แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หันเซียงจื่อ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หันเซียงจื่อ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

2562-11-09 สถานธรรมหมิงเอิน เพชรบูรณ์

西元二○一九年歲次己亥十月十三 日                                       仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒             สถานธรรมหมิงเอิน เพชรบูรณ์
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ
  ความจริงอันเป็นธรรมะ               ไม่ยากเกินจะหยั่งรู้
ขอเพียงสงบตรองดู                     กล้าสู้ยอมรับความจริง
                              เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก น้อมกายอัญชุลี
องค์มารดา                               ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ
   เวลาในโลกมนุษย์                     สร้างวิมุตติ[๑]สุดประมาณ
หัวใจที่มีตะวัน                            ปัญญาญาณรู้วิธี
วุ่นวายในความสับสน                   กระวนกระวายใจนี้
ถึงปัญญาศรัทธามี                       สติใช้ต้องระวัง
ประโยชน์อำพรางความโลภ           ความโลภเมื่อไรกระจ่าง
ชีวิตซุกซ่อนความหลัง                  จะอยู่ธรรมมังอย่างไร
ปัจจุบันเชื่ออะไรอยู่                     รู้รู้มีอนุสัย[๒]
เข้าใจแบบไม่เข้าใจ                      ทำอย่างไรได้บำเพ็ญ
ฟังแล้วปราศจากธรรมะ                เสวนาควรงดเว้น
อคติความคิดเห็น                        คู่ซ้อมบำเพ็ญชั่วคราว
ไว้มารยาทนำกิริยา                      ไว้กายาไม่ก้าวร้าว
จงชั่งศีลธรรมเอา                        ครองเชาวน์[๓]พ่ายแพ้อย่างไร
บำเพ็ญไม่ยั้งอุปสรรค                   ธรรมมากกิเลสสลาย
ระวังเรื่องใจงมงาย                      สถิตในอารมณ์คน
รู้แล้วต้องปฏิบัติ                          สามารถแล้วอย่าสับสน
ปล่อยวางหัวใจกังวล                    อดทนในเรื่องธรรมดา
                                                                                                ฮา ฮา หยุด



[๑] วิมุตติ [วิมุด, วิมุดติ] น. ความหลุดพ้น; ชื่อหนึ่งของพระนิพพาน.(ป.; ส. วิมุกฺติ).
[๒] อนุสัย น. กิเลสที่สงบนิ่งอยู่ในสันดาน, กิเลสอย่างละเอียด มี ๗ อย่างได้แก่ ๑. กามราคะ = ความกำหนัดในกาม ๒. ปฏิฆะ = ความขัดใจคือโทสะ ๓. ทิฏฐิ = ความเห็นผิด ๔. วิจิกิจฉา = ความลังเลสงสัย ๕. มานะ = ความถือตัว ๖. ภวราคะ = ความกำหนัดในภพ ๗. อวิชชา = ความไม่รู้แจ้งคือโมหะ. (ป. อนุสย; ส. อนุศย).
[๓] เชาวน์ [เชา] น. ปัญญาหรือความคิดฉับไว, ปฏิภาณไหวพริบ. (แผลงมาจาก ป., ส. ชวน).

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ


ยังไม่เบื่อฟังธรรมะใช่ไหม หรือว่าตัดสินใจพรุ่งนี้ไม่มาแล้ว (มา)  ตอนยังไม่พูดเราเป็นนายเหนือคำพูด แต่ถ้าพูดไปแล้วเราต้องทำตามสิ่งที่พูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น อยากเป็นคนที่พูดอะไรแล้วศักดิ์สิทธิ์ ไตร่ตรองให้ดีก่อนพูด ไม่อย่างนั้นเราต้องตกเป็นทาสของคำพูดอยู่ร่ำไป แล้วก็กลายเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ จริงหรือไม่ (จริง)
“ความจริงอันเป็นธรรมะ      ไม่ยากเกินจะหยั่งรู้
ขอเพียงสงบตรองดู              กล้าสู้ยอมรับความจริง”
ธรรมะคือความเป็นจริงอันเป็นสัจธรรมของโลก อย่ามองธรรมะแค่เพียงการสวดมนต์ไหว้พระ อย่ามองธรรมะแค่เพียงการเป็นคนดี แต่แก่นของหลักธรรมะคือ ตื่นรู้ เข้าใจแท้จริง จนนำพาให้เราพ้นทุกข์
มีใครที่ยืนอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างเข้มแข็งมั่นคง โดยไม่สูญเสียความดีงามในจิตใจ มีใครบ้างที่สามารถอดทนฟันฝ่าความทุกข์แต่ไม่ทุกข์ใจได้ มีแต่ผู้ที่เข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรมะ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าท่านยังทุกข์ ยังเจ็บปวด ยังอ่อนแออยู่ แปลว่ายังไม่เข้าใจธรรมะที่แท้จริง
ท่านเคยได้ยินคำพูดไหมว่า “วางดาบพลันพบพระพุทธะ” อะไรที่ทำให้เราอยู่ร่วมกับคนแล้วเราชอบใช้ดาบมากกว่าใช้ความเป็นพุทธะ อารมณ์ความโกรธใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราวางอะไรก็ตามที่อยู่ในชีวิตเรา ที่ทำให้เราควักดาบออกมาแล้วทำร้ายผู้คน เราวางเสีย เราจะพบความเป็นพุทธะ เราวางเสียเราจะพบความสงบเย็น ฉะนั้นถ้าวางดาบได้ความเป็นพุทธะก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม จริงหรือไม่ (จริง)
ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีธรรม ถ้าทุกข์มันเกิดที่ตัวเรา ทุกข์มันอยู่ที่นี่ อย่างนั้นก็แปลว่า ธรรมไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่ธรรมอยู่ในตัวเรา ทุกข์เกิดจากตัวเรา ฉะนั้นคำกล่าวที่ว่า ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีธรรม ถ้าตัวเรานี้เป็นทุกข์ ตัวเรานี้ก็พร้อมจะเป็นธรรม ที่ใดมีกิเลสที่นั่นเป็นที่สิ้นทุกข์พบพระนิพพาน ต่างกันแค่ชั่วขณะคิด ถูกหรือไม่ (ถูก)  วางดาบลงก็พบพุทธะ ชั่วขณะคิดไม่ได้ ทำใจไม่ได้ กลายเป็นกิเลส กรรม เวียนว่าย ความทุกข์ แต่ชั่วขณะคิดได้ขึ้นมา กลายเป็นสิ้นกรรม หมดกรรม พ้นทุกข์ อยู่ที่แค่ชั่วขณะคิด พลิกใจได้ทุกข์ก็กลายเป็นสุข พลิกใจไม่เป็นก็จมอยู่กับความทุกข์ ซึ่งไม่มีใครช่วยได้ ไปหลายวัดแล้วทุกข์ก็ไม่หมดจากใจ จริงไหม (จริง)
เราถามคำถามท่านว่า ถ้ามีอาจารย์ที่มีความรู้ แต่ไม่เคยคิดจะสอนวิชาความรู้ถ่ายทอดให้กับผู้อื่นเลย พออาจารย์ท่านนี้จากไป ความรู้ก็หมดไป จริงไหม (จริง)  ทำไมพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงต้องลงมา นี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งก็เป็นได้ ถ้าท่านรู้แล้ว แต่ไม่บอกต่อ และปล่อยให้ความรู้นั้น บิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปก็น่าเสียดาย ฉะนั้นผู้ที่รู้ก่อนแล้วไม่สอน ท่านว่าใจร้ายใจดำหรือไม่ เหมือนพวกหวงวิชา เหมือนพวกเก็บความรู้ไว้กับตัวเองคนเดียว ฉะนั้นจะมาบอกว่าเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วจะมาสอนทำไม ก็คงเป็นแบบเดียวกันว่าทำไมอาจารย์ต้องถ่ายทอดความรู้ เพื่อจะได้ให้ความรู้นั้นไม่หายไป และความรู้นั้นก็เป็นความรู้ที่สามารถนำพาให้เราอยู่บนโลก แต่ไม่ต้องทุกข์ ทั้งกับตัวเอง ทั้งกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีธรรม ที่ใดมีกิเลสที่นั่นมีความเป็นพุทธะ พุทธะกับกิเลส หรือความทุกข์กับธรรมะ ต่างกันแค่ชั่วขณะ พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ความไม่รู้แสดงออกซึ่งกิเลส ตัณหา เวรกรรม แต่ความรู้แสดงออกซึ่งพุทธธรรม แล้วรู้อย่างไรจึงเรียกว่าธรรม แล้วไม่รู้อะไรจึงเรียกว่า กิเลส กรรม และความทุกข์
ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีธรรม ที่ใดมีกิเลสที่นั่นมีความเป็นพุทธะ เพราะความไม่รู้จึงแสดงออกเป็นกิเลส เพราะความตื่นรู้จึงแสดงออกเป็นธรรม รู้หรือไม่รู้ จึงแสดงออกต่างกัน หากเราสามารถรู้ได้ กิเลสก็จะกลายเป็นธรรม แต่ถ้าเราไม่รู้ธรรมก็จะกลายเป็นกิเลส
มนุษย์เราทุกข์เพราะความอยาก เวลาอยากแล้วไม่สมหวังทุกข์ไหม (ทุกข์)  เวลาอยากได้อะไรสักอย่างหนึ่ง เรารู้แก่ใจไหมว่า มีโอกาสได้และมีโอกาสไม่ได้ มีโอกาสสำเร็จและก็มีโอกาสล้มเหลว รู้ไหม (รู้)  อย่างนั้นเวลาล้มเหลวทุกข์ไหม (ทุกข์)  นี่ไง รู้แต่ไม่ยอมทำตัวให้รู้ ถ้าเราระลึกอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่เราจะอยากได้นั้นมีโอกาสได้และไม่ได้ ได้แล้วก็ดีใจ แต่เมื่อไม่ได้ จะทุกข์ไหม ก็รู้อยู่เต็มอกว่าโอกาสได้และไม่ได้มีเท่ากัน จริงไหม (จริง)  เรารู้อะไรที่เรียกว่าธรรมะ แล้วเราไม่รู้อะไรที่กลายเป็นความทุกข์ เราทุกข์เพราะเราสูญเสีย เราเสียใจที่เราสูญเสีย ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเราถามว่า รู้ไหมว่าอยู่ในโลกจะต้องสูญเสีย รู้ไหมว่าถ้าอยู่กับใครแล้วเราต้องพลัดพรากสูญเสียเป็นธรรมดา (รู้)  ถ้ารู้แล้วถึงเวลาสูญเสียทุกข์ไหม (ทุกข์)  รู้แต่เลือกที่จะไม่ยอมรับรู้
ทุกครั้งที่ท่านได้มาล้วนต้อง (สูญเสีย)  เสียเวลาไหม เสียเงินไหม (เสีย)  แล้วได้ไหม (ไม่ได้)  หลอกตัวเองว่ารู้ หลอกตัวเองว่าได้ ทั้งที่จริงๆ แล้ว เสียหรือได้ (เสีย)  เสียเวลาทั้งชีวิตเพื่อเงิน เงินที่ได้มาก็ไม่เคยอยู่กับเราเลย ถึงที่สุดเราก็ต้องเสียไหม (เสีย)  เราไม่ได้อะไร แล้วเราเสียอะไรไหม คิดให้ดีๆ ถึงที่สุดมีเงิน มีความรู้ มีตำแหน่ง มีหน้าที่ มียศถา มีบ้าน มีอะไรมากมาย ถึงเวลาจริงๆ ของใคร รู้ไหม (รู้)  รู้แล้วจะทำผิดไหม รู้แล้วจะทุกข์ไหม รู้แล้วจะเหนื่อยแทบตายเพื่อได้มาไหม เมื่อใดที่ท่านยอมรับว่าตัวเองรู้ ท่านจะพบธรรม แต่ถ้าท่านไม่ยอมรับให้ตัวเองรู้ ท่านก็หนีไม่พ้นทุกข์ แล้วหลอกตัวเองให้ทุกข์อยู่ร่ำไป
แล้วท่านเคยได้ยินไหม ถ้าของจะเป็นของเรา ยังไม่ทำอะไรก็ได้มา แต่ถ้าไม่ใช่ของเราทำแทบตาย เจ็บแทบตาย ยังไงเขาก็ไม่อยู่กับเรา เรารู้ไหม (รู้)  เราทุกข์เพราะโดนเขาทำร้าย เราทุกข์เพราะเขาสวยกว่า เราทุกข์เพราะเขารวยกว่า เราทุกข์เพราะเขาว่าเรา ทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วรู้ไหมว่าในโลกไม่มีใครไม่โดนว่า ก็รู้ใช่ไหม (ใช่)  ผู้หญิงที่หน้าตาสวยๆ รู้ไหมว่าในโลกนี้สวยอย่างไรก็มีคนสวยกว่า ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ขอถามฝ่ายชาย ท่านมีครบหมดทุกอย่าง บ้าน รถ หน้าตาดี แต่ถึงเวลามีคนที่มีบ้านเยอะกว่า เงินเยอะกว่า หน้าตาดีกว่า แล้วเราทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  และถึงแม้ไม่มีเงิน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ เราทุกข์ไหม (ทุกข์ )  บางคนอวัยวะยังมีไม่ครบสามสิบสองเลย ถ้าเราตรองให้ดีๆ เรารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เราพูดว่าทุกข์ แท้จริงแล้วอาจจะไม่ใช่ทุกข์เมื่อเทียบกับคนที่แย่กว่า ถูกหรือไม่ (ถูก)  วันนี้เราโดนเขาว่า ถ้าเทียบกับอีกสองสามวันข้างหน้าเราจะโดนเขาว่าหนักกว่า วันนี้เราคงหัวเราะที่โดนเขาว่าแค่นี้ จริงไหม (จริง)  แล้วเราควรทุกข์ไหม (ไม่)  ทำอะไรจะไม่มีการโดนว่า เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)
ในโลกนี้มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครดีพร้อม ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีดีและไม่ดีคละเคล้ากันไป คนๆ หนึ่งมีดีบ้างก็ต้องไม่ดีบ้างเป็น (ธรรมดา)  สิ่งที่เขากระทำต่อเราเขาก็อาจจะไม่ดีบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร แต่บางทีผ่านไปสองสามวันเขาอาจจะมาทำดีกับเราก็ได้ ใช่ไหม (ใช่)  หรือไม่ก็ทำไม่ดีกับเราตลอดชีวิต เช่นนี้เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
สัจธรรมมีอยู่ในทุกชีวิตและมีอยู่ในตัวเรา เราดี เราไม่ดี เรารู้ จริงไหม (จริง)  บางทีเราก็โลภจนน่ากลัว บางทีก็ขี้บ่นจนน่าใจหาย บางทีก็เห็นแก่ตัวจนไม่มีใครอยากจะคบหา เรารู้ว่าเราเป็นอะไร เรายอมรับไหม (ยอมรับ)  เราขี้เกียจไหม เราชอบเอาเปรียบไหม เราก็รู้อยู่เต็มอก แต่ละคนเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  แต่ก็ไม่อะไรที่ต่างกันจริงไหม (จริง)  บางทีเราขยัน เขา  ขี้เกียจ บางทีเราขี้เกียจ เขาขยัน แล้วทำไมไปว่าคนอื่นขี้เกียจ ธรรมะจึงสอนว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่รู้ข้างนอก แต่รู้ธรรมที่แท้จริงภายในอันทำให้เราพ้นทุกข์ และความจริงนั้นก็ไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อม อยู่ที่เราย้อนมองและยอมรับธรรมนั้นในตัวเราหรือไม่ ถ้าตามหลักธรรมะก็จะสอนว่า เมื่อเวลาเจอเรื่องราวอะไร จะทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ รู้แล้วว่ามีคนดีและคนไม่ดี คนมีได้ มีเสีย รู้แล้วจะต้องทำอย่างไรต่อ
พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า ทำสิ่งใดก็ตามก็ต้องมีศีล มีศีลก็ต้องมีสมาธิ มีสมาธิแล้วก็จะมีปัญญาเห็นแจ้ง ฉะนั้นเมื่อเจอเรื่องอะไรมา สมมติโดนเขาว่ามา รู้ไหมว่าการถูกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา และช่วงที่เป็นธรรมดานั้นเกิดคิดได้ สงบ นิ่ง ไม่หวั่นไหว ตรวจสอบตนเองแล้วไม่ผิดในศีล ไม่ผิดในธรรม สงบ ไม่หวั่นไหว มีปัญญาเห็นแจ้ง มันเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง การที่โดนเขาว่ามันจบทันทีเลย ไม่เกี่ยวกรรมต่อ ถูกไหม (ถูก) สิ่งที่โดนเขาว่ากลายเป็นพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่โดนเขาทำร้ายกลายเป็นตื่นรู้ในความเป็นจริง ที่เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ฉะนั้นปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช่แค่ตื่นรู้ในความเป็นจริงแล้วแค่แสดงออกภายนอก แต่สามารถสงบและจบลงที่ใจด้วยความเป็นปกติ หรือรักษาความเป็นปกติของใจได้ ยากไหม (ไม่ยาก)  ทุกครั้งที่ถูกกระทบไม่ว่าจะก่อเกิดเป็นกิเลสหรืออารมณ์ ลองยั้งสติคิดดูว่า สิ่งที่เราโดนกระทบลึกๆ เรารู้ไหม (รู้)  ถ้าไม่ยอมมันก็กลายเป็นทุกข์ แต่ถ้ายอมรับ ทุกข์ก็จะแปรเป็นสุขได้ แปรเป็นธรรมะที่เข้าใจความจริงได้
อะไรหนอที่บดบังปัญญาทำให้เราไม่สามารถตื่นรู้ในความเป็นจริง ทั้งที่แท้จริงแล้ว สิ่งต่างๆ นั้นเราก็รู้ ความจริงอันเป็นธรรมดาโลก ถ้าเราหมั่นพิจารณาเสมอ จะทำให้เราไม่ทุกข์ มีอะไรบ้างหนอ พอตอบได้ไหม
(ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง)  มีแล้วดีไหม (ไม่ดี)  แล้วมีไหม (มี)  เรารู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่ทำไมเราจึงไม่สามารถแปรสิ่งที่รู้ กลายเป็นรู้แล้วพ้นทุกข์ได้ นั่นคือสิ่งสำคัญ เราขาดสติไหม เราขาดความเข้าใจในความเป็นจริงอันแจ่มชัดหรือไม่ เราชอบตามอารมณ์มากกว่าตามความเป็นจริงใช่ไหม (ใช่)  อะไรที่เป็นความถูกต้องเราไม่เคยตาม อะไรที่เกิดอารมณ์เราวิ่งไปทันที ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นหากมีเรื่องอะไรมากระทบ ก่อนที่จะวิ่งตามอารมณ์ เราลองหยุดสักพักหนึ่ง แล้วลองหันไปมองความจริง ทำอะไรด้วยสติ แล้วลองหันไปมองความจริง เราจะตามอารมณ์ไหม
คนข้างนอกทำให้เราทุกข์หรือเราทำให้ตัวเราทุกข์เอง (เราทำทุกข์เอง)  แต่ถึงเวลาเราแก้ที่คนข้างนอกหรือเราแก้ตัวเอง (คนข้างนอก)  เรามักบอกให้คนอื่นแก้แล้วก็อ้างว่าตัวเองหวังดีปรารถนาดี ใช่ไหม (ใช่)  เราหวังเป็ดให้กลายเป็นหงส์ ได้ไหม (ไม่ได้)  เราหวังเป็ดให้ขายาวเหมือน นกกระยางได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)  และอาจจะยังเป็นอยู่ถ้ามีลูกหลาน และอาจจะเป็นอยู่ถ้ายังมีความหวัง ความอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นกลับมาดูให้ชัดว่า อะไรที่บดบังปัญญาทำให้เราไม่สามารถตื่นรู้ในความจริงได้ สิ่งนั้นเริ่มที่นี่ สิ่งนั้นเกิดที่นี่ สิ่งนั้นทุกข์ที่นี่ สิ่งนั้นก็ต้องจบที่นี่ เขาว่าเรา เราทุกข์เพราะเขาว่า หรือเราทุกข์เพราะเราไม่อยากโดนว่า (ทุกข์เพราะไม่อยากโดนว่า)  เราทุกข์เพราะเขาหรือทุกข์เพราะความคิดเราเอง เขาว่าเราคำพูดเขาจบแล้ว แต่เรายังเจ็บอยู่ เราเจ็บเพราะเอาความคิดมาเชือดเฉือนเรา และเรารู้ไหมว่าเราเจ็บเพราะความคิด (รู้)  แล้วแก้โดยไปไหว้พระเก้าวัด หายไหม (ไม่หาย)  ไปบนร้อยวัด หายไหม (ไม่หาย)  จะหายต้องแก้ที่ตัวเราเอง จริงไหม (จริง)
ชีวิตทุกชีวิตเกิดมาได้เพราะความรู้ ความคิด ความเข้าใจ ก่อเกิดเป็นตัวตน ตัวตนคือผลิตภัณฑ์ของความคิด ความรู้ ความเข้าใจและตัวเราเป็นผู้ผลิตความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเรามีชีวิตอยู่ เราไม่คิดตีกรอบชีวิตเรา อะไรเราก็ยอมรับ อะไรเราก็ยอมได้ เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่โดยส่วนใหญ่คำว่าตัวตนของมนุษย์ทุกคน มักตีกรอบว่า จนไม่ได้ ทุกข์ไม่ได้ ด่าไม่ได้ แพ้ไม่ได้และทำไมต้องให้คนอื่นก่อน เมื่อคิดแบบนี้ก็ทุกข์ แค่คิดว่าโดนว่าไม่ได้ ให้ไม่ได้ ก็เห็นแก่ตัวแล้ว แค่คิดว่า ต่อว่าไม่ได้ ยอมไม่ได้ ก็แล้งน้ำใจแล้ว และในความคิดนี้เมื่อฝังอยู่ในตัวเรา เมื่อฝังแล้วด่าเมื่อไหร่ก็เจ็บ และเมื่ออยู่ในตัวเราแล้วว่าอย่างไรก็ทุกข์ แต่ถ้าตัวเราไม่มีความคิดนี้ ด่าได้ไม่เป็นไร ทุกข์ได้ไม่เป็นไร สูญเสียได้เป็นธรรมดา เราจะทุกข์ไหม สิ่งที่ทำให้เราไม่เห็นความจริงและไม่สามารถตื่นรู้ในธรรมะได้ คือความคิดที่ตีกรอบปิดบังความจริง ไม่ใช่ผู้อื่นทำให้เราทุกข์ รักแล้วต้องรักเลย รักแล้วห้ามจากไป ตัวเรากำหนดเอง แล้วเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ได้แล้วต้องมีแต่ได้ แล้วก็ต้องได้อีก ห้ามสูญเสีย ห้ามขาดทุน เป็นไปได้หรือ (ไม่ได้)  แล้วใครเป็นผู้กำหนด (ตัวเรา)  ฉันต้องสวย ฉันต้องเลิศเลอ ฉันต้องดีงาม เป็นไปได้หรือ ฉะนั้นอย่าลืมหันไปมองความจริงบ้าง อย่าเอาแต่ตามใจตัวเอง เพราะการตามใจตัวเองและปลูกฝังความคิดการตามใจตัวเอง ผลที่สุดคือ หนีไม่พ้นทุกข์ และน่ากลัวที่สุดคือ วิบากกรรมที่ทำให้หนีไม่พ้นอบายภูมิ แต่การเรียนรู้ที่จะยืนอยู่บนความจริง ผลที่สุดคือกลับคืนสู่สภาวธรรมและพ้นทุกข์นิจนิรันดร์
หนึ่งชีวิตที่ยังมีลมหายใจ ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสิ้นทุกข์ และสิ้นกรรม อยู่เพื่อใช้กรรมเก่าไม่สร้างกรรมใหม่ ฉะนั้นอยากให้ดี ตามความคิดหรือตามความถูกต้อง (ความถูกต้อง)  มองอย่างคนเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ตีกรอบคับแคบ หรือเปิดใจกว้าง (เปิดใจกว้าง)  กล้ายอมรับความจริงไหม (กล้า)  เรียนรู้ธรรมไม่ใช่เพียงแค่เป็นคนดี แต่แก่นหลักของการเรียนรู้ธรรมคือ นำพาตัวเองตื่นรู้แล้วพ้นทุกข์ด้วยธรรมในใจตน ไม่มีใครฉุดเราขึ้นจากความทุกข์ได้นอกจากตัวเอง ไม่มีใครปลุกให้เราเข้มแข็งได้นอกจากหัวใจเราเอง หัวใจที่เข้าใจความเป็นจริง อยากเข้าใจคนอื่น แต่ไม่เข้าใจตัวเองก็เปล่าประโยชน์ อยากจะเป็นแบบคนอื่น แต่ยังไม่เข้าใจแบบที่ตัวเองเป็นก็ น่าเสียดาย เกิดเป็นคนอย่าลืมรากเหง้าของตนเอง เรามีรากเหง้าเหมือนกันคือธรรมะ และถึงที่สุดเราก็ต้องกลับสู่ธรรมะ ถ้าเราเอาแต่ยึดตัวตน ก็หนีไม่พ้นเวรกรรม แต่ถ้าเราสามารถวางตัวตนได้กลับคืนสู่สภาวธรรมได้ นั่นเรียกว่าพระนิพพาน ไม่ยากเลยนะ แค่เราไม่ยอมรู้ใจตัวเอง ไม่ยอมรู้ธรรมในใจตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
ไม่มีบุญก็คงไม่ได้มาเจอกัน เวลาเจอใคร อยากให้เป็นบุญหรือเป็นกรรมร่วมกัน (เป็นบุญ)  อยู่ที่ตัวเราเองไม่ใช่อยู่ที่คำพูด จริงไหม (จริง)  เวลาเจอใครว่า เราอยากให้สิ้นบุญหรือว่าอยากให้สิ้นกรรม (สิ้นกรรม)  อย่างนั้นเขาต่อว่าเราก็โต้ตอบเลย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ไตร่ตรองให้ดี เราเจอเขาแต่ทำไมคนอื่นไม่เจอเขา เพราะมีกรรมร่วมกันมา รู้ไหม (รู้)  แล้วจะอยากมีกรรมต่อไหม (ไม่อยาก)  ถ้าอยู่กันอย่างมีธรรมเราก็จบกรรม แต่ถ้าอยู่กันอย่างมีกรรม เราก็ไม่มีวันสิ้นเวรกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เราคงมาผูกบุญกับท่านสั้นๆ เพียงแค่นี้ รักษาโอกาสและเวลาของชีวิตให้ดี อย่ามัวผัดวันประกันพรุ่งทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะไม่มีใครรู้วันพรุ่งนี้ ถ้าไม่อยากเจ็บปวดและทุกข์เพราะการสูญเสีย รักษาเวลาตอนนี้ให้ดีที่สุด อยู่กับเขาอย่างมีความสุขที่สุด อยู่อย่างคนมีบุญร่วมกัน มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก


วันอาทิตย์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒         สถานธรรมหมิงเอิน เพชรบูรณ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  อันหลักธรรมแก่นแท้มีหนึ่งเดียว    จงขับเคี่ยวตนเองดั่งน้ำงวด
ไม่ต้องสนใครเป็นเพชรใครเป็นกรวด คนยิ่งยวดเมื่อเข้าถึงสภาวธรรม
                        เราคือ
     จี้กงอาจารย์เจ้า       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานหมิงเอิน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                   ถามศิษย์รักทุกคนยังคงสบายดีไหม
   
    ลึกลับเพราะไม่เรียนรู้ อะไรนั้นคือธรรมะจริงจริง ใช้เดาแบบนี้เพราะไม่รู้จริง เมื่อขวัญมินิ่ง อย่างไรจะศึกษา
    แพ้นี้เพราะไม่อยากแพ้ อ่อนแอกว่าคนยอมแพ้ชินชา ถ้าเรียนรู้เห็นเพี้ยนหลอกสายตา ชอบฟังดีกว่า กำไรธรรมะกว่าเดิม
    *หลักในวันนี้ ธรรมะดีดี อย่าละทิ้งการศึกษา จิตใจเท่านั้นกลับคืนฟ้ามา ธรรมที่อรรถาครบถ้วนเพราะทำ
**ลี้ลับเพราะไม่ศึกษา ศรัทธาแบบงมงายไร้วันตื่น ชอบปาฏิหาริย์ เพ้อฝันทั้งคืน แม้ลืมตาตื่น ศิษย์รักหลงทางเรื่อยไป (ซ้ำ *,**)

    **แพ้นี้เพราะไม่อยากแพ้ อ่อนแอกว่าคนยอมแพ้ชินชา ถ้าเรียนรู้เห็น เพี้ยนหลอกสายตา ชอบฟังดีกว่า กำไรธรรมะกว่าเดิม (ซ้ำ *,**)

ทำนองเพลง : คิดถึงฉันบ้างคืนนี้
ชื่อเพลง : ธรรมะไม่ใช่เรื่องลี้ลับ



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อย่าปล่อยให้จิตมัวหมองเพราะกิเลสตัณหาในใจเรา ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่สามารถรักษาจิตให้บริสุทธิ์ได้ แต่อย่าปล่อยให้มันมัวหมองไปเพราะความหลง ความโลภ ความไม่เที่ยง ศิษย์บริสุทธิ์ได้ แล้วทำไมไม่รักษาให้มันแกร่งดั่งเพชร
อยากมีชีวิตอิ่มเอิบก็ยิ้มเข้าไว้ ทุกข์อย่างไรก็ต้องยิ้มเพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเอง มีแต่รอยยิ้มที่ช่วยปลอบใจเราได้ดีที่สุด ถ้าเรื่องที่แย่ที่สุด เรื่องที่ทุกข์ที่สุด เรื่องที่เจ็บปวดที่สุด เรายังยิ้มได้ เรายังสู้ไหว จะมีอะไรน่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือใจตัวเอง ใช่หรือไม่
อย่ากลัวความจน อย่ากลัวลำบาก แต่ควรกลัวใจที่ไม่ยอมสู้กับความจน ใจที่ไม่สามารถเอาชนะความลำบากได้ อย่ากลัวคนอื่นดูถูก แต่ควรที่จะกลัวใจตัวเองที่ชอบดูถูกตัวเอง อย่าไปกลัวคนอื่นกดขี่ข่มเหง แต่ควรที่จะกลัวใจตัวเองที่ชอบกดตัวเองให้ไร้ค่า อย่าดูถูกคุณค่าตัวเองถ้าศิษย์อยากจะเป็นคนที่น่ารัก นอกจากยิ้มเก่งแล้วอย่าเป็นคนยกตนข่มท่าน อย่าเป็นคนที่ชอบเอาใจตัวเองเป็นเกณฑ์แล้วตัดสินคนอื่นว่าคนอื่นผิด ตัวเองถูก สิ่งที่ไม่ชอบอย่าไปทำกับคนอื่น สิ่งที่เราไม่อยากได้ก็อย่าไปทำกับคนอื่น
พระพุทธะสอนให้เราไม่ใช่เป็นคนดีอย่างเดียว แต่เป็นคนดีแล้วต้องมีปัญญา ไม่ใช่เป็นคนดีที่ไร้ปัญญา การเรียนรู้ธรรมสอนให้เราทำอะไรอยู่บนโลกแล้วต้องรู้จักใช้ปัญญาให้เป็น อย่าเอาแต่เชื่ออย่างงมงาย อย่าเอาแต่เชื่ออย่างที่เขาว่าตามกันมาแล้วเราก็ทำตามไป แต่เราต้องมีปัญญาด้วย ทุกเรื่องราวต้องเอามาทำให้เราสูงขึ้น ไม่ใช่กดเราต่ำเตี้ยลง นี่ถึงจะเรียกว่าคนมีปัญญา แล้วทุกวันนี้ชีวิตเรายกให้ตัวเองสูงขึ้นหรือต่ำลง เอาเรื่องราวมาทำให้ตัวเองดีขึ้นหรือแย่ลง
ถามศิษย์รักทุกคนยังคงสบายดีไหม (สบายดี)  บางทีคำว่าสบายดีของชีวิตแต่ละคนไม่ใช่ออกมาง่ายๆ จะพูดคำว่าสบายดีได้ก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะสบายจริงๆ ไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอ๋ย ไม่มีที่พึ่งไหนประเสริฐที่สุดเท่ากับที่พึ่งของคนที่รู้จักมีปัญญาปัญญาที่เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตตัวเอง ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์เข้าใจชีวิตตัวเอง โลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัว รู้จักผู้อื่นไม่มีประโยชน์เท่ารู้จักใจตัวเอง และพื้นฐานของการเข้าใจชีวิตตัวเอง ก็เมื่อเจอเรื่องราวอะไร หันกลับมาย้อนดูตัวเอง และรักษาความสมดุลให้ได้
คนเมื่อยามทุกข์ คนเมื่อยามเจ็บ เรียกว่า คนเสียศูนย์  แต่ธรรมะคือความสมดุลอันเป็นกลางและเป็นจริง ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่ศิษย์ทุกข์เพราะเสียศูนย์ ก็ต้องเอาธรรมะมาช่วยยั้งให้กลับมาสมดุลและเข้าใจความจริงอันเป็นกลางความเป็นจริงอันสมดุลทำให้เราอยู่ตรงกลางได้อย่างสงบสุข      ถ้าเมื่อไรที่มองคนอื่นมากจนเจ็บปวด ลองลดการมองคนอื่นแล้วหันมามองตัวเองว่าดีกว่าเขาแล้วหรือยัง เมื่อไรที่ทุกข์มากๆ ลองมองให้ดีว่า มีทุกข์แล้วไม่มีสุขเลยจริงหรือ เมื่อไรที่มนุษย์หาความสมดุลในชีวิตได้ เมื่อนั้นเราจะไม่ทุกข์ แต่เราจะอยู่อย่างคนกลมกลืน สอดคล้องในธรรม
เมื่อพูดถึงเรื่องธรรมะศิษย์มักบอกว่าไกลเกินตัว เพราะตายแล้วก็จบกัน  ธรรมะก็ไม่ต้องสนใจ ผิดชอบชั่วดีก็ไม่ต้องกังวล ตายแล้วจบไหม     (ไม่จบ)  ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า การกระทำวันนี้จะเป็นตัวกำหนดอนาคต อนาคตจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำวันนี้ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
โดยส่วนใหญ่มนุษย์เราทุกคนจำสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดีแม่นกว่ากัน (สิ่งที่ไม่ดี)  ใครทำดีจำได้ไหม (ไม่ได้)  ใครทำไม่ดีจำได้ไหม (จำได้)  อย่าบอกว่าเวรกรรมไม่มีจริง เมื่อไรที่มนุษย์จำสิ่งที่ร้ายได้มากกว่าสิ่งที่ดี โอกาสที่มนุษย์จะผูกเวรจองกรรมก็เป็นเรื่องง่าย และโอกาสที่เราจะแก้แค้นก็เป็นเรื่องง่าย ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถ้าตอนเกิดยังไม่สิ้นทุกข์ ตอนตายก็ไม่มีวันสิ้นทุกข์ตอนเกิดยังเต็มไปด้วยความโลภ ความเศร้า กิเลสเต็มตัวไปหมด ตอนตายจะสิ้นทุกข์ไหม (ไม่)  มีแต่ต้องสิ้นทุกข์ก่อนตาย ตายไปถึงจะหมดทุกข์ แล้วเราสิ้นทุกข์หรือยัง หมดทุกข์หรือยัง (ยัง) 
อย่างนั้นเราควรจะทำอะไรเผื่อก่อนตายไหม (ความดี)  ถ้าชีวิตต้องมีเวรกรรมที่ต้องชดใช้ เราควรจะทำอะไรเพื่อที่จะทำให้ตัวเองไม่ต้องกลับมาชดใช้ดีไหม (ดี)  แล้วถ้าชีวิตหนึ่งเผื่อสิ้นทุกข์ได้ แล้วทำไมเราไม่ลองทำดูบ้าง แล้วเราคิดว่าเราสิ้นทุกข์ได้ไหม (ได้)  อยากจะอยู่ในโลกให้สิ้นทุกข์ได้ เราต้องมองทุกอย่างในโลกอย่างที่คนมองแล้วเห็นชัด แล้วทำให้เราไม่เจ็บปวดได้เลย ถึงจะเรียกว่าคนที่สามารถเข้าใจชีวิต มีแฟนเราก็ทุกข์ มีเงินก็ทุกข์ มีเสื้อผ้าก็ทุกข์ มีรองเท้าก็ยังทุกข์ มีผมดำแล้วกลายเป็นผมขาวทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วมีอะไรที่ไม่ทำให้ทุกข์มีบ้างไหม (ไม่มี)  มีเงินแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  ธรรมง่ายๆ มีเหมือนไม่มี แต่เรามีแล้วเหมือนไม่มีไหม มีเงินอยู่ในธนาคารหนึ่งหมื่นบาทถามว่ามีไหม (ไม่มี) เพราะถ้ามีแล้วจะเอาอีกไหม (ไม่เอา)  แต่บอกว่าไม่มีทุกทีทั้งที่จริงๆ มีใช่ไหม (ใช่)  แล้วทุกข์เพราะมีหรือไม่มี (มี)  ฉะนั้น ถ้ามีแล้วทุกข์ก็คิดว่ามีก็เหมือนไม่มี มีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกมีได้ ถ้าใจยังไม่พอ ถ้าใจยังไม่สุข ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกอย่างมีความสุข จงคิดว่า ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว ดีแค่นี้ก็ดีแล้ว ส่วนที่เหลือจะได้หรือไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร รักษาความสมดุล มีก็เหมือนไม่มี ไม่มีก็เหมือนมี ฉะนั้นอย่าลืมความสมดุลของจิตใจ อย่าคิดว่าตัวเองขาดแคลน จนลืมว่าตัวเรามี อย่าคิดว่าตัวเองมีจนขาดแคลนไม่ได้ ไม่เช่นนั้นศิษย์จะทุกข์ใจเพราะตัวเองที่ถูกความคิดครอบงำ ตายเพราะความคิดตัวเอง ทำไมฉันยังไม่มี ทั้งที่จริงแล้วถ้าเทียบกับคนอื่น ก็เรียกว่ามีแล้วนะ
มนุษย์มีทุกข์กับสิ่งที่มี และทุกข์กับสิ่งที่ไม่มี อะไรที่ทำให้เราเห็นว่ามีแล้วทุกข์ ก็หลับตาแล้วคิดว่า มีก็เหมือนไม่มี เหมือนอะไรที่เห็นมาก รู้มาก เจ็บไหม (เจ็บ)  แล้วศิษย์เคยคิดไหมว่า สิ่งที่เห็นสิ่งที่รู้ จริงๆ แล้วศิษย์ยังไม่เห็น ไม่รู้ รู้จักสามีมาก็นานแล้ว ทำไมสามีถึงทำกับเราอย่างนี้ จริงไหม (จริง)  สามีเองก็รู้จักภรรยา แต่ถึงเวลาภรรยากับสามีต่างก็ทำอะไรที่ทำให้คาดไม่ถึงได้เหมือนกัน จริงไหม (จริง)  แล้วชีวิตที่เราคิดว่าเรารู้ชัด เห็นชัด คนที่เรารู้จักเขาดี ทำอะไรที่เราไม่คาคคิดได้ไหม (ได้)  แล้วชีวิตสามารถพลิกจนเรานึกไม่ถึง เป็นไปได้ไหม แล้วทำไมไม่เผื่อใจบ้าง เวลาชีวิตเจอทางตันจะได้มีสติ ว่าชีวิตมันเกิดอะไรขึ้นก็ได้ ขึ้นชื่อว่าชีวิต อะไรมันก็เปลี่ยนได้ ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์รู้บางครั้งก็อาจจะ (ไม่รู้)  สิ่งที่ศิษย์เข้าใจ บางครั้งศิษย์ก็อาจจะ (ไม่เข้าใจ)  เพื่อรักษา (ความสมดุล)  และกลับคืนสู่สภาวธรรมอันเป็นปกติ เมื่อไหร่ที่จิตรักษาความเป็นปกติได้ นั่นคือการดำเนินชีวิตอย่างสอดคล้องกลมกลืนกับความแตกต่างที่เรียกว่า สภาวะคู่
โลกนี้มีภาวะคู่ มีดำก็มี (ขาว)  มีดีก็มี (ชั่ว)  มีทุกข์ก็มี (สุข)  มีล้มเหลวก็มี (สำเร็จ)  ฉะนั้นเวลาทำอะไรหวังแต่สำเร็จไม่ให้ล้มเหลว ได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อไหร่ที่คิดอย่างนั้นศิษย์กำลังจะทำให้ตัวเองเสียศูนย์ในความเป็นจริง และหลงลืมความเป็นจริงที่เรียกว่า สภาวธรรมอันเป็นกลาง
ศิษย์เอ๋ย เกิดมาทั้งทีอย่าอกหักแล้วตาย อย่าจนแล้วฆ่าตัวตาย อย่าล้มละลายแล้วผูกคอตาย น่าเสียดาย จริงไหม (จริง)  เอาให้อกหัก ล้มละลาย ยากจน ชดใช้ให้ครบ ก่อนจะตายถ้ายังไม่ครบอย่าเพิ่งตาย ให้รู้หมดทุกรสชาติ จะได้เกิดมาไม่เสียเปล่า ยากจนก็เคย ล้มละลายก็เคย แล้วตอนนี้ยังยืนอยู่ได้ น่าภูมิใจนะ การเกิดเป็นคน ประเสริฐที่สุด สามารถทำบุญสร้างกุศลได้ สามารถทำให้ถึงคำว่า “มรรคผลพระนิพพาน” ได้ ฉะนั้นอย่าดูเบาตัวเอง ถึงแม้จะผ่านมาครึ่งชีวิตแล้ว ถ้าเราทุกข์แล้วจะทำอย่างไรที่ทำให้เราพ้นทุกข์ได้ ทำได้ด้วยการเอาธรรมะมาใช้ (รู้ทันใจตัวเอง, ความเป็นจริงของชีวิต, การยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรา) 
(พระอาจารย์เมตตาหยิบลูกทับทิมขึ้นมาเป็นตัวอย่าง)
ศิษย์เคยใช้อะไรอย่างหนึ่งมาทำให้เห็นในใจตัวเองไหม เห็นสิ่งหนึ่งแล้วสะท้อนเห็นอีกสิ่งหนึ่ง 
เห็นสิ่งหนึ่งแล้วสะท้อนตัวตนและเห็นสิ่งหนึ่ง เห็นมากกว่าเห็น เหมือนเราเห็นทับทิมลูกหนึ่งเราสามารถเห็นได้ถึงความทุกข์ยากลำบากกว่าจะปลูกอันนี้มาได้ เราเห็นถึงน้ำตา เห็นถึงการสูญเสีย เห็นถึงการหลอกลวง เห็นทั้งหยาดเหงื่อแรงงาน เรามองเห็นไหม (เห็น) แต่ชีวิตมนุษย์มักไม่เห็นในสิ่งที่ควรจะเห็น แต่เห็นเฉพาะสิ่งที่ตัวเองอยากเห็น ถ้าอาจารย์ถามว่ากินทับทิมอันนี้อร่อยไหมก็น่าจะอร่อย แต่คำว่าน่าจะอร่อยมันมีไม่อร่อยไหม (มี) ฉะนั้นถ้าเราซื้อแล้วเราคาดหวังว่ามันจะอร่อย แล้วก็ยึดติดว่ามันจะอร่อย คนที่ยึดติดและคาดหวังก็คือคนที่สร้างกรอบให้ตัวเองทุกข์โดยง่าย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ศิษย์รู้ว่าอันนี้มันคือทุกข์ แล้วเราเห็นชัด แล้วเราไม่เป็นทุกข์กับมัน เราแค่เห็น แล้วไม่เอามาใส่ใจ จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่ทุกครั้งที่เวลาทุกข์มา เราหยิบมาใส่ใจทันที “ฉะนั้นถ้าอยากจะพ้นทุกข์ เมื่อไรที่รู้ว่าเป็นทุกข์ จงมีสติยั้งคิด จงมีธรรมะยั้งใจว่าเราจะเป็นแค่ผู้เห็น แต่ไม่ไปเป็น” ธรรมะนี้เป็นธรรมะขั้นสูงนะ เพราะต้องฝึกที่จิตใจตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ยังไม่เห็นใครทำได้อย่างนี้ จริงไหม (จริง)  ศิษย์เคยไหม ถ้าตอนนี้เราเห็นมันเป็นทุกข์และเราเห็นใจตัวเราเองด้วย ประเมินใจตัวเองได้ ไม่ไหวแน่ ไม่รับ ไม่เอา แล้วเราหยุดทุกข์ได้ไหม (ได้)
ศิษย์ส่วนใหญ่ใครโกรธมาก็โกรธกลับ ใครด่ามาก็ด่ากลับ แรงมาก็แรงกลับ อาจารย์จะบอกว่า ผู้เข้าถึงธรรมจะสามารถทั้งเห็นและไม่เห็น จะเห็นทั้งข้างนอกและสามารถสะท้อนถึงข้างใน นั่นเรียกว่า ฝึกฝนบำเพ็ญจนเกิดปัญญา อะไรก็ลวงให้หลงไม่ได้อีกต่อไป ยากไหม (ไม่ยาก)  แต่เมื่อไรจะทำสักที ตกเป็นทาสของความคิดทุกที ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ฉะนั้นถ้าอยู่ในโลกไม่ให้เป็นทุกข์นะศิษย์ ทั้งอยากและไม่อยาก เผื่อใจไว้ศิษย์ รักษาสมดุลในใจไว้ ได้ไม่ได้ ไม่เป็นไร ดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ ฉันเข้าใจตัวเองว่า ฉันไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรมก็พอ ส่วนใครจะว่าอย่างไรก็เรื่องของเขา เราถูกต้องเป็นพอ จริงไหม (จริง) สิ่งที่มันธรรมดา มันกลายเป็นสิ่งที่อยากและไม่อยากได้ด้วยหัวใจของมนุษย์ กินแล้วสุขมากเท่าไร ก็ทุกข์มากเท่านั้น จริงไหม (จริง)  แล้วชีวิตนี้มีอะไรบ้าง ที่สุขแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี) 
อะไรในโลกที่ศิษย์มีสุขมากแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)  ตัวเราสุขมากเท่าไหร่ ตัวเราก็เจ็บมากเท่านั้น เรารักสามีมากเท่าไรก็เจ็บมากเท่านั้น เงินทองหามาเหนื่อยแทบตาย ยิ่งหามากก็ยิ่งเจ็บมาก แล้วเอาไหม (เอา)  สิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกข์มีอยู่ไม่กี่อย่าง อย่างแรกคือทุกข์จากความเป็นจริงที่ใครๆ ก็หนีไม่พ้น ใครหนีความแก่ หนีเจ็บ หนีความตายได้ไหม (ไม่ได้) 
ฉะนั้นควรดีใจกับความเป็นจริง (แก่,เจ็บ,ตาย) เพราะเมื่อไรที่จิตไม่ยึดมั่นถือมั่นในความแก่ เจ็บ ตาย เมื่อความแก่เจ็บตายมาถึงจะได้ไม่ทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรใจเราตีกรอบ อย่าแก่ พอแค่โดนทักหน่อยว่าแก่แล้ว พูดอย่างนี้ได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความทุกข์ทีศิษย์เป็นคนสร้างแล้วตีกรอบให้ตัวเองยิ่งทุกข์นั่นคือ “ห้ามทุกข์ ห้ามล้มเหลว ห้ามโดนด่า ห้ามอกหัก” เป็นทุกข์ที่ศิษย์เป็นคนกำหนดเอง ตีกรอบยึดมั่นว่าห้ามทั้งที่จริงๆ แล้วห้ามได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วในใจเรามีสิ่งนี้อยู่ไหม (มี)  แล้วห้ามได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นแล้วควรจะมีไหม (ไม่ควร)  ฉะนั้นวิธีแก้ที่ดีที่สุดที่เราจะพยายาม ศิษย์รู้ไหมสิ่งที่ทำให้ศิษย์ทุกข์ก็คือ ความคิดที่ครอบงำชีวิต เมื่อไรที่ปล่อยให้ความคิดครอบงำชีวิต มนุษย์จะไม่สามารถเข้าถึงปัญญาที่เห็นแจ้งในธรรมได้ ดั่งเช่นเวลาที่เราตีกรอบว่า “ธรรมะ ต้องเป็นพระภิกษุพูดเท่านั้น” ถ้าคิดแค่นี้ศิษย์ก็จะฟังใครที่พูดธรรมะไม่ได้ “ธรรมะต้องอยู่ในวัดเท่านั้น” ฉะนั้นข้างนอกไม่ใช่ธรรมะหรือ เหมือนกันถ้าชีวิตเราตีกรอบความคิดว่า ฉันต้องสุข ห้ามทุกข์ ฉันต้องดีห้ามร้าย ฉันต้องสำเร็จห้ามล้มเหลว คิดแบบนี้ก็ทุกข์แล้ว ฉะนั้นถ้าเราอยากมีชีวิตที่เข้าใจความจริง ศิษย์ต้องล้างความคิดนี้ออกจากใจ เพราะถ้าล้างไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็ทุกข์
แม้ฟังพระเทศน์หรือแม้แต่พระพุทธองค์ลงมาโปรดศิษย์ก็ทุกข์ เพราะศิษย์อยากมีสุขอย่างเดียว ไม่เข้าใจความทุกข์ ในทุกข์ที่สุดในผิดหวังที่สุด ไม่มีความสำเร็จไม่มีความสุขหรือ (มี)  ยามที่ศิษย์อ่อนแอที่สุด มีความเข้มแข็งไหม (มี)  ในวันที่เราเจ็บปวดที่สุด ไม่มีเรื่องดีๆ ให้เราเห็นบ้างหรือ (มี)  แล้วเราลุกขึ้นมายืนกับความเป็นจริงนั้นไม่ได้หรือ ถ้าศิษย์อยากไม่ทุกข์ ศิษย์ต้องระวังความคิดที่มาครอบงำจิตใจศิษย์ เหมือนที่ศิษย์มองอาจารย์แล้วคิดว่า นี่คือพระอาจารย์จริงหรือเปล่า หลอกกันหรือเปล่า หากคิดเช่นนี้ตลอดก็ฟังอาจารย์ไม่เข้าใจ เพราะความคิดอยู่ข้างใน มองใครก็มองไม่รู้ ฟังใครก็ฟังไม่ชัด
มีทุกข์อีกอย่างหนึ่งที่น่ากลัว และทำให้เราหนีไม่พ้นเวรกรรม นั่นคือ ทุกข์ที่เกิดจากกิเลส ตัณหา ความโลภหลง
ศิษย์จำไว้นะ โลภ โกรธ หลง หนีไม่พ้นคือ ทุกข์ บาป เวรกรรม และวิบากกรรมที่ต้องรับ เมื่อไหร่ที่ศิษย์ตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ศิษย์จะหนีไม่พ้นเวรกรรมที่ศิษย์ต้องชดใช้ เมื่อไหร่ที่ศิษย์ตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง จนลืมซึ่งคุณธรรมความดี ศิษย์จะหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ศิษย์จะต้องกลับไปแบกรับ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไรละ ที่จะแก้ไข โลภ โกรธ หลง นี้ได้ เราไม่เคยจัดการมันได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  โลภ โกรธ หลง ใครเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา (ตัวเราเอง)  แล้วโรงงานที่ผลิตโลภ โกรธ หลงคือใคร (ตัวเราเอง)  เช่นนั้นเราควรทำลายโรงงาน หรือควรทำลายโลภ โกรธ หลง (โลภ โกรธ หลง)  พระพุทธองค์จึงกล่าวไว้ว่า เราไม่สามารถทำลายกิเลสได้ ถ้าโรงงานผลิตกิเลสยังคงสร้างอยู่ไม่จบสิ้น  แก้กันมาเป็นสิบปีก็ยังแก้ไม่ได้ จริงไหม (จริง)  เห็นอะไรก็อยากได้ เห็นตัวเองก็อดหลงตัวเองไม่ได้ (เป็น)  เห็นใครไม่ดีก็อดโมโหโทโสไม่ได้ แต่ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถ้าเราสามารถเข้าใจอะไรจนชัด เห็นอะไรจนมันแจ่มแจ้งแล้ว เรายังอยากจะได้มันอีกไหม (ไม่)  ถ้าสิ่งที่ศิษย์จะได้ มันทั้งทุกข์ ทั้งเจ็บ ทั้งพลัดพราก ทั้งทำให้เราสูญเสียความเป็นคน หรือทำให้เราสูญเสียชีวิตได้ เราจะมีมันไหม (ไม่มี)  จะเอาไหม (ไม่เอา)  แล้วถึงเวลาเอาไหม (เอา)  แปลว่าเรายังเห็นไม่ชัดใช่ไหม (ใช่)  ถ้ามีเงินแล้วมันเจ็บเพราะเงิน จะมีไหม (ไม่มี)  ถ้าอยากมีเงิน มีแล้วมันทำให้เราผิดศีล ไม่มีก็ได้ ความอยากนั้นก็จะไม่ฆ่าเรา แล้วส่งผลให้เราต้องทุกข์ ถ้ามีเงินแล้วทำให้เราขาดความเป็นคน ขาดคุณธรรมความเป็นคน มีน้อยหน่อยก็ได้ ดีไหม (ดี)  ถ้ามีเงินแล้วมันทำให้เราต้องทุกข์จนหาที่สิ้นสุดทุกข์ไม่เจอ ก็ควรพอเท่านี้ เราจะหยุดโลภทันทีเลยจริงไหม แต่ถึงเวลาพอมีเงิน เรามักไม่สนใจศีลธรรม ศิษย์เอ๋ย ธรรมะที่เราเรียนรู้ ศีลมีไว้เพื่อไม่ประพฤติผิด ธรรมมีไว้เพื่อดำรงตนให้มีคุณค่า สร้างคุณค่าให้กับตัวเองในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ส่วนการรู้แจ้งในธรรมเพื่อนำพาให้เราพ้นทุกข์และไม่ตกเป็นทาสของความทุกข์ หรือไม่ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นถ้าดำรงชีวิตครองในศีล ไม่เบียดเบียนใคร ความโลภนั้นจะทำให้เราทำบาปไหม (ไม่)  ถ้าดำรงชีวิตครองในคุณธรรม จะมีเมตตาธรรม มีมโนธรรมสำนึก เราจะโกงใครไหม (ไม่)  เราจะเบียดเบียนใคร เราจะฉ้อฉลไหม (ไม่)  แล้วทุกครั้งที่เราตกเป็นทาสของกิเลส เรามีศีลไหม (ไม่มี)  เรามีธรรมไหม (ไม่มี)  แล้วเรานึกถึงความเป็นจริงไหม (ไม่) มันก็เจ๊งไปตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว จริงไหม
ฉะนั้นถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องทุกข์ แล้วเวียนไปในวัฏจักรแห่งกรรมที่เรียกว่า “ตัวตนเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งมวล” หรือเรียกอีกอย่างว่า มนุษย์เป็นผู้สร้างและก็เป็นผู้ทำลายทุกอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เป็นตัวตนของผลผลิตกรรมที่เราสร้าง อนาคตจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับวันนี้เราทำสิ่งใด ฉะนั้นเมื่อยังมีกรรมก็ต้องเวียนไม่สิ้น เพื่อรับผลกรรม แต่ถ้าเรามีวิถีทางหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเรามีโอกาสที่จะทำให้กรรมมันสิ้น แล้วกลับคืนสู่สภาวธรรม โดยที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก เราสนใจไหม (สนใจ)  และเราคิดว่าเราทำได้ไหม (ทำได้)  เหมือนเวลาที่เรารู้กันโดยส่วนใหญ่ว่า เราเกิดมาเพราะเรามีกรรม ฉะนั้นเมื่อไรที่เราสิ้นกรรม เราก็จะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเรายังสร้างกรรมอยู่เราก็จะเวียนว่ายไม่จบสิ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ถามศิษย์นะ ถ้าเราไปตีเขาเบาๆ ครั้งหนึ่ง เวลาเขาเอาคืนเขาตีเราคืนเบาๆ ไหม (ไม่)  เขาจะตีเราแบบไหน (ตีแรงมากกว่าเราตี)  ถ้าเราด่าเขาว่า ไอ้โง่ แล้วเขาจะด่าเราคืนว่า ไอ้โง่ เหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  แต่จะด่ามากกว่านั้น ใช่ไหม (ใช่)  เราจะเจ็บกว่าเราด่าเขาไหม (เจ็บกว่า)  แล้วที่ศิษย์ไปเอาของเขามาทั้งชีวิต แล้วที่ศิษย์ไปโกงเขามาทั้งชีวิต ไปเบียดเบียนเขาทั้งชีวิต ทั้งพรากลูก พรากแม่ พรากพ่อเขา เขาจะไม่เอาคืนเจ็บกว่าหรือ และเมื่อกรรมนั้นตกผล ตอนนั้นศิษย์จะร้องขออะไร ขอให้ธรรมะช่วยหรือ ในเมื่อตอนมีธรรมะไม่คิดอยากจะมี แล้วพอมีกรรมถึงอยากจะมีธรรมะ ทันไหม (ไม่ทัน)
ควรจะยั้งก่อนมี หรือมีแล้วค่อยมีธรรม (ยั้งก่อนมี)  แล้วถึงเวลาเรามีธรรมหรือเราสร้างกรรม (สร้างกรรม)  ศิษย์จำไว้นะ เมื่อไรที่ศิษย์ทำอะไรขาดศีลจะตกเป็นทาสของการสร้างกรรม เมื่อศิษย์ทำอะไรศิษย์ขาดคุณธรรม ศิษย์จะหนีไม่พ้นเวรกรรม ฉะนั้น พระพุทธะจึงสอนให้เราเกิดเป็นคน ศีลมีไว้เพื่อละบาป ธรรมมีไว้เพื่อประพฤติความเป็นคนให้ถูกต้องและสมบูรณ์แบบ ที่คนเขายกย่องว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐ ประเสริฐเพราะคุณธรรม ผู้ใดมีธรรมผู้นั้นมีคุณอันประเสริฐ ฉะนั้น ถึงศิษย์จะทำดีแค่ไหน แต่ถ้าบาปศิษย์ไม่ละ ศิษย์ก็ยังหาเป็นคนดีไม่ ถึงศิษย์จะทำบุญมากขนาดไหนแต่ใจนั้นยังแอบเคลือบแฝงไปด้วยความโลภ โกรธ หลง บุญนั้นก็หาบริสุทธิ์ไม่ ถ้ากระทำบุญนั้นยังยึดติดในความถือตัวถือมั่น บุญนั้นก็ไม่เรียกว่าบุญอย่างแท้จริง แต่ยังเคลือบแฝงไปด้วยความหลง ฉะนั้นถ้าอยากทำบุญแล้วไปให้ถึงที่สุด บุญนั้นจะได้มากกว่าบุญ ถ้าทำแล้วไม่ยึดติดตัวตน ทำแล้วไม่ยึดมั่นหวังวอนขอ บุญนั้นเรียกว่า กุศล ถ้าทำแล้วสามารถชะล้างความเป็นตัวตนได้ บุญนั้นจะกลายเป็นบุญแท้ที่นำไปสู่กุศล ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าทำแล้วยังมีตัวตนไปรองรับ แปลว่าเราอยากได้บุญนั้นเพื่อกลับมาเสวยบุญอีก และเมื่อหมดบุญเราก็ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดอีก แล้วมั่นใจหรือว่าบุญที่ศิษย์สร้างจะพอทำให้ศิษย์กลับเป็นคน ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้ควรที่จะตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ไหม (ไม่ควร)  ฉะนั้นก่อนที่ศิษย์จะทำอะไร ยั้งใจถามตัวเอง ถูกต้องในศีลไหม มีคุณธรรมความเป็นคนไหม เสียสมดุลจนลืมธรรมะที่แท้จริง หรือเปล่า
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ซึ่งศิษย์ก็ไม่เคยผ่านด่านนี้เลยนั่นคือ โดนคนเขาด่า เป็นอะไรที่ง่ายที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ไม่มีใครผ่านได้สักคน หวั่นไหวทุกที ใช่หรือไม่ (ใช่)  เจ็บปวดทุกทีที่โดนว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าโดนเขาด่า แล้วเราทำบุญด้วยการให้อภัย นั่นเรียกว่าเรากำลังสร้างทาน แปรบาปให้กลายเป็นบุญ แปรบุญให้กลายเป็นกุศล อภัยแปลว่าในใจยังยึดติดอยู่ แต่ถ้าเขาด่ามา เราเข้าใจความเป็นจริง รักษาจิตให้มันปรกติ มีปัญญาเห็นแจ้งในความเป็นจริงว่ามีคนชมก็มีคน (ด่า)  มีดีก็มี (ชั่ว)  มันเป็นเช่นนั้นเอง เราจะพ้นไหม (พ้น)  พ้นแล้วนะ มันไม่มีตัวตนไปรองรับทุกข์อีก ถูกไหม (ถูก)  มันกลายเป็น เช่นนั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้ามนุษย์อยากสิ้นทุกข์ สิ้นการเวียนว่ายตายเกิดจนหมดสิ้น มนุษย์จะต้องขจัดความเป็นตัวตนให้หมด เพราะถ้าขจัดความเป็นตัวตนหมดได้ มนุษย์จะสิ้นทุกข์ได้บนโลกใบนี้ จริงไหม (จริง)  
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายเพลง)
“ถ้าเรียนรู้เห็น เพี้ยนหลอกสายตา”  ถ้าศิษย์เรียนรู้อะไรเอาแต่มอง แต่ไม่ศึกษาอาจจะทำให้เราโดนหลอกได้ เพราะสิ่งที่เห็นอาจจะไม่เป็นจริงอย่างที่เข้าใจ และสิ่งที่เห็นพร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ฉะนั้นให้ใช้การรู้จักฟัง ฟังมากๆ ยิ่งได้กำไรมากใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเอาแต่มองอย่างเดียวโดยไม่ศึกษาเรียนรู้ โดยไม่ศึกษาเพิ่มเติมเช่นนี้น่าเสียดาย หลักธรรมะโดยส่วนใหญ่บางคนบอกว่าลึกล้ำ ลึกลับ จริงๆ ธรรมะไม่ลึกลับเลยอยู่ที่เราจะค้นหาแล้วศึกษาด้วยความตั้งใจหรือเพียรพยายามหรือไม่
คนตอบคำถามอาจารย์ แล้วจะได้แอปเปิลแห่งความทุกข์มาก แล้วก็สุขมากเอาไหม (เอา)  ให้ก็เอา เอาทุกอย่างเลย เอาทั้งทุกข์ทั้งสุขไม่จบสิ้นสักทีใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอ๋ยถ้าศิษย์เห็นโลกใบนี้อย่างแจ่มชัด ศิษย์จะรู้ว่าไม่มีสิ่งไหนน่ายึดน่าเอาเลย เหมือนตอนที่ศิษย์ยังไม่แต่งงาน ก็อยากแต่ง แต่พอแต่งแล้วก็อยากไม่แต่ง ใช่ไหม (ใช่)
เกิดเป็นคนควรมีคุณธรรมอะไรอยู่ในใจตน ง่ายมากเลยจริงไหม 
(ความเมตตา)  เมื่อเมตตาจะนินทาใครไหม (ไม่)  ถ้าเราเมตตาเราจะด่าใครไหม (ไม่)  เราจะมีแต่ความเข้าใจ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นรักษาความเมตตาในใจจนทำให้เราสามารถมีศีล ธรรมและไม่ประพฤติผิด ถ้าเมตตาเราจะเบียดเบียนใครไหม เราจะคดโกงใครไหม (ไม่)  เมตตาแล้วเราจะเข่นฆ่าใครไหม (ไม่)  อย่างนั้นที่เรานินทาเขาได้ โกงเขาได้ เพราะเราไม่เมตตาพอ จริงหรือเปล่า
(ไม่คดโกง)  ซื่อตรงแล้วอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเองไหม ถ้าคนไม่อยากจริงๆ อะไรเขาก็จะไม่โลภแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  รักษาความซื่อตรงนี้ไว้นะ ถ้าซื่อตรงได้ โลภ โกรธ หลง ก็คงน้อยลง
(การยอมรับความจริง) ถ้ารู้จักยอมรับความจริง เราจะเข้มแข็งได้นะ ยากนะ ทำให้ได้นะ
(ความซื่อสัตย์ ของเราและเขา) ไม่ต้องไม่สนใจเขา ของเราพอ เขามีไม่มีไม่เป็นไร เพราะเราเปลี่ยนคนข้างนอกไม่ได้ แต่เราดูแลใจตนเองได้ ใช่ไหม (ใช่)  รักษาให้ดีนะ ไม่ใช่แค่นิดหน่อยก็โกงนะ
(ความอ่อนน้อมถ่อมตน)  ตอบได้ดีนะ  ถ้าศิษย์มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไปอยู่ที่ไหนจะเป็นที่รักเลย (ความอดทน)  อดทนนั้น อดทนได้ แต่สิ่งที่จะทำให้เราอดทนได้มากกว่านั้นคือ เข้าใจ เพราะอดทนมันมีเวลาจำกัด มันมีความจำกัด แต่ถ้าศิษย์เข้าใจ เข้าใจความเป็นคน เข้าใจคนเป็นแบบนี้ ไม่ต้องอดทนเลย คนก็เป็นแบบนี้ อ่อ เราก็เคยเป็นแบบนี้ เขาก็เป็นได้ จริงไหม (จริง)  ใช้ความเข้าใจให้กว้างให้ลึกที่สุด แล้วเราจะไม่โกรธใคร แต่เราจะมีแต่เข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(มีความเพียร)  คนเราจะสำเร็จได้นั้นต้องอาศัยความเพียรพยายาม ฉะนั้นถ้าศิษย์ตั้งใจอะไร อาจารย์ก็คิดว่าขาดความเพียรไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่ที่ล้มเหลว ถามใจตัวเองว่าเราเพียรน้อยไปหรือเปล่า เรายังมีความเพียรในความดีไม่ถึงที่สุดหรือไม่  (ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป)  เกิดเป็นคน ถ้ามีความละอายเกรงกลัวต่อบาป ผิดบาปจะไม่เกิดเลย เมื่อผิดบาปไม่มี ทุกข์และเวรกรรมก็จางหายได้ แต่กลัวอย่างเดียว เล็กๆ กล้าทำ มันก็ขยายใหญ่ขึ้น ใช่หรือไม่ ฉะนั้นอย่าประมาทกับสิ่งที่เล็ก เพราะสิ่งที่เล็กเมื่อมันขยายใหญ่ขึ้นก็กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัว ถูกหรือไม่ (ถูก)  รักษาใจดวงนี้ให้ดีนะ (ละบาปทำความดี)  รู้จักละบาปบำเพ็ญบุญ อะไรที่เป็นบาปเราจะไม่ทำ แล้วบาปที่น่ากลัวที่สุดคือ (คิดผิดในใจตัวที่ไม่รู้จักบังคับตัวเอง)  ผิดแล้วยังฝืนใจทำ ไม่ได้ฝืนใจ ผิดแล้วยังจงใจทำอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นหยั่งรากลึกแห่งธรรมให้เยอะๆ อย่าทำให้ชีวิตต้องมัวหมองเพราะบาปกรรมที่ตัวเองก่อ เพราะเมื่อผลกรรมมันตกผลไม่มีใครช่วยศิษย์ได้นอกจากตัวเอง จริงไหม (จริง)   
(ความซื่อสัตย์ ไม่ขโมยของผู้อื่นและมีธรรมในตน)  ซื่อสัตย์ไม่ใช่แค่ขโมยของนะศิษย์ ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ซื่อสัตย์ต่อความเป็นคน ซื่อสัตย์ต่อการอยู่ในครอบครัว และซื่อสัตย์ต่อการดำรงตน ถ้าดำรงตนซื่อสัตย์ จะไม่ผิดลูกผิดเมียผู้อื่น ไม่ทำร้ายเพื่อน ถ้าดำรงตนซื่อสัตย์ในหน้าที่การงาน เราจะไม่ฉ้อฉล ไม่คดโกง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ทำให้ได้นะ
(นักเรียนถามพระอาจารย์ว่า กลับบ้านไปสามารถนำอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์มาถวายพระได้หรือไม่)  อาจารย์ให้ศิษย์คิดเองนะ อาจารย์ถามใจของศิษย์ ถ้าเกิดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเทพที่อยู่บนฟ้า สิ่งหนึ่งที่ท่านมีคือ คุณธรรมมหาเมตตาที่ไม่จำกัด อย่างนั้น หัวอกคนมีเมตตาจะเอาชีวิตเขาเพื่อมาบำรุงชีวิตเราไหม (ไม่)  และจะทนเห็นคนเขาทำบาปเพื่อเราไหม (ไม่)  และจะทนเห็นคนทำผิด ฆ่าคน เพื่อเราไหม (ไม่)  อย่างนั้น พุทธะอยากได้อาหารเนื้อสัตว์ไหม (ไม่)  แต่อาจารย์เห็นที่ไหว้เนื้อสัตว์ ไม่ได้ไหว้ให้พุทธะ แต่ไหว้เพราะตัวเองอยากกิน จริงไหม (จริง)  ส่วนตอนนี้การที่ศิษย์จะกินเจหรือไม่ ทำไมอาจารย์ถึงไม่ได้บังคับ เพราะเมตตาจิตต้องออกมาจากจิตที่ตั้งใจจริงๆ  จึงเรียกว่าเมตตา ถ้าออกมาจากการบังคับก็ไม่ใช่เมตตา แต่คือการข่มใจ แต่การกินเจต้องเกิดจากใจเมตตา เหมือนอาจารย์ถามว่าศิษย์รู้ไหมว่าสิ่งที่ศิษย์กินล้วนต้องเกิดจากการฆ่า รู้ แต่ศิษย์ทำเหมือนไม่รู้ ศิษย์รู้ไหมว่าทุกครั้งที่ศิษย์เจ็บจากการโดนมีดบาดหนึ่งที ศิษย์ยังร้องโอย ไกลหัวใจ แต่ร้องเหมือนถูกเชือด
เล็บหลุดแค่นี้ยังเจ็บแทบตาย แล้วความตายที่ศิษย์ไปยัดเยียดให้กับสัตว์ตัวหนึ่งที่ไม่รู้อะไร เพื่อมาเสวยความอยากของเราแค่ไม่กี่คำ แล้วกลืนลงไปก็ออกมาเป็นของเสีย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จะบอกว่า งดได้ก็งด ละได้ก็ละ  เพราะกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นก็ต้องรับ ถึงศิษย์จะมีน้ำตานองหน้า ขอพระพุทธะก็ช่วยไม่ได้ เพราะศิษย์ทำเอง ฉะนั้นหัวอกของคนที่เรียกว่า มนุษย์ประเสริฐควรหรือที่ทำบาปเพียงเพื่อสนองความอยากของตัวเอง อาจารย์ถามจริงๆ นะ ไม่กินเขาแล้วเราจะตายไหม (ไม่ตาย)  ไม่กินเขาแล้วเราอยู่ได้ไหม (อยู่ได้)  พระพุทธะที่มีคนนับถือ มีคนกราบไหว้ เพราะเขายอมลำบากเพื่อคนอื่น เลือกให้ตัวเองลำบากเพื่อให้คนอื่นสบาย จึงเรียกว่า จิตแห่งพุทธะ จิตของคนที่มีธรรม แต่คนปัจจุบันนี้ ตัวเองสบายคนอื่นจะลำบากก็ช่างเขา อย่างนี้เรียกว่า จิตพุทธะหรือจิตมนุษย์ (จิตมนุษย์)  ฉะนั้นศิษย์อย่าบอกอาจารย์ว่า เกิดเป็นคนไม่มีทางเลือก ทางมีให้เลือกแต่ศิษย์จะเลือกทางไหน แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า ไม่ใช่มีแค่สองทางคือนรกกับสวรรค์ แต่ยังมีอีกทางที่เรียกว่า ทางพ้นทุกข์นิจนิรันดร์ ก็คือทางกลับคืนสู่สภาวธรรมในใจตัวเอง กายกลับคืนสู่ดิน แต่จิตต้องกลับคืนสู่ฟ้า เมื่อใดที่มนุษย์ยังยึดถือความเป็นตัวตน มนุษย์ก็หนีไม่พ้นวัฏแห่งการเวียนว่าย คือผลแห่งกรรม แต่เมื่อใดที่ศิษย์ดำเนินชีวิต ทำบุญ ทำทาน สวดมนต์ อาจารย์ให้ศิษย์ยังทำเหมือนเดิม แต่อย่าทำบุญแค่เอาบุญ แต่ทำบุญไปให้ถึงกุศลและความสิ้นทุกข์ และเข้าถึงธรรมด้วยการที่ทำแล้วสลัดความยึดมั่นถือมั่น จะได้ไม่โลภมาก จะได้ปลงได้บ้าง ให้ไปเลย นั่นไม่ใช่แค่บุญ แต่ยิ่งกว่าบุญคือได้กุศล ได้ละความยึดมั่นถือมั่น ได้กระชากความหลงความยึดติดที่เราเคยมีมานาน ยากไหมไม่ยากเลย แล้วทุกครั้งที่เวลาใครว่าเรามา ดี ขอบคุณ ฉันจะจบกรรมวันนี้ โดนด่าฉันจะขอบคุณ เพราะถ้าด่ากลับก็เป็นเวรกรรมไม่จบสิ้นถูกไหม (ถูก)  ถ้าแช่งชัก ไม่เป็นไรอดทนไว้ อย่างนี้ก็ยังไม่สิ้นกรรม เราต้องสามารถสิ้นกรรมจนใจนี้กลับคืนสู่ภาวะปกติ ไม่หวั่นไหว ไม่เอียงซ้าย ไม่เอียงขวา กลับคืนสู่ความสมดุล นั่นเรียกว่ากลับสู่ธรรม ไม่ห่วงตัวเองหรือศิษย์ ศิษย์ไม่รักตัวเองหรือ ในเมื่อมีโอกาสที่จะไปอีกทางหนึ่ง ให้ถึงที่สุด ทำไมเราไม่ไป 
“ความเชื่อซ่อนพรางปัญญา” เวลาที่ศิษย์ทำอะไรก็ตามโดยเชื่อในหลักความถูกต้อง เชื่อในหลักความดีงาม แต่ความเชื่อนั้นต้องไม่อำพรางปัญญาที่แท้จริง เขาทำตามกันมาแล้วศิษย์ก็ทำ ทำอย่างไรที่บุญนั้นไม่ก่อบาป บุญนั้นไม่อิงแอบไปด้วยความโลภ ถ้าบุญนั้นยังมีบาปอยู่ บุญนั้นยังไม่บริสุทธิ์ แต่บุญนั้นต้องสามารถชะล้างความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และหมดสิ้นซึ่งกิเลสตัณหาในใจได้ บุญนั้นจึงจะบริสุทธิ์และบุญจะกลายเป็นกุศล นำพาให้ชีวิตพ้นทุกข์ได้ 
ศิษย์ยังมีบ้านที่ต้องกลับ กายยังรู้จักกลับบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วจิตเดิมแท้ไม่มีบ้านหรือ เราคือหนึ่งในธรรมะ เราคือหนึ่งในสภาวธรรม และทุกคนมีสภาวธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน และไม่คิดกลับบ้านที่แท้จริงหรือ ทำไมอยากกลับแต่บ้านที่มันมีแต่เวรกรรมทุกข์สุข ไม่เคยอยากกลับบ้านที่แท้หรือ บ้านที่ทำให้ศิษย์ไม่ต้องทุกข์ บ้านที่ศิษย์ไม่ต้องเจ็บปวดอีก ไม่ต้องมาร้องขอให้อาจารย์ช่วยอีก แต่บ้านนั้นจะค้นพบได้ด้วยตัวศิษย์ทุกคนรู้จักประพฤติปฏิบัติ จริงไหม (จริง)  เวลาท้อแท้ เรามีบ้านให้พึ่งพิง แต่เมื่อไหร่ที่ศิษย์ทุกข์ ศิษย์ยังมีธรรมะให้ศิษย์พ้นทุกข์ มีธรรมะให้ศิษย์กลับคืน ฉะนั้น อย่าลืมธรรมในตัวเอง ธรรมที่บริสุทธิ์งดงาม ร่มเย็น ธรรมที่ไม่ต้องการอะไรเลย แต่มันคือความบริสุทธิ์ใสที่แท้จริง
อาจารย์ก็ไม่อยากร้องไห้หรอก แต่เสียดายจริงๆ ที่ศิษย์ยังทำไม่ได้ แล้วถึงที่สุดศิษย์ก็ไม่ทำ ช่างน่าเสียดาย รู้จนถึงที่สุด แต่ถึงที่สุดก็ไม่ทำ ที่รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่ถึงที่สุดก็เลือกทำในสิ่งที่ไม่ดี ประคองรักษาความดีงามในใจตัวเองนะ อย่าพ่ายแพ้กิเลส อารมณ์ และความอยากเพียงชั่ววูบ ไม่เคยมีอะไรที่ศิษย์มีแล้วไม่เจ็บไม่ทุกข์ ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดก็คือ ไม่อยากได้อะไรในโลกนี้แล้ว จริงไหม (จริง)  เราเคยมาหมดทุกอย่างแล้วนี่ พอไม่ได้หรือ หยุดไม่ได้หรือ โกรธแล้วได้อะไร โกรธแล้วเราก็เจ็บ โลภ หลงมาแล้วได้อะไร เราจะสูงกว่าคนอื่นไหม เราก็ต้องกลับคืนสู่ความเป็นธรรมดาเหมือนกัน จริงไหมมาตัวเปล่าก็ต้องกลับ (ตัวเปล่า)  มาแบบไม่มีก็ต้องกลับสู่ (ไม่มี)  แล้วจริงๆ เรามีอะไร เราอยากมีอะไร อยากเพื่อให้เจ็บ เจ็บเพื่อให้ทุกข์ ทุกข์แล้วก็ทุกข์อีก แล้วถึงเวลาต้องมาทำใจดับทุกข์ ไตร่ตรองให้ดีนะ สิ่งที่อาจารย์พูดมานี้เพื่อตัวศิษย์เอง ถ้ารู้ได้เราก็พ้นทุกข์ได้ จริงไหม (จริง)  อย่ากลัวความพ่ายแพ้ คนที่กล้ายอมแพ้คือคนที่ชนะแท้จริง แต่คนที่ไม่เคยแพ้แล้วพยายามไม่อยากแพ้ นั่นคือคนที่แพ้อย่างแท้จริง 
อย่ากลัวความทุกข์ ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ความทุกข์มันมีทางพ้นทุกข์อยู่ในนั้นอยู่แล้ว อาจารย์ก็ขอบคุณในความมุ่งมั่นตั้งใจของศิษย์ รักษาสิ่งที่ถูกต้องอย่าทำในสิ่งที่ผิดบาปเลย ไม่อย่างนั้นคนที่ต้องรับผลของการกระทำนั่นก็คือตัวเราเอง บำเพ็ญให้ดี ไปให้ถึงที่สุด ถ้ายังมีอัตตาตัวตนเราจะไม่มีวันสิ้นทุกข์ อะไรที่ทำให้เราสิ้นอัตตาตัวตน สิ่งนั้นคือการตัดภพเวียนว่ายตายเกิดได้ “ทำเพื่อธรรม ไม่ใช่ทำเพื่อตน” ทำดีแล้วรักษาความดีต่อไป ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีนะศิษย์ เข้มแข็งไม่อ่อนแอ  เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าเกียจคร้าน ตั้งใจบำเพ็ญ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก
บำเพ็ญยากไหม ไม่ยาก แต่กลัวศิษย์ไม่ทำ  ดูแลตัวเองให้ดีนะ รักษาความดีงามไว้ มีจิตใจที่มุ่งมั่นเป็นสิ่งที่ดี มีจิตใจเมตตาก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ขอให้รักษาจิตใจมุ่งมั่นและเมตตาไปพร้อมกัน อาจารย์คงต้องไปแล้ว บุญของศิษย์อยู่ที่ความกตัญญูรู้คุณ บารมีของศิษย์ก็อยู่ที่คุณธรรม ฉะนั้น รักษาบุญกับบารมีนี้ไว้ด้วยหัวใจที่ถูกต้องนะ
พากเพียรจนถึงที่สุด นั่นแหละคือหัวใจของศิษย์และหัวใจของอาจารย์ที่เหมือนกัน ไม่ยอมแพ้ ไม่กลัวลำบาก เสียสละอุทิศเพื่อผู้คน ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวทุกข์
ศิษย์เอ๋ย ถ้าอาจารย์พูดอย่างหนึ่งยอมฟังไหม ยอมรับความจริงเถิดนะ อย่าฝืนเลย อาจารย์อยากให้ศิษย์ยอมรับความจริง กลับไปเริ่มต้นใหม่ ศิษย์อย่าไปฝืนเลย มันเจ็บพอแล้ว มันทุกข์พอแล้ว เริ่มต้นใหม่เถอะเชื่ออาจารย์ ได้ไหม อย่าฝืนในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม
บุญรักษานะ ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้อง ขอความเข้มแข็งจงมีแด่ศิษย์ทุกคน ลุกขึ้นเดินนะ ดูแลตัวเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองทุกข์ในสิ่งที่ไม่ควรทุกข์เลย มีโอกาสกลับมาร่วมศึกษาบำเพ็ญกันอีกนะศิษย์เอ๋ย อย่าดูถูกดูเบาคุณค่าธรรมะในใจตัวเอง อย่าหลงพลาดผิดเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบ แล้วทำให้ชีวิตต้องพังทลายเลย น่าเสียดายนะ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้สิ่งที่ถูกต้องนั้นอาจจะแลกด้วยน้ำตา เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้สิ่งที่ถูกต้องอาจจะฝืนใจ แต่ถ้าผ่านได้ เราคือผู้ที่เข้าใจสภาวธรรมอันว่างเปล่าจากตัวตน กลับคืนสู่ธรรมกันเถิด ตัวตนมีแต่ความทุกข์ กลับสู่ธรรมกันไหม


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ศีล ทำ”

ความเชื่อซ่อนพรางปัญญา    ศรัทธามีโลภหลงอยู่
สับสนในความรู้รู้   จะอยู่มีธรรมเมื่อไร
ต้องใช้สติมานำ    ศีลธรรมยั้งใจเอาไว้
ครองธรรมสถิตคู่กาย ไม่แพ้กิเลสอารมณ

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2562

2562-04-27 สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์

西元二○一九年歲次己亥三月二十三日                                 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒              สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ
  ติดความคิดย่อมยากมองเห็นความจริง   แม้ความจริงนั้นยากเกินจะรับไหว
ละทิฐิหรือยึดมั่นทุกข์ต่อไป              โลกพลันเปลี่ยนยากเท่าใดพลิกใจให้ทัน
                            เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่พุทธสถานเซิ่งเต๋อ แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว             ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
   เกมชีวิตอันวุ่นวายจนเกินทน          สติคนเป็นอย่างไรยังอยู่ไหม
บำเพ็ญเถิดเกิดเป็นทางก็ปลอดภัย      ใจรู้ที่อย่างไรย่อมอยู่เป็น
รู้จักความไม่มีอะไรราบรื่น               รู้ในรู้ช่างตื่นไม่ลำเค็ญ
สติรู้ผู้เฝ้าตามดูเป็น                      อย่าบำเพ็ญหลงให้ใจกิเลสไป
รู้จักวางใจลงให้ถูกที่                     ไม่ถูกที่บางทีทำเสียหาย
ผลักชีวิตส่งผิดทางน่าเสียดาย           ตลอดเส้นใช่ไหมตรงฟ้าเดิม
แสวงนอกพบไม่ปัญญาเยือกเย็น        ในจึงเป็นธงธรรมนำฮึกเหิม
วันหยัดยืนชัยชนะอย่าเคลิบเคลิ้ม       วันลมแรงกำแพงเดิมเสริมวินัย
คนแปลกโลกแห่งเดิมอาศัยอยู่          กระตุ้นให้สู้ใหม่ให้อยากใหม่
แพ้ศัตรูชนะตนเป็นภูมิใจ                บำเพ็ญใจทำเมื่อไรดีกว่าเดิม
                                         ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ



วันนี้ทุกท่านสดชื่นไหม (สดชื่น)  ฟังธรรมะแล้วเป็นอย่างไร ยิ่งฟังยิ่งหมดแรง ใช่หรือไหม (ไม่ใช่)  อย่าลืมนะโกหกนั้นตายตกนรก อยากตกนรกไหม (ไม่อยากตก)  ไม่อยากให้ใครโกหก เราก็อย่าไปโกหกใคร ไม่อยากโดนใครหลอกลวง เราก็อย่าหลอกลวงตัวเราเอง ตอนนี้ขอเปลี่ยนเป็นยิ่งฟังธรรมะยิ่งสดชื่น ยิ่งกระปรี้กระเปร่า ได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าเรามาขอสนทนาด้วยคงไม่เป็นการรบกวนเวลาท่าน
การแสวงหาเงินทองในโลกทำให้เรามีความสุขไหม (ไม่มี)  ถ้าไม่มีความสุขมนุษย์คงเลิกหาเงินทองแล้วจริงไหม มีทั้งสุขและก็มีทั้งทุกข์ปะปนกันไปใช่หรือไม่ (ใช่)  เราสามารถหยุดหาเงินทองได้ก็ต่อเมื่อเราต้องเห็นสิ่งใดมีค่ามากกว่าเงินทอง เราถึงจะสามารถหยุดหาเงินหาทอง เพื่อไปทำอีกสิ่งหนึ่งที่ดีกว่า คนคนหนึ่งจะสามารถหยุดทำอะไรก็ตามที่ตัวเองชอบได้ ก็ต่อเมื่อสิ่งที่ตัวเองเคยชอบอยู่นั้น มีสิ่งอื่นที่มีค่าหรือชอบมากกว่า เราจึงหยุดสิ่งนั้นแล้วไปทำอีกสิ่งหนึ่งได้ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นวันนี้ให้ท่านมาฟังธรรม แต่ถ้าท่านคิดว่าธรรมมีค่าน้อยกว่าเงินทอง ท่านจะมาฟังไหม (ไม่มา)  ธรรมมีค่ามากกว่าไปเที่ยวเล่นข้างนอกท่านจะมาไหม (มา)  ฉะนั้นทำไมคนบางคนจึงมาไม่ได้ ทำไมคนบางคนจึงมาได้ทันที ถามใจเราเองก็ได้ ถ้าเห็นว่าการมาฟังธรรมมีค่ากว่าการไปเที่ยวเล่น การมาฟังธรรมประเสริฐกว่าการหาเงินหาทอง เขาย่อมสละเวลาทั้งหมดแล้วมาได้ทันที แต่เราเคยคิดไหมว่า การมาฟังธรรมมีค่ามากกว่าการหาเงินทอง มาฟังธรรมมีค่ามากกว่าการไปเที่ยวเล่นหาความสุข ใช่ไหม (ใช่)  ในทางเดียวกันถ้าท่านสามารถมองเห็นว่าธรรมะ
มีค่ามากกว่าเงินทอง ท่านจะสามารถหยุดการหาเงินทอง และมาหาธรรมะได้ ธรรมะให้ความคิด ให้แง่คิด ให้ปัญญา ให้เราตื่นรู้ในความเป็นจริง และทำให้เรามีปัญญาในการแสวงหาเงินทองได้ ท่านจะหยุดการหาเงินทอง และ
มาหาธรรมะทันที จะไม่ลังเลและไม่ต้องรอให้ใครมาคะยั้นคะยอ แต่ถ้าเมื่อไรที่ท่านยังไม่เห็นว่าธรรมะมีค่ามากกว่าเงินทอง ธรรมะมีค่ามากกว่าการเที่ยวเล่น ท่านก็จะไม่มีวันอยากมาฟังธรรม
ฉะนั้นธรรมะมีค่ามากกว่าเงินทองไหม (มี)  พระพุทธองค์ที่ท่านกราบไหว้ หรือที่เรียกว่าพระพุทธเจ้า ท่านทิ้งราชสมบัติเพื่อแสวงหาธรรม และพอท่านพ้นทุกข์ด้วยธรรม ท่านยังทำให้ผู้ที่อยู่รอบข้างพ้นทุกข์ได้ด้วยธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างน้อยมีหนึ่งประจักษ์หลักฐานให้เราชัดเจนแล้วว่าสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินทอง และสิ่งที่มีค่ามากกว่าความสุขในการแสวงหาเงินทอง เกียรติยศชื่อเสียง นั่นคือธรรมะ และเป็นประจักษ์ให้เราเห็นได้ชัดด้วย แต่
เหตุใดหรือคนที่นับถือพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้า จึงลืมข้อนี้ไป ท่านยอมทิ้งเงินทอง ความสุข เพื่อมาหาทางพ้นทุกข์ เพราะท่านรู้แล้วว่าความสุข
ในโลก เงินทองในโลก หาเท่าใดก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ได้ นอกจากหาทาง
ดับทุกข์ในทุกข์ ไม่ใช่หาทางดับทุกข์ในสุข ยิ่งมนุษย์ปรารถนาความสุข แต่ความสุขนั้นตั้งอยู่บนความไม่ถูกต้องชอบธรรม ความสุขนั้นตั้งอยู่ในความผิดศีล ขาดธรรม ความสุขนั้นตั้งอยู่ในความไม่ละอายเกรงกลัวต่อบาป ความสุขนั้นก็พร้อมจะกลับมาให้ทุกข์ได้เท่าๆ กัน เหมือนเราอยากมีรัก
ใครก็อยากมีรัก แต่รักนั้นผิดทำนองคลองธรรม เราควรที่จะรักไหม (ไม่)  แต่เราก็ยังมี ใครๆ ก็อยากมีเงิน มีสุข ถ้าเกิดอยากได้เงิน อยากมีความสุข แต่ยืนอยู่บนความทุกข์ของคนอื่น เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น และยืนอยู่บนการผิดทำนองคลองธรรม ความสุขนั้นแม้จะได้เพียงชั่วครู่ชั่วคราว แต่ก็พร้อมที่จะกลับมาให้ทุกข์ไม่แตกต่างกัน ฉะนั้นเกิดเป็นคนอย่ามัวแต่คำนึงถึงสุข
จนลืมนึกถึงผิดชอบชั่วดี อย่ามัวแต่คำนึงถึงความอยาก จนลืมนึกถึงความละอายเกรงกลัวต่อบาป อย่ามัวแต่สนใจสิ่งที่ตนเองอยากได้ จนลืมนึกถึงคุณธรรมความเป็นคน ไม่เช่นนั้นแล้วท่านรู้จักสุขแค่ไหนก็ต้องทุกข์มากเท่านั้น ได้สุขแค่ไหนจากเงินที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย เมื่อได้มาแบบร้อนๆ
ก็ไปแบบร้อนๆ หากได้มาแบบร้อน เมื่ออยู่กับคนก็ร้อน ฉันใดก็ฉันนั้น
ความอยากในสุขของโลกใบนี้ ถ้าขาดซึ่งศีลธรรมไม่คำนึงถึงธรรม ก็พร้อมจะให้ความทุกข์ที่เจ็บปวดได้เช่นเดียวกัน
ฉะนั้นจะควรหรือไม่ควรที่มนุษย์จะคำนึงถึงธรรมในชีวิตบ้าง และควรมีธรรมใช้ในชีวิตบ้าง ควรหรือไม่ควร (ควร)  ตอนนี้จะบอกว่าเกิดเป็นคนไม่จำเป็นต้องมีธรรม ได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะถ้าทำได้ก็จะกลายเป็นคนที่บาปก็ไม่กลัว กฎหมายก็ไม่หวั่นเกรง เราเป็นแบบนั้นไหม ทำอะไรตามใจตัวเองเป็นหลัก หรือทำอะไรถือศีลธรรมเป็นหลัก (ถือศีลธรรมเป็นหลัก)  ฝ่ายชายทำอะไรตามใจตัวเองเป็นหลัก หรือทำอะไรถือศีลธรรม หิริโอตตัปปะ
มโนธรรมสำนึกเป็นหลัก (ศีลธรรมเป็นหลัก)  ถ้าถือศีลธรรมเป็นหลัก
แล้วศีลห้าถือได้ครบไหม (ไม่ครบ)  ถ้าตอบแบบนี้ขัดกับคำตอบไหม ในเมื่อถือศีลธรรมเป็นหลัก ศีลห้าต้องมีให้ครบ จริงไหม (จริง)
บางคนยังมองเห็นไม่ชัดว่าธรรมะมีค่าอย่างไร เหมือนเราถามท่านว่าระหว่างเงินกับปัญญา อะไรดีกว่ากัน (ปัญญา)  ปัญญาได้จากการเรียนรู้
ได้จากการมองเห็นโลกได้แจ่มชัด เงินมีวันหมดได้ไหม (ได้)  แต่ปัญญายิ่งเพิ่มเติมก็ยิ่งมีมาก โดยเฉพาะปัญญาทางธรรม นอกจากจะทำให้เราเห็น
สิ่งต่างๆ ชัดแล้ว เมื่อยามที่เราเงินหมดขึ้นมา เราก็ยังมีพลังที่จะยืนหยัดสู้ต่อไปได้ มนุษย์มักจะพูดว่า เมื่อเจอพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้รีบขอ แล้วเรามักจะขอเงินหรือขอปัญญา ไม่เคยมีท่านใดขอปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะปัญญาขอพุทธะได้ไหม พุทธะก็ได้แต่เป็นกำลังใจให้ จริงๆ แล้วเราต้องขอที่ตัวเราเอง ขอเงินพระพุทธะได้ไหม ถ้าเราไม่ขยันหาเราจะมีเงินไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นปัญญาจะหาได้ก็ต่อเมื่อเราศึกษาเรียนรู้อย่างไม่หน่าย ดั่งที่มนุษย์มักจะพูดว่า “ไม่มีใครแก่เกินเรียน แต่เรามักขี้เกียจเรียน” เราจึงด้อยปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรม
เราขอยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราไม่ยกค่าอะไรสูง จะรู้จักคำว่าอะไรต่ำไหม (ไม่รู้)  ถ้าเราไม่เปรียบเทียบสิ่งใดมีค่ามากกว่า และสิ่งใดมีค่าน้อยกว่า
เราจะรู้จักอะไรสำคัญไม่สำคัญไหม ก็ไม่รู้ ถ้าเกิดว่าเราไม่เปรียบเทียบ
เราไม่ยกย่อง เราจะรู้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่ดีและสิ่งที่ร้าย อะไรที่เรียกว่าทุกข์ อะไรที่เรียกว่าสุข รู้ไหม (ไม่รู้)  เมื่อไม่รู้เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ถ้าเรารู้ว่า “คำว่ากล่าวกับคำชม” มีค่าแตกต่างกันไหม (แตกต่าง)  การโดนว่ามีค่าสูงหรือต่ำ (ต่ำ)  การโดนชมมีค่าไหม (มี)  สูงหรือต่ำ (สูง)  ใช่หรือ คิดดีๆ นะ ถ้าเราถามท่านว่า ถ้าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่มีค่า จะมีสิ่งใดที่ไร้ค่าไหม ถ้าไม่มีสิ่งใดที่สำคัญ จะมีสิ่งใดที่ไม่สำคัญไหม ถ้าไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าสุข จะมีสิ่งใดที่เรียกว่าทุกข์ไหม (ไม่มี)  ฉะนั้นถ้าไม่มีสุขก็ไม่มีทุกข์ แล้วเรากำลังสุขหรือกำลังทุกข์อะไรหรือ ที่เราสุขและทุกข์ เป็นเพราะเราให้คุณค่าและเปรียบเทียบ ที่เรารู้จักความเจ็บปวด หรือมีความสุขไม่เจ็บปวดนั่นเพราะว่าเราแบ่งแยกใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าทั้งสองอย่างนี้มีคุณค่าเท่ากัน เราจะทุกข์และสุขไหม (ไม่)  เราจะรู้สึกยินดี ยินร้ายไหม
ฉะนั้นปัญหาที่ทำให้เราทุกข์กันอยู่ทุกวันนี้ เป็นเพราะท่านยึดว่าอะไรสูงอะไรต่ำ ท่านยึดติดและเปรียบเทียบว่าอะไรมีคุณค่าและอะไรที่ไร้ค่า ท่านเจ็บปวดเพราะท่านยึดติดว่าอะไรดี อะไรแย่ แต่ถ้าในใจไม่ยึดติด
ไม่เปรียบเทียบ ไม่ให้ค่าอะไรสำคัญและไม่สำคัญ ทุกสิ่งก็เท่าเทียมกัน
หากเราว่าเขาแย่ แล้วเขาไม่มีดีหรือ ถ้าเราชมเขาว่าดี เขาจะไม่มีสิ่งที่แย่เลยหรือ ถ้าเราถูกเขาว่า เขาว่าเราแย่ แล้วเราจะดีไม่ได้เลยหรือ เราได้รับคำชม เราก็รู้สึกดี แล้วหากเราจะถูกเขาว่า ว่าเราแย่ได้ไหม (ได้)  เราควรจะขึ้นให้สูงและตกลงมาให้เจ็บ ควรจะยกตัวเองให้สูงๆ เพื่อเวลาโดนตำหนิจะได้ถูกเหยียบให้เจ็บๆ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ความทุกข์ ความสุขไม่ใช่คนอื่นกำหนด ไม่ใช่คนอื่นหยิบยื่นให้ ไม่ใช่อยู่ที่คำต่อว่า แต่อยู่ที่ใจท่านต่างหากว่าท่าน
ยึดติด แบ่งแยก เปรียบเทียบ ให้ค่าหรือไม่ให้ค่า เคยไหมเห็นคนๆ หนึ่งเกลียดจนจับใจ ต่อไปนี้จะไม่ให้ค่าอะไรในชีวิตอีกต่อไป ฉะนั้นมองเห็นเขา
ก็เหมือนไม่เห็น เขาจะพูด เขาจะด่า เราก็ไม่รู้สึก เพราะเราไม่ให้ค่า ไม่ให้ความหมายต่อชีวิตและจิตใจ เกลียดจนไม่อยากเห็นหน้า เกลียดจนไม่อยากให้ค่า ฉะนั้นถ้าอยู่ในโลกนี้ ไม่อยากทุกข์ ไม่อยากถูกเหยียบย่ำ ไม่อยากถูกยกขึ้นสูงแล้วตกลงมาต้องเจ็บปวด ต้องไม่ให้ค่า ไม่ยึดติด ไม่เปรียบเทียบ เราก็จะไม่เจ็บ จริงหรือไม่ (จริง)
เราขอถามท่าน อะไรในโลกที่มีคุณค่ามากกว่ากัน เหมือนเราบอกว่า ชีวิตนี้ต้องหาเงิน ชีวิตนี้ต้องมีความรัก แต่ความรักทำให้เราตายทั้งเป็น
ไม่รักได้ไหม ไม่รักเขาแต่ให้รู้จักรักตัวเองให้เป็น ชีวิตนี้ต้องหาเงิน แต่ถ้าหาเงินมาทั้งชีวิต แล้วการหาเงินมาทำให้ชีวิตต้องตายทั้งเป็น เราหยุดหาเงินแล้วใช้เงินให้เป็นดีไหม (ดี)  เพื่อเงินจะได้ไม่ย้อนกลับมาทำร้ายเรา ฉะนั้นความทุกข์ในโลกนี้ ลองถามใจของตัวเองดูดีๆ บริสุทธิ์ยุติธรรม ใครทำร้ายใคร (เราทำร้ายตัวของเราเอง)  พระพุทธะจึงกล่าวไว้ประโยคหนึ่งว่า
“ชีวิตจะดีจะร้ายขึ้นอยู่ที่จิต จิตจะสุขจะทุกข์ขึ้นอยู่ที่ความคิด” ชีวิตจะดีจะร้ายขึ้นอยู่ที่จิตเรา จิตเราจะสุขจะทุกข์ขึ้นอยู่ที่ความคิด เคยไหมไปนั่งอยู่ที่ริมทะเล ได้ไปเที่ยวน้ำตก คนอื่นเขาสนุกสนานกัน แต่ใจเรากลับไม่สนุก เพราะความคิด จึงมีคำกล่าวว่า “จิตที่ตั้งไว้ถูกที่ ทำให้มีประโยชน์ ส่วนจิตที่ตั้งไว้ผิดที่ ทำอันตรายยิ่งกว่าศัตรูคู่อาฆาต” เขามีความสุขกัน เรากลับเบื่อ เขากำลังฟังธรรมกันอย่างเย็นสบาย เราก็ถอนหายใจ เฮ้อ! เมื่อไรจะจบ เมื่อไรจะหมดวันสักที ใช่ไหม
ฉะนั้นสำคัญที่คนพูด หรือสำคัญที่การวางจิตวางใจ สำคัญที่จิตหรือสำคัญที่ความคิด สำคัญที่จิตและจิตผันแปรไปตามความคิด อยากได้ชีวิตที่สว่างก็ขึ้นอยู่ที่จิตและขึ้นอยู่ที่ความคิด อยากได้จิตมืดมนก็ขึ้นอยู่ที่ความคิด คิดดีหรือคิดร้าย
วันนี้เรามาเรียนรู้เรื่องจิตของเราดีไหม (ดี)  เราเคยรู้จักจิตตัวเองไหม ไม่รู้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องรู้ก่อนว่าโดยธรรมชาติของจิตใจเรานั้นเป็นอย่างไร ชอบเป็นไปตามความคิด และความคิดนี้ชอบไหลไปตามอารมณ์ อารมณ์ไหนเป็นใหญ่ อารมณ์ไหนมาเป็นหนึ่ง อารมณ์นั้นครอบงำจิตครอบงำชีวิต อย่างเช่นตอนนี้นั่งๆ อยู่ มีแต่คำว่า “เบื่อ” ฉะนั้นทั้งชีวิตจึงจมอยู่กับความเบื่อ จิตจะสว่างหรือมืดก็อยู่ที่เราคิดอะไรหรือตามอะไร ฉะนั้นถ้าเราคิดว่าดีกับคิดว่าเบื่อ อันไหนสว่างอันไหนมืด อันไหนสุขอันไหนทุกข์ จิตของมนุษย์ชอบไหลไปตามกิเลส แล้วเราเคยตามทันกิเลสไหม
มีใครบ้างที่เคยสามารถยับยั้งใจได้ รู้ทันใจตัวเองได้ หยุดกิเลสได้บ้าง (ไม่มี)  ท่านรู้ไหมจิตที่ข่มได้คือจิตที่มีความดี จิตที่ฝึกได้ดีแล้วจะนำมาซึ่งความสุข ฉะนั้นเกิดเป็นคน ถ้าข่มจิตข่มใจไม่ได้ ฝึกจิตฝึกใจไม่ได้ ชีวิตนี้ก็จะหาความสุขและสวัสดีไม่ได้ เราจะฝึกจิตอย่างไร เราเคยฝึกจิตไหม (เคย)
เคยเฉพาะตอนหลับตาใช่ไหม พอตื่นลืมตาขึ้นมาก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
ใช่หรือเปล่า หรือหลับตาแล้วพอนึกถึงคนที่ด่าเราทำร้ายเราก็ยังโมโหเหมือนเดิมใช่ไหม อย่างนั้นเราควรจะฝึกจิตอย่างไร อยากรู้ไหม (อยาก)
พระพุทธะได้กล่าวไว้ว่า กิเลสเกิดเมื่อเราไม่รู้เนื้อรู้ตัว กิเลสดับและกลายเป็นปัญญาตื่นรู้ เมื่อเรามีสติและรู้เนื้อรู้ตัว ทุกครั้งที่เราไม่รู้เนื้อรู้ตัว เราง่ายที่จะตกเป็นทาสกิเลส แต่เมื่อไรเรามีสติรู้ตัว เราจะไม่ตกเป็นทาสของกิเลส เช่น เคยคิดอยากจะไปทำอะไรสักอย่างไหม เคยคิดวางแผนจะไปเที่ยวไหม เคยคิดวางแผนการทำงานไหม เวลาเราคิดวางแผนไปเที่ยวเราจะมองภาพออกว่า ถ้าไปทะเลจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เรามองเห็นทะเลชัด และกำลังมองเห็นความคิดชัด ถ้าเรารู้ทันความคิดชัด และเห็นว่าเราคิดอะไรเป็นอย่างไร อย่างนั้นความคิดนั้นจะไม่มีทุกข์ แต่เมื่อไรคิดชัดแล้ว
เราเริ่มนึกถึงคนที่เราไม่ชอบ ถ้ามีคนนั้นมา ก็หมดสนุกทันทีเลย เบื่อจริงๆ เลย ความสุขจะกลายเป็นความทุกข์ เพราะเราเริ่มมองไม่เห็นความคิด เราเริ่มมีกิเลส เริ่มมีคนที่เราไม่ชอบใส่เข้าไป แล้วเราไหลไปตามความคิด
จึงกลายเป็นความทุกข์ไม่ใช่ความสุข เหมือนเราคิดเลข หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง สองบวกสองเป็นสี่ เราเห็นชัด นึกภาพออก เมื่อไรที่เรามองเห็นความคิดชัด และความคิดนั้นไม่มีกิเลสเจือปน เราจะไม่ทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรความคิดนั้นเกิดขึ้น และมีกิเลสเจือปน และเราเผลอไหลร่วมลงไปกับความคิด ความคิดนั้นจะทำให้เราเป็นทุกข์ และตกเป็นทาสกิเลส เหมือนเรานึกถึงคนที่เกลียด เราก็ไหลไปตามความคิด เขาเคยด่าฉัน เคยว่าฉัน
เคยสมน้ำหน้าฉัน เคยยืมเงินฉันไปแล้วไม่ยอมคืน คิดแล้วเอาตัวเองไหลร่วมลงไป กลายเป็นทุกข์ แต่อีกทางหนึ่งถ้าเราคิดแล้วเราบอกว่า คิดแบบนี้
ทำแบบนี้ ทำเป็นลำดับขั้นตอนแบบนี้แล้วจะทุกข์ไหม
ฉะนั้นเห็นต่างหรือยังว่า คิดเช่นไรเป็นทุกข์ คิดเช่นไรไม่มีทุกข์ ถ้าคิดแล้วรู้ทันความคิด มีสติและปัญญาคิดได้ออก มองได้ชัด ความคิดนั้นจะไม่ก่อให้เกิดทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรคิดแล้วมีกิเลส คิดแล้วมีอารมณ์ และคิดแล้ว
มีตัวตนไหลร่วมไปกับความคิด โดยขาดสติ ขาดความรู้เท่าถึงการณ์ ความคิดนั้นก็ง่ายที่จะเป็น (ทุกข์)
เมื่อสักครู่ได้รู้ธรรมชาติของจิตแค่เพียงอย่างเดียวถูกไหม ธรรมชาติของจิตชอบไหลไปตามกิเลส ชอบท่องเที่ยวไปตามกิเลส ฉะนั้นคนที่มีกิเลสบ่อยๆ ก็แปลว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยมีสติรู้ตัวเวลาทำอะไร แต่ถ้าคนที่ไม่ค่อยมีกิเลสก็คือ ทำอะไรรู้จักมีสติยับยั้งชั่งใจ ธรรมชาติของจิตยังมีอีกอย่างคือชอบยึดติด เวลามีปัญหาไม่เคยมองตัวเอง เวลามีเรื่องราวชอบโทษคนอื่นมากกว่าโทษตัวเอง ไม่มีเขาจะมีเราหรือ ไม่เขาผิดเราก็ผิดไม่ต่างกัน ถ้าเขาถูกเราก็ถูกกว่า จริงหรือไม่ (ไม่จริง)  แสดงว่ายังมีสติ
สิ่งที่น่ากลัวของธรรมชาติในจิตมีอีกอย่างก็คือ ชอบที่มองออกไปมากกว่ามองเข้า ชอบที่จะเพ่งโทษมากกว่าที่จะให้โอกาสใคร เหมือนเวลา
มีปัญหาเกิดขึ้น มีไหมที่เราจะโทษตัวเราเอง เรามีไหมที่จะแก้ไขตัวเอง เราจะมีความสุขได้อย่างไร ถ้ามัวแต่มองออกไปและเพ่งโทษคนอื่น แต่ไม่เคยหันมามองเข้าและตรวจสอบใจตน ธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งของจิตคือชอบยึดติด และเข้าหาความทุกข์ เหมือนเวลาเขาพูดอะไรมาอย่างหนึ่ง เราคิดดีหรือคิดร้าย สมมติเราให้ผลไม้ท่านชิ้นหนึ่ง ท่านคิดดีหรือคิดร้าย (คิดดี)
จริงหรือ ไม่ใช่คิดในใจว่า ให้เรามาแล้วจะเอาอะไรกลับไหม มักจะยึดติดความคิดว่าต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ เลย เพราะคิดว่าได้ไปเผื่อจะดี
สิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์ จะดี จะร้าย จะทุกข์ จะสุข อยู่ที่ความคิด ความคิดของมนุษย์นอกจากจะชอบมองออก ชอบหลงไปตามกิเลสแล้ว
สิ่งที่น่ากลัวคือชอบยึดติดความคิด แล้วก็ไหลไปหาความทุกข์มากกว่าความสุข


(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนชายท่านหนึ่งยืนขึ้น และหันหน้าให้ทุกคนดู)
ถามว่าหน้าแบบนี้จะดีหรือจะร้าย (ดี)  อย่ายิ้ม ถ้ายิ้มใครๆ ก็จะว่าดี แต่ถ้าหน้านิ่งๆ แล้วเป็นอย่างไร พูดอะไรระวังด้วยนะ เดี๋ยวเขาฟังแล้วจำไว้ไปล้างแค้น โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักยึดติดความคิดว่า คนผิวดำ ไว้หนวด
ไว้เครา หน้าแบบนี้น่าจะร้าย
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านเมตตาให้พี่เลี้ยงชายท่านหนึ่งยืนขึ้น)
ถามว่าคนนี้น่าจะร้ายหรือน่าจะดี (ดี)  รีบพูดทันทีเลย สิ่งที่เราต้องระมัดระวังอย่างหนึ่ง ถ้าเราอยู่ในโลกนี้ เราต้องรู้ให้เท่าทันจิตใจตัวเอง เพราะจิตของมนุษย์แม้ไม่คิด แต่จิตมนุษย์นั้นไวมาก สรุปให้เราทันทีเลยว่า แบบนี้น่าจะดี แบบนั้นน่ากลัว ทั้งที่จริงๆ แล้ว ที่ดีๆ ก็อาจจะร้าย ที่น่ากลัวก็อาจจะดีก็ได้ น่ารักแบบนี้อาจจะไม่มีรักแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หน้าตาน่ากลัวแบบนี้อาจจะมีรักแท้ก็ได้
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตของเรา ไม่ใช่ผู้อื่น แต่เป็นจิตใจของเรา ถ้าเราไม่รู้ธรรมดาของจิต ธรรมดาของจิตมักจะพาให้เราไหลไปตามกิเลสและอารมณ์ เมื่อไรที่จิตใจไหลไปตามความคิด จิตใจไหลไปตามอารมณ์ความรู้สึก จึงยากที่จะทำได้ดี ถูกหรือไม่ (ถูก)  และเมื่อไรที่จิตใจยึดติดกับความคิดอารมณ์ ก็ยากที่จะทำได้ถูกและเกิดปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม สิ่งสำคัญคือหันกลับมามองจิตของเรา ถ้าตั้งได้ถูก เราก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้าจิตตั้งผิดเราก็ต้องทุกข์และมีกิเลสได้ทันที
ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งสำคัญในการศึกษาบำเพ็ญธรรม คือไม่ใช่แค่ทำบุญเป็น ไม่ใช่แค่สวดมนต์เป็น ไม่ใช่แค่นั่งสมาธิเก่ง แต่สิ่งสำคัญในการศึกษาบำเพ็ญธรรมก็คือ สามารถฝึกใจตัวเองได้ และเอาธรรมะมาข่มใจตัวเองได้ โดยการ
มีสติ รู้ทัน ยั้งคิด
เพราะชีวิตไม่มีใครอยากมีทุกข์ ถูกไหม (ถูก)  และทุกข์โดยส่วนใหญ่มักมาจากกิเลสและอารมณ์ และการเข้าข้างตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราสามารถรู้สติ รู้ทัน ยั้งคิดในตัวเราเองได้ เราก็หยุดปัญหาได้
ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนคนกำลังชี้หน้าว่าเรา เราวางใจได้ถูก วางใจได้เป็น รู้เท่าทัน
ใจตัวเอง เราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)
ฉะนั้นมีธรรมะข้อหนึ่งที่อยากฝากไว้เตือนใจ ถ้าเมื่อใดมนุษย์เห็นการได้หรือเสีย ดีหรือร้าย มีค่าเท่ากัน มนุษย์จะไม่ต้องทุกข์ใดใดในโลกนี้อีกต่อไป จริงไหม (จริง)  ได้หรือเสีย ดีหรือร้าย ชมหรือว่า มีค่าเท่ากัน
เราจะเจ็บปวดไหม (ไม่)  โดนชมก็เหมือนโดนว่า โดนว่าก็เหมือนโดนชม ใครว่าเราสวยก็เหมือนไม่สวย จริงไหม (จริง)  ใครว่าเราดี เราก็เหมือนไม่ดี เพราะเรารู้อยู่แก่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อใจเราไม่ขึ้นไม่ลง ใครจะมาทำร้ายใจเราให้เจ็บปวด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศึกษาธรรมยากไหม (ไม่ยาก)  แต่ยากตรงที่ไม่เคยข่มใจและไม่เคยฝึกใจตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถนัดทำแต่เพียงสวดมนต์ นั่งสมาธิ ให้ทาน
แต่ไม่เคยให้ธรรมะเป็นทานกับจิตใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าจะคิดแล้วคิดเป็นกิเลสอารมณ์ ทำไมไม่คิดให้เป็นธรรม ถ้าจะคิดแล้วได้กิเลสอารมณ์และความเจ็บช้ำใจ ทำไมไม่เอาธรรมมาคิดแล้วสอนใจให้ปล่อยวางปลดปลง
ถูกไหม (ถูก)  ถ้าชีวิตขึ้นอยู่กับความคิด ชีวิตขึ้นอยู่กับจิตใจและความคิด ฉะนั้นทำไมไม่คิดอย่างคนมีธรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นสิ่งที่คิดว่าง่ายก็ไม่ง่าย ใช่หรือไม่ ดังนั้นมีชีวิตก็อย่าประมาทกับความง่าย เพราะบางครั้งสิ่งที่ง่ายอาจจะยากก็ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อไรที่ทำดีที่สุดแล้ว ก็จงภูมิใจคิดไว้เสมอว่าได้ก็ดี ไม่ได้ก็เป็นกุศล ถ้าทุกขณะที่ทำแล้วคิดเช่นนี้จะไม่มีกิเลสครอบงำจิตใจตนเองเลย แต่คงยากใช่หรือไม่
เราคิดแต่ว่า ต้องได้เท่านั้น หากเมื่อไรที่ท่านคิดได้อย่างธรรมะที่เราบอก ท่านจะไม่ทุกข์กับโลกใบนี้ และกิเลสจะไม่สามารถครอบงำจิตใจของท่านได้เลย ยากไหม ดังนั้น ได้ก็ดี ไม่ได้ก็เป็นกุศล ใช่หรือไม่ (ใช่)
กุศล คือ เครื่องชำระล้างใจให้ผ่องแพ้ว ชำระล้างตัวตนให้ไม่เหลือ ฉะนั้นทำอะไรก็แล้วแต่ คิดเสมอว่า ได้ก็ดี ไม่ได้ก็เป็นกุศล จะได้ชำระล้างความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ฉะนั้นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตคือ ต้องมีสติ รู้เท่าทันความคิด โรคภัยเข้าทางปาก พิษภัยก็ออกจากปาก หากท่านอยากหยุดเคราะห์ร้าย อยากมีโชคและไม่มีภัยอันตราย ก็ต้องระวังทั้งความคิด และระวังปากของตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เราคุยกับท่านเพียงเท่านี้ เราปรารถนาให้ท่านมีปัญญาที่เข้าถึงธรรม เพราะถ้าท่านเข้าถึงธรรมแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็จะไม่ทุกข์
จงวางใจให้ถูกที่ แม้จะอยู่ท่ามกลางไฟที่ล้อมรอบตัวเรา แต่ถ้าเราวางใจให้ถูกที่ เราก็สามารถสงบเย็นสบายใจได้ ในทางตรงกันข้าม แม้เราจะอยู่ที่เย็น แล้วถ้าเราจุดไฟเผาตัวเอง ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใดก็ร้อน จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือ วางจิตวางใจให้เป็น ดูแลจิตดูแลใจให้ถูก รู้เท่าทัน กิเลสก็ไม่เกิด มีสติยั้งคิดข่มใจได้ ปัญหาก็ไม่มี แต่ถ้ารู้ไม่ทัน สติคิดไม่ได้ กิเลสปัญหาและทุกข์ก็จะตามมา ในโลกนี้ได้มาล้วนเสียไป มีได้มีเสียเป็นธรรมดา และมีพบก็ต้องมีจากก็เป็นธรรมดา ฉะนั้นจะเอาสิ่งนั้นมาทำให้
เราทุกข์ หรือเอาสิ่งนั้นมาเกิดปัญญาตื่นรู้และพ้นทุกข์ รักษาชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีค่าที่สุด ด้วยการไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ แต่มีธรรม เอาสิ่งที่สูญเสียมาเป็นปัญญาให้เกิดธรรม เอาสิ่งที่เราพลัดพรากเจ็บปวดมาทำให้เราตื่นรู้ในชีวิต เอาการโดนทำร้าย เอาการโดนต่อว่า มาทำให้เรามีสติเข้าใจความเป็นตัวเองและเข้าใจผู้คน
มนุษย์ทุกคนล้วนฉลาด ธรรมะไม่เคยสอนให้ใครโง่ แต่ธรรมะสอนให้เรากล้ายอมรับเมื่อเราทำผิด ยิ่งผิดมากเท่าไรคนก็อยากชี้แนะให้เราดียิ่งขึ้น แต่ถ้าคิดว่าตัวเองถูกมากเท่าไร ก็ไม่มีใครชี้แนะความผิดพลาดให้เราเจริญขึ้น ฉะนั้นกลัวอะไรที่จะผิด กลัวอะไรที่จะทุกข์ ถ้าเราพึ่งสติปัญญาตัวเอง โลกใบนี้ไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ จิตที่ตั้งไว้ผิดและไม่รู้ตัวเองจริงไหม (จริง)  ควรจะสงบแต่ดันคิดให้ตัวเองวุ่นวาย
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ จงเลือกที่จะมีปัญญาในทางธรรม ดีกว่าหาทรัพย์สินเงินทอง แต่ไร้ซึ่งปัญญาในการตื่นรู้ชีวิตจริง

วันอาทิตย์ที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒          สถานธรรมเซิ่งเต๋อ  จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  อันอ้อยหวานยังต้องคายชาน          มะระขมยังทานกลืนลงได้
คำติซ่อนความจริงไว้ข้างใน                    คำชมนั้นพาให้หลงลำพอง
                            เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า               รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา                       ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม
   ทำดีแต่ขี้นินทาไม่ดีหนา                ทำดีแต่มากตัณหาก็หลงผิด
ทำดีแต่ติดอกุศลอยู่ในจิต                บำเพ็ญผิดจิตไม่สว่างขึ้นเลย
ไม่ดีแต่แก้ไขไม่ผิดซ้ำ                     ไม่ดีแต่ละบาปกรรมไม่นิ่งเฉย
ไม่ดีแต่ละนิสัยความชินเคย              ยอมรับแล้วแก้ไขเลยเลยได้ดี
คนบำเพ็ญต้องฝึกทั้งนอกใน             นำธรรมะมาสอนใจเปลี่ยนตนนี้
อย่าสร้างบุญเพื่อล้างบาปอยู่ในที       แต่รู้ที่ละบาปบำเพ็ญบุญ
ทุกสิ่งล้วนได้มาต้องเสียไป               ใดใดล้วนไม่เที่ยงไปผันเปลี่ยนหมุน
บุญกรรมเกิดที่ตนสร้างอันเป็นทุน       หมั่นเกื้อหนุนบำเพ็ญตราบลมหายใจ
                                                                                             ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



ก่อนที่จะทำความรู้จักกัน อาจารย์มีเรื่องหนึ่งอยากจะคุยกับศิษย์นะ เป็นเรื่องของใจศิษย์ทุกคน ใจมนุษย์มีสิ่งที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งศิษย์ว่าไหม คิดว่าจะมีก็มี คิดว่าไม่มีก็ไม่มี ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนมีน้ำใจ อย่างไรก็มีน้ำใจ ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนใจจืดใจดำ อย่างไรเราก็ใจจืดใจดำ ถ้าคิดว่าเราใจดีมีเมตตา (เราก็ใจดีมีเมตตา)  แต่ถ้าเราคิดว่าเราเป็นคนแล้งน้ำใจ เราก็จะแล้งน้ำใจอย่างนั้น ถ้าเราเชื่อมั่นในจิตใจว่าเรามี อย่างไรเราก็มี ถ้าเราไม่เชื่อว่าเรามีน้ำใจ อย่างไรเราก็ไม่มีน้ำใจ
อาจารย์ถามว่าตัวศิษย์เองมีสิ่งดีๆ อยู่ในใจบ้างไหม (มี)  แล้วเคยเอาออกมาใช้ไหม (เคย)  ถี่ถี่หรือนานๆ ที (นานๆ ที)  นานเสียจนเหมือนไม่มีเลยสักที ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ใจเรา ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้ เราก็ทำได้ ถ้าเราเชื่อว่าเราทำไม่ได้ เราก็ทำไม่ได้ แถมไม่คิดจะทำด้วย ถามหัวใจศิษย์ดู ถ้าวันนี้ศิษย์มาฟังธรรม ถ้าศิษย์คิดว่าใจเรามีธรรม ก็มีได้ แต่ถ้าคิดว่าใจเราไม่เคยมีธรรม ก็จะไม่มีเลย เรามักจะอยู่แบบคนชอบที่จะให้ หรือว่าชอบที่จะเอาจากคนอื่น ผู้ปฏิบัติงานธรรมรักการให้หรือรักการเอา (ให้)  ถ้าคนที่รู้จักรักการให้ เขาจะไม่เคยเสียใจหรือผิดหวังกับคนอื่น ฉะนั้นเรารักการให้แล้วเราเสียใจไหม ผิดหวังไหม โดนว่าน้อยใจไหม (ไม่)  อาจารย์จะบอกให้ ถ้าศิษย์เป็นคนหนึ่งที่รักที่จะให้ คนที่รักที่จะให้เขาจะคาดหวังไหมว่า คนที่เราให้เมื่อเขาไม่รักตอบเขาจะเสียใจไหม (ไม่)  เพราะเขามีสุขแล้วที่ได้ให้ และเขาจะคาดหวังไหมว่า คนที่เขาให้จะต้องดีอย่างนั้นต้องดีอย่างนี้ (ไม่)  เพราะเขาให้โดยไม่หวังผล เพราะเขารักที่จะให้ ถามใจศิษย์จริงๆ ว่าศิษย์รักที่จะให้ หรือรักที่จะขอ ถ้ารักที่จะให้จะไม่น้อยใจ จะไม่รู้สึกผิดหวัง แม้คนข้างนอกจะเป็นอย่างไร ถ้ามีสุขที่จะให้จะไม่ตัดพ้อต่อว่า ว่าทำดีไม่ได้ดี และถ้ารักที่จะให้จะไม่มีคำว่า เหนื่อยเหลือเกิน ทำไมทำดีกับเขาถึงได้เหนื่อยขนาดนี้ เพราะเรามีสุขที่จะให้แล้ว ยิ่งให้ก็ยิ่งสุข ยิ่งให้เราก็ดีแล้ว
ฉะนั้นถ้าเมื่อไรที่ศิษย์บอกว่ายังเหนื่อยอยู่ ยังผิดหวังอยู่ แปลว่าศิษย์ไม่ได้รักที่จะให้จริงๆ ศิษย์ชอบขอมากกว่าให้ หรือให้แล้วหวังผล จริงไหม (จริง)  ให้ไปนิดหนึ่งอย่างน้อยต้องได้กลับมาสักหน่อยก็ยังดี ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าบุญที่บริสุทธิ์ บุญที่สะอาดย่อมไม่เคลือบแฝงจิตที่กอปรไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วทำดีเท่าไรแล้วทำไมไม่ได้ดี ก็ต้องถามว่า สิ่งที่ศิษย์ทำนั้นกอปรไปด้วยกิเลส ความโลภ ความหลง หรือไม่ ถ้ายังกอปรไปด้วยสิ่งเหล่านี้อยู่ บุญนั้นก็หาใช่บุญอันแท้จริง
อันอ้อยหวานยังต้องคายชาน      มะระขมยังทานกลืนลงได้”
มะระขมยิ่งเคี้ยวมากๆ ก็ยิ่งมีรสชาติหวาน ใช่ไหม (ใช่)  ในความขมมีความหวานซ้อนอยู่ เมื่อกลืนลงไปก็มีประโยชน์ แต่อ้อยนั้นมีรสชาติหวาน ยิ่งกินยิ่งหวาน เมื่อหมดหวานแล้วก็ต้องคายชานทิ้ง (กลืนเข้าไปก่อน)  เมื่อกลืนลงไปแล้ว ก็ติดคอ ก็เหมือนความรัก ล้นจนจุกคอเลย แล้วก็ไม่เคยคิดจะวางความรักลงเสียที และผลสุดท้ายก็ตายเพราะรัก เพราะมันจุกอกจริงไหม  (จริง)  บางครั้งสิ่งที่ชีวิตเราเรียกกันว่าหวานอมขมกลืนนั้น บางครั้งมันก็ให้อะไรดีดีกับเราใช่หรือไม่   (ใช่)  เหมือนสามีแย่ไหม (แย่)  ดีขนาดไหนก็รู้สึกว่าสามีก็ยังแย่อยู่ แต่ทิ้งได้ไหม ก็ทิ้งไม่ลงถูกไหม (ถูก)  ภรรยาดีไหม (ดี)  น่ารักไหม  (น่ารัก)  รำคาญไหม (รำคาญ)  ดีไม่พูด น่ารักไม่พูด แต่รำคาญไหม รีบตอบว่ารำคาญทันทีเลยนะ พิจารณาตัวเองนะศิษย์
ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้ลูกเป็นอย่างไร ก็เลียนแบบมาจากตัวเราถูกหรือไม่ (ถูก)  ลูกเอาแต่ได้ไม่รู้จักให้ เป็นเพราะเราคิดเอาแต่ได้ไม่รู้จักให้หรือเปล่า ลูกรักใครไม่เป็น ก็เพราะเราไม่เคยรักใครจริงหรือไม่ ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นก่อนจะไปโทษว่าใคร หันกลับมามองตัวเราดีกว่า
มีทั้งคนที่อยากต้อนรับอาจารย์และไม่อยากต้อนรับนะ ไม่เป็นไรนะศิษย์ในโลกแห่งความเป็นจริงย่อมมีทั้งคนที่รักและคนที่เกลียด ขอเพียงแค่เรารู้ตัวว่าเราทำสิ่งใด เราก้มหน้าไม่อายดิน เงยหน้าไม่อายฟ้า ต่อผู้คนเราไม่ได้ทำผิด คนจะเกลียด จะรัก จะชม เรารู้ตัวเราดี จะทุกข์ทำไมถ้าเราได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว จะทุกข์ต่อเมื่อเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นั่นแหละที่เราควรจะทุกข์ ศิษย์เอ๋ยในโลกใบนี้ สิ่งที่เรามองเห็นอาจไม่เป็นอย่างที่เราเข้าใจ บางครั้งสิ่งที่เห็นแม้จะจริงขนาดไหน แต่ใช่ว่าจะเป็นอย่างที่เราเข้าใจได้ทุกเรื่อง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ดังนั้นสิ่งที่เห็นแม้ว่าจะจริงขนาดไหน แต่ก็ไม่อาจเป็นอย่างที่เราคิดและเข้าใจได้เสมอ เหมือนอย่างคำพูดที่เรามักได้ยินว่า ในมายามีมายาซ่อนอยู่ ในความจริงมีมายาแอบแฝงอยู่ เมื่อพูดอย่างนี้แล้วเราเข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นเมื่อเวลาเราเห็นสิ่งใดอย่าเพิ่งปักใจเชื่อ ถ้ามีคนชมว่าเราดีเราควรปักใจเชื่อไหม (ไม่เชื่อ)  เพราะอะไร ถ้าเราไม่หลงตนเอง เราก็จะรู้ว่า จริงๆ แล้วเรายังไม่ดีพอ ถ้าเรารู้อย่างนี้ศิษย์จงจำไว้อย่างหนึ่งว่า ในโลกเราหนีไม่พ้นทุกข์ถูกไหม (ถูก)  และทุกข์นี้เป็นสิ่งที่ทุกๆ คนต้องเจอ แล้วในทุกข์นี้ถ้าเราต้องเจอ ขอเพียงอย่างเดียวเราอย่าหาทุกข์เพิ่ม เรามีทุกข์ที่หนีไม่พ้น ทุกข์ที่หนีไม่พ้นเรียกว่า แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก มีได้มีเสีย มีพบมีพราก มีสุขมีทุกข์ เป็นความจริงที่เราต้องเจอ ไม่เจอกับตัวเรา ไม่เจอกับผู้อื่น ก็ต้องเจอกับสิ่งของ เกียรติยศ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน เงินทอง
ฉะนั้นเราหนีทุกข์ไม่พ้น อาจารย์อยากบอกว่าอย่าหาทุกข์เพิ่ม เพราะถ้าเกิดว่าทุกข์ที่เราเจอ เรายังหนีไม่พ้น แล้วเรากลับสร้างทุกข์เพิ่มอีก เราจะรับไหวไหม ทุกข์มาทีเดียวสองครั้งติดๆ กันจะทนได้ไหม เมื่อเกิดความสูญเสียขึ้นกับตัวเราเอง แล้วเรายังต้องสูญเสียลูกเราอีก สูญเสียครอบครัว สูญเสียญาติอีก มาติดๆ กันสามสี่อย่างเรารับไหวไหม (ไม่ไหว)  ฉะนั้นเราไม่ควรเร่งให้ทุกข์มันเกิดเร็ว หรือเพิ่มทุกข์ให้เกิดขึ้น แล้วเราพอรู้ไหมว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เรามีทุกข์เพิ่มขึ้น ความคิด ใช่หรือไม่
ความคิดทำให้เราทุกข์ เพิ่มได้ไหม (ได้)  เมื่อทุกข์แล้ว เรายังคิดซ้ำคิดซ้อนอีก ก็เหมือนนำความทุกข์นั้นมาซ้ำเติมตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบได้ดีนะ แล้วถ้าอาจารย์บอกว่า กิเลสเป็นต้นเหตุให้เราเกิดทุกข์เพิ่ม ถ้าเราหลงเป็นทาสของกิเลส เราก็จะต้องหลงมีทุกข์เพิ่ม หลงเจ็บเพิ่ม หลงพลัดพรากเพิ่ม หลงผิดหวังเพิ่ม ฉะนั้นเราไม่ควรตกเป็นทาสกิเลส อาจารย์ถามว่า ใครตกเป็นทาสกิเลสครั้งเดียวแล้วไม่เป็นอีกเลย (ไม่มี)
ฉะนั้นความคิดทำให้เราทุกข์เพิ่มอย่างหนึ่ง อันที่สองกิเลสทำให้เรามีทุกข์เพิ่ม จริงไหม (จริง)  บางคนยังนึกภาพไม่ออก แล้วบอกว่า เพียงแค่โลภ โกรธ หลง แล้วจะมีทุกข์เพิ่มมาได้อย่างไร ก็แค่โลภนิดหน่อย โกรธก็นิดหน่อย หลงก็แค่นิดหน่อย แล้วศิษย์เคยไหม หมั่นไส้พวกเขา ก็แค่นิดหน่อย จะเป็นอะไรหนักหนา แต่ศิษย์รู้ไหมว่า ความคิดที่ว่า “ก็แค่นิดหน่อย” เมื่อไปกระแทกกระทบใจของใครบางคน แต่เขาไม่คิดแค่นิดหน่อยเหมือนอย่างที่ศิษย์คิดนะ แล้วศิษย์ค่อยพูดว่า “ขอโทษ” ทีหลัง อย่างนี้ศิษย์คิดว่าเขาจะรู้สึกดีขึ้นไหม หรือเขาจะหายจากความรู้สึกไม่ดีหรือไม่ (ไม่)
ฉะนั้นศิษย์อย่าคิดเพียงว่า ก็แค่สบายๆ เล่นๆ เด็กๆ ก็เท่านั้นเอง จะมาถืออะไร แต่รู้ไหมว่าสำหรับคนบางคนที่ถูกกระทำ เขาจำไม่ลืม เขาไม่ให้อภัย แล้วศิษย์คิดว่า ศิษย์สร้างกรรมนิดๆ หน่อยๆ เท่านี้เอง คงไม่มีผลกระทบซ้อน แล้วศิษย์ก็บอกว่า เดี๋ยวศิษย์ไปทำบุญชดเชย อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำไมเรามักเป็นคนแบบนั้นกัน ศิษย์ด่าเขาจนเขาเจ็บใจ โกงเขามาเต็มที่ แล้วเดี๋ยวค่อยทำบุญชดเชย อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้น ศิษย์อย่าคิดว่า มันแค่เล่นๆ เพราะถ้าถึงเวลาเมื่อกรรมนั้นย้อนกลับมาหาศิษย์จริงๆ คนเขาอยากเอาคืนจริงๆ เขาก็จะบอกว่า นี่แกช่วยตบกลับเหมือนเดิมได้ไหม
ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์ทำ ไม่ว่าศิษย์จะทำด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ความไร้เมตตาปรานี ความไร้จิตสำนึก ความไร้น้ำใจ ศิษย์รู้ไหมว่าที่ศิษย์บอกว่า แค่นิดเดียวเอง แต่มันไม่นิดสำหรับคนบางคนที่โดน ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์เพิ่ม ศิษย์ก็อย่าตกเป็นทาสของกิเลส อย่าตกเป็นทาสของความคิดชั่ววูบว่าไม่เป็นไร เพราะถ้าเกิดว่าเป็น ต่อให้ศิษย์เอาบุญมาล้าง เอาความดีมาชดเชย มันก็ล้างไม่ได้ ดั่งที่เรารู้ว่า บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป ถ้ามีคนๆ หนึ่งบอกอาจารย์ว่า ก็ศิษย์พูดความจริงจะบาปตรงไหน อาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าวันนี้ลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นผู้ชายแต่งงานแล้ว แอบไปเดินคุยกะหนุงกะหนิงกับคนอื่น แล้วศิษย์ไปเห็นเข้าพอดี ศิษย์เห็นเขาแต่เขาไม่เห็นศิษย์ แล้วศิษย์ก็เอาไปเล่าให้ภรรยาเขาฟัง ปรากฏว่าครอบครัวเขาแตกแยก ลูกก็เลยไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ พลัดพรากจากกัน กลายเป็นบ้านเขาแตกแยก ศิษย์รับผลกรรมอันนั้นได้ไหม เพียงเพราะศิษย์พูดว่า ก็ศิษย์พูดความจริง
ฉะนั้นอย่ามองว่าสิ่งที่ศิษย์ทำเล็กๆ มันจะไม่มีผลอะไร เหมือนที่ศิษย์บอกว่าศิษย์ทำดีตั้งมากมาย ทำไมครอบครัวไม่ร่มเย็น ทำไมพูดอะไรใครก็ไม่เชื่อถือ ทำดีมาก็มากทำไมเดี๋ยวก็เจ็บออดๆ แอดๆ มีโรคนั้นมีโรคนี้ มีภัยนั้นมีภัยนี้ เคยเป็นไหม (เคย)  บุญศิษย์ก็ทำสังฆทานก็ทำ โบสถ์วัดวาอารามก็สร้าง กระเบื้องกี่แผ่นกี่แผ่นเขียนชื่อศิษย์หมดเลย แต่ทำไมเรายังเป็นอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องถามว่าสิ่งที่ศิษย์ทำนั้น ทำแล้วได้ไปเบียดเบียนชีวิตคนอื่นไหม ไปเบียดเบียนจิตใจและพรากชีวิตเขาไหม ถ้าศิษย์อยากได้อย่างหนึ่ง แต่ต้องแลกมาด้วยการพรากชีวิตคนอื่น ผลคือเมื่อศิษย์ทำอะไรก็จะไม่สามารถมีชีวิตที่แข็งแรง มีชีวิตที่ราบรื่นได้ เพราะการกระทำของความอยากได้สักอย่างหนึ่ง อย่างศิษย์ชอบบิดมอเตอร์ไซด์เสียงดังๆ แล้วมีความสุข แต่ผลของการทำเสียงดัง จะทำให้คนเป็นทุกข์
ศิษย์เอ๋ยมนุษย์มีทุกข์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ทุกข์แห่งความเป็นจริงที่เรียกว่า สัจธรรม ถ้ายังไม่อยากมีทุกข์เพิ่ม ก็จงอย่าสร้างเคราะห์ภัยให้ตัวเอง โดยการตกเป็นทาสของกิเลส และอย่าผิดศีล ขาดธรรม เมื่อตกเป็นทาสของกิเลสแล้ว ถามว่ามีใครบ้างเมื่อมีความโลภแต่มีเมตตา มีใครบ้างเมื่อมีความโกรธ แต่มีความกรุณาปราณี มีใครบ้างที่เมื่อหลงแล้วมีปัญญาคิดดี คิดชอบได้ทุกตอน มีไหม (ไม่มี)  แล้วอยากทุกข์ อยากเคราะห์ร้ายไหม อยากมีภัยและศัตรูเพิ่มไหม (ไม่อยาก)  ทำไมถึงขยันเป็นทาสของกิเลสกัน แล้วเคยหยุดกิเลสได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์เคยไหมการกระทำบางอย่าง ทำให้คนบางคนตายทั้งเป็น แม้เราจะพูดจริงก็ตาม เช่น หน้าตาแบบนี้เป็นโรคอะไรหรือเปล่า คนบางคนไม่ไปหาหมอ ตรอมใจหาว่าเราเป็นโรค ไม่กล้าไปเจอหมอกลัวว่าจะเป็นจริงๆ เพราะถ้าเจอหมอแล้วเป็นจริงๆ ก็จะรับไม่ได้ ฉะนั้นเรารับผิดชอบกับคำพูดเราไหวไหม เราบอกว่าก็แค่ทักทายเฉยๆ จะคิดมากอะไร ดันแก้ตัวอย่างนี้อีก ไม่ว่าจะคิด พูด หรือทำอะไรจงไตร่ตรองให้ดี ควรทำอย่างไรดีล่ะอาจารย์ที่จะทำให้เราไม่ตกเป็นทาสของกิเลส แต่สามารถพูดคิดทำอะไรจงไตร่ตรองให้ดี ทำอย่างไรอาจารย์ที่ทำให้เราไม่ตกเป็นทาสของกิเลส แต่สามารถพูดคิดทำอยู่ร่วมกับคนอื่น โดยไม่ทุกข์หรือไม่เพิ่มทุกข์ คิดออกกันไหม
(คิดก่อนพูด)  อย่างนั้นเมื่อศิษย์จะพูดอะไร ศิษย์ต้องตรึกตรองดูก่อนว่า สิ่งที่จะพูดนั้นคือเรื่องจริงหรือไม่ สมานสามัคคีหรือไม่ คำพูดไพเราะหรือไม่ ถ้าศิษย์ทำได้เช่นนี้ คำพูดของศิษย์ก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ถึงแม้เป็นเรื่องจริง แต่ถ้าเรื่องจริงนั้นทำให้คนแตกแยกก็อย่าพูด หรือถึงแม้ว่าเรื่องนั้นจะจริง แต่คำพูดที่จะออกไปไม่มีความไพเราะ เช่น แกมันโง่ คำพูดอย่างนี้คนฟังจะรู้สึกเจ็บไหม (เจ็บ)  ลองเปลี่ยนคำพูดว่า ถ้าแกทำอย่างนั้นอย่างนี้ แกจะฉลาดขึ้นอีกมากเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เป็นผู้มีปัญญา ฉะนั้นก่อนที่เราจะคิด จะพูดอะไร หรือก่อนจะทำอะไร ต้องไตร่ตรองให้ดีๆ ก่อนเสมอ
(ไม่โลภ)  ไม่โลภก็แปลว่าไม่อยากได้ใช่ไหม (อยากได้ผลไม้จากพระอาจารย์)
(คิดดี ทำดี พูดดี)  ศิษย์เอ๋ยคิดดีทำดีพูดดี แต่ถ้ายังไม่ละชั่วก็ยังไม่ดี ถ้ากิเลสยังไม่ละ ปัญญายังหลงอยู่ก็ยังไม่ดี ฉะนั้นถึงจะคิดดีพูดดี แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือ ใจยังแอบแฝงสิ่งที่ไม่ดีอยู่ นั่นแหละที่น่ากลัว (มีความยับยั้งชั่งใจ)  รู้จักยับยั้งชั่งใจในสิ่งที่ไม่ดี (ดำเนินชีวิตโดยยึดธรรมะประจำใจ)  ธรรมะอะไร (ความพอเพียง ความยุติธรรม)  บางทีถ้าเรียกร้องความยุติธรรมมากเกินไป ก็กลายเป็นทุกข์ได้ จริงๆ แล้วเราเอาอะไรมาวัดว่ายุติธรรม ถ้าใช้สายตาคนมองแล้วมันก็ไม่ยุติธรรม ฉะนั้นเอาสิ่งนี้ดีกว่าไหม มีเมตตา ทำอะไรให้มีเมตตาเป็นหลัก ซื่อตรงก็ได้ เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เกิดเป็นคนถ้าซื่อตรงเราจะผิดศีลขาดธรรมไหม ถ้าซื่อตรงเราจะโลภ เราจะทำร้ายใครไหม ถ้ารู้จักพอจริงๆ ศิษย์ก็ทำได้ แต่ไม่เคยรู้จักพอสักทีจริงไหม (จริง)  (ปล่อยวาง)  เจออะไรก็ปล่อย ก่อนที่จะปล่อย ศิษย์ต้องทำหน้าที่ตัวเองให้ถูกต้องและดีที่สุดก่อน และถึงที่สุดแล้ว ผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร ตอนนั้นถึงจะปล่อย และต้องปล่อยให้ถูก ไม่ใช่เมื่อกลับไปแล้ว อะไรก็ไม่รับผิดชอบ อะไรก็ไม่ดูแล ปล่อยวางหมดแล้วได้ไหม (ไม่สนคำคนยุแยง)
(ไม่ปล่อยให้กิเลสครอบงำ)  ไม่ปล่อยให้กิเลสครอบงำ แล้ว เราสามารถมีสติรู้ทันกิเลสไหม ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไร จำไว้นะศิษย์ สิ่งที่จะช่วยยับยั้งไม่ให้เกิดกิเลสก็คือ เจออะไรแล้วนิ่ง ให้ใจเย็นอย่าเพิ่งใจร้อน ไม่ใช่ด่ามาก็ด่ากลับ เตะมาก็เตะกลับ อย่างนี้เจ๊งใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นใครด่ามาก็ให้นิ่งก่อน แล้วพิจารณาดูว่าสิ่งที่เขาด่านั้นจริงไหม ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้น้อมรับและขอบคุณ ถ้าไม่จริงเราก็ไม่เป็นไร
(พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่)  ตอบเหมือนหัวหน้าเลยนะ แต่อาจารย์ไม่เคยเห็นใครพอใจได้เลย สิ่งที่จะทำให้ศิษย์พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ได้ คืออะไรรู้ไหม แค่นี้ก็ขอบคุณแล้ว เท่านี้ก็ดีแล้ว เมื่อรู้จักพอจึงพบสุข แต่ถ้าเกิดว่าแค่นี้ไม่พอ เท่านี้ไม่พอ ยังไงมันก็ไม่ ใช่หรือไม่  (ใช่)  (ไม่โกรธไม่เกลียด)  ไม่โกรธไม่เกลียดแน่ใจหรือ ถ้าอยากไม่โกรธไม่เกลียด ก็จงอย่ารักใคร เพราะความรักนั้นทำให้เรารู้จักโกรธ เกลียด  เจ็บ ทุกข์ และอาฆาตแค้น ทำได้แน่หรือ  (แน่)  ฝ่ายชายตอบให้อาจารย์ชื่นใจบ้าง ทำอย่างไรจะละความอยากในบุหรี่ อยากในเหล้า อยากในการขี่รถมอเตอร์ไซค์ เพื่อไม่สร้างทุกข์ให้คนอื่น รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่ผิดศีลไม่ขาดธรรม ทำอย่างไรดี
(ไม่ให้คุณค่ากับสิ่งไม่ดี)  แล้วเขาจะไม่มีค่าในสายตาเรา เขาจะทำผิด ทำถูก เราก็ไม่เดือดร้อน ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ให้คุณค่ากับสิ่งที่ไม่ดี เพราะถ้าเราไม่ให้คุณค่า สิ่งนั้นก็ไม่มีผลต่อใจเรา แต่ถ้าทุกอย่างเราทำแบบนี้ตลอด เราก็จะไม่มีอะไรมาสอนใจเรา เพราะบางครั้ง สิ่งที่ไม่ดีก็ได้ให้แง่คิดและเป็นบทเรียนที่ล้ำค่า เหมือนดั่งที่คนเรามักจะพูดว่า คนเราถ้าไม่ทุกข์จนถึงที่สุด ก็จะไม่รู้จักค้นหาความสุขที่แท้จริง ไม่เจ็บถึงที่สุด ก็ไม่คิดที่จะรักษาตัวเองให้เข้มแข็ง ไม่รู้คุณค่าของคำว่า เข็มแข็ง ว่าคืออะไร ถ้าไม่เคยเจ็บมาก่อน ไม่ให้คุณค่า ใช้ได้ แต่บางครั้งก็ใช้ไม่ได้กับทุกกรณี (ขอให้มีสติ)  มาทีหลังแต่ตอบได้ดี ไม่ว่าจะทำอะไรขอให้มีสติ ถ้ามีสติแล้วจะไม่ตกเป็นทาสของกิเลส แต่กลัวจะขาดสติ พอไม่มีสติ สตางค์ก็เลยไม่มา ก็เลยเดือดร้อน (ให้ยอมรับความเป็นจริง และเปลี่ยนความอยากให้เป็นเป้าหมาย)  เป้าหมายของเราที่จะต้องเดินไปให้ถึง ศิษย์เอ๋ยเมื่อไรที่เรามีความอยาก เราหนีไม่พ้นและง่ายที่จะไปทำผิด มีความอยากแต่ทำแล้วไม่สมหวัง ก็ไปโกงนิดหน่อย
ถ้าศิษย์จะทำให้ได้ดี จริงๆ ศิษย์ต้องตระหนักไว้ว่า ชีวิตนี้ได้เท่านี้ก็ดีมากแล้ว ไม่อยากหรืออยากไป ก็ไม่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะอย่างไรคนก็หวังอยากได้เงินมาก่อนเสมอ ถูกหรือไม่
ศิษย์มักคิดว่าผิดนิดผิดหน่อย ทุกข์แล้วตายไปก็จบกัน หมดเคราะห์หมดโศกกับเขาแล้วก็จบกัน จริงไหม (ไม่จริง)  ถ้าไม่จริงก็แปลว่า เรารู้ว่าการที่เราทำบาปกรรมอะไรไว้ แล้วสะสมอยู่ในจิต จิตนี้เหมือนเนื้อนาบุญ ปลูกบุญก็ได้บุญ ปลูกบาปก็ได้บาป อัตภาพของตัวตนจะเป็นเช่นไร ก็ขึ้นอยู่กับความคิดและจิตใจ ถ้าความคิดและจิตใจมีความบริสุทธิ์ เป็นอิสระและศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่เราจะได้รับก็คือ ความบริสุทธิ์ อิสระ และศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าจิตและความคิดเต็มไปด้วยกิเลสตัณหาและความอยาก สิ่งที่ได้มาก็คือ บาป อกุศล และวิบากกรรมที่นำไปสู่การเวียนว่าย แต่ถ้าในอัตภาพของจิตและความคิดมีความเป็นธรรม และตื่นรู้ในธรรมด้วยสติ สิ่งที่ได้รับกลับคืนมาก็คือ ความพ้นทุกข์และหมดสิ้นอัตตาตัวตน ฉะนั้นเมื่อเรามีชีวิตอยู่ ชีวิตจะเป็นอย่างไร ต่อไปจะเป็นอย่างไร อนาคตจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้ที่เราสร้าง ใช่ไหม (ใช่) ไม่ว่าศิษย์จะสร้างมานานแค่ไหนก็ตาม แม้ตอนนี้ศิษย์ไม่ได้สร้างขึ้นแล้ว แต่สิ่งนั้นก็ยังคงอยู่ในจิตใจ แล้วเกิดความกระเพื่อมสะท้อนให้เรารู้ว่า “เราเคยทำผิด เรามีสิ่งผิดติดอยู่ในใจ” ใช่หรือไม่ เรามีสิ่งไม่ดีสะท้อนอยู่ในใจของเรา สิ่งที่ไม่ดียังฝังอยู่ในใจ ถึงแม้เราจะหยุดเขียน หยุดสร้างแล้วก็ตาม แต่รอยของสิ่งนั้น รอยไม่ดีนั้นก็ยังอยู่ ฉะนั้นเราถูกปรุงแต่งไปด้วยกรรมที่ตัวเองสร้างขึ้นมา กรรมของเราจะดีหรือจะร้าย ก็ขึ้นอยู่กับอดีตที่เราเคยทำไว้ หรือปัจจุบันนี้เรากำลังทำอะไร จึงมีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ชีวิตและสรรพสัตว์ ล้วนเป็นอยู่ได้ด้วยกรรมที่ตัวเองทำมา” ถูกไหม
ฉะนั้นจะบอกว่าตายแล้วจบกัน ไม่จริง ตายแล้วร่างกายจบ แต่จิตไม่จบ เพราะจิตยังยึดติดบุญกรรมที่ตัวเองสร้าง และบุญกรรมที่ตัวเองสร้าง จะนำพาให้เราต้องไปเวียนว่ายในวัฏสงสารไม่จบสิ้น เราจะหยุดกรรมที่ตนเองสร้าง และไม่ทำให้ตนเองทุกข์ได้ด้วยการปฏิบัติธรรม แล้วจะปฏิบัติธรรมอย่างไร ง่ายๆ เลยนะศิษย์ เรามีชีวิตอยู่เพื่อสนองกิเลสตัณหาความอยากในตน หรือเรามีชีวิตอยู่เพื่อปฏิบัติธรรมต่อคน ความหมายต่างกัน ทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิตอยู่เพื่อสนองกิเลสตัณหาและความอยาก ผลที่ได้ก็คือ ทุกข์ วิบากกรรม และการเวียนว่าย หากทุกขณะที่ศิษย์ที่มีชีวิตอยู่ ศิษย์ปฏิบัติต่อกันด้วยความเมตตา เคารพ ซื่อตรง ให้เกียรติ จริงใจ มีน้ำใจ เราจะสร้างกรรมต่อไหม และจะเป็นกรรมต่อไหม แต่ทุกครั้งที่เราปฏิบัติต่อกัน ฉันอยากได้อะไรจากแก ทำไมแกไม่ทำอะไรให้ดีกว่านี้ ดังนั้นสิ่งที่เราปฏิบัติต่อกัน มันจึงไม่ใช่แค่ธรรมกับธรรม แต่มันเป็นกิเลส และกรรม ถ้าศิษย์มีชีวิตอยู่ และอยากบำเพ็ญธรรมให้ถูกต้องก็คือ กับคนที่อายุมาก เราเคารพ ให้เกียรติ กับคนที่อายุน้อย เราเมตตา จริงใจ กับเพื่อน เราซื่อตรง เข้าใจ ไม่เอาเปรียบ ดำเนินชีวิตรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เช่นนี้แล้ว กิเลสจะเกิดหรือไม่ (ไม่)  แต่เวลาอยู่กับลูกกับสามี ปฏิบัติด้วยธรรม หรือว่าปฏิบัติด้วยกรรม กรรมอะไรนี่ต้องมาเจอแม่เธอ พ่อเธอ กรรมอะไรนี่ทำให้ต้องมีเพื่อนอย่างเธอ ฉะนั้นสิ่งที่ได้ เราก็เลยหนีไม่พ้นกรรม แต่ถ้าเราปฏิบัติต่อกันด้วยธรรม ให้เกียรติ เคารพ เมตตา ซื่อตรง จริงใจ ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ส่วนเขาไม่ดีเป็นเรื่องของเขา เรามีหน้าที่แค่บอกว่าไม่ถูก ถ้าไม่ถูกสามครั้งแล้ว เราก็ต้องปล่อย เพราะว่าเราเปลี่ยนเขาไม่ได้ สิ่งที่เปลี่ยนได้ก็คือตัวเราเอง เราทำได้อย่างนี้ไหม (ได้)  ยากไหม
แต่อาจารย์เคยเห็นความโกรธที่ไม่บาป แต่เป็นโกรธที่น่ารัก เป็นโลภหลงที่ไม่บาป ไม่มีกรรม แต่เป็นโลภหลงที่น่ารัก อาจารย์พูดให้ฟัง มีแม่คนหนึ่งโกรธลูกมาก สอนให้ได้ดีอย่างไรก็ไม่เอา ก็เลยโกรธ แต่ก็ไม่ด่าลูก ลูกมาถึงก็เรียกลูกมานั่งและแม่ก็นั่งตีมือตัวเอง ว่าแม่ไม่ดี แม่แย่ แม่เลว ใช่ไหม ลูกถึงไม่เคยได้ดี ศิษย์คิดว่าลูกนั่งมองแม่นั่งตีมือตัวเอง ลูกจะไม่สำนึกหรือ และเป็นการโกรธที่น่ารักไหม ไม่ลงโทษลูกแต่ลงโทษตัวเอง ถ้าสามีมีชู้ ก็ตบตัวเองเลย แล้วบอกว่าเพราะฉันไม่ดี ฉันเลว ฉันขี้บ่น ใช่ไหม ฉันขอโทษ ถ้าตบเขาแล้วเขาไม่เคยแก้ไข เราก็ตบตัวเองดีกว่า เราเคยเห็นไหม โลภหลงแบบนี้แล้วน่ารัก โลภหลงแล้วไม่เป็นบาป เคยเห็นเวลาซองผ้าป่า ซองบุญมาไหม (เคย)  เอามาเลยชอบทำบุญ ช่วยคนเหรอ ช่วยๆ เพราะชอบ แบบนี้น่ารักไหม ไปไหนก็จะมีแต่คนรัก โลภบุญ โลภกุศล มีอะไรชอบทำหมด ก็เป็นโลภหลงที่ไม่ก่อกรรม เป็นบุญที่น่ารัก ชวนไปไหนขอให้เป็นงานบุญไปหมด ชวนไปเที่ยว ไม่เอา แต่ศิษย์เป็นอย่างไร งานบุญกลับไม่เอา ไปเที่ยวกลับรีบเอา เรียนรู้ธรรมไม่ใช่สอนให้ศิษย์ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง แต่รู้จักโลภ โกรธ หลง แล้วไม่กลายเป็นกรรมที่ก่อให้เกิดความทุกข์ และเกิดการจองเวรจองกรรม ศิษย์ยังต้องไปรับผิดชอบต่อหน้าที่และต้องไปแสวงหาเงินทอง แต่ขอให้ศิษย์หาเงินอย่างมีธรรม และหาเงินอย่างไม่ตกเป็นทาสของกิเลสที่ทำให้เราหนีไม่พ้นกรรม เราไม่อยากมีทุกข์เพิ่มไม่ใช่หรือศิษย์ ทุกข์ครั้งเดียวก็เจ็บพอแล้ว ผิดหวังครั้งเดียวก็ช้ำมากพอแล้ว แล้วอยากผิดหวังอีกไหม อยากทุกข์อีกไหม (ไม่อยาก)  ถ้าอย่างนั้นก่อนที่จะทำอะไรลองไตร่ตรองให้ดี ผิดศีลไหม เบียดเบียนชีวิตคนไหม อยากได้ของคนอื่นเอามาเป็นของตัวเองไหม มันทำให้เรากลายเป็นคนสับปลับปลิ้นปล้อนหลอกลวงหรือเปล่า มันทำให้เราเป็นคนที่ทำอะไรแล้วเป็นคนที่โง่เขลาเบาปัญญาหรือไม่ ถ้าทุกขณะที่ทำเรามีเมตตา ความอยากนั้นก็คงไม่ทำร้ายใครใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนที่ศิษย์หวังดีกับคนอื่น แต่หวังดีมากเกินไปจนไม่มองความจริงมันก็เจ็บ ฉะนั้นเมตตาก็ต้องเมตตาโดยอย่าลืมความเป็นจริง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนวงพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
อาจารย์พูดเริ่มต้นไป เรื่องความทุกข์มี ๒ แบบ
๑. ความทุกข์จากความเป็นจริงที่หลีกไม่พ้น
๒. ความทุกข์ที่เกิดจากกรรมหรือการกระทำของเราเอง
อาจารย์ก็ได้บอกวิธีแก้ให้เราไม่สร้างทุกข์ที่เกิดจากกิเลสไปแล้ว แต่อาจารย์ยังไม่ได้บอกวิธีที่จะรับมือกับความทุกข์ที่เกิดจากความเป็นจริง
ในชั้นนี้มีใครเกิดมาแล้วไม่ตายบ้าง มีใครไม่เคยพลัดพราก มีใครโชคดีแล้วไม่มีโชคร้ายเลย มีใครสวยแล้วจะไม่น่าเกลียด มีใครหล่อแล้วจะไม่อัปลักษณ์ แล้วมีใครมีเงินแล้วเหมือนไม่มีเงินบ้าง ศิษย์เอ๋ย เมื่อศิษย์จะอยู่กับอะไร ต้องอย่าลืมว่า จะมีกฎอย่างหนึ่งซึ่งเป็นกฎที่ตายตัว ที่อย่างไรก็หนีไม่พ้น เป็นกฎแห่งความเป็นจริงที่จะทำให้เราทุกข์น้อยที่สุด ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริง แล้วเราจะไม่ทุกข์ และอยู่กับมันด้วยความรู้สึกว่าเป็นธรรมดาได้ นั่นคือเราต้องเข้าใจชีวิต
ในสิ่งที่เรียกว่า “ชีวิต” นั้นมีกฎอยู่อย่างหนึ่งว่า “ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ” ที่ได้ก็เหมือนไม่ได้ ที่มีก็เหมือนไม่มี ที่เห็นก็เหมือนไม่เห็น ที่รู้ก็เหมือนไม่รู้ ถ้าพึงคิดอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา พิจารณาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เขียนกระดานให้อาจารย์หน่อย เผื่อเอาไปรับมือกับความเป็นจริงในโลกแล้วจะได้ทุกข์น้อยลง วันหนึ่งหน้าตึงๆ นี้เกิดเหี่ยวขึ้นมาก็รับได้ ไม่ต้องไปฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเล่อร์
ถ้าศิษย์อยากจะอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง เราพึงสำนึกไว้ตลอดเวลาว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เช่นตอนแรกอาจารย์ว่าจะให้แอปเปิล แต่ตอนนี้อาจารย์เปลี่ยนใจ ถ้าเรารับความจริงอันเป็นธรรมดาได้ว่า โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เราก็คงไม่เกลียดอาจารย์ ฉะนั้นเมื่ออาจารย์บอกว่าจะให้แล้วอาจารย์เปลี่ยนใจบอกว่าไม่ให้ได้ไหม (ไม่ได้)  นี่คือไม่ยอมรับความเป็นจริง ก็โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน นับประสาอะไรกับคน คนแน่นอนไหม วันนี้เขารักเรา พรุ่งนี้เขาด่าเราไหม (ด่า)  วันนี้เขาด่าเราพรุ่งนี้เขาชมเราไหม (ชม)  แน่นอนไหม (ไม่แน่นอน)   ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความไม่แน่นอน เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) พอถึงเวลาเราโดนด่าเราทุกข์ไหม (ทุกข์)
ฉะนั้นความไม่แน่นอนจึงทำให้เรารู้ชัดว่า ในความไม่แน่นอนนั้นแปลว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แล้วความไม่แน่นอนก็ทำให้เราแตกออกไปอีกว่า สิ่งที่เราเห็นก็เหมือนไม่เห็น เหมือนเมื่อวานเขานั่งตรงนั้น แต่วันนี้เขานั่งตรงนี้ ศิษย์เอ๋ยความไม่แน่นอนทำให้เราเห็นว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ อย่างที่สองทำให้เราเห็นว่า สิ่งที่เรารู้ก็เหมือนไม่รู้ ตำแหน่งหน้าที่ คนรัก ชีวิต เราว่าเรารู้จักแล้วนะว่าชีวิตเราเป็นอย่างนี้ แต่ถึงเวลาเราก็เหมือนไม่รู้จักตัวเราเอง คนรัก พ่อแม่ เราว่าเรารู้จักดี แต่ถึงเวลาเขาก็ทำอะไรที่เราไม่คาดคิด ไม่รู้จักได้เหมือนกัน ชีวิต เงินทอง ทรัพย์สิน เราว่ากว่าจะได้ตำแหน่งนี้มา รู้จักแบบเต็มที่ ถึงเวลาดันพลิกโดนไล่ออกจากตำแหน่ง เราก็เหมือนจะรู้ แต่แท้จริงแล้วเราไม่รู้
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความไม่แน่นอน เราจะรู้ว่าแท้จริงแล้วรู้ก็เหมือนไม่รู้ เมื่อไรเราเข้าใจความไม่แน่นอนอีก เราก็ยังรู้อีกว่ามีสิ่งที่เราคิดว่ามันมี มันก็เหมือนไม่มี คนนี้ของฉัน ฉันมี ฉันได้ แต่มีก็เหมือนไม่มี ดังนั้นคิดไว้ว่าเวลาสามีออกจากบ้าน สามีก็ไม่ใช่ของเรา ออกจากบ้านแล้ว ภรรยาก็ไม่ใช่ของเรา อยู่ในบ้านเดียวกันบางทีก็ไม่ใช่ของเรา เพราะใจไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ เงินก็เหมือนกัน เหมือนอยู่ในกระเป๋า แต่ถึงเวลาหายออกไปได้อย่างไร เพราะเอาไปแทงหวยสามตัว ถ้าเราเข้าใจความไม่แน่นอนของชีวิต เราก็จะเห็นความกระจ่างในความเป็นจริงว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ เราจะอยากได้อะไรไหม เมื่อไม่สมบูรณ์แบบ รู้แล้วเหมือนไม่รู้ เราจะโกรธอะไรไหม มนุษย์จะทุกข์ก็ตรงนี้ ที่คิดว่าตัวเองรู้แต่จริงๆ แล้วเราไม่รู้อะไรเลย ถ้าเราไม่อยากจะทุกข์ ในโลกนี้ศิษย์อย่าลืมความเป็นจริงอันนี้ที่เรารู้ เอามาเตือนใจตลอดเวลา ฉะนั้นจะเจอเรื่องราวอะไร ศิษย์จะได้ไม่ผิดหวัง เพราะสิ่งที่เรารู้ก็เหมือนไม่รู้ สิ่งที่เราคิดว่าเลือกมาดีที่สุด แท้จริงอาจจะไม่ดี เหมือนเราคิดว่าเลือกผลไม้มา ในบรรดาเหล่านี้อันนี้ดีที่สุด แต่ถึงเวลาเราเลือกมา พอเปิดกินดู เปรี้ยว ขม เฝื่อน เมื่อเรารู้ว่าได้มาแล้ว มันไม่เป็นอย่างที่เราคาดคิด โกรธไหม ถ้าโกรธศิษย์ก็ทุกข์เพิ่ม โกรธแล้วไปด่าแม่ค้า ถ้าไปด่าแม่ค้าศิษย์ก็สร้างวิบากกรรม ฉะนั้นถ้าเปลี่ยนใหม่ ได้มาแล้วอร่อยถูกใจ ทุกข์หรือสุข  (สุข)  จงอย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น
ฉะนั้นในโลกแห่งความเป็นจริง ทุกขณะจิตล้วนบ่งบอกว่าเราสร้างกรรมหรือเรามีธรรม เราเอาสิ่งนั้นมาทำให้เราตื่นรู้ในธรรม หรือเอาสิ่งนั้นมาสร้างเวรสร้างกรรม ธรรมะจึงไม่ใช่อยู่แค่ในวัด แต่ธรรมะอยู่ทุกขณะจิตที่เราดำเนินชีวิต เราจะเกิดมามีกรรมต่อกัน หรือเกิดมาเพื่อสิ้นกรรมและพบธรรม
ฉะนั้นประมาทไม่ได้แม้ชั่วขณะที่ศิษย์คิด อร่อยก็มีกรรม ไม่อร่อยก็มีกรรม (อย่าไปคาดหวัง)  ให้มันได้จริงๆ อย่างนั้น แล้วถึงเวลาเราไม่คาดหวังได้ไหม มีลูกก็อดคาดหวังว่าลูกต้องได้ดี แล้วทำอย่างไรดีเพื่อไม่คาดหวัง อย่าไปคิดอะไรเลยใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เอ๋ยไม่คิดอะไรเลยก็ดี แต่บางครั้งก็ต้องคิดอย่างคนมีสติและปัญญา ไตร่ตรองในความเป็นจริง และความจริงจะไม่ทำให้ศิษย์ทุกข์ เราเกิดมาเพื่อนั่งอมทุกข์หรือศิษย์ (ไม่ใช่)
คนทุกคนเกิดมา ถามว่ามีใครอยากเกิดมาเป็นคนโง่ไหม ฉะนั้นธรรมะทำให้ศิษย์ฉลาดขึ้น และมองเห็นโลกชัดขึ้น มองเห็นมายาในมายา มองเห็นความจริงมีมายาซ้อนอยู่ และเราจะเลือกมายาหรือจะเลือกความจริง ใครๆ ก็อยากได้ความจริง
การศึกษาบำเพ็ญธรรม จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ขอเพียงเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต และเข้าใจตัวตนเองไม่สร้างวิบากกรรมด้วยการตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา แล้วความทุกข์ของเราก็จะไม่มีมาเพิ่ม ฉะนั้นเมื่อพบอะไรที่เกินเลยไป รู้สึกว่าแย่เกินไปบ้าง เราก็จะยอมรับว่า สิ่งนั้นคือความไม่แน่นอน และเมื่อถึงที่สุดในความไม่แน่นอน ก็หาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ ถึงที่สุดตัวเราเองก็ต้องกลับคืนสู่ดิน เหลือแต่จิตเท่านั้น
ฉะนั้นจิตจะคืนสู่ธรรม หรือจิตจะยึดติดกรรม ก็ต้องถามใจของศิษย์ดูเอง ถ้ายึดติดกรรมดีกรรมชั่ว ศิษย์ก็จะหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ศิษย์ต้องกลับไปพบ แต่ถ้าศิษย์ทำอะไรแล้วไม่ยึดติด ทำอะไรแล้วก็ล้วนแต่ทำไปเพื่อธรรมะ เพื่อความเมตตาธรรม เพื่อความซื่อตรงจริงใจต่อกัน เราก็จะไม่มีกรรมต่อไป ดังนั้นเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติธรรมให้ดี ถ้าทำได้ดีก็เรียกได้ว่าเป็นพุทธะบนดิน เป็นคนประเสริฐ อย่างน้อยตายไปก็ไม่เสียชาติเกิด ที่เราทำดีที่สุดแล้ว ถึงแม้ยังไม่พ้นทุกข์ อย่างน้อยก็ยังมีบุญกลับมาบำเพ็ญต่อได้
อยู่ในโลกนี้อย่ายึดติดความคิดของตัวเองจนมองไม่เห็นความจริง อยู่ในโลกนี้จงรู้จักมองความจริงอย่าเอาแต่สิ่งที่เราอยากได้ อยากเจอ แม้สิ่งที่ตัวเองอยากได้ อยากเจอนั้นจะดีก็ตาม แต่ความเป็นจริงในโลกนี้ มีดีก็มีเสีย มีสุขก็มีทุกข์ เราเกิดมายืนอยู่ระหว่างฟ้ากับดิน ไม่ยึดติดอะไร ถ้ามองแล้วรู้สึกทุกข์เหลือเกิน เจ็บเหลือเกิน ศิษย์ลองย้ายมุมมองดู เผื่อจะมีอะไรให้เห็นแล้วรู้สึกสบายตา สบายใจขึ้น เราเลือกได้ เราอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน
เราเลือกที่จะเป็นได้ และเราเลือกที่จะวางใจให้พ้นทุกข์ได้ ถ้ารู้สึกว่ายึดแล้วทุกข์ก็ให้ปล่อย แล้วมองมุมอื่นที่ทำให้รู้สึกสบายใจ แต่ถ้ามองแล้วรู้สึกเจ็บ แค้น เกลียด อยากด่า อย่างนี้เราเลือกที่จะไม่มองจะดีกว่าไหม
เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง เราทำให้ทุกคนยิ้มให้เราได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วให้ทุกคนยิ้มให้เราตลอดได้ไหม (ไม่ได้) อย่างนั้นเวลาที่คนอื่นเขาหน้าบึ้งก็เป็นเรื่องธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถูกด่าก็เป็นเรื่อง (ธรรมดา) เมื่อรู้สึกสูญเสียก็เป็นเรื่อง (ธรรมดา) จริงๆ นะ เมื่อเรามองเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว เราก็ทำใจให้เข้าใจ แล้วศิษย์ก็จะไม่ทุกข์กับโลกใบนี้เลย เรื่องที่ไม่ควรคิดศิษย์ก็คิดมากกันจัง แต่เรื่องธรรมะ คิดแล้วทำให้พ้นทุกข์ ทำไมศิษย์จึงไม่คิด คิดแล้วทำให้ปลดปลง โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน โลกนี้ไม่มีอะไรดีที่สุด รู้ก็เหมือนไม่รู้ ช่างมัน ฝึกคิดอย่างนี้เผื่อว่าจะทำให้ศิษย์ได้ตื่นรู้ในใจขึ้นมาบ้าง ฉะนั้นอย่างที่อาจารย์บอกไว้ว่า อย่าโกรธ ไม่ต้องไปตีเขา ไม่ต้องไปด่าเขา แต่ย้อนกลับมาพิจารณาตัวเอง
เมื่อไรที่เราเผลอยึดขึ้นมา เราจะหนีไม่พ้นความทุกข์ แล้วเราก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาที่เห็นแจ้งจริงได้ เราทุกข์เพราะเราคิดว่าเรารู้จักแกดี แกไม่ต้องมาเถียง แค่อ้าปากก็รู้แล้วว่าคิดอะไร แต่จริงๆ รู้ไหม (ไม่รู้)  ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้ไม่เกิดความทุกข์ก็คืออย่ายึดติดในความคิดจนลืมมองเห็นความ เป็นจริง เหมือนที่ท่านแปดเซียนบอกไว้ว่า “ไม่มีใครทำร้ายเราได้มากกว่าเราวางใจผิด”  ศัตรูคู่อาฆาตทำร้ายเรายังไม่น่ากลัวเท่าเราวางใจผิด


(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “วางใจให้ถูกที่”)
ถ้าเขาว่าเราแต่เราวางใจถูก ไม่เป็นไร มีชมก็มีว่า เราไม่ทุกข์ แต่ถ้าเขาชมเรา แต่ในใจเราคิดว่าเขาชมเพราะหวังอะไรในใจ ที่ชมเราก็ทุกข์ เหมือนเราถูกสองตัว ดีใจหรือเสียใจ เสียใจว่าทำไมเราไม่ลงให้มากกว่านี้ ถ้าวางใจผิดแม้จะถูกก็เหมือนไม่ถูก เพราะใจคิดไม่ได้ ฉะนั้นชีวิตจะเป็นอย่างไรไม่ใช่อยู่ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่อยู่ที่ฟ้ากำหนด แต่อยู่ที่ตัวศิษย์ทุกคนคิดและเข้าใจชีวิตอย่างไร ดั่งพระพุทธะกล่าวไว้ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” พึ่งคน อื่นยังมีวันกลับกลาย ยังมีวันเปลี่ยนแปลง แต่พึ่งปัญญาของตนที่สู้ไม่ถอย ล้มแล้วเข้มแข็งได้ ทุกข์แล้วก็จะสุข ไม่ต้องรอใคร เจ็บแล้วก็กลับมายืนใหม่ได้ ด้วยสติปัญญาตัวเองดีกว่าไหม ขอเพียงอย่างเดียว ศิษย์อย่าผิดศีล อย่าขาดธรรม อย่าตกเป็นทาสกิเลสอารมณ์ และความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เพราะถึงตอนนั้นแม้ศิษย์จะเป็นศิษย์ของอาจารย์ อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ กรรมใครกรรมมัน ไม่มีใครล้างบาปของใครได้ ฉะนั้นถ้าไม่อยากมีบาปมีกรรม ก็อย่าตกเป็นทาสของกิเลส และอารมณ์ในคำว่าตัวตน
วันนี้อาจารย์ก็คงต้องกลับแล้ว ฉะนั้นถ้าคิดจะบำเพ็ญจงเลือกบำเพ็ญในทางที่ถูกต้อง ถ้าคิดจะปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติให้ถึงที่สุด ถ้าเลือกที่จะทำก็ต้องทำให้ดี อย่ากอปรไปด้วยกิเลสและความยึดติดหลง ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย
บุญเขาก็มี แต่สิ่งที่ไม่ถูกต้องเขาก็ยังมี ฉะนั้นทำได้ดีหรือยัง อารมณ์ควบคุมได้ไหม ศิษย์จำไว้ สังขารสักวันต้องเสื่อมสลายกลับคืนสู่ดิน จงรักษาจิตที่ศักดิ์สิทธิ์ และดีงามไว้ เพื่อกลับคืนสู่ฟ้า จิตบริสุทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อ ไม่กอปรไปด้วยอัตตา กิเลส นิสัย และอารมณ์
จิตบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ได้ เมื่อประกอบไปด้วยศีลธรรมที่งดงามแห่งความเป็นคน สังขารคืนสู่ดิน จิตคืนสู่ฟ้า แล้วจิตจะคืนสู่ฟ้าได้อย่างไร ก็ต้องเป็นจิตที่บริสุทธิ์ใส ไม่กอปรไปด้วย กิเลส ทิฐิ ตัณหา อบายมุข และอารมณ์แห่งตัวตน แต่ถ้าเรายังไม่สามารถทำจิตให้คืนใสได้ จิตยังเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ศิษย์ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ต้องไปเวียนว่าย แล้ววิบากกรรมที่ศิษย์สร้างบาปมากกว่า หรือบุญมากกว่า ถ้าบาปมากกว่า ก็หนีไม่พ้นนรกลงดิน แต่ถ้าบุญมากกว่า ก็ขึ้นไปเสวยบุญ พอหมดบุญก็ต้องกลับมาเวียนว่าย แล้วเราต้องเวียนว่ายอีกเท่าไร ทุกข์อีกเท่าไร ถ้าศิษย์ว่าทุกข์ในโลกเจ็บแล้ว แต่อาจารย์จะบอกว่า ทุกข์แห่งการต้องกลับมาเกิดอีก เจ็บยิ่งกว่า ถ้าศิษย์ว่าการมีชีวิตอยู่ในโลกมันทุกข์แล้ว แต่ทุกข์ของการที่ต้องไปสนองรับกรรมที่ตัวเองสร้าง เจ็บยิ่งนัก เพราะเราเอาเขามาทั้งชีวิต เราเบียดเบียนคนอื่นทั้งชีวิตและจิตใจ เพราะเวลาเราว่าคน เราเคยรู้จักความเมตตาก่อนว่าไหม เวลาโมโหแล้วว่า เคยมีสติยั้งใจว่า อย่าทำเขาเลยไหม ถ้าไม่มี ศิษย์ก็ต้องรับกรรมที่ศิษย์ทำไว้อย่างหนีไม่พ้น ฉะนั้นปฏิบัติต่อกันด้วยธรรมดีกว่า อย่าปฏิบัติต่อกันด้วยอารมณ์ ปฏิบัติต่อกันด้วยเมตตาดีกว่า อย่าปฏิบัติต่อกันด้วยความโกรธ ความหลง มีธรรมในตัว มีธรรมเป็นตัวเป็นตน และมีธรรมครอบงำจิตใจตน และเมื่อนั้นตัวตนจะหายไป เหลือแต่ธรรมที่คงอยู่ไว้
อาจารย์อยากเห็นศิษย์เก่งกว่าอาจารย์ ไม่ใช่แย่กว่าอาจารย์ อาจารย์อยากเห็นศิษย์ของอาจารย์เข้มแข็ง ยืนหยัดในวันที่ท้อแท้ วันที่ล้า วันที่เจ็บปวดได้อย่างมั่นคง ถ้าศิษย์รักตัวเองจริงๆ คงไม่สร้างความทุกข์ให้ตัวเอง ถ้าศิษย์รักตัวเองอย่างที่อาจารย์รักศิษย์ ศิษย์ก็คงรีบนำพาตัวเองให้พ้นทุกข์ แต่ไยหนอจึงไม่รักตัวเอง เห็นกิเลสเห็นอารมณ์ดีกว่าหัวใจแห่งธรรม
อาจารย์คงต้องไปแล้ว เข็มแข็งหยัดยืนในความถูกต้อง ด้วยหัวใจที่สู้ไม่ถอย รู้จักมีสติยับยั้ง อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นทาสอารมณ์ แม้ไม่เจออาจารย์แต่ถอดความอาจารย์ ก็เอาใจอาจารย์ไปด้วย รู้จักทำ รู้จักคิด จะได้ไม่ทุกข์ ทุกข์แค่นี้ก็มากแล้ว ถ้าเชื่อว่าจะหมด มันก็มีวันหมด กลับมาช่วยอาจารย์ อย่าลืมสิ่งที่เคยรับปากไว้ เป็นกำลังให้ รักษาหัวใจอันดีงามไว้ เข้มแข็งเลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่าหลงผิดเพราะความคิดชั่ววูบ สิ่งมงคลจะเกิดได้เมื่อเรารักษาความดีงาม อย่าดูถูกคุณค่าตัวเอง กำลังใจอาจารย์ให้ศิษย์เสมอ รักษาสิ่งที่ถูกต้องและดีงามไว้ มีโอกาสลองมาช่วยอาจารย์ เด็กดีของอาจารย์ มีศิษย์ที่เข้มแข็งอยู่ข้างหลังอาจารย์ อาจารย์ก็ดีใจ มีศิษย์ที่มั่นคงไม่ยอมแพ้ อาจารย์ก็ภูมิใจ มีโอกาสก็กลับมาอีก และตั้งใจบำเพ็ญ รู้จักเลือกดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง
มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีก อาจารย์ไม่เคยทิ้งศิษย์ ฉะนั้นศิษย์อย่าทิ้งตัวเอง รักษาความถูกต้องและดีงาม ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส และนำพาให้ตัวเองทุกข์ ลองคิดให้ดีๆ ว่าสิ่งที่อาจารย์พูดได้กลั่นออกมาจากใจ หวังให้ศิษย์พ้นทุกข์จริงๆ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “วางใจให้ถูกที่”
    ชีวิตคนเป็นอย่างไร                    วุ่นวายเป็นอย่างที่รู้
ช่างรู้ในความไม่รู้                           ผู้เฝ้าตามดูไม่หลง
วางใจลงให้ถูกที่                            บางทีทำถูกผิดส่ง
ชีวิตไม่ใช่เส้นตรง                           ปัญญาจงเป็นธงชัย
ยืนหยัดในวันลมแรง                       กำแพงแห่งโลกแปลกใหม่
สู้ให้ชนะเมื่อไร                             ทำใจให้เป็นดีกว่า




อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา