แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ California แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ California แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2546

วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2546

วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2543

2543-09-24 สถานธรรมสกุลอู๋ Cypress, California (ไม่สมบูรณ์)


วันที่ 24 กันยายน ค.ศ.2000 สถานธรรมสกุลอู๋ Cypress, California

  พระโอวาทพระนาจา

สถานการณ์สรรสร้างวีรบุรุษ สิ่งสมมุติในโลกมีมากมายเหลือ
ขอให้ท่านบำเพ็ญธรรมอย่าได้เบื่อ อย่าใกล้เกลือกินด่างก็แล้วกัน
เราคือถ
   นาจาน้อย รับบัญชาจาก
 พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมสกุลอู๋ แฝงกายเคียมคัล
 องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนเข้าใจธรรมะมากขึ้นหรือเปล่า


อย่าเป็นแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ ระวังไว้เหล่ากิเลสและตัณหา
อยู่ในโลกอย่ามัวติดภาพลวงตา ใช้ปัญญามองทะลุปรุโปร่งเอย
โอกาสเปิดรอพุทธบุตรบำเพ็ญไป ทั้งนอกในสละเวลาอย่าทำเฉย
อย่าได้กลัวคำครหาว่าเปรียบเปรย คำเยาะเย้ยติฉินหรือนินทา
บำเพ็ญธรรมยุคท้ายต้องศึกษาจริง อย่าประวิงเพราะจิตใจยังกังขา
จงยอมโง่เพื่อเรียนรู้ถ่องแท้นา อย่าเป็นทาสมารนอนหลับหนาน้องคนดี
สามัคคีคือพลังนะศิษย์น้อง ความปรองดองพาถึงฝั่งสมศักดิ์ศรี
อย่าเกียจคร้านสักทิวาหรือราตรี ใครไม่มีกำลังใจอย่าลืมให้กัน
น้องทุกท่านขอให้เสมอต้นและปลาย ปีนี้ทำได้ดีแล้่วอย่าแปรผัน
ยังจะต้องลงแรงจริงยิ่งเพียรหมั่น รู้จักตนเองนั่นประเสริฐเอย

ฮิ ฮิ

พระโอวาทพระนาจา

เมื่อสักครู่นี้เล่าเรื่องอะไรไป  เรื่องมารนอนหลับเขาให้เรานอนเยอะๆถ
นอนมากๆ  แล้วเราก็จะได้ไปนิพพานไม่ได้ใช่ไหม  อยากไปนิพพานหรือเปล่าถ
ชอบนอนไหม คนชอบนอนๆไม่หลับ คนไม่ชอบนอนๆไม่ตื่น แปลกดีนะ บนโลกนี้ ไม่มีอะไรลงตัวสำหรับเราเลยใช่ไหม แล้วอยู่ในโลกนี้ มีความสุขไหมล่ะถ
เล่านิทานให้ฟังดีกว่านะ ฟังไหม  มีภูเขาอยู่สองลูก ลูกหนึ่งชื่อภูเขาแห่งถ
ความสุข  อีกลูกหนึ่งชื่อภูเขาแห่งความทุกข์ สมมุติว่าท่านเป็นคนๆหนี่งที่จะเดินถ
ขึ้นไป  ท่านจะเดินขึ้นภูเขาลูกไหน  ใครอยากขึ้นภูเขาแห่งความทุกข์ยกมือขึ้น (นักเรียนชายคนหนึ่งยกมือแล้วพูดว่ารู้จักทุกข์จึงจะรู้ว่าสุขเป็นอย่างไร) แต่พอ ขึ้นภูเขาแห่งความทุกข์แล้วไม่ได้ลงมาอีกเลยนะ   ไหนใครอยากขึ้นภูเขาแห่ง ความสุข ยกมือขึ้น แสดงว่าอยากมืความสุขกันทุกคนเลยใช่ไหม คนดีกับคนไม่ดีถ
ท่านอยากเป็นคนไหน(คนดี)    พูดดีกับพูดไม่ดีท่านอยากเป็นคนไหน(คนพูดดี)  แล้วระหว่างคนดีกับคนไม่ดี ท่านทำตัวเหมือนคนดีหรือคนไม่ดีมากกว่ากัน  ลองถ
นับคะแนนในใจไว้นะ  ถ้าท่านบอกว่า ท่านเหมือนคนดีมากกว่าก็นับหนึ่งคะแนนถ
ให้ตัวเอง ถ้าบอกว่าเหมือนคนไม่ดีมากกว่าก็ติดลบหนึ่งคะแนน    ปกติเป็นคนถ
พูดดีหรือพูดไม่ดี  แล้วเวลาให้ทำดีกับทำไม่ดี  ท่านทำดีหรือทำไม่ดีมากกว่ากันถ
(ทำดีมากกว่า) แน่ใจหรือ  ถ้าหากลูกดื้อล่ะ ทำดีไว้ในใจ ทำไม่ดีอยู่ข้างนอกถ
ใช่ไหม  ระหว่างให้ช่วยเหลือตัวเองกับช่วยเหลือคนอื่นล่ะ  ช่วยใครมากกว่าถ
กัน(ตัวเอง)  คนที่เป็นคนดีมีความสุข หรือคนที่ไม่ดีมีความสุข คนพูดดีกับคนพูดถ
ไม่ดีคนไหนมีความสุข(พูดดี)     คนดิดดีกับคนคิดไม่ดีคนไหนมีความสุข(คิดดี)ถ
สรุปแล้วท่านจะต้องทั้งคิดดี พูดดี ทำดี ท่านถึงมีความสุขได้ ท่านต้องช่วยเหลือถ
ผู้อื่นท่านถึงมีความสุขได้ใช่หรือไม่   หากท่านทำอะไรทั้งๆที่รู้ว่ามันผิด แต่ท่านถ
ก็ยังทำ ท่านก็จะทุกข์ใจไปเองใช่หรือไม่    เพราะฉะนั้น ภูเขาสองลูกนี้ก็อยู่ถ
ภายในใจของท่านเอง ปกติท่านเลือกเดินไปลูกไหนล่ะ   ตอนนี้ได้คะแนนสรุป หรือยังว่าท่านเดินขึ้นภูเขาลูกไหน (ไม่เดิน) ไม่เดินแล้วหรือ  มนุษย์นี่เปลี่ยนถ
ใจง่ายจริงๆเลยนะ เรียกว่าไปตามเหตุการณ์ ไปเรื่อยๆ  พอถูกใจก็เดิน ไม่ถ
ถูกใจก็ไม่เดิน  แล้วปกติถูกใจหรือไม่ถูกใจ  ปกติเจอเรื่องถูกใจหรือไม่ถูกใจถ
ปกติสมหวังหรือผิดหวัง  ตอนเด็กๆเราอาจจะแยกแยะไม่ออกว่าสิ่งนี้ทำไป จะถ
ถูกหรือผิด แต่พอเราโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆ เราก็รู้สึกว่าเราพอจะแยกแยะถ
ออกบ้างว่าอะไรคือถูก อะไรคือผิด   ตอนนี้ท่านบอกว่า ท่านไม่มีความสมหวังถ
อย่างสุดๆ และไม่มีทั้งความผิดหวังอย่างสุดๆ  ท่านจึงต้องรู้จักที่จะแยกแยะว่าถ
ตอนนี้แหละท่ี่ท่านควรจะต้องบำเพ็ญธรรม หรึอว่าท่านจะปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปถ
เรื่อยๆ  ภูเขาแห่งความสุข วงเล็บก็คือสวรรค์ ภูเขาแห่งความทุกข์ วงเล็บก็ถ
คือนรก เพราะว่าเราจะมีความสุขได้ ต่อเมื่อเราคิดดี พูดดี ทำดี และทำเพื่อ ผู้อื่น  ถ้าเราทำเพื่อผู้อื่นมากๆก็มีบุญ   ท่านก็เดินเรื่อยๆๆๆจนถึงภูเขา แต่ถ้าถ
บอกว่าถูกใจก็จะเดิน ไม่ถูกใจก็เลิกเดิน แล้วตกลงท่านจะไปถึงไหน  ก็จะยืนถ
อยู่ที่เดิม ลองมองดูที่เดิมของท่าน ดูว่าชีวิตที่ผ่านมาของท่านทั้งหมดมีอะไรบ้างถ
(ไม่มีอะไรเลย) หาเงินตั้งนานไม่มีอะไรเลยหรือ   อย่าตอบเราแบบเด็กดื้อถ
ถ้าตอบแบบนี้ก็ไม่มีอะไรคุยกัน กลับดีกว่า (กลับไปไหน)    กลับไปที่ที่เรามาถ
พุทธะบอกว่าไม่โปรดคนไม่มีบุญ  เราบอกว่าเราไม่คุยกับคนดื้อ  ถ
ลองนึกดูว่าท่านมีอะไรบ้าง...ลูก สามีภรรยา ทรัพย์สมบัติ ความเป็นอยู่ถ
สภาพจิตใจ สภาพร่างกาย สภาพทุกอย่างที่มี   คิดว่าน่าพอใจไหม(ตอบยาก)ถ
คนที่มีความทุกข์  อยากแนะนำว่าเมื่อมีความทุกข์แล้วต้องรู้จักทำจิตใจให้สบายถ
ท่านต้องเดินไปยังภูเขาแห่งความสุข เดินไปยังสวรรค์แม้ว่าทางไปสวรรค์ของถ
ท่านจะรกสักหน่อย ท่านก็ต้องขยันถาง  อย่างเช่น ต้องมีเวลามาบำเพ็ญธรรมถ
ต้องมีเวลามาสถานธรรมบ้าง ไม่ใช่หายต๋อม   ถ้าหากว่าคนไหนคิดว่าตนเองถ
มีความสุขดีอยู่แล้ว และคิดว่านำ้หนักแห่งความสุขมีมาก   ท่านก็ต้่องรู้ว่าเมื่อมีถ
ความสุขอยู่ก็ดีแล้ว  เพราะคนส่วนใหญ่ถ้าทุกข์ก็จะรู้สึกหนักใจและบำเพ็ญไม่ได้ถ
แต่เมื่อท่านมีความสุข แสดงว่าท่านโชคดีกว่าคนอื่น   ท่านจะต้องพยายามที่จะถ
มอบความสุขให้กับคนอื่น เหมือนกับเราผู้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์  เราก็อยากให้ท่านมีถ
ความสุขมากๆ แต่ว่าหัวใจท่านไม่เปิด หรือเปิดกันคนละนิดเดียว ถ้าเราอยากถ
ได้รอยยิ้มก็ต้องยิ้มให้คนอื่น  ถ้าบึ้งให้คนอื่นๆก็บึ้งตอบเรา  ถ้าเราช่วยคนอื่นๆถ
ก็ช่วยตอบ ถ้าเราเอาธรรมะไปให้คนอื่นล่ะ (เขาก็ดีกับเรา) อยากได้ผลตอบถ
แทนด้วยนะ  ถ
แอปเปิ้ลลูกนี้สวยแต่รูปจูบไม่หอม  ข้างนอกสวยแต่ข้างในไม่อร่อย ทุกคนถ
ในโลกนี้ก็เหมือนกัน บางทีก็ท่าดีมากเลย แต่ต่อด้วย(ทีเหลว)  ตอนที่เรามีใจถ
ที่จะบำเพ็ญธรรมะ เราเคยมีความคิดว่าต่อให้มีอุปสรรคเท่าไหร่เราก็จะสู้ แต่ถ
พออุปสรรคเข้ามาจริงๆ ครั้งแรกท่านยังทนไหว ครั้งที่สองผ่านไป พอเริ่มครั้งถ
ที่สามท่านก็เริ่มทนไม่ไหวแล้วใช่หรือไม่  แล้วท่านก็จะติดธุระเหมือนเดิม ไม่มีถ
เวลาเหมือนเดิม  ลงท้ายด้วยท่านยังไม่ทันได้บำเพ็ญ  ท่านก็ต้องจากโลกนี้ไปถ
แล้ว เพราะเวลาปีหนึ่งๆผ่านไปเร็วมาก ตอนนี้แต่ละคนอายุเท่าไหร่กันแล้วล่ะ อายุมากแล้ว เทียบกับเราแล้วมากกว่ากันเยอะ  แต่เราก็สำเร็จเร็วกว่าท่านถ
เพราะฉะนั้น ท่านจะแพ้เราไหม (ไม่แพ้) ตอบในใจก็แล้วกัน  บางคนตอบว่าถ
ไม่แพ้ แต่ในใจกลับคิดว่าแพ้แน่เลย (ยังไม่แพ้) อย่าไปแพ้ตอนใกล้ๆถึงเส้นชัยถ
ก็แล้วกัน น่าเจ็บใจที่สุด  ท่านต่้องมีความเชื่อมั่นในตนเอง  ต้องมีความมั่นคงถ
ในธรรมะ แล้วตอบตัวเองว่าคนประเภทนี้จะแพ้หรือไม่แพ้        มีคำพูดว่า สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ    แล้วทุกท่านในที่นี้ก็มีสถานการณ์ที่รายล้อมท่านอยู่ถ
ทุกอย่างที่เป็นทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี ท่านก็มีสถานการณ์ที่จะสร้่างท่านให้เป็นถ
วีรบุรุษ อยู่ที่ท่านเองจะเป็นวีรบุรุษหรือว่าจะหลุดถ
รู้ไหมว่า เวลาที่เราบอกว่าเรามีสถานธรรมที่ไม่ใช่ชั่วคราวอีกต่อไปแล้วถ
หมายความว่าเราพ้นไปจากช่วงของการบุกเบิกแล้ว พอท่านแสดงความจริงใจถ
ออกมา คนก็มากันมากมาย   ต่อไปนี้ ท่านต้องเห็นที่นี่เป็นสถานธรรมของท่านถ
เหมือนกัน   ถ
พูดถึงพระอาจารย์  ต้องบอกว่าพวกท่านโชคดีมาก  เราไม่ค่อยอยากมา แต่พระอาจารย์ก็บอกว่าให้มา เพราะครั้่งนี้คนเยอะแยะเลย  จะได้ไปเล่นกับถ
เขาให้สนุกไปเลย แต่ไม่รู้ว่าพวกท่านจะเล่นกับเราสนุกหรือเปล่า   สนุกไหมถ
เมื่อกี้ เราบอกว่าช้าๆได้พร้าเล่มงาม เขาก็เลยจะเขียนว่า ถามศิษย์น้องช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม  เขาจะให้ท่านช้ากว่านี้อีกนะ ช้ากว่านี้ไม่ไหวแล้วใช่ไหม  มีถ
จดหมายเตือนฉบับที่หนึ่ง...เรื่องอายุมากขึ้น  จดหมายเตือนฉบับที่สอง...ผมถ
ขาวบนหัวมีหรือยัง   จดหมายเตือนฉบับที่สาม...ร่างกายเริ่มเจ็บป่วยหรือยังถ
จตหมายเตือนฉบับที่สี่...     ตอนนี้เริ่มมีอาการปวดๆเมื่อยๆขี้เกียจๆหรือยัง ถ
จดหมายเตือนฉบับที่ห้า...ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าจะหาข้ออ้างได้เยอะขึ้นหรือยัง  ที่ถ
จริงแล้วฉบับที่สี่และฉบับที่ห้าต้องมาเป็นฉบับแรกๆ    เพราะหาข้ออ้างกันเก่ง ถ
ว่างก็บอกว่าไม่ว่างเพราะว่าไม่อยากจะมาถ
บางที การที่ธรรมะลงมาโปรด  อาจจะไม่ใช่ว่าพวกท่านเป็นคนไม่ดีหรือถ
เป็นคนชั่ว  แต่การช่วยพวกท่านขึ้นมาก็เพื่อให้พวกท่านได้มีโอกาสไปช่วยคนอื่นถ
ที่เขาไม่สามารถจะแยกแยะถูกผิดออกจากกันได้ ที่เขาคิดว่าถูกและผิดนั้นคือสิ่งถ
เดียวกัน นี่เป็นหน้าที่ของคนทุกคนที่ยังมีกายสังขาร มีสติและเรียกตัวเองว่าผู้มีถ
ปัญญา เป็นสิ่งจำเป็นที่ท่านต้องไปทำ  พวกท่านบอกว่าท่านเป็นคนดีแล้ว เราก็ถ
คิดว่าเป็นเช่นนั้น แต่ท่านอย่าลืมว่ายังมีคนไม่ดีอีกมาก ที่พวกท่านจะต้องไปช่วยถ
ถ้าหากว่า ท่านไม่ทำอะไรเลย ท่านก็ดีของท่านคนเดียว ดีในบ้านของตัวเองก็ถ
พอ ลูกของท่านก็ดี ท่านรู้ได้อย่างไรว่าลูกของท่านดี เพราะเขาอยู่ในบ้านเขาถ
ดี แต่เวลาที่เขาออกไปนอกบ้านเขาเป็นอย่างไร ท่านก็ไม่สามารถรู้ได้   ถ้าถ
ท่านเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มองเห็นคนดีมีประปรายอยู่เป็นจุดๆท่านจะทำอย่างไร  ในถ
โลกปัจจุบันที่ธรรมชาติถูกทำลายลงก็เริ่มมีการรวมพลังกันอนุรักษ์ธรรมชาติและ ต่อต้านการทำลายที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ  เบื้องบนก็เช่นกัน เมื่อมองเห็นคนชั่วมากถ
ขึ้น เบื้องบนก็หาทางรวมคนดีเป็นกลุ่ม หาวิธีการช่วยเหลืออนุรักษ์ความดีให้คงถ
ไว้ เพราะฉะนั้น เมื่อท่านมั่นใจว่าท่านเป็นคนดี จงรักษาความดีไว้ เหมือนกับ เกลือรักษาความเค็ม     รักษาความดีของท่านให้เหมือนความเค็มของเกลือ  (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจกเกลือให้นักเรียนทีละคน)   เกลือถ้วยเล็กๆแจกทุกคน แล้วก็ยังมีเหลืออีก  ความดีก็เหมือนกับเกลือ คนเอาไปทีละนิดๆก็ยังไม่หมด ถ
กินเกลือแล้วหิวนำ้ใช่ไหม  น่าสงสารนะ  เป็นมนุษย์นี่พอกินเค็มก็เอาหวานดับถ
พอกินหวานก็เอาเค็มต่อ   ถ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เอานำ้มาให้นักเรียนดื่ม) รักกันเหมือนพี่น้อง ดื่มนำ้ร่วมถ
สาบานนะ มีน้อยก็ดื่มน้อย  เวลาดื่มนำ้ต้องรู้จักแบ่ง แบ่งสัดส่วนของนำ้ว่า ดื่ม เท่าไหร่จึงจะพอไปถึงคนหลังสุด ก็เหมือนกับการแบ่งเวลา การที่เราทำอะไรถ
สักอย่าง เราอาจจะไม่รู้ไปถึงจุดจบ เราก็ต้องแบ่งเวลาทั้งๆที่ไม่รู้  แบ่งให้ดีถ
ที่สุด ให้มากที่สุด ดื่มนำ้แก้วเดียวกัน ตามหลักโภชนาการทางโลกอาจจะไม่ถูก ต้อง  แต่ตามหลักสามัคคีก็ถูกต้อง ดื่มนำ้เข้าไปแล้วให้คิดว่าสถาน(เรือ)ธรรม ลำนี้เป็นเหมือนกับบ้านของทุกท่าน ก็ขอให้ทุกท่านสามัคคีคือพลัง ถ
คนเราเมื่อคิดในทางที่ดีจิตใจก็จะสบาย เวลาเราจะเข้ามาบำเพ็ญธรรมถ
ทุกอย่างก็เหมือนกับจะมีระเบียบ มีกฏ บางคนคิดว่ากฏระเบียบมากเกินไป แต่ถ
ว่ากฏระเบียบก็เป็นเหมือนกับทางเดิน  จะกว้างหรือจะแคบเท่าไหร่ไม่ใช่อยู่ที่ถ
ว่าท่านเปิดใจกว้างหรือแคบเท่าไหร่ กฏระเบียบก็เหมือนกับอิ""ฐที่วางไว้กั้่นเป็นถ
ทางให้ท่านเดิน    ถ้าหากว่าท่านไม่อยากให้มีกฏระเบียบความยุ่งยากนั้นเลยถ
ท่านก็เดินไปในทางที่หญ้าจะขึ้นรก  แต่ถ้าท่านมีกฏระเบียบ  ตัวท่านเองก็จะมีถ
ระเบียบ คนที่เดินตามหลังท่านมาก็จะมีระเบียบเช่นกัน การฝึกระเบียบวิธีการถ
ไหว้พระ เพื่อช่วยให้ท่านได้รู้ ได้เข้าใจ ได้เรียน  เหมือนอย่างที่คนข้างหน้าถ
เรียน และคนที่ต่อจากท่านไป ไม่ว่าจะเป็นคนประเภทไหนเข้ามา  จะเป็นคนถ
ประเภทที่รู้จักกฏระเบียบดี หรือเป็นคนไม่ชอบกฏระเบียบ หรือเป็นคนที่ปกติไม่ถ
อยากจะรักษาระเบียบอะไรในชีวิต เขาก็จะต้องมาหัดกฏระเบียบต่างๆเหมือน กับที่ท่านไหว้พระเยอะๆเมื่อเช้านี้   บางคนก็ไหว้เป็น   บางคนก็ไหว้ไม่เป็น บางคนก็ว่าเยอะไป บางคนก็ว่าทำได้ ทำไหว  ถ้าหากว่าท่านมีระเบียบตลอดถ
การบำเพ็ญก็เหมือนกับท่านมีทางตลอดไปในการบำเพ็ญของท่าน  แต่ว่าการจะถ
ทำอะไรสักอย่าง จะต้องรู้จักการพลิกแพลงให้เกิดความพอดี  อย่างเช่นเมื่อกี้ถ
ผู้ชายมากราบพระได้หมด   ส่วนผู้หญิงกราบรับเราได้หมดทุกคนไหม (ไม่ได้)ถ
เพราะติดเก้าอี้ ท่านจะทำอย่างไร   ถ้าท่านจะคุกเข่าลงไปให้ได้ หัวก็จะไปถ
โขกกับเก้าอี้ ท่านก็จะคิดว่า ทำไมต้องทำแบบนี้  เพราะท่านรู้แต่เพียงว่ากฏก็ถ
คือกฏ  ระเบียบก็คือระเบียบ  ท่านก็จะคุกเข่าลงไปให้ได้  หัวก็จะไปโขกกับถ
เก้าอี้จนเจ็บตัว แต่ถ้าท่านรู้ว่า กฏระเบียบคือสิ่งที่หมายถึงอะไร และมีไว้เพื่อ อะไร  ท่านก็จะลุกขึ้นยืนตัวตรง แล้วโค้งอย่างสวยงาม  เพราะฉะนั้นในการ บำเพ็ญธรรม ในเรื่องของการมาสถานธรรม และในอีกหลายๆเรื่องนั้น ก่อนที่ จะพลิกแพลงเป็น ท่านต้องศึกษาให้มากพอ เข้าใจให้ถ่องแท้  คนที่เพิ่งประชุมถ
ธรรมไปและมีใจที่จะบำเพ็ญ  ท่านต้องตอบคำถามตัวเองก่อนว่าวันนี้ท่านอยาก บำเพ็ญธรรมเพราะอะไร เพื่อการหลุดพ้น หรือเพื่อขอ   ถ้ามุ่งหมายเพื่อการ หลุดพ้น นั่นจะเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านเดินไปถึงวันสุดท้าย  เดินไปถึงจุดหมายปลาย ทาง แม้ว่าอุปสรรคจะขวางหน้าอีกเท่าไหร่ ท่านก็จะยังคงมุ่งมั่นที่จะเดินต่อไป เรื่อยๆๆ   แต่ถ้าไม่ใช่ ท่านก็อาจจะเดินๆๆ แล้วพอไม่ได้อย่างที่ขอ ท่านก็จะถ
กู๊ดบาย ซาโยนาระ ใช่ไหม   เพราะอะไร  เพราะเราไม่ได้อย่างที่เราขอถ
ฉะนั้น การบำเพ็ญธรรมจึงต้องอดทนถ
รู้จักกองไฟไหม  ไฟร้อนไหม  กองไฟเปรียบเหมือนอะไร (ความทุกข์,ถ
กิเลส, ตัณหา, ความโลภ, ความโกรธ, ความหลง, สิ่งยั่วยวน) สิ่งต่างๆที่ถ
กล่าวมาต้องมีที่ส่งออกมา แต่สำคัญที่สุดไม่ใช่สถานีส่ง แต่คือสถานีรับ และเรา ทุกคนก็ทำตัวเป็นสถานีรับใช่หรือไม่ ถ
ทุกท่านมาอยู่ที่นี่ถึงแม้ว่าตัวท่านอาจจะมีพื้นฐานธรรมกันมาบ้าง  แต่ก็ต้องถ
ยอมรับว่ามีบางเรื่องที่ท่านก็ยังไม่รู้  โดยเฉพาะเรื่องการโปรดยุคสามนี้ ท่านถ
ก็ต้องรู้น้อยกว่าคนที่ศึกษามาก่อนอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องในสถานธรรม ท่านก็ ต้องรู้น้อยกว่าคนที่คลุกคลีอยู่ในสถานธรรม เพราะฉะนั้น ท่านก็ต้องยอมที่จะโง่ บ้างเพื่อให้ท่านฉลาดมากยิ่งขึ้น ไม่มีใครรู้ตลอดทุกเรื่อง  ท่านเองก็เหมือนกันถ
เป็นทาสมารนอนหลับหรือเปล่า ยังมีอีกตั้งหลายมาร เช่นมารในจิตที่ได้ถ
รับหน้าที่ในการทดสอบว่าท่านยังมีกิเลสหนาเท่าไหร่  อย่างเช่น เขาจะเอา สิ่งมายั่วยวนท่าน ดูว่าท่านจะหลงตามไหม ถ้าจิตใจของท่านยังเหลือสิ่งที่เป็นถ
กิเลสทั้งหลาย พอเขาเอากิเลสมาล่อ แล้วท่านเปิดเครื่องรับๆมาปุ๊บ  แสดงถ
ว่าในใจของท่านยังมีกิเลสเหลืออยู่ ท่านก็จะโดนสอบตกทันที ทำไมต้องมีการ ทดสอบในยุคสมัยนี้  เพราะการบำเพ็ญเป็นพุทธะในสมัยนี้เป็นเรื่องที่ง่ายกว่าถ
ในสมัยก่อน แต่ท่ามกลางความง่ายก็มีความยากเกิดขึ้น เพราะว่าไม่ได้เรียกถ
ร้องให้ท่านสละอะไรเลย ให้ท่านมีทุกอย่างพร้อมบริบูรณ์เหมือนเดิม  แต่ท่านถ
ต้องสละท่ามกลางโลกใบเล็กๆนี้   สละความสุขส่วนตัวเพื่อความสุขส่วนรวมถ
นี่คือการเสียสละ  แต่ท่ามกลางความเสียสละนี้ เมื่อเทียบกับสมัยก่อนก็เทียบถ
ไม่ติด  แต่ท่านสามารถจะสำเร็จไปเหมือนท่านเหล่านั้นได้เช่นกัน   อยู่ที่ว่าถ
ท่านแน่พอหรือไม่ เอาจริงหรือไม่ บำเพ็ญจริงหรือไม่  เพราะว่าทางด้านรูปถ
กายภายนอก ทางด้านสิ่งใดๆอาจจะไม่ต้องพูดถึง  แต่ทางด้านจิตใจ ท่านจะถ
ต้องสูงเท่าระดับของเมื่อก่อน  ใช่ ยากมาก แต่หากทำทุกวันก็ง่าย ถ้าไม่ทำถ
ทุกวันก็ยาก   แค่ทิ้งไปสามวันก็ลืม(ลืมแน่นอน)  รู้ว่าแน่นอนแล้วยังไม่ทำตัวถ
ให้แน่เลยถ
ใครอยากกลับบ้านแล้วยกมือขึ้น เดี่๋ยวเราจะได้กลับเหมือนกัน บ้านใครถ
บ้านมัน เรารู้นะว่าท่านอยากกลับไปบ้านเรา เพราะบ้านเราดีนะ แต่พอท่านถ
ขึ้นไปปุ๊บ ท่านก็เด้งลงมาเลย เหมือนติดสปริงเลย (เพราะอะไร)เพราะว่า ดินแดนที่ไม่มีกิเลสนั้น คนมีกิเลสอยู่ไม่ได้   หลายคนคิดว่าตัวเองบำเพ็ญได้ดีถ
จริง  แต่พอเอาเข้าจริงๆแล้ว ไม่ใช่ว่าเบื้องบนปฏิเสธไม่ให้ท่านอยู่ แต่ท่านถ
ปฏิเสธตัวเองที่จะอยู่ เพราะว่าท่านอยู่ไม่ได้เอง   เบื้องบนไม่ใช่ที่ของท่าน เหมือนมีดกับหินลับมีด ท่านอยู่ในโลกท่านเป็นมีดและก็มีหินลับมีด  แต่เบื้องบนถ
ไม่มีหินลับมีด นานๆไปท่าน(มีด)ก็ทื่อ และในที่สุดมีดก็มาหาหินลับมีดเองถ
คนทุกคนนั้นบำเพ็ญก็บำเพ็ญที่ใจ   และสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในใจของท่านก็คือถ
จิตที่มีความศรัทธา เพราะว่าจิตที่มีความศรัทธานั้นสามารถทำอีกหลายๆอย่างถ
ให้เกิดขึ้นได้  แต่ว่าท่านอย่าได้ศรัทธาอย่างงมงาย  เช่น ศรัทธาในการติดถ
รูปลักษณ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นศรัทธาที่งมงาย  เพราะว่าเรา(สิ่งศักดิ์สิทธิ์)ก็ ไม่ใช่คนๆนี้ เรามาที่นี่ก็แค่ชั่วคราว หากท่านจะยึดอะไรสักอย่างหนึ่ง ถ้าบอกถ
ว่าไม่ให้ท่านยึดอะไรเลย ท่านก็จะเคว้งคว้างไปมา เดี๋ยวก็ลอยไปชนกำแพงถ
ข้างโน้นที ลอยไปชนข้างนั้นที  ก็ให้ท่านยึดหลักสัจธรรม ยึดการศึกษาธรรมะถ
เป็นหลัก  ถ
    การบำเพ็ญธรรมนั้่นวิธีการทำทานทำได้หลายอย่าง   เช่นการพูดถ
ธรรมะก็เป็นทานอย่างหนึ่ง ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเงินทอง  ใช้กำลังแรงกายถ
อย่างเช่นคนที่กำลังทำอาหารให้เราทานอยู่ข้างในนั้น น่ารักไหม เขาทำไปก็ ยิ้มไป ท่านทำได้ไหม เวลาที่เห็นเขายิ้มแล้วท่านมีความสุขไหม(มี)แล้วเวลาถ
ที่กินอาหารเขาอร่อยไหม(อร่อย) แปลกจริงๆ ทำไมเราทำไม่ได้ ทำไมเขาถ
ทำได้ (เขามีบุญ)ไม่ใช่เพราะเขามีบุญ  ท่านทุกคนก็มีบุญ ถ้าไม่มีบุญจะมารับ ธรรมะไม่ได้รู้ไหม ต้องเชื่อมั่นในตัวเองว่าท่านก็เป็นหนึ่ง..คนไทยชอบพูดว่าถ
อะไร..หนึ่งในตองอู  ท่านก็เป็นที่หนึ่งเหมือนกัน ท่านต้องเชื่ออย่างนี้  เชื่อถ
ว่าท่านก็มีสิทธิ์ที่จะบำเพ็ญจนบรรลุเป็นพุทธะได้เช่นกัน  เพียงแต่ว่าท่านจะทำถ
หรือไม่ทำ จะไปหรือไม่ไป ถ
คนที่ชอบพูดว่าที่ไหนดีฉันก็ไปหมดเลย  จะเล่าเรื่องสมมุติให้ฟัง  มีคนๆถ
หนึี่ง เป็นคนไทยมาเรียนที่อเมริกา ภาษาไทยไม่ค่อยแตกฉานเท่าไหร่ พอมา เรียนที่นี่ต้องใช้ภาษาอังกฤษๆก็ไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่  พอมาบำเพ็ญธรรมแล้วก็ถ
ต้องใช้ภาษาจีนด้วย ทีนี้ภาษาจีนก็ไม่ค่อยเอาไหน  สรุปแล้วสามภาษาก็สำคัญถ
ทั้งนั้น สุดท้าย คนๆนี้ก็ไม่ได้ภาษาไหนเลย  อยู่ไปนานๆภาษาไทยก็ลืม ภาษาถ
อังกฤษก็ลุ่มๆดอนๆ  ภาษาจีนก็ไม่ค่อยกระดิกเลย   เปรียบเทียบเหมือนการถ
บำเพ็ญธรรมของเรา ท่านก็พูดถูกที่ว่าที่ไหนดีก็จะไป ถ้าที่ไม่ดีก็ไม่ไป  แต่ถ้าถ
จะพูดประโยคนี้ ควรพูดว่า..ที่ไหนดีฉันก็จะไป แต่จะไปศึกษาดูให้รู้จริงในถ
ทุกๆที่ที่ไป  เมื่อเจอสิ่งไหนที่ดีกว่าก็จะพยายามบำเพ็ญในทางนั้นให้ดีที่สุด  เหมือนอย่างวันนี้ที่มาที่นี่ ถ้าหากพูดกันอย่างยุติธรรม  เราไม่บอกท่านว่าที่นี่ดี ถ
ที่สุด  แต่ว่าท่านต้องศึกษาที่นี่ให้รู้จริงก่อนที่ท่านจะไปที่อื่น    มิฉะนั้นท่านจะถ
เหมือนมีขาอยู่สองขาแต่เหยียบเรืออยู่ห้าแคม  จะเหยียบอย่างไรเราก็ยังนึกถ
ไม่ออก อย่างน้อยๆท่านก็ไม่ได้เหยียบอยู่แค่สองแคม   บางคนอาจจะเหยียบ มากกว่านั้นอีก เพราะฉะนั้น  ท่านต้องพยายามที่จะศึกษาให้เข้าใจมากกว่านี้ถ
รู้จักตัวเองไหม ถ้าใครอยากฟังเรื่องรู้จักตัวเองต้องไปฟังพระอาจารย์ถ
จี้กง ถ้าใครยังไม่เคยฟังให้ไปหามาอ่าน  เอาไว้วันหลังเราเจอกันใหม่ คน ที่มาสถานธรรมในวันนี้ เราบอกได้ว่าท่านทุกคนอย่างน้อยได้สละเวลาของตนถ
ได้เปิดใจของตนเองแล้วจึงสามารถมาที่นี่ได้ เมื่อท่านเปิดใจ  ทางเบื้องบน ถ
ก็เปิดให้ท่าน ท่านก็มีโอกาสเข้าไป  มีโอกาสก็ขอให้ศึกษาให้มากๆ  ถ้าไม่มีถ
โอกาส เอาหนังสือไปเปิดอ่าน เมื่อมีอะไรสงสัย  ก็มาถามอาจารย์ถ่ายทอดถ
เบิกธรรม  ปีหน้าขอให้เราได้เจอกับท่านอีก ไม่ว่าเราจะได้เจอกันชนิดเห็น กันอีกหรือไม่ ก็ขอให้ทุกท่านได้สละเวลามาเช่นนี้ทุกๆปี เมื่อศึกษาธรรมไปสัก ช่วงหนึ่ง จนอยู่ตัวแล้ว ท่านจะรู้ว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่ แต่ตอนนี้ท่านอาจจะ ยังตอบตัวเองไม่ได้ ตอนนี้อาจจะรู้อะไรได้ไม่ชัดเจน  แต่ถ้าหมั่นศึกษาบ่อยๆ ท่านต้องตอบตัวเองได้แน่นอนว่าท่านกำลังจะทำอะไร และตอนนี้ท่านกำลังทำ อะไรอยู่  ถ
อย่าลืมที่เราบอก มีภูเขาอยู่สองลูก  ภูเขาแห่งความสุข และภูเขาแห่ง ความทุกข์    หากว่าท่านคิดดี พูดดี ทำดี ช่วยเหลือผู้อื่น ท่านก็จะมีความสุข  จะเลือกเดินไปทางไหนขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง ทำดีทำไม่ดี พูดดีพูดไม่ดี..นินทา ขนาดว่ามีคนไทยน้อยอย่างนี้ก็ยังแอบนินทากันได้เลย   ท่านก็รู้ว่าเราบำเพ็ญถ
ธรรมแล้ว ถ้าหากรู้สึกว่าอยากจะนินทาเมื่อไหร่ก็(รูดซิปปาก)ถ้าหากอยากจะ ว่าใครก็(รูดซิปปาก)  ถ้าหากกำลังคิดว่าจะทำความดีสักอย่าง  แต่ต้องเสียถ
เปรียบ เอาเปรียบตัวเองนิดหน่อยก็ขอให้ท่านเสียสละออกไป    เพราะนั่น แสดงให้เห็นถึงความไม่เห็นแก่ตัวของท่าน  เมื่อท่านทำได้หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง  จนชิน  เมื่อทำดีเล็กๆน้อยๆ  ท่านจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ   ต่อไปท่านจะทำความดีเพิ่มมากขึ้นๆๆๆ     แบบมือที่แยกกว้างออกไปเรื่อยๆ ถ
 ถ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนยืนขึ้น  กางมือออก  ร่วมกันร้องเพลงส่ง) ทำจิตใจให้กว้างๆ ยิ้มกว้างๆเหมือนพระศรีอารย์ด้วยถ

บนแดนฟ้า พุทธาไปอยู่แห่งใด  มองมองไป พุทธาลงแดนโลกมา  คราวก่อนว่าจะบำเพ็ญ แต่แล้วไยลืมง่ายง่าย เร็วเร็วอย่านานไป   พุทธา มาคืนบ้านมาถ
ลงแรงหนา  สามทางทรัพย์กายและใจ  เพลียแรงใจ  สังคมมีถ
คำรำ่ลือ  เป็นสุขได้ครั้งได้คราว  ยุคขาวดังบัวบานใกล้   คนรู้อย่านอนใจถ
พุทธาเร็วเร็วรีบมา ถ
เพลงพระโอวาท... ไปไหนดี ทำนองเพลง...  มองมองหาถ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2543

2543-08-19 พุทธสถานสกุลอู๋ Cypress, California (ไม่สมบูรณ์)


วันเสาร์ที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๓ พุทธสถานสกุลอู๋ Cypress, California

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ในโลกนี้ไม่มีใครไม่เคยผิด  แต่กลัวผิดแล้วไม่แก้นะศิษย์เอ๋ย
หากอยากได้ไม่ไขว่คว้ากระไรเลย   จะได้เชยชิดชมช่ืนอย่างไรกัน
               เราคือถ
  จี้กงอรหันต์อนุเคราะห์ชาวโลก  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมสกุลอู๋ แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนพรุ่งนี้จะมาหรือเปล่า

สำเนียงหวานเป็นลมขมเป็นยา  ถูกครหาอย่าถือสรรพวาจาตำหนิ
จงคงมั่นในสิ่งให้สติ   บุปผาผลิเคยไหมที่คงนิรันตร์
พิจารณาเกิดปัญญาเกิดทางจะเกิด   ดั่งฟ้าเปิดรู้เวลากับสังขาร
ฝึกฝนใจดูให้จิตเบิกบาน   ว่างปการนี้รูปแท้ชีวิตจริง
อย่าถือมั่นตนในยามบำเพ็ญ   ความลำเค็ญนี้แดนโลกธรรมดายิ่ง
ทุกข์ที่เคยมีถึงสลายจริง   อย่าคอยชิงหายคราโอกาสใกล้
คิดก่อนทำควรที่พร้อมเสมอ   อย่าได้เผลอรู้อะไรคือจุดหมาย
หากต้องทำรีบไปทำขวนขวาย   ความเข้าใจซึ่งตรงกันอุปถัมภ์งาน

  ฮา ฮา หยุด


พระอาจารย์จี้กง เมตตาประทานพระโอวาท

วันนี้อาจารย์มาดูคนมาวันเสาร์โดยเฉพาะ  (สำหรับคนที่นี่)  การมาวันเสาร์นี่แปลกนะ ใครบ้างที่ลางานมา (พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้ (คนที่มาในวันหยุดได้ผลไม้ด้วยไหม) คนขยันพูดก็มีข้อดีอย่างนี้ เพราะว่าเราจะบำเพ็ญธรรมะ  ธรรมะ ออกมาจากไหนของเรา (จากจิตใจ)  เรารับธรรมะใช่หรือไม่  แล้วธรรมะอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ)  แต่คนมองเห็นใจของเราไหม ไม่เห็นเลย เราจะเป็นคนที่จิตใจดี จะเป็น คนที่จิตใจไม่ดี ไม่มีใครมองเห็นใจเรา  เพราะฉะน้ันอยากให้คนได้รู้ธรรมะ อยากให้คนยึดมั่นในความดีต้องทำอย่างไร  เราต้องพูดคนถึงรู้   อาจารย์จึงบอกว่าคนที่รู้จักพูดก็ดีอย่างนี้ หลายคนที่อยู่ที่นี่เป็นคนเงียบ    ยิ่งชีวิตที่ผ่านมาเจออุปสรรคมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเงียบ  แล้วกดลึกจิตใจของตนเองไว้  แต่คราวนี้อาจารย์รับประกันว่า ไม่มีอะไรผิดพลาด ขอให้เรารู้จักพูดในสิ่งที่เป็นธรรมะ  ไม่ต้องกลัวคนอื่นเขาจะว่า ถ้าเขาว่า เราต้องทำอย่างไร   สมมุติว่ามหาสมุทรแห่งหนึ่งมีนำ้สีดำหยดลงไปหนึ่งหยด ถามว่านำ้ในมหาสมุทรจะเปลี่ยนเป็นสีดำไหม  หยดลงไปสองหยดล่ะ(ไม่) เทลงไปทั้งกะละมังเลยล่ะ(ไม่ดำ)  การที่คนเขาว่าร้ายเรา หรือการที่คนเขาว่าเราพูดอะไรก็ไม่รู้ พูดอยู่ได้แต่สิ่งดีดีที่เดี๋ยวนี้คนเขาไม่พูดกันแล้ว  คนมักจะชอบพูดอย่างนี้ใช่ไหม  แต่ว่าเรามั่นใจไหมว่าสิ่งที่เราพูดเป็นสิ่งที่ดี  มั่นใจไหม ถ้าเรามั่นใจทำใจให้เหมือนมหาสมุทร แล้วเวลาที่คนเขาว่าร้าย เวลาที่คนเขานินทาลับหลังอาจจะเหมือนใส่นำ้ลงไปสักสามหยด     เวลาเขาว่าต่อหน้าอาจจะเหมือนเทนำ้ลงไปทั้งกะละมัง  แต่ถ้าใจของเรากว้างอย่างนั้น ใหญ่อย่างนั้น ใจกว้างเสมอๆ ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นเขาจะว่าอะไร   อาจารย์เห็นศิษย์ของอาจารย์ที่นั่งอยู่ที่นี่ กับคนในปีที่ แล้วก็ไม่ใช่คนๆ เดียวกัน คนที่มานั่งที่นี่อีกรอบหนึ่ง อาจจะมีสิ่งที่ดีขึ้น หรืออาจจะมีสิ่งที่แย่ลง แต่ว่าที่แน่ๆก็คือว่าเรานั้นต้องรู้จักที่จะกลับมาศึกษา เพราะถ้าหากว่าคราวนี้เรายังไม่มา  คนโทรไปชวนแล้วเราเกิดไม่มา  ไม่อยากมา พอเวลาเคลื่อนคล้อยถึงสิ้นปีนี้ ใจเรายังมีธรรมะอยู่ไหม มีธรรมะอนุตตรธรรมอยู่ในใจไหม สงสัยจะหาย ไปแล้ว  นี่คือทำไมอาจารย์ถึงเน้นให้ศิษย์นั้นเสมอต้นและเสมอปลาย   หมายความ ว่าตั้งแต่ต้นจนปลายก็เหมือนกัน   เหมือนธูปอันนี้ที่ตรงๆ  ต้นและปลายต้องเสมอกัน แม้ว่ากาลเวลาผ่านไป กาลเวลาเผาส่วนข้างบนนี้ไปแล้วจนเหลือเพียงก้านก็ยังตรงอยู่ แม้ชีวิตของเรานั้นจะหาไม่ โดนเวลาเผาไปเผาไป เราก็ยังเหลือจิตใจที่ตรงๆ และถ้าเราเป็นอย่างนั้นได้ เราจะมาพูดเรื่องการบำเพ็ญธรรมกัน  และถ้าเราเป็นอย่างนั้นได้ชั่วชีวิต เราจะมาพูดเรื่องการหลุดพ้นกัน ดีไหม ถ้าเราทำไม่ได้ หลุดพ้นได้ไหม  ที่เรามาที่นี่มาพูดกันว่าเกิดมาเป็นทุกข์.. เกิดมาเป็นทุกข์.. หลุดพ้นดีกว่า หลุดพ้นดีกว่า ถ้าเราอยากหลุดพ้น นั่งอยู่กับบ้านเฉยๆ คนเรียกก็ไม่อยากมา แล้วจะไปพ้นได้อย่างไร น้อยเสียสละไม่ได้ สิ่งที่เป็นผลดีย่อมไม่ได้กลับมา ถ้าเราเสียสละไปก็ย่อมจะมีสิ่งที่ดีกลับมา สิ่งที่ดีนั้นอาจจะกลับมาในรูปวัตถุที่เห็นได้ หรืออาจจะกลับมาในรูปของความว่างเปล่า แล้วเราจะทำอย่างไร มีความเชื่อไหม  ดูแอปเปิ้ลในมือของเรา อย่าดูเหมือนทุกครั้งที่ดู ทุกครั้งที่เราดูเป็นอย่างไร เราก็ดูแต่ลูกที่สวยๆ ผลไม้ลูกนี้ถูกคัดเลือกมาแล้วก่อนที่จะมาถึงโต๊ะพระ ก่อนที่คนเขาจะนำมาไหว้พระ ดูซิว่ายังมีรอยไหม พลิกดูซิ นับดูว่ามีกี่แห่ง ดูให้ดีๆ มีกี่แผล(เยอะแยะไปหมด,มีหนึ่ง,ไม่มีเลย) บนแอปเปิ้ลลูกนี้มีสิ่งที่ไม่ดีอยู่เท่าไหร่ มีสิ่งที่ดีอยู่เท่าไหร่ สิ่งที่ไม่ดีนั้นใครทำ สิ่งที่ดีใครทำ  แล้วแต่ใครจะนับ แล้วแต่ใครจะเห็น   คนที่ตอบสามสี่แผลแต่ให้อีกคนหนึ่งไปมองอาจจะไม่มีแผลเลย แอปเปิ้ลลูกเดียวกันแล้วแต่ใครจะมอง ธรรมะ ที่ศิษย์รับไปก็เหมือนกัน รับธรรมะไปแล้ว สมมุติว่านี่(แอปเปิ้ล)  คือธรรมะให้รับไป แล้ว ศิษย์เอากลับไปวางไว้เฉยๆ รู้ไหมว่าธรรมะเป็นอย่างไร อีกคนหนึ่งรับธรรมะ ไปแล้ว เอาไปดูหน่อยแล้ววางไว้เหมือนเดิม เห็นไหม ทันเห็นอะไรไหม  ส่วนคนนี้ รับมา(กิน) เห็นไหม(เห็นชัดเจน)  ส่วนคนนี้ไม่คิดอะไรเฉยๆ  มีอะไรไหม ไม่รู้ซิ แอปเปิ้ลมีไว้กินใช่ไหม กินเลย   แสดงว่าคนที่เข้าถึงที่สุดคือคนไหน (คนที่กิน)  เพราะว่าแอปเปิ้ลมีไว้สำหรับกิน การกินนั้นถ้าเทียบเป็นธรรมะคืออะไร การกินก็คือ การปฏิบัติ ถ้าหากว่าไม่กินจะรู้ไหมว่าแอปเปิ้ลลูกนี้รสชาดนั้นเป็นอย่างไร (ไม่รู้) ถ้า หากไม่ปฏิบัติย่อมไม่รู้ว่าธรรมะที่ตนเองรับไปนั้นเป็นอย่างไร  ตราบต่อเมื่อพยายาม ลงมือชวนคนถึงได้รู้ว่าการชวนคนยากเท่าไหร่   ตราบใดที่เราฟังว่าธรรมะต้อง ทำอย่างนี้ แล้วเราไปทำตาม เราถึงรู้ว่าอะไรที่เราทำได้และอะไรคือปัญหา อะไรที่เราต้องแก้ไขเพิ่ม และอะไรที่เราดีอยู่แล้ว  ตอนนี้ถามตัวเองว่าเรารู้จักอะไรในตัวเอง  นอกจากชื่อเสียงเรียงนาม ความเป็นมาและเงินที่มีอยู่ในกระเป๋าเราอาจจะไม่รู้อะไรนอกจากนี้เลย  ถ้าถามเราว่าเรามีข้อดีไหมเราก็ตอบอย่างไม่ค่อยกล้าตอบ อย่างอายๆ พอถามถึงข้อเสียของเรา เป็นอย่างไร ยิ้มๆ น่ารักจริงๆ ถามข้อดีก็อายๆ ถามข้อเสียก็ยิ้มๆ น่ารักมาก แต่จริงๆแล้วเป็นอย่างไร  เราอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องให้คนอื่นรู้จักเรา แต่เราจำเป็นต้องรู้จักตัวเราเองให้ดีที่สุด  สมมุติว่าอาจารย์หลินมาปีละหนึ่งหน เวลาที่เหลืออยู่นี้ไม่ใช่เวลาที่จะไหลตามนำ้  ไม่ใช่เป็นเวลาที่ปลาจะอยู่กับที่เพื่อคอยน้ำ แต่เป็นเวลาที่เรานั้นสมควรที่จะปฏิบัติ เราอาจจะไปปฏิบัติจนเจอปัญหาต่างๆ นาๆ เมื่อมาเจออาจารย์เราก็ถามไถ่ นี่เป็นหลักการเป็นแนวทางที่เราควรจะทำ สำหรับคนที่รับธรรมะมาหลายปีแล้ว   ส่วนคนที่เพิ่งเริ่มต้นเราก็มีเวลาที่จะพิจารณา แต่อย่ามัวแต่มอง..มอง..มอง   มองทีเดียวให้ละเอียด แล้วเริ่มกินมันชะที  ถ้าศิษย์ของอาจารย์กินไปแล้ว รสชาดไม่ถูกปากอยากจะวางทิ้ง อาจารย์ก็ไม่ว่า  เพราะว่าทางที่อาจารย์ให้  ให้แล้วเดินหรือไม่เดินเป็นเรื่องของเรา สมมุติว่ามีทางอยู่เส้นหนึ่งทอดยาวออกไป ถ้าหากมีคนบอกว่าเดินไปทางนี้มีแต่ดีเราจะเดินไหม ถ้าไม่เดินเราเป็นคนฉลาดไหม(ไม่)  แต่หากเราลองเดินแล้วไม่ดีเราก็เลิกเดินได้  ในโลกนี้มีทางแยกเยอะแยะ  หนทางเส้นหนึ่งเป็นทางมนุษย์โลกเส้นหนึ่งเป็นทางสวรรค์ เส้นหนึ่งเป็นทางไปนรก   ทางไปสวรรค์และนรกและโลกมนุษย์นั้นต่อกันโดยมีทางแยกต่างๆนานา เส้นทางนี้มีทางแยกอีกมากมายนับไม่ถ้วนถ้าเผลอไปลงทางแยก..ไปลงทางแยก ลงไปลงมาอาจแยกไปนรกก็ได้  เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้ว่าเรากำลังเดินทางเส้นไหน ทำอะไรอยู่ที่ไหน  และกำลังจะทำอะไรทำไมตอนมาถึงอาจารย์ถึงบอกให้ร้องเพลงสามัคคีชุมนุม  เพราะว่าเรามาวันนี้ด้วยความที่มีความศรัทธา มีความสามัคคีมารวมตัวกัน  เพลงบอกว่าถ้าสามัคคีทำสิ่งใดก็ จะสำเร็จ แม้แต่สิ่งที่ยากที่สุดก็จะสำเร็จเหมือนกัน  สถานธรรมนี้มีคุณอ้อยที่เรารู้จัก แต่หากว่าเขาสามัคคีมือซ้ายและมือขวาของตัวเองเท่านั้นพอไหม มือซ้ายและมือขวา สามัคคีกันก็ยังทำงานได้จำกัด..จำกัดเหลือเกิน มือซ้ายและมือขวาถึงจะขยันขันแข็งอย่างไรก็ยังไม่พอ ถ้าหากว่ามีซักสองสามมือ สี่ห้ามือ สี่ห้าคนขึ้นมางานเสร็จเร็วขึ้นไหม ดีขึ้นไหม อาจารย์อยากให้ศิษย์ของอาจารย์เห็นธรรมะเป็นของของตัว เป็นสิ่งที่ตัวเรานั้นเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งเช่นกัน  แล้วเราก็จะมีใจศึกษาเพิ่มขึ้น บำเพ็ญมากขึ้น แต่ถ้าหากว่าเราเห็นธรรมะบ้านคุณอ้อย ก็เป็นของใคร(ของคุณอ้อย)เราบำเพ็ญ ไปอีกนานเท่าไหร่ก็เป็นของใคร(ของคุณอ้อย) ไม่เป็นของเราซักที
คนไทยเต็มประเทศ อยู่ที่นี่เราเป็นคนไทยกลุ่มเดียวในประเทศของเขา  เราก็ต้องถือว่าเมื่อเราอยู่เมืองไทย โอกาสเยอะแยะมากมาย จะเอาก็ได้ไม่เอาก็ได้ แต่อยู่ ที่นี่ชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากและจำนวนของเราที่น้อยลง อุปสรรคของเราที่มาก ขึ้น  เราต้องรู้จักทำให้สมดุลย์กัน   แม้จะยากลำบากซักนิดนึงแต่ก็คงจำเป็นต้องทำ เพราะอาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า เส้นทางการเป็นพุทธะนั้นยากกว่านี้อีกหลายเท่า ใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองมากกว่านี้อีกหลายปี   ทองสักแท่งเราอยากทำให้บริสุทธิ์ เรา ก็ต้องเอาไฟเผา ตอนนี้เราอยู่ในโลกนี้เราเป็นทองที่ถึงเราจะบอกว่า เราเป็นทอง บริสุทธิ์อย่างไรก็ยังเหมือนกับแอปเปิ้ลที่ถูกเลือกมาแล้วก็ยังมีแผล ทองของเราอยาก จะให้บริสุทธิ์ก็จำเป็นต้องเผา แล้วมันจะลำบากไหม   เปรียบจิตใจของเราเหมือน ทอง แล้วต้องเอาไฟมาเผา เอาอุปสรรคความยากลำบากมาเผา  ถ้้าหากว่าตอนนี้ เราบอกตัวเองว่าทนไม่ได้โดยที่ไม่ได้ลอง  เราก็เหมือนกับคนที่อาจารย์ให้ทางแล้ว ไม่รู้จักเดิน เพราะฉะนั้นตอนนี้ต้องลองดู  ลองดูซักระยะหนึ่ง แต่อย่าปล่อยให้จิตใจ ของเรามันไหลลื่นตามกาลเวลา ไม่ใช่ปล่อยให้จิตใจของเรามันไปเรื่อยๆ  คนมา ดึงไปทางโน้นทีก็ไป ดึงไปทางนี้ทีก็ไป ทำอย่างนั้นได้ไหม  เราต้องมีหลักมีเสาที่อยู่ ในใจของเรา ที่ให้เราเกาะยึด   เราต้องปลูกต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นโพธิ์ในใจของเราให้เรายึดได้ ให้เรามีร่มเงา ตั้งใจกลับไปปลูก ปลูกให้ขึ้น แล้วเรายึดต้นไม้ต้นนี้ไว้ถ
ไม่อย่างนั้นถ้าในใจของเราเป็นที่ราบโล่งเตียน ถึงเวลาลมมาเกาะอะไร อุปสรรคมาจะเกาะอะไร ไม่มีเลย เวลาโดนลมปากเป่าพรวดเดียวเป็นอย่างไร  กระเด็นไปห้าเมตรเลยใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนอธิบายพระโอวาท) ใครในที่นี้คิดว่าตนเองได้ผ่านการบำเพ็ญมาแล้วแม้ว่าจะในแบบต่างๆ ก็ลุกขึ้นยืนอธิบาย เราอาจจะมีปัญญามากขึ้นก็ได้   ให้เป็นอีกมุมมองหนึ่งในคนที่ได้บำเพ็ญแล้ว   จะมีความต่างกันขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างคนที่หนึ่ง..สอง..สาม ส่วนใครนำ มาเป็นคนที่หนึ่ง สอง สามไม่ต้่องตัดสิน เพราะว่าธรรมะนั้นบอกไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วใครจะไปถึงก่อนกัน   ใครจะแจ้งกว่ากันคงไม่มี  แต่อาจารย์จะวิจารณ์คำอธิบายของศิษย์ให้ฟัง  การที่บอกว่า เอาธรรมะมาประดับกายนั้นผิด  เพราะกายนั้นเป็นเครื่องประดับของจิต  รู้ไหมจิตของเรานั้น มีพลังและมีพลานุภาพอันยิ่งใหญ่   ไม่ผิดหรอก ที่คนสมัยนี้บางคนจะเรียนรู้วิธีสะกดจิต ไม่ผิดที่คนสมัยนี้จะมีพลังอันลึกลับมากมาย นั่นเป็นพลังส่วนหนึ่งที่ออกมาจากจิต ไม่ผิดที่เขาสามารถถอดจิตไปเที่ยวสวรรค์ไปเที่ยวนรก  และไม่ผิดที่เขาสามารถจะหยั่งรู้เหตุการณ์อนาคตและปัจจุบันได้ เป็นเรื่องจริงทั้งนั้น   แต่ทว่าเป็นการใช้ชีวิตใช้จิตเป็นทาส  เราไม่รู้เลยว่าเราสามารถที่จะดึงจิตของเราให้อยู่เหนือกายของเราได้ เมื่อเราบำเพ็ญจิตใจของเรา การบำเพ็ญในยุคขาวอนุตตรธรรมนี้ไม่ต้องการให้ศิษย์เหาะเหินเดินอากาศ  ไม่ต้องการให้ศิษย์สะกดจิตได้   ไม่ต้องการให้ศิษย์มีลาภยศ สักการะที่มาจากการบำเพ็ญธรรม  แต่่ต้องการบำเพ็ญเพื่อให้จิตของเรานั้นสามารถที่จะหลุดพ้นจากวงโคจรของการเวียนว่ายตายเกิดนี้ได้  เพราะชีวิตนี้ต่อให้ศิษย์จะเจอเรื่องเศร้าที่สุดเรื่องสมหวังมากที่สุดอย่างที่ใครๆไม่เคยเจอ  แต่ศิษย์ไม่สามารถรับประกันได้หรอกว่าในชาตินี้ที่เราเจอความสมหวังและความผิดหวังสุดๆ นั้น  ในชาติหน้าตราบใดที่เราไม่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด   เราก็จะทุกข์สุข..ทุกข์สุข..ทุกข์สุขอยู่อย่างนี้    ฉะนั้นในวันนี้ที่อาจารย์มาเพื่อเน้นเตือนให้ ศิษย์ของอาจารย์บำเพ็ญธรรมเพื่อหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด สิ่งที่เห็นได้ทันที ทันทีในธรรมะนั้นไม่ใช่เกิดขึ้นในวันสองวัน ทันทีนั้นใช้เวลาหลายปี นั่นคือการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเรา     คนเราเกิดมาทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนี้ถูกกำหนดไว้แล้ว รำ่รวยเท่าไหร่ ยากจนเท่าไหร่ เจอเหตุการณ์อะไรบ้าง มาเจอใครบ้าง ทุกอย่าง ถูกกำหนดขึ้นมาแล้วทั้งนั้น  ถูกกำหนดโดยใคร  ไม่ได้กำหนดโดยพระพรหม  แต่ถูกกำหนดโดยตัวเองในชาติก่อนๆนั่นเอง  เพราะฉะนั้นคนที่จะเปลี่ยนสิ่งร้ายๆที่ผ่านมา ในชีวิตที่เราเจออยู่นี้ให้ดีขึ้น ก็ต้องเป็นใคร ไม่ใช่หมอดู ไม่ใช่พระพรหม   แต่เป็น ตัวเราเอง  ตัวเราที่จะไปเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น      ฉะนั้น การบำเพ็ญธรรมอาจารย์อยากให้ศิษย์มีชีวิตที่เรียบๆ ง่ายๆ มีความสุขเราก็รู้จักที่จะถนอมรักษาไว้  มีความทุกข์ก็ไม่เสียใจ แล้วเราจะใช้ชีวิตของเราบำเพ็ญธรรมทำความดี อย่าบอกว่าความดีในโลกนี้ไม่มีจริง ฉันทำดีแต่ไม่เคยมีใครดีตอบฉัน อย่าคิดอย่างนั้น  เราอาจ จะชดใช้หนี้เขาก็ได้ อาจจะเป็นโอกาสอย่างหน่ึ่งที่เราให้แก่เขา เขาแกล้งเราเขา ก็จะละอายใจ แล้วเขาก็จะรู้สึกอยากที่จะแก้ไขตัวเองก็เป็นไปได้   ถ้ามองโลกในแง่ดี ทุกอย่างก็จะดีขึ้น  เมื่อเวลาผ่านไปเมื่อบุญของเราส่งผลมา ทุกอย่างก็จะดี ขึ้นเอง ในวันที่ทุกอย่างดีขึ้นนั้น  อย่าลืมความตั้งใจเดิมๆของเรา  เข้าใจใหม
กลอนที่อาจารย์ให้นี้  จริงๆ แล้วอาจารย์ให้ง่ายมากพอที่ศิษย์อ่านแล้วจะเข้าใจ ได้เลย  ก็คือทุกคนทำผิด ทุกคนมีความผิดติดตัว   แต่เมื่อผิดแล้วต้องรู้จักที่จะแก้ไขเพราะพุทธะนั้นไม่กลัวคนทำผิดแต่กลัวคนที่ผิดแล้วไม่ยอมแก้ไข  รู้แล้วยังทำประเภทนี้กลัวที่สุด  เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าในโลกนี้ไม่มีใครไม่เคยผิดแต่ผิดแล้วต้องแก้ หากอยากได้อะไรมา อย่างเช่นอยากจะได้เงินสักสิบดอลลาร์ก็จำเป็นที่จะต้องไปหาทาง ให้ได้มา อยากจะได้บันไดฟ้าอีกสิบขั้นทำอย่างไร อยู่เฉยๆอยู่กับบ้านได้ไหม (ไม่ได้)  หากอยากได้แต่ไม่รู้จักที่จะไขว่คว้าก็จะไม่ได้อะไรเลย   หากไม่พยายามก็จะไม่ได้อะไรมาให้ชื่นชม
(พระอาจารย์ใส่เสื้อที่อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมถวาย) ใส่ดีไม่ใส่ดี ใส่ก็แล้ว กันนะ  เสื้อนี้เป็นรูปลักษณ์  แต่ธรรมะไม่มีรูปลักษณ์อะไรที่ศิษย์สามารถเกาะยึดได้ เตรียมกระดาษแผ่นใหญ่ด้วย อย่ามัวยืนหัวเราะ เดี๋ยวมีสี่มือก็จะไม่ทันนะ
ไปจอดรถที่ของเขาก็ไม่ได้ใช่ไหม ฐานบัวที่เบื้องบนถ้าหากว่าตอนนี้ไม่ลงแรง เวลาขึ้นไปเบื้องบนอาจจะไม่มีที่นั่งก็ได้นะ   ถ้าหากขึ้นไปข้างบนแล้วต้องยืนตลอด เมื่อยไหม  เคยเห็นรูปของพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหม  พระกวนอิมรูปนี้เหยียบมังกรอยู่  พระกวนอิมรูปนี้นั่งอยู่บนฐานบัว  พระศรีอารย์รูปนี้ไม่ได้นั่งบนฐานบัว  อาจารย์ก็มีฐานบัว  แต่ฐานบัวของอาจารย์บางทีก็เป็นบัว บางทีก็เป็นหิน เพราะอะไร บางทีเป็นหินเพราะร้อนใจที่ศิษย์ของอาจารย์มีเรื่องร้อนใจ  เรียกให้อาจารย์ลงมาช่วย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นหินมากกว่าบัว เพราะศิษย์ของอาจารย์ร้อนใจตลอด    ไม่ร้อน เรื่องลูกก็ร้อนเรื่องหลาน ร้อนเรื่องสามีภรรยา เรื่องร้อนเต็มไปหมดมีอยู่ประมาณล้านแปด แล้วแต่เราจะไปร้อนเรื่องอะไร บางทีก็หาเรื่องร้อนใส่ตัวก็มี บางทีเรา ร้อนวิชาก็ออกไปลองของ  เพราะฉะนั้นมีอยู่สิ่งหนึ่งที่จะสอนศิษย์ให้จำไว้ไม่รู้ลืม เป็นคำง่ายๆ ที่ศิษย์รู้จักอยู่แล้ว   คำนี้เขียน ป ข้างหลังเป็น ง เว้นไว้ตรงกลาง คือคำว่า ปลง ต้องปลง คำๆ นี้ต่อให้ศิษย์จะอยู่ที่ไหนก็ใช้ได้ทุกๆเวลา  คำนี้อยาก ให้ศิษย์เก็บไว้ใช้ เพราะว่าบางปัญหาต้องอาศัยเวลาแก้   แต่บางปัญหานั้นสอนให้ เราทำใจได้ แต่ว่าเราทำใจได้ไหม    เพราะฉะนั้น ต่อให้มีเงินมาสำรองอีกสัก เท่าไหร่ ต่อให้มีเวลาอีกมากเท่าไหร่ ต่อให้มีคนเห็นอกเห็นใจเราอีกมากเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถแก้ได้  เพราะว่าเราทำอะไรไม่ได้(ทำใจไม่ได้) รู้อยู่แล้วนะเรื่องนี้ รู้อยู่แล้วแต่ทำไม่ได้  ถ
เอาคำที่อาจารย์ให้แบ่งเจ็ดเป็นไหม    คนที่อยู่ข้างหน้าบางเรื่องเขาก็ไม่รู้ ใช่หรือไม่ แต่สถานการณ์บังคับ ตอนนี้อาจารย์ก็มาแล้ว อยากให้อาจารย์มาตอนนี้ก็ ต้องมานั่งบอก จะต้องมานั่งทำในสิ่งที่ตัวเองก็แทบจะไม่รู้เลย      บางทีการมา สถานธรรม มาศึกษาธรรมะก็เป็นอย่างนี้ เราอย่าคิดว่าทุกๆคนต้องรู้ในทุกๆอย่างที่ถ
เราอยากรู้คำตอบ  ไม่ใช่  ทุกคนมาศึกษาและเรียนรู้กันเดี๋ยวนี้  มองอีกทีจะเป็นถ
ความเปิดใจส่วนตัว มองอีกทีจะเป็นความจริงใจมากๆ  ธรรมะนี้เป็นธรรมะง่ายๆถ
ไม่มีอะไร อาจารย์มาในวันนี้  ก็ไม่ใช่ว่าอยากมา   แต่อาจารย์อยากจะสอนศิษย์ ได้เห็นหน้าศิษย์ ให้ศิษย์ได้รู้ว่าอาจารย์นั้นอยู่กับศิษย์   ถ
ชั้นนี้ชื่อว่าชั้นกันเอง  ที่นี่่ใครไม่ชอบร้องเพลงบ้างมีไหม ชอบร้องทุกคนไหม (ชอบ)ถึงได้ร้องเพลงล่มแล้วๆ ถ
อาจารย์อยากจะถามว่ามาสถานธรรม มาบำเพ็ญธรรมมีอะไรสงสัยอยากจะถ
ถามไหม  อาจารย์อยากจะให้ศิษย์ได้ขุดเอาความที่ไม่เข้่าใจ  ความที่ยังติดค้างถ
อยู่ในใจออกมาจริงๆ ออกมาเร็วๆ เพราะว่าเมื่อทำการชำระล้างจิตใจของเราถ
ได้สะอาด ความสะอาดจะเป็นพื้นฐานของปัญญาที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า แต่หากถ
ว่าศิษย์ชำระล้างจิตใจของตัวเองให้สะอาดไม่ได้  ในปัญญาของศิษย์นั้นก็จะทึบไปถ
ด้วยฝุ่น ทึบไปด้วยความสงสัยไม่เข้าใจต่างๆนาๆและพร้อมที่จะถอยในวันข้างหน้าถ
ผลจะต่างกันลิบลับ    เพราะฉะนั้น อาจารย์จึงเน้นให้ศิษย์ทุกคนของอาจารย์ฟังถ
เสมอๆว่า เวลาที่เราจะบำเพ็ญธรรม  เราต้องใช้ความศรัทธา ไม่ใช่ใช้ความถ
สงสัยเคลือบแคลง อาจารย์รู้ว่าศิษย์บางคนหัวใจว่างเปล่าแทบจะไม่มีความสงสัย อะไรเลย ว่างเปล่าจนกระทั่งเปล่าจนไม่มีอะไรที่จะบำเพ็ญธรรม  บำเพ็ญธรรมถ
อย่างไร เปล่าไม่รู้  ทำไมไม่มาสถานธรรม เปล่าไม่มีอะไร    เราชอบพูดว่าถ
เปล่าไม่มีอะไร มันเปล่าจริงๆ  แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ มันถูกทับถมไปด้วยสิ่งที่ศิษย์ก็ถ
ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะฉะนั้นเราจะต้องพยายามทำความสะอาดจิตใจของเรา เพื่อจะได้มีปัญญาจริงๆที่จะมาบำเพ็ญธรรม ถ้าจิตใจของเราไม่สะอาดเราบำเพ็ญ ธรรมไป บำเพ็ญเพื่อที่จะถอยในวันข้างหน้านั้นเอง    สังเกตไหมว่า ปีผ่านปีไปถ
จิตใจของเราถึงได้ถอยลงเรื่อยๆ ถอยต่อความดีก็ดี ถอยต่อสิ่งที่คอยเอาชนะมารถ
ก็ดี มันถอยลงไปเรื่อยๆ เพราะอะไรเราเองก็ยังไม่รู้เลย  สิ่งเหล่านี้ก็คือจิตใจถ
ที่ไม่เข้มแข็งมากพอ เราควรจะรู้จักตัวเองให้มากขึ้นกว่านี้  เมื่อปีหน้าอาจารย์ถ
มาก็ดี  สิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์อื่นๆมาก็ดี   จะได้พบศิษย์ของอาจารย์อีกครั้งและเจอกันถ
อย่างนี้จนตลอดไปถ
อย่า ถือ วันหลังมาสถานธรรมถ้ามีอะไรขัดหู ขัดตา ขัดใจ อย่าถือนะ เพราะถ
ว่าทุกคนนั้นมาบำเพ็ญธรรม  ทุกคนนั้นเป็นมนุษย์  มีธรรมะอย่างเดียวที่ถูกส่งมาถ
จากฟ้า นอกนั้นก็ให้คนเป็นผู้เผยแพร่ไป ให้คนเป็นผู้บำเพ็ญไป  บำเพ็ญบางทีก็มีีถ
อะไรดีบ้าง ไม่ดีบ้างอยู่ในนี้แหละ  ขอให้เราเลือกแต่สิ่งที่ดีดีไป    เหมือนกับถ
เวลาต้มหม่ี เราจะเลือกเอาเส้นหรือเอานำ้ขึ้นมา เลือกให้ถูก  อย่าเอาแต่นำ้ถ
กลับบ้าน  นำ้เต็มหัวใจ เลยโหรงเหรง ไปไหนก็มีแต่นำ้     บางคนเป็นคนที่ถ
ค่อนข้างจะละเอียด รอบคอบ เป็นคนที่ไม่ง่ายกับทุกอย่าง มีความละเอียดละออถ
อยู่ในใจ แต่ความละเอียดนั้นต้องเก็บไว้ใช้ให้ถูกกับเราถ
มั่่น ใน คนๆนี้ก็ไม่ง่ายนะ แม้ในกระเป๋าจะไม่มีสตางค์     แต่ว่าในวาสนา ของเรามีเยอะแยะ  ถ้าเราบำเพ็ญธรรมก็คือการถนอมวาสนาไปเรื่อยๆ  ให้มี ความมั่นคงอยู่ในใจ รวยทรัพย์นั้นมีมากไปก็หมด รวยนำ้ใจรวยวาสนาใช้ไม่หมดถ
สิ่ง สรรพ เวลาที่เรากราบพระนั้น การบำเพ็ญธรรมก็มีท่าที่ถูกต้อง   มีความถ
ยากลำบากบ้าง มีความง่ายบ้าง เรามาสถานธรรมอะไรๆก็แปลกไปหมด   ไม่ถ
ค่อยจะคุ้นเคย แต่ว่าเรายิ่งมาบ่อยเราก็ยิ่งคุ้นเคย  หลายปีมาแล้ว   แต่เราก็ถ
ยังไม่คุ้นเคยสักที   สรรพสิ่งแปลว่าทุกสิ่ง   ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ควรจะวางถ
ให้มากๆ ไม่งั้นเราก็ไม่มีเวลามาสถานธรรม   อยากจะให้อาจารย์รักษาอะไรถ
(รักษาตา) เราใช้เขามาตั้งเยอะแยะ  ตอนนี้จะมาเรียกหาหมอก็ช้าไป จะให้ อาจารย์ช่วย อาจารย์ช่วยไปแล้ว ศิษย์หายแล้ว   ยังอยากจะบำเพ็ญธรรมไหมถ
(อยาก) แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมาที่มีโอกาสดีๆอยู่ในมือเราทำไมถึงไม่รีบบำเพ็ญ   อาจารย์จะบอกให้นะว่า    อาจารย์มักจะช่วยศิษย์ทุกๆคนเท่าที่อาจารย์ช่วยได้ แต่ศิษย์อย่าลืมว่าทุกๆคนนั้นมีเจ้ากรรมนายเวรมากเป็นพรวนๆ    ศิษย์คนเดียว หางอาจจะต่อยาวไปถึงห้าเมตร สิบเมตรหรืออาจจะมากกว่านั้น อยู่ที่ทำความดี ทำความไม่ดีมากเท่าไหร่  ตอนที่เรามีธรรมะไปถึงบ้าน  ตอนที่เรายังสามารถ จะบำเพ็ญได้เราไม่ทุ่มเทให้เต็มที่  ตอนนี้เป็นเรื่องยากลำบากมาก แต่อาจารย์ถ
ไม่ปฏิเสธ ให้พระกวนอิมเมตตาช่วยเหลือแล้วกันนะ    ดูซิว่าความศรัทธาของ ศิษย์จะสามารถทำให้ท่านปกป้องศิษย์ได้หรือเปล่า        ได้ไหว้ท่านบ่อยไหม อาจารย์ไม่ได้มารักษาโรค   อาจารย์ไม่รับประกันว่าหายไหม    มัันขึ้นอยู่กับ ความศรัทธาของคน    จิตเป็นสิ่งที่อยู่ภายใน และจิตเป็นสิ่งที่มีพลานุภาพเหนือถ
ร่างกายนี้  เมื่อจิตของเรามีศรัทธา   เมื่อเราสามารถจะเจริญกุศลเพื่อชดใช้ เจ้ากรรมนายเวรได้  จิตของเราจะส่งพลานุภาพไปยังท่านและท่านจะช่วยเราถ
ได้  แต่ต้องเปิดใจให้กว้างๆ เมื่อช่วยแล้วศิษย์จะไปทำเหมือนเดิมไม่ได้  แล้วถ
จะรอให้ท่านช่วยศิษย์ก่อนไม่ได้  ศิษย์ต้องเจริญกุศลก่อน  ไปกราบท่าน  ทุกคน ช่วยกันกราบก็ได้นะ   ต้องเข้าใจนะว่า อาจารย์ไม่ได้มารักษาโรค   บางคน แม้ไม่ได้ขอส่ิงศักดิ์สิทธิ์ๆก็ช่วย   แม้ไม่พูด  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็รู้ว่าศิษย์ป่วยเป็นอะไร  แต่ทุกคนในโลกป่วยเป็นโรคใจ   มีใจเป็นต้นเหตุ   เมื่อใจมีปัญหาจิตก็มีปัญหา เมื่อจิตมีปัญหาร่างกายของศิษย์ก็มีปัญหา ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยใจและอาจจะ หายได้ด้วยใจ บางคนใช้พลังจิตในการสะกดคนอื่น แต่เราจะใช้พลังจิตนี้ในการ สะกดตัวเองนะ สะกดให้เราหายจากโรคไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ไม่ว่า จะดีไม่ว่าจะไม่ดี เราก็ถือว่าเราส่งจิตใจอันศรัทธานี้ไปถึงเบื้องบนนะ  ศิษย์คิดถ
ว่าต้องใช้แรงส่งเท่าไหร่จึงจะสามารถไปถึงเบื้องบนถ
ที่ เคย รู้ ถ
เปิด ใจ ดู อาจารย์อยากจะขอเวลาให้ศิษย์นั้นได้บำเพ็ญธรรมด้วย ขอให้เราถ
ได้บำเพ็ญธรรมในยามทำงาน ไม่ใช่อาจารย์กลับก็กลับไปด้วย ขอให้เปิดใจให้ถ
กว้างๆ ใจที่กว้างอยู่แล้วให้กว้างมากขึ้น การบำเพ็ญธรรมะนั้นเป็นเรื่องง่ายๆถ
พื้นๆ ทำในสิ่งที่ตัวเองรู้มาแต่เก่าก่อนนั้น ในส่วนที่เรียกว่าเป็นสิ่งที่ดี แล้วเมื่อถ
เราทำได้หมด หาสิ่งศึกษาเพิ่มเข้าไป เพิ่มความพยายามให้มากขึ้นจึงจะเรียกถ
ว่าคนบำเพ็ญ ทำในสิ่งที่เรารู้ให้หมดสิ่งที่เรียกว่าดีทั้งหมด คนทั่วไปไม่สามารถ ทำสิ่งที่รู้ให้แจ่มแจ้งได้ ฉะนั้นจึงยังยากที่จะมาบำเพ็ญธรรมได้ตลอดรอดฝั่งถ
ให้ เวลา กับ  อาจารย์ขอเวลาของศิษย์ทุกคนที่จะเสียสละมาบำเพ็ญ เพราะถ
ว่าการบำเพ็ญในพื้นฐานชีวิตของเราก็ไม่ใช่จะมีรากมีฐานตั้งแต่ต้น ต่อไปนี้ต้องถ
ให้เวลากับการบำเพ็ญจริงๆ อย่างน้อยถ้าเราไม่มีเวลามาสถานธรรม  เราก็ถ
ต้องมีเวลาที่จะมองดูตัวเอง  มีเวลาที่จะดูว่าเราเอาธรรมะไปไว้ตรงไหนในถ
จิตใจของเรา มีความเชื่อมั่นกับธรรมะมากแค่ไหน  และมีความเชื่อมั่นพอที่จะถ
บอกคนอื่นว่าเราบำเพ็ญธรรมอยู่     คำว่าเวลานี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของอีกถ
หลายสิ่งในชีวิต ถ
จิต ตน นี้ เห็นไหมว่าอาจจะมีธรรมะเหมือนๆกัน แต่อาจจะมีความแตกต่างอยู่ถ
ได้ด้วย บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญอย่างไรถ
รูป แท้  ตลอดมาศิษย์ของอาจารย์ก็ได้บำเพ็ญอยู่  แต่เราบำเพ็ญด้วยการติดในถ
การดู ดูอนาคตก็ดี ดูอดีตก็ดี ดูสิ่งต่างๆ เพราะฉะนั้น รูปแท้เป็นอย่างไร รูปแท้ถ
คือรูปที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา แต่ว่ารูปปลอมคือสิ่งที่กำหนดได้   เห็นได้ถ
กำหนดได้ว่าเราจะต้องเป็นอย่างนี้ๆและเราต้องมีลาภอย่างนี้ๆต้องมีผลอย่างนี้ๆ   ไม่ว่าเงินทองลาภยศและการรักษาโรคได้ ล้วนไม่ใช่รูปแท้  อาจารย์จะบอกว่าถ
ความว่างเปล่านั้นเป็นรูปที่แท้จริง ชีวิตของคนต่อให้หามาได้มากเท่าไหร่  เงินถ
ทอง ลาภยศก็ดี ความสุขก็ดี สักวันหนึ่งมันจะหายไป  เพราะฉะนั้น รูปแท้ๆของถ
ชีิวิตเราคือความว่างเปล่า อย่าได้ไขว่คว้า อย่าได้ดิ้นรนหาให้มากเลย  ความถ
อยากรู้ก็ดี  ไม่ว่าจะเป็นไสยศาสตร์ก็ดี เราจะไม่ไขว่คว้าไม่แสวงหา อาจารย์ อยากให้ศิษย์บำเพ็ญด้วยความมั่นคงหนักแน่น ขอให้เราอย่าได้ดิ้นรนที่จะได้รู้ได้ดู ได้เห็นอะไร เราจะได้มีรูปแท้อยู่ในชีิวิตของเรา  เราจะได้มีนิพพานตั้งแต่เราถ
ยังไม่กลับขึ้นไปถ
ใน โลก แดน นี้  ถ
หา เคย มี   ในโลกนี้ไม่เคยมีอะไรเลย  ทำไมศิษย์ของอาจารย์ต้องวงขึ้นมา พร้อมกัน เพราะมีบุญร่วมกันมาแต่ครั้งเก่าก่อน แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับที่จะได้ผูกบุญถ
ในชาตินี้ต่อไป ไม่สำคัญเท่ากับที่ได้ลงเรือลำเดียวกันถ
ถึง ครา ที่ ถ
ควร ทำถ
อะไร ไป รีบ ทำถ

ละอัตตา หมายความว่าอย่าถือตัวตน ทำไมถึงบอกว่าให้ละท้ิงตัวตนล่ะ มนุษย์ถ
ทุกคนที่อยู่ในโลกนี้ ทำไมบำเพ็ญธรรมไม่ได้   พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เคยมีร่างกาย เป็นคนไหม   ตอนนี้ร่างกายของเราเขาเรียกว่าคน   เรามีร่างกายเป็นคน พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เคยมีร่างกายเป็นคน  ไม่ต่างกันเลย เมื่อมีร่างกายเป็นคนถ
เรียกว่ามีโอกาสที่จะเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในโลกนี้ หมู หมา กา ไก่ สัตว์ทั้ง หลายที่เกิดมาเขาก็มีสิทธิ์เกิดเป็นคน   เพียงแต่ชาตินี้เขาไม่ได้เกิดมาเป็นคนถ
เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าทุกๆคนมีโอกาสเท่าๆกัน  เพียงแต่ขาดการถ
บำเพ็ญ และการบำเพ็ญนี้จะต้องละอัตตา  ทุกๆคนยึดในครอบครัว  ยึดในสามี ภรรยา ลูก ทรัพย์สินเงินทอง  นี่เป็นอัตตา ไม่ใช่เฉพาะตัวนี้เท่านั้น แต่มีมากถ
มายหลายอย่างที่เป็นอัตตาทั้งนั้น  ถ้ามาสถานธรรม เราเป็นคนที่โกรธคนง่าย  แล้วเราละอัตตาความโกรธนี้ไม่ได้   พอมาสถานธรรมมีคนยั่วให้โกรธ เราก็ เลยไม่ต้องบำเพ็ญธรรมกันพอดี เพราะเราทนคนอื่นไม่ได้ เราอยู่ร่วมกับคนอื่นถ
ไม่ได้ แต่การบำเพ็ญในยุคนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้เราบำเพ็ญในครัวเรือน ร่วมกับคนอื่น เพราะว่าถ้ารอให้ศิษย์เข้าป่าเขาไปบำเพ็ญธรรมเหมือนสมัยก่อน  ให้บรรลุในแบบอย่างสมัยก่อน ด้วยวิธีนั่งสมาธิก็ดี ทำบุญก็ดี  กี่คนจะทำ  กี่คนถ
เอาจริง กี่คนทำจริง กี่คนบรรลุจริง เหมือนกับคำที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดอยู่บ่อยๆและ อาจารย์ก็เห็นอยู่ตลอดว่าบนสวรรค์ว่างเปล่า  แต่ในนรกแน่นเอี๊ยดไปด้วยคนที่ถ
ทำบาปทำกรรม  ทำไมล่ะ แสดงว่าคนสมัยนี้ทำชั่ว ไม่ฝักใฝ่ในความดี แล้วถ้า ศิษย์ของอาจารย์ยังไม่สามารถที่จะฝักใฝ่ในความดีได้แล้วจะให้ใครทำ   เรา ไม่บรรลุ เราไม่ขึ้นแม้แต่สวรรค์ จะให้ใครขึ้น กระทั่งเราผู้มีสติเพียบพร้อม รู้ ว่าอะไรดี อะไรชั่ว รู้จักแยกแยะอะไรดี อะไรปลอมเรายังไม่อยากไปสวรรค์ถ
เลย แล้วจะให้ใครไป   เพราะฉะนั้น อาจารย์ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ศิษย์ หวังว่าศิษย์จะสามารถนำพาตนเองขึ้นไปได้  เมื่อเราสามารถที่จะบำเพ็ญได้ถ
บรรพบุรุษของเราก็จะได้รับรัศมีแห่งกุศลนี้ไปด้วย เมื่อเราสามารถบำเพ็ญถ
ได้คนรอบๆข้างของเราก็จะเดินตามเราขึ้นมา ถ
วันนี้อาจารย์มาต้องลาแล้วนะ     ไม่รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์ฟังเรื่องการถ
บำเพ็ญธรรมแล้ว อยากบำเพ็ญไหม(อยาก)ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์ไม่อยากถ
บำเพ็ญธรรม ก็เหมือนเด็กที่ไม่อยากเรียนหนังสือ  ในโลกมนุษย์นี้คนที่ไม่เรียนถ
หนังสือ ออกไปทำงานย่อมไม่เป็นที่ต้อนรับ การบำเพ็ญธรรมก็เหมือนกัน มียากถ
บ้างง่ายบ้าง มีทดสอบบ้าง สอบใจเราบ้างเราสอบตัวเองบ้างเราขี้เกียจบ้าง  เป็นเรื่องธรรมดาที่อยู่ในการบำเพ็ญธรรม  ส่วนการบำเพ็ญธรรมนี้   ธรรมะ ก็เหมือนกับโรงเรียนที่เปิดขึ้นมาชั่วคราวเพื่อที่จะฝึกสอนพุทธะโดยเฉพาะ  ถ้าถ
ใครทำไม่ได้ ใครทนไม่ได้ ใครที่ทำตัวแย่มาก อย่าบอกว่าธรรมะนี้เมื่อรับแล้ว ต้องหลุดพ้นแน่นอน เมื่อรับแล้วไม่มีทางที่จะเป็นอื่นไปได้  ศิษย์ของอาจารย์นั้นถ
ตกนรกก็มี  ทำไมล่ะ  ไม่ใช่เพราะไม่บำเพ็ญอย่างเดียวนะ แต่เพราะถลำทำ ในสิ่งที่เป็นบาปมหันต์อาจารย์ถึงช่วยไม่ได้ ถึงตอนนั้นแม้ว่าจะมีช่ืออาจารย์จี้กง คอยคำ้ประกันก็ไม่สามารถที่จะคำ้ประกันศิษย์ขึ้นสู่เบื้องบนได้ ก่อนที่เราจะจากถ
กันในวันนี้  อาจารย์จึงอยากเน้นให้ศิษย์เลือกทำแต่สิ่งที่ดี  เลือกมองแต่สิ่งที่ดี เลือกปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง  อย่าได้ท้อแท้   อย่าได้ถอนตัวออกจากการบำเพ็ญ  ขอให้ตั้งใจศึกษาให้มากๆ  ถ
เพลงนี้เป็นความในใจของอาจารย์ที่มีต่อศิษย์ทุกคน  ทำไมอาจารย์ถึงมา ลุ้นให้ศิษย์ดึงล่ะ ทำไมอาจารย์ไม่ดึงเองล่ะ  เพราะอาจารย์ไม่มีร่างกายอันนี้     ตอนนี้ยังต้องมายืมร่างกายคนอื่นเขาใช้เพื่อจะได้มาคุยกับศิษย์เห็นไหมว่าต่อให้ เป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมีอุปสรรคเลย   ไม่สามารถที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ตามใจปรารถนา แล้วศิษย์เป็นคน    การเจออุปสรรคบ้างเป็นเรื่องธรรมดาถ
ไม่ใช่หรือ  เมื่อเรามีอุปสรรค เมื่อเรามีความทุกข์ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของถ
การบำเพ็ญ เมื่อศิษย์มีแต่ความสุขสบาย ได้อะไรสมใจอยู่เสมอ นั่นเป็นจุดถ
เริ่มต้นของความล้มเหลว คนที่ไม่เคยได้รับความยากลำบากเลย ย่อมไม่รู้จักถ
ที่จะเอาชนะอุปสรรคได้ ฉะนั้นศิษย์เกิดมาบุญก็มีกรรมก็มี สำเร็จก็เคยล้มเหลวถ
ก็เคย ทุกข์ก็เคย สุขก็เคย เราจะไม่ยอมเป็นคนอย่างนี้ไปตลอดชาติเวียนว่ายถ
ตายเกิดอย่างนี้ไปตลอดกาลใช่ไหม  ถ้าหากใครคิดว่าตัวเองน้ันไม่มีทางหรอก ถ
บุญไม่ถึง  นิพพานไปอย่างไรคิดไม่ออก   อาจารย์ช่วยคิด อาจารย์ช่วยพาไป  ขอให้ศิษย์เดินตามอาจารย์ไป เชื่อมั่นในตัวอาจารย์หน่อย อย่าเปลี่ยนใจวันละ สามสี่รอบ   อ่านเพลงนี้ เข้าใจเพลงนี้ นึกถึงอาจารย์ด้วย อาจารย์ไม่อยากถ
ให้ศิษย์มีความสับสนอยู่ในความคิด   ไม่อยากให้ศิษย์ดึงกันไปดึงกันมาแบบไม่มีถ
จุดยืน แบบพร้อมที่จะล้มเสมอ  ทุกๆคนพร้อมที่จะเป็นคนเข้มแข็งในวันข้างหน้า เพียงแต่วันนี้ต้่องรู้จักตัวเองก่อน  เอาละ ช่วยกันร้องเพลงส่งอาจารย์ถ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา