แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คนดี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คนดี แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

2553-07-17 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร


西元二00年嵗次庚寅月初 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓ สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา

ก็คิดจะเปลี่ยนคนโน้น  ก็คิดจะเปลี่ยนคนนี้  หัวปวดไปตามกัน ต่างรู้ทันรู้กันรู้ดี  เห็นใจกันสิ เข้าใจกันทุกวันทุกวัน
ก็เพราะแตกต่างอย่างนี้ เธอนี้ถึงว่าแต่ฉัน  โลกอยู่ด้วยน้ำใจ ใช่หมุนไปของใครของมัน ขอให้ทุกท่านเบิกบาน   คล้องจองร่วมใจ
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา   รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินจง แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนหายง่วงหรือยัง

จิตสงบด้วยว่างจากสิ่งที่เป็น เอาจริงเรื่องการบำเพ็ญจิตแห่งฟ้า
คนเดิมปนกับกิเลสเหล่าผืนป่า รูปสัญญายิ่งติดยึดยิ่งเสียหลัก
ปฏิญาณหลายทีต้องยิ่งรู้ตัวไว คนไทยนิสัยเหล่าน้อยสร้างปัญหามาก
ทำอะไรเป็นต้องทิ้งเหลือรอยฝาก ชีวิตยากเปลี่ยนแปลงอย่าท้อเรื่องใจ
แม้เรื่องย่อยย่อยก็ต้องมาแก้ คนในแม้พิจารณาละเอียดใช่เรื่องง่าย
บุญแต่จิตบำเพ็ญภายหลังนึกได้ รอยต่อหายดูเห็นชัดขึ้นเอง
คนงามได้จากกิริยายามแสดงออก อันธพาลพอกซึ่งปัญหาชัดจากอวดเก่ง
คนทั้งสองพบมาในตนเอง ถูกข่มเหงคิดวิธีในการมีธรรม
ฮิ ฮิ หยุด
* ก็คิดจะเปลี่ยนคนโน้น  ก็คิดจะเปลี่ยนคนนี้  หัวปวดไปตามกัน ต่างรู้ทันรู้กันรู้ดี  เห็นใจกันสิ เข้าใจกันทุกวันทุกวัน
ก็เพราะแตกต่างอย่างนี้ เธอนี้ถึงว่าแต่ฉัน  โลกอยู่ด้วยน้ำใจ ใช่หมุนไปของใครของมัน ขอให้ทุกท่านเบิกบาน   คล้องจองร่วมใจ
คนยิ่งตรง  ยิ่งตรง  ยิ่งน่าห่วงใย  ใจไม่ตรง  ไม่ตรง  ก็น่าห่วงใย  ใช้สติปัญญาหลายเรื่องมักจะไม่เป็นดั่งใจ เคยชินคุ้นเคยง่ายเปรียบภัย เส้นทางสายธรรม (ซ้ำ *)

ชื่อเพลง : รักกันทุกวัน  
ทำนองเพลง : รักข้ามคลอง

หมายเหตุ : เนื้อเพลงสองท่อนแรกได้มาจากบทนำของพระโอวาทศิษย์พี่นาจา


พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาห้องผู้ร่วมฟัง)
นั่งฟังหรือนั่งหลับ (นั่งฟัง) อยากคุยกับเราไหม นั่งฟังธรรมะมาก็ตั้งหลายครั้งแล้วถ้าอย่างนั้นลองตอบคำถามเราไหม อะไรเอ่ย มีค่ามากที่สุด แล้วก็กลายเป็นมีค่าน้อยที่สุด กายเนื้อเรามีค่ามากที่สุด แล้วก็มีค่าน้อยที่สุดใช่ไหม (ตอนที่สังขารเสื่อมก็มีค่าน้อย) ไม่แน่นะ ยิ่งเสื่อมมาก ก็รู้สึกว่า ยิ่งต้องรักษาคุณค่าให้มาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนเด็กๆ เรารักษาชีวิตเหมือนตอนแก่ๆ ไหม (ไม่)  ตอนเด็กๆ เราคิดว่า อายุเรายังมีอีกเยอะ เราอยากเล่นอะไรเราก็เล่นเราไม่กลัวตาย แต่พอแก่ทำไมเรากลัวตายล่ะ เรารู้สึก ยิ่งแก่ คุณค่าของเรายิ่งต้องรักษาให้ดีใช่ไหม
ชีวิตก็เป็นไปได้ อะไรอีกเป็นไปได้ เงินทอง ใช่ไหม  (ใช่)  บางครั้งก็ดูเหมือนมีค่ามาก แต่บางครั้งก็ดูเหมือนมีค่านิดเดียวจริงไหม (จริง)  เราว่าเงินเราก็เยอะแล้วนะ แต่พอไปเห็นเศรษฐี ทำไมเงินของเรามันดูนิดเดียวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอไปเห็นขอทาน เอ๊ะ ของเราก็เยอะแล้วนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมากหรือน้อยอยู่ที่ไหนล่ะ (ใจ, ความเพียงพอ)  ฉะนั้นถ้าตอนนี้เราบอกว่า เงินยังไม่พอ ยังไม่แก่ ที่บอกว่าน้อยก็อาจจะมีค่ามากก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่บอกว่ายังไม่แก่ก็อาจจะแก่แล้วก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นในโลกนี้ ทำอย่างไรล่ะถึงจะพอ ถ้าไม่รู้จักใจตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราไม่พอนะ สิ่งที่มีค่ามากก็อาจจะเหลือนิดเดียว แต่ถ้าเรารู้จักพอสิ่งที่นิดเดียว ก็อาจจะมีค่ามาก เคยได้ยินไหมว่า เมื่อเราไม่รู้จักพอ ทุกสิ่งที่เรามีก็เหมือนมีค่านิดเดียว แต่ถ้าเมื่อไรที่เรารู้จักพอ สิ่งที่เราบอกว่านิดเดียว กลับกลายเป็นมีค่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไปแล้วนะ ได้ไหม  ได้ ไอ้ที่นิดเดียวจะได้มีค่าเยอะ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตานักเรียนในชั้น)
วันนี้เรามาฝึกการเป็นยอดมนุษย์อุลตร้าแมนดีหรือเปล่า อดทนในสิ่งยากทน ก็เรียกว่าคนเหนือคนใช่ไหม คนเหนือคน มนุษย์ก็มัก เรียกว่า “ผู้วิเศษ” วันนี้เราอดทนได้ไหม (ได้) บอกว่าอดทนได้ แต่อดทนอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน แน่ใจนะว่าจะอดทน รับรองถ้าเราถามท่านแบบนี้สักสิบหน ท่านจะบอกว่า “รู้แล้ว” แค่เราถูกคนบอกว่า “อดทนนะ” สักสามสี่ครั้ง ยังพอทนไหว แต่สักสิบครั้งก็คงจะบอกว่า “หยุดพูดสักทีสิ” แล้วอย่างนี้เรียกว่าอดทนไหม ฉะนั้นการที่อดทนได้อย่างแท้จริง แม้เขาพูดว่าต้องอดทนสักสิบที ก็ต้อง (อดทน)  
อะไรเอ่ยบางครั้งมีค่ามากที่สุดบางครั้งก็มีค่าน้อย (จิตใจเรา)  ใจเราเป็นตัวทำให้บางสิ่งใหญ่ แล้วก็บางสิ่งเล็ก แต่บางครั้งก็ทำให้สิ่งที่เล็กกลายเป็นสิ่งที่ใหญ่ได้ เรายกตัวอย่างง่ายๆ นะ ระหว่างเลข 1 กับเลข1 แล้วมี 0 ท่านว่าสองอย่างนี้ควรเติมคำว่า มากกว่า น้อยกว่า หรือเท่ากับ (น้อยกว่า)  
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเขียนบนกระดานแล้วให้นักเรียนตอบว่ากลุ่มเลขไหนถูก)
หนึ่งมากกว่าสิบ (1 > 10) หนึ่งเท่ากับสิบ (1 = 10)  หนึ่งน้อยกว่าสิบ (1 < 10)
กลุ่มไหนถูก  ส่วนใหญ่จะตอบว่าหนึ่งน้อยกว่าสิบ (1<10) ถูก แต่ถ้าเราจะบอกว่าไม่ใช่ล่ะ มีคนบอกว่ามันจะจริงได้อย่างไร หนึ่งมันจะมากกว่าสิบได้อย่างไร
คิดง่ายๆ  ตอนเด็กแรกๆ เริ่มมีชีวิตเรารู้จักตัวเรา แล้วก็เริ่มรู้จักผู้คน เรารู้สึกว่าสิบมากกว่าหนึ่ง แต่เมื่อเราอยู่ในโลก เรารู้สึกว่าในโลกนี้   สิบนั้นสู้หนึ่ง หนึ่งเดียวคือตัวเราคนนี้ไม่ได้หรอก อยู่ไปอยู่มาก็เริ่มรู้สึกว่า หนึ่งหรือสิบ นั้นก็ไม่แตกต่าง คิดให้ดีๆ นะ  ตอนเด็กเราคิดว่าจะไปสู้อะไรกับหลายๆ คนเขาได้  แต่จนกระทั่งวันหนึ่งเราเริ่มใช้ชีวิต เราเริ่มมีความสามารถ มีความรู้ มีความเก่ง เราก็บอกว่า หนึ่งนี้มากกว่าสิบ  
ตัวเรามีค่ามากที่สุด แต่บางทีก็มีค่าเล็กที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่) คิดง่ายๆ  ระหว่างหนึ่งคนนี้ (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนชายในชั้นยืนขึ้น)  กับอีกคนหนึ่งนี้ เท่ากันไหม (ไม่เท่า) เราใช้อะไรวัด เขามีศีรษะไหม (มี) มีหูไหม (มี) มีผมไหม (มี) เขามีแขนขาไหม (มี) ก็มีเท่ากัน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ที่บอกว่าไม่เท่ากันเพราะเขาดำแต่อีกคนขาวใช่ไหม ฉะนั้นเราอยู่ในโลก เราเห็นในสิ่งที่เราแค่อยากเห็น หรือเราเห็นได้มากกว่าที่เห็น ถ้าเราเห็นแค่สิ่งที่ตัวเองอยากเห็น เราก็คือคนที่ปิดตาข้างหนึ่ง ปิดหูข้างหนึ่ง  แต่ถ้าเราเห็นมากกว่าที่เห็น เราก็คือ คนที่เปิดตาและใจตื่นจริงๆ อยากมีดวงตาที่สามไหม ดวงตาที่สามจะเกิดได้ก็ต้องรู้จักเปิดใจ แล้วจะทำให้เกิดปัญญา พูดง่ายเข้าไปอีกก็คือ คนบางคนเห็นหนึ่งก็ไม่เท่ากับเห็นสิบ เหมือนกับการที่ในโลกนี้มีเป็นสิบคน ก็ไม่สู้คนนี้เพียงคนเดียวในใจฉันเมื่อยามที่เรามีความรัก หนึ่งก็กลายเป็นมากกว่าสิบ แต่เมื่อยามที่เรามีความเกลียด คนนี้ก็สู้อะไรไม่ได้กับคนสิบคน แต่เมื่อเราเห็นคนทั้งโลกมีทั้งน่ารักและน่าเกลียดเหมือนกันหมดเลย หนึ่งก็คือเท่ากับสิบ ที่นี้ตอบคำถามได้หรือยัง อะไรในโลกที่ใหญ่ที่สุด แล้วก็เล็กที่สุด ความคิดทำให้เราบางครั้งก็ใหญ่คับฟ้า บางครั้งก็เล็ก (ปัญญา) ปัญญาทำให้เราเห็นสิ่งที่เล็กกลายเป็นสิ่งที่ใหญ่ แล้วก็ทำให้สิ่งที่ใหญ่กลายเป็นสิ่งที่เล็ก โดยเฉพาะเงินบางครั้งก็มีค่าใหญ่ยิ่งกว่าชีวิตและน้ำใจของความเป็นคนอีก อยู่ที่ว่าระหว่างความเป็นมิตรกับเงิน เราให้ความสำคัญกับอะไรใหญ่กว่ากัน
อะไรที่ใหญ่ที่สุด และอะไรที่เล็กที่สุด เสื้อเราตัวนี้ซื้อมาใหม่ ๆ เราก็รู้สึกว่าในบรรดาเสื้อทั้งตู้เสื้อตัวนี้สวยที่สุด แต่พอใช้ไปสักพักหนึ่ง เสื้อตัวนี้กลายเป็นเสื้อตัวเก่าที่สุดใช่ไหม (ความรู้สึก) ก็มีผลใช่หรือไม่ รู้สึกดีอะไรก็ดูใหญ่ ดูดีไปหมด แต่เมื่อรู้สึกแย่อะไรก็มองไม่ดีเลย แม้แต่ตัวเราเองใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งก็ใหญ่บางครั้งก็เล็ก เหมือนผมของเรา บางครั้งก็สำคัญมาก แต่บางครั้งก็ไม่สำคัญเลย วันไหนผมหมดหัว จากเรื่องไม่สำคัญก็กลายเป็นเรื่องสำคัญเลยใช่ไหม (กาลเวลา) บางครั้งก็ยิ่งใหญ่ บางครั้งก็เล็กกระจ้อยร่อย ขึ้นอยู่กับคนกำลังใช้เวลานั้นไปเพื่ออะไร (การมีน้ำใจให้กัน) แต่ถ้าเราแล้งน้ำใจก็หมดไปเลยทันทีใช่หรือไม่ ตัวเราก็เช่นกันร่างกายนี้บางครั้งก็ดูยิ่งใหญ่ แต่บางครั้งก็ดูเล็กกระจ้อยร่อย ตำแหน่งหน้าที่เราคิดว่าเรายิ่งใหญ่ แต่พอถึงเวลาบางทีก็เล็กนิดเดียว (หัวใจดวงน้อยๆ, คุณธรรมความสำนึก) ถ้ามีมากมนุษย์ก็เป็นคนที่รู้จักผิดชอบชั่วดี ใช่ไหม (ใช่) (สติปัญญา) ตอบได้ดีนะ คนจะใหญ่จะเล็กล้วนเกิดจากความคิด “you are what you think”   
เก้าอี้นี้ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ไหม (ได้) แล้วเรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กได้ไหม (ได้) ถ้าเราบอกว่าให้ยืนกับเราสักชั่วโมง เรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับท่านใช่ไหม(ใช่) ตอนนี้อยากนั่งหรืออยากยืน คิดดูให้ดีนะ ไม่อย่างนั้นท่านจะเป็นคนทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ หรือเรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก บางครั้งเรื่องไม่เป็นเรื่องก็กลายเป็นเรื่องเพราะใจเราคิด แล้วตอนนี้คิดก่อนทำหรือไม่ (อยากนั่ง)  เราอยากทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยากๆ  หรืออยากทำเรื่องยากๆให้เป็นเรื่องง่ายๆ  ส่วนใหญ่อยากทำเรื่องยากๆให้เป็นเรื่องง่ายๆ ใช่หรือไม่  (ใช่) แล้วเรื่องนั่งเก้าอี้ยากหรือง่าย (ง่าย)  อย่าลืมนะว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่ได้เป็นดังใจคิดใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งถ้าเราอยู่ในสังคม เราคิดอย่างนี้แต่ถ้าคนอื่นเขาบอกให้เราทำอีกอย่าง เรื่องยากก็กลายเป็นเรื่องที่ยากจริงๆ และเรื่องที่เราคิดว่าง่ายก็ไม่ใช่จะกลายเป็นเรื่องง่ายจริงๆ ใช่หรือไม่(ใช่)
มีอีกเรื่องหนึ่งที่มนุษย์ต้องรู้ไว้ ถึงมนุษย์จะเป็นคนกำหนดว่าโลกนี้จะเล็กหรือใหญ่ขึ้นอยู่กับตัวเรา แต่บางครั้งขึ้นชื่อว่ามนุษย์คือสัตว์สังคม  ไม่สามารถทำอะไรสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว บางครั้งเราต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น และบางครั้งเราก็ต้องพึ่งพาผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) การเห็นตัวเองสำคัญจนมองข้ามคนอื่นก็ไม่ถูกต้อง การเห็นคนอื่นสำคัญจนมองข้ามตนเองก็ไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการอยู่ร่วมกันจึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ดีและลงตัว  เพราะว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเสมอไป  สิ่งที่มนุษย์กลัวก็คือความทุกข์ยากในการอยู่ร่วมกัน  และปัญหาในการอยู่ร่วมกัน  ตอนนี้ก็กำลังจะเกิดปัญหาที่ไม่น่าจะเป็นปัญหา ก็คือท่านอยากนั่งแต่เราไม่ให้นั่งมีปัญหาไหม (ไม่มี) สักชั่วโมงหนึ่งไหวไหม (ไหว) พูดได้แต่พอถึงเวลาก็คิดว่าเมื่อไรจะให้นั่งใช่ไหม ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวอย่างหนึ่งเวลาที่เราอยู่ร่วมกันคือทำอย่างไรไม่ให้มีปัญหาเกิดขึ้น เป็นเรื่องยาก เพราะมนุษย์มีความเหมือนและมีความต่าง  และในความต่างนั้นเอง ถ้าเราคิดว่ามันคือปัญหาเราก็กำลังสร้างความแตกแยก แต่ถ้าเราคิดว่ามันไม่ใช่ปัญหาเราก็สามารถสร้างสรรค์เอกภาพในการอยู่ร่วมกันได้  ตอนนี้คิดอย่างแตกแยกเป็นปัญหา หรือคิดอย่างไม่แตกแยกเป็นปัญหา (คิดแตกแยกก็ไม่เป็นปัญหา) แม้เราจะไม่ให้นั่ง การยืนของท่านก็จะมีความสุข แต่ถ้าเมื่อไรท่านคิดว่าอยากนั่ง ท่านก็จะทุกข์นะ
สิ่งหนึ่งที่เราไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาก็กลายเป็นปัญหา เพราะนิสัยของคนชอบเป็นแบบนี้ ยกตัวอย่างเวลา สองคนทะเลาะกัน คนที่เสียงดังกับคนที่ไม่พูดอะไรเลย เรามักจะมองว่าคนที่เสียงดังถูก คนที่ยืนก้มหน้า คือคนผิด และถ้าเกิดยังพูดซ้ำอีก ว่า “ใช่ๆ คนนี้ผิดจริงๆ” เรื่องที่กลายเป็นเท็จก็สามารถกลายเป็นจริงใช่หรือไม่ อีกตัวอย่างหนึ่งคือเวลาเรามีเรื่องกับคนนี้ แต่คนอื่นยังไม่รู้ เรารู้กันเองแค่นี้สองคนแต่มีอยู่วันหนึ่งเราทนไม่ได้แล้วต้องบอกให้คนอื่นรู้ เราบอกไปทั่วแล้ว แต่อีกคนหนึ่งที่เราทะเลาะด้วยยังไม่ได้บอกใครเลย  ท่านคิดว่าคนที่บอกคนอื่นเป็นคนแรกถูกหรือไม่ถูก
ส่วนใหญ่มนุษย์มักมีนิสัยลำเอียง ได้ยินใครพูดก่อนมักให้คุณค่าของคนนั้นก่อน คนที่บอกก่อนมักจะมีน้ำหนักถูกมากกว่าคนที่ไม่บอกหรือบอกทีหลังใช่หรือไม่ สังเกตจากตัวเราไม่ต้องมองไกล เวลาเราฟังเรื่องอะไรก็ตาม มีคนบอกว่า “นี่! ฉันนะมีเรื่องไม่สบายใจกับคนนี้ คนนี้นะเป็นอย่างนี้ๆ ทั้งที่ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจนะ” เราเห็นใจกับคนนี้ทันทีเลยใช่ไหม แต่อีกคนหนึ่งเราบอก “เออ! จริงด้วยเขาผิดจริง ๆ เลย” นี่แหละ ปัญหาของมนุษย์ อย่างแรกคือ ใครพูดก่อนคนนั้นเป็นฝ่ายถูก อย่างที่สองใครเสียงดังคนนั้นเป็นฝ่ายถูก และอย่างที่สามยิ่งพูดบ่อยๆ พูดบ่อยๆ สิ่งที่ผิดก็กลายเป็นถูก นี่แหละนิสัยของมนุษย์ พอเราครอบงำความคิดว่าเราเชื่อว่าเขาผิด มองยังไงก็ไม่ขึ้น มองยังไงมันก็แย่จริงๆ ฉะนั้น สิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือ  เมื่อความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ครอบงำจิตใจแล้วก็ถอนยากใช่ไหม  เรายกตัวอย่างง่าย ๆ ระหว่างอีกา กับนกยูงท่านชอบอะไรมากกว่ากัน (นกยูง) ใช่ไหม แต่ท่านเคยเป็นอีกาในฝูงหงส์ไหม คนส่วนใหญ่มักจะมองว่า นกยูงสวยกว่า นั่นแหละที่เราเรียกว่า เราใช้ตาข้างหนึ่งดู แต่อีกตาข้างหนึ่งปิด หูข้างหนึ่งฟัง แต่หูข้างหนึ่งปิด เพราะอะไรล่ะ อย่าลืมนะว่า มนุษย์เคยพูดไว้ “เจ้ากาเหว่าเอย ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก แม่กาก็หลงรัก นึกว่าลูกในอุทร” เห็นไหมไม่ใช่ลูกของตัวเอง แต่อีกามันก็รัก ลองเอาไข่ใครก็ไม่รู้มาให้นกยูงฟัก รับรองมันก็คงเตะออก ฉะนั้น ในสิ่งที่มนุษย์มองว่าแย่ที่สุด หรือมองว่าไม่ดีเราเคยมองเห็นมากกว่านั้นไหม
ฉะนั้น การศึกษาธรรม เราศึกษาธรรมเพื่อเปิดปัญญาและมองเห็นในสิ่งที่มากกว่ามนุษย์เห็น หรือพูดง่ายๆ ก็คือ จิตที่กระจ่างย่อมนำความสว่างมาสู่ชีวิตแม้โลกนี้จะมืดมิดเพียงใดก็ตาม จิตที่รู้จักยืนหยัดมั่นคง จะสามารถยืนอยู่บนโลกนี้ แม้โลกนี้จะพลิกผันเป็นร้ายเป็นดีก็ตาม ขอเพียงมนุษย์จิตใจรู้จักเปิดกว้าง เราจะสามารถอยู่ร่วมกับสรรพสิ่งในโลกนี้ได้อย่างเป็นสุข ขอเพียงอย่างเดียวอย่าขาดซึ่งคุณธรรมหรือสติปัญญาไปจากหัวใจแค่นั้นเอง จะทำให้เราสามารถเห็นมากกว่าที่เห็น และในโลกนี้ เราก็จะรับได้ว่า สิ่งที่น่าเกลียดก็มีอะไรน่ามอง และสิ่งที่น่ามองก็มีอะไรที่น่าเกลียด โดยที่เราอยู่บนโลกนี้โดยไม่หลอกลวงตัวเองและหลอกลวงผู้อื่น แต่มันก็มีเรื่องยากอยู่เรื่องหนึ่งนะ ถ้าวันหนึ่งเราเป็นกบอยู่วงจิ้งหรีด มีกบตัวหนึ่งนะเกิดที่ไหนไม่เกิดไปเกิดอยู่ในวงจิ้งหรีด
เรื่องมีอยู่ว่า กบเกิดจากหนองน้ำ ส่วนจิ้งหรีดก็เกิดจากพงหญ้าที่เน่าเปื่อย แต่บังเอิญ  กบนั้นมีอยู่ตัวเดียว แต่จิ้งหรีดนั้นมีเยอะแยะ กบอยู่ตัวเดียวหันไปเห็นมีแต่จิ้งหรีดเต็มไปหมดเลยคิดว่าทำไมเราไม่เหมือนคนอื่นล่ะ แล้วกบก็พยายามทำทุกอย่างให้เหมือนจิ้งหรีด จิ้งหรีดกระโดด กบก็กระโดด จิ้งหรีดร้อง กบก็ร้อง พอมองในน้ำก็เห็นว่าทำไมตัวฉันใหญ่กว่า ตัวก็ไม่ค่อยสวยไม่เหมือนจิ้งหรีด เวลาร้องก็ไม่เหมือนกัน กบก็ทุกข์ใจ หลังฝนตก ทั้งกบทั้งจิ้งหรีดก็ร้องกันระงม แต่มนุษย์ชอบเสียงอะไรมากกว่า (จิ้งหรีด) ไม่ว่ากบจะพยายามอย่างไรก็ไม่มีวันเหมือนจิ้งหรีดได้ เมื่อกบพยายามร้องดังจะให้ดีกว่าจิ้งหรีด  กลับปรากฏว่ามีหินก้อนหนึ่งเขวี้ยงมาโดนกบทันที ยิ่งพยายามทำเท่าไรก็ยิ่งไม่มีใครชอบ จนกระทั่งกบบอกว่าฉันย้ายไปอยู่ที่อื่นดีกว่า สงสัยจิ้งหรีดร้องเพราะเกินไป ไปอยู่ที่อื่นแล้วอาจจะมีคนรักเรามากยิ่งขึ้น กบก็เลยพยายามย้ายที่อยู่ ย้ายไปแล้ว ถามว่า จะมีคนชอบไหม  อาจจะมีถ้าไปพบกบด้วยกัน ไม่ใช่ไปพบงูหรือ พบจิ้งหรีดอีก  
จิ้งหรีดบอกว่า “ท่านไม่ต้องหนีไปไหนหรอก เพราะอยู่ที่ไหนเสียงท่านก็เป็นอย่างนี้ ถ้าเขาไม่ชอบ ไปอยู่ที่ไหนเขาก็ไม่ชอบ” ฉะนั้นเวลาที่เรามีปัญหาเกิดขึ้นในการอยู่ร่วมกันกับคนหมู่มาก อย่าเอาแต่โทษคนอื่นหรืออย่าเอาแต่คิดหนี เพราะบางทีไม่ใช่ทางแก้ ทางแก้ที่ดีที่สุดคือต้องหันกลับมามองว่าตนเองคือต้นเหตุของปัญหาหรือไม่ ตัวเราคิดอย่างไร ตัวเรามองอย่างไร เคยได้ยินหรือไม่ว่า อยู่บ้านก็หงุดหงิดออกไปนอกบ้านก็นึกว่าจะสบายใจก็ (หงุดหงิด) แม้จะไปเที่ยวให้ไกลๆ เลย เผื่อจะดีขึ้น แต่ก็ยังหงุดหงิดเพราะฉะนั้นปัญหาอยู่ที่ไหน (ตัวเอง) แต่มนุษย์กลับบอกว่าไม่ใช่ฉัน คนอื่นต่างหากทำตัวไม่น่ารักเลย แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม มองใครก็ไม่สบายตา มองใครก็ไม่สบายใจ  เพราะใจไม่สงบ ไม่อย่างนั้นท่านจะเป็นกบ ที่อยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อีกแบบหนึ่งในทางกลับกันเราพยายามทำให้ดีที่สุดแล้ว แต่คนรอบข้างเกลียด ยังไงก็ (เกลียด) ก็ว่าเราไม่ดีทั้งที่เราพยายามทำดีที่สุดแล้วนะ แต่คนนั้นก็ยังเกลียด
ยกตัวอย่างง่าย ๆ  เรื่องหนึ่ง มีพ่อคนหนึ่ง เขาฝันว่าอยากมีลูกชาย แต่ลูกคนแรกออกมาเป็นลูกสาว คนต่อไปก็หวังอยากได้ลูกชายอีก พอคลอดมาเป็นลูกชายสมดั่งใจ ระหว่างพี่น้องสองคนทำอะไรเหมือนๆ กัน แต่ยังไงลูกสาวก็ผิด น้องชายถูก  เราอยู่ในโลกเป็นอย่างนี้ไหม  บางครั้งเราไม่ใช่ผู้ผิดแต่ก็ถูกเกลียด ถูกรำคาญ เพราะแม้ลูกสาวจะทำอะไรให้พ่อกิน พ่อก็ติ ไม่อร่อยบ้าง เค็มบ้าง เปรี้ยวบ้าง เผ็ดเกินไปบ้าง แต่ลูกชายไม่ได้ทำเอง ไปซื้อมา พ่อบอกอร่อยจริงๆ ลูกสาวก็คิดว่าพ่อ
ไม่ชอบที่เราทำ ชอบที่ทำจากร้านนั้น ลูกสาวก็เลยไปซื้อมาให้พ่อกิน เชื่อไหมพ่อก็ยังบอกว่าไม่อร่อย เพราะอะไร ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในมนุษย์ทุกคน ก็คือความคิด ถ้าถูกครอบงำว่าเกลียด เราจะเปลี่ยนให้รู้สึกดีก็ยาก ความคิดถูกครอบงำว่าตัวเองดีถ้าให้มองว่าตัวเองไม่ดีก็ยาก เมื่อเราเห็นไม่แจ่มชัดเราจะเดินบนโลกนี้ได้อย่างปลอดภัย ก็ยากเช่นกัน ใช่หรือไม่
ศิษย์พี่พระนาจาเมตตาประทานชื่อเพลง “รักกันทุกวัน”
ถ้ามนุษย์มีความรัก ความเข้าใจกัน ก็คงไม่มีใครที่เรารังเกียจจนอยากทำร้าย ถ้ามนุษย์มีคุณธรรมในหัวใจอย่างถูกต้องเหมาะสม และบริสุทธิ์ยุติธรรม ก็คงไม่มีใครอยากจะคิดเบียดเบียนและรังแกใช่หรือไม่
“ก็คิดจะเปลี่ยนคนโน้น ก็คิดจะเปลี่ยนคนนี้ หัวปวดไปตามกัน”
เราเป็นอย่างนั้นไหม หวังให้เขาต้องเป็นอย่างนั้น หวังให้เขาต้องเป็นอย่างนี้ ผลสุดท้ายคนที่หวังมากๆนั่นแหละ คือ คนที่หาเรื่องทุกข์ให้กับตัวเอง สู้ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นสิ่งที่แตกต่าง และมองอย่างไม่เป็นปัญหาเราก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข
“คนยิ่งตรง ยิ่งตรง ยิ่งน่าห่วงใย”
ทำไมคนยิ่งตรง ยิ่งน่าห่วงใยรู้ไหม เพราะถ้าตรงอย่างขวานผ่าซากเกินไป ตรงมากเกินไป เข้มงวดมากเกินไป คนอื่นก็รำคาญจริงไหม และเมื่อเข้มงวดมากที่สุด คนที่เข้มงวดมากที่สุดก็คือคนที่น่าห่วงที่สุดใช่หรือไม่ เพราะเป็นคนที่ยึดมั่นถือมั่นไม่ปล่อยวางใช่หรือไม่  
ส่วนใหญ่วันนี้มาฟังธรรมะ มักจะมาขอพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ “ขอให้มีความสุข ให้มีความร่มเย็น” ใช่หรือไม่ ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานความสุข ความร่มเย็นให้ แต่ปากเราชอบไประรานหาเรื่อง สิ่งที่เราควรคิดกลับไม่คิด สิ่งที่ไม่ควรคิดกลับเอาแต่คิด  เช่นนี้แม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะประทานความสุขไปให้ แต่ถึงเวลาท่านก็หาเรื่องใส่ตัวเองใช่หรือไม่ ฉะนั้นท่านต้องจำไว้อย่างหนึ่งนะว่า สุข ทุกข์ ดี ร้าย ได้ เสียไม่ใช่ฟ้ากำหนด แต่คนที่กำหนดคือตัวเราเอง อย่างที่เราบอกถ้าจิตเรากระจ่างแม้จะอยู่ในที่มืดก็กลายเป็นที่สว่างได้ด้วยหัวใจเราเอง แม้ชีวิตจะผันแปรแต่ถ้าเรารู้จุดยืนในความเป็นคน เข้าใจในความเป็นตัวตนของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต สิ่งที่แปรผันก็มาทำให้ใจเราพลิกผันไม่ได้ ฉะนั้น หัวใจที่เปิดกว้างจึงสามารถโอบกอดและรองรับสรรพสิ่งในโลกได้อย่างเป็นสุข ขออย่าขาดซึ่งคุณธรรมในหัวใจก็พอ ฉะนั้น เราจึงอยากบอกต่ออีกว่า มนุษย์กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ กราบไหว้เพื่ออะไร เพื่อให้รวย เพื่อให้โชคดี ไม่มีประโยชน์ ถ้ายังคิดไม่เป็น มองไม่ออก ใจไม่กระจ่าง สิ่งสำคัญคือ ตัวเราต้องเป็นที่พึ่งของตัวเราเอง เพราะคนที่รู้จักควบคุมตัวเองได้คือ ผู้ประเสริฐที่หาได้ยากในโลกนี้
แล้วเราจะคุมตัวเราเองได้ด้วยอะไร มนุษย์ทุกคนต่างมีปัญญา
คุมได้ด้วยคุณธรรม คุณธรรมสอนให้มนุษย์รู้จักขยัน ไม่ประมาท สำรวมระมัดระวังและฝึกกายใจให้งดงาม ดังคำกล่าวว่า สุขทุกข์ล้วนเกิดจากความคิดและอารมณ์ที่เรายึดติดอยากได้ใคร่มี พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า ถ้าเมื่อไรที่มนุษย์เอากิเลส เอาอารมณ์มาครอบงำชีวิต เราก็คือคนที่กำลังสร้างไฟแห่งนรกให้เกิดขึ้นในจิตใจ ถ้าเมื่อไรเราเอาตัณหา ความอยาก กามราคะ อบายมุข มาใช้ในการดำเนินชีวิต เราก็คือ ผู้ที่สร้างทะเลทุกข์ที่หาฝั่งไม่เจอ ฉะนั้น ถ้ามนุษย์รู้จักรักษาจิตให้บริสุทธิ์ดำเนินชีวิตด้วยสติปัญญา และรู้จักใช้ธรรมในการดำเนินชีวิต เราจะเปลี่ยนไฟแห่งนรกให้กลายเป็นน้ำเย็น เปลี่ยนทะเลทุกข์ให้กลายเป็นฝั่งนิพพานได้ เพียงแค่ความคิดของตนเอง แค่ระมัดระวัง สำรวมและถือธรรมเป็นหลักมากกว่าอารมณ์ เราก็จะสามารถแปรนรกให้กลายเป็นสวรรค์ แปรทะเลทุกข์อันเวิ้งว้างให้กลายเป็นฝั่งนิพพานได้ ที่มนุษย์เราทุกข์อยู่ทุกวันนี้แล้วเวียนว่ายไม่จบสิ้นก็เพราะเกิดมาจากกรรม กรรมดีพาให้ขึ้นสวรรค์ กรรมชั่วพาตกนรก กรรมที่เหนือดีเหนือชั่วพามนุษย์พ้นทุกข์ เข้าใจไหม เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากบำเพ็ญธรรม จงรู้จักใจตัวเองและมองผู้อื่นด้วย
ถามว่ามนุษย์รู้จักตัวเองไหม เรารู้แค่เพียงเปลือกนอก แต่ไม่รู้เท่าทันความคิด ถ้าเราสามารถรู้ถึงขนาดมองเห็นและเท่าทันความคิด เห็นความคิดในใจตัวเองได้ มนุษย์จะสามารถก้าวพ้นความทุกข์ได้ ที่เราต้องทุกข์เวียนว่ายตายเกิด เพราะเมื่อมีความอยาก “เราบอกตัวเองว่า ฉันต้องอยากฉันต้องได้ จะฆ่าคน จะทำร้ายคน จะโป้ปดมดเท็จ ไม่สนขอเพียงให้ฉันได้มาครอง”ใช่หรือไม่(ใช่) แต่ถ้าตอนนี้เมื่อมีความคิดปุ๊บ เห็นความคิดตัวเองไหม ความคิดที่อยากได้นั้นอยากแล้วทำถูกต้องไหม อยากแล้วปฏิบัติอย่างคนมีธรรมไหม ถ้าเราเห็นตั้งแต่ความคิดที่จะออกไปเป็นการปฏิบัติ เราจะสามารถดับทุกข์ก่อนทุกข์เกิดได้ ดับเหตุก่อนเกิดผลได้ แค่นี้เอง ท่านก็จะสามารถแปรความคิดให้กลายเป็นหนทางนำไปสู่ความหลุดพ้น ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรม คือการควบคุมทุกขณะแม้กระทั่ง ความคิดก็ต้องมองให้เห็นและจับให้ทัน เพราะความคิดนั่นแหละคือต้นเหตุแห่งความทุกข์และปัญหาทั้งมวล คิดตามอารมณ์ คิดตามตัณหา  คิดตามความโลภ คิดตามโกรธ คิดตามความหลง ล้วนเป็นสาเหตุของทุกข์ภัยในโลก  แต่ถ้าคิดอย่างมีธรรม คิดอย่างเห็นความคิดแล้วรู้อะไรถูกอะไรผิดก่อนตกผล เราก็สามารถหยุดยั้งสาเหตุของการเวียนว่ายตายเกิดได้ด้วยตัวตนเอง เราจะกลับแล้วนะ ถึงเวลาเราก็ไปแล้ว วันนี้พบหน้าเรา อย่าขอเลขสองตัว เราไม่ให้ อย่าขอให้พรมน้ำมนต์ เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็ช่วยได้แค่กายเนื้อแต่หาช่วยให้พ้นทุกข์โดยแท้จริงไม่
สิ่งที่จะทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริงก็คือ ปัญญาในการตื่นรู้ รู้เท่าทันตัวตน และรู้แม้กระทั่งความคิดในตัวตน นั้นประเสริฐกว่าเพราะจะทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง ทุกวันนี้ที่มนุษย์ทุกข์ ไม่สามารถดับทุกข์ เพราะอยากไม่รู้จักพอ เพราะโกรธไม่รู้จักหยุด โลภไม่รู้จักพอ หลงอย่างไม่รู้จักลืมหูลืมตา  แล้วโลภ โกรธ หลง แค่สามอย่างนี้คือต้นเหตุของการเวียนว่ายตายเกิด แต่เรากลับไม่สามารถเอาชนะมันได้ เราจะเอาชนะได้เพียงแค่รู้ทันความคิดตัวเองไม่ให้มันตกผลเป็นโกรธ โกรธแล้วหยุดโกรธ  เพราะโกรธแล้วไม่ดี เราโกรธแล้วเข้าไปตบปุ๊บหายแล้ว แต่ถ้าเขาจองเวรล่ะ เราต้องกลับมาพบเขาอีกนะ ท่านรู้ไหมว่า แค่ว่าเขาว่า “ไอ้โง่” คำเดียว ทำให้ไม่ว่าชาติไหนชาติไหนท่านเกิดมากลายเป็นคนหัวช้าได้นะ เพราะเขาจำฝังใจและจองล้างจองผลาญท่านไม่สิ้นสุด ถ้าไม่เชื่อลองไปอ่านพุทธประวัติดูก็ได้นะ แค่ว่าเขาโง่แค่นั้นเอง ทำให้ชาติไหนแม้ว่าเขาเกิดมาพบพระพุทธเจ้าแล้ว เขาก็ยังไม่สามารถฉลาดได้เลย  เพราะเพียงแค่ว่า “โง่” เราบอกว่าว่าแล้วเราจบแล้ว ไม่เกี่ยวกับเรา เราพ้นทุกข์แล้ว แต่คนที่ถูกว่า ถ้าเขาจองเวรเราขึ้นมาเราทำอย่างไรล่ะ  ฉะนั้น การอยู่ร่วมกันจึงต้องรู้จักความคิดตัวเอง และเห็นแม้กระทั่งความคิด คิดแล้ว คิดดีไหม ไม่ดีอย่าเอาออกมา เพราะเอาออกมาแล้วอาจจะเกิดการจองเวรไม่จบสิ้น หรือที่มนุษย์ชอบพูด “คิดดี ทำดี พูดดี” แต่ปฏิบัติไม่เคยดีสักที  ฉะนั้น ขอให้ดำรงชีวิตด้วยการมีธรรมและอย่าประมาทในการดำเนินชีวิต ไม่อย่างนั้นชีวิตนี้คือชีวิตที่ต้องสร้างกรรมต่อไปไม่จบสิ้น  
เราจะมีชีวิตนี้แล้วหยุดไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป เราทำได้ขออย่าดูเบาตัวเอง มีชีวิตไม่ใช่เพื่อมาดูการเวียนว่ายตายเกิด แต่เรามีชีวิตเพื่อดับการเกิด ดูมาพอแล้วตอนนี้รู้จักดับบ้าง เห็นคนเกิดแล้วก็ตาย  ปลง ปลง แต่ปลงไม่จริง ยังกลับไปวนเวียนวนอยู่อีก อย่างนี้เรียกว่าปลงแต่ปาก ศรัทธาที่แท้จริงคือศรัทธาที่เกิดจากการศึกษาแล้วนำมาปฏิบัติแล้วบังเกิดผล มนุษย์ศึกษาแต่ไม่ปฏิบัติ ไม่ได้เรียกว่าศรัทธาแท้จริง อย่างนี้เรียกว่า ศรัทธาลวงหลอก ฟังแต่ไม่ทำ เชื่อแต่ไม่ปฏิบัติ นี่แหละคือมนุษย์ แล้วเราจะตอกย้ำให้ตัวเองเป็นอย่างนี้ไปตลอดหรือว่าดีขึ้นกว่าเดิมล่ะ (ดีขึ้นกว่าเดิม) ด้วยการรู้ให้ทันความคิดตัวเอง เห็นแม้กระทั่งอะไรมันคิดอยู่ในสมองเรา อะไรมันตกอยู่ในสมองเรา แล้วหยุดมันได้ไหม หยุดให้ทันนะ อย่าปล่อยให้แพ้มันแล้วค่อยมาบอกว่าผิดไปแล้ว มันแก้ไม่ทันหรอก เพราะคนเราเมื่อปักใจเกลียดกันแล้วจะทำอย่างไรให้รู้สึกดีก็ยาก ฉะนั้น สู้มองกันด้วยความเข้าใจ มนุษย์มีความแตกต่างก็จริง แต่ถ้าเรายอมรับความแตกต่างอย่างไม่เป็นปัญหา เราก็สามารถกลมกลืนกับเขาได้อย่างเป็นสุข


วันอาทิตย์ที่ ๑๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
บำเพ็ญจิตทำงานธรรมย่อมรุ่งเรือง คนสำรวมเรืองรองเกียรติรักษา
ไม่ถือโทษโกรธใครใฝ่จรรยา โลภโกรธหลงกรายมาสละอภัย
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีหรือเปล่า

เดินทางธรรมจิตแจ่มใสดั่งอมฤต ครองจิตอย่างจิตบำเพ็ญหงายของคว่ำ
คนขี้ลืมทำงานธรรมบกพร่องทำ ในการทำงานธรรมฝึกจิตใจ
ทบทวนจิตบำเพ็ญลืมอย่าฝันกลับบ้าน สุขกี่วันทุกข์ทำการส่วนใหญ่
รู้จักโลกวันละนิดฝึกกายใจ รู้จักใจตรงที่ยังธรรมไม่ถึง
คนดูแลจิตไม่เป็นช่างประมาท คนใดขาดจิตตรงใจยากหนึ่ง
ไม่รักคนตนเองเอาประโยชน์ดึง ธรรมะตรึงใจเพื่อเท่าที่ควรเป็น
เข้าถึงเนื้อธรรมะนั้นอย่าติดเปลือก ปัญญาเลือกสักเส้นทางเดินให้เห็น
แม้รายวันหลงในแดนสนธยาเย็น ไกลสุดแดนให้ง้างเอ็นทำธนู
เอามาตรฐานโลกทำเส้นตรงหัวใจท้อ บำเพ็ญพอทางตรงเองเพราะใจอยู่
ยิ่งปฏิบัติธรรมตรงทางมีความรู้ ชีวิตสู้พ้นเกิดตายตั้งแต่ชีพยัง
ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตาที่ห้องผู้ร่วมฟัง)
มาฟังธรรมะเพื่อรอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเดียวใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบเต็มปากเต็มคำเลย อาจารย์ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี อาจารย์มาไม่ได้ต้องการให้ติดรูปลักษณ์ บอกว่าไม่ติดแต่พอถึงเวลาก็เอามืออาจารย์ไปจับหัวกันใหญ่เลย อย่างนี้เรียกว่าไม่ติดจริงๆ หรือ
เราบำเพ็ญธรรม เราบำเพ็ญที่ไหน (ใจ) แล้วใจลดกิเลสบ้างหรือยัง (ได้แล้ว)  อย่างเช่นอะไร (ไม่โกรธ, ไม่โลภ)  อาจารย์ว่ายังไม่จริงนะ เพราะไม่อย่างนั้นแค่ไหว้พระธรรมดาก็ต้องมากันเยอะแล้ว วันไหว้พระยังไม่ค่อยจะมากันเลย มาตอนที่มีประชุมธรรมเท่านั้น มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มา ถึงอยากมาใช่หรือไม่ (ใช่)  
ศิษย์เอยโรคภัยไข้เจ็บล้วนเกิดจากการดำรงชีวิตที่ผิดทาง แต่คนที่รู้จักคิดรู้จักบำเพ็ญตนก็เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้ แล้วโรคภัยไข้เจ็บเกิดจากไหน นั่งแล้วไม่ยอมยืน หรือยืนแล้วนั่งไม่เป็น ใช่ไหม (ใช่)  บางทีขายของคุยเพลิน ลืมเมื่อยลืมปวด พอได้นั่งก็รู้สึกปวด “อาจารย์ทำไมไม่ช่วยเลย” เกี่ยวกับอาจารย์ไหม (ไม่เกี่ยว)   
ฉะนั้นโรคภัยไข้เจ็บเราต้องมองให้เจอว่าสาเหตุมาจากไหน ใช่เป็นเพราะการดำเนินชีวิตที่ผิดทางหรือเปล่า อาจารย์มาเพื่อรักษาใจ อาจารย์ไม่ช่วยรักษากาย เพราะกายเป็นสิ่งที่ศิษย์ต้องดูแลรักษาเอง แต่หัวใจอาจารย์ช่วยได้ แต่ถ้าอาจารย์พูดแล้วศิษย์ไม่ทำก็ (ช่วยไม่ได้)  ศิษย์ก็รู้นี่ ถึงแม้อาจารย์จะบอกว่าศิษย์เอยเดินไปทางนี้นะ แล้วจะพ้นทุกข์พ้นภัย แล้วจะมีโชค แล้วจะกลับไปหาอาจารย์ได้ แต่ศิษย์รับปาก บอกว่า “ ครับ, ค่ะ” แต่ถึงเวลาก็ไม่เดิน  ถึงอาจารย์จะพูดเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่ศิษย์นั้นไม่เคยลงมือกระทำจริงๆ เสียที สิ่งนั้นก็เป็นเพียงแค่ฝันกลางวัน  กินอิ่มนอนหลับแล้วก็ฝันกลางวันว่าอยากไปหาเหล่าซือ แต่ถึงเวลาไปไม่ถึงเสียที ฉะนั้นจะลงแรงต้องลงแรงขณะที่มีชีวิต อย่าปล่อยให้หมดสิ้นชีวิต แล้วเราค่อยลงแรง อย่างนี้เรียกว่าสายเกินไป ตอนเรามีกายยังควบคุมยาก แล้วถ้าไม่มีกายค่อยไปควบคุมจะควบคุมทันไหม (ไม่ทัน)  นรกมีไว้สำหรับคนที่ยังติดกายเนื้อติดรูปลักษณ์ติดโลภโกรธหลง สวรรค์มีไว้สำหรับคนที่ติดบุญติดกุศล แต่นิพพานมีไว้สำหรับคนที่ไม่ติดกายเนื้อไม่ติดบุญไม่ติดกุศล ทำซึ่งความหลุดพ้นทุกข์ เข้าใจไหม (เข้าใจ) เข้าใจทุกทีแต่เมื่อไรจะทำเสียทีนะ อย่ามัวไปหลง อย่ามัวไปโลภในโลกนี้เลย มีเงินน้อยก็ทุกข์น้อย มีเงินมากก็ทุกข์มาก ไม่มีเกียรติก็ทุกข์อย่างคนไม่มีเกียรติ แต่พอมีเกียรติกลับทุกข์หนักยิ่งกว่าอีก ฉะนั้นอาจารย์มาเพื่อให้ศิษย์นั้นรู้จักคำว่า (พอ)  คนที่รู้จักคำว่า (พอ)  ย่อมไม่มีหายนะเกิดขึ้นในชีวิต คนที่ไม่โลภย่อมไม่เกิดภัยพิบัติในตัวตน คนที่รู้จักดับความโกรธได้ ย่อมไม่มีไฟเผาในจิตใจ แล้วโลภโกรธหลงเป็นต้นตอแห่งความชั่วร้าย แต่ถ้าเมื่อใดเราไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เราก็กำลังเดินไปสู่ต้นตอแห่งความดีงามแค่นี้เอง การบำเพ็ญธรรม หรือพูดง่ายเข้าไปอีก บำเพ็ญธรรมทำตอนไหน ทำทุกๆ วัน บำเพ็ญธรรมเริ่มต้นได้ง่ายเลยถามตัวเองว่า กินเพื่ออยู่หรืออยู่เพื่อกิน ทำงานเพื่อมีชีวิต หรือมีชีวิตเพื่อเป็นทาสของงาน หาเงินเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกายเพื่อจะไปช่วยคน หรือหาเงินเพื่อตกเป็นทาสกิเลสของเงิน บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยากแค่ถามตัวเองว่าวันนี้ทำอะไร ทำเพื่ออะไร ทำเพื่อมีชีวิตแล้วสร้างสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้น หรือทำเพื่อตกเป็นทาสของชีวิต ถ้าเราทำเพื่อตกเป็นทาสของชีวิตอย่างนี้ไม่เรียกว่าบำเพ็ญ บำเพ็ญเริ่มตั้งแต่การกินการอยู่ และการอยู่ร่วมกับเขา เขาด่ามาเราด่ากลับ อย่างนี้ไม่เรียกว่าบำเพ็ญ เพราะอะไร เพราะเรายังยอมไม่ได้ การบำเพ็ญก็คือรู้จักยอม คนอื่นว่ามาเรารู้จักยอมให้อภัยไม่ถือโกรธ เป็นอย่างนั้นได้หรือเปล่า (ได้)  อย่างนั้นต่อไปจะเปลี่ยนจากการนั่งฟังเป็นการลงมือทำได้แล้ว
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนในชั้น)
วันนี้ประชุมธรรมเป็นวันที่ (สอง)  รู้สึกอิ่มอะไรบ้าง กินอิ่มหรือว่า อิ่มอกอิ่มใจ (สองอย่าง) อะไรมาก่อน อาจารย์ว่ากินอิ่มมาก่อนนะ บางคนบอกว่าอิ่มใจ แต่อาจารย์ว่าเขาห่วงกินอิ่มมากกว่าอิ่มใจอีกใช่ไหม เพราะถ้ามนุษย์ไม่ห่วงการกินป่านนี้คงสามารถสละเวลามาฟังธรรมะได้บ่อยๆ แต่เพราะยังห่วงเรื่องการกินอยู่ ลิ้นของมนุษย์น่ากลัวไหม (น่ากลัว)  ลิ้นสั้นๆ แค่นี้แต่ตวัดได้ทั่วโลกเลย ตวัดบนฟ้าก็ตวัดลงมาได้ ในกองอุจจาระก็ยังตวัดมาได้ รู้ไหมเขากินอะไรจากกองอุจจาระ  เกิดมาเพื่อกิน จนบางทีเป็นอย่างไร กินจนลืมความเป็นผู้เป็นคนไปเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  กินอะไรทำให้ลืมความเป็นผู้เป็นคน (เหล้า) เล่นอะไรที่ทำให้ลืมความเป็นผู้เป็นคน (เล่นการพนัน)  
สิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์ก็คือหัวใจ บทอยากจะได้อะไรแล้วก็ลืมความเป็นคน ลืมตัวตน ลืมผิดชอบชั่วดีไปเลยก็มี หรือลืมมโนธรรมความเป็นคนไปก็มี ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวก็เกิดมาเป็นคนแล้ว ความเป็นคน แล้วจะต้องไม่สูญเสียซึ่งมโนธรรมสำนึกและความละอายเกรงกลัวต่อบาป ถ้าเป็นคนแล้วขาดซึ่งมโนธรรมสำนึก ขาดซึ่งความละอายเกรงกลัวต่อบาป คนๆ นั้นก็สามารถสูญเสียความเป็นคนได้แม้มีชีวิตอยู่ แล้วเรามีจิตแห่งความเกรงกลัวต่อบาปไหม (มี)  ตอนมีคนอยู่มากเราไม่ทำ แต่ตอนไม่มีคนกลับทำ ถ้าเห็นเงินตกเก็บไหม (เก็บ)  ลึกๆ ถ้าเงินของศิษย์ตก ศิษย์กลับคิดว่าขอให้เงินยังอยู่ตรงที่นั้น ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า โทรศัพท์ แล้วทำไมเราเก็บของที่คนอื่นทำตกไว้ได้ล่ะ ถ้าไม่รีบก็ช่วยยืนเฝ้าเผื่อจะมีเจ้าของมาเอาคืนไป ดีไหม  หัวใจของมนุษย์ที่น่ากลัวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถมอย่างไรก็ไม่เคยเต็ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ร่างกายแก่แล้วต้องมานั่งฟังธรรมแล้ว หูก็ไม่ค่อยได้ยิน รอให้แก่แล้วค่อยมาฟังธรรมจะไหวไหม ตัวเราต้องตื่นรู้ด้วยตนเองอย่าปล่อยให้คนอื่นต้องมาคอยปลุกตลอด มันช้าไปนะ
ความสามัคคีคือพลัง ถ้าต่างคนต่างทำพลังก็ไม่มี ฉะนั้นอย่าเห็นคุณค่าแค่พลังในตัวเอง จนลืมคุณค่าพลังของความร่วมมือร่วมใจ มนุษย์มักจะมองข้ามพลังแห่งความสามัคคี  
อะไรเรียกว่า “คนดี”  และอะไรเรียกว่า “คนไม่ดี” ศิษย์ว่าการเป็นคนดีกับการเป็นคนไม่ดีใครเข้มแข็งกว่ากัน (คนดี) งั้นอาจารย์ถามว่า อย่างไรเรียกว่าคนดี (คนมีเมตตา)  แต่ถ้ามีเมตตาแล้วโลภ อย่างนี้เรียกว่าเมตตาที่แท้จริงไหม สงสารแต่คนในครอบครัวและคนที่ตนเองรู้จัก แต่ลืมสงสารคนข้างนอก อย่างนี้เรียกว่าเมตตาไหม เมตตาแล้วต้องมีความยุติธรรมด้วย  บางคนมีเมตตาแต่ขาดความยุติธรรม ความเมตตานั้นก็อาจจะกลายเป็นเมตตาที่ไม่ดี หรืออาจจะเป็นเมตตาที่ฝึกให้ลูกนั้นเสียนิสัย เพราะพ่อแม่เอาแต่ยอมลูกร่ำไป
มีใครตอบอีก (คนกตัญญู)  อะไรเรียกว่าคนไม่ดี อะไรเรียกว่าคนดีคำถามง่ายๆ (คนดีมีคุณธรรม,ดีอยู่ในใจ)  ดีอยู่ในใจไม่เคยแสดงออกอย่างนี้เรียกว่าดีหรือ คนดีต้องรู้จักกล้าแสดงออกถ้าไม่กล้าแสดงออกก็ยังเรียกว่าไม่ดีอย่างแท้จริง เป็นความดีที่ยังแอบกลัวอยู่ลึกๆ
อยู่กับอาจารย์อย่าเอาแต่รอ การรออย่างเดียวไม่มีประโยชน์ (คนดีคือคนกตัญญู, คนดีมีน้ำใจ)  
บางทีเสียไปแล้วก็ได้ของใหม่ ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ เสียไปเพื่อได้มา บางทีก็อยู่ที่การมองของเรา ถ้าจิตเราคิดดีมองใครก็ดูดีไปหมด แต่ถ้าจิตเราคิดร้ายมองใครก็ร้ายไปหมด (มีความจริงใจ)  นั่นก็คือมีความซื่อตรง ทำดีแล้วอย่ากลัว ถ้านั่นคือของเรา อย่างไรเสียอาจารย์ก็ให้ศิษย์ แต่ถ้าไม่ควรเอาแล้วศิษย์จะเอา อาจารย์ยังไงก็ไม่ให้หรอก  (มีความรักความจริงใจต่อตัวเองและผู้อื่นเสมอ, ไม่โลภ, ไม่โกรธไม่หลง, มีความเกรงอกเกรงใจผู้อื่น, จิตใจเหมือนดอกบัว อยู่ที่สกปรกก็อยู่ได้ อยู่บนฟ้าก็อยู่ได้)
คนที่จิตในดีอย่างแท้จริงแม้อยู่ท่ามกลางสิ่งสกปรกก็ยังรักษาความดีได้ อย่างนี้เรียกว่า ประเสริฐ (ไม่เห็นแก่ตัว, เกรงกลัวละอายต่อบาป)
แล้วคนไม่ดีละ ศิษย์มักจะบอกว่าคนที่ดีคือคนที่มีมโนธรรมสำนึก มีศีลมีธรรม แต่อาจารย์อยากจะบอกว่าคนดีในความหมายของอาจารย์ คือคนที่ "ทน ดี และเป็นสุข" คนที่ไม่ดีของอาจารย์คือคนที่ "ไม่ทน ไม่มีดี  และมีทุกข์" จึงกลายเป็นคนไม่ดี เข้าใจไหม คนดีของอาจารย์คือคนที่ต้องมีความอดทนและก็มีดี และอันที่สองคือก็มีความสุข มนุษย์ทุกคนล้วนมีความดีอยู่ในตัว แต่ถ้ามีความดีแล้ว มีความรู้จักละอาย มีมโนธรรมสำนึกแล้ว ไม่ทนก็ดีได้ไม่แท้จริง หรือมีดีแล้วไม่เป็นสุขความดีนั้นก็จะไม่ทำให้ศิษย์อยากจะดีต่อไป  ฉะนั้นคนที่จะมีดีแล้วรักษาความดีได้คือต้องทน มีดีจริงและก็เป็นสุขในการกระทำดี ฉะนั้นคนที่ไม่ดีก็คือคนที่ไม่สามารถอดทนต่อการบีบคั้นของสิ่งแวดล้อม หรือการบีบคั้นของกิเลสของความโลภ ความหลง  ฉะนั้นคนไม่ดีก็คือคนที่ไม่ทนและก็หาดีไม่ได้ และก็ไม่มีความสุขจริงหรือไม่ (จริง)  สังเกตดูคนที่ประพฤติผิด คนที่ประพฤติไม่ดี เพราะในใจเขาล้วนไม่มีความสุข  เมื่อเขาไม่มีความสุข ดีเขาก็เลยไม่คิดอยากรักษาดี  ใจที่ควรจะอดทน เขาก็เลยไม่คิดจะอดทน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอาจารย์นิยามคำว่าคนดีให้ศิษย์ คนดีต้อง
1. อดทน
2. มีดี
3. เป็นสุขในการกระทำ  
(พระอาจารย์เมตตาให้เขียนบนกระดาน)
และมีดีให้ถึง และต้องมีสุขเมื่อทำดี แล้วความดีของศิษย์จะเป็นความดีที่มั่นคงอย่างแท้จริง ฉะนั้นเมื่อใดถ้าเราอยู่ในโลกเราเจอคนที่ไม่ดี เราควรจะพิพากษาเขาดีไหม เราควรจะต่อว่าต่อขานเขาดีไหม เราควรจะเอามาเล่าแล้วประจานคนอื่นดีไหม แล้วเราทำไหม เป็นไหม  คนดีทั้งหลายเมื่อเจอคนไม่ดีแล้วอดพูดได้ไหม ยังไงก็ต้องแอบเอามาพูด เวลาเจอหน้ากันพูดเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี แล้วใจเราจะมีเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี แล้วเวลาจำแล้วพูดสบายใจไหม (ไม่สบายใจ)  คนพูดเองก็รู้สึกแย่ หัวใจก็หดหู่ พุทธะจึงอยากบอกให้ศิษย์ทุกคนรู้ คนที่เขาประพฤติไม่ดีล้วนเป็นคนที่น่าสงสาร เพราะเขาอดทนต่อการบีบคั้นของภาวะแวดล้อมไม่ได้และอดทนต่อการบีบคั้นของกิเลสที่มายั่วยวนไม่ได้ เขาจึงยอมพ่ายที่จะทิ้งดี และยอมกลายเป็นคนไม่ดี เพราะฉะนั้นการที่ศิษย์เอาความรู้ความเข้าใจเพียงเล็กน้อย ไปพิพากษาเขาว่า เลวจริงๆ แย่จริงๆ เรารู้จักชัดเจนแล้วหรือว่าเขาเลวเขาแย่ ถึงได้พิพากษาเขาว่าทั้งไม่ดีและเลว  บางครั้งเราเห็นเขาแค่ไม่นาน หรือเพียงแค่ได้ยินคนอื่นเขาพูดมา เรามั่นใจหรือว่าทั้งชีวิตเขาเลวจริง ฉะนั้นคนดีต้องรู้จักสงสารและเห็นใจผู้อื่น บางคนเห็นคนขโมยเงินก็รีบจับตัวคนขโมยไปให้ตำรวจแต่ไม่เคยถามเขา ที่เขายอมขโมยอาจเพราะเขาหาเงินไม่ได้จริงๆ  อยากเอาเงินไปรักษาแม่ กลายเป็นเรากำลังตัดสินผิดและทำบาปโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นในการอยู่ร่วมกันถ้าเจอคนผิดพลาด เราลองคุยเราลองไตร่ถามดู อาจจะเปลี่ยนจากความโกรธความเกลียดเป็นความเข้าใจและเห็นใจผู้คนมากขึ้นก็ได้
โลกนี้เป็นโลกแห่งมายา ความจริงถูกเคลือบให้มนุษย์มองไม่เห็น เพราะอะไรมนุษย์ถึงมองไม่เห็น  เพราะเรามีอะไรอยู่ในใจ เราจึงเห็นเหมือนคนที่ไม่เห็น แล้วเราจึงกลายเป็นคนที่หลงโลกโดยไม่รู้ตัว  แล้วในโลกนี้อะไรคือภาพลวง อะไรคือความเป็นจริง เรารู้ไหม
ปัจจุบันนี้มนุษย์เราไม่สามารถพ้นทุกข์ได้เพราะอะไร (ความอยาก, รัก โลภ โกรธ หลง)  ศิษย์อยากมองเห็นโลกนี้อย่างตรงตามความเป็นจริง ศิษย์ต้องมองออกให้ได้ว่า อะไรคือภาพลวง อะไรคือความเป็นจริง  ถ้าเราไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ศิษย์ก็ง่ายที่จะถูกมายาบนโลกนี้หลอกลวงและเล่นตลกให้มีแต่ความทุกข์และยากพบสุขที่แท้จริงได้  
อะไรคือภาพลวง  อะไรคือสิ่งลวงหลอกตา และอะไรคือสิ่งที่เป็นจริง เราอยากจะเอาชนะโลกใบนี้ให้ได้ เราอยากจะเอาชนะความทุกข์ในโลกใบนี้ให้ได้ เราจึงต้องมองให้ออกว่าอะไรคือของลวง และอะไรคือของจริง ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่ศิษย์เห็นว่าเป็นภาพลวงนั่นคืออะไร อย่างเช่น เห็นสิ่งที่ไม่น่ารักว่าน่ารัก เห็นสิ่งที่เรียกว่าทุกข์เป็นสุข ใช่ไหม (ใช่)  เห็นสิ่งที่ไม่จริงว่าเป็นของจริงใช่หรือไม่ ใช่แล้วสิ่งที่ทำให้มนุษย์หลงอยู่ในโลกนี้แล้วไม่สามารถพ้นทุกข์ก็เพราะว่าเห็นสิ่งนี้ว่าเป็นของน่ารัก เห็นสิ่งนี้ว่าเป็นของจริงและเห็นสิ่งนี้ว่าเป็นความสุข แล้วอะไรคือของจริง ของจริงในโลกคือทุกสิ่งทุกอย่างล้วน (ไม่จีรัง)  ถูกต้องไม่เที่ยง นั่นก็คือจงจำไว้ว่าในโลกนี้สิ่งที่ศิษย์บอกว่าน่ารักของจริงนั้นหนีไม่พ้นความไม่เที่ยงใช่หรือไม่ (ใช่)  ความไม่เที่ยง เมื่อเรามองความไม่เที่ยงแล้วพุทธะจึงบอกว่าสิ่งที่ไม่เที่ยงหาตัวตนไม่เจอนั่นแหละเรียกว่ามีแล้วเหมือนไม่มี แต่มนุษย์เห็นสิ่งที่มีเป็น (มี)  ไม่มีเป็น (มี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นอะไรก็มีไปหมด แต่พุทธะกลับบอกว่าโลกที่ศิษย์เห็นว่ามีของเต็มไปหมดพุทธะกับบอกว่า หาตัวตนไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยและทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหนีไม่พ้นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่าจะเป็นตัวอาจารย์หรือตัวศิษย์ ไม่ว่าเป็นเงินเป็นทอง ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ศิษย์โกรธได้ตั้งแต่เช้าถึงเย็นไหม (ไม่)  ศิษย์โลภได้ตั้งแต่เช้าถึงเย็นไหม (ไม่)  บางทีโกรธแล้วเอากลับมาโกรธต่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลภเหมือนกันบางทีโลภได้ตั้งแต่เช้าถึงเย็นเหนื่อยหน่อยก็ไปพักแล้วกลับมาโลภใหม่นั่นแหละมนุษย์ ทั้งที่จริงๆ แล้ว มันจับต้องได้ไหม ก็เลยทำให้เรารู้อีกอย่างหนึ่งว่า ในความเป็นจริงของโลกยังมีอีกอันหนึ่งคือทุกสิ่งเพียงแค่ยืมเขาใช้ แล้วสักวันเราต้องคืนเขาไป ถามสิว่าเงินนี้เราเอามาใช้กี่มือแล้ว เคยถามบ้างไหม ไม่รู้ รู้อย่างเดียวเงินอยู่กับฉันก็ต้องอยู่กับฉัน (จริง)  ไม่จริงหรอกใช่หรือไม่ ฉะนั้นเราต้องอย่าลืมความจริงอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้เราไม่เป็นทุกข์นั่นก็คือทุกสิ่งล้วน (ไม่เที่ยง)  และทุกสิ่งล้วนยืมเขาใช้  ความจริงบนโลกใบนี้คือทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง ทุกสิ่งล้วนยืมเขาใช้และเราก็เป็นเพียงผู้ผ่านมาแล้วผ่านไป จำไว้นะ แล้วอีกอย่างหนึ่งความจริงในโลกที่ศิษย์ไม่ควรลืมก็คือทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุผล หรือมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีสิ่งนี้เกิดจะมีสิ่งนี้ไหมหรือที่เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าความจริงของโลกใบนี้คือทุกสิ่งล้วนเป็นคู่ มีเวลาเช้าและมีเวลาเย็น มีเรื่องดีและมีเรื่องร้าย มีสุขก็มีทุกข์
มีคนชมก็มี (คนเกลียด)  นี่คือความจริงเพราะโลกนี้คือโลกแห่งความเป็นคู่ ศิษย์จะหลอกลวงตัวเองว่าให้สวย อย่างเดียวได้ไหม  เก่งแล้วไม่โง่ได้รึ (ไม่ได้)   มีแต่สุขแล้วไม่ต้องทุกข์หลอกลวงไปไหม ให้มีแต่โชคดีอย่ามีโชคร้ายอย่างนั้นโง่ไปหรือเปล่า  ถ้ามนุษย์เราไม่ลืมความเป็นจริงอันนี้เราก็จะไม่ปล่อยให้มายามาลวงหลอกใจดวงนี้ได้ แล้วเราก็จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เรียกว่าสวยแท้จริงก็ไม่สวย สิ่งที่เรียกว่าน่ารักแท้จริงก็ไม่น่ารัก (ใช่)  สิ่งที่เรียกว่ามีแท้จริงก็เรียกว่าความว่างเปล่า (ใช่)
มนุษย์เราศึกษาธรรมเรื่องอะไรบ้าง เรื่องการเป็นคนดีเว้นการทำสิ่งชั่ว หรือละเว้นการทำสิ่งไม่ดีเพื่อรักษาจิตให้บริสุทธิ์ (ใช่)  แล้วเราจะเข้าถึงจิตที่บริสุทธิ์ได้อย่างไร
คุยกับอาจารย์ไปตั้งพักหนึ่งแล้วจำอะไรได้ไหม (จำได้)  จำได้ว่าอย่างไร เป็นคนดีต้องรู้จัก อดทน  เป็นคนดีต้องมีดีให้ถึง เป็นคนดีต้องมีสุข แล้วความดีนั้นถึงจะยั่งยืนใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์อยากจะบอกว่าคนดีที่แท้นั้นเข้มแข็งกว่าคนชั่วหลายเท่าอีกนะ เพราะคนที่ชั่วร้ายเป็นคนที่ไม่ทน ไม่ดี และหาสุขไม่พบ  
ความเคยชินเปรียบเหมือนภัยในการเดินเส้นทางสายธรรม ใช่ไหม หรือจะเอาความมักง่าย  อันไหนเปรียบเป็นภัยในตัวเรามากกว่ากัน ความเคยชินก็เป็นภัยได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(พระอาจารย์เมตตาให้ออกมาวงคำพระโอวาท)
อาจารย์ถามศิษย์นะ มือที่จับพัดเรียกว่ามือว่างหรือมือวุ่น
แล้วมือที่ไม่จับพัดเรียกว่ามือว่างหรือมือวุ่น (มือว่าง)  การที่จิตจะถึงซึ่งความว่าง นั่นก็คือใจที่ (ไม่วุ่น)  แล้วใจอย่างไรล่ะที่เรียกวุ่น  มนุษย์ในโลกนี้ทุกข์เพราะความยืดมั่นถือมั่น ทุกข์เพราะความมองไม่เห็นอย่างถ่องแท้ ทุกข์เพราะหลอกลวงตัวเอง อาจารย์จึงเทียบง่ายๆ ว่าใจที่ว่างกับใจที่วุ่นก็เปรียบได้กับมือ มือที่ถือพัดคือมือที่วุ่น มือที่ไม่มีพัดคือมือที่ว่าง ใจที่ว่างกับใจที่วุ่นต่างกันอย่างไร (สุขกับทุกข์, ใจว่างคือใจสงบใจวุ่นคือใจรุ่มร้อน)  ตอบได้ดีนะ ใจว่างที่แท้จริงคือใจที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น จึงจะเข้าถึงความสงบได้อย่างแท้จริง แต่ใจของมนุษย์นั้นไม่สามารถเข้าถึงความสงบและบริสุทธิ์ที่แท้จริงเพราะเราติดกับการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ในอัตตาตน ในนิสัยตน เราจึงไม่สามารถเข้าถึงความว่างได้
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากเข้าถึงความว่างก็แค่ไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่ตัวมนุษย์เองนั้นมักจะมีความยึดมั่นถือมั่นเต็มไปหมด ถูกอาจารย์ตีโกรธไหม ถูกตีที่หัวด้วย โกรธไหม (โกรธ)  เมื่อไรที่โกรธ แปลว่าเรายึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวตน ทั้งที่จริงๆ แล้วสิ่งนี้เขาเรียกว่ากาย กายตัวนี้เห็นว่า “มี” แท้จริงแล้ว “ไม่มี” และสิ่งที่ยืมเขามาใช้  ถ้ายึดมั่นถือมั่นก็ทุกข์สองเท่า แต่ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ไม่ต้องทุกข์หลายเท่า ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกว่าความทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร วันนี้ท่ามกลางความวุ่นวายศิษย์จะรักษาความว่างความนิ่งได้หรือไม่ ฟังอาจารย์รู้เรื่องไหม ความทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร ความทุกข์เกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อตาเห็น หูได้ยิน ใจเราสงบไหม แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์ เมื่อตาเห็นหูได้ยิน ใจก็วุ่นวายใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไรล่ะ ควบคุมตาควบคุมหูไม่ได้หรือ ได้ไหม (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนปิดตา ปิดหู)  ปิดตา ปิดหู เมื่อไม่เห็นอะไรแล้วใจจะสงบไหม ยัง ถ้าใจยังยึดมั่นถือมั่นว่า อยากรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นความทุกข์เกิดจาก ใจที่เกิด เรียกว่า ความรู้สึก ถ้าเมื่อใดที่ตาดู หูฟัง แล้วใจไม่รู้สึก ความทุกข์ก็ไม่บังเกิด แต่ถ้าเมื่อใดที่ตาดู หูฟัง เมื่อใจรู้สึก ก็เกิดตัณหา เมื่อตัณหาเกิดก็เกิดอุปทาน เมื่อมีตัณหาอุปทานครบก็เกิดเป็นอัตตาตัวตนให้มีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอนที่เราไม่ดู ไม่ฟัง แต่ใจเรายังคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราปล่อยวางได้หรือเปล่า ปล่อยวางความยึดมั่นอยากรู้อยากเห็น ที่เรียกว่าอารมณ์ความรู้สึกได้หรือไม่  
อาจารย์เคยบอกว่าคนแก่ก็มีธรรมะนะ ความแก่ทำให้ต้องมองอะไรไกลๆ สิ่งที่ควรได้ยินก็ควรไม่ได้ยินบ้าง จะได้ทุกข์น้อย แต่ก่อนพูดได้เก่งแต่เดี๋ยวนี้ฟันไม่มีก็ต้องให้พูดน้อยลง ฉะนั้นความแก่ก็มีธรรมะดีนะ ให้ปลงๆ ได้แล้วไม่ต้องดู ไม่ต้องไปฟัง และไม่ต้องไปพูดมาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
รู้หรือยังว่าทุกข์มาจากไหน ยังวุ่นวายอยู่ ถ้าจะสงบใจกันยากนะจริงๆ  แล้วอาจารย์บอกไปแล้วนะว่าทำอย่างไรไม่ให้เกิดทุกข์ มนุษย์เราทุกข์เพราะมีตัวตน ทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่นใช่ไหม ขนาดทำบุญยังเป็นทุกข์ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเกิดฉันถือปิ่นโตเก่าๆ  แต่คนอื่นถือปิ่นโตใหม่ ฉันทำกับข้าวบ้านๆ  แล้วไปเปรียบเทียบกับคนทำอาหารหรูๆ  เราอายไหม ถ้าไม่เปรียบเทียบมั่นใจว่าสิ่งที่เราทำดีที่สุดเราก็ไม่เป็นทุกข์หรอกใช่หรือไม่ (ใช่)  (ไม่ทำผิดไม่คิดร้าย,ทำใจให้สงบ)  แต่ถ้ายังยึดมั่นอยู่ใจก็สงบไม่ได้หรอก ให้ตอบคำถามนี้ก็ตอบอยาก อาจารย์ถามง่ายเข้าไปอีก อะไรที่ทำให้เรากลายเป็นคนชั่ว (อยากในสิ่งที่ไม่ควรอยาก)   
กิเลสตัวไหนที่ทำให้เรากลายเป็นคนชั่วได้ง่ายที่สุด (ความหลง)  หลงตัวเองไหม เห็นตัวเองมากกว่าผู้อื่นไหม เข้าข้างตัวเอง แต่ไม่เคยสนใจความคิดผู้อื่น (ความโลภ, ความเห็นแก่ตัว) คนที่มั่นใจในตัวเองมากเกินไป คนที่ไม่รู้จักฟังใครก็อาจจะกลายเป็นคนที่ทำผิดคิดร้ายก็ได้ (ไม่ยึดมั่นในศีลธรรมจรรยา, ขาดสติ) ทำอะไรไม่รู้จักคิดให้ดีๆ เลยเรียกว่าชอบคะนอง ทำอะไรอย่าทำด้วยความคะนอง อย่าคิดว่ามีเก้าชีวิต ไม่อย่างนั้นจะตายโดยไม่รู้ตัว (ลุ่มหลงในอบายมุข)  อะไรอีกที่ทำให้เรากลายเป็นคนที่ไม่ดี ความคิด ใช่หรือไม่ คิดเข้าข้างตัวเองจนไม่รู้จักฟังผู้อื่นบ้างหรือ เชื่อมั่นในตนเองจนไม่เชื่อมั่นแม้กระทั่งพ่อแม่ตนเองใช่หรือไม่ หรือกลายเป็นคนขี้เกียจไม่ขยัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  มัวแต่รักสวยเกินไปก็เป็นทุกข์เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  
(นักเรียนในชั้นถามพระอาจารย์ให้ช่วยไขปัญหา)
(ถ้าเราช่วยเหลือคนด้านการเงินคนอื่น แล้วเขานำเงินที่ได้มาไม่ถูกต้องมาใช้คืน เราสมควรจะรับไหม)
ถามศิษย์ว่าถ้าไม่เอาเงินนั้นศิษย์ทำใจได้ไหม (ยากค่ะ)  อย่างนั้นศิษย์ก็ต้องคิด ถ้าศิษย์ไม่เอาเงินเขาศิษย์อาจจะหยุดกรรมต่อการเวียนว่ายตายเกิดได้ ไม่ต้องผูกเวรต่อเขาอีก แต่ถ้าศิษย์รับเงิน นอกจากเกี่ยวกรรมกับเขา อาจจะเกี่ยวกรรมกับคนที่เขาไปเอาเงินมาด้วย (เราไม่ต้องรับหรือคะ)  ศิษย์ทำใจได้หรือเปล่า นั่นคือปัญหา ในโลกนี้คนเราเกิดมาเพื่อใช้เวรใช้กรรม ใช่หรือไม่ ถ้าอาจารย์บอกว่าเรามีโอกาสได้ใช้เวรหมดสิ้น แม้นกรรมดีที่เรามีโอกาสจะได้เสวย แต่เราไม่เสวยเรามีแต่โอกาสใช้กรรมๆ
ไม่มีประโยชน์กว่าหรือ  มีชีวิตเพื่อใช้กรรมให้หมดแล้วไม่สร้างกรรมต่อสิ่งนั้นแหละประเสริฐที่สุดในการมีชีวิต (เจ้ากรรมต้องรับส่วนที่จะใช้หนี้เรา)   ถ้าอาจารย์บอกไม่รับแล้วศิษย์ทำใจได้หรือเปล่า (ก็ต้องคิดดูอีกที) ศิษย์เอยชีวิตของคนนั้นน่ากลัวตรงที่ไม่ใช่ทุกข์วันนี้แล้วจะจบทุกข์ในวันนี้  แต่บางทีทุกข์วันนี้ ยังอาจจะทุกข์ต่อไปอีกไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ฉะนั้นถ้าเราคิดไตร่ตรองแล้วว่าเรายอมทุกข์แล้วไม่ต้องสร้างเวรสร้างกรรม ฉะนั้นเรายอมเก็บทุกข์นี้ไว้ไม่ดีกว่าหรือ แต่ถ้าทำแล้วเราเป็นสุขแต่เกิดเวรเกิดกรรมศิษย์จะทำหรือ (ไม่ทำ)  ฉะนั้นชีวิตนี้เราเกิดมาเพื่อมีชีวิตแล้วเราจบสิ้นชีวิต หรือมีชีวิตเพื่อสร้างทุกข์ไม่จบสิ้น คิดให้ดีๆ
การมาบำเพ็ญธรรมศึกษาธรรมเพื่อรู้แจ้งทางดับทุกข์และไม่ต้องเวียนว่ายการเกิดอีกต่อไปแล้วเราจะดับทุกข์ได้อย่างไร ถ้าเรายังหยุดสร้างกรรมไม่ได้ ต้นเหตุของกรรมเกิดจากกิเลส แล้วกิเลสมีรากเหง้ามาจากอะไร ก็มีรากเหง้ามาจากโลภ โกรธหลง ถ้าเราสามารถตัดโลภ โกรธ หลง ได้ เมื่อเราตัดกิเลสได้ กรรมเราก็ตัดได้ เมื่อเราตัดกรรมได้ ทุกข์เราก็ไม่มีได้ นั่นคือการที่เรามีชีวิตเพื่อดับการเกิด แต่ไม่ใช่เพื่อเกิดแล้วเกิดไม่จบสิ้น (สรุปแล้วเราต้องไม่รับ) ถามหัวใจตัวเองเพราะว่าถึงแม้ว่าอาจารย์จะบังคับให้ศิษย์ทำ แต่ใจศิษย์อยากอยู่กับความอยากนั้นก็สามารถก่อเวรก่อภัยได้นะ ฉะนั้นต้องเกิดจากใจของตนเอง เหมือนที่เรียกว่าบุญบริสุทธิ์  ไม่ได้เกิดจากคนอื่นพูด แต่ต้องเกิดจากตัวเราคิดและทำจนถึงที่สุด โดยไม่เจือความโลภ ความหลง ความยึดมั่น นี่ถึงจะเรียกว่าบุญบริสุทธิ์  แล้วเราจะตัดกรรมได้อย่างไร กรรมนั้นจะต้องตัดแล้วไม่อยาก ตัดแล้วคลายความยึดมั่น คลายความหลง ตัดแล้วได้ตัดกิเลสออกจากตน แล้วไม่ต้องทุกข์อีกต่อไปน่าจะดีใจกว่านะ เงินไม่ใช่พระเจ้านะ แต่ใจที่สามารถตัดกิเลสจะทำให้คนสามารถเป็นพระเจ้าได้ ใช่หรือไม่  คิดให้ดีๆ  
(นักเรียนถามเรื่องเกี่ยวกับอาชีพของตนเองในการค้าขายยาเส้น)
ก่อนที่จะถามอาจารย์ ต้องถามก่อนว่าเชื่ออาจารย์หรือเปล่า ศรัทธาหรือเปล่า ถ้าไม่เชื่อไม่ศรัทธา ถามไปไม่มีประโยชน์   อาจารย์อยากจะบอกว่า ศิษย์เป็นคนก้ำกึ่ง ไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่สิ่งที่เราทำนั้นให้ผลร้าย พระพุทธองค์เคยกล่าวไว้ว่า ยาเสพติดเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะทำการค้าขาย หรือสิ่งที่ไม่ควรให้คนอื่นเพราะเป็นทานที่ไม่บริสุทธิ์ เพราะเป็นสิ่งเสพติด สิ่งนี้ทำให้คนตายได้  อาจารย์ขอบอกว่าไม่ดีไม่ร้าย บางหมู่บ้านปลูกยาเส้น ขายยาเส้น  จำได้ไหมอาจารย์เคยบอกว่าคนทำดีอย่างแรกคือต้องทน ความทนจะทำให้เรามีดีและเมื่อเรามีดีเราจึงบังเกิดสุขแล้วทำอย่างไรที่เราจะสามารถทนและมีดีบังเกิดสุข ตอนนี้ศิษย์กล้าที่จะเปลี่ยนตัวเองไหม มีศิษย์คนหนึ่งมีชีวิตอยู่ได้ทั้งครอบครัวด้วยการฆ่าสัตว์ เขาถามอาจารย์ว่าบาปไหม เหมือนกันเลย แล้วอาจารย์จะไม่บอกว่าไม่บาปได้หรือ แล้วบาปอันนี้ก็เป็นบาปที่เป็นทุกข์ ก็เช่นเดียวกับศิษย์ ศิษย์กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้หรือไม่ แต่เราจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร เข้มแข็งแล้วอดทน เรากล้าเปลี่ยนหรือเปล่า เมื่อเปลี่ยนก็ต้องยอมรับความลำบาก เมื่อลำบากได้จึงมีดี ศิษย์ดูง่ายๆ  ชีวิตอาจารย์ ดูง่ายๆ  ชีวิตของพระพุทธองค์ รวยกว่าศิษย์เป็นสิบๆ เท่า แต่ทำไมยอมมาลำบากทำตัวเหมือนขอทาน ตัดยากกว่าศิษย์อีกนะใช่หรือไม่ ชีวิตอาจารย์แต่ก่อนก็เคยสบาย แต่ทำไมอาจารย์เลือกจะมาทำตัวยาจกล่ะจริงไหม จิตที่ระลึกรู้คือจิตที่สามารถนำพาชีวิตไปสู่ความสว่างแต่จิตที่ไม่เคยคิดเลยว่าอะไรดีอะไรชั่วย่อมนำพาไปสู่ความมืดบอด แค่ศิษย์มีใจที่ระลึกรู้ว่าอยากทำดีนั่นก็ประเสริฐแล้วแต่ขอไปให้ถึงซึ่งความดีนั่นคือที่สุดของความประเสริฐ  มนุษย์ทุกคนรู้อะไรดีอะไรชั่ว แต่ทำไมเราจึงไม่สามารถทนและทำดีให้ถึงที่สุดแล้วมีสุขในความดีได้ เพราะเราพ่ายแพ้การบีบคั้นของกิเลสใช่หรือไม่ เพราะเราอดไม่ได้เห็นคนนี้มีคนนั้นมีศิษย์ก็อยากมี แต่มีแล้วทำให้ศิษย์พอได้ไหม เป็นสุขได้วันนี้เดี๋ยวก็กลับมาเป็นทุกข์ใหม่ เหมือนศิษย์อยากใส่เสื้อให้ทันสมัย  ศิษย์ไม่รู้สึกเหนื่อยกับการวิ่งให้ทันสมัยหรือ จากกางเกงขาใหญ่เป็นกางเกงขาเล็กใช่หรือไม่ จากกางเกงขายาวเป็นกางเกงขาสั้น จากตัวเล็กกระจิ๋วกลายเป็นตัวเบ้อเริ่ม ตามแฟชั่นไปเรื่อยๆ ไม่เหนื่อยหรือ ชีวิตก็เหมือนกัน เดี๋ยวรัก เดี๋ยวโลภ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวหลง แล้วกลับมารัก โลภ โกรธ หลงใหม่ แล้วเราจะหยุดได้อย่างไร ฉะนั้นการศึกษาธรรมก็คือการมีสติระลึกรู้อยู่เสมอทุกขณะที่ตาดูหูฟัง แล้วเราหยุดยั้งไม่ให้เกิดความรู้สึกได้ไหม เมื่อไม่รู้สึกก็ไม่เกิดตัณหาซึ่งเป็นความอยาก เมื่อไม่เกิดเป็นความอยากก็ไม่เกิดอุปทานคือความยึดมั่น เมื่อไม่อยากไม่ยึดมั่นก็ไม่มีตัวตนให้เกิดทุกข์ ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมเริ่มตั้งแต่ตาดูหูฟัง หยุดยั้งใจให้ใจมีความวางเฉยได้ไหม มองเห็นโลกในความเป็นจริงว่ามีสุขก็มีทุกข์ มีดีก็มีร้าย มีได้ก็มีเสีย และถึงที่สุดชีวิตหนึ่งก็แค่ผ่านมาแล้วผ่านไป กายเราก็ต้องคืนไปกับธรรมชาติ แล้วเราจะเอาอะไรไป ถ้าไม่ใช่ความดับทุกข์ที่แท้จริง ถูกไหม (ถูก)  สิ่งที่ศิษย์เรียกว่ามี พุทธะหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วโลกต่างเรียกว่าความว่าง สิ่งที่ศิษย์เรียกว่าน่ารัก พุทธะทั่วโลกต่างเรียกว่าน่าเกลียด สิ่งที่ศิษย์เรียกว่าสุข พุทธะทั่วโลกต่างเรียกว่าความทุกข์ ถ้าเรากำลังยึดมั่นกับสิ่งที่เรียกว่าทุกข์นั่นก็คือคนโง่ ถ้าเรากำลังไขว่คว้ากับสิ่งที่มีทั้งที่คือความว่างนั่นก็คือคนโง่ หาทุกข์ใส่ตัว แล้วเราจะอยู่บนโลกนี้อย่างไรถึงจะไม่บังเกิดทุกข์ ก็โดยการอยู่ร่วมกับเขาอย่างไม่สำคัญมั่นหมายว่าต้องเป็นนั่นเป็นนี่ อยู่ร่วมกับเขาอย่างไม่หลงได้ไหม อยู่ร่วมกับเขาอย่างไม่ยึดมั่นในตัวตน รักษาใจให้วางเฉย ถ้าทำได้ศิษย์ก็พ้นทุกข์ได้ ธรรมะที่อาจารย์พูดยากไปไหม (ไม่ยาก)  แต่ทำอย่างไรให้หัวใจศิษย์รู้จักวางเฉย แต่วางเฉยไม่ใช่ตายด้าน เห็นใครก็ไม่สงสาร ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ทำอะไรแล้วเราทำถึงที่สุดมีความสุขกับการได้ทำงาน แต่ถึงที่สุดเจ้านายจะชมเจ้านายจะว่าก็ยอมรับ ถึงที่สุดจะสำเร็จไม่สำเร็จก็ยอมรับ ลงเล่นกีฬาแล้วถึงที่สุดจะแพ้หรือชนะก็ยอมรับความเป็นจริง นี่แหละอยู่ร่วมโดยไม่ยึดมั่นสำคัญมั่นหมายว่าจะต้องเป็นนั่นเป็นนี่ วันนี้เราแพ้เขาชนะก็เป็นสุข วันนี้เราชนะเขาแพ้ก็เป็นสุข
(นักเรียนในชั้นถามพระอาจารย์ว่า อภัยจะใช้ตอนไหน)
อภัยใช้ได้ตอนไหน ถ้ามีคนมาขอเงิน ขอแล้วขออีก แถมขอแล้วไม่คืนเราจะให้อภัยไหม มีคนอื่นตั้งเยอะ ทำไมเขาไม่ไปยืมกลับมายืมแต่เรา ครั้งแรกที่ยืมไปก็ยังไม่คืนแล้วยังมายืมต่ออีก เป็นเพราะเราอาจจะติดหนี้เขามาก่อน ฉะนั้นให้ได้ก็ให้ แต่ถ้าให้แล้วรู้สึกแค้นรู้สึกโกรธก็อย่าให้ อภัยสามารถใช้ได้ทุกเมื่อ ศิษย์รู้ดีแม้กระทั่งทำบุญก็อย่ายึดมั่นถือมั่น  เพราะถ้ายึดมั่นถือมั่น บุญทานนั้นก็ยังมีกิเลสเจืออยู่  
(มีนักเรียนถามพระอาจารย์ว่าเคยบวช เพื่อให้กุศลถึงบรรพชน แล้วการมานั่งฟังธรรมอย่างนี้ กุศลจะถึงบรรพชนได้ไหม ได้อย่างไร) จิตของศิษย์ทุกครั้งที่ทำดี กุศลเกิดจากอะไรต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน กุศลเกิดได้ต้องไม่มีโลภ โกรธ หลง และกุศลคือรากเหง้าแห่งความดี แค่นั่งฟังแล้วเรารู้ตื่นรู้แจ้งแล้วในขณะที่เรารู้ตื่นรู้แจ้งเรารู้สึกอยากจะให้ นั่นก็สามารถไปถึงได้ พลังของจิตใจเป็นพลังที่ศิษย์ยากจะมองเห็นแต่สามารถไปได้ไกลและไปได้แรง ถ้ามุ่งมั่นตั้งใจ แค่นั่งฟังขณะนี้แล้วเรานึกถึงขอให้บุญกุศลของการนั่งฟังนี้ไปถึงบรรพชน ไปถึงเจ้ากรรมนายเวร ไปถึงสรรพสัตว์ ขอให้เขาตื่นรู้และเป็นสุขเหมือนที่ฉันตื่นรู้และเป็นสุขนี้ นี่ก็ได้แล้ว หรือทุกขณะจิตที่ศิษย์รู้สึกว่ามีความสุขแล้วในใจศิษย์คิดว่าขอแบ่งความสุขนี้ไปยังสรรพสัตว์ที่ต้องทุกข์ คนที่ต้องกลุ้มกังวลขอให้เขาคิดได้และมีสุขเหมือนที่ฉันเป็น นั่นก็ประเสริฐแล้ว
ธรรมะหรือจิตที่รู้จักให้ สามารถให้ได้ทุกขณะ ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำบุญแล้วถึงให้ แค่เราคิดที่จะให้ก็ไปถึงแล้วแต่คนโดยส่วนใหญ่พอทำอะไรดีมีอะไรดีแล้วไม่ค่อยคิด จนกระทั่งตัวเองแย่แล้วถึงจะคิดถึงคนอื่น   ฉะนั้นความดีให้ได้ทุกเมื่อ รู้สึกดีก็ให้ แม้ขณะที่ล้างหน้าแล้วบอกว่าขอให้น้ำที่ล้างนี้ขอให้ไปสู่สัตว์ที่อยู่ข้างล่าง  ขอให้มีความสุขความเจริญ นั่นก็เป็นบุญได้ เหมือนศิษย์กินข้าวเหลือทิ้งไปก็บาปแล้วคิดในใจว่าขอให้เศษข้าวนี้ไปยังนก หนู นั่นก็ได้บุญ เพราะจิตที่รู้จักให้ จิตที่ให้แล้วสามารถตัดซึ่งตัวตน ตัดซึ่งความตระหนี่ ความโลภ ก็เป็นกุศล ทุกขณะที่ทำตัดซึ่งกิเลสได้ ก็ทำให้บุญกุศลบังเกิดในชีวิตได้
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “บำเพ็ญจิต ปฏิบัติธรรม”)  
บำเพ็ญจิตปฏิบัติธรรม ทำยากไหม วันนี้มาฟังธรรมะเพื่อบวชจิตใจ การบวชจิตก็คือมีสติปัญญารู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบจิตไม่ให้บังเกิดเป็นโลภโกรธหลง นี่คือเรียกว่าบำเพ็ญจิต ปฏิบัติธรรมคืออยู่ร่วมกับคนในสังคมรู้จักเอาธรรมะมาเป็นที่ตั้งรู้จักเดิน รู้จักคิด อย่างคนที่มีคุณธรรมในหัวใจ หรือเรียกง่ายๆ คืออยู่ร่วมกับผู้คนด้วยเมตตาเป็นพื้นฐาน ถ้าเราทำอะไรก็ตามมีเมตตาเป็นพื้นฐานเราจะเบียดบังคนอื่นได้ไหม เราจะทำร้ายคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้)  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากแต่ถ้าทำได้ก็จะเป็นผู้ประเสริฐ ทำได้แล้วยังสามารถเปลี่ยนแปลงให้คนอื่นเป็นไปได้ด้วย นั่นยิ่งประเสริฐใหญ่  ที่เรียกว่า “พุทธะ” เพราะทนในสิ่งที่ยากทน เพราะทำในสิ่งที่ยากทำ ที่ยังเรียกว่ามนุษย์เพราะไม่เคยทนอะไร ที่เรียกว่ามนุษย์ก็เพราะว่าไม่เคยทำอะไรที่เรียกว่าดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
น่าเสียดายนะที่นั่งฟังแล้วไม่ได้อะไรจากอาจารย์เลย ขอให้ศิษย์กลับไปศึกษาให้ดีนะ บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ใช่ให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนาใหม่ นับถือศาสนาพุทธก็ยังเป็นศาสนาพุทธ ชอบทำบุญตักบาตร ก็ยังทำบุญตักบาตรได้ แต่จงทำโดยไม่หวังผล ทำโดยไม่ติดยึดมั่นในตัวตน และทำโดยไม่หลงบุญหลงกุศล บุญนั้นถึงจะเป็นบุญที่ประเสริฐ แล้วบุญกับกุศลอะไรยิ่งใหญ่กว่ากัน (กุศล)  กุศลเกิดขึ้นได้อย่างไร นั่นก็คืออย่าได้มีโลภโกรธหลงเจือปน เราจึงจะสามารถถึงกุศลได้อย่างแท้จริง
บำเพ็ญธรรมแล้วต้องมีความสุข กลัวอย่างเดียวยังไม่ยอมบำเพ็ญจริงๆ เสียที
ความจริงที่หนีไม่พ้นคือ ทุกคนล้วนผ่านมาแล้วผ่านไป อย่าลืมความจริงข้อนี้ ชีวิตนี้เพียงยืมเขาใช้ อย่าหลอกตัวเองว่าเป็นของเราๆ มันไม่ใช่
(นักเรียนถามพระอาจารย์ ถ้าของเราหายแล้วเราแช่งคนที่เอาไปถือว่าบาปไหม)  
นั่นคือการจองเวร  อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่าไม่แน่ว่าศิษย์เคยไปเอาของเขามา แต่ศิษย์จำไม่ได้ วันนี้เขาจึงมาขอคืน ถ้าเรารู้ว่าเกิดมาเพื่ออะไร ก็จะรู้ว่าเรามีชีวิตอยู่ที่ใด แต่ตอนนี้ศิษย์รู้หรือยังว่าตอนนี้ศิษย์เกิดมาเพื่ออะไร มาเพื่อสร้างกรรม หรือมาเพื่อใช้กรรมให้หมดสิ้น ฉะนั้นใครจะด่าเรา ใครจะว่าเรา ใครจะเอาของเราไปจงทำด้วยจิตเมตตา เขาอยากเอาก็ให้เขาเอาไปอย่าโกรธ วันนี้เขาอยู่กับเรา แต่ต่อไปเขาไม่อยู่กับเรา อย่าไปโกรธเพราะบุญกรรมมีแค่นี้ ยึดมั่นไปรั้งไปก็เป็นทุกข์สู้ปล่อยไปดีกว่า คิดให้ดีๆ ถ้าเราเข้าใจว่ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เราก็จะรู้ว่าควรทำตัวเองอย่างไรไม่ให้ต้องทุกข์และไม่ต้องเกี่ยวกรรมกับใครอีกต่อไป ทุกข์ที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ทุกข์แค่การเกิดแก่เจ็บตาย แต่ทุกข์ที่น่ากลัวที่สุด ก็คือทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดแล้วต้องเกี่ยวกรรมกับคนที่ไม่น่าจะเกี่ยว เกลียดคนนี้แล้วอยากพบเขาอีกไหม (ไม่อยาก)  ทำอย่างไรถ้าเขาด่าเรา เขาว่าเราต้องอดทนสิและให้อภัย เพราะคนที่มีความดีโดยแท้จริง คือ คนที่ทน มีดี และเป็นสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์ต้องทนให้ได้นะแล้วความดีจะบังเกิดความสุขจะอยู่ไม่ไกล กลัวอย่างเดียว กลัวไม่ทน เพราะศิษย์ไม่รู้ว่าไปทำอะไรกับใครเขาไว้บ้างจึงไม่ต่างกับศิษย์ที่เคยไปทำกับคนอื่นเขาเลย ศิษย์บอกว่าคนสมัยก่อนโหดร้ายน่ากลัว แต่อาจารย์จะบอกว่าในที่นี้คนบางคนก็โหดร้ายน่ากลัวไม่ต่างกับคนยุคนี้ เพียงเพื่อให้ตัวเองมีมากๆ โดยไม่สนว่าเขาจะเป็นหรือจะตายก็ทำได้เบียดเบียนได้    ฉะนั้นถ้าวันนี้ได้ใช้กรรมจงยินดีเถอะ ถ้าวันนี้เขาทำร้ายเราจงเป็นสุขเถอะ เพราะเราได้หมดกรรมกับเขาสักที แต่ถ้าศิษย์โกรธ แค้น ศิษย์แช่งชักก็เป็นการจองเวรที่ไม่จบไม่สิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากปัญญาศิษย์เองนะ วันนี้อาจารย์พูด ศิษย์รู้ได้ แต่วันต่อไปศิษย์ต้องรู้ได้ด้วยตัวเองจะประเสริฐกว่าเพราะปัญญาของศิษย์กับปัญญาของอาจารย์ไม่ต่างกัน ขอเพียงมีสติระลึกรู้อยู่เสมอ รู้เท่าทันแม้ความคิดของตัวเอง ไปแล้วนะตั้งใจแล้วทำให้ได้นะ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกดีไหม กลับมาช่วยอาจารย์นะทำดีแล้วจงทำต่อไป
มีโอกาสมาฟังให้ครบนะ เป็นศิษย์ของอาจารย์ ถึงจะเหนื่อยจะทุกข์ก็ขอให้อดทน น่าเสียดายนะที่ไม่ตอบ ลองพยายามดูนะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีจะได้ไม่ต้องผูกเวรผูกกรรมเวียนว่ายในโลกนี้ไม่จบสิ้น โลกที่เป็นโลกที่น่าอยู่หรือ อย่างมงายเลยนะศิษย์ บำเพ็ญธรรมไม่หมดลมหายใจไม่หยุดบำเพ็ญ ลำบากอย่างไรก็ไม่ท้อ เหนื่อยอย่างไรก็ไม่หวั่น ชีวิตจะทุกข์ขนาดไหนก็ผ่านมาแล้ว  ดูแลตัวเองให้ดีนะ อย่าประมาทต่อการดำเนินชีวิต มีสติอยู่เสมอ ทำอะไรคิดให้ดี อาจารย์ช่วยศิษย์ได้ไม่ตลอด แต่ศิษย์ต้องรู้จักมีสติปัญญาช่วยตัวเองให้ได้ตลอด



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “บำเพ็ญจิต ปฏิบัติธรรม”
จากว่าด้วยเรื่องการบำเพ็ญจิต
กิเลสยึดติดยิ่งทีต้องยิ่งน้อย
เหล่านิสัยต้องเปลี่ยนแปลงอย่าเหลือรอย
เรื่องย่อยย่อยก็ละเอียดพิจารณา
แม้จิตบำเพ็ญภายใน
แต่ดูได้จากกิริยา
เห็นชัดยามพบซึ่งปัญหา
ชัดมาในวิธีคิด
บำเพ็ญจิตอย่าลืมทำงานธรรม
ทำงานธรรมอย่าลืมบำเพ็ญจิต
การฝึกฝนทำทุกวันวันละนิด
การฝึกจิตตรงที่ยังไม่ตรง
จิตขาดธรรมเป็นใจคนใจเนื้อ
ธรรมะเพื่อตนเองเท่านั้นสักวันหลง
เส้นทางในแดนโลกทำให้งง
เส้นทางธรรมตรงตรงพ้นเกิดตาย



แก้ไขพระโอวาท
พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาทที่เมตตาประทานให้ไว้สถานธรรมถงซิน อ.ดำเนินฯ จ.ราชบุรี วันที่ ๑๐-๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓
หน้าที่๑๙
เดิม    ทำนองเพลง : เผลอใจรัก
แก้เป็น   ทำนองเพลง  : เผลอรักหมดใจ

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา