西元二○一九年歲次己亥十月十三 日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒ สถานธรรมหมิงเอิน เพชรบูรณ์
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ
ความจริงอันเป็นธรรมะ ไม่ยากเกินจะหยั่งรู้
ขอเพียงสงบตรองดู กล้าสู้ยอมรับความจริง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก น้อมกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ
เวลาในโลกมนุษย์ สร้างวิมุตติ[๑]สุดประมาณ
หัวใจที่มีตะวัน ปัญญาญาณรู้วิธี
วุ่นวายในความสับสน กระวนกระวายใจนี้
ถึงปัญญาศรัทธามี สติใช้ต้องระวัง
ประโยชน์อำพรางความโลภ ความโลภเมื่อไรกระจ่าง
ชีวิตซุกซ่อนความหลัง จะอยู่ธรรมมังอย่างไร
ปัจจุบันเชื่ออะไรอยู่ รู้รู้มีอนุสัย[๒]
เข้าใจแบบไม่เข้าใจ ทำอย่างไรได้บำเพ็ญ
ฟังแล้วปราศจากธรรมะ เสวนาควรงดเว้น
อคติความคิดเห็น คู่ซ้อมบำเพ็ญชั่วคราว
ไว้มารยาทนำกิริยา ไว้กายาไม่ก้าวร้าว
จงชั่งศีลธรรมเอา ครองเชาวน์[๓]พ่ายแพ้อย่างไร
บำเพ็ญไม่ยั้งอุปสรรค ธรรมมากกิเลสสลาย
ระวังเรื่องใจงมงาย สถิตในอารมณ์คน
รู้แล้วต้องปฏิบัติ สามารถแล้วอย่าสับสน
ปล่อยวางหัวใจกังวล อดทนในเรื่องธรรมดา
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ
ยังไม่เบื่อฟังธรรมะใช่ไหม หรือว่าตัดสินใจพรุ่งนี้ไม่มาแล้ว (มา) ตอนยังไม่พูดเราเป็นนายเหนือคำพูด แต่ถ้าพูดไปแล้วเราต้องทำตามสิ่งที่พูด ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้น อยากเป็นคนที่พูดอะไรแล้วศักดิ์สิทธิ์ ไตร่ตรองให้ดีก่อนพูด ไม่อย่างนั้นเราต้องตกเป็นทาสของคำพูดอยู่ร่ำไป แล้วก็กลายเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ จริงหรือไม่ (จริง)
“ความจริงอันเป็นธรรมะ ไม่ยากเกินจะหยั่งรู้
ขอเพียงสงบตรองดู กล้าสู้ยอมรับความจริง”
ธรรมะคือความเป็นจริงอันเป็นสัจธรรมของโลก อย่ามองธรรมะแค่เพียงการสวดมนต์ไหว้พระ อย่ามองธรรมะแค่เพียงการเป็นคนดี แต่แก่นของหลักธรรมะคือ ตื่นรู้ เข้าใจแท้จริง จนนำพาให้เราพ้นทุกข์
มีใครที่ยืนอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างเข้มแข็งมั่นคง โดยไม่สูญเสียความดีงามในจิตใจ มีใครบ้างที่สามารถอดทนฟันฝ่าความทุกข์แต่ไม่ทุกข์ใจได้ มีแต่ผู้ที่เข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรมะ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าท่านยังทุกข์ ยังเจ็บปวด ยังอ่อนแออยู่ แปลว่ายังไม่เข้าใจธรรมะที่แท้จริง
ท่านเคยได้ยินคำพูดไหมว่า “วางดาบพลันพบพระพุทธะ” อะไรที่ทำให้เราอยู่ร่วมกับคนแล้วเราชอบใช้ดาบมากกว่าใช้ความเป็นพุทธะ อารมณ์ความโกรธใช่ไหม (ใช่) ถ้าเราวางอะไรก็ตามที่อยู่ในชีวิตเรา ที่ทำให้เราควักดาบออกมาแล้วทำร้ายผู้คน เราวางเสีย เราจะพบความเป็นพุทธะ เราวางเสียเราจะพบความสงบเย็น ฉะนั้นถ้าวางดาบได้ความเป็นพุทธะก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม จริงหรือไม่ (จริง)
ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีธรรม ถ้าทุกข์มันเกิดที่ตัวเรา ทุกข์มันอยู่ที่นี่ อย่างนั้นก็แปลว่า ธรรมไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่ธรรมอยู่ในตัวเรา ทุกข์เกิดจากตัวเรา ฉะนั้นคำกล่าวที่ว่า ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีธรรม ถ้าตัวเรานี้เป็นทุกข์ ตัวเรานี้ก็พร้อมจะเป็นธรรม ที่ใดมีกิเลสที่นั่นเป็นที่สิ้นทุกข์พบพระนิพพาน ต่างกันแค่ชั่วขณะคิด ถูกหรือไม่ (ถูก) วางดาบลงก็พบพุทธะ ชั่วขณะคิดไม่ได้ ทำใจไม่ได้ กลายเป็นกิเลส กรรม เวียนว่าย ความทุกข์ แต่ชั่วขณะคิดได้ขึ้นมา กลายเป็นสิ้นกรรม หมดกรรม พ้นทุกข์ อยู่ที่แค่ชั่วขณะคิด พลิกใจได้ทุกข์ก็กลายเป็นสุข พลิกใจไม่เป็นก็จมอยู่กับความทุกข์ ซึ่งไม่มีใครช่วยได้ ไปหลายวัดแล้วทุกข์ก็ไม่หมดจากใจ จริงไหม (จริง)
เราถามคำถามท่านว่า ถ้ามีอาจารย์ที่มีความรู้ แต่ไม่เคยคิดจะสอนวิชาความรู้ถ่ายทอดให้กับผู้อื่นเลย พออาจารย์ท่านนี้จากไป ความรู้ก็หมดไป จริงไหม (จริง) ทำไมพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงต้องลงมา นี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งก็เป็นได้ ถ้าท่านรู้แล้ว แต่ไม่บอกต่อ และปล่อยให้ความรู้นั้น บิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปก็น่าเสียดาย ฉะนั้นผู้ที่รู้ก่อนแล้วไม่สอน ท่านว่าใจร้ายใจดำหรือไม่ เหมือนพวกหวงวิชา เหมือนพวกเก็บความรู้ไว้กับตัวเองคนเดียว ฉะนั้นจะมาบอกว่าเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วจะมาสอนทำไม ก็คงเป็นแบบเดียวกันว่าทำไมอาจารย์ต้องถ่ายทอดความรู้ เพื่อจะได้ให้ความรู้นั้นไม่หายไป และความรู้นั้นก็เป็นความรู้ที่สามารถนำพาให้เราอยู่บนโลก แต่ไม่ต้องทุกข์ ทั้งกับตัวเอง ทั้งกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีธรรม ที่ใดมีกิเลสที่นั่นมีความเป็นพุทธะ พุทธะกับกิเลส หรือความทุกข์กับธรรมะ ต่างกันแค่ชั่วขณะ พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ความไม่รู้แสดงออกซึ่งกิเลส ตัณหา เวรกรรม แต่ความรู้แสดงออกซึ่งพุทธธรรม แล้วรู้อย่างไรจึงเรียกว่าธรรม แล้วไม่รู้อะไรจึงเรียกว่า กิเลส กรรม และความทุกข์
ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีธรรม ที่ใดมีกิเลสที่นั่นมีความเป็นพุทธะ เพราะความไม่รู้จึงแสดงออกเป็นกิเลส เพราะความตื่นรู้จึงแสดงออกเป็นธรรม รู้หรือไม่รู้ จึงแสดงออกต่างกัน หากเราสามารถรู้ได้ กิเลสก็จะกลายเป็นธรรม แต่ถ้าเราไม่รู้ธรรมก็จะกลายเป็นกิเลส
มนุษย์เราทุกข์เพราะความอยาก เวลาอยากแล้วไม่สมหวังทุกข์ไหม (ทุกข์) เวลาอยากได้อะไรสักอย่างหนึ่ง เรารู้แก่ใจไหมว่า มีโอกาสได้และมีโอกาสไม่ได้ มีโอกาสสำเร็จและก็มีโอกาสล้มเหลว รู้ไหม (รู้) อย่างนั้นเวลาล้มเหลวทุกข์ไหม (ทุกข์) นี่ไง รู้แต่ไม่ยอมทำตัวให้รู้ ถ้าเราระลึกอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่เราจะอยากได้นั้นมีโอกาสได้และไม่ได้ ได้แล้วก็ดีใจ แต่เมื่อไม่ได้ จะทุกข์ไหม ก็รู้อยู่เต็มอกว่าโอกาสได้และไม่ได้มีเท่ากัน จริงไหม (จริง) เรารู้อะไรที่เรียกว่าธรรมะ แล้วเราไม่รู้อะไรที่กลายเป็นความทุกข์ เราทุกข์เพราะเราสูญเสีย เราเสียใจที่เราสูญเสีย ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นเราถามว่า รู้ไหมว่าอยู่ในโลกจะต้องสูญเสีย รู้ไหมว่าถ้าอยู่กับใครแล้วเราต้องพลัดพรากสูญเสียเป็นธรรมดา (รู้) ถ้ารู้แล้วถึงเวลาสูญเสียทุกข์ไหม (ทุกข์) รู้แต่เลือกที่จะไม่ยอมรับรู้
ทุกครั้งที่ท่านได้มาล้วนต้อง (สูญเสีย) เสียเวลาไหม เสียเงินไหม (เสีย) แล้วได้ไหม (ไม่ได้) หลอกตัวเองว่ารู้ หลอกตัวเองว่าได้ ทั้งที่จริงๆ แล้ว เสียหรือได้ (เสีย) เสียเวลาทั้งชีวิตเพื่อเงิน เงินที่ได้มาก็ไม่เคยอยู่กับเราเลย ถึงที่สุดเราก็ต้องเสียไหม (เสีย) เราไม่ได้อะไร แล้วเราเสียอะไรไหม คิดให้ดีๆ ถึงที่สุดมีเงิน มีความรู้ มีตำแหน่ง มีหน้าที่ มียศถา มีบ้าน มีอะไรมากมาย ถึงเวลาจริงๆ ของใคร รู้ไหม (รู้) รู้แล้วจะทำผิดไหม รู้แล้วจะทุกข์ไหม รู้แล้วจะเหนื่อยแทบตายเพื่อได้มาไหม เมื่อใดที่ท่านยอมรับว่าตัวเองรู้ ท่านจะพบธรรม แต่ถ้าท่านไม่ยอมรับให้ตัวเองรู้ ท่านก็หนีไม่พ้นทุกข์ แล้วหลอกตัวเองให้ทุกข์อยู่ร่ำไป
แล้วท่านเคยได้ยินไหม ถ้าของจะเป็นของเรา ยังไม่ทำอะไรก็ได้มา แต่ถ้าไม่ใช่ของเราทำแทบตาย เจ็บแทบตาย ยังไงเขาก็ไม่อยู่กับเรา เรารู้ไหม (รู้) เราทุกข์เพราะโดนเขาทำร้าย เราทุกข์เพราะเขาสวยกว่า เราทุกข์เพราะเขารวยกว่า เราทุกข์เพราะเขาว่าเรา ทุกข์ไหม (ทุกข์) แล้วรู้ไหมว่าในโลกไม่มีใครไม่โดนว่า ก็รู้ใช่ไหม (ใช่) ผู้หญิงที่หน้าตาสวยๆ รู้ไหมว่าในโลกนี้สวยอย่างไรก็มีคนสวยกว่า ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) ขอถามฝ่ายชาย ท่านมีครบหมดทุกอย่าง บ้าน รถ หน้าตาดี แต่ถึงเวลามีคนที่มีบ้านเยอะกว่า เงินเยอะกว่า หน้าตาดีกว่า แล้วเราทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) และถึงแม้ไม่มีเงิน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ เราทุกข์ไหม (ทุกข์ ) บางคนอวัยวะยังมีไม่ครบสามสิบสองเลย ถ้าเราตรองให้ดีๆ เรารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เราพูดว่าทุกข์ แท้จริงแล้วอาจจะไม่ใช่ทุกข์เมื่อเทียบกับคนที่แย่กว่า ถูกหรือไม่ (ถูก) วันนี้เราโดนเขาว่า ถ้าเทียบกับอีกสองสามวันข้างหน้าเราจะโดนเขาว่าหนักกว่า วันนี้เราคงหัวเราะที่โดนเขาว่าแค่นี้ จริงไหม (จริง) แล้วเราควรทุกข์ไหม (ไม่) ทำอะไรจะไม่มีการโดนว่า เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)
ในโลกนี้มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครดีพร้อม ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีดีและไม่ดีคละเคล้ากันไป คนๆ หนึ่งมีดีบ้างก็ต้องไม่ดีบ้างเป็น (ธรรมดา) สิ่งที่เขากระทำต่อเราเขาก็อาจจะไม่ดีบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร แต่บางทีผ่านไปสองสามวันเขาอาจจะมาทำดีกับเราก็ได้ ใช่ไหม (ใช่) หรือไม่ก็ทำไม่ดีกับเราตลอดชีวิต เช่นนี้เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
สัจธรรมมีอยู่ในทุกชีวิตและมีอยู่ในตัวเรา เราดี เราไม่ดี เรารู้ จริงไหม (จริง) บางทีเราก็โลภจนน่ากลัว บางทีก็ขี้บ่นจนน่าใจหาย บางทีก็เห็นแก่ตัวจนไม่มีใครอยากจะคบหา เรารู้ว่าเราเป็นอะไร เรายอมรับไหม (ยอมรับ) เราขี้เกียจไหม เราชอบเอาเปรียบไหม เราก็รู้อยู่เต็มอก แต่ละคนเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) แต่ก็ไม่อะไรที่ต่างกันจริงไหม (จริง) บางทีเราขยัน เขา ขี้เกียจ บางทีเราขี้เกียจ เขาขยัน แล้วทำไมไปว่าคนอื่นขี้เกียจ ธรรมะจึงสอนว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่รู้ข้างนอก แต่รู้ธรรมที่แท้จริงภายในอันทำให้เราพ้นทุกข์ และความจริงนั้นก็ไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อม อยู่ที่เราย้อนมองและยอมรับธรรมนั้นในตัวเราหรือไม่ ถ้าตามหลักธรรมะก็จะสอนว่า เมื่อเวลาเจอเรื่องราวอะไร จะทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ รู้แล้วว่ามีคนดีและคนไม่ดี คนมีได้ มีเสีย รู้แล้วจะต้องทำอย่างไรต่อ
พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า ทำสิ่งใดก็ตามก็ต้องมีศีล มีศีลก็ต้องมีสมาธิ มีสมาธิแล้วก็จะมีปัญญาเห็นแจ้ง ฉะนั้นเมื่อเจอเรื่องอะไรมา สมมติโดนเขาว่ามา รู้ไหมว่าการถูกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา และช่วงที่เป็นธรรมดานั้นเกิดคิดได้ สงบ นิ่ง ไม่หวั่นไหว ตรวจสอบตนเองแล้วไม่ผิดในศีล ไม่ผิดในธรรม สงบ ไม่หวั่นไหว มีปัญญาเห็นแจ้ง มันเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง การที่โดนเขาว่ามันจบทันทีเลย ไม่เกี่ยวกรรมต่อ ถูกไหม (ถูก) สิ่งที่โดนเขาว่ากลายเป็นพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งที่โดนเขาทำร้ายกลายเป็นตื่นรู้ในความเป็นจริง ที่เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ฉะนั้นปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช่แค่ตื่นรู้ในความเป็นจริงแล้วแค่แสดงออกภายนอก แต่สามารถสงบและจบลงที่ใจด้วยความเป็นปกติ หรือรักษาความเป็นปกติของใจได้ ยากไหม (ไม่ยาก) ทุกครั้งที่ถูกกระทบไม่ว่าจะก่อเกิดเป็นกิเลสหรืออารมณ์ ลองยั้งสติคิดดูว่า สิ่งที่เราโดนกระทบลึกๆ เรารู้ไหม (รู้) ถ้าไม่ยอมมันก็กลายเป็นทุกข์ แต่ถ้ายอมรับ ทุกข์ก็จะแปรเป็นสุขได้ แปรเป็นธรรมะที่เข้าใจความจริงได้
อะไรหนอที่บดบังปัญญาทำให้เราไม่สามารถตื่นรู้ในความเป็นจริง ทั้งที่แท้จริงแล้ว สิ่งต่างๆ นั้นเราก็รู้ ความจริงอันเป็นธรรมดาโลก ถ้าเราหมั่นพิจารณาเสมอ จะทำให้เราไม่ทุกข์ มีอะไรบ้างหนอ พอตอบได้ไหม
(ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง) มีแล้วดีไหม (ไม่ดี) แล้วมีไหม (มี) เรารู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่ทำไมเราจึงไม่สามารถแปรสิ่งที่รู้ กลายเป็นรู้แล้วพ้นทุกข์ได้ นั่นคือสิ่งสำคัญ เราขาดสติไหม เราขาดความเข้าใจในความเป็นจริงอันแจ่มชัดหรือไม่ เราชอบตามอารมณ์มากกว่าตามความเป็นจริงใช่ไหม (ใช่) อะไรที่เป็นความถูกต้องเราไม่เคยตาม อะไรที่เกิดอารมณ์เราวิ่งไปทันที ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นหากมีเรื่องอะไรมากระทบ ก่อนที่จะวิ่งตามอารมณ์ เราลองหยุดสักพักหนึ่ง แล้วลองหันไปมองความจริง ทำอะไรด้วยสติ แล้วลองหันไปมองความจริง เราจะตามอารมณ์ไหม
คนข้างนอกทำให้เราทุกข์หรือเราทำให้ตัวเราทุกข์เอง (เราทำทุกข์เอง) แต่ถึงเวลาเราแก้ที่คนข้างนอกหรือเราแก้ตัวเอง (คนข้างนอก) เรามักบอกให้คนอื่นแก้แล้วก็อ้างว่าตัวเองหวังดีปรารถนาดี ใช่ไหม (ใช่) เราหวังเป็ดให้กลายเป็นหงส์ ได้ไหม (ไม่ได้) เราหวังเป็ดให้ขายาวเหมือน นกกระยางได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น) และอาจจะยังเป็นอยู่ถ้ามีลูกหลาน และอาจจะเป็นอยู่ถ้ายังมีความหวัง ความอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นกลับมาดูให้ชัดว่า อะไรที่บดบังปัญญาทำให้เราไม่สามารถตื่นรู้ในความจริงได้ สิ่งนั้นเริ่มที่นี่ สิ่งนั้นเกิดที่นี่ สิ่งนั้นทุกข์ที่นี่ สิ่งนั้นก็ต้องจบที่นี่ เขาว่าเรา เราทุกข์เพราะเขาว่า หรือเราทุกข์เพราะเราไม่อยากโดนว่า (ทุกข์เพราะไม่อยากโดนว่า) เราทุกข์เพราะเขาหรือทุกข์เพราะความคิดเราเอง เขาว่าเราคำพูดเขาจบแล้ว แต่เรายังเจ็บอยู่ เราเจ็บเพราะเอาความคิดมาเชือดเฉือนเรา และเรารู้ไหมว่าเราเจ็บเพราะความคิด (รู้) แล้วแก้โดยไปไหว้พระเก้าวัด หายไหม (ไม่หาย) ไปบนร้อยวัด หายไหม (ไม่หาย) จะหายต้องแก้ที่ตัวเราเอง จริงไหม (จริง)
ชีวิตทุกชีวิตเกิดมาได้เพราะความรู้ ความคิด ความเข้าใจ ก่อเกิดเป็นตัวตน ตัวตนคือผลิตภัณฑ์ของความคิด ความรู้ ความเข้าใจและตัวเราเป็นผู้ผลิตความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเรามีชีวิตอยู่ เราไม่คิดตีกรอบชีวิตเรา อะไรเราก็ยอมรับ อะไรเราก็ยอมได้ เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) แต่โดยส่วนใหญ่คำว่าตัวตนของมนุษย์ทุกคน มักตีกรอบว่า จนไม่ได้ ทุกข์ไม่ได้ ด่าไม่ได้ แพ้ไม่ได้และทำไมต้องให้คนอื่นก่อน เมื่อคิดแบบนี้ก็ทุกข์ แค่คิดว่าโดนว่าไม่ได้ ให้ไม่ได้ ก็เห็นแก่ตัวแล้ว แค่คิดว่า ต่อว่าไม่ได้ ยอมไม่ได้ ก็แล้งน้ำใจแล้ว และในความคิดนี้เมื่อฝังอยู่ในตัวเรา เมื่อฝังแล้วด่าเมื่อไหร่ก็เจ็บ และเมื่ออยู่ในตัวเราแล้วว่าอย่างไรก็ทุกข์ แต่ถ้าตัวเราไม่มีความคิดนี้ ด่าได้ไม่เป็นไร ทุกข์ได้ไม่เป็นไร สูญเสียได้เป็นธรรมดา เราจะทุกข์ไหม สิ่งที่ทำให้เราไม่เห็นความจริงและไม่สามารถตื่นรู้ในธรรมะได้ คือความคิดที่ตีกรอบปิดบังความจริง ไม่ใช่ผู้อื่นทำให้เราทุกข์ รักแล้วต้องรักเลย รักแล้วห้ามจากไป ตัวเรากำหนดเอง แล้วเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) ได้แล้วต้องมีแต่ได้ แล้วก็ต้องได้อีก ห้ามสูญเสีย ห้ามขาดทุน เป็นไปได้หรือ (ไม่ได้) แล้วใครเป็นผู้กำหนด (ตัวเรา) ฉันต้องสวย ฉันต้องเลิศเลอ ฉันต้องดีงาม เป็นไปได้หรือ ฉะนั้นอย่าลืมหันไปมองความจริงบ้าง อย่าเอาแต่ตามใจตัวเอง เพราะการตามใจตัวเองและปลูกฝังความคิดการตามใจตัวเอง ผลที่สุดคือ หนีไม่พ้นทุกข์ และน่ากลัวที่สุดคือ วิบากกรรมที่ทำให้หนีไม่พ้นอบายภูมิ แต่การเรียนรู้ที่จะยืนอยู่บนความจริง ผลที่สุดคือกลับคืนสู่สภาวธรรมและพ้นทุกข์นิจนิรันดร์
หนึ่งชีวิตที่ยังมีลมหายใจ ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสิ้นทุกข์ และสิ้นกรรม อยู่เพื่อใช้กรรมเก่าไม่สร้างกรรมใหม่ ฉะนั้นอยากให้ดี ตามความคิดหรือตามความถูกต้อง (ความถูกต้อง) มองอย่างคนเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ตีกรอบคับแคบ หรือเปิดใจกว้าง (เปิดใจกว้าง) กล้ายอมรับความจริงไหม (กล้า) เรียนรู้ธรรมไม่ใช่เพียงแค่เป็นคนดี แต่แก่นหลักของการเรียนรู้ธรรมคือ นำพาตัวเองตื่นรู้แล้วพ้นทุกข์ด้วยธรรมในใจตน ไม่มีใครฉุดเราขึ้นจากความทุกข์ได้นอกจากตัวเอง ไม่มีใครปลุกให้เราเข้มแข็งได้นอกจากหัวใจเราเอง หัวใจที่เข้าใจความเป็นจริง อยากเข้าใจคนอื่น แต่ไม่เข้าใจตัวเองก็เปล่าประโยชน์ อยากจะเป็นแบบคนอื่น แต่ยังไม่เข้าใจแบบที่ตัวเองเป็นก็ น่าเสียดาย เกิดเป็นคนอย่าลืมรากเหง้าของตนเอง เรามีรากเหง้าเหมือนกันคือธรรมะ และถึงที่สุดเราก็ต้องกลับสู่ธรรมะ ถ้าเราเอาแต่ยึดตัวตน ก็หนีไม่พ้นเวรกรรม แต่ถ้าเราสามารถวางตัวตนได้กลับคืนสู่สภาวธรรมได้ นั่นเรียกว่าพระนิพพาน ไม่ยากเลยนะ แค่เราไม่ยอมรู้ใจตัวเอง ไม่ยอมรู้ธรรมในใจตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
ไม่มีบุญก็คงไม่ได้มาเจอกัน เวลาเจอใคร อยากให้เป็นบุญหรือเป็นกรรมร่วมกัน (เป็นบุญ) อยู่ที่ตัวเราเองไม่ใช่อยู่ที่คำพูด จริงไหม (จริง) เวลาเจอใครว่า เราอยากให้สิ้นบุญหรือว่าอยากให้สิ้นกรรม (สิ้นกรรม) อย่างนั้นเขาต่อว่าเราก็โต้ตอบเลย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) ไตร่ตรองให้ดี เราเจอเขาแต่ทำไมคนอื่นไม่เจอเขา เพราะมีกรรมร่วมกันมา รู้ไหม (รู้) แล้วจะอยากมีกรรมต่อไหม (ไม่อยาก) ถ้าอยู่กันอย่างมีธรรมเราก็จบกรรม แต่ถ้าอยู่กันอย่างมีกรรม เราก็ไม่มีวันสิ้นเวรกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เราคงมาผูกบุญกับท่านสั้นๆ เพียงแค่นี้ รักษาโอกาสและเวลาของชีวิตให้ดี อย่ามัวผัดวันประกันพรุ่งทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะไม่มีใครรู้วันพรุ่งนี้ ถ้าไม่อยากเจ็บปวดและทุกข์เพราะการสูญเสีย รักษาเวลาตอนนี้ให้ดีที่สุด อยู่กับเขาอย่างมีความสุขที่สุด อยู่อย่างคนมีบุญร่วมกัน มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก
วันอาทิตย์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒ สถานธรรมหมิงเอิน เพชรบูรณ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อันหลักธรรมแก่นแท้มีหนึ่งเดียว จงขับเคี่ยวตนเองดั่งน้ำงวด
ไม่ต้องสนใครเป็นเพชรใครเป็นกรวด คนยิ่งยวดเมื่อเข้าถึงสภาวธรรม
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงเอิน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนยังคงสบายดีไหม
ลึกลับเพราะไม่เรียนรู้ อะไรนั้นคือธรรมะจริงจริง ใช้เดาแบบนี้เพราะไม่รู้จริง เมื่อขวัญมินิ่ง อย่างไรจะศึกษา
แพ้นี้เพราะไม่อยากแพ้ อ่อนแอกว่าคนยอมแพ้ชินชา ถ้าเรียนรู้เห็นเพี้ยนหลอกสายตา ชอบฟังดีกว่า กำไรธรรมะกว่าเดิม
*หลักในวันนี้ ธรรมะดีดี อย่าละทิ้งการศึกษา จิตใจเท่านั้นกลับคืนฟ้ามา ธรรมที่อรรถาครบถ้วนเพราะทำ
**ลี้ลับเพราะไม่ศึกษา ศรัทธาแบบงมงายไร้วันตื่น ชอบปาฏิหาริย์ เพ้อฝันทั้งคืน แม้ลืมตาตื่น ศิษย์รักหลงทางเรื่อยไป (ซ้ำ *,**)
**แพ้นี้เพราะไม่อยากแพ้ อ่อนแอกว่าคนยอมแพ้ชินชา ถ้าเรียนรู้เห็น เพี้ยนหลอกสายตา ชอบฟังดีกว่า กำไรธรรมะกว่าเดิม (ซ้ำ *,**)
ทำนองเพลง : คิดถึงฉันบ้างคืนนี้
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อย่าปล่อยให้จิตมัวหมองเพราะกิเลสตัณหาในใจเรา ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่สามารถรักษาจิตให้บริสุทธิ์ได้ แต่อย่าปล่อยให้มันมัวหมองไปเพราะความหลง ความโลภ ความไม่เที่ยง ศิษย์บริสุทธิ์ได้ แล้วทำไมไม่รักษาให้มันแกร่งดั่งเพชร
อยากมีชีวิตอิ่มเอิบก็ยิ้มเข้าไว้ ทุกข์อย่างไรก็ต้องยิ้มเพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเอง มีแต่รอยยิ้มที่ช่วยปลอบใจเราได้ดีที่สุด ถ้าเรื่องที่แย่ที่สุด เรื่องที่ทุกข์ที่สุด เรื่องที่เจ็บปวดที่สุด เรายังยิ้มได้ เรายังสู้ไหว จะมีอะไรน่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือใจตัวเอง ใช่หรือไม่
อย่ากลัวความจน อย่ากลัวลำบาก แต่ควรกลัวใจที่ไม่ยอมสู้กับความจน ใจที่ไม่สามารถเอาชนะความลำบากได้ อย่ากลัวคนอื่นดูถูก แต่ควรที่จะกลัวใจตัวเองที่ชอบดูถูกตัวเอง อย่าไปกลัวคนอื่นกดขี่ข่มเหง แต่ควรที่จะกลัวใจตัวเองที่ชอบกดตัวเองให้ไร้ค่า อย่าดูถูกคุณค่าตัวเองถ้าศิษย์อยากจะเป็นคนที่น่ารัก นอกจากยิ้มเก่งแล้วอย่าเป็นคนยกตนข่มท่าน อย่าเป็นคนที่ชอบเอาใจตัวเองเป็นเกณฑ์แล้วตัดสินคนอื่นว่าคนอื่นผิด ตัวเองถูก สิ่งที่ไม่ชอบอย่าไปทำกับคนอื่น สิ่งที่เราไม่อยากได้ก็อย่าไปทำกับคนอื่น
พระพุทธะสอนให้เราไม่ใช่เป็นคนดีอย่างเดียว แต่เป็นคนดีแล้วต้องมีปัญญา ไม่ใช่เป็นคนดีที่ไร้ปัญญา การเรียนรู้ธรรมสอนให้เราทำอะไรอยู่บนโลกแล้วต้องรู้จักใช้ปัญญาให้เป็น อย่าเอาแต่เชื่ออย่างงมงาย อย่าเอาแต่เชื่ออย่างที่เขาว่าตามกันมาแล้วเราก็ทำตามไป แต่เราต้องมีปัญญาด้วย ทุกเรื่องราวต้องเอามาทำให้เราสูงขึ้น ไม่ใช่กดเราต่ำเตี้ยลง นี่ถึงจะเรียกว่าคนมีปัญญา แล้วทุกวันนี้ชีวิตเรายกให้ตัวเองสูงขึ้นหรือต่ำลง เอาเรื่องราวมาทำให้ตัวเองดีขึ้นหรือแย่ลง
ถามศิษย์รักทุกคนยังคงสบายดีไหม (สบายดี) บางทีคำว่าสบายดีของชีวิตแต่ละคนไม่ใช่ออกมาง่ายๆ จะพูดคำว่าสบายดีได้ก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะสบายจริงๆ ไหม ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เอ๋ย ไม่มีที่พึ่งไหนประเสริฐที่สุดเท่ากับที่พึ่งของคนที่รู้จักมีปัญญาปัญญาที่เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตตัวเอง ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์เข้าใจชีวิตตัวเอง โลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัว รู้จักผู้อื่นไม่มีประโยชน์เท่ารู้จักใจตัวเอง และพื้นฐานของการเข้าใจชีวิตตัวเอง ก็เมื่อเจอเรื่องราวอะไร หันกลับมาย้อนดูตัวเอง และรักษาความสมดุลให้ได้
คนเมื่อยามทุกข์ คนเมื่อยามเจ็บ เรียกว่า คนเสียศูนย์ แต่ธรรมะคือความสมดุลอันเป็นกลางและเป็นจริง ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่ศิษย์ทุกข์เพราะเสียศูนย์ ก็ต้องเอาธรรมะมาช่วยยั้งให้กลับมาสมดุลและเข้าใจความจริงอันเป็นกลางความเป็นจริงอันสมดุลทำให้เราอยู่ตรงกลางได้อย่างสงบสุข ถ้าเมื่อไรที่มองคนอื่นมากจนเจ็บปวด ลองลดการมองคนอื่นแล้วหันมามองตัวเองว่าดีกว่าเขาแล้วหรือยัง เมื่อไรที่ทุกข์มากๆ ลองมองให้ดีว่า มีทุกข์แล้วไม่มีสุขเลยจริงหรือ เมื่อไรที่มนุษย์หาความสมดุลในชีวิตได้ เมื่อนั้นเราจะไม่ทุกข์ แต่เราจะอยู่อย่างคนกลมกลืน สอดคล้องในธรรม
เมื่อพูดถึงเรื่องธรรมะศิษย์มักบอกว่าไกลเกินตัว เพราะตายแล้วก็จบกัน ธรรมะก็ไม่ต้องสนใจ ผิดชอบชั่วดีก็ไม่ต้องกังวล ตายแล้วจบไหม (ไม่จบ) ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า การกระทำวันนี้จะเป็นตัวกำหนดอนาคต อนาคตจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำวันนี้ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
โดยส่วนใหญ่มนุษย์เราทุกคนจำสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดีแม่นกว่ากัน (สิ่งที่ไม่ดี) ใครทำดีจำได้ไหม (ไม่ได้) ใครทำไม่ดีจำได้ไหม (จำได้) อย่าบอกว่าเวรกรรมไม่มีจริง เมื่อไรที่มนุษย์จำสิ่งที่ร้ายได้มากกว่าสิ่งที่ดี โอกาสที่มนุษย์จะผูกเวรจองกรรมก็เป็นเรื่องง่าย และโอกาสที่เราจะแก้แค้นก็เป็นเรื่องง่าย ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถ้าตอนเกิดยังไม่สิ้นทุกข์ ตอนตายก็ไม่มีวันสิ้นทุกข์ตอนเกิดยังเต็มไปด้วยความโลภ ความเศร้า กิเลสเต็มตัวไปหมด ตอนตายจะสิ้นทุกข์ไหม (ไม่) มีแต่ต้องสิ้นทุกข์ก่อนตาย ตายไปถึงจะหมดทุกข์ แล้วเราสิ้นทุกข์หรือยัง หมดทุกข์หรือยัง (ยัง)
อย่างนั้นเราควรจะทำอะไรเผื่อก่อนตายไหม (ความดี) ถ้าชีวิตต้องมีเวรกรรมที่ต้องชดใช้ เราควรจะทำอะไรเพื่อที่จะทำให้ตัวเองไม่ต้องกลับมาชดใช้ดีไหม (ดี) แล้วถ้าชีวิตหนึ่งเผื่อสิ้นทุกข์ได้ แล้วทำไมเราไม่ลองทำดูบ้าง แล้วเราคิดว่าเราสิ้นทุกข์ได้ไหม (ได้) อยากจะอยู่ในโลกให้สิ้นทุกข์ได้ เราต้องมองทุกอย่างในโลกอย่างที่คนมองแล้วเห็นชัด แล้วทำให้เราไม่เจ็บปวดได้เลย ถึงจะเรียกว่าคนที่สามารถเข้าใจชีวิต มีแฟนเราก็ทุกข์ มีเงินก็ทุกข์ มีเสื้อผ้าก็ทุกข์ มีรองเท้าก็ยังทุกข์ มีผมดำแล้วกลายเป็นผมขาวทุกข์ไหม (ทุกข์) แล้วมีอะไรที่ไม่ทำให้ทุกข์มีบ้างไหม (ไม่มี) มีเงินแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์) ธรรมง่ายๆ มีเหมือนไม่มี แต่เรามีแล้วเหมือนไม่มีไหม มีเงินอยู่ในธนาคารหนึ่งหมื่นบาทถามว่ามีไหม (ไม่มี) เพราะถ้ามีแล้วจะเอาอีกไหม (ไม่เอา) แต่บอกว่าไม่มีทุกทีทั้งที่จริงๆ มีใช่ไหม (ใช่) แล้วทุกข์เพราะมีหรือไม่มี (มี) ฉะนั้น ถ้ามีแล้วทุกข์ก็คิดว่ามีก็เหมือนไม่มี มีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกมีได้ ถ้าใจยังไม่พอ ถ้าใจยังไม่สุข ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกอย่างมีความสุข จงคิดว่า ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว ดีแค่นี้ก็ดีแล้ว ส่วนที่เหลือจะได้หรือไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร รักษาความสมดุล มีก็เหมือนไม่มี ไม่มีก็เหมือนมี ฉะนั้นอย่าลืมความสมดุลของจิตใจ อย่าคิดว่าตัวเองขาดแคลน จนลืมว่าตัวเรามี อย่าคิดว่าตัวเองมีจนขาดแคลนไม่ได้ ไม่เช่นนั้นศิษย์จะทุกข์ใจเพราะตัวเองที่ถูกความคิดครอบงำ ตายเพราะความคิดตัวเอง ทำไมฉันยังไม่มี ทั้งที่จริงแล้วถ้าเทียบกับคนอื่น ก็เรียกว่ามีแล้วนะ
มนุษย์มีทุกข์กับสิ่งที่มี และทุกข์กับสิ่งที่ไม่มี อะไรที่ทำให้เราเห็นว่ามีแล้วทุกข์ ก็หลับตาแล้วคิดว่า มีก็เหมือนไม่มี เหมือนอะไรที่เห็นมาก รู้มาก เจ็บไหม (เจ็บ) แล้วศิษย์เคยคิดไหมว่า สิ่งที่เห็นสิ่งที่รู้ จริงๆ แล้วศิษย์ยังไม่เห็น ไม่รู้ รู้จักสามีมาก็นานแล้ว ทำไมสามีถึงทำกับเราอย่างนี้ จริงไหม (จริง) สามีเองก็รู้จักภรรยา แต่ถึงเวลาภรรยากับสามีต่างก็ทำอะไรที่ทำให้คาดไม่ถึงได้เหมือนกัน จริงไหม (จริง) แล้วชีวิตที่เราคิดว่าเรารู้ชัด เห็นชัด คนที่เรารู้จักเขาดี ทำอะไรที่เราไม่คาคคิดได้ไหม (ได้) แล้วชีวิตสามารถพลิกจนเรานึกไม่ถึง เป็นไปได้ไหม แล้วทำไมไม่เผื่อใจบ้าง เวลาชีวิตเจอทางตันจะได้มีสติ ว่าชีวิตมันเกิดอะไรขึ้นก็ได้ ขึ้นชื่อว่าชีวิต อะไรมันก็เปลี่ยนได้ ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์รู้บางครั้งก็อาจจะ (ไม่รู้) สิ่งที่ศิษย์เข้าใจ บางครั้งศิษย์ก็อาจจะ (ไม่เข้าใจ) เพื่อรักษา (ความสมดุล) และกลับคืนสู่สภาวธรรมอันเป็นปกติ เมื่อไหร่ที่จิตรักษาความเป็นปกติได้ นั่นคือการดำเนินชีวิตอย่างสอดคล้องกลมกลืนกับความแตกต่างที่เรียกว่า สภาวะคู่
โลกนี้มีภาวะคู่ มีดำก็มี (ขาว) มีดีก็มี (ชั่ว) มีทุกข์ก็มี (สุข) มีล้มเหลวก็มี (สำเร็จ) ฉะนั้นเวลาทำอะไรหวังแต่สำเร็จไม่ให้ล้มเหลว ได้ไหม (ไม่ได้) เมื่อไหร่ที่คิดอย่างนั้นศิษย์กำลังจะทำให้ตัวเองเสียศูนย์ในความเป็นจริง และหลงลืมความเป็นจริงที่เรียกว่า สภาวธรรมอันเป็นกลาง
ศิษย์เอ๋ย เกิดมาทั้งทีอย่าอกหักแล้วตาย อย่าจนแล้วฆ่าตัวตาย อย่าล้มละลายแล้วผูกคอตาย น่าเสียดาย จริงไหม (จริง) เอาให้อกหัก ล้มละลาย ยากจน ชดใช้ให้ครบ ก่อนจะตายถ้ายังไม่ครบอย่าเพิ่งตาย ให้รู้หมดทุกรสชาติ จะได้เกิดมาไม่เสียเปล่า ยากจนก็เคย ล้มละลายก็เคย แล้วตอนนี้ยังยืนอยู่ได้ น่าภูมิใจนะ การเกิดเป็นคน ประเสริฐที่สุด สามารถทำบุญสร้างกุศลได้ สามารถทำให้ถึงคำว่า “มรรคผลพระนิพพาน” ได้ ฉะนั้นอย่าดูเบาตัวเอง ถึงแม้จะผ่านมาครึ่งชีวิตแล้ว ถ้าเราทุกข์แล้วจะทำอย่างไรที่ทำให้เราพ้นทุกข์ได้ ทำได้ด้วยการเอาธรรมะมาใช้ (รู้ทันใจตัวเอง, ความเป็นจริงของชีวิต, การยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรา)
(พระอาจารย์เมตตาหยิบลูกทับทิมขึ้นมาเป็นตัวอย่าง)
ศิษย์เคยใช้อะไรอย่างหนึ่งมาทำให้เห็นในใจตัวเองไหม เห็นสิ่งหนึ่งแล้วสะท้อนเห็นอีกสิ่งหนึ่ง
เห็นสิ่งหนึ่งแล้วสะท้อนตัวตนและเห็นสิ่งหนึ่ง เห็นมากกว่าเห็น เหมือนเราเห็นทับทิมลูกหนึ่งเราสามารถเห็นได้ถึงความทุกข์ยากลำบากกว่าจะปลูกอันนี้มาได้ เราเห็นถึงน้ำตา เห็นถึงการสูญเสีย เห็นถึงการหลอกลวง เห็นทั้งหยาดเหงื่อแรงงาน เรามองเห็นไหม (เห็น) แต่ชีวิตมนุษย์มักไม่เห็นในสิ่งที่ควรจะเห็น แต่เห็นเฉพาะสิ่งที่ตัวเองอยากเห็น ถ้าอาจารย์ถามว่ากินทับทิมอันนี้อร่อยไหมก็น่าจะอร่อย แต่คำว่าน่าจะอร่อยมันมีไม่อร่อยไหม (มี) ฉะนั้นถ้าเราซื้อแล้วเราคาดหวังว่ามันจะอร่อย แล้วก็ยึดติดว่ามันจะอร่อย คนที่ยึดติดและคาดหวังก็คือคนที่สร้างกรอบให้ตัวเองทุกข์โดยง่าย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ศิษย์รู้ว่าอันนี้มันคือทุกข์ แล้วเราเห็นชัด แล้วเราไม่เป็นทุกข์กับมัน เราแค่เห็น แล้วไม่เอามาใส่ใจ จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) แต่ทุกครั้งที่เวลาทุกข์มา เราหยิบมาใส่ใจทันที “ฉะนั้นถ้าอยากจะพ้นทุกข์ เมื่อไรที่รู้ว่าเป็นทุกข์ จงมีสติยั้งคิด จงมีธรรมะยั้งใจว่าเราจะเป็นแค่ผู้เห็น แต่ไม่ไปเป็น” ธรรมะนี้เป็นธรรมะขั้นสูงนะ เพราะต้องฝึกที่จิตใจตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก) อาจารย์ยังไม่เห็นใครทำได้อย่างนี้ จริงไหม (จริง) ศิษย์เคยไหม ถ้าตอนนี้เราเห็นมันเป็นทุกข์และเราเห็นใจตัวเราเองด้วย ประเมินใจตัวเองได้ ไม่ไหวแน่ ไม่รับ ไม่เอา แล้วเราหยุดทุกข์ได้ไหม (ได้)
ศิษย์ส่วนใหญ่ใครโกรธมาก็โกรธกลับ ใครด่ามาก็ด่ากลับ แรงมาก็แรงกลับ อาจารย์จะบอกว่า ผู้เข้าถึงธรรมจะสามารถทั้งเห็นและไม่เห็น จะเห็นทั้งข้างนอกและสามารถสะท้อนถึงข้างใน นั่นเรียกว่า ฝึกฝนบำเพ็ญจนเกิดปัญญา อะไรก็ลวงให้หลงไม่ได้อีกต่อไป ยากไหม (ไม่ยาก) แต่เมื่อไรจะทำสักที ตกเป็นทาสของความคิดทุกที ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ฉะนั้นถ้าอยู่ในโลกไม่ให้เป็นทุกข์นะศิษย์ ทั้งอยากและไม่อยาก เผื่อใจไว้ศิษย์ รักษาสมดุลในใจไว้ ได้ไม่ได้ ไม่เป็นไร ดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ ฉันเข้าใจตัวเองว่า ฉันไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรมก็พอ ส่วนใครจะว่าอย่างไรก็เรื่องของเขา เราถูกต้องเป็นพอ จริงไหม (จริง) สิ่งที่มันธรรมดา มันกลายเป็นสิ่งที่อยากและไม่อยากได้ด้วยหัวใจของมนุษย์ กินแล้วสุขมากเท่าไร ก็ทุกข์มากเท่านั้น จริงไหม (จริง) แล้วชีวิตนี้มีอะไรบ้าง ที่สุขแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)
อะไรในโลกที่ศิษย์มีสุขมากแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี) ตัวเราสุขมากเท่าไหร่ ตัวเราก็เจ็บมากเท่านั้น เรารักสามีมากเท่าไรก็เจ็บมากเท่านั้น เงินทองหามาเหนื่อยแทบตาย ยิ่งหามากก็ยิ่งเจ็บมาก แล้วเอาไหม (เอา) สิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกข์มีอยู่ไม่กี่อย่าง อย่างแรกคือทุกข์จากความเป็นจริงที่ใครๆ ก็หนีไม่พ้น ใครหนีความแก่ หนีเจ็บ หนีความตายได้ไหม (ไม่ได้)
ฉะนั้นควรดีใจกับความเป็นจริง (แก่,เจ็บ,ตาย) เพราะเมื่อไรที่จิตไม่ยึดมั่นถือมั่นในความแก่ เจ็บ ตาย เมื่อความแก่เจ็บตายมาถึงจะได้ไม่ทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรใจเราตีกรอบ อย่าแก่ พอแค่โดนทักหน่อยว่าแก่แล้ว พูดอย่างนี้ได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ความทุกข์ทีศิษย์เป็นคนสร้างแล้วตีกรอบให้ตัวเองยิ่งทุกข์นั่นคือ “ห้ามทุกข์ ห้ามล้มเหลว ห้ามโดนด่า ห้ามอกหัก” เป็นทุกข์ที่ศิษย์เป็นคนกำหนดเอง ตีกรอบยึดมั่นว่าห้ามทั้งที่จริงๆ แล้วห้ามได้ไหม (ไม่ได้) แล้วในใจเรามีสิ่งนี้อยู่ไหม (มี) แล้วห้ามได้ไหม (ไม่ได้) อย่างนั้นแล้วควรจะมีไหม (ไม่ควร) ฉะนั้นวิธีแก้ที่ดีที่สุดที่เราจะพยายาม ศิษย์รู้ไหมสิ่งที่ทำให้ศิษย์ทุกข์ก็คือ ความคิดที่ครอบงำชีวิต เมื่อไรที่ปล่อยให้ความคิดครอบงำชีวิต มนุษย์จะไม่สามารถเข้าถึงปัญญาที่เห็นแจ้งในธรรมได้ ดั่งเช่นเวลาที่เราตีกรอบว่า “ธรรมะ ต้องเป็นพระภิกษุพูดเท่านั้น” ถ้าคิดแค่นี้ศิษย์ก็จะฟังใครที่พูดธรรมะไม่ได้ “ธรรมะต้องอยู่ในวัดเท่านั้น” ฉะนั้นข้างนอกไม่ใช่ธรรมะหรือ เหมือนกันถ้าชีวิตเราตีกรอบความคิดว่า ฉันต้องสุข ห้ามทุกข์ ฉันต้องดีห้ามร้าย ฉันต้องสำเร็จห้ามล้มเหลว คิดแบบนี้ก็ทุกข์แล้ว ฉะนั้นถ้าเราอยากมีชีวิตที่เข้าใจความจริง ศิษย์ต้องล้างความคิดนี้ออกจากใจ เพราะถ้าล้างไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็ทุกข์
แม้ฟังพระเทศน์หรือแม้แต่พระพุทธองค์ลงมาโปรดศิษย์ก็ทุกข์ เพราะศิษย์อยากมีสุขอย่างเดียว ไม่เข้าใจความทุกข์ ในทุกข์ที่สุดในผิดหวังที่สุด ไม่มีความสำเร็จไม่มีความสุขหรือ (มี) ยามที่ศิษย์อ่อนแอที่สุด มีความเข้มแข็งไหม (มี) ในวันที่เราเจ็บปวดที่สุด ไม่มีเรื่องดีๆ ให้เราเห็นบ้างหรือ (มี) แล้วเราลุกขึ้นมายืนกับความเป็นจริงนั้นไม่ได้หรือ ถ้าศิษย์อยากไม่ทุกข์ ศิษย์ต้องระวังความคิดที่มาครอบงำจิตใจศิษย์ เหมือนที่ศิษย์มองอาจารย์แล้วคิดว่า นี่คือพระอาจารย์จริงหรือเปล่า หลอกกันหรือเปล่า หากคิดเช่นนี้ตลอดก็ฟังอาจารย์ไม่เข้าใจ เพราะความคิดอยู่ข้างใน มองใครก็มองไม่รู้ ฟังใครก็ฟังไม่ชัด
มีทุกข์อีกอย่างหนึ่งที่น่ากลัว และทำให้เราหนีไม่พ้นเวรกรรม นั่นคือ ทุกข์ที่เกิดจากกิเลส ตัณหา ความโลภหลง
ศิษย์จำไว้นะ โลภ โกรธ หลง หนีไม่พ้นคือ ทุกข์ บาป เวรกรรม และวิบากกรรมที่ต้องรับ เมื่อไหร่ที่ศิษย์ตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ศิษย์จะหนีไม่พ้นเวรกรรมที่ศิษย์ต้องชดใช้ เมื่อไหร่ที่ศิษย์ตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง จนลืมซึ่งคุณธรรมความดี ศิษย์จะหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ศิษย์จะต้องกลับไปแบกรับ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราจะทำอย่างไรละ ที่จะแก้ไข โลภ โกรธ หลง นี้ได้ เราไม่เคยจัดการมันได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) โลภ โกรธ หลง ใครเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา (ตัวเราเอง) แล้วโรงงานที่ผลิตโลภ โกรธ หลงคือใคร (ตัวเราเอง) เช่นนั้นเราควรทำลายโรงงาน หรือควรทำลายโลภ โกรธ หลง (โลภ โกรธ หลง) พระพุทธองค์จึงกล่าวไว้ว่า เราไม่สามารถทำลายกิเลสได้ ถ้าโรงงานผลิตกิเลสยังคงสร้างอยู่ไม่จบสิ้น แก้กันมาเป็นสิบปีก็ยังแก้ไม่ได้ จริงไหม (จริง) เห็นอะไรก็อยากได้ เห็นตัวเองก็อดหลงตัวเองไม่ได้ (เป็น) เห็นใครไม่ดีก็อดโมโหโทโสไม่ได้ แต่ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถ้าเราสามารถเข้าใจอะไรจนชัด เห็นอะไรจนมันแจ่มแจ้งแล้ว เรายังอยากจะได้มันอีกไหม (ไม่) ถ้าสิ่งที่ศิษย์จะได้ มันทั้งทุกข์ ทั้งเจ็บ ทั้งพลัดพราก ทั้งทำให้เราสูญเสียความเป็นคน หรือทำให้เราสูญเสียชีวิตได้ เราจะมีมันไหม (ไม่มี) จะเอาไหม (ไม่เอา) แล้วถึงเวลาเอาไหม (เอา) แปลว่าเรายังเห็นไม่ชัดใช่ไหม (ใช่) ถ้ามีเงินแล้วมันเจ็บเพราะเงิน จะมีไหม (ไม่มี) ถ้าอยากมีเงิน มีแล้วมันทำให้เราผิดศีล ไม่มีก็ได้ ความอยากนั้นก็จะไม่ฆ่าเรา แล้วส่งผลให้เราต้องทุกข์ ถ้ามีเงินแล้วทำให้เราขาดความเป็นคน ขาดคุณธรรมความเป็นคน มีน้อยหน่อยก็ได้ ดีไหม (ดี) ถ้ามีเงินแล้วมันทำให้เราต้องทุกข์จนหาที่สิ้นสุดทุกข์ไม่เจอ ก็ควรพอเท่านี้ เราจะหยุดโลภทันทีเลยจริงไหม แต่ถึงเวลาพอมีเงิน เรามักไม่สนใจศีลธรรม ศิษย์เอ๋ย ธรรมะที่เราเรียนรู้ ศีลมีไว้เพื่อไม่ประพฤติผิด ธรรมมีไว้เพื่อดำรงตนให้มีคุณค่า สร้างคุณค่าให้กับตัวเองในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ส่วนการรู้แจ้งในธรรมเพื่อนำพาให้เราพ้นทุกข์และไม่ตกเป็นทาสของความทุกข์ หรือไม่ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา เข้าใจไหม (เข้าใจ) ฉะนั้นถ้าดำรงชีวิตครองในศีล ไม่เบียดเบียนใคร ความโลภนั้นจะทำให้เราทำบาปไหม (ไม่) ถ้าดำรงชีวิตครองในคุณธรรม จะมีเมตตาธรรม มีมโนธรรมสำนึก เราจะโกงใครไหม (ไม่) เราจะเบียดเบียนใคร เราจะฉ้อฉลไหม (ไม่) แล้วทุกครั้งที่เราตกเป็นทาสของกิเลส เรามีศีลไหม (ไม่มี) เรามีธรรมไหม (ไม่มี) แล้วเรานึกถึงความเป็นจริงไหม (ไม่) มันก็เจ๊งไปตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว จริงไหม
ฉะนั้นถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องทุกข์ แล้วเวียนไปในวัฏจักรแห่งกรรมที่เรียกว่า “ตัวตนเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งมวล” หรือเรียกอีกอย่างว่า มนุษย์เป็นผู้สร้างและก็เป็นผู้ทำลายทุกอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์เป็นตัวตนของผลผลิตกรรมที่เราสร้าง อนาคตจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับวันนี้เราทำสิ่งใด ฉะนั้นเมื่อยังมีกรรมก็ต้องเวียนไม่สิ้น เพื่อรับผลกรรม แต่ถ้าเรามีวิถีทางหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเรามีโอกาสที่จะทำให้กรรมมันสิ้น แล้วกลับคืนสู่สภาวธรรม โดยที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก เราสนใจไหม (สนใจ) และเราคิดว่าเราทำได้ไหม (ทำได้) เหมือนเวลาที่เรารู้กันโดยส่วนใหญ่ว่า เราเกิดมาเพราะเรามีกรรม ฉะนั้นเมื่อไรที่เราสิ้นกรรม เราก็จะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเรายังสร้างกรรมอยู่เราก็จะเวียนว่ายไม่จบสิ้น ถูกหรือไม่ (ถูก) อาจารย์ถามศิษย์นะ ถ้าเราไปตีเขาเบาๆ ครั้งหนึ่ง เวลาเขาเอาคืนเขาตีเราคืนเบาๆ ไหม (ไม่) เขาจะตีเราแบบไหน (ตีแรงมากกว่าเราตี) ถ้าเราด่าเขาว่า ไอ้โง่ แล้วเขาจะด่าเราคืนว่า ไอ้โง่ เหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) แต่จะด่ามากกว่านั้น ใช่ไหม (ใช่) เราจะเจ็บกว่าเราด่าเขาไหม (เจ็บกว่า) แล้วที่ศิษย์ไปเอาของเขามาทั้งชีวิต แล้วที่ศิษย์ไปโกงเขามาทั้งชีวิต ไปเบียดเบียนเขาทั้งชีวิต ทั้งพรากลูก พรากแม่ พรากพ่อเขา เขาจะไม่เอาคืนเจ็บกว่าหรือ และเมื่อกรรมนั้นตกผล ตอนนั้นศิษย์จะร้องขออะไร ขอให้ธรรมะช่วยหรือ ในเมื่อตอนมีธรรมะไม่คิดอยากจะมี แล้วพอมีกรรมถึงอยากจะมีธรรมะ ทันไหม (ไม่ทัน)
ควรจะยั้งก่อนมี หรือมีแล้วค่อยมีธรรม (ยั้งก่อนมี) แล้วถึงเวลาเรามีธรรมหรือเราสร้างกรรม (สร้างกรรม) ศิษย์จำไว้นะ เมื่อไรที่ศิษย์ทำอะไรขาดศีลจะตกเป็นทาสของการสร้างกรรม เมื่อศิษย์ทำอะไรศิษย์ขาดคุณธรรม ศิษย์จะหนีไม่พ้นเวรกรรม ฉะนั้น พระพุทธะจึงสอนให้เราเกิดเป็นคน ศีลมีไว้เพื่อละบาป ธรรมมีไว้เพื่อประพฤติความเป็นคนให้ถูกต้องและสมบูรณ์แบบ ที่คนเขายกย่องว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐ ประเสริฐเพราะคุณธรรม ผู้ใดมีธรรมผู้นั้นมีคุณอันประเสริฐ ฉะนั้น ถึงศิษย์จะทำดีแค่ไหน แต่ถ้าบาปศิษย์ไม่ละ ศิษย์ก็ยังหาเป็นคนดีไม่ ถึงศิษย์จะทำบุญมากขนาดไหนแต่ใจนั้นยังแอบเคลือบแฝงไปด้วยความโลภ โกรธ หลง บุญนั้นก็หาบริสุทธิ์ไม่ ถ้ากระทำบุญนั้นยังยึดติดในความถือตัวถือมั่น บุญนั้นก็ไม่เรียกว่าบุญอย่างแท้จริง แต่ยังเคลือบแฝงไปด้วยความหลง ฉะนั้นถ้าอยากทำบุญแล้วไปให้ถึงที่สุด บุญนั้นจะได้มากกว่าบุญ ถ้าทำแล้วไม่ยึดติดตัวตน ทำแล้วไม่ยึดมั่นหวังวอนขอ บุญนั้นเรียกว่า กุศล ถ้าทำแล้วสามารถชะล้างความเป็นตัวตนได้ บุญนั้นจะกลายเป็นบุญแท้ที่นำไปสู่กุศล ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าทำแล้วยังมีตัวตนไปรองรับ แปลว่าเราอยากได้บุญนั้นเพื่อกลับมาเสวยบุญอีก และเมื่อหมดบุญเราก็ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดอีก แล้วมั่นใจหรือว่าบุญที่ศิษย์สร้างจะพอทำให้ศิษย์กลับเป็นคน ใช่ไหม (ใช่) อย่างนี้ควรที่จะตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ไหม (ไม่ควร) ฉะนั้นก่อนที่ศิษย์จะทำอะไร ยั้งใจถามตัวเอง ถูกต้องในศีลไหม มีคุณธรรมความเป็นคนไหม เสียสมดุลจนลืมธรรมะที่แท้จริง หรือเปล่า
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ซึ่งศิษย์ก็ไม่เคยผ่านด่านนี้เลยนั่นคือ โดนคนเขาด่า เป็นอะไรที่ง่ายที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ไม่มีใครผ่านได้สักคน หวั่นไหวทุกที ใช่หรือไม่ (ใช่) เจ็บปวดทุกทีที่โดนว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าโดนเขาด่า แล้วเราทำบุญด้วยการให้อภัย นั่นเรียกว่าเรากำลังสร้างทาน แปรบาปให้กลายเป็นบุญ แปรบุญให้กลายเป็นกุศล อภัยแปลว่าในใจยังยึดติดอยู่ แต่ถ้าเขาด่ามา เราเข้าใจความเป็นจริง รักษาจิตให้มันปรกติ มีปัญญาเห็นแจ้งในความเป็นจริงว่ามีคนชมก็มีคน (ด่า) มีดีก็มี (ชั่ว) มันเป็นเช่นนั้นเอง เราจะพ้นไหม (พ้น) พ้นแล้วนะ มันไม่มีตัวตนไปรองรับทุกข์อีก ถูกไหม (ถูก) มันกลายเป็น เช่นนั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้ามนุษย์อยากสิ้นทุกข์ สิ้นการเวียนว่ายตายเกิดจนหมดสิ้น มนุษย์จะต้องขจัดความเป็นตัวตนให้หมด เพราะถ้าขจัดความเป็นตัวตนหมดได้ มนุษย์จะสิ้นทุกข์ได้บนโลกใบนี้ จริงไหม (จริง)
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายเพลง)
“ถ้าเรียนรู้เห็น เพี้ยนหลอกสายตา” ถ้าศิษย์เรียนรู้อะไรเอาแต่มอง แต่ไม่ศึกษาอาจจะทำให้เราโดนหลอกได้ เพราะสิ่งที่เห็นอาจจะไม่เป็นจริงอย่างที่เข้าใจ และสิ่งที่เห็นพร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ฉะนั้นให้ใช้การรู้จักฟัง ฟังมากๆ ยิ่งได้กำไรมากใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าเอาแต่มองอย่างเดียวโดยไม่ศึกษาเรียนรู้ โดยไม่ศึกษาเพิ่มเติมเช่นนี้น่าเสียดาย หลักธรรมะโดยส่วนใหญ่บางคนบอกว่าลึกล้ำ ลึกลับ จริงๆ ธรรมะไม่ลึกลับเลยอยู่ที่เราจะค้นหาแล้วศึกษาด้วยความตั้งใจหรือเพียรพยายามหรือไม่
คนตอบคำถามอาจารย์ แล้วจะได้แอปเปิลแห่งความทุกข์มาก แล้วก็สุขมากเอาไหม (เอา) ให้ก็เอา เอาทุกอย่างเลย เอาทั้งทุกข์ทั้งสุขไม่จบสิ้นสักทีใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เอ๋ยถ้าศิษย์เห็นโลกใบนี้อย่างแจ่มชัด ศิษย์จะรู้ว่าไม่มีสิ่งไหนน่ายึดน่าเอาเลย เหมือนตอนที่ศิษย์ยังไม่แต่งงาน ก็อยากแต่ง แต่พอแต่งแล้วก็อยากไม่แต่ง ใช่ไหม (ใช่)
เกิดเป็นคนควรมีคุณธรรมอะไรอยู่ในใจตน ง่ายมากเลยจริงไหม
(ความเมตตา) เมื่อเมตตาจะนินทาใครไหม (ไม่) ถ้าเราเมตตาเราจะด่าใครไหม (ไม่) เราจะมีแต่ความเข้าใจ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นรักษาความเมตตาในใจจนทำให้เราสามารถมีศีล ธรรมและไม่ประพฤติผิด ถ้าเมตตาเราจะเบียดเบียนใครไหม เราจะคดโกงใครไหม (ไม่) เมตตาแล้วเราจะเข่นฆ่าใครไหม (ไม่) อย่างนั้นที่เรานินทาเขาได้ โกงเขาได้ เพราะเราไม่เมตตาพอ จริงหรือเปล่า
(ไม่คดโกง) ซื่อตรงแล้วอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเองไหม ถ้าคนไม่อยากจริงๆ อะไรเขาก็จะไม่โลภแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) รักษาความซื่อตรงนี้ไว้นะ ถ้าซื่อตรงได้ โลภ โกรธ หลง ก็คงน้อยลง
(การยอมรับความจริง) ถ้ารู้จักยอมรับความจริง เราจะเข้มแข็งได้นะ ยากนะ ทำให้ได้นะ
(ความซื่อสัตย์ ของเราและเขา) ไม่ต้องไม่สนใจเขา ของเราพอ เขามีไม่มีไม่เป็นไร เพราะเราเปลี่ยนคนข้างนอกไม่ได้ แต่เราดูแลใจตนเองได้ ใช่ไหม (ใช่) รักษาให้ดีนะ ไม่ใช่แค่นิดหน่อยก็โกงนะ
(ความอ่อนน้อมถ่อมตน) ตอบได้ดีนะ ถ้าศิษย์มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไปอยู่ที่ไหนจะเป็นที่รักเลย (ความอดทน) อดทนนั้น อดทนได้ แต่สิ่งที่จะทำให้เราอดทนได้มากกว่านั้นคือ เข้าใจ เพราะอดทนมันมีเวลาจำกัด มันมีความจำกัด แต่ถ้าศิษย์เข้าใจ เข้าใจความเป็นคน เข้าใจคนเป็นแบบนี้ ไม่ต้องอดทนเลย คนก็เป็นแบบนี้ อ่อ เราก็เคยเป็นแบบนี้ เขาก็เป็นได้ จริงไหม (จริง) ใช้ความเข้าใจให้กว้างให้ลึกที่สุด แล้วเราจะไม่โกรธใคร แต่เราจะมีแต่เข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(มีความเพียร) คนเราจะสำเร็จได้นั้นต้องอาศัยความเพียรพยายาม ฉะนั้นถ้าศิษย์ตั้งใจอะไร อาจารย์ก็คิดว่าขาดความเพียรไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่ที่ล้มเหลว ถามใจตัวเองว่าเราเพียรน้อยไปหรือเปล่า เรายังมีความเพียรในความดีไม่ถึงที่สุดหรือไม่ (ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป) เกิดเป็นคน ถ้ามีความละอายเกรงกลัวต่อบาป ผิดบาปจะไม่เกิดเลย เมื่อผิดบาปไม่มี ทุกข์และเวรกรรมก็จางหายได้ แต่กลัวอย่างเดียว เล็กๆ กล้าทำ มันก็ขยายใหญ่ขึ้น ใช่หรือไม่ ฉะนั้นอย่าประมาทกับสิ่งที่เล็ก เพราะสิ่งที่เล็กเมื่อมันขยายใหญ่ขึ้นก็กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัว ถูกหรือไม่ (ถูก) รักษาใจดวงนี้ให้ดีนะ (ละบาปทำความดี) รู้จักละบาปบำเพ็ญบุญ อะไรที่เป็นบาปเราจะไม่ทำ แล้วบาปที่น่ากลัวที่สุดคือ (คิดผิดในใจตัวที่ไม่รู้จักบังคับตัวเอง) ผิดแล้วยังฝืนใจทำ ไม่ได้ฝืนใจ ผิดแล้วยังจงใจทำอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นหยั่งรากลึกแห่งธรรมให้เยอะๆ อย่าทำให้ชีวิตต้องมัวหมองเพราะบาปกรรมที่ตัวเองก่อ เพราะเมื่อผลกรรมมันตกผลไม่มีใครช่วยศิษย์ได้นอกจากตัวเอง จริงไหม (จริง)
(ความซื่อสัตย์ ไม่ขโมยของผู้อื่นและมีธรรมในตน) ซื่อสัตย์ไม่ใช่แค่ขโมยของนะศิษย์ ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ซื่อสัตย์ต่อความเป็นคน ซื่อสัตย์ต่อการอยู่ในครอบครัว และซื่อสัตย์ต่อการดำรงตน ถ้าดำรงตนซื่อสัตย์ จะไม่ผิดลูกผิดเมียผู้อื่น ไม่ทำร้ายเพื่อน ถ้าดำรงตนซื่อสัตย์ในหน้าที่การงาน เราจะไม่ฉ้อฉล ไม่คดโกง ถูกหรือไม่ (ถูก) ทำให้ได้นะ
(นักเรียนถามพระอาจารย์ว่า กลับบ้านไปสามารถนำอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์มาถวายพระได้หรือไม่) อาจารย์ให้ศิษย์คิดเองนะ อาจารย์ถามใจของศิษย์ ถ้าเกิดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเทพที่อยู่บนฟ้า สิ่งหนึ่งที่ท่านมีคือ คุณธรรมมหาเมตตาที่ไม่จำกัด อย่างนั้น หัวอกคนมีเมตตาจะเอาชีวิตเขาเพื่อมาบำรุงชีวิตเราไหม (ไม่) และจะทนเห็นคนเขาทำบาปเพื่อเราไหม (ไม่) และจะทนเห็นคนทำผิด ฆ่าคน เพื่อเราไหม (ไม่) อย่างนั้น พุทธะอยากได้อาหารเนื้อสัตว์ไหม (ไม่) แต่อาจารย์เห็นที่ไหว้เนื้อสัตว์ ไม่ได้ไหว้ให้พุทธะ แต่ไหว้เพราะตัวเองอยากกิน จริงไหม (จริง) ส่วนตอนนี้การที่ศิษย์จะกินเจหรือไม่ ทำไมอาจารย์ถึงไม่ได้บังคับ เพราะเมตตาจิตต้องออกมาจากจิตที่ตั้งใจจริงๆ จึงเรียกว่าเมตตา ถ้าออกมาจากการบังคับก็ไม่ใช่เมตตา แต่คือการข่มใจ แต่การกินเจต้องเกิดจากใจเมตตา เหมือนอาจารย์ถามว่าศิษย์รู้ไหมว่าสิ่งที่ศิษย์กินล้วนต้องเกิดจากการฆ่า รู้ แต่ศิษย์ทำเหมือนไม่รู้ ศิษย์รู้ไหมว่าทุกครั้งที่ศิษย์เจ็บจากการโดนมีดบาดหนึ่งที ศิษย์ยังร้องโอย ไกลหัวใจ แต่ร้องเหมือนถูกเชือด
เล็บหลุดแค่นี้ยังเจ็บแทบตาย แล้วความตายที่ศิษย์ไปยัดเยียดให้กับสัตว์ตัวหนึ่งที่ไม่รู้อะไร เพื่อมาเสวยความอยากของเราแค่ไม่กี่คำ แล้วกลืนลงไปก็ออกมาเป็นของเสีย ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอาจารย์จะบอกว่า งดได้ก็งด ละได้ก็ละ เพราะกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นก็ต้องรับ ถึงศิษย์จะมีน้ำตานองหน้า ขอพระพุทธะก็ช่วยไม่ได้ เพราะศิษย์ทำเอง ฉะนั้นหัวอกของคนที่เรียกว่า มนุษย์ประเสริฐควรหรือที่ทำบาปเพียงเพื่อสนองความอยากของตัวเอง อาจารย์ถามจริงๆ นะ ไม่กินเขาแล้วเราจะตายไหม (ไม่ตาย) ไม่กินเขาแล้วเราอยู่ได้ไหม (อยู่ได้) พระพุทธะที่มีคนนับถือ มีคนกราบไหว้ เพราะเขายอมลำบากเพื่อคนอื่น เลือกให้ตัวเองลำบากเพื่อให้คนอื่นสบาย จึงเรียกว่า จิตแห่งพุทธะ จิตของคนที่มีธรรม แต่คนปัจจุบันนี้ ตัวเองสบายคนอื่นจะลำบากก็ช่างเขา อย่างนี้เรียกว่า จิตพุทธะหรือจิตมนุษย์ (จิตมนุษย์) ฉะนั้นศิษย์อย่าบอกอาจารย์ว่า เกิดเป็นคนไม่มีทางเลือก ทางมีให้เลือกแต่ศิษย์จะเลือกทางไหน แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า ไม่ใช่มีแค่สองทางคือนรกกับสวรรค์ แต่ยังมีอีกทางที่เรียกว่า ทางพ้นทุกข์นิจนิรันดร์ ก็คือทางกลับคืนสู่สภาวธรรมในใจตัวเอง กายกลับคืนสู่ดิน แต่จิตต้องกลับคืนสู่ฟ้า เมื่อใดที่มนุษย์ยังยึดถือความเป็นตัวตน มนุษย์ก็หนีไม่พ้นวัฏแห่งการเวียนว่าย คือผลแห่งกรรม แต่เมื่อใดที่ศิษย์ดำเนินชีวิต ทำบุญ ทำทาน สวดมนต์ อาจารย์ให้ศิษย์ยังทำเหมือนเดิม แต่อย่าทำบุญแค่เอาบุญ แต่ทำบุญไปให้ถึงกุศลและความสิ้นทุกข์ และเข้าถึงธรรมด้วยการที่ทำแล้วสลัดความยึดมั่นถือมั่น จะได้ไม่โลภมาก จะได้ปลงได้บ้าง ให้ไปเลย นั่นไม่ใช่แค่บุญ แต่ยิ่งกว่าบุญคือได้กุศล ได้ละความยึดมั่นถือมั่น ได้กระชากความหลงความยึดติดที่เราเคยมีมานาน ยากไหมไม่ยากเลย แล้วทุกครั้งที่เวลาใครว่าเรามา ดี ขอบคุณ ฉันจะจบกรรมวันนี้ โดนด่าฉันจะขอบคุณ เพราะถ้าด่ากลับก็เป็นเวรกรรมไม่จบสิ้นถูกไหม (ถูก) ถ้าแช่งชัก ไม่เป็นไรอดทนไว้ อย่างนี้ก็ยังไม่สิ้นกรรม เราต้องสามารถสิ้นกรรมจนใจนี้กลับคืนสู่ภาวะปกติ ไม่หวั่นไหว ไม่เอียงซ้าย ไม่เอียงขวา กลับคืนสู่ความสมดุล นั่นเรียกว่ากลับสู่ธรรม ไม่ห่วงตัวเองหรือศิษย์ ศิษย์ไม่รักตัวเองหรือ ในเมื่อมีโอกาสที่จะไปอีกทางหนึ่ง ให้ถึงที่สุด ทำไมเราไม่ไป
“ความเชื่อซ่อนพรางปัญญา” เวลาที่ศิษย์ทำอะไรก็ตามโดยเชื่อในหลักความถูกต้อง เชื่อในหลักความดีงาม แต่ความเชื่อนั้นต้องไม่อำพรางปัญญาที่แท้จริง เขาทำตามกันมาแล้วศิษย์ก็ทำ ทำอย่างไรที่บุญนั้นไม่ก่อบาป บุญนั้นไม่อิงแอบไปด้วยความโลภ ถ้าบุญนั้นยังมีบาปอยู่ บุญนั้นยังไม่บริสุทธิ์ แต่บุญนั้นต้องสามารถชะล้างความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และหมดสิ้นซึ่งกิเลสตัณหาในใจได้ บุญนั้นจึงจะบริสุทธิ์และบุญจะกลายเป็นกุศล นำพาให้ชีวิตพ้นทุกข์ได้
ศิษย์ยังมีบ้านที่ต้องกลับ กายยังรู้จักกลับบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วจิตเดิมแท้ไม่มีบ้านหรือ เราคือหนึ่งในธรรมะ เราคือหนึ่งในสภาวธรรม และทุกคนมีสภาวธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน และไม่คิดกลับบ้านที่แท้จริงหรือ ทำไมอยากกลับแต่บ้านที่มันมีแต่เวรกรรมทุกข์สุข ไม่เคยอยากกลับบ้านที่แท้หรือ บ้านที่ทำให้ศิษย์ไม่ต้องทุกข์ บ้านที่ศิษย์ไม่ต้องเจ็บปวดอีก ไม่ต้องมาร้องขอให้อาจารย์ช่วยอีก แต่บ้านนั้นจะค้นพบได้ด้วยตัวศิษย์ทุกคนรู้จักประพฤติปฏิบัติ จริงไหม (จริง) เวลาท้อแท้ เรามีบ้านให้พึ่งพิง แต่เมื่อไหร่ที่ศิษย์ทุกข์ ศิษย์ยังมีธรรมะให้ศิษย์พ้นทุกข์ มีธรรมะให้ศิษย์กลับคืน ฉะนั้น อย่าลืมธรรมในตัวเอง ธรรมที่บริสุทธิ์งดงาม ร่มเย็น ธรรมที่ไม่ต้องการอะไรเลย แต่มันคือความบริสุทธิ์ใสที่แท้จริง
อาจารย์ก็ไม่อยากร้องไห้หรอก แต่เสียดายจริงๆ ที่ศิษย์ยังทำไม่ได้ แล้วถึงที่สุดศิษย์ก็ไม่ทำ ช่างน่าเสียดาย รู้จนถึงที่สุด แต่ถึงที่สุดก็ไม่ทำ ที่รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่ถึงที่สุดก็เลือกทำในสิ่งที่ไม่ดี ประคองรักษาความดีงามในใจตัวเองนะ อย่าพ่ายแพ้กิเลส อารมณ์ และความอยากเพียงชั่ววูบ ไม่เคยมีอะไรที่ศิษย์มีแล้วไม่เจ็บไม่ทุกข์ ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดก็คือ ไม่อยากได้อะไรในโลกนี้แล้ว จริงไหม (จริง) เราเคยมาหมดทุกอย่างแล้วนี่ พอไม่ได้หรือ หยุดไม่ได้หรือ โกรธแล้วได้อะไร โกรธแล้วเราก็เจ็บ โลภ หลงมาแล้วได้อะไร เราจะสูงกว่าคนอื่นไหม เราก็ต้องกลับคืนสู่ความเป็นธรรมดาเหมือนกัน จริงไหมมาตัวเปล่าก็ต้องกลับ (ตัวเปล่า) มาแบบไม่มีก็ต้องกลับสู่ (ไม่มี) แล้วจริงๆ เรามีอะไร เราอยากมีอะไร อยากเพื่อให้เจ็บ เจ็บเพื่อให้ทุกข์ ทุกข์แล้วก็ทุกข์อีก แล้วถึงเวลาต้องมาทำใจดับทุกข์ ไตร่ตรองให้ดีนะ สิ่งที่อาจารย์พูดมานี้เพื่อตัวศิษย์เอง ถ้ารู้ได้เราก็พ้นทุกข์ได้ จริงไหม (จริง) อย่ากลัวความพ่ายแพ้ คนที่กล้ายอมแพ้คือคนที่ชนะแท้จริง แต่คนที่ไม่เคยแพ้แล้วพยายามไม่อยากแพ้ นั่นคือคนที่แพ้อย่างแท้จริง
อย่ากลัวความทุกข์ ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ความทุกข์มันมีทางพ้นทุกข์อยู่ในนั้นอยู่แล้ว อาจารย์ก็ขอบคุณในความมุ่งมั่นตั้งใจของศิษย์ รักษาสิ่งที่ถูกต้องอย่าทำในสิ่งที่ผิดบาปเลย ไม่อย่างนั้นคนที่ต้องรับผลของการกระทำนั่นก็คือตัวเราเอง บำเพ็ญให้ดี ไปให้ถึงที่สุด ถ้ายังมีอัตตาตัวตนเราจะไม่มีวันสิ้นทุกข์ อะไรที่ทำให้เราสิ้นอัตตาตัวตน สิ่งนั้นคือการตัดภพเวียนว่ายตายเกิดได้ “ทำเพื่อธรรม ไม่ใช่ทำเพื่อตน” ทำดีแล้วรักษาความดีต่อไป ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีนะศิษย์ เข้มแข็งไม่อ่อนแอ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าเกียจคร้าน ตั้งใจบำเพ็ญ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก
บำเพ็ญยากไหม ไม่ยาก แต่กลัวศิษย์ไม่ทำ ดูแลตัวเองให้ดีนะ รักษาความดีงามไว้ มีจิตใจที่มุ่งมั่นเป็นสิ่งที่ดี มีจิตใจเมตตาก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ขอให้รักษาจิตใจมุ่งมั่นและเมตตาไปพร้อมกัน อาจารย์คงต้องไปแล้ว บุญของศิษย์อยู่ที่ความกตัญญูรู้คุณ บารมีของศิษย์ก็อยู่ที่คุณธรรม ฉะนั้น รักษาบุญกับบารมีนี้ไว้ด้วยหัวใจที่ถูกต้องนะ
พากเพียรจนถึงที่สุด นั่นแหละคือหัวใจของศิษย์และหัวใจของอาจารย์ที่เหมือนกัน ไม่ยอมแพ้ ไม่กลัวลำบาก เสียสละอุทิศเพื่อผู้คน ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวทุกข์
ศิษย์เอ๋ย ถ้าอาจารย์พูดอย่างหนึ่งยอมฟังไหม ยอมรับความจริงเถิดนะ อย่าฝืนเลย อาจารย์อยากให้ศิษย์ยอมรับความจริง กลับไปเริ่มต้นใหม่ ศิษย์อย่าไปฝืนเลย มันเจ็บพอแล้ว มันทุกข์พอแล้ว เริ่มต้นใหม่เถอะเชื่ออาจารย์ ได้ไหม อย่าฝืนในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม
บุญรักษานะ ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้อง ขอความเข้มแข็งจงมีแด่ศิษย์ทุกคน ลุกขึ้นเดินนะ ดูแลตัวเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองทุกข์ในสิ่งที่ไม่ควรทุกข์เลย มีโอกาสกลับมาร่วมศึกษาบำเพ็ญกันอีกนะศิษย์เอ๋ย อย่าดูถูกดูเบาคุณค่าธรรมะในใจตัวเอง อย่าหลงพลาดผิดเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบ แล้วทำให้ชีวิตต้องพังทลายเลย น่าเสียดายนะ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้สิ่งที่ถูกต้องนั้นอาจจะแลกด้วยน้ำตา เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้สิ่งที่ถูกต้องอาจจะฝืนใจ แต่ถ้าผ่านได้ เราคือผู้ที่เข้าใจสภาวธรรมอันว่างเปล่าจากตัวตน กลับคืนสู่ธรรมกันเถิด ตัวตนมีแต่ความทุกข์ กลับสู่ธรรมกันไหม
ความเชื่อซ่อนพรางปัญญา ศรัทธามีโลภหลงอยู่
สับสนในความรู้รู้ จะอยู่มีธรรมเมื่อไร
ต้องใช้สติมานำ ศีลธรรมยั้งใจเอาไว้
ครองธรรมสถิตคู่กาย ไม่แพ้กิเลสอารมณ
วันเสาร์ที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒ สถานธรรมหมิงเอิน เพชรบูรณ์
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ
ความจริงอันเป็นธรรมะ ไม่ยากเกินจะหยั่งรู้
ขอเพียงสงบตรองดู กล้าสู้ยอมรับความจริง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก น้อมกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านเกษมฤๅ
เวลาในโลกมนุษย์ สร้างวิมุตติ[๑]สุดประมาณ
หัวใจที่มีตะวัน ปัญญาญาณรู้วิธี
วุ่นวายในความสับสน กระวนกระวายใจนี้
ถึงปัญญาศรัทธามี สติใช้ต้องระวัง
ประโยชน์อำพรางความโลภ ความโลภเมื่อไรกระจ่าง
ชีวิตซุกซ่อนความหลัง จะอยู่ธรรมมังอย่างไร
ปัจจุบันเชื่ออะไรอยู่ รู้รู้มีอนุสัย[๒]
เข้าใจแบบไม่เข้าใจ ทำอย่างไรได้บำเพ็ญ
ฟังแล้วปราศจากธรรมะ เสวนาควรงดเว้น
อคติความคิดเห็น คู่ซ้อมบำเพ็ญชั่วคราว
ไว้มารยาทนำกิริยา ไว้กายาไม่ก้าวร้าว
จงชั่งศีลธรรมเอา ครองเชาวน์[๓]พ่ายแพ้อย่างไร
บำเพ็ญไม่ยั้งอุปสรรค ธรรมมากกิเลสสลาย
ระวังเรื่องใจงมงาย สถิตในอารมณ์คน
รู้แล้วต้องปฏิบัติ สามารถแล้วอย่าสับสน
ปล่อยวางหัวใจกังวล อดทนในเรื่องธรรมดา
ฮา ฮา หยุด
[๑] วิมุตติ [วิมุด, วิมุดติ] น. ความหลุดพ้น; ชื่อหนึ่งของพระนิพพาน.(ป.; ส. วิมุกฺติ).
[๒] อนุสัย น. กิเลสที่สงบนิ่งอยู่ในสันดาน, กิเลสอย่างละเอียด มี ๗ อย่างได้แก่ ๑. กามราคะ = ความกำหนัดในกาม ๒. ปฏิฆะ = ความขัดใจคือโทสะ ๓. ทิฏฐิ = ความเห็นผิด ๔. วิจิกิจฉา = ความลังเลสงสัย ๕. มานะ = ความถือตัว ๖. ภวราคะ = ความกำหนัดในภพ ๗. อวิชชา = ความไม่รู้แจ้งคือโมหะ. (ป. อนุสย; ส. อนุศย).
[๓] เชาวน์ [เชา] น. ปัญญาหรือความคิดฉับไว, ปฏิภาณไหวพริบ. (แผลงมาจาก ป., ส. ชวน).
[๓] เชาวน์ [เชา] น. ปัญญาหรือความคิดฉับไว, ปฏิภาณไหวพริบ. (แผลงมาจาก ป., ส. ชวน).
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ
ยังไม่เบื่อฟังธรรมะใช่ไหม หรือว่าตัดสินใจพรุ่งนี้ไม่มาแล้ว (มา) ตอนยังไม่พูดเราเป็นนายเหนือคำพูด แต่ถ้าพูดไปแล้วเราต้องทำตามสิ่งที่พูด ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้น อยากเป็นคนที่พูดอะไรแล้วศักดิ์สิทธิ์ ไตร่ตรองให้ดีก่อนพูด ไม่อย่างนั้นเราต้องตกเป็นทาสของคำพูดอยู่ร่ำไป แล้วก็กลายเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ จริงหรือไม่ (จริง)
“ความจริงอันเป็นธรรมะ ไม่ยากเกินจะหยั่งรู้
ขอเพียงสงบตรองดู กล้าสู้ยอมรับความจริง”
ธรรมะคือความเป็นจริงอันเป็นสัจธรรมของโลก อย่ามองธรรมะแค่เพียงการสวดมนต์ไหว้พระ อย่ามองธรรมะแค่เพียงการเป็นคนดี แต่แก่นของหลักธรรมะคือ ตื่นรู้ เข้าใจแท้จริง จนนำพาให้เราพ้นทุกข์
มีใครที่ยืนอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างเข้มแข็งมั่นคง โดยไม่สูญเสียความดีงามในจิตใจ มีใครบ้างที่สามารถอดทนฟันฝ่าความทุกข์แต่ไม่ทุกข์ใจได้ มีแต่ผู้ที่เข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรมะ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าท่านยังทุกข์ ยังเจ็บปวด ยังอ่อนแออยู่ แปลว่ายังไม่เข้าใจธรรมะที่แท้จริง
ท่านเคยได้ยินคำพูดไหมว่า “วางดาบพลันพบพระพุทธะ” อะไรที่ทำให้เราอยู่ร่วมกับคนแล้วเราชอบใช้ดาบมากกว่าใช้ความเป็นพุทธะ อารมณ์ความโกรธใช่ไหม (ใช่) ถ้าเราวางอะไรก็ตามที่อยู่ในชีวิตเรา ที่ทำให้เราควักดาบออกมาแล้วทำร้ายผู้คน เราวางเสีย เราจะพบความเป็นพุทธะ เราวางเสียเราจะพบความสงบเย็น ฉะนั้นถ้าวางดาบได้ความเป็นพุทธะก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม จริงหรือไม่ (จริง)
ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีธรรม ถ้าทุกข์มันเกิดที่ตัวเรา ทุกข์มันอยู่ที่นี่ อย่างนั้นก็แปลว่า ธรรมไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่ธรรมอยู่ในตัวเรา ทุกข์เกิดจากตัวเรา ฉะนั้นคำกล่าวที่ว่า ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีธรรม ถ้าตัวเรานี้เป็นทุกข์ ตัวเรานี้ก็พร้อมจะเป็นธรรม ที่ใดมีกิเลสที่นั่นเป็นที่สิ้นทุกข์พบพระนิพพาน ต่างกันแค่ชั่วขณะคิด ถูกหรือไม่ (ถูก) วางดาบลงก็พบพุทธะ ชั่วขณะคิดไม่ได้ ทำใจไม่ได้ กลายเป็นกิเลส กรรม เวียนว่าย ความทุกข์ แต่ชั่วขณะคิดได้ขึ้นมา กลายเป็นสิ้นกรรม หมดกรรม พ้นทุกข์ อยู่ที่แค่ชั่วขณะคิด พลิกใจได้ทุกข์ก็กลายเป็นสุข พลิกใจไม่เป็นก็จมอยู่กับความทุกข์ ซึ่งไม่มีใครช่วยได้ ไปหลายวัดแล้วทุกข์ก็ไม่หมดจากใจ จริงไหม (จริง)
เราถามคำถามท่านว่า ถ้ามีอาจารย์ที่มีความรู้ แต่ไม่เคยคิดจะสอนวิชาความรู้ถ่ายทอดให้กับผู้อื่นเลย พออาจารย์ท่านนี้จากไป ความรู้ก็หมดไป จริงไหม (จริง) ทำไมพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงต้องลงมา นี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งก็เป็นได้ ถ้าท่านรู้แล้ว แต่ไม่บอกต่อ และปล่อยให้ความรู้นั้น บิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปก็น่าเสียดาย ฉะนั้นผู้ที่รู้ก่อนแล้วไม่สอน ท่านว่าใจร้ายใจดำหรือไม่ เหมือนพวกหวงวิชา เหมือนพวกเก็บความรู้ไว้กับตัวเองคนเดียว ฉะนั้นจะมาบอกว่าเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วจะมาสอนทำไม ก็คงเป็นแบบเดียวกันว่าทำไมอาจารย์ต้องถ่ายทอดความรู้ เพื่อจะได้ให้ความรู้นั้นไม่หายไป และความรู้นั้นก็เป็นความรู้ที่สามารถนำพาให้เราอยู่บนโลก แต่ไม่ต้องทุกข์ ทั้งกับตัวเอง ทั้งกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีธรรม ที่ใดมีกิเลสที่นั่นมีความเป็นพุทธะ พุทธะกับกิเลส หรือความทุกข์กับธรรมะ ต่างกันแค่ชั่วขณะ พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ความไม่รู้แสดงออกซึ่งกิเลส ตัณหา เวรกรรม แต่ความรู้แสดงออกซึ่งพุทธธรรม แล้วรู้อย่างไรจึงเรียกว่าธรรม แล้วไม่รู้อะไรจึงเรียกว่า กิเลส กรรม และความทุกข์
ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีธรรม ที่ใดมีกิเลสที่นั่นมีความเป็นพุทธะ เพราะความไม่รู้จึงแสดงออกเป็นกิเลส เพราะความตื่นรู้จึงแสดงออกเป็นธรรม รู้หรือไม่รู้ จึงแสดงออกต่างกัน หากเราสามารถรู้ได้ กิเลสก็จะกลายเป็นธรรม แต่ถ้าเราไม่รู้ธรรมก็จะกลายเป็นกิเลส
มนุษย์เราทุกข์เพราะความอยาก เวลาอยากแล้วไม่สมหวังทุกข์ไหม (ทุกข์) เวลาอยากได้อะไรสักอย่างหนึ่ง เรารู้แก่ใจไหมว่า มีโอกาสได้และมีโอกาสไม่ได้ มีโอกาสสำเร็จและก็มีโอกาสล้มเหลว รู้ไหม (รู้) อย่างนั้นเวลาล้มเหลวทุกข์ไหม (ทุกข์) นี่ไง รู้แต่ไม่ยอมทำตัวให้รู้ ถ้าเราระลึกอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่เราจะอยากได้นั้นมีโอกาสได้และไม่ได้ ได้แล้วก็ดีใจ แต่เมื่อไม่ได้ จะทุกข์ไหม ก็รู้อยู่เต็มอกว่าโอกาสได้และไม่ได้มีเท่ากัน จริงไหม (จริง) เรารู้อะไรที่เรียกว่าธรรมะ แล้วเราไม่รู้อะไรที่กลายเป็นความทุกข์ เราทุกข์เพราะเราสูญเสีย เราเสียใจที่เราสูญเสีย ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นเราถามว่า รู้ไหมว่าอยู่ในโลกจะต้องสูญเสีย รู้ไหมว่าถ้าอยู่กับใครแล้วเราต้องพลัดพรากสูญเสียเป็นธรรมดา (รู้) ถ้ารู้แล้วถึงเวลาสูญเสียทุกข์ไหม (ทุกข์) รู้แต่เลือกที่จะไม่ยอมรับรู้
ทุกครั้งที่ท่านได้มาล้วนต้อง (สูญเสีย) เสียเวลาไหม เสียเงินไหม (เสีย) แล้วได้ไหม (ไม่ได้) หลอกตัวเองว่ารู้ หลอกตัวเองว่าได้ ทั้งที่จริงๆ แล้ว เสียหรือได้ (เสีย) เสียเวลาทั้งชีวิตเพื่อเงิน เงินที่ได้มาก็ไม่เคยอยู่กับเราเลย ถึงที่สุดเราก็ต้องเสียไหม (เสีย) เราไม่ได้อะไร แล้วเราเสียอะไรไหม คิดให้ดีๆ ถึงที่สุดมีเงิน มีความรู้ มีตำแหน่ง มีหน้าที่ มียศถา มีบ้าน มีอะไรมากมาย ถึงเวลาจริงๆ ของใคร รู้ไหม (รู้) รู้แล้วจะทำผิดไหม รู้แล้วจะทุกข์ไหม รู้แล้วจะเหนื่อยแทบตายเพื่อได้มาไหม เมื่อใดที่ท่านยอมรับว่าตัวเองรู้ ท่านจะพบธรรม แต่ถ้าท่านไม่ยอมรับให้ตัวเองรู้ ท่านก็หนีไม่พ้นทุกข์ แล้วหลอกตัวเองให้ทุกข์อยู่ร่ำไป
แล้วท่านเคยได้ยินไหม ถ้าของจะเป็นของเรา ยังไม่ทำอะไรก็ได้มา แต่ถ้าไม่ใช่ของเราทำแทบตาย เจ็บแทบตาย ยังไงเขาก็ไม่อยู่กับเรา เรารู้ไหม (รู้) เราทุกข์เพราะโดนเขาทำร้าย เราทุกข์เพราะเขาสวยกว่า เราทุกข์เพราะเขารวยกว่า เราทุกข์เพราะเขาว่าเรา ทุกข์ไหม (ทุกข์) แล้วรู้ไหมว่าในโลกไม่มีใครไม่โดนว่า ก็รู้ใช่ไหม (ใช่) ผู้หญิงที่หน้าตาสวยๆ รู้ไหมว่าในโลกนี้สวยอย่างไรก็มีคนสวยกว่า ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) ขอถามฝ่ายชาย ท่านมีครบหมดทุกอย่าง บ้าน รถ หน้าตาดี แต่ถึงเวลามีคนที่มีบ้านเยอะกว่า เงินเยอะกว่า หน้าตาดีกว่า แล้วเราทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) และถึงแม้ไม่มีเงิน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ เราทุกข์ไหม (ทุกข์ ) บางคนอวัยวะยังมีไม่ครบสามสิบสองเลย ถ้าเราตรองให้ดีๆ เรารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เราพูดว่าทุกข์ แท้จริงแล้วอาจจะไม่ใช่ทุกข์เมื่อเทียบกับคนที่แย่กว่า ถูกหรือไม่ (ถูก) วันนี้เราโดนเขาว่า ถ้าเทียบกับอีกสองสามวันข้างหน้าเราจะโดนเขาว่าหนักกว่า วันนี้เราคงหัวเราะที่โดนเขาว่าแค่นี้ จริงไหม (จริง) แล้วเราควรทุกข์ไหม (ไม่) ทำอะไรจะไม่มีการโดนว่า เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)
ในโลกนี้มีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครดีพร้อม ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีดีและไม่ดีคละเคล้ากันไป คนๆ หนึ่งมีดีบ้างก็ต้องไม่ดีบ้างเป็น (ธรรมดา) สิ่งที่เขากระทำต่อเราเขาก็อาจจะไม่ดีบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร แต่บางทีผ่านไปสองสามวันเขาอาจจะมาทำดีกับเราก็ได้ ใช่ไหม (ใช่) หรือไม่ก็ทำไม่ดีกับเราตลอดชีวิต เช่นนี้เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
สัจธรรมมีอยู่ในทุกชีวิตและมีอยู่ในตัวเรา เราดี เราไม่ดี เรารู้ จริงไหม (จริง) บางทีเราก็โลภจนน่ากลัว บางทีก็ขี้บ่นจนน่าใจหาย บางทีก็เห็นแก่ตัวจนไม่มีใครอยากจะคบหา เรารู้ว่าเราเป็นอะไร เรายอมรับไหม (ยอมรับ) เราขี้เกียจไหม เราชอบเอาเปรียบไหม เราก็รู้อยู่เต็มอก แต่ละคนเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) แต่ก็ไม่อะไรที่ต่างกันจริงไหม (จริง) บางทีเราขยัน เขา ขี้เกียจ บางทีเราขี้เกียจ เขาขยัน แล้วทำไมไปว่าคนอื่นขี้เกียจ ธรรมะจึงสอนว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่รู้ข้างนอก แต่รู้ธรรมที่แท้จริงภายในอันทำให้เราพ้นทุกข์ และความจริงนั้นก็ไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อม อยู่ที่เราย้อนมองและยอมรับธรรมนั้นในตัวเราหรือไม่ ถ้าตามหลักธรรมะก็จะสอนว่า เมื่อเวลาเจอเรื่องราวอะไร จะทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ รู้แล้วว่ามีคนดีและคนไม่ดี คนมีได้ มีเสีย รู้แล้วจะต้องทำอย่างไรต่อ
พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า ทำสิ่งใดก็ตามก็ต้องมีศีล มีศีลก็ต้องมีสมาธิ มีสมาธิแล้วก็จะมีปัญญาเห็นแจ้ง ฉะนั้นเมื่อเจอเรื่องอะไรมา สมมติโดนเขาว่ามา รู้ไหมว่าการถูกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา และช่วงที่เป็นธรรมดานั้นเกิดคิดได้ สงบ นิ่ง ไม่หวั่นไหว ตรวจสอบตนเองแล้วไม่ผิดในศีล ไม่ผิดในธรรม สงบ ไม่หวั่นไหว มีปัญญาเห็นแจ้ง มันเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง การที่โดนเขาว่ามันจบทันทีเลย ไม่เกี่ยวกรรมต่อ ถูกไหม (ถูก) สิ่งที่โดนเขาว่ากลายเป็นพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) สิ่งที่โดนเขาทำร้ายกลายเป็นตื่นรู้ในความเป็นจริง ที่เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ฉะนั้นปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช่แค่ตื่นรู้ในความเป็นจริงแล้วแค่แสดงออกภายนอก แต่สามารถสงบและจบลงที่ใจด้วยความเป็นปกติ หรือรักษาความเป็นปกติของใจได้ ยากไหม (ไม่ยาก) ทุกครั้งที่ถูกกระทบไม่ว่าจะก่อเกิดเป็นกิเลสหรืออารมณ์ ลองยั้งสติคิดดูว่า สิ่งที่เราโดนกระทบลึกๆ เรารู้ไหม (รู้) ถ้าไม่ยอมมันก็กลายเป็นทุกข์ แต่ถ้ายอมรับ ทุกข์ก็จะแปรเป็นสุขได้ แปรเป็นธรรมะที่เข้าใจความจริงได้
อะไรหนอที่บดบังปัญญาทำให้เราไม่สามารถตื่นรู้ในความเป็นจริง ทั้งที่แท้จริงแล้ว สิ่งต่างๆ นั้นเราก็รู้ ความจริงอันเป็นธรรมดาโลก ถ้าเราหมั่นพิจารณาเสมอ จะทำให้เราไม่ทุกข์ มีอะไรบ้างหนอ พอตอบได้ไหม
(ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง) มีแล้วดีไหม (ไม่ดี) แล้วมีไหม (มี) เรารู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่ทำไมเราจึงไม่สามารถแปรสิ่งที่รู้ กลายเป็นรู้แล้วพ้นทุกข์ได้ นั่นคือสิ่งสำคัญ เราขาดสติไหม เราขาดความเข้าใจในความเป็นจริงอันแจ่มชัดหรือไม่ เราชอบตามอารมณ์มากกว่าตามความเป็นจริงใช่ไหม (ใช่) อะไรที่เป็นความถูกต้องเราไม่เคยตาม อะไรที่เกิดอารมณ์เราวิ่งไปทันที ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นหากมีเรื่องอะไรมากระทบ ก่อนที่จะวิ่งตามอารมณ์ เราลองหยุดสักพักหนึ่ง แล้วลองหันไปมองความจริง ทำอะไรด้วยสติ แล้วลองหันไปมองความจริง เราจะตามอารมณ์ไหม
คนข้างนอกทำให้เราทุกข์หรือเราทำให้ตัวเราทุกข์เอง (เราทำทุกข์เอง) แต่ถึงเวลาเราแก้ที่คนข้างนอกหรือเราแก้ตัวเอง (คนข้างนอก) เรามักบอกให้คนอื่นแก้แล้วก็อ้างว่าตัวเองหวังดีปรารถนาดี ใช่ไหม (ใช่) เราหวังเป็ดให้กลายเป็นหงส์ ได้ไหม (ไม่ได้) เราหวังเป็ดให้ขายาวเหมือน นกกระยางได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น) และอาจจะยังเป็นอยู่ถ้ามีลูกหลาน และอาจจะเป็นอยู่ถ้ายังมีความหวัง ความอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นกลับมาดูให้ชัดว่า อะไรที่บดบังปัญญาทำให้เราไม่สามารถตื่นรู้ในความจริงได้ สิ่งนั้นเริ่มที่นี่ สิ่งนั้นเกิดที่นี่ สิ่งนั้นทุกข์ที่นี่ สิ่งนั้นก็ต้องจบที่นี่ เขาว่าเรา เราทุกข์เพราะเขาว่า หรือเราทุกข์เพราะเราไม่อยากโดนว่า (ทุกข์เพราะไม่อยากโดนว่า) เราทุกข์เพราะเขาหรือทุกข์เพราะความคิดเราเอง เขาว่าเราคำพูดเขาจบแล้ว แต่เรายังเจ็บอยู่ เราเจ็บเพราะเอาความคิดมาเชือดเฉือนเรา และเรารู้ไหมว่าเราเจ็บเพราะความคิด (รู้) แล้วแก้โดยไปไหว้พระเก้าวัด หายไหม (ไม่หาย) ไปบนร้อยวัด หายไหม (ไม่หาย) จะหายต้องแก้ที่ตัวเราเอง จริงไหม (จริง)
ชีวิตทุกชีวิตเกิดมาได้เพราะความรู้ ความคิด ความเข้าใจ ก่อเกิดเป็นตัวตน ตัวตนคือผลิตภัณฑ์ของความคิด ความรู้ ความเข้าใจและตัวเราเป็นผู้ผลิตความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเรามีชีวิตอยู่ เราไม่คิดตีกรอบชีวิตเรา อะไรเราก็ยอมรับ อะไรเราก็ยอมได้ เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) แต่โดยส่วนใหญ่คำว่าตัวตนของมนุษย์ทุกคน มักตีกรอบว่า จนไม่ได้ ทุกข์ไม่ได้ ด่าไม่ได้ แพ้ไม่ได้และทำไมต้องให้คนอื่นก่อน เมื่อคิดแบบนี้ก็ทุกข์ แค่คิดว่าโดนว่าไม่ได้ ให้ไม่ได้ ก็เห็นแก่ตัวแล้ว แค่คิดว่า ต่อว่าไม่ได้ ยอมไม่ได้ ก็แล้งน้ำใจแล้ว และในความคิดนี้เมื่อฝังอยู่ในตัวเรา เมื่อฝังแล้วด่าเมื่อไหร่ก็เจ็บ และเมื่ออยู่ในตัวเราแล้วว่าอย่างไรก็ทุกข์ แต่ถ้าตัวเราไม่มีความคิดนี้ ด่าได้ไม่เป็นไร ทุกข์ได้ไม่เป็นไร สูญเสียได้เป็นธรรมดา เราจะทุกข์ไหม สิ่งที่ทำให้เราไม่เห็นความจริงและไม่สามารถตื่นรู้ในธรรมะได้ คือความคิดที่ตีกรอบปิดบังความจริง ไม่ใช่ผู้อื่นทำให้เราทุกข์ รักแล้วต้องรักเลย รักแล้วห้ามจากไป ตัวเรากำหนดเอง แล้วเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) ได้แล้วต้องมีแต่ได้ แล้วก็ต้องได้อีก ห้ามสูญเสีย ห้ามขาดทุน เป็นไปได้หรือ (ไม่ได้) แล้วใครเป็นผู้กำหนด (ตัวเรา) ฉันต้องสวย ฉันต้องเลิศเลอ ฉันต้องดีงาม เป็นไปได้หรือ ฉะนั้นอย่าลืมหันไปมองความจริงบ้าง อย่าเอาแต่ตามใจตัวเอง เพราะการตามใจตัวเองและปลูกฝังความคิดการตามใจตัวเอง ผลที่สุดคือ หนีไม่พ้นทุกข์ และน่ากลัวที่สุดคือ วิบากกรรมที่ทำให้หนีไม่พ้นอบายภูมิ แต่การเรียนรู้ที่จะยืนอยู่บนความจริง ผลที่สุดคือกลับคืนสู่สภาวธรรมและพ้นทุกข์นิจนิรันดร์
หนึ่งชีวิตที่ยังมีลมหายใจ ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสิ้นทุกข์ และสิ้นกรรม อยู่เพื่อใช้กรรมเก่าไม่สร้างกรรมใหม่ ฉะนั้นอยากให้ดี ตามความคิดหรือตามความถูกต้อง (ความถูกต้อง) มองอย่างคนเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ตีกรอบคับแคบ หรือเปิดใจกว้าง (เปิดใจกว้าง) กล้ายอมรับความจริงไหม (กล้า) เรียนรู้ธรรมไม่ใช่เพียงแค่เป็นคนดี แต่แก่นหลักของการเรียนรู้ธรรมคือ นำพาตัวเองตื่นรู้แล้วพ้นทุกข์ด้วยธรรมในใจตน ไม่มีใครฉุดเราขึ้นจากความทุกข์ได้นอกจากตัวเอง ไม่มีใครปลุกให้เราเข้มแข็งได้นอกจากหัวใจเราเอง หัวใจที่เข้าใจความเป็นจริง อยากเข้าใจคนอื่น แต่ไม่เข้าใจตัวเองก็เปล่าประโยชน์ อยากจะเป็นแบบคนอื่น แต่ยังไม่เข้าใจแบบที่ตัวเองเป็นก็ น่าเสียดาย เกิดเป็นคนอย่าลืมรากเหง้าของตนเอง เรามีรากเหง้าเหมือนกันคือธรรมะ และถึงที่สุดเราก็ต้องกลับสู่ธรรมะ ถ้าเราเอาแต่ยึดตัวตน ก็หนีไม่พ้นเวรกรรม แต่ถ้าเราสามารถวางตัวตนได้กลับคืนสู่สภาวธรรมได้ นั่นเรียกว่าพระนิพพาน ไม่ยากเลยนะ แค่เราไม่ยอมรู้ใจตัวเอง ไม่ยอมรู้ธรรมในใจตัวเอง ใช่ไหม (ใช่)
ไม่มีบุญก็คงไม่ได้มาเจอกัน เวลาเจอใคร อยากให้เป็นบุญหรือเป็นกรรมร่วมกัน (เป็นบุญ) อยู่ที่ตัวเราเองไม่ใช่อยู่ที่คำพูด จริงไหม (จริง) เวลาเจอใครว่า เราอยากให้สิ้นบุญหรือว่าอยากให้สิ้นกรรม (สิ้นกรรม) อย่างนั้นเขาต่อว่าเราก็โต้ตอบเลย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) ไตร่ตรองให้ดี เราเจอเขาแต่ทำไมคนอื่นไม่เจอเขา เพราะมีกรรมร่วมกันมา รู้ไหม (รู้) แล้วจะอยากมีกรรมต่อไหม (ไม่อยาก) ถ้าอยู่กันอย่างมีธรรมเราก็จบกรรม แต่ถ้าอยู่กันอย่างมีกรรม เราก็ไม่มีวันสิ้นเวรกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เราคงมาผูกบุญกับท่านสั้นๆ เพียงแค่นี้ รักษาโอกาสและเวลาของชีวิตให้ดี อย่ามัวผัดวันประกันพรุ่งทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะไม่มีใครรู้วันพรุ่งนี้ ถ้าไม่อยากเจ็บปวดและทุกข์เพราะการสูญเสีย รักษาเวลาตอนนี้ให้ดีที่สุด อยู่กับเขาอย่างมีความสุขที่สุด อยู่อย่างคนมีบุญร่วมกัน มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก
วันอาทิตย์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๒ สถานธรรมหมิงเอิน เพชรบูรณ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อันหลักธรรมแก่นแท้มีหนึ่งเดียว จงขับเคี่ยวตนเองดั่งน้ำงวด
ไม่ต้องสนใครเป็นเพชรใครเป็นกรวด คนยิ่งยวดเมื่อเข้าถึงสภาวธรรม
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงเอิน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนยังคงสบายดีไหม
ลึกลับเพราะไม่เรียนรู้ อะไรนั้นคือธรรมะจริงจริง ใช้เดาแบบนี้เพราะไม่รู้จริง เมื่อขวัญมินิ่ง อย่างไรจะศึกษา
แพ้นี้เพราะไม่อยากแพ้ อ่อนแอกว่าคนยอมแพ้ชินชา ถ้าเรียนรู้เห็นเพี้ยนหลอกสายตา ชอบฟังดีกว่า กำไรธรรมะกว่าเดิม
*หลักในวันนี้ ธรรมะดีดี อย่าละทิ้งการศึกษา จิตใจเท่านั้นกลับคืนฟ้ามา ธรรมที่อรรถาครบถ้วนเพราะทำ
**ลี้ลับเพราะไม่ศึกษา ศรัทธาแบบงมงายไร้วันตื่น ชอบปาฏิหาริย์ เพ้อฝันทั้งคืน แม้ลืมตาตื่น ศิษย์รักหลงทางเรื่อยไป (ซ้ำ *,**)
ทำนองเพลง : คิดถึงฉันบ้างคืนนี้
ชื่อเพลง : ธรรมะไม่ใช่เรื่องลี้ลับ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อย่าปล่อยให้จิตมัวหมองเพราะกิเลสตัณหาในใจเรา ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่สามารถรักษาจิตให้บริสุทธิ์ได้ แต่อย่าปล่อยให้มันมัวหมองไปเพราะความหลง ความโลภ ความไม่เที่ยง ศิษย์บริสุทธิ์ได้ แล้วทำไมไม่รักษาให้มันแกร่งดั่งเพชร
อยากมีชีวิตอิ่มเอิบก็ยิ้มเข้าไว้ ทุกข์อย่างไรก็ต้องยิ้มเพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเอง มีแต่รอยยิ้มที่ช่วยปลอบใจเราได้ดีที่สุด ถ้าเรื่องที่แย่ที่สุด เรื่องที่ทุกข์ที่สุด เรื่องที่เจ็บปวดที่สุด เรายังยิ้มได้ เรายังสู้ไหว จะมีอะไรน่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือใจตัวเอง ใช่หรือไม่
อย่ากลัวความจน อย่ากลัวลำบาก แต่ควรกลัวใจที่ไม่ยอมสู้กับความจน ใจที่ไม่สามารถเอาชนะความลำบากได้ อย่ากลัวคนอื่นดูถูก แต่ควรที่จะกลัวใจตัวเองที่ชอบดูถูกตัวเอง อย่าไปกลัวคนอื่นกดขี่ข่มเหง แต่ควรที่จะกลัวใจตัวเองที่ชอบกดตัวเองให้ไร้ค่า อย่าดูถูกคุณค่าตัวเองถ้าศิษย์อยากจะเป็นคนที่น่ารัก นอกจากยิ้มเก่งแล้วอย่าเป็นคนยกตนข่มท่าน อย่าเป็นคนที่ชอบเอาใจตัวเองเป็นเกณฑ์แล้วตัดสินคนอื่นว่าคนอื่นผิด ตัวเองถูก สิ่งที่ไม่ชอบอย่าไปทำกับคนอื่น สิ่งที่เราไม่อยากได้ก็อย่าไปทำกับคนอื่น
พระพุทธะสอนให้เราไม่ใช่เป็นคนดีอย่างเดียว แต่เป็นคนดีแล้วต้องมีปัญญา ไม่ใช่เป็นคนดีที่ไร้ปัญญา การเรียนรู้ธรรมสอนให้เราทำอะไรอยู่บนโลกแล้วต้องรู้จักใช้ปัญญาให้เป็น อย่าเอาแต่เชื่ออย่างงมงาย อย่าเอาแต่เชื่ออย่างที่เขาว่าตามกันมาแล้วเราก็ทำตามไป แต่เราต้องมีปัญญาด้วย ทุกเรื่องราวต้องเอามาทำให้เราสูงขึ้น ไม่ใช่กดเราต่ำเตี้ยลง นี่ถึงจะเรียกว่าคนมีปัญญา แล้วทุกวันนี้ชีวิตเรายกให้ตัวเองสูงขึ้นหรือต่ำลง เอาเรื่องราวมาทำให้ตัวเองดีขึ้นหรือแย่ลง
ถามศิษย์รักทุกคนยังคงสบายดีไหม (สบายดี) บางทีคำว่าสบายดีของชีวิตแต่ละคนไม่ใช่ออกมาง่ายๆ จะพูดคำว่าสบายดีได้ก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะสบายจริงๆ ไหม ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เอ๋ย ไม่มีที่พึ่งไหนประเสริฐที่สุดเท่ากับที่พึ่งของคนที่รู้จักมีปัญญาปัญญาที่เข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตตัวเอง ถ้าเมื่อไหร่ศิษย์เข้าใจชีวิตตัวเอง โลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัว รู้จักผู้อื่นไม่มีประโยชน์เท่ารู้จักใจตัวเอง และพื้นฐานของการเข้าใจชีวิตตัวเอง ก็เมื่อเจอเรื่องราวอะไร หันกลับมาย้อนดูตัวเอง และรักษาความสมดุลให้ได้
คนเมื่อยามทุกข์ คนเมื่อยามเจ็บ เรียกว่า คนเสียศูนย์ แต่ธรรมะคือความสมดุลอันเป็นกลางและเป็นจริง ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่ศิษย์ทุกข์เพราะเสียศูนย์ ก็ต้องเอาธรรมะมาช่วยยั้งให้กลับมาสมดุลและเข้าใจความจริงอันเป็นกลางความเป็นจริงอันสมดุลทำให้เราอยู่ตรงกลางได้อย่างสงบสุข ถ้าเมื่อไรที่มองคนอื่นมากจนเจ็บปวด ลองลดการมองคนอื่นแล้วหันมามองตัวเองว่าดีกว่าเขาแล้วหรือยัง เมื่อไรที่ทุกข์มากๆ ลองมองให้ดีว่า มีทุกข์แล้วไม่มีสุขเลยจริงหรือ เมื่อไรที่มนุษย์หาความสมดุลในชีวิตได้ เมื่อนั้นเราจะไม่ทุกข์ แต่เราจะอยู่อย่างคนกลมกลืน สอดคล้องในธรรม
เมื่อพูดถึงเรื่องธรรมะศิษย์มักบอกว่าไกลเกินตัว เพราะตายแล้วก็จบกัน ธรรมะก็ไม่ต้องสนใจ ผิดชอบชั่วดีก็ไม่ต้องกังวล ตายแล้วจบไหม (ไม่จบ) ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า การกระทำวันนี้จะเป็นตัวกำหนดอนาคต อนาคตจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำวันนี้ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
โดยส่วนใหญ่มนุษย์เราทุกคนจำสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดีแม่นกว่ากัน (สิ่งที่ไม่ดี) ใครทำดีจำได้ไหม (ไม่ได้) ใครทำไม่ดีจำได้ไหม (จำได้) อย่าบอกว่าเวรกรรมไม่มีจริง เมื่อไรที่มนุษย์จำสิ่งที่ร้ายได้มากกว่าสิ่งที่ดี โอกาสที่มนุษย์จะผูกเวรจองกรรมก็เป็นเรื่องง่าย และโอกาสที่เราจะแก้แค้นก็เป็นเรื่องง่าย ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถ้าตอนเกิดยังไม่สิ้นทุกข์ ตอนตายก็ไม่มีวันสิ้นทุกข์ตอนเกิดยังเต็มไปด้วยความโลภ ความเศร้า กิเลสเต็มตัวไปหมด ตอนตายจะสิ้นทุกข์ไหม (ไม่) มีแต่ต้องสิ้นทุกข์ก่อนตาย ตายไปถึงจะหมดทุกข์ แล้วเราสิ้นทุกข์หรือยัง หมดทุกข์หรือยัง (ยัง)
อย่างนั้นเราควรจะทำอะไรเผื่อก่อนตายไหม (ความดี) ถ้าชีวิตต้องมีเวรกรรมที่ต้องชดใช้ เราควรจะทำอะไรเพื่อที่จะทำให้ตัวเองไม่ต้องกลับมาชดใช้ดีไหม (ดี) แล้วถ้าชีวิตหนึ่งเผื่อสิ้นทุกข์ได้ แล้วทำไมเราไม่ลองทำดูบ้าง แล้วเราคิดว่าเราสิ้นทุกข์ได้ไหม (ได้) อยากจะอยู่ในโลกให้สิ้นทุกข์ได้ เราต้องมองทุกอย่างในโลกอย่างที่คนมองแล้วเห็นชัด แล้วทำให้เราไม่เจ็บปวดได้เลย ถึงจะเรียกว่าคนที่สามารถเข้าใจชีวิต มีแฟนเราก็ทุกข์ มีเงินก็ทุกข์ มีเสื้อผ้าก็ทุกข์ มีรองเท้าก็ยังทุกข์ มีผมดำแล้วกลายเป็นผมขาวทุกข์ไหม (ทุกข์) แล้วมีอะไรที่ไม่ทำให้ทุกข์มีบ้างไหม (ไม่มี) มีเงินแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์) ธรรมง่ายๆ มีเหมือนไม่มี แต่เรามีแล้วเหมือนไม่มีไหม มีเงินอยู่ในธนาคารหนึ่งหมื่นบาทถามว่ามีไหม (ไม่มี) เพราะถ้ามีแล้วจะเอาอีกไหม (ไม่เอา) แต่บอกว่าไม่มีทุกทีทั้งที่จริงๆ มีใช่ไหม (ใช่) แล้วทุกข์เพราะมีหรือไม่มี (มี) ฉะนั้น ถ้ามีแล้วทุกข์ก็คิดว่ามีก็เหมือนไม่มี มีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกมีได้ ถ้าใจยังไม่พอ ถ้าใจยังไม่สุข ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากอยู่ในโลกอย่างมีความสุข จงคิดว่า ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว ดีแค่นี้ก็ดีแล้ว ส่วนที่เหลือจะได้หรือไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร รักษาความสมดุล มีก็เหมือนไม่มี ไม่มีก็เหมือนมี ฉะนั้นอย่าลืมความสมดุลของจิตใจ อย่าคิดว่าตัวเองขาดแคลน จนลืมว่าตัวเรามี อย่าคิดว่าตัวเองมีจนขาดแคลนไม่ได้ ไม่เช่นนั้นศิษย์จะทุกข์ใจเพราะตัวเองที่ถูกความคิดครอบงำ ตายเพราะความคิดตัวเอง ทำไมฉันยังไม่มี ทั้งที่จริงแล้วถ้าเทียบกับคนอื่น ก็เรียกว่ามีแล้วนะ
มนุษย์มีทุกข์กับสิ่งที่มี และทุกข์กับสิ่งที่ไม่มี อะไรที่ทำให้เราเห็นว่ามีแล้วทุกข์ ก็หลับตาแล้วคิดว่า มีก็เหมือนไม่มี เหมือนอะไรที่เห็นมาก รู้มาก เจ็บไหม (เจ็บ) แล้วศิษย์เคยคิดไหมว่า สิ่งที่เห็นสิ่งที่รู้ จริงๆ แล้วศิษย์ยังไม่เห็น ไม่รู้ รู้จักสามีมาก็นานแล้ว ทำไมสามีถึงทำกับเราอย่างนี้ จริงไหม (จริง) สามีเองก็รู้จักภรรยา แต่ถึงเวลาภรรยากับสามีต่างก็ทำอะไรที่ทำให้คาดไม่ถึงได้เหมือนกัน จริงไหม (จริง) แล้วชีวิตที่เราคิดว่าเรารู้ชัด เห็นชัด คนที่เรารู้จักเขาดี ทำอะไรที่เราไม่คาคคิดได้ไหม (ได้) แล้วชีวิตสามารถพลิกจนเรานึกไม่ถึง เป็นไปได้ไหม แล้วทำไมไม่เผื่อใจบ้าง เวลาชีวิตเจอทางตันจะได้มีสติ ว่าชีวิตมันเกิดอะไรขึ้นก็ได้ ขึ้นชื่อว่าชีวิต อะไรมันก็เปลี่ยนได้ ฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์รู้บางครั้งก็อาจจะ (ไม่รู้) สิ่งที่ศิษย์เข้าใจ บางครั้งศิษย์ก็อาจจะ (ไม่เข้าใจ) เพื่อรักษา (ความสมดุล) และกลับคืนสู่สภาวธรรมอันเป็นปกติ เมื่อไหร่ที่จิตรักษาความเป็นปกติได้ นั่นคือการดำเนินชีวิตอย่างสอดคล้องกลมกลืนกับความแตกต่างที่เรียกว่า สภาวะคู่
โลกนี้มีภาวะคู่ มีดำก็มี (ขาว) มีดีก็มี (ชั่ว) มีทุกข์ก็มี (สุข) มีล้มเหลวก็มี (สำเร็จ) ฉะนั้นเวลาทำอะไรหวังแต่สำเร็จไม่ให้ล้มเหลว ได้ไหม (ไม่ได้) เมื่อไหร่ที่คิดอย่างนั้นศิษย์กำลังจะทำให้ตัวเองเสียศูนย์ในความเป็นจริง และหลงลืมความเป็นจริงที่เรียกว่า สภาวธรรมอันเป็นกลาง
ศิษย์เอ๋ย เกิดมาทั้งทีอย่าอกหักแล้วตาย อย่าจนแล้วฆ่าตัวตาย อย่าล้มละลายแล้วผูกคอตาย น่าเสียดาย จริงไหม (จริง) เอาให้อกหัก ล้มละลาย ยากจน ชดใช้ให้ครบ ก่อนจะตายถ้ายังไม่ครบอย่าเพิ่งตาย ให้รู้หมดทุกรสชาติ จะได้เกิดมาไม่เสียเปล่า ยากจนก็เคย ล้มละลายก็เคย แล้วตอนนี้ยังยืนอยู่ได้ น่าภูมิใจนะ การเกิดเป็นคน ประเสริฐที่สุด สามารถทำบุญสร้างกุศลได้ สามารถทำให้ถึงคำว่า “มรรคผลพระนิพพาน” ได้ ฉะนั้นอย่าดูเบาตัวเอง ถึงแม้จะผ่านมาครึ่งชีวิตแล้ว ถ้าเราทุกข์แล้วจะทำอย่างไรที่ทำให้เราพ้นทุกข์ได้ ทำได้ด้วยการเอาธรรมะมาใช้ (รู้ทันใจตัวเอง, ความเป็นจริงของชีวิต, การยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรา)
(พระอาจารย์เมตตาหยิบลูกทับทิมขึ้นมาเป็นตัวอย่าง)
ศิษย์เคยใช้อะไรอย่างหนึ่งมาทำให้เห็นในใจตัวเองไหม เห็นสิ่งหนึ่งแล้วสะท้อนเห็นอีกสิ่งหนึ่ง
เห็นสิ่งหนึ่งแล้วสะท้อนตัวตนและเห็นสิ่งหนึ่ง เห็นมากกว่าเห็น เหมือนเราเห็นทับทิมลูกหนึ่งเราสามารถเห็นได้ถึงความทุกข์ยากลำบากกว่าจะปลูกอันนี้มาได้ เราเห็นถึงน้ำตา เห็นถึงการสูญเสีย เห็นถึงการหลอกลวง เห็นทั้งหยาดเหงื่อแรงงาน เรามองเห็นไหม (เห็น) แต่ชีวิตมนุษย์มักไม่เห็นในสิ่งที่ควรจะเห็น แต่เห็นเฉพาะสิ่งที่ตัวเองอยากเห็น ถ้าอาจารย์ถามว่ากินทับทิมอันนี้อร่อยไหมก็น่าจะอร่อย แต่คำว่าน่าจะอร่อยมันมีไม่อร่อยไหม (มี) ฉะนั้นถ้าเราซื้อแล้วเราคาดหวังว่ามันจะอร่อย แล้วก็ยึดติดว่ามันจะอร่อย คนที่ยึดติดและคาดหวังก็คือคนที่สร้างกรอบให้ตัวเองทุกข์โดยง่าย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ศิษย์รู้ว่าอันนี้มันคือทุกข์ แล้วเราเห็นชัด แล้วเราไม่เป็นทุกข์กับมัน เราแค่เห็น แล้วไม่เอามาใส่ใจ จะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) แต่ทุกครั้งที่เวลาทุกข์มา เราหยิบมาใส่ใจทันที “ฉะนั้นถ้าอยากจะพ้นทุกข์ เมื่อไรที่รู้ว่าเป็นทุกข์ จงมีสติยั้งคิด จงมีธรรมะยั้งใจว่าเราจะเป็นแค่ผู้เห็น แต่ไม่ไปเป็น” ธรรมะนี้เป็นธรรมะขั้นสูงนะ เพราะต้องฝึกที่จิตใจตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก) อาจารย์ยังไม่เห็นใครทำได้อย่างนี้ จริงไหม (จริง) ศิษย์เคยไหม ถ้าตอนนี้เราเห็นมันเป็นทุกข์และเราเห็นใจตัวเราเองด้วย ประเมินใจตัวเองได้ ไม่ไหวแน่ ไม่รับ ไม่เอา แล้วเราหยุดทุกข์ได้ไหม (ได้)
ศิษย์ส่วนใหญ่ใครโกรธมาก็โกรธกลับ ใครด่ามาก็ด่ากลับ แรงมาก็แรงกลับ อาจารย์จะบอกว่า ผู้เข้าถึงธรรมจะสามารถทั้งเห็นและไม่เห็น จะเห็นทั้งข้างนอกและสามารถสะท้อนถึงข้างใน นั่นเรียกว่า ฝึกฝนบำเพ็ญจนเกิดปัญญา อะไรก็ลวงให้หลงไม่ได้อีกต่อไป ยากไหม (ไม่ยาก) แต่เมื่อไรจะทำสักที ตกเป็นทาสของความคิดทุกที ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ฉะนั้นถ้าอยู่ในโลกไม่ให้เป็นทุกข์นะศิษย์ ทั้งอยากและไม่อยาก เผื่อใจไว้ศิษย์ รักษาสมดุลในใจไว้ ได้ไม่ได้ ไม่เป็นไร ดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ ฉันเข้าใจตัวเองว่า ฉันไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรมก็พอ ส่วนใครจะว่าอย่างไรก็เรื่องของเขา เราถูกต้องเป็นพอ จริงไหม (จริง) สิ่งที่มันธรรมดา มันกลายเป็นสิ่งที่อยากและไม่อยากได้ด้วยหัวใจของมนุษย์ กินแล้วสุขมากเท่าไร ก็ทุกข์มากเท่านั้น จริงไหม (จริง) แล้วชีวิตนี้มีอะไรบ้าง ที่สุขแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)
อะไรในโลกที่ศิษย์มีสุขมากแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี) ตัวเราสุขมากเท่าไหร่ ตัวเราก็เจ็บมากเท่านั้น เรารักสามีมากเท่าไรก็เจ็บมากเท่านั้น เงินทองหามาเหนื่อยแทบตาย ยิ่งหามากก็ยิ่งเจ็บมาก แล้วเอาไหม (เอา) สิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกข์มีอยู่ไม่กี่อย่าง อย่างแรกคือทุกข์จากความเป็นจริงที่ใครๆ ก็หนีไม่พ้น ใครหนีความแก่ หนีเจ็บ หนีความตายได้ไหม (ไม่ได้)
ฉะนั้นควรดีใจกับความเป็นจริง (แก่,เจ็บ,ตาย) เพราะเมื่อไรที่จิตไม่ยึดมั่นถือมั่นในความแก่ เจ็บ ตาย เมื่อความแก่เจ็บตายมาถึงจะได้ไม่ทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรใจเราตีกรอบ อย่าแก่ พอแค่โดนทักหน่อยว่าแก่แล้ว พูดอย่างนี้ได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ความทุกข์ทีศิษย์เป็นคนสร้างแล้วตีกรอบให้ตัวเองยิ่งทุกข์นั่นคือ “ห้ามทุกข์ ห้ามล้มเหลว ห้ามโดนด่า ห้ามอกหัก” เป็นทุกข์ที่ศิษย์เป็นคนกำหนดเอง ตีกรอบยึดมั่นว่าห้ามทั้งที่จริงๆ แล้วห้ามได้ไหม (ไม่ได้) แล้วในใจเรามีสิ่งนี้อยู่ไหม (มี) แล้วห้ามได้ไหม (ไม่ได้) อย่างนั้นแล้วควรจะมีไหม (ไม่ควร) ฉะนั้นวิธีแก้ที่ดีที่สุดที่เราจะพยายาม ศิษย์รู้ไหมสิ่งที่ทำให้ศิษย์ทุกข์ก็คือ ความคิดที่ครอบงำชีวิต เมื่อไรที่ปล่อยให้ความคิดครอบงำชีวิต มนุษย์จะไม่สามารถเข้าถึงปัญญาที่เห็นแจ้งในธรรมได้ ดั่งเช่นเวลาที่เราตีกรอบว่า “ธรรมะ ต้องเป็นพระภิกษุพูดเท่านั้น” ถ้าคิดแค่นี้ศิษย์ก็จะฟังใครที่พูดธรรมะไม่ได้ “ธรรมะต้องอยู่ในวัดเท่านั้น” ฉะนั้นข้างนอกไม่ใช่ธรรมะหรือ เหมือนกันถ้าชีวิตเราตีกรอบความคิดว่า ฉันต้องสุข ห้ามทุกข์ ฉันต้องดีห้ามร้าย ฉันต้องสำเร็จห้ามล้มเหลว คิดแบบนี้ก็ทุกข์แล้ว ฉะนั้นถ้าเราอยากมีชีวิตที่เข้าใจความจริง ศิษย์ต้องล้างความคิดนี้ออกจากใจ เพราะถ้าล้างไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็ทุกข์
แม้ฟังพระเทศน์หรือแม้แต่พระพุทธองค์ลงมาโปรดศิษย์ก็ทุกข์ เพราะศิษย์อยากมีสุขอย่างเดียว ไม่เข้าใจความทุกข์ ในทุกข์ที่สุดในผิดหวังที่สุด ไม่มีความสำเร็จไม่มีความสุขหรือ (มี) ยามที่ศิษย์อ่อนแอที่สุด มีความเข้มแข็งไหม (มี) ในวันที่เราเจ็บปวดที่สุด ไม่มีเรื่องดีๆ ให้เราเห็นบ้างหรือ (มี) แล้วเราลุกขึ้นมายืนกับความเป็นจริงนั้นไม่ได้หรือ ถ้าศิษย์อยากไม่ทุกข์ ศิษย์ต้องระวังความคิดที่มาครอบงำจิตใจศิษย์ เหมือนที่ศิษย์มองอาจารย์แล้วคิดว่า นี่คือพระอาจารย์จริงหรือเปล่า หลอกกันหรือเปล่า หากคิดเช่นนี้ตลอดก็ฟังอาจารย์ไม่เข้าใจ เพราะความคิดอยู่ข้างใน มองใครก็มองไม่รู้ ฟังใครก็ฟังไม่ชัด
มีทุกข์อีกอย่างหนึ่งที่น่ากลัว และทำให้เราหนีไม่พ้นเวรกรรม นั่นคือ ทุกข์ที่เกิดจากกิเลส ตัณหา ความโลภหลง
ศิษย์จำไว้นะ โลภ โกรธ หลง หนีไม่พ้นคือ ทุกข์ บาป เวรกรรม และวิบากกรรมที่ต้องรับ เมื่อไหร่ที่ศิษย์ตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ศิษย์จะหนีไม่พ้นเวรกรรมที่ศิษย์ต้องชดใช้ เมื่อไหร่ที่ศิษย์ตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง จนลืมซึ่งคุณธรรมความดี ศิษย์จะหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ศิษย์จะต้องกลับไปแบกรับ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราจะทำอย่างไรละ ที่จะแก้ไข โลภ โกรธ หลง นี้ได้ เราไม่เคยจัดการมันได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) โลภ โกรธ หลง ใครเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา (ตัวเราเอง) แล้วโรงงานที่ผลิตโลภ โกรธ หลงคือใคร (ตัวเราเอง) เช่นนั้นเราควรทำลายโรงงาน หรือควรทำลายโลภ โกรธ หลง (โลภ โกรธ หลง) พระพุทธองค์จึงกล่าวไว้ว่า เราไม่สามารถทำลายกิเลสได้ ถ้าโรงงานผลิตกิเลสยังคงสร้างอยู่ไม่จบสิ้น แก้กันมาเป็นสิบปีก็ยังแก้ไม่ได้ จริงไหม (จริง) เห็นอะไรก็อยากได้ เห็นตัวเองก็อดหลงตัวเองไม่ได้ (เป็น) เห็นใครไม่ดีก็อดโมโหโทโสไม่ได้ แต่ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถ้าเราสามารถเข้าใจอะไรจนชัด เห็นอะไรจนมันแจ่มแจ้งแล้ว เรายังอยากจะได้มันอีกไหม (ไม่) ถ้าสิ่งที่ศิษย์จะได้ มันทั้งทุกข์ ทั้งเจ็บ ทั้งพลัดพราก ทั้งทำให้เราสูญเสียความเป็นคน หรือทำให้เราสูญเสียชีวิตได้ เราจะมีมันไหม (ไม่มี) จะเอาไหม (ไม่เอา) แล้วถึงเวลาเอาไหม (เอา) แปลว่าเรายังเห็นไม่ชัดใช่ไหม (ใช่) ถ้ามีเงินแล้วมันเจ็บเพราะเงิน จะมีไหม (ไม่มี) ถ้าอยากมีเงิน มีแล้วมันทำให้เราผิดศีล ไม่มีก็ได้ ความอยากนั้นก็จะไม่ฆ่าเรา แล้วส่งผลให้เราต้องทุกข์ ถ้ามีเงินแล้วทำให้เราขาดความเป็นคน ขาดคุณธรรมความเป็นคน มีน้อยหน่อยก็ได้ ดีไหม (ดี) ถ้ามีเงินแล้วมันทำให้เราต้องทุกข์จนหาที่สิ้นสุดทุกข์ไม่เจอ ก็ควรพอเท่านี้ เราจะหยุดโลภทันทีเลยจริงไหม แต่ถึงเวลาพอมีเงิน เรามักไม่สนใจศีลธรรม ศิษย์เอ๋ย ธรรมะที่เราเรียนรู้ ศีลมีไว้เพื่อไม่ประพฤติผิด ธรรมมีไว้เพื่อดำรงตนให้มีคุณค่า สร้างคุณค่าให้กับตัวเองในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ส่วนการรู้แจ้งในธรรมเพื่อนำพาให้เราพ้นทุกข์และไม่ตกเป็นทาสของความทุกข์ หรือไม่ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา เข้าใจไหม (เข้าใจ) ฉะนั้นถ้าดำรงชีวิตครองในศีล ไม่เบียดเบียนใคร ความโลภนั้นจะทำให้เราทำบาปไหม (ไม่) ถ้าดำรงชีวิตครองในคุณธรรม จะมีเมตตาธรรม มีมโนธรรมสำนึก เราจะโกงใครไหม (ไม่) เราจะเบียดเบียนใคร เราจะฉ้อฉลไหม (ไม่) แล้วทุกครั้งที่เราตกเป็นทาสของกิเลส เรามีศีลไหม (ไม่มี) เรามีธรรมไหม (ไม่มี) แล้วเรานึกถึงความเป็นจริงไหม (ไม่) มันก็เจ๊งไปตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว จริงไหม
ฉะนั้นถึงที่สุดแล้วเราก็ต้องทุกข์ แล้วเวียนไปในวัฏจักรแห่งกรรมที่เรียกว่า “ตัวตนเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งมวล” หรือเรียกอีกอย่างว่า มนุษย์เป็นผู้สร้างและก็เป็นผู้ทำลายทุกอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์เป็นตัวตนของผลผลิตกรรมที่เราสร้าง อนาคตจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับวันนี้เราทำสิ่งใด ฉะนั้นเมื่อยังมีกรรมก็ต้องเวียนไม่สิ้น เพื่อรับผลกรรม แต่ถ้าเรามีวิถีทางหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเรามีโอกาสที่จะทำให้กรรมมันสิ้น แล้วกลับคืนสู่สภาวธรรม โดยที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก เราสนใจไหม (สนใจ) และเราคิดว่าเราทำได้ไหม (ทำได้) เหมือนเวลาที่เรารู้กันโดยส่วนใหญ่ว่า เราเกิดมาเพราะเรามีกรรม ฉะนั้นเมื่อไรที่เราสิ้นกรรม เราก็จะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเรายังสร้างกรรมอยู่เราก็จะเวียนว่ายไม่จบสิ้น ถูกหรือไม่ (ถูก) อาจารย์ถามศิษย์นะ ถ้าเราไปตีเขาเบาๆ ครั้งหนึ่ง เวลาเขาเอาคืนเขาตีเราคืนเบาๆ ไหม (ไม่) เขาจะตีเราแบบไหน (ตีแรงมากกว่าเราตี) ถ้าเราด่าเขาว่า ไอ้โง่ แล้วเขาจะด่าเราคืนว่า ไอ้โง่ เหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) แต่จะด่ามากกว่านั้น ใช่ไหม (ใช่) เราจะเจ็บกว่าเราด่าเขาไหม (เจ็บกว่า) แล้วที่ศิษย์ไปเอาของเขามาทั้งชีวิต แล้วที่ศิษย์ไปโกงเขามาทั้งชีวิต ไปเบียดเบียนเขาทั้งชีวิต ทั้งพรากลูก พรากแม่ พรากพ่อเขา เขาจะไม่เอาคืนเจ็บกว่าหรือ และเมื่อกรรมนั้นตกผล ตอนนั้นศิษย์จะร้องขออะไร ขอให้ธรรมะช่วยหรือ ในเมื่อตอนมีธรรมะไม่คิดอยากจะมี แล้วพอมีกรรมถึงอยากจะมีธรรมะ ทันไหม (ไม่ทัน)
ควรจะยั้งก่อนมี หรือมีแล้วค่อยมีธรรม (ยั้งก่อนมี) แล้วถึงเวลาเรามีธรรมหรือเราสร้างกรรม (สร้างกรรม) ศิษย์จำไว้นะ เมื่อไรที่ศิษย์ทำอะไรขาดศีลจะตกเป็นทาสของการสร้างกรรม เมื่อศิษย์ทำอะไรศิษย์ขาดคุณธรรม ศิษย์จะหนีไม่พ้นเวรกรรม ฉะนั้น พระพุทธะจึงสอนให้เราเกิดเป็นคน ศีลมีไว้เพื่อละบาป ธรรมมีไว้เพื่อประพฤติความเป็นคนให้ถูกต้องและสมบูรณ์แบบ ที่คนเขายกย่องว่ามนุษย์ผู้ประเสริฐ ประเสริฐเพราะคุณธรรม ผู้ใดมีธรรมผู้นั้นมีคุณอันประเสริฐ ฉะนั้น ถึงศิษย์จะทำดีแค่ไหน แต่ถ้าบาปศิษย์ไม่ละ ศิษย์ก็ยังหาเป็นคนดีไม่ ถึงศิษย์จะทำบุญมากขนาดไหนแต่ใจนั้นยังแอบเคลือบแฝงไปด้วยความโลภ โกรธ หลง บุญนั้นก็หาบริสุทธิ์ไม่ ถ้ากระทำบุญนั้นยังยึดติดในความถือตัวถือมั่น บุญนั้นก็ไม่เรียกว่าบุญอย่างแท้จริง แต่ยังเคลือบแฝงไปด้วยความหลง ฉะนั้นถ้าอยากทำบุญแล้วไปให้ถึงที่สุด บุญนั้นจะได้มากกว่าบุญ ถ้าทำแล้วไม่ยึดติดตัวตน ทำแล้วไม่ยึดมั่นหวังวอนขอ บุญนั้นเรียกว่า กุศล ถ้าทำแล้วสามารถชะล้างความเป็นตัวตนได้ บุญนั้นจะกลายเป็นบุญแท้ที่นำไปสู่กุศล ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าทำแล้วยังมีตัวตนไปรองรับ แปลว่าเราอยากได้บุญนั้นเพื่อกลับมาเสวยบุญอีก และเมื่อหมดบุญเราก็ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดอีก แล้วมั่นใจหรือว่าบุญที่ศิษย์สร้างจะพอทำให้ศิษย์กลับเป็นคน ใช่ไหม (ใช่) อย่างนี้ควรที่จะตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ไหม (ไม่ควร) ฉะนั้นก่อนที่ศิษย์จะทำอะไร ยั้งใจถามตัวเอง ถูกต้องในศีลไหม มีคุณธรรมความเป็นคนไหม เสียสมดุลจนลืมธรรมะที่แท้จริง หรือเปล่า
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ซึ่งศิษย์ก็ไม่เคยผ่านด่านนี้เลยนั่นคือ โดนคนเขาด่า เป็นอะไรที่ง่ายที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ไม่มีใครผ่านได้สักคน หวั่นไหวทุกที ใช่หรือไม่ (ใช่) เจ็บปวดทุกทีที่โดนว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าโดนเขาด่า แล้วเราทำบุญด้วยการให้อภัย นั่นเรียกว่าเรากำลังสร้างทาน แปรบาปให้กลายเป็นบุญ แปรบุญให้กลายเป็นกุศล อภัยแปลว่าในใจยังยึดติดอยู่ แต่ถ้าเขาด่ามา เราเข้าใจความเป็นจริง รักษาจิตให้มันปรกติ มีปัญญาเห็นแจ้งในความเป็นจริงว่ามีคนชมก็มีคน (ด่า) มีดีก็มี (ชั่ว) มันเป็นเช่นนั้นเอง เราจะพ้นไหม (พ้น) พ้นแล้วนะ มันไม่มีตัวตนไปรองรับทุกข์อีก ถูกไหม (ถูก) มันกลายเป็น เช่นนั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้ามนุษย์อยากสิ้นทุกข์ สิ้นการเวียนว่ายตายเกิดจนหมดสิ้น มนุษย์จะต้องขจัดความเป็นตัวตนให้หมด เพราะถ้าขจัดความเป็นตัวตนหมดได้ มนุษย์จะสิ้นทุกข์ได้บนโลกใบนี้ จริงไหม (จริง)
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายเพลง)
“ถ้าเรียนรู้เห็น เพี้ยนหลอกสายตา” ถ้าศิษย์เรียนรู้อะไรเอาแต่มอง แต่ไม่ศึกษาอาจจะทำให้เราโดนหลอกได้ เพราะสิ่งที่เห็นอาจจะไม่เป็นจริงอย่างที่เข้าใจ และสิ่งที่เห็นพร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ฉะนั้นให้ใช้การรู้จักฟัง ฟังมากๆ ยิ่งได้กำไรมากใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าเอาแต่มองอย่างเดียวโดยไม่ศึกษาเรียนรู้ โดยไม่ศึกษาเพิ่มเติมเช่นนี้น่าเสียดาย หลักธรรมะโดยส่วนใหญ่บางคนบอกว่าลึกล้ำ ลึกลับ จริงๆ ธรรมะไม่ลึกลับเลยอยู่ที่เราจะค้นหาแล้วศึกษาด้วยความตั้งใจหรือเพียรพยายามหรือไม่
คนตอบคำถามอาจารย์ แล้วจะได้แอปเปิลแห่งความทุกข์มาก แล้วก็สุขมากเอาไหม (เอา) ให้ก็เอา เอาทุกอย่างเลย เอาทั้งทุกข์ทั้งสุขไม่จบสิ้นสักทีใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เอ๋ยถ้าศิษย์เห็นโลกใบนี้อย่างแจ่มชัด ศิษย์จะรู้ว่าไม่มีสิ่งไหนน่ายึดน่าเอาเลย เหมือนตอนที่ศิษย์ยังไม่แต่งงาน ก็อยากแต่ง แต่พอแต่งแล้วก็อยากไม่แต่ง ใช่ไหม (ใช่)
เกิดเป็นคนควรมีคุณธรรมอะไรอยู่ในใจตน ง่ายมากเลยจริงไหม
(ความเมตตา) เมื่อเมตตาจะนินทาใครไหม (ไม่) ถ้าเราเมตตาเราจะด่าใครไหม (ไม่) เราจะมีแต่ความเข้าใจ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นรักษาความเมตตาในใจจนทำให้เราสามารถมีศีล ธรรมและไม่ประพฤติผิด ถ้าเมตตาเราจะเบียดเบียนใครไหม เราจะคดโกงใครไหม (ไม่) เมตตาแล้วเราจะเข่นฆ่าใครไหม (ไม่) อย่างนั้นที่เรานินทาเขาได้ โกงเขาได้ เพราะเราไม่เมตตาพอ จริงหรือเปล่า
(ไม่คดโกง) ซื่อตรงแล้วอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเองไหม ถ้าคนไม่อยากจริงๆ อะไรเขาก็จะไม่โลภแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) รักษาความซื่อตรงนี้ไว้นะ ถ้าซื่อตรงได้ โลภ โกรธ หลง ก็คงน้อยลง
(การยอมรับความจริง) ถ้ารู้จักยอมรับความจริง เราจะเข้มแข็งได้นะ ยากนะ ทำให้ได้นะ
(ความซื่อสัตย์ ของเราและเขา) ไม่ต้องไม่สนใจเขา ของเราพอ เขามีไม่มีไม่เป็นไร เพราะเราเปลี่ยนคนข้างนอกไม่ได้ แต่เราดูแลใจตนเองได้ ใช่ไหม (ใช่) รักษาให้ดีนะ ไม่ใช่แค่นิดหน่อยก็โกงนะ
(ความอ่อนน้อมถ่อมตน) ตอบได้ดีนะ ถ้าศิษย์มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไปอยู่ที่ไหนจะเป็นที่รักเลย (ความอดทน) อดทนนั้น อดทนได้ แต่สิ่งที่จะทำให้เราอดทนได้มากกว่านั้นคือ เข้าใจ เพราะอดทนมันมีเวลาจำกัด มันมีความจำกัด แต่ถ้าศิษย์เข้าใจ เข้าใจความเป็นคน เข้าใจคนเป็นแบบนี้ ไม่ต้องอดทนเลย คนก็เป็นแบบนี้ อ่อ เราก็เคยเป็นแบบนี้ เขาก็เป็นได้ จริงไหม (จริง) ใช้ความเข้าใจให้กว้างให้ลึกที่สุด แล้วเราจะไม่โกรธใคร แต่เราจะมีแต่เข้าใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(มีความเพียร) คนเราจะสำเร็จได้นั้นต้องอาศัยความเพียรพยายาม ฉะนั้นถ้าศิษย์ตั้งใจอะไร อาจารย์ก็คิดว่าขาดความเพียรไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่ที่ล้มเหลว ถามใจตัวเองว่าเราเพียรน้อยไปหรือเปล่า เรายังมีความเพียรในความดีไม่ถึงที่สุดหรือไม่ (ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป) เกิดเป็นคน ถ้ามีความละอายเกรงกลัวต่อบาป ผิดบาปจะไม่เกิดเลย เมื่อผิดบาปไม่มี ทุกข์และเวรกรรมก็จางหายได้ แต่กลัวอย่างเดียว เล็กๆ กล้าทำ มันก็ขยายใหญ่ขึ้น ใช่หรือไม่ ฉะนั้นอย่าประมาทกับสิ่งที่เล็ก เพราะสิ่งที่เล็กเมื่อมันขยายใหญ่ขึ้นก็กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัว ถูกหรือไม่ (ถูก) รักษาใจดวงนี้ให้ดีนะ (ละบาปทำความดี) รู้จักละบาปบำเพ็ญบุญ อะไรที่เป็นบาปเราจะไม่ทำ แล้วบาปที่น่ากลัวที่สุดคือ (คิดผิดในใจตัวที่ไม่รู้จักบังคับตัวเอง) ผิดแล้วยังฝืนใจทำ ไม่ได้ฝืนใจ ผิดแล้วยังจงใจทำอีก ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นหยั่งรากลึกแห่งธรรมให้เยอะๆ อย่าทำให้ชีวิตต้องมัวหมองเพราะบาปกรรมที่ตัวเองก่อ เพราะเมื่อผลกรรมมันตกผลไม่มีใครช่วยศิษย์ได้นอกจากตัวเอง จริงไหม (จริง)
(ความซื่อสัตย์ ไม่ขโมยของผู้อื่นและมีธรรมในตน) ซื่อสัตย์ไม่ใช่แค่ขโมยของนะศิษย์ ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ซื่อสัตย์ต่อความเป็นคน ซื่อสัตย์ต่อการอยู่ในครอบครัว และซื่อสัตย์ต่อการดำรงตน ถ้าดำรงตนซื่อสัตย์ จะไม่ผิดลูกผิดเมียผู้อื่น ไม่ทำร้ายเพื่อน ถ้าดำรงตนซื่อสัตย์ในหน้าที่การงาน เราจะไม่ฉ้อฉล ไม่คดโกง ถูกหรือไม่ (ถูก) ทำให้ได้นะ
(นักเรียนถามพระอาจารย์ว่า กลับบ้านไปสามารถนำอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์มาถวายพระได้หรือไม่) อาจารย์ให้ศิษย์คิดเองนะ อาจารย์ถามใจของศิษย์ ถ้าเกิดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเทพที่อยู่บนฟ้า สิ่งหนึ่งที่ท่านมีคือ คุณธรรมมหาเมตตาที่ไม่จำกัด อย่างนั้น หัวอกคนมีเมตตาจะเอาชีวิตเขาเพื่อมาบำรุงชีวิตเราไหม (ไม่) และจะทนเห็นคนเขาทำบาปเพื่อเราไหม (ไม่) และจะทนเห็นคนทำผิด ฆ่าคน เพื่อเราไหม (ไม่) อย่างนั้น พุทธะอยากได้อาหารเนื้อสัตว์ไหม (ไม่) แต่อาจารย์เห็นที่ไหว้เนื้อสัตว์ ไม่ได้ไหว้ให้พุทธะ แต่ไหว้เพราะตัวเองอยากกิน จริงไหม (จริง) ส่วนตอนนี้การที่ศิษย์จะกินเจหรือไม่ ทำไมอาจารย์ถึงไม่ได้บังคับ เพราะเมตตาจิตต้องออกมาจากจิตที่ตั้งใจจริงๆ จึงเรียกว่าเมตตา ถ้าออกมาจากการบังคับก็ไม่ใช่เมตตา แต่คือการข่มใจ แต่การกินเจต้องเกิดจากใจเมตตา เหมือนอาจารย์ถามว่าศิษย์รู้ไหมว่าสิ่งที่ศิษย์กินล้วนต้องเกิดจากการฆ่า รู้ แต่ศิษย์ทำเหมือนไม่รู้ ศิษย์รู้ไหมว่าทุกครั้งที่ศิษย์เจ็บจากการโดนมีดบาดหนึ่งที ศิษย์ยังร้องโอย ไกลหัวใจ แต่ร้องเหมือนถูกเชือด
เล็บหลุดแค่นี้ยังเจ็บแทบตาย แล้วความตายที่ศิษย์ไปยัดเยียดให้กับสัตว์ตัวหนึ่งที่ไม่รู้อะไร เพื่อมาเสวยความอยากของเราแค่ไม่กี่คำ แล้วกลืนลงไปก็ออกมาเป็นของเสีย ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอาจารย์จะบอกว่า งดได้ก็งด ละได้ก็ละ เพราะกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นก็ต้องรับ ถึงศิษย์จะมีน้ำตานองหน้า ขอพระพุทธะก็ช่วยไม่ได้ เพราะศิษย์ทำเอง ฉะนั้นหัวอกของคนที่เรียกว่า มนุษย์ประเสริฐควรหรือที่ทำบาปเพียงเพื่อสนองความอยากของตัวเอง อาจารย์ถามจริงๆ นะ ไม่กินเขาแล้วเราจะตายไหม (ไม่ตาย) ไม่กินเขาแล้วเราอยู่ได้ไหม (อยู่ได้) พระพุทธะที่มีคนนับถือ มีคนกราบไหว้ เพราะเขายอมลำบากเพื่อคนอื่น เลือกให้ตัวเองลำบากเพื่อให้คนอื่นสบาย จึงเรียกว่า จิตแห่งพุทธะ จิตของคนที่มีธรรม แต่คนปัจจุบันนี้ ตัวเองสบายคนอื่นจะลำบากก็ช่างเขา อย่างนี้เรียกว่า จิตพุทธะหรือจิตมนุษย์ (จิตมนุษย์) ฉะนั้นศิษย์อย่าบอกอาจารย์ว่า เกิดเป็นคนไม่มีทางเลือก ทางมีให้เลือกแต่ศิษย์จะเลือกทางไหน แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า ไม่ใช่มีแค่สองทางคือนรกกับสวรรค์ แต่ยังมีอีกทางที่เรียกว่า ทางพ้นทุกข์นิจนิรันดร์ ก็คือทางกลับคืนสู่สภาวธรรมในใจตัวเอง กายกลับคืนสู่ดิน แต่จิตต้องกลับคืนสู่ฟ้า เมื่อใดที่มนุษย์ยังยึดถือความเป็นตัวตน มนุษย์ก็หนีไม่พ้นวัฏแห่งการเวียนว่าย คือผลแห่งกรรม แต่เมื่อใดที่ศิษย์ดำเนินชีวิต ทำบุญ ทำทาน สวดมนต์ อาจารย์ให้ศิษย์ยังทำเหมือนเดิม แต่อย่าทำบุญแค่เอาบุญ แต่ทำบุญไปให้ถึงกุศลและความสิ้นทุกข์ และเข้าถึงธรรมด้วยการที่ทำแล้วสลัดความยึดมั่นถือมั่น จะได้ไม่โลภมาก จะได้ปลงได้บ้าง ให้ไปเลย นั่นไม่ใช่แค่บุญ แต่ยิ่งกว่าบุญคือได้กุศล ได้ละความยึดมั่นถือมั่น ได้กระชากความหลงความยึดติดที่เราเคยมีมานาน ยากไหมไม่ยากเลย แล้วทุกครั้งที่เวลาใครว่าเรามา ดี ขอบคุณ ฉันจะจบกรรมวันนี้ โดนด่าฉันจะขอบคุณ เพราะถ้าด่ากลับก็เป็นเวรกรรมไม่จบสิ้นถูกไหม (ถูก) ถ้าแช่งชัก ไม่เป็นไรอดทนไว้ อย่างนี้ก็ยังไม่สิ้นกรรม เราต้องสามารถสิ้นกรรมจนใจนี้กลับคืนสู่ภาวะปกติ ไม่หวั่นไหว ไม่เอียงซ้าย ไม่เอียงขวา กลับคืนสู่ความสมดุล นั่นเรียกว่ากลับสู่ธรรม ไม่ห่วงตัวเองหรือศิษย์ ศิษย์ไม่รักตัวเองหรือ ในเมื่อมีโอกาสที่จะไปอีกทางหนึ่ง ให้ถึงที่สุด ทำไมเราไม่ไป
“ความเชื่อซ่อนพรางปัญญา” เวลาที่ศิษย์ทำอะไรก็ตามโดยเชื่อในหลักความถูกต้อง เชื่อในหลักความดีงาม แต่ความเชื่อนั้นต้องไม่อำพรางปัญญาที่แท้จริง เขาทำตามกันมาแล้วศิษย์ก็ทำ ทำอย่างไรที่บุญนั้นไม่ก่อบาป บุญนั้นไม่อิงแอบไปด้วยความโลภ ถ้าบุญนั้นยังมีบาปอยู่ บุญนั้นยังไม่บริสุทธิ์ แต่บุญนั้นต้องสามารถชะล้างความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และหมดสิ้นซึ่งกิเลสตัณหาในใจได้ บุญนั้นจึงจะบริสุทธิ์และบุญจะกลายเป็นกุศล นำพาให้ชีวิตพ้นทุกข์ได้
ศิษย์ยังมีบ้านที่ต้องกลับ กายยังรู้จักกลับบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วจิตเดิมแท้ไม่มีบ้านหรือ เราคือหนึ่งในธรรมะ เราคือหนึ่งในสภาวธรรม และทุกคนมีสภาวธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน และไม่คิดกลับบ้านที่แท้จริงหรือ ทำไมอยากกลับแต่บ้านที่มันมีแต่เวรกรรมทุกข์สุข ไม่เคยอยากกลับบ้านที่แท้หรือ บ้านที่ทำให้ศิษย์ไม่ต้องทุกข์ บ้านที่ศิษย์ไม่ต้องเจ็บปวดอีก ไม่ต้องมาร้องขอให้อาจารย์ช่วยอีก แต่บ้านนั้นจะค้นพบได้ด้วยตัวศิษย์ทุกคนรู้จักประพฤติปฏิบัติ จริงไหม (จริง) เวลาท้อแท้ เรามีบ้านให้พึ่งพิง แต่เมื่อไหร่ที่ศิษย์ทุกข์ ศิษย์ยังมีธรรมะให้ศิษย์พ้นทุกข์ มีธรรมะให้ศิษย์กลับคืน ฉะนั้น อย่าลืมธรรมในตัวเอง ธรรมที่บริสุทธิ์งดงาม ร่มเย็น ธรรมที่ไม่ต้องการอะไรเลย แต่มันคือความบริสุทธิ์ใสที่แท้จริง
อาจารย์ก็ไม่อยากร้องไห้หรอก แต่เสียดายจริงๆ ที่ศิษย์ยังทำไม่ได้ แล้วถึงที่สุดศิษย์ก็ไม่ทำ ช่างน่าเสียดาย รู้จนถึงที่สุด แต่ถึงที่สุดก็ไม่ทำ ที่รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่ถึงที่สุดก็เลือกทำในสิ่งที่ไม่ดี ประคองรักษาความดีงามในใจตัวเองนะ อย่าพ่ายแพ้กิเลส อารมณ์ และความอยากเพียงชั่ววูบ ไม่เคยมีอะไรที่ศิษย์มีแล้วไม่เจ็บไม่ทุกข์ ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดก็คือ ไม่อยากได้อะไรในโลกนี้แล้ว จริงไหม (จริง) เราเคยมาหมดทุกอย่างแล้วนี่ พอไม่ได้หรือ หยุดไม่ได้หรือ โกรธแล้วได้อะไร โกรธแล้วเราก็เจ็บ โลภ หลงมาแล้วได้อะไร เราจะสูงกว่าคนอื่นไหม เราก็ต้องกลับคืนสู่ความเป็นธรรมดาเหมือนกัน จริงไหมมาตัวเปล่าก็ต้องกลับ (ตัวเปล่า) มาแบบไม่มีก็ต้องกลับสู่ (ไม่มี) แล้วจริงๆ เรามีอะไร เราอยากมีอะไร อยากเพื่อให้เจ็บ เจ็บเพื่อให้ทุกข์ ทุกข์แล้วก็ทุกข์อีก แล้วถึงเวลาต้องมาทำใจดับทุกข์ ไตร่ตรองให้ดีนะ สิ่งที่อาจารย์พูดมานี้เพื่อตัวศิษย์เอง ถ้ารู้ได้เราก็พ้นทุกข์ได้ จริงไหม (จริง) อย่ากลัวความพ่ายแพ้ คนที่กล้ายอมแพ้คือคนที่ชนะแท้จริง แต่คนที่ไม่เคยแพ้แล้วพยายามไม่อยากแพ้ นั่นคือคนที่แพ้อย่างแท้จริง
อย่ากลัวความทุกข์ ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ความทุกข์มันมีทางพ้นทุกข์อยู่ในนั้นอยู่แล้ว อาจารย์ก็ขอบคุณในความมุ่งมั่นตั้งใจของศิษย์ รักษาสิ่งที่ถูกต้องอย่าทำในสิ่งที่ผิดบาปเลย ไม่อย่างนั้นคนที่ต้องรับผลของการกระทำนั่นก็คือตัวเราเอง บำเพ็ญให้ดี ไปให้ถึงที่สุด ถ้ายังมีอัตตาตัวตนเราจะไม่มีวันสิ้นทุกข์ อะไรที่ทำให้เราสิ้นอัตตาตัวตน สิ่งนั้นคือการตัดภพเวียนว่ายตายเกิดได้ “ทำเพื่อธรรม ไม่ใช่ทำเพื่อตน” ทำดีแล้วรักษาความดีต่อไป ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีนะศิษย์ เข้มแข็งไม่อ่อนแอ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าเกียจคร้าน ตั้งใจบำเพ็ญ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก
บำเพ็ญยากไหม ไม่ยาก แต่กลัวศิษย์ไม่ทำ ดูแลตัวเองให้ดีนะ รักษาความดีงามไว้ มีจิตใจที่มุ่งมั่นเป็นสิ่งที่ดี มีจิตใจเมตตาก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ขอให้รักษาจิตใจมุ่งมั่นและเมตตาไปพร้อมกัน อาจารย์คงต้องไปแล้ว บุญของศิษย์อยู่ที่ความกตัญญูรู้คุณ บารมีของศิษย์ก็อยู่ที่คุณธรรม ฉะนั้น รักษาบุญกับบารมีนี้ไว้ด้วยหัวใจที่ถูกต้องนะ
พากเพียรจนถึงที่สุด นั่นแหละคือหัวใจของศิษย์และหัวใจของอาจารย์ที่เหมือนกัน ไม่ยอมแพ้ ไม่กลัวลำบาก เสียสละอุทิศเพื่อผู้คน ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวทุกข์
ศิษย์เอ๋ย ถ้าอาจารย์พูดอย่างหนึ่งยอมฟังไหม ยอมรับความจริงเถิดนะ อย่าฝืนเลย อาจารย์อยากให้ศิษย์ยอมรับความจริง กลับไปเริ่มต้นใหม่ ศิษย์อย่าไปฝืนเลย มันเจ็บพอแล้ว มันทุกข์พอแล้ว เริ่มต้นใหม่เถอะเชื่ออาจารย์ ได้ไหม อย่าฝืนในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม
บุญรักษานะ ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้อง ขอความเข้มแข็งจงมีแด่ศิษย์ทุกคน ลุกขึ้นเดินนะ ดูแลตัวเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองทุกข์ในสิ่งที่ไม่ควรทุกข์เลย มีโอกาสกลับมาร่วมศึกษาบำเพ็ญกันอีกนะศิษย์เอ๋ย อย่าดูถูกดูเบาคุณค่าธรรมะในใจตัวเอง อย่าหลงพลาดผิดเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบ แล้วทำให้ชีวิตต้องพังทลายเลย น่าเสียดายนะ เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้สิ่งที่ถูกต้องนั้นอาจจะแลกด้วยน้ำตา เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้สิ่งที่ถูกต้องอาจจะฝืนใจ แต่ถ้าผ่านได้ เราคือผู้ที่เข้าใจสภาวธรรมอันว่างเปล่าจากตัวตน กลับคืนสู่ธรรมกันเถิด ตัวตนมีแต่ความทุกข์ กลับสู่ธรรมกันไหม
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ศีล ทำ”
ความเชื่อซ่อนพรางปัญญา ศรัทธามีโลภหลงอยู่
สับสนในความรู้รู้ จะอยู่มีธรรมเมื่อไร
ต้องใช้สติมานำ ศีลธรรมยั้งใจเอาไว้
ครองธรรมสถิตคู่กาย ไม่แพ้กิเลสอารมณ
