西元二○一六年 歲次乙未十二月初七日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม กอปรศีลธรรมใฝ่ดีปฏิบัติชอบ
รู้ควบคุมอารมณ์กิเลสเข้าล้อมกรอบ มีสติความรอบคอบตลอดเวลา
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
การบำเพ็ญในวันนี้เวลานี้ ใช่แค่ทำความดียากหลุดพ้น
อยู่ใกล้แล้วใกล้อีกกลับฉงน ทางย่อย่นคนกลับไม่สมพงศ์
เศษเสี้ยวงมงายนำศรัทธาก่อปัญหา ศรัทธาแต่ไม่ศึกษาตามกันหลง
ขาดหลักธรรมหลักปัญญายากธำรง หยุดความหลงอย่าปล่อยให้คุกคาม
ศึกษาธรรมบำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรมไหม จำนรรจ์[1]ให้ธรรมเกินจริงก้าวบุ่มบ่าม
แพร่ขยายธรรมคุณสร้างคนข้าม จงก้าวข้ามมวลอุปสรรคด้วยปัญญา
แม้หมู่มารพันหมื่นที่รายล้อม ผลิดอกทดสอบออกผลอุบลกล้า
หนทางบรรลุประจักษ์มรรคเบื้องหน้า ก้าวทั้งห้าเป็นหลักชัยมงคล
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า อย่าให้ก้าวสำคัญนั้นตกหล่น
อวิชชาทำให้จิตมืดมน พึงขุดรากถอนโคนความงมงาย
ฮา ฮา หยุด
[1] จำนรรจ์ เจรจา, พูด, กล่าว
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
ชีวิตนี้สั้นนัก ดูเหมือนจะยืดยาว
แต่เราไม่รู้ว่าจะจบลงที่ตรงไหน
ทำไมเราไม่เลือกคิดในสิ่งที่ทำให้เราอยู่อย่างคนที่มีความสุข
ทำไมเราชอบคิดในสิ่งที่ทำให้เราอยู่อย่างคนที่มีแต่ความทุกข์
ถ้าเราคิดว่าชีวิตนี้สั้น เราคงไม่ใฝ่ร้ายและไม่ใฝ่หาความทุกข์มากกว่า
ตอนนี้ทุกข์หรือสุข ถ้าเรารู้ว่าชีวิตนี้เกิดมาล้วนเต็มไปด้วยความทุกข์ แก่
เจ็บและป่วยก็เกิดความทุกข์ แล้วทำไมเราจึงไม่รู้จักสรรค์สร้างความสุขให้กับชีวิต
ถ้าคิดแล้วเป็นทุกข์ควรจะคิดไหม (ไม่ควรคิด)
มนุษย์มักจะพูดว่าอยู่ด้วยกันต้องมีเมตตาต่อกัน
อย่าเบียดเบียนกัน ถ้าเราอยากอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เราก็ต้องมีเมตตาต่อกัน
ให้อภัยกัน เคารพและให้เกียรติกัน ไม่เบียดเบียนชิงชังกัน
แต่บางครั้งคนที่เบียดเบียนทำร้ายตัวเรา บางทีไม่ใช่คนอื่นไกล แต่มาจากความคิดของเราเอง
ที่คิด
ไม่ชอบ หงุดหงิด อารมณ์ก็ง่ายที่จะเป็นคนใจเย็นไม่ค่อยเป็น แต่ใจร้อนง่ายเหลือเกิน อย่างนี้ก็น่าเสียดาย เป็นคนที่ยิ้มไม่ค่อยออก แต่กลับเป็นคนที่หน้าบึ้งได้ง่าย เช่นนี้ก็ยากจะมีสุขใช่ไหม (ใช่) มนุษย์เราประเสริฐตรงที่มีปัญญาที่รู้จักคิดอ่าน และปัญญาที่สามารถแปรเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เป็นไปได้ดั่งใจเรา ฉะนั้นแม้อากาศร้อนหรืออากาศจะไม่เป็นใจ แต่ถ้าใจเรารู้สึกร่มเย็น ใจเราไม่เบียดเบียนทำร้ายเราก่อน อากาศก็ทำร้ายใจเราไม่ได้ ถ้าใจเราไม่รู้สึกรังเกียจอากาศ อากาศก็เข้ามาทำร้ายใจเราไม่ได้
ไม่ชอบ หงุดหงิด อารมณ์ก็ง่ายที่จะเป็นคนใจเย็นไม่ค่อยเป็น แต่ใจร้อนง่ายเหลือเกิน อย่างนี้ก็น่าเสียดาย เป็นคนที่ยิ้มไม่ค่อยออก แต่กลับเป็นคนที่หน้าบึ้งได้ง่าย เช่นนี้ก็ยากจะมีสุขใช่ไหม (ใช่) มนุษย์เราประเสริฐตรงที่มีปัญญาที่รู้จักคิดอ่าน และปัญญาที่สามารถแปรเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เป็นไปได้ดั่งใจเรา ฉะนั้นแม้อากาศร้อนหรืออากาศจะไม่เป็นใจ แต่ถ้าใจเรารู้สึกร่มเย็น ใจเราไม่เบียดเบียนทำร้ายเราก่อน อากาศก็ทำร้ายใจเราไม่ได้ ถ้าใจเราไม่รู้สึกรังเกียจอากาศ อากาศก็เข้ามาทำร้ายใจเราไม่ได้
เป็นคนดีในโลกยากไหม (ไม่ยาก) ไม่ยากแต่ไม่ค่อยยอมทำ หลายคนมักจะพูดว่า
ทำดีในโลกนี้ยากเหลือเกิน แต่ก็มีบางคนบอกว่า ไม่ยากถ้าตั้งใจทำ
ทำดีไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยาก เริ่มต้นด้วยการที่รู้จักยิ้ม
แต่เวลาทำดีแล้วเช่นเรายิ้มแล้ว ใช่ว่าทุกคนจะยิ้มตอบ พอเราไม่ได้รับการยิ้มตอบ เราจะเลิกทำดีไหม
จะเลิกยิ้มไหม โดยส่วนใหญ่ทำดีนั้นทำง่าย แต่ให้อดทนทำดีจนถึงที่สุดมักจะทำยาก
ใช่หรือไม่ (ใช่)
เพราะโดยส่วนใหญ่มักทำดีแล้วหวังผลว่าต้องได้ดีตอบ เราถามท่านว่า
ท่านเคยไหมในวันที่อารมณ์ไม่ดี เขาพูดเรื่องตลกเราก็ไม่ตลก
เขายิ้มให้เราก็ยิ้มไม่ออก อยากยิ้มแต่ยิ้มไม่ออก เคยเป็นไหม (เคย) ฉะนั้นมองกลับกัน
บางทีตอนนี้เมื่อเรายิ้มให้กับเพื่อน แต่เพื่อนเขากำลังมีเรื่องไม่สบายใจ
พูดไม่ออกยิ้มไม่ได้ การที่เขาไม่ยิ้มตอบ นั่นจะแปลว่าทำดีไม่ได้ดีหรือ (ไม่ใช่)
ฉะนั้นถ้าเรามองมุมกลับหรือมองมุมให้กระจ่าง เราก็จะเกิดความเข้าใจว่า
บางครั้งการยิ้มให้ไปแล้วเจอคนไม่ยิ้มตอบก็เหมือนกับสภาวะที่เรากำลังจิตใจไม่ค่อยดี
จิตใจแปรปรวน มีคนพูดตลกเราก็ไม่ขำ มีคนพูดให้เรายิ้มแต่เราก็ยิ้มไม่ออก
เพราะตอนนี้ใจเรากำลังทุกข์ ฉะนั้นถ้าเราทำดีแล้วปรากฏอีกคนเขาไม่ดีตอบ
ก็อย่าเพิ่งโกรธ เพราะเขาอาจจะมีเรื่องที่ทำให้เขาไม่สบายใจอยู่ก็เป็นได้
จริงหรือไม่ (จริง)
เราถามท่านว่า คนที่อยู่ในโลก มีใครไหมที่ไม่เคยโดนนินทา
แม้แต่คนที่ทำดีที่สุด หรือคนที่ร้ายที่สุดก็ยังโดน (นินทา) แม้แต่พระพุทธองค์ก็ยังโดน (นินทา) ถ้าทำดีแล้วโดนคนว่านิดว่าหน่อยก็เป็น
(ธรรมดา) แล้วจะท้อใจไปทำไม
มนุษย์จึงพูดว่า “ทำดีท้อได้ แต่อย่าถอย ล้มได้ ก็ต้องลุกขึ้นมาสู้ใหม่ได้” รู้ไหมแม้ว่าคนเราจะอยู่ใกล้กัน
แต่ก็ห่างไกลกันเป็นวา แม้ว่าห่างไกลกันเป็นวา ก็เหมือนอยู่ใกล้กัน
นั่นเป็นเพราะอะไร (ความดี, จิตใจ) อย่างเช่นเราเปรียบเทียบง่ายๆ ตอนนี้เรากับท่านอยู่ใกล้กันมากเลยใช่ไหม
(ใช่) แต่ถ้าท่านคิดร้าย คิดชั่ว คิดอิจฉา
คิดไม่ดี อยู่ใกล้กันก็เหมือนห่างไกลกันเป็นวา
หรือแม้ว่าตอนนี้เราจะอยู่ฟากฝั่งหนึ่งของทะเล ฟากฝั่งหนึ่งของมหาสมุทร
แต่ถ้าเรารักกัน เคารพกัน คิดถึงกัน ก็ทำให้เราเหมือนอยู่ใกล้ชิดกัน ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นจิตของมนุษย์จึงเป็นตัวบ่งบอกได้ว่า
คนเราจะอยู่ใกล้กัน แล้วจะรักใคร่สนิทสนมกัน หรือแม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกัน
จะเกลียดกันหรือรักกัน ก็ขึ้นอยู่ที่ใจของท่านคิดเช่นไร ถ้าเราปรารถนาดี ใฝ่ดี
เรารักเขา เราเคารพเขา เราให้เกียรติเขา แม้จะอยู่ห่างไกลกันคนละคาบสมุทร
แต่พอมาเจอหน้ากัน ก็เหมือนได้ชิดใกล้กัน แต่ถ้าเราเกลียดเขา ไม่ชอบเขา
แม้อยู่ใกล้กันแค่คืบ ก็เหมือนอยู่ห่างไกลกัน จริงหรือไม่ (จริง) มีคำกล่าวไว้ว่า
“ขอแค่รักกัน เคารพกัน ให้เกียรติกัน แม้จะอยู่ห่างไกลกันคนละคาบสมุทร ก็เหมือนอยู่ใกล้ชิดกัน ถ้าเกิดเราไม่รักกัน ไม่เคารพกัน ไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน แม้อยู่ใกล้ชิดกันขนาดไหน ก็เหมือนอยู่ห่างไกลกันนัก”
“ขอแค่รักกัน เคารพกัน ให้เกียรติกัน แม้จะอยู่ห่างไกลกันคนละคาบสมุทร ก็เหมือนอยู่ใกล้ชิดกัน ถ้าเกิดเราไม่รักกัน ไม่เคารพกัน ไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน แม้อยู่ใกล้ชิดกันขนาดไหน ก็เหมือนอยู่ห่างไกลกันนัก”
ฉะนั้นลองถามตัวเองว่า ที่เรารู้สึกไม่ชอบเขา
ที่เรารู้สึกว่าอยู่ใกล้แล้วเหมือนอยู่ไกล เพราะใจเราไม่ชอบเขา แต่ทำไมอยู่ไกลกัน พอมาเจอหน้ากันทีไรก็ยังคิดถึงกัน
เพราะเรารู้สึกดีกับเขาตลอดเวลา ถ้าเราอยากให้คนทุกคนบนโลกนี้รักกัน
ก็ต้องเริ่มที่ใจเรา คิดกับเขาดีหรือคิดกับเขาร้าย ถ้าเราคิดกับเขาดี ไม่ว่าใกล้หรือไกลก็รักกัน
แต่ถ้าคิดกับเขาร้าย แม้ว่าใกล้ชิดกันก็ไกลกันนัก ฉะนั้นเราอยากอยู่กันอย่างมิตร
หรืออยากอยู่กันอย่างศัตรู เราอยากอยู่อย่างคนที่มีแต่คนรักเรา หรือมีแต่คนชัง
(มีแต่คนรัก)
ฉะนั้นก่อนที่จะว่าคนอื่นว่าเขาทำเราชังน้ำหน้า
ต้องถามใจเราก่อนว่าไปแอบชิงชังระแวงใครหรือเปล่า ถ้าใจเราไม่ระแวงใจเราไม่คิดร้ายไม่ชิงชัง
ใครหรือที่
น่ารังเกียจ แต่กลัวใจเราต่างหากที่ชอบคิดร้าย ชอบระแวง ชอบชิงชัง
อยู่ใกล้จึงเหมือนห่างไกลกันนัก ตอนนี้ท่านกับเราอยู่ใกล้กันหรืออยู่ไกลกัน (ใกล้กัน) เพราะอะไรจึงใกล้ เพราะรักกันใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอยู่ร่วมกันด้วยความรักความเมตตา ดีกว่าอยู่กันด้วยความเป็นศัตรูอาฆาตชิงชัง
น่ารังเกียจ แต่กลัวใจเราต่างหากที่ชอบคิดร้าย ชอบระแวง ชอบชิงชัง
อยู่ใกล้จึงเหมือนห่างไกลกันนัก ตอนนี้ท่านกับเราอยู่ใกล้กันหรืออยู่ไกลกัน (ใกล้กัน) เพราะอะไรจึงใกล้ เพราะรักกันใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอยู่ร่วมกันด้วยความรักความเมตตา ดีกว่าอยู่กันด้วยความเป็นศัตรูอาฆาตชิงชัง
อย่างนั้นเมื่อฟังจนถึงตอนนี้เราขอถามท่านต่อ
ตอนนี้ท่านอยู่ใกล้พุทธะหรืออยู่ไกลพุทธะ ถ้าใจท่านมีพุทธะ พุทธะก็อยู่ที่ตัวท่าน
ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตอนนี้ใจท่านมีมารหรือมีพุทธะ (มีพุทธะ)
แต่ถ้าท่านมีอารมณ์เกลียด อารมณ์เคืองแค้น อารมณ์ชิงชัง ใจท่านก็จะมีมารมากกว่ามีพุทธะ
มีคำกล่าวว่า การทำดีบางครั้งก็เหนื่อย บางครั้งก็ล้า
เพราะโลกนี้คนมีหลายแบบ และเวลาทำก็ไม่ใช่ว่าจะได้ผลดีเสมอใช่หรือไม่ (ใช่) แปลว่าทำดียังหวังผล แต่พุทธะกล่าวไว้ว่า “การทำดีมีค่าตรงที่ได้ทำดี” การ
ทำดีทุกวันมีค่าตรงที่ได้ทำดีทุกวัน ท่านไม่ได้บอกว่าทำดีแล้วต้องหวังผลพระพุทธะไม่เคยสอนอย่างนั้น คนทำดีมีค่าตรงที่ความดีที่ทำและที่ได้ทำดี แต่ไม่เคยสอนว่าทำดีจงหวังผล และทองแท้ต้องไม่กลัวไฟหลอม คนดีจริงต้องไม่กลัวการถูกทดสอบ คนดีจริงถ้าตั้งใจทำดีแล้ว ย่อมไม่กลัวว่าผลนั้นจะออกมาเป็นเช่นไร ขอเพียงคิดดี ใฝ่ดี เจตนาดี ประสงค์ดี และถึงที่สุด
ถ้าทำดีแล้วต้องตายเพราะความดี ก็ยินดีที่ได้ทำ จึงจะเรียกว่าการเข้าถึงความดีที่แท้จริง แต่มนุษย์หาเป็นเช่นนั้นไม่ ทำดีมักจะหวังเรียกร้องผล
ทำดีหวังขอเจตจำนง ดีนั้นจึงเป็นดีที่ไม่ค่อยบริสุทธิ์ เหมือนเราถามท่าน
ถ้าสมมติวันนี้เราสวัสดีท่านเพื่อหวังให้ท่านสวัสดีตอบ อย่างนั้นแปลว่า
ทุกครั้งที่เราทำดีกับท่าน ก็เพื่อหวังให้ท่านทำดีตอบเราใช่ไหม (ไม่ใช่)
ทำดีทุกวันมีค่าตรงที่ได้ทำดีทุกวัน ท่านไม่ได้บอกว่าทำดีแล้วต้องหวังผลพระพุทธะไม่เคยสอนอย่างนั้น คนทำดีมีค่าตรงที่ความดีที่ทำและที่ได้ทำดี แต่ไม่เคยสอนว่าทำดีจงหวังผล และทองแท้ต้องไม่กลัวไฟหลอม คนดีจริงต้องไม่กลัวการถูกทดสอบ คนดีจริงถ้าตั้งใจทำดีแล้ว ย่อมไม่กลัวว่าผลนั้นจะออกมาเป็นเช่นไร ขอเพียงคิดดี ใฝ่ดี เจตนาดี ประสงค์ดี และถึงที่สุด
ถ้าทำดีแล้วต้องตายเพราะความดี ก็ยินดีที่ได้ทำ จึงจะเรียกว่าการเข้าถึงความดีที่แท้จริง แต่มนุษย์หาเป็นเช่นนั้นไม่ ทำดีมักจะหวังเรียกร้องผล
ทำดีหวังขอเจตจำนง ดีนั้นจึงเป็นดีที่ไม่ค่อยบริสุทธิ์ เหมือนเราถามท่าน
ถ้าสมมติวันนี้เราสวัสดีท่านเพื่อหวังให้ท่านสวัสดีตอบ อย่างนั้นแปลว่า
ทุกครั้งที่เราทำดีกับท่าน ก็เพื่อหวังให้ท่านทำดีตอบเราใช่ไหม (ไม่ใช่)
ถ้ามนุษย์อยากมีความสุขในโลก
จงเข้าใจธรรมะอย่างหนึ่งว่า
“ถ้าอยากมีความสุขในโลก แล้วทำดีอย่างมีสุขไม่ต้องอมทุกข์ นั่นก็คือจงยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า แม้ว่ามันจะสั้นหรือยาวเกินไปก็ตาม” ฟังดูเข้าใจยากไหม (ไม่ยาก) เข้าใจไหม (ไม่เข้าใจ) ธรรมชาติมีบางอย่างก็เกินไป บางอย่างก็ขาดไป เหมือนกับมนุษย์ คนบางคนเกินไปไหม (เกิน) คนบางคนขาดไปไหม (ขาด) ฉะนั้นถ้าเราอยากมีความสุขก็จงยอมรับในธรรมชาติของคนบางคนที่เกิน บางคนที่ขาด แล้วเราจะไม่ทุกข์กับความเป็นคนของเขา แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ มนุษย์เป็นนักเรียกร้องตัวยง ได้หนึ่งต้องเอาสอง ได้สองต้องเอาสาม ได้สามต้องเอา (สี่) พอไหม (ไม่พอ) เอาอีกไหม (เอาอีก) แล้วใครจะตามใจเราได้ ถ้าหากเราอยากอยู่อย่างมีความสุข และอยากอยู่ร่วมกับใคร แล้วก็ไม่มีความทุกข์ จงยอมรับธรรมชาติในตัวเขา แม้เขาจะขาดหรือเกินไปบ้าง เราก็จะไม่มีความทุกข์และไม่เกลียด เมื่อเราไม่เกลียด เราก็จะไม่เคืองแค้น เมื่อไม่เกลียดและไม่เคืองแค้น เราก็จะไม่ชิงชัง เมื่อไม่ชิงชัง เราก็จะไม่ก่อบาปก่อกรรม เมื่อเราไม่หลงรัก เราไม่ชอบ ก็ไม่มีใครทำให้เราหน้ามืดตามัว คิดผิดคิดร้าย เพราะเรามองเห็นทุกอย่างเป็นธรรมชาติ
“ถ้าอยากมีความสุขในโลก แล้วทำดีอย่างมีสุขไม่ต้องอมทุกข์ นั่นก็คือจงยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า แม้ว่ามันจะสั้นหรือยาวเกินไปก็ตาม” ฟังดูเข้าใจยากไหม (ไม่ยาก) เข้าใจไหม (ไม่เข้าใจ) ธรรมชาติมีบางอย่างก็เกินไป บางอย่างก็ขาดไป เหมือนกับมนุษย์ คนบางคนเกินไปไหม (เกิน) คนบางคนขาดไปไหม (ขาด) ฉะนั้นถ้าเราอยากมีความสุขก็จงยอมรับในธรรมชาติของคนบางคนที่เกิน บางคนที่ขาด แล้วเราจะไม่ทุกข์กับความเป็นคนของเขา แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ มนุษย์เป็นนักเรียกร้องตัวยง ได้หนึ่งต้องเอาสอง ได้สองต้องเอาสาม ได้สามต้องเอา (สี่) พอไหม (ไม่พอ) เอาอีกไหม (เอาอีก) แล้วใครจะตามใจเราได้ ถ้าหากเราอยากอยู่อย่างมีความสุข และอยากอยู่ร่วมกับใคร แล้วก็ไม่มีความทุกข์ จงยอมรับธรรมชาติในตัวเขา แม้เขาจะขาดหรือเกินไปบ้าง เราก็จะไม่มีความทุกข์และไม่เกลียด เมื่อเราไม่เกลียด เราก็จะไม่เคืองแค้น เมื่อไม่เกลียดและไม่เคืองแค้น เราก็จะไม่ชิงชัง เมื่อไม่ชิงชัง เราก็จะไม่ก่อบาปก่อกรรม เมื่อเราไม่หลงรัก เราไม่ชอบ ก็ไม่มีใครทำให้เราหน้ามืดตามัว คิดผิดคิดร้าย เพราะเรามองเห็นทุกอย่างเป็นธรรมชาติ
ถ้ามนุษย์อยากมีความสุข
เวลามองโลกอย่ามองเป็นเพียงแค่โลก แต่จงมองโลกนี้ให้เห็นซึ่งธรรม ถ้าเห็นแค่ดีร้าย
เราก็พบแค่ดีร้าย แต่ถ้ามองเห็นว่า นั่นเป็นเรื่องธรรมดา นั่นก็เป็นเช่นนั้นเอง นั่นก็เรียกว่า
พบธรรมบนโลกใบนี้ แต่มนุษย์เรานั้นไม่ใช่ พอเห็นอะไรก็มักจะตัดสินว่าดี ว่าร้าย ว่าชอบ ว่ารังเกียจ ก็จะก่อเกิดเป็นอารมณ์ เมื่อเป็นอารมณ์ก็กลายเป็นกิเลส เมื่อเป็นกิเลสก็กลายเป็นกระแสแห่งทุกข์ วิบากกรรมและการเวียนว่าย แต่ถ้าเรามองเห็นว่า อะไรก็เป็นเช่นนั้น อะไรก็เป็นเรื่องธรรมดา เราก็จะกลายเป็นคนที่มองเห็นอะไรอย่างคนที่เข้าใจธรรมบนโลกใบนี้ อย่างที่เราบอก ถ้าเราเห็นเป็นสิ่งที่ร้าย อยู่ใกล้แค่ไหนก็เหมือนอยู่ไกลกัน แต่ถ้าเราเห็นเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่น่ารัก อยู่ไกลแค่ไหนก็เหมือนอยู่ใกล้
พบธรรมบนโลกใบนี้ แต่มนุษย์เรานั้นไม่ใช่ พอเห็นอะไรก็มักจะตัดสินว่าดี ว่าร้าย ว่าชอบ ว่ารังเกียจ ก็จะก่อเกิดเป็นอารมณ์ เมื่อเป็นอารมณ์ก็กลายเป็นกิเลส เมื่อเป็นกิเลสก็กลายเป็นกระแสแห่งทุกข์ วิบากกรรมและการเวียนว่าย แต่ถ้าเรามองเห็นว่า อะไรก็เป็นเช่นนั้น อะไรก็เป็นเรื่องธรรมดา เราก็จะกลายเป็นคนที่มองเห็นอะไรอย่างคนที่เข้าใจธรรมบนโลกใบนี้ อย่างที่เราบอก ถ้าเราเห็นเป็นสิ่งที่ร้าย อยู่ใกล้แค่ไหนก็เหมือนอยู่ไกลกัน แต่ถ้าเราเห็นเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่น่ารัก อยู่ไกลแค่ไหนก็เหมือนอยู่ใกล้
แต่อย่าลืมว่าในความดี ความร้ายนั้น
ก็ยังมีส่วนหนึ่งที่ทำให้เราหนีไม่พ้นความเป็นโลกอยู่ ใฝ่ดีและคิดดีไว้
เป็นสิ่งที่ประเสริฐ เจตจำนงดีไว้เป็นสิ่งที่ดีงาม แต่เมื่อมองดีแล้ว
ต้องก้าวต่อไป อย่าหยุดอยู่แค่ ดี ร้าย ได้ เสีย เพราะคำว่า “ธรรม” ไม่ใช่อยู่เพียงแค่ยึดติดในความดีและเกลียดความร้าย
แต่ธรรมะยังสอนว่า ในร้ายในดีนั้นก็คือความเป็นจริงแห่งสัจธรรม
ถ้าเรารู้จักปฏิบัติดี รู้จักปฏิบัติชอบ ก็จะเป็นการเริ่มต้นที่ถูกต้อง
เหมือนที่คำโบราณกาลกล่าวไว้ว่า “ขึ้นชื่อว่าคน คนเป็นรากฐานของทุกสิ่ง และคนเป็นรากฐานของเหตุและผล” ถ้าเราอยากได้ผลดี
เราต้องสร้างเหตุที่ดี ถ้าเราอยากได้ผลที่ดีงาม เราต้องสร้างเหตุที่ (ดีงาม)
เราถามท่านว่า ตัวเราปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเคารพ
สุภาพ คนอื่นก็ต้องปฏิบัติต่อเราด้วยการให้เกียรติและเคารพ
ถ้าเราปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตา จริงใจ
คนเขาก็ต้องปฏิบัติต่อเราด้วยความรักใคร่และเอ็นดู ถ้าตัวเราปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความขยันซื่อตรง
คนเขาก็จะปฏิบัติต่อเราด้วยความไม่ดูถูกดูแคลน
ถ้าตัวเราปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยการร่วมทุกข์ร่วมสุข
คนอื่นก็จะปฏิบัติต่อเราด้วยการไม่ทอดทิ้งเมินเฉย ใช่ไหม (ใช่)
คนอื่นก็จะปฏิบัติต่อเราด้วยการไม่ทอดทิ้งเมินเฉย ใช่ไหม (ใช่)
อย่าคิดว่าทำอย่างไรแล้วต้องได้อย่างนั้น เป็นไปไม่ได้
ก่อนที่เราจะเรียกร้องคน อย่าลืมว่าเราเป็นผู้สร้างเหตุ แล้วผลนั้นจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับเราที่เป็นผู้สร้างเหตุ
ไม่อยากให้ใครดูหมิ่น ไม่อยากให้ใครดูแคลน อยากให้คนเคารพให้เกียรติ ไม่อยากให้ใครรังเกียจเรา
เราก็ต้องสร้างความสุภาพอ่อนน้อม ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากให้ใครเขาเคารพรักเรา
เราก็ต้องมีเมตตาจริงใจ ไม่อยากให้ใครดูถูกดูหมิ่นเรา เราก็ต้องขยันซื่อตรง
ไม่อยากให้ใครทอดทิ้งเรา เราก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุข ทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล
ตัวตนเป็นรากฐานของทุกๆ สิ่ง ถ้ารากถูกต้อง ผลของการเจริญเติบโตในการดำเนินชีวิตก็ย่อมงดงาม
ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่มนุษย์มักจะเอาแต่เรียกร้องผู้อื่นจนลืมเรียกร้องตนเอง
การเอาแต่พึ่งพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยที่ไม่เรียกร้องตัวเองให้ทำก่อน ก็ห่างไกลเกินไป
สู้เรียกร้องตัวเองให้ทำถูกต้อง ผลก็ไม่ต้องมานั่งแก้ตรงปลายเหตุ
และสู้ทำตัวเองให้ถูกต้อง ก็ไม่ต้องไปไหว้วอนขอใคร เพราะตัวเราเป็นที่พึ่งของ
ตัวเราเองที่ประเสริฐที่สุด เหตุของปัญหาก็มาจากตัวเรา ฉะนั้นถ้าเราไม่สร้างเหตุที่ผิดพลาด เราจะต้องมานั่งแก้ผลที่เลวร้ายไหม และถ้าเกิดว่าแม้มีผลที่เลวร้าย แต่ถ้าเรารู้จักคิดดี คิดประเสริฐ คิดถูกต้อง ผลจากร้ายก็อาจจะกลายเป็นดีได้ ทุกสิ่งทุกอย่างอย่ามัวเอาแต่วอนขอผู้อื่น อย่ามัวแต่เรียกร้องผู้อื่น แต่ลืมเริ่มต้นทำที่ตัวเอง รอให้คนอื่นยิ้ม ไม่สู้เรารีบยิ้มให้เขาก่อนไม่ดีหรือ รอให้คนอื่นหยิบยื่นความสุข ไม่สู้ตัวเราหยิบยื่นความสุขให้กับตัวเราเองก่อนหรือ รอให้ผู้อื่นรักษาท่านให้แข็งแรง ไม่สู้พยายามทำตัวเองให้เข้มแข็ง กล้าหาญยอมรับโรคภัยไข้เจ็บ และสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ ให้ตัวเองกลับมาแข็งแรงไม่ดีกว่าหรือ
ตัวเราเองที่ประเสริฐที่สุด เหตุของปัญหาก็มาจากตัวเรา ฉะนั้นถ้าเราไม่สร้างเหตุที่ผิดพลาด เราจะต้องมานั่งแก้ผลที่เลวร้ายไหม และถ้าเกิดว่าแม้มีผลที่เลวร้าย แต่ถ้าเรารู้จักคิดดี คิดประเสริฐ คิดถูกต้อง ผลจากร้ายก็อาจจะกลายเป็นดีได้ ทุกสิ่งทุกอย่างอย่ามัวเอาแต่วอนขอผู้อื่น อย่ามัวแต่เรียกร้องผู้อื่น แต่ลืมเริ่มต้นทำที่ตัวเอง รอให้คนอื่นยิ้ม ไม่สู้เรารีบยิ้มให้เขาก่อนไม่ดีหรือ รอให้คนอื่นหยิบยื่นความสุข ไม่สู้ตัวเราหยิบยื่นความสุขให้กับตัวเราเองก่อนหรือ รอให้ผู้อื่นรักษาท่านให้แข็งแรง ไม่สู้พยายามทำตัวเองให้เข้มแข็ง กล้าหาญยอมรับโรคภัยไข้เจ็บ และสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ ให้ตัวเองกลับมาแข็งแรงไม่ดีกว่าหรือ
ฉะนั้นธรรมะไม่ได้สอนให้เอาแต่พึ่งพุทธะ
แล้วลืมพึ่งพุทธะในตน แต่ธรรมะสอนให้รู้จักพึ่งตนเอง
ปฏิบัติเริ่มต้นที่ตนเองก่อนที่จะไปกล่าวโทษว่าใคร และก่อนที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นทำให้เรามีสุข
เราควรจะรักษาตนเองให้แข็งแรง เราถามท่านว่า ถึงแม้ได้น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์มาเก้าวัด
แต่หากตัวเราเอาแต่คิดร้ายแล้วปฏิบัติไม่ดี เราจะแข็งแรงเราจะดีได้ไหม
อยากให้พระทำให้เราร่มเย็นเป็นสุข ครอบครัวร่มเย็นผาสุก แต่ตัวเราเอาแต่คิดไม่ดี
ครอบครัวจะร่มเย็นผาสุกได้ไหม
ฉะนั้นก่อนจะไปเรียกร้องใคร อย่าลืมเรียกร้องตน
เพราะตัวเราเป็นรากฐานของทุกๆ สิ่ง ถ้ารากไม่ดีแล้วต้นจะเจริญเติบโตงอกงามได้เช่นไร
ถ้ารากไม่มีคุณธรรมแล้ว การที่คนจะเลวร้ายก็ย่อมเป็นเรื่องง่าย มีคำกล่าวว่า
การศึกษาทำให้คนเป็นคนดี แต่การอบรมบ่มเพาะคุณธรรมทำให้เป็นคนงดงาม
ดีแล้วแต่ไม่งดงาม ดีนั้นก็ยังดูไม่ดี ฉลาดแล้วแต่ยังไม่ดีงาม ความฉลาดนั้นก็อาจก่อเกิดภัยได้
มนุษย์รู้จักเรียกร้องควบคุมคนอื่น แต่กลับควบคุมหัวใจตนเองไม่ได้
เช่นนี้ก็ดูผิดเสียนี่กระไร ฉะนั้นก่อนจะชี้หน้าว่าใครทำผิด ให้ถามตัวเองก่อนว่าถูกต้องไหม
เราไม่เคยเห็นใครในโลกที่ตนเองไม่ซื่อตรงแล้ว สามารถทำให้คนอื่นซื่อตรงได้
และเราไม่เคยเห็นตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบันที่ตนเองยังไม่ได้ดีแล้วสอนคนอื่นได้ดีก็หาได้ยาก
ฉะนั้นก่อนที่จะอบรมผู้อื่น ต้องอบรมใจตนเองก่อน
ก่อนที่จะยับยั้งให้ผู้อื่นไม่ทำผิดคิดร้าย เราต้องรู้จักยับยั้งใจตนเองก่อน
เพราะสิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์มากที่สุดก็คือคิดต่ำมากกว่าคิดสูง ใฝ่ร้ายใฝ่ต่ำ
ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างต้องเริ่มต้นที่ใจเราก่อน อย่าเพิ่งไปเรียกร้องผู้อื่น
ใจดีอะไรอะไรก็ดี แม้เขาด่าเราก็ยังยิ้มเพราะใจเราดี แม้เขาเคืองโกรธอย่างไร เราก็ยังยิ้มได้
ก็เพราะใจเราดี ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นที่ใจหาใช่ที่ผู้อื่น
การอบรมบ่มเพาะธรรมก็เฉกเช่นเดียวกัน
ต้องอบรมบ่มเพาะที่ใจเราก่อน หาใช่ที่แค่เพียงภายนอก การกราบไหว้พระก็เท่านั้น
ถ้าใจยังมี
พญามาร มีกิเลสตัณหา นั่นก็หาใช่พระที่แท้จริง ใจพุทธะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
ก็เป็นใจพุทธะ เมื่อมีใจพุทธะคนรอบข้างก็เป็นพุทธะ แต่ถ้าใจเราเป็นมาร ใจเราคิดร้าย คนรอบข้างก็เป็นมารผีร้าย มนุษย์มักจะพูดว่าผีเห็นผี แล้วทำไมเราไม่เป็นพุทธะเห็นพุทธะ อยากอยู่บนโลกเป็นผีไหม ต่อไปเปลี่ยนเป็นพุทธะเห็นพุทธะ ไม่ใช่ผีเห็นผี เริ่มต้นที่ใจ ขัดเกลาเปลี่ยนแปรที่ใจตนเองก่อน มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก
พญามาร มีกิเลสตัณหา นั่นก็หาใช่พระที่แท้จริง ใจพุทธะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
ก็เป็นใจพุทธะ เมื่อมีใจพุทธะคนรอบข้างก็เป็นพุทธะ แต่ถ้าใจเราเป็นมาร ใจเราคิดร้าย คนรอบข้างก็เป็นมารผีร้าย มนุษย์มักจะพูดว่าผีเห็นผี แล้วทำไมเราไม่เป็นพุทธะเห็นพุทธะ อยากอยู่บนโลกเป็นผีไหม ต่อไปเปลี่ยนเป็นพุทธะเห็นพุทธะ ไม่ใช่ผีเห็นผี เริ่มต้นที่ใจ ขัดเกลาเปลี่ยนแปรที่ใจตนเองก่อน มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก
วันอาทิตย์ที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ.
๒๕๕๙ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อยู่อย่างอยากหรืออยู่อย่างเข้าใจ อยู่เพื่อให้หรืออยู่เพื่อร้องขอ
อยู่เพื่อชนหรือเพื่อตนที่ไม่พอ เคยย้อนถามบ้างไหมหนอตนเช่นไร
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเจิ้งซิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนสบายดีไหม
อย่าทุกข์กับความไม่เที่ยงบนโลกนี้ รู้ปลดปลงวางใจนี้สงบเห็น
เกิดเพื่อดับมีหรือไร้ต่างชัดเจน อยู่กับทุกข์จนทุกข์เป็นธรรมดาไป
ไม่มีใครไม่เคยทำผิดพลาด อย่าฝังใจจนขลาดกลัวยากเริ่มใหม่
กล้าแก้ไขกล้ายอมรับสู้ต่อไป เพียงรู้ให้โอกาสตนไม่ซ้ำรอย
เมื่อผิดแล้วอย่าซ้ำย้ำให้หมอง เข้าใจคล้องอภัยต่างเห็นใจหน่อย
อย่ามัวแต่สงสารตนจนเหม่อลอย ทิฐิคอยถือสากันยากร่มเย็น
บาปไม่ทำกรรมไม่สร้างกิเลสไม่ก่อ คนรู้พอขยันไม่ท้อยากทุกข์เข็ญ
อยู่เพื่อยืมใช้แล้วคืนวางให้เป็น อยู่เพื่อเย็นทำวันนี้จบแล้ววาง
ฮา ฮา
หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ศิษย์หลายคนบอกว่า ฟังเรื่องทำความดี ทำบุญ บำเพ็ญธรรม
มามากมาย แต่ถามว่าทำดีทำอย่างไร บางทีก็ยังไม่รู้เลยว่าอะไรเรียกว่าทำดี ทำไปก็ยังโดนว่าไม่ดี บางทีไม่ได้ตั้งใจทำดี ก็กลับมาชมว่าดี ตกลงว่าทำดีคือต้องทำถูกต้อง ถูกใจคนทุกอย่าง ถูกใจทุกสิ่งถึงจะดีใช่ไหม (ไม่ใช่) ก่อนที่เราจะเข้าถึงความดีเราต้องเข้าใจก่อนว่าความดีแปลว่าอะไร “ความดี” แปลว่า “การกระทำอะไรก็ตามที่ถูกต้องและดีงาม” จงเข้มแข็งกล้าหาญต่อการจะทำดี แต่จงขลาดกลัวต่อการจะทำชั่ว เพราะความชั่วร้ายมีพิษสงอันเผ็ดร้อน ให้ผลอันเจ็บปวด
มามากมาย แต่ถามว่าทำดีทำอย่างไร บางทีก็ยังไม่รู้เลยว่าอะไรเรียกว่าทำดี ทำไปก็ยังโดนว่าไม่ดี บางทีไม่ได้ตั้งใจทำดี ก็กลับมาชมว่าดี ตกลงว่าทำดีคือต้องทำถูกต้อง ถูกใจคนทุกอย่าง ถูกใจทุกสิ่งถึงจะดีใช่ไหม (ไม่ใช่) ก่อนที่เราจะเข้าถึงความดีเราต้องเข้าใจก่อนว่าความดีแปลว่าอะไร “ความดี” แปลว่า “การกระทำอะไรก็ตามที่ถูกต้องและดีงาม” จงเข้มแข็งกล้าหาญต่อการจะทำดี แต่จงขลาดกลัวต่อการจะทำชั่ว เพราะความชั่วร้ายมีพิษสงอันเผ็ดร้อน ให้ผลอันเจ็บปวด
ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนจงเลือกทำแต่สิ่งที่ดี
อย่าทำชั่วเลย ยิ่งถ้าคนๆ นั้นเป็นคนที่มีมโนธรรมสำนึกในหัวใจ
ถ้าเขาเผลอไปทำผิดมโนธรรมสำนึกตัวนี้เองจะเป็นแส้คอยตี และกระตุ้นเตือนใจให้รู้ว่าตัวเราผิดตัว
เราไม่ดี ไม่มีสิ่งใดฟาดเราให้เจ็บปวดเท่ากับมโนธรรมสำนึกแห่งความถูกต้อง
และความละอายเกรงกลัวต่อบาป
ใครด่าเราที่ว่าเจ็บแค่ไหนก็ไม่เท่ากับเราด่าตัวเองว่าชั่วจริงๆ ถ้ารู้แล้วจงรีบแก้ไข
อย่าปล่อยให้มโนธรรมสำนึกหายไปจากใจ ดีหรือชั่ว เวลาทำอะไรต้องมีสติยั้งคิด
ถ้าขาดสติ จากดีก็จะกลายเป็นชั่วทันที แต่ถ้าเกิดว่าชั่วแล้วเรายังมีสติยั้งคิด
ชั่วนั้นก็จะกลายเป็นดีได้ เหมือนตอนนี้เรากำลังจะโมโห จะด่า แต่ถ้าเรามีสติ ไม่ด่า
ไม่โมโห ก็ได้ใช่ไหม (ใช่)
แต่ถ้าเราไม่มีสติ ดีแล้วทำไปเถอะ เห็นไหมจากชมกลับกลายเป็นเราประชดเขาใช่ไหม
เห็นใครดีเราน่าจะอนุโมทนาสาธุ เรากลับไม่ทำ แต่บางทีเราแอบกัดเขาเล็กๆ ถูกไหม
(ไม่ถูก) เราต้องยินดีในความดีนั้นด้วย
เชื่อไหมว่าใครดีแล้วเราอนุโมทนาสาธุหรือยินดีในความดีนั้น ความดีนั้นก็จะก่อเกิดจากสิ่งธรรมดากลายเป็นบุญได้
แต่ถ้าเราเห็นใครร้ายแล้วเราด่าเขา ร้ายต่อเขากลับเราก็สร้างบาปร่วมกับเขา ใช่หรือไม่
(ใช่)
ฉะนั้นอาจารย์จะบอกนะให้ศิษย์เอ๋ย วันๆ
หนึ่งในทุกขณะเราสามารถทำดีได้ด้วย ทำบุญได้ด้วย แล้วสามารถสร้างกุศลได้ด้วย แล้วก็สามารถดำรงตนให้มีศีลธรรมและมีคุณธรรมงดงามได้ด้วยในหนึ่งขณะ
ศิษย์ว่าทำได้ไหม (ได้)
ถ้าศิษย์เข้าใจตรงนี้ ศิษย์จะรู้เลยว่า การทำตัวเป็นคนดี
และการบำเพ็ญปฏิบัติตน ปฏิบัติตนให้ประพฤติแต่ในสิ่งที่ดีงาม หรือเรียกว่าประพฤติธรรม
ทำได้อย่างไร ข้อเสียของมนุษย์คือไม่ชอบพูดว่าตนเองไม่รู้
ชอบพูดว่าตนเองรู้อยู่ร่ำไป จึงกลายเป็นคนไม่รู้จริงสักที
แล้วทำอย่างไรจึงจะเรียกว่าทำดี และสามารถทำบุญ เจริญกุศล รักษาศีล
และคุณธรรมงดงาม ไม่ยากเลย ศิษย์มีอยู่ทุกวันทำได้ทุกวัน ง่ายๆ
สมมติเดินเข้ามาก็สวัสดี แค่นี้เอง ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ให้ในสิ่งที่บริสุทธิ์
และงดงามโดยไม่หวังผล นั่นเรียกว่าบุญ ไม่หวังผลและไม่เรียกร้องผลกลับ
นั่นเรียกว่ากุศล ทำด้วยเมตตาจิตไม่ร้องขอหรือเรียกร้อง นั่นคือเจริญในศีล และดำรง
จริยะอันงดงามนั่นคือคุณธรรม
จริยะอันงดงามนั่นคือคุณธรรม
ฉะนั้นไปไหนทักทาย สวัสดี สบายดีไหม ทำดีง่ายไหม แถมได้ให้ทานให้บุญด้วย
บุญเป็นสิ่งที่ให้และออกมาจากใจด้วยความบริสุทธิ์ สิ่งที่ให้บริสุทธิ์
ให้แล้วขณะให้ก็มีสุข ก่อนให้ก็มีสุข หลังให้ก็มีสุข นี่แหละศิษย์เอ๋ย บุญง่ายๆ
ทานง่ายๆ คุณธรรมง่ายๆ ศีลธรรมง่ายๆ ทำได้ง่าย แต่กลับไม่ทำ
การอ่อนน้อมถ่มตน ไม่มีใครรัก ทำอะไรไปก็มีแต่เกะกะเหมือนอันธพาล
ศิษย์อยากได้แบบแรกหรือแบบสอง (แบบแรก)
แล้วศิษย์ทำแบบไหน พอเราทำบ่อยๆ
เขาก็ให้เราเป็นคนที่มีคุณธรรมอย่างหนึ่งคือ เด็กคนนี้น่ารัก
รู้จักอ่อนน้อมและสุภาพ พูดอะไรก็ครับ ก็ค่ะ การทำดีบ่อยๆ คุณธรรมก็งอกเงย
รู้จักให้บ่อยๆ ใจเราจะได้บริสุทธิ์ ยากไหมศิษย์ (ไม่ยาก) แล้วก็แผ่ขยายออกไป เราสามารถทำได้ทุกวัน
ทุกที่ ไม่ต้องมาเข้าห้องพระหรือไปวัด ถึงจะมีโอกาสได้ทำบุญทำทาน ทำได้ทุกที่
ทั้งเจริญบุญ เจริญกุศล รักษาศีล กอปรคุณงาม เป็นคนดี
ถ้าทุกคนรักษาความเป็นคนของตัวเองในทุกหน้าที่ได้ดีงามและสมบูรณ์
จะมีอันธพาลครองโลกไหม (ไม่มี)
แต่คนสมัยนี้ เด็กไม่รู้จักเด็ก ไม่รู้จักความอ่อนน้อมถ่อมตัว
เป็นผู้ใหญ่ไม่รู้จักมีความเมตตา เมื่ออยู่กับเพื่อนก็ไม่รู้จักความซื่อสัตย์
อยู่กับภรรยาไม่ซื่อตรง (ใช่) อยู่กับสามีแอบมีกิ๊ก ใช่ไหม (ไม่ใช่)
วันนี้มาร่วมบุญร่วมกุศลกันใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นสิ่งที่ยื่นให้ทุกคนต้องยื่นให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ให้โดยไม่หวังผล
ก่อนให้ก็บริสุทธิ์ ขณะให้ก็บริสุทธิ์ หลังให้ก็บริสุทธิ์ใจ
แล้วคนที่รับบริสุทธิ์ไหม (ไม่บริสุทธิ์) ถ้าคนรับบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ
บุญที่ร่วมกันสร้างก็เป็นมหาบุญที่ยิ่งใหญ่ เวลาศิษย์ทำบุญศิษย์ยังอยากทำบุญกับพระ
เพราะคิดว่าพระอยู่ในศีลในธรรม บุญที่ให้จะได้เป็นบุญที่ยิ่งใหญ่
อย่างที่วันนี้เรามาฟังธรรมสองวัน เขาให้ธรรมะที่บริสุทธิ์แก่เรา
และถ้าเราสามารถรักษาศีลได้บริสุทธิ์
แปลว่าเราก็สามารถเปิดโอกาสให้เขาทำทานได้สูงส่ง
ศิษย์อย่าคิดว่ามาปฏิบัติธรรมมาช่วยเขาเป็นเพียงการมาทำหน้าที่
ถ้าคิดแค่นี้ก็น่าเสียดาย
ศิษย์ต้องคิดว่าเราได้มาร่วมบุญที่ยิ่งใหญ่ด้วยการที่ก่อนให้เราก็มีจิตบริสุทธิ์
ขณะให้เราก็บริสุทธิ์ หลังจากให้ก็รู้สึกไม่เหนื่อยไม่เพลียไม่ลำบาก มีความสุขมากๆ
บุญที่ให้ก็จะเป็นบุญที่บริสุทธิ์และเต็มอิ่ม โดยที่เราไม่ได้หวังผลอะไร
ทำไมทำดีจึงไม่ทำให้ถึงที่สุด ถ้าเราทำอีกนิดเดียวก็จะกลายเป็นบุญใหญ่และงดงาม
จากบุญก็กลายเป็นกุศล ทำไมเราจึงไม่เอา
ถ้าไม่อยากเดือดร้อนภายหลัง
เมื่อเราอยู่ในโลกใบนี้นะศิษย์ อย่าคิดว่าตัวเองรอดแค่คนเดียว คนอื่นช่างหัว
ไม่ใช่นะ ถ้าเราปล่อยให้คนอื่นเดือดร้อน
คนที่เดือดร้อนก็จะมาก่อความวุ่นวายให้กับคนที่ไม่สนใจเขา อย่าคิดว่าเรื่องของเขา
ไม่เกี่ยวกับเรา ถ้าเขาไม่รอด เขาก็ต้องพยายามทำให้เราไม่รอดด้วย
ถ้าเขาแย่เขาก็ต้องพยายามทำให้ศิษย์แย่ด้วย ฉะนั้นอย่าคิดเพียงว่าอยู่ในสังคมแค่เป็นคนดี
ไม่ต้องช่วยเหลือใคร ก็ปลอดภัย นั่นไม่จริงนะ
เมื่อเป็นคนดีเราต้องมีน้ำใจช่วยเหลือ เพราะถึงเวลาที่เขาทุกข์ยาก
เขาจะได้จำไว้ว่า คนนี้เคยช่วยเขา ดีกว่าคนนี้ตอนที่เขาได้ดี แต่ไม่เคยดูดำดูดี
น้ำใจอย่าได้ขาดแคลน อย่ามัวแต่แค่มีน้ำใจกับเพียงญาติมิตร
แต่ถึงเพื่อนบ้านใกล้เคียงกลับไม่มี อย่ามัวแต่มีน้ำใจกับลูกหลานแดนไกล
แต่ลูกหลานใกล้ตัวกับดูถูกดูแคลน ศิษย์มักจะเป็นกันอย่างนี้
เราพูดกันเรื่องการศึกษาธรรม
สิ่งที่สำคัญเราต้องเริ่มต้นทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงามก่อน
การทำความดีคือการกระทำสิ่งที่ถูกต้องงดงาม ซึ่งเราสามารถทำได้ง่ายๆ อย่างเช่น
สวัสดี ถ้าหากว่าเจอเด็ก เราก็ทักทาย เพราะว่าเด็กมีความน้อยใจเป็นอันดับหนึ่ง
แต่ถ้าผู้ใหญ่อย่างเรายังให้ความสำคัญและไม่ทอดทิ้ง
ยังให้ความสำคัญทักทายกันแบบไม่ดูแคลนการมีสัมมาคารวะ
นั่นจึงเป็นการเริ่มต้นการทำดีอย่างง่ายๆ ที่ศิษย์สามารถทำได้ทุกที่
และเป็นเหมือนประตูชัย ที่เราสามารถเปิดใจของคน
ให้เราสามารถเดินเข้าไปอยู่กับเขาอย่างใกล้ชิด รู้จักหรือไม่รู้จักก็เดินเข้าไปสวัสดี
ผู้ใหญ่เห็นก็เอ็นดู แล้วเราทำกันไหม (ทำ)
ต่อไปก็เริ่มทำ แล้วทำดีทำอย่างไรได้อีก เราต้องมีความกตัญญู
ทำหน้าที่ของลูกให้ดี พ่อแม่อยากให้ช่วยอะไรก็ทำ
พอทำเสร็จก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง แล้วค่อยออกไปเที่ยวเล่น ง่ายไหมศิษย์
และถ้าวันหนึ่งศิษย์ไม่ได้อยู่กับท่าน
คำว่าปฏิบัติต่อพ่อแม่ด้วยความเคารพ ดูแลท่านให้อย่างสุดจิตสุดใจ
วันหนึ่งเราต้องออกจากบ้านไปก็บอกท่านเมื่อกลับมาก็รายงานให้ท่านรู้
ถึงเวลาไม่มีโอกาสเจอหน้า หมั่นโทรบ่อยๆ เพราะอย่างน้อยพ่อแม่ก็เป็นห่วงลูก
และพรใดก็ไม่ประเสริฐเท่ากับคำอวยพรของพ่อแม่ ฉะนั้นพรของพ่อแม่ประเสริฐที่สุด
ฉะนั้นไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไรก็ให้คิดดีเข้าไว้อย่าได้คิดต่ำ อย่าได้คิดร้าย
เพราะพรของพ่อแม่ศักดิ์สิทธิ์ ต้องคิดแต่ในทางที่ดี เช่น ให้ลูกเจริญๆ
ไม่ว่าอย่างไรก็ขอให้โชคดีมีชัย เพราะปากพ่อแม่ศักดิ์สิทธิ์นัก
ถ้าพ่อแม่แช่งเตรียมรับได้เลย เมื่อใดที่เราทำครอบครัวให้อบอุ่น จิตใจเราก็อบอุ่น
เมื่อเราสามารถทำให้ครอบครัวมีสุข ใจเราก็อิ่มเอม
ถ้าเราอยากทำดีแต่ว่าตอนนี้อยู่กับเพื่อนนี่ เธอเราได้แอปเปิลมาลูกหนึ่ง
ถ้าเราให้เธอกินลูกหนึ่งพอไหม มีอะไรก็ซื่อตรงจริงใจกับเพื่อน
เราอยากให้เพื่อนปฏิบัติกับเราอย่างไร เราก็จงปฏิบัติเช่นนั้นกับเขา ใช่หรือไม่
(ใช่) เพื่อนกันต้องตักเตือนกัน
ไม่ใช่เขาชี้นำให้ชั่วเราก็ชั่ว ชี้นำให้ผิดเราก็ผิด
เพื่อนกันต้องให้คำแนะนำที่ดีต่อกัน เขามีบางอย่างที่เราไม่มี
ฉะนั้นเราต้องหาเพื่อนแบบนี้ ไม่ใช่เขาบกพร่อง เราก็บกพร่องเหมือนกัน
เพื่อนต้องช่วยเสริมเกื้อหนุนกัน เราจึงจะเป็นเพื่อนกันตลอดไปได้
ไม่ใช่เพื่อนพูดขัดแย้งว่าเพื่อนพูดไม่ถูกใจเลย ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เพื่อนที่ดีต้องกล้าพูด กล้าชี้นำ กล้าชี้ว่าเราถูกเราผิด
ไม่อย่างนั้นถ้ามีเพื่อนที่เออออห่อหมกก็คงเข้าโลงไปแล้วใช่ไหม
ฉะนั้นการคบเพื่อนต้องมีอะไรที่ไม่เหมือนกันถูกไหม
ศิษย์เอ๋ยบางครั้งถ้าเพื่อนให้ความจริงใจแล้วเขาไม่ยอมรับหรือไม่เอา
เราต้องให้ความจริงใจกลับ แล้วเราจะได้ใจเพื่อน อย่างเช่น เธอให้ฉัน
ฉันไม่เอาฉันเกรงใจ เธอเอาไปเถอะ ไม่ใช่พอเพื่อนให้แล้วเราเอาทันที ไม่ได้ ใช่ไหม
(ใช่)
ฉะนั้นการเริ่มต้นทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงามนั้นทำได้ทุกที่ แล้วสิ่งที่ดีงามนั้นก็จะก่อเกิดเป็นบุญเป็นทาน
เราให้ความซื่อตรงกับเพื่อน เราให้ความจริงใจกับเพื่อน เราให้น้ำจิตน้ำใจกับเพื่อน
ส่วนเพื่อนจะให้ไม่ให้ตอบไม่เป็นไร
เพราะเราอยากทำบุญไปให้ถึงกุศลที่ไม่หวังผลตอบแทน
แล้วบุญนั้นจะส่งเสริมให้เรามีคุณธรรมที่งดงามและเข้าถึงศีลอันสมบูรณ์พร้อม ฉะนั้นเมื่อไปก็ต้องไปให้ดีที่สุดนะศิษย์เอ๋ย
ทำก็ต้องทำดีให้งามพร้อม ไม่ว่าจะอยู่นอกบ้านหรือในบ้าน ทำได้ไหม (ได้)
เมื่อเราเข้าใจคำว่า ความดีคืออะไรแล้ว
เราก็ต้องเข้าใจก่อนว่าทานคืออะไร ทานก็คือการให้ การแบ่งปัน
ให้และแบ่งปันเพื่อสละความ
ยึดมั่นถือมั่น และถ้าให้ไปแล้วก่อเกิดความอิ่มเอิบใจ ปีติเบิกบานใจ
ทานนั้นก็จะกลายเป็นบุญ เป็นลำดับไป เหมือนกับการทำดี ทำดีด้วยการให้ ให้เพราะว่าเราอยากแบ่งปัน ความดีคือการให้ทาน ให้ทานก็กลายเป็นบุญ แล้วถ้าบุญนั้นทำแบบไม่ได้หวังผล แต่ได้ขัดเกลาความเป็นตัวตน
ชะล้างความยึดมั่น ถือมั่นตัวตนได้ บุญนั้นก็กลายเป็นกุศล และในขณะที่ทำนั้น มีเมตตาจิต มีมโนธรรมสำนึกที่ดี มีจริยธรรมที่งดงาม ทำด้วยปัญญาที่ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ บุญ ทาน กุศล ก็กอปรไปด้วยศีล ซึ่งนำพาให้ก่อเกิดคุณธรรมอันงอกงาม
ยึดมั่นถือมั่น และถ้าให้ไปแล้วก่อเกิดความอิ่มเอิบใจ ปีติเบิกบานใจ
ทานนั้นก็จะกลายเป็นบุญ เป็นลำดับไป เหมือนกับการทำดี ทำดีด้วยการให้ ให้เพราะว่าเราอยากแบ่งปัน ความดีคือการให้ทาน ให้ทานก็กลายเป็นบุญ แล้วถ้าบุญนั้นทำแบบไม่ได้หวังผล แต่ได้ขัดเกลาความเป็นตัวตน
ชะล้างความยึดมั่น ถือมั่นตัวตนได้ บุญนั้นก็กลายเป็นกุศล และในขณะที่ทำนั้น มีเมตตาจิต มีมโนธรรมสำนึกที่ดี มีจริยธรรมที่งดงาม ทำด้วยปัญญาที่ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ บุญ ทาน กุศล ก็กอปรไปด้วยศีล ซึ่งนำพาให้ก่อเกิดคุณธรรมอันงอกงาม
เราต้องเริ่มต้นจากการทำความดีก่อน การทำดีคือการให้อะไรก็ได้
ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ให้ความรักโดยไม่หวังผล ให้ความเมตตา ให้ความอนุเคราะห์
ให้เกียรติ ให้ความเคารพ เพราะการให้ก็คือการทำความดี และการให้ทาน
สิ่งที่แบ่งปันให้กับผู้อื่นเราเรียกว่า ทาน ช่วงที่ก่อนทำหรือขณะที่ทำเสร็จ
เราทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทำด้วยความอิ่มเอิบใจ แล้วขณะที่ทำก็มีความสุข
หลังจากที่ได้ทำก็มีความสุข ทานนั้นก็จะกลายเป็น (บุญ) เราทำบุญเรียบร้อยแล้ว แต่เรายังหวังผล
บุญนั้นก็จบแค่บุญ บุญนั้นก็ก่อเกิดเป็นกรรมที่ต้องตกทอดมารับบุญอีก
เหมือนที่เขาเรียกว่า ทำบุญมากๆ ได้ขึ้นสวรรค์ พอเสวยบุญบนสวรรค์หมด ก็ต้องกลับมา
ศิษย์จำไว้นะ บุญจะไม่กลายแปรมาเป็นบาป เป็นนรก
เมื่อศิษย์ทำบุญแล้วศิษย์ไม่มีความโลภ เคยทำไหมทำบุญมากๆ หนึ่งร้อยบาทน้อยไป
สองร้อยก็ยังดี มีความโลภต้องเอาหน้า ทำแล้วต้องได้หน้า ต้องเขียนชื่อขึ้นที่ป้าย
ไม่อย่างนั้นไม่ยอม
ทำบุญแล้วยังติดในบาป บาปคือสิ่งตรงข้ามกับบุญ
บุญคือสิ่งที่ทำให้เราผ่องใส เหมือนหัวใจฟู แต่บาปทำให้เราหม่นหมอง หดหู่
ถ้าเป็นบาปก็จะกลายเป็นอกุศลได้ พอเป็นบาปก็จะกลายเป็นความโลภ โกรธ หลง
กลายเป็นอกุศล เราสามารถปฏิบัติธรรม ทำดี เจริญบุญ เจริญกุศล
และเข้าถึงคุณงามความดีที่เรียกว่า ศีลธรรมได้ ในขณะเดียวกันเลยนะศิษย์
แค่ศิษย์พูดอย่างนี้ว่า สบายดีไหม อ้วนไปนะ ถ้าทำให้เขาหม่นหมอง
จากบุญก็กลายเป็นบาป เธอนี่โชคดีจัง หน้าเธอดูตึงจัง ของฉันนี่เหี่ยวๆ
พูดอะไรก็ได้ที่ทำให้เขาสบายใจ แต่ถ้าพูดแล้วทำให้เขาเป็นทุกข์
ก็เท่ากับเราสร้างบาป ถ้าเราพูดด้วยความหวังดี จะกระทำอะไรเราก็ทำด้วยความเมตตาจิต
เราก็จะไม่เบียดเบียนใคร สิ่งที่เรากระทำมาทุกอย่างก็จะจบลง
ไม่ก่อเกิดการเกี่ยวกรรม
อาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์เริ่มต้น
ถ้าเริ่มต้นถูกและทำต่อจนถึงที่สุดมันงดงาม เราก็จะเข้าถึงความเบิกบานใจ
ในสิ่งที่เราได้ทำทุกขณะ การเป็นคนดีอย่าได้รอถึงวัดแล้วค่อยเป็นคนดี
เป็นคนดีอย่ารอให้คนอื่นน่าสงสาร แล้วเราค่อยเป็นคนดี เราทำดีได้ทุกขณะ เราทำบุญได้ทุกขณะ
และเราสามารถเจริญปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะ
ถ้าทำได้อย่างนี้เราก็จะอยู่รอดปลอดภัย
แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่อาจารย์ว่ายังยากอยู่ คือศิษย์ยังเป็นคนยังมีความอยากอยู่
อยากสวย อยากรวย อาจารย์จะให้สามตัวเอาไหม (เอา)
เอาไปแล้วไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ลำบาก มีความสุขด้วยสามตัวที่ว่านี้ก็คือ “จงรู้พอ” คนที่จนที่สุดคือคนที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองมี
จำไว้นะศิษย์ หาเท่าไรก็บอกว่าไม่มี คนแบบนี้แหละจนสุดๆ แต่ถ้าหามาเท่าไรก็บอกว่ามีแล้วดีแล้วพอแล้ว
คนนี้แหละรวยสุดๆ ศิษย์เคยหาเงินไหม หามาแทบตายถ้าศิษย์บอกว่าไม่พอ
หาอย่างไรก็ไม่พอ แต่ถ้าศิษย์บอกว่าพอ ก็จะดูเยอะขึ้นมาทันที
ศิษย์บอกอาจารย์ว่าศิษย์อยู่บนโลกนี้ยังมีความอยากอยู่
แล้วอาจารย์จะให้ทำอย่างไร ในเมื่อศิษย์ยังต้องทำมาหากินอยู่
จะทำอย่างไรให้ความอยากของศิษย์ไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น และไม่กลายเป็นทุกข์
ไม่กลายเป็นกิเลส ไม่กลายเป็นปัญหาก่อเกิดทำร้ายผู้อื่น เคยคิดไหม
มนุษย์อยู่ในโลกยังต้องหาปัจจัยสี่ ใช่หรือไม่
(ใช่)
แล้วทำอย่างไรให้ปัจจัยสี่ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วไม่ทำให้เกิดทุกข์ เมื่อเราได้ทำถึงที่สุดแล้ว
แต่วันนี้เรายังต้องมีเหตุที่ต้องทำมาค้าขาย ยังต้องทำงาน ยังต้องมีเงินมีทองอยู่
แล้วทำอย่างไรที่จะทำให้ความอยากของศิษย์ไม่ก่อเกิดเป็นบาป ไม่ก่อเกิดเป็นอกุศล
ไม่ก่อเกิดเป็นความชั่วร้ายและการเวียนว่าย สมมติว่าอาจารย์ต้องหาเงิน
อาจารย์เป็นคนขายผลไม้ มาซื้อผลไม้กันเร็ว ผลไม้สดๆ ใหม่ๆ เหี่ยวๆ ก็มี สดๆ ก็มี
ขายของเราต้องซื่อตรงจริงใจต่อลูกค้า เหี่ยวก็บอกเหี่ยว เก่าก็บอกเก่า ถูกก็บอกถูก
แพงก็บอกแพง เราเอาของดีมาขายเราซื่อตรง รับรองลูกค้าไม่ไปไหน ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเราขายได้ก็ได้ ขายไม่ได้เงินไม่มีกิน
เรากินผลไม้แทนก็ได้ ไม่ต้องทุกข์ แต่ศิษย์ของอาจารย์นี่ยังไม่ใช่ พูดไม่ตรง
ไม่จริงใจ พอขายไม่ได้ก็เป็นทุกข์ ฉะนั้นผู้บำเพ็ญธรรมไม่ว่าจะค้าขาย
ไม่ว่าจะทำงาน สิ่งสำคัญคือความซื่อตรง อยากค้าขายเจริญรุ่งเรือง
ต้องมีความซื่อตรงเป็นหลักถ้าซื่อตรงลูกค้าก็จะไม่ไปไหน แพงอย่างไรเขาก็ซื้อ
เพราะเราไม่โกหก ถูกไหม (ถูก) เราจริงใจ
เก่าก็ว่าไปตามเก่า ถูกก็ว่าไปตามถูก แพงก็ว่าไปตามแพง
ขายได้ไม่ได้เราจริงใจไว้ก่อน เรามีสุขไหม (มี)
เราไม่โกหกลูกค้า
ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นถ้าศิษย์ทำอย่างนี้ ศิษย์ก็สามารถมีความอยากแต่ไม่เดือดร้อน และความอยากนั้นไม่ว่าจะขายได้ก็ได้ ขายไม่ได้ไม่เป็นไรกินผลไม้ต่างข้าวเยอะหน่อย ก็ต้องจำใจ เหมือนกันปลูกข้าวแล้วข้าวไม่ขึ้น ทุกข์ไหม (ทุกข์) ขายข้าวไม่ได้ราคา เครียดไหม (เครียด) ลูกหลานไม่สนใจ ไม่ช่วยดูดำดูดี เอาแต่เที่ยวทุกวัน ข้าวก็ขายไม่ได้ ธกส. ก็เรียกแล้วเรียกอีกเมื่อไรจะจ่ายเงิน เวลาศิษย์จะทำอะไรก็ตามจงซื่อตรง ถ้าไม่มีก็บอกไปตรงๆ ว่าไม่มีจริงๆ ขอเวลาหน่อยนะ ถ้ามีจะผ่อนให้ เราเป็นลูกหนี้ที่ดีก็ไม่มีใครว่าเราหรอก เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี
ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นถ้าศิษย์ทำอย่างนี้ ศิษย์ก็สามารถมีความอยากแต่ไม่เดือดร้อน และความอยากนั้นไม่ว่าจะขายได้ก็ได้ ขายไม่ได้ไม่เป็นไรกินผลไม้ต่างข้าวเยอะหน่อย ก็ต้องจำใจ เหมือนกันปลูกข้าวแล้วข้าวไม่ขึ้น ทุกข์ไหม (ทุกข์) ขายข้าวไม่ได้ราคา เครียดไหม (เครียด) ลูกหลานไม่สนใจ ไม่ช่วยดูดำดูดี เอาแต่เที่ยวทุกวัน ข้าวก็ขายไม่ได้ ธกส. ก็เรียกแล้วเรียกอีกเมื่อไรจะจ่ายเงิน เวลาศิษย์จะทำอะไรก็ตามจงซื่อตรง ถ้าไม่มีก็บอกไปตรงๆ ว่าไม่มีจริงๆ ขอเวลาหน่อยนะ ถ้ามีจะผ่อนให้ เราเป็นลูกหนี้ที่ดีก็ไม่มีใครว่าเราหรอก เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี
ศิษย์เอยศิษย์อยากอยู่ในโลกอย่างมีสุขไหม
ถ้าอยากมีสุขเมื่อทำถึงที่สุดถ้าผลนั้นไม่ดี ก็จงกล้ายอมรับความจริง
คิดมากเอาทุกข์ใส่หัวแล้วมันหายไหม เหมือนเราเครียดเรื่องข้าวขายไม่ได้ราคา
เอาข้าวมาตีหน้า มาตีใจ เจ็บไหม เครียดแล้วได้อะไร ทุกข์ไหม และอย่าคิดฆ่าตัวตายเด็ดขาด
เมื่อใดที่เรารู้จักควบคุมความอยาก ศิษย์จำไว้นะเรามีต้นทุนที่ดี เราทำดีมาตลอด
ฉะนั้นเวลาเราอยากทำอะไรก็ตามสำเร็จหรือล้มเหลวก็ไม่เป็นไร เรามีต้นทุนที่ดีงาม
ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เธอจะรักฉันๆ ก็รัก เธอจะไม่รักฉันๆ ก็ไม่โกรธ
ทำอย่างนี้แล้วมีความสุขไหม ความอยากก็จะไม่มาเป็นกิเลสครอบงำทำให้เราทุกข์
ฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไร ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ดี สำเร็จก็ดี ไม่สำเร็จก็ดี โดนชมก็ดี
โดนด่าก็ดี ฝึกไว้นะศิษย์ ไม่ใช่ว่ามันต้องได้ เหมือนอาจารย์ทำอะไรออกมาอย่างหนึ่ง
ก็จะมีคนทั้งชมทั้งติ บางครั้งเราทำอะไรอย่างหนึ่ง บางทีเจตนาเราเป็นอย่างนี้
แต่พอฟังคนมากๆ เจตนาเราก็เปลี่ยนไป
ฉะนั้นเมื่อเจตนาเปลี่ยนไปเราควรจะยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้องหรือเราควรจะเอนเอียงไม่เป็นหลักเป็นเลนกันแน่
เมื่อทำอะไรอย่างหนึ่งแล้วโดนคนว่า โดนติ โดนสั่งนั่น สั่งนี่
ถ้าเราไม่ยืนหยัดมั่นคงในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เราก็ง่ายที่จะโอนเอน และผิดเพี้ยนไป
ถ้าเรายืนยันมั่นคงว่า หนูทำได้แค่นี้ อย่าโกรธหนูนะ
ถ้ามากกว่านี้หนูอาจจะเพี้ยนก็ได้ เราอยู่ในสังคมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีคนติ คนบ่น
อยากเติมโน่นนี่ แต่ถ้าเรามั่นใจว่าสิ่งที่เราทำถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องอยากมากกว่านี้ก็ได้
แค่นี้ก็ดีก็พอแล้ว เราอยากอยู่บนโลกนี้แบบไม่ทุกข์ บางทีได้แค่ไหนก็แค่นั้น
อย่าเอาตัวเราไปเปรียบกับใคร
ศิษย์ของอาจารย์ต้องเข้มแข็ง
เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ต้องไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย ไม่กลัวทุกข์ ไม่กลัวคนด่า
ทำได้ไหม (ได้) เริ่มต้นอาจารย์สอนวิธีปฏิบัติตัวอย่างไรที่เรียกว่า
ทำดี บำเพ็ญธรรม ปฏิบัติธรรม เข้าถึงศีลธรรม ก้าวที่สอง สิ่งที่ศิษย์หนีไม่พ้นคือ
เราอยู่บนโลกจะบำเพ็ญอย่างไรให้เราสามารถเอาชนะทุกข์ได้
แต่เราไม่เคยเอาชนะทุกข์ได้ ทุกข์มากี่ทีก็ทุกข์ทุกครั้ง เราจงรู้ไว้ก่อนว่า
เราเกิดจนตายก็หนีไม่พ้นคือ ทุกข์จากการแก่ เจ็บ ตาย
ซึ่งอยู่กับสังขารและหนีไม่พ้น เราต้องรับให้ได้
นี่คือความเป็นจริงแห่งชีวิตที่เรียกว่า สังขาร แต่ต่างกันอย่างหนึ่ง
เพราะทุกข์อันนี้เป็นทุกข์ของสังขาร หาใช่ทุกข์ของจิตเดิมแท้ไม่
ซึ่งสังขารนี้เรียกว่าการแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติดี ศิษย์ก็รู้สึกดี
ธรรมชาติแย่ ศิษย์ก็รู้สึกแย่ ธรรมชาติจริงแต่ตัวศิษย์หามีจริงไม่ ไม่ว่าเราจะแก่
เจ็บ ตาย จำไว้คือการเปลี่ยนแปลงของสภาวธรรม ถ้าเราไม่อยากทุกข์กับสิ่งที่เรียกว่า
ความเป็นจริงแห่งสภาวธรรม ศิษย์จะต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า อันนี้มาจากธรรมชาติ
แล้วก็มีตัวเราเข้ามาครอบงำอีกที เราจะหนีพ้นการเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ไหม
(ไม่ได้) เมื่อไม่ได้ เราต้องทำอย่างไร
ถ้าเราไม่ยึดมั่น เมื่อแก่เราก็แค่รู้ว่ากายแก่ กายแก่ใจแก่ไหม (ไม่แก่) กายเจ็บใจเจ็บไหม (ไม่เจ็บ) กายตายใจตายไหม (ไม่ตาย) พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า มีแต่สังขารที่ดับไป
จิตหาดับไปไม่ ฉะนั้นถ้ามนุษย์เข้าถึงสภาวธรรมเราจะรู้ว่าจริงๆ แล้ว
สังขารอันนี้ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่น มันก็แก่เป็นธรรมดา มันก็เจ็บเป็นธรรมดา
แล้วมันก็ตายเป็นธรรมดา แต่จิตหาแก่เจ็บตายไม่ ถ้าจิตเราไม่ยึด
มันก็เป็นแค่ความหมุนเปลี่ยนของสภาวธรรมอันหนึ่ง
ฉะนั้นเราจะทุกข์ไหมเวลาเราโดนตี (ไม่)
จำไว้เราเป็นเพียงผู้อาศัย อาศัยกายนี้อยู่ ถึงเวลาเราก็ต้องทิ้งกายนี้ไป
ฉะนั้นอย่าให้ความโกรธความเกลียดอกุศลมาสร้างวิบากกรรมที่ก่อเกิดภพชาติชรามรณะไม่จบสิ้น
จงทุกข์เพียงกายอย่าทุกข์ใจ จงเจ็บเพียงกายอย่าลงที่ใจ ได้ไหม (ได้) ถ้าศิษย์สามารถเอาชนะได้ ศิษย์ก็สามารถที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนอันนี้ได้
ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ
เราอยู่บนโลกเราไม่ได้ตกเป็นทาสของร่างกาย แต่เราต้องเป็นนายเหนือกาย
นี่ถึงจะเรียกว่ามนุษย์ประเสริฐ กายมีวันดับ แต่จิตไม่มีวันดับ กายมีวันขุ่นมัว
แต่จิตสว่างใสอยู่ตลอดเวลา ที่ขุ่นมัวเพราะอารมณ์กิเลสมันจรมาแค่นั้น
แต่ถ้ามนุษย์เรายังอดไม่ได้ยังยึดมั่นถือมั่น เราก็มีทุกข์ต่อ
ถ้าศิษย์ยังอดยึดมั่นถือมั่นศิษย์ยังไม่เข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูด
ทุกข์แรกยังดับไม่ได้ ศิษย์ก็จะมีทุกข์ต่อมาคือ กิเลสตามมา เวลาเจ็บ
มีชอบมีชังมีพบมีพรากทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักรังเกียจอิจฉา ใช่ไหม อาจารย์พูดจริงๆ
นะ ถ้าศิษย์ยังยึดตัวตน ยังไม่เข้าใจทุกข์ตรงนี้
ศิษย์ก็อดไม่ได้ที่จะสร้างตัวตนต่อขึ้นมาว่า หนูเป็นคนอย่างนี้ หนูนิสัยอย่างนี้
หนูชอบแบบนั้น หนูชอบแบบนี้ ทั้งๆ ที่ทุกข์มันจะจบแค่เกิดแก่เจ็บตาย มันจบไหม
(ไม่จบ) มันออกดอกออกผลต่อ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเมื่อไรที่เราหลงยึดตัวตน
แล้วสร้างตัวตนครอบงำตัวเข้าไปอีก เราก็จะก่อเกิดทุกข์ที่มากขึ้น
แล้วทุกข์มากขึ้นแค่นี้พอไหม (ไม่พอ)
เรายังสร้างทุกข์เพิ่มมาอีกคือ หาสามีมาก็มีทุกข์ต่อ
สามีเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แล้วสามีก็หนีไม่พ้นแก่เจ็บตาย
เมื่อไรที่มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะทุกข์แรก
และยังหลงยึดมั่นถือมั่นในตัวตนว่าเรามีอีก เราก็สร้างทุกข์ไม่จบสิ้น
วิธีจะแก้ทุกข์อันที่สองก็คือ ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ อันที่สามต้องรู้จักหยุดอยากเพื่อรู้พอ
ถ้าศิษย์อยากจะแก้ทุกข์ทีละเปราะ อันนี้ก็คือความอยากที่เพิ่มมาจากความมีตัวตน
เช่น อยากมีรถ มีบ้าน มีลูก มีสามี มีภรรยา
เมื่ออยากเข้ามาศิษย์ต้องรับทุกข์กับเขาด้วยไหม ศิษย์ต้องร่วมทุกข์กับเขาใช่ไหม
แล้วศิษย์จะแก้ทุกข์ได้อย่างไร วิธีแก้อย่างแรกก็คือ ใครที่ไม่มีอย่าเพิ่งมี เพราะมีแล้วจะมีทุกข์ แต่ถ้ามีแล้วก็ต้องยอมรับสภาพ เขาเป็นอย่างไรได้แค่ไหนก็แค่นั้น อย่าหวังอย่าขออย่าเรียกร้อง ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น แล้วจะทุกข์น้อยลง ถ้าอยากหยุดทุกข์อันนี้วิธีแก้ง่ายๆ คือ หยุดอยากหยุดหวัง อยากหยุดทุกข์ที่เป็นกิเลสความโลภความโกรธความหลง ก็ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ตนโดยรู้เท่าทัน อยากหยุดทุกข์ที่เรียกว่าทุกข์แห่งสังขารก็ต้องรู้จักไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือถ้าเรียกง่ายๆ อีกอย่างหนึ่งคือ อยากหยุดทุกข์ทั้งหลาย มีเหมือนไม่มี มีโดยไม่ยึด ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจหลักธรรมสิ่งที่ทุกข์ทั้งหลาย
มาจากตัวตนของเราตัวเดียว ถ้าพอได้หยุดได้วางได้เราเกิดมาเพียงแค่ยืมใช้
ถึงเวลายึดมั่นถือมั่นไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่มีสิ่งใดเป็นของเราสักอย่างเดียว
แล้วศิษย์จะแก้ทุกข์ได้อย่างไร วิธีแก้อย่างแรกก็คือ ใครที่ไม่มีอย่าเพิ่งมี เพราะมีแล้วจะมีทุกข์ แต่ถ้ามีแล้วก็ต้องยอมรับสภาพ เขาเป็นอย่างไรได้แค่ไหนก็แค่นั้น อย่าหวังอย่าขออย่าเรียกร้อง ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น แล้วจะทุกข์น้อยลง ถ้าอยากหยุดทุกข์อันนี้วิธีแก้ง่ายๆ คือ หยุดอยากหยุดหวัง อยากหยุดทุกข์ที่เป็นกิเลสความโลภความโกรธความหลง ก็ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ตนโดยรู้เท่าทัน อยากหยุดทุกข์ที่เรียกว่าทุกข์แห่งสังขารก็ต้องรู้จักไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือถ้าเรียกง่ายๆ อีกอย่างหนึ่งคือ อยากหยุดทุกข์ทั้งหลาย มีเหมือนไม่มี มีโดยไม่ยึด ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจหลักธรรมสิ่งที่ทุกข์ทั้งหลาย
มาจากตัวตนของเราตัวเดียว ถ้าพอได้หยุดได้วางได้เราเกิดมาเพียงแค่ยืมใช้
ถึงเวลายึดมั่นถือมั่นไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่มีสิ่งใดเป็นของเราสักอย่างเดียว
ฉะนั้นทำให้ดีที่สุด อะไรจะเกิดก็แค่ก้มหน้ายอมรับ
มันจะแก่ก็ปล่อยให้แก่ไป ตอนนี้แต่งงานมาแล้วเขาจะไม่รักเราก็ต้องปล่อยไป
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุปัจจัย วันนี้รักวันนี้ชังมันไม่แน่นอน
ถ้าศิษย์เข้าใจธรรม
ศิษย์ก็จะดับทุกข์ทั้งมวลในโลกได้ แต่ถ้าศิษย์ไม่เข้าใจธรรมและยังหลง
ยึดมั่นถือมั่น ศิษย์ก็จะทุกข์ตั้งแต่เกิดจนตาย และก็เวียนว่ายไม่จบสิ้น
เราอยู่เพื่อเรียนรู้ และปล่อยวาง ไม่ใช่อยู่เพื่อทุกข์แล้วทุกข์อีกนะศิษย์เอ๋ย
ศิษย์ก็จะดับทุกข์ทั้งมวลในโลกได้ แต่ถ้าศิษย์ไม่เข้าใจธรรมและยังหลง
ยึดมั่นถือมั่น ศิษย์ก็จะทุกข์ตั้งแต่เกิดจนตาย และก็เวียนว่ายไม่จบสิ้น
เราอยู่เพื่อเรียนรู้ และปล่อยวาง ไม่ใช่อยู่เพื่อทุกข์แล้วทุกข์อีกนะศิษย์เอ๋ย
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
“5 ก้าว”)
การศึกษาหลักธรรมสิ่งเดียวที่อาจารย์ขอย้ำคือ
ศึกษาหลักสัจธรรมไม่งมงาย ศิษย์หลายคนที่ปฏิบัติธรรมไปแล้วชอบคิดไปเอง
หรือประสาทหลอน ชอบอุตริคิดว่าตนเองมีองค์ มีเจ้า
ไม่เอานะอย่างนี้ไม่ใช่หลักการปฏิบัติธรรม
และก็ไม่ให้ศิษย์ศึกษาธรรมแล้วงมงายในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ขอเลข ดูหวย ขูดต้นไม้
อันนี้ไม่ใช่หลักธรรมที่แท้จริง การศึกษาธรรมคือเน้นสัจจะความเป็นจริง
ปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ไม่ใช่ปฏิบัติจมงมงาย อยู่กับความหลงตนเองไม่ถูกต้อง
ฉะนั้นศึกษาหลักธรรมขอให้ก้าวทั้งห้าก้าวนี้ในปีห้าเก้า
เป็นปีที่ศิษย์ก้าวด้วยความเข้าใจ และประจักษ์มรรคผลที่แท้จริง
ต่อไปนี้ต้องแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีและเจริญรอยสิ่งที่ดีงามให้อยู่กับตัวเองอย่างมั่นคง
ได้ไหม (ได้) สิ่งไหนที่ผิดพลาด แก้ไขใหม่
จะเป็นคนใจเย็น
ไม่ขี้บ่น ไม่กินเหล้า ไม่เมายา ไม่โกหก ใครที่อยากแก้ไขเปลี่ยนแปลงสิ่งที่
ไม่ดี ก็ให้อาจารย์ แล้วอาจารย์จะให้ผลไม้กลับไป
ไม่ขี้บ่น ไม่กินเหล้า ไม่เมายา ไม่โกหก ใครที่อยากแก้ไขเปลี่ยนแปลงสิ่งที่
ไม่ดี ก็ให้อาจารย์ แล้วอาจารย์จะให้ผลไม้กลับไป
(จะรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่) ถ้าทุกคนปฏิบัติหน้าที่ของตนเองได้
ไม่บกพร่อง ทำได้ดีและทำให้ถึงที่สุด (เราจะรักษาแม่และดูแลแม่ให้สุดจิตสุดใจ) รักแม่แล้วก็อย่าลืมมีน้ำใจให้กับคนรอบข้างด้วย (ไม่ขี้บ่น,
จะช่วยเหลืองานพ่อแม่) อย่ามัวแต่เที่ยว (ไม่บ่นสามี,ไม่ใจร้อน,จะอยู่กับพ่อแม่) อยู่กับท่านแล้วได้ดูแลท่านไหม พูดด้วยความสุภาพอ่อนน้อม
อย่ามัวแต่เล่นหวย (ดูแลลูกให้ดี) ถ้าแม่ไม่รู้จักดูแลพ่อแม่ให้ดีๆ ลูกก็จะเลียนแบบตาม การจะดูแลลูกก็แค่ดูแลได้ชั่วขณะเท่านั้น เมื่อถึงเวลาเขาก็เป็นไปตามทางของเขา รักลูกเราเป็นก็ต้องรักลูกคนอื่นเป็นด้วย ถึงจะเรียกว่าจิตใจที่ดี (จะรักพ่อแม่ให้มากที่สุด)
ไม่บกพร่อง ทำได้ดีและทำให้ถึงที่สุด (เราจะรักษาแม่และดูแลแม่ให้สุดจิตสุดใจ) รักแม่แล้วก็อย่าลืมมีน้ำใจให้กับคนรอบข้างด้วย (ไม่ขี้บ่น,
จะช่วยเหลืองานพ่อแม่) อย่ามัวแต่เที่ยว (ไม่บ่นสามี,ไม่ใจร้อน,จะอยู่กับพ่อแม่) อยู่กับท่านแล้วได้ดูแลท่านไหม พูดด้วยความสุภาพอ่อนน้อม
อย่ามัวแต่เล่นหวย (ดูแลลูกให้ดี) ถ้าแม่ไม่รู้จักดูแลพ่อแม่ให้ดีๆ ลูกก็จะเลียนแบบตาม การจะดูแลลูกก็แค่ดูแลได้ชั่วขณะเท่านั้น เมื่อถึงเวลาเขาก็เป็นไปตามทางของเขา รักลูกเราเป็นก็ต้องรักลูกคนอื่นเป็นด้วย ถึงจะเรียกว่าจิตใจที่ดี (จะรักพ่อแม่ให้มากที่สุด)
(อยากทำดีเพื่อแม่)
แล้วมีโอกาสได้ทำไหม (มี)
ต่อไปต้องทำบ่อยๆ แล้วจะเอาส้มนี้ไปให้ใคร (ให้แม่) นึกว่าจะกินเองนะ
(จะดูแลพ่อแม่ให้มากกว่านี้) อย่างนั้นส้มลูกเดียวพอไหม (พอ)
อย่ามัวแต่ให้ความรู้อยู่ในกระดาษ
สิ่งสำคัญอยู่ที่เราคิดได้หรือไม่ได้ รู้ไปมากประโยชน์
ถึงเวลาถ้าเราคิดไม่ได้ทำไม่ได้ความรู้ก็เป็นได้แค่ความรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(จะไม่อารมณ์ร้อน ใจร้อน จะเป็นคนดี) อย่างนั้นเอาอารมณ์ร้อนมาให้อาจารย์
แล้วต่อไปจะเป็นคนใจเย็น ถ้าโดนต่อยก็ (ไม่สู้)
จำไว้นะศิษย์ เวรย่อมระงับด้วยคำว่าไม่จองเวร ใช่ไหม (ใช่)
(จะเชื่อฟังพ่อแม่)
จะเป็นเด็กดีรู้จักปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์
(ดูแลแม่)
ดูแลจริงๆ ไหม ไม่ใช่เอาแต่ดู เอาแต่แล ไม่พอนะ ต้อง
ลงมือกระทำปฏิบัติจริงด้วยนะ
ลงมือกระทำปฏิบัติจริงด้วยนะ
(ดูแลพี่สาวให้ดี จะไม่บ่นไม่ว่า) ถ้อยทีถ้อยอาศัย เขาเป็นอย่างไรก็ต้องอดทน
เพราะถ้าไม่มีกรรมเกี่ยวกันมาก็คงไม่ต้องมาเจอกัน ไม่ต้องมาดูแลกัน
ฉะนั้นอดทนอดกลั้นไว้นะ ให้ความรักความเข้าใจกันให้มากที่สุด
(ไม่เถียงพ่อแม่)
แปลว่าแต่ก่อนเถียงเยอะ ใช่ไหม ฉะนั้นตอนนี้ต้องรู้จักนิ่งเงียบแล้วก็เข้าใจ
อย่าอดกลั้นเพราะเดี๋ยวมันจะแตกได้
(ปกติเป็นคนใจร้อน ต่อไปจะเป็นคนใจเย็น) ศิษย์เอ๋ยไปอยู่ที่ไหน ใครๆ ก็ชอบแต่คนใจเย็น
ด่าอย่างไรก็ยิ้ม ด่าอย่างไรก็เย็น ด่าอย่างไรก็เงียบ ทำให้ได้นะ
เพราะว่าโทษของคนที่มักโกรธ และชอบโกรธเป็นหลัก สิ่งที่
น่ากลัวที่สุดก็คือ นรกอเวจี ไฟยังไม่ทันจุดในนรก แต่เราก็จุดไฟเผาใจเราก่อนแล้ว ถูกหรือไม่
น่ากลัวที่สุดก็คือ นรกอเวจี ไฟยังไม่ทันจุดในนรก แต่เราก็จุดไฟเผาใจเราก่อนแล้ว ถูกหรือไม่
ศิษย์เอ๋ยอยู่บนโลกนี้ขอให้เริ่มต้นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม
ถ้าเราทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม แม้วันนี้จะต้องตายเราก็จะไม่เสียดาย
ทำไมอาจารย์ถึงอยากเรียกร้องให้ศิษย์ทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง ทำแต่สิ่งที่ดีงาม
เพราะคุณงามความดี
จะติดตามเราไปไม่ว่าชาติไหนๆ ไม่ว่าภพไหนชาติไหนความดีก็ไม่ทอดทิ้งคนดีอยู่แล้ว แต่กลัวอย่างเดียวกลัวคนดีของอาจารย์จะท้อแล้วถอย
เหนื่อยแล้วหน่าย เมื่อมุ่งมั่นที่จะทำก็ต้องทำให้ถึงที่สุด เมื่อไปก็ต้องไปให้ดีที่สุด สังขารร่างกายไม่ใช่ของแท้ แต่จิตที่งดงามมั่นคงในความดีนั่นคือของแท้จริง สังขารจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เอาจิตไว้ก่อน จิตเราต้องดี ต้องประเสริฐ ต้องบริสุทธิ์ ใครจะคิดอย่างไรไม่สน เราทำได้ดีได้ถูกต้อง เราทำได้บริสุทธิ์ก็ดีแล้ว กายเจ็บป่วยก็เป็นธรรมดาของสังขาร ไม่ใช่มีเพื่อให้เราทุกข์ทน มีเพื่อเรียนรู้ปลดปลงและปล่อยวาง มีเพื่อไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น
มีเพื่อให้เราปลดปลงปล่อยวาง เอาแต่ความดีความงดงามไปดีกว่า อย่าเอาแต่นิสัยกิเลสอารมณ์ กิเลสอารมณ์และนิสัยเป็นทางมาแห่งอกุศลและบาปทั้งมวล
จะติดตามเราไปไม่ว่าชาติไหนๆ ไม่ว่าภพไหนชาติไหนความดีก็ไม่ทอดทิ้งคนดีอยู่แล้ว แต่กลัวอย่างเดียวกลัวคนดีของอาจารย์จะท้อแล้วถอย
เหนื่อยแล้วหน่าย เมื่อมุ่งมั่นที่จะทำก็ต้องทำให้ถึงที่สุด เมื่อไปก็ต้องไปให้ดีที่สุด สังขารร่างกายไม่ใช่ของแท้ แต่จิตที่งดงามมั่นคงในความดีนั่นคือของแท้จริง สังขารจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เอาจิตไว้ก่อน จิตเราต้องดี ต้องประเสริฐ ต้องบริสุทธิ์ ใครจะคิดอย่างไรไม่สน เราทำได้ดีได้ถูกต้อง เราทำได้บริสุทธิ์ก็ดีแล้ว กายเจ็บป่วยก็เป็นธรรมดาของสังขาร ไม่ใช่มีเพื่อให้เราทุกข์ทน มีเพื่อเรียนรู้ปลดปลงและปล่อยวาง มีเพื่อไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น
มีเพื่อให้เราปลดปลงปล่อยวาง เอาแต่ความดีความงดงามไปดีกว่า อย่าเอาแต่นิสัยกิเลสอารมณ์ กิเลสอารมณ์และนิสัยเป็นทางมาแห่งอกุศลและบาปทั้งมวล
ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์จงมุ่งมั่นให้ถึงที่สุด
เจออะไรก็ไม่ย่อท้อได้ไหม (ได้)
ทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามกอปรไปด้วยบุญกุศล
เพื่อนำพากลับคืนเบื้องบนที่ไม่มีตัวตนให้ยึดติด
เพราะถ้ายังยึดมั่นถือมั่นในตัวตนนี้ก็ยังเป็นการสร้างเหตุแห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น
สวยที่สุดยังไงก็ยังมีวันเหี่ยว หล่อที่สุดยังไง
ก็มีวันแก่ รวยที่สุดยังไงก็ต้องมีวันตาย ฉะนั้นหากันไปแทบ ตายแย่งกันไปแทบตาย ถึงที่สุดแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้ ไม่สู้ความดีงาม อาจารย์ขอให้ศิษย์เห็นคุณธรรมความดีงามสำคัญกว่าปากท้องได้ไหม (ได้)
ก็มีวันแก่ รวยที่สุดยังไงก็ต้องมีวันตาย ฉะนั้นหากันไปแทบ ตายแย่งกันไปแทบตาย ถึงที่สุดแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้ ไม่สู้ความดีงาม อาจารย์ขอให้ศิษย์เห็นคุณธรรมความดีงามสำคัญกว่าปากท้องได้ไหม (ได้)
ถ้ามีโอกาสกลับมาผูกบุญกับอาจารย์อีก
แต่การผูกบุญกับอาจารย์คือผูกบุญในหลักสัจธรรมความจริง
ไม่ใช่ผูกบุญกับการเข้าร่างทรง เพราะถึงที่สุดแล้วการยืมร่างเข้าทรงก็ไม่ใช่ของแท้
สิ่งที่แท้จริงคือหลักสัจธรรมอันจะนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ ทุกข์ไม่น่ากลัว
หากแต่คนที่ไม่สู้ทุกข์นั้น
น่ากลัวกว่า ทุกข์ไม่เจ็บปวด แต่คนไม่ยอมรับทุกข์นั้นเจ็บยิ่งนัก ฉะนั้นลองหันมาแล้วดูว่าทุกข์นั้นน่ากลัวไหม ไม่น่ากลัว ถ้ารู้และเข้าใจก็พ้นทุกข์
แต่หนีทุกข์ไม่สู้ทุกข์ เรานั่นแหละคือผู้ทุกข์ที่สุด ลุกขึ้นสู้ตั้งใจบำเพ็ญ ทำแต่สิ่งที่ดีงาม
น่ากลัวกว่า ทุกข์ไม่เจ็บปวด แต่คนไม่ยอมรับทุกข์นั้นเจ็บยิ่งนัก ฉะนั้นลองหันมาแล้วดูว่าทุกข์นั้นน่ากลัวไหม ไม่น่ากลัว ถ้ารู้และเข้าใจก็พ้นทุกข์
แต่หนีทุกข์ไม่สู้ทุกข์ เรานั่นแหละคือผู้ทุกข์ที่สุด ลุกขึ้นสู้ตั้งใจบำเพ็ญ ทำแต่สิ่งที่ดีงาม
(พระอาจารย์เมตตาพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “5
ก้าว”)
ท่านได้เมตตาว่า 5 ก้าว (แห่งการประจักษ์มรรคผล)
ก้าวที่ ๑ ศรัทธาตาม ปัญญานำ
ก้าวที่ ๒ ศึกษาหลักธรรม ไม่งมงาย
ก้าวที่ ๓ บำเพ็ญธรรม ปฏิบัติจริง
ก้าวที่ ๔ สร้างคุณธรรม ก้าวข้ามอุปสรรคหมื่นพันมารทดสอบ
ก้าวที่ ๕ บรรลุ ประจักษ์มรรคผล
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท " 5 ก้าว "
ศรัทธาตาม ปัญญานำ
ศึกษาหลักธรรม ไม่งมงาย
บำเพ็ญธรรม ปฏิบัติจริง
สร้างคุณธรรม ก้าวข้ามอุปสรรคหมื่นพันมารทดสอบ
บรรลุ ประจักษ์มรรคผล
พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาท
สถานธรรมหมิงเฉิง จ.ตาก วันที่ ๒ – ๓ มกราคม ๒๕๕๙
เพลงพระโอวาทหน้า ๑๒ ย่อหน้า ๒ และย่อหน้าสุดท้าย
เดิม ศิษย์ต้องลงแรงตั้งแต่วันนี้
แก้ไขเป็น ศิษย์ต้องลงแรงหน่อยงานนี้
เดิม โอกาสสูญเสียไป
แก้ไขเป็น โอกาสสูญสิ้นไป
สถานธรรมฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น วันที่ ๒๒ – ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๘
เมตตาประทานทำนองเพลง: น้ำฝนเดือนเจ็ด
เพลงพระโอวาท ย่อหน้าที่ ๒
เดิม ทุกข์ว่าด้วยเงินหรือทอง
ทุกข์คอยสนองตัวเอง
แก้ไขเป็น ทุกข์ว่าด้วยเงินหรือทอง
ทุกข์คอยสนองตัวการ
เพลงพระโอวาท ย่อหน้าที่ ๓
เดิม ศิษย์เอยตื่นรู้ด้วยเห็นและเข้าใจแจ้งในธรรมา
แก้ไขเป็น ศิษย์เอยตื่นรู้ด้วยเห็นและเข้าถึงหัวใจแจ้งในธรรมา
เพลงพระโอวาท ย่อหน้าสุดท้าย
เดิม แล้วมีพลังเปลี่ยนความคิด
ไม่ท้อใจที่เหนื่อยเพราะหวัง
แก้ไขเป็น แล้วมีพลังเปลี่ยนความคิด ไม่ยอมท้อใจที่เหนื่อยเพราะหวัง


