แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จินจง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จินจง แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561

2561-06-17 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร

西元二○一八年歲次戊戌五月初四日                                          仙佛慈悲訓

วันอาทิตย์ที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑                         สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  แม้สวดมนต์ใส่บาตรฟังธรรมะ          แต่ไม่ลดละเคยชินและนิสัย
เที่ยวว่าเขาเข้าข้างตัวเอาแต่ใจ           ยากเข้าถึงหัวใจแห่งธรรมะจริง
                                เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานจินจง  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม

  แจ้งโลกธาตุ[1]อย่างไรในเมื่อหนึ่งเดียวไม่รู้  ผู้เฝ้าดูดวงจิตเป็นกับไม่เป็น
ปลงไม่เป็นยังปรุงแต่งสิ่งที่เห็น               วางไม่เป็นยึดสัจจะสร้างตัวสร้างตน
ฝันที่พังมลายจะกรรมหรือความประมาท    ผู้เพียรตัดขาดอัตตาสิ้นด้วยฝึกฝน
ผู้มีธรรมในจะอยู่ก็เหมือนพ้น                อย่าเวียนวนมลทินซึ่งไร้ความเมตตาปรานี
ทำกายใจให้ว่างว่างไม่ต้องฝืน                คนเดิมคืนถิ่นคืนธรรมในความดี
ทำดีมีธรรมอยู่ทั่วไปความดี                  ทำดีละชั่วสัจจะทำความเป็นจริง
ควบคุมตนอยู่คงมีแต่ดีขึ้น                    ตามใจตนเมามึนไปได้ทุกสิ่ง
ค้นใจตนขณะที่หาที่ความจริง                คำว่าจริงจะเที่ยงแท้ไม่เคยมี
    ต่อให้ชัดเจนก็ชัดสุดแค่นั้น                   แม้แต่ขันธ์ต้องว่างไร้จึงเต็มที่
มีไม่เที่ยงในไม่เที่ยงคือไม่มี                   ลอกกระพี้[2]ชี้แก่นจริงใครก็ต้องการ
ไม่อยากใช้ธรรมแท้อยากใช้มักคุ้น            ทุกวันวุ่นโลภทุกข์อยากอยู่อย่างนั้น
รู้ตัวว่าหลงเป็นปลงไม่ปล่อยผ่าน            หากดื้อรั้นยากเปล่าในพ้นทุกข์ไกล
ยิ่งลดละยิ่งว่างตัวเองให้หมด                 แจ้งในกฎแห่งสามกาล[3]เป็นคนใหม่
น้ำใสใจจริงสิ่งตระหนักเดินทางไกล         ไกลแค่ไหนแก่นแท้สัจธรรมมานำทาง
                                                                         ฮา ฮา หยุด




[1] โลกธาตุ : แผ่นดิน
[2]กระพี้ : ส่วนของเนื้อไม้ที่หุ้มแก่น,  เนื้อไม้ที่อยู่ระหว่างเปลือกกับแก่น
[3] สามกาล : 三心 จิตที่ผูกพันกับอดีต ปัจจุบัน อนาคต

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ฟังมาเกือบวันครึ่งบางทีเราก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ตรงนี้ปฏิบัติธรรมกันอย่างไร เพราะว่าปกติเราก็ปฏิบัติธรรมกันมาบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  สวดมนต์ไหม (สวด)  ตักบาตรไหม (ตัก)  ทำบุญไหม (ทำ)  ทำบ่อยไหม (บ่อย, ไม่บ่อย)  นานๆ ทีหรือนานๆ ถี่ (นานๆ ที)  แปลว่าเราก็มีการทำบุญ สวดมนต์ มีไหว้พระมาบ้างใช่หรือไม่ เรียกว่าเราปฏิบัติธรรมถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าเราปฏิบัติธรรม ทำบุญ ใส่บาตร สวดมนต์แล้ว เราเหมาตัวเองว่าเป็นคนดีได้หรือไม่ (ไม่ได้)  เมื่อเหมาตนเองว่าเป็นคนดีไม่ได้ อย่างนั้นเรามีสิทธิ์ว่าใคร โกรธใครได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แต่อาจารย์เห็นบางคนไม่ใช่แบบนั้นนะ บางทีพอทำบุญใส่บาตร พยายามมีศีลมีธรรม แล้วก็เหมาว่าตนเองเป็นคนดี มีสิทธิ์ด่าใครที่ไม่ดีได้ มีสิทธิ์ตัดสินคนอื่นว่าไม่ดีได้และก็มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ว่าคนอื่นชั่วร้ายได้ อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เราเป็นอย่างนั้นเป็นบางครั้งหรือเกือบทุกครั้งกันล่ะ ถ้าเรามั่นใจว่าเราปฏิบัติดี แปลว่าอยู่ทุกที่เราก็ต้องปฏิบัติดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  และคนที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติแค่ที่วัดหรือทุกๆ ที่ (ทุกที่)  ฉะนั้นถ้าท่านเป็นผู้หนึ่งที่มุ่งมั่นอยากเป็นคนดีและมุ่งมั่นอยากปฏิบัติดี การปฏิบัติดีที่แท้จริงจึงไม่ใช่เอาความดีไปข่มคนอื่น การปฏิบัติดีที่แท้จริงคือทุกที่ก็สามารถปฏิบัติดีได้ การปฏิบัติดีที่แท้จริงไม่ใช่ปฏิบัติดีแต่กับพระ แต่เราต้องสามารถทำเหมือนทุกคนเป็นพระในทุกที่ เพราะเขากำลังมาโปรดเรา ให้เราเห็นพระแล้วเราจะได้เป็นพระ แต่เราทำได้อย่างนั้นไหม (ไม่ได้)
เราถามท่านง่ายๆ ถ้าพูดถึงธรรม ธรรมน่าจะแปลว่าความสงบ เย็น สบาย ถ้าอยากมีธรรม อยากพ้นทุกข์จึงต้องเข้าใจความหมายของธรรมให้แท้จริง และต้องเข้าใจการปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเดินแล้วจะหลงทาง กลายเป็นการปฏิบัติตามใจตัวเอง ดังนั้นถ้าเราปฏิบัติกับใครแล้วเกิดความสงบ เย็น สบายใจ นั่นคือการปฏิบัติธรรม อยู่กับเขาแล้วทำให้เขาร่มเย็นเป็นสุข นั่นคือการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นอย่ามองการปฏิบัติธรรมอย่างคับแคบตีกรอบ อย่ามองธรรมอย่างคับแคบจดจ่อ แต่จงมองแล้วเปิดให้กว้าง แล้วเราจะเห็นว่าเราก็ปฏิบัติธรรมได้จริงในทุกที่กับทุกคนจริงหรือไม่ (จริง)
ที่สุดของการปฏิบัติธรรมคือการดับทุกข์ แล้วศิษย์ปฏิบัติธรรมทุกที่หรือไม่เคยปฏิบัติเลยสักที่ คนที่ปฏิบัติดีจะไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ที่ไหนก็ต้องปฏิบัติดีจึงจะเรียกว่าเป็นนักปฏิบัติดีตัวจริง แต่ศิษย์เป็นนักปฏิบัติไม่จริง เพราะเลือกที่จะปฏิบัติกับบางคนเท่านั้น ศิษย์เป็นเช่นนั้นไหม
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม ถือว่ามาร่วมผูกบุญสัมพันธ์กัน แต่จะเป็นบุญหรือเป็นกรรมต่อกัน มนุษย์นั้นแปลก อยู่กับใครมักบอกมีบุญได้เจอกัน แต่พออยู่นานๆ รู้จักนิสัยใจคอ ก็จะบอกว่าเหมือนมีกรรม โดยเฉพาะสามีหรือภรรยา บุญนำพาหรือกรรมนำส่ง (กรรมนำส่ง)  แต่ตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆ ไม่เห็นบอกว่าเป็นกรรม ให้มองเป็นบุญดีกว่า ถ้ามองเป็นกรรมก็ต้องก้มหน้ารับกรรมต่อไป ถ้ามองเป็นบุญก็มีแต่ความสบายใจสุขใจ แต่ถ้ามองเป็นกรรม เมื่อต้องมาเจอกันก็มีแต่ทุกข์ใจจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นกรรมหรือบุญที่ได้มาเจอกัน (บุญ)  ไม่อาจหยั่งได้ จนกว่าเราจะได้เรียนรู้ใจซึ่งกันและกันและดำเนินชีวิตร่วมกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ตอนนี้อยากยืนหรืออยากนั่ง (นั่ง)  ถ้าอาจารย์ไม่ให้นั่งแปลว่าบุญหรือกรรม (กรรม)  จะบุญหรือกรรมอยู่ที่ใจเราคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าไม่ได้นั่งคือกรรมจริงๆ หรือ (ถ้ายืนทำให้มองไม่เห็นอาจารย์)  จิตนิ่งอยู่ที่ไหนก็สามารถเห็นอาจารย์ได้ ถึงตอนนี้ตาจะมองเห็นอาจารย์ แต่ถ้าใจไม่นิ่งเห็นก็เหมือนไม่เห็น จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นยืนหรือนั่งดี (นั่ง)  ให้อาจารย์นั่ง แล้วให้ศิษย์ยืนใช่ไหม (ใช่)  ยืนไหวไหม เวลาศิษย์ยืนเชียร์บอลยังยืนได้เป็นชั่วโมงๆ เลย เวลาไปจ่ายตลาดยังเดินได้นานไม่เห็นเมื่อยเลย ก็คิดว่าตอนนี้มาจ่ายตลาด มาเชียร์บอลกับอาจารย์ จะได้ไม่เมื่อยได้ไหม (ได้)
อาจารย์ถามศิษย์หน่อยนะ ในโลกนี้สิ่งใดร้ายที่สุด (ใจตัวเอง)  ใจแบบไหนที่เรียกว่าร้าย (คิดไม่ดีต่อคนอื่น)  คิดไม่ดีบ่อยไหม ถ้าคิดไม่ดีบ่อยจะได้บอกให้คนอื่นๆ อยู่ห่างๆ ศิษย์ไว้ เพราะว่าไม่ว่าจะทำดีอย่างไรศิษย์ก็คิดไม่ดี
ใจคือสิ่งที่น่ากลัวและร้ายที่สุด เพราะใจคนมีทั้งดีร้าย ที่ดีก็ดีใจหาย ที่ร้ายก็ร้ายน่ากลัว ฉะนั้นคนที่ยอมรับว่าตัวเองร้ายก็ยังพอที่จะควบคุมจัดการได้ คนที่บอกว่าตัวเองร้าย อะไรบ้างที่ทำให้เราร้าย แล้วคนที่คิดว่าตัวเองดีจะร้ายได้ไหม (ได้)  แปลว่าเริ่มรู้ตัวแล้ว เพราะคิดว่าตัวเองดีใครว่าไม่ได้ เราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)  บางครั้งก็คิดว่าตัวเองดีมีสิทธิ์ว่าคนอื่นได้ บ้างก็คิดว่าตัวเองดีทุกคนต้องดีกับฉัน อย่างนี้เรียกว่าร้าย
ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องระมัดระวังในการศึกษาปฏิบัติธรรมคือ นอกจากปฏิบัติให้ดีแล้ว ต้องมีสติรู้เท่าทันใจตัวเองด้วย เพราะไม่ว่าจะดีหรือร้าย เราก็พร้อมเป็นคนที่น่ากลัวได้เสมอ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วคนที่ชอบสงสารตัวเอง ร้ายได้ไหม (ได้)  อาจารย์ถามหน่อย “ฉันเหนื่อย ฉันไม่ไหว ไม่เอา แกทำไป” ร้ายไหม (ร้าย)  เมื่อไรที่เห็นแก่ตัวเอง สงสารตัวเองมากเท่าไร เราก็พร้อมที่จะเอาเปรียบและร้ายกับคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ แต่จริงๆ ก็แอบมีเจตนาเล็กๆ ถูกไหม (ถูก)  เพราะเมื่อไรที่เราเห็นใจตัวเอง เราจะเห็นใจผู้อื่นน้อยลง เมื่อไรที่เราสงสารตัวเองมาก เราจะสงสารผู้อื่นได้น้อยลง ฉะนั้นอย่าคิดว่า คำว่าสงสารจะไม่น่ากลัว ศิษย์คิดว่า “ฉันเหนื่อยแล้ว ไม่ไหวแล้ว แย่แล้ว” แล้วศิษย์เคยมองเห็นไหมว่า คนอื่นที่เขาก้มหน้าก้มตาทำ เขาก็เกือบจะตายอยู่แล้ว
เมื่อไรที่ศิษย์มีกินโดยที่ไม่ต้องทำอะไร เมื่อไรที่ศิษย์มีโอกาสได้โดยที่ยังไม่ได้สร้างผลงาน จำไว้ว่าต้องมีอีกคนหนึ่งที่เขาต้องเหนื่อยมากกว่าเราเป็นหนึ่งเท่า เพื่อทำให้เราได้กิน ได้ผลงาน ฉะนั้นอย่าสงสารตัวเองจนลืมสงสารผู้อื่น อย่าเห็นแก่ตัวจนลืมเห็นใจคนอื่น เพราะความสงสารตัวเองก็จะทำให้เราสร้างพิษร้ายกับคนอื่นได้เหมือนกัน เพราะทำอะไรทำเพื่อตนเอง คนอื่นไม่สนใจ ร้ายไหม (ร้าย)  เมื่อไรที่ทำอะไรถือตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง ทำอะไรเพื่อตนเองเป็นที่ตั้ง คือหนีไม่พ้นเหตุแห่งบาปและความหลง พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า เมื่อไรที่เราเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ หนีไม่พ้นทางบาปหนีไม่พ้นความทุกข์ ไม่มีภัยพิบัติใดในโลกน่ากลัวเท่ากับการสนองความอยากของตนโดยเบียดบังชีวิตผู้อื่น ไม่มีภัยใดน่ากลัวเท่ากับสนองความอยากของตนแล้วผลาญทรัพยากรในโลกเพื่อความต้องการของคนๆ เดียว แล้วเราใช่หรือไม่ใช่คนเช่นนั้น ทำอะไรก็ได้ตามใจอยาก โดยที่ไม่สนใจผิดชอบชั่วดีและถูกต้องในศีลธรรม
มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า ถ้ามนุษย์ปรารถนาความสงบสุขเมื่อยามมีชีวิต จงอย่าเบียดเบียนผู้อื่นเพื่อชีวิตตน ผู้ใดทำความยากลำบากให้ผู้อื่น ผู้นั้นจะต้องพบความยากลำบากในชีวิต ผู้ใดรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น ผู้นั้นก็จะเท่ากับช่วยเหลือชีวิตตน ผู้ใดเบียดเบียนผู้อื่นแม้กรรมนั้นจะแล่นไปไกลขนาดไหน แต่สักวันหนึ่งกรรมนั้นก็จะกลับมาหาผู้กระทำนั้นอย่างไม่บิดพลิ้ว
ฉะนั้นเกิดเป็นคน อย่าให้ความอยากของตนไปเบียดเบียนชีวิตคนอื่น หรือผิดศีลขาดธรรม เพราะเมื่อกรรมตกผล ต่อให้ศิษย์หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว ต่อให้ศิษย์พ้นจากชะตากรรมในสังขารนี้ ไม่ว่าจะเกิดกี่ภพกี่ชาติกรรมนั้นก็จะติดตามไปอย่างหลีกหนีไม่พ้น พระพุทธะจึงกล่าวต่ออีกว่า “กิเลสอารมณ์ดุจไฟบรรลัยกัลป์” ถ้าใครคิดอยากจะลองเล่นกับกิเลสอารมณ์ก็หนีไม่พ้นไฟนรก ตัณหาความอยากได้อยากมีเปรียบเหมือนทะเลทุกข์ ถ้าศิษย์ยังหยุดความอยากไม่ได้ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ฉะนั้นแปรความคิดให้กลายเป็นจิตบริสุทธิ์แปรไฟร้อนให้กลายเป็นน้ำเย็น แปรจิตทำบาปทำชั่วเป็นละอายเกรงกลัวต่อบาปกรรม นาวาก็แล่นคืนสู่ฝั่ง เหมือนดังคำกล่าวว่า “เพชรฆาตวางดาบลงก็กลายเป็นพุทธะ” มนุษย์สำนึกได้ ไม่ทำผิด ไม่ก่อบาป เขาก็กลายเป็นพุทธะบนแดนดิน ที่อาจารย์กล่าวยาวมาทั้งหมดนั้นก็มีแค่เพียงจุดประสงค์เดียวคือ เกิดเป็นคนอย่าผิดศีลอย่าขาดธรรมเพียงเพราะความอยากในใจตน
ศิษย์รู้ไหมว่าต้นเหตุของความทุกข์ล้วนมาจากความโลภ โกรธ หลงและการตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาอารมณ์ ฉะนั้นถ้าไม่อยากมีทุกข์ เราต้องหยุดกิเลสอารมณ์ให้ได้ แม้ยากแต่จะพยายามทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นอาจารย์จะบอกวิธีทำให้เราไม่กลายเป็นคนโลภโกรธหลง สมมติว่าศิษย์ไปมีเรื่องกับเขามาแล้วค่อยมาใช้ธรรมะข่มใจ เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  ศิษย์เคยสงสัยไหมว่าทำไมเขาด่าเรา แปลว่าเราต้องไปทำอะไรเขา ทำไมเขาโกงเรา แปลว่าเราต้องเคยไปโกงหรือไปเบียดเบียนอะไรเขามา ฉะนั้นระหว่างการที่เจอปัญหาแล้วจึงค่อยใช้ธรรมะดับทุกข์ กับการที่พยายามใช้ธรรมะก่อนเพื่อไม่สร้างปัญหาอะไรดีกว่ากัน ส่วนใหญ่ก็บอกได้ว่าใช้ธรรมดับเพื่อไม่สร้างปัญหาใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วระหว่างให้ก่อนแล้วค่อยเอาหรือเอาก่อนแล้วค่อยให้ ศิษย์เลือกอะไร (ให้ก่อนแล้วค่อยเอา)  แล้วชีวิตจริงๆ ศิษย์รับมาก่อนแล้วค่อยให้ หรือให้ก่อนแล้วค่อยรับ (รับก่อนแล้วค่อยให้)  ปัจจุบันนี้เราเจอปัญหาเราพยายามใช้ธรรมะข่ม พยายามใช้ธรรมะดับใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มีใครบ้างที่ใช้ธรรมะก่อนที่ปัญหาจะเกิด (ไม่มี)  เพราะสาเหตุง่ายๆ คือเราไปรับก่อนแล้วค่อยให้ สร้างปัญหาเสร็จแล้วก็ค่อยมาแก้ปัญหาด้วย ขันติ อดทน เมตตา แต่ไปทำไม่ดีกับเขามาเต็มที่แล้วค่อยมาขันติ แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลใช่หรือไม่ ศิษย์ไปเบียดเบียนเขาก่อน ศิษย์ไปโป้ปดกับเขาก่อน ศิษย์ไปแก่งแย่งกับเขาก่อน ศิษย์ไปร้ายกับเขาก่อน เขาจะร้ายกับเราไหม (ร้าย)  อยู่ๆ เขาไม่มาร้ายกับเราถ้าเราไม่เคยไปร้ายกับเขาก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตอนนี้การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือหยุดยั้งก่อนที่จะสร้างเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วพยายามใช้ธรรมดับทุกข์ ให้ก่อนรับทีหลัง ถ้าทำได้ศิษย์ก็สามารถแก้ปัญหาได้ แต่ถ้าศิษย์ทำไม่ได้ ก็เป็นเรื่องยากที่ศิษย์ต้องตามมาแก้ทีหลังถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ถามนะ ผ้าที่ไม่เคยสกปรกซักอย่างไรก็ขาว จิตไม่เคยแปดเปื้อนทำอย่างไรก็สะอาด ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่ในทางกลับกัน ศิษย์ของอาจารย์เอาผ้าไปเปื้อนก่อนแล้วค่อยมาซักให้ขาว เหนื่อยไหม (เหนื่อย)
ศิษย์รักบุญ ชอบทำบุญ ชอบคนมีเมตตา อย่างนั้นยอดของบุญ ยอดของคนมีเมตตาคือ ไม่ทำผิดไม่ทำบาปคือสุดยอดบุญแล้ว จริงหรือไม่ (จริง) ไม่ใช่ไปทำบุญที่หนึ่งแล้วไปด่าอีกที่หนึ่ง ไปเบียดเบียนอีกที่หนึ่ง แล้วค่อยไปทำบุญอีกที่หนึ่ง อย่างนี้เรียกว่าบุญหรือไม่ (ไม่ใช่)  ฉะนั้นยอดของบุญที่แท้คือการไม่ทำบาปเลยนั่นคือสุดยอดบุญแล้ว ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วทำบุญขอหรือไม่ (ขอ)ศิษย์เอยถ้าอยากได้บุญอยากได้มหากุศล ทำบุญแล้วอย่าขอ บุญนั้นจะกลายเป็นมหากุศล เพราะถ้าขอ แปลว่าศิษย์ยังอยากกลับมารับผลบุญ ศิษย์อยากจะกลับมาเจอสิ่งนั้นอีกหรือ แล้วแน่ใจหรือว่าจะได้เจอสิ่งที่ดี ฉะนั้นทำแล้วอย่าขอ บุญจะกลายเป็นกุศลตามมา ไม่ขอ ไม่ยึดติด สละได้ทั้งตัวตนและความยึดถือว่า ใครจะด่า ใครจะแช่งที่ฉันทำบุญก็ไม่สนใจ บุญนั้นจะกลายเป็นมหากุศล บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ กุศลคือตัดรากเหง้าแห่งตัวตนไม่มีที่ให้ทุกข์อีกต่อไป ฉะนั้นทำไมไม่ก้าวให้ถึงที่สุด ทำไมดีครึ่งไม่ดีครึ่ง เมื่อจะดีก็ดีให้เต็มร้อย
  “ควบคุมตนอยู่คงมีแต่ดีขึ้น           ตามใจตนเมามึนไปได้ทุกสิ่ง
ค้นใจตนขณะที่หาที่ความจริง          คำว่าจริงจะเที่ยงแท้ไม่เคยมี
ต่อให้ชัดเจนก็ชัดสุดแค่นั้น             แม้แต่ขันธ์ต้องว่างไร้จึงเต็มที่
มีไม่เที่ยงในไม่เที่ยงคือไม่มี              ลอกกระพี้ชี้แก่นจริงใครก็ต้องการ
แล้วศิษย์จะควบคุมความอยาก กิเลส อารมณ์ตัวเองได้อย่างไร รู้ว่ามีโกรธ โลภ โมโหร้าย อารมณ์ไม่ดี ขี้บ่น งก ใจแคบ ขี้น้อยใจ มีแต่ขี้เต็มตัวเลย แล้วเคยทำให้มันเบาบาง เคยหยุดได้ไหม ผู้ปฏิบัติงานธรรมหยุดได้ไหม ตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญมา โลภ โกรธ หลง เบาบางลงเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนไหม มนุษย์มีทุกข์เป็นธรรมดา เป็นทุกข์แห่งสัจธรรม แต่ทุกข์หนึ่งที่น่ากลัวที่สุดและทำให้เราหนีไม่พ้น นั่นคือทุกข์แห่งโลภ โกรธ หลง ที่ทำให้เราหนีไม่พ้นวัฏสงสาร
ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์ยังตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ศิษย์ก็หนีไม่พ้นอบายภูมิทั้งหก ถ้าศึกษาให้ลึกๆ จะรู้ว่า วิธีที่จะควบคุมความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้นง่ายลองฝึกดู เมื่อไรที่เราจะโกรธ โลภ หลง ขอให้เอาสิ่งนี้มาเป็นตัวกรอง หนึ่งคือลองใจเย็นๆ นิ่งก่อน ใครว่ามานิ่ง เห็นอะไรสวยก็นิ่ง เห็นเงินตกก็นิ่ง เห็นล็อตเตอรี่ตกมาก็นิ่ง ไม่ว่าเจออะไรขอให้นิ่งไว้ก่อน เพราะสิ่งที่ร้ายไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่คนแต่งตัวเซ็กซี่ ถ้าศิษย์บอกว่าโลภ โกรธ หลงน่ากลัว คนที่แต่งตัวเซ็กซี่ก็น่ากลัว ผู้ชายที่ดูดีก็น่ากลัวจริงไหม (จริง)
ก่อนที่เราจะมาควบคุมโลภโกรธหลง เราต้องรู้จักโลภโกรธหลงก่อน โลภโกรธหลงน่ากลัวไหม (น่ากลัว)  อาจารย์ขอถามว่า เหล้าน่ากลัวไหม (น่ากลัว)  ร้ายไหม (ร้าย)  แต่ถ้าเหล้าไม่อยู่ในใจเห็นอย่างไรก็ไม่อยาก ที่เห็นแล้วเปรี้ยวปากเพราะเคยกิน ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ลองไปถามคนที่ไม่กินเหล้า เห็นแล้วเขารู้สึกไหม เขาก็ไม่เห็นว่าเหล้าร้ายเลย ที่ศิษย์เห็นว่าร้ายเพราะใจศิษย์มีสิ่งนั้นอยู่ ถ้าบอกว่าผู้หญิงแต่งกายไม่มิดชิดเป็นคนที่เลวร้าย แปลว่าใจศิษย์มีสิ่งนั้นอยู่ ถ้าเห็นผู้ชายแล้วรู้สึกว่าเขาแต่งตัวดูดีแปลว่าใจศิษย์หวั่นไหวแอบหลงเขาอยู่ โลภโกรธหลง นั้นไม่ได้ร้าย แต่ที่ร้ายเพราะใจเราแอบยอมเป็นทาสมันอยู่ มากี่ทีเราก็ยอมตกเป็นทาสมันทุกที ทั้งที่จริงแล้วโลภโกรธหลงไม่มีตัวตน แต่มันชอบอิงอาศัยคนที่ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน อาจารย์เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าเงินน่ากลัว เงินทำให้เราโลภ ฉะนั้นเงินมีอำนาจ บังคับให้ศิษย์ทำจนหัวหกก้นขวิด ศิษย์เหนื่อยมากแต่ก็ยังทำเพื่อเงิน นั่นคือเงินร้ายหรือเราร้าย เงินไม่มีอำนาจ เงินอยู่ของมันดีๆ แต่เราต่างหากที่ถึงเวลาอยากจะมีเงิน แล้วมีไม่เป็น มีเงินแล้วเอามันมาเฆี่ยนตัวเองให้ตาย โลภโกรธหลงมันไม่ได้น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือใจที่คิดจะโลภ ใจที่คิดจะโกรธ และใจที่คิดอยากจะหลง ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวก็คือการใช้ความหลงที่ผิดทาง การยึดในโกรธแล้วก็ไปพาลโทษว่า ตำหนิคน อันเป็นต้นเหตุให้ฉันหวั่นไหว ทำให้ฉันทำผิด มองเห็นเหล้าถ้าเหล้าไม่อยู่ในใจเรา เราจะกินเหล้าไหม ถ้าเราไม่มีความโลภหลงอยู่ในใจ เราจะเอาอะไรมาเป็นของเราไหม เมื่อใจสะอาด ทุกอย่างก็บริสุทธิ์ แต่ถ้าเมื่อไรที่ใจไม่บริสุทธิ์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูแปดเปื้อน ฉันใดฉันนั้น อารมณ์ดีมองอะไรมันก็ดี อารมณ์ร้ายมองอะไรก็มีแต่ตำหนิติเตียน ในเมื่อใจมันโกรธมองอย่างไรมันก็โกรธ
ในเมื่อใจมันอยากได้ มองเห็นอะไรก็หลง ฉะนั้นไม่ใช่แก้ที่ข้างนอกแต่ต้องแก้ที่ใจ ไม่ได้ดับที่ข้างนอกแต่ต้องดับที่ข้างใน แล้วสิ่งใดที่ช่วยดับยับยั้งใจ (หยุดคิดปรุงแต่ง, รู้จักมีสติ, ศีล สมาธิ และปัญญา, รู้จักใช้สติปัญญา, ใช้ธรรมะ, ใช้ขันติ)  ใครโกรธมาก็อดทนหรือ จริงๆ เมื่อไรที่ศิษย์ยังใช้ขันติ แปลว่าลึกๆ ศิษย์แอบหวั่นไหว
(การที่จะยับยั้งใจตัวเอง มีสติปัญญา สัพพัญญู ความอดทน ความเข้มแข็ง สติต้องคิดอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่คืออะไร แล้วเราจะสามารถผ่านไปได้ด้วยดี)  สติกับความคิดไม่เหมือนกัน สติคือความระลึกได้ สติช่วยให้เราระลึกถึงความถูกต้องและเป็นกลาง ความคิดคือสิ่งที่ง่ายที่จะไหลไปตามอารมณ์ เพราะความคิดเกิดจากความรู้ ความจำได้หมายรู้ในตัวตน ฉะนั้นต้องแยกให้ดีนะ เพราะถ้าเอาแต่คิดความคิดจะพาเราฟุ้งซ่าน ฉะนั้นใช้สติหรือความคิด (สติ)
(สติควบคุม ข่มใจตัวเอง)  สิ่งที่อาจารย์อยากบอกคือ “พอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้” เห็นอะไรจะโลภอยากหลงอีกไหม (ไม่)  แต่เราเคยพอไหม (ไม่พอ)  (ใจเย็นใจต้องนิ่ง)  แต่ถึงเวลาเจอแล้วนิ่งหรือหวั่นไหว (หวั่นไหว)
(จิตคือศูนย์รวม)  ฉะนั้นต้องรู้จักควบคุม ควบคุมก็ไม่เท่ารู้ใจตัวเอง
(ธรรมะในใจทำให้ยั้งคิด มีสติไตร่ตรองพิจารณา)  ธรรมะที่ทำให้เรายั้งคิด คือ มโนธรรมสำนึก รู้ละอายเกรงกลัวต่อบาป ไม่อยากได้ของใคร
(รู้จักปล่อยวางทุกอย่าง)  ยิ่งว่าง ปล่อยวาง ตัวตนให้หมด แปลว่า กลับถึงบ้านก็ไม่เอาใครๆ แล้วใช่ไหม (ตัวเองก็ไม่เอา)  แน่ใจหรือ กลับบ้านไปแล้วน้ำก็ไม่ต้องอาบ ข้าวก็ไม่ต้องกินใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ดูแลตัวเองให้ดี การดูแลตัวเองให้ดีคือรับผิดชอบต่อหน้าที่ตัวเองให้ถูกต้องและดีงามที่สุด ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่คนปัจจุบันนี้แค่ทำตัวเองให้รอดยังไม่รอด แล้วชอบไปพึ่งคนอื่น ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ขอแค่เพียงศิษย์ทำหน้าที่ของความเป็นคนให้สมบูรณ์พร้อม มีหรือจะทำใครทุกข์ กลัวก็แต่เพียงซื่อตรงก็ไม่ซื่อตรง ขยันก็ไม่ขยันใช่ไหม
(อดทน อดกลั้น)  อดทนอดกลั้นให้ได้จริงๆ เถิด
(รู้จักปฏิบัติอดทน)  อย่างนั้นถ้าไม่ได้อะไรเลยก็อดทนนะ
(ต้องมีสติและมีสมาธิ)  สมาธิที่ดีคือ เห็นแล้วไม่หวั่นไหว เห็นแล้วไม่อยากได้
(จิตเมตตา)  ศิษย์เอยคำตอบนี้เป็นคำตอบที่ดี อาจารย์ถามหน่อยว่าถ้าเราเมตตาเราจะด่าใครไหม เราจะโมโหหรือเบียดเบียนทำร้ายใครไหม ถ้าเราเมตตาเราจะทำอะไรไม่ดีไหม (ไม่)  แต่ถึงเวลาจริงๆ ศิษย์อยากก่อนแล้วค่อยเมตตาทีหลัง ถ้าเราเมตตาเราก็ไม่คดโกงใคร ไม่เอาเปรียบใคร ไม่อยากได้ของใคร
(มีสติรู้เท่าทัน)  มีสติรู้เท่าทัน รู้ยั้งคิด
(อยากจะถามอาจารย์ว่าจะทำอย่างไร ยายถึงจะเลิกตกปลาได้สักที ลูกก็บ่น แต่ก็ตกปลาไม่ค่อยได้หรอก)  อาจาย์มีวิธี ใช้เบ็ดที่มีแต่สายเบ็ดไม่มีตะขอ ไม่มีอาหารที่เบ็ด รับรองตกกี่ปีก็ไม่บาป ศิษย์รู้แต่ไม่ทำ ถ้าห้ามใจไม่อยู่ก็ต้องใช้วิธีแบบนี้
(วางเฉย)  เราวางเฉยได้ทุกเรื่องหรือไม่ (พยายามทำให้ได้ดีที่สุด)  สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ก่อนจะวางเฉย เราต้องเห็นให้ชัดก่อน ถึงแม้การว่าผู้อื่นนั้นไม่ดี แต่หากศิษย์ถูกว่าแล้วนำมาพิจารณา ทำให้ศิษย์ได้ยั้งคิด และได้มองเห็นตัวตนของศิษย์ ศิษย์จะวางเฉยกับคำตำหนินั้นอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องนำมาตรวจสอบตัวเราด้วย ถูกหรือไม่ แม้วางเฉยคือทางสายกลาง แต่บางอย่างต้องพิจารณาก่อน มีประโยชน์ก็เอามาสอนใจ มีโทษก็ยั้งใจ ทำให้ได้นะ วางเฉยให้ได้จริงๆ นะ
(ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ใช้สติปัญญาของตัวเอง)  พยายามไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทำอะไรก็ได้ที่ซื่อตรงต่อหน้าที่ ทำตัวให้ถูกต้อง รับผิดชอบหน้าที่ให้ดีที่สุด จะขายของก็ขอเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าที่ดีที่สุด ไม่ได้ขายของเพราะอยากเอาเงินของเขามาใส่กระเป๋าเราแล้วไปโกหกกลายเป็นผิดบาป
(ปฏิบัติธรรมให้ใจเย็นขึ้น)  ทำอย่างไรให้ใจเย็น มันใจร้อนตลอดเวลาที่มีความอยาก (นั่งสมาธิ)  แล้วมีเวลานั่งหรือเปล่า (วันพระ)  แต่เวลาลืมตาสมาธิก็กระเจิง
อาจารย์จะบอกให้ เวลาที่เราเกิดโลภ โกรธ หลง สิ่งง่ายๆ ศิษย์ลองเอาศีลทั้งห้ามาตรวจสอบ เมื่อเกิดโลภแล้วอยากแล้วเบียดเบียนเขาเพื่อตัวเราเองไหม หลงแล้วไปเอาของเขามาเป็นของตนเองจนขาดคุณธรรมไหม พูดอะไรแล้วโกหกตระบัดสัตย์ไหม ทำอะไรแล้วทำอย่างผู้มีปัญญาหรือผู้โง่เขลา ถ้าหมั่นทำแบบนี้ทุกขณะศีลก็ได้ตรวจสอบ คุณธรรมก็ได้มี ผิดบาปก็ได้ชะล้าง แต่มนุษย์เราไม่เคยลงมือทำ มีเมตตาไหม ซื่อตรงไหม ทำด้วยปัญญาไหมหรือทำแบบอารมณ์ชั่ววูบล้วนๆ ถ้าทุกขณะศิษย์เอาศีลมาตรวจสอบแล้ว ธรรมยังสอนต่อว่ามีศีลแล้ว จงมีสมาธิเมื่อตรวจสอบ แล้วมั่นคงไหม ถ้าอยากได้แล้วต้องโกหกต้องไร้คุณธรรมความเป็นคน ถ้าอยากได้แล้วต้องตระบัดสัตย์เสียมิตรเสียเพื่อนไม่อยากดีกว่าไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเรียกว่ามีศีลแล้วยังมีสมาธิมั่นคงไม่หวั่นไหว จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้ววางความโลภความโกรธความหลงได้ในชั่วขณะที่ศิษย์อยาก ฉะนั้นศีลสมาธิไม่ได้ปฏิบัติที่วัดแต่ปฏิบัติเพื่อหยุดยั้งความโลภโกรธหลง เพื่อไม่ให้ศิษย์ประพฤติชั่วทำผิดศีล ฉะนั้นถ้าศิษย์ประคองศีลได้ดีศิษย์จะไม่ประพฤติชั่ว แต่คนปัจจุบันนี้ศีลก็ไม่มี ดีก็ทำ แต่ชั่วก็ไม่ละ
แล้วจะบอกว่าอยากหนีเคราะห์กรรม อยากหนีภัยพิบัติ ก็ตัวเองเป็นคนสร้างกรรมทั้งนั้น ชีวิตเราเกิดมาพร้อมกับกรรม กรรมเป็นสิ่งปรุงแต่งให้เราเป็นไปในอนาคต และแม้แต่ในปัจจุบันจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับในอดีตที่ศิษย์สร้าง แล้วตอนนี้ศิษย์สร้างบุญหรือสร้างบาป มือหนึ่งก็บุญอีกมือหนึ่งก็บาป ฉะนั้นอย่าบอกว่าทำดีแทบตายแล้วไม่ได้ดีเลย ก็ในเมื่ออีกด้านหนึ่งยังหยุดไม่ได้ในการทำบาป ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า “ยอดของศีล ยอดของบุญ คือการไม่ทำบาปเลย” ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(การวางเฉย)  ถ้าทำได้ก็ดี ก่อนจะวางเฉยศิษย์พิจารณาดูว่าสิ่งที่เขาเบียดเบียนเรา สิ่งที่เขาทำร้ายเรา สิ่งที่เขาว่าเรา ใช่หรือไม่ใช่สิ่งที่เราเคยทำกับเขามาก่อน ถ้าใช่ก็ต้องขอโทษและกล้ายอมรับ อย่าเอาแต่นิ่งเฉย เพราะคนโกรธอยู่ ศิษย์นิ่งเขาไม่หายโกรธ ที่จะหายโกรธได้คือ การขอโทษจากใจ ใช่ไหม (ใช่)  เวลาศิษย์โกรธ แล้วเขาคุกเข่าขอโทษ ยอมรับความผิดอย่างจริงใจ จะไม่หายโกรธหรือ ศิษย์ต้องจำไว้ว่าญาติพี่น้องยังพออภัยให้ได้ แต่คนที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องของเรา ถ้าเขาโกรธเราแล้วอย่างไรก็ไม่อภัยให้เรา แล้วควรหรือที่จะไปทำให้เขาโกรธแล้วไปตามแก้ไม่จบไม่สิ้น ถ้าศิษย์ไปตีเขา แล้วศิษย์บอกว่าขอโทษ แม้เขาก็อยากให้อภัย แต่เจอหน้าเราทีไร เขายังเจ็บใจลึกๆ ใช่หรือไม่
ฉะนั้นจุดประสงค์ที่แท้จริงของการปฏิบัติธรรมไม่ใช่ทุกข์แล้วค่อยดับด้วยธรรม แต่ “จุดประสงค์ที่แท้จริงของการปฏิบัติธรรมคือ ดับด้วยธรรมก่อนจะเกิดทุกข์ หยุดก่อนจะเป็นเหตุให้ศิษย์ทุกข์ไม่จบสิ้น” เพราะลึกๆ ในใจศิษย์ทุกคนใครดีจำไม่ได้ แต่ใครไม่ดีศิษย์จำได้แม่น ให้เขายิ้มอีกสิบวัน ศิษย์ก็ยังไม่หาย ให้เขาเอาของมาปลอบใจ ศิษย์ก็ยังไม่หาย ฉะนั้นเหมือนกันศิษย์ “อกเขาอกเรา ใจเขาใจเรา” ทำไมไปเบียดเบียนเขาก่อน แล้วค่อยมาปฏิบัติธรรม ทำไมไม่รู้จักปฏิบัติธรรมเสียก่อน ด้วยการปฏิบัติต่อเขาด้วยการมีธรรม กับใครศิษย์ก็เมตตา กับใครศิษย์ก็ซื่อตรง กับใครก็จริงใจ ไม่อยากได้ของเขามาเป็นของเรา ใครในโลกจะไม่เมตตากลับกับศิษย์บ้าง ใครในโลกจะทำกับศิษย์ได้ ในเมื่อศิษย์ทำเต็มที่แล้ว มีแต่ศิษย์ใช้กรรมเก่า แต่กรรมใหม่ในข้างหน้าไม่มีอีกแล้ว
ถ้ารู้ว่ามันยังทำใจไม่ได้ให้ใจเย็นเข้าไว้ ความนิ่งความใจเย็นจะทำให้ใจเราแข็งแกร่ง ความนิ่งจะสะท้อนทุกสิ่งอย่างเป็นจริงไม่บิดพลิ้ว ความนิ่งจะก่อเกิดความเข้าใจและประจักษ์แจ้งในใจเราและใจเขา เขาด่าเราแล้วลองนั่งคิดว่าเราไม่ดีตรงไหน ทำไมเขาด่าเรา เป็นเพราะรักมากจึงด่ามาก ถ้าไม่เห็นอยู่ในสายตาจะด่าทำไมให้เหนื่อย ถ้าเราไม่รักเขาเราจะไปด่าหรือเดินไปสอนเขาไหม รักแต่พูดรักไม่เป็นขอด่าไว้ก่อน อย่างน้อยถ้าเรานิ่งจึงจะมองเห็นว่าคนที่ด่า เขาก็น่ารักเหมือนกันนะ ตอนที่ปากไม่ขยับน่ารักมากเลย เจออะไรให้นิ่ง แล้วเอาศีลมาไตร่ตรอง ทำแล้วเบียดเบียนคนอื่นไหม ทำแล้วอยากได้ของคนอื่นจนลืมนึกถึงหัวอกเขาไหม ทำแล้วโกหกไหม ทำแล้วผิดศีลขาดธรรม มโนธรรม จริยธรรมในใจไหม ถ้าตรองอย่างนี้ทุกวันมันจะหยุดไม่ได้หรือศิษย์ เมื่อตรองแล้วนิ่งจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้วปล่อยวาง ศีล สมาธิ ปัญญามันอยู่ตรงที่เวลาเราเห็นอะไรแล้วหยุดยั้งได้มันก็จบแล้ว เป็นพระที่นี่ไม่ต้องเป็นพระที่วัด ทำตรงนี้ ไม่ต้องไปรอที่วัด ทำที่ภายในอย่าไปรอคนอื่น ไม่ต้องไปเรียกคนอื่น เอาตัวเองก่อน
(ต้องใช้สมาธิและความนิ่งมาไตร่ตรอง)  (ทำใจเย็น มีสติ แต่พอเวลามีใครพูดไม่ถูกใจ จะโมโหขึ้นมาทันที)
(พูดไม่เข้าหูก็ขึ้นเลย)  อาจารย์จะบอกให้เวลาอารมณ์ขึ้นหุบปากไว้ แล้วอยู่กับลมหายใจ ฉะนั้นถ้าเกิดใครพูดแล้วอารมณ์ขึ้นบอกเขาเลยว่า อย่าพูด เธอหยุดตรงนั้นเลย เพราะถ้าเธอพูดมากกว่านี้เดี๋ยวฉันองค์ลง แล้วไม่รู้องค์อะไรลงด้วย บอกเขาไปจะได้ใจเย็น และยอมรับไปตรงๆ เธออย่าทำอย่างนี้ ฉันไม่อยากหวั่นไหว เธออย่าดีกับฉันมากเลยเดี๋ยวฉันไม่ไหว พยายามตอกย้ำตัวเองว่าฉันมีลูกมีเมียมีผัวแล้ว ให้นำศีลธรรมมาครองใจ ศิษย์เอยโลกปัจจุบันนี้ที่วุ่นวายเพราะทุกคนต่างไม่รับผิดชอบ ไม่ซื่อตรง ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าลืมนะศิษย์เขาโมโหกับศิษย์โมโหไม่เท่ากัน เราโมโหเรายังรู้จักยับยั้ง แต่บางคนโมโหแล้วมีปืนก็ยิงเลย ชีวิตเราก็รักไม่อยากตาย ฉะนั้นต้องควบคุมตนเองให้อยู่ในศีลในธรรม ถ้าเราผ่านด่านการฝึกฝนบำเพ็ญสิ่งสำคัญคือ ละบาปบำเพ็ญบุญ ถ้าบาปยังละไม่ได้ ศิษย์จะเดินสายบุญก็เป็นไปไม่ได้ การละบาปเราเริ่มละได้หรือยัง ถ้ายังละไม่ได้เราต้องมาใช้ธรรมเพื่อมายับยั้งใจ ธรรมอีกอันหนึ่งคือ ธรรมแห่งความเป็นจริงที่ถ้าหมั่นพิจารณาเนืองๆ จะช่วยยับยั้งลดโลภ โกรธ หลง และลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมชายและนักเรียนหญิงออกมาหน้าชั้น)  อาจารย์ถามศิษย์ว่า สิ่งนี้ที่ศิษย์มีแล้วมันไม่เปลี่ยนแปลงมีไหม (ไม่มี)  เขามีวันเปลี่ยนใจมีวันแก่มีวันป่วยและมีวันทำให้ศิษย์เจ็บยังจะเอาหรือไม่ อยากแต่จะเอาๆ เคยดูตัวเองบ้างหรือไม่ว่าสังขารตัวเองรอดหรือไม่ ในบรรดาสรรพสิ่งในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคน สิ่งของหรืออาหาร มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อมันต้องเปลี่ยนยังอยากได้หรือไม่ หรือมีแล้วจะทำให้ศิษย์มีแต่สุข ไม่มีทุกข์ (ไม่มี)  แล้วในสิ่งที่เรียกว่า คน สิ่งของ หรือของกิน มีไหมที่ศิษย์ครอบครองเขาได้ (ไม่ได้)  แล้วอยากได้หรือไม่ (ไม่อยากได้)  นี่แหละธรรมะ ธรรมะสอนให้ศิษย์รู้ว่า ไม่มีสิ่งใดเที่ยง ไม่มีสิ่งใดเป็นของเราจริง และไม่มีสิ่งใดที่มีแล้วไม่ทุกข์ มีแล้วไม่เจ็บ แล้วสิ่งที่ศิษย์มีนั้นมีแล้วเป็นดังใจไหม (ไม่)  แล้วยังอยากมีไหม (ไม่อยาก)
ถ้าเราประจักษ์แจ้งในสัจจะความเป็นจริง ใดๆ ในโลกศิษย์ก็ไม่สามารถครอบครองได้ เพราะทุกสิ่งมีสุขก็มีทุกข์ถนัด มีคงอยู่ก็มีดับไป มีสมหวังก็ผิดหวังได้ มีได้ก็มีเสีย สิ่งนี้ศิษย์รู้อยู่เต็มอก มีใครบ้างที่เป็นดั่งหวัง มีใครบ้างที่ศิษย์ครอบครองแล้วทำให้ศิษย์สุข มีสิ่งใดบ้างที่ศิษย์มีแล้วไม่ทุกข์ มีสิ่งใดบ้างที่ศิษย์มีแล้วไม่เจ็บปวดใจ แล้วมีสิ่งใดบ้างที่มีแล้วจะคงอยู่กับศิษย์จริงๆ ไม่เคยหายไปไหน มันไม่มี ธรรมสอนศิษย์อยู่เนื่องๆ ในใจ แต่เราเคยเอาธรรมมาย้อนมอง แล้วปลดปลง พิจารณาจนเห็นแจ้ง เข้าถึงความจริงบ้างไหม เราเคยเอาธรรมมาย้อนมอง แล้วเห็นชัดว่า สิ่งที่เราหลงภายนอก แท้จริงมันมีแก่นแท้ที่เหมือนกันอยู่ในทุกๆ สิ่ง คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า หวังไม่ได้ สุขไม่เคยนาน ทุกข์ไม่เคยจริง แล้วเรายังอยากอีกใช่ไหม สิ่งที่มนุษย์มองข้าม พุทธะเอามาพิจารณาจนเกิดการปลดปลงและเข้าถึงภาวะธรรมที่เรียกว่า แก่นแท้แห่งสรรพสิ่ง และพบธรรมในใจตน ซึ่งมันเป็นแก่นอันเดียวกันหมดเลยคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า และคงอยู่แค่ชั่วขณะหนึ่ง มีหรือไม่ที่สวยแล้วไม่เหี่ยว มีไหมขาวแล้วไม่ดำ มีไหมหุ่นดีแล้วไม่อ้วน สามีจะดีตลอดไหม ภรรยาจะขี้บ่นตลอดไหม เราอยู่ในโลกไม่ใช่เกิดมาเพื่อทุกข์แล้วทุกข์อีก แต่เราอยู่ในโลกเพื่อเรียนรู้ทุกข์ ฝึกอยู่กับทุกข์จนไม่ทุกข์และพบธรรม นี่แหละคือเป้าหมายของชีวิตที่ศิษย์ควรเกิดมา แต่มนุษย์เกิดมาเพื่อ กิน อยู่ นอน มีครอบครัว แล้วก็เวียนว่ายในทุกข์ไม่จบสิ้น หวังพึ่งเขาก็ไม่เท่ากับพึ่งตนเอง แต่พอพึ่งตนเองจนถึงที่สุด เราจึงเข้าใจว่า แม้แต่ตัวเองก็พึ่งไม่ได้ สิ่งที่พึ่งได้คือ ความจริงแห่งสัจธรรม
สิ่งที่มาจากธรรมก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม แล้วจะยึดมั่นตัวตนเพื่อหลงแล้วมีกรรมทำไม ศิษย์ต้องเข้าใจความหมายของการมีชีวิต การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หรือเพื่ออยู่เหนือคนอื่น ศิษย์เคยได้ยินคำว่า “สูงสุดคืนสู่สามัญ”  ไหม ดังนั้นการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือ กลับสู่ธรรม ธรรมที่เราจากมา ธรรมที่ทุกชีวิตต้องเดินกลับไป แล้วเราจะยึดตัวตนนี้เพื่อมีกรรมดี กรรมชั่วทำไม เพราะถึงที่สุดตัวตนก็ต้องกลับคืนสู่ภาวะธรรม ฉะนั้นยศตำแหน่งสูงขนาดไหนก็ต้องกลับมาเหมือนกันคือธรรมดา มีเงินมากแค่ไหนเราก็ต้องกลับมาเดินดินเหมือนกัน เก่งแค่ไหนเราก็ต้องอยู่กับคนให้ได้ เพราะทุกชีวิตหนีไม่พ้นกล่องสี่เหลี่ยมที่เรียกว่าโลงศพ ฉะนั้นทำดีไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่จริงๆ แล้วทำดีเพื่อละความชั่ว ปฏิบัติธรรมเพื่อกลับคืนสู่ธรรมที่แท้จริง อย่าหลงในกิเลส ในอำนาจ เพราะมันไม่มีอะไรถาวรเท่ากับความดีและคุณธรรมในใจเรา ไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาอาจารย์ ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาที่น่ากลัวคือศิษย์เชื่อในความดีตัวเองไหม ศิษย์ศรัทธาธรรมในตัวเองไหม บำเพ็ญธรรมไม่ใช่เพื่อความสมบูรณ์ในลาภยศ แต่บำเพ็ญธรรมเพื่อค้นหาความสมบูรณ์ที่แท้จริงในใจตน ค้นหาความสมบูรณ์ที่งดงามในตัวตนที่มีอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยมุ่งมั่นทำให้ถึงที่สุด เหมือนอาจารย์ถาม ศิษย์ชอบคนใจดำอำมหิตหรือคนมีเมตตามีน้ำใจ (เมตตา)  แล้วเราเอาแต่รอหรือเราเป็นผู้กระทำ ลึกๆ ศิษย์ชอบคนซื่อตรงหรือคนตระบัดสัตย์
แล้วศิษย์ซื่อตรงหรือตระบัดสัตย์ แค่ศิษย์กลับคืนสู่ความเมตตาในใจ เมตตาให้ถึงที่สุด ซื่อตรงให้ถึงที่สุด เมื่อเราทำดีให้ถึงที่สุด พรุ่งนี้หรือวันนี้เดินออกไปฟ้าผ่าตายอาจารย์ก็ไม่กลัว เพราะอาจารย์ทำถึงที่สุดแล้ว แต่ทำไมในใจลึกๆ ศิษย์กลัวตาย เพราะศิษย์ยังไม่ดีพอ เพราะกลัวว่าตายแล้วตกนรก แต่นรกอาจารย์ก็ไม่กลัว เพราะอาจารย์ทำดีถึงที่สุดแล้ว และกล้ารับผิดรับชอบ แต่เรานั้นนรกก็กลัวสวรรค์ก็ขึ้นไม่ได้จริงไหม (จริง)
อายุก็ไม่น้อยแล้วยังอยากจะทำบาป เป็นผีพนันบอล เล่นหวยไฮโลอีกหรือ ยังอยากจะโลภโกรธหลงอีกหรือ ตายไปเอาไปไม่ได้ แล้วทำไมจึงไม่ทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม
พอเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูดไหม แล้วพอเข้าใจหนทางในการปฏิบัติธรรมบ้างหรือยัง (พอเข้าใจ)  ไม่ได้ยากเกินที่เราจะทำ แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องระมัดระวังมากที่สุดคือทำอย่างไรเราจะสามารถควบคุมใจเราให้อยู่ในธรรมได้ตลอดเวลา ฉะนั้นการมีสติการรู้เท่าทันความคิดจึงเป็นสิ่งที่เราต้องพยายามพึงมีไว้
ฉะนั้นถ้าเรามีสติรู้เท่าทันความคิดอยู่ตลอดเวลา การจะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่าอะไรที่ทำให้เรายังคงทุกข์อยู่ไม่จบสิ้น
(กิเลส ความโลภ ความอยาก ความไม่รู้จักพอ ความไม่รู้จักปล่อยวาง โลภ โกรธ หลง มีสติระลึกรู้อยู่ภายใน)  รู้คนอื่นไม่สู้รู้เท่าทันใจตน

(ความอยากได้อยากมี มีแล้วไม่รู้จักพอ)  เป็นกันทุกคนเลย มนุษย์จะหยุดโลภ หยุดวุ่นวายได้ ถ้าเรารู้จักพอ แต่คำว่า “พอ” ไม่ใช่ว่าให้ศิษย์ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ไม่ทำอะไร แต่เมื่อทำแล้วได้หรือไม่ได้ไม่เป็นไร เพราะพอใจในสิ่งที่มีแล้ว บางคนตีความหมายผิดว่า พอแล้วคือไม่ต้องทำอะไรนั้นไม่ใช่ ถ้าเรามีความสุขในสิ่งที่เราเป็น ได้หรือไม่ได้ก็ไม่ทุกข์ แต่คนในปัจจุบันมักไม่ค่อยพอใจ เมื่อได้มาอีกก็ยังไม่พอ จึงทุกข์ไม่จบสิ้น
วิธีหนึ่งที่จะทำให้ศิษย์สามารถปฏิบัติธรรมและเข้าถึงธรรมได้อย่างแรกคือ หนึ่งละบาป เพราะบาปเป็นเหตุแห่งทุกข์ โดยส่วนใหญ่ธรรมะสอนให้เรารู้จักให้ เวลาเราปฏิบัติธรรมศิษย์มักจะตรงข้ามกันคือไปเอามาก่อนแล้วค่อยให้ ซึ่งถ้าศิษย์จะปฏิบัติธรรมจำไว้เลยต้องให้มากกว่าเอา เพราะการให้จึงสามารถทำให้ศิษย์สร้างศีลสร้างคุณธรรมได้ แต่ถ้าศิษย์ไปเอามาก่อนแล้วค่อยให้มันจะสร้างอะไรได้ยาก
แต่ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นในทุกขณะที่ศิษย์ทำ สมมติว่า ถ้าศิษย์ได้ผลไม้จากอาจารย์มาแล้ว เป็นการสนองกิเลส เป็นความสะใจ เป็นความดีใจ อาจารย์ให้แล้วต้องรักษาโรคได้แน่เลย นี่คือการยึดติดผลบุญ มันไม่เป็นกุศล ถ้าเราได้มา เราสามารถสละออกได้ทันที เราให้โดยไม่รู้สึกเสียดาย นั่นแหละเป็นการกระทำด้วยการปฏิบัติธรรม แต่ถ้าเอามาแล้วกลายเป็นการยึดติดตัวตน เพื่อเรา ของเรา ก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ เพราะว่าถึงที่สุดแล้ว แม้แต่ตัวตนเราก็ยึดไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อศิษย์ยัง “ให้” ไม่ได้ก็เลยก่อเกิดจากที่จะกลับกลายเป็นธรรมก็จะกลายเป็นกรรมแทน นั่นเป็นเพียงแค่ “ขณะหนึ่ง” เองศิษย์ สมมติเมื่อศิษย์ซื้อแอปเปิลมา แม่ค้าบอกว่า อร่อย หวาน ซื้อหรือไม่ (ซื้อ)  แล้วถ้ากินแล้วไม่หวาน ไม่อร่อย โกรธหรือไม่ (โกรธ)  ตอนนี้นั่นแหละที่ศิษย์อยากให้เป็นธรรมหรือเป็นกรรม ถ้ากินแล้วไม่หวานไม่อร่อย ศิษย์ก็คิดว่าช่างมันเถอะ มันเป็นธรรมดา จากกรรมจะกลายเป็นธรรม แต่ถ้าคิดว่าเดี๋ยวเจอหน้าแม่ค้าจะกลับไปด่า กรรมก็เลยก่อเกิดเป็นวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าหากกินแล้วหวานอร่อยแล้วอยากอีก ไปซื้ออีก ก็ก่อเกิดเป็นกรรมเหมือนกัน แต่เรียกว่ากรรมดีที่ก่อเกิดเป็นวิบากกรรมที่อยากจะกินแอปเปิลอีก เมื่อสร้างกรรมมากๆ บางครั้งก็เรียกว่ากรรมดีบางครั้งก็เรียกว่ากรรมชั่ว เมื่อสร้างกรรมไม่ดีมากๆ ศิษย์ก็รู้สึกว่าอยากสร้างบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสร้างบุญเสร็จศิษย์ก็หนีไม่พ้น บุญนั้นอิงแอบไปด้วยหวังผล
แต่ถ้ากินเพื่ออยู่ อร่อยหรือไม่อร่อยไม่เป็นไรแค่นั้นจบ เจอหน้าก็ไม่ว่าแม่ค้า จะกลายเป็นกรรมไหม (ไม่)  แต่ทุกครั้งที่ศิษย์ได้อะไรมา อดจะยึดติดไม่ได้นะ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าศิษย์ได้อะไรมาแล้วไม่ตกมาเป็นกรรมที่ยึดติดแล้ววิบากกรรมที่ต้องแบกรับก็จะจบสิ้น สมมติอาจารย์ตีศิษย์ตอนนี้ ศิษย์จบไหม (ไม่จบ)  ง่ายๆ คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วลงนรก พ้นจากความคิดนั่นคือแก่นแท้แห่งธรรม เหมือนอาจารย์ตี ศิษย์คิดว่าจะได้หายเจ็บหายป่วยก็ยังเป็นการยึดติดในตัวตน ยังไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าอาจารย์ตีแล้ว ดีก็ไม่คิดชั่วก็ไม่คิด นั่นจึงเรียกว่าสภาวธรรม ว่างจากตัวตนที่ยึดติด ว่างจากตัวตนที่ปรุงแต่ง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจบในตัว ไม่มีกรรมต่อ แต่เราไม่ใช่ อยากได้อันนี้เพื่ออันนั้น ทำอันนี้เป็นอันนั้น มีอันนั้นเพื่อเป็นอันโน้น เกี่ยวกรรมกันไปเกี่ยวกรรมกันมา พอมีกรรมแล้วก็ต้องมานั่งสร้างบุญ แล้วบุญก็หนีไม่พ้นบาป แต่ถ้าทุกขณะที่ศิษย์ทำหน้าที่ถึงที่สุด ไม่ยึดติดไม่หวังผล วางลงจบลงทุกขณะ ทำอะไรจบเสร็จ แต่ถ้าไม่จบ ก็อย่างน้อยทำเต็มที่แล้วดีที่สุดแล้ว จะมีอะไรต่อไหม
ทุกขณะที่ศิษย์เจอ ศิษย์จะให้มันเป็นกรรมหรือเป็นธรรม เรากินเพื่ออยู่ หรือเราอยู่เพื่อกิน เรากินตามใจอยาก หรือเรากินเพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ ความหมายมันต่างกัน ถ้ากินตามใจอยาก ศิษย์ก็ยังสร้างกรรมเพื่ออยากกลับมากินอีก ทุกขณะมันเป็นตัวบ่งบอกเลยว่า เรากำลังสร้างกรรมเป็นชีวิต หรือสร้างชีวิตเพื่อพ้นกรรม แต่ปัจจุบันนี้เราสร้างกรรมเป็นชีวิตและเราก็มีชีวิตเพื่อใช้กรรม หนทางธรรมคือสร้างชีวิตเพื่อเข้าสู่ธรรมและลดละกรรม เข้าใจไหม ยากไหม
 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลงพระโอวาท “ทำตนสายกลาง”)
เก่งเกินไปก็เหนื่อยใช่ไหม (ใช่)  แต่ว่าทำตัวไม่เก่งเลย แล้วปล่อยตัวเองเรื่อยเปื่อยก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าศิษย์ปล่อยให้ตัวเองเรื่อยๆ ไม่ตั้งใจจะรับผิดชอบอะไร ไม่ตั้งใจที่จะมุ่งมั่นทำอะไร หรือไม่กล้าที่จะยืนหยัดทำอะไรได้แท้จริง แม้ศิษย์จะเดินอยู่ในงานธรรมะ เหมือนจะบำเพ็ญ แต่ศิษย์ก็ไม่ได้อะไรเข้าใจไหม เมื่อตั้งใจบำเพ็ญต้องกล้าแบกรับ เมื่อตั้งใจจะมุ่งมั่นฉุดช่วยคน ต้องกล้ายืนหยัดที่จะต่อสู้ ไม่ใช่โน่นก็ไม่กล้าทำนี่ก็ไม่กล้าทำ ที่สุดก็เลยไม่มีอะไรเป็นหลักที่เราจะทำได้สักอย่าง ศิษย์มาบำเพ็ญแต่ศิษย์กลายเป็นคนที่ไม่กล้ารับผิดชอบอะไรเลยก็ไม่ได้นะ เก่งเกินไปจะเหนื่อย รับผิดชอบเกินไปงานจะเยอะ ศิษย์กำลังใช้ชีวิตเพื่ออะไร กินอยู่หลับนอนแล้วก็สร้างกรรม หรือศิษย์ใช้ชีวิตเพื่อเข้าถึงธรรมและสิ้นกรรม ทุกวันนี้ศิษย์ทำและสะสมกรรมเพื่อเป็นชีวิตหรือศิษย์ทำเพื่อมีธรรมให้กับชีวิต ธรรมไม่ใช่อยู่ข้างนอก แต่แค่ศิษย์กลับคืนสู่ธรรมที่สมบูรณ์แล้วในใจ มีเมตตาในใจไหม ทำแล้วมีน้ำใจไหม เคยเห็นใจคนอื่นไหม ปฏิบัติหน้าที่เพื่อเงินเดือนหรือปฏิบัติหน้าที่เพื่อรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดีที่สุด
ความหมายนั้นต่างกัน ทำเพื่อเงินเดือนก็ทำสักแต่ว่าทำ ทำแบบขอไปที แต่ทำเพื่อทำหน้าที่ให้ดีที่สุดจะให้ความหมาย ให้ชีวิต เราทำด้วยความสุข ทำเต็มที่ ด้วยความซื่อตรง ด้วยความเต็มใจ คุณค่าก็กลายเป็นธรรมะ หากสักแต่ทำเพื่อรับเงินเดือน แล้วจะได้เอาเงินไปเที่ยวมันเป็นกรรม มันเป็นการสนองกิเลสนั่นไม่ใช่ธรรมะ ความหมายจึงต่างกัน เราเกิดมาก็เพื่อมาใช้กรรมแล้วนะ แล้วเรายังจะสร้างกรรมอีกหรือ ลองถามตัวเองดูให้ดี ถ้ายังยึดติดดีร้ายก็หนีไม่พ้นกรรมดีกรรมชั่ว แต่ถ้าอะไรก็ไม่ตัดสิน มันก็คือความเป็นกลาง อาจารย์ถามจริงๆ คนที่ศิษย์เกลียดนักหนา แล้วบอกว่าเขาไม่ดีนั้น เขาไม่ดีจริงๆ ไหม คนที่ศิษย์หลงนักหนาว่าเขาดีนั้น เขาดีที่สุดไหม ไม่แน่นอนว่าใครสมบูรณ์ที่สุด ทำไมต้องเข้าใจธรรม เพราะเข้าใจธรรมเราจะไม่หลงใคร เพราะถึงที่สุดเขาก็เปลี่ยน
ฉะนั้นถ้าเรายึดหลักสัจธรรมความเป็นจริง จะมองเห็นทุกคน แล้วเราจะสามารถปลงตกคิดได้ โดยปกติของชีวิตเมื่อเราเกิดขึ้นเราต้องตาย เป็นความเป็นจริงที่เราหนีไม่พ้น ฉะนั้นเมื่อถึงที่สุดแล้วความเป็นจริงยังสอนอีกว่า เรามาคนเดียวเราก็ไปคนเดียว เรามาตัวเปล่าเราก็ไปตัวเปล่า เรามาจากความไม่มีเราก็กลับสู่ความไม่มี จริงๆ ชะตาชีวิตน่าจะเป็นแบบนั้น แต่ทำไมคนเราถึงไม่เป็นแบบนั้น เพราะว่าตัวของศิษย์นั้นยังยึดติดความมีตัวตน หนูเป็นแบบนั้น ผมเป็นแบบนี้ ผมชอบแบบนั้น ผมชอบแบบนี้ ผมเคยดีแบบนั้น ผมเคยดีแบบนี้ มันก็เลยก่อเกิดเป็นกรรมที่เกิดเป็นคำว่า “ตัวตน” เป็นผู้สร้าง มันก็เลยกลายเป็นว่าทั้งที่ชีวิตควรจะเดินไปตามความเป็นจริงแห่งสัจจะคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่มันไม่เป็นแบบนั้น ที่มันไม่เป็นแบบนั้นเพราะเรายึดว่า มีตัวผม มีตัวฉัน
และในตัวผมตัวฉันที่ศิษย์สร้าง ศิษย์ก็ยึดติดกับคำว่า ชอบ กับคำว่า ไม่ชอบ แล้วในตัวฉันก็มีคำว่า “ศิษย์ดีกับศิษย์ไม่ดี”  แล้วก็มีสิ่งที่เรียกว่าสุขกับทุกข์ถูกหรือไม่ ที่เรียกว่าความคิด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ความคิดนี้สร้างตัวเราขึ้นมา แล้วตัวเราก็มาจากความคิด ความคิดนี้ก็แตกออกเป็นสองอันคือ คิดดีกับคิดไม่ไดี คิดดีก็ขึ้นสวรรค์ คิดชั่วก็ลงนรก ฉะนั้นคิดดีจึงเรียกว่ากรรมดี คิดชั่วจึงเรียกว่ากรรมชั่ว ทั้งที่จริงๆ แล้วชะตาชีวิตของเราถ้าเราสามารถเข้าถึงแก่นแท้ ความเป็นจริง แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นในคำว่าดีร้ายได้เสีย ไม่ตัดสินโลกว่าสุขหรือทุกข์ มองเห็นว่าเป็นธรรมเดียวกัน มันจะจบตั้งแต่ตรงนี้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ มนุษย์เห็นอะไรชอบตัดสิน เห็นอะไรชอบยึดติด เห็นอะไรชอบปรุงแต่ง เราอดปรุงแต่งไม่ได้ว่า อันนั้นสวย อันนั้นไม่สวย อันนั้นดี อันนั้นไม่ดี จึงก่อเกิดเป็นกรรมดีกับกรรมชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีขึ้นสวรรค์ ทำชั่วตกนรก แต่ถ้ามีทั้งดีและชั่วผสมกันก็จะขึ้นสวรรค์เสร็จแล้วลงมาใช้กรรมในนรกต่อ แล้วถ้ายังไม่สามารถลดตัวตนได้ ยังยึดติดใน สัญญา ความจำได้หมายรู้ ตัวตนนี้มีเมื่อใช้ผลของกรรมดีกรรมชั่วเสร็จก็ยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก เพราะว่ายังไม่กลับคืนสู่ธรรม ฉะนั้นเราจะละยึดติดได้ก็ต่อเมื่อเราประจักษ์แจ้งในตัวตนว่า ตัวตนเราก็ไม่จริง เขาก็ไม่จริง
(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมที่มีลักษณะต่างกันสองท่านมายืนด้านหน้าชั้นกับท่าน)
อาจารย์ตัวใหญ่หรือตัวเล็ก (ตัวเล็ก)  อยู่กับคนนี้อาจารย์ตัวใหญ่หรือตัวเล็ก (ตัวใหญ่)  นี่แหล่ะอาจารย์กำลังชี้ให้ศิษย์เห็นธรรมนะ เราพูดว่าเราอยู่ตรงนี้เราตัวเล็กกว่าเขาเยอะเลย เราสุข คนนี้อ้วน คนนี้ผอม ฉะนั้นถ้าศิษย์ยึดติดว่าศิษย์ตัวเล็ก จริงๆ ศิษย์เล็กไหม (ไม่เล็ก)  ฉันสุขฉันตัวเล็ก แต่พอไปอยู่ในอีกเหตุการณ์หนึ่งเราตัวเล็กไหม (ไม่เล็ก)  ฉันทุกข์ที่ตัวฉันใหญ่ แต่ถึงที่สุดแล้วธรรมะสอนว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง ไม่ดีไม่ร้าย ที่ร้ายเพราะความคิดยึดติด
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความจริงใครคือคนที่เราควรดีใจ ใครคือคนที่เราควรโกรธหรือเสียใจ อะไรที่ควรทำให้เราดีใจหรือเสียใจ
(พระอาจารย์เมตตาเปรียบเทียบผู้ปฏิบัติงานธรรมสองท่าน ที่มีรูปร่างแตกต่างกัน)
คนนี้ตัวอ้วนไหม แล้วมีคนที่อ้วนกว่านี้ไหม เขาคือคนที่อ้วนที่สุดและเขาควรทุกข์กับความอ้วนไหม ไม่ทุกข์ถ้ายังไม่มีโรคใช่ไหม ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าใจแก่นแท้ความเป็นจริงมันจะไม่ก่อเกิดกรรม มันจะไม่ก่อเกิดการยึดติดว่าสิ่งใดที่เราควรโกรธ สิ่งใดที่เราควรเกลียด สิ่งใดที่เราควรรัก เพราะทุกสิ่งล้วนคือความจริงที่ไม่มีความสมบูรณ์แท้ แต่ในความเป็นจริงนั้นมีความเป็นกลางอยู่ เหมือนเงยหน้าขึ้นไปมีคนใหญ่กว่าเราไหม ก้มหน้าลงไปมีคนเล็กกว่าเราไหม ทุกคนคือความเป็นกลางอันเป็นธรรมดา แต่มนุษย์เอาแต่มองบนจึงคิดแต่ว่าตนเองแย่ ถ้าเอาแต่มองล่างจึงคิดว่าตัวเองดี จริงๆ แล้วเราดีหรือเราแย่ เหมือนกับที่เราเกลียดเขา เรามองแค่เขาหรือเรามองทั่วไป ถ้ามองทั่วไปเขาอาจจะไม่ได้แย่ใช่หรือไม่ เมื่อไรที่เราประจักษ์แจ้งในสัจธรรม ดำเนินชีวิตเที่ยงตรงไม่ก่อบาปแล้ว ถ้าประจักษ์แจ้งในสัจธรรมมีหรือที่ศิษย์จะไม่พ้นทุกข์ แต่มันยากเพราะศิษย์ไม่เคยพิจารณาสิ่งใดให้ถึงแก่นแท้ มองอะไรก็มองผิวเผิน ทำอะไรก็มองอยู่แค่สิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่ตัวเองชัง แท้ที่จริงแล้วชอบชังมันไม่มีใช่ไหม
ธรรมะเป็นปัจจัตตัง ต้องรู้ได้ด้วยตัวเอง ตื่นได้ด้วยตัวเองและประจักษ์ชัดด้วยตัวเองสิ่งที่อาจารย์พูดในวันนี้ไม่สามารถทำให้ศิษย์ตื่นได้ เป็นแค่เพียงแนวทาง แต่ศิษย์จะปฏิบัติแล้วไปให้ถึงความสว่างไหมขึ้นอยู่กับตัวศิษย์เอง อาจารย์จะบอกว่าทุกก้าวคือการปฏิบัติธรรม เห็นแล้วจะเลือกกิเลสหรือเลือกธรรมะ เห็นแล้วจะมีกรรมหรือจะสิ้นกรรม เห็นแล้วจะมีธรรมหรือมีกรรม ถ้ามีกรรมก็ตัดสินดีหรือไม่ดี ชอบหรือไม่ชอบ อยากได้ไม่อยากได้ แต่ถ้าเห็นแล้วทำหน้าที่ได้ดีที่สุดหรือยังอายฟ้าดินไหม อายผู้คนไหม ถ้าไม่อายฟ้าไม่อายดินไม่อายผู้คนทำดีที่สุดแล้ว อะไรจะเกิดก็เกิดไม่ยึดติดนั่นคือการสิ้นกรรมตรงนี้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ห่วงสิ่งนั้นห่วงสิ่งนี้ห่วงกังวล ห่วงถึงที่สุดแล้วเขาจะเปลี่ยนแปลงตามเราไหม
มีแต่ทำตัวเองให้ดีที่สุด ถึงเวลาเราก็ดูแลเขาไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงเวลาเราก็เปลี่ยนใครไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตื่นรู้ในใจตน และมองเห็นความจริงที่เรียกว่าสัจธรรม มนุษย์จะพ้นทุกข์ได้บนโลกใบนี้ ไม่ต้องรอตื่นรู้ในชาติหน้า มันตื่นได้ในทุกขณะ เขาด่าเรา จะเอากรรมหรือเอาธรรม เขาโกงเรา จะสร้างกรรมหรือจะชดใช้กรรมแล้วมีธรรม เขารักเราแล้วอยากผูกกรรมหรืออยากสิ้นกรรม ฉะนั้นการเรียนรู้ชีวิตคือการเรียนรู้ความจริงแห่งธรรม

(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตหนึ่งสัจธรรม”)
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตหนึ่งสัจธรรม
  เมื่อดวงจิตเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ      ยังปรุงแต่งสร้างกรรมจะมลายสิ้น
อัตตาขาดจะว่างไร้ซึ่งมลทิน             ธรรมคืนถิ่นสัจธรรมอยู่ทั่วไป
  ในความมีคงอยู่ชั่วขณะ                ที่จะเที่ยงแท้หาไม่
ที่สุดก็ต้องว่างไร้                          ชัดในแก่นธรรมแท้จริง
ไม่เที่ยงใครอยากโลภหลง                เป็นทุกข์ยากปลงยากยิ่ง
ว่างเปล่าในตัวตนจริง                    สามสิ่งแก่นแท้สัจธรรม
วันนี้อาจารย์คงต้องกลับแล้วนะ ได้คำว่าอะไร “จิตหนึ่งสัจธรรม” จิตหนึ่งนั้นก็คือสัจธรรม สัจธรรมนั้นก็คือจิตหนึ่ง เมื่อดวงจิตเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ เมื่อไรที่จิตตรงเที่ยงกับความเป็นจริง บาปกรรมมันจะไม่มี เมื่อไหร่ที่จิตยังเอนเอียงไปสู่ความอยากได้ใคร่มี ดีร้าย ได้เสีย เมื่อนั้นศิษย์จะไม่มีวันพบ
สัจธรรม ศิษย์จะยังหนีไม่พ้นเวรกรรม

ในคำที่ศิษย์วง จะมีคำว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า คือแก่นแท้ของความจริง สามสิ่งนี้คือแก่นแท้ของสัจธรรม ชีวิตนี้เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  เป็นทุกข์ไหม (เป็นทุกข์)  ว่างเปล่าไหม (ว่างเปล่า)  แล้วควรหรือที่จะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราและของเรา (ไม่ควร)  แล้วมีอะไรเป็นของเรา (ไม่มี)  มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ติดกันมากก็คือ กรรม แต่ถ้ายังไม่เข้าถึงธรรม ก็หนีไม่พ้นกรรม เอาไปพิจารณานะ อย่าปล่อยให้ชีวิตผ่านไปวันหนึ่งๆ ลองเอาทุกข์มาเป็นบันไดคืนสู่ธรรม
อันนี้เป็นปริญญาบัตรที่ศิษย์ในชั้นนี้ร่วมกับอาจารย์ทำดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นจิตหนึ่งก็คือสัจธรรม ทุกสิ่งล้วนมีจิตหนึ่งเดียวกัน นั่นคือความเป็นจริงอันหนีไม่พ้น ฉะนั้นเป็นศิษย์อาจารย์จี้กง อย่ากลัวตาย อย่ากลัวเจ็บ
แต่กลัวเวรกรรมที่ศิษย์สร้างแล้วศิษย์หนีไม่พ้นต่างหากจริงไหม เพราะมันจะทำให้ศิษย์ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ฉะนั้นก่อนทำอะไรไตร่ตรองในศีลในธรรม อย่าผิดบาป อย่าสร้างบาป อย่าตกเป็นทาสอบายมุขและบาปกรรมในโลกนี้เลย ฉะนั้นมีสติรู้ตื่นให้เท่าทันใจตนเองจะได้เข้าใจชีวิตแห่งธรรมะ ถ้าวันนี้เข้าใจก็จบในวันนี้ได้ ลองไตร่ตรองดูนะ เราไม่ใช่ปฏิบัติธรรมแค่ทำบุญใส่บาตร สวดมนต์ฟังธรรม แต่ต้องเอามาปฏิบัติแล้วตื่นรู้ในใจตนเองให้แท้จริง เพราะธรรมแท้จริงไม่ได้อยู่ที่ภายนอกแต่อยู่ที่ภายใน เริ่มต้นจากการปฏิบัติเป็นคนให้สมบูรณ์ ปฏิบัติต่อเพื่อนต่อพ่อแม่ต่อพี่น้องให้สมบูรณ์ แล้วการรู้แจ้งธรรมก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่กลัวอย่างเดียว อดใจไม่ไหว ห้ามใจไม่อยู่ ผลสุดท้ายคนที่ต้องรับผลของการอดใจไม่ไหว ห้ามใจไม่อยู่ไม่ใช่ใครแต่คือตัวศิษย์เอง กรรมไม่ว่าจะเดินทางไปไกลแค่ไหนมักจะย้อนกลับมาหาผู้กระทำเสมอ ไม่เคยบิดพลิ้ว ไม่เคยผิดเพี้ยน ฉะนั้นเมื่อไรที่ต้องเจอในสิ่งที่คาดไม่ถึงก้มหน้ายินดีขอบคุณที่ได้ใช้กรรม และจะไม่สร้างกรรมอีก ด้วยจิตใจที่รู้ผิดชอบชั่วดีได้หรือไม่ (ได้)  พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรยากหยั่งรู้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่เสียทีที่เกิดมา มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก บุญรักษา ธรรมรักษานะศิษย์เอย บุญรักษา ความดีรักษานะ
ทำให้ได้นะ ตั้งใจนะ รักษาบุญ บุญรักษานะ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง มีศีลมีธรรม ตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้องนะ กำลังใจอาจารย์มีให้เต็มเปี่ยม แต่ศิษย์ของอาจารย์กำลังใจเต็มเปี่ยมหรือเปล่า เข้มแข็งไหม มุ่งมั่นถึงที่สุดหรือยัง ศิษย์เอยป่วยก็ต้องรักษา กล้าหาญรับความจริงแค่นั้นเอง เข้มแข็ง เป็นลูกศิษย์อาจารย์อย่าอ่อนแอ เราแค่ทำให้ดีที่สุดเพราะบางอย่างเราห้ามไม่ได้ ขอเพียงแค่ศิษย์เข้มแข็ง แค่ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดแล้วยอมรับความจริงในสิ่งที่มันเกิด หมั่นกราบพระ เผื่อจะทำให้บุญนี้ส่งให้เขาเกิดการเปลี่ยนแปลง สู้นะ อารมณ์ควบคุมได้หรือยัง ยังขี้โมโห ยังเอาแต่ใจไหม ควบคุมตัวเองให้ดีระวังอารมณ์ ระวังความหลง ฟังรู้เรื่องนะ ทำให้ได้นะ ถ้ามีโอกาสมาอุทิศเสียสละช่วยเหลือผู้คน
รู้เรื่องหรือเปล่า รักษาชีวิตให้ดี ระมัดระวังความคิดและอารมณ์นะ บุญรักษา ความดีคุ้มครอง มีโอกาสตั้งใจบำเพ็ญ เสียสละตนเองฉุดช่วยผู้คน อย่าปล่อยให้ชีวิตเปล่าไร้นะ เข้มแข็งนะ มุ่งมั่นนะ ไปให้ถึงที่สุด เรามีธรรมเป็นที่พึ่ง เรามีธรรมเป็นหนทางแห่งความสว่าง พึ่งธรรมดีกว่าพึ่งตัวตนนะ เพราะตัวตนมันหลอกเราให้เราเจ็บปวดให้เราทุกข์ แต่ธรรมคือความเป็นจริงมันย้ำเตือนเสมอว่าอะไรก็ถือไม่ได้ อะไรก็ยึดไม่ได้ มีแต่สภาวธรรมที่ว่างไร้เท่านั้นที่จะทำให้เรากลับคืนสู่ความสงบ ลองคิดไตร่ตรองให้ดี ทำอะไรไตร่ตรองให้ดีให้จงหนัก ชีวิตมีทางเลือก เลือกในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดก่อนที่จะไร้ทางเลือกและต้องจำใจอยู่กับสิ่งที่ตัวเองสร้างมันขึ้นมา ลองคิดดูให้ดีนะศิษย์เอย


วันจันทร์ที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑                           สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง

  ศรัทธาในความถูกต้องอันดีงาม        จึงจะนำสู่หนทางบุญกุศล
แต่หากไร้ศรัทธาธรรมในตน             ย่อมนำตนสู่อบายทุคติไป
ศรัทธาแต่อย่าไร้ซึ่งปัญญา               หมั่นศึกษาเพียรอุตส่าห์รู้นำใช้
สักวันย่อมประจักษ์แจ้งตื่นรู้ใจ           เกิดความเย็นสงบในชีวิตตน
                                เราคือ
  เสี่ยวผีเซียนถง                    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว             ถามเมธีทุกท่าน สบายดีไหม

เดือนดาวจ้องมองดูเรา ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด ใต้แสงแห่งธรรมฉายส่อง ท่านต้องบำเพ็ญให้มั่นใจ
ไม่มีสุขทุกข์ใด...ยั่งยืน ตื่นเถิดใจนี้ รักษาทุกวันให้ดี จงอย่าได้ไร้ปัญญา
* ที่มองที่เห็น ที่เป็นทุกอย่าง อะไรที่ทำทุกข์ใจ ไม่ปลงไม่พ้น รีบปลงไม่สาย ปัญหาหามาถือไว้เอง
เมื่อยังไม่ถาม เจ้าท่านลืมหรือเปล่า ความคิดอย่าได้แค่คิด ทบทวนด้วยใจ กันด้วยธรรม เห็นด้วยธรรม สุขที่ใจ คล้ายวิมาน

ทำนองเพลง: หนึ่งคำที่ล้นใจ
ชื่อเพลง : ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด

พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
ชีวิตบางทีอย่าไปคิดอะไรยุ่งยาก อย่าไปทำอะไรซับซ้อน ง่ายๆ แล้วมีความสุขดีกว่า ถือตัวถือตนยึดนั่นยึดนี่คนที่ทุกข์ก็คือเรา คนที่ทุกข์ก็คือคนรอบข้าง แต่ถ้าเราวางได้บ้าง ปล่อยได้บ้าง ง่ายๆ แต่มีสุข ย่อมดีกว่ายากแล้วมีแต่ทุกข์ใจ เหมือนถามท่านลึกๆ ท่านชอบคนใจกว้างหรือคนใจแคบ ท่านชอบคนใจดีหรือคนใจร้าย ท่านชอบคนเห็นแก่ผู้อื่นหรือเห็นแก่ตนเอง (เห็นแก่ผู้อื่น)  ท่านชอบคนมีน้ำใจหรือแล้งน้ำใจ (มีน้ำใจ)  แล้วสิ่งที่ท่านทำเป็นอย่างไร ชีวิตก็เหมือนกับการขว้างบอล ท่านเคยเล่นบอลไหม ขว้างแรงบอลก็เด้งกลับมาแรง แต่ถ้าเราขว้างเบาก็เด้งกลับมาเบาๆ หรือแทบจะไม่มีแรงกลับมา เหมือนกันถ้าท่านขว้างสิ่งที่ดีไป จะไม่มีสิ่งที่ดีตอบกลับมาหรือ เราถามใจเราเองอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ว่าเราขว้างให้เขาไปดีจากใจเราที่สุดแล้วใช่ไหม เราให้เขาเต็มที่จริงๆ ใช่ไหม เราทำโดยไม่หวังผลเรียกร้องใช่ไหม
ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวในมนุษย์ไม่ใช่โลภ โกรธ หลง แต่สิ่งที่น่ากลัวในมนุษย์คือ ความยึดติดในตัวตน ความยึดติดในตัวตนที่ทำให้เราทำดีไม่ค่อยขึ้นนั่นก็คือ ยอมไม่ค่อยเป็น แพ้ไม่ค่อยได้ เสียไม่ค่อยมี เรื่องอะไรฉันต้องยอมก่อน เรื่องอะไรฉันต้องให้ เรื่องอะไรฉันต้องดีก่อน เธอยังไม่ดีเลย แต่ถ้าเกิดว่าในโลกมีแต่คนแบบนี้เต็มไปหมด แล้วเมื่อไรในบ้านเรา ในสังคมเราจะมีคนดีที่กล้าทำดีอย่างไม่หวั่นไหว ถ้าคนดีขาดความกล้าหาญ คนดีขาดความยืนหยัดทะนงตนในความดี แล้วเราจะมีคนดีในโลกที่แท้จริงไหม
บางอย่างบางเรื่องบางที มันไม่เหมาะไม่ใช่ แต่ถ้าไม่ลำบากเกินไป ถ้าเรายอมอดทนได้ แล้วทำให้ทุกคนมีความสุข บางทีก็ต้องยอมบ้าง ถ้าตามใจตัวเองแล้วทำให้คนที่เขาเตรียมและตั้งใจให้เรามา แล้วเราไม่ชอบ ทำให้เขาไม่สบายใจ สู้เราฝืนใจตนเองแล้วทำให้คนตรงข้ามมีความสุขได้ มันก็ไม่เสียหายอะไร ฉะนั้นสุขทุกข์มันอยู่ที่ว่า ยอมหรือไม่ยอม ยอมเพื่อคนอื่นบ้าง ยอมถอยเพื่อให้คนอื่นได้บ้าง ยอมถอยเพื่อให้คนอื่นมีสุขบ้าง ยอมเสียเพื่อให้คนอื่นได้บ้าง ถ้าทำแบบนี้ได้ คนเช่นนี้จะมีใครไม่รักบ้าง คนเช่นนี้ถ้าทำจนถึงที่สุด เขาจะไม่มีคุณธรรมในใจหรือ ยอมได้ก็ยอม ให้ได้ก็ให้ ให้เขากินอิ่มเรากินน้อยหน่อยไม่เป็นไร เขาได้หัวเราะเราก็ได้หัวเราะตามที่เขาหัวเราะ เราก็ไม่เป็นไร แต่สังคมปัจจุบันนี้ หรือแม้แต่ตัวเราทุกวันนี้ยอมไหม หนทางยอมดีกว่าหนทางไม่ยอม เพราะจิตมักจะไหลลงต่ำ และจิตที่ไหลลงต่ำ แล้วบอกว่าไม่ยอม ไม่อยากเสีย ไม่อยากให้ มันก่อผลเป็นกิเลส อารมณ์ และความยึดติดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ใจที่รู้จักยอม ใจที่รู้จักให้ ใจที่รู้จักไม่เคืองโกรธ ใจที่รู้จักอดทนในสิ่งที่ยากทน เรากลับพบหนทางสว่าง หนทางแห่งการเปิดใจกว้าง หนทางแห่งความเย็น หนทางแห่งความสงบ ถ้าบอกว่าไม่ยอม เหมือนท่านมาฟังธรรมวันนี้ ในใจเราจะไม่ทำแล้ว จะกลับแล้ว แข็งไปดื้อไปเราก็เจ็บ คนที่พามาเขาก็เจ็บทั้งที่เขาก็รักเรานะ อยากให้เราได้ดี
ฉะนั้นถ้ามีคนแข็ง แต่อีกคนหนึ่งยอม โลกก็สมดุล แต่ถ้าต่างคนต่างแข็งก็มีแต่ชนกันเจ็บ ฉะนั้นชีวิตก่อนจะทำอะไร คิดอย่างหนึ่ง เราแนะนำง่ายๆ ถามตัวเองง่ายๆ มันกำลังไหลลงต่ำหรือมันกำลังไหลขึ้นสูง ถ้าสิ่งที่ทำไหลลงต่ำแล้วกลายเป็นความเคยชิน กลายเป็นนิสัย กลายเป็นอารมณ์ มันดีหรือไม่ (ไม่ดี)  แต่ถ้ายอมแล้วกลายเป็นความเบิกบาน กลายเป็นความเมตตา กลายเป็นคนอภัย กลายเป็นความสันติ กลายเป็นความร่มเย็น กลายเป็นความสมัครสมาน ยอมหรือไม่ (ยอม)  อดทนสักนิดหนึ่ง เหมือนพระพุทธะกล่าวว่า ถ้าทำดีแล้ว ถึงขนาดต้องน้ำตานองหน้า ถึงขนาดต้องเจ็บนิดๆ ในใจ ท่านบอกให้ฝืนทำเถอะ เพราะสุดท้าย ที่สุดของคนทำดีคือความสงบเย็น แต่คนที่ดื้อดึงดันทุรัง เอาแต่ชนเอาแต่แข็ง ไม่ยอม ผลสุดท้ายคือความโดดเดี่ยว ไม่มีใครรัก ไม่มีใครสนใจ จริงหรือไม่ (จริง)  เลือกเอานะ อยากมีสวรรค์บนดินหรืออยากมีนรกบนดิน แล้วทุกวันนี้ทำสวรรค์หรือทำนรกในบ้าน แค่ไม่ยอมก็จุดไฟเผาตัวเอง แต่ถ้ายอมเราก็เปลี่ยนไฟเป็นน้ำเย็นดื่มชื่นใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ถ้าอยากมีความสุข ท่านต้องเข้าใจว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าสุขแท้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรามาศึกษาธรรมปฏิบัติธรรมแล้ว จะต้องถูกล็อตเตอรี่ อุบัติเหตุไม่มี เจ็บป่วยไม่มี เป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายคนคิดว่าไหว้พระ ทำบุญ ทำดีต้องไม่เจอเรื่องอัปมงคล เป็นไปได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ธรรมะสอนเรื่องความเป็นจริงและเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริงด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ธรรมะสอนให้เราเรียนรู้เข้าใจความเป็นจริง และมีภูมิต้านทานความจริงที่ยากเกินรับมือ ธรรมะสอนให้เราเข้าใจทุกข์และอยู่กับทุกข์โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ ฉะนั้นต้องเข้าใจให้ถูก ความจริงที่แท้คือ ในโลกนี้ไม่เคยมีสุข มีแต่ทุกข์ แต่จะทุกข์มากหรือทุกข์น้อย หรือไม่มีทุกข์เท่านั้นเอง
พระพุทธะกล่าวไว้ว่า “อย่าถือท่านเป็นสรณะ แต่ให้ถือธรรมแห่งความเป็นจริงเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง” เพราะคำว่าตัวคนหรือตัวบุคคล มีวันเปลี่ยนแปลง มีวันสูญสลาย แต่ความเป็นจริงแห่งโลกอยู่ค้ำฟ้าดิน ไม่ว่าคนจะเปลี่ยนไปกี่ยุคกี่สมัย ความจริงนั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นผู้ที่ยึดถือความเป็นจริงเป็นที่พึ่งย่อมพบทางสว่าง พบทางที่แท้จริง เหมือนเราถามท่านว่า ท่านเคยสูญเสีย เคยเจ็บปวด เคยทุกข์ไหม (เคย)  แล้วยังจำสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่นที่ทำร้ายตัวเองอยู่อีกไหม
ถ้ายังจำได้แปลว่ายังอยากเจอเขาอีก แต่ถ้าไม่จำแล้วแปลว่าจบกันแล้ว ไม่เจอกันอีก ฉะนั้นควรจำหรือควรลืม (ควรลืม) เพราะยิ่งจำเราก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งยึดเราก็ยิ่งเจ็บ แล้วเราควรจำหรือควรยึดไหม (ไม่ควรยึด) ในเมื่อผ่านไปแล้ว โลกนี้ผ่านแล้วก็ผ่านไป เราจะยึดทำไมให้เจ็บปวด แล้วเราเคยผ่านแล้วผ่านไปไหม
เราถามท่านนะ ธรรมแห่งความเป็นจริงอะไรที่ช่วยทำให้เราพอจะดับทุกข์ในใจเราได้บ้าง (ขันติ, อุเบกขา, มโนธรรม, ความสุข, ความเมตตา, อดทนและอดกลั้น, ให้อภัย, วางเฉย) แปลว่าท่านยังไม่เข้าถึงความจริงแห่งธรรมนั้น ถ้าท่านทำด้วยใจอันเต็มร้อย ทำด้วยความเข้าใจอันเต็มเปี่ยม จะก้าวผ่านความทุกข์นั้นไปได้อย่างแท้จริง
เวลาเราโดนด่า โดนว่า เคยวางใจเป็นกลางได้จริงๆ ไหม เวลาโดนว่าจริงๆ เราสามารถเมตตาเขาได้ไหม เราสามารถให้อภัยเขาได้ไหม เราไม่เคยทำได้ ถ้าคิดไม่ยอมก็โกรธแล้วก็ด่าในใจ หรือมีโอกาสก็แอบไปนินทา แล้วก็จบลงที่ความทุกข์ กับอีกทางหนึ่ง ย้อนกลับไปคิดว่า เขาว่าถูกไหม ถ้าว่าถูกก็ขอบคุณ เราผิดจริงไหม ถ้าผิดจริงเจอหน้าใหม่ก็ขอโทษ ว่ากันด้วยเหตุผลและความเป็นจริง แต่ถ้ายังหาความจริงไม่ได้ เราก็ควรคิดว่าตามใจตัวเองไม่ดี ตามธรรมะดีกว่า เพราะธรรมะเป็นที่พึ่งที่สงบเย็นที่สุด และคิดว่าเขาเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนกันต้องการความจริงใจ ถ้าเขาเป็นผู้ใหญ่กว่าเรายังเคารพให้เกียรติเขาไหม ถ้าเขาอ่อนวัยกว่าเรายังเมตตารักเขาได้ไหม ถ้าเขาเป็นน้องแต่เขาว่าเรา ถ้าเรายังรักษาธรรมได้ เราก็ผ่านด่านได้ เราก็พบความสุขได้ นั่นคือข้อหนึ่ง แต่เมื่อผ่านด่านมาได้เรื่องหนึ่ง มันก็ยังไม่สามารถล้างใจเราได้ ถ้าท่านเข้าใจธรรมะ ธรรมะจะสอนว่า ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อม สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดก็พร้อมที่จะพร่องที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดก็พร้อมที่จะมีโอกาสพร่องได้เหมือนกัน ถ้าเราเอาธรรมะนี้มาคิด ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม แม้แต่เราก็ไม่พร้อม เขาก็ไม่พร้อม หรือไม่มีใครดีที่สุด คิดได้เช่นนี้ยังต้องพยายามอดทนไหม
อย่าใช้แค่อารมณ์ อย่าใช้แค่ความรู้สึก เพราะอารมณ์ความรู้สึกไม่เที่ยง แต่เอาความจริงมาใช้ ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม ไม่มีใครดีจริง ไม่มีใครร้ายจริง ลองนำมาใช้จะช่วยขจัดปัดเป่าแล้วเกิดความปล่อยวางและปลดปลงได้ เราถามจริงๆ ใครสมบูรณ์พร้อม ใครดีที่สุด หรือพูดง่ายๆ มีใครในโลกไม่เคยโดนด่ายกมือขึ้น มีใครในโลกไม่เคยโดนนินทายกมือขึ้น ฉะนั้นมันเป็นความจริงอันเป็นธรรมดาของโลก เมื่อไรที่เราเอาตัวเราเข้าไปยึด เข้าไปเกาะกุม เราจึงมองไม่เห็นความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาของโลก อย่างนั้นเมื่อถึงเวลาโดนด่าก็ให้เราหัวเราะว่า โดนด่าบ้างแล้ว ได้ไหม แล้วห้ามไม่ให้โดนด่าได้ไหม (ไม่ได้) อายุมากขนาดนี้ยังโดนด่า โดนนินทาได้เลยจริงไหม แล้วถ้าเราเข้าใจว่า เป็นธรรมดา เป็นเช่นนั้นเองเราจะทุกข์ไหม แล้วทำไมต้องมองเป็นทุกข์เรื่อยเลย เมื่อมีโดนด่าแล้วมีใครไม่เคยโดนชมไหม (ไม่มี) ทั้งโดนชมและโดนด่าก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราเข้าใจความเป็นธรรมดาของโลกเราจะทุกข์ไหม เพราะความทุกข์ไม่ได้แปลว่า เศร้า เหงา ซึม ตาย แต่ความทุกข์คือสิ่งที่ทำให้เราทนได้ยากและต้องแปรเปลี่ยนไป ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ความทุกข์สอนให้เรารู้ว่า สรรพสิ่งล้วนต้องแปรเปลี่ยนไป ถ้าเกิดถึงเวลาเราสูญเสียทุกข์ไหม ถ้าท่านมองธรรมดาได้ท่านก็ปลดทุกข์ได้เยอะเลย เพราะเป็นธรรมดาที่เป็นความจริงของโลก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสัจธรรม หรือเรียกให้สูงขึ้นมาหน่อยก็คือ โลกธรรม[๑]ทั้งแปด เรารู้แล้วว่ามันเป็นธรรมดา แล้วทำไมเราถึงไม่ยอมธรรมดา ฉะนั้นสิ่งที่ทุกข์ไม่ใช่คำโดนว่า แต่สิ่งที่ทำให้ทุกข์คือ ใจที่ไม่ยอมรับความเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเกิดท่านไม่อยากทุกข์ ท่านต้องยอมรับความเป็นธรรมดาให้ได้ก่อน ถ้ายอมรับได้ ความทุกข์ก็ปลดปลงไปได้เยอะเลย จริงหรือไม่ (จริง) อย่าวิ่งไปตามความรู้สึก ดึงความรู้สึกขึ้นมาแล้วมองตามธรรมะ เพราะความรู้สึกนั้นง่ายที่จะไหลลงต่ำ และง่ายที่จะดึงให้ใจเราแย่มากกว่าที่จะดึงให้ใจเราสูงขึ้น เมื่อมีความทุกข์แล้วรู้สึกเศร้า เหมือนตัวคนเดียว รู้สึกหดหู่ใช่หรือไม่ (ใช่) แย่ไหม (แย่) มีอะไรดีขึ้น (ไม่มี) แล้วอยากจมอยู่ในนั้นหรือไม่ (ไม่อยาก) แล้วทำไมชอบคิดให้ทุกข์ (มันเป็นธรรมดา) มันไม่ธรรมดา เพราะไม่มีธรรมะไหนที่บอกว่า การคิดให้ตัวเองทุกข์นั้นมันเป็นธรรมดา มีพระธรรมบทไหนบอกบ้างว่า การคิดให้ตนเองทุกข์ แล้วจมอยู่ในความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา มีหรือไม่ (ไม่มี) มีแต่ว่า การโดนว่า มีสุขมีทุกข์ มีได้มีเสียเป็นธรรมดา ถูกหรือไม่ (ถูก)
เราสูญเสียเราทุกข์ไหม มีบ้านไหนไม่เคยสูญเสียบ้าง (ไม่มี) ไม่ว่าจะเสียลูก เสียเงิน เสียสามีหรือภรรยา เสียพ่อแม่หรือคนที่เรารัก เราทุกคนเคยสูญเสียทั้งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก่อนมาเราเคยมีใครหรือไม่ (ไม่มี) ดังนั้นแค่กำลังกลับไปสู่ความไม่มี เราแค่กลับไปสู่ที่เดิม ถูกหรือไม่ (ถูก) เมื่อก่อนเราเคยมีญาติ มีพ่อแม่หรือไม่ (ไม่มี) แล้วมีอะไรในโลกที่ได้มาแล้วไม่เสียไป (ไม่มี) ถ้ามีความรู้สึกแล้วทำให้ทุกข์ ทำให้เราแย่ ทำไมไม่ลองมีธรรมะมาทำให้เราคิด แล้วทำให้เราพ้นทุกข์ ระหว่างมีความรู้สึกกับมีธรรมะ ท่านว่ามีอะไรดีกว่า (ธรรมะ) ชีวิตเราเหมือนมีดาบสองอัน อันหนึ่งคือความรู้สึก แล้วกลายเป็นกิเลสอารมณ์ อีกอันหนึ่งคือธรรมะความเป็นจริง แล้วกลายเป็นพ้นทุกข์
เราเคยดึงธรรมะด้านนี้ออกมาบ้างไหม ทำไมไม่ลองดึงออกมาและพิจารณาจนแจ่มแจ้งพ้นทุกข์ เรามาตัวคนเดียว เรามาจากความว่างเปล่า เราแค่กลับไปสู่ความว่างเปล่าเหมือนเดิม ซึ่งเราไม่ได้เสียอะไร แต่เราแค่กำลังกลับไปเหมือนเดิม ความว่างคือที่สุดของความจริง ความมีคือการมีแค่ชั่วขณะหนึ่ง หาใช่มีแท้จริงไม่ เพราะถึงที่สุดทุกสิ่งก็คือว่าง ฉะนั้นเรากำลังเสียใจอะไร เรากำลังเสียอะไร เราไม่เคยเสียเพราะเราไม่เคยมี ความมีแค่ชั่วคราว และถ้าเกิดเราเสียไป ขออย่างเดียวอย่าเสียศูนย์ที่ใจของเรา ถ้าอยากพบความสงบในใจลองนำธรรมะมาใช้บ้าง ดีหรือไม่ (ดี)
ถามจริงๆ นะท่านมาฟังธรรมะเพื่อแค่ฟัง หรือท่านมาฟังธรรมเพื่ออยากมีธรรมบ้าง ถ้าคนอยากมีธรรมจริงๆ ต้องกระตือรือร้นที่จะใช้ธรรมะ แต่พอเราพูดเรื่องธรรมะท่านก็ไม่เข้าใจ เพราะเราถูกปลูกฝังมาว่า ถ้าอยากปฏิบัติธรรมอยากมีธรรมะก็แค่ทำบุญ สวดมนต์ไหว้พระแค่นั้นใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จริงๆ แล้วแก่นธรรมไม่ได้อยู่ที่ภายนอก แต่แก่นแท้ของธรรมอยู่ที่ภายใน เราถามท่านลึกๆ นะ ว่าท่านชอบคนดูถูกไหม (ไม่ชอบ) ชอบคนใจร้ายไหม (ไม่ชอบ) แล้วทำไมเราไม่มีเมตตา แล้วทำไมเราไม่รู้จักเคารพให้เกียรติ แล้วทำไมเราไม่รู้จักซื่อตรงจริงใจ แล้วทำไมเราไม่รู้จักมีน้ำใจไมตรี แล้วทำไมเราไม่รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาปใช่หรือไม่ (ใช่)
จงยั้งคิดก่อนจะทำสิ่งใดว่า สิ่งที่ตัดสินใจนั้น สิ่งที่พูดออกไปนั้น สิ่งที่คิดที่ทำนั้น ตามอารมณ์ตามใจ หรือตามคุณธรรมความถูกต้อง ความหมายจะต่างกัน ชีวิตจะต่างกันเลย คนหนึ่งมุ่งมั่นทำแต่ความถูกต้อง มีความเมตตา ความซื่อตรงเป็นหลัก รู้จักให้เกียรติเคารพผู้อื่น แต่อีกคนหนึ่งเอาแต่ใจเอาแต่อารมณ์เอาแต่นิสัยตัวเอง ความหมายมันต่างกัน จริงหรือไม่ (จริง) วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ท่านต้องถามตัวเองว่า อยากจะกลับไปเดินเหมือนเดิมหรือจะเดินสู่ทางที่ถูกต้องที่แท้จริงให้กับชีวิต เรามีความงามเรามีความดีอยู่ในใจ แล้วเราเคยเอาความดีความงามนั้นออกมาจากใจแล้วใช้มันอย่างเต็มที่บ้างหรือยัง เมตตาอย่างสุดจิตสุดใจ จริงใจอย่างสุดจิตสุดใจ เคารพผู้อื่นอย่างสุดจิตสุดใจ ไม่เคยโกรธเคืองใครอย่างสุดจิตสุดใจ เพราะเข้าใจความเป็นจริงว่าในโลกไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม
ไม่มีใครดีที่สุด เอาแค่นี้ไม่ต้องยาก แล้วเราจะโกรธใครไหม หรือพูดง่ายๆ คือใจเขาใจเรา เราเคยร้ายไหม เราเคยด่าคนไหม เราเคยโกงคนไหม ถ้าเราเคยร้าย เราเคยด่า เราเคยโกง เราไม่เข้าใจคนเคยร้าย เคยด่า เคยโกงหรือ มันเป็นธรรมดาของมนุษย์ เมื่อเขายังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว เขามีสิ่งที่ดีที่สุด ไยจึงเลือกสิ่งที่ไม่ดี
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง หนึ่งคำที่ล้นใจ ชื่อเพลง ไกลเท่าเข้าใจแนบชิด)
เรามองเหมือนธรรมะไกล แต่เมื่อไรที่เราเข้าใจธรรมะ ธรรมะนั่นแหละคือจิตเดิมแท้ในใจเรา ธรรมะไม่เคยห่างไปจากใจ แต่อยู่ที่ว่าเมื่อไรตัวท่านจะคิดเอาธรรมะมาเป็นตัวเอง เอาแต่อารมณ์เอาแต่นิสัย มันก็ได้แต่ความทุกข์ วิบากกรรม และสังสารวัฏ แต่ถ้าเอาธรรมมาเป็นตัวเป็นตน ท่านก็จะกลับคืนสู่ธรรม พ้นทุกนิรันดร์ ถามใจท่านเองว่าจะเลือกธรรมะหรือนิสัยอารมณ์
ชีวิตนี้ไม่มีอะไรยาก ถ้าใจเราสู้และตั้งใจจริง ธรรมะไม่ใช่เรื่องยากที่จะปฏิบัติ ขอเพียงอุทิศเสียสละตัวเอง ลดความยึดมั่นถือมั่นและตั้งใจจริง ลดความเคยชิน ลดการตามใจตัว และเอาธรรมะออกมาใช้ให้กับผู้คน เราอยากได้เพื่อนแท้ เราอยากได้มิตรแท้ เราอยากได้คนรอบข้างน่ารัก แล้วทำไมจึงไม่เอาธรรมะให้เขา เอาอารมณ์ใส่กันก็มีแต่เจ็บ เอาจิตใจเด็กๆ ใส่เข้าไปในใจบ้าง มันจะได้ใส
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาห้องผู้ร่วมฟัง)
ไหว้เราไม่มีประโยชน์ สู้นำสิ่งที่เราบอกไปประพฤติปฏิบัติจะดีกว่า ฝึกจิตใจให้สะอาด ฝึกความคิดให้บริสุทธิ์ เมื่อใจสะอาด ความคิดบริสุทธิ์ กิเลสตัณหาก็จะกลายเป็นธารน้ำอันใสเย็น แต่ถ้าเมื่อไรความคิดยังไม่สะอาด ยังไม่บริสุทธิ์ กิเลสตัณหาก็คุกรุ่นทำร้ายใจเราได้ แม้นไม่มีเรื่องแต่ถ้าเราคิดร้ายก็กลายเป็นเรื่อง แม้นมีเรื่องแต่ถ้าเรารู้จักคิดให้ดี คิดให้เป็น คิดตามความเป็นจริง เรื่องก็สามารถสลายได้ แต่คิดอย่างไรถึงจะทำให้เราเป็นสุข นั่นคือคิดอย่างคนมองตามความเป็นจริง โดนด่าได้ โดนโกงได้ เจ็บได้ สูญเสียได้ แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องเข้าใจธรรม ว่าในใจเราไม่เคยมีอะไรสูญเสีย ไม่เคยมีอะไรเจ็บ เพราะใจเราเข้าถึงความว่าง ถ้าโดนว่ายังเจ็บแปลว่าเรายังยึด เมื่อยึดก็หนีไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าโดนว่าแล้วยังยิ้มได้ ไม่เจ็บ แล้วเข้าใจ แล้วขอบคุณ แล้วขอโทษ นั่นคือสุดยอดของการบำเพ็ญธรรม เพราะอายุก็หลายแล้ว ถ้าป่านนี้ยังปลงไม่ได้ก็ไม่รู้จะปลงตอนไหนแล้วจริงไหม (จริง)
ไม่มีสิ่งใดทำเราทุกข์และเจ็บนอกจากใจเราที่ไม่ยอมรับความจริง แล้วบีบให้ตัวเองยิ่งเจ็บ ทุกข์มาเยอะแล้ว เจ็บมาก็เยอะแล้ว เสียก็เยอะแล้ว แต่ความเป็นจริงของธรรมะสอนให้เรารู้ว่า แท้จริงเราไม่เคยเสียอะไร ไม่เคยเจ็บอะไร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือความว่าง คนที่ยึดคือคนที่อยากทุกข์ แต่คนที่เข้าถึงธรรมและเข้าถึงความว่างคือคนที่อยากพ้นทุกข์ ฉะนั้นบำเพ็ญแล้วอย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวตาย อย่ากลัวทุกข์ อย่ากลัวสูญเสียเพราะเราไม่เคยมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เมื่อไม่มีแล้วเราจะเจ็บอะไร เมื่อว่างแล้วเรากำลังทุกข์อะไร เราทุกข์เพราะความหลงผิดที่เรายึด แล้วอะไรในโลกที่ยึดได้บ้างใช่หรือไม่ (ใช่) บอกว่าอย่าแก่ก็แก่ บอกว่าอย่าเจ็บก็เจ็บ แล้วเราควรจะทุกข์กับสิ่งนั้นไหม (ไม่ทุกข์) ทำให้ได้นะ เพราะสิ่งที่สำคัญนอกเหนือจากสังขารนั่นคือ จิตเดิมแท้ว่างจากตัวตนผู้ยึดถือ ว่างจากเจ้าของ ไม่ต้องการเจ้าของ ต้องการแค่ธรรมะ ทุกชีวิตล้วนกลับสู่ธรรมะ ฉะนั้นนำธรรมเป็นตัวตน อย่าเอาตัวตนเป็นอารมณ์เป็นนิสัยมันมีแต่ทุกข์ แล้วเมื่อเข้าใจแล้วจงนำธรรมะนี้ส่งต่อให้ผู้คน ให้เขาได้ตื่น ให้เขาได้รู้ รับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดี และเอาเวลาที่หลังจากรับผิดชอบหน้าที่ได้ดีแล้วไปช่วยคน ชีวิตจะได้มีค่ามีความหมายมากยิ่งขึ้น ไม่ได้เกิดมามีลมหายใจเพื่อตัวเอง แต่ยังมีลมหายใจเพื่อช่วยคน ได้หรือไม่ (ได้) มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกัน
(มีนักเรียนในชั้นลุกขึ้นถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระทีปังกรพุทธเจ้ามาจากไหน เพราะคำสอนมาจากพระศากยมุนีพุทธเจ้า)
พระทีปังกรคือก่อนพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระพุทธองค์ท่านตื่นรู้ในคำสอนอันเดียวกับท่านทีปังกรพุทธเจ้า การตื่นรู้ธรรมไม่ใช่ตื่นรู้ที่ท่านมาชี้ แต่ท่านแค่มาสืบต่อและก็รับช่วงต่อในธรรมนั้น ท่านถึงบอกว่า “อย่าถือตัวท่านเป็นสรณะ แต่ให้ถือธรรมแห่งความเป็นจริงเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ” ไม่ต้องสงสัยเยอะเพราะสงสัยแบบนั้นไม่ทำให้ท่านพ้นทุกข์ สิ่งที่จะทำให้ท่านพ้นทุกข์คือปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือยัง ปฏิบัติต่อผู้คนได้ดีหรือยัง และเข้าถึงความเป็นจริงได้ดีหรือยัง สงสัยผู้อื่นไม่ช่วยอะไร ไม่สามารถทำให้ท่านพ้นทุกข์ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้คือในจิตของเราเป็นเนื้อนาบุญ ถ้าหมั่นหย่อนเมล็ดพันธุ์ธรรม สักวันถ้าจิตนิ่งพอธรรมนั้นจะก่อเกิดคำตอบขึ้นมาเองด้วยใจ เหมือนที่พระพุทธองค์ได้รู้คำตอบด้วยตัวเอง อย่าเอาแต่ถามผู้อื่นเพราะธรรมแท้ต้องค้นหาในใจ
มั่นใจๆ รักษาตัวเองให้ดีนะ ขอให้บุญรักษา ขอให้ธรรมรักษา แต่อย่าให้อารมณ์ทำร้ายชีวิต ไตร่ตรองให้ดีอย่าให้อารมณ์ชั่ววูบทำร้ายตัวเองนะ สู้ๆ วันนี้เราถือโอกาสสั้นๆ มาผูกบุญสัมพันธ์กับท่าน ย้ำในความเข้าใจแห่งการปฏิบัติธรรมว่า จงเลือกธรรมนำชีวิตแต่อย่าเลือกอารมณ์และความคิดต่ำนำพาชีวิตเลย ฉะนั้นก่อนจะทำอะไรไตร่ตรองให้ดีว่ามีเมตตาธรรมไหม ดูถูกผู้อื่นหรือเปล่า เบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่ ซื่อตรงจริงใจหรือเปล่า คนอื่นทำเราไม่ต้องไปสนใจ แต่ขอตัวเราปฏิบัติต่อเขาอย่างจริงใจ เพราะในโลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุและผล ถ้าเราสร้างเหตุดีไม่ต้องกลัวว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าเราสร้างเหตุไม่ดีนั่นสิต้องมานั่งทุกข์ใจ เพราะเราต้องรับผลกรรมที่ตัวเองสร้าง ฉะนั้นเลือกปฏิบัติให้ถูกธรรมอย่าถูกใจ เพราะบางครั้งถูกใจตามมาด้วยกิเลสและอารมณ์ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แต่ถ้าถูกธรรมจะตามมาด้วยความแจ่มแจ้งชัดเจนและพบทางสว่างที่มีแต่ให้โดยไม่เรียกร้องหวังผลใดๆ นั่นแหละเรียกว่าบุญแท้กุศลจริง ปฏิบัติได้ในทุกคนและทุกขณะ ดีกว่ารอแค่ที่วัดกับพระ กับใครก็ให้ได้ ให้ด้วยความจริงใจ ให้ด้วยความเมตตา ให้ด้วยความเคารพ ให้ด้วยความรักและจริงใจ
อารมณ์นิสัยเบาๆ บ้างนะ บางคนอายุก็ไม่น้อยแล้ว เหมือนที่มนุษย์เรารู้ ในโลกนี้มีอยู่สองขั้ว ขั้วหนึ่งมืดอีกขั้วหนึ่งสว่าง แต่ในความมืดก็มีข้อดี ในความสว่างบางทีก็มีข้อร้าย แต่เราเป็นผู้อยู่ระหว่างมืดและสว่าง ในโลกก็เหมือนกันมีทั้งคนดีและร้าย เราอยู่ระหว่างกลางเราจึงต้องรักษาใจตัวเองให้มั่นคง และอยู่ร่วมกับเขาให้สันติสุขให้ได้ ร้ายก็ไม่เกลียด ดีก็ไม่หลงรัก เมื่อนั้นแหละคือความเป็นกลาง ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมะแท้คือเดินสายกลาง อะไรก็ไม่เกลียด อะไรก็ไม่รัก มีแต่ความเข้าใจ และก็เข้าใจ และก็เข้าใจ เมื่อใจไม่ยึดติด ดีร้าย ได้เสีย ไม่แบ่งแยก เราก็จะพบความจริงอันเป็นกลางที่เรียกว่า “ธรรมะ”
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก รักษาโอกาส ฟังธรรมะเยอะๆ เพื่อจะได้เกิดปัญญา เรียนวิชาอื่นตายไปแล้วก็ลืม แต่เรียนวิชาธรรมะ ไม่ว่าต้องตายกี่ภพกี่ชาติ ปัญญาแห่งการตื่นรู้จะนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้ในทุกภพทุกชาติ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จิตหนึ่งสัจธรรม”
    เมื่อดวงจิตเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะ      ยังปรุงแต่งสร้างกรรมจะมลายสิ้น
อัตตาขาดจะว่างไร้ซึ่งมลทิน                ธรรมคืนถิ่นสัจธรรมอยู่ทั่วไป
    ในความมีคงอยู่ชั่วขณะ                 ที่จะเที่ยงแท้หาไม่
ที่สุดก็ต้องว่างไร้                            ชัดในแก่นธรรมแท้จริง
ไม่เที่ยงใครอยากโลภหลง                  เป็นทุกข์ยากปลงยากยิ่ง
ว่างเปล่าในตัวตนจริง                      สามสิ่งแก่นแท้สัจธรรม


แก้ไขเพลงพระโอวาทที่พระอาจารย์เมตตาให้ไว้ ณ สถานธรรมไท่อิน เมื่อวันที่ ๒-๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑   

จากเดิม หัดโง่ไว้แล้วจะทำให้สบาย แก้เป็น หัดโง่แล้วจะทำให้สบาย
จากเดิม เก่งแค่ไหนไม่มีสุขเท่านั้น แก้เป็น เก่งแค่ไหนไม่มีสุขก็เท่านั้น
จากเดิม กอบกรรมบำเพ็ญ แก้เป็น กอบกำบำเพ็ญ
จากเดิม ศิษย์ต้องรู้ชีวิตทำอะไร แก้เป็น ศิษย์ต้องใช้ชีวิตทำอะไร
จากเดิม แก้ไขคิดทันรวดเดียว แก้เป็น แก้ไขคิดทำพรวดเดียว

การเป็นคนที่เก่งอยู่อย่างนั้น อาจกลายเป็นคนที่เหนื่อยจับขั้วหัวใจ หัดโง่แล้วจะทำให้สบาย เก่งแค่ไหนไม่มีสุขก็เท่านั้น
* ไม่กลายเป็นคนเรื่อยเปื่อยอยู่อย่างนั้น กอบกำบำเพ็ญทั้งหอบกอบธรรมหายไป ศิษย์ต้องใช้ชีวิตทำอะไร ต้องเข้าใจต้องรู้เรื่องจริงที่แท้นั้นคือ
** เจ้าไม่ต้องเก่งแต่รู้จักทำ กุศลต้องสร้างประจำเสกสรรด้วยมือ ห้ามไม่ค่อยอยู่เหตุผลนั้นคือ ศิษย์ต่างก็ถือความคิดตนด้านเดียว (ซ้ำ * / **)
ศิษย์ต้องใช้ชีวิตทำอะไร ต้องเข้าใจต้องรู้เรื่องจริงที่แท้นั้นคือ (ซ้ำ ** / **)
ศิษย์เหนื่อยบ้างไหม แก้ไขคิดทำพรวดเดียว
ทำนองเพลง พูดไม่ค่อยเก่ง
ชื่อเพลง ทำตนสายกลาง



[๑] โลกธรรม : ธรรมที่มีประจำโลก, ธรรมดาของโลก มี ๘ อย่าง คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ
เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์

อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2560

2560-06-17 สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร

西元二○一六年歲次丁酉五月二十三日                                   仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐       สถานธรรมจินจง  จ.พิจิตร
พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอเมตตา
  อย่าอยู่อย่างอยากจนยึดติด            อย่าอยู่อย่างผิดศีลขาดธรรม
จงอยู่อย่างทำให้ดีไม่สร้างกรรม          เมื่อรู้ธรรมทำแล้ววางรับความจริง                เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา   ลงสู่พุทธสถานจินจง  เเฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                            ถามเมธีทุกท่านเกษมสำราญฤๅ
  ชีวิตคนไม่ใช่รูปก็คือนาม              มีแต่ความจริงให้แด่ตนหนา
จิตใจยึดติดทำให้ขาดปัญญา           สามเวลามาฝึกจิตยังน้อยไป
มีสุขทุกข์เป็นใจไม่เป็นปกติ             ขาดขาดเกินเกินสติอยู่ที่ไหน
ใจหนักหนักบรรทุกจิตมีกิเลสไว้        ธรรมค้ำจุนรับน้ำใจไว้บำเพ็ญ
เวลาท้อไม่ไหวดั่งโลกพังพาบ           ทำใจแล้วไม่หาบความคิดเห็น
น้ำเต็มแก้วล้นที่ใดใจลำเค็ญ            ไม่จำเป็นยังเทใส่ใจจึงทุกข์
คนทำได้ละลดเดินมองทาง             ตาสว่างเห็นทางอย่าหลงพันผูก
ไม่ติดความมั่นยึดวันเวลาสุข            ไม่ผูกถูกผิดติดอัตตาจะโล่ง
สมัยใหม่ซึ่งมานำใจใครโยชน์           ใจไม่ว่างโลภโกรธตายผ่อนส่ง
กินเต็มชามความดีกลับลดลง           คนไม่หลงปลงสายใจสายสัมพันธ์
เพิ่มลดได้เป็นทางกลางมืดสว่าง        ปล่อยวางลงวางกระด้างเป็นนักปราชญ์
วางลงก็เป็นสุขไม่อึดอัด    จงสัมผัสธรรมด้วยใจใฝ่ลงแรง
ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทท่านหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
วันนี้มาฟังธรรมเพื่อธรรมหรือมาฟังธรรมเพื่อเอาบุญ เอาวาสนา
เอาโชค เอาลาภ  บุญวาสนาโชคลาภอยู่ที่การให้ทาน โชคดีโชคร้ายอยู่ที่กรรมใช่หรือไม่ ฉะนั้นฟังธรรมแล้วจะเอาบุญเอาวาสนาพ้นกรรมมีโชคมีลาภเป็นไปได้ไหม บอกมาตามตรงเราก็ไม่ว่า

มีทั้งเต็มใจแล้วก็มีทั้งโดนขัดใจและจำใจมาฟังใช่หรือไม่ ตั้งใจไหม (ตั้งใจ)  ตั้งใจนะ เพราะว่าเวลาผ่านไปช้าหรือเร็ว ถ้าคนตั้งใจจะบอกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน  แต่ถ้าคนไม่ตั้งใจจะบอกว่าเวลาผ่านไปช้า  แล้วใจตอบว่าช้าหรือเร็ว  ถ้าวันนี้ท่านมาฟังธรรมเพื่อธรรมจริงๆ ไม่ได้มาฟังเพื่อเอาโชคเอาลาภ เอาบุญวาสนา เราก็คงคุยกันต่อได้ ถ้าทำแล้วยังหวังยึดถือ หวังวอนบันดาลดลนั่นก็เรียกว่า คนปฏิบัติธรรมแบบลุ่มหลง เพราะหลักการปฏิบัติธรรมคือทำเพื่อละวางการยึดมั่นถือมั่น จริงหรือไม่ (จริง)  หากถือมั่นอยู่ก็ยังเรียกว่า ทำบุญแต่ก็ยังหลง มีกิเลส หลงบุญ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายต่อหลายคนมักจะถามว่า เรามาฟังธรรมเกือบวันหนึ่งแล้วแต่ยังไม่ค่อยเห็นธรรม ยังไม่ค่อยเข้าใจธรรมเท่าไหร่ เห็นแต่ความเป็นจีน แบบจีน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราถามท่านนะ โดยส่วนใหญ่เวลาเรามองธรรม หรือเราอยากเห็นธรรม ธรรมที่ในใจเราคิด คือ  ธรรมที่เรามองแล้วสงบ ธรรมที่ปฏิบัติแล้วเราเย็น  ธรรมที่เราปฏิบัติแล้วเราโปร่ง โล่งใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)   ฉะนั้นถ้าวันนี้เรามาศึกษาธรรมแล้วยังไปยึด ต้องมีโชค มีลาภ อย่างนี้เรียกว่ามองเห็นธรรมถูกไหม (ไม่ถูก) ไปถึงธรรมไหม (ไม่ถึง)   ฉะนั้นไม่ใช่เรียกว่าธรรม เพราะในใจของทุกคนคิดว่าธรรมคือความ สงบ เย็น โล่ง โปร่ง สบาย ใช่หรือไม่  ฉะนั้นถ้าเราปฏิบัติธรรมแล้วเรายังหวังขอพร หวังโชค หวังลาภ นั่นเป็นไปเพื่อความสงบเย็น หรือความยึดมั่นถือมั่น (ยึดมั่น)
เป็นความปล่อยวางหรือความยึดติด (ยึดติด)  และการคิดแบบนั้นเรียกว่าการปฏิบัติธรรมถูกต้องไหม (ไม่ถูก) เวลาทุกข์ เวลาท้อ เวลาวุ่น เวลาสับสน จิตใจล้า เสียใจมากๆ อยากเข้าหาธรรม ธรรมในความคิดของทุกคนคือความสงบ ความเย็น ความสบาย ถ้าใจคนทำให้เราวุ่น ไม่สงบ ไม่เย็น ไม่โปร่ง ไม่โล่ง อย่างนั้นทำไมไม่ลองฝึกใจธรรม มีใจเป็นธรรมบ้าง เรามัวแต่หาธรรมข้างนอกแต่ลืมใจเราที่เป็นธรรม เพราะถ้าใจเราเป็นธรรม เราอยู่ที่ไหนก็สงบ เย็น โปร่ง โล่ง เบา แต่ถ้าเราเป็นใจคน อยู่ที่ไหนเราก็วุ่น ก็ยึดติด ก็เรียกร้อง ฉะนั้นตอนนี้อยากหาใจคนหรืออยากหาใจธรรม (ใจธรรม)  อย่างนั้นตอนนี้ท่านเป็นใจคนหรือใจธรรม (ใจธรรม)
มนุษย์ปรารถนาที่จะเข้าถึงธรรม  หรือปรารถนาที่จะมีธรรมเพื่อนำมาซึ่งความสงบร่มเย็นให้กับชีวิต  เพราะรู้สึกว่าชีวิตความเป็นคน  หรือใจความเป็นคนนั้นวุ่นวาย  เต็มไปด้วยความทุกข์  เต็มไปด้วยความท้อ  และเต็มไปด้วยความเจ็บปวด  บางทีการหันหน้าเข้าสู่ธรรมอาจจะทำให้เราพบทางสงบ  พบทางร่มเย็นใช่หรือไม่  แต่ว่าถ้าเราหันหน้าเข้าสู่ธรรมแต่ใจเรายังมีความเป็นคนอยู่  เราก็จะไม่มีวันเห็น
ถ้าเราอยากเข้าสู่ธรรม เราต้องฝึกใจเราให้เป็นธรรม โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะมองว่าการฝึกใจธรรม คือ ฝึกให้ใจมีความบริสุทธิ์ยุติธรรม แต่จริงๆ แล้วคำว่าบริสุทธิ์ยุติธรรมบางครั้งอาจจะดูเหมือนเราลำเอียงใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราอยากฝึกใจธรรม เราจะฝึกแบบไหนที่จะทำให้เรามองเห็นและฝึกได้ง่าย พระพุทธะกล่าวไว้ว่า อยากฝึกใจธรรมก็ให้เลียนแบบดิน เลียนแบบฟ้า ใจที่สงบ ใจที่สว่าง ใจที่สะอาด ใจที่กว้างใหญ่ เปรียบเทียบได้กับใจธรรมเรียกว่าใจฟ้า จริงไหม (จริง)  กว้างไหม ยิ่งใหญ่ไหม และเปรียบเทียบได้กับใจดิน ใจดินหนักแน่น และรองรับทุกสิ่งทุกอย่าง ดินรังเกียจเดียดฉันท์ไหม (ไม่)  ดังนั้นการที่เราจะฝึกใจฟ้าใจดินได้เราต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า ใจฟ้าใจดินหรือเรียกว่าใจธรรมนั้น แตกต่างจากใจคนตรงที่ใจฟ้าใจดินไม่มีตัวตน แต่ใจคนมีตัวตน ฉะนั้นถ้าอยากเข้าถึงใจธรรมต้องวางซึ่งตัวตน ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคนที่เป็นใจธรรมเป็นอย่างไร ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งหรือไม่ ถ้ามนุษย์ใจกว้างสุดประมาณจะไม่มีใครที่ทำให้เราต้องอดทน อดกลั้น ถ้ามนุษย์ใจหนักแน่นในความดีงามอย่างถึงที่สุดจะไม่มีใครที่ร้ายจนย่ำแย่จนทำให้เรารู้สึกท้อแท้ เราเทียบง่ายๆ ใจธรรมเหมือนใจฟ้ากับใจดิน ฉะนั้นคนที่มีใจฟ้าแปลว่ากว้างสุดประมาณ เมื่อกว้างสุดประมาณจะมีใครไหมที่ทำให้เราต้องพยายามอดทนอดกลั้น ฉะนั้นใจฟ้าจะไม่มีคำว่าตัวตน
อะไรๆ ก็ว่าง ก็โล่ง ก็โปร่ง ก็สงบ ก็เย็นใช่หรือไม่ แต่ถ้าเมื่อไรเราฝึกใจธรรมแต่เรายังบอกคนนี้ยังใช้ไม่ได้ คนนี้ยังไม่ดี แปลว่าใจเรายังไม่กว้างเท่าฟ้า ฉะนั้นถ้าเราฝึกใจธรรมแบบดิน คือ หนักแน่นในความถูกต้องอย่างไม่เปลี่ยนแปลง และรู้จักผันแปรสิ่งที่เรียกว่าเลวร้าย ให้ก่อเกิดเป็นคุณประโยชน์ นำมาซึ่งความสร้างสรรค์และดีงาม ถ้าเรามีใจดินที่เรียกว่าเป็นใจธรรม จะมีใครย่ำแย่จนทำให้เรารู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้วหรือไม่ จะมีใครที่ย่ำแย่จนทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่อยากดีอีกต่อไปหรือไม่ ฉะนั้นคนที่ฝึกใจธรรมและเลียนแบบใจฟ้าใจดินจะเป็นคนที่ไม่จำเป็นจะต้องใช้ความอดทน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนว่างเปล่า คนทำดีแล้วต้องพยายามทำให้ดี ถ้าฝึกใจดินจะไม่ท้อจะไม่เหนื่อย จะไม่มีใครที่ทำให้เรารู้สึกย่ำแย่ ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า ถ้าฝึกใจธรรมเลียนแบบใจฟ้าดิน ก็ไม่มีใครทำให้เราต้องรู้สึกอดทนอดกลั้นหรือทำให้เราไม่อยากดีอีกต่อไป คนใจฟ้าแปลว่ากว้างจนถึงที่สุด แต่ความเป็นใจคนมีอัตตา มีรูปแบบ มีการติดยึด ฉะนั้น พอเจอเรื่องอะไรมากระทบยอมได้ไหม เมื่อยอมไม่ได้ก็เลยต้องอดทนอดกลั้น เมื่อยังต้องอดทนอดกลั้นแปลว่าไม่ว่าง ไม่สงบ ไม่เย็น ฉะนั้นคนฝึกใจฟ้าเมื่อว่างแล้วก็ไม่ต้องอดทนอดกลั้น ถ้าเย็นแล้ว ถ้าสงบแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เกินเลยจนทำให้เราต้องโมโหและรับไม่ได้ ฉะนั้นตอนนี้เราเคยมีใจฟ้าบ้างไหม  หรือที่ฝึกมายังคงเป็นใจคนอยู่จริงไหม ยังไปไม่ถึงใจธรรมเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นคนที่เข้าถึงใจธรรม ถามท่านง่ายๆ ใจธรรมคือใจที่สงบ เย็น โล่ง บริสุทธิ์ แต่ถ้าฝึกใจธรรมแล้วยังต้องอดทนอดกลั้น แปลว่ายังไม่เย็นนะ แปลว่ายังไม่มีธรรม จริงหรือไม่ (จริง) 
พูดถึงตรงนี้แล้ว  แล้วใจแห่งธรรมเป็นอย่างไร ใจแห่งคนเป็นอย่างไร แตกต่างกันตรงไหน เคยมองบ้างไหม ไม่เคยเลยใช่หรือเปล่า ถ้ามีใจธรรมเราจะสงบเย็น โล่งโปร่งเบา  แต่ถ้ามีใจแห่งความเป็นคน เราจะมีแต่ความยึดติด สุขทุกข์และรำคาญใจ แล้วใจธรรมต่างจากใจคนอย่างไร  เคยสังเกตไหม ทุกวันนี้มัวแต่หาเงินใช่ไหม พอหาเงินจนทุกข์แล้วค่อยมาหาธรรมใช่ไหม แล้วตอนนั้นมีแรงจะหาธรรมไหวไหม หาเงินจนเงินทำให้เจ็บช้ำ ความรักทำให้เจ็บช้ำ มีทุกข์จนเจ็บช้ำแล้วตอนนั้นมาหาธรรมจะหาทันไหม เยียวยาใจทันไหม ใจธรรมต่างจากใจคนตรงไหน
ถ้าเอาใจฟ้าและใจดินเป็นใจธรรม ฟ้าและดินหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ให้กำเนิดสรรพสิ่งอย่างไม่ถือสิทธิ์ครอบครอง และประกอบกิจอย่างไม่ทวงบุญคุณ ฟ้าดินให้สรรพสิ่งมีชีวิต ให้เราเกิด ให้เรามีสิทธิ์ทำอะไรต่างๆ แต่ไม่เคยทวงสิทธิ์เราคืนถูกไหม  เจือจุนเกื้อหนุนแต่ไม่บังคับบีบคั้นใจเรา สร้างสรรค์ให้สรรพสิ่งเกิดและดำรงอยู่โดยไม่ถือครอบครอง และเมื่อทำถึงที่สุด ทำแล้วก็แล้วไป ไม่ยึดติดหวังผล นี่แหละเรียกว่าหัวใจแห่งธรรม  หัวใจแห่งธรรมคือ ให้สรรพสิ่งกำเนิดขึ้นมาโดยไม่ถือสิทธิ์ ประกอบกิจก็ไม่ทวงบุญคุณ เมื่อเจือจุลเกื้อหนุนสรรพสิ่งแล้วก็ไม่บีบคั้น และสร้างสรรค์สรรพสิ่งให้โดยที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นครอบครอง พอทำถึงที่สุดแล้วก็ไม่จดจำ นี่คือใจธรรม แต่ใจแห่งความเป็นคน ต่างกันไหม (ต่าง)  เวลาทำอะไรหวังผล ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อทำสิ่งหนึ่งหวังผล แปลว่าสิ่งที่ทำนั้นทำให้เราไม่ว่าง เมื่อไม่ว่าง ก็ไม่สงบ ก็ไม่อาจยิ่งใหญ่ และกว้างใหญ่ได้ จริงไหม (จริง)  เวลาเราทำดีแล้วหวังผลตอบแทน การหวังผลตอบแทนทำให้สิ่งที่เราทำนั้นกลายเป็นไม่ว่าง แต่กลายเป็นความมีและยึดติดและไม่ยิ่งใหญ่ ใจคนมีอีกอย่างหนึ่งก็คือ ชอบทำอะไรแล้วต้องให้เป็นดั่งใจ เมื่อต้องหวังให้เป็นดั่งใจแปลว่า ในใจเรามันไม่สงบ ในใจเรามีความมั่นหมาย ฉะนั้นความเป็นใจคนจึงไม่สามารถเข้าถึงใจธรรมได้ เพราะว่าทุกครั้งที่ทำ ยังยึดมั่น ยังหวังผล ใจจึงไม่สงบ ฉะนั้นถ้าทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หวังวอนผลบันดาลดล ใจจึงไม่ว่าง ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หวังให้เป็นดั่งใจตนเอง ใจนั้นจึงไม่สงบ ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เจ้าคิดเจ้าแค้น จดจำไม่ลืมเลือน ใจจึงไม่มีวันเย็นได้เลย ฉะนั้นใจคน ต่างจากใจฟ้าก็ตรงนี้ เพราะใจฟ้าหล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง ให้สรรพสิ่ง ไม่เคยทวงบุญคุณ ไม่เคยอ้างสิทธิ์ ไม่เคยจดจำ ไม่เคยยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน ใจฟ้าหรือใจธรรม จึงสงบเย็น ยิ่งใหญ่และว่าง แต่ใจคนไม่ใช่แบบนั้น ยึดมั่น ตามใจ จดจำ เคียดแค้น รักไม่ลืม ฉะนั้นความเป็นใจคนจึงไม่มีวันสงบ เย็นและว่างได้เลย
เวลาที่เราใช้ชีวิต ชีวิตวุ่นมากๆ หาเงินมากๆ พอเวลาว่างเราจึงอยากไปนั่งดูธรรมชาติ เหนื่อยมากๆ ทำไมอยากนั่งนิ่งๆ เฉยๆ และปล่อยใจมองฟ้ามองดิน ฟังเสียงนก ฟังเสียงลม
เพราะเมื่อมีความอยากมากถึงที่สุด เราก็อยากกลับมาคืนสู่ใจที่เย็นบ้าง สงบบ้าง วางบ้าง จริงหรือไม่ (จริง)  หามาแทบแย่แต่ถึงเวลากลับไม่สงบเลยคุ้มไหม (ไม่คุ้ม)  หามาแทบตายแต่ไม่มีความเย็นใจเลย ฉะนั้นทำไมใจเราจึงบอกว่าอยากสงบบ้าง อยากเย็นบ้าง อยากโล่งๆ บ้าง เพราะจริงๆ แล้วเราก็คือส่วนหนึ่งของธรรม แต่ความเป็นใจคนมาบดบังใจธรรม แต่ธรรมจะคอยย้ำเตือนท่านเสมอว่า เมื่อไรจะว่างสักที เมื่อไรจะเย็นได้บ้าง เมื่อไรฉันจะอิสระจริงๆ สักที ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตอยากอิสระ แต่ทำไมหาคู่ ชีวิตอยากสงบเย็น แต่ทำไมเจ้าคิดเจ้าแค้น ชีวิตอยากเป็นสุข แต่ทำไมชอบคิดให้ตัวเองทุกข์ เพราะใจคนบังใจธรรมอยู่ ถ้าวางใจคนได้ท่านจะกลับพบใจธรรมที่อยู่ในตัวเราว่าจริงๆ มันสงบ มันเย็น มันว่างอยู่ แต่เพราะความยึดติดในความเป็นใจคน เราเลยไม่เคยว่างสักทีใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า สิ่งใดก็ตามที่เข้าออกมาทางจิตใจแล้วทำให้จิตใจติดนิ่งอยู่กับอารมณ์ นั่นเรียกว่า กิเลส นั่นเรียกว่าใจคน แต่สิ่งใดก็ตามที่ทำให้เรารู้เท่าทันความคิดแล้วไม่ติดนิ่งในอารมณ์ ในความคิด ในกิเลส ทำให้เราโปร่ง โล่ง เบา นั่นคือใจธรรม หรือเรียกว่าโพธิจิต ทำให้เราวางจากความคิด วางจากกิเลส ว่างจากอารมณ์ ปลดเปลื้องเราจากความยึดมั่นถือมั่น ทำยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าสู่กระแสธรรมปฏิบัติด้วยเมตตา ด้วยมโนธรรมสำนึก ด้วยจริยะอันดีงามจึงเรียกว่าคุณธรรมแห่งความเป็นโพธิ ฉะนั้นเราต้องแยกให้ออกระหว่างธรรมกับคุณธรรม พอเข้าใจไหม
ถึงท่านจะพยายามปฏิบัติคุณธรรม แต่ลืมเลือนใจธรรมก็ยังถือว่าไม่ได้ปฏิบัติธรรม ดังที่มนุษย์คิดว่า แม้ฉันยังมีใจคนอยู่ ฉันยังมีโลภ โกรธ หลงอยู่ก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันก็ไปปฏิบัติดีก็ได้ เดี๋ยวฉันไปเมตตา ไปทำบุญ ไปให้ทาน ฉันมีจิตสำนึกดีงามนะ ถ้าทำแล้วยังมีจิตแห่งความเป็นคน ยึดมั่นถือมั่นติดแน่นในอารมณ์และตัวตน ผลพวงก็ยังเป็นกิเลสไม่ใช่ธรรมใช่ไหม ฉะนั้นถึงทำดีก็ยังต้องเหนื่อยและยังต้องอดทน แต่ถ้าในขณะใจธรรมเราก็ถึง ประกอบกิจก็มีคุณธรรม อันนี้เรียกว่าสมบูรณ์แล้ว ดังที่คำกล่าวคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า ขอเพียงมนุษย์มีศีล มีธรรม ปฏิบัติทุกขณะด้วยสติปัญญา มีความเพียร ไม่เกียจคร้าน และมีปัญญาเห็นแจ้งในความเป็นจริงแห่งโลกอันเกิดดับที่เรียกว่าอมตะธรรม คนนั้นแม้มีชีวิตอยู่แค่วันเดียวก็ประเสริฐกว่าคนที่ผิดศีล ขาดธรรม และมองไม่เห็นธรรมสักหนึ่งขณะเลย
แล้วทำไมเกิดเป็นคนต้องมีธรรม คนที่มีมโนธรรมสำนึกดี รู้ผิดชอบชั่วดี กับคนๆ หนึ่งไม่มีมโนธรรมสำนึก ไม่ละอายเกรงกลัวต่อบาป ท่านเลือกคบคนไหน คนที่รู้จักยับยั้งควบคุมอารมณ์ตน กับคนที่แม้จะเป็นคนดีแต่ไม่เคยควบคุมอารมณ์ตน ท่านเลือกคนไหน (คนที่ควบคุมอารมณ์ตน) ฉันใดก็ฉันนั้นทำไมคนเราต้องมีธรรม เพราะคนที่มีธรรมล้วนเป็นที่ปรารถนาของทุกคน และเป็นที่ปรารถนาของใจเรา แต่ถึงเวลาเราทำไหม เราเอาแต่เรียกร้องคนอื่น แต่ตนเองลืมควบคุมใจตนเอง เอาแต่ว่าคนอื่นไม่ดี แต่ตนเองควบคุมความไม่ดีของตนเองได้หรือยัง ฉะนั้นถึงดีแค่ไหนแต่ยังควบคุมใจแห่งความชั่วร้ายไม่ได้ก็ไม่อาจเรียกว่าคนดีได้
มือถือสากปากถือศีลจงอย่าได้เป็น เป็นคนดีแต่ยังยับยั้งชั่วไม่ได้ ก็ไม่อาจเรียกว่าคนดีที่แท้จริง เป็นคนดีแต่ยังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าคนดีจริงหรือ ผู้ที่สามารถควบคุมความไม่ดีให้ได้ ถึงจะเรียกว่าคนดีจริง
ใจธรรมเป็นอย่างไร การจะฝึกใจธรรมแล้วทำให้เราเป็นใจธรรมได้ไม่ง่ายเลย แต่ก็ไม่ยากเกินไป ถ้าเราอยากฝึกใจธรรมก็ให้มองใจธรรมมากๆ อย่ามองคนแบบคน เพราะถ้ามองคนแบบคน จะมีแต่ความเป็นคนแล้วคน ใช่ไหม (ใช่)  จงมองคนแบบธรรมแล้วเราจะพบธรรม
คนบางคนเหมือนผลไม้หรือ คนบางคนเหมือนดอกไม้ไหม
(ไม่เหมือน)  ท่านกำลังคิดว่า “คนไม่เหมือนดอกไม้ ดอกไม้ก็ดอกไม้ คนก็คนสิ” ถ้าเช่นนี้ก็คือมองเห็นคนแต่มองไม่เห็นธรรมนะ คนก็เหมือนกับผลไม้ ดอกไม้ ต้นไม้ ทำไมจึงบอกอย่างนั้น ถ้าบอกว่ามีคนๆ หนึ่ง เหมือนต้นกล้วย แปลว่าคนคนนั้นมีประโยชน์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ภายนอกจรดภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนบางคนเหมือนต้นหญ้า ดูเหมือนไร้ราคา แต่ก็มีคุณค่าที่ปกพื้นดินไม่ให้ดินถูกกัดเซาะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากฝึกใจธรรม จงมองให้เห็นความเป็นธรรมในผู้คน เหมือนกับดอกไม้มีหลากแบบ บางแบบสวยแต่กลิ่นไม่หอม บางแบบทั้งหอมทั้งสวย แต่บางแบบแค่หอมแต่ไม่สวย แต่บางแบบไม่หอมแล้วก็ไม่สวย แต่ก็ยังเป็นดอกไม้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดอกไม้เป็นฉันใดคนก็ฉันนั้น ดูสวยแต่ไม่หอม  ดูหอมแต่ไม่สวย ดูไม่หอมแล้วก็ไม่สวย  แต่ก็เป็นดอกไม้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผลไม้บางอย่างดูข้างนอกสวย ข้างในอร่อย แต่ผลไม้บางอย่างดูข้างนอกขรุขระแต่ข้างในกลับยิ่งอร่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็เหมือนมนุษย์ฝ่ายชาย นิสัยไม่ค่อยดี เวลาดีก็ดีใจหายเลย เวลาเอาเรื่องก็ไม่ยอมใครเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเทียบผู้ชายกับผลไม้ก็คงเหมือนทุเรียนก็แล้วกัน จับไม่ดีก็เจ็บมือ ถ้าจับให้ดีก็มีค่าและหอมหวาน  แต่กว่าจะถึงความหอมหวาน ต้องจับให้เป็นไม่อย่างนั้นเจ็บมือใช่หรือไม่  แล้วท่านเป็นทุเรียนไหม หรือเป็นคล้ายกับเงาะ ดูข้างนอกไม่สวยเลยแต่ใจดีที่หนึ่ง หรือเป็นเหมือนมะม่วงข้างนอกก็สวยข้างในก็อร่อย  เรามองทุกสิ่งทุกอย่าง มองคนอย่ามองอย่างคนแต่มองอย่างธรรม แล้วเราจะได้เห็นธรรมในผู้คน จำไว้ว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเกิดมาแล้วไร้ค่าไร้ราคา ขอเพียงไม่ดูเบาตนเอง คนทุกคนล้วนมีค่ามีความหมาย และสรรพสิ่งไม่ว่าจะร้ายอย่างไร แท้ที่จริงแล้วก็เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้เราเข้าใจสิ่งที่ดีที่สุดคืออะไร (ธรรม)  ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรมเราก็จะรู้ว่าในความเป็นจริงแห่งธรรม ธรรมสอนให้รู้ว่าในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าไฟและน้ำ

ฉะนั้นถ้ารู้จักช่วงใช้ให้เป็น ไฟก็มีประโยชน์ น้ำก็มีประโยชน์ ในโลกนี้บางครั้งคนอยู่ได้สูง แต่บางครั้งคนก็ต้องอยู่ในที่ต่ำ  และบางครั้งคนก็ต้องอยู่ในที่ที่ธรรมดาสามัญ แปลว่าความเป็นจริงของโลกใบนี้ สูงขนาดไหน จะต่ำขนาดไหน หรือจะธรรมดาขนาดไหน ล้วนก็คือธรรม เป็นไปได้ไหมมีสูงไม่มีต่ำ เป็นไปได้ไหมมีร้อนไม่มีเย็น ฉะนั้นถ้าควบคุมให้ดี เราก็เรียกว่าส่วนหนึ่งแห่งธรรมหรือเรียกว่าความสมดุล แต่หากผู้ชายมีความแข็งแกร่งจนถึงที่สุดและไม่มีความอ่อนยืดหยุ่น ก็จะกลายเป็นกระด้างเกินไป หรือผู้หญิงถ้าอ่อนนุ่มจนหาความแข็งไม่มี ก็จะกลายเป็นไม่มีหลัก ไม่มีเกณฑ์ ทำอะไรก็ยอมแพ้พังพาบได้ง่ายๆ ฉะนั้นธรรมชาติจึงสอนไว้ว่า สิ่งที่ร้อน สิ่งที่เย็น สิ่งที่ร้าย สิ่งที่ดี ถ้ารู้จักใช้ให้สมดุลก็เรียกว่าธรรม  ถ้าใช้ไม่เป็นก็กลายเป็นกิเลสและก่อเกิดเป็นความทุกข์ ฉะนั้นการจะเข้าให้ถึงธรรมจึงต้องเรียนรู้ที่จะปฏิบัติ อย่าเอาแต่ฟัง ปฏิบัติเช่นไรล่ะ ก็ปฏิบัติง่ายๆ ด้วยการฝึกจิตให้คุ้นชินกับความเป็นจริง
ฝึกจิตให้เข้าใจหลักแห่งธรรม หรือฝึกจิตให้เข้าใจความเป็นธรรมดาอันเรียกว่าปกติแห่งธรรม คนมีร้อนมีเย็น เรื่องราวมีสูงมีต่ำ มีดีมีร้าย ล้วนคือส่วนหนึ่งของธรรม ถ้าเมื่อไรเราฝึกจิตจนคุ้นชินความเป็นจริงแห่งธรรม และเข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรมด้วยใจที่เปิดกว้างยอมรับและรักษาใจแห่งความเป็นกลางได้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะไม่มีอะไรทุกข์จนเราย่ำแย่หรือสุขจนหลงเลิศลอย เราบอกท่านจนจบแล้วนะ วิธีที่จะทำให้เราเข้าถึงธรรมคือรักษาใจเป็นกลาง ถ้าเรายังยึดติดนั้นไม่ใช่ใจธรรมแต่เป็นใจคน ใจธรรมก็คืออะไรๆ ก็คือธรรม
สิ่งที่เรามาพูดในวันนี้ล้วนเป็นหลักแห่งธรรมในการดำเนินชีวิตเพราะถึงที่สุดทุกชีวิตล้วนต้องการคืนสู่ธรรม แต่ถ้ายังยึดมั่นถือมั่นในตัวตนก็อาจไปไม่ถึงธรรม แต่ไปถึงคำว่ากรรม อยากรู้ไหมว่าทำไมไปไม่ถึงธรรมแต่กลายเป็นไปแล้วเป็นเวรเป็นกรรม ก็เพราะยึดติดในตัวตน ฉะนั้นถ้าทำอะไรด้วยใจว่าง เป็นกลาง ไม่ยึดติด ไม่เรียกร้อง ไม่หวังผล ทุกสิ่งทุกอย่างคือความสงบเย็นและปล่อยวาง นั่นก็คือกลับสู่ธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ ดีก็ยึด ร้ายก็ยึด สิ่งที่ยึดจึงก่อเกิดเป็นกรรมดีและกรรมชั่ว แต่ธรรมคือความเป็นกลาง กลางที่เรียกว่า อกรรม คือ พ้นแล้วซึ่งเวรกรรม แล้วทำไมจึงอยากยึดติดความเป็นคนเพื่อหมุนเวียนวัฏฏะแห่งกรรม ทำไมไม่เข้าหาธรรมเพื่อกลับคืนสู่ความสงบเย็น
ฉะนั้นหัวใจแห่งธรรมคือบำรุงเลี้ยงสรรพสิ่งอย่างไม่ถือสิทธิ์ครอบครอง เจือจุนสรรพสิ่งโดยไม่ทวงบุญคุณ สร้างสรรค์สรรพสิ่งโดยไม่ยึดมั่นถือมั่นความเป็นตัวตน ให้แล้วให้เลยไม่จดจำ ถ้าทำได้ถึงหลักแห่งใจธรรมท่านก็กลับคืนสู่ความสงบเย็น ไม่ต้องพรุ่งนี้แต่เดี๋ยวนี้และตอนนี้ทันที

วันอาทิตย์ที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐                         สถานธรรมจินจง จ.พิจิตร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  เรื่องธรรมะคิดได้ไม่ค่อยคิด             เรื่องชีวิตคิดไม่ได้ไปกันใหญ่
เรื่องธรรมดาทำมาน้อยอกน้อยใจ        เรื่องของใครเอามาเป็นสาระสำคัญ
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก  แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว            ถามศิษย์รักทุกคนฟังธรรมะรู้เรื่องหรือเปล่า
        สะสมบุญมากกว่ากรรมแล้วหรือไม่ มีจิตใจที่ดีมากพอหรือยัง คนที่บำเพ็ญแล้วยังมิแคล้วต้องฟัง ที่กำลังก้าวต่อไปคืออะไร
        คุณธรรมทำให้คนทรงคุณค่า คำปรึกษาต้องเจือหลักธรรมปลอบใจ
คนที่ธรรมดาเพราะไม่รู้ว่าทำได้ บำเพ็ญละไมคืนสุขให้ชีวิตตน

        * สมาธิขอให้พร้อมยิ่งกว่าพร้อม บางเรื่องยอมถึงยอมคือทุกข์ไม่
หมองหม่น รับเรื่องราวด้วยใจว่าง ปล่อยวางอย่าไปกังวล จะมีจะจนยังต้องบำเพ็ญเข้าไว้

             พึ่งพาศีลเป็นเครื่องช่วยถอนกิเลส หว่านเมล็ดตื่นรู้ให้ถึงข้างใน ผลบุญยังไม่มา เพียรคือความหวังใหม่ น้ำหลายสายหลั่งไปหลอมรวมร่วมกัน  (ซ้ำ *)
                                             ชื่อเพลง : รักษาศีลบำเพ็ญบุญ
                                              ทำนองเพลง : ขอเดินด้วยคน
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อยากฟังเขาต่อไหม ถ้าบอกอยากฟังเดี๋ยวอาจารย์กลับก็ได้นะ เขาพูดดีนะ ทุกคนที่มาพูดในชั้นล้วนพูดดีใช่หรือไม่ แต่เราเสียอยู่อย่างหนึ่งคือเราฟังไม่ค่อยดี เขาให้มานั่งฟังธรรมหรือนั่งหลับ (ฟังธรรม)  ธรรมะสอนให้เรารู้จักลดละอัตตาตัวตน ปล่อยวางความโลภโกรธหลงใช่หรือไม่ ลดความยึดมั่นถือมั่น ถ้าฟังธรรมแล้วยังยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ยังมีความโลภ โกรธ หลงอยู่ แปลว่าไม่ได้มาฟังธรรมแต่มาทำอะไรตามใจเฉยๆ แปลว่าที่ฟังมาไม่เข้าหูเลย
 ถ้าสมมติว่าศิษย์มีลูก  แล้วลูกของศิษย์เกาะศิษย์แจ ไม่คิดที่จะพึ่งตัวเอง คิดจะพึ่งแต่พ่อแม่ อย่างนี้ศิษย์คิดว่าเลี้ยงลูก ถูกหรือผิด (ผิด)  ถ้าอาจารย์มีลูกศิษย์  แล้วลูกศิษย์ติดอาจารย์แจไม่คิดจะพึ่งตนเอง อะไรก็รอแต่อาจารย์เตือน รอแต่อาจารย์บอก คิดเองไม่ได้ อย่างนี้ถูกหรือผิด (ผิด)  พอรู้ว่าผิดไม่กล้าเจอหน้าอาจารย์ หลบไปอยู่ข้างล่างไม่กล้าขึ้นมาข้างบนใช่หรือไม่คนที่อยู่ข้างล่าง 
 เรื่องธรรมะคิดได้กลับไม่ค่อยคิด เรื่องชีวิตคิดไม่ได้ยิ่งแต่คิดไปกันใหญ่ เราเป็นอย่างนี้ไหม คิดว่าทำไมเขาไม่เป็นแบบนั้น ทำไมเขาไม่เป็นแบบนี้  ยิ่งคิดยิ่งไปกันใหญ่  ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน  ยิ่งคิดยิ่งยอมรับความจริงไม่ได้ ทั้งที่ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องนิดๆ หน่อยๆ แต่เราก็เอามาเป็นเรื่องเอามาเป็นสาระสำคัญ แล้วก็น้อยใจคนนั้นน้อยใจคนนี้ 
วันนี้เรามาฟังธรรมะ เพื่อเอาไปปฏิบัติใช่หรือไม่ ศิษย์เคยสังเกตไหม ฟังธรรมมาก็เยอะ รู้ธรรมมาก็มาก แต่น่าแปลกใจ ทำไมกิเลสอารมณ์ยังมีเหมือนเดิม จริงไหม (จริง)  มนุษย์เราเป็นแบบนี้นะ ฟังมาก็เยอะ รู้มาก็มาก แต่ถึงเวลากิเลสอารมณ์น่าจะน้อยลงแต่กลับเหมือนเดิม หรือบางครั้งยังมากกว่าเดิมอีกใช่ไหม อาจารย์แค่ลองคุยให้ฟัง ว่ามันตรงกับใจใคร แต่อาจารย์ว่าคงตรงกับใจทุกคน จริงไหม แปลว่าเราไม่เคยเอาสิ่งที่รู้มาหักห้ามกิเลส ถากถางกิเลสออกจากใจตัวเองได้เลย ใช่หรือไม่ แปลว่าเราแค่รู้ใช่หรือไม่ แต่ยังไม่ลงมือทำใช่หรือไม่ ฉะนั้นคนบางคนดีหน่อย ตรงที่พอเวลามีเรื่องอะไรที่เป็นธรรมะ ชอบฟัง ใช่หรือไม่ ชอบฟังไหม (ชอบ)  เพราะการฟังธรรมก็เป็นบุญชนิดหนึ่ง แต่ถ้าฟังแล้วไม่นำเอามาปฏิบัติ ธรรมที่ฟังมานั้นก็ไม่สามารถทำให้จิตใจนั้นสงบเย็น และธรรมที่ฟังมานั้นก็ไม่สามารถที่จะป้องกันกิเลสเข้ามาครอบงำใจได้ จริงหรือไม่ ฉะนั้นอย่าเอาแต่ฟัง แต่รู้จักเอาธรรมไปปฏิบัติ เพื่อทำให้จิตนั้นสงบเย็นและป้องกันกิเลสไม่ให้มาคุกคามใจ ใช่หรือเปล่า 
 ศิษย์เอยถ้าเราอยากอยู่ในโลกให้มีความสุข เราอย่ามัวแต่ห่วงตนเอง เพราะถ้าศิษย์คิดว่า “เรื่องของคนอื่น” ศิษย์รู้ไหมว่าถ้าเมื่อไรคนอื่นทุกข์ เขาก็จะพลอยทำให้คนรอบข้างทุกข์ด้วย จริงไหม (จริง)  ถ้าศิษย์บอกว่าศิษย์ดีก็พอแล้ว คนอื่นช่างหัวมัน แต่ศิษย์อย่าลืมนะ คนอื่นที่ทุกข์และเราไม่สนใจเขานั้นเขาอาจจะกลับมาทำให้ศิษย์ทุกข์ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากจะดี ทำไมไม่ทำให้ตัวเองดี และทำให้คนอื่นดีด้วยล่ะ จริงไหม (จริง)  ถ้าอยากจะสุข ทำไมไม่ทำให้ตัวเองสุขแล้วคนอื่นก็สุขด้วย ทำไมห่วงแต่สุขตัวเองแล้วทอดทิ้งทุกข์ของคนอื่น ปัญหาที่เกิดคือทุกข์ของคนอื่นที่เราทอดทิ้งนี่แหละ จะวกกลับมาทำร้ายเรา จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเป็นไปได้ไหมที่เราอยู่ในโลกแล้วตัวใครตัวมัน 
ขึ้นชื่อว่าคนยังเกี่ยวสัมพันธ์กัน ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “คนคดหนึ่งคนสามารถทำร้อยคนที่ตรง ให้คดได้” ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนไม่ดีหนึ่งคนทำร้ายคนดีให้หมดเรี่ยวแรงหมดกำลังใจได้ ฉะนั้นเราดีอย่างเดียวแล้วไม่ต้องสนใจคนไม่ดี ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  แต่ศิษย์อย่าลืมนะ ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่ยอมทุกข์เพื่อคนอื่น ให้คนอื่นสุขแล้วตัวเองทุกข์ ให้คนอื่นสบายแล้วตัวเองลำบาก เชื่อไหมว่าคนเช่นนี้ที่จะแปรเปลี่ยนความมืดให้กลายเป็นความสว่าง และความสว่างเป็นความสว่างยิ่งขึ้น ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่า อย่าเกิดเป็นคนรักแต่สบาย อย่าเกิดเป็นคนเอาแต่สุขฝ่ายเดียว ทำไมไม่ลองทุกข์เพื่อผู้อื่นบ้าง ทำไมไม่ลองลำบากเพื่อผู้อื่นบ้าง เผื่อว่าความมืดในใจเขาจะกลายเป็นความสว่าง และเผื่อว่าความมืดที่เขามองเห็นจะไม่ใช่ความมืด แต่กลับจะรู้สึกว่าความลำบากของเขาช่างเป็นแสงสว่างที่นำใจเรา ให้รู้สึกว่าฉันจะต้องเป็นอย่างเขาให้ได้ ศิษย์เคยเจอคนประเภทนี้ไหม แล้วศิษย์ไม่คิดจะเป็นแบบนี้บ้างหรือ ทำไมเอาแต่ตัวเองรอด ตัวเองดี ตัวเองสบาย ตัวเองสุข แล้วคนอื่นไม่สนใจ ฉะนั้นคนดีที่แท้จริงน่าจะเป็นคนที่ลำบากได้ ทุกข์ได้ แต่ทำให้คนอื่นยิ้มได้สุขได้ อย่างนั้นไม่ประเสริฐกว่าหรือวันนี้ที่มาฟังธรรมเราคิดว่าเพื่อจะนำธรรมะนี้ไปใช้ในชีวิต แต่เราต้องมีความคิดที่ตรงกันก่อน หนึ่งอาจารย์ไม่ได้มาให้ศิษย์เปลี่ยนศาสนา อาจารย์กำลังพูดหลักธรรมที่จะนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต ธรรมที่เป็นกลาง ถ้าเราจะนำธรรมไปใช้ในชีวิต ตอนนี้ศิษย์ทำเพื่อกายหรือเพื่อใจ (เพื่อใจ,เพื่อกาย)  กายมากกว่าหรือใจมากกว่า (กายมากกว่า)  ที่แต่งตัวทุกวันนี้เพื่อกายหรือเพื่อใจ ที่ทำอะไรทุกวันนี้เพื่อกายหรือเพื่อใจ (เพื่อกาย)  ถ้าศิษย์บอกว่าศิษย์ทำเพื่อกายและเพื่อใจ ฉะนั้นถ้ามีเรื่องอะไรที่เกิดขึ้น ใจต้องรับได้ ใจต้องรู้ทัน ถ้าเราหาเงินมาแล้วเงินนั้นหายไป ถ้ามีแฟนแล้วแฟนไม่รัก หาเงินแล้วคิดว่าจะรวยขึ้นแต่กลับเป็นหนี้ กายก็ต้องรับได้ ใจก็ต้องรับได้ แสดงว่าทุกวันนี้ศิษย์ทำทุกอย่างล้วนเพื่อกายแต่ลืมบำรุงเลี้ยงดูแลใจ จริงหรือไม่ (จริง)  ศิษย์ทำทุกอย่างเพื่อให้กายรอด กายต้องมีกิน กายต้องสวย กายต้องดูดีก่อน แต่เราลืมดูแลใจ ถามคนที่อายุมากนะว่า ภรรยามีไหม เงินมีไหม เงินก็ยังพอมี ลูกก็มี รถก็มี ใช่ไหม (ใช่)  สมัยเด็กๆ ศิษย์บอกว่า ถ้าศิษย์มีสิ่งเหล่านี้แล้วจะทำให้เรามีความสุขกายและสุขใจ ถูกไหม ตอนนี้มีครบทุกอย่าง ทำไมกายยังรู้สึกโหวงๆ ใจยังรู้สึกเหวงๆ รถก็มี บ้านก็มี เงินก็มี ลูกก็มี แต่ทำไมใจรู้สึกเหมือนไม่มี (รถอยู่กับเราทะเบียนอยู่กับไฟแนนซ์)  ไม่ใช่แค่ทะเบียนอยู่กับไฟแนนซ์ บางทีโฉนดที่ดินก็อยู่กับธนาคาร ใช่หรือเปล่า ศิษย์ทำทุกอย่างเพื่อหวังให้กายมีสุข เพื่อต่อไปในภายภาคหน้าใจจะมีสุข แต่ทำไมไปๆ มาๆ กลายเป็นสิ่งที่ศิษย์หวังว่าจะมีสุข กลับกลายไม่มีสุขแต่กลายเป็นเหมือนพันธะผูกพันที่ทำให้เราต้องวิ่งวนไม่จบสิ้น จริงไหม นั่นแปลว่า เรามัวบำรุงกายจนลืมยั้งใจตัวเองไหม (ใช่)  ที่เป็นหนี้ทุกวันนี้เพราะว่าเงินมีน้อยเพียงแค่นี้ แต่ใจอยากได้มากกว่านี้ ฉะนั้นศิษย์มัวบำรุงกายจนลืมดูแลใจ ที่โลภอยากได้มากกว่าที่เราหาหรือไม่ จริงไหม ฉะนั้นทุกวันนี้เรากำลังบำรุงบำเรอกาย แต่ลืมกลับมาดูแลบำรุงใจตัวเอง ใช่ไหม ฉะนั้นคนที่บำรุงใจตัวเองเป็น การดูแลใจตัวเองเป็น คือคนที่รู้จักมีแล้วห้ามใจได้ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่าศิษย์มีเงินไหม (มี)  แต่ใจที่บอกว่ามีเงินนั้นกลับไม่เคยมี ฉะนั้นหามาได้สิบล้าน ร้อยล้าน ใจก็ยังบอกว่า (ไม่มี)  จริงไหมเล่า ฉะนั้นเรามัวแต่ดูแลกายจนลืมดูแลใจตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจึงสอนให้เรารู้จักฝึกจิตใจเพื่อคุ้นชินกับความเป็นจริงของชีวิต ทำไมเราต้องปฏิบัติธรรม เพราะการปฏิบัติธรรมคือการฝึกจิตใจให้คุ้นชินกับความเป็นจริงของชีวิตและเข้าใจความเป็นจริงแห่งสัจธรรมหรือความเป็นจริงแห่งธรรมอันเป็นเช่นนั้นเอง ว่าถ้าเราปล่อยตัวเองไปตามความอยาก ยิ่งถมยิ่งไม่เต็ม แต่ถ้าเมื่อไหร่เรารู้จักหยุดอยากได้ เงินที่มีเพียงแค่นี้ จะกลายเป็นเยอะขึ้นมาทันที จริงหรือไม่ สมมติมีเงินสิบบาท ศิษย์ว่าน้อยไหม (น้อย)  แต่ตอนเด็กเจอสิบบาทเหมือนเจออะไร แบงค์ร้อย แบงค์ห้าร้อย แบงค์พัน ใช่ไหม ก็ตอนเด็กเราไม่มีความ (อยาก)  ใช่หรือไม่ แต่เมื่อโตขึ้นทำไมสิบบาทที่เคยมีความสุขตอนเด็กตอนนี้กลับไม่สุขแล้วล่ะ อะไรเปลี่ยนไป (ใจ)  ใช่หรือไม่ 
ฉะนั้นอย่ามัวแต่บำรุงกายจนลืมดูแลรักษาใจ ไม่เช่นนั้นมีเงิน มีบ้าน มีลูก มีสามี มีภรรยา แต่ใจเหงา ใจวุ่น มีทุกอย่างที่ควรมี แต่พอมีแล้วทำไมถึงไม่มีความสุข เพราะเราลืมดูใจตนเองหรือเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะเอาอะไรมาช่วยบำรุงดูแลใจเรา ตอบอาจารย์ได้ไหม
ศิษย์เอ๋ยถ้าทางโลกยังทำได้ไม่ดี ศิษย์จะหวังได้ดีทางธรรมเป็นไปได้ยาก คนเราต้องปฏิบัติทางโลกให้ถูก ดี พร้อมสมบูรณ์ การจะไปปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าทางโลกศิษย์ยังเอาแต่หนีแล้วคิดจะไปปฏิบัติธรรมนั่นไม่ใช่การแก้ที่ถูกวิธี
( มีแต่ใจไม่มีกายก็ไม่มีความสุข มีกายแต่ไม่มีหัวใจก็อยู่ไม่ได้)
อาจารย์ไม่ได้หมายความว่าให้ศิษย์สนใจแต่ใจแล้วไม่สนใจกาย ไม่ใช่ใช้ความดีมาบำรุงเลี้ยงจิตใจ พยายามทำดีแต่ก็ยังลดละโลภไม่ได้ ยังหยุดอยากไม่ได้ ฉะนั้นความดีช่วยได้หรือไม่ (ใช้ธรรมะบำรุงเลี้ยงใจ) ธรรมะข้อไหนที่จะช่วยบำรุงเลี้ยงใจ ที่จะสอนให้เรารู้จักหักห้ามใจไม่ปล่อยให้เราโลภโกรธหลงจนกลายเป็นทุกข์ (การปล่อยวางไม่ยึดติดกับกิเลสของเรา) แต่ศิษย์ก็ยังทำไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่จะบำรุงเลี้ยงหัวใจของเราคือ (รู้จักพอเพียง) รู้จักพอเพียงใช่ไหม ศิษย์ก็ตอบได้ดีนะ เกิดเป็นคนต้องหาเลี้ยง การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ห้ามศิษย์หาเลี้ยงแต่หาเลี้ยงอย่างไรที่จะไม่ทำร้ายใจตนเอง เพราะมนุษย์เวลาหาเลี้ยงแล้วเหมือนคนที่ก้าวแล้ว เดินแล้ว หยุดไม่เป็น แล้วถอยไม่ได้ ถ้าศิษย์อยากใช้ธรรมบำรุงเลี้ยงใจ ธรรมก็จะสอนเรา ก่อนจะไปทำอะไร รู้จักพอก่อน รู้จักมีสุขให้เป็นก่อน แต่มนุษย์ไม่เป็นแบบนั้น เวลาจะไปทำอะไรแค่ตรงนี้ก็ไม่พอ แค่ตรงนี้ก็ไม่สุข เมื่อต้องก้าวออกไปทำอะไรแล้วพอกลับมายืนที่เดิมมันก็เป็นทุกข์ใช่หรือไม่ ฉะนั้นสิ่งแรกที่จะช่วยบำรุงเลี้ยงใจนั่นคือ เรารู้จักมีสุขในความเป็นธรรมดาสามัญที่เราพึงมีพึงได้หรือยัง ถ้าเรารู้จักพึงมีพึงได้ในสิ่งที่ธรรมดาสามัญเราจะทุกข์หรือไม่ ฉะนั้นถ้าอยากเข้าใจว่าธรรมะคืออะไร ทุกข์คืออะไร อาจารย์สรุปง่ายๆ ธรรมะคือความจริง แต่ทุกข์คือการไม่ยอมรับความจริง
ฉะนั้นสิ่งใดที่เป็นความจริงนั่นคือธรรมะ แต่สิ่งใดที่ศิษย์บอกไม่เอาจะเอาแบบนี้แบบนั้น นั่นแหละคือทุกข์ ถ้าศิษย์อยากบำรุงเลี้ยงใจเริ่มต้นก่อนว่าแค่นี้เท่านี้สุขไหม ดีไหม พอไหม ถ้าอาจารย์บอกว่าพอแต่ศิษย์ไม่พอ ถ้าอยู่ในบ้านก็ไม่มีสุข อยู่กับตัวเองก็ไม่เคยพอใจในหน้าตา จมูกตนเอง รูปร่างตนเอง ศิษย์อยู่ไปแล้วศิษย์ทุกข์ไหม ฉะนั้นศิษย์จะมีสุขได้ต้องเปลี่ยนหน้า เปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนบ้านใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ถ้าอยากสุขเริ่มต้นรู้จักพอให้เป็นก่อนดีไหม พอได้จึงดีเพราะไม่พอจึงไม่มีวันดีสักทีจริงหรือไม่ หน้าแบบนี้ก็ดีแล้ว เตี้ยแบบนี้ก็ดีแล้ว มีแค่นี้ก็ดีแล้ว ถ้าเกิดไปหาเงินมาแล้วไม่เหลือก็ดี เหลือเท่าเดิมก็ดี ถ้าศิษย์ไม่พอใจหน้าตา เงิน สามี ลูก  ศิษย์ไปอยู่ที่ไหนมันก็มีแต่ความไม่พอใจและทุกข์ใจใช่หรือไม่ แล้วเมื่อไหร่จะฝึกใจได้ ศิษย์จะต้องเปลี่ยนสามีกี่คน เปลี่ยนลูกกี่คนถึงจะพอใจ
ฉะนั้นการฝึกจิตแรกเริ่มที่สุดก็คือ “อะไรๆ ก็พอ” แต่เราทำได้หรือไม่ เรามาดูกันว่าต้นเหตุของความทุกข์ เพราะเราไม่ยอมรับความจริงแห่งธรรม ธรรมคือความจริง ถ้าเรายอมรับความจริงเราก็เจอธรรม แต่ถ้าเราไม่ยอมรับความจริง เราหนีไม่พ้นความทุกข์
มนุษย์ทุกคนมีทุกข์ ทุกข์ทุกอย่าง แม้นั่งก็ทุกข์ ทุกข์เป็นสิ่งน่ากลัวไหม แก่ เจ็บ และตายเป็นทุกข์ไหม 
แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์หรือไม่ (ไม่ทุกข์)  ทุกข์ ถ้าศิษย์ยังยึดติดตัวตนอยู่ ศิษย์ก็ยังเป็นคนที่ยังต้องหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปรับชะตากรรมที่ตัวเองก่อ อย่าคิดว่าจบแล้วจบกันนะศิษย์ จริงหรือไม่ (จริง)  คิดให้ดีๆ นะ โดยส่วนใหญ่บอกว่า แก่ก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์ ตายก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเกิดทุกข์หรือไม่ (ทุกข์, ไม่ทุกข์)  เกิดไม่ทุกข์หรือ เพราะมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เพราะมีเกิดแห่งตัวตนจึงแก่ เจ็บ ตาย ไม่จบสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่า มนุษย์เราหนีไม่พ้นความเป็นจริงแห่งสัจธรรม แล้วการหนีไม่พ้นสัจธรรมนี้ทำให้ศิษย์ทุกข์ใช่หรือไม่ ฉะนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะ ถ้าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความหมุนเวียนเปลี่ยนผันอยู่ตลอดเวลา แล้วเราพยายามไปยึดมันไว้ ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  แต่ถ้าเราไม่ยึด เราจะทุกข์หรือไม่ (ไม่ทุกข์)  คนเราเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้นคือเรื่องหมุนเวียนเปลี่ยนผันใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าหากว่าศิษย์เกิดมาแล้ว ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  ใครๆ ตายกันหมดแล้ว เหลือแต่ศิษย์ยังไม่ตาย ศิษย์จะทุกข์หรือไม่ คนอื่นเขาเจ็บแล้วแต่เราแข็งแรง เราไม่มีวันเจ็บเลย เราไม่เจ็บสักที และก็ไม่ตายสักที เราควรจะทุกข์กับความเป็นจริงที่เรียกว่า หมุนเวียนเปลี่ยนผันหรือไม่ศิษย์ จริงๆ แล้วเราไม่ควรทุกข์ใช่หรือไม่ แต่ที่เราทุกข์เพราะเรายึดไม่ให้มันหมุนเวียนเปลี่ยนผันใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราบอกว่าชีวิตเราอย่าได้ แก่, เจ็บ, ตาย คนที่คิดแบบนี้คือคนบ้า จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะขึ้นชื่อว่าชีวิตมันต้องหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเป็นไปได้ไหมที่ชีวิตจะเจอแต่คน คนเดียวตลอด แล้วทำไมชีวิตมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับคนเพียงคนใดคนหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์เปรียบเทียบ เมื่อคนนี้เขาว่าเรา แต่อีกคนเขาไม่ว่า ทำไมศิษย์มีชีวิตจมอยู่กับคนที่ว่า ทั้งที่ชีวิตมันหมุนเวียนเปลี่ยนผัน จริงหรือไม่ (จริง) วันนี้ศิษย์ไปทำงานปรากฏว่า ศิษย์กลับกลายเป็นติดหนี้ โดนเจ้านายด่า ศิษย์ทุกข์หรือไม่ (ทุกข์) แล้วชีวิตศิษย์ยังต้องเดินต่อไปหรือไม่ (เดิน) มันก็ยังต้องหมุนเวียนเปลี่ยนผัน
แล้วเรากำลังทุกข์กับอะไร มนุษย์ทุกข์เพราะอยากยึด แต่ไม่ยอมมองความเป็นจริงจนถึงที่สุด คนทุกข์คือคนที่ไม่มองความจริง จมอยู่กับสิ่งที่ตัวเองคิดและรับไม่ได้ทั้งที่สิ่งนั้นคือความจริงของชีวิต เหมือนกับที่อาจารย์เดินย้ายที่ไปย้ายที่มา แล้วอะไรคือสิ่งที่อาจารย์ต้องทุกข์ เพราะชีวิตยังต้อง (หมุนเวียนเปลี่ยนผัน)  ฉะนั้นถ้าเรายังจมอยู่กับความทุกข์แปลว่าเราจมกับสิ่งที่ตายไปแล้ว เรื่องมันจบไปแล้วแต่เรายังไม่ยอมจบ  ใครที่จมอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแปลว่าอยากจะนอนตายแล้วก็จมอยู่กับสิ่งนั้น ถ้าเรายังรักชีวิตทำไมเราจะต้องจมอยู่กับสิ่งที่ตายไปแล้ว ทำไมไม่อยู่กับสิ่งที่เป็นความจริง ฉะนั้นถ้าทุกวันศิษย์มัวจมอยู่กับความตายก็แปลว่าศิษย์อยากจะตายทั้งเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่ทำให้ทุกข์ไม่ใช่ความจริง แต่เป็นสิ่งที่ตัวศิษย์เองไม่ยอมรับความจริง ถ้ายังมีชีวิต มีกำลัง มีปัญญา ทำไมไม่ก้าวต่อไปและหาทางออกให้ดีที่สุด ถ้าโดนว่า “ไอ้โง่ ไอ้แก่” จะยอมตายตรงนี้หรือจะยอมมองให้เห็นชัดในความเป็นจริงแห่งธรรม ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ ทุกข์มีให้รู้ ไม่ใช่มีไว้ให้เป็น ผู้ปฏิบัติธรรมจึงมีหน้าที่รู้ทุกข์ เท่าทันทุกข์ แต่ไม่ยอมตกเป็นทาสของทุกข์
อาจารย์ถามว่า ความเจ็บนั้นเป็นทุกข์ไหม (ทุกข์)  เป็นทุกข์แค่เพียงของสังขาร แต่ไม่ใช่ทุกข์ของใจ
ความเจ็บนั้นดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ความเจ็บสอนให้เรารู้ว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้นผิดปกติ เราต้องแก้ให้ดีขึ้น แก้ให้เข้มแข็งขึ้น แก้ให้มั่นคงขึ้นใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นความเจ็บไม่ใช่ความทุกข์ และความตายก็ไม่ใช่ความทุกข์ ถ้าคนนั้นรู้จักดำเนินชีวิตให้เป็น ถ้าเจ็บแล้วได้สติ เจ็บแล้วได้ยั้งคิด เจ็บแล้วได้รู้เท่าทันว่า ใจเราที่บอกว่าเข้มแข็งนั้นไม่เข้มแข็งเลย ร่างกายที่เราบอกว่าดี จริงๆ ไม่ดีเลย ฉะนั้นต้องขอบคุณความจริง ใช่หรือไม่ ศิษย์ต้องรู้อย่างหนึ่งว่า เมื่อขึ้นชื่อว่าชีวิตนั้นหนีไม่พ้นความ (หมุนเวียนเปลี่ยนผัน)  จะเป็นไปได้หรือที่เราจะแข็งแรงแล้วไม่อ่อนแอ แล้วเป็นไปได้ไหมที่เราจะอ่อนแอแล้วกลับมาแข็งแรงไม่ได้ ศิษย์ต้องทำให้ได้ เพราะถ้าทำไม่ได้ ความเจ็บนั้น จะทำให้ศิษย์ตายทั้งเป็น ถูกไหม
ฉะนั้นชีวิตสอนให้เรายิ่งเข้าใจชีวิต คุ้นชินกับชีวิต และเข้าใจความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา และความเป็นธรรมดานี้ ยิ่งเข้าใจยิ่งคุ้นชินมากเท่าไหร่ยิ่งกลับทำให้เราพบธรรม ไม่ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้านั่งแล้วไม่เมื่อยไม่ทุกข์ ศิษย์จะรู้จักว่าต้องยืนขึ้นไหม ฉะนั้นต้องขอบคุณที่ทุกข์ เพราะถ้าไม่ทุกข์เราจะรู้จักยืนไหม (ไม่รู้)  อย่างนั้นศิษย์ก็คงเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตแล้ว เพราะไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว ใช่ไหม ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่า ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ถ้ารู้เท่าทันความเป็นจริง ความทุกข์คือส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตและนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้จริงไหม (จริง) ยากไหม (ไม่ยาก)  
โดยส่วนใหญ่มนุษย์เราทุกข์เพราะอะไร (ทุกข์เพราะลูก) 
แล้วทุกข์เพราะอะไร อาจารย์พูดไปเรื่องหนึ่งแล้ว (ทุกข์เพราะเราไม่รู้จักพอ) แล้วตอนนี้เราพอบ้างหรือยัง (พอแล้วค่ะ)  สิ่งหนึ่งที่ศิษย์มักจะทุกข์กันอีกเรื่องหนึ่งก็คือ มักจะทุกข์เพราะว่าทำดีแล้วไม่ค่อยได้ดีเท่าไร (ทุกข์เพราะเกิดแก่เจ็บตาย) จริงๆ ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิต เกิดแก่เจ็บตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นเรื่องหนึ่งที่ทุกชีวิตล้วนต้องเป็นไป แต่ถ้าไม่เป็นไปน่ากลัวกว่า ดังที่พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ความเกิดทำให้มนุษย์ต้องเวียนเกิดแก่เจ็บตายไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้ามนุษย์หยุดยั้งการเกิดได้ การเวียนว่ายตายเกิดก็จะเป็นแค่ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายของชีวิต
ฉะนั้นเราจะหยุดสิ่งที่น่ากลัว คือทำอย่างไรเราถึงจะหยุดเกิดให้ได้มากกว่ากลัวการแก่เจ็บตายเสียอีก แล้วเราจะหยุดเกิดได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องคิด แต่แค่คิดอย่างเดียวไม่ได้ เพราะสิ่งที่จะทำให้เราหยุดเกิดได้นั่นคือการหักห้ามใจตนเองใช่หรือไม่ ถ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนที่ศิษย์บอกว่า มนุษย์เราเกิดมาพร้อมกับกรรม และกรรมมีกรรมดีกับกรรมชั่ว ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากต้องกลับมาเกิดอีก อยากให้การเวียนว่ายตายเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต เราจะต้องหยุดกรรมชั่ว คนเราที่ได้เกิดมาเป็นคนได้เพราะ กรรมดีมากกว่ากรรมชั่ว อย่างนั้นแปลว่าถ้าศิษย์บอกว่าศิษย์อยากหยุดกรรมชั่วเพื่อจะได้ไม่เวียนว่ายตายเกิด แปลว่ามีกรรมดีไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดแล้วใช่ไหม (ไม่ใช่) ถ้าศิษย์พยายามทำกรรมดีแล้วยังยึดติดในตัวตน ศิษย์ก็ยังต้องกลับมาเกิดเป็นคนเพื่อสนองรับผลบุญกรรมที่สร้าง
ฉะนั้นอย่าคิดว่าทำกรรมดีแล้วไม่ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด กรรมดีก็ยังทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือเปล่า (ใช่)  กรรมชั่วก็ยังทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นทำอย่างไรที่เราจะดำเนินชีวิตอยู่แล้วสิ้นกรรม การมีชีวิตคือเราเกิดมาพร้อมกับกรรม ทำดีเรียกว่ากรรมดี ทำชั่วเรียกว่ากรรมชั่ว แปลว่าเมื่อไหร่ที่ยังมีตัวตนไปสนองการกระทำที่ดีก็เรียกว่ากรรมดี ถ้ายังยึดตัวตนไปสนองการกระทำชั่วก็เรียกว่ากรรมชั่ว แล้วถ้าว่างจากตัวตนแล้วไม่ยึดดีไม่ยึดชั่ว พ้นจากความดี พ้นจากความชั่วเรียกว่าอะไร ศิษย์ลืมไปหรือเปล่า พระพุทธะสอนไว้ว่า มัชฌิมาปฏิปทา การเดินทางสายกลางคือหนทางแห่งการพ้นทุกข์ แต่มนุษย์ไม่ใช่ เวลาทำอะไร เจอแบบนี้ชอบ แบบนี้เกลียด แบบนี้ดี แบบนี้ร้าย ก็เลยหนีไม่พ้น กรรมดีกรรมชั่ว ทำดีทำชั่ว  แต่ถ้า ไม่ว่าศิษย์จะเจออะไร ศิษย์ก็วางใจเป็นกลาง ไม่รู้สึกดี ไม่รู้สึกร้าย ไม่รู้สึกชอบ ไม่รู้สึกชัง เมื่อนั้นใจศิษย์ก็ว่างเท่ากับอากาศชั้นฟ้า เมื่อนั้นใจของศิษย์ก็จะบริสุทธิ์แท้จริง 
คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรกพ้นจากความคิดเรียกว่าบริสุทธิ์ เมื่อบริสุทธิ์ก็แปลว่าไม่มีเวรมีกรรม ตอนนี้คิดดี คิดชั่ว หรือไม่คิด (คิดดี)  ถ้าพยายามคิดก็ยังติดตัวตน พยายามคิดบวกเข้าไว้ พยายามคิดดีเข้าไว้ก็คือยังมีตัวตนต้องไปรับผล แค่วางใจเป็นกลาง ไม่ชอบ ไม่โกรธ ไม่เกลียด เรียกว่า ความคิดผิดทำให้ติดกิเลสฉันใด ความคิดถูกทำให้พ้นกิเลสฉันนั้น แต่เมื่อไรพ้นจากความคิดทั้งสองนั่นเรียกว่าบริสุทธิ์โดยแท้จริง เมื่อบริสุทธิ์แล้วจึงพ้นจากสามอย่างที่เรียกว่า กิเลส กรรม และการเวียนว่ายตายเกิด 
ฉะนั้นเมื่อโดนกระทบเราจะจบหรือไม่จบ ชีวิตหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ถ้ายังยึดก็แปลว่าทุกข์และก่อเกิดเป็นกรรมดี กรรมชั่ว แต่ถ้าเราไม่ยึด ปล่อยให้หมุนเวียนเปลี่ยนผัน และรักษาใจอันเป็นปกติเป็นเช่นนั้นเองจึงเรียกว่าธรรม ที่ทำให้เราสิ้นเวรกรรม แต่มนุษย์โดนกระทบแล้วสิ้นกรรมไหม หรือจองเวรจองกรรม ฉะนั้นตื่นรู้ไม่ใช่ตื่นรู้ที่ข้างนอก แต่ตื่นรู้ที่ใจตัวเอง ถ้าเราโดนกระทบแล้วเราก็เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ทุกข์ไม่มีหรอก ที่มีเพราะเรายึด
ฉะนั้นถ้าเราโดนกระทบ เราจะคิดดี คิดชั่ว หรือพ้นความคิด จำไว้นะศิษย์ ถ้าคิดดียังเรียกว่ากรรมดี เมื่อมีกรรมดีก็ยังต้องไปรับผลของกรรมดีนั้น แต่ถ้าพ้นจากความคิดทั้งสองและมองเป็นเช่นนั้นเอง ว่างจากตัวตน ว่างจากกระแสกรรม ก็สามารถตัดกิเลสตัดการเวียนว่ายทันที
(พระอาจารย์เมตตาให้เพลงพระโอวาททำนองเพลง “ขอเดินด้วยคน”  ชื่อเพลง “รักษาศีลบำเพ็ญบุญ”)
 อยากได้แอบเปิลอาจารย์ไหม แอบเปิลของอาจารย์ยิ่งกิน ยิ่งเจ็บ ยิ่งตายเอาไหม (เอา) เพราะยังไงก็ต้องเจ็บต้องตายอยู่แล้ว กินแอปเปิลไปหน่อยก็ยังเจ็บยังตายอยู่เหมือนเดิมเอาไหม (เอา)  อย่างนั้นอาจารย์ให้ กินแอบเปิลอาจารย์แล้วทุกข์เอาไหม (เอา) 
โดนแอปเปิลปาหัวล่ะเอาหรือไม่ (ไม่เอา) ถึงจะโดนปาหัว แต่เรารู้จักรับ รู้จักรุกให้เป็น ก็ไม่ทำให้เราทุกข์ ในโลกนี้ยังมีทุกข์อีกมากมายใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทุกข์อีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์พูดค้างไว้คือ ทำดีแล้วทำไมยังทุกข์ แล้วศิษย์ตอบอาจารย์หน่อยสิว่า ศิษย์ไปทำดีอะไรมาแล้วมันทุกข์ ทำความดีอะไรถึงทุกข์ใจ (ไปช่วยงานในหมู่บ้านแล้วมีคนพูดไม่ดีกลับมาก็ทุกข์ใจ) อย่างนั้นแปลว่าศิษย์ไปทำดี ไปช่วยที่วัด แล้วไปเก็บความไม่ดีของคนที่ไปวัดมาไว้ที่ใจ ฉะนั้นเราไปทำดีความประสงค์ของเราคือไปทำดี ไปช่วยงานวัด ไปประกอบกิจอันเป็นบุญ แล้วเราไปเอาคำติ ความไม่ดีของคนอื่นมาเป็นบาปแก่ใจทำไม จุดประสงค์เราดี แต่ผลกลับไม่ดี เพราะเราไปยึดคำไม่ดีมาเก็บไว้ที่ใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าอยากทำดีให้ถึงที่สุดก็มองแต่สิ่งที่ดี อย่าไปมองสิ่งที่ร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่) (ไปช่วยเหลือคนแล้วโดนต่อว่า) เวลาเราไปช่วยคนเคยโดนต่อว่าหรือไม่ (เคย) แล้วท้อหรือไม่ (ไม่ท้อ) แล้วยังทำต่อหรือไม่ (ต้องทำต่อ) ต้องทำต่อ แต่จำใจทำไป ยังคิดว่าเขาด่าฉัน ทำอย่างนี้มีสุขหรือไม่ (ไม่มี) ศิษย์จำไว้นะ ถ้าบางอย่างเป็นทุกข์ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ สู้เราเอาความทุกข์นั้นเป็นบันไดก้าวให้เรายกจิตให้สูงขึ้น ไม่ดีกว่าหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์จงจำไว้ว่า เราทำดีเพื่อหลีกหนีความชั่ว เพื่อใจจะได้ไม่ไหลลงต่ำ เพื่อตัวเราเองจะได้ไม่ประพฤติผิดคิดชั่ว เราไม่ได้ทำดีเพื่อหวังให้ใครชมหรือใครด่า ฉะนั้นถ้าเรายืนหยัดในสิ่งที่ดีที่เราทำ ใครจะพูดอะไรก็ไม่มีผลต่อใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(เอาเงินให้เขายืม)  แล้วเป็นอย่างไร เขาไม่คืน ก็รู้สึกว่าท้อใจใช่ไหม เป็นกันเยอะ ลูกศิษย์เป็นคนเมตตา ใครยืมเงินก็ให้ยืม แต่เวลาเราไปทวงเหมือนเราเป็นหนี้เขาเลยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้น จำไว้นะศิษย์ การมีจิตใจที่ดีอยากช่วยเหลือคนอื่นเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าช่วยเขาแล้วทำให้เราต้องเดือดร้อนภายหลัง ดังนั้นเวลาจะช่วย ให้ช่วยแบบที่คิดเผื่อไว้ว่า ให้เขายืมเงินไปแล้วเขาไม่คืนก็ไม่เป็นไร แล้วการทำดีนั้นจะไม่ทุกข์ใจ แต่ถ้าให้ยืมแล้วเขาไม่คืน อย่าให้เขาอีก เพราะไม่อย่างนั้นศิษย์กำลังจะเพาะเลี้ยงคนให้เดินทางผิด 
(สิ่งที่เราทำไป บางทีเขาก็มองไม่เห็นในสิ่งที่เราทำ แต่ว่าเวลาเราทำไปแล้ว ความจริงก็เป็นความจริง เราก็ไม่ท้อกับสิ่งที่เขาต่อว่ามา สักวันหนึ่งความจริงถูกเปิดเผย เขาก็หันมาชื่นชมเราเอง)  เหมือนจะถูกนะ แต่จบตอนท้ายหวังให้เขาชื่นชมเรา ศิษย์เอย อาจารย์ถามหน่อย เวลาเราทำอะไร เป็นไปได้ไหมว่าทุกคนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับเรา (ไม่ใช่ค่ะ)  ความหมายของการทำดีคือ ทำเพื่อละ ไม่ใช่ทำเพื่อยึด เข้าใจไหม (เข้าใจค่ะ)  ถ้าศิษย์เหมือนเป็นคนที่เข้าใจ แต่ถึงที่สุดยังคิดว่า “สักวันเดี๋ยวเขาก็ชื่นชมเอง” แปลว่าศิษย์ยังทำดีไม่ถึงที่สุดนะ สักวันแม้เขาไม่ชื่นชม หรือเขาจะต่อว่า เราก็รู้แก่ใจว่าเราทำถูก ก็ไม่ต้องไปกังวลอะไร ฉะนั้น เขาไม่ชื่นชมก็ไม่เป็นไร เข้มแข็งไว้นะ 
 (การที่เราทำเพื่อลูก แต่ทำไมลูกดื้อ) ทำดีทุกอย่างเลยแต่ลูกกลับดื้อ ศิษย์เคยสอนเขาด้วยการปฏิบัติไหม อย่างเช่นแม่เป็นคนสะอาด แม่เป็นคนมีน้ำใจ แม่เป็นคนรู้จักไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ด่าใคร แม่เป็นคนมีน้ำใจกับผู้อื่น สอนแค่พูดหรือสอนโดยการทำให้ลูกดู ศิษย์เคยได้ยินไหมลูกปูเดินตามแม่ปู ลูกปูเป็นอย่างไรแม่ปูเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นถ้าลูกไม่ดีไม่ใช่ความผิดของเขาทั้งหมด ส่วนหนึ่งคือตัวเรา เราสอนเขาด้วยเงิน หรือสอนเขาด้วยคุณงามความดี เรานำเขาด้วยความถูกต้อง หรือตามใจตัวเรา ถ้าเราทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม มีหรือลูกปูจะไม่เดินตามแม่ปู ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกว่า สิ่งที่จะทำให้เขาดีได้คืออะไรรู้ไหม ไม่ว่าเขาจะร้ายหรือดี ให้พูดอยู่อย่างเดียว “ลูกจะเป็นอะไรแม่ก็รักลูก ลูกจะเป็นอะไรแม่ก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างลูก” ให้กำลังใจเขาสักวันหนึ่งเขาจะแปรเปลี่ยนได้ แต่เราต้องใจเย็นห้ามด่าทอ เอาแต่ความดีงามแปรเปลี่ยนใจเขาดีไหม (ดี)  มีใครจะตอบอาจารย์อีกไหม
(เวลาเราทำดีกับพ่อแม่ พ่อแม่ไม่เห็นความดีของเรา)  อาจารย์จะบอกให้ พ่อแม่แปลกอยู่อย่างหนึ่งนะ ลูกใกล้ตัวรำคาญ ลูกอยู่ไกลตัวกลับคิดถึงมาก นี่เป็นเรื่องปกติ เพราะว่าเราอยู่แล้วเราขัดใจเขา แต่ลูกที่นานๆ มาทีตามใจเขา เขาเลยรัก แต่ถ้าเราอยากทำความดีเอาชนะ เราก็ต้องใจเย็นไม่โกรธได้ไหม เราทำดีเพื่อตัวเราเองและเราทำดีเพื่อพ่อแม่ ฉะนั้นยิ่งทำดีกับพ่อแม่ยิ่งไม่ควรท้อใจนะ เข้มแข็งนะ มีใครจะตอบอาจารย์อีกไหม หมดแรงแล้วใช่ไหม
(ผมเคยอ่านในหนังสือเขาบอกว่า แก่นแท้ของความดี คือความเห็นแก่ตัว)  แปลว่าหนังสือเขียนอะไรศิษย์ต้องเชื่อตามหนังสือหมดเลยหรือ แก่นแท้ของความดีคือความเห็นแก่ตัว ก็ต่อเมื่อถ้าทำดีแล้วหวังผลนี่แหละ เรียกว่าความเห็นแก่ตัว แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม ศิษย์ไม่ต้องถามอาจารย์ถามใจตนเอง ถ้าเราทำเพราะหวังผล ทำเพราะยึดติดดีนั่นก็คือความเห็นแก่ตัว อย่าลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่างของธรรมะไม่ว่าบุญ ความดีงาม ความถูกต้อง ล้วนสอนเพื่อละวางตัวตน แต่มนุษย์มักจะปฏิบัติผิด โดยจะทำดี ทำบุญก็ยังหวังผล ถ้าทำดีแล้วยังหวังผล ทำดีแล้วเห็นแก่ตัว นั่นไม่ใช่เรียกว่าบุญที่บริสุทธิ์แท้จริง อาจารย์ถึงบอกว่าทำดีอย่างไรที่จะทำให้เราพ้นทุกข์และไม่ทุกข์นั่นก็คือ เราทำดีเพื่อหลีกหนีความชั่ว ทำไมเราจึงทำดี เพราะว่าการทำดีทำให้เราไม่คิดชั่ว ไม่ไหลลงต่ำแล้วไปทำชั่ว เหมือนมีโอกาสระหว่างให้กับได้ เราอยากให้หรืออยากได้ ใจโดยส่วนใหญ่อยากได้มากกว่าให้ใช่ไหม ฉะนั้นธรรมะจึงสอนให้เราทำดี การทำดีคือการสอนให้เรายั้งความชั่ว ไม่ใช่ทำดีเพื่อให้คนชมว่าดี จุดประสงค์หลักคือเราทำดีเพื่อละชั่ว เพื่อยั้งใจไม่ให้ไหลลงต่ำแล้วไปประพฤติชั่ว แต่เดี๋ยวนี้คนทำดีเพราะอยากให้คนชมว่าฉันดี ทำดีเพราะฉันจะได้มีบุญบารมี ทำบุญเพราะฉันจะได้ไปขอบุญต่อ เช่นนั้นเป็นการสนองกิเลส สนองความเห็นแก่ตัว ถ้าศิษย์เพียงเชื่อว่าเขาพูดถูกศิษย์ก็เป็นตามเขา แต่ถ้าศิษย์อ่านแล้วรู้จักคิดให้เป็น คิดต่อยอดให้ได้ เราก็จะไม่เป็นตามนั้น อีกอย่างหนึ่งที่ศิษย์มักจะเป็นคือ เวลาทำดีแล้วเรียกร้องว่าทำไมคนอื่นไม่ทำ นี่แหละคือสิ่งที่น่ากลัวของคนที่พยายามทำดี คนดีที่แท้จริงคือคนที่ไม่ว่าเขาจะดีหรือไม่ดี เราก็ยังต้องทำดี ไม่ใช่ว่าเราจะทำดีก็ต่อเมื่อเขาต้องทำดีด้วย
ธรรมะสอนให้ละวางตัวตน ละวางการยึดติด เพราะถ้ายังยึดติดศิษย์ก็หนีไม่พ้นกรรมดี กรรมชั่ว ฉะนั้นมนุษย์จึงวนเวียนหนีไม่พ้นกฎแห่งกรรมที่ตัวเองสร้าง เรียกว่ากิเลสตัวตนและการรับสนองผลกรรม แต่ถ้าเมื่อไรเจออะไรวางใจเป็นกลาง ไม่ชอบ ไม่เกลียด ธรรมดาคงใจเช่นนั้น เรียกว่าพ้นกรรม
(พระอาจารย์เมตตาห้องผู้ร่วมฟัง)
การฝึกฝนบำเพ็ญ ศิษย์เรียนรู้เท่าทันใจตัวเอง ยับยั้งกิเลสในใจตัวเองให้ได้ เพราะถ้ายังยับยั้งกิเลสในใจตัวเองไม่ได้ เราก็หนีไม่พ้นวัฏฏะที่เรียกว่า ความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์ทุกคนล้วนมีทุกข์ แต่อย่าเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเองด้วยการสร้างกิเลส ปล่อยใจตัวเองตกเป็นทาสของกิเลสและอารมณ์ 
อาจารย์ถามว่าศิษย์อยู่ในโลกศิษย์อยากมีเวรไหม (ไม่อยาก)  อยากมีความโศกเศร้า วิตกกังวล (ไม่อยาก)  พระพุทธองค์สอนไว้ว่าอะไรรู้ไหม
โศกมาจากตัณหา ภัยมาจากตัณหา ถ้าไม่อยากมีโศก ไม่อยากมีภัย ไม่อยากมีทุกข์ ไม่อยากวิตกกังวล ก็จงละตัณหา เคยได้ยินไหม โศกมาจากการยินดี โศกมาจากความรัก โศกมาจาก สิ่งที่เรารักและยินดี ฉะนั้น ถ้าไม่อยากมีโศก ไม่อยากมีภัย ไม่อยากมีความวิตกกังวล จงอย่ายินดี รักและหลงในสิ่งใดในโลกนี้ ทำได้หรือไม่ พระพุทธองค์จึงสอนไว้ว่า เมื่อไรมนุษย์ยังเห็นสิ่งที่ไม่น่ายินดีว่ายินดี สิ่งที่ไม่น่ารักว่าน่ารัก สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ มองเป็นว่าสุข คนนั้นคือคนที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่ในความประมาท หรือเรียกว่ากำลังเดินไปสู่ความตาย ฉะนั้นอาจารย์ถามศิษย์ว่า อยู่ในโลกนี้ รักมากก็ทุกข์มาก เกลียดมากก็เจ็บมาก แล้วเราควรหรือที่จะรักและเกลียด ที่จะอยากและหลง หรือเราควรจะมีสติ ลูก สามี ภรรยา แม้จะรักมากแค่ไหน ยินดีมากแค่ไหน ถึงเวลาเขาไปกับเราหรือไม่ ถึงเวลาเขาช่วยอะไรเราได้หรือไม่ (ช่วยไม่ได้)  ฉะนั้นเราควรวางใจอย่างไรที่จะทำให้เราพ้นจากความทุกข์และไม่ดำเนินชีวิตอย่างคนมีโศก มีความทุกข์ มีภัย มีความวิตกกังวล นั่นก็คือ ละวางจากความยินดี ยินร้าย ได้ เสีย ทุกข์ สุข วางใจเป็นกลาง อะไรมาก็ วางใจเป็นกลาง ดีหรือไม่ ศิษย์ไปร้อนกับเขา ก็ไม่ช่วยทำให้เขาดีขึ้น ศิษย์ไปด่าเขา กลายเป็นเวรกรรมผูกกันไม่จบสิ้น ศิษย์ไปหลงยึดเขา ก็กลายเป็นทุกข์ทำให้เจ็บปวด ฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ วางใจเป็นกลาง แต่ที่ยังไม่กลางเพราะยังทำใจไม่ได้ ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือ “แม่ไม่โกรธ พ่อจะไปทำแบบนี้แม่ก็ไม่โกรธ” ดีหรือไม่ เพราะวางใจได้จบ ที่เหลือก็แค่ใช้กรรมเก่า แต่ถ้าเรายังยึดติดชอบ ยึดติดชัง เราก็หนีเวร กรรมดี กรรมชั่ว ไม่จบสิ้น อย่างนั้นศิษย์อยากเกิดมาเพื่อมีกรรมไม่จบ หรือจบเวรจบกรรมเล่า
ฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ “อืม” ดีไหม ศิษย์รู้ไหมทำไมพระพุทธะจึงสอนว่า ถ้ายัง “อืม” ไม่ได้ ท่านให้ใช้คุณธรรม คุณธรรมอะไรที่จะช่วยให้เรายั้งใจ ไม่เกี่ยวกรรมด่าเขา ไม่โกรธลูกเขา นั่นก็คือความเมตตา เมตตาทำให้เราไม่พยาบาท กรุณาทำให้เราไม่เบียดเบียน อุเบกขาคือยินดีเมื่อเขามีสุขและไม่เกลียดชังเมื่อเขามีทุกข์หรือทำผิดพลาด และวางใจเป็นกลางเพื่อจะได้ไม่ยึดติดตัวตนและปล่อยวางสรรพสิ่งว่าเป็นอย่างนั้น แค่นั้น แต่เมื่อเราเอาตัวเราไปเกี่ยว เราจะบอกว่า ไม่ได้ๆ มันทุกข์ใช่ไหม
ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไรก็ “อืม” เมตตาเข้าไว้ “อืม” กรุณาเข้าไว้ “อืม” ยินดีเข้าไว้ แล้วก็เป็นกลางเข้าไว้ดีไหม ฉะนั้นถ้าอะไรมันเกินเลยไปบ้างไม่ใช่ความผิดเขาแต่เป็นความผิดของใจเราที่ไม่ยอมรับความจริง ศึกษาธรรมแล้วต้องไปให้ถึงธรรม ไม่ใช่ศึกษาธรรมแล้วมีแต่เวรกรรมจริงไหมศิษย์ ฉะนั้นรีบชะล้างกรรมเก่าให้หมด อย่าสร้างกรรมใหม่ ทำอะไรรู้จักคิดรู้จักทำดีไหม ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไรก็ (อืม) เขาถามว่าอย่างนี้ดีไหมเราก็ (อืม) เชื่อไหมศิษย์พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ แม้ว่าสิ่งที่ศิษย์พูดจะดีแค่ไหน แต่ถ้าเขาไม่เชื่อเราก็ทุกข์ใช่หรือไม่ ฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ (อืม) พูดน้อยๆ คิดน้อยๆ หวังน้อยๆ ทุกข์หรือกรรมก็จะน้อยตามไปด้วยจริงไหม ฉะนั้นทำให้ได้นะไม่ว่าเจออะไรก็ (อืม) การอืมก็คือ อาจารย์อยากให้ศิษย์นิ่ง เพราะความนิ่งจะช่วยสยบความวุ่นวาย อย่าไปคิดเปลี่ยนแปลงใครเลย อย่าไปคิดจัดการใครเลย เปลี่ยนแปลงและจัดการใจเราให้ดีที่สุดก็พอ ใจเราสุขเราก็ทำให้คนรอบข้างสุข ใจเราสันติเราก็ทำให้คนรอบข้างสันติ ใจเราเย็นเราก็ทำให้คนรอบข้างเย็นใช่ไหม ฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ (อืม)
แต่การวางเฉยกับการดูดายก็ไม่ดีนะ ไม่ใช่คนอื่นเขาทำกันงกๆ เราก็ “อืม” ได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นเราไม่พูดอะไร เรารีบไปช่วยทันทีไม่ใช่เอาแต่ “อืม” อาจารย์เพิ่งสอนมา เธอก็ทำไปฉันจะ “อืม” ไม่ได้นะน้ำใจยังไงก็ต้องมี เห็นใจคนยังไงก็ยังต้องมี
ไม่ใช่แค่คิดแต่ต้องลงมือทำเลย อะไรจะเกิดก็ดี เพราะอาจารย์บอกแล้วว่าโลกนี้ห้าม ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้พลัดพราก ไม่ให้สูญเสียไม่ได้ นั่นคือความผันแปรที่ต้องเป็นไปที่เรียกว่าชีวิต ถ้าเราเข้าใจเราจะทุกข์กับสิ่งนั้นหรือไม่ แต่ถ้าเราพยายามยึดไม่ให้เปลี่ยนนั่นแหละเรากำลังสร้างทุกข์ ขอเพียงศิษย์รู้จักมองอย่างคนที่มีธรรม ธรรมที่สอนให้เราเป็นกลาง ไม่ดี ไม่ร้าย ที่จะก่อให้เกิดกรรมไม่จบสิ้น ไม่ว่าเจออะไร เจ็บแค่กาย อย่าเจ็บใจ เรามีกรรมเพียงสังขารแต่เราไม่มีกรรมที่จิตใจ กรรมของสังขารคือความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก การสูญเสีย ใจเราพ้นทุกข์ได้ ใจเราอิสระอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะวางตัวตนลงได้หรือยัง วางได้เราก็พบธรรม ถ้าวางไม่ได้เราก็พบทุกข์แค่นั้นเอง
( พระอาจารย์กลับมาเมตตาที่ห้องนักเรียน ซึ่งกำลังฝึกร้องเพลงที่ท่านประทานให้)
ร้องเพราะหรือไม่ สิ่งที่ดูธรรมดาถ้าเรารู้จักมีจังหวะให้กับชีวิตก็กลายเป็นบทเพลงที่น่ารื่นรมย์ได้ ชีวิตก็เช่นเดียวกัน ถ้ารู้จักท่วงทำนองเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต ความสุขก็ไม่ได้อยู่ไกล อยู่แค่ตรงนี้เอง ทำใจได้ก็เป็นสุข ทำใจไม่ได้ก็เป็นทุกข์ แต่สิ่งที่สำคัญคือศิษย์ต้องไม่สร้างเหตุแห่งทุกข์ด้วยการตกเป็นทาสของอบายมุข ผิดศีลขาดธรรม
ควรเริ่มต้นพื้นฐานของความเป็นคน ถ้าเกิดเป็นคนศีลยังไม่ครบ คุณธรรมยังไม่มี ถึงจะทำดีแค่ไหนก็ยังหนีไม่พ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคนที่ยังตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ย่อมหนีไม่พ้นความทุกข์ กรรมและการเวียนว่าย อาจารย์ถามหน่อย มีใครในโลกบ้างไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง แปลว่าทุกคนพร้อมตกเป็นทาสของความทุกข์ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะถ้าศิษย์ยังตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ศิษย์ก็หนีไม่พ้นความทุกข์ ถึงแม้ศิษย์จะไหว้พระ แต่ศิษย์ยังโลภ โกรธ หลงอยู่ ศิษย์ก็หนีทุกข์ไม่พ้น ฉะนั้นสิ่งที่จะช่วยเรายับยั้งโลภโกรธหลงได้คือ (มาไหว้พระบ่อยๆ)  ถ้ามาไหว้พระแล้วเก็บแต่เรื่องไม่ดีกลับบ้าน ก็ไม่มีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นการไหว้พระคือการที่ศิษย์ได้สำนึกขอขมากรรมในสิ่งที่ศิษย์เคยทำมา ได้ชะล้างกรรม ชะล้างใจบ่อยๆ ฉะนั้นคนที่รู้จักมาไหว้พระบ่อยๆ คือคนที่หมั่นพยายามชะล้างกรรมตัวเองบ่อยๆ แต่ขออย่างหนึ่งล้างแล้วอย่ากลับไปทำใหม่ จะเปล่าประโยชน์ ฉะนั้นล้างแล้ว สำนึกแล้ว “สิ่งที่ข้าพเจ้าเคยผิดพลาดมา ไม่ว่าจะตั้งใจ ไม่ตั้งใจ ขอกราบขอขมาหนึ่งร้อยกราบ” นั่นคือการชำระใจตัวเองให้สะอาด ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อสะอาดแล้วก็ต้องสะอาดจริง ไม่กลับไปเหมือนเดิมแล้วกลับมากราบใหม่ไม่มีประโยชน์นะ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ศิษย์จะทำอย่างไรถึงจะละโลภ โกรธ หลงได้ (ต้องบำเพ็ญธรรม)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  บำเพ็ญธรรมต้องบำเพ็ญอย่างไร เราไม่โลภ โกรธ หลง เราก็ต้องปล่อยวาง ทำได้อย่างนั้นจริงๆ หรือไม่ศิษย์ (คือสิ่งที่ต้องปฏิบัติ และเชื่อว่าทุกคนคิดอย่างนั้นอยู่)  ว่าเราอยากจะบำเพ็ญธรรมใช่หรือไม่ (เป็นคำตอบจริงๆในใจ แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ที่มีกิเลสเราอาจจะค่อยสร้างบารมีก็คือฝึกบำเพ็ญ)
แล้วอย่างไรเรียกว่าการฝึกฝนบำเพ็ญ  การฝึกฝนบำเพ็ญเริ่มแรกคือ เข้มงวดตนเองผ่อนปรนผู้อื่น เรียกร้องตนเองไม่เรียกร้องผู้อื่น การฝึกฝนบำเพ็ญทำอย่างไร (ทำใจให้ว่างเหมือนกระดาษ)  ถ้าเป็นกระดาษก็ยังไม่ว่างนะศิษย์ ถ้าว่างจริงๆ คือไม่มีอะไรที่เรียกว่าตัวตนเลย มันถึงจะพ้นกรรมถูกไหม ถ้ายังเป็นกระดาษก็ยังรอคนมาแต่งแต้มอีกใช่หรือไม่ ฉะนั้นว่างที่แท้จริงคือ หมดสิ้นยึดติดในอารมณ์ชอบชัง
(ปฏิบัติ ทาน ศีล สมาธิ เพื่อเกิดปัญญา) รักษาศีล ศีลคือรักษาใจให้ปกติ สมาธิคือไม่หวั่นไหวเมื่อถูกกระทบ ปัญญาคือเห็นแจ้งแล้ววางไม่เกิดความโกรธไม่เกิดความหลงความชอบ รู้แจ้งเห็นจริงว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นล้วนเป็นธรรมดา ฉะนั้นไม่ว่าเราเจอเรื่องอะไร ทำอย่างไรที่จะไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง อาจารย์สมมติว่าแอบเปิลลูกนี้มีความทุกข์ มีความเจ็บช้ำ มีความเปลี่ยนแปลศีง มีความไม่มั่นคงเลย มีความสูญเสีย มีความพลัดพราก ศิษย์ยังอยากได้แอบเปิลนี้หรือไม่
เมื่อมีความอยากแล้วจะกลายเป็นความโลภ มีอะไรบ้างที่เราอยากแล้วไม่สูญเสีย อยากแล้วไม่เจ็บปวด อยากแล้วไม่ทุกข์ อยากแล้วไม่เปลี่ยนแปลง (ไม่มี)  ไม่เคยทำให้ศิษย์เจ็บ ไม่ทำให้ศิษย์ทุกข์ แล้วทำไมศิษย์เอาแต่หา เอาแต่โลภ เงิน ความรัก เกียรติยศ ชื่อเสียง อัตตา ตัวตน ฉะนั้น ศิษย์โลภไปทำไม เกลียดไปทำไม หลงไปทำไม ในเมื่อถึงที่สุด ยิ่งยึดแล้วเจ็บหรือไม่ (เจ็บ)  มีแล้วสูญเสียหรือไม่ (สูญเสีย)  แล้วทุกข์หรือไม่ (ทุกข์)  ยิ่งกว่าทุกข์อีก แล้วยังอยากอีกหรือไม่ (ไม่อยาก)  ตอนนี้พูดกับอาจารย์ว่าไม่อยาก แล้วถึงเวลามีเงินอยู่ตรงหน้าเอาหรือไม่ เอาไว้ก่อนใช่ไหม ถ้าศิษย์ไปเบียดเบียนเขามาเต็มที่ ไปโลภมาเต็มที่ ไปผิดศีลมาเต็มที่ ไปขาดความเป็นคนมาเต็มที่ แล้วบอกไม่เป็นไรอาจารย์ เดี๋ยวศิษย์ไปทำบุญชดเชย ได้ไหม (ไม่ได้)  ทันไหม (ไม่ทัน)  ฉะนั้นไม่โลภก่อนจะโลภ ใจเย็นก่อนจะเกลียด  เปิดตาให้สว่างก่อนจะหลงดีหรือไม่ (ดี)  เพราะว่าสิ่งที่หลงนักหนาก็ทำให้เราเจ็บไม่แพ้กับสิ่งที่เราเกลียดเลย เราเห็นชัดแล้ว  แล้วเรายังจะรักไหม
ฉะนั้นเมื่อเราไม่อยากจะทุกข์จงมองให้ชัด มองให้รอบ มองให้สุด แล้วจะรู้ว่า อารมณ์แค่ชั่วขณะที่ศิษย์อยากได้ มันไม่เคยช่วยทำให้เราสุข แต่อีกเดี๋ยวก็ทำให้เรากลับมาทุกข์ได้ใหม่ อาจารย์เทียบง่ายๆ นะ สมมติศิษย์อยากได้แอปเปิลลูกหนึ่ง แล้วทำให้ศิษย์ต้องผิดศีล ขาดความเป็นคนเพราะอยากได้แอปเปิลลูกนี้ แต่ไม่อยากเสียเงินและไม่อยากขอ เพราะมีศักดิ์ศรี มองซ้ายขวาไม่เห็นใคร ก็หยิบไปเลย ถ้าอยากแล้วทำแบบนี้ คิดแบบนี้ ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  แต่ถ้ายังหยุดความคิดไม่ได้ ถ้ายังห้ามใจไม่ได้ อาจารย์แนะวิธีให้ ให้ใช้วิธีเดินไปดูสักสามวัน ถ้าสามวันยังคิดไม่ได้ ศิษย์ก็สุดที่จะสอนแล้ว จริงหรือไม่ เหมือนผู้หญิงเวลาอยากได้เสื้อตัวหนึ่ง ถ้าฉันใส่แล้วฉันจะสวย ไปมองให้ครบสามวันแล้วดูว่ายังอยากจะสวยอยู่ไหม
เชื่อไหมว่ามันจะค่อยๆ จางไป ไม่เอาก็ได้ เอาไปทำไม ใส่ไปก็เหมือนเดิม จะไปทำหน้าอย่างไรก็เหมือนเดิมเพราะนิสัยไม่เปลี่ยน เช่นกันถ้าศิษย์รวยขึ้นมาแล้วจะทำให้ศิษย์ดีขึ้นไหม ถ้าผิดศีลขาดธรรม มันอายเขานะ ก้มหน้าก็อายดิน เงยหน้าก็อายฟ้า มองคนก็ละอายใจ ความคิดก็วนเวียน เราเคยทำผิด ฉะนั้นมนุษย์ทุกคนมีจิตสำนึกของความถูกต้องอย่าลืมอย่ามองข้าม มองให้ชัดๆ ว่า ถ้าอยากแล้วกลายเป็นโลภ ผิดศีล เมื่อได้สิ่งที่อยากแล้วทำให้เจ็บ แล้วควรจะอยากไหม ควรจะเกี่ยวกรรมอีกไหม ฉะนั้นอาจารย์ถึงบอกตั้งแต่ต้นอยากหยุดทุกข์เราพอหรือยัง ถ้าทำให้ถึงที่สุดก็น่าจะพอแล้วนะ ฉะนั้นอะไรๆ ก็ดีแล้วใช่ไหม ฉะนั้นพอบ้างหรือยังศิษย์ ชีวิตนี้โลภมากี่ครั้งแล้ว เกลียดมากี่ครั้งแล้ว โกรธมากี่ครั้งแล้ว หยุดบ้างไม่ได้หรือ กินข้าวยังรู้จักอิ่ม โลภมันไม่อิ่มเลยหรือ หลงมันไม่อิ่มเลยหรือ เกลียดคนไม่เบื่อเลยหรือ แล้วอยากตกเป็นทาสของกิเลสต่อไปไม่จบสิ้นใช่ไหม เพื่ออะไร
ดังนั้นความทุกข์คือการที่ไม่ยอมรับความจริง การปฏิบัติคือสอนให้เรามองเห็นความจริงยิ่งกว่าอะไร เห็นความจริงแบบที่พระองค์หนึ่งสอนว่า “เห็นจนแบบ ฉันไม่เอาอะไรแล้วโลกนี้” อาจารย์ก็อยากจะบอกศิษย์อย่างนี้เหมือนกัน ถ้าศิษย์เห็นความจริงชัด ศิษย์จะบอกว่า “อะไรฉันก็ไม่เอาแล้ว” เพราะไม่มีอะไรที่มีแล้วจะไม่ทุกข์  คุ้มหรือไม่ที่เกิดมาทุกข์ หรือเกิดมาเพื่อหยุดกรรมแล้วพ้นทุกข์ คิดให้ดีๆ ถ้าคิดไม่ดีก็ไม่รู้จะได้เจอกันหรือเปล่านะ
ฉะนั้นถ้าเมื่อไรเราพ้นจากความคิดทั้งสองคือว่าง ว่างเฉกเช่นอากาศ แต่ถ้าเรายังยึดติดดี ยึดติดไม่ดี ยึดติดฉันเป็นแบบนี้ ศิษย์ก็หนีไม่พ้นเวรกรรมที่ศิษย์ก่อเองและต้องรับเอง อาจารย์ช่วยไม่ได้นะ แม้ศิษย์ไหว้พระก็ล้างบาปในใจศิษย์ไม่ได้ แม้ศิษย์เอาน้ำมนต์เก้าวัดก็ล้างให้ศิษย์บริสุทธิ์ไม่ได้ ถ้าศิษย์ไม่รู้จักตั้งตนให้ถูกต้องจริงหรือไม่ ฉะนั้นคิดให้ดี ปฏิบัติตนเองให้ดีได้หรือไม่
(พระอาจารย์เมตตาให้พระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “วางลงก็เป็นสุข”)
ถ้ายังวางไม่ได้ยังยึดอยู่ ศิษย์ก็ไม่มีวันพบสุขที่แท้จริงหรอก ถูกหรือไม่ เรื่องราวบางเรื่องในโลกใบนี้เมื่อห่วงไปถึงที่สุดก็ต้องวาง กลุ้มไปถึงที่สุดก็ต้องวาง คิดไปจนถึงที่สุดก็ต้องวาง ความเป็นจริงของชีวิตสอนให้วาง ฉะนั้นจง “วางก่อนวาง” หรือเรียกว่าจง “ตายก่อนตาย” ให้เป็น มีโอกาสอาจารย์คงได้กลับมาผูกบุญกับศิษย์อีก ดีหรือไม่ (ดี)  อย่าแค่ฟัง แต่จงนำกลับไปปฏิบัติจนลดละกิเลสในใจได้ จนมองเห็นความเป็นจริงและไม่ก่อการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนอีกต่อไป ดีหรือไม่ (ดี)  ฉะนั้นรักษาจิตใจให้เป็นกลาง อย่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบมาครอบงำและทำให้เราก่อเกิดเป็นกรรมดีกรรมชั่ว แต่ต่อไปนี้เราจะบำเพ็ญธรรมเพื่อความเป็นกลาง ให้ใจเราว่างเหมือนอากาศ กลับคืนสู่ธรรมที่แท้จริงที่ศิษย์เคยจากมา ได้หรือไม่ (ได้)  มนุษย์มีจิตใจที่ประเสริฐแต่ถูกบดบังไปเพราะความหลงผิดที่เรียกว่าอัตตาตัวตน เมื่อไรที่ทลายอัตตาตัวตนได้ศิษย์จะพบพุทธะจิตเดิมแท้ที่สว่างว่าง ไม่ต้องการตัวตนที่ยึดถือ ไม่ต้องการเจ้าข้าวเจ้าของ แต่คือการกลับสู่ความเป็นธรรม ธรรมที่มีแต่ธรรม หวังว่าศิษย์จะเข้าถึงธรรมบ้างไม่มากก็น้อย คนไหนที่ต้องทุกข์เจ็บปวดเพราะโรคภัยไข้เจ็บอาจารย์ฝากไปให้กำลังใจเขา กายเจ็บใจอย่าเจ็บ กายป่วยได้แต่ใจต้องเข้มแข็ง ส่วนคนไหนที่หายไป ก็ฝากศิษย์ช่วยตามกลับมา บอกอาจารย์ไม่ลืมเขา เขาลืมอาจารย์แล้วหรือ ส่วนศิษย์ที่อยู่ที่นี่ก็ขอรักษาใจให้มั่นคงบำเพ็ญธรรมเพื่อธรรม ปฏิบัติธรรมเพื่อกลับคืนสู่ธรรม ไม่ใช่เพื่อยึดติดตัวตนนะศิษย์
ไปแล้วนะ มีโอกาสกลับมาอีกนะ หนทางที่ดีและประเสริฐอยู่ที่จิตเลือกเดินทางนะ คิดให้ดีๆ ทำให้ได้นะ  รู้จักมีศีลมีธรรม ปฏิบัติด้วยการรู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นทาสอารมณ์ไม่จบสิ้น ต้องรู้จักรักษาศีลให้ได้ เป็นคนดีให้ได้ ตั้งใจบำเพ็ญนะ เข้าใจธรรมที่อาจารย์พูดใช่ไหม ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญรู้จักลดละกิเลสอารมณ์ตัวเองให้ได้ ควบคุมใจตัวเองให้ได้ อย่าเอาแต่ใจตัวเองนะ มีโอกาสศิษย์จะกลับมาเจออาจารย์อีกหรือไม่ ไม่ต้องเศร้านะ รู้จักศึกษาบำเพ็ญให้ดี ดูแลตัวเองให้ถูกต้อง
(ถามว่าจะสำเร็จไหม) ศิษย์เอยถามอาจารย์ทุกวัน ถามตัวเองดีกว่าว่าตั้งใจบำเพ็ญรักษาจิตมั่นคงหรือยัง ตั้งใจให้ดีรักษาความดีไว้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นได้ไหม สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดคือ อารมณ์ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการมีตัวตน เวลาเหลือไม่มากแล้วนะ ฉะนั้นรู้จักมีศีลมีธรรม ดูแลเขาให้ดีนะ แค่นี้ก็ประเสริฐแล้ว ไม่ทอดทิ้ง ตั้งใจบำเพ็ญนะ อย่าปล่อยให้ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทำให้ทุกข์นะ
จับมือไว้นะมีโอกาสกลับมาอีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะศิษย์เอย มุ่งมั่นแล้วไปให้ถึงที่สุด แม้จะเหนื่อย แม้จะล้า แม้จะท้อ แม้จะเจ็บ ก็ขออย่าได้หยุดยั้งก้าวเดินในการบำเพ็ญนะ ไปให้ถึงธรรมไปให้ถึงความสิ้นทุกข์ให้ได้นะศิษย์ 
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “วางลงก็เป็นสุข”
     ความยึดติดทำให้จิตใจเป็นทุกข์              จิตบรรทุกหนักเกินจนรับไม่ไหว
ดั่งน้ำที่ล้นแก้วแล้วยังเทใส่                         ลดละได้ใจจึงมองเห็นทาง
อย่ายึดมั่นความถูกผิดติดอัตตา                    วันเวลาจะนำมาซึ่งความว่าง
โลภโกรธหลงปลงได้เป็นทางสายกลาง           ลดกระด้างวางลงก็เป็นสุข
แก้พระโอวาท พระอาจารย์จี้กงเมตตา ชั้นประชุมธรรม
สถานธรรมเต๋อฮว่า จ.สงขลา วันที่ ๑๐ – ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๐ 
หน้าที่ ๑๔ บทเพลงพระโอวาท
          เดิม      “แพ้เป็นพระใครบ้างเอ่ย
          แก้เป็น  “แพ้เป็นพระใครบ้างเคย

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา