แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 2558 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 2558 แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2559

2559-01-16 สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี

西元二一六年 歲次乙未十二月初七日          仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙           สถานธรรมเจิ้งซิน  จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

  ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม        กอปรศีลธรรมใฝ่ดีปฏิบัติชอบ
รู้ควบคุมอารมณ์กิเลสเข้าล้อมกรอบ     มีสติความรอบคอบตลอดเวลา
           เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ        รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่แดนโลก แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                         ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  การบำเพ็ญในวันนี้เวลานี้              ใช่แค่ทำความดียากหลุดพ้น
อยู่ใกล้แล้วใกล้อีกกลับฉงน              ทางย่อย่นคนกลับไม่สมพงศ์
เศษเสี้ยวงมงายนำศรัทธาก่อปัญหา      ศรัทธาแต่ไม่ศึกษาตามกันหลง
ขาดหลักธรรมหลักปัญญายากธำรง     หยุดความหลงอย่าปล่อยให้คุกคาม
ศึกษาธรรมบำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรมไหม     จำนรรจ์[1]ให้ธรรมเกินจริงก้าวบุ่มบ่าม
แพร่ขยายธรรมคุณสร้างคนข้าม         จงก้าวข้ามมวลอุปสรรคด้วยปัญญา
แม้หมู่มารพันหมื่นที่รายล้อม             ผลิดอกทดสอบออกผลอุบลกล้า
หนทางบรรลุประจักษ์มรรคเบื้องหน้า   ก้าวทั้งห้าเป็นหลักชัยมงคล
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า                อย่าให้ก้าวสำคัญนั้นตกหล่น
อวิชชาทำให้จิตมืดมน                    พึงขุดรากถอนโคนความงมงาย
ฮา  ฮา  หยุด
[1] จำนรรจ์           เจรจา, พูด, กล่าว


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

ชีวิตนี้สั้นนัก ดูเหมือนจะยืดยาว แต่เราไม่รู้ว่าจะจบลงที่ตรงไหน ทำไมเราไม่เลือกคิดในสิ่งที่ทำให้เราอยู่อย่างคนที่มีความสุข ทำไมเราชอบคิดในสิ่งที่ทำให้เราอยู่อย่างคนที่มีแต่ความทุกข์ ถ้าเราคิดว่าชีวิตนี้สั้น เราคงไม่ใฝ่ร้ายและไม่ใฝ่หาความทุกข์มากกว่า ตอนนี้ทุกข์หรือสุข ถ้าเรารู้ว่าชีวิตนี้เกิดมาล้วนเต็มไปด้วยความทุกข์ แก่ เจ็บและป่วยก็เกิดความทุกข์ แล้วทำไมเราจึงไม่รู้จักสรรค์สร้างความสุขให้กับชีวิต ถ้าคิดแล้วเป็นทุกข์ควรจะคิดไหม (ไม่ควรคิด)
มนุษย์มักจะพูดว่าอยู่ด้วยกันต้องมีเมตตาต่อกัน อย่าเบียดเบียนกัน ถ้าเราอยากอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เราก็ต้องมีเมตตาต่อกัน ให้อภัยกัน เคารพและให้เกียรติกัน ไม่เบียดเบียนชิงชังกัน แต่บางครั้งคนที่เบียดเบียนทำร้ายตัวเรา บางทีไม่ใช่คนอื่นไกล แต่มาจากความคิดของเราเอง ที่คิด
ไม่ชอบ หงุดหงิด อารมณ์ก็ง่ายที่จะเป็นคนใจเย็นไม่ค่อยเป็น แต่ใจร้อนง่ายเหลือเกิน อย่างนี้ก็น่าเสียดาย เป็นคนที่ยิ้มไม่ค่อยออก แต่กลับเป็นคนที่หน้าบึ้งได้ง่าย เช่นนี้ก็ยากจะมีสุขใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์เราประเสริฐตรงที่มีปัญญาที่รู้จักคิดอ่าน และปัญญาที่สามารถแปรเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เป็นไปได้ดั่งใจเรา ฉะนั้นแม้อากาศร้อนหรืออากาศจะไม่เป็นใจ แต่ถ้าใจเรารู้สึกร่มเย็น ใจเราไม่เบียดเบียนทำร้ายเราก่อน อากาศก็ทำร้ายใจเราไม่ได้ ถ้าใจเราไม่รู้สึกรังเกียจอากาศ อากาศก็เข้ามาทำร้ายใจเราไม่ได้
เป็นคนดีในโลกยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่ยากแต่ไม่ค่อยยอมทำ หลายคนมักจะพูดว่า ทำดีในโลกนี้ยากเหลือเกิน แต่ก็มีบางคนบอกว่า ไม่ยากถ้าตั้งใจทำ ทำดีไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยาก เริ่มต้นด้วยการที่รู้จักยิ้ม แต่เวลาทำดีแล้วเช่นเรายิ้มแล้ว ใช่ว่าทุกคนจะยิ้มตอบ พอเราไม่ได้รับการยิ้มตอบ เราจะเลิกทำดีไหม จะเลิกยิ้มไหม โดยส่วนใหญ่ทำดีนั้นทำง่าย แต่ให้อดทนทำดีจนถึงที่สุดมักจะทำยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะโดยส่วนใหญ่มักทำดีแล้วหวังผลว่าต้องได้ดีตอบ เราถามท่านว่า ท่านเคยไหมในวันที่อารมณ์ไม่ดี เขาพูดเรื่องตลกเราก็ไม่ตลก เขายิ้มให้เราก็ยิ้มไม่ออก อยากยิ้มแต่ยิ้มไม่ออก เคยเป็นไหม (เคย)  ฉะนั้นมองกลับกัน บางทีตอนนี้เมื่อเรายิ้มให้กับเพื่อน แต่เพื่อนเขากำลังมีเรื่องไม่สบายใจ พูดไม่ออกยิ้มไม่ได้ การที่เขาไม่ยิ้มตอบ นั่นจะแปลว่าทำดีไม่ได้ดีหรือ (ไม่ใช่)
ฉะนั้นถ้าเรามองมุมกลับหรือมองมุมให้กระจ่าง เราก็จะเกิดความเข้าใจว่า บางครั้งการยิ้มให้ไปแล้วเจอคนไม่ยิ้มตอบก็เหมือนกับสภาวะที่เรากำลังจิตใจไม่ค่อยดี จิตใจแปรปรวน มีคนพูดตลกเราก็ไม่ขำ มีคนพูดให้เรายิ้มแต่เราก็ยิ้มไม่ออก เพราะตอนนี้ใจเรากำลังทุกข์ ฉะนั้นถ้าเราทำดีแล้วปรากฏอีกคนเขาไม่ดีตอบ ก็อย่าเพิ่งโกรธ เพราะเขาอาจจะมีเรื่องที่ทำให้เขาไม่สบายใจอยู่ก็เป็นได้ จริงหรือไม่ (จริง)
เราถามท่านว่า คนที่อยู่ในโลก มีใครไหมที่ไม่เคยโดนนินทา แม้แต่คนที่ทำดีที่สุด หรือคนที่ร้ายที่สุดก็ยังโดน (นินทา)  แม้แต่พระพุทธองค์ก็ยังโดน (นินทา)  ถ้าทำดีแล้วโดนคนว่านิดว่าหน่อยก็เป็น (ธรรมดา)  แล้วจะท้อใจไปทำไม มนุษย์จึงพูดว่า “ทำดีท้อได้ แต่อย่าถอย ล้มได้ ก็ต้องลุกขึ้นมาสู้ใหม่ได้”  รู้ไหมแม้ว่าคนเราจะอยู่ใกล้กัน แต่ก็ห่างไกลกันเป็นวา แม้ว่าห่างไกลกันเป็นวา ก็เหมือนอยู่ใกล้กัน นั่นเป็นเพราะอะไร (ความดี, จิตใจ)  อย่างเช่นเราเปรียบเทียบง่ายๆ ตอนนี้เรากับท่านอยู่ใกล้กันมากเลยใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าท่านคิดร้าย คิดชั่ว คิดอิจฉา คิดไม่ดี อยู่ใกล้กันก็เหมือนห่างไกลกันเป็นวา หรือแม้ว่าตอนนี้เราจะอยู่ฟากฝั่งหนึ่งของทะเล ฟากฝั่งหนึ่งของมหาสมุทร แต่ถ้าเรารักกัน เคารพกัน คิดถึงกัน ก็ทำให้เราเหมือนอยู่ใกล้ชิดกัน ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นจิตของมนุษย์จึงเป็นตัวบ่งบอกได้ว่า คนเราจะอยู่ใกล้กัน แล้วจะรักใคร่สนิทสนมกัน หรือแม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกัน จะเกลียดกันหรือรักกัน ก็ขึ้นอยู่ที่ใจของท่านคิดเช่นไร ถ้าเราปรารถนาดี ใฝ่ดี เรารักเขา เราเคารพเขา เราให้เกียรติเขา แม้จะอยู่ห่างไกลกันคนละคาบสมุทร แต่พอมาเจอหน้ากัน ก็เหมือนได้ชิดใกล้กัน แต่ถ้าเราเกลียดเขา ไม่ชอบเขา แม้อยู่ใกล้กันแค่คืบ ก็เหมือนอยู่ห่างไกลกัน จริงหรือไม่ (จริง)  มีคำกล่าวไว้ว่า
“ขอแค่รักกัน เคารพกัน ให้เกียรติกัน แม้จะอยู่ห่างไกลกันคนละคาบสมุทร ก็เหมือนอยู่ใกล้ชิดกัน ถ้าเกิดเราไม่รักกัน ไม่เคารพกัน ไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน แม้อยู่ใกล้ชิดกันขนาดไหน ก็เหมือนอยู่ห่างไกลกันนัก”
ฉะนั้นลองถามตัวเองว่า ที่เรารู้สึกไม่ชอบเขา ที่เรารู้สึกว่าอยู่ใกล้แล้วเหมือนอยู่ไกล เพราะใจเราไม่ชอบเขา แต่ทำไมอยู่ไกลกัน พอมาเจอหน้ากันทีไรก็ยังคิดถึงกัน เพราะเรารู้สึกดีกับเขาตลอดเวลา ถ้าเราอยากให้คนทุกคนบนโลกนี้รักกัน ก็ต้องเริ่มที่ใจเรา คิดกับเขาดีหรือคิดกับเขาร้าย ถ้าเราคิดกับเขาดี ไม่ว่าใกล้หรือไกลก็รักกัน แต่ถ้าคิดกับเขาร้าย แม้ว่าใกล้ชิดกันก็ไกลกันนัก ฉะนั้นเราอยากอยู่กันอย่างมิตร หรืออยากอยู่กันอย่างศัตรู เราอยากอยู่อย่างคนที่มีแต่คนรักเรา หรือมีแต่คนชัง (มีแต่คนรัก)  ฉะนั้นก่อนที่จะว่าคนอื่นว่าเขาทำเราชังน้ำหน้า ต้องถามใจเราก่อนว่าไปแอบชิงชังระแวงใครหรือเปล่า ถ้าใจเราไม่ระแวงใจเราไม่คิดร้ายไม่ชิงชัง ใครหรือที่
น่ารังเกียจ แต่กลัวใจเราต่างหากที่ชอบคิดร้าย ชอบระแวง ชอบชิงชัง
อยู่ใกล้จึงเหมือนห่างไกลกันนัก ตอนนี้ท่านกับเราอยู่ใกล้กันหรืออยู่ไกลกัน (ใกล้กัน)  เพราะอะไรจึงใกล้ เพราะรักกันใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ร่วมกันด้วยความรักความเมตตา ดีกว่าอยู่กันด้วยความเป็นศัตรูอาฆาตชิงชัง
อย่างนั้นเมื่อฟังจนถึงตอนนี้เราขอถามท่านต่อ ตอนนี้ท่านอยู่ใกล้พุทธะหรืออยู่ไกลพุทธะ ถ้าใจท่านมีพุทธะ พุทธะก็อยู่ที่ตัวท่าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนนี้ใจท่านมีมารหรือมีพุทธะ (มีพุทธะ)  แต่ถ้าท่านมีอารมณ์เกลียด อารมณ์เคืองแค้น อารมณ์ชิงชัง ใจท่านก็จะมีมารมากกว่ามีพุทธะ
มีคำกล่าวว่า การทำดีบางครั้งก็เหนื่อย บางครั้งก็ล้า เพราะโลกนี้คนมีหลายแบบ และเวลาทำก็ไม่ใช่ว่าจะได้ผลดีเสมอใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าทำดียังหวังผล แต่พุทธะกล่าวไว้ว่า “การทำดีมีค่าตรงที่ได้ทำดี”  การ
ทำดีทุกวันมีค่าตรงที่ได้ทำดีทุกวัน ท่านไม่ได้บอกว่าทำดีแล้วต้องหวังผลพระพุทธะไม่เคยสอนอย่างนั้น คนทำดีมีค่าตรงที่ความดีที่ทำและที่ได้ทำดี แต่ไม่เคยสอนว่าทำดีจงหวังผล และทองแท้ต้องไม่กลัวไฟหลอม คนดีจริงต้องไม่กลัวการถูกทดสอบ คนดีจริงถ้าตั้งใจทำดีแล้ว ย่อมไม่กลัวว่าผลนั้นจะออกมาเป็นเช่นไร ขอเพียงคิดดี ใฝ่ดี เจตนาดี ประสงค์ดี และถึงที่สุด
ถ้าทำดีแล้วต้องตายเพราะความดี ก็ยินดีที่ได้ทำ จึงจะเรียกว่าการเข้าถึงความดีที่แท้จริง แต่มนุษย์หาเป็นเช่นนั้นไม่ ทำดีมักจะหวังเรียกร้องผล
ทำดีหวังขอเจตจำนง ดีนั้นจึงเป็นดีที่ไม่ค่อยบริสุทธิ์ เหมือนเราถามท่าน
ถ้าสมมติวันนี้เราสวัสดีท่านเพื่อหวังให้ท่านสวัสดีตอบ อย่างนั้นแปลว่า
ทุกครั้งที่เราทำดีกับท่าน ก็เพื่อหวังให้ท่านทำดีตอบเราใช่ไหม (ไม่ใช่)
ถ้ามนุษย์อยากมีความสุขในโลก จงเข้าใจธรรมะอย่างหนึ่งว่า
“ถ้าอยากมีความสุขในโลก แล้วทำดีอย่างมีสุขไม่ต้องอมทุกข์ นั่นก็คือจงยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า แม้ว่ามันจะสั้นหรือยาวเกินไปก็ตาม”
  ฟังดูเข้าใจยากไหม (ไม่ยาก)  เข้าใจไหม (ไม่เข้าใจ)  ธรรมชาติมีบางอย่างก็เกินไป บางอย่างก็ขาดไป เหมือนกับมนุษย์ คนบางคนเกินไปไหม (เกิน)  คนบางคนขาดไปไหม (ขาด)  ฉะนั้นถ้าเราอยากมีความสุขก็จงยอมรับในธรรมชาติของคนบางคนที่เกิน บางคนที่ขาด แล้วเราจะไม่ทุกข์กับความเป็นคนของเขา แต่มนุษย์นั้นไม่ใช่ มนุษย์เป็นนักเรียกร้องตัวยง ได้หนึ่งต้องเอาสอง ได้สองต้องเอาสาม ได้สามต้องเอา (สี่)  พอไหม (ไม่พอ)  เอาอีกไหม (เอาอีก)  แล้วใครจะตามใจเราได้ ถ้าหากเราอยากอยู่อย่างมีความสุข และอยากอยู่ร่วมกับใคร แล้วก็ไม่มีความทุกข์ จงยอมรับธรรมชาติในตัวเขา แม้เขาจะขาดหรือเกินไปบ้าง เราก็จะไม่มีความทุกข์และไม่เกลียด เมื่อเราไม่เกลียด เราก็จะไม่เคืองแค้น เมื่อไม่เกลียดและไม่เคืองแค้น เราก็จะไม่ชิงชัง เมื่อไม่ชิงชัง เราก็จะไม่ก่อบาปก่อกรรม เมื่อเราไม่หลงรัก เราไม่ชอบ ก็ไม่มีใครทำให้เราหน้ามืดตามัว คิดผิดคิดร้าย เพราะเรามองเห็นทุกอย่างเป็นธรรมชาติ
ถ้ามนุษย์อยากมีความสุข เวลามองโลกอย่ามองเป็นเพียงแค่โลก แต่จงมองโลกนี้ให้เห็นซึ่งธรรม ถ้าเห็นแค่ดีร้าย เราก็พบแค่ดีร้าย แต่ถ้ามองเห็นว่า นั่นเป็นเรื่องธรรมดา นั่นก็เป็นเช่นนั้นเอง นั่นก็เรียกว่า
พบธรรมบนโลกใบนี้ แต่มนุษย์เรานั้นไม่ใช่ พอเห็นอะไรก็มักจะตัดสินว่าดี ว่าร้าย ว่าชอบ ว่ารังเกียจ ก็จะก่อเกิดเป็นอารมณ์ เมื่อเป็นอารมณ์ก็กลายเป็นกิเลส เมื่อเป็นกิเลสก็กลายเป็นกระแสแห่งทุกข์ วิบากกรรมและการเวียนว่าย แต่ถ้าเรามองเห็นว่า อะไรก็เป็นเช่นนั้น อะไรก็เป็นเรื่องธรรมดา เราก็จะกลายเป็นคนที่มองเห็นอะไรอย่างคนที่เข้าใจธรรมบนโลกใบนี้ อย่างที่เราบอก ถ้าเราเห็นเป็นสิ่งที่ร้าย อยู่ใกล้แค่ไหนก็เหมือนอยู่ไกลกัน แต่ถ้าเราเห็นเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่น่ารัก อยู่ไกลแค่ไหนก็เหมือนอยู่ใกล้
แต่อย่าลืมว่าในความดี ความร้ายนั้น ก็ยังมีส่วนหนึ่งที่ทำให้เราหนีไม่พ้นความเป็นโลกอยู่ ใฝ่ดีและคิดดีไว้ เป็นสิ่งที่ประเสริฐ เจตจำนงดีไว้เป็นสิ่งที่ดีงาม แต่เมื่อมองดีแล้ว ต้องก้าวต่อไป อย่าหยุดอยู่แค่ ดี ร้าย ได้ เสีย เพราะคำว่า “ธรรม”  ไม่ใช่อยู่เพียงแค่ยึดติดในความดีและเกลียดความร้าย แต่ธรรมะยังสอนว่า ในร้ายในดีนั้นก็คือความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ถ้าเรารู้จักปฏิบัติดี รู้จักปฏิบัติชอบ ก็จะเป็นการเริ่มต้นที่ถูกต้อง เหมือนที่คำโบราณกาลกล่าวไว้ว่า “ขึ้นชื่อว่าคน คนเป็นรากฐานของทุกสิ่ง และคนเป็นรากฐานของเหตุและผล”  ถ้าเราอยากได้ผลดี เราต้องสร้างเหตุที่ดี ถ้าเราอยากได้ผลที่ดีงาม เราต้องสร้างเหตุที่ (ดีงาม)
เราถามท่านว่า ตัวเราปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเคารพ สุภาพ คนอื่นก็ต้องปฏิบัติต่อเราด้วยการให้เกียรติและเคารพ ถ้าเราปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตา จริงใจ คนเขาก็ต้องปฏิบัติต่อเราด้วยความรักใคร่และเอ็นดู ถ้าตัวเราปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความขยันซื่อตรง คนเขาก็จะปฏิบัติต่อเราด้วยความไม่ดูถูกดูแคลน ถ้าตัวเราปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยการร่วมทุกข์ร่วมสุข
คนอื่นก็จะปฏิบัติต่อเราด้วยการไม่ทอดทิ้งเมินเฉย ใช่ไหม (ใช่)
อย่าคิดว่าทำอย่างไรแล้วต้องได้อย่างนั้น เป็นไปไม่ได้ ก่อนที่เราจะเรียกร้องคน อย่าลืมว่าเราเป็นผู้สร้างเหตุ แล้วผลนั้นจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับเราที่เป็นผู้สร้างเหตุ ไม่อยากให้ใครดูหมิ่น ไม่อยากให้ใครดูแคลน อยากให้คนเคารพให้เกียรติ ไม่อยากให้ใครรังเกียจเรา เราก็ต้องสร้างความสุภาพอ่อนน้อม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากให้ใครเขาเคารพรักเรา เราก็ต้องมีเมตตาจริงใจ ไม่อยากให้ใครดูถูกดูหมิ่นเรา เราก็ต้องขยันซื่อตรง ไม่อยากให้ใครทอดทิ้งเรา เราก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุข ทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล ตัวตนเป็นรากฐานของทุกๆ สิ่ง ถ้ารากถูกต้อง ผลของการเจริญเติบโตในการดำเนินชีวิตก็ย่อมงดงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่มนุษย์มักจะเอาแต่เรียกร้องผู้อื่นจนลืมเรียกร้องตนเอง การเอาแต่พึ่งพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยที่ไม่เรียกร้องตัวเองให้ทำก่อน ก็ห่างไกลเกินไป สู้เรียกร้องตัวเองให้ทำถูกต้อง ผลก็ไม่ต้องมานั่งแก้ตรงปลายเหตุ และสู้ทำตัวเองให้ถูกต้อง ก็ไม่ต้องไปไหว้วอนขอใคร เพราะตัวเราเป็นที่พึ่งของ
ตัวเราเองที่ประเสริฐที่สุด เหตุของปัญหาก็มาจากตัวเรา ฉะนั้นถ้าเราไม่สร้างเหตุที่ผิดพลาด เราจะต้องมานั่งแก้ผลที่เลวร้ายไหม และถ้าเกิดว่าแม้มีผลที่เลวร้าย แต่ถ้าเรารู้จักคิดดี คิดประเสริฐ คิดถูกต้อง ผลจากร้ายก็อาจจะกลายเป็นดีได้ ทุกสิ่งทุกอย่างอย่ามัวเอาแต่วอนขอผู้อื่น อย่ามัวแต่เรียกร้องผู้อื่น แต่ลืมเริ่มต้นทำที่ตัวเอง รอให้คนอื่นยิ้ม ไม่สู้เรารีบยิ้มให้เขาก่อนไม่ดีหรือ รอให้คนอื่นหยิบยื่นความสุข ไม่สู้ตัวเราหยิบยื่นความสุขให้กับตัวเราเองก่อนหรือ รอให้ผู้อื่นรักษาท่านให้แข็งแรง ไม่สู้พยายามทำตัวเองให้เข้มแข็ง กล้าหาญยอมรับโรคภัยไข้เจ็บ และสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ ให้ตัวเองกลับมาแข็งแรงไม่ดีกว่าหรือ
ฉะนั้นธรรมะไม่ได้สอนให้เอาแต่พึ่งพุทธะ แล้วลืมพึ่งพุทธะในตน แต่ธรรมะสอนให้รู้จักพึ่งตนเอง ปฏิบัติเริ่มต้นที่ตนเองก่อนที่จะไปกล่าวโทษว่าใคร และก่อนที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นทำให้เรามีสุข เราควรจะรักษาตนเองให้แข็งแรง เราถามท่านว่า ถึงแม้ได้น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์มาเก้าวัด แต่หากตัวเราเอาแต่คิดร้ายแล้วปฏิบัติไม่ดี เราจะแข็งแรงเราจะดีได้ไหม อยากให้พระทำให้เราร่มเย็นเป็นสุข ครอบครัวร่มเย็นผาสุก แต่ตัวเราเอาแต่คิดไม่ดี ครอบครัวจะร่มเย็นผาสุกได้ไหม
ฉะนั้นก่อนจะไปเรียกร้องใคร อย่าลืมเรียกร้องตน เพราะตัวเราเป็นรากฐานของทุกๆ สิ่ง ถ้ารากไม่ดีแล้วต้นจะเจริญเติบโตงอกงามได้เช่นไร ถ้ารากไม่มีคุณธรรมแล้ว การที่คนจะเลวร้ายก็ย่อมเป็นเรื่องง่าย มีคำกล่าวว่า การศึกษาทำให้คนเป็นคนดี แต่การอบรมบ่มเพาะคุณธรรมทำให้เป็นคนงดงาม ดีแล้วแต่ไม่งดงาม ดีนั้นก็ยังดูไม่ดี ฉลาดแล้วแต่ยังไม่ดีงาม ความฉลาดนั้นก็อาจก่อเกิดภัยได้ มนุษย์รู้จักเรียกร้องควบคุมคนอื่น แต่กลับควบคุมหัวใจตนเองไม่ได้ เช่นนี้ก็ดูผิดเสียนี่กระไร ฉะนั้นก่อนจะชี้หน้าว่าใครทำผิด ให้ถามตัวเองก่อนว่าถูกต้องไหม เราไม่เคยเห็นใครในโลกที่ตนเองไม่ซื่อตรงแล้ว สามารถทำให้คนอื่นซื่อตรงได้ และเราไม่เคยเห็นตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบันที่ตนเองยังไม่ได้ดีแล้วสอนคนอื่นได้ดีก็หาได้ยาก ฉะนั้นก่อนที่จะอบรมผู้อื่น ต้องอบรมใจตนเองก่อน ก่อนที่จะยับยั้งให้ผู้อื่นไม่ทำผิดคิดร้าย เราต้องรู้จักยับยั้งใจตนเองก่อน เพราะสิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์มากที่สุดก็คือคิดต่ำมากกว่าคิดสูง ใฝ่ร้ายใฝ่ต่ำ ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างต้องเริ่มต้นที่ใจเราก่อน อย่าเพิ่งไปเรียกร้องผู้อื่น ใจดีอะไรอะไรก็ดี แม้เขาด่าเราก็ยังยิ้มเพราะใจเราดี แม้เขาเคืองโกรธอย่างไร เราก็ยังยิ้มได้ ก็เพราะใจเราดี ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นที่ใจหาใช่ที่ผู้อื่น
การอบรมบ่มเพาะธรรมก็เฉกเช่นเดียวกัน ต้องอบรมบ่มเพาะที่ใจเราก่อน หาใช่ที่แค่เพียงภายนอก การกราบไหว้พระก็เท่านั้น ถ้าใจยังมี
พญามาร มีกิเลสตัณหา นั่นก็หาใช่พระที่แท้จริง ใจพุทธะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
ก็เป็นใจพุทธะ เมื่อมีใจพุทธะคนรอบข้างก็เป็นพุทธะ แต่ถ้าใจเราเป็นมาร ใจเราคิดร้าย คนรอบข้างก็เป็นมารผีร้าย มนุษย์มักจะพูดว่าผีเห็นผี แล้วทำไมเราไม่เป็นพุทธะเห็นพุทธะ อยากอยู่บนโลกเป็นผีไหม ต่อไปเปลี่ยนเป็นพุทธะเห็นพุทธะ ไม่ใช่ผีเห็นผี เริ่มต้นที่ใจ ขัดเกลาเปลี่ยนแปรที่ใจตนเองก่อน มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก

วันอาทิตย์ที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙        สถานธรรมเจิ้งซิน  จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  อยู่อย่างอยากหรืออยู่อย่างเข้าใจ      อยู่เพื่อให้หรืออยู่เพื่อร้องขอ
อยู่เพื่อชนหรือเพื่อตนที่ไม่พอ            เคยย้อนถามบ้างไหมหนอตนเช่นไร
        เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา      ลงสู่พุทธสถานเจิ้งซิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                 ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนสบายดีไหม

  อย่าทุกข์กับความไม่เที่ยงบนโลกนี้     รู้ปลดปลงวางใจนี้สงบเห็น
เกิดเพื่อดับมีหรือไร้ต่างชัดเจน           อยู่กับทุกข์จนทุกข์เป็นธรรมดาไป
ไม่มีใครไม่เคยทำผิดพลาด                อย่าฝังใจจนขลาดกลัวยากเริ่มใหม่
กล้าแก้ไขกล้ายอมรับสู้ต่อไป             เพียงรู้ให้โอกาสตนไม่ซ้ำรอย
เมื่อผิดแล้วอย่าซ้ำย้ำให้หมอง            เข้าใจคล้องอภัยต่างเห็นใจหน่อย
อย่ามัวแต่สงสารตนจนเหม่อลอย        ทิฐิคอยถือสากันยากร่มเย็น
บาปไม่ทำกรรมไม่สร้างกิเลสไม่ก่อ       คนรู้พอขยันไม่ท้อยากทุกข์เข็ญ
อยู่เพื่อยืมใช้แล้วคืนวางให้เป็น           อยู่เพื่อเย็นทำวันนี้จบแล้ววาง
ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ศิษย์หลายคนบอกว่า ฟังเรื่องทำความดี ทำบุญ บำเพ็ญธรรม
มามากมาย แต่ถามว่าทำดีทำอย่างไร บางทีก็ยังไม่รู้เลยว่าอะไรเรียกว่าทำดี ทำไปก็ยังโดนว่าไม่ดี บางทีไม่ได้ตั้งใจทำดี ก็กลับมาชมว่าดี ตกลงว่าทำดีคือต้องทำถูกต้อง ถูกใจคนทุกอย่าง ถูกใจทุกสิ่งถึงจะดีใช่ไหม (ไม่ใช่)  ก่อนที่เราจะเข้าถึงความดีเราต้องเข้าใจก่อนว่าความดีแปลว่าอะไร “ความดี” แปลว่า “การกระทำอะไรก็ตามที่ถูกต้องและดีงาม” จงเข้มแข็งกล้าหาญต่อการจะทำดี แต่จงขลาดกลัวต่อการจะทำชั่ว เพราะความชั่วร้ายมีพิษสงอันเผ็ดร้อน ให้ผลอันเจ็บปวด
ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนจงเลือกทำแต่สิ่งที่ดี อย่าทำชั่วเลย ยิ่งถ้าคนๆ นั้นเป็นคนที่มีมโนธรรมสำนึกในหัวใจ ถ้าเขาเผลอไปทำผิดมโนธรรมสำนึกตัวนี้เองจะเป็นแส้คอยตี และกระตุ้นเตือนใจให้รู้ว่าตัวเราผิดตัว เราไม่ดี ไม่มีสิ่งใดฟาดเราให้เจ็บปวดเท่ากับมโนธรรมสำนึกแห่งความถูกต้อง และความละอายเกรงกลัวต่อบาป ใครด่าเราที่ว่าเจ็บแค่ไหนก็ไม่เท่ากับเราด่าตัวเองว่าชั่วจริงๆ ถ้ารู้แล้วจงรีบแก้ไข อย่าปล่อยให้มโนธรรมสำนึกหายไปจากใจ ดีหรือชั่ว เวลาทำอะไรต้องมีสติยั้งคิด ถ้าขาดสติ จากดีก็จะกลายเป็นชั่วทันที แต่ถ้าเกิดว่าชั่วแล้วเรายังมีสติยั้งคิด ชั่วนั้นก็จะกลายเป็นดีได้ เหมือนตอนนี้เรากำลังจะโมโห จะด่า แต่ถ้าเรามีสติ ไม่ด่า ไม่โมโห ก็ได้ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเราไม่มีสติ ดีแล้วทำไปเถอะ เห็นไหมจากชมกลับกลายเป็นเราประชดเขาใช่ไหม เห็นใครดีเราน่าจะอนุโมทนาสาธุ เรากลับไม่ทำ แต่บางทีเราแอบกัดเขาเล็กๆ ถูกไหม (ไม่ถูก)  เราต้องยินดีในความดีนั้นด้วย เชื่อไหมว่าใครดีแล้วเราอนุโมทนาสาธุหรือยินดีในความดีนั้น ความดีนั้นก็จะก่อเกิดจากสิ่งธรรมดากลายเป็นบุญได้ แต่ถ้าเราเห็นใครร้ายแล้วเราด่าเขา ร้ายต่อเขากลับเราก็สร้างบาปร่วมกับเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอาจารย์จะบอกนะให้ศิษย์เอ๋ย วันๆ หนึ่งในทุกขณะเราสามารถทำดีได้ด้วย ทำบุญได้ด้วย แล้วสามารถสร้างกุศลได้ด้วย แล้วก็สามารถดำรงตนให้มีศีลธรรมและมีคุณธรรมงดงามได้ด้วยในหนึ่งขณะ ศิษย์ว่าทำได้ไหม (ได้)  ถ้าศิษย์เข้าใจตรงนี้ ศิษย์จะรู้เลยว่า การทำตัวเป็นคนดี และการบำเพ็ญปฏิบัติตน ปฏิบัติตนให้ประพฤติแต่ในสิ่งที่ดีงาม หรือเรียกว่าประพฤติธรรม ทำได้อย่างไร ข้อเสียของมนุษย์คือไม่ชอบพูดว่าตนเองไม่รู้ ชอบพูดว่าตนเองรู้อยู่ร่ำไป จึงกลายเป็นคนไม่รู้จริงสักที แล้วทำอย่างไรจึงจะเรียกว่าทำดี และสามารถทำบุญ เจริญกุศล รักษาศีล และคุณธรรมงดงาม ไม่ยากเลย ศิษย์มีอยู่ทุกวันทำได้ทุกวัน ง่ายๆ สมมติเดินเข้ามาก็สวัสดี แค่นี้เอง ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ให้ในสิ่งที่บริสุทธิ์ และงดงามโดยไม่หวังผล นั่นเรียกว่าบุญ ไม่หวังผลและไม่เรียกร้องผลกลับ นั่นเรียกว่ากุศล ทำด้วยเมตตาจิตไม่ร้องขอหรือเรียกร้อง นั่นคือเจริญในศีล และดำรง
จริยะอันงดงามนั่นคือคุณธรรม
ฉะนั้นไปไหนทักทาย สวัสดี สบายดีไหม ทำดีง่ายไหม แถมได้ให้ทานให้บุญด้วย บุญเป็นสิ่งที่ให้และออกมาจากใจด้วยความบริสุทธิ์ สิ่งที่ให้บริสุทธิ์ ให้แล้วขณะให้ก็มีสุข ก่อนให้ก็มีสุข หลังให้ก็มีสุข นี่แหละศิษย์เอ๋ย บุญง่ายๆ ทานง่ายๆ คุณธรรมง่ายๆ ศีลธรรมง่ายๆ ทำได้ง่าย แต่กลับไม่ทำ
การอ่อนน้อมถ่มตน ไม่มีใครรัก ทำอะไรไปก็มีแต่เกะกะเหมือนอันธพาล ศิษย์อยากได้แบบแรกหรือแบบสอง (แบบแรก)  แล้วศิษย์ทำแบบไหน พอเราทำบ่อยๆ เขาก็ให้เราเป็นคนที่มีคุณธรรมอย่างหนึ่งคือ เด็กคนนี้น่ารัก รู้จักอ่อนน้อมและสุภาพ พูดอะไรก็ครับ ก็ค่ะ การทำดีบ่อยๆ คุณธรรมก็งอกเงย รู้จักให้บ่อยๆ ใจเราจะได้บริสุทธิ์ ยากไหมศิษย์ (ไม่ยาก)  แล้วก็แผ่ขยายออกไป เราสามารถทำได้ทุกวัน ทุกที่ ไม่ต้องมาเข้าห้องพระหรือไปวัด ถึงจะมีโอกาสได้ทำบุญทำทาน ทำได้ทุกที่ ทั้งเจริญบุญ เจริญกุศล รักษาศีล กอปรคุณงาม เป็นคนดี ถ้าทุกคนรักษาความเป็นคนของตัวเองในทุกหน้าที่ได้ดีงามและสมบูรณ์ จะมีอันธพาลครองโลกไหม (ไม่มี)  แต่คนสมัยนี้ เด็กไม่รู้จักเด็ก ไม่รู้จักความอ่อนน้อมถ่อมตัว เป็นผู้ใหญ่ไม่รู้จักมีความเมตตา เมื่ออยู่กับเพื่อนก็ไม่รู้จักความซื่อสัตย์ อยู่กับภรรยาไม่ซื่อตรง (ใช่) อยู่กับสามีแอบมีกิ๊ก ใช่ไหม (ไม่ใช่) 
วันนี้มาร่วมบุญร่วมกุศลกันใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่ยื่นให้ทุกคนต้องยื่นให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ให้โดยไม่หวังผล ก่อนให้ก็บริสุทธิ์ ขณะให้ก็บริสุทธิ์ หลังให้ก็บริสุทธิ์ใจ แล้วคนที่รับบริสุทธิ์ไหม (ไม่บริสุทธิ์) ถ้าคนรับบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ บุญที่ร่วมกันสร้างก็เป็นมหาบุญที่ยิ่งใหญ่ เวลาศิษย์ทำบุญศิษย์ยังอยากทำบุญกับพระ เพราะคิดว่าพระอยู่ในศีลในธรรม บุญที่ให้จะได้เป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ อย่างที่วันนี้เรามาฟังธรรมสองวัน เขาให้ธรรมะที่บริสุทธิ์แก่เรา และถ้าเราสามารถรักษาศีลได้บริสุทธิ์ แปลว่าเราก็สามารถเปิดโอกาสให้เขาทำทานได้สูงส่ง  ศิษย์อย่าคิดว่ามาปฏิบัติธรรมมาช่วยเขาเป็นเพียงการมาทำหน้าที่ ถ้าคิดแค่นี้ก็น่าเสียดาย ศิษย์ต้องคิดว่าเราได้มาร่วมบุญที่ยิ่งใหญ่ด้วยการที่ก่อนให้เราก็มีจิตบริสุทธิ์ ขณะให้เราก็บริสุทธิ์ หลังจากให้ก็รู้สึกไม่เหนื่อยไม่เพลียไม่ลำบาก มีความสุขมากๆ บุญที่ให้ก็จะเป็นบุญที่บริสุทธิ์และเต็มอิ่ม โดยที่เราไม่ได้หวังผลอะไร ทำไมทำดีจึงไม่ทำให้ถึงที่สุด ถ้าเราทำอีกนิดเดียวก็จะกลายเป็นบุญใหญ่และงดงาม จากบุญก็กลายเป็นกุศล ทำไมเราจึงไม่เอา
ถ้าไม่อยากเดือดร้อนภายหลัง เมื่อเราอยู่ในโลกใบนี้นะศิษย์ อย่าคิดว่าตัวเองรอดแค่คนเดียว คนอื่นช่างหัว ไม่ใช่นะ ถ้าเราปล่อยให้คนอื่นเดือดร้อน คนที่เดือดร้อนก็จะมาก่อความวุ่นวายให้กับคนที่ไม่สนใจเขา อย่าคิดว่าเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา ถ้าเขาไม่รอด เขาก็ต้องพยายามทำให้เราไม่รอดด้วย ถ้าเขาแย่เขาก็ต้องพยายามทำให้ศิษย์แย่ด้วย ฉะนั้นอย่าคิดเพียงว่าอยู่ในสังคมแค่เป็นคนดี ไม่ต้องช่วยเหลือใคร ก็ปลอดภัย นั่นไม่จริงนะ เมื่อเป็นคนดีเราต้องมีน้ำใจช่วยเหลือ เพราะถึงเวลาที่เขาทุกข์ยาก เขาจะได้จำไว้ว่า คนนี้เคยช่วยเขา ดีกว่าคนนี้ตอนที่เขาได้ดี แต่ไม่เคยดูดำดูดี น้ำใจอย่าได้ขาดแคลน อย่ามัวแต่แค่มีน้ำใจกับเพียงญาติมิตร แต่ถึงเพื่อนบ้านใกล้เคียงกลับไม่มี อย่ามัวแต่มีน้ำใจกับลูกหลานแดนไกล แต่ลูกหลานใกล้ตัวกับดูถูกดูแคลน ศิษย์มักจะเป็นกันอย่างนี้
เราพูดกันเรื่องการศึกษาธรรม สิ่งที่สำคัญเราต้องเริ่มต้นทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงามก่อน การทำความดีคือการกระทำสิ่งที่ถูกต้องงดงาม ซึ่งเราสามารถทำได้ง่ายๆ อย่างเช่น สวัสดี ถ้าหากว่าเจอเด็ก เราก็ทักทาย เพราะว่าเด็กมีความน้อยใจเป็นอันดับหนึ่ง แต่ถ้าผู้ใหญ่อย่างเรายังให้ความสำคัญและไม่ทอดทิ้ง ยังให้ความสำคัญทักทายกันแบบไม่ดูแคลนการมีสัมมาคารวะ นั่นจึงเป็นการเริ่มต้นการทำดีอย่างง่ายๆ ที่ศิษย์สามารถทำได้ทุกที่ และเป็นเหมือนประตูชัย ที่เราสามารถเปิดใจของคน ให้เราสามารถเดินเข้าไปอยู่กับเขาอย่างใกล้ชิด รู้จักหรือไม่รู้จักก็เดินเข้าไปสวัสดี ผู้ใหญ่เห็นก็เอ็นดู แล้วเราทำกันไหม (ทำ)  ต่อไปก็เริ่มทำ แล้วทำดีทำอย่างไรได้อีก เราต้องมีความกตัญญู ทำหน้าที่ของลูกให้ดี พ่อแม่อยากให้ช่วยอะไรก็ทำ พอทำเสร็จก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง แล้วค่อยออกไปเที่ยวเล่น ง่ายไหมศิษย์
และถ้าวันหนึ่งศิษย์ไม่ได้อยู่กับท่าน คำว่าปฏิบัติต่อพ่อแม่ด้วยความเคารพ ดูแลท่านให้อย่างสุดจิตสุดใจ วันหนึ่งเราต้องออกจากบ้านไปก็บอกท่านเมื่อกลับมาก็รายงานให้ท่านรู้ ถึงเวลาไม่มีโอกาสเจอหน้า หมั่นโทรบ่อยๆ เพราะอย่างน้อยพ่อแม่ก็เป็นห่วงลูก และพรใดก็ไม่ประเสริฐเท่ากับคำอวยพรของพ่อแม่ ฉะนั้นพรของพ่อแม่ประเสริฐที่สุด ฉะนั้นไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไรก็ให้คิดดีเข้าไว้อย่าได้คิดต่ำ อย่าได้คิดร้าย เพราะพรของพ่อแม่ศักดิ์สิทธิ์ ต้องคิดแต่ในทางที่ดี เช่น ให้ลูกเจริญๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ขอให้โชคดีมีชัย เพราะปากพ่อแม่ศักดิ์สิทธิ์นัก ถ้าพ่อแม่แช่งเตรียมรับได้เลย เมื่อใดที่เราทำครอบครัวให้อบอุ่น จิตใจเราก็อบอุ่น เมื่อเราสามารถทำให้ครอบครัวมีสุข ใจเราก็อิ่มเอม ถ้าเราอยากทำดีแต่ว่าตอนนี้อยู่กับเพื่อนนี่ เธอเราได้แอปเปิลมาลูกหนึ่ง ถ้าเราให้เธอกินลูกหนึ่งพอไหม มีอะไรก็ซื่อตรงจริงใจกับเพื่อน เราอยากให้เพื่อนปฏิบัติกับเราอย่างไร เราก็จงปฏิบัติเช่นนั้นกับเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพื่อนกันต้องตักเตือนกัน ไม่ใช่เขาชี้นำให้ชั่วเราก็ชั่ว ชี้นำให้ผิดเราก็ผิด เพื่อนกันต้องให้คำแนะนำที่ดีต่อกัน เขามีบางอย่างที่เราไม่มี ฉะนั้นเราต้องหาเพื่อนแบบนี้ ไม่ใช่เขาบกพร่อง เราก็บกพร่องเหมือนกัน เพื่อนต้องช่วยเสริมเกื้อหนุนกัน เราจึงจะเป็นเพื่อนกันตลอดไปได้ ไม่ใช่เพื่อนพูดขัดแย้งว่าเพื่อนพูดไม่ถูกใจเลย ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพื่อนที่ดีต้องกล้าพูด กล้าชี้นำ กล้าชี้ว่าเราถูกเราผิด ไม่อย่างนั้นถ้ามีเพื่อนที่เออออห่อหมกก็คงเข้าโลงไปแล้วใช่ไหม ฉะนั้นการคบเพื่อนต้องมีอะไรที่ไม่เหมือนกันถูกไหม ศิษย์เอ๋ยบางครั้งถ้าเพื่อนให้ความจริงใจแล้วเขาไม่ยอมรับหรือไม่เอา เราต้องให้ความจริงใจกลับ แล้วเราจะได้ใจเพื่อน อย่างเช่น เธอให้ฉัน ฉันไม่เอาฉันเกรงใจ เธอเอาไปเถอะ ไม่ใช่พอเพื่อนให้แล้วเราเอาทันที ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นการเริ่มต้นทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงามนั้นทำได้ทุกที่ แล้วสิ่งที่ดีงามนั้นก็จะก่อเกิดเป็นบุญเป็นทาน เราให้ความซื่อตรงกับเพื่อน เราให้ความจริงใจกับเพื่อน เราให้น้ำจิตน้ำใจกับเพื่อน ส่วนเพื่อนจะให้ไม่ให้ตอบไม่เป็นไร เพราะเราอยากทำบุญไปให้ถึงกุศลที่ไม่หวังผลตอบแทน แล้วบุญนั้นจะส่งเสริมให้เรามีคุณธรรมที่งดงามและเข้าถึงศีลอันสมบูรณ์พร้อม ฉะนั้นเมื่อไปก็ต้องไปให้ดีที่สุดนะศิษย์เอ๋ย ทำก็ต้องทำดีให้งามพร้อม ไม่ว่าจะอยู่นอกบ้านหรือในบ้าน ทำได้ไหม (ได้) 
เมื่อเราเข้าใจคำว่า ความดีคืออะไรแล้ว เราก็ต้องเข้าใจก่อนว่าทานคืออะไร ทานก็คือการให้ การแบ่งปัน ให้และแบ่งปันเพื่อสละความ
ยึดมั่นถือมั่น และถ้าให้ไปแล้วก่อเกิดความอิ่มเอิบใจ ปีติเบิกบานใจ
ทานนั้นก็จะกลายเป็นบุญ
เป็นลำดับไป เหมือนกับการทำดี ทำดีด้วยการให้ ให้เพราะว่าเราอยากแบ่งปัน ความดีคือการให้ทาน ให้ทานก็กลายเป็นบุญ แล้วถ้าบุญนั้นทำแบบไม่ได้หวังผล แต่ได้ขัดเกลาความเป็นตัวตน
ชะล้างความยึดมั่น ถือมั่นตัวตนได้ บุญนั้นก็กลายเป็นกุศล และในขณะที่ทำนั้น มีเมตตาจิต มีมโนธรรมสำนึกที่ดี มีจริยธรรมที่งดงาม ทำด้วยปัญญาที่ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ บุญ ทาน กุศล ก็กอปรไปด้วยศีล ซึ่งนำพาให้ก่อเกิดคุณธรรมอันงอกงาม
เราต้องเริ่มต้นจากการทำความดีก่อน การทำดีคือการให้อะไรก็ได้ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ให้ความรักโดยไม่หวังผล ให้ความเมตตา ให้ความอนุเคราะห์ ให้เกียรติ ให้ความเคารพ เพราะการให้ก็คือการทำความดี และการให้ทาน สิ่งที่แบ่งปันให้กับผู้อื่นเราเรียกว่า ทาน ช่วงที่ก่อนทำหรือขณะที่ทำเสร็จ เราทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทำด้วยความอิ่มเอิบใจ แล้วขณะที่ทำก็มีความสุข หลังจากที่ได้ทำก็มีความสุข ทานนั้นก็จะกลายเป็น (บุญ)  เราทำบุญเรียบร้อยแล้ว แต่เรายังหวังผล บุญนั้นก็จบแค่บุญ บุญนั้นก็ก่อเกิดเป็นกรรมที่ต้องตกทอดมารับบุญอีก เหมือนที่เขาเรียกว่า ทำบุญมากๆ ได้ขึ้นสวรรค์ พอเสวยบุญบนสวรรค์หมด ก็ต้องกลับมา
ศิษย์จำไว้นะ บุญจะไม่กลายแปรมาเป็นบาป เป็นนรก เมื่อศิษย์ทำบุญแล้วศิษย์ไม่มีความโลภ เคยทำไหมทำบุญมากๆ หนึ่งร้อยบาทน้อยไป สองร้อยก็ยังดี มีความโลภต้องเอาหน้า ทำแล้วต้องได้หน้า ต้องเขียนชื่อขึ้นที่ป้าย ไม่อย่างนั้นไม่ยอม
ทำบุญแล้วยังติดในบาป บาปคือสิ่งตรงข้ามกับบุญ บุญคือสิ่งที่ทำให้เราผ่องใส เหมือนหัวใจฟู แต่บาปทำให้เราหม่นหมอง หดหู่ ถ้าเป็นบาปก็จะกลายเป็นอกุศลได้ พอเป็นบาปก็จะกลายเป็นความโลภ โกรธ หลง กลายเป็นอกุศล เราสามารถปฏิบัติธรรม ทำดี เจริญบุญ เจริญกุศล และเข้าถึงคุณงามความดีที่เรียกว่า ศีลธรรมได้ ในขณะเดียวกันเลยนะศิษย์ แค่ศิษย์พูดอย่างนี้ว่า สบายดีไหม อ้วนไปนะ ถ้าทำให้เขาหม่นหมอง จากบุญก็กลายเป็นบาป เธอนี่โชคดีจัง หน้าเธอดูตึงจัง ของฉันนี่เหี่ยวๆ พูดอะไรก็ได้ที่ทำให้เขาสบายใจ แต่ถ้าพูดแล้วทำให้เขาเป็นทุกข์ ก็เท่ากับเราสร้างบาป ถ้าเราพูดด้วยความหวังดี จะกระทำอะไรเราก็ทำด้วยความเมตตาจิต เราก็จะไม่เบียดเบียนใคร สิ่งที่เรากระทำมาทุกอย่างก็จะจบลง ไม่ก่อเกิดการเกี่ยวกรรม
อาจารย์ถึงอยากให้ศิษย์เริ่มต้น ถ้าเริ่มต้นถูกและทำต่อจนถึงที่สุดมันงดงาม เราก็จะเข้าถึงความเบิกบานใจ ในสิ่งที่เราได้ทำทุกขณะ การเป็นคนดีอย่าได้รอถึงวัดแล้วค่อยเป็นคนดี เป็นคนดีอย่ารอให้คนอื่นน่าสงสาร แล้วเราค่อยเป็นคนดี  เราทำดีได้ทุกขณะ เราทำบุญได้ทุกขณะ และเราสามารถเจริญปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะ  ถ้าทำได้อย่างนี้เราก็จะอยู่รอดปลอดภัย แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่อาจารย์ว่ายังยากอยู่ คือศิษย์ยังเป็นคนยังมีความอยากอยู่ อยากสวย อยากรวย อาจารย์จะให้สามตัวเอาไหม (เอา)  เอาไปแล้วไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ลำบาก มีความสุขด้วยสามตัวที่ว่านี้ก็คือ “จงรู้พอ”  คนที่จนที่สุดคือคนที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองมี จำไว้นะศิษย์ หาเท่าไรก็บอกว่าไม่มี คนแบบนี้แหละจนสุดๆ  แต่ถ้าหามาเท่าไรก็บอกว่ามีแล้วดีแล้วพอแล้ว คนนี้แหละรวยสุดๆ ศิษย์เคยหาเงินไหม หามาแทบตายถ้าศิษย์บอกว่าไม่พอ หาอย่างไรก็ไม่พอ แต่ถ้าศิษย์บอกว่าพอ ก็จะดูเยอะขึ้นมาทันที  ศิษย์บอกอาจารย์ว่าศิษย์อยู่บนโลกนี้ยังมีความอยากอยู่ แล้วอาจารย์จะให้ทำอย่างไร ในเมื่อศิษย์ยังต้องทำมาหากินอยู่ จะทำอย่างไรให้ความอยากของศิษย์ไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น และไม่กลายเป็นทุกข์ ไม่กลายเป็นกิเลส ไม่กลายเป็นปัญหาก่อเกิดทำร้ายผู้อื่น เคยคิดไหม
มนุษย์อยู่ในโลกยังต้องหาปัจจัยสี่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วทำอย่างไรให้ปัจจัยสี่ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วไม่ทำให้เกิดทุกข์  เมื่อเราได้ทำถึงที่สุดแล้ว แต่วันนี้เรายังต้องมีเหตุที่ต้องทำมาค้าขาย ยังต้องทำงาน ยังต้องมีเงินมีทองอยู่ แล้วทำอย่างไรที่จะทำให้ความอยากของศิษย์ไม่ก่อเกิดเป็นบาป ไม่ก่อเกิดเป็นอกุศล ไม่ก่อเกิดเป็นความชั่วร้ายและการเวียนว่าย สมมติว่าอาจารย์ต้องหาเงิน อาจารย์เป็นคนขายผลไม้ มาซื้อผลไม้กันเร็ว ผลไม้สดๆ ใหม่ๆ เหี่ยวๆ ก็มี สดๆ ก็มี ขายของเราต้องซื่อตรงจริงใจต่อลูกค้า เหี่ยวก็บอกเหี่ยว เก่าก็บอกเก่า ถูกก็บอกถูก แพงก็บอกแพง เราเอาของดีมาขายเราซื่อตรง รับรองลูกค้าไม่ไปไหน ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าเราขายได้ก็ได้ ขายไม่ได้เงินไม่มีกิน เรากินผลไม้แทนก็ได้ ไม่ต้องทุกข์ แต่ศิษย์ของอาจารย์นี่ยังไม่ใช่ พูดไม่ตรง ไม่จริงใจ พอขายไม่ได้ก็เป็นทุกข์ ฉะนั้นผู้บำเพ็ญธรรมไม่ว่าจะค้าขาย ไม่ว่าจะทำงาน สิ่งสำคัญคือความซื่อตรง อยากค้าขายเจริญรุ่งเรือง ต้องมีความซื่อตรงเป็นหลักถ้าซื่อตรงลูกค้าก็จะไม่ไปไหน แพงอย่างไรเขาก็ซื้อ เพราะเราไม่โกหก ถูกไหม (ถูก)  เราจริงใจ เก่าก็ว่าไปตามเก่า ถูกก็ว่าไปตามถูก แพงก็ว่าไปตามแพง ขายได้ไม่ได้เราจริงใจไว้ก่อน เรามีสุขไหม (มี)  เราไม่โกหกลูกค้า
ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าศิษย์ทำอย่างนี้ ศิษย์ก็สามารถมีความอยากแต่ไม่เดือดร้อน และความอยากนั้นไม่ว่าจะขายได้ก็ได้ ขายไม่ได้ไม่เป็นไรกินผลไม้ต่างข้าวเยอะหน่อย ก็ต้องจำใจ เหมือนกันปลูกข้าวแล้วข้าวไม่ขึ้น ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ขายข้าวไม่ได้ราคา เครียดไหม (เครียด)
  ลูกหลานไม่สนใจ ไม่ช่วยดูดำดูดี เอาแต่เที่ยวทุกวัน ข้าวก็ขายไม่ได้ ธกส. ก็เรียกแล้วเรียกอีกเมื่อไรจะจ่ายเงิน เวลาศิษย์จะทำอะไรก็ตามจงซื่อตรง ถ้าไม่มีก็บอกไปตรงๆ ว่าไม่มีจริงๆ ขอเวลาหน่อยนะ ถ้ามีจะผ่อนให้ เราเป็นลูกหนี้ที่ดีก็ไม่มีใครว่าเราหรอก เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี
ศิษย์เอยศิษย์อยากอยู่ในโลกอย่างมีสุขไหม ถ้าอยากมีสุขเมื่อทำถึงที่สุดถ้าผลนั้นไม่ดี ก็จงกล้ายอมรับความจริง คิดมากเอาทุกข์ใส่หัวแล้วมันหายไหม เหมือนเราเครียดเรื่องข้าวขายไม่ได้ราคา เอาข้าวมาตีหน้า มาตีใจ เจ็บไหม เครียดแล้วได้อะไร ทุกข์ไหม และอย่าคิดฆ่าตัวตายเด็ดขาด เมื่อใดที่เรารู้จักควบคุมความอยาก ศิษย์จำไว้นะเรามีต้นทุนที่ดี เราทำดีมาตลอด ฉะนั้นเวลาเราอยากทำอะไรก็ตามสำเร็จหรือล้มเหลวก็ไม่เป็นไร เรามีต้นทุนที่ดีงาม ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เธอจะรักฉันๆ ก็รัก เธอจะไม่รักฉันๆ ก็ไม่โกรธ ทำอย่างนี้แล้วมีความสุขไหม ความอยากก็จะไม่มาเป็นกิเลสครอบงำทำให้เราทุกข์ ฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไร ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ดี สำเร็จก็ดี ไม่สำเร็จก็ดี โดนชมก็ดี โดนด่าก็ดี ฝึกไว้นะศิษย์ ไม่ใช่ว่ามันต้องได้ เหมือนอาจารย์ทำอะไรออกมาอย่างหนึ่ง ก็จะมีคนทั้งชมทั้งติ บางครั้งเราทำอะไรอย่างหนึ่ง บางทีเจตนาเราเป็นอย่างนี้ แต่พอฟังคนมากๆ เจตนาเราก็เปลี่ยนไป ฉะนั้นเมื่อเจตนาเปลี่ยนไปเราควรจะยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้องหรือเราควรจะเอนเอียงไม่เป็นหลักเป็นเลนกันแน่ เมื่อทำอะไรอย่างหนึ่งแล้วโดนคนว่า โดนติ โดนสั่งนั่น สั่งนี่ ถ้าเราไม่ยืนหยัดมั่นคงในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เราก็ง่ายที่จะโอนเอน และผิดเพี้ยนไป ถ้าเรายืนยันมั่นคงว่า หนูทำได้แค่นี้ อย่าโกรธหนูนะ ถ้ามากกว่านี้หนูอาจจะเพี้ยนก็ได้ เราอยู่ในสังคมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีคนติ คนบ่น อยากเติมโน่นนี่ แต่ถ้าเรามั่นใจว่าสิ่งที่เราทำถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องอยากมากกว่านี้ก็ได้ แค่นี้ก็ดีก็พอแล้ว เราอยากอยู่บนโลกนี้แบบไม่ทุกข์ บางทีได้แค่ไหนก็แค่นั้น อย่าเอาตัวเราไปเปรียบกับใคร
ศิษย์ของอาจารย์ต้องเข้มแข็ง เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ต้องไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย ไม่กลัวทุกข์ ไม่กลัวคนด่า ทำได้ไหม (ได้)  เริ่มต้นอาจารย์สอนวิธีปฏิบัติตัวอย่างไรที่เรียกว่า ทำดี บำเพ็ญธรรม ปฏิบัติธรรม เข้าถึงศีลธรรม ก้าวที่สอง สิ่งที่ศิษย์หนีไม่พ้นคือ เราอยู่บนโลกจะบำเพ็ญอย่างไรให้เราสามารถเอาชนะทุกข์ได้ แต่เราไม่เคยเอาชนะทุกข์ได้ ทุกข์มากี่ทีก็ทุกข์ทุกครั้ง เราจงรู้ไว้ก่อนว่า เราเกิดจนตายก็หนีไม่พ้นคือ ทุกข์จากการแก่ เจ็บ ตาย ซึ่งอยู่กับสังขารและหนีไม่พ้น เราต้องรับให้ได้ นี่คือความเป็นจริงแห่งชีวิตที่เรียกว่า สังขาร แต่ต่างกันอย่างหนึ่ง เพราะทุกข์อันนี้เป็นทุกข์ของสังขาร หาใช่ทุกข์ของจิตเดิมแท้ไม่ ซึ่งสังขารนี้เรียกว่าการแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติดี ศิษย์ก็รู้สึกดี ธรรมชาติแย่ ศิษย์ก็รู้สึกแย่ ธรรมชาติจริงแต่ตัวศิษย์หามีจริงไม่ ไม่ว่าเราจะแก่ เจ็บ ตาย จำไว้คือการเปลี่ยนแปลงของสภาวธรรม ถ้าเราไม่อยากทุกข์กับสิ่งที่เรียกว่า ความเป็นจริงแห่งสภาวธรรม ศิษย์จะต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า อันนี้มาจากธรรมชาติ แล้วก็มีตัวเราเข้ามาครอบงำอีกที เราจะหนีพ้นการเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อไม่ได้ เราต้องทำอย่างไร ถ้าเราไม่ยึดมั่น เมื่อแก่เราก็แค่รู้ว่ากายแก่ กายแก่ใจแก่ไหม (ไม่แก่)  กายเจ็บใจเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  กายตายใจตายไหม (ไม่ตาย)  พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า มีแต่สังขารที่ดับไป จิตหาดับไปไม่ ฉะนั้นถ้ามนุษย์เข้าถึงสภาวธรรมเราจะรู้ว่าจริงๆ แล้ว สังขารอันนี้ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่น มันก็แก่เป็นธรรมดา มันก็เจ็บเป็นธรรมดา แล้วมันก็ตายเป็นธรรมดา แต่จิตหาแก่เจ็บตายไม่ ถ้าจิตเราไม่ยึด มันก็เป็นแค่ความหมุนเปลี่ยนของสภาวธรรมอันหนึ่ง  ฉะนั้นเราจะทุกข์ไหมเวลาเราโดนตี (ไม่)  จำไว้เราเป็นเพียงผู้อาศัย อาศัยกายนี้อยู่ ถึงเวลาเราก็ต้องทิ้งกายนี้ไป ฉะนั้นอย่าให้ความโกรธความเกลียดอกุศลมาสร้างวิบากกรรมที่ก่อเกิดภพชาติชรามรณะไม่จบสิ้น จงทุกข์เพียงกายอย่าทุกข์ใจ จงเจ็บเพียงกายอย่าลงที่ใจ ได้ไหม (ได้)  ถ้าศิษย์สามารถเอาชนะได้ ศิษย์ก็สามารถที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนอันนี้ได้ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ เราอยู่บนโลกเราไม่ได้ตกเป็นทาสของร่างกาย แต่เราต้องเป็นนายเหนือกาย นี่ถึงจะเรียกว่ามนุษย์ประเสริฐ กายมีวันดับ แต่จิตไม่มีวันดับ กายมีวันขุ่นมัว แต่จิตสว่างใสอยู่ตลอดเวลา ที่ขุ่นมัวเพราะอารมณ์กิเลสมันจรมาแค่นั้น แต่ถ้ามนุษย์เรายังอดไม่ได้ยังยึดมั่นถือมั่น เราก็มีทุกข์ต่อ ถ้าศิษย์ยังอดยึดมั่นถือมั่นศิษย์ยังไม่เข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูด ทุกข์แรกยังดับไม่ได้ ศิษย์ก็จะมีทุกข์ต่อมาคือ กิเลสตามมา เวลาเจ็บ มีชอบมีชังมีพบมีพรากทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักรังเกียจอิจฉา ใช่ไหม อาจารย์พูดจริงๆ นะ ถ้าศิษย์ยังยึดตัวตน ยังไม่เข้าใจทุกข์ตรงนี้ ศิษย์ก็อดไม่ได้ที่จะสร้างตัวตนต่อขึ้นมาว่า หนูเป็นคนอย่างนี้ หนูนิสัยอย่างนี้ หนูชอบแบบนั้น หนูชอบแบบนี้ ทั้งๆ ที่ทุกข์มันจะจบแค่เกิดแก่เจ็บตาย มันจบไหม (ไม่จบ)  มันออกดอกออกผลต่อ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเมื่อไรที่เราหลงยึดตัวตน แล้วสร้างตัวตนครอบงำตัวเข้าไปอีก เราก็จะก่อเกิดทุกข์ที่มากขึ้น แล้วทุกข์มากขึ้นแค่นี้พอไหม (ไม่พอ)  เรายังสร้างทุกข์เพิ่มมาอีกคือ หาสามีมาก็มีทุกข์ต่อ สามีเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แล้วสามีก็หนีไม่พ้นแก่เจ็บตาย เมื่อไรที่มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะทุกข์แรก และยังหลงยึดมั่นถือมั่นในตัวตนว่าเรามีอีก เราก็สร้างทุกข์ไม่จบสิ้น วิธีจะแก้ทุกข์อันที่สองก็คือ ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ อันที่สามต้องรู้จักหยุดอยากเพื่อรู้พอ ถ้าศิษย์อยากจะแก้ทุกข์ทีละเปราะ อันนี้ก็คือความอยากที่เพิ่มมาจากความมีตัวตน เช่น อยากมีรถ มีบ้าน มีลูก มีสามี มีภรรยา เมื่ออยากเข้ามาศิษย์ต้องรับทุกข์กับเขาด้วยไหม ศิษย์ต้องร่วมทุกข์กับเขาใช่ไหม
แล้วศิษย์จะแก้ทุกข์ได้อย่างไร วิธีแก้อย่างแรกก็คือ ใครที่ไม่มีอย่าเพิ่งมี เพราะมีแล้วจะมีทุกข์ แต่ถ้ามีแล้วก็ต้องยอมรับสภาพ เขาเป็นอย่างไรได้แค่ไหนก็แค่นั้น อย่าหวังอย่าขออย่าเรียกร้อง ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น แล้วจะทุกข์น้อยลง ถ้าอยากหยุดทุกข์อันนี้วิธีแก้ง่ายๆ คือ หยุดอยากหยุดหวัง อยากหยุดทุกข์ที่เป็นกิเลสความโลภความโกรธความหลง ก็ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ตนโดยรู้เท่าทัน อยากหยุดทุกข์ที่เรียกว่าทุกข์แห่งสังขารก็ต้องรู้จักไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือถ้าเรียกง่ายๆ อีกอย่างหนึ่งคือ อยากหยุดทุกข์ทั้งหลาย มีเหมือนไม่มี มีโดยไม่ยึด ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจหลักธรรมสิ่งที่ทุกข์ทั้งหลาย
มาจากตัวตนของเราตัวเดียว ถ้าพอได้หยุดได้วางได้เราเกิดมาเพียงแค่ยืมใช้
ถึงเวลายึดมั่นถือมั่นไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่มีสิ่งใดเป็นของเราสักอย่างเดียว
ฉะนั้นทำให้ดีที่สุด อะไรจะเกิดก็แค่ก้มหน้ายอมรับ มันจะแก่ก็ปล่อยให้แก่ไป ตอนนี้แต่งงานมาแล้วเขาจะไม่รักเราก็ต้องปล่อยไป เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุปัจจัย วันนี้รักวันนี้ชังมันไม่แน่นอน ถ้าศิษย์เข้าใจธรรม
ศิษย์ก็จะดับทุกข์ทั้งมวลในโลกได้ แต่ถ้าศิษย์ไม่เข้าใจธรรมและยังหลง
ยึดมั่นถือมั่น ศิษย์ก็จะทุกข์ตั้งแต่เกิดจนตาย และก็เวียนว่ายไม่จบสิ้น
เราอยู่เพื่อเรียนรู้ และปล่อยวาง ไม่ใช่อยู่เพื่อทุกข์แล้วทุกข์อีกนะศิษย์เอ๋ย
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า 5 ก้าว”)
การศึกษาหลักธรรมสิ่งเดียวที่อาจารย์ขอย้ำคือ ศึกษาหลักสัจธรรมไม่งมงาย ศิษย์หลายคนที่ปฏิบัติธรรมไปแล้วชอบคิดไปเอง หรือประสาทหลอน ชอบอุตริคิดว่าตนเองมีองค์ มีเจ้า ไม่เอานะอย่างนี้ไม่ใช่หลักการปฏิบัติธรรม และก็ไม่ให้ศิษย์ศึกษาธรรมแล้วงมงายในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ขอเลข ดูหวย ขูดต้นไม้ อันนี้ไม่ใช่หลักธรรมที่แท้จริง การศึกษาธรรมคือเน้นสัจจะความเป็นจริง ปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ไม่ใช่ปฏิบัติจมงมงาย อยู่กับความหลงตนเองไม่ถูกต้อง ฉะนั้นศึกษาหลักธรรมขอให้ก้าวทั้งห้าก้าวนี้ในปีห้าเก้า เป็นปีที่ศิษย์ก้าวด้วยความเข้าใจ และประจักษ์มรรคผลที่แท้จริง
ต่อไปนี้ต้องแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีและเจริญรอยสิ่งที่ดีงามให้อยู่กับตัวเองอย่างมั่นคง ได้ไหม (ได้)  สิ่งไหนที่ผิดพลาด แก้ไขใหม่ จะเป็นคนใจเย็น
ไม่ขี้บ่น ไม่กินเหล้า ไม่เมายา ไม่โกหก ใครที่อยากแก้ไขเปลี่ยนแปลงสิ่งที่
ไม่ดี ก็ให้อาจารย์ แล้วอาจารย์จะให้ผลไม้กลับไป
(จะรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่)  ถ้าทุกคนปฏิบัติหน้าที่ของตนเองได้
ไม่บกพร่อง ทำได้ดีและทำให้ถึงที่สุด (เราจะรักษาแม่และดูแลแม่ให้สุดจิตสุดใจ)  รักแม่แล้วก็อย่าลืมมีน้ำใจให้กับคนรอบข้างด้วย (ไม่ขี้บ่น
,
จะช่วยเหลืองานพ่อแม่)  อย่ามัวแต่เที่ยว (ไม่บ่นสามี,ไม่ใจร้อน,จะอยู่กับพ่อแม่)  อยู่กับท่านแล้วได้ดูแลท่านไหม พูดด้วยความสุภาพอ่อนน้อม
อย่ามัวแต่เล่นหวย (ดูแลลูกให้ดี)  ถ้าแม่ไม่รู้จักดูแลพ่อแม่ให้ดีๆ ลูกก็จะเลียนแบบตาม การจะดูแลลูกก็แค่ดูแลได้ชั่วขณะเท่านั้น เมื่อถึงเวลาเขาก็เป็นไปตามทางของเขา รักลูกเราเป็นก็ต้องรักลูกคนอื่นเป็นด้วย ถึงจะเรียกว่าจิตใจที่ดี (จะรักพ่อแม่ให้มากที่สุด)
(อยากทำดีเพื่อแม่)  แล้วมีโอกาสได้ทำไหม (มี)  ต่อไปต้องทำบ่อยๆ แล้วจะเอาส้มนี้ไปให้ใคร (ให้แม่)  นึกว่าจะกินเองนะ
(จะดูแลพ่อแม่ให้มากกว่านี้)  อย่างนั้นส้มลูกเดียวพอไหม (พอ) 
อย่ามัวแต่ให้ความรู้อยู่ในกระดาษ สิ่งสำคัญอยู่ที่เราคิดได้หรือไม่ได้ รู้ไปมากประโยชน์ ถึงเวลาถ้าเราคิดไม่ได้ทำไม่ได้ความรู้ก็เป็นได้แค่ความรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(จะไม่อารมณ์ร้อน ใจร้อน จะเป็นคนดี)  อย่างนั้นเอาอารมณ์ร้อนมาให้อาจารย์ แล้วต่อไปจะเป็นคนใจเย็น ถ้าโดนต่อยก็ (ไม่สู้)  จำไว้นะศิษย์ เวรย่อมระงับด้วยคำว่าไม่จองเวร ใช่ไหม (ใช่)
(จะเชื่อฟังพ่อแม่)  จะเป็นเด็กดีรู้จักปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์
(ดูแลแม่)  ดูแลจริงๆ ไหม ไม่ใช่เอาแต่ดู เอาแต่แล ไม่พอนะ ต้อง
ลงมือกระทำปฏิบัติจริงด้วยนะ
(ดูแลพี่สาวให้ดี จะไม่บ่นไม่ว่า)  ถ้อยทีถ้อยอาศัย เขาเป็นอย่างไรก็ต้องอดทน เพราะถ้าไม่มีกรรมเกี่ยวกันมาก็คงไม่ต้องมาเจอกัน ไม่ต้องมาดูแลกัน ฉะนั้นอดทนอดกลั้นไว้นะ ให้ความรักความเข้าใจกันให้มากที่สุด
(ไม่เถียงพ่อแม่)  แปลว่าแต่ก่อนเถียงเยอะ ใช่ไหม ฉะนั้นตอนนี้ต้องรู้จักนิ่งเงียบแล้วก็เข้าใจ อย่าอดกลั้นเพราะเดี๋ยวมันจะแตกได้
(ปกติเป็นคนใจร้อน ต่อไปจะเป็นคนใจเย็น)  ศิษย์เอ๋ยไปอยู่ที่ไหน ใครๆ ก็ชอบแต่คนใจเย็น ด่าอย่างไรก็ยิ้ม ด่าอย่างไรก็เย็น ด่าอย่างไรก็เงียบ ทำให้ได้นะ เพราะว่าโทษของคนที่มักโกรธ และชอบโกรธเป็นหลัก สิ่งที่
น่ากลัวที่สุดก็คือ นรกอเวจี ไฟยังไม่ทันจุดในนรก แต่เราก็จุดไฟเผาใจเราก่อนแล้ว ถูกหรือไม่
ศิษย์เอ๋ยอยู่บนโลกนี้ขอให้เริ่มต้นทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ถ้าเราทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม แม้วันนี้จะต้องตายเราก็จะไม่เสียดาย ทำไมอาจารย์ถึงอยากเรียกร้องให้ศิษย์ทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง ทำแต่สิ่งที่ดีงาม เพราะคุณงามความดี
จะติดตามเราไปไม่ว่าชาติไหนๆ ไม่ว่าภพไหนชาติไหนความดีก็ไม่ทอดทิ้งคนดีอยู่แล้ว แต่กลัวอย่างเดียวกลัวคนดีของอาจารย์จะท้อแล้วถอย
เหนื่อยแล้วหน่าย เมื่อมุ่งมั่นที่จะทำก็ต้องทำให้ถึงที่สุด เมื่อไปก็ต้องไปให้ดีที่สุด สังขารร่างกายไม่ใช่ของแท้ แต่จิตที่งดงามมั่นคงในความดีนั่นคือของแท้จริง สังขารจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เอาจิตไว้ก่อน จิตเราต้องดี ต้องประเสริฐ ต้องบริสุทธิ์ ใครจะคิดอย่างไรไม่สน เราทำได้ดีได้ถูกต้อง เราทำได้บริสุทธิ์ก็ดีแล้ว กายเจ็บป่วยก็เป็นธรรมดาของสังขาร ไม่ใช่มีเพื่อให้เราทุกข์ทน มีเพื่อเรียนรู้ปลดปลงและปล่อยวาง มีเพื่อไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น
มีเพื่อให้เราปลดปลงปล่อยวาง เอาแต่ความดีความงดงามไปดีกว่า อย่าเอาแต่นิสัยกิเลสอารมณ์ กิเลสอารมณ์และนิสัยเป็นทางมาแห่งอกุศลและบาปทั้งมวล
ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์จงมุ่งมั่นให้ถึงที่สุด เจออะไรก็ไม่ย่อท้อได้ไหม (ได้)  ทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามกอปรไปด้วยบุญกุศล เพื่อนำพากลับคืนเบื้องบนที่ไม่มีตัวตนให้ยึดติด เพราะถ้ายังยึดมั่นถือมั่นในตัวตนนี้ก็ยังเป็นการสร้างเหตุแห่งการเวียนว่ายไม่จบสิ้น สวยที่สุดยังไงก็ยังมีวันเหี่ยว หล่อที่สุดยังไง
ก็มีวันแก่ รวยที่สุดยังไงก็ต้องมีวันตาย ฉะนั้นหากันไปแทบ ตายแย่งกันไปแทบตาย ถึงที่สุดแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้ ไม่สู้ความดีงาม อาจารย์ขอให้ศิษย์เห็นคุณธรรมความดีงามสำคัญกว่าปากท้องได้ไหม (ได้)
ถ้ามีโอกาสกลับมาผูกบุญกับอาจารย์อีก แต่การผูกบุญกับอาจารย์คือผูกบุญในหลักสัจธรรมความจริง ไม่ใช่ผูกบุญกับการเข้าร่างทรง เพราะถึงที่สุดแล้วการยืมร่างเข้าทรงก็ไม่ใช่ของแท้ สิ่งที่แท้จริงคือหลักสัจธรรมอันจะนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ ทุกข์ไม่น่ากลัว หากแต่คนที่ไม่สู้ทุกข์นั้น
น่ากลัวกว่า ทุกข์ไม่เจ็บปวด แต่คนไม่ยอมรับทุกข์นั้นเจ็บยิ่งนัก ฉะนั้นลองหันมาแล้วดูว่าทุกข์นั้นน่ากลัวไหม ไม่น่ากลัว ถ้ารู้และเข้าใจก็พ้นทุกข์
แต่หนีทุกข์ไม่สู้ทุกข์ เรานั่นแหละคือผู้ทุกข์ที่สุด ลุกขึ้นสู้ตั้งใจบำเพ็ญ ทำแต่สิ่งที่ดีงาม


(พระอาจารย์เมตตาพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า 5 ก้าว”)
ท่านได้เมตตาว่า 5 ก้าว (แห่งการประจักษ์มรรคผล)
ก้าวที่ ๑      ศรัทธาตาม ปัญญานำ
ก้าวที่ ๒      ศึกษาหลักธรรม ไม่งมงาย
ก้าวที่ ๓      บำเพ็ญธรรม ปฏิบัติจริง
ก้าวที่ ๔      สร้างคุณธรรม ก้าวข้ามอุปสรรคหมื่นพันมารทดสอบ
ก้าวที่ ๕      บรรลุ ประจักษ์มรรคผล

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท " 5 ก้าว "

ศรัทธาตาม ปัญญานำ
ศึกษาหลักธรรม ไม่งมงาย
บำเพ็ญธรรม ปฏิบัติจริง
สร้างคุณธรรม  ก้าวข้ามอุปสรรคหมื่นพันมารทดสอบ
บรรลุ ประจักษ์มรรคผล 




พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาท
สถานธรรมหมิงเฉิง จ.ตาก วันที่ ๒ ๓  มกราคม ๒๕๕๙
เพลงพระโอวาทหน้า ๑๒  ย่อหน้า ๒ และย่อหน้าสุดท้าย
เดิม              ศิษย์ต้องลงแรงตั้งแต่วันนี้
แก้ไขเป็น       ศิษย์ต้องลงแรงหน่อยงานนี้
เดิม              โอกาสสูญเสียไป
แก้ไขเป็น       โอกาสสูญสิ้นไป

สถานธรรมฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น วันที่ ๒๒ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๘
เมตตาประทานทำนองเพลง:  น้ำฝนเดือนเจ็ด
เพลงพระโอวาท ย่อหน้าที่ ๒
เดิม              ทุกข์ว่าด้วยเงินหรือทอง ทุกข์คอยสนองตัวเอง
แก้ไขเป็น       ทุกข์ว่าด้วยเงินหรือทอง ทุกข์คอยสนองตัวการ
เพลงพระโอวาท ย่อหน้าที่ ๓
เดิม              ศิษย์เอยตื่นรู้ด้วยเห็นและเข้าใจแจ้งในธรรมา
แก้ไขเป็น       ศิษย์เอยตื่นรู้ด้วยเห็นและเข้าถึงหัวใจแจ้งในธรรมา
เพลงพระโอวาท ย่อหน้าสุดท้าย
เดิม              แล้วมีพลังเปลี่ยนความคิด ไม่ท้อใจที่เหนื่อยเพราะหวัง
แก้ไขเป็น       แล้วมีพลังเปลี่ยนความคิด ไม่ยอมท้อใจที่เหนื่อยเพราะหวัง

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2559

2559-01-02 สถานธรรมหมิงเฉิง อ.สามเงา จ.ตาก

西元二年歲次乙未十一廿三                            仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙                สถานธรรมหมิงเฉิง  อ.สามเงา จ.ตาก
พระโอวาทท่านหยรูอี้เซียนถง
   สุขไม่ใช่มีแค่วันปีใหม่                                คนเข้าใจย่อมสุขได้ในทุกสิ่ง
แค่คิดดีมีธรรมย่อมสุขจริง                          สุขไม่ทิ้งคนแจ้งในทุกข์ชีวัน
                                เราคือ
  ยรูอี้เซียนถ(如意仙童)  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา         ขออวยพรทุกท่านสุขสมหวัง สุขสมหวัง
  ความสามัคคีคือเพียบพร้อมไปทั้งหมู่   นอบน้อมรู้ได้ด้วยการแสดงออก
บำเพ็ญภายในแต่ปฏิบัติอยู่ภายนอก     อ่อนน้อมเมื่อยอมลอกคราบอัตตาไป
คิดพูดทำฝึกสติเป็นตัวช่วย               เย็นลงด้วยใจบำเพ็ญเป็นคนใหม่
ปีใหม่แล้วทำอะไรต้องตั้งใจ              ปณิธานใหญ่ยิ่งกว้างไม่เกินความพยายาม
มีกล้าหาญแล้วต้องไม่ลืมมีเมตตา        สุภาพชนไม่เย็นชาไม่มองข้าม
แม้ลำบากความดีคอนความซื่อหาม      โลกเสื่อมทรามธรรมฉายแววในคน
มุ่งออกเรือไปให้ตรงน่านน้ำ              แม้ฟ้าค่ำยังมีคนหลุดพ้น
เนื้อนาบุญมีจริงในใจคน                 ธารน้ำวนกลายธารใสไหลเย็น
ฝุ่นลงจับใจเป็นดั่งกระจกใส              เช้าเย็นไม่ชำระใจย่อมเน่าเหม็น
ย่ำแต่เรื่องโลกียธรรม[1]ข้ามไม่เป็น        พุทธะก็เป็นเวไนยเวไนยก็เป็นพุทธะ
                                                ฮิ ฮิ หยุด




[1] โลกียธรรม          เกี่ยวกับโลกทางโลกธรรมดาโลกของโลกตรงข้ามกับ โลกุตระ








พระโอวาทท่านหยรูอี้เซียนถง


ความสุขหาไม่ยาก ถ้าเราพอเป็น ความสุขหาไม่ยาก ความสุขอยู่ไม่ไกล ถ้าเราหยุดความอยากบ้าง จริงไหม (จริง)  ความสุขไม่ได้อยู่ไกล ความสุขมีทุกที่ แค่เราพอหรือยัง ถ้ามนุษย์สามารถค้นพบความสุขที่แท้จริง มนุษย์จะมีเงินเหลือเฟือ ถ้าเราแค่พอ เราแค่หยุดความอยากบ้าง แต่เดี๋ยวนี้ความสุขของเราต้องแลกมาด้วยการใช้จ่ายเงิน การหาเงินมากๆ เพื่อจะได้ให้มีสุขที่เหนื่อยแทบแย่ มีสุขแค่หนึ่งวันสองวันเงินหมดแล้ว กลับไปเป็นทุกข์ต่ออีก มีสุขก็ต่อเมื่อต้องไปไกลๆ แล้วกลับมาก็ค่อยมาทุกข์ต่อ ใช่ไหม (ใช่)  จะมีสุขก็ต่อเมื่ออยู่กับคนนั้น อยู่กับคนนี้ แล้วพอต้องอยู่คนเดียว ก็มาเป็นทุกข์ใหม่ สุขแท้จริงอยู่ไม่ไกล อยู่ที่ว่าพอหรือยัง หยุดความอยากบ้าง สุขก็ไม่ไกลเกินเอื้อม แล้วไม่ต้องไปเหนื่อยด้วย ฉะนั้นถ้าเรารู้จักสุขได้ เราจะมีเงินเหลือเฟือ แล้วสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีคุณค่า จะกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่านักหนาเลย แต่เดี๋ยวนี้เราสุขยาก สิ่งที่มีนั้นเหมือนไม่มีค่าอะไรเลย อยู่กับตัวเองก็ไม่สุข อยู่กับแฟนก็ไม่สุข อยู่กับลูกก็ไม่สุข ชวนไปไกลๆ เดี๋ยวจะมีสุข แล้วกลับมาบ้านทุกข์เหมือนเดิม จริงไหม (จริง)  ความสุขไม่ใช่ต้องเริ่มต้นจากในบ้านเราหรือ แล้วถ้าบ้านเราไม่มีความสุข ใจเราไม่รู้จักสุข ไปอยู่ที่ไหนก็สุขไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นสุขอยู่ที่เขาหรือสุขอยู่ที่ใจ (อยู่ในใจ)ใจที่หยุดอยากหรือยัง ใจที่รู้จักพอบ้างหรือยัง ถ้าไม่หยุดอยาก ไม่หยุดพอ แม้ไปเที่ยวไกลโพ้นแล้วบอกว่าจะมีสุข พอไปถึงที่สุดแล้ว ก็นั่งคิดอีก แล้วเราจะได้มาดูอีกไหม ทั้งที่น่าจะมีความสุขกลับทุกข์ เขาจะอยู่กับเราไหมหนอ เงินมันจะมาอีกไหมหนอ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ที่ไหนก็สุขไม่ได้ ถ้าใจไม่พอสักที อยู่ที่ไหนก็ไม่มีสุข ถ้ายังไม่รู้จักหยุดสักที ถ้าเราเริ่มสุขเป็น แม้ในทุกข์ที่สุดเราก็จะเข้าใจ แม้ในวันที่เราจะต้องสูญเสียที่สุด เราก็จะเข้าใจ และแม้ในวันที่เราไม่เหลือใคร เหลือเราคนเดียว เราก็จะเข้าใจ เป็นบ้างไหม ไม่เป็นเลย ใช่ไหม ถ้าท่านรู้จักสุขเป็น แม้ไม่มีอะไร แม้ต้องสูญเสียทุกสิ่งที่เคยมีมา ท่านก็จะไม่ทุกข์ เราก็จะเข้าใจ แม้วันหนึ่งเราเคยมีใครเยอะแยะ แต่วันหนึ่งเหลือเราคนเดียว เราก็จะไม่ทุกข์ แต่เราจะเข้าใจ เหมือนต้องไปดื่มน้ำเองถึงจะรู้รสน้ำ ฉะนั้นทำไมไม่ลองไปสุขทางนั้นล่ะ ไปสุขที่แท้ที่ไม่ต้องวนกลับมาเป็นทุกข์อีก จริงไหม (จริง)  
พยายามทำแต่สิ่งที่ดี ก็ดีกว่ามีวัตถุมงคล คิดดี พูดดี ยิ่งกว่าดวงดีอีก ถ้าดวงดีแล้วแต่คิดชั่ว ก็ไม่ดี ได้วัตถุมงคลมีค่ามหาศาลมา แต่ในใจกลับคิดว่าวัตถุจริงหรือปลอม อย่างนี้ได้มาก็ไม่มงคล ถ้าคิดไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)
ขออวยพรให้ทุกท่านดีกว่านะ สุขสมหวังๆ อันดับแรกเราให้ความสุขไปแล้วนะ ความสุขไม่ได้อยู่ไกล ไม่ได้อยู่ที่ใคร อยู่ที่ใจเรา หยุดอยากบ้างก็มีสุข เอาแต่เรียกร้องทุกสิ่ง อย่าลืมเรียกร้องถามใจว่าพอหรือยัง ไม่พอก็ไม่มีวันสุขหรอก เพราะความอยาก ถมอย่างไรก็ไม่เต็ม พูดว่าไม่มีแต่จริงๆ แล้วมี แต่ใจไม่ยอมมีสักที ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นถ้าท่านรู้จักสุขที่แท้จริง ท่านจะมีเงินเหลือเฟือ ถ้าท่านเข้าใจสุขที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ไกลภายนอก แต่อยู่ที่ใจว่าพอหรือยัง ท่านก็จะรู้จักมีที่แท้จริง และเป็นมีที่ไม่ทุกข์ด้วย เพราะแค่ไหนก็แค่นั้น เท่าไหนก็เท่านั้น เหนื่อยแทบแย่ หวังแทบตาย ผลสุดท้ายก็ต้องมาผิดหวังและทุกข์ใจ สู้แบบแค่ไหนแค่นั้น แค่นี้ก็ดีแล้ว ทุกขณะคิดเสมอหรือไม่ว่าเรามีสุขทุกขณะ วันนี้เราได้ทำงานดีแล้ว วันนี้ได้ตื่นมาหายใจยังมีชีวิตอยู่ดีแล้ว สุขแล้ว ดีกว่าไม่ตื่นแล้วหรือไม่ตื่นแล้วก็ดี ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอยู่แล้วทำใจไม่ได้อย่าเพิ่งตาย ต้องให้เข้าใจก่อนแล้วค่อยตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
นานๆ จะกลับมากันครบพร้อมหน้าพร้อมตา บางทีไม่ต้องถ่อไปไกลๆ อยู่ใกล้ๆ พ่อก็ยิ้ม เเม่ก็ยิ้ม ลูกก็ยิ้ม มีความสุขไหม (มี)  มีความสุขเเล้วตอนนี้ยิ้มมีความสุขได้ไหม (ได้) 
เราจะบอกให้นะ แต่ก่อนเราก็ไม่เข้าใจหรอกว่าการเรียนรู้ธรรมะนั้นดีอย่างไร ก็มีคนบอกเราว่า เรียนรู้ธรรมะเข้าใจธรรมะแล้วจะทำให้เราพ้นทุกข์ได้นั้นเป็นสิ่งดีนะ เราก็คิดอยู่ในใจว่า แล้วทุกข์นั้นน่ากลัวไหม เราว่าจริงๆ ทุกข์ก็ไม่ได้น่ากลัว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเข้าใจธรรมะเราว่าน่ากลัวกว่าเข้าใจทุกข์เสียอีก เพราะว่าพอบอกว่าธรรมะคืออะไร เข้าใจยากจังเลย อย่างนั้นถ้าเราพูดง่ายๆ ว่า ทำไมเราต้องเรียนรู้ธรรมะก่อนดีไหม (ดี)  เพราะหลายคนพอบอกว่าให้มาเป็นนักเรียนฟังธรรมะ คนส่วนใหญ่จะบอกว่า รู้แล้ว เรื่องที่พูดมารู้หมดแล้ว อย่างนั้นเราจะบอกให้นะว่า ถ้าใครพูดอะไรมา แล้วเราบอกว่าเรารู้หมดแล้ว อย่างนั้นเราเรียกว่า รู้แบบอวดรู้ แต่ผู้รู้ธรรมะที่แท้จริงบอกว่า รู้แล้วเหมือนไม่รู้ ให้รู้แล้วปล่อยวาง ถ้าบอกว่าตัวเองรู้ไปเสียทั้งหมด สิ่งที่ตัวเองรู้นั่นแหละมันจะทำให้ทุกข์ เพราะคิดว่าตัวเองรู้ พอใครบอกว่าไม่รู้ก็เลยโกรธ แล้วพอทุกสิ่งไม่เป็นดั่งที่รู้ก็ทุกข์
การเรียนรู้ที่แท้จริงแล้วจะเข้าใจธรรมะก็ต่อเมื่อเรียนรู้แล้วปล่อยวาง แต่ถ้าเรียนรู้แล้วยึดติดยึดมั่น มันก็คือทุกข์ เพราะเวลาที่เราฟังหนึ่งเรื่องไม่มีใครเข้าใจเหมือนกัน ทุกคนจะเข้าใจตามความคิด ตามความรู้ ตามสติปัญญาภูมิธรรมลึกตื้น ถูกไหม (ถูก)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาชูนิ้วชี้ขึ้น J)
อันนี้อะไร (หนึ่ง นิ้วชี้)  บอกแล้วยังไงก็ต้องบอกว่าตัวเองรู้ เราทุกข์ก็เพราะพยายามที่จะบอกว่า มันเป็นอะไร ไม่มีใครบอกหรอกว่าไม่รู้ พยายามรู้หมดเลย หนึ่ง นิ้วชี้ เรามั่นใจว่าอันนี้คือหนึ่ง อันนี้คือนิ้วชี้ แต่ถ้าเกิดว่ามันไม่ใช่หนึ่ง ไม่ใช่นิ้วชี้ แต่มันกำลังจะชี้ออกไปเพื่อด่าคน ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เหมือนเวลาเราเห็นสามีเรา เราเห็นลูกเรา เราเห็นภรรยาเรา พอแค่บอกว่า ออกไปข้างนอกนะ เรานึกในใจว่าจะไปเที่ยวแน่เลย ใช่ไหม (ใช่)  เพราะว่ารู้เราจึงทุกข์ แต่ถ้าเราไม่อยากทุกข์ เราก็ไม่ต้องรู้ และต้องพยายามสร้างบุญ มนุษย์มักจะพูดว่าเราทำบุญเพื่อชำระใจให้บริสุทธิ์ แล้วบุญนั้นจะบริสุทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อสิ่งที่ให้บริสุทธิ์ แล้วเจตนาที่ให้ก็ต้องบริสุทธิ์ทั้งก่อนให้ ขณะให้และหลังการให้และผู้รับไปก็ต้องบริสุทธิ์ บุญนั้นถึงจะชำระใจให้บริสุทธิ์
ทำไมเวลาเขาบอกว่า จะออกไปข้างนอก ทำไมเราไม่ให้ทาน สร้างเจตนาที่ดี ขอให้เดินทางโดยปลอดภัยนะ ถ้าเรายัดเยียดและให้ในสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ และให้เจตนาที่เป็นทุกข์ ผลสุดท้ายทุกข์ทั้งเราและทุกข์ทั้งเขา จริงไหม (จริง)  เพราะเพียงแค่เรารู้ ใช่ไหม (ใช่) 
พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า จิตคือต้นธารแห่งความรู้ ถ้าจิตบริสุทธิ์ ความรู้ก็แจ่มชัด และความรู้นี้เองคือหลักสำคัญของหัวใจ ถ้าความรู้คือหลักสำคัญของหัวใจ และถ้าความรู้นั้นถูกต้อง ไม่อคติ ไม่ลำเอียง ไม่ติดชอบ ไม่
ติดชัง สิ่งที่เรารู้ก็จะทำให้เราสงบสุข แต่เรานั้นไม่ใช่ เรามองใคร เราเห็นใคร เจตนาเราไม่ค่อยบริสุทธิ์เท่าไร ใช่ไหม (ใช่)
  ไหนบอกว่าเป็นคนชอบทำบุญ บุญที่แท้คือบุญที่ชำระใจให้บริสุทธิ์ แต่ถ้าทำบุญแล้วโลภ แล้วโกรธ แล้วหลง แล้วยึดมั่น นั่นไม่เรียกว่าบุญ แต่นั่นเป็นการหลงบุญแล้วติดกิเลส ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
การเรียนรู้ฝึกฝนธรรมะจึงสอนไว้ว่าไม่จำเป็นต้องรู้ภายนอก แต่ให้รู้เตรียมตัวภายในใจ ไม่จำเป็นต้องเห็นชัดภายนอก แต่ขอให้เห็นชัดภายในใจตนเองว่า มันจะเยี่ยมหรือมันจะแย่ก็รับได้ เพราะไม่ได้เห็นชัดข้างนอก แต่เห็นชัดข้างใน เพราะไม่ได้รู้จักข้างนอก แต่รู้เท่าทันใจ เหมือนเวลามีปัญหา มนุษย์พยายามแก้ข้างนอก แต่ลืมมองใจตนเอง ยอมรับได้ไหม ถ้ามันไม่ปกติ ยอมรับได้ไหม ถ้ามันไม่เป็นดั่งใจคิดและสู้ไหวไหมถ้ามันไม่มีอะไรที่รู้สึกดีเลย ฉะนั้นธรรมะจึงไม่ได้สอนให้รู้ข้างนอก แต่ธรรมสอนให้รู้ข้างใน ธรรมไม่ได้สอนให้พยายามเข้าใจข้างนอก แต่ธรรมสอนให้เข้าใจข้างในก่อน เพราะไม่มีอะไรดีที่สุด และไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงแท้แน่นอน
มันเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ถ้าเราเข้าใจธรรม ธรรมจะทำให้เราเข้าใจความเป็นจริงว่าโลกใบนี้ดูเหมือนรู้แต่ไม่รู้ ดูเหมือนจะเข้าใจแต่ก็เหมือนไม่เข้าใจ ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์ อยากสมหวังก็อย่าไปคาดหวังและคิดว่าตนเองรู้อะไรเลย ดีไหม (ดี)
 
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาตีที่แก้มผู้ปฏิบัติงานธรรมคนหนึ่งแล้วถามนักเรียนในชั้นว่าเจ็บไหม)
ถ้าบอกว่าเจ็บแปลว่าท่านกำลังเอาทุกข์ของเขามาฝากไว้ในใจ ที่มนุษย์ทุกข์อยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่ทุกข์เพราะโดนกระทำ แต่ทุกข์เพราะเอาสิ่งที่โดนกระทำมาคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเวลาเราโดนเขาด่า เราทุกข์เพราะเขาด่าหรือเราทุกข์เพราะเราเอาคำด่ามาคิดซ้ำ คิดแล้วคิดอีก ทุกข์เพราะคำพูดหรือทุกข์เพราะเอาสิ่งคิดมาแขวนไว้ในใจจนปล่อยวางไม่ลง ฉะนั้นพุทธะจึงสอนไว้ว่า รู้เพื่อวาง ไม่ใช่รู้เพื่อเก็บแล้วยึดมั่นจนเกิดทุกข์ แล้วเมื่อสักครู่จบหรือยัง แล้วตีทำไม ยังสงสัยอีกไหม ไม่มีอะไรก็แค่มือไปแตะเนื้อ ก็แค่นั้นเอง เมื่อรู้แล้ววาง กรรมเราก็จบ แต่ถ้าเรารู้แล้วไม่วางก็ก่อเกิดเป็นโกรธ เกลียด จองเวร จองกรรม วิบากกรรมและการเวียนว่ายวน เราอยากเป็นแบบนั้นไหม (ไม่อยาก)  หลายคนมักพูดว่า ทำดีไม่เห็นได้ดี ส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนมีความทุกข์ เเล้วเวลาทุกข์มากๆ ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร เราก็เลยหันหน้าไปพึ่งบุญ เผื่อบุญจะทำให้เราคลายทุกข์ เเต่พอเราไปทำบุญแล้วมันคลายทุกข์ไหม เมื่อไปเจอศัตรูก็โกรธอีกเอาใหม่เดี๋ยวค่อยไปทำบุญ ถูกหรือไม่ ไม่ถูกนะ บุญที่เเท้จริง เเปลว่าเครื่องชำระล้างใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์ จนไม่มีกิเลสมาทำให้เราขุ่นหมองใจ ฉะนั้นถ้าทำอะไรเเล้วใจเราสะอาด บริสุทธิ์ โล่ง โปร่ง เบา อย่างนั้นเรียกว่าบุญ เเต่ทำไมเวลาเราไปทำ เรากลับบอกว่า ทำเเล้วต้องได้ดี ทำเเล้วต้องหวังผล ทำเเล้วขอให้ร่มเย็นเป็นสุข รวยๆ หรือถูกหวยสองตัวก็ยังดี เเล้วอย่างนี้เรียกว่าบุญชำระล้างใจไหม เราว่ามันเป็นบุญหลงทาง ทำเเล้วหลงยึดติด ทำเเล้วหลง ทำเเล้วโลภ ทำเเล้วหลงยึดมั่นถือมั่น อย่างนี้ใจมันไม่สะอาด เพราะฉะนั้นบุญจึงไม่ตกผล เพราะเป็นบุญยึดหลงผิดทาง เพราะฉะนั้นบุญที่เเท้จริงต้องทำเเล้วปล่อยวางความยึดมั่น ทำเเล้วไม่ก่อเกิดเป็นกิเลส เพราะฉะนั้นการทำบุญคือชำระใจให้สะอาด ชำระใจให้ผ่องใส เเล้วช่วยลดความโลภ ความหลงตระหนี่ในทรัพย์ สมบัติผลัดกันชม เงินทองร้อยพันเจ้าของ สามีผลัดกันใช้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่อย่างหลังมันฟังดูแปลก แต่บางทีมันก็ใช่นะ เพราะเราไม่รู้อะไรแน่นอน ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมจึงสอนให้เรารู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น แต่ไม่ใช่ให้ไปรู้ให้ไปเห็นใคร แต่สอนให้เรารู้และเห็นชัดในตัวตนแห่งความเป็นจริงบนโลกใบนี้ ว่ามันเปลี่ยนแปลงได้ทุกขณะ ว่ามันไม่เที่ยง ว่ามันไม่ใช่ของเรา แล้วถึงที่สุดเราไม่ได้มีหน้าที่ทุกข์ แต่เรามีหน้าที่เข้าใจและปล่อยเขาไป อย่าไปเอามาเก็บไว้ในใจให้อกกลัดหนองเลยนะ
อยู่ในโลกนี้เราจะเอาชนะทุกข์ได้อย่างไร ก็ในเมื่อบอกว่าทำบุญแล้วไม่ช่วยให้หายทุกข์ บุญแค่ช่วยทำให้เราปล่อยวางไม่ยึดมั่น เพราะฉะนั้นเราต้องหาให้ถูกว่า เหตุแห่งทุกข์นั้นมาจากไหน ทุกข์บางทีเกิดขึ้นเพราะว่าไม่สมหวัง ทุกข์เกิดขึ้นเพราะโดนคนว่า ทุกข์เพราะว่าเรารู้สึกทำดีแล้วเหมือนไม่ได้ดี ทำดีกับใครแล้วเหมือนไม่ได้ดีเลย
เราถามว่า อย่างแรกทุกข์เพราะไม่สมหวัง ไม่สมหวังเรื่องอะไร (อยากได้ในสิ่งที่อยากได้แล้วไม่ได้)  เราเลยผิดหวังแล้วเป็นทุกข์ ถ้าเกิดอยากแล้วทำให้เราไม่ทุกข์ คิดแค่เพียงว่า ช่วงที่เรากำลังหาอยู่นั้นได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ใช่หรือไม่ (ได้ก็ดี)  แน่ใจหรือว่าได้แล้วดี ไม่แน่นะได้มาแล้วมีหนี้ก็ไม่รู้นะเพราะถึงเวลาได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พอถึงเวลาได้มา มีหนี้ก้อนโตเลย ต้องทุกข์ขนาดนี้ บางทีไม่เอาดีกว่าจริงไหม (จริง)   ในความเป็นจริงของคนบนโลกนี้ คนสมหวังมีแค่ ๑% คนผิดหวังมีมากถึง ๙๙% จริงไหม (จริง)  ใครในโลกสมหวัง แล้วตัวท่านทำให้ตัวเองสมหวังกี่ครั้ง ฉะนั้นถ้าอยากได้อะไรท่านต้องประเมินตัวเองก่อนว่าที่ทำมาสำเร็จไหม แล้วจะได้ไม่ทุกข์กับการคาดหวังว่าได้หรือไม่ได้ ฉะนั้นคิดให้ดีๆ เพราะโลกนี้เป็นโลกของการเปลี่ยนแปลง เราคิดว่ามันดี พอถึงเวลาสิ่งที่ดีเกิดเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ ตอนนั้นจะไม่อยากได้เลย ฉะนั้นมองโลก มองความอยากต้องมองให้ชัด ไม่เช่นนั้นจะต้องทุกข์เพราะความอยาก
ถ้าอยากอยู่ในโลกนี้แบบมีความสุข ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ดีเพราะเราทำเต็มที่แล้ว ถึงที่สุดมนุษย์ต้องกลับทางสายเก่าที่อะไรๆ เราก็ไม่มี จริงไหม (จริง)  ถึงที่สุดแล้วอะไรๆ ก็ไม่ใช่ของเรา แล้วเราจะมีให้เยอะๆ แล้วค่อยไปปล่อย ทำใจไหวไหม (ไม่ไหว)  สู้ทุกขณะนั้นเมื่อมีแล้วก็ปล่อย มีแล้วก็ปล่อย อันไหนฝึกใจได้ดีกว่ากัน ตอนนี้เห็นมีไว้ก่อนทั้งนั้นเลย เดี๋ยวตายแล้วค่อยปล่อยใช่ไหม ตายแล้วปล่อยทันไหม (ไม่ทัน)  แล้วต้องมาทุกข์แล้วก่อเกิดกรรมไม่จบสิ้น จริงหรือไม่ (จริง)  
พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ถ้าเรารู้ว่าเป็นทุกข์ รับรู้แต่ไม่เก็บ เรียนรู้เพื่อปล่อยวาง แต่มนุษย์ไม่ใช่ เก็บทุกอย่าง แล้วสุดท้ายใจก็เป็นถังขยะเน่าๆ นี่เอง ใจท่านมีเรื่องดีเยอะกว่าหรือเรื่องไม่ดีเยอะกว่า (เรื่องดี)  ถามว่าใครทำดีกับเราบ้างท่านตอบจำไม่ได้ แต่ถ้าถามว่าใครทำไม่ดีอะไรบ้าง ท่านกลับจำได้
ฉะนั้นอะไรไม่ดีปล่อยวางไป อย่าเก็บไว้ในใจ เราตื่นมาเรายังรู้จักอาบน้ำ แต่การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมสอนให้เราชำระจิตใจให้สะอาด แต่เดี๋ยวนี้เราเคยมองใครแล้วตาใสมีไหม เห็นอะไรแล้วใจปลอดโปร่งมีไหม ไม่มีเลย ใจเด็กๆ ที่เคยใส ที่เคยปลอดโปร่งหายไปไหนหมด ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอะไรที่จะช่วยทำให้เรากลับคืนความใส นั่นก็คือหมั่นมีศีล มีธรรม ประพฤติ‍‍‍ชอบ ปฏิบัติชอบ ไม่ใช่ขาดศีล ขาดธรรม เหล้าก็เอา บุหรี่ก็เอา
ฉะนั้นถ้าพลิกใจเป็นมนุษย์ที่บอกว่าทุกข์ก็จะกลายเป็นสุข และสุขที่เคยบอกว่าเป็นแค่สุขทางโลก มันก็จะกลายเป็นสุขแห่งความเข้าใจในธรรมที่เบิกบานและรู้แจ่มชัด พุทธะก็เป็นเวไนย เวไนยก็เป็นพุทธะ อย่างนั้นก็สุขสมหวัง อะไรๆ ก็ดี แล้วอยู่ในโลกจะได้ไม่ทุกข์เพราะความคิดของตัวเองที่หลงยึดมั่นถือมั่นว่า ฉันรู้ แต่จริงๆ พุทธะบอกว่า คนที่บอกว่าฉันรู้ แท้ที่จริงก็คือคนอวดรู้ แต่พุทธะที่แท้จริงท่านบอกว่า ท่านไม่รู้จักคนอื่น แต่ท่านรู้จักตัวเอง ท่านไม่มัวแต่มองดูจับผิดใคร แต่ท่านมัวแต่มองดูจับผิดแก้ไขตน นี่จึงเรียกว่าการฝึกฝนบำเพ็ญธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ รู้แต่เรื่องคนอื่นไปหมด แต่ไม่รู้ใจตนเอง จับผิดคนอื่นได้ชัดเจนไปหมด แต่ไม่เคยรู้ว่าตัวเองผิดถูกอะไรแล้วรู้จักแก้ไข ใช่ไหม (ใช่)  โลกจึงยุ่งทุกวันนี้เพราะมนุษย์วิ่งตามแต่กิเลส ไม่ตามความเป็นจริง
สุขสมหวัง สุขสมหวัง สุขสมหวัง สุขสมหวังนะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร สุขสมหวังแล้วยิ้มให้ออกนะ รู้เพื่อปล่อยวาง ไม่ใช่รู้เพื่อเอามาเก็บฝังใจแล้วไปว่าเขา ไม่เอานะ เราไม่เกี่ยวกรรม ถูกไหม (ถูก)


วันอาทิตย์ที่ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙              สถานธรรมหมิงเฉิง อ.สามเงา จ.ตาก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  อันความคิดความเคยชินและนิสัย      ความเข้าใจวจีกรรมความประพฤติ
ทั้งหมดนี้ไม่ให้อยู่ในด้านมืด              ขอให้ยึดหลักธรรมเป็นแนวทาง
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานหมิงเฉิง แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                    ถามศิษย์รักของอาจารย์สบายดีไหม

ต้นน้ำทอดยาว บนฟ้าสว่างใส ใบไม้ก็ไหวไป ลมพัดปะทะหน้า ปีนึงเผลอพริบตา ทุกข์สุขผ่านหัวใจ แต่ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย
*ยอดไม้ที่ไหวเอน รู้ตน รู้จุดหมาย สังคมขยายไป รู้ตัวก็หลงยาก เหนื่อยตั้งแต่ต้นปี ดีหน่อยเมื่อท้ายปี ศิษย์ต้องลงแรงหน่อยงานนี้ตั้งแต่วันนี้
**ทุกทุกวันจะต้องยอมรับความจริง ชีวิตหยั่งรู้เท่ากันที่ไหน จิตใจคลี่คลาย  เรื่องเดิมเดิม แบบแผนใหม่ เห็นความเปลี่ยนไป นั่นคือความหมาย ที่บำเพ็ญธรรม
ฟ้าสวยไม่หลงตา แม้ลิบโลกแห่ชม ศิษย์รักนั่งหน้าก้ม ทำตัวอย่างไร้ค่า เจ้าคิดแต่ไม่ทำ โอกาสสูญสิ้นเสียไป อยู่ใกล้ไยไม่มาชื่นชม
(ซ้ำ *,**,**,**)
ทำนองเพลง อากาศดีดี
ชื่อเพลง ฟ้าสวยไม่ไร้คนชื่นชม

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ส่วนใหญ่พอบอกว่าปีใหม่แล้ว ก็จะทำอะไรให้ใหม่ขึ้น และจะทำอะไรให้ดีขึ้น สิ่งที่ไม่ดีก็จะแก้ไขให้ดีขึ้น ถ้าอย่างนั้นปีใหม่ใครจะใจเย็นขึ้นบ้าง อย่างนี้ปีที่แล้วมา ศิษย์ใจร้อน ใช่ไหม (ใช่)  แล้วใครจะยิ้มให้มากขึ้น ปีใหม่จะโมโหให้น้อยลง แปลว่าปีเก่าที่ผ่านมาหาดีไม่ค่อยเจอ ทั้งใจร้อน โมโห ยิ้มยาก น่ากลัวนะ เกิดเป็นคนถ้าใจร้อน เจ้าอารมณ์ ยิ้มยาก ไม่มีใครเข้าใกล้นะ ฉะนั้นต้องเป็นคนอย่างไร (ใจเย็น ยิ้มง่าย ไม่ขี้โมโห ไม่เอาแต่ใจ)  เพราะเวลาขี้โมโหแล้วจะมีอารมณ์อื่นร่วมด้วย ขี้หงุดหงิด ขี้รำคาญ
ขี้เบื่อ ขี้บ่น เครียด ถ้าอย่างนั้นควรมีไหม (ไม่มี)
  เพราะมันเป็นขี้ แล้วถ้าเป็นขี้เราควรจะเก็บไหม (ไม่ควร)  แต่อยู่ในใจศิษย์ตลอด ในเมื่อไม่ควรเก็บ เวลาเจอคนที่ทำให้โมโหเราควร (ยิ้ม)  เขาตบหน้ามาเราก็ยื่นให้เขาตบหน้าอีกครั้งเลย บางทีเขาโมโหตบหน้าให้สาแก่ใจ แล้วบอกเขาได้ว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์ หนูทนได้ ศิษย์เอ๋ยบางทีตอนนี้พูดได้อย่างน่าหัวเราะ แต่ถึงเวลาเจอจริงๆ ต้องรับให้ได้นะ เพราะเรื่องบนโลกนี้มีหลายเรื่องราวที่เราไม่สามารถคาดเดาได้ แต่เราอยากจบแบบ Happy endding หรือจบแบบจองเวรจองกรรม (Happy endding)
ฉะนั้นถ้าเราอยากจบเรื่องราวกันด้วยความสุข อยากจบเรื่องราวกันด้วยรอยยิ้ม อยากจบเรื่องราวกันด้วยมิตรมากกว่าเป็นศัตรู ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมมีมิตรเป็นพันคนยังไม่พอเท่ากับมีศัตรูแค่หนึ่งคน
มีมิตรเป็นพันเป็นร้อยคนยังไม่สามารถเยียวยาใจเราได้ ถ้าเรามีศัตรูแค่หนึ่งคน
 แล้วทำไมเวลาเราอยู่ร่วมกันเราจึงไม่สร้างมิตร ทำไมเราอดทนไม่ได้ ยอมไม่ได้ แล้วผลสุดท้ายคนที่ทำให้เราทุกข์ก็คือตัวเราเองที่ไม่ยอมอดทน ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกศิษย์ว่า หากศิษย์อยากอยู่ในปีต่อไปนี้ให้มีความสุขและทำให้ศิษย์สามารถสุขได้จริงๆ ขอให้อดทน เสียสละหน่อยได้ไหมและทำอะไรด้วยสติปัญญาหน่อยได้ไหม (ได้)  ถ้าทำได้อย่างนี้ คุณธรรมเหล่านี้จะนำพาให้ศิษย์ไม่ต้องเจอทุกข์ ศิษย์เคยได้ยินไหม ผู้ที่มีความมั่นคงในความพากเพียรอดทนอดกลั้น ไม่ย่อหย่อน ไม่ว่าเจออารมณ์ใดมากระทบกระแทกกระทั้น ก็สามารถวางเฉย ไม่ยินดียินร้ายได้ ผู้นั้นจะประสบสุขที่ประเสริฐที่สุด
ผู้ใดที่มีความมั่นคงในความเพียรไม่ย่อหย่อน สามารถอดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่ยากทนได้ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย สามารถรักษาความปกติเฉยเย็นได้
ผู้นั้นจะประสบความสุขอันประเสริฐที่สุดในโลกใบนี้ จริงไหม (จริง)
  อดทนต่อความเพียรไม่ย่อหย่อน ไม่มีความยินดียินร้ายใดๆ ในโลก เขาด่าก็ดี
เขาชมก็ดี เขารักก็ดี เขาเกลียดก็ดี เห็นความดีความร้ายเสมอกัน เห็นทุกข์สุขเท่ากัน ไม่มีอะไรในโลกที่จะทำให้ศิษย์ต้องเจ็บปวด เขาอยู่หรือไม่อยู่ก็รู้สึกเท่ากัน เขารักหรือไม่รักก็รู้สึกเท่ากัน เขาดีหรือไม่ดีก็รู้สึกเท่ากัน ใช่ไหม (ใช่)
  แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชมก็ดี ไม่ชมก็เกลียด อารมณ์จึงแปรไปแปรมา เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ ไม่เหนื่อยหรือศิษย์เอ๋ย ไม่เหนื่อยกับการผันแปรไปตามอารมณ์ของใจหรือ ไม่เหนื่อยไปกับความผันแปรของความรู้สึกที่ไม่เคยเที่ยงหรือ ถ้าเหนื่อยแล้วทำไมไม่ปล่อยวางแล้วทำความเข้าใจในความจริงบนโลกใบนี้ล่ะ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นจึงมีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวว่า ถ้ามนุษย์เลือกเดินตามธรรม มนุษย์จะค้นพบความสงบสุข แต่ถ้ามนุษย์ขาดธรรม มนุษย์จะพบแต่ความโกลาหล และเป็นทุกข์ในที่สุด ฉะนั้นเมื่อเวลามีชีวิตเราเลือกตามธรรมหรือเราเลือกตามใจ (ตามธรรม)  จริงหรือ (จริง)  เห็นเวลาทำอะไร อยากไว้ก่อน”  กิเลสมาก่อนธรรมะอีก ใช่ไหม ถ้าตามธรรมถึงเวลาเขาชวนให้มาฟังธรรมมาไหม (มา)  เห็นไม่ ก่อนมา ทุกทีเลย ถ้าตามกิเลสก็มีแต่ความทุกข์และการเวียนว่ายวน แต่ถ้าตามธรรมก็มีแต่ความสงบ อาจารย์ถามง่ายๆ คนหนึ่งทำอะไรถือธรรมเป็นหลัก พูด คิด อยู่ร่วมกับใครถือเมตตาธรรม ถือมโนธรรมสำนึก ถือความละอายเกรงกลัวต่อบาป คนนั้นจะทำผิดไหม (ไม่ผิด)  แต่ถ้าอีกคนหนึ่งคุณธรรมไม่สน ตามอารมณ์เป็นใหญ่ ตามความอยากเป็นใหญ่ ตามบุหรี่ ตามเหล้าเป็นใหญ่ ผิดไหม ผิดศีลตั้งแต่แรกเลย อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า แล้วเรามีชีวิตอยู่เราควรตามธรรมหรือตามกิเลส (ตามธรรม)  แล้วเรามีธรรมบ้างไหม (มีสติ)  มีสติแต่สติตามใจ อย่างนั้นก็ยังไม่ค่อยเข้าถึงธรรมนะ (ตามเหตุผล)  ตามเหตุผลหรือ แต่บางครั้งศิษย์เคยได้ยินไหม เหตุผลของเราบางทีก็ไม่ถูกต้องกับเหตุผลของเขา ถูกหรือไม่ ฉะนั้นถ้ามีสติตามธรรมย่อมประเสริฐกว่าสติตามใจ เพราะเหตุผลของคนๆ หนึ่งอาจไม่ถูกสำหรับอีกคนๆ หนึ่ง และบางทีเหตุผลที่ใช้ได้ตอนนี้ก็อาจใช้ไม่ได้ในอีกสองสามวันข้างหน้าได้ เหมือนกัน ถูกไหม (มันไม่แน่นอน)  มันไม่แน่นอน ฉะนั้นควรตามธรรมหรือตามเหตุผล (ตามเหตุผลและตามธรรม)  ตามเหตุผลและตามธรรม แต่ศิษย์เคยได้ยินไหมว่าเรื่องบางเรื่องในโลกใบนี้บางทีตามธรรมเหมือนไม่มีเหตุผลนะ เหมือนง่ายๆ คนบางคนเขารักคนอื่นหมดแต่ทำไมเขาไม่รักเรา หาเหตุผลได้ไหม (ได้)  (เพราะเราทำตัวแบบไม่มีเหตุผล เขาก็ไม่รักเรา)  เราทำตัวแบบไม่มีเหตุผลเขาเลยไม่รักเรา จริงหรือ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนเล่นเกม ปรบมือ ผงกหัว ซอยเท้า) 
ตัวศิษย์เองนั้นต้องรู้จักควบคุมตนเองให้ได้ ถึงจะรู้อะไรดีมากแค่ไหน แต่ถ้าถึงเวลาเราควบคุมตัวเองไม่ได้ เราไม่รู้จักควบคุมกายใจตัวเองให้ดี
คนที่จะต้องรับผลของความผิดพลาดนั้นก็คือตัวศิษย์เอง ฉะนั้นเวลาทำอะไรขอให้มีสติอย่างที่ศิษย์คนนี้ว่าไว้ แต่เรื่องความผิดพลาดก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่จะทำให้เราต้องทุกข์ ผิดก็กล้ายอมรับแล้วก็เปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ดีขึ้น ไม่ใช่ผิดแล้วก็เอาแต่ซ้ำเติมตัวเอง แล้วไม่ทำอะไรให้ดีขึ้น อย่างนั้นก็น่าเสียดาย ชีวิตมันไม่ง่าย ยิ่งอยู่บนโลก มันก็เรื่องยากขึ้นมาเยอะ แล้วเรื่องยากมาพร้อมๆ กัน หลายๆ เรื่อง อย่างนั้นอาจารย์เพิ่มเป็นปรบมือ ผงกหัว ซอยเท้า ได้ไหม (ได้)
  ก็ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่ไม่เคยมักน้อย มักมากตลอด ไม่เคยอยากมีอะไรอย่างเดียว ต้องมีอะไรหลายๆ อย่าง พอมันมีอะไรหลายๆ อย่าง คุมได้ไหม (ไม่ได้)  คุมไม่ได้แล้วทำอย่างไร พอทำอะไรไม่ได้ โยนมันทิ้งไปเลยอาจารย์ โยนไปให้พ้นๆ เลย ถูกไหม การศึกษาธรรมไม่ให้เราหนีทุกข์ แต่ให้เราอยู่ร่วมกับทุกข์โดยที่ไม่ให้ทุกข์มันทำให้เราทุกข์ ไม่ตกเป็นทาสของทุกข์ ฉะนั้นเราลองคุมให้ได้ ช้าๆ นะ ลองดูนะ ผงกหัว ปรบมือ ซอยเท้า พร้อมกันสามอย่าง ยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่ยาก ชีวิตศิษย์ก็เป็นแบบนี้ ตัวเองยังไม่พอ มีสามี มีลูก มีภรรยา มีน้อย ทุกข์คนเดียวไม่พอยังหาห่วงเพิ่มอีก แล้วเข็ดไหม (ไม่เข็ด)  อย่างนั้นลองดูนะว่าทำได้ไหม ลองดู ยากๆ ศิษย์ยังสู้มาได้เลย เรื่องแค่นี้ทำไมเราไม่ลองสู้มันสักตั้ง เพราะคิดว่าตัวเองคุมอยู่ เอารอด ศิษย์พอไหม ไม่พอ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นคราวนี้เพิ่มขยับปีก ดีไหมดีไหม (ดี)  พร้อมนะ ขยับแบบนี้นะ
(พระอาจารย์เมตตาขยับให้นักเรียนในชั้นดูเป็นตัวอย่าง)
แค่ขยับก็ตบมือแล้ว นักเรียนเคยเห็นลิงตีฉาบไหม อาจารย์ให้จังหวะนะ หนึ่งที พอไหม (ไม่พอ)  ชีวิตจริงไม่พอ ต้องเอาอีก ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อยไหวไหม (ไหว)  เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  อาจารย์กลัวศิษย์ทำไม่ได้ ศิษย์เอยความอยากในโลกก็เหมือนกัน เราคิดว่าตัวเราคนเดียวเราไหว เพิ่มแบบนั้นอีกหน่อย แบบนี้อีกหน่อย พอถึงเวลาที่มาพร้อมๆ กันเรารับไหวไหม (ไม่ไหว)  หนึ่งคนก็หนึ่งทุกข์ สองคนก็สองทุกข์ สามคนก็สามทุกข์ แต่ศิษย์มีเท่าไร นับไม่ถ้วนเลย แล้วถ้าถึงเวลาทุกข์พร้อมๆ กันรับไหวไหม (ไม่ไหว)  ในเมื่ออยากมีก็ต้องกล้ารับนะศิษย์ อาจารย์ถามศิษย์นะ ตอนนี้จะพยายามหาวิธีแก้กับสิ่งที่มีแล้ว หรือหาวิธีแก้กับสิ่งที่ทำอย่างไรให้มีแล้วไม่ทุกข์ เพราะว่าไปแก้กับต้นเหตุไม่ทันแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  
ก็เหมือนกับที่ศิษย์มักจะพูดว่า อาจารย์มันมีไปเยอะเเล้ว จะทำอย่างไรที่จะอยู่กับสิ่งที่มีเเล้วมันไม่เป็นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  มีลูกก็ทุกข์เพราะ (ลูก)  มีเงินก็ทุกข์เพราะ (เงิน)  มีสามีก็ทุกข์เพราะ (สามี)  มีภรรยาก็ทุกข์เพราะ (ภรรยา)  มีเพื่อนก็ทุกข์เพราะ (เพื่อน)  มีตัวเองก็ทุกข์เพราะ (ตัวเอง)  ทุกข์ไปหมดทุกอย่างเลยอาจารย์ มันก็ต้องทุกข์เป็นธรรมดา ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นมีความทุกข์
อาจารย์พูดใหม่ คนเราเกิดมา มีความเกิด มีความแก่ ใช่ไหม แต่อาจารย์เคยได้ยินอีกคำหนึ่ง คนเรามีความเกิดเป็นทุกข์ เเก่ก็เป็นทุกข์ เจ็บก็เป็น (ทุกข์)  ตายก็เป็น (ทุกข์)  พลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็น (ทุกข์)  อยู่กับสิ่งที่รักก็เป็น (ทุกข์)  ผู้ใดที่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ผู้นั้นจะต้องประสบกับยอดทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ถ้าอาจารย์ถามว่ากินลูกพลับ แล้วมีทุกข์สุดๆ กินไหม (ไม่กิน)  เอาไม่เอา (ไม่เอา)  
พระอาจาย์เมตตาถามหัวหน้าชั้น เอาไม่เอา (เอาครับ)  ลูกเดียวพอไหม (พอครับ)  อาจารย์ให้อีก เพราะมีของเราแล้วก็ต้องมีของภรรยา ของลูก ของพ่อแม่ (ของพี่สาว)  เอาอีกไหม (พอแล้ว)  พอจริงหรือ ถือไหวไหม (ไหว)  แล้วจะเดินกลับไปรอดไหม แน่ใจนะ ห้ามหล่นนะ ถ้าหล่นเอากลับมาคืน แล้วศิษย์แน่ใจนะว่าจะอยู่กับอาจารย์จนจบสองชั่วโมงไม่ หล่นจากตัวเลย ถ้าหล่นสักลูกหนึ่งอาจารย์เอาคืนหมดเลยนะ เดี๋ยวอาจารย์คอยดู จากที่จะได้ทั้งหมดหรืออย่างน้อยจะได้สักลูกหนึ่ง แต่ตอนนี้อาจจะไม่ได้เลยก็ได้ ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์ก็เหมือนกับหัวหน้า
รู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์ การแก่เป็นทุกข์ การอยู่กับสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ การพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ และการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่อาจารย์พูดซึ่งเรียกว่า ขันธ์ห้าหรือตัวตนคือทุกข์ นั่นแหละก็คือตัวตน ฉะนั้นถ้าเมื่อไรที่เผลอยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เมื่อนั้นเราจะทุกข์ตั้งแต่ต้นจนสุดท้าย ทุกข์ตั้งแต่เกิดจนตาย แก่ก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์ มีก็ทุกข์ ไม่มีก็ทุกข์ ในเมื่อเรารู้ขนาดนี้ ทำไมเรายังเผลอยึดมันอีก ทำไมเรายังเผลออยากกับมันอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วพอถึงเวลาจริงๆ แล้ว เราจะเอามันไปพ้นไหม
(ไม่พ้น)  อาจารย์ถามนะ ศิษย์เอาไปเท่านี้ ศิษย์แน่ใจนะว่าจะครบแล้วมีสุขทุกคน เดี๋ยวคนนั้นได้ คนนี้ไม่ได้ เดี๋ยวคนนั้นมี คนนั้นไม่มี น้อยใจไหม ฉะนั้นสู้ไม่เอาไปเลยดีไหม ไม่น้อยใจทั้งหน้าและหลัง ใช่ไหม แล้วไม่ต้องแบกให้มันทุกข์ด้วย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเคยคิดแบบนี้ไหม ถึงเวลาเราบอกว่า เอาก่อน อยากก่อนอาจารย์ เดี๋ยวทุกข์ค่อยไปแก้ทีหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงคิดต่างกัน มนุษย์พยายามดับที่ผล พุทธะพยายามหยุดที่เหตุ มนุษย์พยายามกลบปัญหา แต่พุทธะหยุดสร้างปัญหา มนุษย์อยู่กับการเกิดๆ อยากๆ แต่พุทธะอยู่กับความดับสิ้นแล้วซึ่งความอยาก ฉะนั้นคุณค่าความหมายมันต่างกัน เราตื่นขึ้นมาเราอยากอะไร แต่พุทธะตื่นขึ้นมาดับอะไร จบอะไร วางอะไร เห็นไหม ว่าต่างกันไหม ใช่ไหม (ใช่)  เอาไหมหัวหน้า ไม่เป็นไรมันตกนิดหน่อยศิษย์ (เอา)  ศิษย์เอย ถึงเวลาที่เจอเรื่องที่มันชอกช้ำแล้วเราจะเก็บมันขึ้นมาไหวหรือ 
(ลูกพลับตกลงพื้น)
เมื่อสักครู่อยากได้แต่ตอนนี้มันตกไปแล้ว ศิษย์จะเก็บขึ้นมาแล้วรับไหวไหม ถ้ารู้ว่ามันตกแล้ว มันพลาดไปแล้ว แล้วถ้ารับไม่ไหวแล้วเจ็บปวดเกินจะรับก็ปล่อยให้จบๆ ไป อย่าไปเก็บมาฝังไว้ในใจ ใช่ไหม (ใช่)  เรื่องบางเรื่องเราคิดว่าเราทำดีที่สุดแล้ว แต่คนรับเขาไม่ชอบ คนรับเขารังเกียจ คนรับเขาปัดอย่างไม่ใยดี แล้วเราจะเก็บมาให้ชอกช้ำหรือเราจะปล่อยให้จบๆ แล้วผ่านไป เห็นไหมว่าหนทางแห่งพุทธะคืออยู่เพื่อดับ ไม่ใช่อยู่เพื่อเกิด อยู่เพื่อหยุดเหตุ ไม่ได้อยู่เพื่อหยุดผล ไม่ได้อยู่เพื่อกลบปัญหา แต่อยู่เพื่อหยุดสร้างปัญหาอีกต่อไป เอาไหม (ไม่เอาแล้ว)  คนที่มีสติปัญญา แม้เรื่องไม่ดียังแปรเป็นสิ่งที่ดีและเป็นมงคลได้ เพราะความเจ็บช้ำที่เราเคยเจอในอดีต ในอนาคตเราจึงไม่อยากเจ็บช้ำอีก ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเรื่องเลวร้าย เรื่องไม่ดีจริงๆ มันก็มีดีอยู่ ถ้าเรารู้จักช่วงใช้และใช้มันให้เป็น ฉะนั้นอย่าหวังความสมบูรณ์พูนพร้อมในโลกใบนี้ อย่าหวังความงามพร้อมจนหาที่ติติงไม่ได้ เพราะขึ้นชื่อว่าโลกใบนี้ มีดีก็ยังมีไม่ดี มีสวยก็ยังมีไม่สวย มีงดงามก็ยังมีอัปลักษณ์ ฉะนั้นผู้ที่อยู่บนความเป็นจริงและเดินบนหนทางแห่งธรรมจะไม่พยายามหลงใหลใน มายาอันจอมปลอมเด็ดขาด แต่จะระมัดระวังรักษาจิตของตัวเองให้เป็นปกติให้มากที่สุด 
สิ่งที่มักจะทำให้เรากลายเป็นคนผิดปกติไปจากความเป็นจริง คืออารมณ์ที่ครอบงำจิตใจ คนที่ดีๆ ก็กลายเป็นคนโมโหร้าย ใช่ไหม (ใช่)  
คนดีๆ ก็กลายเป็นคนขี้โมโห เจ้าอารมณ์ ขี้น้อยใจ ขี้หงุดหงิด ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์เราจิตผิดปกติไปเพราะอะไรกันหรือ ใครตอบอาจารย์ได้บ้าง
(ความโลภ)  ถ้าโลภมากๆ เราจะสูญเสียความมีเมตตา ความใจกว้าง ความใจเย็น
(กิเลส)  ตัวไหน (ความอยาก)  นึกว่าความหลง ทำอะไรอย่างคนไร้สติ นึกจะพูดก็พูด ใช่ไหม (ใช่)  
(ความโกรธ)  ฉะนั้นครั้งหน้าๆ จะไม่โกรธ ถ้าอย่างนั้นจะ
(ไม่โกรธ)  ก็โกรธให้น้อยลง ใจเย็น อดทนให้มาก เพราะความโกรธเป็นเหมือนไฟ ก่อนที่เราจะไปโกรธเขา เราก็เผาใจตัวเองก่อน โกรธมากๆ ร้อนไหม (ร้อน)  หงุดหงิดไหม เครียดไหม ทุกข์ไหม เศร้าไหม แล้วมีทำไม อย่างนี้อย่ามีดีไหม ไม่ต้องโกรธแต่ทำเป็นใจเย็นความไม่รู้จักยั้งคิด ชอบปล่อยไปตามอารมณ์ชั่ววูบ ใช่ไหม
คนที่ทำอะไรมักจะขาดสติ เอาอารมณ์ เอาความคิดตนเองเป็นใหญ่ ใช่ไหม จิตที่ไม่นิ่ง ชอบวอกแวก ใช่ไหม จิตที่ชอบหลงกาลเวลาใช่ไหม ทำให้มนุษย์สูญเสียปัจจุบันขณะไป บางทีหลงไปคิดอดีตเมื่อวานได้กินไอศกรีมกับคนนั้นอร่อยดี เมื่อวานได้ดูหนังเรื่องนั้น”  ใช่ไหม
(โลภ โกรธ หลง) อย่างนั้นต่อไปก็จะไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง อย่างนั้นลูกพลับก็ไม่ต้องเอาเพราะเดี๋ยวจะหลงเเล้วก็จะโลภ ใช่หรือเปล่า ไม่ต้องเอา เอาไหม (เอา) 
(ความหลง)  หลงอะไร หลงแฟนหรือหลงตนเอง หรือหลงเงินทอง หลงหมดทุกอย่างใช่ไหม
(ความหลงผิด เห็นกงจักรเป็นดอกบัว)  น่าเสียดาย ใช่ไหม รู้ว่าทำดีเป็นสิ่งที่ได้ดี แต่บางทีก็ไม่ยอมทำ เพราะมันไม่ได้ดั่งใจเลยเลิกทำ ถูกไหม (ไม่ถูก)  คนทำดีมีค่าทุกวันนะศิษย์
(ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี)  ตอบได้ดี
(รักไม่มีเหตุผล)  ทำให้เราสูญเสียความผิดปกติไป คือรักไม่มีเหตุผลหรือ อาจารย์ว่ากลัวว่าจะเป็นประเภทที่รักเเล้วต้องให้ได้รักตอบ พอไม่รักตอบมันเลยไม่มีเหตุผลใช่ไหม ความรักแบบนั้นเป็นรักที่เห็นเเก่ตัวนะศิษย์ รักที่เเท้คือรักอย่างไม่ครอบครอง รักอย่างยอมรับที่เขาไปได้คนที่ดีกว่าเเละมีสุข เเม้จะไม่ใช่เรา ถูกไหม ถ้าเเฟนจากไปจะโกรธไหม (ไม่โกรธ) 
(ใจร้อนวู่วาม ไม่รู้จักยั้งคิด)  อาจารย์ว่าขี้น้อยใจมากกว่า ใช่ไหม (ใช่)  ทำให้เราสูญเสียความปกติไป
(หวั่นไหวกับสิ่งยั่วยุ)  พอโดนเขาว่านิดหน่อย โดนเขานินทานิดหน่อย ทนไม่ได้ ต้องไปเอาคืนให้ถึงที่เลย ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำไหม (ไม่ทำ)  เพราะคนนั้นคนนี้ที่มาทำให้เราวุ่นวาย  ไปโทษเขาได้อย่างไร ศิษย์เคยได้ยินไหม ถ้าจิตเรานิ่งมั่นคง ใครจะวุ่นวายขนาดไหนเราก็นิ่งมั่นคงได้ แต่เป็นเพราะจิตเราไม่นิ่ง จิตเราอ่อนแอต่างหาก
(หลงผิดเป็นชอบ)  หลงผิดเป็นชอบ ใช่ไหม เห็นขาวเป็นดำหรือเห็นดำเป็นขาว ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากทำอะไร แล้วอยู่ในโลกโดยไม่ต้องมีความทุกข์ จงรักษาใจให้ปกติ แล้วใช้ใจที่ปกตินั้นมองสรรพสิ่งตามความเป็นจริง อย่ามองอย่างความเข้าใจหรือรับรู้แค่ตัวเองคิดไปเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราอยู่ในโลก ศิษย์ก็รู้ว่าตัวนี้เป็นต้นเหตุของทุกข์ ถามว่าทำไมเรามีทุกข์จังเลย แล้วเราเคยมองหาไหมว่าทุกข์นั้นมาจากไหน เรามักจะโทษว่าคนนั้นเป็นตัวปัญหา คนนี้เป็นตัวปัญหา เพราะเรื่องนั้นทำให้เราเป็นปัญหา เพราะเรื่องนี้ทำให้เราเป็นปัญหา ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าไม่มีตัวนี้ ปัญหาทั้งหลายจะมีไหม (ไม่มี)  ถ้าไม่มีตัวนี้ความโกรธจะมีไหม ถ้าไม่มีตัวนี้ความหลงจะมีไหม ถ้าไม่มีตัวนี้ความทุกข์จะมีไหม (ไม่มี)  แล้วเรากำลังทุกข์กับอะไร ทุกข์เพราะอะไร ความคิดของเรา ใช่ไหม (ใช่)  แล้วความคิดนั้นมาจากอะไร
มาจากตัวตนที่บอกว่า อันนี้ของเรา แล้วคิดอย่างนี้ รู้สึกอย่างนี้ แล้วเกิดเป็นอารมณ์อย่างนั้น อารมณ์อย่างนี้ ฉะนั้นถ้าอยากดับเหตุแห่งทุกข์ก็หยุดคิดวันนี้ ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนที่พระพุทธะกล่าวว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี แล้วถ้าสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนั้นจะมีได้อย่างไร  จริงไหม
ถ้าสิ่งนี้เป็นกองทุกข์ เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ แล้วเราจะไปยึดทำไมให้เป็นทุกข์ แล้วเราควรจะเชื่อไหมกับความคิด พุทธะจึงกล่าวว่าถ้าอยากอยู่กับโลกแล้วไม่ทุกข์ จงอย่าใช้ความคิด แต่จงใช้สติ แต่สติไม่ใช่แปลว่าคิดออก เพราะความคิดยังง่ายที่จะเข้าข้างตัวเองและยึดตามเหตุผลของตัวเองเป็นหลัก แต่สติคือแค่รู้ รู้แล้วไม่หลงตาม เช่น เวลาเกิดอารมณ์แล้วโกรธ โกรธรึ ก็แค่นั้น ก็เท่านั้น ไม่โกรธตอบ จบ (ปล่อยวาง)  ไม่ต้องปล่อยวางศิษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา อาจารย์จะบอกให้นะ สติดีกว่าความคิด เช่น เมื่อคนเรามีความโกรธเกิดขึ้นมา ถ้าเราเอาความคิดเข้ามาใส่ จะอดคิดไม่ได้ เขาด่าเราทำไม เขาว่าเราทำไม ความคิดเหมือนน้ำมัน ยิ่งราดน้ำมันเข้าไปไฟก็ยิ่งลุกไหม้ ไม่เหมือนการมีสติ เมื่อความโกรธมาสติรู้ว่าความโกรธมาแล้ว แล้วศิษย์จงรู้ไว้อย่างหนึ่ง สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เมื่อความโกรธมา เราไม่แยแส เราไม่สนใจใยดี ความโกรธจะบอกว่า ไปก็ได้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าศิษย์เอาความคิดเข้าไป เขาด่าเราทำไม ทำไมเขาเป็นคนอย่างนี้ ความโกรธก็จะไม่ไปไหน เพราะศิษย์เรียกให้ความโกรธอยู่ แต่ถ้าโกรธมา โลภมา อยากมา ถามว่าอยากแล้วได้อะไร อยากแล้วเหนื่อยขึ้นไหม สวยแล้วดีกว่าเดิมตรงไหน ทั้งที่จริงๆ สวยไปก็เท่านั้น จริงๆ เราก็ไม่ได้สวย เขาชมเราเก่งขนาดไหน จริงๆ เราก็ไม่ได้เก่ง ใช่ไหม (ใช่)  เขาชมว่าเราดีขนาดไหน จริงๆ เราก็รู้ไส้รู้พุงตัวเอง จริงๆ ตัวเองชั่วหนักหนาเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรามีสติ สติจะสอนให้เรารู้เท่าทันสิ่งที่กระทบ ที่ทำให้เราผิดปกติ พอมันผิดปกติอย่าเพิ่งไปดูเขา กลับมาดูเราก่อน ดูเราเห็นอะไร เห็นโกรธ เห็นโลภ เห็นอยาก เห็นหลง เห็นแล้วไปกับมันไหม ไม่ไป เอาไหม ไม่เอา แล้วไม่ต้องไปให้คุณค่า ไม่ต้องไปสนใจ เดี๋ยวมันจะบอกว่าไปก็ได้ ก็พุทธะสอนแล้วว่า สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นเดี๋ยวก็ดับไปเป็นธรรมดา ศิษย์ไม่ต้องไปทำอะไรเดี๋ยวมันก็ดับเอง เหมือนเรามีความเกิดเป็นธรรมดา เราก็ต้องมีความตายเป็นธรรมดา ฉะนั้นถ้าเกิดว่ามันมีทุกข์เกิดขึ้นมาเป็นธรรมดา เดี๋ยวทุกข์มันก็ดับไปเป็นธรรมดา ทุกข์มันก็เหมือนกิเลสพอไม่สนใจใยดีมันก็จะบอกว่าทุกข์หน่อยสิ เราก็บอกไม่ทุกข์ ไม่เอา ไม่สน เดี๋ยวมันก็ไปก็ได้แต่เราเป็นอย่างไร เก็บมาหมด หนูจะโกรธ หนูจะโลภ หนูอยาก หนูจะทุกข์ แล้วผลสุดท้ายไปไหว้พระเก้าวัด ไปทำบุญสังฆทานมันก็ไม่หลุดไปจากใจสักที จำไว้นะศิษย์ของบางอย่างเข้าง่ายแต่ออกยาก ใช่ไหม (ใช่)  และที่ออกยากที่สุดก็คือความคิดที่ไม่ยอมรับความจริง ทุกข์หน่อยจะเป็นอะไร อยากทุกข์ก็ทุกข์ ฉันทุกข์กับเธอแล้วนะสองนาทีพอละ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำไมเราทำไม่ได้ล่ะ งานลำบากขนาดไหนก็ทำจนสำเร็จ เงินหายากขนาดไหน เหนื่อยเลือดตาแทบกระเด็นก็หามาได้ แต่ความทุกข์ตัวเดียวที่อยู่ในใจนี้แก้ไม่ค่อยได้สักที
ฉะนั้นแค่ยอมรับและยิ้มกับความทุกข์ อาจารย์บอกแล้วทุกข์เป็นธรรมดา แก่เป็นธรรมดา เจ็บเป็นธรรมดา ตายเป็นธรรมดา โดนด่าเป็นธรรมดา โดนเอาเงินไปไม่คืนเป็นธรรมดา ก็อย่าเอาใจไปฝากเขาไว้สิ อย่าเอาใจไปยึดกับเงิน ไม่ตายก็หาใหม่ได้ศิษย์ ขอเพียงเรามีใจไม่ธรรมดา แต่เรามองทุกอย่างธรรมดา ใช่ไหม (ใช่)  แม้จะหามาชั่วชีวิตแต่วันนี้หมดไปแล้วจริงๆ ไม่เป็นไร ถ้ายังมีใจที่ไม่ธรรมดาก็ทำสิ่งที่ธรรมดาให้ดีขึ้นได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์อย่าดูถูกคุณค่าของความเป็นจริงที่เรียกว่าธรรมะในตัวเอง ถ้าเราเข้าใจเราจะเตรียมตัวตายก่อนตาย เราจะเตรียมตัวเจ็บก่อนเจ็บ และเราจะรู้จักทุกข์โดยที่ไม่ต้องตกเป็นทาสของทุกข์ แล้วทำไมจึงไม่อยากเรียนรู้ธรรม จริงไหม (จริง)  ธรรมะไม่ใช่เรื่องไกล แต่เป็นเรื่องใกล้ที่ทำให้เราเข้าใจชีวิต แล้วเราก็มีสติปัญญารู้แจ้งชัดจนเห็นความเกิดดับของโลกใบนี้เป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็เกิดความเบิกบานใจ ที่เรียกว่าสุขที่แท้จริง ไม่ใช่สุขจากการชื่นชมยินดี สำเร็จ ล้มเหลว แล้วทำไมอาจารย์ถึงไม่อยากให้ศิษย์เดินไปหนทางนั้น เพราะหนทางของพระต่างจากหนทางมนุษย์ตรงที่พระท่านเดินไปสู่ความดับ ไม่ใช่เดินไปสู่ความเกิด ท่านเดินไปสู่ความไม่มีและปล่อยวาง ไม่ใช่เดินไปสู่ความต้องมีและยึดมั่น ท่านเดินไปสู่หนทางแห่งการดับเหตุ หยุดสร้างปัญหา แต่มนุษย์เดินไปสู่ทางแก้ผล แก้ปัญหา แล้วทำไมอาจารย์ซึ่งเป็นอาจารย์ของศิษย์จึงอยากชวนศิษย์ให้เดินหนทางนี้ หนทางที่อยู่กับทุกข์แต่ไม่ตกเป็นทาสของทุกข์ อยู่กับทุกข์แต่เข้าใจทุกข์ และยิ้มกับทุกข์ได้ ไม่ว่าจะเจ็บ ไม่ว่าจะเสีย ไม่ว่าจะตาย ไม่ว่าจะไม่เหลืออะไร เพราะเรากำลังเดินไปสู่ความดับ เพราะจริงๆ ทุกชีวิตก็ล้วนไปสู่ความดับและความไม่มี แล้วทำไมเราไม่เตรียมตัวก่อนล่ะศิษย์ จะรอให้มีเยอะๆ แล้วพอทุกข์ตอนนั้นศิษย์ก็จะทำใจไม่ไหวหรือรอให้มีเยอะๆ เเล้วก็ก่อเกิดเป็นกรรม วิบากกรรม จองเวรจองกรรม วัฏสงสารเวียนว่ายไม่จบสิ้น ศิษย์บอกอาจารย์ว่า ศิษย์อยากอยู่บนโลกอย่างไม่มีเวรกรรม ศิษย์อยากอยู่บนโลกอย่างไม่มีศัตรูคู่อาฆาต ศิษย์อยากอยู่บนโลกแบบไม่มีใครชิงชังเคียดเเค้น อยากอยู่อย่างมีความสุข ใช่ไหม (ใช่)  เเล้วทำไมสิ่งที่ศิษย์ทำมันจึงเป็นการสร้างเหตุ เพื่อตกผล เเต่ไม่ได้เป็นการดับเหตุ ฉะนั้นพระพุทธะจึงชี้นำต่ออีกว่า ในสิ่งที่เรียกว่า กองทุกข์ นี้มันเป็นภาระหนักที่ศิษย์ ต้องแบกมันทุกวัน หาให้มันกินทุกวัน ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราอยู่อย่างยืมเขาใช้ ใช้เต็มที่เเล้ว มันจะเเก่ช่างมัน เพราะเราใช้เต็มที่ถูกไหม ถึงเวลาเราห้ามเเก่ ห้ามตายเลย ห้ามเจ็บได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือทำใจของเราให้เข้มเเข็งเเล้ว
ยอมรับความจริง ถ้าป่วยก็ดูเเลรักษา เเต่ถ้าดูเเลรักษาจนถึงที่สุดมันไม่ได้ก็ช่างมัน ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกว่า นี่นะศิษย์มันเป็นทุกข์กองโต ที่ใครสามารถแบกมากเท่าไรก็ต้องทุกข์มากเท่านั้น เเต่ถ้าใครสามารถสละวางได้มากเท่าไร คนนั้นก็สุขเท่านั้น เเละพระอริยะโบราณจนถึงปัจจุบัน ท่านก็ล้วนปล่อยวางความทุกข์อันนี้ เเละก็ไม่คว้าอะไรมาเพิ่มให้ตนเองทุกข์อีก เพราะการปล่อยวางกองทุกข์นี้ได้ มันจะสามารถถอนรากเเห่งตัณหา เเละหยุดสิ้นความปรารถนาใดๆ ในโลกทั้งปวงได้นะศิษย์
เหมือนที่พระพุทธองค์เคยสอนไว้ว่า อวิชชาเกิด ก็ก่อเกิดเป็นตัณหา เป็นอุปทาน ความไม่รู้ก่อเกิดเป็นความอยากเเละความยึด เมื่ออยากก็ยึดมากเข้าก็กลายเป็นกิเลส กิเลสก็กลายเป็นกรรม กรรมดี กรรมชั่วใช่ไหม (ใช่)  เเล้วก็กลายเป็นวิบากกรรมเเละการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เเล้วศิษย์ก็บอกว่าไม่เป็นไรอาจารย์ ศิษย์ขอทำชั่วให้เต็มที่เเล้วเดี๋ยวศิษย์จะมาทำดีชดเชยได้ไหม (ไม่ได้)  เเล้วเราเป็นอย่างนี้ไหม ไปเบียดเบียนเขา ไปโกหกเขา ไปขาดเมตตาต่อเขา ไปโป้ปดมดเท็จเขา เเล้วก็บอกว่า  สัพเพสัพตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ จงเป็นสุข เป็นสุข มันจะได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นทำไมเราไม่รู้จักทำตั้งเเต่ตอนที่เราอยู่ร่วมกัน อยู่กับเขาด้วยเมตตา อยู่กับด้วยความซื่อตรง อยู่กับเขาด้วยความรักจริงใจ นี่เเหละทำบุญได้ทุกๆ วัน ไม่ต้องไปรอทำที่วัด จริงไหม (จริง) เเล้วเราทำได้ไหม
น้ำเต็มเเก้วได้ไหม ไม่เต็มก็ได้นะ คนเราเต็มได้มันก็ลดได้ใช่ไหม (ใช่)  เเล้วถึงเวลาเต็มจริงๆ มันก็ไม่มีใครเต็มหรอกศิษย์มันพร่องเสมอ ใช่ไหม (ใช่)  ขอเเค่เพียงว่าถ้าเราอยากอยู่ในโลกนี้อย่างเป็นสุข ทิฐิ อัตตา ตัณหา ต้องพยายามควบคุมมันให้ดี เพราะไม่อย่างนั้นมันจะวางกร่าง
ไม่ยอมใคร ไม่กลัวใคร เเต่พอถึงเวลาก็เเก้ใจตนเอง ใช่ไหม ฉะนั้นศิษย์คิดให้ดีๆ นะ อยู่ในโลกใช้สติ อย่าใช้ความคิด อยู่ในโลกมองตามความเป็นจริงแห่งธรรม อย่ามองตามใจและอารมณ์
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง : อากาศดีดี  ชื่อเพลง : ฟ้าสวยไม่ไร้คนชื่นชม)
ฟ้าสวยไม่หลงตา แปลว่า ฟ้าไม่ว่าจะตรงไหนจะสวยขนาดไหน ศิษย์ก็พยายามจะไปดั้นด้นหาจนเจอ อยู่สูงขนาดไหน ศิษย์ก็ไปดูจนได้ ฉะนั้นแม้จะอยู่ไกลลิบโลกขนาดไหน คนก็ไปแห่ชื่นชม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นฟ้าสวยคนยังไปชื่นชม แต่มนุษย์เรานั้นแปลกทำไมเราไม่ทำจิตใจเราให้สวยบ้าง แบบที่ใครๆ ผ่านมาต้องชื่นชม วันๆ เอาแต่ก้มหน้าเล่นไอแพด ทำตัวอยู่กับแค่มีค่ากับไลน์ กับเฟซบุ๊ก น่าเสียดายนะ บางคนคิดได้แต่ไม่ทำ ถึงเวลาก้มหน้าเหมือนเดิม ส่งข้อความดีๆ ทางไลน์ แต่ถึงเวลาไม่เคยทำดีกับคนอยู่ใกล้ ใช่ไหม (ใช่)  ทำตัวสวยๆ ในไลน์ ในเฟซบุ๊ก แต่อยู่กับพ่อแม่ไม่เคยสวย ไม่เคยมีอะไรเลย ฉะนั้นศิษย์เอย ฟ้าสวยข้างนอก ไม่เท่ากับพยายามทำใจตัวเองให้สวย แล้วใครๆ ก็ชื่นชม ไม่ต้องรอเรียกใคร เอาตัวเองก่อนนะ เพราะถ้าเราสวยลูกหลานก็จะกลับมาหา ถ้าเราทำตัวน่ารักลูกหลานก็ไม่ทิ้งเราไปไกลหรอก จริงไหม (จริง)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลง)
ร้องแล้วจะได้จำได้ดีไหม ปกติอาจารย์ให้เพลง อาจารย์อยากให้ แม้ศิษย์กลับบ้านไปแล้วเพลงนั้นก็ยังติดอยู่ที่ใจศิษย์ดีไหม

(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)



วันนี้เรามาฟังธรรมะเพื่อความเป็นมงคลต่อชีวิต วันนี้เรามาฟังธรรมะเพื่อเอาไปใช้แล้วสร้างความเป็นมงคลให้กับชีวิต ถูกหรือไม่ (ถูก)  พระโอวาทซ้อนได้คำว่า (ฝู) ” เป็นสิ่งที่อาจารย์มอบไว้ให้ศิษย์นะ สังเกตว่าวันปีใหม่ของคนจีนเขาจะห้อยตัวนี้กลับหัว ที่ห้อยคว่ำหัวก็เพราะให้วาสนาหล่นอยู่ในบ้าน แต่บางทีเรามีทั้งแบบตั้งและแบบตกบ้างก็ได้นะ เผื่อให้คนอื่นบ้างดีไหม ไม่ต้องมาตกอยู่กับตัวเองหมดดีไหม ศิษย์นึกถึงความเป็นจริงเวลา (ฝู) หล่นลงมาคงไม่หล่นแบบท่าตั้งสวยตลอดนะ เดี๋ยววาดให้เอียงซ้ายให้คนทางซ้ายบ้าง ให้คนข้างบนบ้าง ให้คนข้างล่างบ้าง ดีไหม (ดี) 
รูปนี้เป็นรูปภาพแห่งมงคล ปกติน้ำเต้าของอาจารย์เป็นน้ำเต้าที่ดูดสิ่งชั่วร้าย แต่เมื่อปลดปล่อย อาจารย์ก็ปลดปล่อยสิ่งที่ดีและมงคลให้กับศิษย์ เป็นของขวัญ เป็นเหมือนการ์ดอวยพรปีใหม่ให้ศิษย์ ดีไหม
(นักเรียนในชั้นกล่าวขอบคุณพระอาจารย์เมตตา) 
ศิษย์เอ๋ยคนที่รู้จักยอมคือคนที่สามารถมีบุญวาสนา คนที่รู้จักเอาเปรียบคือคนที่สร้างพิษภัยให้กับตัวเอง แต่คนที่ยอมเสียเปรียบอยู่ร่ำไป คนนั้นคือคนที่สร้างวาสนาให้กับตัวเอง ฉะนั้นอาจารย์ก็อยากเห็นศิษย์เป็นคนที่รู้จักเสียสละ รู้จักให้ รู้จักอดทนอดกลั้น เพื่อสร้างวาสนา ไม่ใช่อยู่ที่ตัวหนังสือ แต่อยู่ที่ใจของเรา อยู่ที่การกระทำของเรา บุญวาสนาที่คนอื่นให้ไม่มีประโยชน์เท่ากับบุญวาสนาที่เกิดจากการกระทำของเรา ประพฤติปฏิบัติให้อยู่ในศีลในธรรม รู้จักให้ รู้จักเสียสละ รู้จักอดทนอดกลั้น รู้จักมีธรรมให้กับผู้อื่น ทำยากไหม (ไม่ยาก)  แล้วอยากอยู่บนโลกโดยไม่หวาดหวั่นไม่กลัวทุกข์ แต่อยู่บนโลกอย่างคนที่มีสติเข้าใจทุกข์ ทุกข์ไม่น่ากลัวอีกแล้ว ความแก่ ความเจ็บ ความตายไม่น่ากลัวอีกแล้ว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือใจที่ไม่ยอมปล่อยวาง เอาแต่ยึดมั่นถือมั่น ใจที่ชอบผิดซ้ำ หลงในอบายมุข หลงในทิฐิตัณหาน่ากลัวกว่า ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นอาจารย์ก็หวังว่าหนทางนี้จะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ทำให้ศิษย์สามารถ อยู่บนโลก อยู่กับเพื่อนมนุษย์ก็สามารถบำเพ็ญธรรม และให้ธรรมะเป็นทานกับเขาได้ และสามารถช่วยคนได้ด้วยการเอาตัวเองเป็นแบบอย่างที่ถูกต้องและดีงาม สอนคนโดยไม่ต้องพูด แต่สอนด้วยการปฏิบัติและแก้ไข้ตัวเองย่อมประเสริฐกว่า จริงไหม
อย่าลืมนะศิษย์ แม่ปูย่อมได้ลูกปู ฉะนั้นถ้าแม่ตรงลูกก็ตรง พ่อไม่ตรงลูกก็ไม่ตรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นชีวิตจะเป็นอย่างไร อนาคตขึ้นอยู่กับขณะนี้ อย่ามัวแต่ไปหวังอดีต อย่ามัวแต่ไปห่วงอดีต หรือไปวาดฝันอนาคตแต่ไม่ทำวันนี้ให้ดี ก็น่าเสียดาย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ในพระโอวาทซ้อนพระโอวาทนี้ยังมีความหมายที่อาจารย์ให้ไว้คือ
เมตตาใจเย็นอ่อนน้อม                      รู้ยอมใจกว้างยิ่งใหญ่
สุภาพซื่อตรงจริงใจ                น้ำใจดั่งธารใสเย็น
ขอให้เป็นคนที่ใจเย็นๆ รู้จักอดทนอดกลั้น ได้ไหมศิษย์ (ได้)  บำเพ็ญไม่ใช่เรื่องยาก แต่ยากตรงที่คิดแล้วแต่ไม่เคยทำ ฟังแล้วแต่ไม่เคยปฏิบัติคือเรื่องยากกว่า จริงหรือไม่ (จริง) 
คำถามสุดท้ายก่อนที่อาจารย์จะกลับ ใครอยากตอบรีบตอบ แล้วอาจารย์จะได้มอบผลไม้ที่เป็นมงคลให้กับศิษย์ ดีไหม (ดี)  ปีใหม่แล้วเราอยากเอาอะไรที่ไม่ดีออกจากตัวเราไปบ้าง แล้วพยายามสร้างอะไรที่ดีๆ ให้มียิ่งขึ้นไป
(ความคิดที่ไม่ดี)  ความคิดที่ไม่ดีถูกต้อง ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่คิดไม่ดีจงแปรบาปให้เป็นบุญ แปรความอิจฉาริษยาเป็นความชื่นชม ยินดีอนุโมทนาสาธุ
(อย่าใจร้อน)  แต่จะเป็นคนดีที่ใจเย็น
(โรคภัยไข้เจ็บ)  โรคภัยเกิดจากปาก เกิดจากตา เกิดจากใจ ไม่มีใครยัดเยียดโรคภัยให้กับศิษย์นะ ฉะนั้นรู้จักคิด รู้จักกิน รู้จักระวังและรู้จักออกกำลังกาย
(อดทนกับความโกรธ)  รู้จักให้อภัย
(หยุดนินทา)  ดีแล้วนะศิษย์ มีใครบ้างในโลกนี้ไม่ถูกนินทา มีใครในโลกนี้ไม่โดนด่า ยกมือขึ้น เห็นไหมไม่มี
(ไม่เคยโกรธ)  ไม่เคยโกรธแต่ยังจำได้อย่างนี้ก็ไม่ดีนะ คำว่าสงบแปลว่าจบ ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นจบได้ก็สงบ แต่ถ้าไม่จบมันก็ไม่สงบ
(จะเอาใจเข้าธรรมะ)  อดทนใจเย็นๆ นะ ยิ้มเข้าไว้ ฉะนั้นไม่ว่าคนจะแสดงความคิดเห็นอะไร เราต้องไม่ถือตัวเองเป็นใหญ่ ไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางรู้จักรับฟัง น้ำที่ดีต้องรู้จักไหลเวียน ความรู้ที่ยิ่งใหญ่คือความรู้ที่ถ่ายออก ไม่ใช่รับแล้วเก็บไว้ 
(รู้จักยั้งคิด)  รู้จักยั้งคิดยั้งทำ ไม่ฆ่า ไม่เบียดเบียนเขา ยุงกัดจะไม่ตบ ความสุขที่ประเสริฐที่สุดอีกอันหนึ่ง คือความสุขที่เกิดจากการไม่เบียดเบียนชีวิตเขา เพื่อความสุขชีวิตเรา ฉะนั้นถ้าเขากัดเลือดออกนิดเดียวศิษย์ยังตบ แล้วศิษย์ไปเอาเขาทั้งชีวิตแล้วเขาไม่ฆ่าศิษย์หรือ ฉะนั้นรู้จักคิดให้ดีๆ
(หยุดความอยากได้อยากมี และให้รู้จักพอ) สุขก็ไม่อยู่ไกลเกินเอื้อม 
(อยากเอาความทุกข์ออกจากใจ)  อาจารย์พูดจนจบแล้ว ความทุกข์เอาออกไม่ได้ ทุกข์เป็นสิ่งที่เป็นจริงและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ศิษย์รู้ไหมถ้าไม่มีทุกข์ ศิษย์ไม่มีวันโต จริงไหม (จริง)  ทุกข์เป็นสิ่งที่ทนได้ยาก ทนเด็กไม่ได้ก็เลยต้องรีบโต พอทนโตไม่ได้ก็รีบแก่ พอทนแก่ไม่ได้ก็เลยรีบตาย ไม่ใช่พอทนเจ็บไม่ได้ก็เลยรีบตาย ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก อย่าไปเกลียดทุกข์ เพราะทุกข์คือส่วนหนึ่งของชีวิต ถ้าเราไม่ยึดมั่น เราก็ไม่ทุกข์ เพราะว่าเกิดขึ้นแล้วดับไปเอง แต่เราไปเผลอยึด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วแน่ใจไหมว่ากินแล้วจะไม่ทุกข์ จริงไหม ถ้ากินด้วยความอยาก และกินด้วยความหลง ขณะกินก็ทำให้เกิดทุกข์ได้ แต่ถ้ากินแบบไม่คาดหวัง กินแบบไม่อยาก กินแบบไม่หลง เวลากินก็จะไม่ทุกข์ ศิษย์เคยไหมเวลาจะกินผลไม้อะไร ทำอย่างไรไม่ให้ทุกข์ ไม่ก่อเกิดเป็นกิเลส เวลากินอย่าไปคาดหวังว่าผลไม้ต้องหวาน เพราะถ้าคาดหวังจะกลายเป็นกิเลส แล้วเราจะทุกข์ทันทีถ้าเรากินแล้วเกิดเปรี้ยว ผิดหวังรู้สึกว่าไม่น่ากินเลย ทุกข์เพราะผลไม้แล้วไปต่อว่าแม่ค้าอีกไหนบอกว่าหวาน โกหก ขายของหวานไม่หวานเลย ซื้อมาก็แพง เอาเรื่องเขาอีก ศิษย์เอยถ้าเรารู้จักมีสติ เราจะไม่เกิดกิเลสทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นเวลากิน นอน นั่ง แต่มนุษย์ไม่ใช่ จะขจัดกิเลสหยาบก็ไม่ได้ กิเลสละเอียดยิ่งไม่ต้องพูดถึง   แน่ใจไหมว่าจะไม่ทุกข์กับผลไม้นี้ (แน่ใจ)
(จะพูดดี)  พูดดี คิดดี ทำดี ศิษย์เอยถ้าอยากมีสติ สติต้องไม่ขาด ณ ปัจจุบันขณะ ถ้าเวลาทำอะไรต้องมีสติพร้อมกับมีปัจจุบันขณะ คนนั้นจะไม่หลง จะไม่ตกเป็นทาสของกิเลส อย่ามีเเค่สติเเต่ต้องมีปัจจุบันขณะอยู่ด้วย เพราะคนบางคนมีสติเเต่ชอบหลงไปคิดกับอดีต เพ้อฝันไปกับอนาคต เเล้วก็ไม่สามารถทำวันนี้ให้ดีได้ ฉะนั้นมีสติต้องมีปัจจุบันขณะเป็นเพื่อนคู่คิด อยู่ในโลก เอาก็ได้ไม่เอาก็ได้ คือทางพ้นทุกข์ เเต่บุหรี่ไม่เอาดีที่สุด เหล้าก็ไม่กินดีที่สุด (เหล้าไม่ดื่ม)  เเต่สูบบุหรี่ (มีบ้าง ยอมรับ)  ต้องยอมรับว่าจะเเก้ไข 
(เป็นคนที่ทำบาปมาเยอะ พอมาตรงนี้รู้สึกว่าเรามาปล่อยวาง)  ฉะนั้นพยายามอยู่บนโลกนี้อย่างไม่เบียดเบียน ด้วยจิตใจที่รู้จักมีเมตตา มีมโนธรรมสำนึกที่ดี ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยจริยะมารยาทที่งดงาม ไปอยู่ที่ไหนใครก็รัก อยู่กับใครมีเมตตา อยู่กับใครรู้จักละอายผิดชอบชั่วดี อยู่กับใครรู้จักมีจริยะที่งดงาม เเละอยู่กับใครมีปัญญาที่รักเรียนรักการเรียนรู้ ถ้าทำได้ขนาดนี้ ศีลห้าครบโดยไม่ต้องถือเลย ขอให้ทำให้ได้นะศิษย์
ฉะนั้นครั้งนี้อาจารย์ขอบิณฑบาตศิษย์อย่างเดียวได้ไหมปีใหม่นี้ และปีต่อๆ ไปจะพยายามไม่โกรธ ดีไหม (ดี)  เพราะความโกรธเป็นทุกข์และแผดเผาใจตัวเองให้เจ็บปวดมากยิ่งนัก โกรธเสร็จแล้ว จะหงุดหงิด ขี้บ่น เครียดง่าย ขี้น้อยใจ แค้นเคืองใจ อาฆาตใจ ไม่ดีสักอย่างเลย ฉะนั้นวันนี้ใครให้อาจารย์แล้วอย่าไปทำอีกนะ จะเป็นคนใจเย็นได้ไหม (ได้)  ผู้ร่วมฟังทำได้ไหม ไม่ว่าใครจะว่า ใครจะด่า ใครจะบ่นก็จะใจเย็น ไม่ว่าใครจะโกงใครจะกินก็จะใจเย็น ไม่ว่าใครจะเอาเปรียบ ใครจะแช่งชักหักกระดูกก็จะใจเย็น ทำให้ได้นะศิษย์รักของอาจารย์
วันนี้อาจารย์จะพยายามจากกันด้วยรอยยิ้ม เพราะปีใหม่อาจารย์ไม่อยากร้องไห้ให้ศิษย์เห็น อยากจากด้วยความสุข อยากจากด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มแห่งความเข้มแข็ง รอยยิ้มแห่งความเชื่อมั่นว่าศิษย์จะไปให้ถึงที่สุด ทำให้ได้นะศิษย์เอ๋ย ตั้งใจบำเพ็ญเพื่อตัวเองจะได้ไม่ต้องทุกข์กับโลกใบนี้อีกนะ แต่เป็นเพื่อนที่เข้าใจทุกข์นะศิษย์
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท

 เมตตาใจเย็นอ่อนน้อม      รู้ยอมใจกว้างยิ่งใหญ่
 สุภาพซื่อตรงจริงใจ         น้ำใจดั่งธารใสเย็น



พระโอวาท มีการแก้ไข ดังนี้
แก้ไขเพลงพระโอวาทงานประชุมธรรมที่สถานธรรมจินเอวี๋ยน 
วันที่ ๑๙-๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๘
หน้า ๑๓  บรรทัดที่ ๑๑
เดิม อย่าติติงให้หมองใจ แก้ไขเป็น  อย่าติติงกันเองให้หมองใจ



อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา