหนีไว้ก่อน 
ใช่หรือไม่  (ใช่)    แล้วถ้าเกิดเขาวิ่งตามล่ะ  (หนี)    ก็หนีอีก  แล้วชีวิตนี้จะหนีไปถึงเมื่อไร  ท่านเคยได้ยินไหม  พระพุทธะกล่าวว่า  “ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีธรรม 
ที่ใดมีมารที่นั่นมีพุทธะ”
  แต่เราเห็นมารก็เป็น  (มาร)    เห็นทุกข์ก็เป็น  (ทุกข์)    เราจะบอกให้ว่า  ทำอย่างไรที่จะทำให้ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีธรรม  ที่ใดมีมารที่นั่นมีพุทธะ  เขากดขี่ข่มเหงเรา  เขาด่าทอเรา  เขาทำเราให้เจ็บปวด  ถ้าเราคิดเสียว่า  โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ  เราอาจจะทำอะไรกับเขาไว้  วันนี้เราก็ได้ชดใช้คืนกลับไป  และเราอยากจะทำอนาคตให้ต้องเจอกับเขาแล้วชดใช้กันไม่จบสิ้นหรือไม่  ถ้าไม่  แล้วเราจะพบทุกข์แล้วพบธรรมได้อย่างไร  ก็คิดเสียว่าดีแล้ว  ขอบคุณแล้ว  ฉันได้จบเวรจบกรรมกับเธอแล้ว  ดีไหม  (ดี)    ในเมื่อเขาทำกับเรา  โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ  ไม่มีเหตุบังเอิญ  คนมีตั้งมากมายไม่โกง  ทำไมมาโกงเรา  คนมีตั้งมากมายเราไม่รัก  แต่ทำไมเราไปรักเขา  คนมีตั้งมากมายเขาไม่เกลียด  แต่ทำไมจงเกลียดจงชังเรา  ใช่หรือเปล่า  (ใช่)    คนมีตั้งมากมายเขาไม่ดูถูก  แต่ทำไมเขาดูถูกดูหมิ่นเหยียดเรา  ถ้าโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ  ถ้าโลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุปัจจัยและกรรมที่เกี่ยวเนื่องกันมา  ดีใจไหมที่ได้ใช้กรรมและได้จบเวรจบกรรม  (ดีใจ)    หรือว่าเอาให้สาแก่ใจ    เพื่อจะได้ผูกเวรผูกกรรมต่อ  เอาแบบใดดี
ฉะนั้นเขาต่อยมาก็ขอบคุณไหวไหม  ท่านพูดว่าไม่ไหวแต่เราถามจริงๆ  นะ  แล้วเราห้ามกรรมได้ไหม  เราหนีกรรมได้ไหม  แต่ทางที่ดีที่สุดที่เราทำได้ในการเป็นคนก็คือ  หยุดกรรม  แล้วเราจะหยุดกรรมได้อย่างไร  ก็แค่ยอมรับแล้วชดใช้ไป  ตอนนี้ยังมีแรงรับก็รับไปเถอะ  จะรอตอนไม่มีแรงแล้วรับไหวหรือ  (ไม่ไหว)    ตอนนี้ยังสุขก็รับไปเถอะ  ดีกว่าทุกข์ซ้ำกรรมซ้อนร่างกายก็เจ็บปวด  ตอนนั้นรับไหวไหม  (ไม่ไหว)    ฉะนั้นเขาเตะมาก็  (ปล่อยไป)    กล้าปล่อยไหม  พบทุกข์ก็พบธรรม  พบมารก็พบพุทธะในใจเรา  อย่าทำให้เขาเรียกมารแล้วปลุกมารในใจเราตื่น  อย่าให้เขาทำให้ทุกข์  แล้วเราต้องสร้างทุกข์ทนกล้ำกลืน  ทำไมไม่ให้เขาทำให้เราทุกข์แล้วเราพบธรรมล่ะ  เขาเป็นมารแล้วทำไมเราไม่ทำให้เขาเป็นพุทธะ  และเปลี่ยนมารเป็นพุทธะเล่า  เราอยากอยู่กันอย่างสันติ  เราอยากอยู่กันอย่างเข้าใจและเราอยากอยู่กันอย่างยอมรับกันได้ไม่ใช่หรือ  (ใช่)    แล้วเราจะเป็นมารต่อกันทำไม  จริงไหม  (จริง)    นี่แหละเรียกว่า  เขาให้ทุกข์แต่เราให้ธรรม  เขาให้มารแต่เราให้พุทธะ  อยู่ที่เราเลือกนะ  วิถีชีวิตมีให้เราเลือกเสมอ  แต่เราเลือกทางแห่งคนหรือทางแห่งฟ้า  เลือกทางแห่งธรรมหรือทางแห่งนรก  ใช่หรือไม่  (ใช่)    อย่าบอกว่า  ไม่มีทางเลือก  ถูกไหม  (ถูก)
มีหลายต่อหลายครั้งที่มนุษย์อยู่ในโลก  ชอบน้อยเนื้อต่ำใจ  ชอบดูถูกคุณค่าตัวเอง  แล้วก็คิดว่าไม่มีใครรักเรา  เป็นอย่างนั้นไหม  เป็นอย่างนั้นก็ช่างน่าเสียดาย  คิดว่าไม่มีใครรัก  คิดว่าไม่มีใครสนใจ  คิดว่าตัวเองไม่มีอะไรโดดเด่นอะไร  การคิดแบบนี้ดีไหม  (ไม่ดี)    แล้วคิดไหม  (คิด)    ถ้าเราถามท่านว่า  สมมติมีคนๆ  หนึ่งทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องกับเรา  เราโกรธเขาไหม  เรายกตัวอย่างนะ  สมมติเรามีกระเช้าดอกไม้หนึ่งกระเช้าและเราบอกว่าให้แบ่งเท่าๆ  กัน  แปลว่าถ้าทุกคนได้หนึ่งดอก  คนอื่นก็ต้องได้  (หนึ่งดอก)    ถ้าคนหนึ่งไม่ได้  ทุกๆ  คนก็ต้อง  (ไม่ได้)    ใช่หรือไม่  (ใช่)    แต่ถ้าเราถามว่าในความเป็นจริงของโลกใบนี้  มีคนได้ก็ต้องมีคน  (ไม่ได้)    อย่างนั้นถามว่าความเป็นจริงแล้วถ้าเราให้ดอกไม้คนๆ  หนึ่งทั้งตะกร้าแล้วนักเรียนในชั้นทั้งหมดไม่ได้เลย  ได้ไหม  (ได้)    จริงหรือ  (จริง)    ถ้าเราบอกว่ามีดอกไม้หนึ่งตะกร้า  แล้วเราบอกว่าแบ่งให้เท่าๆ  กันแปลว่าคนหนึ่งได้หนึ่งดอก  ทุกคนก็ต้องได้  (หนึ่งดอก)    แล้วเป็นไปได้ไหมว่าทุกคนจะได้  (ไม่ได้)    อย่างนั้นแปลว่าต้องมีคนได้และมีคน  (ไม่ได้)    แล้วเราถามท่านว่าแล้วใครจะเป็นคนไม่ได้  ใช่ไหม  (ใช่)   
อย่างนั้นเราถามกลับ  ถ้าวันหนึ่งมีคนได้ความรักเป็นไปได้ไหมว่าทุกคนต้องได้ความรัก  (เป็นไปไม่ได้)    ถ้ามีคนสำเร็จแปลว่าทุกคนต้องสำเร็จ  เป็นไปได้ไหม  (ไม่ได้)    ฉะนั้นถ้าเกิดมีคนล้มเหลวท่ามกลางความสำเร็จ  เราจะยอมเป็นคนล้มเหลวคนนั้นไหม  (ไม่)    เราว่าแล้ว  อย่างนั้นถามท่านนะว่าในโลกนี้มีคนแพ้ก็ต้องมีคน  (ชนะ)    มีคนชนะก็ต้องมีคน  (แพ้)    อย่างนั้นถ้าเราให้ท่านเป็นคนแพ้แล้วเราชนะได้ไหม  (ได้)    อย่างนั้นเราให้ท่านเป็นคนเสียแล้วเราได้  ได้ไหม  (ได้)    มนุษย์ชอบเรียกร้องความยุติธรรมและความถูกต้องเป็นมาตรฐานในใจเสมอ  พอถูกใครปฏิบัติไม่ถูกต้อง  เราเริ่มออกอาละวาด  ไม่บ่นทางกระดาษ  ก็แอบเอาไปนินทาใช่ไหม  (ใช่)    อย่างนั้นถูกต้องไหม  (ไม่)    แล้วทำไหม  (ทำ)    เรามองแบบคนใจฟ้าสิ  อย่ามองแบบวิถีคน  มองอย่างวิถีฟ้าแล้วเราจะเข้าใจความเป็นคน  แล้วพอเห็นใครที่ทุรนทุรายทนไม่ได้กับความไม่ยุติธรรม  เราจะเข้าใจเลยว่าฉันเคยเป็นมาแล้ว 
แต่ฉันเข้าใจแล้วใช่หรือเปล่า  (ใช่)
เราถามท่าน  ตัวท่านเองเคยรักใครอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมไม่แบ่ง
แยกไหม  มีไหม  (ไม่มี)    รักเท่ากันหมด  ไม่มีใครมากกว่า  ไม่มีใครน้อยกว่ามีไหม  (ไม่มี)    แล้วเป็นไปได้หรือที่เราจะเรียกร้องคนอื่นให้เขารักเท่าๆ  กัน  ใช่ไหม  (ใช่)    แล้วเวลาเราทำอะไรสักอย่างหนึ่ง  เป็นไปได้ไหมว่าเราจะแบ่งได้ทุกๆ  คนโดยเท่าเทียมกันได้ไหม  (ไม่ได้)    ฉะนั้นถ้าเขาตาเล็กตาใหญ่ใช่เพราะเขาลำเอียงไหม  ใช่เพราะเขาอคติกับเราไหม  (ไม่ใช่)    ฉะนั้นเวลาคิดอย่าเลือกวิถีคน  จงเลือกวิถีฟ้า  เวลาทำอย่าเลือกทำตามแต่ใจตน  แต่จงเลือกทำอย่างคนที่มีธรรม  แล้วท่านจะเข้าใจความเป็นคนและไม่โกรธคน  ขอถามท่านนะ  วันนี้เราไปซื้อดอกไม้สิบบาท  เขาให้ดอกไม้เรามาสิบดอก  แล้วถ้าผ่านไปอีกประมาณครึ่งเดือน  ซื้อสิบบาท  ได้มาห้าดอก  มีปัญหาไหม  (ไม่มี)    ถ้าผ่านไปอีกครึ่งเดือน  ซื้อสิบบาท  เหลือหนึ่งดอก  จะมาซื้อร้านนี้ไหม  (ไม่ซื้อ)    ไม่ซื้อตั้งแต่สิบบาทเหลือห้าดอกแล้วใช่ไหม  (ใช่)    พอเหลือ
ห้าดอกไม่เอาแล้วเดินกลับบ้านเลยใช่ไหม  (ใช่)  เขาผิดไหม  (ไม่ผิด)    แล้วใครผิด  (ตัวเรา)    จริงหรือเห็นกลับไปยังบ่นอีกแม่ค้าขายไม่ยุติธรรมเลย  งวดที่แล้วสิบดอกสิบบาทยังได้  งวดนี้สิบบาทได้ห้าดอก  แล้วงวดต่อไปสิบบาทเหลือ  (ดอกเดียว)    ซื้อไหม  (ไม่ซื้อ)
เรายกตัวอย่างนี้เพื่อให้ท่านเข้าใจนะ  ว่าถ้าวันหนึ่งชีวิตเราเป็นแบบนี้จงซื้อและเข้าใจ  ความถูกต้องชอบธรรมเป็นเรื่องของทางโลก  แต่การรักษาใจให้ปกติเป็นเรื่องของทางธรรม  แต่มนุษย์ชอบเอามาตรฐานอดีตมาวัดมาตรฐานปัจจุบันและมาตรฐานทุกชีวิต  ใช่ไหม  เรามีความถูกต้องในใจ  เรามีความยุติธรรมในใจ  เรารู้อะไรดีอะไรชั่วในใจ  แล้วเราก็ชอบเอามาตรฐานถูกต้องดีชั่วของเราไปวัดคนอื่นใช่หรือไม่  แล้วก็มักจะจมอยู่กับอดีตว่าอดีตเป็นอย่างไร  ต่อไปต้องเป็นแบบนั้น  ลืมไปแล้วหรือว่าเดี๋ยวนี้ค่าเงินมันตก  เศรษฐกิจไม่ดี  ฉะนั้นสิบบาทเหลือห้าดอกเป็นเรื่องปกติใช่ไหม  วันนี้เขาปฏิบัติดี  อีกวันหนึ่งเขาปฏิบัติไม่ดี  โกรธไหม  วันนี้เขาบอกรักเรา  พรุ่งนี้เขาบอกไม่รักเรา  เกลียดไหม  เพราะเรากำลังยึดมาตรฐานอดีตและเรากำลังยึดมาตรฐานที่หวัง
ฉะนั้นผู้ที่เข้าใจธรรมจะไม่มองจมอยู่กับอดีต  แต่จะอยู่กับขณะนี้  ได้แค่นี้ก็เท่านี้  และเราจะไม่ทุกข์กับเขา  และเราจะไม่เป็นอะไรไม่ช้ำใจกับเขา  แต่เรามักจะติดอยู่กับอดีต  หรือความคาดหวังในใจเราว่าเขาต้องทำกับเราดีกว่านี้  ใช่ไหม  สมมติถ้าวันนี้เราให้ดอกไม้ท่าน  พรุ่งนี้เราก็ให้ดอกไม้ท่าน  มะรืนเราก็ให้ดอกไม้ท่าน  แล้วมะเรื่องถ้าไม่มีเราอยู่ให้ดอกไม้ท่าน  ท่านจะอยู่ไหวไหม  ไม่ไหวจริงไหม  (จริง)    เราแค่เปรียบเปรยให้ท่านฟังนะ  เหมือนวันนี้เราทำอะไรก็ได้  แต่ถ้าวันหลังเราทำไม่ได้  เราจะจมอยู่กับอดีตหรือเราจะเข้าใจในปัจจุบัน  (เข้าใจในปัจจุบัน)    เราจะเอาอดีตมายึดมั่นจนทำให้จิตเราผิดปกติ  หรือเราจะอยู่กับปัจจุบันและยอมรับความจริงจนจิตไม่ทุกข์
ไม่ร้อนกัน
แต่มนุษย์เป็นเช่นไร  เอามาตรฐานตัวเอง  คอยไปวัดคนโน้น  คอยไปมองคนนั้น  แล้วก็ทุกข์เพราะอะไร  แล้วก็เป็นบ้าเป็นหลัง  โวยวายว่าทำไมเขาเป็นแบบนี้  เพราะอะไร  เพราะตัวเองยึดมั่นในมาตรฐาน  โดยไม่มองความเป็นจริงในขณะนี้  ใช่หรือเปล่า  (ใช่)    ฉะนั้นถ้าวันนี้  ไปสิบบาท  แล้วไม่ได้สักดอกหนึ่ง  จะถามแม่ค้าหรือเดินหนีเลย  ว่าอย่างไร  (ถาม,  เดินหนี)    สิบบาท  แม่ค้าบ่นมาว่า  โอ๊ย  ไม่ได้หรอกเดี๋ยวนี้สักดอกก็ขายไม่ได้  ซื้อไหม  (ซื้อ,  ไม่ซื้อ)    เดินหนีตั้งแต่เขาร้องโอ๊ยแล้วใช่ไหม  ฉะนั้นถ้าอยากอยู่ในโลกอย่างเข้าใจ  อย่าเอามาตรฐานตัวเองไปวัดเปรียบเทียบกับใคร  และอย่าหวังว่าจะต้องได้เหมือนๆ  กันทุกคน  แล้วเมื่อไรที่เราโดนกด  โดนรังเกียจ  โดนเป็นผู้แพ้  โดนเป็นผู้ทุกข์  เราจะไม่ทุกข์  เราจะไม่เกลียด  แต่เราจะเข้าใจ  เข้าใจในความเป็นคนและเข้าใจในธรรมแห่งตน  ยากไหม  (ไม่ยาก)    ไม่ยากแต่มักจะไม่ค่อยมีสติรู้เท่าทัน  ใช่หรือไม่  (ใช่)
ถ้าอย่างนั้นวันนี้อยากได้ดอกไม้จากเราไหม  อยากได้ไหม  (อยากได้)    นี่แหละทุกข์ของมนุษย์  ถ้าอยากได้เราไม่ให้ก็ทุกข์  ถ้าอยากได้แล้วเราให้  แต่ให้น้อยไป  ท่านก็ทุกข์  อย่างนั้นสู้ไม่อยากอะไรเลยไม่ดีกว่าหรือ  เอาไหม  (ไม่เอา,เอา)    ว่าอย่างไรนะ  (ให้ก็เอา)    นี่แหละนะขึ้นชื่อว่ามนุษย์  อดคาดหวังไม่ได้  แล้วเป็นอย่างไรล่ะ  ก็ต้องมานั่งทุกข์กับความคาดหวังที่ตัวเองกำหนดและยึดติด  ถ้าเราบอกท่านว่า  แล้วเราอยู่ในโลกนี้  เราหวังว่าคนที่อยู่ร่วมกับเรา  เขาจะเป็นคนที่ดี  ไม่ทำให้เราทุกข์ใจ  เป็นไปได้ไหม  (ไม่ได้)    แล้วถ้าเกิดว่าคนที่อยู่ร่วมกับเรา  เขาเอาแต่ชี้ข้อผิด  คอยจับผิด  คอยกล่าวโทษ  รับได้ไหม  (ได้)    ถ้าท่านอยู่กับคนที่คอยเอาแต่ชี้ว่าท่านผิด  โทษว่าท่านไม่ดี  มองว่าท่านเป็นตัวต้นเหตุของปัญหาทั้งมวล  เราอยู่กับคนแบบนี้รับไหวไหม  (ไหว)  รับไม่ไหวใช่ไหม  (ใช่)    ไหวก็บอกไหว  ไม่ไหวก็บอกไม่ไหว  เราจะได้ช่วยกันแก้  ช่วยกันเข้าใจ  ดีไหม  (ดี)    ดีกว่าพยายามไหว  ใช่หรือเปล่า
ท่านชอบไหมใครมาชี้หน้าว่าเราผิดหรือทำอะไรแล้วก็กล่าวโทษว่าเราเป็นตัวต้นเหตุ  (ไม่ชอบ)    แล้วเราเป็นจริงไหม  ว่าแล้วว่าอย่างไรก็ไม่ยอมรับ  ใช่หรือไม่  (ใช่)    แล้วทำไมเราถึงชอบทำตัวเองเป็นกระจกสะท้อนว่าคนอื่นอยู่ร่ำไป  “แกไม่รู้หรอกว่าแกเป็นอย่างไร  แต่ฉันนี่เข้าใจแกดี”  ใช่ไหม  (ใช่)    เราชอบทำตัวเป็นกระจกสะท้อนว่าคนอื่น  แต่เราไม่เคยมองกลับตัวเอง  แล้วเราถามท่านนะว่า  ในโลกนี้ถ้าพูดกันอย่างเป็นธรรม  มีใครชอบมาให้เราชี้หน้าว่าเราผิดและกล่าวโทษว่าเราไม่ดี  (ไม่ชอบ)    แล้วเราทำไหม  (ไม่ทำ)    ไหนใครกล้ายืนยันกับเราว่าตลอดชีวิตมาไม่เคยชี้ว่าใครผิดเลย  ไม่เคยกล่าวโทษใครผิดเลย  ยกมือขึ้น  แล้วเมื่อสักครู่บอกเราว่าไม่ทำ  แล้วที่ไม่ยกนี่แปลว่าทำใช่ไหม  ทำหรือไม่ทำ  (ทำ)    เราไม่ชอบแล้วเราก็ทำ  ถูกไหม  (ถูก)    เรารู้ไหม  (รู้)
ฉะนั้นเราอยากจะบอกท่านว่า  ถ้าเราอยากอยู่บนโลก  ไม่อยากให้ใครมาดูถูก  ไม่อยากให้ใครมารังเกียจ  เราจงอย่าชี้ว่าใครผิด  เราอย่าพยายามตรวจสอบใครผิด  อยากอยู่บนโลกนี้อย่างมีสุข  ไม่ทุกข์ไหม  (อยาก)  เรามีวิธี  วิธีของเรา  แม้จะยากหน่อย  แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถท่านหรอกนะ  แต่ก็คงไม่ง่ายเกินไปใช่ไหม  (ใช่)    อย่างนั้นอยู่บนโลกแล้วไปอยู่ที่ไหน  แม้จะโดนเหยียดหยาม  แม้จะถูกคนรังเกียจ  เราก็ไม่ทุกข์  แต่เรามีสุขได้  ขอเพียงทำให้ได้ดังที่เราบอก  สนใจไหม  (สนใจ)    แน่ใจหรือ  (แน่ใจ)    เราบอกแล้วต้องทำให้ได้นะ
อยากอยู่บนโลกอย่างมีความสุข  คือ
๑.  ทำอะไรก็ตาม  ไม่โทษฟ้า  ไม่กล่าวโทษคน  เอาแต่แก้ไขข้อบกพร่องผิดพลาดของตัวเอง  อยู่ที่ไหนก็เจริญ  อยู่ที่ไหนแม้แต่ก่อนไม่มีใครรักเขาก็จะรัก  ยากไหม  (ไม่ยาก)
๒.  แม้ไม่มีใครเห็นค่า  แม้ไม่มีใครรัก  แม้ไม่มีใครสนใจ  เราก็จะไม่เอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนที่ดีกว่า  ถ้าทำได้อย่างนี้  ไปอยู่ที่ไหนเราก็ไม่รังแกตัวเองและดูถูกตัวเอง  ใช่ไหม  (ใช่)    แต่มนุษย์ไม่ใช่  มนุษย์ชอบให้คนอื่นรัก  ชอบให้คนอื่นเห็นความสำคัญ  ชอบให้คนอื่นเห็นค่า  แล้วก็ชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบว่าทำไมทำไม่ดีเหมือนกับคนนั้น  แล้วผลสุดท้ายใครที่รังแกตัวเรา  (ตัวเราเอง)    ความคิดเรารังแกตัวเรา  และตัวเราก็ดูถูกคุณค่าตัวเอง  ฉะนั้นถ้าอยากอยู่อย่างที่เราเป็นได้  อย่าดูถูกคุณค่าตัวเอง  ดีไหม  (ดี)    แม้ไม่มีใครรักเราก็จงรักตัวเอง  แม้ไม่มีใครให้ความสำคัญเราก็จงรู้จักให้คุณค่าให้ความสำคัญกับตัวเอง  ทำได้ไหม  (ได้)
๓.  แม้ไม่มีอะไรก็มีสุข  ได้ไหม  (ได้)    คนที่ทุกข์ที่สุดในโลกก็คือ  คนที่ไม่เคยพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี  สิ่งที่มีมักจะบอกว่าไม่สุข  รำคาญ  เบื่อ  คนเช่นนี้ทำอะไรก็ไม่มีวันสุข  แต่ถ้าคนที่รู้จักพอใจในตัวเอง  ยินดีในสิ่งที่มี  พอใจในสิ่งที่ได้  ไม่ต้องแสวงหาสุขไกล  แค่นี้  เท่านี้  สุขก็อยู่ตรงนี้แล้ว  จริงไหม  (จริง)    แต่คนโดยส่วนใหญ่มักจะทุกข์ตั้งแต่เริ่มต้น  แค่นี้ไม่พอ  แค่นี้ไม่ชอบ  แค่นี้เป็นทุกข์  ใช่หรือไม่  (ใช่)    ฉะนั้นถ้าเกิดหามาแล้วไม่ได้อะไรเลยเหลือแค่นี้  เราก็ทุกข์  แต่ถ้าแค่นี้เราก็สุข  ไม่ว่าจะหาเพิ่มได้หรือไม่ได้  ฉันก็สุข  จริงไหม  (จริง)
เริ่มไม่ไหวแล้วใช่ไหม  ไม่สบายหรือ  (ใช่)    คนไม่สบายก็ยิ้มได้ไม่ใช่หรือ  นั่งอยู่ตรงนี้ใครสบายบ้าง  ไม่มีสักคนเลยใช่ไหม  แต่ตรงนี้จะสบายได้ก็ต่อเมื่อ  แค่นี้ก็ดีแล้ว  แค่นี้ก็สุขแล้ว  แต่ถ้าคิดแค่นี้ไม่ได้  อยู่ที่ไหนก็ไม่มีสุข  จริงหรือไม่  เรายังพูดไม่จบแต่ว่าสงสัยเราก็คงต้องจบเท่านี้  เพราะมีบางท่านฟังเราไม่ไหวแล้วใช่ไหม  (ไม่ใช่)    แล้วท่านยังมีหัวข้อธรรมที่ท่านต้องศึกษาต่อ  ฉะนั้นเราสละเวลาให้ท่านได้ศึกษาธรรมต่อดีไหม  หน้าตาของคนตั้งใจฟังเป็นอย่างนี้เองนะ  ฟังแล้วไม่รู้เรื่องอะไรเลยน่าเสียดายนะ  ใช่ไหม  (ใช่)    เพราะชีวิตยังไม่เคยเจอทุกข์มากเท่าไร  ทุกข์ตั้งแต่ยังเด็ก  เราก็เลยเข้าใจว่าธรรมะสำคัญกับความทุกข์และชีวิตอย่างไร  เราจึงอยากเตือนให้ท่านรู้ก่อนที่จะทุกข์มากกว่าแล้วค่อยมาคิดถึงธรรมใช่หรือไม่  (ใช่)    อย่างนั้นถ้าวันนี้เราคุยกับท่านแค่นี้แล้วเราจากลากันก็คงไม่เป็นอะไรใช่ไหม
วันนี้มีคนตอบเราและกล้ายืนตอบเราเพียงท่านเดียวเองใช่หรือเปล่า  ฉะนั้นถ้าเราให้ดอกไม้เขาแต่ไม่ให้ทุกท่านในที่นี้คงไม่โกรธเขานะ
(ท่านหลันไฉ่เหอต้าเซียนเมตตามอบตะกร้าดอกไม้ให้นักเรียนที่ตอบคำถาม)
รับไหม  รับแล้วเอาเท่าไรดี  เอาทั้งหมดเลยใช่ไหม  จงใช้สติปัญญา
คิดไตร่ตรองให้ดี  บางครั้งโอกาสมาครั้งเดียว  คิดดีนอกจากจะได้แล้วยังให้คนอื่นได้ด้วย  แต่ถ้าคิดไม่ดีนอกจากจะไม่ได้แล้ว  ก็ไม่สามารถให้คนอื่นได้ด้วย
  ฉะนั้นเอาเท่าไรดี  (ขอเอาไว้บูชาที่นี่)    ขอไว้บูชาที่นี่หรือ  ดีไหม  (ดี)    อย่างนั้นเราจะบอกให้นะ  เรายกให้ท่านทั้งตะกร้า  แล้วถ้ามีโอกาสเดินไปเจอใคร  ก็จงแจกดอกไม้นั้นดีกว่าไหม  (ดี)    บางครั้งการทำตัวให้สูงค่าจนคนต้องแหงนมอง  ก็ไม่สู้ทำตัวธรรมดาแล้วอยู่กับผู้อื่นอย่างเป็นมิตรเป็นกันเองดีกว่า  จริงไหม  (จริง)
มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ  จงบำเพ็ญธรรม  จงปฏิบัติธรรม  อย่าทำตัวเองเป็นกระจกคอยสะท้อนพินิจพิจารณ์คนอื่น  เคยได้ยินคำพูดนี้ไหม  เราขอจบด้วยโคลงกลอนของปราชญ์โบราณ  “เมื่อมีต้นโพธิ์  เมื่อมีกระจก  ฝุ่นก็ลงจับ  ถ้าเขาเป็นกระจก  แล้วเราไม่เป็นกระจก  ฝุ่นจะลงจับอะไร”  เอาไปลองคิดดูนะ

วันอาทิตย์ที่  ๒๔  เมษายน  พ.ศ.  ๒๕๕๙ สถานธรรมฮุ่ยจื้อ    อ.กระสัง    จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ความดีใจอิ่มใจลำพองสุข                         กลับยิ่งปลุกตัวตนหลงมานะใหญ่
โดนยกหูชูหางสราญใจ                   กลับหลงในทิฐิติดอัตตา
                   เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                     รับบัญชาจาก       
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยจื้อ  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว               ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคน  ฟังธรรมะเหนื่อยไหม
ทุกคนเอาแต่ใจแล้ว    หลักธรรมที่ดีอยู่ตรงใด    โลกเปลี่ยนแปลง
คนก็เปลี่ยนไป    รู้ตอนสายเกินกำลังทัดทาน    คิดอยู่นานเพราะเขลาอยู่นาน    เก็บกวาดอารมณ์ก่อนเดือดร้อนนา    หลงตามสบายหูกระทบตา    เห็นผิดแล้วบำเพ็ญผิดได้
*ไหนว่าจะมีจุดหมาย    ไหนว่าจะบำเพ็ญทุกวัน    ไหนว่าจะพร้อมใจกัน    ไหนว่าจะลงแรงอย่างสุดใจ    ไหนว่าจะมีจุดหมาย    ไหนว่าจะบำเพ็ญด้วยใจ    ไหนว่าจะทบทวนใจ    ไหนว่าจะทำให้ดี
ทะเลใจมีเดือนดาว    ศิษย์ผู้เขลาติดใจใครจำนน    จะทุกข์จะร้อนก็คิด
แต่ตนแต่ตน    จะยึดในอัตตาพาลผิดหวัง    คิดกลุ้มสุมควบคุมทุกอย่าง   
จนพังพาบยับเยินก็ไม่ยักหนี    ไม่สายเด้อแค่ทำมื้อนี้    ไม่มีเสี้ยนในหัวใจ  (ซ้ำ*)
ไยถอนใจเหมือนคนใจลอย    จะหัวก้อยอยู่ที่ปัญญา  (ซ้ำ*)
ทำนองเพลง:  ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน
ชื่อเพลง:  ติดใจใครจำนน

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

วันนี้ดีใจไหม (ดีใจ)  ดีใจเพราะวันสุดท้ายจะได้กลับบ้านแล้วใช่ไหม (ไม่ใช่)  ปกติชอบไปเที่ยวบ้านไม่ค่อยยอมกลับใช่ไหม แต่ทำไมมาสถานธรรมอยากกลับบ้านนะแปลกดี ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนจะจากกันเราก็มาคุยอะไรทิ้งท้ายกันหน่อยดีไหม (ดี)  สิ่งที่จะคุยทิ้งท้ายนั้นต้องอาศัยความตั้งใจและก็อาศัยความอดทนหน่อยได้ไหม (ได้)  อุตส่าห์อดทนมาวันหนึ่งแล้วเหลืออีกวันหนึ่งอดทนอีกสักนิดจะเป็นอะไร
ความดีใจอิ่มใจลำพองสุข           กลับยิ่งปลุกตัวตนหลงมานะใหญ่” 
อาจารย์ถามหน่อย เวลามีคนชมดีใจไหม (ดีใจ)  แล้วเวลามีคนว่าล่ะ  (เสียใจ)  “อาจารย์ว่าเป็นเรื่องปกติ มีใครโดนชมแล้วร้องไห้บ้างมีแต่ซาบซึ้งจนน้ำตาไหล และมีใครโดนว่าแล้วหัวเราะบ้าง” อย่างนั้นถ้าสมมติเวลาเราโดนว่า เรากลับหัวเราะแล้วยอมรับและยิ้มกับมัน กลับกันเวลาเราโดนชม เรากลับเศร้าเสียใจกับมัน ศิษย์คิดว่าคนคนนี้ผิดปกติไหม (ไม่ผิด)  เพราะอะไรหรือ
มีบางคนบอกว่ายอมรับความจริง มีบางคนบอกว่าถ่อมตัว บางคนตอบอาจารย์ว่า เขากำลังมึนๆ อยู่ ใช่ไหม  (ใช่)  อาจารย์ถามนะ ถ้าศิษย์รู้ตัวเองดี คนชม คนด่า จะมีผลทำให้จิตใจศิษย์หวั่นไหวไหม จะโกรธใครไหม (ไม่)  นอกจากว่าศิษย์หน้ามืด มองตัวเองไม่เห็น ฉะนั้นถ้าเกิดมีใครสักคนหนึ่งโดนเขาด่า แล้วหัวเราะยอมรับ นั่นแปลว่าเขาไม่ได้บ้านะ แต่เขามองเห็นตัวเองจริงๆ และยอมรับในความเป็นจริง ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราอยู่ในโลก มองอะไรมันต้องมองอย่างไรนะ เวลามองแอปเปิล มองด้านเดียวได้ไหม (ไม่ได้)  เวลาซื้อแอปเปิลยังต้องหมุนแล้วพลิกหัวพลิกหาง เหมือนกัน เขาจะชมหรือจะว่าก็ตาม ถ้าเรามองให้รอบๆ คนที่ชม คนที่ว่าก็จะไม่ทำร้ายเรา แต่เขาจะเป็นคนที่ชี้นำขุมทรัพย์ให้เราเห็นตัวเองดียิ่งขึ้น จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นถ้าต่อไปโดนเขาชม ควรเฉยๆ แล้วหันกลับมามองตัวเอง ต่อไปโดนเขาว่า เป็นอย่างไร (อยู่เฉยๆ)  จะโกรธเขาอีกไหม (ไม่โกรธ) 
ถ้าเราอยู่ในโลก เรารู้จักมีสติและเข้าใจตัวเอง เราจะโดนใครในโลกนี้หลอก เรามีสติรู้เท่าทันทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งใดจะทำให้ศิษย์ทุกข์ แต่เพราะเราอยู่ในโลก สติก็ไม่มีแต่อยากจะมีสตางค์ แล้วผลสุดท้าย ความอยากก็ทำให้เราทุกข์ เพราะเรามองเห็นตัวเองไม่ชัด มองโลกมองคนก็ไม่ชัด แล้วปล่อยชีวิตให้มึนๆ มัวๆ ไป อยากเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่อยาก)  ฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไรขอให้ (มีสติ)  และคิดไตร่ตรองมองให้รอบด้าน แล้วโลกใบนี้มันจะได้ไม่หลอกลวงเรา หรือใจเราไม่หลอกลวงตัวเอง
อาจารย์มาวันนี้อยู่ร่วมศึกษาธรรมกับอาจารย์ดีไหม (ดี)  ใครไม่อยากคุยกับอาจารย์ ไม่อยากฟังอาจารย์สนทนาธรรมออกไปพักข้างๆ ก็ได้นะเอาไหม อาจารย์ให้โอกาสนะดีกว่านั่งทนแล้วก็เบื่อ ศิษย์ไม่เคยได้ยินหรือ คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก ถ้าอยู่กับอาจารย์แล้วมันคิดแต่ชั่ว อาจารย์สู้ปล่อยให้ศิษย์ออกไปไม่คิดดีกว่านะ มีคำพูดว่า “สวรรค์ในอก นรกในใจ” ใช่ไหม คิดดีก็เหมือนขึ้นสวรรค์ คิดชั่วก็เหมือนตกนรก ถ้าอยู่กับอาจารย์แล้วเหมือนตกนรก อาจารย์อยากชวนให้ศิษย์อยู่ไหมล่ะ อาจารย์ก็ต้องมีหน้าที่ฉุดศิษย์ให้ขึ้นจากนรก  วิธีที่จะฉุดเขาขึ้นจากนรกก็คือออกไปไกลๆ ถูกหรือเปล่า (ถูก)  อย่างนั้นออกไปไหม (ไม่ออก)
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์จะสอนวิธีทำให้นรกกลายเป็นสวรรค์ดีไหม (ดี)  ก็แค่ทำอะไร (ทำดี)  ทำดีแต่ถ้าหยุดความคิดไม่ได้  สิ่งที่น่ากลัวคือความคิด  ถึงจะทำดีแต่ก็ยังคิดร้าย บุญนั้นมันก็ไม่บริสุทธิ์ แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะหยุดความคิดได้ ศิษย์เป็นคนดีแต่บางครั้งคนดีของอาจารย์มักจะห้ามความคิดของตัวเองไม่ได้ ให้คิดสูงไม่คิด ชอบคิด (ต่ำ)  ให้คิดดีไม่คิด ชอบคิด (ชั่ว)  เห็นไหมตอบได้ทันที อย่างนั้นคนที่จะสร้างสวรรค์หรือแปรเปลี่ยนสวรรค์เป็นนรกก็คือใคร (ตัวเอง)  คนที่สามารถหยุดความคิดและมีสติรู้เท่าทันความคิด ซึ่งมนุษย์เราไม่เคยเรียนวิชารู้เท่าทันความคิดเลยถูกหรือไม่ (ถูก)  ถามว่าในโลกนี้สิ่งใดน่ากลัวที่สุด (ความคิด)
ว่าอย่างไร ตอบว่าอะไรบ้าง (อวิชชา)  ความไม่รู้ ก็ตอบได้ดี ไม่รู้เท่าทันตน มีใครตอบได้อีก (มนุษย์)  ตัวเองน่ากลัวที่สุดเลยใช่ไหม (ความคิดของตัวเราเอง)  ความคิดของตัวเราเองใช่ไหม อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้นะ ศิษย์บอกว่า มนุษย์นี่แหละน่ากลัวที่สุด จริงๆ แล้วมนุษย์ไม่น่ากลัว  แต่เมื่อไรที่มนุษย์คิด มนุษย์อยาก มนุษย์โลภ มนุษย์หลง มนุษย์มีอารมณ์ก็น่ากลัวทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นมนุษย์เฉยๆ ไม่ได้คิด ไม่ได้อยาก ไม่มีโลภ ไม่มีหลง ไม่มีอารมณ์ ไม่มีอะไรมากระทบใจ มนุษย์ไม่ได้น่ากลัว ก็คือคนธรรมดาเดินดิน จริงไหม (จริง)  แต่เมื่อไรโดนกระทบด้วยอารมณ์ โดนกระทบด้วยความอยาก คิดอยาก คิดโลภ คิดหลง นั่นแหละน่ากลัว น่ากลัวตรงที่ ถ้าคิดแล้วไม่ใฝ่ดี ใฝ่สูง เลือกอยากอะไรก็ได้ ขอให้ได้มาโดยที่ไม่ใฝ่ดี ใฝ่สูง ใฝ่คุณธรรม ยิ่งน่ากลัวใหญ่ ใช่ไหม (ใช่) แล้วเราจะหยุดได้อย่างไร เวลาจะด่าก็ด่าเลย เวลาจะต่อยก็ต่อยเลย มีคิดไหมว่า อย่าต่อย มีไหม (มี, ไม่มี)
ความน่ากลัวของโลกใบนี้ จริงๆ แล้วคนไม่น่ากลัวหรอก แต่สิ่งที่น่ากลัวคือใจของเรามองคนอย่างไร ใจของเราคิดกับคนอย่างไร คิดดีก็มีสุข ก็พ้นทุกข์ แต่ถ้าคิดชั่วใส่ความเขา ระแวงสงสัยเขา ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีสุข แม้กลับบ้านไปแล้วยังเอาเขาเก็บมาคิดอีก มันก็ไม่มีสุข ฉะนั้นวิถีธรรม การศึกษาธรรม จึงไม่ใช่สอนแค่เพียงให้ทำบุญตักบาตร ไหว้พระสวดมนต์ ยังไม่พอ แต่ต้องลงแรงที่การประพฤติปฏิบัติ โดยสามารถเอาธรรมนั้นมาควบคุมกาย วาจา ใจ และสามารถประพฤติตนให้เป็นคนปกติ อยู่บนโลกโดยไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ถ้าทำได้เช่นนี้ก็เรียกว่าเอาธรรมมาปฏิบัติ แล้วการปฏิบัติธรรมกับคน เราควรใช้อะไร
(เมตตา, แนะนำสิ่งที่ดี)  ตอบได้ดีทั้งคู่ แต่อาจารย์จะบอกศิษย์ให้นะ ถ้าเราทำยังไม่ดี ไปแนะนำใครก็ไม่มีใครเชื่อจริงไหม (จริง)  ถ้าเรายังทำได้ดีไม่สุดจิตสุดใจไปพูดอะไรคนก็ไม่ฟัง เหมือนกันถ้าตัวเองไม่กตัญญู เรียกให้ลูกกตัญญูต่อพ่อหน่อย ลูกจะฟังไหม (ไม่ฟัง)  ฉะนั้นก่อนจะไปแนะนำใคร ต้องเริ่มที่เราก่อนถูกไหม หลักธรรมในการปฏิบัติจึงไม่ใช่เอาแต่เรียกร้องผู้อื่น เอาธรรมที่รู้นั้นไปตรวจสอบใคร ในเมื่อเราอยู่ด้วยกัน เราควรจะรู้จักประพฤติปฏิบัติธรรมต่อกัน อย่าเป็นคนดีแค่อยู่ในวัดอย่าเป็นคนดีแค่เห็นพระถือบาตรมาแล้วอยากทำบุญ ไม่ใช่ คนที่ดีจริงอยู่กับใครก็ต้องปฏิบัติให้ดีให้ได้
แล้วหลักในการปฏิบัติดีกับคน เราควรใช้อะไร เมื่อสักครู่ศิษย์ท่านนี้ตอบได้ดีเหมือนกันตอบว่า (เมตตา)  อาจารย์ถามหน่อยนะคนที่พูดได้ทำได้ไหม คนที่เมตตาเคยขโมยเงินพ่อแม่ไหม (เคย)  คนที่เมตตาควรจะด่าเพื่อนไหม (ไม่ควรแต่ก็เคย)  คนที่เมตตาเคยนินทาอาจารย์ไหม (เคย)  เมตตาตรงไหนศิษย์ ใช่ไหม แล้วคนที่เมตตาแอบเอาเวลาเรียนไปเล่นเกมไปหาสาวไหม (ไม่, จริงนะผมไม่ทำ)  เพราะผมเล่นกับโทรศัพท์จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อย มนุษย์ทุกคนรู้ดีหมด ปฏิบัติธรรมอย่างไรรู้ดีหมด เกิดเป็นคนต้องเมตตา เกิดเป็นคนต้องมีน้ำใจ แต่ถึงเวลาเมตตาไหม มีน้ำใจไหม ถ้าคนมีเมตตาจริงๆ แม้กับพ่อกับแม่เขาก็ไม่อกตัญญู แม้แต่กับตัวเองเขาก็ต้องกล้ารับผิดชอบต่อหน้าที่ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์บอกตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า ศิษย์บอกว่าความเป็นคนนั้นน่ากลัว แต่อาจารย์บอกว่าความเป็นคนไม่น่ากลัว แต่ความเป็นคนจะน่ากลัวก็ต่อเมื่อ ความเป็นคนคิดอยาก คิดโลภ คิดโกรธ คิดหลง โดยหลงลืมคุณธรรม และก็สามารถที่จะทำผิดคิดร้ายได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเกิดคนที่รู้จักควบคุมตนได้ โอกาสที่เขาจะทำร้าย ทำเรื่องเดือดร้อนให้กับใครก็เป็นเรื่องยาก ถูกไหม (ถูก)  ดังที่มีคำกล่าวไว้ว่า ถ้ามนุษย์เราดำรงตนถูกต้อง โอกาสที่เราจะสร้างปัญหา และสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่นก็เป็นเรื่องยาก ฉะนั้นการดำรงตนถูกต้อง ก็คือการที่ต้องรู้จัก (คิดดี)  เหมือนที่อาจารย์บอก ให้พยายามคิดดีเข้าไว้ อย่าคิดร้าย ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
แต่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ เราศึกษาธรรมมาตั้งเยอะ เราลืมอะไรไปหรือเปล่า ถ้าเวลาเราอยู่ร่วมกับคน แล้วป้องกันให้เราไม่คิดร้าย ให้คิดดี นั่นคือปฏิบัติต่อคนด้วยการมี (สติ)  นอกจากมีสติแล้วมีอะไร มีน้ำใจ มีเมตตา มีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใช่ไหม (ใช่)  มีสติในการทำ แต่เวลาจะทำอะไรขอให้ยึดคุณธรรมเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต อย่างเช่น ถ้าเราอยากอยู่กับเขาอย่างมีความสุข บุญก็ทำ มนต์ก็สวด แต่ถ้าศิษย์ขาดการมีคุณธรรมในการดำรงอยู่ร่วมกัน บ้านแตกสาแหรกขาดได้ จริงไหม (จริง)  ถ้าเกิดว่าคนที่เป็นสามีขาดคุณธรรมความซื่อตรง คนที่เป็นครอบครัวเดียวกันขาดความเมตตาต่อกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นศิษย์จะบอกว่า ศิษย์เป็นคนชอบทำบุญ ตักบาตร สวดมนต์ แต่ถ้าคนทำบุญ ตักบาตร สวดมนต์ ขาดคุณธรรมในความเป็นคน ไม่มีความซื่อตรง ครอบครัวร่มเย็นไหม (ไม่)  ไม่มีความเมตตา จะอยู่กันอย่างให้อภัยไหม (ไม่)  สามีนอกใจ ให้อภัยไหม (ไม่)  ภรรยาไปมีชู้สามีให้อภัยไหม (ไม่)  แยกกันเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ใช่ทันทีเลย
ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญในการศึกษาธรรมที่เราควรต้องรู้ไว้คือคุณธรรมในการอยู่ร่วมกันแล้วขาดไม่ได้ อาจารย์ขอแค่สองข้อ ซื่อตรงสัตย์ซื่อ และเมตตา ถ้าศิษย์มีสองอย่างนี้เวลาไปอยู่กับใคร ศิษย์จะทำใครเดือดร้อนไหม (ไม่)  คนมีเมตตา จะด่าใครหรือจะฆ่าใครไหม (ไม่)  คนซื่อตรงจะโกงใคร จะปากอย่างใจอย่างไหม (ไม่)  คนซื่อตรงจะปากหวานก้นเปรี้ยวไหม (ไม่)  อย่างนั้นแปลว่าที่ศิษย์ทำมาทั้งหมดแปลว่าศิษย์ไม่ซื่อตรงและไม่มีเมตตา ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นศึกษาธรรมไม่ใช่แค่ทำบุญตักบาตร สวดมนต์ไม่พอ ต้องมีคุณธรรมในการอยู่ร่วมกันด้วย เพราะไม่อย่างนั้นถ้าศิษย์ขาดคุณธรรมข้อใดข้อหนึ่ง ไปอยู่ที่ใดก็ทำให้ที่นั่นเขาร้าวฉาน เพราะขาดเมตตา เพราะขาดซื่อตรงจริงไหม (จริง)  อยู่กับเพื่อนถ้าเราไม่จริงใจเราไม่ซื่อตรง เพื่อนรักไหม (ไม่)  ปฏิบัติงานไม่มีความซื่อสัตย์ ไม่มีความซื่อตรง ใครต้องการเราไหม ฉะนั้นก่อนเราจะว่าเขา หันกลับมา (ดูตัวเอง)  แล้วในทางกลับกัน ถ้าเราเรียกร้องทำตัวเองได้ดีที่สุดแล้ว คนอื่นจะทำตามไหม (ทำตาม)  แต่ถ้าเรายังไม่ทำแล้วไปเรียกคนอื่นทำ ใครจะทำไหม (ไม่ทำ) 
อาจารย์ถามหน่อย ศิษย์อยู่บนโลกศิษย์เมตตาคนบ้างหรือยัง ถ้าเมตตาตัวเองได้ทำไมไม่รู้จักเมตตาคนอื่นบ้าง ศิษย์รักตัวเองไหม (รัก)  แล้วคนที่เขารักศิษย์ ศิษย์ไม่เมตตาเขาบ้างหรือ ถูกไหม (ถูก)  อยู่ในโลกอย่าคิดเอาแต่ได้ แต่ไม่คิดทำดีเพื่อคนอื่น มิเช่นนั้นศิษย์ก็คือคนที่ใจดำอำมหิตที่สุดที่ทำได้แม้กระทั่งพ่อแม่ตัวเองจริงไหม (จริง)  คนที่ศิษย์ควรจะเมตตา ซื่อตรงที่สุดคือพ่อแม่ ศิษย์ยังโกหกเขาได้ แล้วใครในโลกศิษย์จะโกหกไม่ได้ถูกไหม (ถูก)  คนที่เป็นพ่อแม่ศิษย์ยังโกงเขาได้ แล้วใครในโลกศิษย์จะโกงไม่ได้ คนที่เป็นพ่อแม่ ศิษย์ยังเอารัดเอาเปรียบได้ ปล่อยให้ท่านทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด ศิษย์เที่ยวตะลอนๆ แล้วบอกแม่หนูขอเงินหน่อย
ฉะนั้นเป็นผู้หญิงเวลาเลือกสามีดูหน่อย ไม่อย่างนั้นแม่เขายังทำได้ แล้วตัวเราเขาจะไม่ทำหรือ ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอ๋ยดูหน่อย เลือกนางดูดีๆ ถ้ากับแม่ยังแอบหนีไปเที่ยวแล้วปล่อยให้แม่ทำงานงกๆ ก็อย่าหวังเลยว่าไปรักเขาแล้วจะไม่ทิ้งให้เธองกๆ แล้วหาเงินมาให้ฉันใช้จริงไหม (จริง)  แล้วมองไหม (ไม่มอง)  มองแต่สวยก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วผลเป็นอย่างไร นรกมีจริง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วเราจะแปรนรกเป็นสวรรค์ได้อย่างไร ศิษย์เคยได้ยินไหม ตอนที่เวลาเราอยู่ในโลก คนนั้นก็ดีคนนี้ก็น่ารัก บางทีพอเจอคนน่ารักมากๆ แล้วมาเจอคนไม่น่ารัก เราก็รู้สึกไม่ชอบ เกลียดขี้หน้า เห็นแล้วขวางหูขวางตา ไม่เหมือนทางนี้เห็นแล้วสบายตา สวยๆ ทั้งนั้นเลย อาจารย์ถามหน่อยนะศิษย์ ในเมื่อเราได้รู้จักธรรมะแล้ว ธรรมะสอนให้เรารู้ว่าเกิดเป็นคน เมื่อเราปฏิบัติต่อคนต้องมีเมตตาต่อกัน ต้องซื่อตรงต่อกัน แต่บางครั้งความมีเมตตาและความซื่อตรง บางทีมันก็จะล้ำเส้นไปหน่อย จากเมตตามากๆ ก็กลายเป็นรัก รักมากๆ ก็กลายเป็นหลง หลงมากๆ ก็กลายเป็นหลงหัวปักหัวปำ โงหัวไม่ขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเวลารักมากๆ เรารู้สึกดีไหม (ดี)  ความรักดีไหม (ดี)  ฝ่ายชายความรักดีไหม (ดี)  นักเรียนล่ะความรักดีไหม (ดี, ไม่ดี)  มีทั้งดีและไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  ถามฝ่ายหญิงความรักดีไหม (ดี)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะว่า คำว่า “รัก” กับคำว่า “เกลียด” อะไรน่ากลัวกว่ากัน
อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้อย่างหนึ่งว่า ไม่ว่ารักหรือเกลียด อยู่ที่คนมีสิ่งนั้น ยึดสิ่งนั้น แล้วใช้สิ่งนั้นทำเช่นไร ถ้าศิษย์รักแล้วรักรุนแรง รักแบบต้องเป็นของฉัน ห้ามเป็นของคนอื่น คนที่น่ากลัวมันไม่ใช่รัก แล้วมันก็ไม่ใช่เกลียด แต่มันคือตัวเราเอง ถูกไหมศิษย์
จำได้ไหม ที่อาจารย์บอกว่า คนไม่น่ากลัว กิเลสจริงๆ ก็ไม่น่ากลัว แต่อยู่ที่คนพยายามจะใช้กิเลสไปทางใด ใช้ได้ดีก็มีสุข ใช้ไม่ดีก็สร้างทุกข์ แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า จริงๆ แล้วถ้าเราศึกษาธรรม อาจารย์อยากจะให้ศิษย์ไม่รักใคร แล้วศิษย์ก็จะได้ไม่เกลียดใคร ดีที่สุด   ฉะนั้นศิษย์เอย ก่อนจะมีรัก คิดให้ดีๆ เพราะไม่มีใครรักแล้วไม่โศก รักแล้วไม่กลัว รักแล้วไม่ทุกข์ และรักแล้วไม่เกลียด ใช่ไหม เพราะรู้จักรัก จึงรู้จักเกลียด ฉะนั้นธรรมจึงสอนว่า ใดๆ ในโลกไม่ควรยึดมั่นถือมั่น  ไม่ว่าจะรักหรือจะเกลียด ไม่ว่าจะชอบหรือจะชัง แต่มองให้เป็น ทุกสิ่งล้วนธรรมดาเท่ากัน แต่มนุษย์ไม่ใช่ ฉันรักคนนี้มากกว่า รักคนโน้นน้อยกว่า ฉันชอบคนนี้มากกว่า ฉันเกลียดคนนี้มากกว่า แล้วผลสุดท้ายก็ต้องมาทุกข์กับสิ่งที่ตัวเองรัก ชอบ เกลียดชัง
ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้เรารู้จักวางใจเป็นกลางในทุกสิ่ง ไม่เกลียดใครเลย เพราะเราไม่รู้จักรัก แล้วเราจะรู้จักเกลียดไหม แต่เมื่อไรศิษย์รู้จักรักมากเท่าไร ศิษย์ก็จะรู้จักเกลียดมากเท่านั้น แต่ถ้าศิษย์ไม่รักใครมากเท่าใด อะไรคือสิ่งที่ศิษย์เกลียด ก็ไม่มี เมื่อใดศิษย์รู้จักสิ่งที่ศิษย์ชอบมากเท่าใด ศิษย์ก็จะรู้จักสิ่งที่ศิษย์ไม่ชอบมากเท่านั้น พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “ที่ใดมีรัก ที่ใดมียินดี ที่ใดมีตัณหา ที่ใดมีความใคร่ ที่นั้นจะหนีไม่พ้นความโศก ความกลัวและความทุกข์ในที่สุด แต่ถ้าที่ใดพ้นจากความรัก ความยินดี ความใคร่ ตัณหา ที่นั้นจะไม่พบความโศก ความทุกข์และความกลัวเลย” แต่มนุษย์อดไม่ได้ อาจารย์ก็ไม่ใช่ให้ศิษย์ไม่รู้สึกรู้สา ตายด้าน อะไรก็เฉยๆ การเฉยไม่ใช่แปลว่าตายด้าน ไม่รู้สึกรู้สา แต่มองเห็นความเป็นจริงว่า ถ้าหนูรักมาก หนูก็ต้องเจ็บมาก ถ้าหนูเกลียดมาก หนูก็ต้องก่อเวรก่อกรรมกับมันมาก ฉะนั้นสู้ไม่รักก็ไม่เจ็บ ไม่เกลียดก็ไม่ก่อกรรม หรือท่านเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เกิดเป็นคนต้องรู้จักเดินสาย (กลาง) 
ฉะนั้นก่อนจะรัก ก่อนจะเกลียด คิดให้ดีๆ ถ้าถึงที่สุดของความรัก ความเกลียด มันหนีไม่พ้นทุกข์ ควรหรือจะรัก ถ้าความเกลียดมันหนีไม่พ้นเวรกรรมและการจองเวรจองกรรม ควรหรือจะชังน้ำหน้ามัน สู้เฉยๆ เรียกว่าความเป็นกลาง เหมือนที่ศิษย์มักจะบอกอาจารย์ แต่คนบางคนก็น่ารัก อดรักไม่ได้ และคนบางคนก็น่าเกลียด จนอดเกลียดไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเราจะทำอย่างไรล่ะ ถามหน่อย เวลาเขาทำอะไรให้ศิษย์รักมาก ศิษย์เห็นเขาตลอดไหม (บางครั้งก็เห็นบางครั้งก็ไม่เห็น) 
อาจารย์ถามจริงๆ นะ ในโลกใบนี้บางทีเราพยายามหาคนที่สมบูรณ์ที่สุด หาคนที่เหมาะสมกับเราที่สุด หาคนที่ดีกับเราที่สุด แต่อาจารย์ถามนะจะมีสิ่งใดสมบูรณ์สุด มีสิ่งใดดีสุดไหม น่ารักอย่างไรก็ต้องมีมุมน่าเกลียด น่าเกลียดอย่างไรก็มุมน่ารักถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าเรามองให้กว้าง ศิษย์จะไม่รักใครมากและไม่เกลียดใครมาก อย่าเอาเวลานิดหน่อยมาวัดคนทั้งชีวิต เหมือนเราพยายามหาคนที่สวยที่สุดในห้องนี้ แต่อาจารย์ถาม ถึงเวลาคนที่อาจารย์ว่าสวยที่สุดมีสวยกว่าไหม (มี)  อาจารย์หาคนที่น่าเกลียดที่สุดในห้องนี้ ถามหน่อยถึงเวลามีคนที่น่าเกลียดกว่าไหม (มี) 
ความเป็นจริงในโลกเราต้องรับให้ได้ มีคนน่าเกลียดก็มีคนน่าเกลียดกว่า แต่คนที่น่าเกลียดกว่าก็ยังมีคนน่าเกลียดกว่าใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าโดนเขาเกลียดอย่าไปโกรธ ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็มีคนที่น่าเกลียดกว่าฉันถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเวลาเราจะรักใครอย่าเพิ่งรักเดี๋ยวจะมีคนน่ารักกว่า ฉะนั้นอย่าเพิ่งไปรักใครใช่ไหม (ใช่)  แล้วก็อย่าเพิ่งไปเกลียดใคร เพราะเดี๋ยวบางทีก็ต้องมีคนที่น่าเกลียดกว่า ฉะนั้นเวลาจะโกรธใครจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เพราะบางทีอาจจะมีคนที่น่าโกรธกว่า เพราะฉะนั้นเราอย่าเพิ่งใจร้อนรีบโกรธ รีบด่า ดีไหม (ดี)  เพราะหาไปถึงที่สุดมันก็ไม่มีใครน่ารักที่สุดและน่าเกลียดที่สุดจริงไหม (จริง)  เมื่อไม่มีใครน่าเกลียดที่สุดไม่มีใครน่ารักที่สุดเราก็เป็นกลางใช่ไหม (ใช่)  เราก็เข้าใจธรรม แล้วเราทำได้ไหม (ได้) 
ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์พิจารณา เวลามองสิ่งใดแล้วจะช่วยให้เราไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงในสิ่งนั้น หรือไม่หลงรักในสิ่งนั้น มองให้ถึงที่สุด อย่ามองติดแค่เพียงครู่เดียว มองให้ลึกๆ มองให้ไกลๆ แล้วมันจะได้ไม่มาทำให้เราเจ็บช้ำ ใช่ไหมคนที่น่าเกลียดกว่า ยอมไหม (ยอม)  แน่ล่ะ เขาเลือกศิษย์มาถูกไหม ศิษย์ว่าถูกไหม (ถูกครับ)  อาจารย์บอกให้นะ เราไม่สามารถรู้ได้ว่า วันนี้เราบอกว่าเราอาจจะดูดีกว่าเขา แต่ศิษย์แน่ใจหรือว่าวันหน้าศิษย์จะดีกว่าเขา ตอนนี้เขาอาจจะบอกว่าศิษย์ไม่ดีกว่าเขา เพราะเขาอาจจะรู้ว่าเขามีอะไรที่เขาทำแล้วสำเร็จ แต่ศิษย์ยังทำอะไรไม่สำเร็จ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่าวัดคนแค่ภายนอก อย่าดูคนแค่ถุงขี้  แต่จงมองให้ลึกๆ มองให้กว้าง แล้วเราจะได้ไม่ติดกับความรักและความหลงอันจอมปลอมของโลกใบนี้ ถ้าอย่างนั้น จะให้เขาหรือให้เราน่าเกลียดกว่า (เราเอง)  ศิษย์ไปนั่ง แล้วศิษย์สองคนมายืนเป็นเพื่อนอาจารย์ ดีไหม สองคนมายืนทำไม เขาบอกให้เอาสวยที่สุดมาใช่ไหม (ใช่ค่ะ, ไม่มั่นใจว่าตัวเองสวยขนาดนั้น) แล้วศิษย์ล่ะ เขาเอาคนที่ (น่าเกลียดกว่า)  แล้วเรามั่นใจไหมว่าเราน่าเกลียด (มั่นใจครับ)
ถ้าวันหนึ่งศิษย์โดนคนว่าน่าเกลียด ศิษย์จะมีสติคิดได้อย่างไรที่จะทำให้ไม่ทุกข์ และถ้าเกิดว่ามีคนชมว่าศิษย์สวยมากๆ ศิษย์จะคิดอย่างไรที่จะทำให้ไม่หลงตัวเอง (จะบอกว่าคนที่เขามาชมเราเขาไม่จริงใจกับเราหรอกเพราะว่าเรารู้ตัวว่าเราไม่สวย)  คิดอย่างนั้นก็ไม่ได้นะ เพราะจริงๆ มุมมองของคนเรามองไม่เท่ากัน เขาไม่ได้มองว่าศิษย์สวยที่หน้า แต่เขาอาจจะมองศิษย์สวยที่น้ำใจใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นก่อนจะไปว่าเขาว่าโกหก เราต้องมองตัวเองด้วยใช่ไหม (ใช่)  (ทำตัวเฉยๆ นิ่งไว้)  ทำตัวเฉยๆ นิ่งๆ ไว้รู้ตัวเองดีที่สุดใช่ไหม รู้ไหมเกิดเป็นคนสิ่งที่ยากที่สุดก็คือความอดทนอดกลั้น ตอนนี้ศิษย์พูดได้แต่พอถึงเวลา ศิษย์จะอดทนอดกลั้นกับคำดูถูกเหยียดหยามได้หรือ ยอมรับเสียเถอะว่าในร้ายก็มีดี ถึงเราจะดีแค่ไหนเราก็รู้นี่ว่าเรายังร้ายอยู่ใช่ไหม (ใช่)  ถึงเราจะสวยแค่ไหนจริงๆ เราก็มีความไม่สวยอยู่ แต่ถ้าเรายอมรับในตัวเอง เราจะไม่โกรธ เราจะไม่เกลียดคนที่ว่า เพราะทุกๆ คนในร้ายมันมีดี ในดีมันมีร้าย เหมือนพูดว่า มนุษย์มีความเกิดแต่ในความเกิดมีความตายเหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่าฉลองวันเกิด แต่พุทธะบอกว่าไม่ใช่ ศิษย์กำลังฉลองวันตาย ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้เรามองให้ชัด อย่ามองแต่สิ่งที่อยากเห็นจนไม่เห็นสิ่งที่ควรจะเป็นใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง : ไสว่า
สิบ่ถิ่มกัน ชื่อเพลง : ติดใจใครจำนน และเมตตาให้นักเรียนนำร้องเพลง)
มีโอกาสต้องมาช่วยอาจารย์ร้องแล้วนะ ได้หรือเปล่า ไม่ใช่มีโอกาสก็ไปขับรถเล่น หรือมัวไปเล่นเกม ใช่ไหม มีโอกาสมาช่วยอาจารย์หน่อย ร้องเพลงธรรมให้คนอื่นได้เข้าถึงธรรม มันเป็นสิ่งที่ดี จริงไหม รับแปลว่ามีโอกาสจะเข้ามาช่วยใช่ไหม การไหว้พระ การมาช่วยงานในห้องพระเป็นเรื่องไม่ดีหรือ แล้วก็ทำเพื่อตัวเอง แล้วยังมีบุญกุศลให้พ่อแม่ หรือบางทีชวนพ่อแม่มาไหว้พระด้วยไม่ดีหรือ ดีกว่าเอาแต่เที่ยวเตร่ไม่มีประโยชน์อะไร รับแล้วแปลว่าจะมานะ (นักเรียนถามพระอาจารย์ว่า เรื่องราวที่เขานำประวัติพระอาจารย์มาทำเป็นการ์ตูน Animation เป็นเรื่องจริงใช่ไหม)  จะถามแค่นี้หรือ (เปิดดูบ่อย)  แล้วเปิดดูแล้วรู้สึกอย่างไร (รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้พบเรื่องราวแบบนี้ เพราะหาบำเพ็ญแบบนี้มานานแล้ว เพิ่งจะได้มารับธรรมะ)  แล้วศิษย์ทำได้อย่างที่อาจารย์ทำไหม (ตอนนี้ยังครับ ก็พยายามอยู่)  สิ่งที่สำคัญในการบำเพ็ญธรรม นั่นก็คือการอยู่ร่วมกับคน ทำให้คนมีความสุข อะไรที่เป็นความทุกข์ ถ้าเราช่วยเหลือเขาได้ ปัดเป่าให้เขาคลายทุกข์ได้ นั่นก็คือ หัวใจของอาจารย์จี้กง ไม่ถือตัว ไม่ถือตน ใช่หรือไม่ แต่ถามว่าอาจารย์กินเหล้า เมายา จริงๆ ไม่ใช่นะ กินเนื้อสัตว์ก็ไม่ใช่ อย่าหลงไปตามนั้น เพราะการเป็นพุทธะที่ดีควรมีจิตเมตตา ไม่หลงงมงาย ถูกหรือไม่ ฉะนั้น อย่าแค่ดู แต่จงเอาไปทำ และทำให้ได้ เพราะอาจารย์เชื่อว่าศิษย์ทำได้ เริ่มต้นมีโอกาสฝึกเพลงนี้ให้ได้ แล้วพาเขาไปช่วยอัดเพลง
ใครจำได้บ้างอาจารย์คุยถึงเรื่องอะไร (เดินสายกลาง)  เพราะความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้นตอของอกุศล เป็นต้นตอของการทำบาปและความผิด ถึงที่สุดคือความทุกข์และการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้าเราคุมโลภ โกรธ หลงได้ เราก็ตัดทางแห่งบาปได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ความรักและความเกลียด)  แล้วเราควรมีรักหรือควรมีเกลียดไหม (น่าจะเดินทางสายกลาง)  จะได้ไม่รักมาก เกลียดมาก จะได้ไม่ทำผิดคิดร้ายใช่ไหม (ใช่)  ลงไปถึงสิ่งที่มนุษย์ต้องระมัดระวังและต้องควบคุม เพราะอารมณ์นั้นเป็นต้นเหตุแห่งการสร้างบาป และต้นตอแห่งความทุกข์และความชั่วร้ายทั้งมวล ถึงที่สุดและน่ากลัวที่สุดคือการเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้นใช่หรือไม่ ถ้าเรารู้จักควบคุมได้มีสติเท่าทันในอารมณ์ โลภโกรธหลงก็จะไม่สร้างให้เราทุกข์ แต่การจะควบคุมอารมณ์โลภโกรธหลงให้ได้ บางทีก็เป็นเรื่องยากถูกไหม (ถูก)  เหมือนที่อาจารย์ถามว่าดอกไม้สวยไหม (สวย)  ผลไม้สวยไหม (สวย)  แจกันสวยไหม (สวย)  คนนี้สวยไหม (สวย)  แต่ถ้าเรามองให้ถึงที่สุดดอกไม้จริงๆ ในสวยก็มีความไม่สวย ในผลไม้ในความคงทนก็มีความไม่คงทน ฉะนั้นถ้าเรามองสรรพสิ่งให้ชัดเราจะไม่ถูกสรรพสิ่งลวงให้เราหลง อยากจนยึดติดแล้ววางไม่ได้ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นของบางอย่างสวยแค่ไหนอยากแค่ไหนจงมองให้ชัดแล้ววางมันลง อย่าพยายามยึดเป็นของเราเด็ดขาด เมื่อไรที่พยายามยึดให้เป็นของเรา เมื่อนั้นเราจะถูกความอยากนั้นบดบังตา มองไม่เห็นความจริง
แต่ถ้าเมื่อไรเราเห็นว่ามันสวย แล้วเราอยากมากๆ ต้องได้ ต้องเป็นของหนู ต้องมีแต่หนูเท่านั้นที่ได้ใช่ไหม เมื่อไรเราหลงแล้วเราอยากได้มันสิ่งนั้นมันจะบดบังตาทำให้เรามองไม่เห็นความจริงว่ามันมีดีมีเสียอย่างไร จนกระทั่งเราเอามาเป็นของเราแล้ว ตอนแรกเป็นอย่างไร (ดี) เหมือนรจนาเสี่ยงพวงมาลัยคู่รัก คู่ดี คู่หวาน คู่เเหวว คู่บุญใช่ไหม พออยู่ไปนานๆ เป็นอย่างไร อยากจะให้อยู่ห่างๆ สักหน่อยหนึ่ง เพราะจะรู้สึกดีมากเลยใช่ไหม (ใช่)  บางทีอยู่ติดกันมาก แล้วมันเห็นชัดจนรับไม่ไหวแล้ว ถอยไปสักหน่อยหนึ่งเถอะใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะของทุกอย่างในโลกที่ศิษย์บอกว่าอยากมาก โลภมาก หลงมาก อย่าไปเอามันมาอยู่ใกล้ เพราะพอถึงเวลาเอามาอยู่ใกล้แล้วศิษย์ควบคุมมันไม่อยู่ ศิษย์จะทุกข์เพราะตัวตนเอง ฉะนั้นถ้ามีอะไรอยากมาก มองให้ชัดวางให้ลงแล้วสิ่งนั้นจะไม่บดบังปัญญาและความจริงที่เรามองเห็น แต่คนไม่ใช่ อยากก่อน ขอให้ได้ก่อน ทุกข์ช่างมัน แล้วผลสุดท้ายเป็นอย่างไร แล้วใครทำ มันไม่มีดีหรือเราไม่ดี (เราไม่ดี)
ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะถ้าอยากอยู่ในโลกอย่างไม่ทุกข์ จงแค่ยืมใช้แล้วปล่อยวางไป เมื่อใดที่ศิษย์หวังจะครอบครอง ศิษย์จะต้องยอมรับความจริงว่าสิ่งที่ศิษย์ครอบครอง ถ้ามันเปลี่ยน อาจารย์ถามจริงๆ คนที่ศิษย์รักแต่ก่อนหน้าเขาเป็นแบบนี้ไหม (ไม่)  แล้วตอนนี้หน้าเป็นแบบนี้ใช่ไหม (ใช่)  แล้วต่อไปจะเปลี่ยนอีกไหม (เปลี่ยน)  รับได้ไหม (รับได้)  ฉะนั้นจำไว้นะสิ่งที่ศิษย์บอกว่ามันสวย มองให้ดีๆ  ถึงเวลาถ้ามันเหี่ยว มันดำ มันแก่ มันหง่อม ศิษย์ก็ต้องรับให้ได้เพราะศิษย์อยากมีมันใช่ไหม (ใช่) 
ถ้าอยากมีแล้วไม่ทุกข์จงแค่มองให้ชัดแล้วปล่อยวาง อย่าไปรักอย่าไปอยากเลยแล้วจะไม่ทุกข์ อาจารย์แต่ถ้ารักแล้วอยากไปแล้วล่ะจะทำอย่างไร ศิษย์เข้าใจไหมว่าศิษย์ว่าเขาเหี่ยวศิษย์ก็ (เหี่ยว)  ศิษย์ว่าเขาไม่ดีศิษย์ก็ (ไม่ดี)  ฉะนั้นให้อภัยเขาก็เหมือนให้อภัย (ตัวเอง)  อย่ามัวแต่ไปจับผิดเขาแล้วลืมดู (ตัวเราเอง)  เพราะว่าตัวเองว่าเขาแก่มากเท่าไรเราก็แก่ (มากเท่านั้น) 
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่บนโลกแห่งความจริง แล้วอยากเข้าใจโลกใบนี้ศิษย์จงมองคนให้ชัด ถ้าศิษย์มองคนชัดศิษย์จะรู้ว่าใดๆ ในโลกไม่น่ายึด ไม่น่าเอา ไม่น่าอยากและไม่น่าเกลียด ถึงที่สุดของความเป็นคนคืออะไร มันหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ ศิษย์เอารูปตอนอนุบาลหนึ่งมาดูกับตอนนี้เปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  ถ้าเป็นของศิษย์ศิษย์สั่งมันสิ แกอย่าเปลี่ยน แกอย่าแก่ มันฟังศิษย์ไหม (ไม่ฟัง)  แกอย่าทุกข์มันทุกข์ไหม ความทุกข์คือสภาพที่ทนไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย แล้วเราควรหรือที่จะยึดว่าเป็นของเรา ควรหรือที่เราจะยึดมั่นว่าใครมาทำร้ายแล้วเราต้องเกลียดมัน แต่เราควรเข้าใจจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นวิธีการของอาจารย์ก็คืออยู่ในโลกจงรู้จักยืมใช้ ยืมตัวนี้ใช้ แล้วถึงเวลาจะเหี่ยวมันจะแก่ก็ปล่อยไป เราห้ามแก่ได้ไหม (ไม่ได้)  เราห้ามตายได้ไหม (ไม่ได้)  เราห้ามไม่ให้เจ็บได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราจะยึดไหม (ไม่ยึด)  จริงหรือ (จริง) 
อาจารย์เพิ่งเห็นล่าสุดเลยนะ มีคนกำลังกินเหล้ากันอยู่ กินกันไปกินกันมาคึกไหม (คึก)  ไม่รู้นึกคึกอย่างไรเอาเท้าถีบเพื่อนตกเก้าอี้เลย แล้วรู้ไหมว่าคนที่ถูกถีบตกเก้าอี้เขาแค้น พอหายเมา เขาไปฆ่าคนที่ถีบตกเก้าอี้แล้วเผาทั้งเป็น ฉะนั้นศิษย์บอกอาจารย์ อบายมุขไม่เป็นไรหรอกกินนิดกินหน่อย เหล้ากินนิดกินหน่อยใช่ไหม เล่นกับเพื่อนสนุกสนานนิดๆ หน่อยๆ ใช่ไหม ฉะนั้นศิษย์เอยขึ้นชื่อว่าคนเรายืมใช้ แต่ถ้าเรายืมใช้แล้วเราพูดไม่ระวัง ทำไม่คิด คนที่โดนทำเขาคิดมันเจ็บ แล้วตอนนั้นศิษย์จะขอโทษหายไหม เขาไม่รอศิษย์ขอโทษเลยนะ เขาจำได้จนถึงพรุ่งนี้แล้วมันก็ฆ่าเอาเผาทั้งเป็นเลยนะ
ฉะนั้นก่อนที่จะปล่อยอารมณ์ไปตามความอยาก ไปตามอบายมุขขอให้ศิษย์คิดให้ดีๆ ได้หรือไม่ เราจะได้ไม่ทำผิดพลาดแล้วชีวิตมันมีค่ายิ่งกว่านั้น แล้วเป็นอย่างไรได้ดีไหม คนที่ฆ่าก็ไม่ได้ดี คนที่ถูกฆ่าได้ดีไหม (ไม่ได้)  แล้วเราควรปล่อยให้ชีวิตเป็นแบบนี้ไหม (ไม่ควร)  ฉะนั้นทำอะไรขอให้คิดให้ดีๆ ยิ่งเพื่อนสนิทกันมากเท่าไร ก็เพราะสนิทมากวางใจมากแต่ศิษย์ทำเขาเจ็บ ไปถีบเขาแล้วตกเก้าอี้ เขาไม่พอใจ นี่แค่กรรมนิดเดียวเองนะ แล้วกรรมที่ศิษย์ไปด่าคนไม่ระวังล่ะ แล้วกรรมที่ศิษย์ไปกินเขาล่ะ ไหวไหม แล้วถ้าเขามาขอทวงคืนล่ะ ไม่เป็นไรอาจารย์ เดี๋ยวศิษย์ใส่บาตร อุทิศส่วนกุศล บางทีเขาไม่รอศิษย์ใส่บาตร อุทิศส่วนกุศลนะ เขากลับมาเอาศิษย์เลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราไม่ควรประมาทในการดำเนินชีวิต ขอให้ทำอะไรคิดไตร่ตรองให้ดี คิดถึงธรรม ทำอย่างคนซื่อตรงไหม ทำอย่างคนมีธรรมไหม และทำแล้วอย่าตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ได้หรือไม่ (ได้)  แล้วเราจะได้ไม่ต้องมาชดใช้เวรกรรมที่ศิษย์เป็นผู้ก่อ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นขอให้รู้จักระมัดระวังตัวเองได้หรือไม่ อะไรที่เป็นสิ่งที่ไม่ดีจง (อย่าทำ)  อะไรที่เป็นสิ่งที่ดีจงพยายาม (ทำ) 
อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะ ก่อนอาจารย์กลับ อะไรไม่ดีที่เราไม่ควรทำเลย และอะไรดีๆ ที่เราควรจะทำบ่อยๆ (กรรมชั่วไม่ควรทำ ควรทำแต่กรรมดี, ความคิด) ความคิดเป็นสิ่งที่ศิษย์ต้องรู้เท่าทัน ฉะนั้นมีอะไรมากระทบจงมีสติรู้ทันความคิด ไม่ปรุงแต่ง รู้ตรงๆ รู้ซื่อๆ รู้แล้วปล่อยมันไป เพราะสรรพสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป โดยที่เราไม่ต้องพยายามไปกดมันเลย ขอแค่เวลาโดนกระทบอย่าปรุงแต่ง เขาตีฉัน เขาด่าฉัน เขาทำร้ายฉัน ขอแค่รู้ตรงๆ ซื่อๆ ไม่โกรธ แค่กระทบ แล้วก็จะจบไปเอง นึกออกไหม ยังนึกไม่ทันใช่ไหม เหมือนเวลาอาจารย์ตีแบบนี้ เจ็บไหม (เจ็บแล้วก็หายไป) มันจบไปแล้ว แต่ความคิดเราไม่จบ ถูกไหม ธรรมะสอนให้อยู่กับปัจจุบันขณะ แต่มนุษย์ชอบเอาความโกรธในอดีตมาลาก แล้วก็เคืองแค้นคนที่ตี ทั้งที่จริงๆ จบไปแล้ว แต่ความคิดเรามันไม่จบ เขาเรียกว่า เขาตีเราแค่หนึ่งที แต่ความคิดของเราไม่ยอม เหมือนถูกตีหลายๆ ที ใช่ไหม ศึกษาเยอะๆ จะได้เข้าใจ มีอะไรอีก (คิดก่อนทำเสมอ, ไม่ควรใจร้อน)  ฉะนั้นขอให้ใจเย็นๆ
(ให้มีสติ)  ขอให้มีสติ ฉะนั้นเวลาโดนอะไรกระทบก็ยังมีสติ เพราะมันเกิดขึ้นแล้วมันก็จบแล้ว
(รู้จักไม่โลภ)  ทำได้ไหม คนที่จะทำได้ก็ต่อเมื่อ รู้พอ รู้พอก็พบสุข ที่เหลือก็คือกำไรชีวิต แต่ถ้าไม่เคยพอ หาเท่าไรมันก็ไม่มีสุข จริงไหม ทำให้ได้นะ
(เดินสายกลาง คิดดีทำดี ทำให้จิตใจบริสุทธิ์)  แต่บางครั้งก็อย่ายึดติดดี จนทำให้รับเรื่องร้ายไม่ได้ การเดินสายกลางคือยอมรับความจริง ไม่ว่าอะไรจะเกิด มันจะดีจะร้ายก็ยอมรับความจริง ใช่หรือไม่
(เราควรตั้งสติก่อนที่เราจะทำอะไรทุกเมื่อ)  ตั้งสติระลึกเสมอว่า สิ่งที่ทำเมตตาไหม จำไว้ว่าเวลาจะทำอะไรเมตตาไหม ถ้าไม่เมตตา อย่าทำ ถ้าไม่ซื่อตรงอย่าทำ เอาแค่สองอัน สติ เมตตา (ต้องตั้งสติยึดมั่นในความเมตตาและความซื่อสัตย์)  ทำให้ได้นะ
(มีสติสัมปชัญญะที่เพียบพร้อมมั่นคง แล้วก็ทำใจให้นิ่ง ปล่อยวางทุกอย่าง)  ปล่อยวางทุกอย่าง อย่างนั้นแปลว่าอะไรก็ไม่ทำเลยใช่ไหม ไม่ใช่นะ จงรู้ว่าทุกสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป บางทีเราไม่ต้องพยายามไปยึดอะไร มันก็จบของมันไปเอง แต่บางทีเรามักจะไม่ค่อยยอมจบอะไรง่ายๆ สงบแปลว่ายอมจบ วุ่นวายแปลว่าไม่ยอมจบ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม
(รู้เท่าทันความคิดและจิตใจของตัวเอง)  รู้เท่าทันความคิดและจิตใจของตัวเอง ต้องฝึกนะ ฝึกทุกวันที่ใจเราโดนกระทบ อารมณ์คือสิ่งที่กระทบ ฉะนั้นถ้าเกิดอารมณ์แปลว่ามากระทบแล้วเรารับไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเรารู้เท่าทันก็แค่ ยอมรับแล้วก็ตั้งสติ ใช่หรือไม่ ทำให้ได้นะ ใจเย็นๆ เข้าไว้
(คิดดี ทำดี มีเมตตา) คิดดี ทำดี มีเมตตา ให้ได้อย่างนั้นจริงๆ นะ
(เป็นศิษย์ที่ดี และกตัญญู)  เป็นศิษย์ที่ดีและมีความกตัญญูรู้คุณ ทำได้นะ ไม่แอบนินทาอาจารย์ ใช่หรือไม่
(การมองโลกไปตามความเป็นจริง ไม่ใส่ร้ายปรุงแต่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเรามากจนเกินไป อย่างเช่นการมองโลกในแง่ร้ายเกินไป ก็จะทำให้เราทุกข์ใจ มองโลกในแง่ดีเกินไปก็จะทำให้เรายึดติด)  ฉะนั้นมองตามความเป็นจริง อะไรจะเกิดก็กล้ายอมรับ แม้จะต้องสูญเสีย แม้จะต้องพลัดพราก แม้จะต้องเจ็บปวด พูดง่ายแต่ทำไม่ง่ายเลยนะ ใช่ไหม เพราะความจริงมีหลายบทเรียนที่เราจะต้องเรียนรู้ และบทเรียนนั้นคือชีวิตนะ มีพบก็มีพราก ฉะนั้นทุกครั้งที่มีสุข อย่าลืมความทุกข์
(มีความจริงใจ)  เกิดเป็นคนต้องมีความจริงใจ จริงใจหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าความซื่อสัตย์ ซื่อตรง
(อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ใช้สติควบคุมแล้วแก้ปัญหาให้ถูกต้อง) แค่ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ขอบคุณแล้ว ก็รู้สึกดีแล้ว แม้สิ่งที่เกิดนั้นมันจะทำให้เราสูญเสียก็ตาม จำไว้นะศิษย์เอ๋ย (ความดี สติ สมาธิ ความมีเหตุมีผล)  อาจารย์อยากจะบอกให้นะศิษย์ คำว่าเหตุผลทุกคนก็มีเหตุผล แต่บางครั้งเหตุผลอาจทำให้เราตัดสินใจอะไรได้ไม่เที่ยงเท่ากับความเป็นจริงแห่ง
สัจธรรม เพื่อนก็มีเหตุผล ศิษย์ก็มีเหตุผล แล้วเหตุผลใครควรยอมล่ะ
(ใช้สมาธิ สติก่อน)  มองตามความเป็นจริง การคิดตามเหตุผลบางครั้งก็เข้าข้างตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
(ควบคุมความรู้สึกตัวเองให้ได้) ทำให้ได้นะ
(สิ่งที่ควรทำคือกตัญญูต่อพ่อแม่ สิ่งที่ไม่ควรทำคือลดความอยากของตัวเราเอง)  ถึงเวลาอย่าลืมคำพูดตัวเอง ถ้าทำได้ก็นับว่าประเสริฐแล้ว
(สิ่งที่ดีกับสิ่งที่ไม่ดี)  อย่างเช่น เห็นใครได้ดี อิจฉาริษยาควรไหม (ไม่ควร)  เห็นใครได้ดีแอบนินทาว่าร้าย ควรไหม (ไม่ควร)
(ควรปล่อยวาง)  ควรปล่อยวางหรือ อาจารย์ว่าสู้ยินดีกับเขา มีสุขกับเขานั่นประเสริฐกว่านะ ใช่ไหม
(ไม่ควรมองใครว่าสวยกว่าหรือขี้เหร่กว่าตัวเอง, คิดดี ทำดี ประพฤติดี ปฏิบัติดี) สิ่งที่จะช่วยโน้มนำความคิดให้ไม่ไหลไปทางผิดได้ก็คือ คุณธรรมและความจริง ที่เรียกว่าสัจธรรม
(ให้มีปัญญาศรัทธาในสิ่งหนึ่ง)  ขอให้ศรัทธาในความเป็นจริงและเชื่อมั่นในความเป็นจริงที่มันอยู่ในตัวศิษย์ทุกคน และความจริงนี้เราก็หนีไม่พ้น คือทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์และว่างเปล่า เราหนีไม่พ้น ขอแค่เพียงเข้าใจก็จะไม่ทุกข์กับมัน ใช่ไหม
(ไม่กินเหล้า ไม่เที่ยวเตร่)  แล้วหัวหน้าของอาจารย์กินเหล้าไหม (ทานบ้าง)  แล้วควรจะกินไหมตอนนี้ (พยายามจะหยุด)  หยุดเลยดีกว่านะ เพราะเวลาเรากินเหล้า เรากินเหล้าหรือเหล้ากินเรา (เหล้ากินเรา)  ก็รู้นี่ใช่หรือไม่ เวลากินแล้วมันหยุดได้ไหม เคยไหมเป๊กเดียว (บางทีสักเป๊กก็ไม่อยู่เลย)  แล้วถ้าเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมามันคุ้มไหม (ไม่คุ้ม)  ฉะนั้นอย่าไปกินมันดีไหม  (ดี)  อย่างนั้นอาจารย์บอกบุญได้ไหม (ได้) 
(ไม่ควรยึดติดเพราะว่าไม่มีอะไรเป็นของเรา)  ปรบให้ศิษย์ท่านนี้หน่อยนะ ตอบได้ดีมากเลยนะ ไม่เสียทีที่อาจารย์พูดมาตั้งเยอะ
(พระอาจารย์เมตตากับหัวหน้าชั้น)
หัวหน้ารู้เรื่องหรือยัง (รู้แล้ว)  ถ้าอย่างนั้นถ้าอาจารย์ขอบิณฑบาตต่อไปศิษย์จะกินเหล้าไหม (ไม่กิน)  อย่างนั้นรับแอปเปิลไหม (รับ)  รับแปลว่าจะไม่กินใช่ไหม (ครับ)  ปรบมือให้หัวหน้าหน่อย ทำให้ได้นะศิษย์ ตอนนี้เหล้ามันกินศิษย์ ต่อไปเหล้ามันจะกินทั้งตัวแล้วทำให้ศิษย์ตายและเวียนว่ายไม่จบสิ้นนะ ทำให้ได้นะ รับปากแล้วถ้ากินแอปเปิลไปทำไม่ได้มันจะเป็นพิษนะ แต่ถ้ารับปากอาจารย์แล้วกินแอปเปิลไปแล้วทำได้ แอปเปิลนี้จะเป็นยาเอาไหม (เอา)  อย่างนั้นถ้าเพื่อนชวนดื่มสักกรึ๊บหนึ่งเอาไหม (ไม่เอา)  ทำให้ได้นะศิษย์เอ๋ย ใครอยากได้แอปเปิลแบบนี้บ้าง
(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนที่ออกมานำร้องเพลง)
ได้แอปเปิลแล้วใช่ไหม ไม่เหมือนกันนะลูกนั้นกับลูกนี้ เอาแล้วทำให้ได้นะ รักษาสัจวาจายิ่งชีวิต ถ้าทำได้ก็เป็นมงคลกับชีวิตศิษย์เอง มีใครจะเอาแอปเปิลอีกไหม ทำได้ใช่ไหมศิษย์ มั่นใจนะ อย่าลืมชวนเขาไปอัดเพลงนะ แอปเปิลลูกนี้ไม่เหมือนลูกนั้นนะ ลูกนั้นมีโอกาสเอาไปผูกบุญให้กับคนอื่นเพื่อสร้างบุญต่อ แต่ลูกนี้กินเพื่อรักษาดูแลตัวเองนะ ลูกนั้นมีโอกาสเอาไปสร้างบุญต่อให้กับคนที่มีคุณ ทำให้ได้นะศิษย์ มีใครอีกไหม ถ้าไม่มีอาจารย์กลับแล้วนะ
ฝ่ายหญิงกินเหล้าไหม (ไม่กิน)  เบียร์กินไหม (ไม่กิน)  การพนันเล่นไหม (ไม่เล่น)  หวยล่ะ เปลี่ยนจากเล่นหวยเป็นเก็บเงินดีกว่านะ
อย่างนั้นวันนี้อาจารย์กลับดีกว่านะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกับศิษย์อีกครั้ง ขอให้ศิษย์อย่าทิ้งโอกาสของตัวเองก็พอ ขอให้มุ่งมั่นบำเพ็ญ การบำเพ็ญไม่ใช่เรื่องยาก แค่รู้จักเข้าใจชีวิต เข้าใจธรรม ธรรมไม่ได้สอนเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ แต่ธรรมสอนให้เรารู้จักมองโลกตามความเป็นจริง โดยการรู้ เท่าทันกายใจของตนว่ากายใจของตนนี้ต้องวางใจให้เป็นกลาง ไม่ว่าอะไรมากระทบ ไม่ว่าอะไรมาทำให้สะเทือนใจ ก็ขอให้รักษาใจเป็นกลาง ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง มองให้ถึงที่สุด ไม่มีใครน่าเกลียดในโลกนี้ มองให้ถึงที่สุด ไม่มีใครน่ารักหรอกในโลกนี้ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงในโลกนี้ เราจะอยู่บนโลกได้อย่างไม่ทุกข์ ถึงจะทุกข์ขนาดไหนก็เข้าใจและไม่ทุกข์กับมัน อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าใจธรรมตรงนี้ เพื่อเอามาใช้ในชีวิต เวลาเจอเรื่องหนักๆ จะได้รับได้ ก้าวต่อไป เพราะชีวิตยังมีเรื่องราวอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความแก่ ความเจ็บ และความตาย ศิษย์รับได้ไหม ศิษย์พร้อมหรือเปล่า ถ้าเกิดความตายนั้นมาถึง ศิษย์ดีหรือยัง ถ้ายังไม่ดีพอตายไปก็ตกนรก ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ถ้ายังไม่ดีอย่าเพิ่งตาย รักษาตัวเองให้รอดและแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำให้ดียิ่งขึ้น ดีไหม (ดี)  เพราะนรกมีคนเต็มแล้ว สวรรค์ไม่มีใครเลย ใช่ไหม (ใช่)  แอบไปมาแล้วหรือ สวรรค์จะมีที่สำหรับคนที่ทำดีโดยไม่หวังผล แต่ถ้าทำดีแล้วขอผลอีก สวรรค์ก็ทำให้เรากลายเป็นสิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดได้
ทำดีอย่าหวังแค่สวรรค์ ถ้าหวังสวรรค์ก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ฉะนั้นทำดีต้องหวังพระนิพพานเลย ไม่ยึดติด ไม่มีตัวตน นั่นแหละที่ที่สุขที่สุด ไปให้ถึงนะศิษย์เอย ดูแลชีวิตตัวเองให้ดี อย่าหลงผิด หลงพลาด เพราะตอนนี้ศิษย์อยู่ในการควบคุมของอาจารย์ แต่ถ้าพ้นไปจากนี้ ศิษย์ต้องดูแลตัวเอง เพราะชีวิตพลาดครั้งหนึ่ง เจ้ากรรมนายเวรเขาไม่ปล่อยนะ ศิษย์ทำเขาขนาดไหน เขาก็เอาคืนมากกว่าขนาดนั้น และถ้าทำศิษย์ไม่เจ็บ เขาก็จะทำคนที่ศิษย์รักที่สุดให้เจ็บปวด ศิษย์อยากได้แบบนั้นหรือ (ไม่)  ฉะนั้นก่อนจะทำร้ายใคร ก่อนจะพูดอะไร ก่อนจะคิดทำอะไร ขอให้ไตร่ตรองให้ดี อย่าสร้างบาป อย่าสร้างกรรม อย่าเบียดเบียนใคร และอย่าเอาชีวิตใครมาบำรุงบำเรอชีวิตเราเลย ได้ไหมศิษย์เอย (ได้)
ศึกษาธรรมเพื่อฝึกเมตตาจิต กลับสู่หนทางธรรมอันเดิมแท้ ที่ศิษย์ทอดทิ้งมานาน มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์ อย่าไปผูกใจเจ็บ อย่าจองเวรจองกรรมเลย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นแล้วก็จบ แต่คนที่ไม่จบคือใจของเราใช่ไหม (ใช่)  ถ้าไม่จบมันก็เจ็บ แต่ถ้ายอมจบมันก็ไม่เจ็บ จริงไหม


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

2557-03-29-30 สถานธรรมหมิงฮุย , ลพบุรี


西元二○ 四 年 歲次甲午 二月 二十九日    仙佛慈悲訓

วันเสาร์ที่ ๒๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗    สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

    ดีหรือร้ายได้หรือเสียสุขหรือทุกข์    ก็เพราะตัวเราเคล้าคลุกไปทุกสิ่ง
ถอนตัวเราจึงมองเห็นความแท้จริง    เพราะทุกสิ่งล้วนแค่นั้นเท่านั้นเอง
        เราคือ
    หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย แฝงกายกราบประณตน้อม
องค์มารดา        ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

    การเวียนว่ายเมื่อเชื่อควรบำเพ็ญธรรม    กฎแห่งกรรมเมื่อเชื่อละไฟฟอน
บาปอกุศลเชื่อมั่นว่าควรลงกลอน    อย่าอาวรณ์ต้องละให้แท้จริงเทียว
ละกิเลสต้องละจริงจริงอย่าถวิล    เปลี่ยนเคยชินเปลี่ยนควรไม่ควรเหลียว
ความมุ่งมั่นความตั้งใจกว่าเขาเขียว    คนเด็ดเดี่ยววางใจใจเบาใสเย็น
กลับคืนว่างเพราะแต่เดิมไม่มี    ในวันนี้บำเพ็ญธรรมละความเห็น
ลดอัตตาสู่การละการอยู่เป็น    ยังชีวิตหยุดยอมเย็นที่พึ่งพา
โลกนี้ใดเป็นจริงแท้พินิจตรอง    ทรัพย์สิ่งของละไปไม่ตามหา
โมหะจะต้องการกว่ายิ่งยิ่งกว่า    คุณค่ากับมีค่าถ่องแท้หรือยัง
ทรัพย์สินหรือชื่อเสียงไม่คงอยู่    คนต่อสู้แย่งเอาไม่รู้ห่าง
ทำเพื่ออยู่หรือเพื่อธรรมนั้นต่าง    ที่กำลังทำอยู่นั้นคือสิ่งใด

            ฮา  ฮา   หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
ถ้าในหัวใจเราไม่มีการแบ่งแยกว่าสิ่งใดที่เราเรียกว่าชอบ สิ่งใดที่เรียกว่าไม่ชอบ สิ่งใดที่เรียกว่าทุกข์ สิ่งใดที่เรียกว่าสุข นั่งอยู่ตรงนี้ก็คงไม่เมื่อย ไม่เบื่อ ไม่ทุกข์จริงไหม (จริง)  ถ้าเราอยู่ตรงนี้แต่หัวใจของเราไม่มีกรอบ ไม่มีความเคยชิน ไม่มีความยึดติดว่าทำแบบนี้เรียกว่าสุข ทำแบบนี้เรียกว่าทุกข์ ไม่ว่าเจออะไรผ่านเข้ามาในชีวิตจะมีอะไรเรียกว่าสุข จะมีอะไรเรียกว่าทุกข์ไหม (ไม่มี)  หรือพูดง่ายๆ ถ้าหัวใจของเราไม่มีความเป็นตัวตน ไม่มีความเคยชิน ไม่มีลักษณะของตัวตน แต่เป็นหัวใจที่กว้าง ถ้าอะไรผ่านเข้ามามันจะเกิดการกระทบแล้วเรียกว่าสุข ทุกข์ ดี ร้าย ได้ เสียไหม (ไม่)  เพราะใจมันกว้าง ใจมันไม่มีกรอบ ไม่มีการยึดว่าแบบนี้ได้ แบบนี้ไม่ได้ ไม่มีแบ่งแยกว่าอันนี้ทุกข์ อันนี้สุข แต่ใจเป็นความกว้างใหญ่หรือที่เรียกว่าถ้าใจเป็นนภาฟ้ากว้าง อะไรจะเกิดขึ้น อะไรจะดับไป ก็ไม่ทุกข์ ก็ไม่สุข ใช่ไหม (ใช่)  แต่ที่เราต้องทุกข์ ต้องสุข เป็นเพราะว่าเรายึดติดกับความรู้สึก เรายึดติดกับความเคยชิน เรายึดติดกับความจำได้หมายรู้ที่เรียกว่าตัวตน จริงไหม
ถ้าถามว่าใจเราเป็นอย่างไร ท่านบอกว่าเป็นคนขี้น้อยใจ เป็นคนเจ้าอารมณ์ เป็นคนเช่นนั้นเป็นคนเช่นนี้ เมื่อใจมีกรอบมีขอบมีเขต เวลาโดนอะไรกระทบก็เลยเจ็บปวดและเป็นทุกข์ แต่ถ้าใจเรากว้างหาที่สุดไม่ได้ หาคำจำกัดความไม่ได้ แล้วอะไรเรียกว่าทุกข์ จริงไหม (จริง)  เราพูดยากไปไหม (ไม่ยาก)  แต่มนุษย์ชอบยึดมั่นถือมั่น จำกัดขอบเขตความรักความสุข แบ่งแยกว่าแบบนี้ฉันไม่เอา จะต้องเป็นแค่นี้ เดี๋ยวนี้ เท่านี้ แล้วเราก็ต้องทุกข์เพราะคำว่าแค่นี้ เดี๋ยวนี้ แบบนี้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์ ไม่มีคำว่าแค่นี้ แบบนี้ เดี๋ยวนี้ หรือฉันก็เป็นคนอย่างนี้ เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) ยิ่งตอกย้ำว่าฉันเป็นคนแบบนี้ เรายิ่งตีกรอบให้ตัวเองแคบมากเท่าไหร่ เราก็ทุกข์ง่ายเท่านั้น เรายิ่งตีกรอบใจเราให้สุขน้อยเท่าไหร่ เราก็ทุกข์มากเท่านั้น ฉะนั้นเปิดใจกว้างๆ ดีกว่าไหม (ดี)  แล้วตอนนี้รู้สึกทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  จริงหรือ (จริง)  ฉะนั้นถ้าใจกว้างดั่งนภา ถ้าใจกว้างดั่งผืนธารา อะไรจะทำให้เราทุกข์ได้ แม้คนจะแช่งชักหักกระดูกก็ตาม เพราะไม่มีตัวเราอยู่ในที่ใด จริงหรือเปล่า (จริง)  แต่มนุษย์หาเป็นเช่นนั้นไม่
“ดีหรือร้ายได้หรือเสียสุขหรือทุกข์    ก็เพราะตัวเราเคล้าคลุกไปทุกสิ่ง
ถอนตัวเราจึงมองเห็นความแท้จริง    เพราะทุกสิ่งล้วนแค่นั้นเท่านั้นเอง”
ลองดึงตัวเราออก มีอะไรเรียกว่าได้ มีอะไรเรียกว่าเสีย ดึงตัวเราออกมีอะไรเรียกว่าสูง มีอะไรเรียกว่าต่ำ แต่เพราะเราเอาตัวเราเข้าไปใส่ แล้วในตัวเราก็มีความยึดมั่นถือมั่น แบบนี้เรียกว่าสูงส่ง แบบนี้เรียกว่าต่ำเตี้ย แบบนี้เรียกว่าดี แบบนี้เรียกว่าไม่ดี แต่จริงๆ แล้วในร้ายมีดี ในดีมีร้าย ใช่ไหม (ใช่)  ไม่มีใครแย่ที่สุด แล้วก็ไม่มีใครดีที่สุด แต่เราต้องมองให้กว้าง กว้างแค่นี้ไหม ใช่ไหม
เวลาเรามองเรามองกว้างแค่ไหน (ไม่กว้าง)  เรายังเลือกมองแต่สิ่งสวยๆ ดีๆ ที่ไม่สวยไม่ดีก็เลือกที่จะไม่มอง ไม่สบายตาไม่มองใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงสุขทุกข์ ทุกข์สุข ทุกสิ่งถ้าเราถอนตัวเราออกมา อะไรจะสุข อะไรจะทุกข์ จริงไหม (จริง)  ตอนนี้อยากรู้จักเราหรือยัง (อยาก)  ความอยากก็เป็นทุกข์นะ เราอยู่ในโลกบางครั้งยึดติดคำว่าต้องได้มากไปหรือเปล่า ทำอะไรก็ต้องได้ทำ อะไรก็ต้องดี พอไม่ได้ไม่ดีก็เลย (ทุกข์)  พอไม่ได้บ้างไม่ดีบ้างทำให้รู้ใจตัวเอง
ถ้าไม่ยึดมั่นสำคัญมั่นหมาย ติดรูปลักษณ์จนเกินไปเราก็จะพบธรรมะที่แท้จริง แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนมักยึดติดสำคัญมั่นหมายในสิ่งที่ตัวเองรู้ เราเคยมองไหมว่าต้นเหตุแห่งทุกข์ล้วนเกิดจากใจ ดังคำปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า “เมื่อใจว่างทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นของว่างโดยฉับพลัน แต่เมื่อใจวุ่นแม้ทุกสิ่งจะนิ่งเงียบงันก็กลายเป็นเรื่องวุ่นวายได้ในทันที” ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนที่มนุษย์ชอบพูดว่า ไม่มีอะไรร้ายในวันที่จิตใจเราดีงาม และไม่มีอะไรดีในวันที่จิตใจเราเลวร้าย ประโยคนี้เราพูดบ่อย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ย้ำบ่อย เหมือนเวลาเรารู้สึกดีโดนว่าเรายังยิ้มได้ แต่ถ้าเวลาเรารู้สึกแย่โดนชมเรายังไม่เชื่อใจเลย ฉะนั้นถ้าอยากจะแก้ทุกข์จึงต้องค้นหาต้นเหตุ แล้วต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวลล้วนเกิดจากใจท่านเอง ปราชญ์โบราณกล่าวว่า “หนีความวุ่นวาย หนีสิ่งแวดล้อมไม่สู้หนีใจตัวเอง” เคยไหม เวลาเราทุกข์ใจ เราหนีไปทั่ว แต่สิ่งที่หนีไม่พ้นคือ (ใจตัวเอง)  ใจที่ไม่ยอมหยุดคิดสักที ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยู่ในโลกนี้ขอให้เราไม่ทุกข์ ขอให้เราไม่พลัดพราก ขอให้เราไม่สูญเสีย ขอให้เราไม่เจ็บป่วย ขอให้เราไม่โดนนินทา ขอให้เราไม่ถูกทำร้าย ขอให้เราไม่โดนเข้าใจผิด ขอให้เราไม่โดนโกงได้ไหม (ไม่ได้)  ตอบว่าไม่ได้ แล้วถึงเวลาขอกันทั้งนั้นเลย ขอให้ลูกเป็นคนดี ไม่ทำตัวประพฤติผิดได้ไหม (ไม่ได้)  ตอบเองนะว่าไม่ได้ แล้วขอไหม (ขอ)  อย่างนั้นถ้าเอาใหม่ ขอให้ไม่เจ็บป่วย ขอให้ไม่ทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่แน่นะ ขอให้ไม่พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ขอให้ชีวิตนี้ไม่ต้องสูญเสียอะไรเลยได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นเวลาเจอพระขออะไรดี ขอพระไม่สู้ขอตัวเราเอง วิงวอนพระไม่สู้วิงวอนตัวเอง เอาเวลาไปขอพระ สู้ขอให้ตัวเองเข้มแข็งรับให้ได้ทุกเรื่องไม่ดีกว่าหรือ (ดี)  ฉะนั้นเวลาเจอพระ ขอให้หนูเข้มแข็ง ไม่ว่าเรื่องอะไรจะเกิดขึ้นก็ขอให้หนูรับได้ ทนได้ สู้ไหว ผ่านไปไหว อะไรดีกว่ากัน (ขอตัวเอง)  ขอให้หนูรับให้ได้ในเรื่องที่หนูไม่อยากเจอที่สุด ขอให้เข้มแข็ง ผ่านไปกับเรื่องที่ไม่คาดคิดได้ดีที่สุด โดยไม่ล้มคว่ำไปเสียก่อน นี่คือสิ่งที่ท่านกราบพระแล้วควรจะขอมากที่สุด ไม่ใช่ขอให้รวย ขอให้ไม่เจ็บ จริงไหม (จริง) 
อย่างนั้นเมื่อเราขอแล้ว เจ็บก็ได้ เสียก็ได้ พลัดพรากก็ได้ ทุกข์ก็ได้ เพราะอะไร เพราะเราไม่ปฏิเสธมัน แล้วพอเจอเราต้องผ่านให้ได้ แต่ถ้าเราเริ่มต้นปฏิเสธก็แปลว่าเราไม่สู้ ยอมแพ้ ฉะนั้นเมื่อไม่สู้ ยอมแพ้ พอเจอก็รับไม่ไหว ถูกไหม (ถูก)  ถ้าท่านผ่านด่านนี้ได้ เดี๋ยวเราจะบอกด่านอีกด่านหนึ่ง ทุกข์ได้ไหม เจ็บได้ไหม สูญเสียได้ไหม จนได้ไหม (ได้) 
มนุษย์เราแต่เดิมมาเราไม่มี แล้วถึงที่สุดเราก็ต้องกลับสู่ความไม่มี รวยไปเพื่ออะไร ถึงที่สุดก็ต้องปล่อยวาง มีน้อยๆ ปล่อยก็ง่าย แปลกนะรู้ทั้งรู้อยู่เต็มอกแต่ก็ยังอดใจไม่ไหว ด่านแรกยังผ่านไม่ได้เลยแล้วจะไปด่านที่สองได้หรือ เราจะบอกวิธีแก้ด่านที่สองของเราไม่ยาก เห็นพัดนี้ไหม ท่านคิดว่ามีอะไรบกพร่องมีหรือไม่ (มี)  ส่วนใหญ่เริ่มเห็นข้อบกพร่อง ถามว่าถ้ามีพัดอันนี้แล้วเวลากางออก มีอยู่ซี่หนึ่งที่ติดอยู่กางไม่เออก เอาไหม (เอา)  วันนี้ท่านอาจอยากได้พัดแต่ติดตรงที่ว่าพัดมีหนึ่งซี่กางไม่ออก ทำให้มองไม่เห็นตัวหนังสือที่ซ่อนอยู่จะเอาไหม (เอา)  พอเป็นพัดของเราก็อยากได้ใช่ไหมล่ะ ถ้าเราจะซื้ออะไรสักอย่างหนึ่งแล้วมีตำหนิหรือข้อผิดพลาดจะยังต้องการอยู่อีกหรือเปล่า ไม่เอาทันทีเลยใช่ไหม (ใช่)  นั่นแหละเป็นนิสัยที่น่ากลัวของมนุษย์ ฉะนั้นเจอคนๆ หนึ่งหรือเจอเรื่องหนึ่งเราเลยผ่านไปไม่รอด เวลาเจอใครคนหนึ่งเขาขัดตานิดนึงเราเลยรู้สึกว่าไปไม่รอดใช่ไหม (ใช่) 
เราจะบอกท่านว่าอย่าปล่อยให้ข้อผิดพลาดเพียงนิดเดียวทำลายความดีงามของสิ่งๆ หนึ่งทั้งหมด จากตัวอย่างเรื่องพัด ต้องการซื้อพัดเพื่อคลายร้อน แต่เพียงติดอยู่ซี่เดียวแล้วไม่ซื้อเลย แล้วมานั่งทนร้อน เคยไหมเกลียดคนบางคน ไม่ให้เขามาทำงานด้วยกันเพราะเกลียดเขา แล้วก็กลับมาทุกข์เอง เพราะอะไร เพราะรับไม่ได้เพียงแค่เขาไม่ดีข้อเดียว จึงทำลายความดีงามทั้งหมด เหมือนกันเวลาท่านทุกข์อกหักครั้งเดียวถึงกับคิดตายกันเลย  แล้วคุณค่าทั้งชีวิตที่มีไม่เหลือแล้วหรือ จริงไหม (จริง)  เคยรวยมาก่อนล้มละลายทีเดียว ฆ่าตัวตายเลย อย่างนั้นแปลว่าชีวิตทั้งชีวิตคุณค่ามีอยู่แค่กองเงินกองนี้ ถ้ากองเงินกองนี้หมดตายลูกเดียว คุณค่าชีวิตของเราทั้งชีวิตคือเขาคนเดียว เขาไม่รักเรา ตายใช่ไหม (ไม่ใช่)  อย่าเพียงเพราะทุกข์อย่างเดียวแล้วปลิดชีวิต อย่าเพียงเพราะทุกข์อย่างเดียวแล้วมีสุขไม่ได้ อย่าเพียงเพราะผิดพลาดครั้งเดียวแล้วอยู่ไม่รอด อย่าเพียงเพราะไม่ชอบเขาเหม็นขี้หน้าจึงไม่คิดคบหาและอยู่ร่วม อย่าเพียงเพราะเสียงๆ เดียวทำให้สมาธิหาย ใช่ไหม (ใช่)
ไปสองด่านพ้นไหม ส่วนใหญ่พอเราติดอะไรเขานิดเดียวเราก็มองไม่พ้นแล้ว พอไม่ชอบนิดเดียวสิ่งดีๆที่เหลือ หาเจอไหม (ไม่เจอ)  น่าเสียดายยิ่งนัก บางทีเราพยายามหาสิ่งที่ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด แต่ถึงเวลาก็ต้องมีสิ่งที่พร่องให้เห็นจนได้ เราถามนะ ท่านเคยไหม พอถึงที่สุดแล้วขอให้เหลือดีสักหนึ่งแม้ทั้งร้อยจะเลวร้ายก็ตาม เคยเป็นไหม (เคย)  และส่วนใหญ่จะเป็นใครหรือ คนที่เรารักใช่หรือไม่ (ใช่)  มองตอนแรกเราว่า ทั้งร้อยนะมีดีทั้งร้อยเลย หาเสียไม่ค่อยเจอ แต่พออยู่ไปนานๆ เป็นอย่างไร ทั้งร้อยดีนั้นเหมือนเสียหมดเลย กว่าจะหาดีได้นี่หลับตาดูเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฝ่ายหญิงนึกถึงสามี ถูกหรือไม่ (ถูก)  และผลสุดท้ายก็ต้องอยู่กับสิ่งที่แค่เหลือดีอย่างเดียว ก็เอานะ อย่างน้อยก็ยังมีดีสักหนึ่งอย่างใช่ไหม
แล้วทำไมกับคนอื่นเขามีดีเป็นร้อย เสียอย่างเดียวไม่เอาแล้วล่ะ ฉะนั้นถ้ามองให้ดีเป็นเพราะใจเราหรือไม่ ถ้าเราไม่ติดจนเกินไปทุกเรื่องทุกราวก็มีคุณค่า ทุกคนก็มีข้อดี ถ้าเราเข้าใจตรงนี้เราก็คงไม่ทุกข์ ถูกหรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นด่านที่สาม ลองไปกับเราดูไหม ไหวไหม (ไหว)
ด่านที่สาม เคยได้ยินไหมว่า “เสียอะไรก็เสียได้ แต่อย่าให้ใจสูญเสีย เสียอะไรก็เสียได้ แต่อย่าให้ใจเสียศูนย์” เป็นคำพูดที่มนุษย์พูด ทำไมจึงพูดแบบนี้ กายเป็นของตาย แต่จิตเดิมแท้เป็นของเป็น เมื่อไหร่ที่มนุษย์ผูกพันตัวตนอยู่กับกายก็หนีไม่พ้นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และถึงที่สุดก็คือความสูญสลาย หรือว่างเปล่า แต่ถ้าเมื่อไหร่มนุษย์ค้นพบจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้นี้อยู่เหนือกฎแห่งไตรลักษณ์ อยู่เหนือกฎแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ถ้าเมื่อไหร่มนุษย์เอาตัวกายเป็นตัวตน มนุษย์จะหนีไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไหร่มนุษย์เอาจิตเดิมแท้คือตัวจริง เมื่อนั้นมนุษย์จะพ้นทุกข์ได้ ยากไปไหม (ไม่ยาก)  ถ้าไม่ยากเราต่อนะ
อย่างนั้นมีคำพูดคำหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า ถ้ามนุษย์ถือกายเป็นตัวตนมากกว่าจิตเดิมแท้ กายนี้เราควรเอาเป็นของตัวตนไหม ควรยึดมั่นถือมั่นไหม (ไม่ควร)  พระพุทธะเคยกล่าวไว้ว่า “สิ่งใดที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ควรหรือที่เราจะยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน” แต่เรายึดไม่ยึด (ไม่ยึด, ยึด)  นี่คือเรา นี่คือของเรา นี่คือตัวฉัน ของฉัน ฉะนั้นพอกายเจ็บใจก็เจ็บ พอกายป่วยใจก็ป่วย พอกายทุกข์ใจก็ทุกข์ แล้วควรหรือที่จะยึดเอากายเป็นตัวตน เพราะกายหนีไม่พ้นความเที่ยงแท้ที่เรียกว่าสัจธรรม หรือเรียกว่ากฎแห่งไตรลักษณ์ อย่างนั้นเราควรเอาอะไรเป็นตัวเป็นตนดีล่ะ แล้วจิตอยู่ตรงไหน (ตรงใจ)  จริงๆ ใจยังมีความเป็นตัวตนอยู่ ไม่เหมือนจิต จิตนั้นคือ “ภาวะที่ได้รับการชี้หนึ่งจุด”  นั่นคือจิตตรงนั้น แต่จิตตรงนั้นที่มนุษย์หาไม่เจอแล้วเอามาเป็นตัวตนไม่ได้ แล้วเอามาเป็นที่พึ่งไม่ได้เพราะอะไรรู้ไหม เพราะจิตเดิมแท้ไม่มีรูปลักษณ์ จิตเดิมแท้มีอยู่ในตัวตนเมื่อเข้ามาอยู่ในกายทำให้เรียกว่าชีวิต ถ้าจิตออกจากกายทำให้กายนี้ต้องตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเมื่อจิตเข้ามาอยู่ตัวเรา เราเคยนำจิตนี้มาเป็นที่พึ่งของชีวิตไหม (ไม่)  เรามักจะยึดกายเป็นที่พึ่ง พอกายเจ็บ ใจก็เจ็บ ตอนนี้เรากำลังจะบอกกับท่านว่า เมื่อท่านได้รับหนึ่งจุดชี้ กายเป็นสิ่งที่เราคุมไม่ได้เป็นสิ่งที่อยู่ในกฎแห่งสัจธรรมที่ว่าเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และถึงที่สุดก็ว่างเปล่า ฉะนั้นอย่ายึดกายเป็นตัวตน ถ้ายึดกายเป็นตัวตนท่านจะทุกข์ไม่จบสิ้น แต่จงยึดจิตเป็นตัวตนเดิมแท้ เพราะจิตอยู่เหนือกฎแห่งการเปลี่ยนแปลง แล้วจิตแบบไหนที่อยู่ในตัวเราแล้วทำให้เราพ้นทุกข์มานานแล้ว แต่เราไม่เคยนำจิตมาเป็นตัวตน เรายึดมั่นแต่กายแล้วก็ใจ ใจที่เพิ่งมาสร้างทีหลังหลังจากอยู่ในกายนี้ แต่จิตเป็นสิ่งเดิมแท้ไม่มีลักษณะนิสัย เป็นความว่างไม่มีรูปลักษณ์แต่เมื่ออยู่ในตัวตน จึงเรียกว่า “ชีวิต” ถ้าออกจากตัวตนเรียกว่า“ความตาย” กายตัวนี้เรียกว่าความตาย ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นถ้ามนุษย์หาจิตเดิมแท้เจอ มนุษย์จะพ้นทุกข์ได้ในทุกๆ วัน ศิษย์เจอไหม (เจอแล้ว)  แต่ไม่เคยอยู่กับจิต ชีวิตอยู่แต่กับใจแล้วก็กาย กายที่เปลี่ยนไปแบบนั้นแบบนี้ใช่หรือไม่ ถ้าอยากพ้นทุกข์หาจิตให้เจอแล้วอยู่กับจิตให้ได้ หรือที่พระพุทธศาสนาสอนเราว่า “แค่ตื่นรู้ก็พ้นทุกข์” แล้วตื่นรู้อะไร ไม่ยากเราถามท่านนะ ระหว่างดอกบัวกับกุหลาบท่านว่าอะไรคือธรรมะ (ดอกบัว, กุหลาบ)  ถ้าอย่างนั้นถามต่อยังไม่เฉลย คนหนึ่งสวดมนต์แต่คนหนึ่งกำลังดุว่า อะไรคือธรรมะ (สวดมนต์)  ทำไมเราจึงมองไม่เห็นธรรม เราเอาใจนำหน้า เอาตัวตนนำหน้า เราจึงมองไม่เห็นธรรม เมื่อมองไม่เห็นธรรมเราจึงไม่สามารถหันมาพบจิตเดิมแท้ได้ ย้อนมาคำถามที่ว่าอะไรคือธรรมะ “ไม่ยึดติดให้ความสำคัญในสิ่งสมมติ” ใบ้ขนาดนี้แล้วนะ ระหว่างดอกบัวกับกุหลาบ ตอบว่าทั้งสองสิ่งก็คือธรรมะแต่สิ่งหนึ่งกลายเป็นโลกทันทีและสิ่งหนึ่งกลายเป็นธรรมทันทีเพราะใจติดยึด แต่ทั้งสองจะกลายเป็นธรรมทันทีถ้าว่างเปล่าจากหัวใจที่ติดยึด ถูกหรือไม่ (ถูก) 
มนุษย์มักมองว่าดอกบัวคือตัวแทนของธรรม ตัวแทนของความสงบ ส่วนกุหลาบคือความเป็นโลกแท้ๆ เลย เมื่อไรที่มีคำว่าดีใจ เสียใจ ไม่เป็นธรรมะแล้วนะ ไม่เป็นตัวตนแค่นั้นแล้วนะแต่กลับกลายเป็นกิเลสทันที เห็นไหมว่าแค่ดอกบัวกับดอกกุหลาบ แต่ถ้าเราไม่ยึดติดสำคัญมั่นหมายในสิ่งที่เราเรียนรู้ เราจะมองเห็นความเป็นจริงแท้ ก็ดอกบัว ก็ดอกกุหลาบ แต่ถ้าเมื่อไรเรายึดติดสำคัญมั่นหมายในสิ่งที่เขากำหนดกัน ได้รับดอกกุหลาบก็ยิ้มได้ ดอกบัวก็รู้สึกไม่อยากรับ ใช่ไหม เมื่อมีได้ มีเสีย มีชอบ มีชัง จึงกลับกลายเป็นไม่ใช่ธรรมแต่กลายเป็นกิเลส แต่ถ้าเมื่อไรมองเห็นแค่นั้น เท่านั้น เช่นนั้น ดอกกุหลาบหรือดอกบัวก็คือธรรม ว่าไม่ได้ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนั้นจึงกลายเป็นกิเลสฆ่าเราได้ ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นเป็นนายเหนือกิเลสหรือเราตกเป็นทาสกิเลส อยู่ที่ว่าเราใช้ใจหรือกายหรือจิต แล้วจะเข้าถึงจิตได้อย่างไร ง่ายๆ เห็นสักแต่ว่าเห็น รู้สักแต่ว่ารู้ นั่นแหละท่านกำลังอยู่กับจิต จิตที่แม้จะได้ดอกบัวในวันวาเลนไทน์ก็ไม่ทุกข์ แล้วจิตที่ได้ดอกกุหลาบในวันวาเลนไทน์ก็ไม่ยึดติดสุข ธรรมะคืออะไรเราขอไม่กำหนด แต่ธรรมะคือสิ่งที่ไม่ใช่ยึดดีเกลียดเลวร้าย แต่ธรรมะคือสิ่งที่มองเห็นความเป็นจริงมากกว่าดีหรือร้าย ได้หรือเสียในความคิดหรือในใจที่เรายึด พอเข้าใจไหม ยากไหม (ไม่ยาก)  พอเห็นหรือยังอะไรธรรม อะไรกิเลส อะไรใจ อะไรจิต ฉะนั้นขอแค่เพียงท่านมีสติตื่นรู้ทุกขณะที่เกิดขึ้น ไม่หลงไปกับดีร้าย ได้เสีย ทุกข์สุข โดยไม่เอาตัวตนเองไปร่วม ทุกครั้งที่โลกนี้วุ่นวาย ทุกครั้งที่โลกนี้สับสนเพราะมนุษย์เอาตัวตนไปวัดทุกๆ สิ่งในโลก จริงไหม (จริง)
เหมือนเราถามท่านนะ เราสูงหรือเตี้ย จะมองแบบใช้ใจมองหรือใช้จิตมอง (ใช้จิตมอง)  แล้วรู้ไหมว่าถ้าเราใช้จิตมอง เราจะอยู่ร่วมกันโดยไม่ก่อเวร ก่อภัย ฉะนั้นถ้าเราใช้จิตมอง จิตจะทำให้เราก้าวข้ามพ้นทุกข์และพ้นการเวียนว่ายและก่อเวรก่อกรรมกับคนได้ ฉะนั้นสูงหรือเตี้ยหรือถ้าพูดง่ายๆ “ไม่รู้” ใช่ไหม (ใช่)  อย่าพยายามรู้ทุกเรื่อง อย่าพยายามมีความคิดกับทุกๆ คน เพราะพยายามจะไปพูดให้เขาคิด พูดให้เขารู้ นั่นแหละเรากำลังหาเรื่องทุกข์ ฉะนั้นบางครั้ง “ไม่รู้” ดีที่สุด ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าบอกว่า ฉันรู้ๆ แบบนี้ว่าเรียกว่า เตี้ย พูดไปทุกข์ไหม ใครทุกข์ (คนฟัง)  ใช่ไหม (ใช่)  ยกตัวอย่างง่ายๆ นะ ถ้าสมมติว่าท่านมองว่าเราเตี้ย เราเดินไปบอกอีกคนหนึ่งว่า เธอๆ เขาว่าฉันเตี้ย ถ้าคนนี้คิดไม่เป็น ใช้ใจมากกว่าใช้จิต เรื่องไม่จบเลยนะ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นจำไว้นะ อยู่ในโลก ใช้ใจหรือใช้จิต ถ้าใช้จิตทุกขณะจะพ้นทุกข์ได้ทุกขณะ นี่แหละเรียกว่าบำเพ็ญได้ทุกเวลา แค่มีสติตื่นรู้อะไรเกิดขึ้น ใช้ตัวจิตอย่าใช้ตัวใจไปวัดใคร จิตเดิมแท้ที่มองเห็นสรรพสิ่งอย่างจริงแท้ ไม่ใช่สรรพสิ่งแบบยึดมั่น สำคัญมั่นหมาย ยากใช่ไหม เพราะมนุษย์มีสติไม่ได้ตลอดเวลา พุทธะจึงสอนว่า จงใช้คุณธรรมกำกับชีวิต ไปเรื่องคุณธรรมต่อแล้วนะ เมื่อสักครู่พูดเรื่องธรรม ใจ จิต กิเลส ตอนนี้คุณธรรม ทำไมจึงบอกว่าใช้คุณธรรม
ท่านเคยได้ยินคำพูดนี้ไหม สิ่งใดที่ทำให้ใจบริสุทธิ์ยุติธรรม นั่นเรียกว่า กำลังบำเพ็ญ เมื่อคุณธรรมก่อเกิดหนี้เวรกรรมย่อมได้สะสาง ภพภูมิชาติย่อมถูกตัดลง ฟังเรายากไหม สิ่งใดที่ปฏิบัติดำรงอยู่แล้วทำให้เราบริสุทธิ์ยุติธรรม สิ่งนั้นเรียกว่าคุณธรรม สิ่งใดที่ทำแล้วทำให้เราวิ่งไปตามความเคยชิน แล้วเกิดกิเลส อารมณ์ และตัวตน สิ่งนั้นไม่อาจเรียกว่าคุณธรรมได้ เราไม่กำหนดนะว่าคุณธรรมคืออะไร แต่เราบอกให้เพียงว่า ถ้าปฏิบัติแล้วทำให้เราดำรงซึ่งความถูกต้องบริสุทธิ์ยุติธรรม เรียกว่าคุณธรรม แล้วเมื่อใดคนใดคนหนึ่งปฏิบัติคุณธรรมจนคุณธรรมก่อเกิดในชีวิตและจิตใจ บาปเวรกรรมเขาจะได้ถูกสะสาง ภพแห่งการเวียนว่ายเขาจะถูกตัดลงทันที เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นถ้ามนุษย์ไม่สามารถมีสติตื่นรู้ แล้วไม่สามารถปฏิบัติให้ตนเองดำรงอยู่ในคุณธรรมแห่งความเป็นคน มนุษย์ก็หนีไม่พ้นการเบียดเบียน เห็นแก่ตน เอาแต่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า อยากตัดภพแห่งการเวียนว่าย ไม่อยากเวียนว่ายในโลกใบนี้หรือโลกอื่น จงรู้จักรักษาทาน ศีล และภาวนา หรือเรียกว่าปัญญา ใช่หรือไม่ มีหลายคนตามเราไม่ทันนะ
หลายครั้งที่ฟังธรรมะมาเยอะ เรามักจะงงว่าธรรมะคืออะไร แล้วธรรมะเกี่ยวอะไรกับคุณธรรม ตอนนี้เราบอกไปแล้วว่าธรรมะคืออะไร แล้วทำไมถึงต้องปฏิบัติธรรม สรุปได้ไหม อย่างนั้นวิธีทดสอบ ระหว่างคนที่มีแต่ให้กับคนที่หวังแต่จะรอรับอย่างเดียว อะไรเรียกว่าปฏิบัติธรรม (คนที่ให้)  คนที่มีแต่รอขอ ปฏิบัติธรรมไหม เขาไม่ปฏิบัติแต่ทำให้เราต้องปฏิบัติ เขาปฏิบัติทำให้เรากลายเป็นไม่ปฏิบัติ เข้าใจความหมายเราไหม คนที่มีแต่ให้เขาปฏิบัติได้ดี แต่ถ้าเราเอาแต่ยืนรับเราไม่ได้ปฏิบัติ เมื่อเห็นคนให้เรารู้จักให้หรือยัง ไม่ทำใช่ไหม เรามองคนออกแต่อย่าลืมมองตัวเอง เรากำลังให้หรือเรากำลังรอรับ
ฉะนั้นการปฏิบัติธรรม พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ถ้าทางสายปราชญ์คือ คุณสัมพันธ์ห้า คุณธรรมแปด ถ้าทางสายพุทธเรียกว่า ศีลห้า ศีลแปด ศีลสิบ หรือศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วสิ่งที่เรียกว่าคุณธรรมนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ต้องฟื้นฟูใหม่ แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวมนุษย์ทุกคน แต่ไม่ค่อยกระทำกัน ลองดูทางสายปราชญ์ คุณธรรมทั้งแปดมีอยู่ในตัวเราไหม กตัญญูมีไหม (มี)  เห็นใครมีพระคุณต้องตอบแทนคุณ เราตอบแทนคุณทุกคนไหม จริงๆ ทุกคนมีพระคุณต่อเรานะ ไม่มีเขาจะมีเราหรือ โลกหมุนไม่ได้เพียงคนคนเดียว ชีวิตไม่สามารถสำเร็จสมบูรณ์ได้เพียงเพราะเราคนเดียว อย่าเผลอหลงตัวเอง ต้องขอบคุณทุกๆ คน แล้วก็ต้องขอบคุณสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่ทำให้เราได้รู้จักคิดด้วย

สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงกล่าวไว้ว่าเพียงมีคุณธรรมหนึ่งข้อ “กตัญญูรู้คุณ” ก็เปรียบได้กับเทพพรหมในแดนสรวง แต่มนุษย์เพียงคุณธรรมข้อเดียวก็ยังทำไม่ครบสมบูรณ์ เราเคยไปแลเหลียวพ่อแม่หรือไม่ มีแต่ดูดำดูดีหัวดำของเราเอง ใช่หรือเปล่า รักไหม (รัก) ห่วงไหม (ห่วง)  ห่วงแต่รักไกลๆ แต่ห่วงห่างๆ อย่างนี้ไม่เรียกว่ากตัญญูอย่างแท้จริง
คุณธรรมทั้งแปดนอกจากกตัญญูแล้วยังมีซื่อสัตย์สุจริต
ซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรมทั้ง 3 ข้อ ดังนี้
1. ซื่อตรง
2. สัตยธรรม
3. สุจริตธรรม
เรามีหรือไม่ ในหัวใจ (มี) โกหกเป็นว่าเล่น เบียดเบียนเป็นนิจศีล แต่ถามจริงๆ ว่าสิ่งนั้นมีอยู่ในใจเราหรือไม่ เรารักคนซื่อตรง เรารักคนซื่อสัตย์ เราชอบคนกตัญญูรู้คุณ เราชอบแล้วเราทำหรือไม่ (ไม่)  เรียกร้องเขาอย่าลืมเรียกร้องตัวเรา ถามหาที่ตัวเขาแต่อย่าลืมถามตัวเราว่ามีครบหรือยัง ถ้าเราดำรงอยู่ในคุณธรรมตลอด ความเป็นตัวตนก็จะหายไป แต่มนุษย์เราไม่ใช่ ทุกครั้งที่ดำเนินชีวิตมักจะวิ่งไปตามความอยากมากกว่าความถูกต้องชอบธรรม  เมื่อไรที่มนุษย์ยึดกายมากกว่ายึดจิต มนุษย์จึงสามารถทำผิดและชั่วช้าได้อย่างที่ไม่คาดคิด เพียงเพื่อกายตัวนี้เอง โกง โกหก ก็เพื่อกายเพียงอย่างเดียวจริงๆ แล้วกายตัวนี้ไปกับเราไหม แล้วกายตัวนี้นำแต่ทุกข์มาให้เราใช่ไหม แล้วไปคบกายทำไม แล้วทำไมจึงไม่คบจิต ตื่นรู้ได้ด้วยจิต ถ้าเมื่อใดที่มนุษย์เข้าใจธรรม กิเลสก็ไม่สิ่งที่น่ากลัว เมื่อใดที่มนุษย์มีปัญญาเข้าถึงคุณธรรม กิเลสมีวันจบสิ้นได้แต่กิเลสจะกลายเป็นธรรมะที่จะนำพาให้เรารู้ตื่นในทันที โดยที่ไม่ต้องปล่อยอะไร แต่มันจะเกิดและดับไปเองเพราะไม่มีตัวตนที่ยึดมั่นหมาย
“ทรัพย์สินหรือชื่อเสียงไม่คงอยู่        คนต่อสู้แย่งเอาไม่รู้ห่าง
ทำเพื่ออยู่หรือเพื่อธรรมนั้นต่าง        ที่กำลังทำอยู่นั้นคือสิ่งใด”
หรือที่ทางสายพุทธเรียกว่าศีลห้า การปฏิบัติเพื่อนำพาตนเองไปในหนทางที่ถูกต้องดีงาม ในศีลนั้นมีธรรมอยู่ ในธรรมนั้นมีศีลอยู่ ไม่ฆ่าสัตว์คือมีเมตตา ไม่ลักทรัพย์คืออะไร ไม่รู้อะไรเลย ใช่หรือไม่ เพราะทุกวันวิ่งวนไปแต่หาเพื่อกายแต่ลืมจิตเดิมแท้ จริงหรือไม่ ฉะนั้นยิ่งยึดติดกายมากเท่าไหร่ กายก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ เราได้รับหนึ่งจุดชี้เพื่อตื่นรู้แล้วมองเห็น เจ็บกายแต่อย่าเจ็บใจ ปวดกายแต่อย่าปวดใจ หนาวร้อนกายได้แต่ใจต้องไม่หนาวร้อน แค่รู้ เราเกิดมาแค่รู้ ตื่นรู้ในความเป็นจริงว่าจิตนั้นอยู่พ้นกายมานานแล้ว แต่เราไม่เคยสังเกต ไม่เคยสงสัยเลยใช่ไหม ฉะนั้นอะไรล่ะที่จะทำให้เรารู้แล้วมีสติ นั่นก็คือดำรงซึ่งคุณธรรมความถูกต้องดีงาม ความถูกต้องดีงามจะทำให้เรามองเห็นความเป็นจริงแห่งชีวิตที่เรียกว่าธรรมะ ว่าใดๆ ในโลกล้วนยึดมั่นไม่ได้
ฉะนั้นเราศึกษาบำเพ็ญธรรมเพื่อค้นหาจิตและดำรงอยู่กับจิตที่นำพาให้เราพ้นทุกข์ แต่ถ้าเกิดว่าเรายังไม่พบจิต ยังปล่อยตัวเองไปตามใจ ตามอารมณ์นั่นก็คือกิเลสและการเวียนว่าย แต่ถ้าเราได้รับหนึ่งจุดชี้และพบจิตแล้ว จิตอยู่เหนือกฎแห่งการเวียนว่าย จิตไม่มีความเป็นตัวตนแต่สภาวะจิตเป็นของว่าง เมื่อไรที่เราหาจิตเจอเมื่อนั้นเราจะพ้นทุกข์ได้ในทุกๆ วัน
ลองกลับไปพิจารณาสิ่งที่เราพูดดูนะ ว่าทุกคนมีจิต จิตที่พ้นทุกข์ จิตที่อยู่เหนือกาย แต่มนุษย์กลับไม่ใช่ ชอบเอากายไปผูกพันกับใจ แล้วก็วนเวียนอยู่กับทุกข์ พอทุกข์มากๆ ก็เลยต้องใช้คุณธรรมมาเสริมใจ ทั้งที่จริงๆ แล้วจิตพ้นทุกข์มานานแล้วนะ
แล้วเราจะค้นพบจิตได้อย่างไร มีสติแล้วมองให้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอย่าเอาตัวตนไปวัด มองตามเป็นจริงอย่างไม่ยึดมั่น อย่างไม่สำคัญมั่นหมาย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดแล้วดับๆ ตลอดเวลา ฉะนั้นท่านไม่ต้องพยายามไปปล่อยอะไร เขาเกิดดับตลอดเวลาแล้ว เรากำลังจะปล่อยอะไร กำลังจะวางอะไร ไม่ต้อง แค่เราไม่เอาใจเราไปผูกพัน ไม่เอาใจเราไปเกี่ยวข้อง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นอิสระของตัวตนเอง แม้กระทั่งกายอยู่ในอำนาจเราได้ไหม ท่านบอกให้มันไม่เหี่ยวได้ไหม แม้แต่คนที่เรารัก ท่านบอกให้เขาไม่ตายได้ไหม (ไม่ได้)  แม้แต่กายที่เราดูแลจนถึงเต็มที่ที่สุด ท่านบอกให้เขาไม่ป่วยได้ไหม อย่างไรก็ต้องป่วย ฉะนั้นจิตตัวเดียวที่จะทำให้เรารู้ จิตที่พ้นจากการยึดมั่นถือมั่น ความจำได้หมายรู้นี้ ขอแค่เพียงมีสติตื่นรู้ อะไรเกิดขึ้น มองอย่างคนที่เข้าใจธรรม แต่ไม่เอาใจตัวเองไปวัด เขาเป็นธรรมดาไหม เขาอยู่ในกฎของธรรมชาติไหม ถ้าเขาอยู่อย่าไปเศร้า เพราะมันคือความจริงที่ทำให้เราได้เห็นธรรม แต่สิ่งสำคัญก็คือเราอยู่กับเขา เราเอาคุณธรรมปฏิบัติกับเขาไหม หรือเราเอาตัวตนปฏิบัติกับเขา หรือเราเอาความยึดมั่นปฏิบัติกับเขา ถ้าเอาความยึดมั่นก็คือความทุกข์ คือกิเลส ไม่ใช่ธรรม แต่ถ้าเราเอาคุณธรรมปฏิบัติกับเขา เขาก็ได้ธรรม เราก็ได้ธรรม เขาก็เห็นธรรม เราก็เห็นธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบเอาความยึดมั่น เธอต้องเป็นอย่างนี้ เธอต้องเป็นอย่างนั้น โลกต้องเป็นแบบนี้ โลกต้องเป็นแบบนั้น นั่นคือตัวตนล้วนๆ เลย
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตากับนักเรียนท่านหนึ่ง)
ไม่ร้องไห้แล้วนะ ทุกอย่างเกิดขึ้นล้วนมีข้อดี มองให้เห็นธรรม เราสูญเสียแล้วทำไมไม่เอาสิ่งนั้นเป็นประตูให้เราก้าวข้ามทุกข์ เราเจ็บปวดแล้วทำไมไม่เอาสิ่งนั้นมาเป็นบันไดให้เราเหยียบ แล้วทำให้เราพ้นทุกข์ แต่ทำไมจมอยู่กับทุกข์แล้วทุกข์อีก ใช่ไหม ทำไมเราไม่เอาสิ่งที่เราสูญเสีย สิ่งที่เราเจ็บปวด สิ่งที่เราผิดหวังเป็นบันไดก้าวข้ามให้เราพ้นทุกข์ เป็นเหมือนเทียนที่ทำให้เราไม่มืดบอดแต่ส่องสว่างอย่างเต็มที่ ฟังรู้เรื่องไหม
(ในชั้นประชุมธรรมมีนักเรียนฝ่ายชายท่านหนึ่งเป็นชาวต่างชาติ)
น่าสงสารเขานะเขาลำบาก เขาฟังภาษาไทยไม่ได้ อย่างน้อยต้อง
ยกย่องความอดทน แม้ฟังไม่รู้เรื่อง เขายังอยู่จนนานขนาดนี้ ปรบมือให้เขาหน่อยนะ ตัวท่านก็ไม่แพ้กัน ปรบมือให้ตัวเองหน่อย ตั้งใจฟังดีกว่านะ
ถึงเวลาคงต้องไปแล้วนะ มีชีวิตไม่ใช่เพื่อใช้ชีวิตให้เต็มที่ แต่มีชีวิตเพื่อค้นหาธรรม และพาตัวเองให้หลุดพ้น โลกใบนี้ไม่สวยจริงๆ หรอกนะ ถ้ามนุษย์ยังตามหาจิต แล้วอยู่กับจิตตัวเองไม่ได้ จงมีสติตื่นรู้และดำรงอยู่ในคุณธรรมแห่งความเป็นคนให้ดีนะ และมีโอกาสเราจะได้ไปเจอกันข้างบนดีกว่านะ จิตที่เข้าถึงภาวะแห่งธรรมคือจิตอันบริสุทธิ์ ใส และงดงาม
วันอาทิตย์ที่ ๓๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗    สถานธรรมหมิงฮุย  จ.ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

    มีสติรู้เท่าทันสิ่งที่เห็น    ยั้งหยุดก่อนปรุงแต่งเป็นอารมณ์ฉัน
มองเป็นกลางกล้ายอมรับทุกสิ่งกัน    แม้พลิกผันก็ยิ่งแจ้งธรรมแท้ใน
        เราคือ
    จี้กงสงฆ์วิปลาส        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว        ถามศิษย์รักทุกคนตอนนี้ยินดีต้อนรับอาจารย์หรือยัง

    อยู่เพื่อลดละ สู้เพื่อลดละ อย่าคิดแค่จะ อาจจะต้องสายไป  เกิดในหัวใจ ตัดที่หัวใจ หากไม่ละจริงใจ มีแต่เพิ่มทุกวัน
* เพิ่มความอยากทำง่ายดาย แต่การลด ทำยากกว่า  ข้ายังอยากดู ศิษย์ลงแรงกว่านี้
** เมื่อเชื่อมั่นว่าควรละ จงละวางโดยแท้จริง ไม่ควรเปลี่ยนความตั้งใจ ใจเบากว่าเดิมเพราะการละ ยิ่งละยิ่งพบปัญญาแท้จริง เป็นยิ่งกว่าการละไป มีกิเลสมากมาก การเพียรหลุดพ้นแสนลำบาก  ศิษย์รักต้องพยายามมากกว่านี้  มีความระวัง ให้สติยั้งหยุดใจของตน (ซ้ำ *,**)
*** เมื่อเชื่อมั่นว่าควรละ จงละให้แท้จริง ไม่ควรเปลี่ยนความตั้งใจ  ใจเบากว่าเดิมเพราะการละ การละที่แท้จริงเป็นยิ่งกว่าการละไป
ชื่อเพลง : ลดละวาง
ทำนองเพลง : เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย

หมายเหตุ เนื้อเพลงท่อนสุดท้ายได้มาจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ลดละวาง”
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ศิษย์รักส่วนใหญ่อยากปฏิบัติธรรมไหม (อยาก)  วันนี้มาฟังธรรมะเพื่อนำพาชีวิตให้รู้จักเรียนรู้ปฏิบัติธรรม ถูกหรือไม่ วันนี้มาฟังธรรม อยากปฏิบัติธรรมไหม (อยาก)  อาจารย์ถามหน่อยนะ ทำบุญเพื่ออะไร นั่งสมาธิเพื่ออะไร (ลดละกรรม)  ลดละกรรมนี่ทำบุญหรือว่านั่งสมาธิ (ทั้งสองอย่าง)  ทำบุญเพื่อลดละกรรม ไปเบียดเบียนเอาชีวิตเขามาแล้วไปทำบุญ อุทิศส่วนกุศล ลดละกรรมหรือเพิ่มกรรม (เพิ่มกรรม)
การทำทานจะบริสุทธิ์ได้ ก่อนทำก็ต้องบริสุทธิ์ สิ่งที่จะเอามาให้ทาน ก็ต้องบริสุทธิ์ หลังให้ ขณะให้ กำลังให้ทานก็ต้องบริสุทธิ์ทั้งหมด ถ้าเกิดมันบกพร่อง ทานนั้นก็ต้องมีเวรกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ทุกคนอยากปฏิบัติธรรม แต่บางครั้งทางในการปฏิบัติธรรมมันมีหลายทาง ใช่ไหม (ใช่)  อันนั้นก็ดี ใช่ไหม แล้วเราก็รู้ปฏิบัติอะไรมันก็ดี แต่ถ้าเอาแต่ปฏิบัติอย่างเดียวก็เรียกว่าเราทำแต่เปลือกนอกแต่ไม่เข้าใจแก่นแท้ก็เปล่าประโยชน์ นั่นเรียกว่ากำลังหลงกับการทำหลงกับการปฏิบัติ แล้วหลงไปหลงมาก็ยึด ต้องแบบนี้เท่านั้นเป็นแบบอื่นไม่ได้ แบบนั้นถูกหรือไม่ (ไม่)  เรียกว่าปฏิบัติไหม ปฏิบัติแต่หลงใจหลงทาง ใช่หรือไม่ (ใช่)
เรานั่งสมาธิ ทำบุญทำทาน สวดมนต์ ไหว้พระเพื่ออะไร (การนั่งสมาธิคือการกำหนดจิต กำหนดสติ กำหนดใจอยู่กับลมหายใจเข้าออก)  ที่ตอบมาทั้งหมดคือวิธี แต่ที่ทำไปทั้งหมดเพื่ออะไร แปลกนะหลงกับวิธีการแต่ลืมไปว่าเราทำเพื่ออะไร อันนี้คือวิธีการปฏิบัติแต่ว่าเราปฏิบัติเพื่ออะไร (เพื่อให้หลุดพ้นเกิดแก่เจ็บตาย) นั่งสมาธิเพื่อให้หลุดพ้น ใช่ไหม (มีส่วน) แปลกนะหลับตานั่งสมาธิทำใจได้อะไรก็ทำใจได้หมด แต่พอลืมตาเท่านั้นแหละ ที่ทำใจได้หายไปหมดเลย จริงๆ แล้วเรานั่งสมาธิคือนั่งเพื่อหาความสงบให้กับใจ เพราะเรารู้สึกว่าโลกนี้มันวุ่นวายเหลือเกิน ใจเรามันวุ่นเหลือเกินอยากหาที่พักใจให้นิ่งๆ บ้าง สงบบ้าง
จุดประสงค์ของการนั่งสมาธิที่ศิษย์เข้าใจคือความสงบ แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงในการนั่งสมาธิของพระพุทธองค์คืออะไร (พัฒนาจิตของตนเองให้บริสุทธิ์ยิ่งๆ ขึ้น)  อาจารย์อยากบอกว่าไม่มีอะไรถูกอะไรผิด แต่จริงๆ แล้วการนั่งสมาธิโดยความหมายของพระพุทธองค์ คือการรักษาจิตให้กลับไปสู่ความเป็นปกติ ศีลคือความปกติ ถ้าใครมีศีลห้าครบเรียกว่าเป็นผู้ปกติ แต่ถ้าใครรักษาศีลห้าไม่ครบเรียกว่าผิดปกติ ศิษย์ลองคิดให้ดีๆ นะว่าถึงที่สุดการนั่งสมาธิคืออะไร หรือถ้าจะให้อาจารย์เปรียบเทียบ เคยได้ยินคำพูดหนึ่งของพระพุทธองค์ไหม ว่าทำทานเยอะๆ ก็ไม่เท่ากับมีศีลหนึ่งข้อให้ทานไปเยอะเท่าไหร่ หรือแม้กระทั่งสร้างวัดเป็นร้อยก็ไม่สู้รักษาศีลได้หนึ่งวัน รักษาศีลห้า ไม่สู้รักษาศีลแปด รักษาศีลแปดไม่สู้รักษาศีลสิบ รักษาศีลสิบ ไม่สู้รักษาศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด ถึงแม้บวชเป็นพระนับถือศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ดข้อแล้ว ก็ไม่สู้มีสมาธิแค่ช่วงช้างกระดิกหู หรือมีสมาธิแค่ไก่กระพือปีก ยิ่งใหญ่กว่าการรักษาศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ดข้อ นั่นคืออะไร คือจิตนิ่ง นิ่งเพื่อไม่ให้เกิดอารมณ์ที่เรียกว่า โลภ โกรธ หลง แล้วกลายเป็นกระแสกรรม กลายเป็นวิบากกรรม และกลายเป็นบุญบาปที่เกี่ยวกรรมไปหมด แต่นิ่งแล้วไม่หวั่นไหว รักษาจิตให้บริสุทธิ์อยู่อย่างนั้น ถ้าทำได้อย่างนั้น ยิ่งใหญ่กว่าถือศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ดข้ออีกนะ
แล้วสุดยอดยิ่งกว่านั่งสมาธิเป็นร้อยวัน ก็ไม่ประเสริฐเท่ากับมีปัญญา แต่ต้องเป็นปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง แล้วรู้แจ้งอะไร ศิษย์เข้าใจถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของธรรมะและพยายามปฏิบัติกันหรือยัง (รู้แจ้งในอัตตาความว่างเปล่าไม่มีตัวตน)  ถูกต้องแต่ยังไม่หมด แต่ยังต้องรู้แจ้งในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่หลงในตัวตนเองนี้ ประเสริฐยิ่งกว่าการสร้างบุญรักษาศีลอีก ศิษย์เคยได้ยินหรือไม่ว่า เพราะเรามีตัวตน เพราะยึดตัวตนจึงสร้างเรื่องสร้างราวทั้งหมด แต่ถ้าเรารู้ว่าถึงที่สุดตัวตนนี้ไม่ใช่ของเรา เราจะหยุดสร้างทุกๆ อย่างเพื่อตัวตนนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีเรื่องหนึ่งที่พระพุทธองค์เคยกล่าวไว้ว่า คนที่ตกนรกยมบาลจะถามวิญญาณที่ตกนรกว่า ตอนมีชีวิตอยู่เคยเห็นเทวทูตทั้งสามองค์ไหม ข้าส่งไปเตือนแล้วนะ ให้รู้ว่าต้องหมั่นทำดี รักษาศีล ทำบุญสุนทาน ดำรงตนเป็นคนดี แต่ทำไมเจ้าไม่ทำเลย เอาแต่ทำชั่วหมกหมุ่นแต่กิเลส โลภ นินทา อยาก เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ ท่านไม่เคยเห็นเทวทูตสามองค์เลยหรือองค์แรกก็คือความแก่ องค์ที่สองก็คือความเจ็บ องค์ที่สามคือความตาย
ส่วนใหญ่ที่ศิษย์ไม่ปฏิบัติธรรม ยังประมาท ยังปล่อยตัวเองไปตามความโลภ ความโกรธ ความหลง เพียงเพราะคิดว่ายังมีเวลา ใช่ไหม (ใช่)

ฉะนั้นการรู้แจ้งเห็นจริงจึงเกิดปัญญา มีอยู่เรื่องเดียวในวันนี้ที่อาจารย์พูดก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งศิษย์เห็นอยู่ทุกๆ วัน เตือนอยู่ทุกๆ วัน และยมทูตนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่คือเรา แต่เราก็ยังคิดว่ามีเวลา ก็เลยไม่ค่อยจะอยากทำดีเท่าไร ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นวิธีปฏิบัติธรรมที่อาจารย์อยากบอกศิษย์ง่ายๆ ก็คือ
ข้อหนึ่งต้องปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ครบสมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่องด้วยคุณธรรม มีหน้าที่อะไรก็ต้องรู้จักรับผิดชอบทำให้ดี ไม่ใช่เกี่ยงงอน นั่นแหละเรียกว่าปฏิบัติธรรมได้หนึ่งลำดับแล้ว เป็นลูกต้องรู้จัก (กตัญญู)  เป็นพ่อแม่ต้องรู้จักรักลูก
ข้อสองมีเมตตา เป็นพี่น้องต้องรู้จักปรองดอง เอื้ออาทร รู้จักให้
ฉะนั้นก่อนจะไปปฏิบัติภายนอกศิษย์ต้องเริ่มต้นปฏิบัติภายในให้ดีงามไม่ขาดตกบกพร่องก่อน ถ้าความเป็นคนยังไม่สมบูรณ์ ศิษย์จะไปทำความเป็นพุทธะให้สมบูรณ์ได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นคนอยู่ร่วมกันในสังคมศิษย์ยังเบื่อหน่าย แล้วศิษย์จะไปแจ้งในความเป็นพุทธะเป็นไปไม่ได้ ศิษย์ต้องทำความเป็นคนให้ดีงามสมบูรณ์ก่อน ทำความเป็นคนให้ปกติก่อน ฉะนั้นศีลหรือคุณธรรมคือ ทำคนให้เป็นคนปกติและสมบูรณ์งดงาม
ใครคิดว่าตัวเองสมบูรณ์ในหน้าที่แล้วยกมือขึ้น ไม่มีให้เห็นเลยหรือ ใครเป็นลูกกตัญญูครบสมบูรณ์ยกมือขึ้น มีสองคนนะ เป็นพี่ก็ต้องรู้จักมีเมตตาเอื้ออาทรน้อง ไม่เอาเปรียบน้อง ไม่แก่งแย่งสมบัติกัน อายเขานะ ใครทำงานซื่อสัตย์สุจริต ไม่โกงกิน ไม่โกหก น่ากลัวนะ เพราะเป็นศีลที่ง่ายที่สุดแต่เรากลับรักษาไม่ได้
(นักเรียนในชั้นกล่าวต้อนรับพระอาจารย์จี้กงเมตตาและร่วมร้องเพลง “ต้อนรับ”)
ไม่เป็นไรนะ ถ้าอยู่แล้วทำให้เขารำคาญใจ กังวลใจหรือไม่สบายใจ อาจารย์ก็ยินดีสละตัวเองออกนะ อาจารย์มักจะพูดบ่อยๆ นะ ถ้าอยู่แล้วทำให้เขาทุกข์ใจ อาจารย์ก็พร้อมจะจากไป ถ้าอยู่แล้วทำให้คนเขาทุกข์ใจ บางทีเราก็ต้องยอมที่จะทิ้งความเป็นตัวตนเองลงไปบ้าง อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เขาเกิดความทุกข์ ผู้บำเพ็ญธรรม ปฏิบัติธรรม สิ่งสำคัญทุกๆ อย่างในการปฏิบัติธรรมก็คือการทำให้เกิดความสงบ การอยู่ร่วมกันทำให้เกิดความสบายใจ ถ้าพูดแล้วทำให้วุ่นวาย ทำให้ไม่สบายใจ ยอมเก็บไว้ที่ตัวเองไม่ดีกว่าหรือ หรือไม่ก็ละลายความคิดนั้นออกไปเสีย แล้วสู้ยอมรับกับความจริงที่เกิดขึ้นไม่ดีกว่าหรือ บางทีพูดไปทุกอย่างที่ใจคิดมันก็ไม่ดีนะ จริงไหม
อยากยืนเป็นเพื่อนอาจารย์หรือว่าอยากนั่ง (อยากยืน, อยากนั่ง)  ถ้ายังไม่พร้อมใจกันก็ไม่ต้องตอบก็ได้นะ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ช่วยตัดสินนะ ถ้าอาจารย์นับหนึ่งถึงสามให้รีบนั่ง ได้ไหม (ได้)  ถ้านั่งไม่พร้อมกันต้องกลับมายืนใหม่ พร้อมหรือยัง (พร้อม)  ดูแลตัวเองไม่ต้องเป็นห่วงใครและถ้าตัวเองดูแลตัวเองได้ดี ศิษย์จะไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่คนในโลกนี้มัวแต่ห่วงคนนั้น ห่วงคนนี้ แล้วลืมดูตัวเอง และผลสุดท้ายความห่วงนั้นจะทำให้คนอื่นทุกข์ เราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น) อาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่า ถ้าไม่อยากทำให้คนอื่นทุกข์ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ที่สุด การปฏิบัติธรรมก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่คนมัวแต่ไปห่วงคนอื่นแล้วลืมดูตัวเอง การเรียนรู้ธรรมะคือนำธรรมะมาย้อนมองส่องตน ไม่ใช่นำธรรมะไปตรวจสอบใคร ใช่หรือไม่
เมื่อเอาตัวเองรอดแล้วอย่าลืมช่วยคนอื่น ทำตัวเองให้ดีแล้วทำตัวเองให้รอดแล้วอย่าลืมช่วยคนอื่นให้รอดด้วย เพราะถ้าเมื่อไรเราลืมคนที่กำลังเดือดร้อน เขาจะหันกลับมาเล่นงานคนดีจริงไหม (จริง)
ความแก่ ความเจ็บ ความตายล้วนเป็นธรรมดาของทุกชีวิต จำให้ดีนะ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความว่างเปล่าเป็นสิ่งที่เป็นธรรมดาของทุกชีวิต และทุกชีวิตจะต้องเจอความจริงอันนี้อย่างหนีไม่ได้ จำให้แม่นและจำให้ได้นะศิษย์ เพราะถึงเวลาจริงๆ แล้วจงอยู่กับความจริงมากกว่าสิ่งที่รัก และความจริงจะสอนให้เราพบธรรม ฉะนั้นธรรมแท้จริงจึงไม่ใช่อยู่แค่เพียงภายนอก ธรรมแท้จริงจึงไม่ใช่อยู่แค่ตัวหนังสือ แต่ธรรมแท้จริงค้นหาได้ในตัวตนเรา ถ้าสว่างจากภายในย่อมสะท้อนให้เกิดความสว่างภายนอก แต่หลายครั้งที่เราอ่านธรรมะแล้วเหมือนเราสว่างภายนอก แล้วพยายามส่องให้เห็นภายในซึ่งมองอย่างไรก็ไม่เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  จำไว้เสมอว่า ทุกชีวิตมีความเป็นธรรมดาเหมือนกันคือ (เกิด, แก่, เจ็บ, ตาย)  พอถึงเวลาความแก่มา ความเจ็บมา แต่ส่วนใหญ่ที่เราทุกข์เพราะเมื่อถึงเวลาเกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิตศิษย์ทำใจไม่ได้ (ต้องกล้าสู้ความจริง)  ตอบได้ดี เพราะว่าไม่สู้ความจริง มีใครบ้างที่ไม่อยากแก่ยกมือขึ้น อาจารย์ว่าแล้วเชียว ข้างหน้าไม่ยกมือแปลว่ายอมแก่ ใช่ไหม (ใช่)  โกหกๆ ถ้ายอมแก่จริงๆ จะไม่ยอมซื้อเครื่องสำอางเด็ดขาด จะไม่มองกระจกทุกวันก่อนออกนอกบ้านหรอก ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอาจารย์อยากบอกศิษย์ ถ้าเรารู้อยู่ เห็นชัดอยู่ ชีวิตอะไรมันจะเกิด เราก็ “รู้อยู่แล้ว” เหมือนสามีภรรยา พอเขาจะว่าเรา พอเขาจะบ่นเรา เราก็ “รู้อยู่แล้ว” ถูกไหม (ถูก)

วันนี้เงินมา อีกวันเงินไป อะไรจะมาทำร้ายศิษย์ได้ล่ะ ก็ในเมื่อศิษย์รู้อยู่แล้ว แล้วศิษย์เคยเจอคนที่เรารู้ทันหรือไม่ ไม่ว่าเขาจะมาไม้ไหน มุกไหน เราก็ (รู้อยู่แล้ว)  ทำไมศิษย์ไม่เอามาใช้กับชีวิต เอามาใช้กับเงินทอง ใช้กับผู้คน ใช้กับตัวเอง หรือเอามาสอนใจตัวเอง ศิษย์รู้หรือไม่ว่าคนเราเกิดมาต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ผิดหวัง สมหวัง โดนด่า โดนนินทา ซึ่งทุกคนก็ต้องเจอ ดังนั้นไม่ว่าศิษย์จะเจอรูปแบบไหน ศิษย์ก็จะ (รู้อยู่แล้ว)  ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมาหนักหนาแค่ไหน มันก็เป็นแค่เรื่องธรรมดา ฉะนั้นถ้าจะต้องเจอกับความตาย ก็ให้จำไว้ว่าอาจารย์เคยบอกแล้ว จึงอยากให้ศิษย์ทำใจไว้ก่อน และตระหนักรู้อยู่เสมอ เพราะถ้าเราทำใจไว้ก่อน ตระหนักรู้อยู่เสมอ อะไรจะเกิดศิษย์ก็มีการเตรียมใจเอาไว้แล้ว ดีกว่าคนที่ไม่เคยเตรียมใจ พออะไรมันเข้ามา ก็รับไม่ได้ เพราะว่ามันคือความจริง และเป็นความจริงที่ศิษย์หนีไม่พ้น แต่ศิษย์มักจะพูดว่ามันเป็นเวรกรรมอะไรของฉัน ทำไมต้องเจอแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ก็จะถามกลับว่าแล้วศิษย์กำลัง “กำ” อะไรของศิษย์ ในเมื่อมันเป็นความจริงอันเป็นธรรมดา แต่เรากำลังกำอะไรไว้ แล้วเราถึงได้บอกว่ามันเป็นกรรม ดังนั้นเมื่อไหร่ที่ศิษย์รู้สึกว่ากรรมอะไรของศิษย์ อย่าถามฟ้า อย่าถามคนรอบข้าง อย่าถามพุทธะ แต่หันกลับมาถามตัวเองว่า เรากำลังกำอะไรที่ไม่แบอยู่ จริงหรือไม่ (จริง)  เรากำอะไรกันไว้ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นความจริง ทำไมศิษย์ไม่ปล่อยมันไปล่ะ อย่ามัวหลงอยู่แต่สิ่งที่เห็น แต่จงเรียนรู้เข้าใจสิ่งที่เป็นไป บางครั้งเราติดหลงอยู่กับสิ่งที่เห็น ว่าเราโดนด่า เราเสียเงิน เราเสียสามี สิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องธรรมดาหรือไม่ (เป็นธรรมดา แต่รับไม่ได้)  อาจารย์จะบอกว่าไม่ต้องไปรับ เพราะทุกสิ่งมันเกิดแล้วมันก็จบของมันเอง แต่ศิษย์ไปกำสามีไว้เอง

กำเขาไว้ในใจไว้ในความคิด แล้วสามีไปหรือยัง (ไปแล้ว)  กำไหม (กำ)  แบหรือยัง (ยัง)  แล้วจะกำอะไรนักหนา อย่ามัวแต่หลงกับสิ่งที่เห็นจนลืมเข้าใจความเป็นไป ถึงแม้ว่าความเป็นไปนั้นมันจะเป็นจริง แต่ในความจริงนั้นมันไม่เคยหยุดนิ่ง มันเปลี่ยนตลอดเวลา อย่าหลงกับสิ่งที่เห็น แต่จงมองให้เข้าใจความเป็นไปที่เกิดขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนฝ่ายชายสี่คนออกมาหน้าชั้น)
สมมติว่าอาจารย์มีศิษย์อยู่สี่คน อาจารย์ปฏิบัติต่อสี่คนนี้ ศิษย์คนที่หนึ่งอาจารย์รัก ศิษย์คนที่สองอาจารย์ก็รัก ศิษย์คนที่สามอาจารย์ไม่รัก ส่วนศิษย์คนที่สี่อาจารย์เกลียด ฉะนั้นเวลาอาจารย์มีอะไรให้ อาจารย์ก็ให้คนที่อาจารย์รัก แล้วคนที่อาจารย์ไม่รัก แล้วยังเกลียดด้วยจะให้อะไรไหม (ไม่ให้) อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะศิษย์ (ลำเอียง)  ก็คนเราเป็นอย่างนี้ ศิษย์ทุกคนก็เป็นอย่างนี้ ที่รักก็ดีมาก ที่เกลียดก็ไม่เอาเลย ถูกไหม (ถูก)
ถ้าศิษย์เป็นคนที่ต้องเจอภาวะแบบนี้ในชีวิต อย่าหลงกับสิ่งที่เห็น แต่จงเข้าใจความเป็นไปที่แท้จริงของชีวิต ถ้าศิษย์เข้าใจประโยคนี้การกระทำของอาจารย์จะทำให้ศิษย์เห็นธรรม
เป็นผู้นำคนต้องเที่ยงตรงยุติธรรม อย่าลำเอียง ถ้าศิษย์เจอการปฏิบัติอย่างนี้ ศิษย์จะทำอย่างไร ให้บังเกิดธรรม
เวลาเจอสิ่งที่กระทบในชีวิต อย่าหลงกับสิ่งที่เห็น แต่จงเข้าใจความเป็นไปนั้นมากกว่านั้น อาจารย์ก็บอกแล้ว มันเป็นธรรมดา แล้วอาจารย์สอนวิธีจะแก้อย่างไรให้ธรรมดานี้มันสงบสุขได้ ศิษย์ต้องรู้จักคิดให้เป็น ไม่ต้องรอใครมาช่วย นั่นคือพื้นฐานของการดำรงชีวิตอยู่ ถ้าเราต้องทำงานอยู่กับคนที่เขาไม่เที่ยงธรรม แม้เราจะซื่อตรงขนาดไหน แม้เราจะเป็นคนดีขนาดไหน แต่หัวหน้ายังลำเอียง เพื่อนยังลำเอียง เพื่อนยังว่าเรา เราต้องปรับเปลี่ยนใจก่อน ก่อนจะไปจัดการคนอื่น จงจัดการใจตัวเองให้สงบก่อน เพราะใจวุ่นไปอยู่ที่ใดก็วุ่น ถ้าใจนิ่งอยู่ที่ใดก็สงบแล้วบังเกิดธรรม แต่อาจารย์อยากจะสอนในแง่กลับกัน ถ้าเราเป็นคนที่ได้แล้วอีกคนหนึ่งต้องเสีย มันเป็นธรรมดา จำให้ขึ้นใจนะศิษย์ ถ้าวันหนึ่งเขาโดนชมแต่เราโดนว่า ถ้าวันหนึ่งเขาเป็นคนได้แต่เราต้องเป็นคนเสีย ถ้าวันหนึ่งเขาเป็นคนสุขแต่เราต้องทุกข์ ถ้าวันหนึ่งเขาเป็นคนชนะแต่เราต้องแพ้ จำไว้ว่ามันคือเรื่องธรรมดา นี่แหละจึงเรียกว่าโลกสมดุล เพราะมันคือโลก
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนมีความหมายโดยนัยนะศิษย์ เขาต้องการบอกอะไร แก้อย่างไร (ต้องมีเมตตากับเพื่อนและคิดว่าอีกหน่อยเราก็คงเป็นเหมือนกัน)  ตอบได้ดีไหม เรานอกจากเห็นความเป็นธรรมดา หัวหน้าเห็นความเป็นธรรมดา ยังเห็นความเป็นธรรมดาของอาจารย์ด้วย วันนี้รัก พรุ่งนี้อาจจะเกลียด อย่าไปยึดมั่น ถ้าวันนี้เขาให้ศิษย์ได้ แต่วันหน้าเขาเอาคืนศิษย์จะทำอย่างไร ไม่มีของฟรีในโลก ใช่หรือเปล่า ยิ่งเขารักมาก ให้มากก็หวังมาก จริงไหม อย่างนั้นควรรับไหม (ไม่รับ)  แล้วจะทำอย่างไรดี (ที่ได้มาก็แบ่งปัน) ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์จะบอกให้นะ ศิษย์สามารถแก้และเปลี่ยนได้คืออะไรรู้ไหม อาจารย์จี้กงบอกว่ารับไปแล้ว อย่าลืมแบ่งเขาด้วย เห็นไหมว่าเขาจะไม่เกลียดอาจารย์เลย ถ้าเรารู้จักดำรงตน อย่าเห็นกับสิ่งที่เห็นแต่จงเข้าใจความเป็นไปอันเป็นธรรมดาของชีวิตและจะทำให้การอยู่ร่วมกันนั้นคือการปฏิบัติธรรมและเห็นธรรม ไม่ใช่การอยู่ร่วมกันแย่งกันไปก็แย่งกันมา ด่ากันไปก็ด่ากันมา รับคนนั้นไม่ได้ เกลียดคนนี้ แต่โลกหมุนได้ถ้าใจเรารู้จักและเข้าใจชีวิตพอ จริงไหม
ให้อย่างไรดี ให้หมดหรือให้ครึ่ง (แบ่งครึ่ง)  อาจารย์บอกแล้วว่าบางทียอมสูญเสียตัวตนให้หมดเลยยังดีกว่าอีกนะ ศิษย์เคยได้ยินไหม เวลาเราให้ของใครของมันแปลกอยู่อย่างหนึ่ง เวลาเราได้ของใครมามันแสลงนะ มันจะคอยบอกเตือนเราเสมอเลยว่าเรากินของเขาไปแล้ว เอาของเขาไปแล้วจะไม่ตอบแทนอะไรเขาบ้างเลยหรือ รับบ่อยๆ ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเลยหรือ ฉะนั้นให้ดีไหม (ดี) ปรบมือให้เขาหน่อยนะ
เราจะอยู่ร่วมกันได้เพราะทุกคนรู้จักรับรู้จักให้ หรือบางทีให้แล้วไม่รับเลยมันสะเทือนใจกว่านะ ให้ช่วยเท่าที่ได้แต่ต้องช่วยแล้วไม่เห็นแก่ตัว ไม่ปลูกฝังนิสัยคนเอาแต่ได้ นี่แหละเรียกว่าเมตตาแล้วใช้ปัญญา แล้วประกอบด้วยความกล้าหาญ
ธรรมะไม่ได้สอนเพื่อให้เราอยู่กับทุกข์แล้วจมกับทุกข์ แต่สอนให้เราเข้าใจทุกข์และหาทางพ้นทุกข์ให้เจอ การมีสติรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วลด ละ วางกิเลสได้ทันท่วงทีก่อนที่จะปล่อยให้กลายเป็นบาป อกุศลหรือความอยาก นั่นเรียกว่าการปฏิบัติธรรม
อาจารย์จะบอกวิธีง่ายๆ ในการอยู่บนโลกแล้วใช้ธรรมะอะไรช่วยทำให้เราเบา ดีไหม (ดี)  อาจารย์เห็นศิษย์หลายคนแบกทุกข์ แบกความกังวล แบกความเบื่อหน่าย และความวิตกทุกข์ร้อนมาเยอะแยะเต็มไปหมด ก่อนที่จะมานั่งกลุ้มใจ ทำไมไม่สู้ความจริง ที่เรากลุ้มเพราะเรากลัวที่จะเจอความจริง ทั้งที่ความจริงนั้นคือธรรมะ คือความเป็นธรรมดา อย่างที่สองคือศิษย์มักชอบคิดร้ายมากกว่าคิดดีเลยทุกข์ และอย่างที่สามก็คือศิษย์มักจะชอบขอจากผู้อื่นแต่ไม่ยอมเรียกร้องตัวเอง ฉะนั้นวิธีปฏิบัติของอาจารย์ก็คือจงมีชีวิตอยู่กับความจริง จะได้เบาทุกข์ แต่สิ่งที่อาจารย์อยากบอกมากกว่านั้นคือจงมีชีวิตอยู่กับตอนนี้ เดี๋ยวนี้ แค่นี้ แต่ที่เราทุกข์อยู่เพราะว่าเราไม่เคยอยู่กับตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เราชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับ (ผู้อื่น)  ที่ยอมรับความแก่ไม่ได้เพราะเปรียบเทียบกับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราอยู่กับตอนนี้ไหม (ไม่อยู่)  แล้วตอนนี้คือความเป็นจริงที่สุด แล้วเรากำลังเปรียบเทียบอะไร (อดีต)  หรือบางทีเราก็เปรียบเทียบกับคนข้างๆ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอยากหมดทุกข์จงอยู่กับขณะนี้ เดี๋ยวนี้ อย่ายึดติดกับอดีต จงอยู่กับขณะนี้ แม้ปัจจุบันก็ยังเปลี่ยนแปลงไปตลอด เรายังเชื่อไม่ได้ แล้วอนาคตจะมีได้อย่างไรถ้าขณะนี้ยังอยู่ไม่ได้ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ที่มนุษย์ไม่สามารถมีความสุขในทุกวันนี้ได้ เพราะไม่อยู่กับความจริง มัวแต่ติดอยู่กับสิ่งที่ตัวเองหวัง ติดอยู่กับสิ่งที่ตัวเองเปรียบเทียบ หรือสิ่งที่ตัวเองยึดมั่น จึงทำให้ตัวเองไม่สามารถมีความสุขได้ในตอนนี้ และเดี๋ยวนี้ จริงหรือไม่ (จริง)
อาจารย์ให้เรื่องเกี่ยวกับปัญญา เพื่อให้ศิษย์นั้นรู้แจ้งเองในทุกขณะที่ต้องเจอเรื่องราวอะไรก็ตามในชีวิต ไม่ต้องรอให้ใครช่วย เราต้องช่วยเหลือตัวเอง แล้วเมื่อเกิดอะไรขึ้นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ไว้อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ สิ่งนั้นไม่ได้กำลังจะเกิดขึ้น แต่สิ่งนั้นกำลังจะจบลง ศิษย์ส่วนใหญ่เวลามีอะไรเกิดขึ้นมักจะบอกว่า มันเกิดแล้วๆ แต่พระพุทธะไม่เคยมองว่ามันกำลังเกิด แต่มันกำลังจะดับแล้ว ศิษย์คิดอย่างนั้นไหม เรามีอายุกี่ขวบปี ส่วนใหญ่จะบอกว่าเราเกิดกี่ปี แต่พุทธะไม่ได้บอกว่าเกิดนะ พุทธะบอกว่าเราดับไปแล้วกี่ขวบปี ฉะนั้นการมองของพุทธะแตกต่างกับการมองของมนุษย์ เรามองว่าเราเกิดกี่ปี แต่พุทธะมองว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือกำลังดับลงทุกที
อาจารย์ถามหน่อยนะ เมื่อไรที่เราเห็นว่าทุกขณะคือการดับ เราจะได้แง่คิดอะไรกับการดับในทุกๆ ขณะบ้าง ใครตอบอาจารย์ได้ ถ้าเรารู้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือการดับ เราได้อะไรจากสิ่งนั้นบ้าง (ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง)  ใช่หรือ ถ้าเรารู้ว่าสิ่งรอบข้างเรากำลังจะดับลง ถ้าเรารู้ว่าชีวิตที่เราคิดว่ามันคือการเกิดนั้นมันกำลังจะดับลง อาจารย์คิดว่าศิษย์คงมีแง่คิดในการดำเนินชีวิต เปลี่ยนหลังมือให้เป็นหน้ามือได้ จริงไหม เราคงจะไม่ประมาทและอยู่ร่วมกับทุกคนด้วยความเอาแต่ใจตนไหม (ไม่)  แต่จะรักทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะรักพ่อแม่ ไม่ใช่รักแต่ตัวเอง
เมื่อสักครู่อาจารย์บอกศิษย์ไปแล้ว โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะบอกว่า โลกนี้มันกำลังเกิดขึ้น เกิดเรื่องนั้น เกิดเรื่องนี้ แต่พุทธะไม่ได้มองแบบนั้น พุทธะกำลังมองว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันกำลังจะดับลง ดับลง และดับลง ถ้าเรารู้ว่าทุกสิ่งกำลังดับลง เราจะทำอย่างไรกับชีวิต (ถ้าเราจะปฏิบัติธรรม ถ้าเราคิดว่ายังมีเวลาอีกเยอะเราก็ยังไม่ทำ แต่ถ้าคิดว่าเวลาเราเหลือน้อยเราก็จะเร่งทำ)  แล้วตอนนี้พร้อมจะทำหรือยัง (ได้บ้าง)  แปลว่ายังคิดอยู่เลยนะ เราปฏิบัติได้ทุกขณะนะศิษย์เอย แค่ดำรงตนทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ และรู้จักอยู่กับคนรอบข้างโดยไม่ทำให้เขาทุกข์ใจ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ศิษย์ทุกคนไม่รู้วันตาย แล้วศิษย์จะรู้ได้อย่างไรว่าจะมีวันพรุ่งนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทำไมตอนนี้ เดี๋ยวนี้ไม่รีบทำ ดับทุกข์ตั้งแต่ตอนนี้ แล้วแน่ใจหรืออีกสองสามนาทีเกิดหมดสติแล้วจากไปเลย แน่ใจไหมว่าจะเดินพ้นประตูนี้ ฉะนั้นคนประมาทคือคนที่ตายไปแล้วครึ่งชีวิต อาจารย์ขอถามว่าถ้าทุกขณะเรากำลังจะดับ เราควรรีบทำอะไร (ทำความดี,ไม่ยึดติดกับสิ่งที่เกิด) ถ้าเรารู้ว่าเรากำลังจะดับเราจะทำอะไร (อยู่กับปัจจุบัน) แน่ใจนะก็มันดับไปแล้ว มันจะอยู่กับปัจจุบันได้อย่างไร แต่เราควรอยู่กับความจริง อย่าคะนองให้มากไปนะ อย่าคิดว่าจะอยู่จนผมขาว ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นต้องทำแต่สิ่งที่ดีงาม (เป้าหมายคือการปฏิบัติธรรม) ศิษย์เอยศิษย์มีความเป็นพุทธะอยู่ ถ้าเรารู้ว่าวันนี้เราจะดับสิ่งที่อาจารย์ให้ศิษย์คือ สมาทานศีล ศิษย์มีศีลครบไหม ถ้านึกถึงว่าขณะนี้เราจะดับ จะคิดไหมว่าศีลยังมีอยู่ครบหรือเปล่า ใจบริสุทธิ์แล้ว ถ้าตอนนี้ใจจะดับก็ดับได้แล้ว (เป็นธรรมชาติ) ทำได้ไหม บริสุทธิ์หรือยัง
ถ้าอยากอยู่บนโลกให้มีความสุข จงอย่าลืมสิ่งที่อาจารย์บอก
1. เรามีแค่ขณะนี้เดี๋ยวนี้
2. ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกำลังเดินไปสู่ความดับ และ
3. ความไม่คงทน
สวยขนาดไหนก็ต้องมีวันไม่สวยได้ ดีขนาดไหนก็ต้องโดนว่าได้ เก่งขนาดไหนก็ต้องโง่ได้ แน่ขนาดไหนก็ต้องยอมคนได้ มีเงินเยอะขนาดไหนก็ต้องจนได้
สิ่งที่มนุษย์ยึดติดมากที่สุด และนำพาให้มนุษย์ทุกข์ทน แม้จะรู้ทั้งรู้ในสิ่งที่อาจารย์บอก นั่นก็คือ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง ทั้งที่จริงๆ แล้ว ตัวตนเองนี้คือ ผลรวมของกรรม และผลรวมของกรรมนี้ก็มาจากความคิด ในเมื่อมันเป็นกรรม เรายังควรจะยึดมันหรือไม่ (ไม่ควร)  ในเมื่อมันเป็นกรรม ไม่ควรยึด และไม่ใช่ของเรา อย่างนั้นเราเกิดมาควรทำอย่างไรกับร่างกายนี้ (ไม่ยึดว่าร่างกายนี้เป็นของเรา)  ไม่ยึดว่าเป็นของเรา แต่พอเราอยู่กับตัวตนนานๆ เราหลงติดหรือไม่ (หลง)  แล้วทำอย่างไรถึงจะไม่เผลอยึด คิดอย่างไรถึงจะไม่เผลอยึด ถ้าศิษย์คิดได้ ศิษย์จะไม่พยายามยึดร่างกายเลย มันเจ็บก็แค่นั้น มันป่วยก็แค่นั้น เพราะคิดว่ามันคืออะไร (ตัวเรา)  เพราะยังคิดว่ามันคือตัวเรา ก็เลยยังทุกข์อยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ต้องคิดอย่างไรล่ะ เพื่อไม่ให้เผลอยึด และหลงกับตัวนี้ แล้วเราจะสามารถอยู่กับการใช้ร่างกายนี้โดยไม่หลงยึดติด (ปล่อยวาง)  ร่างกายนี้ ศิษย์จะไปควบคุมมันก็ไม่ได้ มันเป็นอิสระ ไม่อยู่ในอำนาจของใจเราเลย สิ่งที่ควบคุมกายนี้ได้ก็คือ ฟ้าและดิน หรือเรียกว่าสัจธรรม ฉะนั้นศิษย์ไปควบคุมร่างกายไม่ได้นะ แต่ทำอย่างไรล่ะที่เราจะไม่หลง เผลอยึดตัวนี้ คิดอย่างไรถึงจะพ้นตัวนี้ ง่ายๆ เลยนะศิษย์ (คิดว่ายืมเขามาใช้)  คำเดียวเลยคือ ยืมเขาใช้ ถ้าเราคิดแบบนี้เราจะยึดหรือไม่ (ไม่)  แล้วเราจะรักมันมากหรือไม่ (ไม่)  หรือตอบอีกอย่างได้ว่า ร่างกายนี้เป็นแค่ศาลาที่พักใจ ศิษย์แน่ใจหรือว่าหน้าตาของเราตอนนี้คือที่สุดแล้ว แล้วศิษย์ว่าหน้าของเรานี้จะหาที่สุดเจอหรือไม่
ตราบใดที่ยังไม่หาทางพ้นทุกข์ หน้าตานี้จะไม่ใช่หน้าจริงๆ ของศิษย์ และหน้าตานี้จะไม่ใช่หน้าสุดท้ายของศิษย์ ถ้าเราคิดอยู่เสมอว่าเรายืมร่างกายนี้ใช้ เราจะรักมันมากไหม เราจะยึดติดไหม ร่างกายเป็นแค่ศาลามาพักใจ เราเอาไปได้ไหม ถึงเวลาเราเอาไปแค่จิตตื่นรู้อย่างเดี่ยว บุญก็ไม่ยึด เพราะถ้ายึดบุญก็ไปสวรรค์ พอหมดบุญก็ต้องกลับมาเวียนว่ายอีก
ฉะนั้นเรียนรู้ธรรมต้องเข้าใจให้ถึงแก่นแท้ว่า ร่างกายนี้ยังหาที่สุดไม่เจอ แล้วเราควรหรือที่จะยึดมั่นว่าของเรา ยึดไหม (ไม่ยึด)  จำไว้ว่าเรายืมเขามา มันเป็นเหตุปัจจัยหนุนนำจึงทำให้เรามีกายนี้ แต่ถ้าเหตุปัจจัยหมด เราจะไปตรงไหนรู้หรือยัง ฉะนั้นอย่าเผลอยึดว่านี่คือตัวเรา จำไว้เสมอว่ายืมเขาใช้ ถึงเวลาต้องคืนเขาไป แล้วตัวเราอย่างเดียวไหมที่ยืมเขาใช้ อากาศ ฟ้า ดิน ทรัพย์สิน บ้าน สามี ลูก ยืมมาเพื่อช่วงใช้
ข้อคิดของอาจารย์ง่ายๆ คือ
1. มีแค่ตอนนี้ และเดี๋ยวนี้
2. ทุกสิ่งล้วนเป็นธรรมดา
3. ทุกสิ่งไม่ใช่กำลังเกิดขึ้น แต่กำลังจะดับไป
4. เรามาเพียงเพื่อยืมใช้
ถ้าคิดได้ครบสี่ข้อนี้ ไม่มีวันทุกข์ เชื่ออาจารย์เถอะ
(พระอาจารยืเมตตาเรียกนักเรียนฝ่ายชายคนหนึ่งออกมาหน้าชั้น)
สี่ข้อมีอะไรบ้าง ไหนตอบให้ชื่นใจหน่อย เห็นจดอยู่ตลอด (อาจารย์ถามว่าอะไร)  มัวแต่จด ศิษย์เอ๋ยชีวิตมีแค่ตอนนี้นะ ถ้าอยากจะอยู่บนโลกนี้ไม่ให้ทุกข์ จงจำไว้เสมอว่าชีวิตมีแค่ตอนนี้ อย่าเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับอดีต อย่าเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะตัวเราแค่ยืมเขาใช้ ใช่ไหม (ใช่)  และอีกอย่างหนึ่งก่อนที่จะยืมเขาใช้ อาจารย์บอกว่าอะไรนะ
(เพราะทุกอย่างเป็นธรรมดา)   ที่จดมาช่วยได้ไหม ฉะนั้นอย่าฝากชีวิตไว้กับกระดาษแต่จงฝากชีวิตไว้กับตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนอย่าฝากความรู้ไว้กับหนังสือแต่จงจำด้วยสติ เห็นไหมจดไปมากมายถึงเวลาก็หยิบใช้ไม่ทัน ใช่หรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมฝึกร้องเพลงพระโอวาท “ลดละวาง” ทำนองเพลง เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย)
ร้องยากไหม ลองพยายามดูได้ไหมศิษย์เอย เหมือนการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่ยากแต่ไม่ค่อยยอมทำกัน มีใครร้องได้ไหม อาจารย์รู้ว่าเพลงนี้ร้องยาก แต่อย่างน้อยก็มีความกล้าที่จะออกมาร้องนำ อาจารย์ให้รางวัล ดีไหม (ดี)  ขอแอปเปิ้ลคืน นี่คือรางวัลของอาจารย์ บางทีอย่าเอาแต่รอการให้ ถ้าถูกเรียกร้องขอก็ไม่เป็นไรเพราะมันเป็นธรรมดา
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ลดละวาง”)
“เมื่อเชื่อมั่นว่าควรละ จงละให้แท้จริง ไม่ควรเปลี่ยนความตั้งใจ” ตอนนี้ศิษย์เข้าใจแล้วว่ากิเลสเป็นต้นเหตุของความชั่วร้าย ความไม่ดี และการยึดมั่นถือมั่นตัวตนเป็นทางมาแห่งบาป อกุศล ฉะนั้นเมื่อรู้แล้วก็ต้องตั้งใจเปลี่ยนให้จริงๆ ลดละวางให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“ใจเบากว่าเดิมเพราะการละ การละที่แท้จริง เป็นยิ่งกว่าการละไป” เมื่อไรที่เราละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้ เมื่อนั้นศิษย์จะพบจิตเดิมแท้ที่ไม่ต่างอะไรกับพระพุทธะ แต่ถ้าศิษย์ยังละไม่ได้ ลดไม่ได้ ศิษย์ก็ยังไม่พ้นการเวียนว่ายในโลกนี้ ชีวิตนี้มีอยู่ไม่กี่ทาง อยากโลภ อยากโกรธ อยากหลงเป็นอกุศลนะ แต่ถ้าไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงเป็นกุศลกรรม อย่ารู้แต่การทำบุญแต่ต้องรู้จักการสร้างกุศลด้วย และกุศลที่ไม่ต้องลงแรงอะไรมากมีอยู่แค่สิบประการ
กุศลภายนอกสาม
1. ไม่ฆ่าสัตว์
2. ไม่ลักทรัพย์
3. ไม่ผิดลูกผิดเมียเขา
ไม่สร้างอกุศลทางปากสี่อย่าง
1. ไม่พูดปด
2. ไม่พูดยุแยง
3. ไม่พูดใส่ร้ายป้ายสี
4. ไม่พูดปั้นน้ำเป็นตัว หรือทุกครั้งที่จะพูดต้องคิดว่าจริงไหม ดีไหม ถ้าจริงแล้วไม่ดีอย่าพูด เดี๋ยวจะกลายเป็นอกุศล หลายคนบอกว่าพูดเรื่องจริง แต่ศิษย์ต้องพิจารณาว่าจริงหรือไม่ ถ้าไม่ดีอย่าพูด จริงแล้วดีไหม ดีแล้วสมานสามัคคีไหม ถ้าจริงแล้วแต่ทำให้ครอบครัวแตกแยกก็อย่าพูดเลย
กุศลมูล ต้นเหตุของความดีสามประการคือ
1. ไม่โลภ
2. ไม่โกรธ
3. ไม่หลง
แล้วเราเลือกที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม หรือเลือกที่จะตามใจตัวเอง  หาความสงบภายนอกใส่ชุดขาวภายนอก แต่ถ้าภายในไม่ขาวก็แปลว่าสวยแต่ข้างนอกนะ เข้าใจแต่ถึงเวลาไม่ปฏิบัติก็น่าเสียดายนะ ศิษย์เอยการปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยาก อยู่ที่ว่าเรามีสติรู้เท่าทันใจตัวเองไหม มีสติรู้หยุดยั้งอารมณ์ได้ไหม เราต้องการหาความสงบ เราต้องการหาความสบายใจ สิ่งที่พูดสิ่งที่ทำสงบไหม สบายใจไหม อย่าเป็นคนที่มีศีลแค่ภายในวัด ทำบุญแค่ภายในวัดแต่ให้ มีศีลสมาธิกับทุกคน ทำบุญได้กับทุกคน ทำไมเรารู้จักให้กับพระ แต่กับคนอื่นเราให้ไม่เป็น ทำไมเรารู้จักสงบได้เมื่ออยู่ในวัด แต่ทำไมอยู่คนอื่นจิตเราไม่สงบ เพราะเราให้ไม่ได้ เรายอมไม่เป็นหรือเปล่า ถูกไหม (ถูก) เรากำลังยึดมั่นถือมั่นกับความคิดตัวเองมากไปหรือเปล่าไหม ชีวิตนี้จริงๆ  ทุกข์กายแล้วทำไมยังหาเรื่องให้ใจทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นกายอาจารย์ก็บอกแล้วว่ายึดไม่ได้ แล้วตอนนี้ศิษย์กำลังยึดอะไร ยึดนิสัยความเคยชิน ถูกไหม (ถูก) นิสัยความเคยชินเป็นอย่างไร เอาแต่ใจ ขี้บ่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วไม่ยอมรับผิด เอาเปรียบได้เอาเปรียบ กินแรงได้แอบกินแรง สบายได้แอบสบาย ดีไหม (ไม่ดี) ทำไหม (ไม่ทำ)  บางคนคิดว่ายืนฟังอาจารย์แล้วเมื่อย ไปนั่งฟังดีกว่า แล้วได้ฟังไหม (ไม่ฟัง)  นี่เรียกว่าตามใจไหม (ตามใจ)  แต่ได้ปฏิบัติธรรมคือถ้ามันขัดใจได้ แล้วทำให้หลุดพันการยึดมั่นถือมั่นใจ ทำไมไม่ลองขัดดูบ้าง ถ้าตามใจแล้วทำให้นิสัย กิเลส และใจพอกพูน ใจยึดมั่นถือมั่น มีตัวมีตน ก็หนีไม่พ้นทุกข์ ก็มีใจไปรองรับทุกๆ เรื่อง แต่บำเพ็ญธรรมเพื่อขัดจนไม่มีใจ ทั้งที่จริงๆ ศิษย์ไม่มีใจตั้งแต่เดิมอยู่แล้วนะ เพิ่งมาเกิดทีหลังจากเกิดจากกรรม กรรมที่เกิดจากความคิด กรรมที่เกิดจากนิสัย กรรมที่เกิดอารมณ์ กรรมที่เกิดจากการปรุงแต่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  จงตื่นรู้ได้แล้วนะศิษย์ ทำตัวเองให้ตื่นรู้ ตื่นรู้ทุกขณะจิตว่าโลกนี้ยึดไม่ได้ เราเกิดมาเพื่อยืมใช้และจงอยู่กับปัจจุบัน และสามารถเผชิญกับสิ่งปัจจุบันด้วยการยอมรับความจริงว่ามันไม่เที่ยง ถ้าศิษย์ทำได้อย่างที่อาจารย์ว่าก็ดีไม่น้อยนะ โลกนี้คงมีแต่ละคนพ้นทุกข์ พ้นทุกข์ พ้นทุกข์
อาจารย์พูดไปตั้งเยอะแยะแต่ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์หรือเปล่า จนบางครั้งอาจารย์รู้สึกว่าอยากจะเฉยๆ ไม่พูดอะไรดีกว่า เพราะการพูดนั้นก็ยังไม่ประเสริฐเท่าศิษย์รู้ตื่นด้วยตัวเอง เข้าใจชีวิตด้วยตัวเอง ฉะนั้นจงทำอะไรด้วยสติ เมื่อเจออะไรจงรักษาใจให้เป็นปกติ อย่าหวั่นไหวไปกับดีร้ายได้เสียอันไม่เที่ยงของโลกใบนี้เลย ใช่ไหม (ใช่)
อาจารย์อยากเห็นศิษย์มีความสุข ความสุขในการปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ปล่อยวางความทุกข์ที่เคยแบกมานับไม่ถ้วน เพราะศิษย์คุมมันไม่ได้ หวังให้มันเป็นดั่งใจไม่ได้ มีอะไรคุมได้ มีอะไรยึดได้ มีอะไรเป็นของศิษย์ เราเกิดมาเพียงแค่ยืมใช้ ยืมใช้เพื่ออะไร เพื่อค้นพบธรรมะที่แท้จริง ที่เรียกว่าพระพุทธะในตัวตน มีโอกาสกลับมาอีกนะ ฟังธรรมะคือการเพิ่มปัญญา ปัญญาที่นำพาให้ศิษย์หลุดพ้นจากโลกใบนี้ และปัญญาจะเกิดได้ด้วยการมีสติตื่นรู้ เมื่อโดนกระทบ เห็นไหม เห็นแล้วควรจะรู้สึกไหม มันไม่เที่ยง เอาอะไรกับความไม่เที่ยง เรากำลังโกรธอะไรกับคนที่ไม่เที่ยง เรากำลังเกลียดอะไรกับสิ่งที่ไม่เที่ยง เรากำลังยึดอะไรกับสิ่งที่ไม่เที่ยง สิ่งที่มันเกิดมันกำลังจะดับ จะโกรธมันกำลังจะดับอยู่แล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคิดให้ดีๆ นะว่าเกิดมาเพื่อสนองกิเลสตัณหาความอยากของตนหรือเกิดมาเพื่อเข้าใจธรรมะอันแจ่มแจ้งในตัวตน และปล่อยวางเพื่อค้นพบพุทธะที่แท้จริงกันเล่า ไม่ใช่ตื่นมาอยากกินอะไร ตื่นมาอยากไปเที่ยวไหน ตื่นมาอยากทำอะไร นี่ก็สนองกิเลสทั้งนั้น แล้วบำเพ็ญธรรมคืออะไรล่ะ ตื่นมาเพื่อทำหน้าที่ของความเป็นคนให้สมบูรณ์ที่สุด รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไหม มีน้ำใจไหม ช่วยคนไหม ทำหน้าที่สมบูรณ์หรือยัง ไม่ได้เกิดมาฉันอยากอะไร ฉันจะไปทำอะไร ฉันหวังอะไร นั่นกิเลสล้วนๆ เลยนะศิษย์ นั่นคือการยึดติดทั้งนั้นเลยนะ
เปลี่ยนใหม่ ถามตัวเองสิทำหน้าที่แห่งความเป็นคนได้สมบูรณ์หรือยัง ไม่มีใครช่วยศิษย์พ้นทุกข์ได้นอกจากจิตของศิษย์เอง ปัญญาของศิษย์เอง กราบไหว้พระพุทธะภายนอกไม่สู้กราบไหว้พระพุทธะที่อยู่ในใจ จริงไหม (จริง)  หาธรรมภายนอกไม่สู้ค้นหาธรรมภายใน ธรรมที่ประเสริฐที่สุดไม่ต้องลงแรงอะไรมากคือความอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มองมันให้ชัด เห็นมันให้แจ่มแจ้ง แล้วศิษย์จะรู้เลยว่าโลกนี้ไม่น่ายึดติด ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย ทุกสิ่งมาให้เรารู้จักปล่อยวางและแจ่มแจ้งในธรรมแค่นั้นเอง และเมื่อเราเข้าใจเราก็จะสามารถนำพาคนรอบข้างให้มีความสุขไม่เกิดทุกข์
ศิษย์รู้ไหมว่าโลกใบนี้ บางคนเกิดมาพิกลพิการ บางคนเกิดอยู่ในโลกที่สามที่ต้องทุกข์ทน เราเห็นเราสงสารไหม เราสงสารแล้วเราทำอะไร เราจะปล่อยให้ตัวเองเป็นเหมือนเขาไหม แล้วตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ ถ้าวันๆ เอาแต่โลภไม่รู้จักพอ สักวันหนึ่งศิษย์จะต้องกลับไปเกิดเหมือนคนแบบนั้นที่ไม่มีกิน ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนเป็นเหตุปัจจัย หยุดก่อนที่ต้องรับผล รู้ระมัดระวังตนก่อนที่จะต้องทุกข์ทน แล้วเราจะได้ไม่ต้องเสียใจ เพราะเราทำดีที่สุดแล้ว เราทำหน้าที่ความเป็นคนสมบูรณ์แล้ว เรามีธรรมครบแล้ว เราไม่เบียดเบียนใคร ทำบุญกับทุกๆ คนได้เต็มที่
ลด ละ วางให้ได้นะ มีโอกาสตั้งใจบำเพ็ญนะ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกไหม ฝืนใจมากหรือ
สิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิตอยู่ที่ไหน อยู่ที่การแสวงหาความสุขหรือหาทางพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีโอกาสกลับมาอีกนะ ฟังเข้าใจหรือเปล่า เอาแต่สบายไม่ทำอะไรเลยได้หรือไม่ มีโอกาสกลับมาอีกนะศิษย์ ศิษย์เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์เป็นคนรู้มาก ชีวิตลำบากไหมรู้จักปล่อยบ้างนะ อาจารย์ดีใจที่เจอศิษย์นะ แต่ศิษย์ต้องรู้จักคิด รู้จักสู้ชีวิตให้เป็น อย่ายอมแพ้กับความทุกข์ อย่าเสียใจกับความผิดหวัง มันเป็นธรรมดา อาจารย์อยากให้กำลังใจ ให้ศิษย์รู้จักรู้ รู้จักคิด ทำอะไรด้วยปัญญา เป็นศิษย์อาจารย์กันแล้ว มีโอกาสกลับมาอีกนะ แต่ต้องมาด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ถูกบังคับ
ร้องเพลงที่อาจารย์เพิ่งให้อีกรอบนะ ศิษย์จะได้จำได้ขึ้นใจ “เมื่อเชื่อมั่นว่าควรละ จงละให้แท้จริง ไม่ควรเปลี่ยนความตั้งใจ”
อาจารย์หวังดีเลยกระแทกแรง อย่าน้อยใจอาจารย์ มีโอกาสกลับมาอีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์เอ๋ย อย่ายอมแพ้ อย่าหน่ายท้อ อาจารย์อยากให้กำลังใจนะ
(พระอาจารย์เมตตาร่วมร้องเพลงพระโอวาท “ลดละวาง” พร้อมกับนักเรียนในชั้น)
ตั้งใจบำเพ็ญนะ ลดละกิเลส ลดละการยึดมั่นถือมั่นตัวตนให้ได้นะศิษย์เอ๋ย เพราะตัวตนไม่ใช่ของศิษย์ มันอยู่เหนือการควบคุม อย่าไปยึดมันมากเลย ยึดไปก็มีแต่ทุกข์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถือสติและจิตเดิมแท้เป็นที่ตั้งในการทำสิ่งใด ถือคุณธรรมเป็นกรอบในการดำเนินชีวิต เผื่อสักวันหนึ่งอาจารย์จะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียวอีกต่อไปแต่มีศิษย์ร่วมกลับมา ดีไหม (ดี)  จิตที่กลับมาเป็นพุทธะเหมือนกัน ไม่มีคนที่อาจารย์ต้องห่วงแล้วเพราะทุกคนรู้ตื่นและนำพาตัวเองพ้นทุกข์ได้ พุทธะจะเป็นพุทธะได้อย่างไรถ้าเวไนยสัตว์ยังทุกข์ทน พุทธะจะมีความสุขได้อย่างไรถ้าเวไนยยังไม่พ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)  ปาดน้ำตาแล้วเข้มแข็ง สู้กับชีวิตนี้ให้ได้นะศิษย์เอ๋ย
“เมื่อเชื่อมั่นว่าควรละ จงละวางโดยแท้จริง ไม่ควรเปลี่ยนความตั้งใจ” ทำให้ได้นะ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ลดละวาง”
เมื่อเชื่อมั่นว่าควรละ จงละให้แท้จริง ไม่ควรเปลี่ยนความตั้งใจ
ใจเบากว่าเดิมเพราะการละ การละที่แท้จริง เป็นยิ่งกว่าการละไป



พระอาจารย์จี้กงเมตตาแก้ไขพระโอวาทประชุมธรรม ณ สถานธรรมหงเต้า
จ.เชียงราย เมื่อวันที่ ๒๑-๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๖
แก้ไขชื่อเพลงพระโอวาท หน้า ๓๕
ชื่อเพลงเดิม ทุกอัตตา        แก้เป็น ทุกข์อัตตา

แก้ไขเพลงพระโอวาทย่อหน้าที่ ๓
เดิม หวังว่าที่สอนไปยิ่งต้องเข้าใจทุกอัตตา ไม่ทุกข์ให้เกินทน สุขทุกข์เป็นเรื่องสัญญา เสียงตอบมาก็ยิ่งน่าฟัง
แก้เป็น หวังว่าที่สอนไปยิ่งต้องเข้าใจทุกข์อัตตา ไม่ทุกข์ให้เกินทน สุขทุกข์เป็นเรื่องสัญญา เสียงตอบมาก็ยิ่งน่าฟัง

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา