แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อนุตตรธรรม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อนุตตรธรรม แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2544

2544-03-31 สถานธรรมหมิงฮุย จ. ลพบุรี


PDF  2544-03-31-หมิงฮุย #3.pdf

วันเสาร์ที่ ๓๑ มีนาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมหมิงฮุย  จ. ลพบุรี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

เมื่อมนุษย์ไร้ทางสู้จึงทำผิด สำรวมจิตเลือกทางเดินอย่ากลัวพ่าย
ณ สุดปลายแห่งความพ่ายคือมีชัย ณ สุดปลายแห่งมีชัยคือปราชัย
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมหมิงฮุย เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา

คนสนิทสนิทด้วยมีมารยาท อย่าประมาทในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว
ดวงจิตนี้ขัดเกลาให้ใสดั่งแก้ว จะคลาดแคล้วผองภัยถ้าให้ฟ้าคุ้มครอง
การบำเพ็ญในยุคปลายต้องเคร่งครัด รู้จำกัดจิตใจในคราบปุถุชน
อย่าให้ทุกเวลาเฝ้าสับสน แม้อับจนจงไม่เสื่อมศีลธรรม
การบำเพ็ญเป็นพุทธะในวันนี้ ต้องเริ่มที่ทำความดีสม่ำเสมอ
ใช่นึกทำก็จึงทำดั่งละเมอ จิตใจเผลออ่อนข้อให้ตัณหาตน
จงรู้ว่าพ้นเวียนว่ายได้ด้วยตน อาจารย์ดีแต่เราแย่พ้นได้ไฉน
ทำผิดบาปทุกวันพ้นอย่างไร จงเข้าใจศึกษาแล้วปฏิบัติจริง
ทำในสิ่งที่ดีที่สุด แดนวิสุทธิ์และแดนโลกรวมเป็นหนึ่ง
ณ กลางใจอันเข้มแข็งรู้คำนึง จิตเมตตาเป็นที่พึ่งให้มวลชน
พุทธะล้วนสำเร็จไปจากมนุษย์ ทำให้ดีที่สุดนะน้องท่าน
อย่ามัวท้อถอยให้ใจรำคาญ คนสราญเพราะปล่อยวางความกังวล
ในวันนี้มาประชุมธรรมะแล้ว ขอน้องแก้วรู้จักซึ่งตนเองเถิด
รู้จักใช้ชีวิตอันแสนประเสริฐ มิละเมิดกฎแห่งกรรมให้จำทน
หวังให้น้องอยู่ครบทั้งสองวัน จะแข่งขันแข่งกันดีดีกว่าไหม
จะแย่งชิงแม้นไม่ใช่ของเราไซร้ จะแย่งมาเท่าไรไม่ได้ครอง
การบำเพ็ญเป็นพุทธะชนะใจ และแก้ไขชะตาด้วยการสำนึก
สกัดซึ่งกิเลสที่ตกผลึก ให้จารึกชื่อขจรเพราะทำดี
จงรักษาพุทธระเบียบให้ดีพร้อม ควรต้องยอมก็ให้ยอมอย่าไปฝืน
พุทธจิตอาจตื่นขึ้นแม้ชั่วคืน อย่ากล้ำกลืนทุกข์เบื้องหน้าบั่นกำลัง
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา มาคุมชั้นสองวันประชุมธรรม
หวังศิษย์น้องศึกษาธรรมทุกถ้อยคำ ร้อยเรียงนำสู่จิตให้จงดี
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป หวังน้องได้บำเพ็ญสำเร็จสู่แดนฟ้า
ธรรมะไร้รูปนามให้ใฝ่หา น้อมนำมาสู่จิตตนรู้ทางเพียร
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา   หยุด


วันเสาร์ที่ ๓๑ มีนาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมหมิงฮุย  จ. ลพบุรี
พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่

ลองย้อนมองที่แล้วมาของชีวิต เฝ้าลิขิตตามอารมณ์ตามโลกหนา
ยิ่งไปไกลก็เหมือนวนกลับมา กว่ารู้ว่าหลงไปเกือบสุดทาง
เราคือ
อว๋าอวาเซียนหนวี่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงฮุย   แฝงกายกราบ
องค์มารดาเรียบร้อยแล้ว ถามเมธีทุกท่านยังอยากฟังธรรมะอีกไหม

เคยผิดหวังมืดมิดโดยลำพัง จงยังหวังความงามเวลาเช้า
ตื่นอยู่ลุกจากชีวิตเก่าเก่า หลงอยู่เท้าก้าวไปใจลำเค็ญ
ธรรมในใจย้ำเตือนประพฤติดี ด้วยชีวีไม่ยึดมั่นความเห็น
อุปสรรคกลับไกลช้าดั่งแสงเย็น ลังเลใกล้ไร้ฝั่งเป็นเพื่อนตน
เสลาสลักทะเลทุกข์รวมเรื่องต่าง วิวาทหวั่นกลางนี้บารมีร่วงหล่น
ศึกษาคนเข้าสังเกตเป็นกระจกตน ติดยึดมีวันจนด้วยทาง
คงมั่นแต่เจออุปสรรคทำรำคาญ ประสงค์ฝั่งใจของท่านไยเคว้งคว้าง
สุขนั้นที่ตนรู้จักปล่อยวาง ทุกข์ที่ยังไม่รู้จักตนเอง
สิ่งเคยมีเคยเป็นของเรา ทว่าเพราะใจเขลาไม่สำรวจเพ่ง
แล้วพอวันคิดได้อย่างไรเร่ง จิตหนึ่งขาดไปเก่งก็อำลา
ผิดจึงรู้เสียมากระวังจับ ด้อยคุณค่าสูญกลับยากรักษา
สติช่วยสำทับคนให้เห็นเพิ่มสง่า พิจารณาออกนึกนึกพารู้ยอม
คนจริงฝืนฝ่ากิเลสในอุรา ผิดพลาดทำอย่าล้าสำนึกน้อม
อย่าผิดซ้ำซ้ำรับอ้อมอ้อม เมตตามากล้ายอมทุกข์เพื่อเวไนย
ฮิ  ฮิ   หยุด


พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่

ลงโทษคนมาสายดีไหม (ไม่ดี) ทำไมไม่ดี การลงโทษเป็นสิ่งไม่ดีใครๆ ก็ไม่อยากถูกลงโทษใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเกิดมีการลงโทษขึ้นมาเราจะโทษคนทำดีหรือโทษคนทำไม่ดี ถ้าลงโทษคนดี แล้วปล่อยคนชั่วไปไม่ต้องลงโทษ    ดีไหม (ไม่ดี) ทำไมไม่ดีล่ะ เราว่าน่าจะดีนะ จะได้ทำให้คนชั่วเขาสำนึกแล้วรู้สึกว่าเราทำไม่ดี ทั้งที่น่าจะเป็นเราโดนลงโทษ แต่คนที่ทำดีทั้งโลกกลับโดนลงโทษ จริงไหม (จริง) แล้วบทลงโทษอันไหนจะทำให้คนสำนึกแล้วไม่กล้าทำผิด     มากกว่ากัน หรือว่าไม่ต้องลงโทษใครเลยดีไหม (ไม่ดี) ไม่มีบทลงโทษเลยก็ไม่ดี ลงโทษคนชั่วก็ไม่ดี ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี) ทำไม่เริ่มเปลี่ยนใจแล้วล่ะ ลงโทษคนทำผิดดีหรือไม่ดี (ดี) ไหนเมื่อสักครู่บอกว่าสงสาร ท่านนี่เอาใจยากจริงๆ บางทีเรามองเห็นคนไม่ดีในสังคม เรารู้สึกว่าพอเราได้รับรู้เราอยากจะประณามเขา เราอยากจะให้สังคมลงโทษเขาให้ตาย ใช่ไหม (ใช่) แต่เราลองคิดกลับกันว่าเดี๋ยวนี้แม้จะมีบทลงโทษ ยิ่งรุนแรง ยิ่งน่ากลัวเท่าไร แต่คนชั่วกลับไม่กลัวเลยใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นเราเปลี่ยนบทลงโทษ ใครทำชั่วให้คนในบ้านเป็นคนรับโทษแทนเขาจะกล้าชั่วไหม (ไม่กล้า) เขาจะรู้สึกสำนึก แล้วก็สะท้อนใจว่า แค่เราทำ     คนเดียวแต่คนรอบข้างต้องรับโทษแทนใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเกิดว่าคิดกลับไปอีก ไม่มีการลงโทษเลยดีหรือเปล่า (ไม่ดี) ทำไมจึงไม่ดี กลัวทำให้เขาคนนั้นได้ใจใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ในเมื่อมีบทลงโทษแล้วเขาไม่กลัว เขาไม่เดือดร้อน แล้วมีบทลงโทษไว้ทำไมล่ะ ก็ไม่มีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านคิดว่าคนที่ทำไม่ดีนั้นเขาขาดอะไร (คุณธรรมและศีลธรรม ความคิดเกรงใจ) เราทำผิดไปเพราะว่าไม่เกรงใจ ไม่สนใจเขาใช่หรือไม่ (ความรู้เท่า ไม่ถึงการณ์) อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อาจจะทำไปเพราะอารมณ์วูบใหญ่ๆ อาจจะทำไปเพราะว่าความอยาก อาจจะทำไปเพราะว่าแรงกดดัน กดดันทำให้ทำผิดไป ทำให้คิดผิดไป แล้วก็อาจจะทำผิดไปเพราะว่าความไม่รู้
ปัจจุบันนี้คนในโลกหลายๆ คนทำผิดเพราะว่าไม่รู้ เราสรุปให้คำเดียวก็ได้ว่า “ไม่รู้” ไม่รู้ว่าทำไปแล้วจะผิด จะเกิดโทษ หรือถ้าเราคิดในแง่ร้ายเราก็บอกว่า เขารู้แต่ว่าเขาไม่ยอมทำ เขาสำนึกแต่เขาไม่อยากคิดตอนนั้น เขาละอายไหม เขารู้ผิดรู้ชอบไหม เขารู้แต่ตอนนั้นเขาอยากทำ ฉะนั้นวันนี้ที่เราพูดมามากมาย เราก็ต้องการจะบอกให้ท่านรู้ว่า ก่อนที่ท่านจะลงโทษใครนั้น เราลองคิดกลับไปเยอะๆ แล้วเราจะรู้สึกว่าบางครั้งไม่น่าลงโทษเขาเลย แต่ควรจะทำอะไรให้เขาสำนึก ดีกว่าลงโทษเขาให้เจ็บแค่ตัว แต่ใจเขา ไม่ได้รู้สึกเจ็บด้วย ฉะนั้นเวลาเราเจอคนทำผิดอย่าเพิ่งคิดลงโทษ อย่าเพิ่งคิดเอาแต่อารมณ์ว่าจะต้องตีหรือต่อว่าเขา แต่ขอให้คิดย้อนกลับไปเยอะๆ ว่า   เหตุใดเขาผู้นั้นจึงทำผิด แล้วเราก็จะเข้าใจเขา เห็นใจเขา แล้วก็จะลงโทษเขาไม่ลง จริงไหม (จริง)
การทำให้เขาสำนึกด้วยการพยายามนึกเห็นใจ เข้าใจเขา จะทำให้เขารู้สึกว่าเขากล้าที่จะพูดความจริงกับเราและกล้าเล่า แต่ถ้าเราเข้ามาก็พูดว่าเธอน่ะไม่ดี เธอนี่ใจร้าย เธอทำไมถึงฆ่าคน เธอทำไมถึงโมโหคน เธอทำไมถึงตีคน เราจะเข้าใจเขาไหม พอเจอหน้าก็ทำไม ทำไม ทำไม ไม่มีวันเข้าใจหรอก เพราะว่าคำว่า “ทำไม” บดบังจิตใจอันเมตตาของท่าน บดบังความรู้สึกเห็นใจที่ควรจะมีต่อคนๆ หนึ่ง
เช่นเดียวกัน วันนี้เรามาตรงนี้ หากเจอหน้ายังไม่ทันฟังก็คิดแล้วว่าทำไมจึงมา ทำไมจึงเป็นเด็กอย่างนี้ ทำไมจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วจะเข้าใจไหม จะรับรู้หรือได้ยินเรื่องที่เราพูดไหม ได้ยินเหมือนกันแต่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะว่าคำว่า “ทำไม” นั้นเหมือนกระดานที่บังตัวเราอยู่ แล้วจะเห็นเราชัดไหม (ไม่ชัด) หากคำว่า “ทำไม” ใหญ่เท่ากระดาน แล้วตัวเราเล็กนิดเดียวเท่ามด เห็นหรือเปล่า (ไม่เห็น)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาแจ้งพระนาม) เราชื่อ “อว๋าอวา” นะเป็นเซียนเด็กผู้หญิง รู้จักเราแล้ว เราแนะนำตัวเองแล้ว ถามเมธีทุกท่านยังอยากฟังธรรมอีกไหม อยากฟังเราพูดธรรมะแบบเด็กๆ ไหม (อยาก) ลองฟังดูหน่อยนะว่าเด็กจะพูดธรรมะอะไรได้ คุยกับเด็กอย่าบอกนะว่าเด็กไม่มีสาระ เราได้ยินมาว่าคบเด็กสร้างบ้านใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นคบกับเด็กไม่ต้องกลัว ได้บ้านตั้งหลังหนึ่ง เราไม่เคยได้ยินว่าคบผู้ใหญ่สร้างบ้านเลย ฉะนั้นคบเด็กวันนี้ได้สร้างบ้านหลังหนึ่ง แต่บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่มองไม่เห็นด้วยตา สัมผัสไม่ได้ด้วยมือ แต่จิตใจนั้นรับรู้ได้ เอาไหมบ้านหลังนี้ กายเรามีที่พักพิง แต่ใจมักจะไม่ค่อยมีที่พักให้พิงสักที กายเรามีบ้านพักผ่อนสบาย แต่ใจเรากลับร้อนรุ่ม วิตกกังวล ฉะนั้นเรามาสร้างบ้านเล็กๆ ให้ใจได้พักพิง ไม่ต้องใหญ่ ไม่ต้องหรู แต่ง่ายๆ และมีคุณค่า และเป็นที่พักใจดีหรือเปล่า (ดี) เราเริ่มต้นกันเลยนะ จะสร้างบ้านก็ต้องปูพื้นฐานก่อน ฐานนี้ถ้าไม่หนักแน่น วางไว้บนดินทราย ก็พังได้ ไว้บนดินเหนียว ก็ไม่ค่อยดี ต้องเป็นอย่างไร ดินร่วนดีหรือเปล่า (ดินร่วนก็ไม่ดี)  แล้วเป็นดินอะไรดีล่ะ ทำไมยากจังนะจะสร้างบ้าน ใช้ดินเหนียวผสมดินร่วนใช่หรือไม่ นั่นก็คือการจะสร้างสิ่งใดก็ตาม จะต้องปูพื้นฐานให้มั่นคงเสียก่อน ถ้าพื้นฐานไม่มั่นคง ก่อร่างสร้างตัวไปก็อาจจะล้มได้ เฉกเช่นเดียวเราจะสร้างบ้านให้จิตใจได้พักพิง และบ้านนี้เป็นบ้านแห่งธรรมะ เราจะต้องปูพื้นฐานในการศึกษาหลักธรรมให้เข้าใจ เพราะถ้าขาดความเข้าใจ แม้จะสร้างไปเสร็จเรียบร้อยก็มีวันล้มครืนลงมาได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ธรรมะที่วันนี้ท่านศึกษา ไม่ใช่ธรรมะที่ผิดแผกแตกต่างไปจากพุทธศาสนาเลย ธรรมะที่วันนี้ท่านศึกษาก็คือต้องการให้ท่านรู้ถึงจิตญาณเดิมแท้ของตนเอง ค้นหาจิตญาณเดิมแท้ของตนเองให้พบ และรักษา     คุณธรรมที่เคยมีอยู่ ที่เคยนับถืออยู่ ที่เคยตั้งใจว่าจะรักษาอยู่นั้น เอามาใช้ควบคู่กับชีวิตและจิตใจ และเมื่อยามออกไปสู่สังคม พบคน มีชีวิตอยู่ก็จงเอาธรรมะไปใช้ เพราะใจจะเคลื่อนไหวได้ ก็ต้องมีกายตามไปด้วย กายจะไปไหนได้ก็ต้องล้วนอยู่ที่ใจเป็นผู้กำหนด ถ้าใจมีธรรม กายขับเคลื่อนก็ต้องมีธรรมตามไปด้วย แต่ถ้าใจไร้ธรรม กายก็ย่อมไร้ธรรมไปด้วย นี่คือพื้นฐานง่ายๆ ที่ทุกท่านรู้ แต่ชีวิตมีอะไรง่ายๆ เท่านี้ไหม (ไม่มี) ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ชีวิตเป็นเรื่องที่ยาก ไม่มีอะไรในโลกนี้ได้มาง่ายๆ หรือเมื่อได้มาง่ายๆ มักจะเสียไปง่ายเหมือนกัน ทำไมเราจึงบอกว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ได้มาง่ายๆ ก็เพราะว่าในโลกนี้คำว่าสำเร็จมีน้อยกว่าล้มเหลว นั่นก็แปลว่าในโลกนี้ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดก็ตามย่อมเป็นธรรมดาที่เราจะพบความล้มเหลวได้ แล้วคนส่วนใหญ่ชอบความสำเร็จหรือชอบความล้มเหลว (ชอบความสำเร็จ) ความสำเร็จมีน้อย แต่ความต้องการของคนมีมาก ฉะนั้นการแก่งแย่งกันจึงเกิดขึ้น พอคนแก่งแย่งกันย่อมมีทั้งคนที่สำเร็จและล้มเหลว ทำให้บางครั้งความผิดหวังจึงต้องเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดาเรารู้กันอยู่ เราพูดเรื่องนี้ท่านก็รู้ แต่พอเจอกับตัวเข้าจริงๆ ก็นอนพักรักษาใจ ขอพักใจก่อนเดี๋ยวค่อยลุกขึ้นไปสู้ชีวิตใหม่ เจอสักช่วงหนึ่งเราก็แทบทรุดลงไปกับพื้นดิน ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าคนๆ นั้นทรุดลงไปแล้วอาจจะไม่มีวันกลับคืนมาได้ ถ้าชีวิตขาดความหวัง ใช่ไหม (ใช่) บางคนแม้จะมีเงินแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ถ้าเขาไม่หวังที่จะสู้ ไม่หวังที่จะลุก ไม่หวังที่จะก้าวไป อดทนไม่ได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า “ความหวังคือประทีปส่องทางสู่ชีวิต” บางคนแม้แขนขาด ขาขาด แต่ขอให้มีความหวัง มีใจสู้ ไม่ยอมแพ้ชะตาชีวิต ไม่ยอมแพ้โลก ไม่ยอมแพ้คำต่อว่า ไม่ยอมแพ้อะไรทั้งสิ้น เขาก็ลุกขึ้นมาสู้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตของท่านก็เหมือนกัน   บางครั้งเราอยากจะสร้างพื้นฐานความดีงาม เราปูไปแล้ว ความดีเล็กๆ เราก็หมั่นทำ ทำเยอะแล้วแต่บางครั้งพอทำ   ไปแล้วผลสะท้อนกลับมาไม่ค่อยดีทำไปแล้วโดนคนต่อว่า สิ่งที่ปูแม้เป็นก้อนเล็กก้อนน้อยเพื่อจะสร้างบ้านให้อยู่ในใจเรา ให้ใจเราได้พักพิงกลับทำไม่ไหว เพราะว่าเราหมดหวังในการทำความดีแล้ว จริงๆ ทำดีนั้นไม่เคยมีหมดหวัง แต่ที่หมดหวังต้องเข้าใจให้ถูก ใจเราต้องบอกใจตัวเองให้ถูกว่าหมดหวังกับอะไรต่างหาก เราไม่ได้หมดหวังกับความดีที่เราทำ แต่เราหมดหวังกับคนที่เราทำ หรือว่าหมดหวังกับใจที่เราทำ หมดหวังกับใจตัวเองต่างหากใช่หรือไม่ (ใช่)
บางครั้งเราต้องคิดด้วยนะว่าธรรมะนั้นไม่ใช่มีเอาไว้แค่ให้สวด ไม่ได้มีเอาไว้แค่กราบ แต่ธรรมะยังมีไว้ให้ย้ำเตือนชีวิต เหมือนที่หัวหน้าชั้นบอก  เหนี่ยวรั้งชีวิตให้อยู่บนทางที่ถูกต้อง ให้คิดในทางที่เหมาะสม ให้คิดในเรื่องที่ถูกจริงๆ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นธรรมะเราจึงต้องเอามาใช้ อย่าได้แค่สวด อย่าได้แค่ไหว้ แต่ต้องเอามาใช้กับใจเราด้วย เอามาสอนใจเราให้ได้ด้วย แล้วเราก็จะรู้ว่าทำดีนั้นไม่มีวันหมดหวังหรอกถ้าใจเรายังมีไฟตลอดเวลา แต่ถ้าเมื่อไรเราไม่รู้จักเติมเชื้อไฟให้กับตัวเอง เราก็หมดแรง จริงไหม (จริง)
ไฟในการทำความดีคืออะไร (เติมความสุขในการทำความดี, จิตใจดี, ประพฤติดี, ความหวัง) เราใช้อะไรเป็นตัวเติมเชื้อเพลง นั่นก็คือการให้กำลังใจกับตัวเอง ไม่ยอมท้อ แล้วก็คิดว่าเราทำดีเพราะเราต้องการให้มีดีอยู่ อยู่ที่ไหนล่ะ แม้เขาจะไม่เอาแต่อยู่ที่ใจของเราใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นทำดีก็อย่ายอมแพ้ อย่ายอมพ่ายใจตัวเอง อย่ายอมพ่ายคนที่ไม่ดี เราทำดีเพื่อรักษาความดีให้ใจเรามีอยู่ ไม่ใช่ให้เขามีอยู่ เขาจะไม่มี เขาจะไม่เอาไม่เป็นไรแต่เราจะมี ไม่สนใจเขาเลย ฉันคนเดียวที่มี ดีไหม (ไม่ดี) ก็ไม่ดี ฉะนั้นต้องใช้เวลาเหมือนกัน แต่บางทีเชื้อไฟของท่านนั้นก็หมดง่ายจริงๆ บางทีแค่ทำครั้งเดียวก็ไม่เอาแล้ว เพราะไม่อดทน พอทำแล้วไม่ได้รับผลดี ก็ไม่เอาแล้ว ไม่ทำแล้ว อย่างนั้นทำเพื่อรับผลหรือ หรือว่าทำเพื่อให้มีดี (เพื่อให้มีดี) ฟังเพื่อให้เสียงกลับมาเพราะๆ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) ถ้ายังหวังอยู่รับรองเดี๋ยวไฟดับอีกแน่เลย ฉะนั้นแม้ทำไปแล้วจะมีเสียงกลับมาไม่ดี หรือมีคนว่ากลับมาไม่ดี ก็ไม่เป็นไร ขอให้ยังทำอยู่ เพราะถ้าทำได้เช่นนี้ คือการฝึกจิตใจอย่างเช่นพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่) ฝึกจิตใจอย่างเช่นฟ้า ฝนจะตกหรือไม่ตก แม้ใครจะว่าไม่ว่า ฟ้าก็ยังต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ ไม่เลือกที่รัก ไม่เลือกที่ชัง นี่คือจิตใจอันยิ่งใหญ่เหมือนฟ้าใช่หรือไม่ (ใช่)
เรื่องของโลกเป็นที่แน่นอนตายตัวไหม (ไม่แน่นอน) แน่นอน คนทุกคนเหมือนกันคือเกิด แก่ เจ็บ ตายแน่นอนไหม (แน่นอน) ไม่แน่นอน ใช่หรือเปล่า ว่าแน่นอนก็ได้ ไม่แน่นอนก็ได้ แน่นอนก็คือเหมือนกันต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่แน่นอนก็คือไม่มีอะไรเป็นอนิจจัง ไม่ใช่เกิดแล้วก็เกิดๆๆ เกิดแล้วยังต้องมีแก่ เจ็บ ตาย ไม่ใช่อายุมากแล้วก็แก่ๆๆ ไม่เปลี่ยนแปลง แล้วในความไม่แน่นอนนี้ก็ยังมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันในทุกๆ เรื่อง เหมือนที่เราบอก เกิดก็ยังต้องมีแก่ เจ็บ ตายสัมพันธ์กัน ในการเกิดนั้นก็ยังต้องมีอะไรสัมพันธ์กันอีก ก็ยังมีเรื่องทุกข์ สุขอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วก็มีดีร้ายได้เสียอยู่ในการเกิดด้วย อย่างวันนี้เราดีใจ แต่มีความสัมพันธ์อะไรเกี่ยวเนื่องอีก ความเสียใจใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้เราหมดเงิน แต่เรายังมีอะไรสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอีก พรุ่งนี้อาจมีเงินใช่หรือไม่ (ใช่) เรื่องของโลกจึงเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนกับความสัมพันธ์ สองอย่างผสมปนเปเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่สองอย่างนี้ แปลว่าในโลกนี้มีเรื่องให้น่าคิดจริงไหม (จริง) ชีวิตนี้เป็นชีวิตที่มีคุณค่าและมีความหมาย ทำไมเราจึงบอกว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด ชีวิตนี้มีคุณค่าและมีความหมาย มองดูง่ายๆ เราอยู่บนโลกนี้มีความ   แน่นอนไหม (ไม่แน่นอน) มีสิ ใจเราต้องแน่นอน ไม่ใช่โลกเปลี่ยนไป ใจเราก็เปลี่ยนร้อนๆๆ อย่างนี้แย่แน่เลย ร้อนแล้วเราต้องใจเย็นๆ แม้โลกจะเปลี่ยนไปแต่ใจท่านต้องแน่นอน ไม่ใช่โลกเปลี่ยนไปใจเราก็ปรวนแปร อย่างนี้ไม่ดี อย่างเช่นฟ้า ฟ้าแม้จะเปลี่ยนสว่าง มืด ดำ มีฝน ไม่มีฝน แต่ก็ยังวนกลับมาที่เดิมคือความแน่นอน ถึงแม้ร่างกายสภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนไปแต่ใจต้องแน่นอน
นอกจากตัวคนแล้ว คนเรามีความไม่แน่นอน แล้วมีความสัมพันธ์ไหม (มี) สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม สัมพันธ์กับธรรมชาติใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตเรา ร่างกายเราสัมพันธ์กับทุกสิ่งในโลก นั่นก็คือเราต้องมีสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมและตัวบุคคล จะตอบว่าคนอย่างเดียวก็ไม่ได้ เรายังต้องสัมพันธ์กับคนและสัมพันธ์ทั้งสิ่งแวดล้อม แต่ในสิ่งแวดล้อมนั้นวันนี้เราจะไม่พูด เราจะพูดเรื่องคนดีกว่า เพราะสิ่งแวดล้อมเรารู้กันอยู่แล้ว แต่คนที่สัมพันธ์นั้นบางทีมีปริศนาแฝงอยู่และทำให้รู้จักตัวเองยิ่งขึ้น
คนที่เราสัมพันธ์ด้วยนี้ ถ้าเราสรุปง่ายๆ พวกหนึ่งคือพวกเป็นมิตร พวกหนึ่งคือพวก (ศัตรู) แล้วก็มีอะไรอีก คนที่เราเคารพและคนที่เราไม่รู้จัก นั่นคือเราแยกให้เป็น 4 จำพวก คนที่เป็นมิตรกับท่านจะเป็นลักษณะอย่างไร มีสิ่งที่ถูกใจเรา เราถึงเป็นมิตรกับเขา มีสิ่งที่เป็นมิตร มีสิ่งที่ถูกใจแล้วก็มีสิ่งที่อะไรๆ ก็คล้ายเรา แต่คนที่เป็นศัตรูจะมีลักษณะที่เราไม่ชอบ เราไม่อยากมีและเราไม่อยากเป็นอย่างนั้น แล้วทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่เป็นมิตรที่เราชอบนั้นก็คือคล้ายๆ กับเรา แล้วสิ่งที่เราไม่ชอบนั่นก็คือคนที่เป็นศัตรูของเรา ทำไมเราจึงบอกว่าความสัมพันธ์ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น รู้จักทันทีเลย พอเราเห็นศัตรู นั่นคือสิ่งที่เราเกลียดและเราไม่อยากเป็นเลย แต่พอเราเจอมิตร นั่นคือสิ่งที่เราเป็นแล้วเราก็เป็นเหมือนมิตร ตอนนี้ลองนึกสิว่า เรามีมิตรเป็นแบบไหนและเรามีศัตรูเป็นแบบใด และหากเรามองอีกคน คนที่เราไม่รู้จักเลยคือสิ่งที่เราไม่เคยมี ไม่เคยคิดและไม่เคยเป็น จริงไหม (จริง) ฉะนั้นทำให้เรารู้ว่าในความเปลี่ยนแปลงและในความสัมพันธ์ทำให้เรามองรู้จักตัวเองยิ่งขึ้น เราจะวัดคนโดยการดูแต่ภายนอกไม่ได้ คนที่วัดกันแต่ภายนอกจะทำให้เราไม่สามารถรู้จักตัวเองและทำให้เราไม่เห็นกระจกที่คอยส่องจิตใจตน
ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือว่าเป็นศัตรู จะเป็นคนรู้จักหรือคนเคารพ สิ่งนี้ยิ่งกลับทำให้เรารู้จักตัวเรามากขึ้น เราเกลียดอะไร เราไม่ชอบอะไร นั่นก็คือคนที่เราเห็น คือสิ่งที่เราไม่อยากมี เราเป็นมิตรกับใคร นั่นคือนิสัยเราคล้ายๆ คนนั้น ง่ายไหมในการมองคนแล้วทำให้เห็นตัวตน (ง่าย) เพราะหลายคนมักอยู่ในโลก เหมือนบางครั้งไม่เข้าใจตัวเอง ต้องให้คนอื่นมาบอกว่าฉันเป็นคนอย่างไรหรือ คราวนี้ไม่ต้องถามแล้วแค่ดูคนรอบข้างก็จะทำให้มองเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนอย่างที่กลอนเราบอกไว้ว่าถ้าเราศึกษาคนได้เข้าใจจะทำให้เราได้มีกระจกย้อนมองส่องตน แต่ในอีกมุมหนึ่งที่เราอยากให้ท่านคิด คนที่ท่านไม่ชอบกับคนที่ท่านรักมีลักษณะเป็นอย่างไร คนที่ท่านชอบย่อมมีลักษณะที่ทำอะไรเราก็ถูกใจ ทำอะไรเราก็ดีใจ ทำอะไรๆ เราก็สุขใจไปหมด แต่เขาต้องทำนะเราถึงชอบ ใช่ไหม (ใช่) นั่นแปลว่าท่านรักเขาหรือว่าท่านรักตัวเอง (รักตัวเอง) เพราะเขาต้องทำ ไม่ใช่ตัวท่านทำ อย่างนี้เรียกว่ารักถูกหรือ (ไม่ถูก) แล้วลองหันมามองคนที่ท่านเกลียด คือคนที่ชอบในสิ่งที่ท่านไม่อยากได้ ชอบจี้ใจดำ ชอบพูดแทงใจดำ ใช่ไหม (ใช่) รู้ว่าเป็นใจดำก็ยังไม่ยอมเลิก ยังไปเกลียดเขาอีก แล้วท่านคิดว่าเขารักท่านหรือเขาเกลียดท่าน ต้องคิดให้ดีๆ เขารักท่านต่างหาก จริงไหม (จริง) คนที่กล้าอยู่ร่วมกันและกล้าชี้บอกข้อผิด กล้าพูดในสิ่งที่ไม่ถูกของเรา ให้เราดีขึ้น ให้เราเก่งขึ้น ให้เราเป็นพุทธะขึ้น ยังเกลียดเขาลงหรือ (ไม่เกลียด) อย่างนั้นวันนี้ท่านคงไม่เกลียดเราแน่ ใช่หรือไม่ (ใช่) จงคิดให้ดีๆ ว่าความสัมพันธ์นั้นให้แง่คิดและยังทำให้เรารู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้นจริงหรือไม่ (จริง) เหมือนเช่นทุกท่านในที่นี้ รักเพื่อน รักมิตร แต่บางครั้งไม่ค่อยรักพ่อแม่ญาติพี่น้องของตัวเองใช่ไหม (ใช่) เพื่อนไปไหนไปกัน ลุยไหนลุยกัน แต่พ่อแม่คำก็ไม่ให้ สองคำก็ไม่ให้ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเราต้องคิดให้ดีๆ อย่าสับสนความรักความเกลียด ไม่อย่างนั้นเรานั่นแหละที่เป็นผู้ขีดเส้นใต้จำกัดความรักความเกลียดที่ผิดๆ และทำร้ายกระจกที่จะส่องตัวเองให้รู้จักตัวเองยิ่งขึ้นจริงหรือไม่
วันนี้เรามาพูดกับท่านตั้งมากมาย ก็เพราะอยากให้ท่านได้รู้จักตัวเอง คนเรานั้นจะเดินไปทางใดก็ตาม ไม่ว่าจะไปซ้ายไปขวา แต่ถ้าเราเข้าใจแค่กายเนื้อแต่ไม่เข้าใจถึงจิตใจตัวเองแท้ๆ สักวันหนึ่งย่อมก้าวผิดแล้วก็พาตัวเองร่วงหล่นจริงไหม (จริง) ฉะนั้นก่อนที่ท่านจะร่วงหล่น ก่อนที่ท่านจะก้าวผิด เราจึงขอมาบอกก่อน ฟังไหม (ฟัง) ทำไมว่าง่ายจังนะ (พูดสิ่งที่ถูก) พูดสิ่งที่ถูกหรือ อย่างนั้นฟังสิ่งที่ถูกแล้วก็ไปทำในสิ่งที่ถูกด้วย ได้ไหม (ได้) ยากหรือเปล่า (ไม่ยาก) เพราะในดวงใจของเรานี้เมื่อเราสัมพันธ์กับคนแล้ว คนทำให้เราได้รู้จักตัวเอง แล้วสภาพแวดล้อมล่ะทำให้เรารู้จักตัวตนเองไหม สภาพแวดล้อมที่เราต้องเจอกันทุกๆ วัน นั่นก็คือความทุกข์ที่ท่านมักจะเสียใจและไม่อยากให้มาหาเลย อยากจะใส่พานแล้วถวายพระ พระรับไปทีนะ ฉันจะได้เบาสบายสักที ใช่ไหม (ใช่) เราไปที่ห้องพระที่ไหน ก็เห็นทุกข์เต็มโต๊ะพระหมดเลย ไม่มีวันไหนที่โต๊ะพระมีแต่รอยยิ้ม มีแต่ความสุข ไปวัดไหนก็เจอแต่ทุกข์ ไม่มีวันไหนที่บอกว่า วันนี้มีความสุข นึกถึงพระเลยมาไหว้พระ มีแต่บอกว่าวันนี้ทุกข์มา ขอพระช่วยให้หายทุกข์ เอาทุกข์ไปที ใช่หรือเปล่า (ใช่) ท่านน่ะใจร้าย และก็มาว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ช่วย ทุกข์นั้นใครเป็นคนเอาไปใส่ล่ะ (ตัวเราเอง) แล้วใครจะหยิบออกล่ะ (ตัวเราเอง) แล้วใครให้ที่ทุกข์อยู่ล่ะ (ตัวเราเอง) แล้วพระจะช่วยอะไรได้ พระช่วยได้แค่ชี้บอกทางแล้วก็สะกิดให้ท่านตื่น รู้ว่าทุกข์นั้นมีทุกคนใช่ไหม (ใช่) แล้วในทุกข์นั้นยังมีเรื่องแปลกให้น่าคิดอยู่สองสามเรื่อง อยากฟังไหม
เรื่องแรกก็คือ เราเคยเดินไปคุยกับทุกข์ แล้วทุกข์เล่าให้ฟังบอกว่ามนุษย์นั้นไม่ฉลาดเลย มีทุกข์น่ะเป็นสิ่งที่ดีนะ เราก็ถามว่าดียังไงล่ะ เราก็ว่าไม่ดีนะ แต่คิดไปคิดมาก็ดีเหมือนกัน เพราะมีท่าน เราถึงได้เป็นเซียนน้อย แล้วเราก็คุยกับทุกข์ต่อ ทุกข์ก็บอกว่า ก็เพราะท่านรู้ แต่เขาไม่รู้ มนุษย์ก็เลยขับไล่ไสส่งฉัน ทั้งที่ฉันเนี่ยเป็นทุกข์ที่ดีนะ เป็นทุกข์ที่ทำให้มนุษย์รู้ตื่น จริงไหม (จริง) รู้ตื่นว่าบนโลกนี้น่ะทุกข์นะ เราต้องตื่นจากความทุกข์ ตื่นจากความฝัน ตื่นจากความหลง ตื่นจากความสุข ใช่ไหม (ใช่) พอเดินไปอีก ทุกข์ก็ยังบอกอีกว่า ทุกข์ทำให้ตัวเรานั้นอดทน เข้มแข็ง และชนะใจ เราก็บอกว่า ขี้โม้ๆ จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร เขาก็เลยย้อนกลับถามเราตอนที่ท่านมีทุกข์ ไม่ใช่ท่านมีเราจนท่านสามารถชนะเราได้ แล้วก็ยืนหยัดเข้มแข็งจนมีสุขไม่มีทุกข์ได้หรือ ทุกข์ทำให้เรานั้นอดทน รู้จักคำว่าอดทนเหนืออดทน แล้วทำให้เราชนะใจเราใช่หรือเปล่า (ใช่) และทุกข์ยังเล่าต่ออีกนะว่า ในทุกข์นั้นๆ ทำให้เราเห็นใจคนและมองเห็นน้ำใจคน เราก็บอกว่าจะจริงได้ยังไงล่ะ เวลาเราทุกข์ เราไม่เห็นหรอก เขาก็บอกว่าเห็นสิ พอมีคนเดินมาบอกว่า ไม่ต้องคิดมากนะ ไม่ต้องเสียใจ ท่านเห็นน้ำใจเขาไหม เราก็บอกว่า เห็นจริงๆ ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยเห็นเลย นึกว่าคนนี้ใจร้าย แต่พอเราทุกข์แล้วเขามาปลอบใจ เขาเหมือนนางฟ้าติดปีกลงมาบอกเราเลย เหมือนเทพบุตรสุดหล่อเลย ใช่ไหม (ใช่) เราก็เลยบอกว่า ทำไมทุกข์ช่างดีอย่างนี้ เริ่มเปลี่ยนใจแล้ว เริ่มไม่เกลียดทุกข์แล้ว เพราะดีตั้งสามข้อแล้ว ใช่ไหม (ใช่) ทุกข์ยังบอกอีกว่า แล้วยังมีอีกข้อหนึ่งนะ ทุกข์ทำให้เห็นตัวตนว่าตัวท่านนั้นเป็นคนอย่างไร เวลาทุกข์ ขี้น้อยใจหรือเปล่า เวลาทุกข์ แช่งด่าคนหรือเปล่า ทำให้เห็นถึงน้ำใจของตัวตนเอง ทุกข์ก็เลยบอกนับได้สี่ข้อแล้วตอนนี้รักทุกข์ได้หรือยัง เราก็เลยบอกว่า รักสิ แล้วคราวหน้า จะกลัวทุกข์อีกไหม (ไม่กลัว) แต่ทุกข์บอกว่า ก่อนจะเอาทุกข์ไป คิดให้ดีๆ นะ ถึงแม้จะนับดีได้สี่ข้อ แต่ก่อนจะเอาทุกข์ไปทำไมถึงต้องคิดให้ดีๆ ล่ะ เราก็บอกว่าทำไมต้องคิดล่ะ ก็เพราะว่าหลายต่อหลายคนพอทุกข์แล้ว นึกไม่ถึงสี่ข้อนี้ แล้วก็ลืมข้อดีข้อนี้เพราะมักจะคิดในด้านลบมากกว่าด้านดี เมื่อทุกข์แล้วก็มีแต่ทุกข์ ไม่ยอมมองให้เห็นทุกข์จริงๆ ไม่มองให้เห็นว่าทุกข์นั้นคืออะไร ทุกข์นั้นมาจากไหน และทุกข์นั้นมีเหตุที่ใด เห็นทุกข์เป็นทุกข์ เห็นพระพุทธองค์เป็นพระพุทธองค์ เห็นพระไตรปิฎกเป็นพระไตรปิฎก ก็เลยเป็นมนุษย์ไม่เคยได้รู้ตื่นสักที เพราะเขาขาดอะไร (ขาดปัญญา) นั่นก็คือขาดปัญญา เห็นคนไม่ดีก็เป็นคนไม่ดีวันยังค่ำ เห็นธรรมะก็เป็นธรรมะวันยังค่ำ ไม่รู้แจ้งไม่รู้ตื่นสักที ฟังธรรมกี่รอบก็เป็นธรรมะอยู่ทุกวัน ไม่เคยฟังธรรมะตื่นทันที หัวสมองโล่งปลอดโปร่ง จิตใจเบาสบาย เคยเป็นไหม เคยฟังธรรมะแล้วหัวสมองโล่ง ใจเบา เหมือนลอยได้ ถึงแม้ว่ายังเหยียบอยู่บนพื้นดิน เคยเมื่อไรก็จะสำเร็จเมื่อนั้น ปัญญาทำให้เรารู้แจ้งเห็นจริง ปัญญานั้นทำให้มนุษย์ใสสะอาดที่จิตใจและทำให้มนุษย์ข้ามภพข้ามชาติเป็นพุทธะ และรู้แจ้งแทงตลอดแห่งความเป็นคน แล้วปัญญาอยู่ที่ใด อยู่ที่ตัวเราเอง
ถ้าไม่มีการศึกษาเรียนรู้ ปัญญาก็ไม่เกิด ปัญญาจะเกิดได้จึงต้องควบคู่กับการศึกษา ศึกษาทางโลกก็ได้ปัญญาทางโลก ศึกษาทางธรรมก็ได้ปัญญาทางธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าเรามีกิเลส เรามีความโลภ เรามีตัณหา สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เราต้องทุกข์ แล้วเป็นอุปสรรคทำให้เราไม่สามารถข้ามภพข้ามชาติได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราจะตัดที่ไหน ลองใช้ปัญญาของท่านดู (ตัดจากกิเลสความอยากได้) แล้วถามว่ากิเลสอยู่ที่ไหน ความอยากได้อยู่ที่ไหน ต้องใช้ปัญญาตัดให้ถูกที่ใช่ไหม (ใช่) เหมือนท่านอยากเห็นนก ท่านต้องไปมองที่ไหน (รัง, ฟ้า, ต้นไม้) รังก็ได้ ฟ้าก็ได้ ต้นไม้ก็ได้ ถูกทั้งสามคำตอบนะ อยากมองเห็นปลาต้องไปมองที่ (น้ำ) นั่นก็คือเราอยากหาว่าสิ่งนี้อยู่ที่ไหนเราต้องไปหาให้เจอว่ามาจากตรงไหนใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วกิเลส อารมณ์ล่ะมาจากที่ใด (ใจ) ฉะนั้นเราจะตัดก็ต้องตัดที่ใจ แต่ใจนั้นจะตัดใช่ตัดตอนนั่งท่องมนต์ นั่งไหว้พระ ตัดได้ไหม (ไม่ได้) ตอนเราสวดมนต์ตอนนั้นเรามีกิเลส อารมณ์ ตัณหาไหม (ไม่มี) บางครั้งก็ยังมีคั่งค้างอยู่ ยังเป็นตะกอนเกาะอยู่ที่ใจ ใครกล้ายอมรับบ้างว่าตอนนี้ใจสะอาด ไม่มีความเกลียดอยู่ในใจยกมือขึ้น (มีนักเรียนคนหนึ่งยกมือ) ไม่เกลียดแน่นะ อะไรที่ท่านไม่ชอบกินต้องกินให้หมดนะ ใครไม่มีความโกรธในใจเลยยกมือขึ้น ไม่มีใครยกให้ชื่นใจเลยหรือ  นั่นก็แปลว่าบางครั้งใจเรามีสิ่งที่คั่งค้างอยู่ที่เป็นกิเลส แต่พอมีแล้วตอนนั้นเราสวดมนต์ เราไหว้พระ เราสามารถสกัดลดให้หายได้ แต่ว่าพอหลังสวดมนต์ มีอีกไหม (มี)  ทำไมยังมีเต็มปากเต็มคำเลย น่าจะบอกว่าไม่มีแล้ว ต้องไม่มีอีก แต่ว่าเป็นจริงอย่างที่เราพูดไหม ไม่ ท่านยังมีเรื่อยๆ ถ้ามีเรื่อยๆ ท่านจะสวดมนต์ทุกขณะได้หรือไม่ (ไม่ได้) ทำไมไม่ได้ล่ะ ในเมื่อสวดมนต์ไหว้พระแล้วช่วยทำให้กิเลสลดลงจนเกือบจะไม่มี ฉะนั้นเวลาออกไปไหนทั้งวันเลยจะได้ไม่มีกิเลสทั้งวันเลยดีไหม (ดี) พอคนมาโมโหใส่ก็นะโมตัสสะ ภะคะวะโต ดีไหม ถ้าเด็กๆ ทำเขาคงโกรธไม่ลง แต่ถ้าผู้ใหญ่ทำเป็นอย่างไร โดนว่ากลับ โดนชกกลับ กลับยิ่งโมโหอีกใช่ไหม บอกฉันไม่ใช่สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ต้องมาสวดมนต์ให้ใช่ไหม นั่นก็คือว่าเราไม่สามารถสวดมนต์ได้ แล้วปัญญาท่านจะเอามาจากอะไรถึงจะดับได้ทุกขณะ (สติ, ธรรมะ) เราจะทำอย่างไรปัญญาเราถึงจะสามารถตัดกิเลสได้ทุกขณะเวลา นั่นก็คือ ต้องมีสติและปัญญาให้เท่าทันทุกขณะที่ใจคิด ทุกขณะอารมณ์ ใช่ไหม (ใช่) มนุษย์มักอยู่ได้ด้วยอารมณ์ของตน และเดินเคลื่อนไหวไปตามแรงผลักดันของอารมณ์ตนใช่ไหม (ใช่) ใช่หรือ ไม่ได้อยู่เพราะมีความหวังหรือ กลายเป็นอยู่เพราะมีอารมณ์ อารมณ์หมดก็ตายทันที ไม่ใช่ เรามีอารมณ์ก็เพราะว่าเรามีความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง เมื่อเรามีความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ใจเราจะไม่สามารถที่จะตัดภพตัดชาติและตัดอารมณ์กิเลสได้ ฉะนั้นเมื่อไรที่เรามี ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าแอปเปิ้ลลูกนี้เป็นใจ พอมีอารมณ์ แอปเปิ้ลก็มีเขา มีความโกรธ แอปเปิ้ลก็มีหาง พอมีตัณหาแอปเปิ้ลก็ใส่ชุดดำ แล้วผลสุดท้ายใจดวงนี้ก็เลยกลายเป็นปีศาจจริงไหม (จริง) ฉะนั้นเราจงอย่าเพิ่มเขา เติมหาง ใส่ชุดดำให้กับใจตัวเอง จากที่จะสร้างบ้านกลายเป็นแปลงร่างเป็นปีศาจ แล้วเรารู้ตัวไหม เรารู้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ชี้หน้าคนโกรธได้ถูกต้องหรอกจริงไหม (จริง) ฉะนั้นจงอย่าเผลอ เพราะถ้าเผลอเมื่อไรเราก็จะกลายเป็นหญิงชุดดำกับชายชุดดำเอาไหม (ไม่เอา) แล้วเราก็จะตัดภพตัดชาติไม่ได้ เราก็จะต้องว่ายเวียนเกี่ยวกรรมไปเรื่อยๆ น่ากลัวนะ วันนี้เกี่ยวคนนี้ที วันต่อไปเกี่ยวคนนั้นที เราเกี่ยวเขาเราว่าเราปล่อยแล้ว แต่เขาไม่ปล่อย ฉะนั้นเกี่ยวน้อยๆ สร้างเหตุน้อยๆ ผลจะได้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก จริงหรือไม่ (จริง) ถ้าไม่เชื่อ ไม่เป็นไร ผลก็คือเขาจะได้ไม่ต้องกลับมาทำร้ายท่านอีก ดีหรือไม่ (ดี) ฉะนั้นการศึกษาธรรมนอกจากจะทำให้เรารู้จักตัวตนเองได้อย่างแท้จริงแล้ว ยังเข้าใจ รู้แจ้งชีวิต และนำพาชีวิตไปถูกทาง ทีนี้อยากศึกษาอีกไหม (อยาก) มาอีกไหม (มา)
“ผิดจึงรู้เสียมากระวังจับ” เมื่อเราผิดเราจึงรู้ว่าเรามีสิ่งเสียมาก แต่บางครั้งเรื่องราวในโลกนี้ พอพูดหนึ่งแล้วเราเข้าใจแค่หนึ่ง พอพูดสองแล้วเราเข้าใจแค่สองพอพูดสาม เข้าใจสาม เขาก็ว่าเราโง่ แต่บางคนบอกว่าพูดหนึ่ง แต่ท่านเข้าใจไปถึงสองสามสี่ เขาบอกว่าเราเจ้าเล่ห์ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นนอกจากเรารู้เรื่องชีวิตว่าต้องเป็นอย่างนี้แล้ว บางครั้งปัญญาเราต้องตามให้ทันทุกๆ เรื่องราว และทุกๆ เหตุการณ์ที่เข้ามากระทบใจ เราว่าความดีชนะความชั่วแต่บางครั้งความดีอาจจะพ่ายแพ้ความชั่วได้ ขึ้นอยู่กับปริมาณความดี ขึ้นอยู่กับสิ่งดีที่เราเลือกเอาไปใช้กับเขา เหมือนวันนี้ท่านเจอคนไม่ซื่อสัตย์ ท่านเอาความอะไรไปตอบเขาดีล่ะ ต้องใช้ความจริงใจ ความซื่อสัตย์ แต่บางครั้งพอเราจริงใจ เราซื่อสัตย์ เขากลับได้ใจ เหมือนวันนี้เพื่อนท่านขี้เกียจท่านเอางานเขามาช่วยทำหมดเลย กลับกลายเป็นว่าช่วยเขาในทางที่ผิด ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้ลูกหลานเราทำผิด เราว่ากล่าว แต่เราไม่ได้ชี้นำทางที่ถูกให้เขาแก้ไข แล้วเขาจะทำได้ถูกไหม ไม่ได้ เหมือนท่านไม่ทำให้เขาดู เขาจะนึกออกไหมถ้าท่านเอาแต่พูด (ไม่ออก) ฉะนั้น ความดีรู้จักพลิกแพลงอย่างเดียวไม่พอ ท่านยังจะต้องปฏิบัติเป็นตัวอย่างด้วย ให้เขาเห็น ให้เขาเชื่อ ให้เรานี่แหละเป็นประจักษ์หลักฐานว่าทำดีแล้วได้ดี ทำดีแล้วมีคุณค่า ทำดีแล้วน่าเคารพนับถือ เขาก็จะทำตาม จริงหรือไม่ (จริง)
เรามาก็ทำให้ท่านเสียเวลาเยอะแล้ว เดี๋ยวเราก็จะกลับแล้วนะ เรื่องราวในโลกนี้เมื่อเดินไป ผลสุดท้ายก็ต้องเดินกลับมา เกิดขึ้นผลสุดท้ายก็ต้องกลับมายืนที่เดิม วันนี้เรียนพรุ่งนี้ก็หยุดเรียน วันนี้มีเกียรติ พรุ่งนี้ก็ไร้เกียรติ วันนี้มีเงินพรุ่งนี้ก็ไร้เงิน เป็นเรื่องที่เดินไปแล้ว วิ่งไปแล้ว ไขว่คว้าไปแล้วแทบเป็นแทบตาย ผลสุดท้ายก็ต้องกลับมายืนที่เดิม ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์เราแม้จะวิ่งวนไขว่คว้าแสวงหารัก โลภ โกรธ หลง เกียรติยศชื่อเสียง ความรู้ ความมั่งคั่ง แต่ผลสุดท้ายก็ต้องกลับมาเป็นคนที่ไม่มีเกียรติ ไม่มีความรู้ และไร้ความมั่งคั่งไม่วันใดก็วันหนึ่งเป็นธรรมชาติ จริงหรือไม่ (จริง) เหมือนกลอนนำที่เราให้ไว้นะ แม้เราจะวิ่งวนหาไปเท่าไร วิ่งไปมากเท่าไร ผลสุดท้ายก็ต้องกลับมายืนตรงที่เดิม บางครั้งความสุขที่เราไขว่คว้าจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีเงินทอง มีชื่อเสียง การนั่งเฉยๆ วางใจเรียบๆ ไม่คิดเรื่องราวอะไร แล้วปล่อยใจให้เบาสบาย ก็เป็นสุขได้เหมือนกันเคยบ้างไหม เคยค้นพบความสุขนี้กันบ้างไหม นั่งเฉยๆ ไม่ต้องมีใคร ไม่ต้องมีเรื่องกังวลใดๆ นั่งอยู่กับบ้านมองต้นไม้หรือมองใคร ใจเราก็เป็นสุขแล้วก็อิ่มในความว่างเปล่า ถ้าทำได้เช่นนี้ท่านจะเป็นคนที่ รู้จักสุขในคำว่า “พอ” เราอยากให้ท่านลองไปลิ้มรสความสุขอันนี้ดูบ้าง เป็นสุขที่ไม่ต้องเหนื่อยเลย แค่ทำใจวางให้สบาย ความวิตกกังวลเอาวางไว้ก่อน ปล่อยใจให้เบา ทำสมองให้ปลอดโปร่ง ปล่อยร่างกายให้อยู่ในท่าสบาย แล้วลองมองออกไปหรือลองมองย้อนกลับมา เราก็จะรู้สึกว่าสุขจังเลย ไม่ยากเลยนะ ในโลกนี้อะไรก็ถูกแย่งไปได้แต่ไม่มีใครแย่งความดีไปจากใจท่านได้ ฉะนั้นจงรักษาให้ดี หาทางแห่งความเป็นพุทธะก็อยู่ที่ตัวท่านจะสร้างไหม จิตใจแห่งความเสียสละก็อยู่ที่ว่าท่านจะยื่นมือไปช่วยเขาไหม ถ้าเห็นแต่ทุกข์ของตัวเองมากก็จะไม่เห็นทุกข์ของใคร แต่ถ้าเห็นทุกข์ของคนอื่นมาก เราก็จะเป็นพุทธะของใครๆ เอาล่ะ ต่อแต่นี้จะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับตัวท่านเองแล้ว จะเป็นคนเดินดินเหมือนเดิม หรือว่าจะฝึกฝนเป็นพุทธะบำเพ็ญตน
วันนี้ก็จบเพียงแค่นี้แล้วนะ ถึงเวลาที่เราต้องกลับแล้ว วันนี้เรามาแลกเปลี่ยนความรู้กันและเรามาพูดคุยศึกษาธรรมะซึ่งกันและกันใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วอย่ามาพูดนะว่าเรามาเล่นละครให้พวกท่านดู เมื่อสักครู่ท่านรับปากไปแล้วว่าเรามาคุยกัน เรามาแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกัน ใช่ไหม (ใช่) อย่าเอาสายตาแห่งมนุษย์มามองพุทธะ ไม่อย่างนั้นจะไม่เห็นความเป็นพุทธะ อย่าเอากิเลสอารมณ์มาบังใจของตน ไม่อย่างนั้นจะไม่รู้แจ้งในธรรมะ วันนี้เป็นวันแรกที่ท่านได้มาศึกษาหลักธรรมอย่างจริงๆ จังๆ ขอให้ตั้งใจให้ครบสองวัน มีโอกาสว่างเมื่อไรก็มาศึกษาเพิ่มเติมได้หรือไม่ (ได้) คงได้นะ เซียนน้อยอย่างเรายังเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เลย แล้วทำไมตัวท่านจะเป็นไปไม่ได้ อย่ายอมแพ้          ได้หรือไม่ (ได้) ไปแล้วนะ


วันอาทิตย์ที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมหมิงฮุย จ. ลพบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ลำบากสอนให้เป็นคนเต็มคน ความอดทนตอบแทนด้วยสิ่งที่หวัง
ความเมตตานั้นแฝงซ่อนขุมพลัง ศิษย์รักเอยระวังใจของตนเอง
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมหมิงฮุย แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนตั้งใจมาบำเพ็ญดีหรือไม่

เวลามักจะชนะคนกำลังทุกข์ ชีวิตเมาพร้อมสุขดังใจไม่
จงฝันใฝ่ฝึกตนเผื่อฤทัย เพื่อเหลือคนรุ่นใหม่บำเพ็ญจริง
ประคองหน้าช่วยหลังด้วยคุณธรรม เพียงแจ้งธรรมพุทธจิตสว่างยิ่ง
วาระผิดจากนี้ไร้ทางจริง ถนอมยิ่งแม้นไม่อวลปานผกา
สัมมาธรรมเพียรพบอบอุ่นแสน ศึกษาแก่นอย่าหลบการปฏิบัติหนา
ไร้สงบไม้ผุลุใจศิษยา นับวันร้อยซ่อนปัญหาสุดประมาณ
เวิ้งฟ้ากว้างใจไพศาลผสานหนึ่ง ขจัดซึ่งรอยลึกที่ใจนั่น
โลกแสนเข็ญบำเพ็ญเริ่มนั้นสำคัญ เวลาแห่งทุกข์ยาวนานค่อยบรรเทา
อุทิศตนคืนวันสะพานยุคสาม ประสงค์คืนกลับโพ้นข้ามกิเลสเร้า
บางอุปสรรคดั่งเส้นผมบังภูเขา ขอศิษย์เยาว์เบาแสวงนอกกายา
ฮา  ฮา   หยุด


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มนุษย์ทุกคนมีจิตใจ แต่มิได้ใช้ใจที่ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองมีอยู่ข้างใน ธรรมะมีกันอยู่ทุกคนไหม (มี) หัวใจของเรามีธรรมะไหม (มี) แล้วตอนนี้ใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตหรือไม่ ใครว่าตัวเองใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตสิบเปอร์เซ็นต์  ใครใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตสามสิบเปอร์เซ็นต์ ใครใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เอามือลง ใครใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตร้อยเปอร์เซ็นต์ ยกมือค้างไว้ อาจารย์ให้ศิษย์คัดตัวเอง การคัดตัวเอง มีสามคนเท่านั้นเอง อาจารย์ให้ศิษย์เป็นผู้คัดตัวเอง คนที่ไปสวรรค์ได้ต้องเป็นคนดี คนชั่วก็ไปนรกใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าหากว่าบำเพ็ญธรรมแล้วจิตใจของเรากลับมาสว่างเรียกว่า ฟื้นฟูสภาพจิตใจที่ขมุกขมัวมอมแมมนั้นให้กลับมาสมบูรณ์ได้ ก็กลับมาเป็นพุทธะได้ แต่อย่างที่ถาม กี่คน กี่เปอร์เซ็นต์ ศิษย์ที่นั่งอยู่ที่นี้ตอบตัวเองว่าตัวเองใช้ไปกี่เปอร์เซ็นต์ มีจิตใจที่ใช้บำเพ็ญธรรมะอยู่มากเท่าไร จิตใจที่ดีงามอยู่มากเท่าไร ถ้าศิษย์ยิ่งมีน้อยเท่าไรก็ยิ่งไกลสวรรค์มากเท่านั้น มนุษย์สมัยนี้จึงบอกว่าสวรรค์สงสัยจะไกลเกินเอื้อม ถ้าหากพูดถึงจะไปนิพพานยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) 
แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงสิ่งนี้ พูดถึงสิ่งที่ศิษย์คิดว่ามันไกลเกินเอื้อม ในเมื่อศิษย์บอกว่าทุกๆ คนมีหัวใจ แล้วหัวใจของทุกๆ คนก็มีธรรมะ ทำไมศิษย์ถึงคิดว่าเรานั้นไม่สามารถทำให้จิตใจดีกว่านี้ได้ สามารถทำได้ไหม (ได้) แล้วต้องทำหรือเปล่า (ต้องทำ) อย่างที่สังคมปัจจุบันนี้เป็น บางคนนั้นก็เป็นคนดีแต่ถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนไม่ดี เราเคยโดนไหม บางทีเราบอกว่าตัวเองเป็นคนดีแล้ว แต่เมื่อเทียบกับอีกคนหนึ่งเราก็ยังดีน้อยกว่าเขา หรือไม่เราอาจจะเป็นคนไม่ดีที่ชอบบอกว่าตัวเองเป็นคนดีก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วศิษย์คิดว่าคนในสังคมนี้ที่มีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายจิตใจ เวลาเราเผลอไปทำชั่ว เราเผลอไปทำไม่ดี เราก็ไปโทษว่าคนนั้นทำให้เรากลายเป็นคนไม่ดี เพราะว่าเขามาปรักปรำเราอยู่เรื่อย เรารู้สึกแย่จริงๆ เรารู้สึกว่าเราต้องทำให้สมกับที่เขาใส่ร้ายเราให้พอ ในที่สุดแล้วเราก็ทำชั่ว สุดท้ายผลกรรมชั่วนี้โทษใคร ใครเป็นคนทำ (ตัวเอง) กฎแห่งกรรมนั้นก็คือใครทำ ใครรับ เพราะฉะนั้นถ้าทำดีก็รับสิ่งที่ดี ถ้าทำไม่ดีก็รับสิ่ง  ไม่ดี จริงๆ แล้วโทษใครได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าวันนี้ศิษย์ทุกคนบำเพ็ญธรรม วันข้างหน้าศิษย์ของอาจารย์จะไปถึงไหน ทุกคนไปได้ไกลเท่าที่ตัวเองอยากไป แต่หากว่าวันนี้ยังเป็นอย่างทุกวันนี้ที่เป็นอยู่ วันข้างหน้าไปถึงไหน มีอยู่สามทาง ทางแรกเวียนว่ายตายเกิด เกิดครั้งใหม่ ไม่ว่าจะเป็นคน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ ทางเลือกที่สองคือไปรับกรรมในนรก และทางที่สามคือไปสวรรค์หรือหลุดพ้น ใครคิดว่าตัวเองเวียนว่ายตายเกิดยกมือขึ้น ใครคิดว่าตัวเองต้องไปนรกยกมือขึ้น แล้วใครคิดว่าตัวเองสามารถกลับสวรรค์หรือว่าหลุดพ้นจากการเวียนว่ายยกมือขึ้น อาจารย์ถามหมายถึงว่าที่เราทำอยู่ตอนนี้ ใครคิดว่าผลสุดท้ายตัวเองจะสามารถไปสวรรค์หรือหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดยกมือขึ้น มีคนบอกว่าเราต้องพยายาม แล้วความพยายามนั้นมักแพ้ความขี้เกียจเสมอใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์นี้น่าประหลาดใจ กินก็ขี้เกียจ นอนก็ขี้เกียจ นั่งก็ขี้เกียจ ไปทำงานก็ขี้เกียจ รวยมากไปก็ขี้เกียจ จนมากไปก็ขี้เกียจ อยากจะกตัญญูก็ยัง    ขี้เกียจ ขี้เกียจเป็นคำติดปากหรือเป็นนิสัยของเราจริงๆ (เป็นคำติดปาก) ติดที่ปากก็พอ อย่าให้ติดที่ใจ ฉะนั้นวันนี้อาจารย์มา ไม่ว่าศิษย์จะเชื่ออาจารย์หรือไม่นั้นไม่สำคัญ บอกไว้เลยว่าไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่วันนี้ที่อาจารย์พูดทั้งหมด ถ้าหากว่าเห็นด้วยจงทำ อาจารย์ขอแค่นี้ จงทำ แล้วทำให้ดีที่สุดโดยไม่ต้องสนใจว่าความดีของเรานั้นจะมีคนเห็นหรือเปล่า ถ้าหากว่าเราเรียกร้องผลของความดีให้ตอบแทน ถ้าไม่ตอบแทนเราจะเลิกทำดีนั้นๆ มนุษย์สมัยนี้คิดอย่างนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราจะดีกับใครสักคนหนึ่ง ก็คิดว่าเขาต้องดีกับเราด้วย ถ้าเขาไม่ดีกับเรา เราก็เลิกทำเหมือนกัน เอาชีวิตของเราไปผูกไว้กับอะไร ตอนนี้ชีวิตเป็นของเรา หัวใจนี้เป็นของเรา เราทำดีก็เพื่อตัวเราเอง เพื่อตัวเราเองรู้สึกดีและเป็นคนที่ดีขึ้น แต่บางคนไม่ใช่ เอาความดี เอาจิตใจ เอาการทำดีของเราทั้งหมดไปผูกไว้กับคนอื่น ถ้าเขาไม่ดีต่อเรา เราจะเลิกทำ เพราะว่าหัวใจได้ผูกไว้กับเขาใช่หรือไม่ (ใช่) เราสั่งหัวใจของเราเองได้ไหม (ได้) แน่ใจหรือ คนที่เคยมีความรักมักจะรู้ว่าเวลามีความรักแล้วสั่งหัวใจของตัวเองไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราสั่งหัวใจของคนอื่นได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ถ้าหัวใจของเราชอบเขาแล้วหัวใจของเขาเกลียดเรา เราสั่งเขาได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเปลี่ยนได้หรือเปล่า (ได้) แล้วเขาชอบเราเปลี่ยนได้ไม่ได้ (ได้) เขาเกลียดเราเปลี่ยนได้ไม่ได้ (ได้) คนที่ตอบว่าได้ หนักแน่นมั่นคงดี แต่ต้องดูอีกทีตอนปฏิบัติใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะมนุษย์นั้นเป็นอย่างไร สามวันดีสี่วันไข้ คำพูดคำนี้ใครเป็นคนคิด คำพูดคำนี้คนเป็นคนพูดเพื่อบอกคนด้วยกันว่าทุกคนนั้นเป็นคนที่โลเล เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากเป็นคน ก็โลเลต่อไป ถ้าเราอยากบำเพ็ญธรรมก็ต้องเลิกนิสัยโลเล วันละครั้งเดียวนี่ก็มากเกินไปแล้วรู้ไหม เพราะฉะนั้นถ้าให้ดีก็คือเปลี่ยนนิสัยของตัวเอง การเปลี่ยนนิสัยตัวเองได้นี้เป็นเรื่องแรกของการบำเพ็ญธรรมที่จะต้องทำ หากว่าเปลี่ยนนิสัยของตัวเองไม่ได้ ธรรมะจะวิเศษได้ไหม ถ้าหากว่าเราเปลี่ยนนิสัยของตัวเองไม่ได้ แก้นิสัยที่ไม่ดีของตัวเองไม่ได้ เราจะเรียกตัวเองว่าเป็นคนดีอยู่ได้ไหม (ไม่ได้) ตอนที่มากราบรับธรรมนั้น ศิษย์ทุกคนให้อาจารย์แนะนำรับรองบอกว่าศิษย์ทุกคนเป็นคนดี ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงแล้วอาจจะยังดีไม่ถ้วนไม่ทั่ว แต่อย่างน้อยอาจารย์ก็เชื่อว่าทุกคนนั้นยังเชื่อว่าลึกๆ ตัวเองยังเป็นคนที่ดีอยู่ แม้ใครจะพูดว่าอย่างไร เราก็ยังเชื่อว่าเรานั้นยังมีความดีอยู่บ้าง ขอให้เราเชื่อมั่นในความดีส่วนน้อยนิดของตัวเองส่วนนี้ แล้วขยายมันออกไปเหมือนกับเมล็ดของต้นไม้บางประเภทที่สามารถขยายพันธุ์ของตัวเองได้ อาจารย์อยากให้เราซึ่งเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐยิ่งกว่าต้นไม้ใบหญ้า ยิ่งกว่าสัตว์ใดๆ นั้น สามารถขยายความดีแค่กำเดียวในหัวใจของเรานี้ออกไป ถ้ามีใครไม่เชื่อถือว่าเราเป็นคนดีหรือบำเพ็ญธรรมได้ดี เราบังคับให้คนอื่นเชื่อไม่ได้ แต่เรานั้นทำตัวดีๆ ให้สม่ำเสมอได้ มนุษย์เป็นสิ่งที่อ่อนไหวต่อความรู้สึก และมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ วันนี้อาจารย์มาที่นี่ก็เพราะว่าเชื่อว่าศิษย์ทุกคนนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกันดีไหม (ดี) ไหนใครคิดว่าตัวเองนั้นพร้อมจะเปลี่ยนแปลงไปใน    ทิศทางที่ดีขึ้น ยกมือหน่อย ทีนี้เอามืออีกข้างหนึ่งปรบมือให้ตัวเอง ปรบมือดังๆ อาจารย์หวังว่าวันหน้าให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนเป็นผู้ปรบมือให้ศิษย์ ด้วยการที่เรานั้นสามารถที่จะคว้าชัยชนะมาให้ตัวเอง ด้วยการที่เรานั้นสามารถที่จะบอกว่าเบื้องบนนั้นไม่ไกลเกินเอื้อม เราไปถึง ถึงวันนั้นอาจารย์ปรบมือให้
“ศิษย์รักเอ๋ยระวังใจของตนเอง”
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนั้น ไม่ใช่เสือสิงห์ที่ไหน สิ่งที่น่ากลัวนั้นก็ไม่ใช่สังคมที่เลวร้าย สิ่งที่น่ากลัวก็ไม่ใช่ว่าคนนี้จะมาหลอกเราหรือว่าอะไรก็แล้วแต่จะมาหลอกเรา ผีก็ยังไม่น่ากลัว น่ากลัวที่สุดนั้นก็คือใจของตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะสามารถที่จะพาเราไปทำเรื่องที่ร้ายที่สุด และสามารถทำให้เรานั้นทำเรื่องที่ดีที่สุด ดีจนคนอื่นเขาใจหาย พร้อมจะเปลี่ยนจากคนที่ดีที่สุดกลายเป็นร้ายที่สุดในเวลา 5 นาที เพราะฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกนี้ก็คือจิตใจของตัวเราเอง โจรขโมยก็ขโมยไปแค่ทรัพย์สิน ฆาตกรฆ่าเราก็ฆ่าไปแต่กาย แต่สิ่งที่น่ากลัวที่ยังเหลือไว้คือจิตใจที่ไม่ได้รับการขัดเกลาของตัวเอง อาจารย์นั้นได้ชื่อว่าเป็นพระที่บ้า แต่อาจารย์ก็ยังเห็นว่าคนบ้านั้นไม่ใช่คนที่น่ากลัว แล้วก็ไม่เลวร้ายอะไร แต่มนุษย์ในสมัยปัจจุบันนี้ยิ่งกว่า ว่าไปแล้วเหมือนกับบ้าทุกคน เพราะว่าเรามีความบ้าอยู่ในตัว แล้วพร้อมจะแสดงออกทุกเมื่อใช่หรือเปล่า (ใช่) พุทธะมีความบ้าไหม พุทธะไม่มีความบ้า ถ้าหากว่าเรายังบ้าอยู่ และพร้อมจะแสดงออกทุกเมื่อ แสดงว่าจิตใจของเรานั้นยังไม่ได้รับการขัดเกลาใช่หรือไม่ (ใช่) ยังเน้นหนักเห็นสิ่งภายนอกสำคัญกว่าจิตใจของตัวเราเอง ฉะนั้นจิตของเราเมื่อ  ไม่อยู่ในภาวะปกติก็เรียกบ้า แล้วจิตใจของศิษย์ยังไม่ปกติ คือพร้อมที่จะแสดงความบ้าออกมาทุกเมื่อ ก็แสดงว่าจิตใจของเรานั้นยังไม่ถูกขัดเกลาไปสู่สภาวะเดิมแท้ คือความใสสะอาด จะให้คนอื่นขัดเกลาเราได้ไหม (ไม่ได้) ใครต้องเป็นผู้ขัดเกลา (ตัวเราเอง) แล้วถามว่าเรานั้นยินยอมที่จะขัดเกลาหรือไม่ (ยอม) สมมติว่าศิษย์ของอาจารย์เจอสิ่งๆ หนึ่ง คนๆ หนึ่งที่เราชอบมาก ปกติแล้วจะต้องได้สิ่งๆ นี้มา แต่รู้ว่าทุกครั้งที่ได้มาก็คือทำไม่ถูกต้อง ใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องไปเอามา ถ้าหากว่าเราอยากขัดเกลาจริงๆ ตั้งแต่วันนี้ไปก็ต้องทำอย่างไร เมื่อรู้ว่าเอามาไม่ได้ก็แสดงว่าไม่ใช่ของของเราใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอดใจไม่เอามา     ได้ไหม (ได้)
ศิษย์รู้ตัวไหมว่าทุกๆ คนนั้นเป็นคนมีบุญ เวลามีเหตุการณ์จวนตัวนั้นอยู่ดีๆ รอดไปได้อย่างไร เคยไหม (เคย) แล้วเคยไหมว่าพอมีเรื่องจวนตัวแล้ว   ไม่รอดเลย (เคย) ก็เคยเหมือนกัน แสดงว่าเรานั้นเป็นคนที่มีบุญแล้วมีอะไรด้วย (กรรม) ถ้ามีเหตุการณ์คับขันอย่างไรก็รอดมาได้ เหตุการณ์เคราะห์ภัยอะไรสามารถที่จะหลุดรอดออกมาได้ ปลอดภัยได้ ก็แสดงว่าเราเป็นคนที่มีบุญ แต่ว่าในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่มีกรรมอย่างที่อาจารย์ว่า คือบางทีไม่สามารถที่จะรอดไปได้ อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่ามารับธรรมะสามารถที่จะมากราบขอรับธรรมได้ ก็แสดงว่าเรานั้นมีบุญอยู่ แต่ในขณะเดียวกันกรรมก็ตามมาติดๆ ถ้าหากว่าเราไม่ใช้กรรมไป เราสามารถที่จะพ้นกรรมได้หรือไม่ (ไม่ได้) ฉะนั้นต้อง  รู้จักที่จะชดใช้กรรมของตัวเอง ด้วยการสร้างบุญสร้างกุศล ถ้าหากว่าเราเห็นคนที่ไม่มีข้าวกิน เราจะเอาข้าวไปให้เขากินไหม ถ้าเราเองก็เป็นคนที่แทบจะไม่มีข้าวกิน เราสามารถแบ่งข้าวให้เขากินสักครึ่งจาน ทำได้ไหม (ได้) แล้วเคยทำหรือเปล่า (เคย) อย่าตอบไปเฉยๆ นะ
การที่กุศลหรือบุญนั้นจะเกิดขึ้นจริงๆ เกิดได้ตอนไหน เกิดได้ในตอนเราสร้างบุญนั้นได้ลำบากแต่เรานั้นยังสร้างต่อไป ก็จะทำให้บุญนั้นๆ เป็นบุญแท้จริง เพราะว่าคนทั่วไปนั้นถ้ามีเงินถึงได้ทำบุญ มีเงินอยู่จะไปสร้างบุญก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าหากว่าไม่มีแล้วเรายังสร้าง คนนี้ธรรมดาไหม (ไม่) ถ้าหากว่าศิษย์มองด้วยตาของศิษย์เอง ตรงนี้ใครกันแน่ที่เป็นคนบุญที่แท้จริง (คนไม่มีเงิน) ที่อาจารย์ยกตัวอย่างนี้เพราะว่าเห็นง่าย แต่บุญนั้นไม่ได้สร้างด้วยเงิน บางทีคนสร้างด้วยเงินนั้นไม่มีบุญด้วยซ้ำ บุญนั้นสร้างด้วยจิตใจที่จะลงไปปฏิบัติ  ไม่ใช่จิตใจอย่างเดียว ศิษย์อาจารย์อะไรๆ ก็ใจ มีใจแต่ไม่มีแรงใช่หรือเปล่า แรงไปไหนหมดไม่รู้ พอจะทำบุญแล้วหมดแรงเป็นอย่างนั้นไหม บุญนั้นสร้างด้วยหลายสิ่ง อย่างเช่นสร้างด้วยแรง คือสมมติว่าเราเห็นคนแก่คนหนึ่งไม่มีแรงยกของขึ้นรถของตัวเอง เราเดินไปช่วยยกอย่างนี้มีบุญไหม อย่าถามอาจารย์ว่ามีบุญเท่าไร บุญไม่เหมือนกับเงิน ที่อันนี้ห้าบาท อันนี้สิบบาท อันนี้ยี่สิบบาท อันนี้ห้าร้อย อันนี้หนึ่งพัน ไม่ใช่อย่างนี้ แต่มันอยู่ที่ว่าจิตใจของศิษย์ที่จะออกไปช่วยนั้นมีเท่าไร ไม่ใช่มีจิตใจอยู่สองเปอร์เซ็นต์แต่อีกแปดเปอร์เซ็นต์คือช่วยด้วยคิดว่าถ้าไม่ทำนี่ก็คงละอายใจ อย่างนี้บุญคนนี้มีอยู่เท่าไร เห็นคนๆ นี้จะยกของขึ้นรถแต่ว่าเราเข้าไปช่วยด้วย สองเปอร์เซ็นต์อยากช่วย แต่อีกแปดเปอร์เซ็นต์ช่วยด้วยจิตสำนึก ถ้าไม่ช่วยคงละอายใจเพราะแถวนั้นมีเราอยู่คนเดียว ถามว่าคนๆ นี้ได้บุญเท่าไร ถ้าหากจะวัดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็มีอยู่แค่สอง แต่หากว่าคนๆ นี้เข้าไปช่วย จิตใจเต็มสิบรีบวิ่งเข้าไปช่วยเพราะรู้สึกว่าต้องช่วย เราอยากช่วยด้วย จิตใจที่อยากจะช่วย ถามว่าคนๆ นี้มีบุญเท่าไร (สิบ) คนนี้ก็คือเป็นคนที่มีบุญทั้งสิบ ทำบุญทำอย่างไร ไม่มีเงินก็ช่วยแรง ไม่มีแรงก็ช่วยออกเงิน พูดเรื่องเงินก็  ไม่ดีอีก เดี๋ยวจะหาว่าอะไรๆ ก็เงิน เพาะว่าคนไม่ไว้ใจกันก็ด้วยเรื่องเงินใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการออกปากพูดถึงเรื่องเงินกับใครก็ต้องดูก่อน อาจารย์สอนศิษย์ทุกคนที่เป็นคนเก่า อย่าได้ไปเน้นเงินทองสิ่งภายนอก เขาเรียกว่าเงินทองของบาดใจ ทะเลาะกันง่ายๆ ก็เพราะเงินใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่สร้างด้วยเงินแล้วสร้างด้วยอะไร (ใจ) เห็นคนๆ นี้เขาอยากจะยกของขึ้นท้ายรถ เราก็มีใจ เอาแต่ใจไปช่วยของมันจะยกไหม (ไม่ยก) เหมือนตอนนี้อาจารย์อยากจะคุยกับศิษย์ แต่อาจารย์มีแต่ใจ มีใจดวงเดียวเท่านั้นเองที่มา แล้วศิษย์มองเห็นหรือไม่เห็น (ไม่เห็น) เพราะฉะนั้นอะไรๆ ก็ไปจบที่คำว่าใจนั้นบางทีก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) มีอย่างเดียวที่ใจมาเป็นหนึ่งนั้นคือความศรัทธา แต่ศรัทธาแล้วก็ต้องทำให้เห็นด้วยว่าศรัทธา ไม่ใช่ศรัทธาแต่ใจ อีกทางหนึ่งที่สามารถให้ทานได้ ที่สามารถสร้างกุศลได้คือการพูดธรรมะเป็นทาน พูดธรรมะอาจจะไม่จำเป็นว่าจะชวนคนมารับธรรมะก็ได้ เพราะหากศิษย์ไม่เข้าใจว่าธรรมะคืออะไร พูดให้เขาฟังว่าธรรมะๆๆ ศิษย์ก็อธิบายไม่ได้ เพราะฉะนั้นเริ่มแรกตัวเองต้องเข้ามาศึกษาก่อน สองวันพอไหม (ไม่พอ) ต้องมากกว่านี้อีก แต่จะมากเท่าไรก็ขอให้ขึ้นอยู่กับใจของศิษย์ก็แล้วกัน ว่ามีใจเท่าไรก็ให้ไปลงแรงเท่านั้น คนเรานั้นชอบพูด วันหนึ่งพูดกี่ชั่วโมง นอนแปดชั่วโมง เวลาที่เหลือก็คือใช้ชีวิตอยู่ทั้งวัน เสร็จแล้ววันๆ หนึ่งพูดไปกี่ชั่วโมง วันๆ หนึ่งก็เจอคนมากมาย พูดธรรมะเป็นทานอย่างไร เห็นคนนี้เขาท้อแท้ชีวิตหมดอาลัยตายอยาก ศิษย์พูดให้เขามีกำลังใจอย่างนี้เป็นการทำบุญไหม (เป็น) คนนี้เขาท้อแท้ใจมาก สามีภรรยาเลิกกัน บ้านเละเทะ   ไปหมด เราพูดให้เขามีกำลังใจ พูดให้เขาปลงตกกับชีวิตแล้วพูดให้เขากลับไปคืนดีกันได้ คนนี้ทำบุญหรือไม่ทำบุญ (ทำบุญ) กับอีกอย่างหนึ่ง เห็นคนนี้เขาทะเลาะกันเราไม่ชอบคนนั้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราเข้าข้างคนนี้แล้วพูดยุคนนี้ไปด้วยความไม่ตั้งใจคนนี้ทำบุญหรือทำกรรม (ทำกรรม) ฉะนั้นกรรมอย่างหนึ่งที่มนุษย์ทำบ่อยที่สุดก็คือวจีกรรม กรรมที่เกิดจากทางปาก เพราะวันๆ หนึ่งนั้นมีคนผ่านเข้ามาตั้งเยอะ วันๆ ก็พูดตั้งเยอะเสร็จแล้วก็พูดอะไรที่เป็นกรรมใส่ตัวก็เยอะใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นจึงมีโรคที่เกี่ยวกับปากมากมายเช่น ฟันผุ ลิ้นเป็นแผล เหงือกอักเสบ ทุกอย่างในปากนี้ ริมฝีปากก็เป็นเริม เป็นอะไรไปหมดเลยใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นจงหัดพูดแต่ในสิ่งที่ดี ไม่ใช่บอกว่าฉันพูดแต่สิ่งที่ดีๆ ฉันก็ยังฟันผุ ลิ้นแตก ปากก็ยังเป็นเริมอุตลุดไปหมด จะให้มาทำกรรมได้หรือเปล่า สมมติว่าสร้างกรรมไว้ท่วม อยู่ดีๆ พอเราสร้างบุญ กรรมตรงนี้หายไปหมดได้หรือไม่ (ไม่ได้) รู้เหมือนกันหรือว่าไม่ได้ อาจารย์ไม่นึกว่าศิษย์รู้  ที่ไปทำบุญแล้วบอกว่าฉันทำบุญแล้วทำไมยังไม่ได้ดี ก็เพราะว่าเรานั้นเพิ่งจะเริ่มทำบุญเองใช่หรือไม่ (ใช่) คนก็เป็นคนใจร้อนเวลาทำบุญก็ยังใจร้อนเสร็จแล้วได้บุญไหม (ไม่ได้) คิดอย่างนี้ได้ก็ดีแล้ว กรรมก็ทำมาตั้งเยอะ บุญก็ค่อยๆ ทำไป แต่บางครั้งวิ่งมาเร็วก็หายไปเร็ว ศิษย์อาจารย์มาเร็วเหมือนม้า ควบมาแรงมากพอเจอ   เส้นชัยเข้าก็หายไป เส้นชัยนี้ก็คือประชุมธรรมได้สองวัน อยากที่จะเป็นม้าแข่งอย่างเดียววิ่งให้เร็วกว่าคนอื่น แต่ไม่อยากเป็นม้างาน ไม่อยากทำงาน ทุกอย่างรู้หมด วิ่งเร็วทำได้หมดแต่ไม่ทำ อย่างนี้จะมีประโยชน์กับตัวเองไหม (ไม่มี) ถึงจะวิ่งเร็วกว่าคนอื่น แต่ก็อาจจะเป็นเหมือนนิทานเรื่องเต่ากับกระต่าย สุดท้ายอะไรชนะ (เต่า) ทำไมล่ะ (กระต่ายประมาทแต่เต่ามีความเพียร)
จะเห็นได้ว่าชีวิตจริงๆ ของเราก็คือนิทานเรื่องนี้ บางคนนั้นเขาดูแล้วยังด้อยกว่าเราอีกมากมาย แต่เป็นเพราะว่าเราไปเหมือนกระต่ายแทนที่จะเหมือนเต่า แม้จะดีกว่าแต่หากไม่ลงมือทำเราก็อาจจะเป็นผู้แพ้ไป อยากจะเป็นผู้แพ้หรือว่าผู้ชนะ ชนะอะไร (ใจตัวเอง) อาจารย์นึกว่าจะบอกว่าชนะคนอื่น ทุกวันก็บอกว่าชนะๆ  แต่ว่าชนะอะไร (คนอื่น) แต่พอให้ตอบก็รู้จักตอบว่าชนะใจตัวเอง แสดงว่ามนุษย์มีข้ออ้างเยอะใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์จะถามว่าเมื่อสักครู่ที่อาจารย์มานั้น อาจารย์ได้พูดไว้บอกว่าเรื่องแรกของการเริ่มบำเพ็ญธรรม ศิษย์จะต้องทำอะไร (เปลี่ยนนิสัยตัวเอง)
“จงฝันใฝ่ฝึกตนเผื่อฤทัย เพื่อเหลือคนรุ่นใหม่บำเพ็ญจริง” 
มีอยู่คำหนึ่งมีความหมาย คือ คนรุ่นใหม่ คนสมัยนี้ชอบพูดใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเราเป็นคนรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่ต้องกล้าทำกล้าแสดงออก แต่อาจารย์อยากจะถามว่าโดยทั่วไปเรากล้าแสดงออกในสิ่งที่ถูกต้องไหม เหมือนกับที่ศิษย์รู้ข่าวคนฆ่าตัวตายตามๆ กัน ด้วยเสพยาเสพติด การที่เรากล้าทำ กล้าแสดงออก ไม่ใช่กล้าทำในสิ่งที่ผิด ต้องกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นชายก็ควรที่จะกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง รู้ว่าสิ่งใดควรจึงทำ รู้ว่าสิ่งใดไม่ควรก็ไม่ทำ เป็น ผู้หญิงต้องรู้จักนิ่มนวลดั่งหญิง ต้องรู้จักพูดดี ต้องพูดจาอ่อนหวาน ใบหน้ายิ้มตลอดเวลาแล้วก็มีความจริงใจ หวังดีให้กับคนอื่น ไม่กล้าที่จะคิดร้าย คนที่ทำได้อย่างนี้ ใครเห็นใครรัก ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้ทุกคนที่เห็นเรารักเราทุกคนหรือยัง (ยัง) เพราะว่าเราชอบทำหน้าบึ้ง เพราะว่าเราพูดจาไม่ดี อดทนไม่ได้ก็ด่าไป    ใช่ไหม (ใช่) อย่างนี้ใครเห็นใครรักได้ไหม (ไม่ได้) สุดยอดความปรารถนาของศิษย์ที่เป็นผู้หญิงหลายคน อยากให้สามีรักใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ว่าเขาจะรักเราลงไหม ถามตัวเองนะ อาจารย์ให้เคล็ดลับง่ายๆ พูดดี พูดอ่อนหวาน ตลอดเวลาไม่ว่าจะโมโหก็ตาม (ทำไม่ได้) ทำไมล่ะ ผู้ชายชอบผู้หญิงโกรธไหม (ไม่ชอบ) ผู้หญิงชอบผู้ชายเจ้าชู้ไหม (ไม่ชอบ) ให้ทำตัวเป็นบุคคลที่รู้ใจซึ่งกันและกัน รู้ว่าสิ่งใดเขาไม่ชอบก็อย่าทำ อย่างเช่นพื้นฐานง่ายๆ เรื่องการพูดจาให้พูดดี ถึงรู้ว่าเขาไปทำผิดมา แต่ถ้าหากพูดดี เขาจะใจแข็งไหม (ไม่) ใจคนไม่ได้แข็งเหมือนหิน แต่พออยู่ด้วยกับกลับเหมือนหินสองก้อนกระทบกันทุกที ปัญหาบางปัญหาก็สร้างขึ้นมากองพะเนิน พอทำดีเข้าหน่อยจะให้ปัญหาหายไปได้ไหม เพราะฉะนั้นเราเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทิศทางที่ดี พูดดีพูดจาอ่อนหวาน คิดดีไม่คิดร้าย เมื่อไม่คิดร้าย ใบหน้าก็ยิ้มตลอดเวลา ไม่เฉพาะแค่สามีที่บ้าน แม้แต่พ่อแม่ เพื่อน ญาติ พี่น้อง คนสนิทชิดใกล้ ใครที่ไหนก็รักเรา ถูกต้องไหม (ถูก)
คนไหนขี้โมโหยกมือขึ้น ทุกคนขี้โมโหหมดนะ ถ้าหากใครมายั่วก็โมโหทั้งนั้น ถ้าเขาไม่มายั่วเราก็ไม่โมโหใช่หรือเปล่า (ใช่) ไปแก้ที่เขาหรือแก้ที่เรา (แก้ที่เรา) แก้ที่เราดีกว่า แก้ที่เขาปวดหัวหรือเปล่า (ปวดหัว) อยากให้ลูกเรียนหมด ลูกเรียนไม่เรียน อยากให้ลูกดีก็ไม่ยอมดี อยากให้เขาทำอย่างไรก็ไม่ทำอย่างนั้น แก้ที่ลูกหรือแก้ที่เรา (แก้ที่เรา) หากบ่นทุกวัน อยู่ดีๆ เงียบไปจะสงสัยไหม (สงสัย) อยากให้เขาสงสัยเราไหม ปกติถามเขาทุกวัน ถ้าอยู่ดีๆ เราเงียบไปคนที่เราไปบ่นเขาทุกวันต้องมาถามเราแน่นอนเลยใช่หรือไม่ (ใช่) หากเอาวิธีของอาจารย์ไปเป็นเล่ห์กลอุบาย เลิกบ่นสองวัน อีกสามร้อยหกสิบสามวันนั้นบ่นที่เหลือให้หมดเลยได้ไหม (ไม่ได้) ต้องเป็นคนที่ไม่ขี้บ่น ทำได้ไหม (ได้) ตั้งแต่อาจารย์มารับปากไปกี่ข้อแล้ว (หลายข้อ) อาจารย์ยินดีที่ศิษย์จะทำได้อย่างที่รับปาก อาจารย์ไม่ได้หวังว่าให้ศิษย์รับปากแน่ๆ แต่อาจารย์ก็ไม่หวังให้ศิษย์ผิดสัญญานะ รู้ไหม (รู้) เพราะฉะนั้นในบทนี้อาจารย์พูดถึงคนรุ่นใหม่ ทุกคนนั้นก็บอกว่าตัวเองคือคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะผมดำ ไม่ว่าจะผมขาว อายุมากอายุน้อยก็บอกว่าตัวเองเป็นคนรุ่นใหม่ อาจารย์ไม่เถียงนะ ศิษย์เป็นคนรุ่นใหม่จริงๆ แต่ว่าให้เราเป็นคนกล้าคิดกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เข้ามาศึกษาธรรมะ เข้าใจธรรมะก็จงปฏิบัติ ไม่ใช่อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นคนที่มาถือบวช แต่อยากให้ศิษย์ถือบวชจิต จิตใจของตัวเองนั้นต้องถือบวช ถึงแม้ภายนอกเราจะเป็นปุถุชน ผมของเราก็ยังยาว เสื้อผ้าของเราก็หลากสี แต่อาจารย์อยากให้จิตใจของเรานั้นขาวบริสุทธิ์ ได้หรือไม่ (ได้) เพราะเข้าใจว่าพวกเราทุกคนนั้นมีภาระทางครอบครัว มีภาระผูกพันกับคนจำนวนมาก ก็อยากให้ถือโอกาสนี้ที่เรานั้นได้เป็นฆราวาส อยู่ในโลกมนุษย์นี้ รู้จักคนเยอะมากเท่าไร ก็ช่วยคนเท่านั้นให้เป็นคนดีมากขึ้น รู้จักคนห้าคนก็ช่วยคนห้าคนนั้นให้เป็นคนดีขึ้นมา รู้จักคนสิบคนก็ช่วยคนสิบคนนั้นให้เป็นคนดีขึ้นมา เพราะว่าคนที่ก่ออาชญากรรมหรือคนที่ก่อเหตุเรื่องชั่วร้ายต่างๆ นั้น บางทีก็เป็นคนที่แวดล้อมเรา ถ้าเราช่วยเขาช้าไป เขาอาจจะทำไม่ดีขึ้นมาก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่อย่ามัวมองแต่คนอื่นๆ ให้มองตัวเองด้วย สักวันหนึ่งถ้าหากเราโมโหมากเกินไปจนยากที่จะดับ เราก็อาจจะเป็นคนก่อเหตุ     เสียเอง หนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งก็อาจจะเป็นรูปเราสักวันหนึ่งก็ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์รู้จักบำเพ็ญตนให้ดีๆ เสียสละเวลาตนมานั่งฟังสองวันแล้ว ให้เสียสละเวลามาศึกษา ปีหนึ่งมีชีวิตอยู่ที่บ้านมากกว่าค่อน ปีหนึ่งมีชีวิตมาสถานธรรมไม่กี่ชั่วโมง ทำไมเราถึงทำไม่ได้ล่ะ ก็เพราะว่าจิตใจของเรานั้นยังเน้นหนักด้านทางโลกมาก แต่อาจารย์หวังว่าเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ฟังธรรมะ แต่สามารถใช้กับชีวิตที่เหลือได้ตลอดชีวิต ฟังไปมากใช้ให้มากเท่านั้น ทำได้ไหม (ทำได้) 
เห็นศิษย์ง่วงเหงาหาวนอนอย่างนี้ เมื่อคืนนอนหลับไหม (ไม่ค่อยหลับ) ทำไมไม่หลับล่ะ (ไม่สบายใจ) แล้วไม่หลับกลางคืนมาหลับกลางวันเหมือนกันหรือเปล่า ก็หลับเหมือนกัน ตั้งแต่อาจารย์มาก็เริ่มหลับ พอไปถามว่าเมื่อคืนนอนหลับหรือเปล่า บอกว่าไม่หลับ กลางคืนไม่หลับกลางวันหลับเหมือนกันไหม มีคนในโลกนี้ชอบพูดบอกว่าถ้าหลับกลางวันจะไม่ค่อยสบาย เพราะหลับกลางคืนจะหลับยาว เพราะฉะนั้นกลับกลางคืนหรือกลางวันดีกว่า    (กลางคืน) แต่หลับกลางคืนกับหลับกลางวัน คำว่าหลับเหมือนกันไหม (เหมือน) ทำไมเมื่อคืนถึงไม่หลับล่ะ ก็บอกว่าไม่สบายใจ อาจารย์อยากจะบอกว่ามนุษย์ทุกคนในโลกนี้ก็มีความไม่สบายใจทุกเมื่อเชื่อวัน ปัญหานี้จบไป ปัญหาอื่นมาใหม่ มีวันไหนไม่มีปัญหา (ไม่มี) ตายไปแล้วมีปัญหาไหม (ไม่มี) ตายไปแล้วไม่มีปัญหา ลูกยังดื้ออยู่เหมือนเดิม ที่บ้านเงินยังไม่พอใช้เหมือนเดิม ทุกคนในบ้านเหมือนเดิมไหม (เหมือนเดิม) มีปัญหาเหมือนเดิมใช่ไหม แต่เราตายแล้ว เป็นอย่างไรมีปัญหาไหม ไม่มี เป็นคนนั้นโดยทั่วไปก็คือปลงไม่ได้ เมื่อปลงไม่ได้ปัญหาจึงมาเกาะอยู่ที่จิตใจใช่หรือไม่ (ใช่) ทำอย่างไรจึงจะปลดปัญหาทิ้ง
เวลามาสถานธรรมก็ต้องรู้จักทำความรู้จักกับคนอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่เดินสวนกันไปก็เดินสวนกันมา เขาก็น่าคุยแต่ไม่กล้า เรียกว่าไม่กล้าทำในสิ่งที่     ถูกต้อง เพราะฉะนั้นต้องกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เข้ามาสถานธรรมแล้วต้อง     ทำความรู้จักใกล้ชิดสนิทสนมกัน เมื่อสักครู่อาจารย์บอกว่าทำอย่างไรถึงจะมีปัญหาน้อยลง ก็คือไม่มีทางที่ชีวิตมนุษย์นั้นจะไม่มีปัญหา ทุกๆ วันก็มีปัญหา มีไม่ซ้ำกันปัญหานี้จบไป ปัญหาใหม่งอกมา มีอยู่ทางเดียวทำอะไร คำที่ศิษย์ชอบตอบอาจารย์ที่สุด (ทำใจ) เก่งมาก ก็คือทำใจ บางเรื่องนั้นไม่สามารถที่จะให้มันจบไปอย่างสมบูรณ์ได้ แต่ว่าทุกเรื่องก็ต้องมีวันจบ ทุกเรื่องก็มีทางออก ใช่หรือเปล่า (ใช่) มีอยู่ทางออกหนึ่งที่ศิษย์ไม่ค่อยชอบ คือการทำใจ ทีนี้อาจารย์จะสอนให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นทำใจ ปล่อยวาง ไม่ใช่แค่อ่านหนังสือ เห็นคำๆ นี้แล้วก็บอกว่าเราทำไม่ได้ หรือบอกว่าไว้วันหลังทำ  แต่หากว่าอยากที่จะทำใจต้องลองเลย ตอนที่มีกำลังที่จะต่อต้านความทุกข์มากที่สุดคือตอนที่ฟังธรรมะจบ เราฟังธรรมะจบ เรารู้สึกว่าทำใจตั้งแต่ตอนนั้น ตอนนี้แม้ว่านั่งฟังธรรมะที่อาจารย์พูดอยู่ แต่ในจิตใจของศิษย์นั้นกลับลอยไกลคิดถึงปัญหาต่างๆ แต่ว่าอย่าให้คิดนานเกินไปนะ คิดปุ๊บก็วางปั๊บ ไม่ต้องไปหาทางออกให้กับปัญหานั้นๆ เวลาต่างหากที่จะช่วยแก้ไขปัญหาได้เอง จิตใจเราก็เหมือนปม เวลานั้นทำให้ปมคลายออกไป บางทีคนที่จะแก้ปัญหานั้นไม่ใช่เรา แต่เป็นคนอื่นที่เป็นคนผูกไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นบางทีก็ควรจะปล่อยวางทำใจให้เวลานั้นคลาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องแก้ไข ต้องคลายปมของตัวเองอยู่เสมอก็คือการคลายปมนิสัยของตัวเอง เพราะว่าทุกคนมีนิสัย นิสัยก็กลายเป็นความเคยชิน พอเคยชินแล้วก็ไม่ต้องพูดถึง เหมือนคนติดเหล้าติดบุหรี่ เหมือนคนติดการพนัน แก้ง่ายไหม (ไม่ง่าย) จะว่าไม่ง่ายก็ไม่ง่าย จะว่าไม่ยากก็ไม่ยาก เหมือนกินเหล้าติดเหล้า ถ้าวางเหล้าลง เหล้ามาถึงปากไหม (ไม่ถึง) เวลาที่ยกดื่ม ใครยกให้      (ตัวเอง) ส่วนใหญ่เราเป็นผู้ยกเข้าปากเราเองใช่หรือไม่ (ใช่) จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย อยู่ที่ไหน (อยู่ที่ใจ) แล้วจิตใจอยากที่จะบำเพ็ญจิตใจไหม (อยาก)
ใครยังไม่ได้ผลไม้ยกมือขึ้น อยากได้ไหม (อยากได้) เดี๋ยวถ้าอาจารย์ตั้งคำถามให้ตอบต้องตอบนะ อย่างนี้อาจารย์ตั้งปัญหาง่ายๆ ทุกคนตอบได้กลับไปบ้านเริ่มไปทำสิ่งใดเป็นสิ่งแรก หลังจากที่กลับไปแล้ว เราจะกลับไปแก้ไขสิ่งใดก่อน (แก้ไขความเป็นอยู่) แก้ไขความเป็นอยู่หมายความว่าอย่างไร หาเงินมากๆ (ไม่ใช่ ทำตัวให้ดีขึ้น) แล้วถ้าเกิดว่าไม่ได้ล่ะ (ไม่ดีก็แก้ไขต่อไป) ดีมาก ศิษย์หลายคนตอนเข้ามาไม่ใช่ว่าเป็นคนดีทุกคน แต่หลังจากที่เข้ามาแล้วตั้งแต่วันนี้ไปขอให้ดีตลอดไป ส่วนมากตอนที่เข้ามาแล้วดีๆๆๆๆ แต่พออยู่ไปอยู่มาแล้วแย่ๆๆๆๆ อย่างนี้ดีไม่ดี (ไม่ดี) (เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง และโน้มน้าวจิตใจคนรอบข้าง) ทำได้ไหม (ทำได้) อาจารย์บอกให้ว่าอย่าเปลี่ยนใจไป เปลี่ยนใจมา ถ้านึกจะทำอะไร ตรงไปเลย (เลิกทำสิ่งไม่ดี) มีหลายเรื่องไหม เลิกเรื่องไหนก่อน (เลิกกินเหล้า) ทำได้ไหม (ได้) แน่ใจไหม (แน่ใจ) บางทีการเลิกในสิ่งที่เราพูดถึงก็ง่ายแค่นี้เอง แต่เรารู้จักที่จะไปทำ ไม่ยาก ลองดู (เลิกขี้งอน) ปัญหานี้ก็ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ ของคนที่อายุแค่สิบกว่ายี่สิบกว่า บางทีคนที่เขาทำอะไรให้เรา บางทีเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะแกล้งเรา แต่ว่าเรางอนใช่หรือไม่ (ใช่) บางทีโอกาสมาถึงหน้า แต่ว่าเรางอนซะก่อน โอกาสก็หลุดไป เพราะฉะนั้นคนที่อายุเท่านี้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่ว่าจะกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้เสมอ เพราะฉะนั้นต้องรู้จักว่า ถ้าเราจะบำเพ็ญเป็นพุทธะ พุทธะไม่ขี้งอน เข้าใจไหม บางเรื่องควรพูดก็พูดไป ทนไม่ไหวก็พูด แต่พูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาปกติ ทำได้ไหม (ได้) คนอื่นว่าอย่างไร (ปล่อยวางในเรื่องที่ทำให้ใจเราไขว้เขว, เป็นลูกที่ดี) ตอนนี้เป็นลูกที่ดีมากไหม (ยังดีไม่พอ) เราต้องรู้ว่าความพยายามที่เราพูดถึงนั้น จะถึงตรงไหน ความพยายามที่เราพูดถึงไม่ใช่ขีดไว้สูง พอถึงเวลาทำไม้ได้แล้วล้มเลิกหมดนะ ต้องพยายามขีดให้สูงกว่าตัวเองนิดหน่อย แล้วปีนขึ้นไปทีละขั้น แต่ตอนนี้อย่าเรียกร้องตัวเองจนสูงมาก ถ้าทำไม่ได้ แล้วเราจะรู้สึกท้อ (ขี้โมโห) ตัวแค่นี้ทำไมขี้โมโห เมื่อเรายังเด็ก เราต้องไม่ขี้โมโห เพราะวันข้างหน้ายังอีกไกล ยิ่งเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราโมโห ยิ่งควบคุมไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าวันนี้ขี้โมโหมาก วันหน้ายิ่งหนักกว่านี้ ถ้าวันนี้เลิกได้ วันนี้น้อยได้ วันหลังจะได้ดีขึ้นๆ ดีไหม (ดี) 
มีอยู่ทางหนึ่งในการที่จะรู้สึกศรัทธาธรรมะและเชื่อในธรรมะ คือการทำตัวของเราเป็นแบบอย่าง ธรรมไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีเสียง แต่ธรรมะสามารถมองเห็นได้ เมื่อเราปฏิบัติ นั่นเป็นวิธีการพูดธรรมะที่แยบยลที่สุด ดีกว่าคนที่พูดๆๆ แล้วทำไม่ได้ ธรรมะที่สูงค่าวิเศษล้ำก็กลับกลายเป็นแค่หญ้าบนดิน    เท่านั้นเอง อยู่ที่ว่าเรานั้นสามารถใช้ตัวเรามาแสดงธรรมได้มากเท่าไร ถ้าตัวเราใช้การปฏิบัติของเรา พูดธรรมะได้มาก ยิ่งลึกซึ้งเท่าไร คนก็ยิ่งรู้สึกศรัทธามากขึ้นเท่านั้น ศรัทธานี้บางทีก็ไม่ใช่ศรัทธาในธรรมะ แต่ศรัทธาในตัวบุคคล ใครที่เข้ามาในสถานธรรม เข้ามาด้วยความรู้สึกศรัทธาในตัวบุคคล ยึดติดในบุคคล ถ้าหากว่ารู้ตัวแล้ว ให้รีบแปรเปลี่ยนสิ่งนั้นให้เป็นความศรัทธาในธรรมะ ไม่เช่นนั้นแล้วสักวันหนึ่งคนที่เขาดีกับเราเพราะว่าเขาอยากส่งเสริมเรา พอถึงวันหนึ่งเขาไม่ใช่อย่างนั้น วันหนึ่งเขาต้องการที่จะส่งเสริมคนใหม่ เขาไม่สนใจเราเท่าที่ควร แล้วเรารู้สึกน้อยใจ อย่างนี้เราจะบำเพ็ญธรรมะอย่างสบายได้อย่างไร อย่างนี้เราจะมีจิตใจที่ไหนไปช่วยคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นถ้าใครเข้ามาด้วยเหตุนี้ก็รีบๆ เปลี่ยน ไม่ใช่แค่บุคคลในโลกมนุษย์นี้ แม้แต่ติดในพุทธะ   สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากว่าติดนอกเหนือจากการปฏิบัติตามประวัติ ตามทำนองคลองธรรม ใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติธรรมแล้ว นอกเหนือจากนี้จะต้องรู้จักที่จะเปลี่ยนความยึดติดนั้นๆ เหมือนกัน
วันนี้อาจารย์มาให้ศิษย์เห็นเป็นรูปลักษณ์ อาศัยคนมาพูดธรรมะให้ศิษย์ฟัง ถ้าวันหนึ่งอาจารย์ไม่มาแล้ว แต่ศิษย์ของอาจารย์ยังยึดติดในตัวของอาจารย์อยู่ ศิษย์ของอาจารย์จะบำเพ็ญธรรมะอย่างไร เพราะฉะนั้นวันนี้อาจารย์มา ก็เพราะให้ศิษย์นั้นรู้จักที่จะฟังในสิ่งที่อาจารย์พูดแล้วทำให้ได้ วันนี้ศิษย์ท้อใจ อาจารย์ยังอยู่ให้กำลังใจ วันหนึ่งอาจารย์ไม่มาแล้ว ไม่มีคนให้กำลังใจ ศิษย์จะบำเพ็ญธรรมะต่อไปอย่างไรล่ะ จงรักษาทุกเวลาทุกนาทีให้มีประโยชน์ บำเพ็ญธรรมะไปตามขั้นตอน อย่ารีบร้อน อย่ารีบเร่ง บำเพ็ญจิตใจของเราให้ดี ภายนอกให้เหมือนกับผู้บำเพ็ญธรรม แต่ถ้าภายในของเรานั้นไม่สามารถจะขัดเกลาให้ดีได้ แม้ภายนอกจะสมบูรณ์แบบ แต่ภายในนั้นเมื่อสิ้นกายแล้ว เหลือแต่ใจ ใจไม่สามารถกลับคืนนิพพานได้ ถึงวันนั้นบำเพ็ญมา     ชั่วชีวิตก็ไร้ค่า เข้าใจไหม (เข้าใจ) เพียงแต่อาจารย์นั้นมีความหวังในตัวศิษย์ทุกๆ คน ทุกๆ วัน ทุกๆ เวลา หวังแต่เพียงให้ศิษย์อาจารย์นั้นบำเพ็ญให้ดี
วันนี้ชีวิตเราเท่านี้ บางคนมีวันพรุ่งนี้ บางคนไม่มี แต่คนส่วนใหญ่ก็คือมีวันพรุ่งนี้ มีวันต่อไป มีปีต่อไป อาจารย์จึงบอกว่าศิษย์นั้นมีโอกาสแก้ตัวได้เสมอๆ พวกเราผู้บำเพ็ญธรรมะ ชะตาชีวิตนั้นไม่ได้ฝากไว้กับพญายม แต่ชะตาชีวิตนั้น ครึ่งหนึ่งฟ้าช่วยศิษย์แบก อีกครึ่งหนึ่งเราก็เป็นผู้กำหนดตัวของเราเอง แต่ถ้าศิษย์ไม่ได้สำนึกในพระคุณฟ้าที่ให้ธรรมะลงมาช่วยคน ถ้าศิษย์ไม่สำนึกเลย ศิษย์ก็ไม่แก้ไขตัวเองเลย ฟ้าก็คุ้มครองศิษย์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นบางคน     รับธรรมะแล้วแม้มีใจ แต่ข้างในเป็นใจปลอม ก็ไม่สามารถที่จะอยู่ยืนยงได้ หลายคนเอาเปลือกนอกคือการแสดงออกที่ดี แต่ข้างในไม่ดีอย่างที่ข้างนอกแสดงออก ถึงวันหนึ่งผู้ที่เป็นผู้ตัดสินก็คือเรา เพราะทุกคนเกิดมาต้องตาย   เวียนว่ายตายเกิดย่อมอยู่ที่ตัวเราเอง เพราะฉะนั้นขอให้บำเพ็ญให้ดีๆ อย่าได้เอาหน้ากากนั้นมาปิดหลอก เข้าใจไหม (เข้าใจ)
รู้ไหมว่าคนที่สำเร็จเป็นพุทธะทุกคนต้องมีความกตัญญู ถ้าขาดความกตัญญูแล้วย่อมจะสำเร็จเป็นพุทธะไม่ได้ เพราะฉะนั้นวันนี้ศิษย์ฟังหัวข้อกตัญญูไป เป็นเรื่องที่สำคัญมากในคนบำเพ็ญธรรม บุญคุณของพ่อแม่ต้อง   ทดแทนไปตลอดชีวิต แม้พ่อแม่จะไม่อยู่แล้วก็ยังต้องทดแทนต่อไป การกตัญญูมีหลายระดับ หวังว่าศิษย์จะสะกิดใจ อาจารย์ไม่ต้องพูดซ้ำ (นำธรระมะไปปฏิบัติ, แก้ไขจิตใจ) แก้ไขสิ่งที่ไม่ดีให้ดีขึ้น (คนไทยพอปีใหม่ก็จะแก้ไขจากสิ่ง ไม่ดีให้ดีขึ้น) ไม่ใช่แค่คนไทยหรอกนะ คนทั้งโลกก็เป็นเหมือนกัน นี้เป็นนิสัยของคนที่อยู่ในโลก ศิษย์รู้แต่ศิษย์ยังทำไม่ได้ วันนี้หมดวันหรือยัง (ยัง) ฉะนั้นวันนี้   มีโอกาสได้เริ่มต้นไหม (มี) แล้วไม่รักษาโอกาสนั้น แต่วันนี้ยังไม่จบวันเพราะพระอาทิตย์ยังไม่ตก คนเราถ้าหากว่าอยากจะแก้ไขตัวเองต้องรีบไปทำ ศิษย์ให้โอกาสตัวเองอย่างนี้ ผัดวันประกันพรุ่งเป็นดินพอกหางหมู ศิษย์เป็นคนใช่ไหม เพราะฉะนั้นอย่าเอาอะไรมาพอก อย่าเอาสิ่งที่ตัวเองคิดแก้ไขแล้วเอามาพอก คิดจะทำก็ทำ ทำในสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีอย่าไปทำ เข้าใจไหม (พยายามอยู่) เวลาเราเห็นคนที่ไม่มีกำลังใจ จงให้กำลังใจเขา นี่จึงจะเป็นนิสัยของคนที่บำเพ็ญธรรมะอย่างแท้จริง ไม่ใช่เขาทำไม่ได้แล้วไม่ให้โอกาสเขา อาจารย์หวังว่าศิษย์ทำได้ อาจารย์ให้โอกาสศิษย์ทุกๆ คนที่คิดจะทำเสมอ ขอให้ทุกๆ คนนั้นตั้งใจที่จะทำ มีคนประเภทหนึ่งที่ไม่ยกมือนี่แหละ ถ้าให้พูดไปเฉยๆ โดยไม่ได้ระบุชื่อ เรียกว่ายุคนโดยไม่ต้องเซ็นชื่อล่ะก็ร่วมด้วย แต่หากถ้าต้องเซ็นชื่อเมื่อไรไม่ยุ่งด้วย  อย่างนี้เป็นนิสัยของคนที่ชอบตีลับหลัง ดีหรือไม่ (ไม่ดี) นิสัยของคนประเภทนี้แย่ยิ่งกว่าคนที่กล้ายอมรับว่า จะให้เขาหรือไม่ให้เขาอีก เข้าใจไหม (เข้าใจ) เพราะฉะนั้นนิสัยตีคนลับหลังต้องเลิกนะ (เลิก)
“โลกแสนเข็ญบำเพ็ญเริ่มนั้นสำคัญ เวลาแห่งทุกข์ยาวนานค่อยบรรเทา”
โลกนี้แสนเข็ญไหม (แสนเข็ญ) ลำบากไหม (ลำบาก) ลำเค็ญไหม (ลำเค็ญ) ทุกคนรู้เหมือนกันหรือเปล่าว่าแสนเข็ญ เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรม ตอนที่เราจะเริ่มต้นเป็นช่วงที่สำคัญมาก อาจารย์ถึงบอกนักเรียนชายคนนี้ว่า เมื่อคิดจะเริ่มก็ให้เริ่มไป พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินก็คือยังไม่จบวัน อย่าไป     เรียกร้องจนสูงว่าเราจะเริ่มตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้น ถ้าหากว่าตอน        พระอาทิตย์เริ่มขึ้น เรายังเริ่มไม่ได้ เวลาเที่ยงก็ให้เที่ยงนี้เริ่ม เรียกว่ามีสติตอนไหนให้ตอนเริ่มนั้น อย่าผลัดไปผลัดมากลายเป็นดินพอกหางหมู เมื่อคิดจะเริ่มใหม่ให้เริ่มไป ถ้าหากยังไม่จบวันก็ยังไม่หมดความตั้งใจ แม้จบวันแล้วถ้ายัง   แก้ไขไม่ได้เริ่มใหม่ได้ไหม (ได้) แต่อย่าให้โอกาสตัวเองหรือให้อภัยในความผิดของตัวเองบ่อยมากจนกระทั่งเรานั้นเริ่มไม่ได้เลย หวังว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นถึงกายจะเมื่อยแต่ใจอย่าเมื่อย ฟังมาสองวันแล้ว อาจารย์พูดมาเป็นชั่วโมงๆ แต่ว่าในด้านของการปฏิบัตินี้สิ่งที่อาจารย์ให้ศิษย์ฟังนี้เป็นเพียงเล็กน้อยสำหรับการที่ศิษย์นั้นจะใช้ปฏิบัติบำเพ็ญจริงๆ เพราะฉะนั้นถึงจะเหนื่อย ถึงจะเมื่อย แต่ขอให้จิตใจนั้นตั้งมั่น ตั้งใจสำรวมให้จิตใจนั้นประสานกับอาจารย์ได้ จึงจะรับรู้ถึงอาจารย์ที่แท้จริง ไม่ใช่อาจารย์ที่ศิษย์มองเห็นเพียงรูปลักษณ์นี้
ชีวิตคนเกิดมานั้นไม่ยืนนาน เวลาที่เราทำเรื่องราวต่างๆ ในโลกนี้สิบส่วน ผิดหวังไปแปดหรือเก้าส่วน ใช่หรือไม่ (ใช่) แม้เราจะรู้อยู่แน่ๆ ว่าเรื่องนั้นๆ ต้องผิดหวัง ศิษย์จะหยุดทำได้ไหม ถ้าหากว่าศิษย์หยุดทำไป หยุดที่จะลงแรงไป ก็เท่ากับว่าศิษย์นั้นไม่สามารถที่จะทำสิ่งใดสำเร็จได้เลย เพราะฉะนั้นบางทีถึงรู้ว่าผิดหวังหรือว่าอาจจะไม่สำเร็จแต่ก็ยังต้องลงแรง ยังต้องทุ่มเทต่อไป อาจารย์หวังว่าศิษย์นั้นคงจะมีใจเช่นนี้ ในเรื่องของการบำเพ็ญธรรมก็เช่นเดียวกัน เปอร์เซ็นต์ที่ศิษย์ของอาจารย์คิดว่าตัวเองนั้นสมหวังในด้านการบรรลุธรรมนั้นก็มีน้อย แต่หวังว่าเรานั้นสามารถที่จะทุ่มเทต่อไป เพราะว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์นี้ก็อาจจะเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ในวันข้างหน้าได้ แต่หากว่าเรานั้นไม่ลงแรงเลยก็      หมายความว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็คือศูนย์เปอร์เซ็นต์ใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้เกิดมามีร่างกายครบพร้อมทุกคน นี่เป็นโอกาสอันดี หากว่าศิษย์ไม่มีร่างกายอันนี้ศิษย์จะทำอะไร ช่วยคนคือการสร้างบุญสร้างกุศล ถ้าหากศิษย์ไม่มีร่างกายอันนี้ช่วยคนอื่นได้ไหม ช่วยตัวเองได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นชีวิตจึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด การฆ่าตัวตายจึงเป็นบาปที่สุด เกิดมาเป็นคนนั้น    ถือว่าเป็นคนประเสริฐ มีอีกมากมายที่เกิดมาแล้วไม่ใช่คน เกิดมาแล้วมีลูกเป็นสัตว์ เป็นหมู หมา กา ไก่ เป็นนกเป็นหนอนที่ศิษย์จะเห็น เป็นมดที่ให้คนเขาบี้ให้ตาย เป็นยุงที่ให้คนเขาตบ ศิษย์คิดว่าสัตว์เหล่านี้มีวิญญาณไหม (มี) ทำไมวันนี้ถึงพูดเรื่องการกินเจ ก็เพราะว่าการที่เราไปกินเขาที่มีวิญญาณเหมือนกับเรานั้นมันบาปใช่หรือไม่ (ใช่) คนที่เป็นยุง เป็นมดก็คือคนที่วิญญาณนั้นแตก วิญญาณของคนนั้นเหมือนกับกำปั้นหนึ่ง อาจารย์เปรียบอย่าคิดเป็นรูป วิญญาณของยุงของมดก็คือวิญญาณที่แตกออกไป ต้องรอเวลาที่รวมๆ กันจึงจะสามารถเกิดมาเป็นคนใหม่ได้ ฉะนั้นยุงนี้ตัวเล็กวิญญาณเล็ก ศิษย์ลองคิดไปถึงตัวใหญ่ๆ เช่น หมู หมา กา ไก่ วัว ควายที่ต้องเกิดมาเป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าทำผิดบาปไว้มาก สะสมกรรมไว้มากต้องมาใช้กรรม แต่เขาไม่ใช่ใช้ด้วยการให้เรามากิน ฉะนั้นการที่เราไปกินเขาจึงบาปใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าหากว่าศิษย์ทำได้ก็ควรที่จะเลิก ไม่เช่นนั้นแล้วก็เหมือนกับถังใบหนึ่งที่รั่วใส่กุศลไปเท่าไรก็รั่วออกหมด ถึงสุดท้ายแล้วจะมีเหลือไว้สักกำไหม (ไม่เหลือ) เหมือนกับอาจารย์ที่พูดถึงคนขี้บ่นก็เหมือนกัน ทำในสิ่งที่เป็นบุญ ทำไปบ่นไป ถังนั้นก็รั่วเหมือนกัน สมมติว่ากำลังช่วยเขาทำงานธรรมะ ทำครัวอยู่ทำไปก็บ่นไปอย่างนี้จะเหลืออะไรไหม (ไม่เหลือ) ฉะนั้นปากของคนเรานี้เป็นเรื่องร้ายกาจมาก จงใช้แต่ในสิ่งที่ดีๆ ถ้าไม่ดีอย่าไปใช้ ทำได้ไหม (ทำได้)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้และส่งเสริมแม่ครัว)
ดูซิว่าคนที่เดินมาข้างหลังๆ ส่วนใหญ่จะเป็นคนอายุมากทั้งนั้นเลย  ใช่หรือไม่ (ใช่) เห็นแล้วน่าสงสารหรือไม่ สักวันหนึ่งเราก็ต้องอายุมากแบบนี้ สักวันหนึ่งเราก็ต้องเดินไม่ไหว อยู่บ้านก็ลำบาก บำเพ็ญธรรมง่ายไหม (ยาก) เพราะฉะนั้นคนชอบพูดว่าแก่แล้วค่อยบวช แก่แล้วค่อยบำเพ็ญ จริงๆ การบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องของคนทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ขอให้มีใจบำเพ็ญ ถ้าหากลำบาก ก็บำเพ็ญไปตามลำบาก แต่หากว่าสามารถที่จะเริ่มบำเพ็ญตั้งแต่     ร่างกายยังไหว สุขภาพยังไหว ย่อมเป็นเรื่องที่ดี อย่ารอให้แก่แล้วค่อยบำเพ็ญ เพราะถึงวันนั้นจะทำอะไรก็ลำบากไปหมด จะหาข้าวให้ตัวเองกินก็ยังยากเลย อย่าพูดถึงว่าจะช่วยผู้อื่นเลย การที่จะช่วยผู้อื่นนั้น ต้องรู้จักช่วยตัวเองก่อนถึงจะทำได้ อยากจะให้คนอื่นดี ต้องบำเพ็ญจิตของตัวเองให้ดีก่อน จึงบำเพ็ญได้
ถึงแม้เราจะเป็นคนเก่าแล้ว แต่ขอให้ทุกๆ วัน ใจของเรานั้น เป็นจิตใจที่ใหม่ๆ สะอาดๆ ยิ่งนับวันจิตใจยิ่งดี กิเลสยิ่งน้อย เวลาว่างไม่มี แต่ขอให้มีใจตอนนี้ออกมาบำเพ็ญยาก เศรษฐกิจไม่ดี แต่อย่างน้อยต้องมีจิตใจคงมั่น เสมอต้นเสมอปลาย คนใหม่ก็กลายเป็นคนเก่า แต่คนเก่ากลายเป็นคนใหม่นั้นไม่น่าดู ฉะนั้นขอให้ทุกวันทุกเวลาจงเสมอต้นเสมอปลาย ถ้าออกมาไม่ได้ ขอให้เราเก็บใจรักษาใจไว้ให้ดี ทำให้ดีที่สุด แม้คนอื่นไม่เข้าใจ อาจารย์ก็พร้อมที่จะเข้าใจศิษย์เสมอ ขอให้ศิษย์นั้นทำแต่สิ่งที่ดี ยามนั้นอาจารย์เข้าใจศิษย์ได้ ถ้าศิษย์ทำไม่ดี ต่อให้อาจารย์อยากเข้าข้างก็ทำไม่ได้ บำเพ็ญธรรมก็ยังต้องศึกษาธรรมะให้มากๆ เข้าใจให้มากๆ ต่างคนต่างอ่อนน้อมถ่อมตนให้แก่กัน งานธรรมะถึงแม้จะเคลื่อนตัวไปช้า ก็ยังจะมีการเคลื่อนตัว ถ้าหากว่าศิษย์อยากจะให้ทุกวัน     รุ่งเรื่อง ก็ทำจิตใจของเราให้รุ่งเรื่องด้วยการศรัทธา ด้วยการมุ่งหน้าและด้วยการบำเพ็ญดี เข้าใจไหม (เข้าใจ)
ทำไมอาจารย์บอกว่าให้ศิษย์ช่วยเหลือคนรุ่นหลัง เพราะว่ายังมีคน  รุ่นหลังเราอีกใช่หรือไม่ ด้านทางโลก เรานั้นรับบทเป็นพ่อ แม่ ลูก แต่ในขณะเดียวกันก็รับบทเป็นสามีภรรยา เป็นพี่เป็นน้อง ทุกคนมีบทบาทเหล่านี้ในตัวเอง เป็นพ่อค้าและลูกจ้าง เป็นเกษตรกรและผู้บริโภคในขณะเดียวกัน ชีวิตนั้นต้องอยู่ร่วมคุณธรรมถึงจะดี ถึงจะเรียกว่าประเสริฐ เพราะฉะนั้นอาจารย์ถึงเรียกว่าช่วยเหลือคนรุ่นหลัง ช่วยเหลือคนรุ่นหลังก็ด้วยคุณธรรมของเรา บางทีเราช่วยเหลือคนอื่น คนอื่นอาจจะไม่ต้องการ เราต้องสำรวจตนเองว่า เรานั้นมีคุณธรรมมากพอไหม
“ความหวังยังลุกอยู่” ทุกคนเกิดมามีความหวังทั้งนั้น บางคนก็มีความหวังที่จะบำเพ็ญธรรมให้บรรลุเป็นพุทธะ บางคนก็มีความหวังว่าทำงานหาเงินและร่ำรวยในวันข้างหน้า บางคนมีความหวังว่าจะต้องเป็นคนดีสักวันหนึ่ง อาจารย์ขอให้เมื่อความหวังของเรายังมีในขณะนั้น ไม่ว่าไฟกองนี้จะเป็นไฟกองเล็กหรือกองใหญ่ที่มันลุกอยู่ ขอให้ก้าวไปเรื่อยๆ ก้าวลงไปเพื่อย้ำจิตใจของเราเอง อย่ามัวแต่หวังอะไรเลย ขอให้หวังแล้วเท้าก็ก้าวไปเรื่อยๆ ย้ำในสิ่งที่ตัวเองนั้นตั้งใจ ย้ำลงไปในใจ
“ในไม่ช้าไกลกลับใกล้สักวัน” ในไม่ช้านั้นทุกสิ่งทุกอย่างจากที่เคยไกลก็ใกล้ เพราะว่าเรานั้นไม่ได้หยุดเดิน
“กลางทะเลไร้ฝั่ง ทุกข์นี้คนยึดมั่น แต่มีเข้าสักวันเจอฝั่งนั้นที่ใจของตน” ตอนที่เราอยู่กลางทะเลนั้น ในกลางทะเลไม่มีฝั่ง แต่มีเข้าสักวันพยายามต่อไป จะเจอฝั่งนั้นในใจของตน ถ้าคิดในทางโลกก็คิดได้ คิดในทางธรรมก็คิดออก ขอให้ศิษย์นั้นใช้จิตใจของเรานั้นคิด
“ที่เคยมียังไม่เคยคิดพอใจ” วันนี้เรามีทรัพย์สิน มีคนที่เรารัก มีคนที่รักเรา ตอนนี้เรามีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เราไม่พอใจสิ่งที่เรามี ที่สุดแล้ววันหนึ่งขาดไป เราค่อยมารู้ว่าสิ่งนั้นที่เราทำหายนั้น มันมีคุณค่า จากที่ไม่เคยแยแส วันหนึ่งขาดไปค่อยมารู้คุณค่าก็สูญเสียแล้ว สำนึกจริงๆ ก็ต้องไม่ทำพลาดซ้ำอีก
“ทุกข์มักจะมาพร้อมสุข” ความทุกข์ส่วนใหญ่ก็มาพร้อมกับ    ความสุข เราจะเลือกเอาสุขอย่างเดียวไม่เอาทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นใครบอกว่าชอบไปกราบพระขอพรให้ตนเองนั้นมีความสุข ก็ให้รู้ว่าความสุขจริงๆ นั้นมีอยู่แล้ว ถ้าเรามีความทุกข์เราก็มีความสุข
“ชนะดังฝันใฝ่” ชนะเพราะเราฝึกตนบำเพ็ญธรรม ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อไปช่วยเหลือคนรุ่นหลัง
เวลาเราทำอะไร เราก็ต้องไปพร้อมๆ กัน หากว่าทุกเรื่องเดินไปพร้อมๆ กันจะจบได้ไหม (ได้) แต่จะจบอย่างไรก็ขึ้นอยู่ที่ว่าเราต้องการให้มันสมบูรณ์แบบแค่ไหน แต่บางทีคนข้างหน้าก็ฝืนคนข้างหลังไม่ได้ เขาเรียกว่าเมื่อน้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือเข้าไปขวาง ถ้าหากว่าอยากจะให้ทุกอย่างดีก็ต้องช่วยกันสามัคคีกัน แต่ถ้าเกิดอยากให้เรื่องมันจบอย่างนั้นๆ เราก็ต้องทำตามใจตนเอง ไม่เป็นไร  บางทีเราบังคับสิ่งต่างๆ ไม่ได้ เรื่องราวมันจะเกิดขึ้นอย่างไร บางทีก็ต้องปล่อยให้เขาเป็นอย่างนั้นถึงจะได้รู้
อาจารย์พูดไปพูดมาไม่พ้นคำว่า “ทำใจ” เข้าใจไหม (เข้าใจ) จะได้  ไม่ต้องดิ้นรนทุรนทุรายกับชีวิตที่เป็นอยู่มากไป เพราะว่าทุกคนนั้นมีสมหวัง มีผิดหวัง ทุกคนมีได้รับแล้วก็มีการให้ มีสูญเสียแล้วก็มีได้มา เกิดขึ้นสลับกันไปสลับกันมา อยู่ที่ว่าเราอยู่ในช่วงไหนของชีวิตเท่านั้นเอง เข้าใจไหม
การที่จะฝืนให้คนทำในสิ่งที่ถูกไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้นบางทีก็ต้องยอมๆ ไปกับเขา ในประเภทแบบศิษย์นี่อันตรายที่สุด บางทีเราฝืนให้เขาทำถูกแต่เวลาที่เราผิดเราไม่รู้ ระวังไว้
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “พุทธธรรมสัมผัสได้ด้วยจิต”)
คำว่า “พุทธธรรม” หมายความว่าอย่างไร ก็คือธรรมแห่งพุทธะ เราทุกคนนั้นถึงแม้ว่าเป็นปุถุชน แต่ภายในกายปุถุชนนี้ก็คือพุทธะ พุทธธรรมก็คือธรรมแห่งเรา ทุกคนนั้นส่วนใหญ่มองสิ่งที่ไม่มีรูปลักษณ์ก็อยากที่จะมี อย่างเช่นอารมณ์โกรธ  เกลียด อิจฉา แม้กระทั่งเรื่องไม่มีรูปลักษณ์เราก็ยังอยากที่จะให้มันมีรูปใช่หรือไม่ เราก็เฝ้าวาดตามจินตนาการของเราออกมา เพราะฉะนั้นอาจารย์บอกว่าพุทธธรรมสัมผัสได้ด้วยการใช้จิตใจของเราเท่านั้นเอง พุทธธรรมเป็นสิ่งไม่มีรูปลักษณ์ ไม่สามารถสัมผัสได้ แต่เมื่ออยากสัมผัสได้จงใช้จิตใจของเราสัมผัส คนยิ่งบำเพ็ญธรรมนานจะยิ่งรู้ จะยิ่งเข้าใจ จะมีความรู้สึกเหมือนสัมผัสธรรมะได้ สัมผัสพุทธธรรมได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมคนที่บำเพ็ญไปนานแล้วจึงมีความมั่นคงยิ่งกว่าคนที่บำเพ็ญตอนเริ่มๆ หรือว่าคนที่ทุ่มเทแล้วทำไมถึงมีความมั่นคงยิ่งกว่าคนที่ไม่ทุ่มเท ก็เพราะว่าบำเพ็ญนานนั้นสามารถสัมผัสธรรมะ สามารถสัมผัสพุทธธรรมได้ อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์ทุกๆ คนนั้น แม้วันนี้ยังไม่สามารถเข้าถึงธรรมะที่แท้จริงได้ ยังมองธรรมะเป็นรูป หรือคิดถึงธรรมะในลักษณะของสิ่งของ วันนี้ไม่เป็นไร แต่ว่าเมื่อบำเพ็ญนานๆ ขอให้ใช้จิตใจของเรานั้นไปสัมผัสพุทธธรรมเหล่านี้ ดีหรือไม่ (ดี) 
ถ้าหากว่าศิษย์ใช้กุศล เพราะคิดว่ากุศลมีรูปลักษณ์ ใช้ธรรมะเพราะคิดว่าธรรมะมีรูปลักษณ์ ศิษย์ก็กำลังก้าวทางผิด สิ่งที่ศิษย์เห็นอยู่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงบ้านหลังหนึ่ง ข้างหน้าก็เป็นเพียงตัวแทนสัญลักษณ์ของพุทธะเท่านั้นเอง คนบำเพ็ญที่อยู่ในที่นี้จึงเป็นคนสำคัญ ธรรมะไม่ได้อยู่ในสถานธรรม ธรรมะอยู่ทุกที่ทุกหนทุกแห่ง อยู่บ้านกินข้าว กำลังนอน กำลังเที่ยว กำลังเล่น ทุกขณะจิตมีธรรมะหมด ฉะนั้นธรรมะนั้นตามศิษย์ไปทุกที่ เพราะว่าธรรมะนั้นอยู่ในจิตของศิษย์เอง เพียงแต่ทุกวันทุกเวลาไม่เคยสนใจ ไม่เคยจะเอาธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวัน ธรรมะนั้นจึงยังอยู่ห่างไกลตัวเรามาก อาจารย์อยากให้ดึงธรรมะนั้นมาใกล้กว่านี้อีกหน่อย ดีหรือไม่ (ดี) 
ดังที่ศิษย์ชอบพูดกัน ตั้งแต่อาจารย์มาตั้งแต่ต้น ศิษย์เป็นคนพูดเองว่าอะไรก็ใจ เพราะอะไร ทำไมถึงติดคำว่าใจเป็นคำติดปาก เพราะว่าจิตใจของเรานั้นควบคุมกาย ใจควบคุมกายอยู่ แต่อย่าให้กายมาควบคุมใจ กายควบคุมใจเป็นอย่างไร คนที่ติดเหล้า สูบบุหรี่เป็นคนอย่างไร กายมาควบคุมจิตใจของศิษย์ให้จิตใจนั้นรู้สึกติด แต่จริงๆ แล้ว ควรที่จะเอาจิตมาควบคุมกายของตัวเอง อย่าให้จิตใจที่หยาบกระด้างมาควบคุมจิตใจละเอียด จิตใจนั้นมีอยู่หลายชั้นหลายขั้นด้วยกัน เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับต้นไม้ ต้นไม้ตรงลำต้น พอตัดออกมาก็มีชั้น มีตั้งแต่หยาบ ละเอียด ปานกลาง อาจารย์ขอให้ศิษย์นั้นใช้จิตใจละเอียดของเราในการที่จะทำสิ่งต่างๆ เพื่อที่เราจะได้ไม่พลาดพลั้ง ถ้าหากว่าพลาดแล้วก็อย่าพลาดซ้ำ ทำให้ได้นะ
วันนี้อาจารย์มาตั้งนานแล้ว เดี๋ยวอีกสักครู่อาจารย์ก็จะกลับ มีหลายคนนั่งฟังมาตั้งแต่ต้น สามารถรวบรวมใจของตัวเองได้ในช่วงต้นเท่านั้นเอง พออาจารย์มาในประมาณช่วงกลางใจก็แตกซ่าน ฟุ้งกระจาย กลับไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทำให้การฟังธรรมะของศิษย์นั้นไม่ดีเท่าที่ควร อาจารย์ขอฝากฝังตัวศิษย์ไว้กับตัวศิษย์เอง ว่าหลังจากวันนี้เป็นต้นไป ขอให้ใส่ใจสิ่งที่ศิษย์นั้นไม่เคยใส่ใจ ขอให้เสียสละเวลามาศึกษาธรรมะ  ธรรมะนั้นแม้จะไม่มีรูปลักษณ์ แต่ไม่สามารถเข้าใจได้ในสองวัน ถ้าหากว่าศิษย์ยิ่งไม่เสียสละเวลา ศิษย์ก็ยิ่งไม่มีใจที่จะบำเพ็ญธรรมะ แล้ววันหนึ่งเมื่อชีวิตนี้ถึงคราวดับสิ้น ศิษย์ก็จะไม่ได้อะไรเลยจึงอยากฝากตัวศิษย์ไว้กับตัวเอง ทำในสิ่งที่ดีที่สุดเมื่ออยู่กับผู้อื่น และทำในสิ่งที่ถูกต้องตามมโนธรรมสำนึกของตัวเอง พุทธะอยู่ไกล แต่อย่าลืมว่าในตัวของศิษย์นั้นก็มีพุทธะเช่นเดียวกัน เหมือนจิตใจที่มีฝ่ายพระและฝ่ายมาร เวลาจะทำอะไรสักเรื่องหนึ่งก็มักจะมีจิตใจที่เป็นฝ่ายพระมาดึงไว้ไม่ให้ทำชั่ว เหมือนกับ ตัวเองคุยกับตัวเอง นั่นแหละคือจิตใจของพุทธะกำลังบอกและกำลังสอน ฟังเสียงขอให้ฟังแต่เสียงที่ดี สิ่งที่ไม่ดีอย่าไปมอง สิ่งที่ไม่ดีอย่าไปพูด สิ่งที่ไม่ดีอย่าไปทำ สิ่งที่ไม่ดีอย่าไปคิด ถ้าศิษย์ทำอย่างที่อาจารย์ว่าได้ สามารถช่วงชิงสิ่งที่ศิษย์นั้นมีอยู่ในตนได้ สามารถช่วงชิงก็ได้แค่วัตถุภายนอก อย่าเน้นภายนอกอย่างคนที่ลุ่มหลงโลกีย์ แต่ขอให้หามาเท่าที่จำเป็น สิ่งใดที่ต้องวางโครงการก็วางไป สิ่งใดที่จำเป็นต้องมีก็มีไป แต่อย่ามีจนเกินสิ่งที่ควรจะมี ไม่เช่นนั้นแล้ว เงินทองที่มากก็ผูกมัดเรา อุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย แม้มีมากก็มัดเรา อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นใช้ชีวิตอย่างธรรมชาติ
เป็นพุทธะก็กังวลใจว่าเวไนยนั้นจะกลับคืนนิพพานไม่ได้ เป็นปุถุชนก็มีเรื่องกังวลใจ กังวลใจว่าจะเอาชีวิตให้รอดไปอย่างไร พุทธะกับปุถุชนถึง    แตกต่างกันอย่างนี้ อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นเป็นทั้งพุทธะและปุถุชนในขณะเดียวกันและให้พุทธะนั้นมีอำนาจเหนือจิตใจปุถุชนให้มีส่วนในจิตใจของศิษย์มากขึ้น มากขึ้นกว่าจิตใจอันเป็นปุถุชน
อย่าท้อแท้ใจ ร่วมเป็นกำลังใจแก่กัน การท้อนั้นเป็นเรื่องปกติของคนที่พยายาม แต่อย่าให้ท้อมากเกินจนทำอะไรไม่ได้ บำเพ็ญดีๆ รู้ไหม แล้วสิ่งใดที่ถูกต้อง วันหลังเราจะรู้มากขึ้น บำเพ็ญธรรมกับอาจารย์ดีไหม วันนี้อาจจะยังไม่สัญญา แต่ลองดูก่อนได้ไหม บำเพ็ญธรรมนะ มีเวลาก็มา ไม่มีก็รักษาธรรมะเอาไว้ในจิตใจ เป็นคนมีบุญแต่ไม่รู้ว่าจะยอมให้กรรมบังหรือเปล่า ถ้าเราไม่ยอมให้กรรมบัง คราวนี้เจออาจารย์ต้องสู้นะ สิ่งที่เป็นความฝันของเรา เราก็ไปคว้า แต่อีกทางหนึ่ง ทางธรรมะเราก็ต้องเดิน เข้าใจไหม อย่าปล่อยให้โอกาสผ่านไป ศึกษาธรรม เข้าใจธรรม แล้วทำตนเป็นผู้บำเพ็ญธรรม มีเวลามาสถานธรรมบ่อยๆ ศึกษาธรรมะให้มากๆ ให้เข้าใจกว่านี้ วันหน้าอาจารย์ต้องอาศัยศิษย์นั้นเป็นแขน เป็นขา เป็นมือ เป็นเท้า ช่วยนำคนขึ้นฝั่ง ช่วยคนดีให้ได้รู้ธรรมะ มาบำเพ็ญธรรมะกับอาจารย์นะ วันนี้ยังไม่เข้าใจ วันหน้าค่อยๆ ศึกษา อาจารย์  รับรองว่าอาจารย์ไม่หลอกศิษย์ ขอให้สัญญาว่าจะตั้งใจมาบำเพ็ญธรรม ศึกษาให้มากๆ ให้เข้าใจ แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะบำเพ็ญธรรมะไหม
วันนี้ไม่ตอบอาจารย์เลย มีบุญเป็นอาจารย์เป็นศิษย์กัน ขอให้เรานั้นได้ร่วมทางเดียวกัน หลังจากวันนี้ไปมีเวลาว่างก็ให้มาสถานธรรม หนักหน่อยเหนื่อยหน่อย แต่อาจารย์รับรองว่าไม่เอาเปรียบ ช่วยอาจารย์นำคนที่มีบุญ    ทั้งหลายมา งานธรรมะมาเป็นที่หนึ่ง ถ้าหากว่าศิษย์ดูตัวเองแล้วกำลังเปลี่ยนไป เราต้องย้อนมองส่องตน อาจจะไม่ใช่ผู้น้อยของเราไม่ดี ถึงเขาไม่ดี เขาก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนไปคือใจของเรา ให้เอาความจริงใจให้เบื้องบน สุขภาพต้องรักษาเอาไว้ ธรรมะก็ต้องรักษาไว้ ความจำเป็นทางโลกนั้นอาจจะไม่จำเป็น ถ้าเทียบถึงงานที่ศิษย์ทำอยู่ ทำให้ดีๆ เป็นกำลังใจให้พวกเขา คนเรามักไม่ชอบให้คนโทษ บำเพ็ญธรรม บำเพ็ญจิตใจ หากจิตใจของเราไม่ดีแล้ว บำเพ็ญไปอีกนานเท่าไรก็ไม่ก้าวหน้า ภายนอกนั้นดูดีอยู่แล้ว แต่ภายในใจนั้นยังต้องเพิ่มแรงเข้าไปอีก อาจารย์หวังว่าศิษย์ทุกๆ คนนั้นจะกลับมาศึกษาธรรมะเหมือนลมหายใจที่ลึก หายใจยิ่งลึกเท่าไรสุขภาพก็ยิ่งดีเท่านั้น หากเราบำเพ็ญธรรมเข้าใจยิ่งลึกเท่าไร เราก็มีโอกาสที่จะกลับคืนมากขึ้นเท่านั้น
อาจารย์มีคำพูดอีกมากมายที่คงไม่ได้พูดแล้ว แต่อาจารย์นั้นจะยังอยู่ในใจของศิษย์ทุกคนเสมอ ตราบเมื่อศิษย์นั้นคิดถึงอาจารย์ และอาจารย์ยังคงช่วยคุ้มครองศิษย์ได้ ต่อเมื่อศิษย์ของอาจารย์นั้นได้บำเพ็ญจิตใจให้ดี สร้างกุศลชดใช้เจ้ากรรมนายเวร ให้อาจารย์ได้มีโอกาสต่อรองกับเขา ทุกคนเกิดมา ก็ต้องตายไป วันนี้เรายังอยู่ขอให้ทำในสิ่งที่ดีที่สุด รักษาสุขภาพของเราให้ดี รักษา  จิตใจของเราให้ดี การบำเพ็ญธรรมะก็คือการบำเพ็ญจิตใจ สิ่งนอกกายแม้มีความสำคัญ แต่จิตใจนั้นมีความสำคัญยิ่งกว่า บางเรื่องต้องรู้จักชั่งหนักเบา คนมักไม่ชอบให้โทษกัน แม้จะผิดก็ไม่อยากให้ใครว่า แม้ว่าเราจะไม่ว่าเขาก็อย่าคิดว่าเขาจะไม่รู้ตัว บางทีช่วยกันไป เห็นใจกันไป คนไม่ดีก็เปลี่ยนแปลงตนเองได้ โดยที่เราไม่ต้องจี้ในสิ่งที่เขาผิดอยู่เลย
รักษาตัวเองให้ดีๆ ตั้งใจบำเพ็ญให้มากๆ วันหนึ่งผ่านไป พรุ่งนี้ มะรืนนี้ผ่านไป ขอให้เรานั้นผ่านไปอย่างคนที่ก้าวขึ้นบันได ผ่านไปอย่างคนที่ก้าวขึ้นไปสูงกว่า ไม่ใช่ตกต่ำลงทุกวันนะศิษย์นะ ผู้ร่วมฟังข้างล่างก็ขอให้รักษาจิตใจให้คงที่ คงเส้นคงวา ลาก่อนนะ ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ 

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2542

2542-05-29 พุทธสถานไท่อิน ดาวคะนอง กทม.


PDF 2542-05-29-ไท่อิน #10.pdf


#จุดมุ่งหมายอนุตตรธรรม

วันเสาร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒   พุทธสถานไท่อิน  ดาวคะนอง กทม.
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

คลื่นลูกแล้วลูกเล่าซัดเข้าฝั่งหาย คนมิใช้ธรรมะเข้ากำราบจิต

กลับลุ่มหลงในโลกีย์เป็นเนืองนิจ วันนี้คิดย้อนมองเห็นสัจธรรม
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก 
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง   ฮวา  ฮวา 

ในวันนี้มีบุญมาร่วมสถาน จิตเบิกบานดั่งพุทธะความสุกใส

ตัดกิเลสจิตกังขาให้ห่างไกล ความเข้าใจเกิดด้วยน้องเพียรศึกษา
ด้วยเวลาชีวิตคนมีสั้นนัก ขอตระหนักให้ถ่องแท้ทางเบื้องหน้า
ชีวิตคนมีค่ากว่ากำหนดราคา พ้นทรมาด้วยให้สุขแก่ผู้อื่น
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขอสุขุมใจนี้อย่าได้ขมขื่น
เรื่องทางโลกใช้ธรรมกล่อมเกลี้ยงมิกล้ำกลืน จงเร่งยืนอยู่บนเท้าของตนเอง
น้องชายหญิงต่างเป็นผู้มีรากบุญ ขอเร่งหมุนใจจิตนี้ให้รีบเร่ง
บำเพ็ญธรรมเรื่องสมควรอย่ากลัวเกรง จิตนักเลงอย่าเกิดมีให้น้อมใจ
แสงสว่างจิตบรรเจิดกว่าแสงตะวัน ชีวิตสั้นแต่เปี่ยมไปด้วยความหมาย
อย่าพาตนสู่ลู่ทางอันตราย ให้ตั้งใจบำเพ็ญเถิดทุกคืนวัน
ขอให้รู้การศึกษาด้วยตั้งใจ ลำบากไปจิตใจนี้อย่าหวาดหวั่น
ธรรมะแท้ทดสอบจริงเพื่อเลือกสรร กลับคืนบ้านจิตใจนั้นต้องบริสุทธิ์
เพื่อให้รู้ทางแท้ต้องพิจารณา ต้องรักษาให้ใจนี้งามวิสุทธิ์
ปัญญานำออกมาใช้สู่วิมุตติ รับชี้จุดหยุดเวียนว่ายเร่งลงมือ
ในสามวันขอให้มาให้ครบถ้วน อย่าเรรวนพุทธระเบียบให้ยึดถือ
ให้จิตใจงดงามอยู่ในมือ อย่ายึดยื้อใช้วาจาอันเสียดแทง
ละกิเลสบำเพ็ญบุญให้ทั่วหน้า อันธรรมาหากไม่รู้จริงอย่าหน่ายแหนง
สังคมโลกปัจจุบันเฝ้าฆ่าแกง รบรุนแรงด้วยเริ่มขึ้นจากตนเอง
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ขอจงใช้วิจารณญาณอย่าอวดเก่ง
เวลาแห่งฟ้าดินคับขันเร่ง ให้กลัวเกรงหากไม่รู้กำหนดชีพตน
วาระสามถือเป็นโชคแห่งน้อง ให้ปรองดองกันไปทุกแห่งหน
อย่าได้กลับคืนบ้านเฉพาะตน ช่วยทุกคนกลับคืนพร้อมแดนสุทธา
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๒

พระโอวาทพระโพธิสัตว์อนุศาสน์

จิตเดิมแท้งามสดใสไร้ราคี ดั่งวารีใสสะอาดเห็นก้นบึ้ง

อ่อนน้อมจนคนใกล้ไกลใฝ่คะนึง รู้ตื่นซึ่งชีวิตไม่หลงเวียน
เราคือ
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน  แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

บำเพ็ญธรรมอยู่กลางโลกสิ่งสมมติ ในใจจุดไฟธรรมขึ้นสรรเสริญ

เคารพมุ่งหมายของอนุตตรธรรมพร่ำเจริญ ไม่ดำเนินบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างงมงาย
โองการฟ้าอาญาสิทธิ์วิญญู ถือ คนสัตย์ซื่อธรรมชาติรักการให้
เน้นเชิดชูเที่ยงหน้าที่ต่อส่วนใหญ่ สิ่งชูใจคือสามัคคีกลางอุรา
ฟื้นวัฒนธรรมกตัญญูรู้คุณคน แม้ยากจนเทิดทูนเกียรติรักษา
กตเวทีบิดามารดาเคารพอาจารย์ให้วิชา ทุกเวลาถือความดีจะรุ่งเรือง
รักษาสัตย์ต่อตนบ้านเดิมกลับ มีสัจจะเพื่อนกับเพื่อนมิกระเดื่อง
ผู้มีอัธยาศัยไมตรีต่อและเนื่อง ย่อมปฏิบัติในเรื่องใดได้สมบูรณ์
 ให้รู้บุญบำเพ็ญบาปอดกลั้น คุณสัมพันธ์ห้า และคุณธรรมนำหนุน
ตอบแทนคุณทิศแปด พระการุณย์ สติของวิเศษคุณจรรโลงจิตเศวต 
พระธรรมคำสอนแห่งทุกศาสนา จากพระศาสดาทั้งห้าล้วนวิเศษ
หลักปกครองการถือยึดไกลกิเลส ดั่งเมล็ดขึ้นและโตตามปัจจัย
แบบงามดีอันโบราณชำระจิต ไม่รู้คิดจนประเพณีเสื่อมสลาย
ผ่องแผ้วอาศัยการฝึกโดยเข้าใจ แผ้วผ่องให้ใจจิตเสมอกัน
ฮา  ฮา  หยุด



[1] วิญญู :                 ผู้รู้แจ้งนักปราชญ์
[1] คุณสัมพันธ์ห้า    : 1. ผู้ใหญ่กับผู้น้อย  2. บิดากับบุตร  3.สามีกับภรรยา  4. พี่กับน้อง
5.เพื่อนกับเพื่อน   
[1] ทิศแปด                : 1.ทิศเหนือ  2.ทิศใต้  3.ทิศตะวันออก  4.ทิศตะวันตก  5.ทิศตะวัน
ออกเฉียงเหนือ  6.ทิศตะวันออกเฉียงใต้  7.ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 
8.ทิศตะวันตกเฉียงใต้
[1] การุณย์                : ความกรุณา

[1] เศวต                    : สีขาว



วันเสาร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๒

พระโอวาทท่านหนันผิงเซียนถง

คนตามฟ้าเพราะฟ้าโล่งโปร่งใส ฟ้าตามคนเพราะใจคนใสกว่าฟ้า

เกิดเป็นคนต้องแจ้งชัดด้วยปัญญา ทางเบื้องหน้าอยู่ที่เรากำหนดเอง
เราคือ
หนันผิงเซียนถง ติดตาม
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ ลงสู่พุทธสถานไท่อิน  แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดาแล้ว ถามเมธีทุกท่านมีความสุขหรือเปล่า

สิ่งที่พูดต้องทำได้จึงสมบูรณ์ ความเกื้อกูลต้องจริงใจจึงเป็นผล

พบลำบากไม่ยากแค่อดทน พบอับจนอย่าได้ท้อผ่านสักวัน
เดินดีดีอย่ามัวเดินอยู่กับที่ ท่านเมธีบำเพ็ญธรรมเป็นตอนขั้น
เป็นพี่น้องปรองดองร่วมแบ่งปัน หลังสามวันมาแปรตนเป็นคนใหม่
เป็นผู้น้อยตามอาวุโสด้วยอ่อนน้อม คนรู้ยอมมากมากจิตก็จะใส
ภัยภายนอกมิอาจเท่าภัยในใจ ทำตนให้ทุกคนรักท่านหมดเลย
ทุกทุกท่านขอจงมาบำเพ็ญกัน บำเพ็ญนั้นก็ง่ายง่ายอย่ามัวเฉย
จิตใจเฝ้าขัดเกลาทิ้งความคุ้นเคย อย่าละเลยให้เวลากับตนเอง
ฝึกเมตตาชีวิตนี้จะมีสุข ล้มแล้วลุกเวลายืนห้ามเขย่ง
ในบัดนี้ยุคปลายโปรดอย่างรีบเร่ง จงครัดเคร่งกับตนเถิดเกิดผลดี
ฮิ  ฮิ  หยุด
หมายเหตุ   ท่านหนันผิงเซียนถงเมตตาให้นักเรียนร่วมแต่งกลอนวรรคสุดท้าย  ของบทสุดท้าย
ร่วมกันเปล่งวาจาสัตย์สู่นิพพาน
ควรรีบเร่งลุกขึ้นยืนจะสุขเอย
มุ่งบำเพ็ญปฏิบัติธรรมสู่ทางดี


คนบำเพ็ญยามนี้ หลังหลังมีแต่ความหมองใจ

ไปปลดกรรมไฉน หรือไปเกี่ยวกรรมถมตน
ทุกข์ทำให้เกียจคร้าน ผองท่านก็เลยวกวน
หว่านพืชแต่หวังผล มิแคล้ววนกลับไปทุกข์ใจ
ทำนองเพลง  :  แมงมุมลาย


พระโอวาทพระโพธิสัตว์อนุศาสน์และท่านหนันผิงเซียนถง

ท่านหนันผิงเซียนถง : เราจะบีบคนให้หายเมื่อย ต้องบีบให้จริงๆ  เราต้องบีบเขาให้ถึง  ถ้าไม่ถึงเราต้องขยับมาให้ถึง เราจะให้เขาหายเมื่อยต้องออกแรงพอดีๆ  ออกแรงมากเกินไปเขาก็จะเจ็บใช่หรือเปล่า ออกแรงน้อยเกินไปเขาก็ไม่หายเมื่อย  เวลานวดต้องยืดตัวไปข้างหน้าจึงจะช่วยผู้อื่นได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราก็ต้องออกแรงพอดีๆ  แสดงให้เห็นถึงอะไร (ความพยายามและความตั้งใจ) ต้องออกมาจากข้างในใช่หรือไม่ ส่วนตัวคือการปฏิบัติ  ถ้าวันนี้ท่านมาศึกษาครบสามวันแล้วท่านเอาไปอยู่ในใจเฉยๆ ไม่ยอมออกแรงปฏิบัติ ไม่ยอมออกแรงทุ่มเท ก็ไม่เป็นแรงออกมาบีบให้คนอื่นใช่หรือไม่ ตัวท่านไม่ยอมทุ่มเทมาข้างหน้าก็ไม่สามารถมา

สถานธรรมได้
มนุษย์นั้นไม่มีใครว่างสักคนเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนยุ่งหมดเลย ยุ่งเพราะใคร (ตัวเอง)  ยุ่งเพราะตัวเองดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  อย่างนั้นตัวท่านก็ไม่ดีน่ะสิ   เวลาที่คนเขาถามว่าท่านดีไหม ท่านก็บอกว่าท่านดี แต่ถามว่ายุ่งเพื่อใคร ก็ยุ่งเพื่อตัวเอง แล้วจะดีจริงๆ ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง (ต้องตั้งใจ) ต้องตั้งใจใช่หรือเปล่า (ใช่) พอเขาบอกว่าใช่ก็ใช่หมดเลย  นี่เป็นนิสัยอีกอย่างหนึ่งของเรา  คนไหนว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน  ทุกวันท่านทำเพื่อตัวเองแล้วท่านก็บอกว่ายังไม่ค่อยดีเท่าไร  เพราะฉะนั้นจะต้องทำอย่างไรดี มีคนตอบถูกแล้วแต่ชอบตอบเบาๆ (ทำเพื่อคนอื่น)  คนตอบไม่ถูกแต่กล้าตอบ  แต่คนตอบถูกกลับตอบเบาๆ คนดีในโลกก็เลยเหมือนมีน้อย คนที่ไม่ดีก็เลยเหมือนมีเยอะ  เพราะฉะนั้นท่านต้องเป็นคนกล้าที่จะแสดงออกในสิ่งที่ท่านคิดว่าถูกต้องดีหรือไม่ (ดี)  แต่ถ้าท่านแสดงออกไปแล้วคนเขาบอกว่าไม่ถูกล่ะ  ท่านจะทำอย่างไร (ต้องแก้ไข)   แก้ไขเลยหรือ ต้องคิดก่อนหรือเปล่า (คิดก่อน)  เวลาเขาพูดอะไรมาก็ต้องคิดก่อน แล้วค่อยทำตามใช่หรือเปล่า (ใช่)  นิสัยของมนุษย์และคนส่วนใหญ่ ชอบพูดแต่ไม่ชอบฟัง  ถ้าไม่ชอบฟังแล้วจะไปคิดได้อย่างไร  ไม่ว่าคนนั้นจะขี้บ่นหน่อย ฟังหรือไม่ฟัง (ฟัง)  แม้จะพูดสั้นไปนิดฟังหรือไม่ฟัง (ฟัง) คนนั้นพูดไม่ค่อยมี
เหตุผลเลยฟังหรือไม่ฟัง (ฟัง)  คนนั้นชอบพูดโกหกอยู่เรื่อยฟังหรือไม่ฟัง (ไม่ฟัง) เริ่มไม่ฟังแล้ว คนนั้นพูดจากลับกลอก พูดกับคนนี้อย่าง พูดกับคนนั้นอย่าง ฟังหรือไม่ฟัง (ไม่ฟัง) ท่านไม่ฟังทำได้หรือ (ไม่ได้)  เอาสำลีมาอุดหูให้เขาเห็นได้หรือเปล่า (ไม่ได้) ถ้าท่านเอาสำลีอุดหูให้เขาเห็นเขาก็จะทำอะไรท่าน ถ้าเป็นผู้ชายก็อาจจะชก  ถ้าเป็นผู้หญิงจะทำอะไร (ตบ)  แล้วเป็นวิธีที่ดีหรือไม่ (ไม่ดี)
คนในโลกไม่ชอบให้ใครเด่นกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครเด่นทำอย่างไร เคยกำจัดคนเด่นไหม ใครเด่นกว่าเรา เราก็ไม่ชอบ เพราะฉะนั้นเป็นคนบำเพ็ญธรรมจึงต้องทำตัวให้โง่ๆ หน่อย คนโง่ๆ คนที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง เป็นเพชรในตม คนอย่างนี้อยู่ที่ไหนก็ปลอดภัย คนฉลาดเล่ห์เพทุบายชอบบอกว่ารู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง ท่านเป็นปีกหรือเป็นหาง เราเป็นพุทธะอย่าเป็นปีกเป็นหางเลยดีไหม (ดี)  สงสัยหรือ สงสัยไม่ดีนะ เดี๋ยวหัวสมองรับภาระหนักเพราะว่าท่านนั่งฟังธรรมะก็ยังต้องคิดด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังธรรมะก็ต้องคิดแล้วยังเอาหัวไปคิดเรื่องสงสัยจู้จี้จุกจิกไปหมดเลย แล้วจะเข้าใจธรรมะได้อย่างไร
“คนตามฟ้าเพราะฟ้าโล่งโปร่งใส”  รู้จักคนตามฟ้าไหม (ไม่รู้)  เคยเงยหน้ามองฟ้าไหม (เคย)  คนตามฟ้าเป็นอย่างไร ท่านอยู่บนโลกนี้บนศีรษะของท่านเป็นท้องฟ้า ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล คนเดินตามฟ้าอยู่เป็นประจำใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอย่างไรให้ฟ้ามาเดินตามคน (ทำตัวให้โปร่งให้ใสเหมือนฟ้าแล้วฟ้าจะเดินตามเรา, ทำให้ตัวเองสวยงามกว่าฟ้า)  คนนี้ใจใหญ่ไปหรือเปล่า แต่เรา
ปรบมือให้ เพราะว่าเราต้องกล้าคิด กล้าตอบแล้วก็กล้าทำ ท่านไม่กล้าคิดว่าท่านจะใสกว่าฟ้าใช่หรือเปล่า แต่ว่าฟ้าที่ใสๆ ก็มีวันที่มีเมฆฝนครึ้มดำ  ถามว่าวันนั้นท่านสามารถใสกว่าฟ้าได้ไหม (ได้)  ทีนี้แหงนหน้ามองฟ้าใหม่อีกรอบหนึ่ง ตอนนี้ฟ้าข้างนอกครึ้มเหมือนฝนจะตก เพราะฉะนั้นตอนนี้ใจท่านต้องใสกว่าฟ้าใช่หรือไม่ (ใช่)  ทีนี้ฟ้าข้างหน้าเป็นท้องฟ้าเบื้องหน้า ข้างหลังเราเป็นท้องฟ้าเบื้องหลัง เพราะฉะนั้นใครตามใคร คนตามฟ้าหรือฟ้าตามคน (ต่างคนต่างตาม)  ใจเราตามฟ้าที่ใสๆ ฟ้าก็ตามเราเพราะใจเราใสใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าใจเราไม่ใสฟ้าตามเราไหม (ไม่ตาม)  อาจจะมีฟ้าที่มีเมฆรอที่จะผ่าตามเรามาก็ได้
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ : อยู่ในห้องมีความสุขกันหรือเปล่า (มี)  อยู่กับเด็กๆ ก็มีความสุขได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอยู่กับผู้ใหญ่ล่ะ มีแต่ปัญหาหรือ ถ้าให้ท่านเลือก ก็อยากเลือกอยู่กับเด็กๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ต้องพบเจอกับปัญหา ไม่ต้องฟังมาก ไม่ต้องแก้ปัญหา ไม่ต้องขบคิดปัญหา เป็นเด็กมีความสุขยิ่งกว่า ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราจะทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อชีวิตเราต้องก้าวเดิน เติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ จะเป็นเด็กอยู่ตลอดก็เป็นไปไม่ได้ ชีวิตทำให้เราเรียนรู้ว่าเป็นเด็กแล้วต้องไปสู่ผู้ใหญ่ เราจะย่ำอยู่กับที่ไม่ได้ เราต้องก้าวหน้า เราต้องพัฒนาไปตลอด เราจะหวังสิ่งหนึ่งโดยทิ้งอีกสิ่งหนึ่งเป็นไปไม่ได้ ใช่หรือไม่  เราจะหวังการเป็นเด็กโดยไม่คิดจะเป็นผู้ใหญ่ก็เป็นไปไม่ได้
ท่านหนันผิงเซียนถง : เวลาบำเพ็ญธรรมะคนเขาชอบบอกว่าเดิน คนเดินอยู่กับที่กับคนเดินไปข้างหน้าเวลาฝนมารับเท่ากันไหม (ไม่เท่า)  ลมมารับเท่ากันหรือเปล่า (ไม่เท่า)  แรงเบาต่างกันนิดหน่อย แต่ท่านรู้ไหมว่าท่านก็ชอบเดินอยู่กับที่แบบนี้ เหนื่อยมากเลยแต่ไม่รู้ว่าตัวเองเดินอยู่กับที่ เพราะว่ามนุษย์ตั้งแต่เกิดมาท่านก็สั่งสมแต่เงิน พอมีเงินแล้วก็มีความโลภ มีครอบครัวแล้วก็มีความรักความหลง เวลาที่ท่านได้สิ่งใดมาความสมหวังก็ดีความผิดหวังก็ดี ทุกอย่างกลายเป็นอัตตาตัวตนของท่าน ทำให้ท่านวางไม่ลง เวลาเดินถ้าปล่อยอัตตาปล่อยกิเลสได้ครบทุกก้าวท่านก็จะเดินเร็วขึ้น ปล่อยไม่ได้ก็เดินย่ำอยู่กับที่ หนึ่งก้าวปล่อยหนึ่งก้าวปล่อย ท่านก็จะเดินเร็วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากว่าท่านไม่ปล่อย คนอื่นว่าท่านก็แล้ว ติท่านก็แล้ว ท่านก็ไม่ปล่อย ผลเสียจะอยู่ที่ใคร (ตัวเราเอง)  ไม่ได้อยู่ที่ตัวคนอื่น เพียงแต่ตัวคนพูดมีกรรมปากมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง พูดบ่อยๆ ก็มีกรรมปากมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง จนสุดท้ายบำเพ็ญไปไม่ถึงไหนเลยเพราะชอบพูดเยอะ เพราะฉะนั้นพูดเยอะดีไหม (ไม่ดี)  แต่ว่าสิ่งใดที่ควรพูดก็พูด สิ่งใดไม่ควรพูดก็ต้องไม่พูด มนุษย์เขาบอกว่าตรงปากมีซิปอันหนึ่งต้องทำอย่างไร (ต้องรูดซิป) แล้วพูดแต่ในสิ่งที่ดี
ทุกคนอยากมีความสุขในชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ตลอดชีวิตที่เราเป็นสุขนั้นเราได้มาจากเหตุใดกันบ้าง (ได้ธรรมะ)  ความสุขได้จากการเรียนรู้ธรรมะหรือมีธรรมะในตัว เป็นแบบไหนกัน (แผ่เมตตาให้ผู้อื่น)  เป็นความสุขที่นำธรรมะที่อยู่ในตัวไปเผื่อแผ่ให้กับผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  การช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์ทำให้เรามีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนในที่นี้จะมีสักกี่คนที่ได้ทำแล้วตนเองมี
ความสุข ความสุขที่ท่านหากลับเป็นเรื่องสองเรื่องนี้ที่เขากล่าวมาได้น้อยใช่หรือไม่ เป็นความสุขในด้านใดกัน ส่วนมากจะเป็นด้านทางโลก ด้านช่วยคนใช่หรือไม่ ส่วนมากจะเป็นเรื่องหาทรัพย์สิน หาคนรัก หาตามสิ่งที่ตัวเองต้องการด้วยใจ
ใฝ่หา เกิดมาเพื่อหาแต่เราถามจริงๆ ว่าที่เราหานั้นได้ความสุขหรือความทุกข์ เราหาเพื่อได้ความสมอยากหรือไปตามความอยากในชีวิตกัน เรามักจะหาสิ่งที่เราต้องการตามที่ใจเราคิดใช่หรือไม่ พอได้สมปรารถนาเราก็ว่าเรามีสุขเรายินดีปรีดา แต่พอไม่ได้ตามสมปรารถนาเราก็เกิดความเป็นทุกข์กังวลใจกลัดกลุ้มใจ แปลว่าความสุขความทุกข์ของเรานั้นจะเกิดขึ้นได้ก็อยู่ที่ใจเราอยากหรือไม่อยากเท่านั้นเองใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าใจเราหมดอยากได้ ทุกข์สุขก็ไม่ต้องกังวลเลยในชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ในชีวิตของทุกคนต่างมีความอยาก ต่างต้องการหา ทุกข์สุขเลยเป็นอันต้องคาดหวัง แล้วเราจะทำอย่างไรดี ส่วนมากเราจะรู้จักความสุขเพราะว่าเราอยากหนีความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) เราอยากหาความสงบเพราะจิตใจเราว้าวุ่น เราอยากหาความดีงามความร่มเย็นเพราะจิตใจเราเจอแต่เรื่องเลวร้าย มีแต่เรื่องกลัดกลุ้มกังวลใจ เมื่อเราอยู่ในโลก เราอดไม่ได้ที่จะต้องกังวลในเรื่องสองด้าน ด้านหนึ่งคือด้านดี อีกด้านหนึ่งคือด้านร้าย แต่ถ้าเกิดว่าเรารู้ต้นสายปลายเหตุที่จะทำให้เราต้องทุกข์ ใฝ่หาตามทุกข์สุข เราก็หยุดเสียตั้งแต่ต้น หยุดความอยากในจิตใจเรา ความทุกข์สุขที่เราต้องการไปวิ่งหานั้นก็จะไม่มี ในใจเรามีแต่ความว่างเปล่า ความเงียบ และการไม่แสวงหาก็อาจจะมีความสุขได้ แต่จะมีกันสักกี่คนที่เข้าใจ พอไม่มีก็อยากมี แต่พอมีแล้วจะให้กลายเป็นไม่มี ยากไหม (ยาก) สู้ไม่มีเสียตั้งแต่ต้นย่อมดีกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราจะดับที่ไหน ดับที่ตัวตนหรือดับที่ใจ (ใจ) ใจเป็นนายของกายใช่หรือไม่ (ใช่) แต่อย่าให้ใจนั้นเป็นทาสของวัตถุ หลายๆ คนมีใจเป็นนายของกาย แต่ใจนั้นมักจะติดวัตถุ เป็นทาสของวัตถุอยู่สม่ำเสมอ ทำให้ต้องทุกข์แล้วก็สุข แล้วก็เจ็บปวดกับทุกข์สุขนี่อยู่ร่ำไป
คราวนี้พอจะรู้การแก้ทุกข์ การหยุดแสวงหาความสุขที่ไม่มีการจบสิ้นหรือยัง สรุปง่ายๆ ก็คือดับที่ใจ รู้จักมีสุขในความเงียบ รู้จักมีสุขในความสงบและความว่างเปล่า  ท่านหาความสุขที่ไหน ที่จิตใจหรือที่วัตถุ แต่เราเห็นท่านชอบดูทีวี และเห็นท่านชอบไปในที่ที่ทำให้ท่านสนุก  ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วก็รู้ว่าความสุขนั้นมาจากจิตใจของเราถูกหรือไม่ (ถูก) ความสุขที่เกิดจากจิตใจนั้นเป็นสิ่งที่หาง่าย เพียงแต่ท่านรู้จักคำว่า "ปล่อยวาง" ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ว่าท่านรู้จักไหม (ไม่รู้จัก) ท่านรู้จักแต่ว่า "ปล่อยวาง" เขียนอย่างไร  แต่ท่านไม่รู้ว่าปล่อยวางจริงๆ เป็น
อย่างไร  บางคนปล่อยวางเป็นเหมือนกัน แต่ปล่อยครึ่งหนึ่งเก็บครึ่งหนึ่ง  ถ้าปล่อยครึ่งหนึ่งเก็บครึ่งหนึ่งที่อยู่กับเราเป็นความทุกข์ไหม (เป็น) แต่ถ้าหากท่านปล่อยไปทั้งสองส่วนเลย เราก็ไม่เอาสักส่วนเดียว ท่านมีความสุขไหม (มี) แล้วท่านทำได้ไหม (ได้) เกิดมาชีวิตนี้มีความทุกข์และมีความสุข ท่านเจอสิ่งไหนมากกว่ากัน (ความทุกข์) แล้วท่านชอบสิ่งไหนมากกว่ากัน (ความสุข) แล้วท่านทำอย่างไร (ปล่อยวาง) แล้วท่านปล่อยได้กี่ครั้งแล้ว เพราะว่าท่านไม่เคยปล่อยวางเลยชีวิตนี้จึงยังเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าปล่อยให้มากๆ ความสุขก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ใช่หรือเปล่า เหมือนกับวุ้นเส้นเคยเห็นไหม (เคย)  เวลาที่ท่านแช่ลงไป แช่นิดเดียว  ถ้าเอาไปผัดกับข้าวแล้วมันพองขึ้นใช่หรือเปล่า (พอง) แต่ว่าเป็นวุ้นเส้นอันเดียวกันหรือเปล่า (อันเดียวกัน) ก็เป็นวุ้นเส้นอันเดียวกันแต่มันพองขึ้น ดีไม่ดีถ้าท่านไม่ยอมกิน อันที่ท่านกินเหลือไว้มันก็พองขึ้นมาเท่าเดิมอีก ในใจของท่านมีความสุขประเภทนี้ไหม ใครมีบ้างยกมือขึ้น มีคนเดียวเอง สุขเรื่องไหน เพื่อให้พวกเขาสุขบ้าง (ที่รู้สึกมีความสุขมากก็คือได้มาฟังธรรมะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี และครั้งแรก ฟังแล้วเบิกบานใจ)  แสดงว่ามีความสุขครั้งแรกทางด้านธรรมะเป็นความสุขที่พองขึ้นเองได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้นักเรียนในชั้นปรบมือให้กับนักเรียนที่ลุกขึ้นตอบ) เพราะว่าทุกท่านมานั่งที่นี่ แต่ไม่รู้ความสุขประเภทเดียวกับเขาจึงต้องปรบมือให้กับเขา ความสุขที่พองตัวขึ้นเองได้มีอยู่ในใจของท่าน แต่ถ้าท่านไม่รู้จักที่จะค้นๆ ออกมาแช่น้ำให้มันพองเร็วๆ ก็เป็นวุ้นเส้นแห้งๆ ในตู้กับข้าวในใจท่าน เพราะฉะนั้นท่านต้องค้นออกมา ท่านเก็บเองคนอื่นเห็นไหมว่าท่านเก็บไว้ที่ไหน (ไม่เห็น) ท่านต้องไปค้นออกมาเองว่าท่านมีความสุขประเภทนี้คือสิ่งใด แต่ความสุขประเภทนี้นั้นเกิดได้ก็ต่อเมื่อทำให้ผู้อื่น  ถ้าหากว่าท่านทำให้แต่ตนเอง พอทำให้ตนเองมากเข้าๆ จิตใจก็แคบลงๆ กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว เวลาที่เรามองตัวเองเราไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นคนเห็นแก่ตัวเลย แต่เวลาคนอื่นมองเรารู้สึกอย่างนั้นไหม 
(รู้สึก)  แสดงว่าเราเป็นหรือไม่เป็น (ไม่เป็น)  เริ่มเป็นนิดๆ เริ่มเป็นอีกหน่อยหนึ่ง เริ่มเป็นมากขึ้นๆ ในที่สุดแล้วความเห็นแก่ตัวก็มีมาทั้งแขนเลย ใช่ไหม (ใช่) ความเห็นแก่ตัวเราก็เยอะแยะ แต่ว่าคนที่เห็นแก่ตัวนี้มีผลดีหรือเปล่า (ไม่มี)  ไม่มีเลย เพราะฉะนั้นความสุขของท่านที่อยู่ในใจนั้นเป็นสิ่งที่หาง่าย เกิดง่าย และสามารถพองตัวเองได้ ทำได้ไหม (ได้)
เวลาที่คนอื่นเอาทุกข์มาให้ เขาโยนทุกข์ลงมาแล้วเป็นแครอท เป็นเห็ด เป็นซีอิ๊ว  แล้วอร่อยไหม (อร่อย)  เพราะฉะนั้นให้เห็นความทุกข์เป็นเรื่องอย่างไร (เป็นอุปสรรคทำให้เรายิ่งเจอความทุกข์มากๆ เหมือนกับมียามาทำให้เราพบความสงบสุขได้)  คนนี้เห็นความทุกข์เป็นยา (ถ้าเราประสบกับความทุกข์ ให้เราคิดว่าความทุกข์เป็นหนังสือเล่มหนึ่ง เมื่อเราศึกษาถึงแล้ว เราได้ความรู้จากหนังสือเล่มนั้น ทีนี้จะทำให้เราอยากศึกษาโดยรู้ความทุกข์นั้นเป็นอย่างไร)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ตอบคำถาม)  เวลาที่ท่านคำนับแล้วไม่ยอมก้มหัวลง ท่านก็กลายเป็นพยักหน้าใช่หรือเปล่า คนที่มา
สถานธรรมแล้วชอบโค้ง ถ้าหากว่าท่านไม่ก้มลงท่านก็เป็นพยักหน้าให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่ ก้มครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง ต้องก้มให้สุดๆ ให้หลังของท่านขนานกับพื้น คนที่หลังเจ็บก็โค้งนิดๆ เพราะว่าเวลาที่ท่านโค้งนั้นก็ได้รับการออกกำลังกาย ไม่เจ็บไม่ทรมานอย่างที่เป็นอยู่ หลายคนชอบเป็นโรคปวดหลังใช่หรือเปล่า (ใช่)  ให้ท่านโค้งออกมาจากใจ เมื่อทุกอย่างออกมาจากใจก็จะดูสวยงาม ถ้าหากไม่ออกมาจากใจก็ดูแข็งกระด้าง
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ : เมื่อสักครู่ที่เซียนน้อยกล่าวไป การทำตัวให้อ่อนน้อม ไม่ใช่การพยักหน้า แต่คือการทำตัวให้รู้จักคำว่า “อ่อนน้อมเป็น” คนในสังคมมักจะไม่กล้าที่จะอ่อนน้อมเพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าละอาย เสียเกียรติใช่หรือไม่ โดยเฉพาะอ่อนน้อมกับคนที่ข้างหน้าอาวุโสน้อยกว่าหรืออายุเยาว์กว่าใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ท่านรู้ไหมว่ามีธรรมะอยู่ข้อหนึ่งที่สามารถเกาะกุมใจให้คนทุกคนมีความสนิทสนมกันดุจญาติมิตร เพราะรู้จักปฏิบัติซึ่งความอ่อนน้อม เพราะเหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้ เพราะคำว่าอ่อนน้อมจะสามารถชักจูงให้คนที่แข็งที่สุดกลายเป็นคนที่อ่อนได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราดูง่ายๆ คนเราแม้จะสูงอย่างไร แต่สักวันหนึ่งก็ต้องตกลงมาต่ำเหมือนดวงดาว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ต้นไม้ยิ่งสูงเท่าไร แต่ถ้าเกิดว่ามีเหตุขึ้นมาย่อมเป็นอันตรายใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าจะสูงอย่างไรสักวันหนึ่งก็ต้องน้อมต่ำลงมา ยิ่งถ้ามีผลพวงหรือผลไม้นั้นยิ่งน้อมต่ำลงมาหาสรรพสิ่งใช่หรือเปล่า (ใช่)  ยิ่งใหญ่และแรงกล้าอย่างไร แต่ถ้าค่าของพระอาทิตย์ไม่ได้มอบให้สรรพสิ่ง คนจะสนใจไหม (ไม่)  คนก็เหมือนกัน หากไม่รู้จักวางตัวให้อ่อนน้อมเป็น เอาแต่ดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น เอาแต่ยืนค้ำหัวคนอื่น คิดว่าตนเองมีปัญญา มีความรู้ แต่แท้ที่จริงแล้วการใช้ปัญญาและความรู้ปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยท่าทีเหยียดหยาม ย่อมไม่สามารถเอาชนะจิตใจเขาได้ ย่อมไม่สามารถโอบอุ้มน้อมนำพาเขาไปได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เหมือนกับจิตใจที่อ่อนน้อมถ่อมตน คนที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนเป็น ย่อมสามารถช่วงใช้คนที่มีปัญญาเก่งกว่าเขาได้ ย่อมสามารถช่วงใช้คนที่แข็งแกร่งและมีอำนาจมากกว่าเขาได้ ฉะนั้นหากเรารู้และเข้าใจเช่นนี้ ขอให้ปฏิบัติให้เป็น อ่อนน้อมในที่นี้ไม่ใช่ประจบประแจง ไม่ใช่อ่อนแอ แต่อ่อนน้อมนั้นคือไม่ดูถูกเหยียดหยามแม้เขาจะอ่อนกว่า หรือเขาจะมีฐานะหน้าที่ต่ำกว่า เราก็รับฟังความคิดเห็น เราก็รับฟังความเป็นไปของเขาด้วยความบริสุทธิ์จริงใจที่น้อมรับปรึกษาหารือกันดุจญาติมิตร หากทำเช่นนี้แม้คนที่ไกลเพียงใดก็จะทำได้ แม้คนที่ไม่เคยรู้จักท่านมาทำงานร่วมกัน ก็จะทำงานกับท่านได้เพราะเราใช้ท่าทีอย่างไร (อ่อนน้อมถ่อมตน)  อ่อนน้อมถ่อมตนบริสุทธิ์จริงใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าคนเราปฏิบัติต่อกันอย่างไร้จิตใจ ปฏิบัติกับเขาเหมือนเครื่องจักร ตัวท่านนั้นก็ย่อมไร้
จิตใจเหมือนกัน เป็นเครื่องจักรที่ไม่ต่างกันใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราจึงกล่าวเช่นนี้ เพราะหลายคนมักจะคิดว่าตนเองมีไพ่ที่เหนือกว่า ตนเองมีอำนาจที่สูงใหญ่กว่า เราสามารถเลือกบ่าวได้ แต่อย่าลืมว่าเมื่อไรที่บ่าวมาอยู่กับเจ้านาย บ่าวก็พร้อมจะเปลี่ยนใจเลือกเจ้านายได้เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  เฉกเช่นเดียวกับการคบเพื่อนการอยู่ร่วมกับเพื่อน ให้มีแต่ความอ่อนน้อม จริงใจ หากอยู่กันด้วยประโยชน์ เขาย่อมคิดประโยชน์กลับใช่หรือไม่ (ใช่)  การอยู่กันด้วยการดูถูกเขา เขาย่อมดูถูกเรา แต่ถ้าเราอยู่กันด้วยการเคารพกัน จริงใจกัน เขาย่อมเคารพกลับและจริงใจกลับ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
การจะไปเรียกร้องผู้อื่นไม่สำคัญเท่ากับการเริ่มต้นเรียกร้องปฏิบัติตนเอง เป็นคนแรก หากส่งได้ดีการรับจะยากอย่างไร หากเริ่มต้นก้าวได้ถูกต้องเหมาะสม การดำเนินย่อมสอดคล้อง ความสำเร็จย่อมมีได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์เราพอมีชีวิต ความหมายของชีวิตเรายังเข้าใจไม่ถูก แล้วเราจะดำเนินชีวิตให้สอดคล้องได้อย่างไร จะมีความสำเร็จและความรุ่งเรืองมาหาตนก็ย่อมไม่ได้ ฉะนั้นเริ่มแรกของชีวิตสำคัญอยู่ที่ว่าเราต้องมีความเข้าใจให้ถูกต้อง เข้าใจตน สรรพสิ่งและเรื่องราว เมื่อเราเข้าใจแล้วการดำเนินย่อมสอดคล้อง ความสำเร็จย่อมมีได้ ความรุ่งเรืองย่อมมาหาสู่เราใช่หรือไม่  ฉะนั้นเริ่มต้นให้ถูกต้อง เข้าใจความหมายของชีวิตให้เป็น การจะก้าวการจะปฏิบัติและจะมีชีวิตจึงไม่ใช่เรื่องยาก เข้าใจตนเองด้วยการส่องกระจก หรือเข้าใจด้วยการให้คนอื่นมาพูด หรือเข้าใจด้วยการรู้ด้วยตนเอง (รู้ด้วยตนเอง)  แต่เราอยากให้เราเข้าใจด้วยการที่ทุกคนก็พูดได้ รู้ด้วยตนเองได้ แล้วก็ย้อนมองหาข้อผิดพลาดและถูกต้องของตนเองได้ นี่ถึงจะครบถ้วนในการรู้จักตน ถามท่านว่าเป็นไปได้ไหม เรามองกระจกเรามีชีวิตเราจะเข้าใจตนเองโดยที่ไม่มีใครมาบอก เป็นไปได้น้อยใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งเรารู้จักตนเองว่ามีความเมตตาไหม แต่คนอื่นจะช่วยสำรวจให้เราว่าเรามีความเมตตามากแค่ไหน เรามี
น้ำใจกับเขาจริงเพียงใด ฉะนั้นขอให้ยอมรับได้แม้กระทั่งการที่คนอื่นมาสำรวจตัวเรา คนอื่นชี้ข้อผิดพลาดของเรา แล้วเราจะมีความสุขในการดำเนินชีวิต
ท่านหนันผิงเซียนถง : เมื่อสักครู่เราถามว่าให้เห็นความทุกข์เป็นอย่างไรดี (บทเรียนแห่งชีวิต, ถ้าหากว่ามีความอดกลั้นและพยายามที่จะหาทางแก้ไขก็จะพบความสุข, ความทุกข์เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเกิดความคิด ความรู้สึก ที่จะแก้ไขความทุกข์ให้เกิดความสุขได้ และฝึกทำให้เราสามารถที่จะนำไปใช้กับชีวิตจริงของเรา ทั้งเรื่องส่วนตัวเรื่องครอบครัว และเรื่องหน้าที่การงานได้)  อันที่จริงแล้ว ทุกๆ ท่านก็มีบทเรียนเรื่องความทุกข์นั้นมาก เพราะว่าทุกท่านรู้จักทุกข์กันเป็นอย่างดีใช่หรือไม่ (ใช่) เอาความคิดของทุกท่านเป็นวิทยาทานรวมๆ กันแล้วเหมือนได้หนังสือเล่มหนึ่งเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)
ทุกท่านต่างมีวิธีแก้ปัญหาต่างๆ กัน แต่ว่าการที่ให้ทุกท่านนั้น ต่างตอบคำถามเพื่อที่จะให้เป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ใครที่ฟังแล้วมีคำตอบอะไร ที่เป็นสิ่งที่ดีก็ให้เก็บไปปฏิบัติกับความทุกข์ของเราดีหรือไม่ (ดี) แต่คำถามของเราก็คือ เห็นความทุกข์เป็นอย่างไรดี ความทุกข์เป็นสิ่งที่ทุกท่านนั้นต้องไปหาต้นเหตุ สาเหตุ แล้วแก้ให้ถูกทิศทาง ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งไม่ดี ไม่ใช่สิ่งที่ขม ไม่ใช่สิ่งที่ท่านนั้นผ่านไม่ได้ แต่ความทุกข์เป็นขั้นตอนอย่างหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพียงแต่ท่านนั้นไปหาว่าทุกข์นั้นเกิดจากอะไร ทุกข์เกิดจากความกังวลใจ เป็นคนคิดมาก หรือว่าทุกข์เกิดจากปัญหามารุมเร้า ทุกข์เกิดจากเคราะห์กรรม หรือทุกข์เกิดจากท่านนั้นเป็นคนที่ไม่รู้จักพินิจพิจารณา ความทุกข์นั้นมีมาต่างๆ กัน เวลาท่านจะดับไฟ ท่านต้องดับที่ต้นเหตุให้ได้ก่อนใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นความทุกข์ก็เป็นเหมือนกับไฟ ที่ท่านนั้นต้องไปหาสาเหตุให้เจอแล้วไปดับที่ต้นเหตุใช่หรือไม่ (ใช่) หากว่าท่านดับที่ปลายเหตุ ท่านจะเทน้ำสามกะละมังลงไป ไฟดับก็เท่านั้นใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าหากว่าท่านนั้นเจอต้นเหตุ ท่านเทน้ำกะละมังเดียวลงไป หมดไหม (หมด) แล้วท่านก็เอาน้ำนิดๆ หน่อยๆ ไปพรมที่ปลายเหตุแล้วก็หมดกันใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าไฟอันนี้มีขึ้นบ่อยๆ เพราะฉะนั้นท่านจึงต้องมีสติบ่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งต่างๆ นานาที่ท่านฟังมาในตอนที่ท่านเข้าวัดก็ดี ฟังธรรมก็ดี ทุกท่านนั้นก็ฟังมาอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ถ้าจะนับว่าเป็นผู้มีปัญญาก็มีปัญญาอันมากมายทีเดียว แต่ว่าเท่าที่ท่านฟังมานั้น ท่านยังไม่เคยนำกลับไปปฏิบัติในชีวิตจริงเลย ที่นำกลับไปปฏิบัติไม่ได้หนึ่งในสิบ ท่านจึงต้องเป็นคนที่ทุกข์ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถ้าท่านอยากดับทุกข์ได้ ท่านต้องเป็นคนที่มีสติตามทันความทุกข์ต่างๆ ได้
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ : ดับแล้วต้องดับให้หมด ไม่เช่นนั้นจะบอกว่าธรรมะไม่มีประโยชน์ดับทุกข์ไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ในโลกนี้เราจะดูอย่างไร เราถึงจะมองเรื่องราวในโลกนี้ได้อย่างชัดเจนและแจ่มชัด การจะมองโดยใช้แค่ตาดู หูฟัง เราจะมองเรื่องราว เราจะเห็นทุกสิ่งได้ชัดเจนไหม (ไม่) เดี๋ยวนี้เรามักแยกไม่ออกว่าอะไรจริง เท็จ ของแท้ ปลอม  การใช้แต่ตาดูและมือสัมผัส บางทีก็อาจจะไม่รู้แท้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วมีใครพอเข้าใจไหมว่าทำไมพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงบอกว่ารูปงามหรือร่างกายงามจึงบอกว่าเป็นของปลอม แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในดวงใจหรือร่างกายนี้คือของจริง เรามักจะบอกว่าสิ่งที่จับต้องได้ สิ่งที่มองเห็น สิ่งที่ได้ยิน คือของจริงใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทำไมพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงบอกว่านั่นแหละของปลอม ไม่ใช่
ของแท้ แต่ของจริงที่เป็นของแท้คือตัวตนที่อยู่ภายในใจของท่าน หรือพูดกันง่ายๆ ก็คือพุทธจิตธรรมญาณ หรือเรียกกันตามภาษาปากที่เราพูดก็คือ "วิญญาณ" นั่นคือของแท้ ทำไมจึงกล่าวเช่นนี้ กายเรามีวันเปลี่ยนแปลงไหม (มี) แยกออกมาแล้วเป็นคนเป็นตัวตนได้ไหม (ไม่ได้) แต่วิญญาณเป็นอย่างไร พุทธจิตธรรมญาณเป็นอย่างไร เราไม่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ในเมื่อไม่รู้จะบอกว่า ของปลอมหรือของแท้กันล่ะ แล้วสิ่งที่รู้ที่เราบอกว่ารู้ชัด รู้แน่ จริงๆ แล้วใช่รู้แน่จริงๆ หรือเปล่า บอกว่าวันนี้อยู่กับมือเรา เป็นของเรา วันนี้ว่าเป็นของจริง แต่จริงๆ แล้วเปลี่ยนแปลงไหม (เปลี่ยนแปลง) เช่น เงินทอง เกียรติยศ เปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อยๆ แต่พุทธจิตธรรมญาณ แม้จะดำหรือขาว ก็ยังเป็นพุทธจิตธรรมญาณที่อยู่ในตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยู่ในโลก เราอย่าได้ติดเฉพาะแค่รูปลักษณ์ภายนอก มนุษย์เรามีชีวิต มักจะสะสมกันแต่วัตถุ รูปนามใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ลืมคุณค่าความแท้จริงในตัวตนเองไป ทำให้มีชีวิตเพียงเพื่อสะสม มีค่าเพียงเพื่อการแสวงหา อย่างนั้นเป็นชีวิตที่มีคุณค่า หรือเป็นชีวิตที่เป็นการแสวงหาอย่างแท้จริงหรือเปล่า (ไม่ใช่) การแสวงหาที่แท้จริง คือการแสวงหาเพื่อความนิจนิรันดร์ ไม่ใช่เพื่อความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เพื่อความไม่แน่นอน ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เราเกิดมาเพื่อดับกิเลส และดับความเป็นตัวตนของตนเอง  เมื่อไรเราไม่มีตัวตน เมื่อนั้นเราไม่ต้องทุกข์ เราไม่ต้องแสวงหา แต่ตอนนี้เราจะทำอย่างไรเราถึงจะสามารถอยู่บนโลกโดยร่วมกับคนอื่นได้ มีชีวิตก็มองเห็นได้ชัดเจน  เป็นคนที่เผชิญปัญหาก็สามารถมองเห็นเรื่องเล็กๆ กลายเป็นยิ่งใหญ่บานปลายได้ มนุษย์เรามักจะเห็นทุกข์ ก็ต่อเมื่อทุกข์นั้นยิ่งใหญ่ แต่เมื่อไรที่เราเห็นทุกข์ตั้งแต่เล็กๆ ทุกข์ใหญ่ก็จะไม่บังเกิด เราก็จะดับได้ และทำใจได้มากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นก็คือมองภายในสู่ภายนอก มองภาวะการณ์คืนสู่ธาตุแท้ มองเห็นปรากฏการณ์เห็นรูปลักษณ์ แล้วสามารถแยกเท็จจริงได้ เมื่อไรที่เราเข้าใจว่าอันใดเท็จจริง อันใดที่เที่ยงแท้มีค่า เราย่อมสามารถจะจับและดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ตอนนี้เรากลับเป็นอย่างไร เท็จแท้แยกไม่ถูก ปนกันมองไม่ออกแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นตอนนี้เรารู้แล้วว่า ค่าชีวิตของเรา เวลาชีวิตของเรา อย่าแลกเพียงแค่เงินทอง แต่ต้องแลกด้วยคุณค่า ที่น่าจะทรงคุณค่า คุณค่าที่น่าจะเพิ่มให้สูงขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) คุณค่าของมนุษย์ก็คือการรักษาความเป็นคนให้ประเสริฐที่สุด ก็คือการมีแค่เงินทอง มีความรัก มีความโลภโกรธหลง อย่างนี้เรียกว่าการประเสริฐหรือเปล่า (ไม่ใช่) เรียกว่าเป็นการรักษาความสูงให้สูงอยู่หรือไม่ (ไม่) กลับยิ่งทำให้ย่ำแย่และมืดมนใช่หรือเปล่า (ใช่)
ยุคนี้เป็นการโปรดยุคสาม ทุกคนสามารถบำเพ็ญตนขัดเกลาตนกลับคืนเบื้องบนได้ อย่ามองเห็นว่าเป็นเรื่องล้อเล่น แต่ขอให้มองเห็นถึงแก่นแท้ของความจริง วันนี้ที่เรามากัน มาเพื่อหาความจริงแท้ของชีวิต ไม่ใช่มาเพื่อให้ยึดติดแค่รูปลักษณ์อันจอมปลอม ไม่อย่างนั้นมาก็ไม่ต่างอะไรกับไม่มาใช่หรือไม่ (ใช่) 
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ : ล้อรถนั้นหากปราศจากไฟย่อมยากจะขับเคลื่อน  ม้าปราศจากบังเหียนและสายรัดย่อมยากที่จะควบคุมและขับขี่  คนใดไม่รู้จักควบคุมตน ไม่รู้จักวางตน ไม่รู้จักอะไรดีอะไรชั่ว ไม่รู้จักสำนึกเรื่องถูกผิด  เมื่อผิดแล้วไม่รู้จักแก้ไข เช่นนี้แล้วเขาจะมีสำนึกในเรื่องถูกผิดเหมาะสม
ถูกต้องในการดำเนินชีวิตก็คงยาก  เพราะฉะนั้นเมื่อเจออะไรที่เป็นเรื่องถูกเรื่องดีขอให้รีบปฏิบัติ เมื่อเจออะไรที่เป็นความผิดในตัวตนขอให้รีบแก้ไข  สำนึกรู้อยู่ตลอดเวลาอะไรดีอะไรชั่ว เช่นนี้แล้วคนทุกคนย่อมยกย่องและนับถือว่าท่านคือคนดี คือคนที่รู้จักควบคุมตนเองเป็น แต่ปัจจุบันนี้คนเรามักจะปล่อยตัวไปตามอารมณ์ ปล่อยตามกิเลส ความถูกต้องไม่รับ ความดีไม่ยอมมี  ความชั่วไม่รีบแก้ไขกลับยิ่งปกปิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถูกและผิดยังแยกไม่ชัดเจน แล้วท่านจะเรียกให้คนอื่นทำถูกได้อย่างไร แล้วท่านจะเรียกร้องสังคมให้มีความเที่ยงธรรมได้อย่างไร  ในเมื่อตนเองไม่เริ่มต้นก่อนจริงหรือไม่  วันนี้ที่เราพูดเราต้องการจะฟื้นฟูในสิ่งที่โลกขาดแคลนนั่นคือคุณธรรม อย่ามองเห็นว่าเป็นเรื่องเล่น คุณธรรมใครทำได้คนนั้นย่อมสูงส่ง  คุณธรรมใครมีได้รักษาได้ คนนั้นอย่างน้อยก็เรียกว่าคนดี  ไม่ใช่คนพาลในคราบผู้ดี
ท่านหนันผิงเซียนถง : เรามาที่นี่  เราเป็นเด็กที่ตามผู้ใหญ่มาสู่แดนโลกมนุษย์นี้  การที่เป็นเด็กนั้นตามผู้ใหญ่ง่ายหรือยาก (ง่าย)  จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ง่ายที่ท่านจะเดินตามคนข้างหน้าด้วยความเคารพ  แต่ว่าทุกๆ ท่านจะว่าทำได้ก็ใช่ จะว่าทำไม่เป็นก็ใช่ เหมือนจะทำเป็นเหมือนจะเคารพเป็น แต่จริงๆ แล้วเคารพตัวเองมากกว่า  การที่เรานั้นจะเคารพคนอื่นทำง่ายๆ เพียงแต่เรานั้นไม่ต้องเกิดกิเลสตัณหาใดๆ ทั้งสิ้น วางทุกอย่างให้หมด จิตใจเราก็โล่งเบาสบาย  เวลาที่เราจะโค้งใครสักคนเราก็จะโค้งอย่างสุดจิตสุดใจ  เวลาเราจะเคารพใครเราก็เคารพอย่างสุดจิตสุดใจ ไม่ใช่เพียงแต่อาวุโสที่สถานธรรมที่เราพูดถึง ตอนนี้ท่านรู้จักเคารพอาวุโสที่บ้าน อาวุโสที่ทำงาน อาวุโสที่สถานธรรม  แต่อยากจะรู้ว่าคนทั่วไปที่ท่านไม่รู้จักหน้าค่าตาเดินเฉี่ยวกันไปเฉี่ยวกันมาตามถนนหนทาง  ต้องเคารพเหมือนกันหรือไม่ (ต้องเคารพ)  ถ้าหากว่าท่านไม่สามารถเคารพได้ จิตใจของท่านก็จะไม่เป็นจิตใจของผู้บำเพ็ญ  การที่เราจะได้ชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญมาครองนั้น  ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ ท่านก็จะได้มา แต่ท่านนั้นต้องลงทุนลงแรงด้วย ทุนของท่านคืออะไร รู้จักคำว่า “ทุน” หรือเปล่า ใช่เงินหรือเปล่า (ไม่ใช่) แล้วตัวท่านมีทุนอะไรบ้าง  (คุณงามความดี)
บุหรี่ทำให้เกิดโรคถุงลมพอง กลัวเป็นโรคถุงลมพองหรือเปล่า (กลัว)  ไม่เลิกบุหรี่เหรอ (กำลังจะเลิก)  เลิกวันนี้เลยดีไหม ท่านเดินไปทิ้งถังขยะเองสิ แล้วบอกว่าไม่เอาแล้ว
พระโพธิสัตว์อนุศาสน์ : ขอให้ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี วันนี้นั่งแล้วอาจจะลำบากหน่อยเพราะไม่เคยมานั่งแบบนี้เลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจจะนั่งแล้วเมื่อยบ้างปวดบ้าง กลับบ้านไปก็ให้รีบพักผ่อน ใครที่มีใจอยากจะมาศึกษาให้ครบ ขอให้รักษาใจอันนี้ให้ดี มาทันโอกาสมาทันเวลา ย่อมดีกว่ามาไม่ทันโอกาสมาไม่ทันเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราทำอะไรแม้เราจะมาเร็วก่อนเวลา แต่สู้มาพอดีๆ เวลาไม่ได้ ขอให้ลองศึกษาดูให้ดีว่าธรรมะนี้ไม่ใช่ลัทธิหรือศาสนาใหม่ หรือไม่ใช่แค่เด็กสองคนมายืนอธิบายอะไรก็ไม่รู้ แต่ขอให้กลับไปพินิจพิจารณาให้ดี ธรรมะคือชีวิต ชีวิตคือการดำเนินตนให้เป็นคนที่ถูก การดำเนินตนที่ถูกที่ดีที่เจริญแล้ว แต่ถ้าเป็นความเจริญทางวัตถุ เจริญรูป เจริญนาม เจริญเกียรติยศจะมีค่าอะไร หากเขาไม่เคยช่วยเหลือคน หากเขาไม่สามารถรู้จักตน แต่ถ้าเรานั้นมีวัตถุก็ยังช่วยคนได้ช่วยตนได้ พาเราให้พ้นทุกข์ได้ อย่างนี้มีวัตถุด้วยมีบำเพ็ญธรรมด้วยไม่ดีกว่าหรือ อย่างที่เราบอกตอนต้นว่าการดำเนินชีวิตต้องดำเนินให้เป็นและรู้จักควบคุมตนเองให้ถูกทาง แล้วความสำเร็จในชีวิตย่อมเกิดได้
วันนี้เราต้องขอตัวไปก่อน ขอเปิดใจรับฟังสักนิดหนึ่ง แล้วท่านจะมีความสุขในการอยู่ที่นี่ เหมือนเราอยู่ในโลกนี้หากเราปิดใจไม่รับรู้ ปิดใจไม่อยากได้ เราทุกข์ไหม (ทุกข์)  สู้เปิดใจแล้วปรับสภาพชีวิต ปรับสภาพจิตใจให้สู้ได้ให้รับได้ย่อมสุขกว่ากันเยอะ เราคงต้องจากกันแล้วนะ อย่าลืมว่าเราก็คือพี่ของท่านอีกคนหนึ่ง ขอให้รู้ว่าตอนนี้ท่านบำเพ็ญธรรมท่านมีพี่ที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีน้องที่อยู่ในโลกนี้
(ท่านหนันผิงเซียนถงเมตตาสอนร้องเพลงธรรม ทำนองเพลง : แมงมุมลาย)
ท่านหนันผิงเซียนถง : “ไปปลดกรรมไฉน หรือไปเกี่ยวกรรมถมตน”  หมายความว่า ทุกท่านนั้นเวลามาสถานธรรมศึกษาธรรม บอกว่าต้องปลดกรรมใช่หรือไม่ แต่ปลดไปปลดมาก็เกี่ยวกรรมมาเต็มไปหมดเลย นิ้วโป้ง ชี้ กลาง นาง ก้อย เกี่ยวมานิ้วละกรรม ข้างขวาไปแล้ว ข้างซ้ายอีกข้างหนึ่ง เกี่ยวมาเต็มไปหมดเลย ยังมีที่เกี่ยวก็เกี่ยวไปอีก ขาก็เกี่ยวมาจนเต็มไปหมดแล้วใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นท่านต้องรู้ตัวว่าชาตินี้ท่านอยากจะให้เป็นชาติสุดท้าย ต้องรู้จักปลดกรรม ไม่ใช่เกี่ยวกรรม
“ทุกข์ทำให้เกียจคร้าน” ความทุกข์นั้นทำให้เราเกิดความเบื่อหน่าย เพราะมีทุกข์มากเกินไป ทำให้ไม่อยากบำเพ็ญธรรม ไม่อยากที่จะให้เรื่องต่างๆ นั้นร้ายแรงไปกว่านี้ จึงอยู่เฉยๆ แล้วในที่สุดถามว่าวิธีการอยู่เฉยๆ ของท่านแล้วรอให้เรื่องมันซาไปเอง ซาได้ไหม (ไม่ได้)  บางครั้งก็ทำไม่ได้ ในที่สุดแล้วท่านจึงเกิดความเกียจคร้าน แล้วก็วนไปวนมาใช่หรือไม่ (ใช่)  พอมีความทุกข์ ขี้เกียจปลดทุกข์แล้วก็วนกลับมาอีกก็เจอความทุกข์แล้วก็ไปเรื่อยๆ
“หว่านพืชแต่หวังผล” คือการทำสิ่งใดแล้วต้องการผลตอบแทน สุดท้ายก็วนกลับมาทุกข์ใจใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากจะปลดทุกข์ทำอย่างไร ความทุกข์นั้นให้ท่านคอยปลดเอง แต่การที่ท่านจะมีความสุขนั้นทำได้ด้วยการที่มีเมตตามากขึ้น
“ล้มแล้วลุกเวลายืนห้ามเขย่ง” เวลาล้มก็ต้องลุกขึ้นมา แต่เวลายืนแล้วเราจะยืนอย่างเขย่งขาได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะถ้ายืนอย่างเขย่งขา ท่านจะเดินไปได้อย่างตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นเวลาล้ม โดยธรรมชาติก็ต้องลุกขึ้น เวลาท่านยืนโดยธรรมชาติก็คืออย่าเขย่งเท้า หมายถึงให้ท่านใช้ชีวิตให้พอเหมาะพอควรกับฐานะที่มีอยู่ ก็คือการยืนโดยไม่เขย่งเท้ายืนให้พอดีๆ และก้าวได้อย่างสมดุล ท่านก็จะไม่ลำบากกับการที่ชีวิตนี้ต้องหาอะไรที่เกินตัว
“จงครัดเคร่งกับตนเถิดเกิดผลดี” ชีวิตนี้หลายคนชอบไปเข้มงวดกับคนอื่นแต่ไม่ยอมเข้มงวดกับตนเอง ในเมื่อตัวเรายังไม่ได้อย่างที่ตัวเราหวัง เราก็อย่าหวังว่าคนอื่นจะทำได้อย่างที่เราหวัง ตั้งแต่ลูกหลาน ตั้งแต่คนใกล้ชิด ญาติ
พี่น้อง ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เราคาดหวังในตัวเขาได้อย่างพอเหมาะพอสมเท่านั้น รวมทั้งที่มากๆ ก็คือคนที่ร่วมบำเพ็ญในระดับเดียวกับเรา ที่ร่วมบำเพ็ญอยู่กับเรานี้ เป็นคนที่เรานั้นต้องหัดคาดหวังให้พอสมควร หวังดีได้แต่อย่าคาดหวัง ขอให้ท่านนั้นทำให้สุดกำลังของตนเองไม่ต้องกลัวว่าเขานั้นจะมองไม่เห็นความหวังดีของเรา บางทีจะบอกให้ว่าพวกเขานั้นก็รู้ว่าเราหวังดี แต่ก็อายในการที่จะทำอย่างที่เราบอกเลยในทันที อันนี้ก็เป็นนิสัยคนอีกอย่างหนึ่ง วันนี้มาพูดแต่นิสัยของคนเยอะแยะเลย เมื่อสักครู่เราก็เห็นนิสัยอีกอย่างหนึ่งแล้ว เวลาถามอะไรพูดตั้งมากมาย แต่พอถามก็บอกว่าเปล่า  นิสัยอะไรที่ไม่ดีที่เป็นความเดือดร้อนต่อผู้อื่นนั้นจำเป็นต้องแก้ไขโดยด่วน เรื่องใดที่เดือดร้อนต่อตนเองก็ต้องไม่รอช้า ต้องรีบ
ปรับปรุง เรื่องใดที่อยู่ในความทุกข์กังวลของผู้อื่น เมื่อเราอยากจะเป็นโพธิสัตว์ อยากจะเป็นพุทธะ ยิ่งต้องรีบเร่งที่จะไปช่วยเขา การช่วยนั้นมีหลายรูปแบบ ขอให้ท่านนั้นเป็นคนที่รู้จักช่วยด้วยจิตใจอันเมตตา
ขอให้ท่านรู้ไว้ว่าทุกๆ ขณะจิต ทุกๆ เวลาไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ก็อยู่ในสายตาของฟ้าดินทั้งสิ้น เพียงแต่ฟ้าดินรักษาสภาพของธรรมชาติคือไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่ต่อว่าต่อขาน ฉะนั้นในยามที่ท่านทำผิดจึงไม่รู้ว่าฟ้าดินก็คอยที่จะมอง เวลาที่ท่านอยากจะมาบำเพ็ญธรรม ท่านก็ต้องทำให้ดีๆ แม้ว่าจะไม่มีคนเห็นก็
เหมือนกัน ก็ต้องรักษาสภาพของการเป็นผู้บำเพ็ญให้ดีๆ เข้าไว้ เมื่อท่านทำได้ อย่างที่เราบอกตอนแรกก็คือ  “คนตามฟ้า แล้วฟ้าก็จะตามคน”  อย่าได้คิดว่าทำสิ่งใดแล้วไม่เห็นใครว่าเลย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ว่า เพราะท่านไม่อยากว่า แต่ทุกท่านก็ต้องรู้ด้วยตนเอง



วันอาทิตย์ที่ ๓๐ พฤษภาคม  พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ

ศึกษาธรรมจนเข้าใจและปฏิบัติได้ นับเป็นไม้ที่ออกดอกและตกผล

เข้าใจไร้ลงมือพ่ายใจตน เปรียบไม้ผลออกดอกผลไม่มี
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียน หลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน   ประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

ทานเนื้อกายจิตฟื้นฟูยากเย็น ผู้บำเพ็ญธรรมจริงฟื้นจากฝัน

ถางตฤณชาติ  ธรรมเป็นความรู้ทัน ประจวบกาลแห่งยุคสามเร่งชีวี
ชี้เดิมแท้ส่งเสริมงานสำคัญ รู้ประมาณจิตเดิมแท้สง่าศรี
แจ้งถึงมโนธรรมพลังเต็มที่ ทุกนาทีชัดเจนธรรมในตน
สัจธรรมในส่งสูงอันพร้อมด้วย แก้ไขตนช่วยตนให้หลุดพ้น
หลอมพุทธะกายทองเป็นธาตุสากล ทุ่มเททั้งหมดอีกสมบูรณ์คนใช้เวลา
ยกระดับจิตช่วยตนฝ่าคลื่น เข้าใจช่วยผู้อื่นให้เดินหน้า
ศึกษาธรรมบรรลุเพื่อฉุดหลงนา พิจารณาอีกก่อนอื่นช่วยมองย้อน

รวมทั้งช่วยผู้โลกไม่ต้องการ เป็นสะพานแห่งสุขช่วยดับร้อน
เพื่อให้เกิดสันติแปรตนก่อน อย่าอาวรณ์วิสัยคนให้ทุกข์ทน
สังคมเปลี่ยนจิตใจงดงามสูญ โลกจรูญ  ภาพสงครามทุกแห่งหน
วาจาเอกแหล่งเพื่อนงามสำรวจตน ไม่อับจนโลกคืนงามด้วยน้ำใจ
ความสันติในภายหน้าได้อุบัติ เพราะประพฤติไม่ขัดหลักง่ายง่าย
จริยธรรมนำจิตคืนความสบาย ศีลธรรมพายพาโลกสู่ทิศเดียว
ฮา  ฮา  หยุด




พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน ท่านหลันไฉ่เหอ
เราอยู่บนโลกนี้เราสนใจอะไร (ตัวเรา) เราจะสนใจแต่ตัวเราเองอย่างเดียวก็ไม่ได้แล้ว ท่านอื่นล่ะ เรามีชีวิตเราสนใจสิ่งใดกันบ้างที่ทำให้เราต้องหยุดมอง ทำให้เราต้องหยุดยั้ง  (ไขว่คว้าความสุขและสมหวัง)  ในเรื่องความสุขสมหวังในสิ่งที่ดีทำให้เราหลงติดไปใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วท่านอื่นล่ะ สิ่งที่ทำให้ท่านสนใจ หยุดแล้วหันหรือเหลียวหลังหันมามอง มีอะไรกันบ้าง  หรือว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ชีวิตท่านสนใจกันเลย อย่างเช่นผู้ชาย เห็นผู้หญิงแต่งตัวสวยๆ หยุดมองหรือไม่ (มอง)  เวลาเราเห็นเสื้อผ้าสวยๆ  เงินทอง เพชร พลอย ประกายแวววาว แล้วท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง (อยากได้)  ความสนใจเป็นความอยากทันทีเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งนี้ก็ทำให้ท่านหยุดยั้งและอยากจะมอง อยากจะได้มาใช่หรือเปล่า (ใช่)  แปลว่าเรื่องราวภายนอกนั้นมีอิทธิพลต่อจิตใจเรา  ในวันนี้เราได้หยุด ยั้งคิดใฝ่หามองอะไรกัน  คงไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่เกียรติยศ  ไม่ใช่ผู้หญิง หรือไม่ใช่ผู้ชายใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่เป็นอะไรกันที่ทุกวันนี้ทำให้ท่านถึงกับหยุดยั้งแล้วกลับอยากจะมามอง  อยากจะมาฟัง  และก็อยากกลับมาดู (อยากแสวงหาความสุขสงบและสิ่งที่เป็นสัจธรรม)  หรือพูดง่ายๆ ก็คือ คุณธรรม   แต่ถ้านับดูแล้วชีวิตของเราสนใจธรรมะน้อยหรือมากกว่า (น้อยกว่า)  ปัจจุบันนี้น้อยลงใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามักจะเสียเวลาของชีวิตเรากับทรัพย์สินเงินทอง ความสนใจในเรื่องวัตถุหรือไม่ก็รูปลักษณ์หรือไม่ก็เพศตรงข้าม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเวลาที่เราไปสนใจ การได้มานั้นเกิดจากสาเหตุใดกันบ้าง  ใช่ใจเราสนใจอย่างเดียวหรือ (ไม่ใช่)  ต้องมีสาเหตุที่ทำให้เราสนใจใช่หรือไม่ (ใช่)  สาเหตุที่ทำให้เราสนใจคืออะไรกัน (ความโลภ กิเลส)   สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราสนใจแล้วอยากหันไปมองนั่นคือ ตาของเรานี่เองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าตัดลูกตาท่านทิ้ง  ความอยากก็ลดไปหนึ่งอย่างแล้ว  ถ้าทำให้ท่านหูหนวกก็ไม่ได้ยินอะไรเลย ความอยากก็ลดน้อยลงไปอีกใช่หรือไม่ (ใช่)   แล้วถ้าตัดมือท่านทิ้งล่ะ คราวนี้ยังอยากอีกหรือเปล่า (ไม่อยาก) แต่ตอนนี้ทำอย่างไร  ตาท่านก็มี หูท่านก็อยากฟัง มือท่านก็อยากจับ  จะทำอย่างไรดีที่จะทำให้เราสนใจในสิ่งที่ถูก  หรือว่าการสนใจเงินทอง ทรัพย์สิน เพศตรงข้าม เป็นสิ่งที่พึงพอใจสำหรับชีวิต  พอหรือเปล่า (ไม่พอ)  ยังไม่พอกันอีกหรือต้องรู้จักพอได้แล้ว  รู้จักมีความสุขในสิ่งที่ตนเองมี ในสิ่งที่ตนเองถือ ในสิ่งที่ตาเราเห็น สิ่งที่หูเราได้ยิน  แต่เป็นเพราะอะไรตอนนี้เราไม่พึงพอใจในหูที่เราได้ยิน  ตาที่เรามอง  มือที่เราสัมผัส  เราเลยต้องทุกข์กับการแสวงหา เดินๆ ต้องหยุดเพื่อไขว่คว้าใช่หรือไม่ (ใช่)  การเดินทางของชีวิตเราจึงเป็นระยะทางที่ไกลเหลือเกินเพราะว่า เราเดินไปแล้วเราก็หยุดไปบ้าง  เดินไปแล้วเราก็หยุดพัก  เดินไปแล้วเราก็แสวงหาไปบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำให้ชีวิตของเรามีค่าแค่เพียงอะไร  วัตถุใช่หรือเปล่า มีค่าแค่ความสนใจของหู ตา และมือเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในเมื่อตาเราก็ยังปิดเป็น  มือเราก็ยังอ้าหุบได้ หูก็ยังรู้จักอุดไม่ฟังได้  ด้วยการใช้สติ ปัญญา หากเราใช้สติ ปัญญา แม้จะมีใครมาพูดให้เราอยากมากเท่าไร  แต่ถ้าเราใช้สติ ปัญญา และคุณธรรมที่อยู่ในตัวเรายับยั้ง ความอยากที่ได้ยิน ความโลภที่จะบังเกิดก็คงจะไม่สามารถทำอันตรายจิตใจเราได้  และจะไม่ทำให้การเดินของชีวิตเราต้องเหนื่อย ต้องดิ้นรนมากไปกว่านี้
"เปรียบเป็นไม้ออกดอกผลไม่มี"  เปรียบเป็นไม้เช่นไร หากเข้าใจแล้วแต่ไร้การกระทำ  หากเข้าใจแล้วลงมือกระทำและปฏิบัติเป็นไม้ที่ออกดอกแล้ว ตกผล  แต่ถ้าเข้าใจแล้วไร้การปฏิบัติก็เป็นไม้เช่นไรดี (เป็นไม้ตายคาต้น)  เป็นไม้ตายคาต้นเลยนะ (เป็นไม้ที่ไร้ผล)  เป็นไม้ที่ไร้ผลแม้จะมีแต่ดอกใช่หรือไม่  แต่ก็เป็นดอกที่ไม่ออกผล  เปรียบเป็นไม้ออกดอก แต่ผลไม่มี  ถึงแม้เราเข้าใจแต่เราไม่ปฏิบัติก็เป็นเหมือนไม้แห้งตายคาต้น  ฟังแล้วน่าจะเป็นไปได้ไหม
หากชีวิตคนๆ หนึ่งไร้ซึ่งคุณธรรมจะเป็นไม้แห้งหรือไม่ (เป็น)  ทำไมท่านถึงคิดว่าเป็น  คนที่ไร้คุณธรรมต้องเป็นคนอย่างไร  ไม้แห้งเป็นไม้ที่เป็นอย่างไร  เหมาะในการไปเผาเป็นฟืนใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นคนที่แห้งแล้งการปฏิบัติซึ่งคุณธรรมเหมาะที่จะนำไปเผาเป็นอะไร (เผาเป็นเถ้าถ่าน) เผาเป็นเถ้าถ่านหรือ  คนเราช่างโหดร้ายเช่นนี้พอเขาร้ายก็เลยกำจัด  อย่างนี้ส่อให้เห็นจิตใจเราแล้วใช่หรือไม่ ถึงแม้จะมีคุณธรรมแต่ก็ยังมีความโหดร้ายแอบแฝงอยู่ได้ทุกเมื่อใช่หรือเปล่า ขอเพียงไม่ถูกใจใช่หรือเปล่า อย่างนั้นเราต้องระมัดระวังแม้กระทั่งคำพูดของเราด้วยนะ  ไม่อย่างนั้นคำพูดจะส่อให้เห็นจิตใจของท่านจะเป็นคนใจดีหรือโหดร้าย
เรามาแทนคงไม่ผิดหวังนะ (ไม่ผิดหวัง)  อยากเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ่อยๆ ไหม (อยาก)  จริงๆ ท่านก็เจออยู่ทุกวันแล้ว พ่อแม่ก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  เสกสรรบันดาลให้ท่านมีชีวิต ต่อสู้กับชีวิตได้
แต่ก่อนเราก็มีชีวิตเหมือนกับท่าน มีโอกาสได้เกิดมาใช้ชีวิตบนโลกใบนี้เหมือนกัน แต่เพราะอะไรเราถึงสามารถบำเพ็ญตนกลับคืนสู่เบื้องบนได้ แล้วอะไรเป็นตัวสะกิดใจทำให้เราอยากจะศึกษาธรรมะ อยากที่จะบำเพ็ญตน อาจจะเป็นเพราะดอกไม้ในตะกร้านี้ก็ได้ เพราะว่าสัจธรรมของชีวิตเราก็เหมือนสัจธรรมของดอกไม้นี้ มีเกิด มีเติบโต มีเจ็บป่วย แล้วก็มีดับสิ้น ดอกไม้ที่ออกดอกมานั้น บางดอกก็สามารถชูช่อให้คนอื่นเห็น บางดอกก็ต้องแอบซ่อนหลบอยู่ภายใน คนอื่นไม่สามารถเห็นคุณค่าได้ เปรียบเหมือนชีวิตเราที่อยู่ในสังคมนี้ บางคนสามารถ
ดิ้นรนจนเป็นดอกไม้ที่มีชื่อเสียง เป็นดอกไม้ที่มีคุณค่า แต่บางคนทำอย่างไรก็
ดิ้นไม่พ้น ชูช่อขึ้นมาไม่ได้ ได้แต่อยู่เบื้องล่างคนอื่น ชีวิตคนเราก็เหมือนดอกไม้ แต่ว่าการศึกษาธรรมนั้นไม่ได้แบ่งแยกอย่างนี้ การศึกษาธรรมนั้นไม่ว่าเราจะเป็นดอกสูงหรือดอกต่ำ ขอเพียงเราเข้าใจความหมายของชีวิต แล้วรู้แจ้งชีวิตที่แท้จริง จะเกิดมาเป็นดอกต่ำหรือดอกสูง เราก็สามารถกลับคืนเบื้องบนได้ สำคัญที่ว่าเราเข้าใจชีวิตของตนเองเช่นไร  ดอกไม้บางดอกก็เปรียบเหมือนชีวิตบางชีวิต เกิดมาแล้วก็ตายอยู่คาต้น ไร้คุณค่า ไร้คนมองเห็น แต่บางดอกเกิดมาแล้วแม้คนจะตัดไป แต่ได้เอาไปบูชาปักไว้เคียงข้างพระพุทธา การตัดดอกแม้จะต้องตัดชีวิต พรากชีวิตจากพื้นปฐพี แต่ก็ทำให้ตนเองมีค่าอยู่เคียงข้างพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็เฉกเช่นเดียวกับชีวิตของเรา บางคนยอมตัดชีวิตของเราเองเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงและเกียรติยศ แต่ถ้าในชีวิตหนึ่งของท่านตัดจากต้นแล้ว แต่ไม่สามารถจะมีชีวิตที่ดีได้ มีเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ได้ ทำไมไม่ยอมตัดตัวเองแล้วอุทิศตน อุทิศชีวิตอันมีค่านี้อยู่เคียงข้างพระพุทธองค์กันบ้าง โดยการที่เอาเวลาแห่งชีวิต เวลาแห่งร่างกายที่สามารถจะอุทิศได้ ที่จะสามารถปลีกมาได้ ทำเพื่อพุทธะเป็นตัวแทนแห่งพุทธะแล้วดำเนินตามพุทธะ หากทำเช่นนี้ตลอดเวลา เขาก็คือคนที่สามารถเคียงข้างพุทธะได้ เขาก็คือดอกไม้ที่ถูกตัดแล้วไปถวายอยู่ข้างพระพุทธะใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วชีวิตของเราตอนนี้อยากจะเป็นดอกไม้ในตะกร้า หรือดอกไม้ในแจกันดี (ในแจกัน)  นั่นก็คือใครๆ ก็อยากเป็นดอกไม้ที่สามารถมีชีวิตแล้วอยู่เคียงข้างพระพุทธะ แต่ตอนนี้ถามว่าชีวิตที่มีอยู่ อยู่เคียงข้างใครกัน ชีวิตข้างๆ ของเราล้วนแต่เป็นมนุษย์ ทำให้เราติดความเป็นมนุษย์มากกว่าจะติดความเป็นพุทธะ เหมือนสำนวนไทยที่กล่าวว่า "อยู่ในเข่งปลาเน่า ตัวเราก็เป็นปลาเน่า"  ทั้งที่เราไม่ได้เน่า อยู่ข้างมนุษย์บ่อยๆ ตัวเราก็ติดความเป็นมนุษย์ ฉะนั้นมารับแสงแห่งพุทธะ มารับความเป็นพุทธะ มาฝึกฝนความเป็นพุทธะ น่าสนใจน่าเดินไหม (น่าเดิน)
เมื่อสักครู่นี้ท่านได้ฟังหัวข้ออะไร (ความหมายของการทานเจ)  ความหมายของการไม่ทานเนื้อสัตว์ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากเราถามทุกๆ ท่านในที่นี้ คนทุกคนล้วนทนไม่ได้ที่เห็นคนตกทุกข์ได้ยาก เมื่อเราเห็นเขามีชีวิต ท่านทนได้ไหมที่ต้องเห็นเขาตายไปต่อหน้า (ทนไม่ได้)  เมื่อเห็นเขาตกทุกข์ได้ยากเดือดร้อน ท่านทนได้ไหมที่จะนิ่งเฉย ไม่สนใจดูแล (ไม่ได้)  แปลว่าทุกคนล้วนมีจิตเมตตา มีจิตโอบอ้อมอารี เห็นใครตกทุกข์ได้ยาก ไม่อยากให้เขาเดือดร้อน ไม่อยากให้เขาต้องตายไปต่อหน้าต่อตา แต่ว่าความเมตตาของเรานั้นกลับเป็นเมตตาแค่เพียงคิดหรือ ต้องเป็นได้ทั้งคิด พูด และกระทำ และตอนนี้เวลาเราเห็นสัตว์ร้อง ในใจของเรารู้สึกเป็นอย่างไร (สงสาร)  เมื่อตอนเห็นสัตว์มีชีวิตแล้วต้องตายไปต่อหน้า ท่านรู้สึกเป็นอย่างไร นึกถึงหม้อแกงหรือว่านึกถึงกระทะร้อนๆ มนุษย์เรานั้นเวลาเห็นคนอยู่ด้วยกัน เราก็อยากให้เขามีชีวิตอยู่ เวลาเราเห็นสัตว์ที่อยู่ร่วมกับเราต้องตาย เราก็ยังอดสงสารไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือแม้สัตว์ตัวนั้นจะไม่ได้เป็นสัตว์ที่เราเลี้ยงก็ตาม แต่ทำไมกลายเป็นเรารู้สึกอยากกินเขา ทำไมเราไม่เกิดความสงสารให้ต่อเนื่องจนถึงสิ้นสุด แสดงว่าความสงสารของเราเป็นแค่เพียงชั่วครู่ชั่วขณะหนึ่งไม่ใช่ของจริงแท้หรือ (ไม่ใช่) เป็นเพราะความอยากของเราถึงกับฆ่าเขาได้ลง ถึงกับกินเขาได้ลงคอ ความโลภของเราถึงกับประหัตประหารเขาได้ต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ แปลว่าในใจของเราทุกคนก็ไม่อยากจะมีสิ่งนี้ แต่เพราะว่ากินมาจนติดแล้ว เบียดเบียนจนเคยชินแล้ว อำนาจของความชั่วย่อมเป็นอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อใดที่มนุษย์กับมนุษย์ลงโทษกันไม่ได้เมื่อนั้นฟ้าดินจะช่วยจัดการ เมื่อใดที่คนกับคนไม่สามารถตัดสินให้เที่ยงธรรมได้ เมื่อนั้นฟ้าดินจะเที่ยงธรรม อย่าเห็นว่าการฆ่ากันเป็นเรื่องที่ไม่มีผลตอบแทน ย่อมมีผลตอบแทน ทำไมเราอยู่กับบางคนเรารักเขา แต่บางคนเราถึงเกลียดเขา นั่นเป็นอำนาจที่เรามองไม่เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมคนเราปัจจุบันนี้จึงใช้การฆ่าสัตว์มาฆ่าคนได้ลงคอ นั่นเป็นเพราะว่าเกิดจากความชั่วที่ก่อตัวเล็กๆ ความชั่วที่ทนได้เมื่อเห็นสัตว์ตัวเล็กๆ ตา  แล้วนับประสาอะไรกับสัตว์ตัวใหญ่ๆ ที่จะพอกพูนแล้วทำให้ฆ่าเขาลงคอได้จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเวลาเราเกิดเคราะห์ร้ายเคราะห์กรรมที่เราไม่รู้สาเหตุที่เกิดขึ้นกับเรา เราต้องถามตัวเองว่าเราได้สร้างกรรมดีมากแค่ไหน เราได้เคยเบียดเบียนกับคนอื่นบ้างหรือเปล่า หากตลอดมาเราได้ทำดีจะไปกลัวอะไรกับกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราย่อมสามารถหลีกหนีได้ แต่ถ้าคนทำชั่วทำอย่างไรก็หลีกหนีไม่ได้
ธรรมะนั้นหากเราพูดง่ายๆ ก็เปรียบเหมือนอาหารและน้ำดื่ม ไม่มีใครไม่ดื่มน้ำ ไม่มีใครไม่ทานอาหาร แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจรสอาหารอย่างแท้จริง เข้าใจรสแห่งน้ำได้อย่างแท้จริง เพราะหลายคนเวลาดื่มน้ำมักไม่ชอบดื่มน้ำที่เป็นธรรมชาติ เรามักดื่มน้ำที่ปรุงแต่ง เมื่อเวลาที่เรากินอาหารเรามักไม่กินอาหารที่ปกติสามัญ เรามักกินอาหารที่ผ่านการปรุงแต่งอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  การศึกษาธรรมะก็เฉกเช่นเดียวกัน เวลาท่านมาศึกษาธรรมะ บอกว่าเป็นธรรมะธรรมดาๆ ไม่มีการทำพิธีไม่มีการเสกสรร ไม่มีการใช้วิธีการต่างๆ ท่านก็รู้สึกสนใจน้อย แต่พอบอกว่าพระองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์ในการปลุกเสกก็รู้สึกสนใจมากขึ้น อย่างนี้แปลว่ามนุษย์มักจะติดในรูปลักษณ์ที่เป็นพิเศษต่างๆ เราลืมความเป็นธรรมดาธรรมชาติไป แล้วการติดธรรมดาธรรมชาติกับการติดปรุงแต่งอันไหนต้องเหนื่อยกว่ากัน ปรุงแต่งน่าจะเหนื่อยกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไรจึงรู้สึกเหนื่อยกว่า เพราะอะไรจึงติดการปรุงแต่ง (เพราะว่าจิตเดิมแท้ของคนเราเคลือบแฝงด้วยสิ่งที่ไม่ดี) เพราะว่าจิตเรามีจิตเคลือบแฝงในสิ่งที่ไม่ดี ทำให้เราพลอยติดความต้องการที่ไม่ดีไปด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ได้แปลว่าจิตใจของท่านแต่เดิมไม่ดี แต่เพราะว่ามีความเคยชินที่ถูกสั่งสมมาตั้งแต่เด็ก ความเคยชินที่ไม่ถูกต้อง แล้วเราจะทำอย่างไรจึงจะสามารถดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องและดีงามไปตลอด ไม่ติดในการดำเนินไปผิดทาง  (ตอนนี้เรารับอนุตตรธรรม เราต้องแก้ไข) นั่นก็คือต้องรู้จักแก้ไขตน การจะแก้ไขตนนั้นเราก็ต้องแก้ให้ถูกทาง 
เราจะเล่าเรื่องหนึ่งท่านลองฟังดูนะ เวลาเรามีชีวิตอยู่บางครั้งมักติดว่าต้องเอาชีวิตไปฝากไว้กับคนโน้นคนนี้ เมื่อเราเอาชีวิตของเราไปฝากไว้กับเพื่อนคนหนึ่ง ปรากฏว่าเราอยู่กับเพื่อนคนนี้แล้วทุกข์มากกว่าสุข แล้วในเพื่อนคนเดียวกันนี้ เราเอาครอบครัวเอาพี่น้องไปอยู่กับเขา เพื่อนเขากลับดูแลทำให้ญาติพี่น้องเราอดอยาก ขาดการดูแลเอาใจใส่ แล้วถ้าเกิดว่าเพื่อนคนนี้ได้มีตำแหน่งใหญ่โต ไปดูแลหลายๆ คน เขากลับทำให้เพื่อนร่วมงานไม่มีความสามัคคี วุ่นวายเกิดการแก่งแย่งแข่งขัน ท่านจะทำอย่างไรกับเพื่อนคนนี้ดี  (ปัญญา, สิ่งที่ป้องกันกิเลส)  จริงๆ แล้วถ้าท่านตอบอันแรกก็ถูกแล้ว ปัญญาเป็นอาวุธที่แหลมคมที่สุด และก็เป็นเกราะป้องกันได้ดีที่สุด หาปัญญาในการป้องกันตนเองต้องใช้อะไร (ใช้ความเมตตา)  ถ้าเราใช้คำว่าใช้คุณธรรมจะดีกว่าไหม (ดีกว่า)  เพราะว่าคุณธรรมจะสามารถใช้ได้กับทุกๆ คน ถ้าเมตตาคนชั่วร้ายท่านเมตตาตอบ แล้วคนดีท่านก็ใช้เมตตาตอบ เขาจะไม่สามารถหยุดยั้งได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบคนชั่วร้ายเราต้องใช้ความเที่ยงธรรมตอบ ตอบคนดีเราต้องใช้ความดีตอบ สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเราคืออะไร (ไตรรัตน์, ความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ, ดวงจิต)  ยังถูกไม่เต็มที่ ความกตัญญูเป็นคุณธรรมที่ควรปฏิบัติและดูแลให้กับพ่อแม่เรา ดวงจิตที่อยู่ภายในของเรา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า (วิญญาณ, จิตใจ)  จิตใจดวงจิตเป็นสิ่งที่มีค่า ถ้าทุกท่านเห็นว่าความกตัญญูเป็นทรัพย์สมบัติอันมีค่าทำไมไม่รีบทำกัน ทำไมกลับไปแสวงหาเงินทองแล้วปล่อยให้พ่อแม่เดียวดายได้ แปลว่าเราเห็นอะไรมีค่ามากกว่า (ทรัพย์สินเงินทอง)  แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่มีค่ามากที่สุดคือชีวิต การมีชีวิตทำให้ท่านมีเงิน การมีชีวิตทำให้ท่านเป็นคนดีหรือเป็นคนชั่วใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วอย่างนี้ชีวิตยังแยกไม่ถูกเลยว่า อะไรสำคัญที่สุด อะไรไม่สำคัญแล้วอย่างนี้จะดำเนินชีวิตออกไปได้อย่างน่าเป็นห่วงไหม เราชักเป็นห่วงท่านแล้วนะ ยังไม่รู้เลยว่าอะไรสำคัญที่สุด เมื่อมีการดำเนินชีวิต เรารู้จักที่จะมองออกได้ชัดเจนและกำหนดความหมายของสิ่งต่างๆ ได้ถูกต้อง จิตใจจะเคลื่อนไหวย่อมขึ้นอยู่กับความดีงาม สิ่งภายนอกสื่อให้ใจพาขยับเขยื้อน แล้วเมื่อใจคิดได้ใจต้องขยับเขยื้อนไปตามสิ่งภายนอก แต่ถ้าใจนิ่งท่ามกลางความวุ่นวายย่อมเป็นอันดีกว่า ถ้าใจข้างนอกวุ่นวาย ใจข้างในก็วุ่นวาย การเคลื่อนไหวก็เป็นอันตรายใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือเมื่อภาวะภายนอกวุ่นวาย ใจต้องนิ่ง เมื่อใจนิ่งแล้วเราจะสามารถดิ่งลงไปในเรื่องราวต่างๆ ได้แจ่มชัด ได้ชัดเจน ฟังตรงนี้พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)  แล้วเมื่อข้างนอกไม่มีใจ ข้างในเป็นอย่างไร (หยุดนิ่ง)  ต้องรู้จักนิ่งก่อนแล้วค่อยเคลื่อนไหว เมื่อไรที่ท่านช่วยตัวเองได้แล้วการจะช่วยผู้อื่นย่อมเป็นอันง่าย ตัวเองช่วยไม่ได้แล้วการไปอยู่ร่วมกับผู้อื่นย่อมอันตราย จริงหรือไม่ (จริง)
ใครอยากมีชีวิตเป็นเช่นสะพานบ้าง เมื่อวานเซียนน้อยมาบอกว่ามีชีวิตให้เป็นดั่งฟ้าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จะมีใครยอมเป็นสะพานหรือเป็นดินบ้าง เป็นสะพานถ้าเกิดว่าเท้าเขาเปื้อนต้องยอมให้เขาเหยียบย่ำ ทนได้ไหม (ทนได้) แล้วต่อจากนี้ไปจะเป็นสะพานที่นำความสุข และความดีงามมาให้กับมวลชนหรือไม่ (จะเป็น)  ถ้ามีจุดมุ่งหมายที่ดี แม้จะทำได้หรือไม่ได้เราก็ขอเอาใจช่วย แล้วคุณสมบัติของการเป็นสะพานต้องมีอะไรบ้าง (ต้องพร้อมจะพาผู้คนให้ข้ามไปถึงฝั่งไม่ว่าจะเป็นคนที่ร่ำรวยหรือยากจน)  ไม่เลือกที่รักมักที่ชังใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าคนที่เกลียดที่สุดท่านต้องรักได้ ท่านต้องยอมให้เขาข้ามไปบนไหล่ท่านได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แปลว่าท่านจะไม่ทะเลาะกับใครแล้วนะ (พร้อมที่จะให้คนทุกคนเหยียบข้ามไปไม่ว่าคนๆ นั้นเท้าเขาจะเปื้อนหรือไม่เปื้อน, ต้องเป็นคนที่มีความอดทน)  คุณสมบัติของสะพานก็คือมั่นคงและแข็งแรง ข้อสำคัญข้อแรกก็คือว่า เราต้องมั่นใจและมั่นคงในสิ่งที่ตนเองจะกระทำลงไป หากวันนี้ที่นั่งฟังมาแม้ท่านจะรู้ว่าดี หากไม่มีความเข้าใจ ความมั่นคงของสะพานย่อมไม่มีใครที่จะเหยียบย่างขึ้นไปได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้รู้ว่าการบำเพ็ญตน การดำรงตนให้มีคุณธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเราไม่เข้าใจในการกระทำดีแล้ว ความดีนั้นก็ย่อมยากจะบังเกิด สะพานนั้นย่อมเป็นแค่เพียงโครงร่าง ไม่อาจก่อเป็นตัวตนที่แท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการศึกษาธรรมในวันนี้ ขอเพียงมีความเข้าใจ เราไม่ได้ต้องการความงมงายหรือความศรัทธาอย่างแค่คำว่าเชื่อ แต่ต้องการคำว่าเชื่อที่พร้อมจะลงมือปฏิบัติแล้วออกไปสู่สังคมด้วยท่าทีที่ถูกต้องและดีงาม อย่างนี้ถึงจะเป็นการเข้าใจและศรัทธาทั้งในตัวตนและคุณธรรมแห่งตนใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วสะพานอีกความหมายหนึ่งพอเข้าใจไหม สะพานที่ข้ามไปสู่ฝั่งนิพพาน อย่างนี้ถึงจะเป็นการเข้าใจและศรัทธาทั้งในตัวตนและคุณธรรมแห่งตนใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วสะพานอีกความหมายหนึ่งพอจะเข้าใจไหม คือสะพานที่ข้ามไปสู่ฝั่งนิพพาน (อาจารย์บรรยายธรรม : คำว่า "สะพาน" คือคนที่ไม่เพียงแต่มีความมั่นคง ขณะเดียวกันยังพร้อมที่จะสละตนเองเพื่อจะเปล่งประกายของตัวเองให้คนอื่นเดินข้ามไปได้ ส่งเสริมคนอื่นให้สามารถที่จะบำเพ็ญธรรม เพื่อไปสู่ฝั่งได้ตลอดรอดฝั่ง) เวลานั่งอยู่ริมทะเล ลมพัดผ่านมา มีคลื่นซัดสาดแล้วลูกแล้วลูกเล่า แต่จริงๆ แล้วธรรมชาติที่เรามองเห็นก็ช่วยทำให้เรามองเห็นชีวิตได้ คลื่นที่ซัดสาด ลมที่พัดผ่านก็เหมือนกับชีวิตของคนที่ร่วงโรยไป เวลาที่ผ่านไปไม่เคยหยุดยั้ง  ขอให้รู้การปกโปรดยุคสาม เราสามารถมาได้ทันเวลา มาได้ทันแล้วขอให้ปฏิบัติให้ทันเวลาด้วย การปกโปรดยุคสามต้องการฉุดช่วยจิตวิญญาณของทุกคนให้กลับคืนสภาพเดิมแท้จากที่เคยเป็นมา สภาพเดิมแท้คือ สภาพแห่งความบริสุทธิ์ใสสว่าง คนทุกคนมีความบริสุทธิ์อยู่ในตัว แต่เพราะกิเลส อารมณ์ ตัณหา รัก โลภ โกรธ หลง บดบังทำให้เรามองไม่เห็นความใส และคิดว่าความใสนั้นคือความขุ่น แต่แท้ที่จริงแล้วถ้ายอมขัดเกลาตนเอง ยอมขัดล้างตนเอง ชะล้างตนเองก็ย่อมกลับคืนได้ เฉกเช่นน้ำขุ่นก็สามารถเปลี่ยนเป็นน้ำใสได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะยอมขัดเกลาตนเองไหม เปลี่ยนเป็นคนที่บริสุทธิ์ดีงาม ไม่ใช่สามวันดีสี่วันไขั อย่างนี้ไม่ใช่จิตเดิมแท้ของตน อย่างนี้ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ตัวตนที่แท้จริงคือตัวตนที่อยู่ตรงนั้นแล้วไม่เปลี่ยนแปลง แล้วเรามีหรือเปล่า สิ่งนั้นทุกคนมีแต่เพราะว่าเรามักจะลืม เรามักจะดูเบาตนเองแล้วคิดว่าตนเองนั้นดีไม่ได้ ตนเองนั้นดีไม่หมด เรามักจะพ่ายแพ้กับสังคม พ่ายแพ้กับกระแสแห่งความนิยม กระแสแห่งโลกใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนคงบำเพ็ญได้ การบำเพ็ญคงไม่ใช่เรื่องยากใช่หรือไม่ (ใช่) การบำเพ็ญไม่ใช่ให้ท่านทิ้งหน้าที่ ทิ้งภาระ แต่ทำภาระและหน้าที่ที่ตนเองมีอยู่ให้สมบูรณ์ที่สุด ไม่มีความบกพร่อง เมื่อมีโอกาสช่วยเหลือคน นำสิ่งที่ตนเองเข้าใจ นำหลักธรรมที่ตนเองมี ไปปกโปรดช่วยผู้คน ถ้าทำได้นั่นก็คือการบำเพ็ญตน คือการช่วยฟื้นฟูจิตใจอันดีงามของตน ฟังอย่างนี้คงไม่ยากเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่) จะเป็นแค่ต้นไม้ที่ผลิดอกแล้วไม่ตกผลก็ขึ้นอยู่กับท่าน จะเป็นต้นไม้ที่ผลิดอกแล้วตกผลก็ขึ้นอยู่กับท่านอีกเหมือนกัน 
วันนี้เรามาเราก็กลับคืนไปได้ แต่วันนี้ท่านมา ท่านกลับคืนได้หรือยัง (ยัง) กลับได้ก็แต่บ้านของกายเนื้อนี้ แต่บ้านที่แท้จริงของท่าน บ้านที่ไม่ต้องไปวนเวียนอีกคือที่ไหนกัน บางคนมักจะสงสัยว่า เรามาได้อย่างไรแล้วเรากลับแบบไหน จริงๆ แล้วอย่ามัวแต่สนใจคนอื่น น่าจะสนใจตนเองมากกว่าว่าเรามาได้อย่างไรแล้วเราจะกลับทางไหน บางคนอาจจะไม่สนใจเรื่องชาติหน้า ภพหน้า หากไม่สนใจชาติหน้า ภพหน้า ก็ไม่อาจต้องพูดกันแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าใครยังสนใจหันมาคุยกันต่อ เราก็จะเดินไปด้วยกันใช่หรือเปล่า (ใช่)  การศึกษาทั้งสามวันคงไม่ทำให้ท่านสามารถเข้าใจธรรมะนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งทั้งหมด ธรรมะพูดทั้งวันก็ไม่จบแต่ถ้าธรรมะไม่พูดเลยจะมีค่ายิ่งกว่าอีก พูดแล้วคนก็ตีค่าเป็นราคาเป็นความหมาย  แต่ถ้าเรามาและเป็นใบ้กับท่านตลอด ท่านก็ไม่รู้เรื่อง ท่านก็ไม่เข้าใจ เราจึงต้องยืมภาษา ยืมอักษรมาช่วยถ่ายทอด มาช่วยทำให้ท่านเข้าใจว่า ธรรมะที่แท้จริงคืออะไร หากพูดสั้นๆ ง่ายๆ ธรรมะก็คือชีวิต ชีวิตก็คือธรรมะ แต่ทำอย่างไรให้ธรรมะกับชีวิตเป็นสิ่งเดียวกันได้และเป็นสิ่งประเสริฐกลับคืนเบื้องบนได้ นี่จึงจะสำคัญกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เราสามารถทำชีวิตให้มีธรรมะและอยู่บนโลกนี้ได้ แต่จะมีใครบ้างที่คิดว่าทำชีวิตให้มีธรรมะแล้วกลับคืนเบื้องบนได้ หากคิดได้แล้วมุ่งหมายและเดินไปให้ถึง ท่านย่อมสำเร็จได้ แม้วันนี้ไม่สำเร็จ อาจจะมีโอกาสได้ไปบำเพ็ญต่อข้างบนก็ยังดีไม่ใช่น้อยใช่หรือไม่ (ใช่)  ดีกว่าจมปลักอยู่ข้างล่าง หรือไม่ก็หนักลงไปใต้ล่าง น่าเศร้าใจยิ่งนัก
 วันนี้เราก็คงจบสั้นๆ เพียงเท่านี้  การดำเนินชีวิตเลี้ยงตนเองก็ยากแล้ว ยิ่งต้องเลี้ยงคนอื่นด้วย ดูแลคนอื่นด้วย นำคนอื่นด้วยยิ่งยากเข้าไปใหญ่ อย่างนั้นจำอยู่สามอย่างทำได้สบายแน่เลย อย่างแรกก็คืออ่อนน้อมเป็น อย่างที่สองก็คือละอายเป็น อย่างที่สามก็คือแบ่งแยกดีชอบเป็น ถ้าละอายเป็นจะรู้ว่าอะไรถูกอะไรควร ถ้าอ่อนน้อมเป็นจะสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างสมานฉันท์ ประพฤติตนได้อย่างสอดคล้อง ถ้าแยกถูกต้องผิดชอบชั่วดีได้เป็น เขาเรียกว่าเป็นผู้มีสติปัญญา แต่คนเรานั้นการรู้ก็ไม่เท่ากับการทำได้ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้ในสิ่งที่เราพูด แต่ทำได้ดีนั้นยากเหลือเกิน เราคิดว่าเราถูกต้องแล้วแต่คนอื่นเขาว่าไม่ถูกต้อง ท่านจะทำอย่างไร (แก้ไข)  เราต้องสำรวจตัวเอง เราคิดว่าตัวเองดีแล้วแต่ทำไมลูกถึงไม่ได้ดั่งใจ บางครั้งเราต้องปล่อยบ้าง เราต้องวางบ้าง ไม่อย่างนั้นคนที่ทุกข์ก็คือเรา คนที่เศร้าก็คือเรา ทุกคนมีชีวิตของตนเอง เรานำตนเองได้ ถ้าคนอื่นเห็นดีไม่ต้องพูดเลยเดี๋ยวเขาก็ตามมาเอง แต่ถ้าเรานำตนเองได้ ทว่าไม่มีใครเดินตาม เราต้องมองตัวเราเองแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) 
เราคงต้องไปแล้วนะ ขอให้ศึกษาและตั้งใจบำเพ็ญให้ดี เราไม่ได้ต้องการให้ท่านมายึดถือในการมายืมร่าง แต่เราต้องการให้ท่านเห็นถึงสัจธรรมความจริงแท้ของชีวิต หากใครเข้าใจได้คนนั้นก็หลุดพ้นโลกอันสกปรกใบนี้ได้ แต่โลกจะสกปรกหรือสะอาด บางครั้งอยู่ที่ตาและใจเราคิด ถ้าคิดว่าดี โลกก็ทำให้ท่านดีได้ ถ้าคิดว่าสกปรกบ่อยๆ ใจเราก็พลอยสกปรกไปด้วยได้เหมือนกัน รู้การเป็นคนบนโลกนี้จะให้ดีนั้นยากเหลือเกิน แต่ถ้าทำได้ อดทนได้ บำเพ็ญได้ เราก็ย่อมเป็นคนดีได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากให้กำลังใจท่านเยอะๆ นะ เพราะรู้ว่ามีชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พอมาให้บำเพ็ญยิ่งเป็นเรื่องยากเข้าไปใหญ่ใช่หรือเปล่า ต้องอดกลั้น ต้องอดทน ต้องไม่ท้อแท้ ต้องไม่พ่ายแพ้และก็ต้องไม่เผลอใจตัวเองด้วย พอเผลอเพียงนิดเดียวเราก็ย่อมทำผิดได้ ย่อมก้าวพลาดได้ คงต้องจากกันเท่านี้ล่ะนะ


วันจันทร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ทางราบรื่นกลับเดินแล้วยากชนะ ทางขรุขระกลับเดินแล้วชนะง่าย

ชีวิตคนอย่าแสวงแต่สบาย ยิ่งง่ายง่ายท้ายยิ่งยากเท่าทวี
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส อาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า

เกิดมาแล้วพาชีพนี้ให้คงมั่น อย่าคิดสั้นมองการณ์ไกลดีไหมหนา

ฝ่าทวนน้ำกระแสโศกดั่งฝูงปลา มิรอช้าเร่งรัดตนบำเพ็ญดี
บำเพ็ญธรรมเริ่มแรกต้องรู้จักตน แลฝึกฝนด้วยปฏิบัติให้ถ้วนถี่
แก้ไขตนมิรอช้าสักนาที ศิษย์เมธีตามอาจารย์มาไวไว
แสงเทียนส่องเพื่อผู้อื่นใช่เพื่อตน ความอดทนทำให้ใจไม่หมองไหม้
ความพยายามกวักมือเรียกสำเร็จไว้ ศิษย์รู้ไหมทำเพื่อผู้อื่นเรียกพุทธา
หลังจากสามวันนี้ขอศิษย์รัก เร่งตระหนักไม่ละทิ้งการศึกษา
ควบคุมใจควบคุมกายแลวาจา เพียรจนกว่าจะหลุดพ้นไม่ออมแรง
ทะเลทุกข์ปลุกคนตื่นเมื่อรู้คิด หนึ่งชีวิตอย่ามัวเฝ้าหน่ายแหนง
ปลูกถั่วได้ถั่วปลูกแตงได้แตง กรรมรุนแรงกามตัณหาเร่งห่างไกล
ฮา  ฮา   หยุด


กว่าจะรู้แท้ แพ้ใจเลิกเพียรเสียก่อน ความล้าคอยกร่อนทุกก้าวศึกษา คนคิดบำเพ็ญนั้นก้าวเหนือชะตา ฝึกใจฟ้า อย่าเรรวนเฝ้าเปลี่ยนใจ ศิษย์คงมั่นแล้ว ถึงต้องไกลไม่คิดห่วง ศิษย์ได้สิ้นบ่วงแห่งหลุมพรางล้อมฤทัย เพราะมีจุดหมาย มิเดินอย่างลอยชาย โลกทุกสมัยถือหลักธรรมนำตน อย่าดีใจเมื่อสมหวังดังปองทุกอย่าง อย่าโศกใจเมื่อถูกชังหมองหม่น อย่าท้อแท้หากเมื่อใดเกิดทุกข์เกินทน ศิษย์รักเพียรตน จากวันนี้จนสิ้นใจ
     * เกิดมาไม่แคล้ว หลงโลภจงได้คิดห่าง ศิษย์ย้อนมองอย่างนิโรชหลงใหล พลั้งพาขื่นขม ฟ้าจึงยอมฝันใฝ่ ขอคราวต่อไปมิพลาดพลั้งดุจดั่งเดิม  (ซ้ำ *)

ทำนองเพลง : หนี้รัก



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


นั่งฟังธรรมะมาเป็นวันที่สามแล้วเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  คนที่ชวนเรามาเขาบอกว่าฟังธรรมะวันแรกจะเหนื่อยเป็นธรรมดา  พอวันที่สองและวันที่สามจะดีขึ้นเรื่อยๆ เรารู้สึกอย่างนั้นหรือเปล่า (รู้สึก)  เรารู้สึกอย่างนั้นเพราะอะไร (เพราะจิตเราสงบและเริ่มรวมเป็นจุดเดียวแล้ว, ความศรัทธา, เริ่มเข้าใจ , จิตเบิกบานขึ้น, เปิดใจให้กว้างและรับฟัง)  เท่าที่ฟังมานี้มีบางคนใจยังไม่เปิดกว้าง จิตใจยังไม่เบิกบานหรือเปล่า  หัวหน้าชั้นมีหรือเปล่า (ยังมีอยู่บ้าง)  ถ้าหากเราไม่เปิดใจให้กว้างขึ้น ยังปิดจิตใจให้แคบๆ คิดอะไรซ้ำๆ ซากๆ  เราก็จะไม่เข้าใจธรรมะอะไรมากขึ้น จิตใจของเราไม่นิ่งสงบลงก็จะฟังธรรมะไม่รู้เรื่อง เปรียบไปแล้วมานั่งฟังสามวันนี้ก็เหมือนมานั่งฟังเปล่าๆ ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย คุ้มหรือไม่ (ไม่คุ้ม)  

เวลาที่เรานั่งฟังธรรมะจะต้องมีความตั้งใจ  จิตใจต้องเปิดกว้าง  พร้อมที่จะศรัทธา  พร้อมที่จะพิจารณา  แล้วยังมีอะไรอีกที่ทำให้ศิษย์รู้สึกว่ามานั่งฟังวันที่สามแล้วดีกว่าวันที่หนึ่งและวันที่สอง (จิตใจเปิดพร้อมที่จะปฏิบัติทั้งกายและใจ , เข้าใจหลักสัจธรรม , เริ่มเข้าใจความเที่ยงแท้และความเป็นสัจธรรม)  มีใครอยากจะตอบว่าเริ่มชินกับการขึ้นบันได 5-6 ชั้นหรือเปล่า  ต่อให้เป็นสาวๆ หนุ่มๆ แล้วให้เดินขึ้นๆ ลงๆ ก็เหนื่อยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เมื่อเรารู้สึกเคยชินขึ้นก็จะรู้สึกดีขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เปรียบเสมือนการที่เราได้ทำความดี  คนมักบอกว่าความดีทำยาก ความชั่วทำง่าย  ความดีเปรียบเสมือนการก้าวขึ้นบันไดซึ่งต้องออกแรง  แต่เวลาลงแทบจะหลับตาวิ่งได้  ฉะนั้นถามว่าการก้าวขึ้นบันไดกับการก้าวลงบันไดนั้นเราควรจะเลือกทำแบบไหน (ก้าวขึ้นบันได)  การก้าวขึ้นบันไดมาสู่สถานธรรมนั้น  ความเหนื่อยของเราจากวันแรกที่เราไม่ชินเลยกับการขึ้นบันได 5-6 ชั้น  จนมาถึงวันนี้เป็นวันที่สามแล้ว เริ่มชินขึ้นไหม (เริ่มชินขึ้น)  เริ่มรู้ว่าความดีเริ่มจะทำง่ายขึ้น  ในขณะที่เมื่อก่อนเรารู้สึกว่าความดีนั้นทำยาก  แต่ได้ฝืนตัวเองมาถึงสามวันแล้ว  ตอนนี้ความดีก็เริ่มทำง่ายขึ้นแล้ว  ฉะนั้น เมื่อกลับไปแล้วจะกลับไปขึ้นบันไดหรือลงบันได (ขึ้นบันได)  กลับไปขึ้นบันไดที่บ้านเหนื่อยกว่าขึ้นบันไดที่สถานธรรมอีก  กลับไปขึ้นบันไดในสังคมเหนื่อยกว่าขึ้นบันไดที่บ้านอีก  การขึ้นบันไดในโลกนี้ยากกว่าการขึ้นบันไดในสังคมอีก เอาไหม  การขึ้นบันไดสู่นิพพานยากที่สุด ยากยิ่งกว่าการขึ้นบันไดไหนๆ เอาไหม (เอา)  ถ้าหากว่าศิษย์นั้นฝ่าด่านไปได้เป็นขั้นๆ ในที่สุดแล้วก็จะพบความง่ายของการทำความดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีหลายคนชอบบอกว่า ทำไมจะต้องฝืนตัวเองด้วยล่ะ  อยากทำอะไรก็ทำสิ  แต่สมมติว่าทุกคนชอบการลงบันได ชอบการทำความชั่วเพราะเห็นว่าทำง่าย  ปล่อยจิตใจไหลไปเหมือนกับน้ำไหลลงที่ต่ำ  ทุกคนคิดอย่างนี้  โลกนี้ก็จะไหลลงไปสู่ที่ไหน (ที่ต่ำ)  ในที่สุดแล้วโลกนี้ทั้งโลกก็จะเป็นโลกที่ตกต่ำ  แล้วเราก็อยู่ในโลกที่ตกต่ำนี้ด้วย  จิตใจของเราก็ตกต่ำไปด้วย  ถามว่าในที่สุดแล้วจิตใจของเราจะสูงได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าศิษย์ไม่รู้จักฝืนตนเอง  ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม  คนอื่นทำชั่วเราก็ทำดีกว่าเขานิดหนึ่ง  ลูกหลานของเราก็ทำดีกว่าเราอีกนิดหนึ่ง  พอเผลอๆ ก็ไหลลงไปที่ต่ำอีกทั้งหมดเลย  ในที่สุดแล้วเราก็จะไม่สามารถขึ้นสู่ที่สูงได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เคยเห็นปลาไหม (เคย)  รู้ไหมว่าปลามีคุณสมบัติแบบใด (ว่ายทวนน้ำ)  เขาฝืนไหม (ฝืน)  เขาไม่ปล่อยตัวเองไปตามน้ำ  ไม่ว่าจะวันไหน เวลาไหน นาทีไหน  ถ้าหากว่าเหนื่อยก็หยุดพักอยู่กับที่  แต่ไม่ปล่อยตามใจตัวเองไปใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นความสำคัญของการฝืนตนเองให้ตั้งอยู่บนความดีหรือยัง (เห็นแล้ว)  ฉะนั้นจงดูว่าหลังจากวันนี้ศิษย์จะไปปีนบันไดไหน หรือจะไปลงบันไดไหน  ถ้าหากว่าปีนบันไดสถานธรรมขึ้นมาแล้วก็ลงไปใหม่  ก็กลับกลายเป็นคนไม่บำเพ็ญ  แล้วจุดจบของคนที่ไม่บำเพ็ญนั้นก็อยู่ที่การเวียนว่ายตายเกิด  ถ้าหากว่าอยู่ในสังคมไม่ยอมปีนบันไดขึ้นไป  คอยแต่จะลงมาเรื่อยๆ ก็กลายเป็นคนไม่ดีของสังคม  ถ้าหากว่าอยู่ในโลกนี้ไม่ยอมปีนบันไดขึ้นไป แต่อยากจะตกต่ำลงมา  มีคำเปรียบเทียบว่า  สวรรค์อยู่เบื้องบน  นรกอยู่เบื้องล่าง โลกนั้นตั้งอยู่ตรงกลาง  ถ้าหากไม่ยอมปีนบันไดโลกขึ้นไป  คอยแต่จะตกต่ำลง  ถ้าหากว่าบันไดนิพพานศิษย์ไม่ขึ้น  ศิษย์ก็ลงมาข้างล่าง  เปรียบไปแล้วก็คือคนที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบไม่สิ้น  ชาตินี้เราเกิดมาจำได้ไหมว่าเรากินข้าวไปกี่จาน  จำได้ไหมว่าเราเคยไปสถานที่เดิมๆ กี่ครั้ง  จำได้ไหมว่าเรานั้นเคยทำความผิดไปกี่ครั้ง (จำไม่ได้)  การที่เราต้องเวียนว่ายตายเกิดก็เหมือนกัน  เหมือนกับที่เราต้องมีร่างกายนี้ แล้วก็มีร่างกายนี้ซ้ำครั้งที่สองครั้งที่สาม  เหมือนกับเราเคยไปสถานที่ที่นั้นแล้วเราก็ต้องกลับไปที่นั่นอีกเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ครั้งที่ร้อย ครั้งที่หมื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับเรานั้นต้องกินข้าว  กินเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว เบื่อหรือยัง  บางคนบอกว่าเป็นโรคเบื่อข้าว  คิดดูสิว่าต้องกินทุกวัน  ไม่กินก็หิว  แต่ก็ต้องกินทุกวัน  ฉะนั้นเราควรที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้หรือไม่ (ควร)  โดยเฉพาะหลักใหญ่  การที่เราต้องเวียนว่ายตายเกิดเพราะเราต้องการพ้นความทุกข์ที่มีนับครั้งไม่ถ้วนนี้  ต้องการพ้นจากความสุขที่พาความผิดหวังมาในภายหลัง  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากให้ศิษย์รู้จักบำเพ็ญ  เมื่อบำเพ็ญแล้วจึงจะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้  เห็นความสำคัญของการบำเพ็ญหรือยัง (เห็น)  
เพลงที่ร้องเมื่อสักครู่ ท่อนจบร้องว่าอย่างไร (โปรดให้ศิษย์บำเพ็ญรู้จริง)  ต้องบำเพ็ญเท่านั้นจึงจะรู้จริงได้  ถ้าไม่บำเพ็ญจะรู้จริงไหม (ไม่รู้)  การบำเพ็ญก็คือการปฏิบัติ ขัดเกลาจิตใจตนเอง  หากไม่บำเพ็ญก็ไม่สามารถที่จะรู้จริงได้  ถ้าหากว่ากลับไปแล้ว ไปนั่งเฉยๆ อยู่ที่บ้าน  ต่อให้มีคนโทรศัพท์ไปเรียก  ถามว่าเรานั้นจะรู้จริงไหม (ไม่รู้)  คนอื่นรู้จริงกว่าเราใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจะต้องมาบำเพ็ญเองดีไหม (ดี)
“ทางราบรื่นกลับเดินแล้วยากชนะ ทางขรุขระกลับเดินแล้วชนะง่าย”  
เพราะอะไรทางที่ราบรื่น ทางที่ให้เดินไปง่ายๆ เรากลับชนะไม่ได้  เพราะไม่ได้ผ่านอุปสรรคใช่ไหม (ใช่)  เพราะทางราบรื่นเปรียบเสมือนให้เรานอนเตียงที่นิ่มๆ สบายๆ  ถามว่าปวดหลังไหม (ปวด)  แต่หากให้เราลงไปนอนที่พื้นแข็งๆ จะหายปวดหลังไหม (หาย)  อันไหนดีกว่ากัน (นอนพื้นแข็ง)  เราก็รู้ว่า ถ้าหากเราไม่อยากเจ็บหลังก็คือเรานั้นไม่อยากจะลำบากที่จะต้องนอนพื้นใช่หรือไม่  แสดงว่าเราต้องลำบากมาก่อนใช่หรือเปล่า แต่ถ้าหากว่าตามใจตนเองอยากจะนอนนิ่มๆ อยากจะเดินสบายๆ อยากเรียนจบดีๆ แล้วก็ไวๆ ด้วย อยากบำเพ็ญเป็นพุทธะ โดยไม่ต้องบำเพ็ญมีไหมในโลกนี้ (ไม่มี)  ทุกสิ่งทุกอย่างต้องฝ่าความยากลำบาก ยิ่งเรานั้นเป็นคนที่มีนิสัยความชินเคยมากเท่าไร เราก็จะไม่สามารถที่จะขึ้นไปสู่ที่สูงกว่าที่เป็นอยู่ได้ใช่หรือไม่ 
“ชีวิตคนอย่าแสวงแต่สบาย ยิ่งง่ายง่ายท้ายยิ่งยากเท่าทวี”  
หากวันนี้เรานั้นยิ่งประสบความง่ายดายมากเท่าไร เรายิ่งไม่รู้จักความยากลำบาก ยิ่งไม่รู้จักการที่เรานั้นจะฝ่าฟันอุปสรรคได้อย่างไร เหมือนกับการที่พ่อแม่หาเงินทองให้เราเรียบร้อย ถึงเวลาเราก็ใช้ อายุมากเราค่อยไปหา เรารู้สึกว่ายากลำบากไหม (ยาก)  แต่กลับกันอย่างที่เราเคยได้ยิน เขาบอกว่าพ่อแม่เมื่อก่อนนี้เขาลำบากเลือดตาแทบกระเด็น แต่ว่าท่านใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายไหมเวลามีเงิน (ไม่)  ก็ไม่ได้สุรุ่ยสุร่ายอะไร แสดงว่าคนเรานั้นต้องเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราหามาใช่หรือไม่  เราหาสิ่งใดมาบ้าง ชีวิตนี้บางคนก็อายุกลางคนแล้ว บางคนก็เลยไปแล้ว บางคนก็ยังไม่ถึงวัยกลางคนเลย ถามว่าชีวิตนี้สิ่งที่เราหาคืออะไร  
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นชาย-หญิงตอบสลับกัน ฝ่ายไหนตอบเป็นคนสุดท้ายจะเป็นผู้ชนะ) (ความรู้, ต้องการการหลุดพ้นและจะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด, ทรัพย์สินเงินทอง, ความมั่นคงในชีวิต, ความสุข, เมื่อก่อนยังไม่ได้รับธรรมแต่เมื่อรับธรรมแล้วก็ได้รู้ว่าเราจะกำหนดชีวิตไปได้อย่างไร, เกียรติยศชื่อเสียง, แสวงหาคุณธรรม, หาความยุ่งยากมาใส่ชีวิต, หาปัจจัยสี่, แสวงหาหลักธรรม, หาจิตใจที่แท้จริงของตัวเองด้วยการใช้ปัญญา, หาสัจธรรมความจริง, ความสันติสุข, หาแก่นสารแก่นแท้ของชีวิตให้เจอแล้วปฏิบัติ, หาทางให้ตนเองเป็นสุขและช่วยให้ผู้อื่นเป็นสุขด้วย, แสวงหาลาภยศเงินทอง, แสวงบุญ, หาความจริงในชีวิต กตัญญูต่อบิดามารดามากกว่าที่เคยเป็น, หาความสงบในจิตใจ, ธรรมะเปรียบเสมือนเพชรเราต้องขุดคุ้ยขึ้นมาให้ได้สิ่งนั้น, ชีวิตที่ผ่านมาเหมือนกับการหาพันธนาการทุกอย่างมารัดเรา โซ่เส้นหนึ่งเส้นแล้วเส้นเล่ารัดเราเข้าไปทุกวัน, พวกเราต่างคิดว่าสิ่งที่เราเคยแสวงหานั้นคือความสุข เป็นความสบายแต่เราไม่ทันคิดว่า สิ่งที่เราได้พบเจอนั้นแท้จริงหรือเปล่า สุขที่แท้จริงคือเราพยายามจะหาความหลุดพ้น แต่ว่าพวกเรามองไม่เห็นมันเท่านั้นเอง, แสวงหาจิตญาณเดิมและเคารพในกายของเรา)
การแพ้ชนะนั้นไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้มาตัดสิน แต่การแพ้ชนะอยู่ที่คำตอบของศิษย์นั้นว่ายอมตอบหรือไม่ คนที่ตอบว่าตนเองนั้นแสวงหามรรคผลนิพพาน แสวงหาจิตญาณเดิมแท้ แสวงหาสิ่งที่เป็นกุศลทั้งหลายก็เป็นผู้ชนะ ส่วนคนที่ตอบว่าตัวเองนั้นแสวงหาลาภยศเงินทองที่พักที่พิง แสวงหาสิ่งที่เป็นปัจจัยสี่ทั้งหลาย ถามศิษย์ว่าจะแสวงหาถึงวันไหน ถึงได้คำว่า “พอ”  คนที่แสวงหาเช่นนี้เป็นคนที่แพ้อยู่เสมอ เพราะว่าคนที่แสวงหามรรคผลนิพพาน ไม่ใช่ว่าเขานั้นจะตัดเสียจากทางโลก แต่เขากลับทำทางโลกให้ดี เป็นคนดีคนหนึ่งของสังคม ในขณะเดียวกันก็สละเวลาว่างต่างๆ นั้นมาแสวงหามรรคผลนิพพาน ฉะนั้นการชนะและแพ้นั้นอยู่ที่ใจของศิษย์  ในหัวใจเราเหมือนมีอยู่สองข้าง ข้างหนึ่งเป็นอธรรม ข้างหนึ่งเป็นธรรมะ ดูซิว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นจะให้ฝ่ายมารหรือพุทธะดึงไป  ถ้าหากว่าเรานั้นให้ฝ่ายพุทธะดึงมา เราวางตนได้ดีเสมอๆ  เรานั้นก็เป็นผู้ที่ชนะ  แต่ถ้าหากว่าเรานั้นวางตนไม่ดี แสวงหาอย่างไม่รู้จักพอ  คนๆ นี้ตลอดชีวิตคงไม่มีคำว่า “พอ”  สำหรับคำว่าปัจจัยสี่ใช่หรือไม่ (ใช่)   
สถานธรรมที่นี้มีชื่อว่าอะไร (ไท่อิน)  แปลว่าอะไร  คำว่า “ไท่”  หมายถึงความดีงาม  ส่วนคำว่า “อิน” หมายถึงเสียง  เสียงที่ดีงามอยู่ที่ตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเปล่งเสียงๆ ก็ออกจากตัวใคร (ตัวเรา)  แล้วเสียงที่ดีอันนี้ก็ต้องออกมาจากใจที่ดีด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจที่ไม่ดีพูดสิ่งที่ดีได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ถ้าหากว่าคนที่มีใจที่ไม่ดีพูดสิ่งที่ดีก็เท่ากับเป็นการหลอกตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราหลอกตัวเองแล้ว เราก็คงจะหลอกผู้อื่นด้วย  แต่ถ้าเราไม่หลอกตัวเองแล้วเราก็ย่อมไม่หลอกผู้อื่นด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากคนที่หลอกคนเขาเรียกว่าอะไร (คนโกหก) ผีชอบหลอกคนใช่หรือไม่ (ใช่)  แสดงว่าถ้าเราหลอกตัวเองและหลอกผู้อื่นก็กลายเป็นผีในคราบคน  เพราะฉะนั้นอย่าได้หลอกตัวเองและหลอกผู้อื่นดีหรือเปล่า  (ดี)   เพราะว่าชาตินี้เราจะบำเพ็ญให้เป็นพุทธะ  จะบำเพ็ญไปเป็นผีไม่ได้
(นักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรมในชั้นกราบรับพระอาจารย์)
กราบรับพระอาจารย์เอาอะไรกราบรับ (ใจ)  ใจของศิษย์เป็นสีขาวหรือเป็นสีดำ หรือเป็นสีขาวลายดำ (สีขาว)  จิตใจที่ขาวนี้อยู่ได้กี่วัน  ใครคิดว่าอยู่ได้ตลอดชีวิต ใครคิดว่าไม่แน่ใจ 
ศิษย์รู้จักอาจารย์หรือเปล่า (รู้จัก)  การรู้จักไม่ใช่รู้จักกันแต่ชื่อ  การที่เราจะรู้จักคนๆ หนึ่งนั้นรู้จักได้ที่ไหน (ใจ)  รู้จักที่ใจต้องทำอย่างไรดี  จึงจะให้เขารู้ว่าเรามีใจที่ดี (อยู่ที่การบำเพ็ญและการแสดงออกจากใจ)   การบำเพ็ญและการแสดงออกใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์คนนี้พูดทำให้อาจารย์นึกถึงว่า การที่ศิษย์ของอาจารย์จะเป็นคนที่มีใจในการบำเพ็ญธรรมนั้น ศิษย์บอกว่า ให้อาจารย์ดูที่ใจ  แต่ว่าคนที่เป็นผู้ร่วมบำเพ็ญนั้นไม่ได้ดูใจของศิษย์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นมนุษย์มีคำพูดกล่าวว่า “เห็นหน้าไม่รู้ใจ”  แสดงว่าคนอื่นไม่รู้ใจเรา  ทำอย่างไรจึงให้เขารู้ใจได้  อยู่ที่การแสดงออกใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเคารพเขาเราก็ต้องไหว้เขา  เขาจึงจะรู้ว่าเราเคารพ  เราอ่อนน้อมต่อเขาเราต้องโค้งให้งาม เราต้องแสดงสีหน้าที่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์บอกว่า  มีใจต่อการบำเพ็ญ ทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าศิษย์มีใจ (ช่วยเหลือผู้มีทุกข์, บำเพ็ญโดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค)  เราต้องลงมือปฏิบัติสักครั้งหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  ประจักษ์ผลของการปฏิบัติดูที่เวลาเรานั้นเป็นคนที่ไม่ดี  เราลองเปลี่ยนแปลงตัวเองดู แล้วดูว่าคนที่บ้านบอกว่าเราดีขึ้นหรือเปล่า  คนที่อยู่รอบข้างเราบอกว่าเราดีขึ้นหรือเปล่า  ดังนั้นจึงบอกได้ว่าเรานั้นเป็นคนที่มีใจที่จะบำเพ็ญธรรม มีใจที่จะใสสะอาดใช่หรือไม่ (ใช่) ในทางกลับกันคนประเภทนี้ถือว่าเป็นคนที่รู้จักอาจารย์  เป็นคนที่รู้จักที่จะบำเพ็ญใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอาจารย์ไม่ได้มาที่จะคุยเล่น  หยอกล้อกับศิษย์ ให้ศิษย์นั้นหัวเราะเฮฮา กลับไปบ้านด้วยความปลอดโปร่งใจ  แต่อยากให้ศิษย์กลับไปแก้ไขปรับปรุงตนเอง  เพราะฉะนั้นถ้าบอกว่ารู้จักอาจารย์ดีก็ต้องแก้ไขในสิ่งที่ไม่ดีได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้ทำไม่ได้ พรุ่งนี้ทำได้หรือเปล่า (ได้)  พรุ่งนี้ทำไม่ได้มะรืนนี้ทำได้หรือเปล่า (ได้)  แต่ที่สำคัญวันนี้ต้องทำใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าบอกว่าไม่เป็นไรพรุ่งนี้ค่อยทำก็ได้ หรือไม่ก็บอกว่า มะรืนนี้ค่อยทำก็ได้  คนประเภทนี้เป็นคนที่ชอบดินพอกหางหมู ใช่หรือไม่ ถามว่าเป็นคนหรือเป็นหมู  เราเป็นคนเราจึงต้อง ไม่เอาดินมาพอกหางเรา  เพราะเราไม่มีหางใช่หรือไม่ (ใช่) 
ศิษย์ทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า (อิ่ม)  อร่อยหรือเปล่า (อร่อย)  อร่อยแล้วรู้จักแม่ครัวหรือยัง (รู้, ไม่รู้)  เคยเดินไปบอกแม่ครัวว่า แม่ครัวทำกับข้าวอร่อยจังเลย เคยหรือไม่ (ไม่เคย)  หัวหน้าชั้นเคยหรือเปล่า (ไม่เคย)  หัวหน้าชั้นยังรู้จักเรือ ยังรู้จักคนในเรือไม่ดีเลย ไม่รู้ว่าคนไหนเป็นคนทำกับข้าว วันหลังมาสถานธรรมจะให้ใครทำให้กินล่ะ ใช่หรือไม่ มาหาอีกทีหนึ่งอาจารย์บรรยายธรรมทำกับไม่เป็น มาหาอีกทีหนึ่งอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมทำกับข้าวไม่เป็น  วันทั้งวันก็อดข้าวเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเวลาที่มาสถานธรรมนี้ เหมือนกับเป็นพี่เหมือนเป็นน้อง  เรามาใหม่เราเป็นน้อง เขาอยู่ก่อนเขาเป็นพี่  เป็นพี่เป็นน้องกันด้วยความรักใคร่  ก่อนจะรักใคร่กลมเกลียวต้องรู้จักกันหรือเปล่า (รู้จัก)  
มนุษย์นั้นมักเข้าใจผิด ชอบรู้จักกัน แต่จริงๆ ก็รู้จักเพียงข้อเสียของคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าเวลาเรารู้จักกันนั้นต้องรู้จักข้อเสียของเขาหรือไม่ จำเป็นหรือเปล่า (ไม่จำเป็น)  มนุษย์มีข้อดีมีข้อเสีย มีจิตใจที่เป็นพุทธและจิตใจที่เป็นมาร  เพราะฉะนั้นทุกอย่างมีอยู่สองอย่าง ดูซิว่าศิษย์จะเลือกอันไหน  เวลาศิษย์จะแสดงออก ดูว่าจะแสดงออกด้วยใจพุทธะที่ดีงามหรือว่าแสดงออกด้วยใจมาร ใจอันชั่วร้าย เวลาศิษย์จะรู้จักคนจะพูดคุยกับคน จะส่งเสริมคนดูว่าศิษย์จะใช้ใจพุทธะหรือใจมาร เวลาที่ศิษย์จะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ ให้ดูว่าเราจะใช้ใจประเภทไหน มนุษย์ทุกคนมีข้อดีมีข้อเสีย จะใช้ใจยังต้องเลือกเอาหนึ่งเดียว เวลารู้จักคนรู้จักเพียงข้อดีก็พอ ใช่หรือไม่ ไม่จำเป็นต้องรู้จักข้อเสีย เวลาเรารู้จักข้อเสียของคนๆ หนึ่งเรารู้สึกไม่อยากที่จะคบเขาใช่หรือไม่ แล้วเรามีข้อเสียไหม (มี)  ถ้าเขารู้จักเราตรงข้อเสียล่ะดีไหม (ไม่ดี)
คนมีทั้งข้างหน้าและข้างหลัง เวลาหันหน้าเข้าหากันจะเห็นทั้งสองด้านไหม (ไม่เห็น) เห็นเพียงด้านไหน (ด้านหน้า) ด้านหน้าเปรียบเสมือนความดี เวลาหันหน้าเข้าหากันหันได้กี่ด้าน (ด้านเดียว)  จะเอาด้านไหนหันเข้า (ด้านหน้า)  อย่าเผลอเอาด้านหลังหันให้นะ ถ้าหากว่าเรารู้จักคนจริงๆ ก็จะรู้ว่าคนทุกคนมีสองด้าน จะหันด้านใดเข้าหาก็ให้พิจารณาให้ดีๆ บางคนชอบที่จะหันด้านหน้า แต่เอาความชั่วไว้ด้านหน้า เอาความดีไว้ด้านหลังจะมีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  ใครมองมาเจอศิษย์ด้านหน้าที่เป็นความชั่ว เขาจะรักใคร่เราไหม (ไม่)  เพราะฉะนั้นควรจะหันด้านหน้าที่เป็นด้านดี อย่างนี้จึงจะมีผลที่ดีเกิดขึ้น เพราะเวลาเราอยู่ด้วยกันก็เปรียบเสมือนเราตั้งวงกลมขึ้นวงหนึ่ง วงกลมวงนี้ทุกคนหันหน้าเข้าหากันทั้งสี่ทิศ
(พระอาจารย์เมตตาให้ตัวแทนนักเรียนสี่คนในชั้นออกมายืนล้อมกันเป็นวงกลม)
คนในวงกลมนี้มองเห็นด้านหลังของอีกคนหนึ่งไหม (ไม่เห็น)  เห็นแต่ด้านข้าง แต่ว่าทำไมเราเห็นล่ะ คนในวงนี้ต้องทำอย่างไรจึงจะเห็นหลังของอีกคนหนึ่ง (ต้องอยู่ข้างนอก)  การที่เราจะเห็นด้านหลังของอีกฝ่ายได้มีอยู่สองทาง ทางแรกคือต้องเป็นคนนอก ทางที่สองคืออะไร แสดงว่าในสี่คนนี้ต้องมีคนหนึ่งไปแอบมองด้านหลังคนอื่นใช่ไหม ซึ่งคนเขาบอกว่าเป็นการนินทาลับหลัง ฉะนั้นเมื่อมีคนหนึ่งเริ่มแอบมองจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อคนนี้เกิดไปนินทาอีกคนหนึ่ง คนนี้ก็จะรู้สึกอย่างไร ก็รู้สึกไม่ไว้ใจใช่หรือไม่ เพราะไม่รู้วันไหนคืนไหนคนอื่นจะแอบเอาเราไปนินทาบ้าง แล้วเราก็เริ่มมองเขาไม่ดี วงนี้จึงกลายเป็นความระส่ำระส่ายใช่หรือไม่ ในทางกลับกันเรามีวิธีการรู้เรื่องคนอื่น และเป็นวิธีการที่ดีงามคืออะไร ถ้าคนนี้รู้สึกอัดอั้นตันใจมาก แต่เรายืนอยู่ตรงนี้โดยเป็นแบบอย่างที่ดีที่คนอื่นมองแล้วรู้สึกว่าเราคงจะให้คำปรึกษาที่ดีได้ เพียงแต่เรายืนอยู่เฉยๆ แต่คนที่รู้สึกอัดอั้นตันใจมากกลับรู้สึกว่าเราเป็นคนที่ดีและอยากปรึกษาเรา อย่างนี้เราก็จะรู้เรื่องคนอื่นไหม (รู้)  ก็เพราะเขามาปรึกษาเรา แม้เราจะยืนอยู่เฉยๆ ก็รู้เรื่องคนอื่นเหมือนกัน ถามว่าจำเป็นไหมที่ต้องมีการนินทาเกิดขึ้น (ไม่จำเป็น)  ไหนใครชอบนินทา คงชอบนินทากันทุกคนใช่หรือไม่ หลังจากวันนี้ถ้าอยากให้ครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่ผาสุก เรื่องในอย่าเอาออกนอก เรื่องนอกอย่าเอาเข้าใน ถ้าอยากให้บ้านเราและรอบๆ บ้านเราเป็นบ้านที่ดีก็ทำอย่างนี้ใช่หรือไม่ ถ้าอยากให้สถานธรรมเป็นนิพพานก็ต้องทำแบบนี้ แต่ถ้าอยากให้สถานธรรมเป็นกระด้งทรายฝัดกันไปก็ฝัดกันมาดีหรือไม่ ธรรมะนั้นฟ้าประทานให้แต่มนุษย์เป็นผู้นำพา อยู่ที่ศิษย์จะนำพาอย่างไร เพราะเราไม่สามารถห้ามผู้อื่นให้ดีหรือไม่ดีได้ แต่เราห้ามตัวเราให้ดีหรือไม่ดีได้
ในวันนี้มาที่นี่ศิษย์ของอาจารย์ทุกๆ คนนั้นพาใจของเราให้รวมเป็นหนึ่งเดียว อย่าได้มีใจคิดวอกแวก มีใจเดียวแต่คิดเป็นสิบๆ เรื่อง อาจารย์พูดอะไรนั้นก็จะไม่ค่อยเข้าใจ การเกิดและการตายของเรานั้นเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ศิษย์ลองมองประวัติศาสตร์ชาติของตนเองสิ เห็นไหมว่ามีหลายคนที่เกิดมาโดยที่คนในโลกไม่รู้จัก แต่ก่อนจะตายนั้น คนอาลัยรักอย่างยิ่ง ดูสิว่าเราเป็นแบบนั้นได้หรือเปล่า ถ้าทุกๆ วันเรายังสนใจแต่เรื่องของตนเองเท่านั้น เราจะไปถึงจุดนั้นได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้นการเสียสละเพื่อผู้อื่นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง)  หากไม่รู้จักเสียสละเพื่อผู้อื่นสักครั้งหนึ่ง ศิษย์จะรู้จักคำว่า “เสียสละ” ได้อย่างไร การเสียสละพาให้มนุษย์นั้นเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ เสียสละเรื่องเล็กๆ ก็เป็นคนที่ยิ่งใหญ่เล็กๆ เสียสละเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากๆ เราก็เป็นคนที่ยิ่งใหญ่มากๆ ถ้าเสียสละในเรื่องของความยิ่งใหญ่ ย่อมเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่การที่เราจะพาตนให้ไปสู่ความยิ่งใหญ่นั้นได้ เราเป็นคนๆ หนึ่งในสังคมในโลก คนรู้จักเราน้อยนิด ถามว่าเรามีความทุกข์ไหม (มี)  หากว่าเราเสียสละเพื่อผู้อื่นอีก เราต้องมีความทุกข์มากขึ้นหรือเปล่า กังวลเรื่องคนอื่นกลัวคนอื่นจะได้รับความเดือดร้อน เรานั้นคิดแทนเขา ช่วยเหลือเขา เราต้องมีความทุกข์มากขึ้นไหม (ต้องมี)  ยิ่งศิษย์เสียสละใหญ่โตมากขึ้นเท่าไร ยิ่งต้องมีความทุกข์ใจมากขึ้นเท่านั้น แต่ว่าความทุกข์ใจอันนี้มีจุดจบที่ความสุขใจ จึงบอกว่าให้ศิษย์นั้นรู้จักที่จะเสียสละเพื่อผู้อื่น กลัวความยากลำบากไหม (ไม่กลัว)  ไม่กลัวก็ต้องเจอ กลัวก็ต้องเจอ ชีวิตนี้เหมือนกับความฝัน เหมือนกับหยาดน้ำค้าง หยาดน้ำค้างพอโดนแดดหายไปไหม (หาย)  ชีวิตนี้เหมือนความฝัน ฝันแล้วต้องตื่นไหม (ตื่น)  เพราะฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักใช้ชีวิตให้มีคุณค่า คนที่อายุมากแล้ว คนที่สูงวัยแล้ว ก็เคยผ่านช่วงที่เป็นเด็กมาก่อน เขาผ่านช่วงที่เป็นเด็กมาก่อนได้อย่างไรล่ะ เมื่อวานนี้เหมือนกับเพิ่งผ่านไปอยู่เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ในที่สุดแล้วเรามองเขาแล้วถามตัวเราว่าเราต้องเป็นแบบเขาไหม เราต้องแก่ไหม (แก่)  ชีวิตนี้จึงไม่จีรังใช่หรือไม่ (ใช่)  จะทำอย่างไรดีถ้าหากว่าเราไม่ได้หลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิด ต้องมาเกิดแก่เจ็บตายวนซ้ำสอง ซ้ำสาม ซ้ำสี่ ซ้ำห้า เป็นซ้ำที่เราไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว อยากพ้นไหม (อยาก)  คนที่อยากจะพ้นหนทางนี้ต้องทำอย่างไร (บำเพ็ญคุณความดี, มีความเชื่อมั่นและปฏิบัติ, เดินสายกลาง)
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับนักเรียนที่ตอบคำถาม)  เวลาที่อาจารย์ให้ศิษย์คว้าผลไม้แล้วไม่รู้ว่าเราจะคว้าหรือเปล่า นี่เป็นทางขรุขระไม่ได้อะไรง่ายๆ สุดท้ายเรากลับได้ผลไม้นั้นมา ในทางกลับกัน เวลาอาจารย์ยื่นให้เฉยๆ กลับไม่แน่ใจที่จะหยิบ นี่คือง่ายเกินไปใช่หรือเปล่า ง่ายเกินไปก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมนั้น บำเพ็ญง่ายๆ ได้ไหม (ไม่ได้)  บำเพ็ญง่ายๆ รับธรรมะง่ายๆ ตอนนี้เวลาศิษย์มารับธรรมะก็เหมือนกับอาจารย์เอาแอปเปิ้ลวางไว้ให้ พอหยิบไปได้ง่ายๆ บอกว่าสงสัยไม่จริง มันง่ายเกินไป เพราะฉะนั้นอาจารย์จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวางไว้เฉยๆ ให้ศิษย์นั้นหยิบ แล้วก็ดูว่าศิษย์คนไหนมีบุญพอที่จะหยิบไปแล้วรู้ว่าแอปเปิ้ลผลนี้เอาไปแล้วกินได้ ธรรมะอันนี้เอาไปปฏิบัติได้ จะเชื่อใจอาจารย์ว่าอาจารย์ไม่ได้วางยาพิษไว้ จะมีกี่คนที่เชื่อก็ดูศิษย์ของอาจารย์เองใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นธรรมะได้ง่ายแต่เวลาเอาไปแล้ว ก็ต้องเอาไปปอกเปลือกเอง เอาไปหั่นเอง จะแบ่งให้คนอื่นไหม เป็นเรื่องของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ให้แอปเปิ้ลแล้วคิดว่าอาจารย์จะเอาคืนไหม (ไม่)  อาจารย์ไม่เอาคืน แต่ว่ามีกิเลสต่างๆ นานาอาจจะแปลงตัวมาให้ศิษย์นั้นรู้ว่าเขารู้ทันศิษย์ดี กิเลสในใจของเรานั้นรู้ทันเราดีใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ให้ไปแล้วแต่จะแปลงตัวเหมือนอาจารย์ แล้วไปขอศิษย์คืน แล้วศิษย์ก็ให้ ตอนนี้สมมติว่ามีกิเลสของเรา มีมารมาแปลงตัวให้เหมือนแล้วมาขอคืนศิษย์จะให้ไหม (ไม่ให้)  ต้องรู้ว่าสิ่งที่เป็นของเรา เราต้องรักษาเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เพียงแต่ธรรมะที่อยากจะพูดถึงแต่มีกิเลสที่ล่อลวงใจเราอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราฉลาด เรารอบรู้ไปหมด แต่กิเลสที่อยู่ในใจของเราฉลาดกว่า เขารู้ว่าเราชอบสีสัน และรู้ว่าเราชอบสีแดง เวลาเห็นเสื้อผ้าสีแดงจะถูกใจเป็นพิเศษ กิเลสสีแดงที่ข้างนอกมีเยอะไหม (เยอะ) เขารู้ว่าเราชอบทอง ทองข้างนอกมีเยอะไหม (เยอะ) เราฉลาดแต่ต้องเชิญเขามาใช่หรือไม่ (ใช่) เงินทองเท่าไหร่ๆที่เราหามา เหนื่อยไหม (เหนื่อย) ให้ใคร เหมือนกับเราให้พ่อค้า แต่เราต้องแลกสิ่งเหล่านั้นมาใช่หรือไม่ (ใช่) ชอบทองที่เป็นสีเหลือง ชอบเสื้อผ้าที่เป็นสีแดง ในที่สุดแล้วเราก็ฉลาดอยู่ แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า คนมีเพชรนิลจินดา เงินทองมากมาย เวลาตายไปก็ไม่สามารถเอาสิ่งเหล่านี้ติดตัวไปได้ สักวันหนึ่งเราต้องทิ้ง  เพราะฉะนั้น ทำไมจะต้องทิ้งมันวันที่เราตายด้วยล่ะ ทิ้งวันนี้ได้ไหม (ได้) อาจารย์ไม่ได้บอกว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ขัดขวางการบำเพ็ญธรรมของศิษย์ เราจะเป็นผู้ที่บำเพ็ญดีเท่าไร ขึ้นอยู่กับเรา  เราจะปล่อยวางได้เท่าไรขึ้นอยู่กับเรา ปลงมากก็มีสุขมาก ปลงน้อยก็มีสุขน้อย ปลงไม่ได้เลยก็ไม่มีความสุขเลย คนที่อยากจะบำเพ็ญธรรม ถามว่าเอาเพชรนิลจินดาใส่มือไว้ ใส่แขนไว้ ใส่คอไว้ มือถือโทรศัพท์ ใส่รองเท้าหนัง เข็มขัดหนัง เสื้อผ้าสวยงาม หน้าถูกวาดไว้อย่างงดงาม ถามว่าคนนี้เป็นคนบำเพ็ญธรรมไหม (ไม่เป็น) เพราะฉะนั้นอาจารย์ไม่ได้ห้าม แต่บอกว่าใครทำได้เท่าไรก็เป็นของ เราต้องเริ่มต้นจากวันนี้ด้วยการบำเพ็ญอย่างไรจึงจะเรียกว่าผู้บำเพ็ญล่ะ ฟังมาสามวันแล้วคิดว่าจะกลับไปบำเพ็ญอย่างไรบ้าง (นั่งสมาธิ, บำเพ็ญทั้งข้างนอกข้างใน, บำเพ็ญโดยการพูดดีทำดีคิดดี, ทำจิตใจให้ดีงาม, ปฏิบัติตนในศีลธรรม, กินเจวันพระ, นำสิ่งที่ได้ฟังมาสามวันไปปฏิบัติก็คือเรื่องสัจธรรมของชีวิต ความกตัญญู ความเมตตา, ทำดี, กลับไปก็ปรับปรุงตัวเองให้ดีที่สุด)
การบำเพ็ญธรรมนั้นต้องเริ่มจากการรู้จักตนเอง เมื่อสักครู่อาจารย์ถามว่าศิษย์รู้จักอาจารย์หรือเปล่า การรู้จักนั้นไม่เพียงการรู้จักแค่ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน  แต่ต้องรู้ว่าเขาได้ประพฤติอะไรอยู่ การรู้จักอาจารย์นั้นต้องรู้ว่าอาจารย์สอนอะไร และมุ่งหวังให้ศิษย์ทำอะไร  บางคนอยู่ในบ้าน รู้จักพ่อแม่ไหม (รู้จัก) เรารู้จักท่านเพราะว่าท่านเป็นผู้ให้กำเนิดเรา แต่เราไม่รู้เลยว่าท่านนั้นทำสิ่งใดอยู่ แล้วเราต้องตอบแทนท่านอย่างไรบ้าง  ถ้าเราไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ ก็คือเรายังไม่รู้จักท่าน  เพราะฉะนั้นกลับไปต้องไปทำความรู้จักกับพ่อแม่ของเราดีหรือไม่ (ดี) รู้จักว่าท่านนั้นมุ่งหวังจะให้เราเป็นอย่างไร มีสิ่งใดที่ท่านคาดหวังแล้วเรายังไม่เคยลองทำดูบ้าง นั่นจึงเป็นการรู้จักท่าน รู้จักพ่อแม่แล้วมารู้จักตนเอง ว่าตนเองนั้นเป็นอย่างไร มีนิสัยอะไรที่ไม่ดีบ้าง ไม่ใช่รู้จักแค่ว่าเราชื่อนี้ นามสกุลนี้ หน้าตาเป็นแบบนี้  การรู้จักแบบนี้ไม่ใช่การรู้จักที่แท้จริง
“แลฝึกฝนด้วยปฏิบัติให้ถ้วนถี่  แก้ไขตนมิรอช้าสักนาที”  สิ่งแรกคือเราต้องรู้จักตนเองก่อน ภายหลังจึงมาฝึกฝนและปฏิบัติ ต่อมาก็คือเราต้องรู้จักปรับปรุงตัวเอง ไม่รอช้าแม้แต่นาทีเดียว ไม่ใช่บอกว่าเรารู้แล้วว่าตรงนี้เราผิด แต่เดี๋ยวรอสักครู่แล้วกัน เดี๋ยวค่อยแก้  หรือว่าตอนนี้เรากำลังโมโหอยู่  ตอนนี้โกรธมาก  รอเดี๋ยวก่อน รอให้ระบายอารมณ์โมโหนี้หมดสิ้นก่อน ฉะนั้นการที่เรารู้เท่าทันความโกรธของเรานั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า (ดี) แล้วเราระงับเดี๋ยวนั้นดีรึเปล่า (ดี)  ไม่ต้องกลัวว่าอยู่ดี ๆ ไปเบรกอารมณ์โมโหแล้วจะช็อก ไม่ช็อกใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเรารู้ทันว่าอารมณ์โมโหเรามาแล้ว ตัดเลยได้ไหม (ได้) รอให้ระบายหมดก่อนดีไหม (ไม่ดี) เราไม่ต้องรอจนเราระบายอารมณ์หมด เพราะว่าเรานั้นมักจะระบายออกมาในแง่ของคำพูด การกระทำ ถ้าเราพูดไปก็ทำร้ายผู้อื่นใช่หรือไม่ ถ้าเราทำไปก็ทำร้ายอะไร (ตนเอง) เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นจะบำเพ็ญ ก็คือการที่รู้จักแก้ไขตนเอง แก้ไขเมื่อเรารู้ทัน เมื่อเรารู้ไม่ทันก็เร่งที่จะก้าวขึ้นหน้าอารมณ์ของเราให้ได้
อันว่าอารมณ์นั้นมีอะไรบ้าง ดีใจ เสียใจ เศร้าใจ สุขใจ อารมณ์ไม่พอใจ อารมณ์พอใจ อารมณ์อยากได้คำชมใช่หรือไม่ นี่เป็นอารมณ์ชั่ววูบที่เกิดขึ้นมาเหมือนกับลมที่ตีกลับอยู่ในตัวเรา เคยมีไหมที่เวลากินอาหารเข้าไปอิ่ม ๆ แล้วลมตีกลับ ถ้าเรารับความเสียใจเข้าไปมาก ๆ ลมก็ตีกลับมาเป็นความโศกใช่หรือเปล่า ถ้าเรารับความสุขเข้าไปมาก ๆ ลมก็ตีกลับเป็นอะไร (ความเบิกบาน) จิตสงบถึงได้ความเบิกบาน ความสุขตีกลับมาเป็นอะไร (มีความคิดว่าสุขนี้จีรังแค่ไหน, เป็นความทุกข์, ความเสียใจ, ความโลภ) เวลามีความสุขแม้เรากินเข้าไปมาก ๆ เราก็จะรู้สึกว่า ความสุขนี้เราปล่อยวางไม่ลงใช่หรือไม่ เรามีความสุข ความสมหวังในด้านของครอบครัว ด้านของการงาน เหมือนกับเรากินความสุขเข้าไปแล้ว ความสุขนี้มากมายจนกระทั่ง ถ้าหากว่าเราเสียความสุขอันนี้ไปสักนิดหนึ่งก็จะรู้สึกว่าเราไม่อยากให้เสียไปเลย ลมที่ตีออกมาเป็นความโลภที่เรานั้นเสียสละความสุขนี้ไม่ได้เลยสักนิดหนึ่ง ใช่หรือไม่ เพราะเราโลภความรู้สึกนี้จึงไม่อยากจะให้ศิษย์เอาความสุขนี้ไปเลย นั่นเป็นการตีกลับมาจากความสุขใช่หรือไม่ แต่ความโลภเป็นสิ่งที่ดีไหม (ไม่ดี) จิตใจอันนี้มีพิษอยู่สามอย่าง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง สามอย่างนี้เป็นพิษที่อยู่ในใจของเรา ถ้าเราไม่รู้จักที่จะระงับ ควบคุมจิตใจอันนี้ จะถูกยาพิษอันนี้วางยาเราจนได้ ไม่ใช่การตายแบบทิ้งกายสังขารนี้ไป แต่เป็นการตายทั้งเป็น หากว่าเรามีความโลภมากเกินไป เราจะรู้สึกอย่างไร (มีทุกข์) ถ้ามีความโกรธมากเกินไปจะเป็นอย่างไร (มีความทุกข์ ไม่สบายใจ,ความเบื่อหน่าย) วัยรุ่นชอบเป็นโรคขี้เบื่อ เบื่อมากเข้าก็เบื่อตัวเอง ก็เพราะปล่อยจิตใจของเราให้เตลิดเปิดเปิง ไม่รู้จักควบคุมจิตใจของเราเอง (ถ้ามีความโกรธมากที่สุดจะทำให้เราไม่สามารถควบคุมจิตใจของเราเองได้,ไม่มีความสุข,มีความกังวลใจ,ไม่สามารถควบคุมตนเองได้และอาจจะไปลงที่คนอื่นได้ทำให้เกิดมีความทุกข์,จิตใจไม่สงบ)
 “มุ่ง”  มุ่งไปทางไหนดี (มุ่งทางธรรม)  อาจารย์ให้ศิษย์นั้นมาบำเพ็ญธรรม ไม่ได้ให้ศิษย์นั้นละทิ้งทางโลก สิ่งใดที่เคยวาดหวังไว้ก็ไปทำให้ดี  เลือกทำในสิ่งที่ดี ส่วนใจนั้นต้องไม่ห่างธรรม สองอย่างให้เดินไปพร้อมๆ กันอย่ารอ บางคนบอกว่าแก่แล้วค่อยบำเพ็ญ  แก่แล้วบำเพ็ญไม่ทันแล้วรู้หรือเปล่า แม่เราแก่แล้วมีแรงหรือเปล่า จะบำเพ็ญมีแรงหรือเปล่า มีก็น้อยกว่าเรา ฉะนั้นอายุมากแล้วก็บำเพ็ญไม่ได้ดีเท่ากับตอนนี้เราเริ่ม  เราต้องอย่าทำให้แม่ผิดหวังดีหรือเปล่า
“อนุตตรธรรม”  อนุตตรธรรมแปลว่า ประเสริฐ สูง  จิตใจของเรานั้นต้องให้สูง ต้องทำให้สม่ำเสมอ จิตใจเมื่อสูงแล้วจึงจะสามารถนำคนอื่นได้  อาจารย์ไม่เคยบอกว่า ศิษย์ของอาจารย์นั้นอยู่ฐานะอะไร วรรณะอะไร  ไม่เคยบอกว่า เราต้องเป็นอย่างไรจึงจะบำเพ็ญธรรมได้  จึงจะเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ได้  เราก็สามารถนำคนอื่นได้เช่นกัน แต่ขอให้เรานั้นมีจิตใจที่สูงขึ้นมา ไม่ว่าจะโดนใครว่าอะไร บ่นอะไร ดูถูกอะไร ต้องมีจิตหนึ่งใจเดียว เข้าใจหรือเปล่า
“ฟ้า” ฟ้าทั้งใสและสะอาด ทำจิตใจให้ใสเหมือนฟ้าได้หรือเปล่า หลังจากสามวันนี้ไป ขอให้เรานั้นมีใจกลับมาศึกษาให้เข้าใจ แล้วจะรู้ซึ้งถึงสิ่งที่อาจารย์พูดไป ว่าอาจารย์นั้นต้องการให้ศิษย์ทำอะไร 
“ดิน”  ดินเป็นอย่างไร  (อุดมสมบูรณ์)  เราต้องมีใจเช่นนี้  ดินไม่ใช่มีแค่นี้ ดินยังต้องหนักแน่น ไม่ว่าคนจะถ่มน้ำลายลงดิน ดินโกรธหรือไม่ (ไม่โกรธ)  เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ว่า ชีวิตนี้คือการอดทน  เราต้องเป็นคนที่หนักแน่นเหมือนดิน ไม่ว่าสิ่งใดจะมาก็ตาม เราอย่าได้ท้อแท้ รู้หรือเปล่า 
“บูชา”  บูชาตัวเองหรือเปล่า (บูชาพระ)  ปกติเราไหว้พระข้างนอก ทีนี้เรากลับมาไหว้พระในตัวเองดีหรือเปล่า  เพราะเรานั้นเป็นพุทธะ เราต้องทำอย่างไรถึงจะเหมือนพุทธะ ทำอย่างไรถึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้  คือเราต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี ในที่สุดสักวันหนึ่ง เราก็กลายเป็นพุทธะ คนอื่นก็บูชาเราดีหรือเปล่า  กว่าจะถึงวันนั้นไม่ง่ายต้องอาศัยเวลานะ  
“สัตย์”  สัตย์ตัวนี้แปลว่า ความสัตย์  ต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง  ต้องทำตนเป็นคนดี ให้คนอื่นเคารพเราได้อย่างสนิทใจ
 “หน้าที่”  เรามีหน้าที่ไหม หน้าที่ทางโลกก็ส่วนหนึ่ง หน้าที่ทางธรรมก็ส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้นอย่าลืมว่าเราเคยมีปณิธานอะไร มีความตั้งใจอะไรในการที่เราเกิดมาเป็นคน ไม่ใช่ลืมสิ่งที่เคยมีมา
“เที่ยง”  ต้องทำจิตใจให้เที่ยงๆ หลังจากนี้ไปแล้วใครจะว่าอะไร ใครจะพูดอะไร ขอให้คิดให้เที่ยงๆ
“เชิดชู”  หลังจากวันนี้เชิดหน้าเชิดตาออกมาบำเพ็ญดีไหม ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับบ้านเหมือนเดิม รู้ไหม
“วัฒนธรรม”  เวลาที่เราอยู่กับใครก็ตาม ต้องอยู่อย่างพร้อมเพรียง คนอื่นคิดอะไรถึงแม้จะไม่ถูกใจเรา เราก็ยอมที่จะพร้อมเพรียงกับเขา มาสถานธรรมไม่ใช่ว่าจะเจอเรื่องถูกใจทั้งหมด แต่เราก็ต้องบำเพ็ญร่วมกับคนอื่นอย่างพร้อมเพรียงกัน ดีไหม
“เคารพ”  เราต้องทำตัวให้เป็นคนดีให้น่าเคารพ เราต้องเคารพตัวเองได้ก่อน จึงจะให้คนอื่นเคารพเราได้ หลังจากวันนี้ขยันๆ บำเพ็ญดีไหม วันข้างหน้าอย่าทิ้งอาจารย์นะ รู้ไหม
“ถือ”  ถืออะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า หลังจากวันนี้ไปขอให้ถือธรรมะเป็นที่ตั้ง ทำอะไรก็ตามขอให้สอดคล้องกับคนทั่วไปนะ
“สัตย์”  สัตย์ตัวนี้หมายความว่าอะไร (ซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น) พยายามหน่อยนะ เราต้องรู้จักที่จะบำเพ็ญธรรม ต้องรู้จักที่จะสร้างกุศลไปเผื่อแผ่ผู้มีพระคุณต่อเราดีหรือไม่ อย่าลืมเขานะ
“ต่อ”  นั่งฟังสามวันเบื่อไหม (เฉยๆ)  กลับไปแล้วจะเฉยๆ หรือเปล่า (ไม่รู้)  ต้องรู้นะ การบำเพ็ญธรรมอาจารย์ไม่เรียกร้องให้ทำอะไรเป็นพิเศษเลย แต่ว่าสิ่งที่เป็นอคติแต่ก่อนมาต้องลบให้หมด เราต้องฟังพิจารณาดู พ่อมุ่งหวังอะไรเราต้องทำให้ได้เพราะเราเป็นลูก “ต่อ” แปลว่าอะไร เวลาเขาให้เราไปฟังธรรมก็ฟังต่อไป เบื่อๆ ก็ฟังต่อไปไม่เป็นไร ดีไหม แล้วหัดที่จะยิ้มมากๆ คนเขาจะได้รักเราเพิ่มขึ้นดีไหม ชอบให้คนรักหรือคนเกลียด เราต้องรักคนอื่นนะ
“อัธยาศัย” มีอัธยาศัยไหม (มี)  ได้ผลไม้สักลูกหรือยัง (ยัง)  แสดงว่าอัธยาศัยต่ออาจารย์ยังไม่ดี เอาไปให้ได้สักลูกหนึ่งนะ
“ต่อ”  ต่อเหมือนคนเมื่อสักครู่เลย ฟังหรือเปล่า อาจารย์บอกว่าหลังจากประชุมธรรมแล้วมีคนเรียกเรามาฟังธรรมะก็ให้มาฟังต่อดีไหม ไม่ว่าจะเบื่อหน่ายหรือขี้เกียจ เราก็ต้องมา ทำได้ไหม เรามาสถานธรรมก็มีสิ่งที่ไม่ถูกใจเราบ้าง เมื่อไม่ถูกใจเราก็อย่าเพิ่งหันหลังกลับไปทันที
“เพื่อน”  เป็นเพื่อนกับทุกคนดีไหม มาที่นี่ทุกคนเป็นพี่น้องเป็นเพื่อนกับเรานะ
“บาป”  ทุกคนมีบาปมีกรรมติดตัวมา จำเป็นต้องชำระให้หมด เราเองก็มีมา เราต้องรู้จักที่จะบำเพ็ญธรรมตอบแทนบุญคุณต่อผู้มีพระคุณที่ล่วงลับไปแล้ว ชีวิตนี้ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่าง มองอะไรขอให้มองให้กว้างๆ อาจารย์ไม่ได้ให้ศิษย์รีบเชื่อสิ่งใดโดยไม่พิจารณาให้ดี ธรรมะนี้บำเพ็ญได้ในชีวิตประจำวันของเรา แม้ว่าเราจะทำสิ่งใดที่วุ่นวายๆ อยู่
 “ใน” ถ้าจะให้อาจารย์ขยายความ ก็อยากจะสอนศิษย์ว่าธรรมะแท้อยู่ภายในตัวของเรา ภายนอกที่ศิษย์เห็นทั้งหมดนี้ไม่ใช่ธรรมะที่แท้จริง การบำเพ็ญปฏิบัติก็คือปฏิบัติใจ ขัดเกลาใจของเราให้สะอาด นี่คือคำว่า “ใน” อย่างแท้จริง 
ทุกๆ คนในที่นี้ ในอดีตชาติเคยทำบุญทำกรรมไว้ สิ่งที่เคยทำไว้ในอดีตก็จะส่งผลในปัจจุบัน ไม่มีผิดพลาดสักอย่างเดียว แต่อนาคตเกิดหรือยัง (ยัง)  อนาคตเราเปลี่ยนได้ไหม (ได้) ยอมแพ้สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นหรือยัง (ยัง) อย่าไปยอมแพ้ เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าคนคิดบำเพ็ญนั้นก้าวเหนือชะตา ต้องก้าวเหนือชะตาที่ยังไม่เกิดขึ้น หากว่าสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วก็อย่าไปกลุ้มใจ อย่าร้อนใจ เกิดขึ้นแล้วแก้ไม่ได้ แต่วันข้างหน้านั้นยังแก้ได้ อย่ายอมแพ้กับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น อย่าคาดหวังว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเราจะล้มเหลวอย่างไร เราจะได้ชัยชนะอย่างไร แต่จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด
“ฝึกใจฟ้าอย่าเรรวนเฝ้าเปลี่ยนใจ” คนที่จะบำเพ็ญธรรม อยากที่จะฝึกจิตใจของตนเองนั้น อย่าได้เรรวน อย่าได้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา กลับเข้ากลับออก วันนี้เปลี่ยนใจ พรุ่งนี้มีใจอีกแล้ว หรือในขณะเดียวกัน ในหนึ่งชั่วโมง ในสามวันที่มาที่นี่ เปลี่ยนใจไปมาตั้งหลายครั้ง หนึ่งนาทีมีหกสิบวินาที ก็คิดแทบจะได้หกสิบครั้งอยู่แล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้น อย่าได้เปลี่ยนใจเข้าเปลี่ยนใจออกบ่อยๆ 
นักเรียนวงหมดหรือยัง เอาอย่างไรดี (อีกรอบหนึ่ง) แน่ใจหรือเปล่าว่าจะมีโอกาสให้เราเป็นครั้งที่สอง อย่าแน่ใจว่าจะมีโอกาสครั้งที่สองให้เราบ่อยๆ วันนี้เรามีโอกาสถ้าหากว่าเราไม่รักษาโอกาสของเราให้ดี วันหน้าอาจจะไม่มีโอกาสอย่างนี้อีกใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นมีโอกาสรักษาน้ำใจใครจงรักษาไว้  มีโอกาสที่จะช่วยใครจงช่วยไว้  มีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองจงเปลี่ยนแปลงไวๆ 
คนที่เป็นผู้ร่วมฟัง หมายความว่าเราอยากจะศึกษาเพิ่มเติม ครั้งที่แล้วฟังยังไม่รู้เรื่องดี ถ้าหากว่าเราถูกจัดเข้ามาอยู่ในผู้ร่วมฟังนั้น ต้องรู้จักพิจารณาย้อนกลับ แต่ไม่ใช่ย้อนกลับไปโกรธคนที่เขาจัดให้เราอย่างนั้น ให้เรารู้ว่าเราควรที่จะพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น เข้าใจไหม (เข้าใจ) 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลงธรรม ทำนองเพลง : หนี้รัก)
“ศิษย์ย้อนมองอย่างนิโรชหลงใหล” คำว่า “นิโรช” แปลว่าอะไร (ไม่มีรส ไม่อร่อยหรือจืด)  อาจารย์บอกว่าให้ย้อนมองอย่างนิโรชหลงใหล หมายความว่า ให้ย้อนมองอย่างไม่มีรสชาติใดๆ ในจิตนี้ไม่มีความเอนเอียงทางซ้าย ทางขวา ไม่มีอคติ ไม่มีความหลงใหลอยู่ในใจ เพราะว่าโดยส่วนใหญ่แล้ว ทุกๆ คนนั้นย้อนมองเป็น แต่ย้อนมองอย่างเข้าข้างตนเอง ย้อนมองตามจิตใจของตนเองที่ขึ้นหรือลง ขึ้นหน่อยก็ย้อนมองเห็นอะไรก็ดีไปหมด พอไม่ดีหน่อยก็ย้อนมองอย่างเหงาๆ เศร้าๆ ไม่เบิกบาน การย้อนมองอย่างนี้ไม่เที่ยงใช่หรือไม่ (ใช่) จงทำจิตใจนี้ให้เที่ยงๆ ตั้งอยู่ในความยุติธรรม ยิ่งเรานั้นมีหน้าที่ยิ่งสูงส่งเท่าไร ยิ่งต้องเที่ยงมากขึ้นเท่านั้น ถ้าเราไม่เที่ยงแล้ว ข้างหน้าเบี้ยวๆ ข้างหลังก็บูดๆ 
ก่อนที่โอวาทซ้อนจะออกมา คนเก่าๆ ลองบอกสิว่าที่อาจารย์ให้ไปคืออะไร (จุดมุ่งหมายของอนุตตรธรรม) รู้จักกันทุกคนหรือเปล่า (รู้) ศิษย์นั้นต้องรู้และต้องเข้าใจในจุดมุ่งหมาย เพราะถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจแล้ว จะบำเพ็ญไปทางไหนล่ะ 
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนโอวาทคำว่า “จุดประสงค์แห่ง อนุตตรธรรม”)
เมื่อดูคำในการครอบ อาจารย์ใช้คำว่า “จุดมุ่งหมาย” ทำไมรู้ไหม มนุษย์ทั่วไปย่อมมีการยึดติด อาจารย์ก็เขียนให้เหมือนกับที่ศิษย์เคยแปลไว้ แต่จริงๆ แล้วการแปลก็คือการแปล แปลให้ใกล้เคียงที่สุดก็น่าจะพอใจแล้ว ศิษย์ว่าอย่างไรอาจารย์ก็ว่าตามนั้น ว่าไปตามกัน ถามว่าถ้าหากว่าคนหนึ่งทำผิด ทำผิดไปเหมือนกัน ผิดทั้งหมด คนข้างในนี้รู้ไหมว่าเป็นความผิด (ไม่รู้) ก็เข้าใจว่าผิดเป็นถูกใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ท่ามกลางความผิดนี้กลับรักษาความสามัคคีไว้ได้ แต่ในวันหนึ่ง มีคนในนี้รู้ว่าสิ่งนี้ผิด คนนี้พยายามจะแก้ให้ถูกต้อง แต่ในที่สุดแล้วคนๆ นี้เป็นคนกลับหมากในกระดานเพียงคนเดียว คนอื่นคว่ำหมดเราอยากหงาย แล้วเที่ยวไปชี้ให้คนอื่นรู้ว่ามันผิด ถามว่าใครกันแน่ที่โดนรุม (คนที่ชี้) คนที่พยายามจะกลับสิ่งนี้ก็เป็นคนที่ผิดแทนใช่หรือไม่ (ใช่) คนอื่นมองเข้ามาอาจจะเป็นความผิด แต่ท่ามกลางความผิดนี้ทุกคนคิดว่าผิดคือถูก แท้จริงแล้วในโลกมนุษย์นี้อะไรคือผิดอะไรคือถูก มนุษย์บอกว่า มนุษย์เตี้ย ภูเขาสูง เวลามนุษย์ไปยืนบนภูเขาแล้วใครเตี้ย (ภูเขาเตี้ยกว่า) ภูเขาอยู่ใต้เท้าเรา ภูเขาเตี้ย มนุษย์สูง จริงๆ แล้วมนุษย์สูงหรือภูเขาสูง ไม่ใช่สูงแล้วก็จะสูงเสมอไป แม้ว่าทำผิดเหมือนกัน ผลสุดท้ายคนที่ทำความผิดก็ได้รับผลผิด แต่ถามว่าทุกคนเข้าใจว่าผิดเหมือนกัน ในความผิดในวงนี้ ความผิดที่ทำอยู่คือความถูก ในขณะเดียวกันเมื่อมีคนๆ หนึ่งรู้ว่าผิดแล้ว พยายามที่จะกลับ คนนี้กลับโดนว่า เพราะว่าเขานั้นเข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ถามว่าถูกต้องสำหรับใครล่ะ (สำหรับตัวเอง)  เพราะฉะนั้นการที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องง่าย การที่ศิษย์จะเปลี่ยนนิสัยของตนเองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งนี้ทั้งนั้นขอให้ดูเหตุปัจจัยของตนเอง ดูความเหมาะสมของตนเอง ดูสภาพจิตใจของตนเอง ดูบ้านของตนเอง ดูให้ครบถ้วนทุกอย่างแล้วค่อยเริ่มที่จะเคลื่อนไหวในสิ่งที่ตนเองคิดว่าถูกต้อง ถ้าสิ่งที่ศิษย์บอกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง สักวันหนึ่งทุกคนก็จะเห็นดีตามใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ต้องรู้ว่าย้อนมองอย่างไม่นิโรช ย้อนมองอย่างไม่เอนเอียงเข้าหาตนเอง
อันว่า “จุดประสงค์แห่งอนุตตรธรรม” นี้ต้องจำใส่ใจ ต้องใฝ่ปฏิบัติเสมอๆ ไม่ใช่บำเพ็ญธรรมตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าบำเพ็ญธรรมไปทำไม ไม่รู้
……………





พระอาจารย์เมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท    จุดประสงค์แห่งอนุตตรธรรม
จุดมุ่งหมายของอนุตตรธรรม
เคารพฟ้าดิน
บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
รักชาติซื่อสัตย์ต่อหน้าที่
เชิดชูวัฒนธรรม
กตัญญูรู้คุณบิดามารดา
เคารพเทิดทูนอาจารย์
ถือความสัตย์ต่อเพื่อน
มีอัธยาศัยไมตรีต่อเพื่อนบ้าน
ละบาปบำเพ็ญบุญ
รู้ปฏิบัติในคุณสัมพันธ์ห้าและคุณธรรมแปด
จรรโลงคุณวิเศษของพระธรรมคำสอนแห่งพระศาสดาทั้งห้า
ยึดถือการปกครองและประเพณีโบราณอันดีงาม
ชำระจิตใจให้ผ่องแผ้ว
อาศัยกายเนื้อบำเพ็ญธรรมจริง
ฟื้นฟูความเป็นธรรมชาติแห่งจิตเดิมแท้
ส่งเสริมชี้ชัดถึงมโนธรรม พลังธรรมสูงส่งในกายตน
ช่วยตนให้เป็นคนสมบูรณ์อีกทั้งช่วยผู้อื่น
ช่วยตนให้บรรลุธรรมอีกทั้งช่วยผู้อื่น
เพื่อฉุดช่วยโลกให้เกิดสันติสุข

แปรเปลี่ยนจิตใจคนให้งดงามเพื่อเอกภาพแห่งโลกสันติในภายหน้า



































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































































จุดประสงค์คืออะไร แล้วจะบำเพ็ญดีได้อย่างไร ในเพลงนี้อาจารย์มีความหมายเดียว คืออยากจะบอกศิษย์ว่าการจะศึกษาธรรมะนั้น ไม่ใช่ศึกษาเพียงสามวันนี้จะรู้แจ้งตลอดได้ อาจารย์บอกว่า “กว่าจะรู้แท้ แพ้ใจเลิกเพียรเสียก่อน” กว่าจะรู้อะไรแท้ๆ จริงๆ ศิษย์ก็เลิกเพียรไปก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นจงเพียรให้นาน จงรู้ให้นาน ศึกษาให้นาน อย่าใช้เวลาเพียงสามวันแล้วจะให้ต้นไม้ต้นนั้นผลิดอกออกผล ก่อนอาจารย์กลับขอให้ดอกไม้ทุกดอกเป็นดอกไม้ที่สดชื่น

ในเพลงนี้อาจารย์ได้บอกไว้ครบถ้วนแล้ว “อย่าดีใจเมื่อสมหวังดังปองทุกอย่าง”  ศิษย์ของอาจารย์นั้นมักดีใจจนเกินไป เวลาเสียใจก็เสียใจหนักมาก กลับมาบำเพ็ญให้ดีๆ นะ
“อย่าโศกใจเมื่อถูกชังหมองหม่น” คนนั้นถูกเกลียดชังได้ทุกคน คนเข้าใจผิดเราได้ทุกคน คนว่าเราได้ทุกคน แต่ใจเราหมองไหม้ ทำไมเราต้องหมองด้วยล่ะ เราบริสุทธิ์ไม่ใช่หรือ ขอให้เรานั้นบริสุทธิ์ด้วยความจริงใจ อย่าไปหมองใจเมื่อคนอื่นนั้นเข้าใจเราผิด ไม่มีประโยชน์ที่เราจะนั่งหมองใจหมดแรงต่อสู้ แล้วใครช่วยเราได้ล่ะ ถ้าตัวเรายังเอาตัวเราไม่อยู่ ใจเรายังไม่รู้จะทำอย่างไรเลย แล้วใครจะช่วยเราได้ อาจารย์ถึงบอกว่าไม่ว่าใครจะเข้าใจผิด จะถูกชังเท่าไรอย่าหมองใจ บำเพ็ญให้ดีๆ นะ 
เขาคัดเลือกเราเป็นหัวหน้าชั้นนั้นถือว่าไม่ธรรมดา ขอให้นำพาพวกเขาด้วยดีไหม บำเพ็ญให้ดีๆ ตามๆ กันไป
อายุมากแล้วต้องหัดบำเพ็ญธรรมให้จริงๆ จังๆ นะ หวังว่าวันหน้าคงได้เจอกันอีก เราเป็นผู้ชายต้องมีความกล้าหาญ อย่าได้เบื่อง่ายหน่ายง่าย เข้าใจไหม
ธรรมะไม่มีสีสันอะไร ไม่มีความแปลกใหม่อะไร เรียบๆ ไปเรื่อยๆ อย่างนี้ หวังว่าศิษย์ของอาจารย์คงไม่เบื่อ วันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างอาจจะยังไม่กระจ่างแจ้งเต็มที่ แต่ให้เวลาศึกษาหน่อยได้ไหม ทำตัวให้ดีๆ นะ รู้ไหม อย่าเสียโอกาสนี้ไป คนเราเกิดมาชาตินี้เรามีกายมนุษย์ ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งเดียวที่เรามีโอกาสที่ดีมากใช่ไหม
“อย่าท้อแท้หากเมื่อใดเกิดทุกข์เกินทน”  มีความทุกข์เกินทนไหม จะท้อแท้ได้ไหม
(ผู้ปฏิบัติงานธรรมและนักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงส่งพระอาจารย์)
อาจารย์เห็นศิษย์มากมายขนาดนี้ ทำให้คิดไปถึงศิษย์บางคนที่มีความเข้าใจในธรรมะอย่างดีในเวลาสามวัน แต่หลังจากสามวันไปแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุปัจจัยหรือกรรมใดๆ ที่ดึงศิษย์ออกไป ทำให้ศิษย์นั้นเสียมรรคผลที่จะบรรลุถึงนิพพาน ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกนับครั้งไม่ถ้วน เพียงเพราะว่ามารทั้งหลายรู้ทันศิษย์เท่านั้น ขอให้ศิษย์ที่อยู่ในชั้นนี้เฝ้ารักษาตัวเองให้ดี ระมัดระวังอย่าให้มารตัวไหนหรือกิเลสชนิดใดรู้ทันเราแล้วดึงเราออกไป ขอให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นบำเพ็ญต่อไปด้วยความระมัดระวัง ดูแลกันให้ดี เข้าใจกันให้มาก สมานกลมเกลียวกัน ให้พาตนกลับไปถึงบ้านเดิมนะ อย่าลืมอาจารย์ วันหน้าอาจารย์มาแล้วยังหวังจะได้เจอศิษย์ทุกคนอีก ไม่ว่าศิษย์นั้นจะไม่ดีอย่างไร ไม่ต้องหลบหน้าอาจารย์ อาจารย์ไม่เคยเกลียดใคร ลาก่อนนะ


พระอาจารย์เมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท    “จุดประสงค์แห่งอนุตตรธรรม”

จุดมุ่งหมายของอนุตตรธรรม
เคารพฟ้าดิน
บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
รักชาติซื่อสัตย์ต่อหน้าที่
เชิดชูวัฒนธรรม
กตัญญูรู้คุณบิดามารดา
เคารพเทิดทูนอาจารย์
ถือความสัตย์ต่อเพื่อน
มีอัธยาศัยไมตรีต่อเพื่อนบ้าน
ละบาปบำเพ็ญบุญ
รู้ปฏิบัติในคุณสัมพันธ์ห้าและคุณธรรมแปด
จรรโลงคุณวิเศษของพระธรรมคำสอนแห่งพระศาสดาทั้งห้า
ยึดถือการปกครองและประเพณีโบราณอันดีงาม
ชำระจิตใจให้ผ่องแผ้ว
อาศัยกายเนื้อบำเพ็ญธรรมจริง
ฟื้นฟูความเป็นธรรมชาติแห่งจิตเดิมแท้
ส่งเสริมชี้ชัดถึงมโนธรรม พลังธรรมสูงส่งในกายตน
ช่วยตนให้เป็นคนสมบูรณ์อีกทั้งช่วยผู้อื่น
ช่วยตนให้บรรลุธรรมอีกทั้งช่วยผู้อื่น
เพื่อฉุดช่วยโลกให้เกิดสันติสุข
แปรเปลี่ยนจิตใจคนให้งดงามเพื่อเอกภาพแห่งโลกสันติในภายหน้า


อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา