แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บารมี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บารมี แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2562

2562-12-14 สถานธรรมจินโจว อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ

西元二○一九年歲次己亥十一月十九日                                   仙佛慈悲訓

วันเสาร์ที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒  สถานธรรมจินโจว อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

  เป็นดั่งน้ำช่วยคนดับกระหาย        เป็นร่มเงาช่วยคลายความทุกข์เข็ญ
เป็นดั่งแสงทองนำทางส่องเช้าเย็น    ผู้ฝึกเป็นเสียสละให้ไม่หน่ายเลย
                              เราคือ
  หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก  แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดาแล้ว                       ถามทุกท่านเกษมฤๅ

  โลกกลมกลมคนเดินกันขวักไขว่         คนบำเพ็ญล้ำสมัยมีหลายความเห็น
คิดใหม่ได้แต่ไม่ไร้การบำเพ็ญ             โลกยามเย็นจึงเห็นไฟส่องทาง
ความแค้นใจทำบ้านให้เป็นไฟ             ความใจเย็นทำบ้านไม่เหินห่าง
ใต้ร่มน้อมให้กันอุดช่องว่าง                เปิดรับฟังทุกความสามารถความเห็น
ต่างความเห็นจึงกว้างใหญ่ได้พัฒนา      คนศึกษาคนด้วยการต่างความเห็น
ดึงศักยภาพได้ดึงด้วยสิ่งที่เป็น            ดีทุกวัยทำใจเป็นบำเพ็ญดี
ส่งไม้ต่อรุ่นก่อนรุ่นใหม่รับ                  เหมือนได้ใจคืนกลับมาตอนนี้
รุ่นหลังรุ่นปลูกไม่รู้จักดินดี                  รุ่นร่มเย็นเห็นวิธีแตกกิ่งก้านใบ
    คนปฏิบัติเป็นเห็นได้เป็นนักปราชญ์      เดินหน้าปฏิบัติตามเวลาเอื้ออำนวยให้
ถือคุณธรรมเป็นหลักเป็นดั่งธงชัย         มั่นคงเหนือกาลร่วมใจร่วมเวลา
จะตลอดไปหรือไม่อยู่ที่เรา                 เปลี่ยนเมตตาอันเหงาเศร้าของเราหนา
เป็นเมตตาอันอบอุ่นคนเข้าหา             ด้วยปัญญาเป็นเข็มทิศในชีวิตตน
                                                                          ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

ฟังธรรมเหนื่อยไหม ยังไหวอยู่ใช่หรือเปล่า (ไหวค่ะ) เป็นคำตอบที่น่าชื่นใจนะ รู้จักกันก่อนดีไหม  อากาศเย็นๆ พออยู่ร่วมกันก็กลายเป็นอบอุ่นได้ เพราะอะไรหรือ เพราะทุกคนต่างมีความร้อนในตัว ใช่หรือไม่ เกิดเป็นคนใจเย็นดีหรือใจร้อนดี แล้วส่วนใหญ่เราใจเย็นหรือเราใจร้อน ชอบคนใจเย็นแต่ตัวเองชอบใจร้อน จริงไหม ใจร้อนไม่ดีแล้วใจร้อนไหม เกิดเป็นคนกลัวเคราะห์กรรมเภทภัยไหม และเวรกรรมไหม (กลัว) ท่านเคยได้ยินไหมว่า ไม่มีเคราะห์ภัยใดน่ากลัวเท่ากับไฟที่เกิดจากโทสะ คนที่ขี้โมโหมักโกรธ เป็นคนที่ไม่มีใครอยากคบด้วย ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วอยากรู้ไหมว่าเราเป็นคนขี้โมโหหรือใจเย็น เวลาไปไหนคนเข้าหาหรือคนเดินหนี   เวลาไปไหนแล้ววงแตกไม่ใช่คนใจเย็น ใช่ไหม (ใช่)  ไปไหนมีแต่คนเดินหนีไม่มองหน้า แปลว่าเป็นคนใจร้อน จริงไหม (จริง)  ตกลงแปลว่าท่านเป็นคนใจร้อนที่อยากมีเวรมีภัย ที่ไม่มีใครเขาคบหา ไม่มีใครเขารักใคร่ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นเราควรจะเป็นคนที่มักโกรธบ่อยๆ หรือเปล่า (ไม่)  รู้ว่าเป็นศัตรูตัวร้ายควรจะมีความโกรธไหม (ไม่มี) แล้วอะไรล่ะที่จะช่วยดับความร้อนได้ (ธรรมะ)
เราถามท่านหน่อยนะ เราจะทำอย่างไรให้เราเป็นคนไม่โกรธ ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งที่คนโบราณมักจะชอบพูดและสอนคนไว้บ้างไหมว่า “คนเราดีไม่ทั่ว ชั่วไม่หมด” แปลว่าไม่มีใครดีจริงๆ และไม่มีใครร้ายจริงๆ ถึงจะขี้โมโหแต่ก็มีอะไรดีเหมือนกัน อารมณ์ร้อนแต่ก็ใจดีเหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่) แปลว่ามีทั้งร้อนและเย็นอยู่ในตัว แต่ร้อนมากกว่าเย็น ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นเราอยากจะบอกท่านอย่างหนึ่งนะ บางครั้งมนุษย์ก็รู้ว่าอะไรไม่ดีอะไรดี แต่บางทีความดี
ไม่สามารถชนะความไม่ดีในใจได้ จริงหรือไม่ (จริง) ดีชั่วรู้หมดแต่อดใจไม่ไหว ใช่หรือเปล่า (ใช่) อันนี้จำได้ขึ้นใจเลย ใช่ไหม ถ้าเราบอกว่าจริงๆ แล้วการที่เราฝึกเป็นคนใจเย็นๆ หน่อย ฝึกโมโหให้น้อยหน่อย ฝึกเกรี้ยวกราดให้น้อยหน่อยนั้นดี เราไม่ได้ทำดีเพื่อหวังให้คนรัก แต่เราทำดีเพื่อป้องกันการที่เราจะไปเบียดเบียนทำร้ายคนที่เรารัก จริงไหม (จริง) เรารักคนที่อยู่รอบข้างเราไหม (รัก) แล้วคนที่อยู่รอบข้างเรา เราเห็นเขาเป็นทุกข์ เราทนได้ไหม (ไม่ได้) เห็นเขาหน้าเบี้ยวหน้าบูด เราก็พลอยหน้าบูดหน้าเบี้ยว จริงไหม (จริง) ลองอยู่ในบ้านมีแต่คนหน้าบูดหน้าเบี้ยว เรายิ้มออกไหม แต่ถ้าเกิดทุกคนในบ้านยิ้ม
เราหน้าบูดหน้าเบี้ยวเรายังยิ้มออกเลย จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่เราพยายามใจเย็นไว้ไม่โกรธคนอื่น เพราะว่าเราไม่อยากเบียดเบียนและไม่อยากทำร้ายคนที่เรารัก
ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เคยไหว้แล้วเอาท่านมาเป็นตัวเองไหม รู้ไหมว่าตัวท่านเอง
ก็คือพระพรหมของบ้านได้ ทำไมเราจึงบอกว่าท่านเป็นพระพรหมในโลกได้ และท่านเป็นพระพรหมในบ้านได้ เคยได้ยินไหม บิดามารดาเป็นพระพรหมของลูก แล้วเราเป็นพระพรหมของลูกจริงไหม (จริง)
นั่นแหละเรียกว่า “จิตแห่งกรุณา” เห็นใครทุกข์อยากช่วยให้เขาพ้นทุกข์
เป็นพระพรหมได้หรือยัง (ได้)  สองแล้วนะ และเมื่อเขาได้ดีมีสุข เรายินดีหรือเราอิจฉา (ยินดี)  นั่นได้สามข้อแล้ว ท่านเป็นพระพรหมของลูกได้ไหม (ได้) ฉะนั้นเวลาลูกทำผิดโกรธไหม (ไม่โกรธ) อันนี้ยากนะ แต่เราสามารถกลับใจ
เป็นกลางรักเขาเหมือนเดิม ใช่หรือไม่ (ใช่) ว่าส่วนว่า โกรธส่วนโกรธ แต่ใจ
ยังรักเหมือนเดิมไหม (รัก) นี่แหละจิตที่สามารถกลับคืนสู่ความเป็นกลางได้
ไม่ว่าเขาจะร้ายจะเลวอย่างไร ก็ยังมีความหวังดีและอยากช่วยให้เขาพ้นทุกข์เสมอ แล้วอย่างนี้กราบไหว้พระพรหมไม่สู้ทำตัวเองเป็นพระพรหมในบ้าน  แล้วถ้าเกิดเราแผ่ความเป็นพระพรหมออกสู่คนในโลก อย่างนี้เราไม่ใช่คนที่ปฏิบัติแล้วเป็นที่ร่มเย็นของผู้อื่นหรอกหรือ ท่านรู้ไหมขอหวยสามตัวเดี๋ยวมันก็หมด มันชื่นใจครู่เดียวใช่ไหม (ใช่)  แต่การประพฤติปฏิบัติจนมีคุณค่า จนเป็นที่ร่มเย็นเป็นที่พึ่งพิงของคนอื่นนั้นอยู่ได้หลายภพหลายชาติจริงไหม (จริง) เพราะการประพฤติวันนี้เป็นตัวบ่งบอกอนาคตในวันหน้า เพราะการดำเนินชีวิตในวันนี้เป็นตัวกำหนดภพภูมิในชาติหน้า แล้วคุณค่าของการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องดีงามในวันนี้จะสามารถพกติดตัวไป แม้จะต้องสิ้นชาติในการเป็นมนุษย์ แต่เราก็มีความดีงามพกติดตัวไปเป็นบุญวาสนานำพาให้เราไม่ว่าเกิดภพใดชาติใด ความเป็นพระพรหมนั้นก็จะคุ้มครองให้คนๆ นั้นประพฤติหรือปฏิบัติอยู่ที่ใดก็ร่มเย็นเป็นสุข หาเงินหาทองมีวันหมด แต่ประพฤติปฏิบัติด้วยความถูกต้องดีงามมันไม่มีวันหมด   มันจะติดตัวไปจนตาย และไม่ว่าจะภพไหนชาติไหน ความดีนั้นก็จะอยู่ในใจของเราไม่มีใครแย่งไปได้ อย่ามัวเห็นคุณค่าเงินทอง ทรัพย์สิน จนลืมคุณค่าความดีงามที่เรียกว่าธรรมในใจ เห็นอะไรมีค่าได้ แต่อย่าลืมเห็นคุณค่า
ในการประพฤติปฏิบัติอย่างผู้มีธรรม เห็นไหมว่าเป็นพระพรหม คนทั่วโลกก็มากราบไหว้ แล้วทำไมไม่เอาพระพรหมนั้นมาสถิตในใจเราด้วยการประพฤติปฏิบัติกันเล่า เราอยากช่วยให้คนมีความสุขไหม อยากช่วยให้คนพ้นทุกข์ไหม เห็นใครได้ดีมีสุข เราก็ดีใจกับเขาด้วยใช่ไหม ถ้าเห็นใครผิดพลาดไป เราซ้ำเติมเขาไหม ใครๆ ก็ผิดพลาดได้ ใช่หรือไม่ ถ้าท่านสามารถวางใจเป็นกลางได้
ไม่โกรธเกลียดใคร ไม่แช่งชักหักกระดูกใคร ไม่ด่าใคร ไม่นินทาใคร การเป็นพระพรหมในโลกยากหรือไม่ ยากอย่างเดียว เมื่อไหร่จะทำ
ก็คงไม่เผารนจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกท่านปาดเหงื่อเลยหรือ จริงๆ แล้วสุขนั้นร้าย ทุกข์นั้นดี ความลำบากนั้นดีไหม ความสบายนั้นดีไหม ถ้าเราพูดตรงกันข้ามว่า “ความสบายนั้นแย่ ความลำบากนั้นดี” ท่านว่าจริงไหม เราถามท่านหน่อยนะ ยิ่งสบายเรายิ่งเอาแต่ใจตัว ขี้เกียจ อ่อนแอ และสู้คนไม่เป็น ใช่หรือไม่ เช่นนั้นยิ่งลำบากเรายิ่งเข้มแข็ง
ยิ่งยืนหยัดด้วยตัวเองได้ ยิ่งโดนคนกดขี่ข่มเหงเรายิ่งรู้จักอยู่รอดให้ได้ ถ้าเราพูดว่าลำบากนั้นดี สบายนั้นแย่ผิดตรงไหน ในทางเดียวกัน “สุขนั้นแย่ทุกข์นั้นดี” พูดแบบนี้ผิดหรือไม่ ยิ่งสุขมากเรายิ่งอ่อนแอ ยิ่งสุขมากเรายิ่งเรียกร้องไม่จบสิ้นใช่ไหม แต่ยิ่งทุกข์เรายิ่งบอกว่าพอแล้ว คนที่ท่านรังเกียจ คนที่ท่านไม่ชอบ แท้จริงแล้วไม่มีดีหรอกหรือ ว่าฉันมากๆ เดี๋ยวฉันจะดีให้ได้ ดูถูกมากๆ เดี๋ยวฉันจะเก่งให้ได้เลย
แต่งงานนึกว่ามีความสุข เป็นอย่างไงล่ะ สุขจนพูดไม่ออกเลย ใช่ไหม (ใช่) มีลูกนึกว่าจะได้พึ่งพา เป็นอย่างไรเล่า หาไม่เห็นหัวเลยใช่ไหม (ใช่)  มีเงินนึกว่าจะได้มีบ้าน มีที่ดิน มีทรัพย์สินเป็นอย่างไรล่ะ หนี้ล้นพ้นตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) พุทธะจึงสอนไว้ว่าบางครั้งคิดว่ายิ่งหาแล้วยิ่งได้ แต่ถึงที่สุดจึงได้รู้ว่าพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ ไม่อย่างนั้นยิ่งหายิ่งได้ไม่คุ้มเสียเลย ใช่ไหม (ใช่)  เคยคิดว่ายิ่งมีแล้วจะได้เต็มเปี่ยม แต่ทำไมยิ่งมีกลับยิ่งอยากให้มันโล่งๆ ถูกไหม (ถูก) แต่เมื่อไรรู้จักคำว่าโล่งจึงรู้จักคำว่าเต็มเปี่ยม เหมือนกับ เดี๋ยวก็ซื้ออันนี้เข้ามาในบ้าน เดี๋ยวก็ซื้ออันนั้นเข้ามาในบ้าน ซื้อจนเต็มบ้านจนสุดท้าย จะเอาอะไรไปบริจาคดี มันจะได้โล่งๆ ใช่ไหม (ใช่)  เราพูดอะไรตลกไหม ตลกนะชีวิต เหมือนชีวิตเรายิ่งพยายามดึงตัวเองให้เก่ง ดึงตัวเองให้สูง ยกตัวเองให้มี แต่คนมีเขา
ไม่อวด คนอวดนั้นไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่) คนดีจริงเขาไม่คุย คนคุยแปลว่ายังไม่ดี แล้วเราเป็นแบบนั้น ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นพูดกันแบบเหมือนมีเหตุมีผล แต่ท่านรู้ไหมว่าถึงที่สุดเหตุผลก็ยังไม่ใช่ที่สุดของความจริง เหตุผลคือสิ่งที่พิสูจน์ได้ และเหตุผลเป็นรากของความจริง แต่ความเป็นจริงบางครั้งก็อยู่เหนือเหตุและผล ถูกไหม (ถูก)  เหมือนเราเปรียบเทียบว่าตะกร้าคือสิ่งที่ถูก อย่างนั้นแปลว่าสิ่งที่ไม่ใช่แบบนี้กลายเป็นผิด แต่เราถามว่าสิ่งนี้ถูกจริงไหม เหมือนวันนี้เราพูดชนะเขาได้ เราเป็นคนถูก แต่เมื่อผ่านไปอีกสักวันหนึ่ง เราจะเป็นคนถูกไหม แล้วเราจะเป็นคนถูกเสมอไหม (ไม่เสมอ) แล้วเราจะเป็นคนที่ถูกตลอดไหม (ไม่ตลอด)  ก็เหตุผลนี้ฉันเป็นคนถูกแล้วนี่ ฉันคิดว่าฉันถูกต้องแล้ว เธอคือคนที่ผิด อย่างนี้เราจะยืนยันว่าเราถูก แล้วเธอเป็นคนที่ผิด ตลอดได้ไหม (ไม่ได้) ก็เธอคือคนที่น่าเกลียด แต่ฉันเป็นคนที่น่ารัก จริงไหม ถ้าพูดกันตามเหตุผล ฉันยังหน้าเด็ก แต่เธอเหี่ยวแล้ว อย่างนี้ใช่ไหม ถ้าเราพูดกันตามเหตุผลอย่างนี้ถูกต้องไหม ฉันน่ารักกว่าถูกไหม (ถูก)  เธอน่าเกลียดใช่ไหม (ใช่)  แต่ต่อไปฉันจะน่ารักตลอดใช่ไหม (ไม่ใช่) เดี๋ยวฉันก็เหี่ยวไม่ต่างจากเธอถูกไหม (ถูก) อย่างนี้ตกลงใครถูก
ไม่ผูกพัน ช่วงใช้แล้วไม่ยึดติด อยู่ร่วมแล้วไม่เป็นทุกข์ คงยากนะ ตอบได้ดี
เราให้ดอกไม้เป็นกำลังใจ ดีไหม 
อันเป็นกลาง ถ้าเราเข้าใจความจริงอันเป็นกลาง เราจะยอมรับได้เลยว่า แท้จริงในโลกในร้ายก็ยังไม่ได้ร้ายที่สุด ยังมีคนร้ายกว่า ในดีก็ยังไม่ดีที่สุด
ยังมีคนดีกว่า ฉะนั้นถ้าเราวางใจเป็นกลางมองโลก เรานั่นแหละคือเข้าถึงพระพรหม และเข้าถึงธรรม
และระหว่างเจ็บกับตายอันไหนดีกว่ากัน หลายคนบอกว่าเจ็บนั้นทรมาน  ใช่ไหม (ใช่) แต่ตายโดยที่ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้สั่งเสีย บางทีอาจจะทำให้เรายิ่งเป็นทุกข์นะ จริงหรือไม่ (จริง)  
แต่ลืมลงแรงทำความเข้าใจที่ภายใน ถูกไหม (ถูก)  ถ้าเข้าใจแล้วจะโกรธ จะปฏิบัติผิดไหม จะทุกข์ไหม (ไม่) ควรกลัวไหมความทุกข์ (ไม่กลัว) เพราะทุกข์ยังไม่แท้ สุขยังไม่จริง สู้ประคองใจให้นิ่งๆ และยอมรับความเป็นจริงอันเป็นกลางดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)
ยึดติดความคิดว่าแบบนี้ดี อีกแบบหนึ่งก็จะไม่ดีในทันที ใช่หรือไม่ (ใช่) เราถามท่านว่า เวลาเราถูกลอตเตอรี่ เป็นสิ่งที่ดีใช่ไหม (ใช่) แล้วเวลาที่เราไม่ถูกลอตเตอรี่ เป็นสิ่งที่แย่ใช่หรือไม่ (ใช่) การถูกลอตเตอรี่บ่อยๆ ทำให้เราเสียเงินบ่อย ใช่ไหม (ใช่) แล้วการไม่ถูกลอตเตอรี่บ่อยๆ ทำให้เราไม่อยากจะเสียเงินแล้วใช่ไหม (ใช่)  แล้วอะไรดีกว่าอะไร (การไม่เล่น)  เหมือนกัน ถ้าเรารู้ว่า
เราเอาใจไปวางไว้กับคนที่เราเกลียด แล้วรู้สึกว่าเจ็บ เราก็ไม่ต้องเอาใจเรา
ไปวางไว้ที่เขา มนุษย์แปลกอยู่อย่างหนึ่ง อะไรก็เสียได้ ใช่ไหม (ใช่)  จำไว้นะ
เสียภายนอก เสียแล้วดีขึ้น ก็เสียไปได้ แต่สำหรับใจ อย่าพยายามเสีย เพราะเมื่อเสียไปแล้ว จะเรียกกลับคืนมาใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้ารู้ เห็น มองแล้วจะรู้สึกว่า เสียใจ เราก็ต้องเห็นเหมือนไม่เห็น เหมือนมีแต่เหมือนไม่มี อย่างนี้จะ
ไม่มีผลกับใจ อย่าเอาใจไปเสียเด็ดขาด เพราะเมื่อเสียไปแล้ว จะเรียกกลับมาไม่ได้ จำไว้นะ อยู่ในโลกหากเสียเงินเสียทองแล้วดีขึ้นก็เสียไป แต่หากเสียที่ใจ เสียแล้วแก้ไม่ได้ หากผิดหวังแล้วจะให้กลับมาดีเป็นเรื่องที่ยาก ฉะนั้นพยายามอย่าให้ใจเสีย ถ้าเมื่อเห็นแล้ว จะรู้สึกเสียใจ จะรู้สึกทุกข์ใจ จะไม่สบายใจ อย่างนี้เราไม่ใส่ใจ จะดีกว่าไหม (ดี)

โดยส่วนใหญ่บางทีที่เราใจเย็น เพราะว่าเมื่อเราเย็นเราก็สุขใจถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นเมื่อเราใจเย็นเพราะเราไม่ได้หวังให้คนรัก แต่เราใจเย็นเพราะว่าเราไม่อยากเบียดเบียนใคร ไม่อยากทำร้ายใครให้เป็นทุกข์ จะทำให้เราโกรธคนยากขึ้น เขาสุขเราก็สุข เขาทุกข์เราก็ทุกข์ ฉะนั้นที่เราใจเย็นเราก็อยากเห็นเขามีสุข ไม่ใช่เพื่อให้เขามาชมเราว่าเราดี ถ้าเราคิดอย่างนี้ เราก็คงโกรธน้อยลง แต่ท่านรู้ไหมว่าคนใจเย็นยังมีอีกอย่างหนึ่งที่เป็นหนทางนำไปสู่การอยู่อย่างคนประเสริฐ มนุษย์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ผู้ประเสริฐ เราประเสริฐตรงไหน อารมณ์ร้อน ใช่ไหม (ไม่ใช่)  ท่านรู้ไหมว่าคนที่มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คือ คนที่มีธรรมอันประเสริฐ มีที่อยู่อันประเสริฐที่เรียกว่า ธรรม ฉะนั้น ถ้าเกิดเป็นคนแล้วเราใจเย็นไม่ได้ เราเอาแต่โมโห แปลว่าเราไม่ใช่คนประเสริฐ ผู้ใดก็ตามซึ่งสามารถรักษาซึ่งธรรมแห่งความใจเย็นได้ ผู้นั้นคือคนที่มีธรรมอันประเสริฐดำรงอยู่ และสามารถรักษาความบริสุทธิ์เฉกเช่นพรหมในโลกได้ ท่านเคยเห็นพระพรหมสี่หน้าไหม (เคย) ไหว้ไหม (ไหว้) ไหว้เพราะขอ
เราลองมาดูคนที่เป็นพระพรหมของลูกได้ เราถามหน่อยว่าเวลาลูกเขาทำอะไรเราอยากให้เขามีสุขไหม (อยาก) ทำอะไรเขายิ้มได้เรามีสุขถูกไหม (ถูก) นั่นแหละเรียกว่าเมตตา หวังให้คนอื่นเป็นสุขโดยที่ตัวเองไม่สุขไม่เป็นไร ขอเขาได้สุขนั่นแหละ “เมตตา” และเมื่อไรที่ลูกทุกข์อยากให้เขาพ้นทุกข์ไหม
ลองมองดูให้ดีๆ ระหว่างความโกรธกับความใจเย็น ให้ผลแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนที่มักโกรธ หนีไม่พ้นเคราะห์กรรมเวรภัย ไม่มีใครรักจริง และไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ จริงไหม (จริง)  แต่คนที่ใจเย็นมีเมตตา รู้จักเห็นใจผู้อื่น กลับนำสู่ซึ่งความร่มเย็น คนที่ชิดใกล้ก็อบอุ่น คนประพฤติปฏิบัติก็มีความสบายใจร่มเย็นใจ ฉะนั้นถ้ามนุษย์รู้จักยั้งคิดรู้จักควบคุมอารมณ์ได้ ความโกรธ
แต่บางทีคนบางคนก็น่าโกรธ จริงไหม (จริง) ถ้ายังตอบว่าจริงอยู่ ก็ยังแปลว่าหนีความโกรธได้ไม่พ้นนะ ถ้าเราบอกท่านว่า “ในโลกนี้ไม่มีสุขจริง ในโลกนี้ไม่มีทุกข์แท้” ท่านว่าจริงไหม (จริง)  เชื่ออย่างนั้นเลยหรือ ถ้าเราพูดว่า ในโลกนี้สุขนั้นดี ทุกข์นั้นร้ายจริงๆ ท่านว่าใช่ไหม (ไม่ใช่) อย่างนั้นเราถามท่านหน่อยนะ เราพยายามแสวงหาความสุข แต่ทำไมในความสุขกลับให้ความทุกข์
มีสามีดีไหม ภรรยาน่ารักไหม มีเงินดีไหม สุขหรือทุกข์ พูดอย่างนี้
กลับกันถ้ามีคนชมมากๆ เหลิงไหม (เหลิง)  แย่ไหม (แย่)  แย่แน่ๆ เลยจริงไหม ก็จะไม่พัฒนาตัวเองต่อแล้วคิดว่าตัวเองดีแล้ว ใช่ไหม (ใช่) เราถามท่านว่า ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงในโลก อะไรหรือที่เรียกว่าสิ่งที่เราควรโกรธ อะไรหรือคือสิ่งที่เราเรียกว่าแย่จริงๆ และอะไรหรือคือสิ่งที่เราเรียกว่าสุข
ฉะนั้นที่สุดของความจริง ไม่ใช่การยึดติดถูกผิดดีร้าย แต่ที่สุดของความจริงสามารถทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้ คือ ความเป็นอิสระ ไม่ชอบและไม่เกลียดสิ่งใด เพราะทุกสิ่งล้วนมีดีและไม่ดี ไม่ต่างกัน  ถ้าอยากเป็นอิสระและอยู่บนโลกได้อย่างคนที่เข้าใจความจริง ก็จะต้องไม่รักและไม่ชังอะไร
แล้วเมื่อนั้น ท่านจะเข้าใจพุทธพจน์ที่กล่าวไว้ว่า “ความจริงคือสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่แท้ ไม่ทน” โลกพอดีอยู่แล้ว แต่ใจของเราต่างหากที่ไม่เคยพอ มองอะไรก็จึงไม่ดี จริงไหม (จริง)  เพราะความไม่เที่ยง ไม่แท้ ไม่ทน เมื่อไม่เที่ยงแล้วอะไรหรือที่ร้าย จริงๆ เมื่อไม่แท้แล้วอะไรหรือที่ดีจริงๆ เมื่อไม่ทนแล้วอะไรหรือที่แท้จริง
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้รางวัลกับผู้ที่ตอบคำถาม)
อยากได้ผลไม้ ดอกไม้ หรือไม่เอาอะไรเลยดี  (ไม่เอาอะไรเลย) แปลว่าไม่เอาอะไรเลยก็ดี จริงๆ ถ้าเราอยู่ในโลกนี้ได้แบบไม่เอาอะไรเลย แค่ยืมใช้ แล้วรู้จักปล่อยวาง เราก็คงไม่ทุกข์ แต่มีอะไรบ้างที่มนุษย์ข้องเกี่ยวแล้ว
(จิตที่ไม่ยึดติดว่าใช่หรือไม่ใช่) พูดได้ต้องทำได้ อย่างนั้นจะรับดอกไม้ดีหรือผลไม้ดี (ผลไม้ดีกว่า) ไหนบอกว่าไม่ยึดติดไง เห็นไหมพอถึงเวลา รู้กับปฏิบัติเรายังทำไม่ได้ ถูกไหม ถึงที่สุดแล้ว ถ้าเราเข้าใจหลักธรรม อะไรก็ดี ผลไม้หรือดอกไม้ไม่สำคัญ สำคัญที่คนได้รับสิ่งนั้นไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจะบอกให้นะ ได้ดอกไม้ไปทุกข์น้อยกว่าผลไม้ เพราะได้ดอกไม้ไปไม่ค่อยมีใครจะขอเท่าไร จริงไหม แต่ได้ผลไม้ไปเขาต้องบอกว่า แบ่งกันบ้างสิ ใช่ไหม
(จิตใจที่เข้าถึงธรรมะ) เลือกผลไม้ดีหรือดอกไม้ดี ดอกไม้ก็ให้แง่คิดของดอกไม้ ทำอะไรทำให้เต็มที่เพราะถึงวันที่ร่วงโรยแล้ว ไม่มีแรงแล้วต่อให้อยากทำเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้แล้ว ฉะนั้นมีเวลาอย่าผัดวันประกันพรุ่ง ทำวันนี้ให้ดีที่สุดเพราะเราไม่รู้วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะคนที่ยังชอบแอบไปสูบบุหรี่ จริงไหม
(ทางสายกลาง) คำตอบนี้คือคำตอบที่ถูกที่สุด ธรรมคือความจริง
อยากได้ดอกไม้หรืออยากได้ผลไม้ (ไม่อยากได้อะไรเลย) จริงๆ แล้วร่างกายเราก็ไม่ใช่ของจริง ตัวท่านก็ไม่จริง ถ้าจริงต้องไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  แล้วเราเปลี่ยนไหม (เปลี่ยน)  ตอบว่า (ใจเราไม่มีวันไขว้เขว, ความจริงอันธรรมดา) ปรบมือให้นักเรียนในชั้นนี้ ล้วนตอบได้ดี ล้วนมีภูมิธรรม ไม่มากก็น้อย น่ายกย่อง
(คุณธรรม รู้พระคุณพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนเรามา) มโนธรรมสำนึกเป็นสิ่งดีงามที่มีอยู่ในจิตใจ สิ่งนี้ขอให้รักษาและแผ่ขยายไปให้กว้างไกล เราจะไปอยู่ที่ไหนก็เป็นที่รักของคนอื่น
ล้วนตอบได้ดีทั้งอายุน้อยและอายุน้อยมาก รับผลไม้นี้ไปเพื่อเป็นมงคลกับชีวิตก็ได้นะ ถ้าชีวิตสามารถรักษาได้ในความคิดอันเป็นกลางตลอดก็ไม่มี  สิ่งใดที่ทำให้เรารักมากและเกลียดมาก เมื่อเราไม่ตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ เราก็ไม่ต้องกลัวความทุกข์ใช่หรือไม่ และเมื่อเรามองเห็นความเป็นจริงแห่งชีวิตความทุกข์ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ความเจ็บน่ากลัวไหม ความตายน่ากลัวไหม
เราอยากบอกท่าน บางครั้งความเจ็บดี ตรงที่มาเตือนเรา ให้เรารู้จักคุณค่า เวลา และการอยู่ร่วมกัน ดีกว่าตายโดยที่ไม่ได้สั่งเสียเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจึงบอกว่าถ้าเรามองดูความเป็นจริงของชีวิตให้ดี ในโลกนี้ไม่มีอะไรร้ายถ้าใจเรารับไหว และในโลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว ฉะนั้นถ้าวันนี้เราทำดีที่สุดพรุ่งนี้จะตาย ก็ไม่น่าห่วงใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้ายังกลัวตายแปลว่ายังไม่ดีใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฟังธรรมะวันนี้ยากเกินไปไหม (ไม่ยาก)  การเริ่มต้นศึกษาปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช่แค่เพียงสวดมนต์ไหว้พระทำบุญสุนทาน หลักธรรมที่แท้จริง  คือการมีปัญญาเข้าถึงธรรมและนำพาให้ตนเองพ้นทุกข์  ฉะนั้นถือธรรมเพื่อประพฤติปฏิบัตินำพาให้พ้นทุกข์ ไม่ใช่ถือธรรมเพื่อหวังวอนขอและวนเวียนอยู่ในทุกข์ พอเข้าใจไหม โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนมักเน้นปฏิบัติแต่ภายนอก
ที่เราโกรธเพราะเรายึดติดความคิดของเรา ถูกไหม (ถูก)  เราใช้ความคิดของเราเป็นหลักใช่ไหม ฉะนั้นหากเราต้องการทำใจให้เป็นกลาง ก็ต้องเปลี่ยน (ความคิด)  เพราะความคิดเป็นตัวกำหนดชีวิต เป็นตัวครอบงำจิตใจ ถ้าเรา
ท่านเคยได้ยินไหม พุทธะพูดบ่อยๆ ถ้าใจเราดีอะไรๆ ก็ดี แต่ถ้าใจเราแย่เมื่อเขาพูดอะไรก็แย่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อพบปัญหาอย่าเพิ่งจัดการเขา เมื่อพบปัญหาต้องจัดการตัวเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) เขาอยากได้ก็ได้ไป เขาอยากได้อะไรก็ให้ไป แต่ขออย่างเดียว อย่าใจเสีย เพราะถ้าเสียใจกับเขาแล้ว ก็เหมือนกับน้ำที่ไหลไปแล้วเรียกกลับไม่ได้ ด่าไปแล้วจะทำดีแค่ไหนก็ไม่ขึ้น ถูกไหม (ถูก)  เกลียดไปแล้ว ผูกพันไปแล้ว สร้างเวรสร้างกรรมไปแล้ว ชาติเดียวก็ใช้ไม่หมด ท่านว่าจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเห็นอะไรไม่ดี อย่าเพิ่งจัดการเขา แต่ต้องจัดการตัวเราเอง
เมื่อใจเราดีอะไรก็ดีขึ้นได้ เมื่อใจเราร้ายอะไรก็ดีไม่ขึ้น ฉะนั้นหน้าที่ของการดำเนินชีวิตและการปฏิบัติประพฤติธรรมให้ถูกต้อง คือ ไม่ได้แก้ที่เขาแต่แก้ที่เรา ไม่ต้องไปว่าเขาแต่ควรว่าเรา ถ้าคิดแล้วเจ็บแล้วจะไปคิดทำไมให้เจ็บใจ อยู่กันแบบห่างๆ ห่วงๆ ดีหรือไม่ ใกล้เกินมันอึดอัด ชิดเกินไปหายใจรดกัน มันเหม็น มันร้อน ฉะนั้นอยู่ร่วมกันต้องมีระยะห่าง ทำอะไรต้องรู้จักระยะห่างแล้วเราจะได้ไม่เจ็บปวด รักษาระยะ ห่างอย่ายุ่งกับเขามากเกินไป เพราะถึงที่สุดทุกชีวิตล้วนมีหนทางของตนเอง เมื่อเราหวังให้เป็ดเป็นไก่ไม่ได้ เมื่อนั้นไก่ก็ไม่มีวันเป็นเป็ดได้ เราพูดตลกแต่มนุษย์ก็มักจะทำอะไรตลก รู้ว่าเขาได้แค่นี้ ก็ยังหวังว่าต้องมากกว่านี้ ต้องดีกว่านี้ นั่นคือหวังเป็ดเป็นไก่ ทั้งที่จริงๆ แล้วได้แค่นี้ก็ดีแล้ว มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ ด้วยการให้เวลาตัวเองมาศึกษาปฏิบัติธรรม ธรรมสอนให้คนมีปัญญา ฉลาดในการดำเนินชีวิตแบบไม่ทุกข์


วันอาทิตย์ที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ สถานธรรมจินโจว อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  ความสำเร็จในชีวิตทุกทุกอย่าง      ล้วนแล้วสร้างมาจากใจทั้งสิ้น
คนยิ่งใหญ่ต้องรู้ละความเคยชิน       คนติดดินรักเรียบง่ายจึงสูงส่ง
                              เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                           รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินโจว แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                       ถามศิษย์รักทุกคนตั้งใจฟังดีไหม

บำเพ็ญต้องลงแรงให้ดีดี มาให้เห็นบ่อยบ่อย บำเพ็ญต้องลงแรงให้ดีดี ทำให้เห็นสักหน่อย บำเพ็ญต้องทำใจ       ให้ดีกับปัญหากร่อยกร่อย ทำบาปกันซะอร่อย ท่องหนึ่งถึงร้อยเอาไว้
บำเพ็ญต้องลงแรงถ้าให้ดี มาให้เห็นตลอด บำเพ็ญต้องลงแรงถ้าให้ดี ต้องทำให้ตลอด บำเพ็ญต้องตั้งใจให้ดี จึงจะไม่หายตลอด เมื่อไหร่ก็รู้ตลอด แต่ตอนนี้ไม่ไหว
*   ศิษย์ก็เฝ้าแต่คิด แต่ไม่คิดจะตระหนัก คิดเป็นข้อไม่กี่ข้อก็ฟุ้งซ่าน จิตอ่อนไหวต้านไม่ไหวก็พลุ่งพล่าน เรื่องพื้นฐานใครไม่ดื้อหันเข้าบ้าน จิตเป็นอะไรบ้าง จะต้องหาเรื่องแก้ คนฝึกหัดแก้ไข วันหนึ่งวันใดคนเหนือคนแน่ ไม่ต้องถือไว้ตลอด ท่องหนึ่งถึงร้อยเอาไว้
**  จะต้องอย่างนั้น จะต้องอย่างนี้ ที่จริงทำแล้วถึงไหน ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนี้ ชีวิตแบกมาแสนไกล บำเพ็ญชีวิตบำเพ็ญหัวใจ ขอให้เบา
 *** จะต้องอย่างนั้น จะต้องอย่างนี้ ที่จริงทำแล้วไม่ไหว ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนี้ กลับทำมากมาย สรุปตัวเองบำเพ็ญเรื่อยไป ต้องลงแรงเพื่อการบำเพ็ญ
    บำเพ็ญต้องลงแรงถ้าให้ดี มาให้เห็นตลอด บำเพ็ญต้องลงแรงถ้าให้ดี ต้องทำให้ตลอด บำเพ็ญต้องตั้งใจให้ดี จึงจะไม่หายตลอด เมื่อไหร่ก็รู้ตลอด แต่ตอนนี้ไม่ไหว (ซ้ำ *, **, ***)

ทำนองเพลง : รักติดไซเรน
ชื่อเพลง : ท่องหนึ่งถึงร้อยเอาไว้


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ใครอยากโดนพัดอาจารย์ตีหัวบ้าง เอาด้านสันตีหรือเอาด้านหน้าตี หรือเอามือตี ชีวิตถ้าเราคิดว่าอะไรก็ดี อะไรก็ได้ คงทุกข์น้อยลงจริงไหม ถ้าเราเรื่องเยอะเราก็ทุกข์เยอะจริงไหม (จริง)  ถ้าเราเรื่องมากเราก็ทุกข์มากจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าเกิดบอกว่าอะไรๆ ก็ดี มันก็คงมีเรื่องง่ายๆ ขึ้นเยอะในชีวิตจริงไหม (จริง)  แล้วเรายอมให้ชีวิตมันง่ายแบบนั้นไหมหนอ อาจารย์แค่ถามง่ายๆ นะ ถ้าสมมติว่าในชีวิตของเรามีสิ่งที่ใจเราคิดใจเรากำหนด แล้วถ้าเกิดใจเราคิดใจเรากำหนด แล้วเราบอกว่า ขอให้เราเป็นคนที่ทุกข์ยาก สุขง่ายดีไหม ศิษย์อาจารย์ชอบเป็นคนผัดวันประกันพรุ่ง ทำอะไรก็จะบอกว่า “เดี๋ยวก่อน”  ถ้าเกิดความทุกข์มาศิษย์ก็บอกว่า “เดี๋ยวก่อน”  ดีไหม (ดี)  ทำไมถึงเวลาไม่เห็นทำอย่างนี้
คิดถึงกันไหม (คิดถึง)  บางคนคงไม่คิดถึงอาจารย์แล้วใช่ไหม ออกจากห้องพระไปก็ลืมแล้วจริงไหม (ไม่จริง)  จริงหรือ (จริง)  อาจารย์ได้ยินว่ามนุษย์ในโลกปากหวาน แต่ก้นก็เปรี้ยว เป็นอย่างนั้นไหม หรือเป็นประเภทปากว่าตาขยิบ เป็นคนพูดได้และเชื่อได้ใช่ไหม (เชื่อได้)  จริงหรือ (จริง)  เรามาคุยปรับความคิดกันก่อน ถ้าพูดถึงธรรมะปฏิบัติธรรมไม่ใช่ให้ตัดทางโลกเลย ไม่ใช่ให้เราไม่รับผิดชอบทางโลกเลย ไม่ใช่ไม่ให้เรารับผิดชอบทางโลกแล้วมาปฏิบัติธรรมอย่างเดียว การปฏิบัติธรรมยังประกอบหน้าที่ของความเป็นคนอย่างถูกต้องสมบูรณ์ แล้วยังรู้จักปฏิบัติธรรมในสังคม และก็ยังเอาธรรมมาปฏิบัติเพื่อช่วยคนในสังคมใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังนั้นเข้าใจให้ถูกต้องว่าการมาบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ตัดทางโลกแล้วไม่สนใจทางโลก แต่ยังรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ให้ดี และยังรู้จักมีน้ำใจที่จะช่วยเหลือผู้คนด้วยการเอาธรรมมาใช้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังนั้นเรามารู้จักกันก่อนได้ไหม
ความสำเร็จในชีวิตทุกทุกอย่าง      ล้วนแล้วสร้างมาจากใจทั้งสิ้น
คนยิ่งใหญ่ต้องรู้ละความเคยชิน     คนติดดินรักเรียบง่ายจึงสูงส่ง”
ทำอะไรต้องทำด้วยใจใช่ไหม (ใช่) แต่ในใจนั้นเมื่อเราทำอะไรสักอย่างแล้ว เราต้องไม่คิดว่าเป็นเพราะเราคนเดียว แต่เรื่องราวในโลกหลายๆ อย่างสำเร็จได้ เพราะต้องเกิดจาก ความร่วมแรงร่วมใจของทุกๆ คน ไม่ใช่มีเราแล้วถึงสำเร็จได้ ไม่ใช่ขาดเราแล้วมันจะไม่สำเร็จ ถูกหรือไม่ (ถูก)  จะยิ่งใหญ่ขนาดไหน หรือจะเล็กกระจ้อยร่อยขนาดไหน สิ่งที่สำคัญก็คือไม่ถือตัว ต้องไม่สำคัญตัวเองผิด เก่งแค่ไหนก็ต้องอาศัยคนที่ไม่เก่ง ฉลาดแค่ไหนก็ยังต้องอยู่ร่วมกับคนที่ไม่ฉลาดให้ได้ อยากอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ตัวเองสบายแล้วไม่คิดถึงคนอื่นได้ด้วยหรือ ถ้าทำให้คนอื่นเขาเป็นทุกข์ เดี๋ยวเขาก็ทำให้เราทุกข์เหมือนกัน จริงไหม (จริง)  

(พระอาจารย์เมตตาเปรียบเทียบ ความแตกต่างทางโลกและธรรม)
โลก
วุ่นวาย
สุข ทุกข์
ลำเอียง
ธรรม
ความสงบ / จบ
พ้นทุกข์
เป็นกลาง

อาจารย์ถามหน่อยถ้าพูดถึงโลก เรานึกถึงความวุ่นวาย ถ้าพูดถึงธรรมเรานึกถึงความสงบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่มีใจธรรม คือใจที่สงบ ฟังแล้วเข้าใจง่ายขึ้นมาเลยใช่ไหม (ใช่)  ฟังธรรมมาแล้ว ใจแบบไหนหรือที่เรียกว่า “ใจมีธรรม ใจที่ปฏิบัติธรรม” เปรียบเทียบแบบนี้เข้าใจง่ายดี ถ้าพูดถึงทางโลก เรียกว่า ความวุ่นวาย ถ้าพูดถึงทางธรรม เรียกว่า ความสงบสุข ถ้าพูดถึง ทางโลกมีความสุขและความทุกข์ สลับกันไปไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นหากพูดถึงทางธรรม ก็จะเป็นความสุขที่ไม่ใช่กลับไปเป็นทุกข์ แต่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เรานั่งฟังธรรมะมาตั้งนานแล้ว แต่บางทีเราก็ยังมองเห็นคำว่า “ธรรม” ไม่ชัดเจน มนุษย์มักชอบการเปรียบเทียบ ดังนั้นอาจารย์จึงนำการเปรียบเทียบมาทำให้เรามองเห็นอย่างชัดเจนขึ้น
โลกคือความวุ่นวาย ธรรมคือความสงบ โลกคือสิ่งที่มีทั้งความสุขและความทุกข์ มีดีและชั่ว แต่ธรรม คือ การพ้นทุกข์ ดีอย่างแท้จริง ดีแบบไม่กลับกลาย ไม่ใช่ดีหนึ่งวันแล้วก็ร้ายอีกหนึ่งวัน ดังนั้นคนที่ปฏิบัติธรรมก็ต้องเป็นคนที่ดีแท้ๆ ถ้าเราบอกว่าเราปฏิบัติธรรม แต่ความจริงเรายังดีบ้างไม่ดีบ้าง แปลว่าเรายังไม่ใช่คนที่ปฏิบัติธรรม อย่างนี้เห็นชัดขึ้นไหม (ชัด)  อย่างนี้คนที่ปฏิบัติแบบสามวันดีสี่วันร้าย ก็แปลว่ายังไม่ใช่คนที่เข้าถึงธรรม ตอนนี้รู้กันแล้วว่าปฏิบัติธรรม เขาปฏิบัติอย่างไร ดังนั้นคนที่ประพฤติปฏิบัติธรรม แล้วมีธรรมจริงๆ นั้น ยิ่งอยู่ในโลกก็ยิ่งสงบไม่วุ่นวาย ยิ่งอยู่ในโลกก็ยิ่งต้องพ้นทุกข์ ไม่ใช่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ปฏิบัติธรรมจริงๆ แล้ว ดีต้องดีแท้จริง ไม่ใช่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย  ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นตอนนี้อาจารย์ถามศิษย์จริงๆ ว่า ปฏิบัติแล้วไปทางโลกหรือไปทางธรรม (ไปโลก, ไปทางธรรม)  ศิษย์บอกว่าไปทางธรรม แต่ก็เอียงเอนไปทางโลกเล็กๆ นะ ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นอาจารย์อยากบอกว่า คนปฏิบัติธรรมเขาควรยิ่งปฏิบัติยิ่งเข้าสู่ทางสายกลาง ไม่ใช่รักลำเอียง ไม่ใช่เอียงซ้ายเอียงขวาใช่ไหม (ใช่)  แล้วใจเราตรงหรือใจเราเอียง (ตรง)  ดังนั้นถ้าพูดถึงธรรมคือความเป็นกลาง อะไรที่ทำให้เรากลับสู่ความเป็นกลางนั้นเรียกว่าธรรม  และธรรมคือความเป็นเช่นนั้นเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  อาจารย์ถามศิษย์ว่า ศิษย์เคยเจอคนที่ขี้เกียจตัวเป็นขนไหม (เคย)  เดินไปเดินมาอยู่นั่น เราก็ทำเข้าไป เขาจะเดินลอยไปลอยมาแล้วก็พูดว่า “แกต้องทำอย่างนั้นสิ แกต้องทำอย่างนี้” แต่ไม่เห็นเขาทำสักอย่างเลย เขาดีแต่พูด ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าวันหนึ่งเราขยันแล้วเจอคนขี้เกียจ ทำอย่างไรให้ใจเราเป็นธรรมไม่เป็นโลก ถ้าวันหนึ่งเรารับผิดชอบหน้าที่แต่คนเอาเปรียบ ทำอย่างไรให้ใจเรามีธรรมไม่มีโลก เคยเอามาใช้จนเกิดธรรมบ้างไหม (เคย)  ทำอย่างไรหรือ (ทำด้วยตัวเอง)  เขาไม่ทำเราก็ทำเอง
(เราต้องตั้งใจทำ)  ใช่ โดยส่วนใหญ่ถ้าเราขยัน เรามีความรับผิดชอบต่องาน แล้วเราอยากมีหัวใจที่มีธรรม ไม่อยากมีหัวใจที่เป็นโลก เพราะเป็นโลกแล้วมันรก มันวุ่นวาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
 ถ้าเราเป็นคนขยันแต่เจอคนขี้เกียจ  แล้วเราด่าไหม ไม่ด่าทางปากแต่ด่าในใจไหม ถ้าเราปฏิบัติธรรมทั้งข้างนอกและในใจ เราต้องเอามาทำให้มันสงบ  ศิษย์รู้ไหมว่าสิ่งที่น่ากลัวในตัวมนุษย์ที่น่ากลัวมากที่สุดคือ มโนกรรม เพราะมันเป็นตัวชักพาชีวิตและความคิดให้เกิดการกระทำ และส่งผลเป็นกรรม ฉะนั้นเราปฏิบัติธรรมอย่าเก่งแค่ปฏิบัติภายนอก แต่เราต้องเอาธรรมมาควบคุมใจเราได้ มายั้งใจได้ จำไว้เลยนะศิษย์ ธรรมแปลว่าสงบ สงบแปลว่าจบ จบแปลว่าไม่ต่อแล้ว ถ้าต่อแปลว่าอยากเกี่ยวกรรม ถ้าต่อแปลว่าอยากมีกรรมไม่อยากมีธรรม แล้วเราต่อไหม เกี่ยวกรรมเสร็จแล้วยังลากกรรมมาให้คนเขาร่วมเวรร่วมกรรม ก็ให้เพื่อนช่วยวิพากษ์วิจารณ์แล้วเราก็สะใจว่าเราคิดถูก แบบนี้เรียกว่าตอกย้ำความยึดมั่นถือมั่น และยึดกรรมเข้าไปอีกจริงหรือไม่ พูดแล้วทำให้คนที่โดนว่าดีขึ้นได้เพราะเราพูดไหม (ไม่ได้)  ถ้าอยากเข้าใจธรรมง่ายๆ อยากปฏิบัติธรรมง่ายๆ เริ่มตรงนี้ ธรรมแปลว่าสงบ จบ และพ้นทุกข์ ถ้าคิดแล้วยังทุกข์ไม่ต้องคิดดีไหม หน้าที่ปฏิบัติธรรมก็คือทำตัวเองก็พอ ถ้าตัวเองได้ดีเดี๋ยวมันก็ไปสะท้อน สะเทือนใจคนอื่น สอนโดยไม่ต้องพูดดีกว่าพูดจนปากเปียกปากแฉะ แต่เขาก็ไม่ทำ
ฉะนั้นเริ่มต้นการปฏิบัติธรรม ถามใจตนเองก่อน ทำแบบนั้นแล้วมันสงบไหม ถ้าสงบเรียกว่าใจมีธรรม ทำแบบนั้นแล้วพ้นทุกข์ไหม ถ้ามันพ้นทุกข์ด้วยสงบด้วยแล้วดีด้วย ก็ยิ่งกว่าการปฏิบัติธรรมทั้งนอกและในอีกจริงไหม(จริง) แต่เราเป็นแบบดีนอกแต่ข้างในร้ายไหม 
อาจารย์ให้กลอนยาวจนลืมหันมาคุยกับศิษย์เลย ให้คุยต่อดีไหม (ดี)  อย่างนั้นอาจารย์ถามต่อว่า เราอยู่ในโลกเราทุกข์ไหมศิษย์ (ทุกข์)  ทุกข์ไม่ทุกข์ (ทุกข์)  แปลว่ายังไม่ค่อยทุกข์เท่าไรนะ ยังยิ้มได้ จริงๆ แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  มีทุกข์บ้างไม่ทุกข์บ้าง สลับกันไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้ทุกข์ไหม ง่วงไหม กินข้าวเหนียวมากท้องตึง ทุกข์หรือไม่ทุกข์ (ไม่ทุกข์)  ไม่ทุกข์ แต่จริงๆ ก็ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราทุกข์กายหรือทุกข์ใจ (ทุกข์กาย, ทุกข์ใจ)  
ส่วนใหญ่กายจะทุกข์เพราะเป็นโรค ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ใจทุกข์เพราะมีปัญหา โดนว่าก็ทุกข์ โดนเขาเอาเงินไปไม่คืนก็ทุกข์ สามีไม่รักก็ทุกข์ ภรรยาหนีไปก็ทุกข์ มนุษย์มีทุกข์ทางใจเยอะแยะไปหมด แล้วเวลาเราทุกข์ใจ มันทุกข์หรืออะไรมาทำให้เราทุกข์ (ความคิด)  สิ่งที่ทำให้ทุกข์คืออะไร เหมือนเราทำงานแต่เพื่อนขี้เกียจ เราทุกข์เพราะความคิด เหมือนเราทำงานแล้วเราคิดว่าต้องได้กำไร แต่บังเอิญมันขาดทุน เราทุกข์เพราะความคิด อาจารย์ถามหน่อย เป็นเพราะเขาทำให้เราทุกข์หรือทุกข์เพราะใจเรา (ใจเรา) หรือว่าเขาไม่ดีดั่งใจเรา หรือเหตุการณ์ไม่เป็นดั่งใจเรา หรือสิ่งที่เราคาดหวังมันไม่เป็นอย่างที่เราคาดหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใจเราไม่คิดอะไรเลย อะไรจะเกิดเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้ใจทุกข์คือความคิด ถ้าเราจัดการความคิดได้เราก็สิ้นทุกข์ได้ ถ้าเราควบคุมความคิดได้ ความคิดก็ไม่ทำให้เราทุกข์ได้ ทุกวันนี้ที่เราทุกข์อยู่ก็เพราะพยายามทำอย่างไรให้เราไม่ต้องคิด จริงหรือไม่ (จริง)  เราจะเป็นบ้าตายก็เพราะความคิด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรานอนไม่หลับก็เพราะเรายังคิดไม่ตกใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นชัดหรือยัง สิ่งที่ทำให้เราทุกข์ไม่ใช่ใจ แต่เป็นเพราะความคิดที่ครอบงำใจ และบังคับใจ แล้วเมื่อเราไหลไปตามความคิด เราก็ง่ายต่อการตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ เพราะความคิด  ง่ายต่อการเข้าข้างตนเอง เมื่อเป็นเพราะความคิดก็ง่ายมากที่จะโทษคนอื่นไม่โทษตนเอง แล้วความคิดก็ชอบที่จะมองตามในสิ่งที่ตนเองอยากได้ แต่ไม่มองความจริง ฉะนั้นตัวปัญหาไม่ได้อยู่ที่ใจ แต่อยู่ที่ความคิด ใจไม่มีปัญหา แต่ความคิดต่างหากที่มีปัญหา แล้วความคิดมาจากไหน ความคิดมาจากความรู้ความเข้าใจที่เราสะสมเป็นตัวตนของเรา สิ่งที่ผ่านเข้าออกในใจของเราเป็นความคิดนั้นมาจากการสะสม เมื่อมีความคิดผ่านเข้าออก แล้วกระทบกับอารมณ์จึงกลายเป็นกิเลส ฉะนั้นความคิดที่เราสะสมจนกลายเป็นความรู้แล้วเรียกว่า “ใจ” ของเรานั้นจะไม่เหมือนกัน คนหนึ่งก็รักอย่างนี้ ส่วนอีกคนหนึ่งก็รักอย่างนั้น คนหนึ่งก็คิดว่าแบบนี้ถูกต้อง แต่อีกคนหนึ่งบอกว่าไม่ใช่ ต้องแบบนั้นจึงจะถูก ฉะนั้นเราไม่ได้มีปัญหาทางใจ แต่เรามีปัญหาทางความคิด ความคิดไม่ลงตัวกัน เมื่อทะเลาะกันใจแม่กับใจลูกยังเหมือนเดิม ใจแม่ยังรักลูกอยู่ แต่ความคิดของแม่กับลูกเพียงไม่ตรงกัน ฉะนั้นต้องแยกให้ออก  หากเราแยกออก เราก็จะเกลียดใครไม่ลง เพราะเราเกลียดที่ความคิดไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผิดไหมที่เขาคิดแบบนี้ (ไม่ผิด)  แล้วผิดไหมที่เขาคิดแบบนั้น (ไม่ผิด)  แล้วผิดไหมที่เราคิดแต่อย่างนี้ (ไม่ผิด) ก็เพราะว่าไม่เคยคิดเลยว่าเราคิดผิด ก็เลยไม่แก้ความคิดของตนเอง แล้วก็มาทะเลาะกันอย่างนี้ จริงไหม (จริง)  เมื่อไรเราจะควบคุมความคิดให้เราไม่ทุกข์ รู้ไหมว่าอะไรช่วยให้เราควบคุมความคิด และก็ทำให้เราไม่ทุกข์ได้ ท่านบอกว่าให้เอา “สติ” มาดึงเราให้กลับมาสู่ความเป็นกลางและหยุดกิเลสไม่ให้มันเติบโต เหมือนเราทำอะไรผิดไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบที่คิดไม่รอบคอบ คิดแบบขาดสติใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาด่ามาเราด่ากลับ เขาโกงมาก็โกงเขาเลย ลืมตัวไปจึงร้ายไป ใช่หรือไม่ (ใช่) ความคิดมาปุ๊บก็ทำไปทันทีโดยเราไม่มีสติยับยั้งถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นถ้าอยากมีธรรมต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ ความคิดของคน เพราะความคิดของคนง่ายที่จะติดในอารมณ์กิเลส และอารมณ์กิเลสก็มาจากการเข้าออกของความคิดที่ยึดติด ชอบชัง ฉะนั้นเมื่อไรมนุษย์ดึงความชอบชังออกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เท่าเทียมกัน ถ้าเมื่อไรที่เอาชอบชังเข้าไปใส่ เราเริ่มแบ่งแยกว่า คนนี้หัวดำคนนั้นหัวขาว คนนี้หล่อคนนั้นน่าเกลียด คนนี้เหี่ยว คนนั้นไม่เหี่ยว เพราะเอาตัวตนเป็นบรรทัดฐานในความคิด ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเรามีสติควบคุมและระงับความคิดได้ ความคิดก็จะไม่เกิด
ศิษย์เอ๋ยเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “บำเพ็ญธรรมเพื่อเป็นพุทธะ” (เคย)  แล้วพุทธะแปลว่าอะไร (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) และเราก็เป็นพุทธะได้ถ้าเรารู้ ฉะนั้น “การมีสติ แปลว่า การระลึกรู้ รู้ตัวรู้ตน” การเป็นพุทธะก็เป็นผู้รู้ ถ้าเราหาตัวรู้ได้เจอและไม่ขาดสาย รู้อย่างต่อเนื่องกับอาการของความคิดที่ผ่านเข้ามาแล้วผ่านออกไป แล้วไม่ไหลไปตามกิเลสอารมณ์นั้น แปลว่าเรากำลังดำเนินตามหนทางของความเป็นพุทธะตื่นในตัวเอง ตื่นแล้วพ้นทุกข์ ตื่นแล้วไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ศิษย์อยากมีเวรไหม แล้วศิษย์อยากจองเวรจองกรรมใครไหม (ไม่)  อยากอยู่แบบจบกรรม อยู่แบบคนมีบุญร่วมกันถูกไหม แล้วเวลาเขาด่ามาแล้วเราด่ากลับนี่มีบุญร่วมกันหรือมีกรรมร่วมกัน เรากำลังสร้างกรรมหรือกำลังสร้างบุญ ทำไมไม่เอาคำด่าของเขามาชำระล้างให้เราเกิดบุญ ทำไมเอาคำด่าของเขามาทำให้ตัวเองเกิดบาปทั้งๆ ที่ตัวเองก็ชอบทำบุญ ชอบหาความสงบไม่ใช่หรือ แล้วพอถึงเวลาไม่เห็นสงบเลย ศิษย์จำไว้นะ อารมณ์โลภ โกรธ หลง มันไม่มีตัวตน และมันชอบคนใส่ใจและแยแส แต่ถ้าเมื่อไหร่เราไม่ใส่ใจและแยแเส เดี๋ยวมันก็หายไปใช่หรือไม่ หากความโกรธมาแล้วเราใส่อารมณ์เข้าไปอีกก็เท่ากับยิ่งเติมเชื้อไฟ
การฝึกสติไม่ได้ฝึกตอนที่ไม่มีใครด่า นั่งเงียบๆ ท่องพุทธโธๆ แต่การฝึกสติและสมาธิคือตอนโดนเขาด่า ตอนโดนเขาว่า ตอนโดนเขากดขี่ ตอนโดนเขาเอาเปรียบ แล้วเราสามารถรักษาความดีและไม่หวั่นไหวแล้วทำความเห็นแจ้งในธรรมได้ นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรมสุดยอด อะไรมาก็ให้แค่รู้ รู้แล้วอย่าเผลอไปเป็นมัน อย่าเผลอไปมีมัน มีตัวตนก็ทุกข์เพราะตัวตน มีลูกก็ทุกข์เพราะลูก มีความอยากก็ทุกข์เพราะความอยาก เป็นแม่ก็ทุกข์อย่างคนเป็นแม่ เป็นพ่อก็ทุกข์อย่างคนเป็นพ่อ แต่ก่อนเราเป็นลูก ตอนนี้เรากลายเป็นพ่อ สักพักหนึ่งเราไปทำงานเรากลายเป็นเพื่อน จบจากที่ทำงานแล้วเรากลายเป็นคนแก่อยู่บ้าน เราเคยมีอะไรเป็นของเราจริงบ้าง แล้วเราควรยึดไหม
ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากทุกข์กับสิ่งที่มี เราก็จงจำไว้ว่า ทุกสิ่งมันมาแค่ให้เรารู้ รู้แล้วอยู่ร่วมกันอย่างไม่ทุกข์ ด้วยการมีก็เหมือนไม่มี  อยู่อย่างมีบุญดีกว่าอยู่อย่างมี (บาป, กรรม)  ด้วยการรู้จักมีสติเท่าทันความคิด อย่ายึดติดความคิดอย่างตายตัวพลิกแพลงไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นคนที่ทำให้ศิษย์ทุกข์ไม่ใช่คนอื่น แต่คือความคิดเราเอง
 ฉะนั้นสิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติเริ่มต้นอย่างแรกเราต้องละบาปให้ได้ก่อน ถ้าละบาปไม่ได้ก็บำเพ็ญบุญไม่ได้ ถึงบำเพ็ญบุญแค่ไหน แต่ถ้าบาปไม่ละมันก็ไม่เรียกว่าบุญ
 (พระอาจารย์เมตตาให้ผลไม้ผู้ดูแลสถานธรรมและผู้มีส่วนร่วมในการสร้างสถานธรรมแห่งนี้)
ห้องพระนี้สวยไหม ปาดเหงื่อไปกี่รอบ เหนื่อยไหมทุกคน อาจารย์ขอให้กำลังใจฐันจู่ที่ดูแลที่นี่ด้วยนะ อาจารย์ฝากดูแลห้องพระนี้ที่ศิษย์ตั้งใจกันด้วยนะ เริ่มต้นเสียสละแล้วไปให้ถึงที่สุด กลอนนำที่ท่านหลันต้าเซียนให้ อาจารย์อยากส่งให้ถึงใจศิษย์ เป็นทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยคน เป็นน้ำดับความร้อน เป็นร่มเงาดับความทุกข์เข็ญ เป็นเรือนำพาส่งผู้คนให้พ้นทุกข์ แต่ต้องเริ่มจากใจที่อุทิศเสียสละ อาจารย์ให้สับปะรดแล้วกันนะความหมายจะได้รุ่งเรือง ยิ่งให้อย่ายิ่งยึดติด ยิ่งให้ยิ่งต้องปล่อยวางให้ได้ ให้เหมือนไม่ได้ให้ ยิ่งให้ยิ่งกว้างใหญ่ ใช่หรือไม่ มุ่งมั่นไปให้ถึงที่สุด ดูแลสถานธรรมนำพาผู้คนด้วยจิตใจเบิกบาน ไม่ว่าเขาจะมาอย่างไรต้องให้เขาออกไปด้วยความสุข ออกไปด้วยความร่มเย็น ขอให้ที่นี่เป็นดั่งที่กลอนอาจารย์ให้ ร่มไม้ใบบัง ใครก็อยากเข้ามา ทุกข์แค่ไหนพอมาอยู่ที่นี่ก็เย็นสบาย อาจารย์มีอีกหลายคนที่อยู่เบื้องหลัง บอกคนที่ร่วมแรงร่วมใจจนทำให้วันนี้ประสบความสำเร็จได้ อาจารย์ฝากผลไม้ไปแจกด้วย คนที่ต้องเหนื่อยยาก เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ไม่เหนื่อยและยิ่งต้องเข้มแข็งด้วย จริงไหม (จริง)  ผ่านไปได้สำเร็จด้วยดี ยกนิ้วให้ ศิษย์ของอาจารย์เก่ง ทำได้ในสิ่งที่ยากทำ ทนในสิ่งที่ยากทน ศิษย์เอ๋ย อาจารย์ถามจริงๆ ให้เราควักเพียงหนึ่งร้อยบาท เราคิดไหม คิดใช่ไหม แล้วนี่มากกว่าหนึ่งร้อย แล้วต้องลงทั้งแรง ลงทั้งเงิน และลงใจด้วย ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย อาจารย์จึงขอนับถือน้ำใจของศิษย์ทุกคนที่ทำจนห้องพระนี้ประสบความสำเร็จ งดงามได้ ฉะนั้นเมื่อพบสิ่งยากลำบาก ขอให้จดจำวันนี้ไว้ วันที่เราสำเร็จ วันที่เราทำได้ ทำในสิ่งที่เราไม่คิดว่าเราจะทำได้ ใช่ไหม (ใช่)  ตอนที่สร้างก็คิดว่าจะเสร็จเมื่อไร จะมีเงินไหม แต่เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็ภูมิใจ ได้ทำในสิ่งที่เราไม่คาดว่าจะทำได้  อย่างนี้อาจารย์จะมอบอะไรให้ดี ถ้าเป็นลูกอมก็เดี๋ยวฟันจะพุ ถ้าเป็นขนมก็เดี๋ยวจะอ้วน ไม่รู้ว่าจะให้อะไรศิษย์ดี อย่างนี้ให้ส้มโอแล้วกัน รู้ว่ากินแอบเปิ้ลเบื่อแล้ว เอาส้มโอและแตงโมไปแบ่งกัน กว่าจะสร้างเสร็จต้องใช้หลายคน รู้ว่าหนักก็ยังสู้ต่อ รักษาใจนี้ไว้นะ
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่า อย่าดูถูกความสามารถและคุณค่าความดีงามในตัวเอง มนุษย์หากได้ตั้งใจทำอะไรดีๆ มักทำได้ดี ดีที่หนึ่ง ดีอย่างแน่แท้ด้วย ศิษย์อาจไม่ต้องเชื่ออาจารย์ก็ได้ แต่ขอเพียงศิษย์เชื่อศรัทธาความดีในใจตน เกิดเป็นคนนะศิษย์ บุญบารมีใครๆ ก็อยากได้ แล้วรอให้ฟ้าประทานหรือเราจะสร้างเอง (สร้างเอง)  แล้วการทำบุญบารมีจะทำด้วยวิธีอย่างไร จิตที่มีแต่ให้ ศิษย์รู้ไหมว่า ธรรม คือ ความโปร่ง โล่ง เบา จิตที่เอามีแต่หนัก แต่จิตที่ให้นั้นเบา โล่ง เหมือนอย่างนี้  ของมีเพียงชิ้นเดียว แย่งกันไปแย่งกันมา อย่างนี้เหนื่อยไหม เกลียดไหม (เหนื่อย, เกลียด)  ถ้าเราคิดง่ายๆ ก็ถ้าเขาอยากได้ก็ให้เขาไป เราก็รู้สึกโล่งทันที ถ้าแย่งกัน ชิงชังด่าว่ากันแทบตาย เมื่อถึงเวลาก็เอาไปไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นในเรื่องของธรรมะสามารถใช้ได้ในทุกอย่าง เรื่องศีลไว้สำหรับละบาป เรื่องคุณธรรมไว้สำหรับประกอบกิจในการดำรงความเป็นคน อยู่ให้มีคุณธรรมมีบุญบารมี ศิษย์อยากไปอยู่ที่ไหนใครๆ ก็รัก เคารพนับถือ และให้เกียรติไหม (อยาก)  อย่างนั้นเราควรปฏิบัติอย่างคนที่มีธรรมะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีเมตตายากไหม เป็นคนพูดแล้วรักษาคำพูดยากไหม แต่เป็นคนชอบด่าคนอื่น ชอบจับผิดคนอื่น ชอบกินแรงคนอื่นดีไหม ชอบพูดมากแต่ไม่เคยทำเลยดีไหม แล้วเราเป็นไหม ฉะนั้นการที่เราต้องมีคุณธรรมไว้ ก็เพื่อยับยั้งจิตที่ชอบคิดเข้าข้างตัวเอง และส่วนที่เราต้องมีศีลธรรมก็เพื่อยับยั้งไม่ให้เราก่อบาป เราชอบทำบาปไหม ยุงมาตบไม่ตบ มดมาบี้ไม่บี้ แมลงสาบมาเหยียบไม่เหยียบ เกิดเป็นคน สิ่งที่ดีที่สุดในการทำบุญก็คือไม่สร้างบาปเลย แล้วบาปที่เราไม่ควรทำมากที่สุดคือ การเบียดเบียนชีวิตคนอื่นเพื่อชีวิตตัวเอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ร่มไม้ใบบัง”)
ต้นไม้นั้นต้องมีใบบังได้ ปกคลุมได้ ต้นไม้นั้นจึงร่มเย็น ตัวศิษย์ไปอยู่ที่ไหนแล้วมีแต่คนอยากใกล้ชิด แปลว่าคนนั้นเป็นคนที่อยู่ใกล้แล้วร่มเย็น แล้วศิษย์เป็นประเภทนั้นหรือเปล่า ฉะนั้นคำว่าร่มไม้ใบบัง ความหมายโดยนัยก็คือความร่มเย็น ร่มไม้ใบบังในความหมายนี้มีกลอนซ้อนอยู่ ลองอ่านดูแล้วลองไปทำความเข้าใจให้ละเอียดดีไหม (ดี)
ขอให้เป็นเกียรติบัตรที่นี่และประทับไว้ที่นี่ ขอให้เป็นสถานธรรมที่ใครเข้ามาก็คลายความทุกข์ร้อน ขอให้เป็นสถานธรรมที่ใครเข้ามาก็ช่วยดับความทุกข์ในใจผู้คนได้ ทำให้ได้ในทุกที่นะ ขอให้เราเป็นคนที่ใครอยู่ใกล้แล้วอบอุ่น ใครอยู่ใกล้แล้วไม่ทุกข์ร้อน
มนุษย์ทุกข์เพราะความคิด ฉะนั้นต้องรู้จักมีสติกำกับ มีสติคอยดึง ดังนั้นถ้ามีสติคอยดึง เมื่อมีอะไรผ่านเข้ามาในความคิด มีอะไรผ่านเข้ามาในใจเรา เราก็ได้แค่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จะทำอย่างไรให้แค่รู้แล้วจบ บางครั้งเราไม่แค่รู้ เราจะเป็นประเภทแบบว่ารู้แล้วเราชอบตัดสิน รู้แล้วเราชอบเปรียบเทียบ ใช่หรือไม่ (ใช่) รู้แล้วเราชอบมองยึดติด รู้แล้วเราไม่ยอมจบ ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเวลาเจออะไรที่ผ่านเข้ามาไม่ใช่ไปกระทบกายแล้วไปกระทบใจ แต่เมื่อกระทบกายแล้วจิตต้องแค่รู้แล้วไม่ตัดสินได้ไหม (ได้)
(พระอาจารย์เมตตาหยิบกล้วยและส้มขึ้นมา)
อันไหนดีกว่ากัน (กล้วย) เห็นไหมว่าความคิดคนมันไว ศิษย์เอยอะไรมันก็ดี จริงไหม (จริง) นี่แหละนิสัยที่น่ากลัวของมนุษย์ ชอบยึดติด ชอบตัดสิน จึงทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความเป็นจริง ใช่หรือไม่ ศิษย์เคยไหม เวลาเจออะไรมากระทบใจ ขอให้นิ่งให้ถึงที่สุดแล้วความจริงจะปรากฏ ไม่ต้องตัดสิน ไม่ต้องให้ค่า ไม่ต้องยึดติด มองตามความเป็นจริง เหมือนอาจารย์ถามว่ากล้วยหรือส้มดีกว่าถ้ายึดติดความหมายเราก็ชอบกล้วย แต่ถ้าจะกินก่อนกินข้าวเราก็คงเลือกส้ม ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถามว่าอะไรดีที่สุดในชีวิต เวลาเราเจออะไรที่ไม่ดีของเขา (พระอาจารย์เมตตาให้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมออกมา 2 ท่าน) เห็นอะไรชัดไหม เราอดตัดสินไม่ได้นะ ความคิดมันไว แค่มองเห็นก็คิดแล้วว่า คนนี้จะสูงไปไหนเนี่ย แต่พอมองเห็นอีกคน ทำไมอ้วนอย่างนี้ เตี้ยจังเลย เห็นไหมว่าความคิดมันไว ถูกไหม (ถูก) อย่าบอกนะว่าในใจศิษย์ไม่คิด ฉะนั้นแค่รู้แต่ไม่ตัดสิน แค่รู้แต่ไม่ยึดติด เพราะทุกสิ่งเกิดแล้วมันก็จะจบทันที แต่ถ้าบอกว่าคนนี้สูงยาวเข่าดีได้ก็ดีนะ คนนี้อ้วนคงไม่ไหวท่าทางจะกินจุไปนะ มันเลยไม่จบเลยถูกไหม ฉะนั้นความโลภ โกรธ หลง จะไม่เกิดในจิตใจศิษย์เลย ถ้าศิษย์สามารถมีสติรู้แต่ไม่ตัดสิน อารมณ์จะไม่เกิดขึ้นทันที ถูกไหม (ถูก)
เริ่มต้นบำเพ็ญธรรมต้องมีศีลเพื่อละบาป มีคุณธรรมเพื่อสร้างบุญบารมี รู้จักจิตตนเอง ฝึกจิตตัวเองด้วยคุณธรรม เรียกว่าสัจธรรมเพื่อรู้แจ้งและพ้นทุกข์ ธรรมมีสามกองแค่นี้เอง กองหนึ่งคือกองละบาป กองหนึ่งคือกองบำเพ็ญบุญ อีกกองหนึ่งคือเข้าถึงความบริสุทธิ์ รู้แจ้งถึงความเป็นจริงและนำพาให้ตนเองพ้นทุกข์ ที่เรียกว่า ศีลธรรม คุณธรรม และปัญญาธรรม มีโอกาสคงได้มาร่วมบุญกันอีกดีไหม เป็นบุญที่สร้าง เป็นบุญที่ร่วมกันศึกษาแล้วก่อเกิดปัญญา มีความตื่นรู้และพ้นทุกข์ ฉะนั้นมีโอกาสหมั่นให้ตัวเองมาเพิ่มปัญญาธรรม ด้วยการเสียสละ ละวางทางโลก วันนี้ถ้าไม่รู้จักฝึกหัด วันหน้าเราจะหัดทำใจไหวไหม
ใกล้ปีใหม่แล้วใครๆ ก็อยากให้อาจารย์อวยพร อาจารย์ไม่ขอให้แข็งแรง ไม่ขอให้ร่ำรวย แต่อาจารย์ขอให้ศิษย์มีปัญญารับมือกับทุกปัญหาเรื่องราวในความเป็นจริงของโลกด้วยสติและหัวใจที่กล้าหาญ เพราะในชีวิตเราเลือกไม่ได้ที่จะต้องเจอแต่สิ่งที่ดี บางครั้งถ้าเราไม่ดี ขอให้ศิษย์สู้ให้ไหว รับให้ได้ ไม่ว่าโลกมันจะพลิกไปขนาดไหน ขอให้พลิกใจตนเองให้เป็น ยกตัวเองให้พ้นทุกข์ให้ได้ แล้วความร่มเย็นสันติสุขจะเกิดจากใจ และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่างน้อยตื่นก็เป็นสุข ตายก็เป็นสุข เพราะทำดีที่สุดแล้ว จะกลัวอะไรกับความแก่ เจ็บ ตาย ถ้าทำเต็มที่แล้ว ขอให้ศิษย์มีสติ มีปัญญาและกล้าหาญ ฝ่าฟันความทุกข์ฝ่าฟันอุปสรรค อย่าให้ความคิดทำร้ายตัวเอง เป็นเด็กดีเข้มแข็ง รู้จักดูแลตัวเอง
(อาจารย์เป่าหัวให้หน่อย) หมดทุกข์หมดโศกได้เราต้องไม่สร้างเวร (หมดหนี้หมดสิน) หมดหนี้หมดสินต้องรู้จักลดละความอยาก ถ้ายังอยากอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องมีหนี้ไม่จบสิ้น ชดใช้ด้วยจิตใจที่รู้จักไม่ฟุ่มเฟือยนะ (สุขภาพแข็งแรง) ความแข็งแรงไม่สู้จิตใจที่กล้าสู้กับความจริงนะ
อย่ากลัวกับโรคภัย อย่ากลัวกับปัญหา ขอเพียงศิษย์สู้ โรคภัยก็สามารถเบาบางได้ ขอเพียงศิษย์เข้มแข็งปัญหาต่างๆ ก็ผ่านได้ เหนื่อยกันไหม ดูแลตัวเองให้ดี อย่าลืมจิตใจนี้ รักษาใจนี้ไว้ ใจที่มุ่งมั่นบำเพ็ญเพื่อฉุดช่วยคน ใจที่ช่วยคนโดยไม่ห่วงตัวเอง ศิษย์ของอาจารย์เข้มแข็งแล้ว เก่งแล้ว ตั้งใจมุ่งมั่นบำเพ็ญไปให้ถึงฝั่งด้วยหัวใจที่กล้าหาญ หัวใจที่มุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ เด็ดเดี่ยวห้าวหาญ ยอมรับความยากลำบากเป็นหัวใจที่ยอดที่สุดแล้ว ไม่ร้องไห้แล้วนะ เข้มแข็งนะ ไปให้ถึงฝั่งฟ้า ไปให้ถึงที่สุดที่เราทำได้ ดึงหัวใจที่ดีงามออกมานำทางผู้คน ดึงหัวใจที่เสียสละ ดึงหัวใจที่เสียสละอันนี้ให้คงอยู่จนทำให้เขาอยากเดินตามด้วยใจ ทำอะไรด้วยใจ เราก็จะได้ใจกลับมา จริงไหมศิษย์ เข้มแข็งนะ ตั้งใจบำเพ็ญนะ
เมื่อคิดจะทำอะไรต้องไตร่ตรองให้ดี อย่าคิดทำบาป อย่าทำผิด เพราะเมื่อศิษย์ผิดไปแล้ว อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเวรกรรมของใครคนนั้นก็ต้องรับเอง อาจารย์มีหน้าที่เพียงตักเตือนและชี้นำศิษย์ให้ถูกทาง อย่าหลงทางผิด จงเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นเด็กดี อาจารย์ให้ผลไม้คนที่ปวดขา เอาผลไม้มาให้เขาด้วย และต้องรู้จักละบาป ไม่สร้างบาปเพิ่ม อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จะได้สิ้นกรรม อาจารย์ช่วยได้เพียงการชะลอ แต่กรรมนั้นจะกลับมาอีก ถ้าศิษย์ยังกระทำเหมือนเดิม ศิษย์ต้องแก้ชะตาชีวิตของตนเองด้วยการเปลี่ยนการกระทำของตัวเอง คือ ไม่สร้างบาป ละบาป บำเพ็ญบุญให้ได้ ทำได้ไหม (ได้) 


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ร่มไม้ใบบัง”

    คนใจเย็นจึงทำบ้านให้ร่มเย็น           น้อมรับฟังทุกความเห็นจึงกว้างใหญ่
สามารถดึงศักยภาพคนได้ทุกวัย           ทำด้วยใจได้ใจคืนกลับมา
รุ่นก่อนปลูกรุ่นหลังร่มเย็น                  ปฏิบัติเป็นเห็นตามปฏิบัติหนา
คุณธรรมคงเหนือกาลเวลา                  เป็นร่มเงาอันเมตตาตลอดไป








อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2548

2548-05-14 สถานธรรมฉือหัง กรุงเทพมหานคร


PDF 2548-05-14-ฉือหัง #3.pdf

#สามบริสุทธิ์สี่เที่ยงตรง  #สามบริสุทธิ์  #สี่เที่ยงตรง

西元二00五年 歲次乙酉四月初七日                                 大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘            สถานธรรมฉือหัง  กรุงเทพมหานคร
                                          สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

    อดีตนั้นเป็นรากฐานของวันนี้        มวลคนดีทำชีวิตสร้างคุณค่า
อย่าได้หลงเพลินกับโลกมายา           ไม่รู้ว่าชีวิตนี้ควรทำอะไร
                        เราคือ
     องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา              ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา                       ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ      ฮวา  ฮวา

    ดำเนินชีพภายใต้ข้อจำกัด           ในความขัดต้องค้นหาตนจริงแท้
หาความสุขแน่ใจหรือเป็นสุขแน่         หากไม่แก้ที่ตนเองยากพ้นภัย
ดำรงตนชีพคนเมืองเฟื่องเจริญ         น้องต่างเพลินวัตถุกันเป็นใหญ่
ไม่เห็นตนจิตเดิมแท้บำเพ็ญใจ           ยิ่งห่างไกลจิตพุทธะอันเบิกบาน
มีเวลาก็เพราะคนมีใจ                   ศึกษาธรรมเพิ่มเข้าใจได้แก่นสาร
พ้นความทุกข์ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น ทุกคืนวันย้อนมองตนฝึกทางธรรม
เดินทางโลกเท่าไหร่ก็ไม่สิ้น              น้องนั้นยินดีจะปลงให้ใจสุขหรือไม่
ยินดีจะรู้พอมากน้อยเพียงไร            ยินดีจะเข้าใจชีวิตกันหรือยัง
อันเงินทองกองโตแล้วโดดเดี่ยว        ต่างปีนเกลียวโต้เถียงแล้วสุขแค่ไหน
เห็นตนผิดคนอื่นถูกบ้างเป็นไร           ทำใจง่ายขึ้นถ้าไร้อัตตา
ในวันนี้อย่าเป็นแค่คนดี                  แต่ต้องมีจุดหมายสู่บัณฑิต
จงควบคุมทั้งการกระทำและความคิด   จุดให้ติดประทีปแห่งปัญญา
ศึกษาธรรมบำเพ็ญจิตได้ทุกวัน          ทุกเหตุการณ์ยืมมาฝึกจิตแข็งแกร่ง
คนยกย่องไม่สู้คนไม่บ่นแรง             คนกลั่นแกล้งดีกว่าคนอยู่คนเดียว
สองวันนี้รักษาเวลาเข้าประชุม          จงสุขุมเนื่องด้วยอยู่ในหมู่มาก
อย่าได้เขวไปตามความลำบาก           อีกลมปากจงหอมด้วยคำดี
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป           น้องคนบุญหวังใจให้ศึกษา
จงเรียนรู้ไม่เว้นแม้เรื่องธรรมา         จงเดินหน้าอย่าสงสัยบดบังญาณ
จงรักษาพุทธระเบียบให้จงดี            ในสิ่งที่รู้แล้วเร่งปฏิบัติ
ในชาตินี้ดำเนินหนทางลัด               ความอึดอัดจงแปรด้วยรู้จักตน
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
                                                              ฮวา  ฮวา  หยุด



วันเสาร์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘             สถานธรรมฉือหัง กรุงเทพมหานคร
    พระโอวาทท่านราชบุตรสามนาจา
    อ่านความคิดคนอื่นกันน่าดู              โลกนี้ดูผ่านยากกว่าที่เป็น
คนรู้มากอยากสุขดูแสนเข็ญ                ฝึกใจเย็นควานใจไร้เดียงสาคืน
                    เราคือ
    ราชบุตรสามนาจา                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา        ลงสู่พุทธสถานฉือหัง   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                      ถามศิษย์น้องทุกท่านอยากฟังเราพูดหรือเปล่า
    ใจหากไม่เคยรับทุกข์อึดอัด              จะสัมผัสไม่ถึงความสุขนั่น
เห็นอุปสรรครู้จักเผชิญอย่างจิตมั่น         บรรลุความสำเร็จอันสมกับตน
บำเพ็ญได้จิตมั่นต่อความดี                  ชีวิตมีใดคงอย่าหมองหม่น
สร้างความดีงามไว้เป็นมงคล               คนแปรใจทางสับสนลังเลใจ
ชีวิตคนไม่ยาวฝันจึงฝ่า                      กระจ่างมาแต่ไกลไขว้เขวไม่
บำเพ็ญจิตเข้าถึงธรรมทุ่มเทใจ              พ่ายนานอาจไม่ถึงโอกาสเรา
อคติมีกันทุกใจใคร่คำนึง                    ฉะนั้นจึงเมตตาคนไม่เทียมเท่า
กระทบกันทนแต่เปลือกได้ชั่วคราว          ระยะยาวชีวิตขาดการรู้ตน
ปะทะนานคนดีอย่าเพิ่งเบื่อ                 คงมั่นเชื่อความดีอย่าสับสน
ปัญหาเนิ่นนานความจริงยิ่งแยบยล         ประกอบดีไม่เอาตนเป็นเกณฑ์
งานกินตัวเปรียบชีวิตคนกรุง                ใช้แรงเหนื่อยใครมุ่งอยากบำเพ็ญ
มีชีวิตดีกว่าฉีกกฎเกณฑ์                     เอือมการให้ยื้อเป็นสุขอย่างไร
ย้อนมองใจเพิ่มอย่างเข้มแข็ง               วัตถุแย่งมีได้เติมเต็มไหม
รู้พอให้สร่างทุกข์ตระหนี่ไป                 เรื่องแรงแรงหลายหลากสร้างวีรชน
รักคนด้วยเมตตาค้ำจุนโลก                  เป็นลมโบกพระพายคลายทุกข์ทน
เป็นคนดีแปรความร้ายด้วยยั้งตน           มีมากล้นความเมตตาให้อภัย
                                             ฮิ  ฮิ  หยุด



พระโอวาทท่านราชบุตรสามนาจา

วันนี้เรามาที่นี่ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อเราไม่ว่า แต่ที่เรามาที่นี่เพื่อต้องการมาพูดธรรมะให้ท่านฟัง แต่มาพูดธรรมะก็ไม่ใช่ให้ท่านเปลี่ยนศาสนาใหม่ ใครยังเป็นพุทธ ใครยังเป็นคริสต์ ก็ยังเป็นอย่างเดิม แต่สิ่งที่เราจะมาพูดคือธรรมะล้วนๆ ธรรมะที่เอาไปใช้ในชีวิตแล้วเมื่อเจอทุกข์รู้จักทางแก้ทุกข์ เพราะฉะนั้นอย่ากลัวเรา เราไม่ได้ล้างสมองท่าน เราไม่ได้มาเปลี่ยนแนวความคิดท่าน ท่านคิดอย่างไรก็คิดอย่างนั้น แต่กำลังจะมาเพิ่มมุมมองที่แตกต่างในการอยู่บนโลกใบนี้เอาไหม (เอา)
“คนรู้มากอยากสุขดูแสนเข็ญ”  บางทีเราเรียนวิชาจนจบโท จบดอกเตอร์ แต่ถามว่าทำอย่างไรให้ตัวเองมีความสุข ไม่รู้เหมือนกันใช่ไหม (ใช่)  บางทีถามว่าทำอย่างไรให้มีเงิน ยังตอบง่ายกว่าทำอย่างไรให้ตนเองมีความสุข หรือทำอย่างไรให้คนอื่นได้เงินยังทำง่ายกว่าทำอย่างไรให้คนอื่นมีความสุขจริงหรือไม่ (จริง)
นั่นเป็นเพราะว่าอะไร เพราะว่าความสุขสร้างยากไหม (ยาก, ไม่ยาก)  คนที่ยกมือตอบหน่อยสิว่าทำอย่างไรให้คนอื่นมีสุข (ยิ้ม)  แต่เราว่าไม่จริง ตั้งแต่เรามาเรายิ้มจนจะแห้งอยู่แล้วยังไม่มีใครยิ้มกับเราเลย ยังไม่เห็นใครมีความสุขเลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  แสดงว่ายิ้มอาจจะใช้ไม่ได้ตลอด ฉะนั้นคนที่ยกมือคิดว่ามีอะไรอีก (ให้ธรรมะ)  วันนี้เขาก็ให้ธรรมะมาเกือบครึ่งวัน สุขไหม (สุข)  สุขจนพูดไม่ออกเลยใช่หรือไม่ มีอย่างหนึ่งนะที่ทำให้คนยิ้มได้ใครคิดออกบ้าง (ให้ความรักและความเมตตา)  เราให้ความรัก ความเมตตากับลูก แต่เขามักจะไม่พอใจในสิ่งที่แม่ให้ มักจะชอบเพื่อนมากกว่าแม่ มักจะเลือกเพื่อนมากกว่าแม่ ในบางครั้งจริงไหม (จริง)  ทำอย่างไรให้คนอื่นมีความสุข บางทีต้องดูเหตุการณ์แวดล้อม ดูลักษณะนิสัย และก็ดูว่าตอนนั้นเขาต้องการอะไร อย่างเช่น เขากำลังทุกข์กับปัญหาเงิน หาเงินไม่ได้ เราแกล้งทำเงินตกห้าร้อยแล้วบอกให้เขาหยิบขึ้นมา เราก็บอกเขาว่าเราเจอกันทั้งคู่เลย ไม่เป็นไรเธอเอาไปเถอะ เพื่อนก็จะดีใจได้เงินแล้ว เราทำความสุขให้เขาไหม (ทำ)
ฉะนั้นความสุขเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้คนทั้งโลกให้มีสุขได้ ธรรมะเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถทำให้คนเป็นคนดีตลอดไปได้ ใช้ธรรมะอย่างเดียวทำให้เราดีในสายตาทุกคนได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนเราเป็นคนซื่อสัตย์ ไปอยู่ที่ไหนก็ซื่อสัตย์ คนบางคนก็รำคาญความซื่อสัตย์ของเราจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้อย่าตายตัว อย่าหมกมุ่นกับความคิดใดความคิดหนึ่งจนเกินไป ไม่อย่างนั้นจะเป็นคนที่ไม่สามารถเปิดโลกกว้างให้กับชีวิตและโบยบินอยู่บนโลกได้อย่างอิสระเสรี
ไม่สบายตัวยังรักษาได้ ไม่สบายใจยากรักษา โรคทางใจจะให้หมอดีขนาดไหนก็รักษาไม่ได้ คนที่จะช่วยให้ตัวเองหายจากโรคทางใจได้คือ (ตัวเราเอง)  แต่ถึงเวลาตัวเราก็ไม่รักษาตัวเอง ปล่อยให้ตัวเองทุกข์อยู่กับความคิดอย่างนั้น เราอยากบอกท่านว่า เมื่อไรที่เราสุข ถ้าเรารู้ว่าเราสุข และคิดว่าคงสุขเพียงวันนี้วันเดียว ความสุขนั้นจะเป็นอย่างไร เราจะหมดสุขทันที ในทางเดียวกันถ้าเมื่อไรที่เราทุกข์และเราคิดว่าวันนี้เราคงทุกข์วันเดียว เราคงจะสุขกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเราโกรธ เราไม่พอใจ เวลาเราเกลียดใคร คิดไตร่ตรองให้ดีๆ ว่าเรากำลังหมกมุ่นกับอารมณ์นั้นอย่างตายตัวหรือเปล่า หมกมุ่นจนทำให้ตัวเองฟุ้งซ่าน จนทำให้ตัวเองไม่สามารถเปิดแสงสว่างให้กับชีวิต เปิดมุมมองความคิดใหม่ให้กับตัวเองบ้าง
ฉะนั้นเราอยากให้ตัวท่านบ่มเพาะจิตใจที่สามารถปลดเปลื้องปมในใจออกง่ายๆ แล้วเราจะเป็นคนที่อยู่คนเดียวก็มีสุข ไปอยู่กับใครก็ไม่อึดอัด แต่ต้องรู้จักลดทิฐิ อัตตาบ้าง เปลี่ยนมุมมองความคิดด้านเดียว แล้วไปอยู่ที่ไหนก็จะทนฟังได้ แม้จะไม่เคยทนมาก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางทีมนุษย์เราจะรู้คุณค่าของสิ่งต่างๆ ได้ก็ต่อเมื่อเรารู้จักอดทนอดกลั้น รู้จักให้อภัยเขา รู้จักยับยั้งชั่งใจ ถ้าเราอดทนได้ ระงับยับยั้งชั่งใจไม่ทำผิดได้ เราก็ดีขึ้นได้อีกระดับหนึ่ง  แต่คนบางคนไม่คิดอย่างนั้น ทำไมต้องอดทน ทำไมต้องอภัย จริงหรือไม่ (จริง)
เราจะเล่าอะไรให้ฟังดีไหม มีสองเรื่อง สนุกกับไม่สนุก จะฟังเรื่องไหนก่อน (ไม่สนุก)  ฟังเรื่องไม่สนุกก่อน เรามีบ้านอยู่ ข้างๆ บ้านเรายังซ่อมแซมอยู่ ตอกฝาบ้านเสียงดัง เรารู้สึกหงุดหงิดมาก นอนก็นอนไม่หลับ เพราะรำคาญ เราเดินไปทันทีทนไม่ได้ไปโวยวายเขาเลิกดังได้แล้วรำคาญ พอวันหนึ่งเราซ่อมบ้าน เราทุบตุบๆ บ้าง เขากลับมาด่าเราเขาผิดไหม (ไม่ผิด)  เหมือนกันถ้าวันนี้เราไปเที่ยวมา เรากลับมาโดนแม่ว่า แม่ลองเป็นลูก ลูกลองเป็นแม่ แม่คงไม่โมโหลูกและลูกคงไม่โกรธแม่ จริงไหม (จริง)  เพราะห่วงจึงด่า เพราะรักจึงบ่น ถ้าไม่ห่วงไม่ด่าเราจะบ่นไหม (ไม่บ่น)  ลูกคนอื่นกลับบ้านดึกเราไปว่าเขาไหม (ไม่ว่า)  แต่พอลูกเรากลับบ้านดึกทำไมเราว่า (เป็นห่วง)  อยากให้ลูกๆ รับรู้ไว้เราก็เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน แม่เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อนไหม (เคย)  แม่ให้กลับสามทุ่มแต่ลูกอยากเลยไปนิดหนึ่ง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเราคิดอยู่อย่างนี้เราจะไม่โกรธใคร
เหมือนอย่างเพื่อนที่เราทำงานร่วมกัน ทำไมเขานั่งอยู่เฉยๆ ปล่อยเราทำงานอยู่คนเดียว ให้คิดว่า เขายังไม่รู้แต่เรารู้แล้วว่าการขยันเป็นสิ่งที่ดี เขาไม่รู้เราให้อภัย ได้ไหม (ได้)  หรือในบางครั้งเราทำงานร่วมกัน เราเคยเป็นเบื้องล่างมาก่อน เคยถูกเขากดขี่ ด่า ข่มเหง เราก็คิดว่าวันหนึ่งถ้าเราเป็นใหญ่ขึ้นมา เราจะไม่กดขี่ ไม่ข่มเหง แต่พอเป็นใหญ่ขึ้นมาเรากลับกดขี่ข่มเหง เพราะอะไร แล้วคนที่ทำกับเราใช่คนที่เรากำลังกดขี่เขาไหม
จงจำไว้นะโลกเรามีคนอยู่สองประเภท รู้ก่อนกับรู้หลัง ถ้าเรารู้ว่าอะไรดีแต่เขาไม่รู้ว่าอะไรดีก็อย่าไปโกรธ เราจะทำอย่างไรที่จะสอนให้เขารู้อย่างเราได้บ้าง ถ้าตอนนั้นเราให้อภัยเขามากๆ นั่นแหละคือคนที่คิดได้ อกเขาคืออกเรา ใจเขาคือใจเรา จริงหรือไม่ (จริง)  แต่บางครั้งคนเราจะเจอคนสองประเภท โดนกดขี่แล้วพอเป็นใหญ่ไม่กดขี่ แต่คนอีกประเภทหนึ่งโดนกดขี่แล้วพอเป็นใหญ่กดขี่ต่อ ชีวิตคนเราจะต่างกันก็ตรงนี้เองจะเอาธรรมะสอนใจหรือเลิกเอาธรรมะแต่เอามารมาคู่ใจ ความแตกต่างของคนดีกับคนเลวจึงอยู่ตรงจุดๆ นี้ ใช่ไหม (ใช่)
อยากฟังเรื่องตลกหรือยัง  เรื่องตลกก็มีอยู่ว่า วันหนึ่งเราไปกับเพื่อนคนหนึ่งเดินไปด้วยกัน เดินไปเจอเด็กๆ ยืนร้องไห้ข้างๆ กองขี้หมา เราก็เดินเข้าไปถาม ร้องทำไมหนู เขาก็ตอบว่า “หนูจะเอาเงินไปซื้อขนมแต่เงินตกลงไปในกองขี้“ เรากับเพื่อนเรายืนมองเฉยๆ แต่เพื่อนกลับเอามือแหวกๆ แล้วก็หยิบเงินขึ้นมานี่ใช่ไหม เด็กคนนี้ดีใจบอกว่า “ใช่เงินหนู พี่ช่วยเช็ดให้หนูหน่อยหนูไม่กล้าจับ”  เขาก็เช็ดให้จนสะอาดเด็กก็ดีใจกลับบ้านไป แต่พอเดินไปได้ครึ่งทาง เพื่อนเราก็ซื้อขนมมา เขาก็กินอย่างเอร็ดอร่อยเราก็อยากกินเพื่อนก็เลยส่งถุงขนมให้เรากินไหม  เพราะว่ากลัวมือไม่สะอาด
เหมือนกันถ้าเรามองว่าทุกสิ่งทุกอย่าง สูง ต่ำ ดำ ขาว ทุกสิ่งคือสิ่งเดียวกันหมด จิตใจเราก็คงอยู่บนโลกนี้ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์เรามักจะแบ่งแยก อันนี้สะอาดอันนี้สกปรกอันนี้ดีอันนี้ไม่ดี อะไรที่สกปรกเราจะรู้สึกรังเกียจ แต่ถ้าเราไม่คิดอะไรกินเข้าไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราคิดมากกลับไปนอนป่วยเป็นโรคเพราะว่ากินขนมที่เปื้อนมูลอุจจาระ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนกันวันนี้ท่านจะอยู่ฟังด้วยจิตใจเช่นไร และเห็นเราเป็นมูลอุจจาระที่สกปรกแล้วไม่กล้าเข้าใกล้ หรือจะเห็นเราเป็นมากกว่ามูลอุจจาระ ท่านลองเอาไปคิดเอาไปพิจารณา คิดให้ดีๆ คนบางคนพอพูดว่ามีการยืมร่าง อะไรก็ไม่รู้ลัทธิอะไรหรือเปล่า  ท่านคิดอะไรหรือเปล่า อย่าดูถูกว่าสิ่งที่สกปรกนั้นสิ่งที่มองเห็นด้วยตาเปล่าอาจจะจริงหรืออาจจะไม่เป็นจริง ท่านเอาอะไรพิสูจน์ ใช่ไหม (ใช่)  เอาแค่ตาเอาแค่หูเท่านั้นหรือ เราน่าจะดูที่คุณค่ามากกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าลืมว่ามูลสัตว์ก็ทำให้ต้นไม้เติบโต ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในโลกนี้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายถ้าเรารู้จักเปลี่ยนมุมมองเปลี่ยนความคิดและกล้าที่จะไม่ติดยึดกับความคิดใดอย่างตายตัว จริงไหม
วันนี้มาฟังเรื่องธรรมะล้วนๆ ไม่มีอย่างอื่นเจือปนเลย แต่ถ้าเกิดว่าคนที่เชื่อมั่นในตัวเอง ว่าตนเองรู้แล้วแน่แล้ว ไปอยู่กับใครก็จะไม่มีใครอยากพูดอะไรอยากเตือนอะไรเขา แต่คนที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่กับใครก็เข้ากับเขาได้ง่าย ไม่ถือทิฐิ ไม่ถือมานะ คนๆ นั้นไปอยู่ที่ใดก็สร้างความสุขให้กับตรงที่ๆ นั้นใช่หรือไม่ ฉะนั้นท่านก็ไม่ชอบให้คนมาอวดดีกับท่าน แล้วเราเผลออวดดีกับใครหรือเปล่า เป็นไหม อย่าลืมนะว่าโลกหมุนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ สิ่งที่ท่านรู้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่รู้ก็เป็นได้ อย่ามั่นใจว่าตัวเองทำถูกเสมอไป บางครั้งเราต้องยอมเป็นผู้ที่ไม่รู้บ้าง เราอยากคุยเล่นแต่ในการคุยเล่นนั้นก็มีธรรมะ ในธรรมะก็ให้แง่คิดกับชีวิตใช่หรือไม่ โลกนี้ยุติธรรมไหม เราเชื่อว่าในที่นี้มนุษย์โดยส่วนใหญ่มักจะพูดกับฟ้าดินเสมอว่า “ฟ้าไม่ยุติธรรมเลย” ทำไมปล่อยให้คนชั่วลอยนวล ทำไมปล่อยให้คนดีถูกเหยียบย่ำ ใช่หรือเปล่า ท่านเคยได้ยินคำว่า “เมตตามหาเมตตา” (เคย)  แล้วหาได้ที่ไหน
เราจะบอกท่านให้นะว่า ยิ่งถูกเอาเปรียบมากเท่าใด ยิ่งถูกคนอยุติธรรมมากเท่าใด ตอนนั้นแหละจะเป็นตอนที่ท่านได้ฝึกเมตตามหาเมตตา จริงนะเราไม่โกหก แต่ก่อนเราไม่เคยรู้คำว่า อภัย แต่เราเจอคนนี้แหละ เรารู้ว่าควรอภัยให้เขา ใช่ไหม (ใช่)  แต่ก่อนเราไม่เคยรู้จักคำว่าต้องอดทนนั่งขนาดนี้ พวกนี้แหละทำให้เรารู้ ใช่ไหม ฉะนั้นคืออย่าเกลียด เริ่มแรกคือเปิดมุมมองให้กว้างๆ ถ้าบางทีเรารู้ว่าเขาเดินทางนี้แล้วตกนรกแน่ แล้วเราเห็นอยู่ เขาจะด่าอย่างไรเราก็ต้องรั้งเขาไว้ จริงหรือไม่ โดยเฉพาะถ้าเป็นลูกเรา แต่เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ บางทีอย่าไปโกรธเลย เพราะลูกเขายังมองไม่เห็น จริงหรือไม่
แต่เราอยากจะบอกท่านว่า มีคนมักจะพูดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอว่า คุณ ผม ฉัน ไม่เคยทำอะไรเขาเลย ทำไมเขามาทำกับฉัน ด่าเขาก็ไม่เคยด่า อยู่ๆ เขาก็เหม็นขี้หน้า ใช้ก็ไม่เคยใช้ แต่เขาใช้เราหัวปักหัวปำ เราอยากบอกท่านว่า ท่านกำลังได้รับคืนในสิ่งที่ท่านเคยทำไว้ในอดีต ท่านกำลังได้รับผลในสิ่งที่ท่านได้หว่านเมล็ดลงไปในอดีต เหมือนเราทำไมตาเราชั้นเดียว ทำไมเราขาวแต่เพื่อนเราดำ ทำไมตัวเราดำ ทำไมพ่อแม่เราจน ทำไมพ่อแม่เพื่อนรวย สิ่งที่เป็นเหล่านี้ล้วนเกิดจากเรากระทำไว้ในอดีตชาติ ถ้าคิดได้ขนาดนี้เราก็คงไม่โกรธเขา แล้วเราก็คุ้นในการใช้จิตเมตตาและให้อภัยเขา ยิ่งโชคร้ายมาถึงเรามากเท่าไร โชคร้ายนั้นแหละจะช่วยขจัด ขัดเกลาใจท่านให้สะอาดใสยิ่งขึ้น ยิ่งโชคร้ายมาสู่ตัวเรามากเท่าไร เขาด่าเรา เราแผ่เมตตา เขาเกลียดเรา เราให้อภัย ไม่โกรธใส่ ใช้การสนองเวรที่ล้ำค่าด้วยการระงับโทสะ สร้างกุศลเจตนาที่ดี เขาร้ายมาอวยพรไปอภัยไป นี่แหละเรียกว่าเมตตามหาเมตตา
เวลาเจอคนที่ร้ายขอเอาสิ่งที่ร้ายออกจากใจ แล้วเติมความเห็นใจเข้าไปเยอะๆ เติมเมตตาเข้าไปเยอะๆ เติมอภัยเข้าไปเยอะๆ เมื่อนั้นทุกวันมีแต่สร้างกุศลจิต ทุกวันสร้างแต่เจตนารมณ์ที่ดี ถ้าเราทำได้อย่างนี้ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มีแต่คนเจตนาที่ดีคนนั้นจิตใจจะยกสูงขึ้น ปัญหา ทุกข์ที่ประดังเข้ามาก็จะคลี่คลายไปในทางที่ดีได้ ต่อไปทุกข์เข้ามา ดีใจเราจะได้ฝึกเมตตา นี่แหละวิธีการที่จะจัดการกับปัญหาที่เราคิดไม่ถึง นี่แหละวิธีการจัดการกับปัญหาที่จะทำให้เราทุกข์แต่กลายเป็นสุข
ท่านรู้เรื่องนี้ไหม เราว่าคิดได้แต่ไม่ทำ จริงไหม แต่ถ้าคิดได้แล้ว ลองทำดู ท่านไม่ต้องเจอคนที่รังเกียจอีก แต่ถ้าอยากเจออีกทำไปเถอะ อยากกลับมาเวียนว่ายตายเกิดทำไปเลย ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมศึกษาธรรมก็เพื่อยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น และเพื่อการกระทำที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ด้วยการคิดอย่างคนที่มีธรรม คิดอย่างคนที่รู้จักให้ ไม่ยาก ถามท่านตรงๆ ที่นั่งอยู่ตรงนี้ คนชั่วกับคนดี เวลาท่านเจอคนดีท่านก็ชอบ เวลาเจอคนชั่วท่านก็ว่าเขา แต่ถึงเวลาเราชั่ว ทำไมไม่ว่าตัวเองให้เจ็บล่ะ ถึงเวลาเลือกได้ท่านก็อยากเลือกคนดี แต่ทำไมถึงเวลาตัวเองเราถึงทำไม่ดีล่ะ เพราะอดทนไม่ได้แค่นั้นเองหรือ น่าเสียดายนะ ความประเสริฐของมนุษย์จะยังคงเป็นความประเสริฐได้ ก็ต่อเมื่อเขารู้จักเอาธรรมะมายับยั้งชั่งใจ เขารู้จักเอาธรรมะมาเป็นตราชั่ง แล้วตัวท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้ล่ะ จะคิดแค่เพียงปล่อยไปตามอารมณ์ หรือจะรู้จักยับยั้งชั่งใจ อย่าลืมนะว่าท่านคือแม่พิมพ์ของรุ่นต่อไป
ท่านอยู่กับเพื่อน ทุกวันพูดแต่สิ่งที่ดี เพื่อนที่คบก็คือเพื่อนที่ดี แต่ถ้าทุกวันคือการเล่น เที่ยวดึกๆ ดื่นๆ ท่านก็จะมีแต่เพื่อนเล่น เที่ยวดึกๆ ดื่นๆ กรรมมันก็สนองอยู่แล้วในตัวมันเอง จริงไหม (จริง)  ทุกวันนี้ท่านมีลูกเป็นอย่างไร ทุกวันนี้ท่านมีเพื่อนเป็นอย่างไร อย่าโทษเขา ถ้าตัวท่านไม่เป็นอย่างนี้ เพื่อนแบบนี้จะเดินเข้าหาไหม (ไม่เดิน)  จริงหรือไม่ เราว่าเพื่อนปากร้ายตัวเราปากร้ายหรือไม่
ใครๆ ก็อยากโชคดีใช่ไหม (ใช่)  แต่เคยทำดีไหม ทำแต่ทำไม่ตลอดรอดฝั่งจริงไหม ลองทำดีให้ตลอดรอดฝั่งสิ ผลของความดีอาจจะดียิ่งขึ้นก็ได้ หรือไม่ลองทำดีโดยไม่หวังผลสิ ผลของความดีอาจจะยิ่งใหญ่กว่าที่ท่านคิดก็ได้ ลองทำดีโดยไม่เขียนชื่อสิ ผลความดีอาจจะมีคุณค่าที่ดีกว่าการเขียนชื่อก็เป็นได้ ลองทำดีแบบที่คนอื่นเขาทำไม่ได้สิ ผลของความดีอาจจะทำให้เรายิ่งเจริญรุ่งเรืองก็เป็นได้ ใช่ไหม เราอยากบอกท่านว่าคนที่ทำร้ายท่าน ทำให้ท่านเจ็บปวด ถ้าท่านอโหสิกรรมเขา แล้วอวยพรเขาขอให้เขาโชคดี เขาเจริญได้เมื่อไร ท่านก็เจริญตามด้วย แต่ถ้าเกิดว่าคนที่ทำร้ายท่านๆ กลับทำร้ายต่อ เขาโชคร้ายเมื่อไร ท่านก็โชคร้ายด้วย จริงไหม เมื่อวันนี้เขาแพ้ สักวันหนึ่งเขาก็จะมาเอาชนะเรา แต่ถ้าทุกครั้งเราให้เขาชนะ ต่อไปเขาจะมาเอาชนะเราไหม (ไม่เอา)  ไม่เอาจริงหรือไม่
เราอยากให้ท่านสนุกสนานมีชีวิตที่ดีงาม เราสนุกสนานแต่ลืมครรลองคลองธรรมที่ดีงามก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สอนคนอื่นให้ดีได้แต่ตนเองไม่เคยดีเลยก็ไร้ค่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยากให้ลูกได้ดีมีสุขตัวท่านทำอะไรที่เรียกคุณงามความดีบ้าง อย่าคิดว่าวันนี้เด็กมาสอนผู้ใหญ่เลยนะ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดกันได้หรือเปล่า (ได้)  ธรรมะไม่ใช่มีสำหรับคนแก่ แต่ธรรมะมีไว้สำหรับคนที่รู้จักยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ธรรมะมีไว้สำหรับคนที่รู้จักใช้ชีวิตได้เป็น และเมื่อเจอทุกข์ก็พร้อมจะดับทุกข์ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ท่านเคยได้ยินไหมว่าหนึ่งบวกหนึ่งทำไมไม่เป็นสองแต่บางทีกลายเป็นหนึ่ง ไม่ยากเลยนะเขารักเราแต่เราไม่รักเขา หนึ่งบวกหนึ่งจะเป็นสองหรือไม่ บวกยังไงก็ไม่เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเขาเกลียดเราแต่เรายังรักเขา แม้วันนี้หนึ่งบวกหนึ่งจะเป็นสอง แต่ต่อไปสองบวกสองนานเข้าก็จะกลายเป็นหนึ่ง จริงหรือไม่ (จริง)  ชีวิตเราก็เหมือนกัน บางทีเราทำดีกับเขาทุกอย่างแต่ยังไงเขาก็ไม่รักเรา ฉะนั้นเราต้องยอมรับผลลัพธ์ที่ว่าหนึ่งบวกหนึ่งมันไม่เป็นสอง แต่มันกลายเป็นหนึ่ง แล้วถ้าเกิดวันหนึ่ง หนึ่งบวกหนึ่งมันกลายเป็นศูนย์นั่นหมายความว่าอย่างไร ใครพอรู้บ้างไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมตอบคำถามว่า ทำไมหนึ่งบวกหนึ่งแล้วจึงเป็นศูนย์)
แปลกหนอสิ่งที่ดีๆ เรากับไม่ค่อยเลือกให้กับชีวิต เรากลับเลือกแต่ชีวิตไปวันๆ กับสิ่งที่เป็นอะไรก็ไม่รู้ หรือปล่อยชีวิตไปกับวัตถุหนึ่งอย่างเท่านั้นเอง เพราะค่าที่มากกว่าเงินทองในกระเป๋าคืออะไร คือการดำรงชีวิตอย่างคนที่มีธรรมอันประเสริฐต่างหาก ชีวิตมีค่ามากกว่าเงินทองในกระเป๋าอีกนะ มนุษย์เรามีอิสระที่จะคิด ท่านจะคิดอย่างไรก็ได้ไม่ใช่สิ่งผิดใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุดแล้ว ให้เขาไปแล้ว เขาอาจไม่ต้องการก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราทำงานร่วมกับใคร ถ้าประสานกันได้กลมกลืนก็เป็นศูนย์ แต่ในศูนย์นั้นก็พร้อมที่จะเป็น หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ตามมาได้ ฉะนั้นธรรมะถ้าเราเปิดใจ เปิดมุมมอง เราจะได้หนึ่งบวกหนึ่ง แล้วกลายเป็น สอง สาม สี่ ก็ได้จริงหรือไม่ (จริง)  เหมือนชีวิตของท่านแหละ มีใครจะตอบอีกไหม
(หัวหน้าตอบ)  หนึ่งบวกหนึ่งเป็นศูนย์ ในความหมายของผมก็คือ บุคคลสองคนซึ่งมีความคิดเห็นอะไรไม่ตรงกันหลายๆ อย่าง ผลทุกอย่างที่ออกมาจะเป็นศูนย์ เพราะศูนย์ตามที่เราเข้าใจก็คือไม่มีความหมาย Zero นั่นเอง
แต่ศูนย์ของนักเรียนแถวหลังก็มีความหมาย เพราะทุกคนเริ่มต้นจากศูนย์ แล้วก็กลายเป็นหนึ่งจริงไหม (จริง)  มนุษย์เราเพราะเป็นศูนย์มาก่อนเราเลยอยากมีหนึ่ง เพราะมีหนึ่งมานานแล้วเราจึงอยากมีสองใช่ไหม (ใช่)  มีสองนานๆ แล้วก็อยากมีสาม  แล้วบางทีพอมีสาม มีสอง แล้วรู้สึกว่าอยากเป็นหนึ่งใช่ไหม (ใช่)  แต่มันสลัดไม่ออก จริงหรือเปล่า (จริง)  แล้วมนุษย์เราก็เหมือนกับคนที่เดินทางไปถึงเลขเก้าแล้วกลับมาเป็นเลขสิบไม่ได้ มันกลายเป็นเลขศูนย์ หมายความว่าอะไร ใครคิดต่อได้บ้าง
(พอเราเริ่มจากศูนย์ถึงเก้า แต่วันหนึ่งเราก็ต้องตายไป)  พึงย้ำตนเองเสมอนะว่าแม้จะมีปัญญาขนาดไหน ทางสุดท้ายของชีวิตทุกคนเหมือนกันคือ ความว่างเปล่า แต่ถามท่านที่นั่งอยู่ที่นี่เคยสละอะไรได้บ้าง ไม่เคยสละอะไรเลยโดยเฉพาะตัวตน ถึงเวลาจะตายมักจะไม่อยากตาย โดยเฉพาะเวลาเจ็บป่วย “แม่หนูจะตายไหม คุณผมยังไม่อยากตาย ผมยังอยากอยู่ ฟ้าช่วยหน่อยถ้ารอดแล้วจะเป็นคนดีกว่านี้ จะทำบุญเจ็ดวัดเจ็ดวาไม่หยุด”  แต่พอรอดมาแล้วหนึ่งวัดก็ยอมแพ้แล้วใช่ไหม (ใช่)  ธรรมะไม่ได้สอนให้มนุษย์เอาชนะทุกข์หรือมองเห็นทุกข์อย่างเดียว แต่ธรรมะยังสอนให้มนุษย์รู้จักยอมรับความจริงได้ แม้มีมากเท่าไหร่สักวันย่อมเป็นศูนย์ และในความศูนย์เราจะทำอย่างไรให้เราหลุดพ้นแล้วตายได้อย่างสบาย ไม่เป็นศูนย์ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น
“งานกินตัวเปรียบชีวิตคนกรุง”  ตื่นมาก็ทำงานๆ หาเงินใช่หรือไม่ (ใช่)  วันไหนไม่มีเงินในกระเป๋าก็นอนไม่หลับใช่ไหม (ใช่)  แต่เราถามท่านหน่อยว่าบางครั้งมีเงินเยอะ แต่ก็หาความสุขไม่ได้ หาความเข้าใจจากเพื่อนคนหนึ่งหรือญาติพี่น้องคนหนึ่งก็ไม่ได้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  หาเงินได้มาซื้อคนดีสักคนหนึ่งได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วที่สุดของชีวิตเราต้องการอะไรกันแน่ ต้องการคนเข้าใจหรือต้องการเงิน คนเข้าใจใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่เคียงข้างเราเมื่อเราทุกข์เมื่อเราสุข แต่เราถามท่านว่าถึงที่สุดคนที่เคียงข้างท่านคือใคร ตัวเราเองเป็นผู้สร้างทุกข์ ตัวเราเองเป็นผู้ที่ทำให้ทุกข์คงอยู่ และตัวเราเองเป็นผู้ที่ทำให้ทุกข์นั้นหายไปได้
เราเพียงแค่พูดชี้ให้ท่านรู้ ทางอีกทางหนึ่งหรือมุมมองความคิดอีกอย่างหนึ่ง ที่เวลาเรามีชีวิตแล้ว คิดอย่างนี้เราจะมีสุข คิดอย่างนี้เราจะไม่ทำให้ใครทุกข์ แล้วคิดอย่างนี้  แม้เขาจะสร้างทุกข์มาให้ แต่เราจะแปรเป็นสุขได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ปลอบใจเขาก็คือการปลอบใจเรา ท่านเคยได้ยินไหมว่า “ช่วยเขาก็คือช่วยเรา” แต่ถ้าเราไม่ช่วยใครก็น่าเสียดายโอกาสที่อยู่ตรงนี้ ชีวิตนี้ไม่เคยช่วยใครให้มีสุข ชีวิตนี้ไม่เคยอภัยใครให้มีสุข มีแต่สร้างทุกข์ นั่นก็มองได้เลยว่าชาติหน้าหรือชาตินี้ทุกข์เป็นแน่แท้ ชีวิตนี้ไม่เคยเชื่ออะไรใครง่ายๆ ก็เดาได้เลยว่าชีวิตนี้ท่านก็คงไม่มีใครเชื่อท่านง่ายๆ กงกรรมกงเกวียนมันเป็นจริง ไม่หลุดรอดไปหรอก ใครทำอย่างไรต้องได้รับอย่างนั้น
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เล่นเกมส์บวกเลขถ้าบวกแล้วเป็นเลขคู่ให้ยืนขึ้น ถ้าบวกแล้วเป็นเลขคี่ให้นั่งลง)
มนุษย์เราพอมีกฎเกณฑ์ข้อบังคับเราถึงกระตือรือร้น แต่พอปล่อยเป็นอิสระ เรากลับไม่มีความกระปรี้กระเปร่า เราชอบคนบังคับหรือ ชอบให้คนมากำหนดกฎเกณฑ์ไหม (ไม่ชอบ)  แล้วทำไมเราปล่อยให้คนเขาต้องมากำหนดกฎเกณฑ์ เมื่อสักครู่เราบอกว่าไม่มีบทลงโทษ ท่านก็จะทำช้า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอมีบทลงโทษ ท่านก็ไวทันที ชีวิตก็เหมือนกัน ทุกคนมีความเชื่อถือ ทุกคนมีความน่าเคารพเลื่อมใส แต่อย่าปล่อยให้ตัวเองทำผิดแล้ว ความน่าเชื่อถือหายไป ตอนนั้นจะไปเรียกร้องกับใครก็เปล่าประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราอยากให้ท่านมีความอดทนให้มากๆ ฟังให้จบสองวันนี้เข้าใจให้ได้ ว่าชีวิตที่แท้จริงนั้น หรือธรรมะที่ท่านกำลังฟังอยู่นี้มีค่าอะไรกับชีวิต แล้วคนที่เขาทำอยู่นี้เขาทำเพื่ออะไร เขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเขานะ แต่เขาทำเพื่อให้ท่านยืนอยู่และเป็นคนที่อยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข แม้เจอทุกข์ก็ยืนได้อย่างคนที่คิดได้ จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเวลามีคนดีทำดีให้จงขยันชม แล้วความดีนั้นจะยั่งยืนนาน แต่คนเราในโลกใครทำดีเรามักปากหนักชมไม่เป็น ลองชมคนเขาบ่อยๆ เขาจะได้รู้ว่า ทำแบบนี้แม่ชอบ ทำแบบนี้แปลว่าถูกใจ แต่บางครั้งเราอยู่กับเขาเดาไม่ออก ทำดีก็แล้ว เขาก็ไม่ชม ทำชั่วก็แล้วเขาก็ไม่ว่า แล้วฉันจะเป็นคนอย่างไรดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเขาทำชั่วด่าเลยได้ไหม (ไม่ได้)  ตอนท่านทำผิดมากที่สุดท่านอยากได้คนด่าหรือคนเห็นใจ (คนเห็นใจ)  ฉะนั้นเอาความคิดนั้นแหละไปใช้กับเขา เวลาท่านผิดมากที่สุดท่านอยากได้คนเห็นใจ “ไม่เป็นไรลูก” “ไม่เป็นไรคุณ เงินเดี๋ยวมันไปมันก็กลับมา” พอเขาไปมีใหม่ “ไม่เป็นไรคุณเดี๋ยวคุณไปคุณก็กลับมา”  ทำใจได้ไหม ได้เถอะนะ แล้วเราจะมีสุข วันนี้เราอาจจะทำใจยาก คุณไปแล้วคุณไม่กลับ เราไม่ดีมั๊ง เขาอาจจะดีกว่า ถ้าทำใจยอมรับความจริงในโลกเราจะทุกข์น้อยลงและสุขมากขึ้น
เราอยู่บนโลกเราช่วยกันจับผิดหรือจับถูก (จับถูก)  จับถูกดีกว่านะ  ไม่มีใครอยากให้มาจับผิดเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาเขาผิด เราให้อภัยและให้โอกาส ดีไหม (ดี)  เราอยู่ร่วมโลกกัน เราเห็นเขาทุกข์เราสุขได้หรือ เห็นเขาทุกข์เราต้องช่วยเขา ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เราอยู่ในโลกนี้เราสามารถให้อะไรคนอื่นได้บ้างที่ไม่ใช่เงิน (เลือด)  ร่างกายนี้ เราสละให้เขา ต้องขออนุญาตพ่อแม่ก่อน พ่อแม่ทุกคนรักลูกใช่ไหม (ใช่)  พอลูกสละเลือดบางทีพ่อแม่ก็เจ็บปวด (ให้ความเคารพ)  แต่ตัวเราต้องทำให้เขาเคารพ (ให้ความไว้วางใจ, ให้อภัยซึ่งกันและกัน, ให้โอกาส, ให้ความอบอุ่นให้คำแนะนำ, ให้คำปรึกษา, ให้ความจริงใจ, ให้เขารู้ว่ามีคุณค่ากับเรา, ให้ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่, ให้ความกระจ่าง, ให้ความเมตตา)  ให้เยอะๆ เลยนะ (ให้ความรู้เรื่องธรรมะ)  แล้วเข้าใจธรรมะถึงขนาดไหน (เข้าใจแต่พยายามปฏิบัติอยู่)  ขอให้ทำให้สำเร็จ ทำดีอย่าแพ้ภัยตัวเอง (ให้ความคิดที่ดี,ให้แรงใจให้แรงกาย, ให้ความรักกับคนที่ควรจะรัก)  แปลว่าคนที่ไม่ควรรักก็ไม่ให้เลยหรือ เราว่าเป็นความรักที่ให้ทุกคนและไม่แบ่งแยก ความรักนั้นถึงจะบริสุทธิ์และดีงามที่สุด ลองให้ความรักกับคนที่ท่านเกลียดที่สุด แต่ต้องให้แบบขยันให้นะ เผื่อเขาจะกลับมารักเราได้ (ให้ชีวิต)  ให้ชีวิตเลยหรือ ให้ชีวิตให้กับใคร (ลูก)  บางทีเราอยากจะบอกว่าเอาชีวิตให้กับพ่อแม่ ทำให้เต็มที่ที่สุดมีค่ากว่า (ให้ความรู้กับผู้ที่ไม่รู้)  ฉะนั้นใครโง่ๆ ก็ไม่โกรธเขา (ให้แง่คิด)  ให้แง่คิดอะไรลองพูดมา (แง่คิดเรื่องกตัญญู)  เห็นไหมว่าเราต้องคิด ถ้าไม่คิดไม่มีวันออก
เราว่าที่เขาพูดมาท่านรู้ไหม (รู้)  แต่ท่านเอาออกมาใช้บ่อยๆ ไหม ไม่ค่อยเอาออก พอถึงเวลาก็เลยใช้ได้ไม่ถูก จริงหรือไม่ (จริง)  แง่คิดดีๆ ง่ายเลยนะ เป็นคนต้องอดทนเป็นคนต้องขยันจึงสำเร็จ แค่นี้เอง (ให้ความช่วยเหลือ)  จะให้เขาบางทีอย่ารอเขาขอ เดินไปช่วยเลยจะดีกว่า มีคุณค่ากว่ารอให้เขาขอ เหมือนพ่อแม่ไม่ต้องรอให้ท่านเรียกเดินไปช่วยท่านเลย (ให้โอกาสคนที่ทำผิด)  ไม่ให้โอกาสกับเราบ้างหรือ (ให้ความซื่อสัตย์, ให้โอกาสทางการศึกษา)  เราว่าให้เวลากับพ่อแม่บ้างดีกว่า ให้โอกาสทางการศึกษาเป็นการให้ที่ไกลเกินเอื้อมและยังไม่ถึงเวลาที่เราจะทำได้
สิ่งที่เราจะให้ง่ายที่สุดเมื่อเวลาอยู่บ้านคือ ให้เวลากับพ่อแม่ให้ความกตัญญูรู้คุณ ไปลามาไหว้ ไปไหนคำนึงถึงท่านว่าเราคือตัวแทนของท่านทำผิดเมื่อไร เราก็ทำความเดือดร้อนให้ท่านเมื่อนั้น มีใครจะให้อะไรอีกไหม (ให้จิตใจที่ดีซึ่งกันและกัน, ให้อภัยซึ่งกันและกัน, ให้เกียรติ)
เราจะให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ต่อเมื่อเขามีแล้วหรือเขาขาด สิ่งต่างๆ ที่ท่านพูดมานี้เราจะให้เขาได้ตอนไหน (ตลอดเวลา)  (ให้อภัยตัวเอง)  ผิดไหม ถูกนะ คนที่รู้จักให้อภัยตัวเองจะเป็นคนที่สามารถล้มแล้วลุกขึ้นมายืนแล้วก้าวต่อไปได้ คนบางคนมักจะหมกมุ่นกับความผิดของตัวเองแล้วทำให้ไม่ยอมก้าวไปไหนต่อ (ให้รอยยิ้มกับทุกคน)  หันไปยิ้มหน่อย ให้ความเข้มแข็งกับตัวท่านดีไหม เพราะกินไม่ตรงเวลาจึงป่วย นอนก็ตื่นสาย เดี๋ยววันนี้กินข้าวเช้าเมื่อวานไม่ได้กินก็เลยป่วย (ให้การดูแลแลเอาใจใส่ ให้ความรักและเมตตา)  ให้เราบริสุทธิ์ทั้งกายใจอย่าบริสุทธิ์แค่เสื้อผ้ามีค่ากว่า สวยที่รูปไม่ได้สวยที่ใจ
(ให้ธรรมทาน ให้ความเห็นอกเห็นใจ ให้ความยินดี ให้คำแนะนำในทางที่ดี)  อยู่บนโลกนี้ถ้าชีวิตนี้มีแต่ให้ย่อมเป็นสิ่งที่ประเสริฐ การรู้จักเสียสละนี่แหละคือการให้ที่แท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราอยู่บนโลกนี้มีชีวิตเป็นผู้ให้ ให้ตลอดอย่างไม่เหนื่อย ให้อย่างไม่รู้เบื่อ ให้ด้วยกุศลเจตนารมณ์ที่ดีไม่ได้ให้เพื่อหวังคำชม ไม่ได้ให้เพื่อเราต้องการเป็นคนดี ให้เพราะอยากให้ ให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ การให้จะช่วยลดอัตตาตัวตนและความตระหนี่ถี่เหนียวในตนได้ จริงไหม (จริง)  ให้ไปนะแล้วชีวิตจะมีค่า แต่ต้องคิดให้บ่อยๆ นะ เพราะอยู่เฉยๆ คิดไม่ออกหรอก
มนุษย์มักจะสงสัยว่าเรามาได้อย่างไร แล้วก็มักจะสงสัยว่าเราจริงหรือเปล่า เราถามท่านหน่อยนะว่า รู้จักเราแล้วว่าจริงหรือเท็จ ช่วยท่านพ้นทุกข์ไหม (ไม่)  เราอยากบอกท่านว่า ทุกสิ่งในโลกไม่เที่ยงแท้ ท่านเห็นว่าเราจริงแท้ เราต้องตอบท่านว่าไม่จริง ถ้าท่านบอกว่าเราไม่จริงเราต้องตอบท่านว่า เราจริง อะไรคือจริง อะไรคือเท็จ ใช่รูปนี้หรือ ไม่ใช่ สิ่งที่แท้จริงคือพุทธจิตธรรมญาณ หรือวิญญาณที่อยู่ในตัวของทุกท่าน อันนี้แหละคือสิ่งจริงแท้ สิ่งที่เป็นตัวสร้างสรรค์ให้มนุษย์กระทำต่างๆ
ท่านเคยเห็นไม้ไหม สองอันสีกัน ไฟมันอยู่ในไม้ไหม ทำไมสีแล้วเกิดไฟ เพราะอะไร (ความร้อน)  เหมือนกัน มนุษย์เราทำไมออกมาเป็นการกระทำล่ะ เรามีวิญญาณอยู่ข้างในเรามีญาณแล้วสัมผัสได้ไหม เหมือนกันมันก็เหมือนไม้กับไม้สีกันแล้วก็เกิดไฟ เราก็มาจากอย่างนั้น แต่ถึงเวลาเมื่อไฟมันมอด ไฟมันหายไปไหม มันก็หายไปจากกองนี้ แต่มันหายไปจากโลกไหม  (ไม่หาย)  มันยังสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อมีการ (สีกัน)  เรามาอย่างไรเรามาคล้ายๆ กับไม้ที่สีกันนั้นแหละ มนุษย์มาได้อย่างไร วิญญาณมาอยู่ในตัวเราได้อย่างไร เมื่อไรที่ไปแล้วมันไปจริงๆ ไหม แล้วไปไหน แล้วถ้าเกิดมันสีขึ้นมาแล้ว เราจะต้องกลับมาเป็นไฟหรือเปล่า ชีวิตของมนุษย์ก็เปรียบเช่นนี้แหละ มองให้ทะลุ แล้วเราจะรู้ว่าเรามาตัวเปล่าแล้วสักวันต้องกลับไปตัวเปล่า มีแต่ความดี ความชั่วเท่านั้นเองที่จะไปกับท่านนะ แล้วความดีที่รู้จักให้ ความดีที่รู้จักยอมความดีที่รู้จักเสียสละ จะนำพาท่านสูงกว่าที่ที่ควรจะไป
วันนี้เรามาแค่นี้แหละ เชื่อไม่เชื่อเราไม่ว่า ไม่เชื่อเลยเราก็ไม่ว่า ขอให้กลับไปพิจารณาสิ่งที่เราพูดว่าเป็นจริงไหม คนๆ หนึ่งมีธรรมะรู้จักยอมรู้จักให้อภัย คนด่าเท่าไรเราก็เมตตา เขาเอาเปรียบมากเท่าไรแต่เราก็ยังรู้จักให้ ถ้าทำได้ วันนั้นท่านจะรู้ว่าพุทธะบนแดนโลกไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือท่านทุกคนเป็นได้ จริงไหม และเมตตายิ่งกว่าเมตตานั้นคือใคร ก็ไม่ใช่ใคร คือท่านที่นั่งที่นี้จะยอมทำไหม เมื่อเจอคนเอาเปรียบจะให้อภัยเขาได้ไหม
มองให้ดีๆ นะ คนที่รังแกเรามากที่สุดคือคนที่สอนเรามากที่สุด คนที่ทำร้ายเรามากที่สุดคือคนที่สอนให้เรารู้จักชีวิตตัวเองยิ่งขึ้น เหมือนกันนะ สอนลูก สอนแต่สิ่งดีๆ อะไรอยากได้ให้หมดๆ กำลังสอนเขาผิดทางหรือเปล่า บางครั้งต้องรู้จักใช้ไม้อ่อนไม้แข็ง ผิดต้องว่า แต่ว่าอย่างไรที่ทำให้เขารู้สำนึก ชีวิตนับจากตอนนี้ไปท่านเป็นคนเลือกเอง และขีดทางเดินให้กับตัวเอง จะขึ้นหรือลง จะดีหรือเลวไม่ได้อยู่ที่เรานะ แต่อยู่ที่ตัวท่านเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราแค่เป็นผู้ชี้ทางๆ หนึ่ง ที่อยากจะบอกท่านว่ามีทางหนึ่งของชีวิตที่นำพาทุกคนพ้นทุกข์และมีสุขได้ ก่อนตายนี่แหละทำอย่างไร คิดอย่างคนมีธรรมะ คิดอย่างคนเสียสละ คิดอย่างคนเมตตาให้อภัย ถึงเวลาเราก็คงไปแล้วนะ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา นักเรียนที่มาร่วมประชุมธรรมหนึ่งวัน)
เปลี่ยนใจเป็นสองวันก็ดีนะ ถ้าสองวันยังรักษาอยู่ สองวันก็จะดียิ่งขึ้นใช่หรือไม่ อย่าเพิ่งเปลี่ยนใจเป็นหนึ่งวันนะ เสียดาย จริงหรือเปล่า (จริง)  วันนี้เราคงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านแค่นี้แหละ ไม่เชื่อไม่ว่านะ แต่เอากลับไปคิดให้ดีๆ ได้ไหม ชีวิตมีค่าอยู่ที่การกระทำดี




วันอาทิตย์ที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
    พูดเพื่อตัวใช้ทุกวิธีการ              พูดนานนานคนโง่ยังฟังออก
พฤติกรรมเหมือนเปลือกที่ถูกปอก      แม้ยากบอกแต่เวลาพิสูจน์คน
           เราคือ
    จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่สถานธรรมฉือหัง   แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                 ถามศิษย์รักทุกคนมีความสุขหรือเปล่า
    เพราะกลัวเป็นคนไม่ดี                   ถึงทีต้องพูดไม่กล้า
จงกลัวใจตนมากกว่า                       กลัวว่าพูดไม่ได้ความ
เสียเรื่องก็เพราะพูดช้า                     พูดเร็วเกินหน้าใช่ดี
อะไรพูดให้พอดี                              จงพูดเท่าที่คนฟัง
พูดเป็นไม่ทำใครโกรธ                      เห็นโทษอดใจไม่พูด
วาจาเป็นดังเหมือนทูต                     ดึงดูดคนด้วยความดี
หากใจรู้สึกแบ่งแยก                         จะแทรกอยู่ในน้ำเสียง
คำพูดที่ไม่ร้อยเรียง                          โต้เถียงไม่อาจหลีกไป
ใส่ธรรมลงในวาจา                          ไม่กลัวใครว่าดีแกล้ง
ความจริงนั้นไร้คู่แข่ง                        ฟ้าแจ้งอยู่ภายในตน
                                                                              ฮา  ฮา  หยุด





แม้ไม่นึกไม่ฝัน  คนรักกันมาทิ้งกันอย่างนี้  ความเห็นใจเริ่มตระหนี่  คลายความสงสารจากกัน  เห็นความสุขสลาย  ดั่งลมพาพัดทรายจากกัน  คนใจน้อยทึกทักเอานั่น  จมความทุกข์ความผิดใจ
ไม่ปลงจะไม่รู้  ถ้าปลงจะได้คิด  หยัดยืนชีวิตธรรมฉะนี้  เพราะไม่รู้อะไรในเดิมที  ถึงวันนี้ทนไม่ได้  เริ่มเรียนจากธรรมะรอบกาย  ฝึกจากความเสียใจผิดหวัง  เหมือนคนเข้าคุกขัง  ออกกำลังช่วยตนเองอีก
ถึงมีรักกี่ครั้ง  เหมือนดังไม่เคยผ่านพบ  ความทุกข์ยังเวียนไม่จบ  ในคนไม่ยอมหลาบจำ
                                                                         เพลง : รักสติ
                                                        ทำนองเพลง : นึกว่าสงสาร


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ไหนขอดูหน้าศิษย์ของอาจารย์หน่อยนะ เขาบอกให้ยิ้มต้อนรับไม่ใช่หรือ ทำไมทำหน้าเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เดี๋ยวนับหนึ่ง สอง สาม แล้วยิ้มพร้อมกันดีหรือเปล่า (ดี)  ตอนนี้อนุญาตให้หุบยิ้มก่อน ยังไม่อยากยิ้มอย่าเพิ่งยิ้ม หุบไว้ก่อนปิดฟันไว้ เอาหรือยัง หนึ่ง สอง สาม ยิ้ม ยิ้มซิ ยังเหลือคนไหนเก็บฟันไว้อยู่ ยิ้มนะ ทีนี้ถามว่ารอยยิ้มของเราเป็นรอยยิ้มปุเลี่ยนๆ หรือเปล่า หรือรอยยิ้มของเราเป็นรอยยิ้มที่ขอไปทีหรือเปล่า (ไม่ใช่)  ปกติเรายิ้มให้ใครเรายิ้มแบบนี้ไหม เขาเรียกว่ายิ้มตามมารยาท อีกอันหนึ่งเรียกว่ายิ้มแบบจริงใจ ถามว่าทั้งสองอันคือรอยยิ้มหรือไม่ (ใช่)  แต่เวลาเรายิ้มส่วนใหญ่เราใช้ยิ้มแบบไหน ไหนใครว่าตัวเองยิ้มจริงใจเป็นส่วนใหญ่ยกมือขึ้น ไหนใครว่าตัวเองยิ้มตามมารยาทบ่อยๆ ยกมือขึ้น คนที่ยอมรับตัวเองเป็นคนที่ดีที่สุด เพราะเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไร ยอมรับความจริง จะแก้อะไรก็แก้ง่าย ปัญหาอะไรก็ไม่มีจริงหรือเปล่า (จริง)  แต่ถ้าหากว่าไม่รู้ตัวเอง หรือปัญหาของตัวเองๆ ก็ยังไม่รู้ จะแก้อย่างไร แก้ได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่รู้ปัญหาก็แก้ปัญหาไม่ถูกจริงหรือเปล่า (จริง)  ชีวิตนี้มีปัญหาเยอะไหม (เยอะ)  ถามว่าปัญหาไหนที่เราแก้ได้แล้วบ้าง มีปัญหาไหนที่แก้ตกไปแล้ว ไหนตัวเองคิดว่าตัวเองแก้ตกไปแล้วยกมือขึ้น ส่วนใหญ่ที่คิดว่ายังแก้ไม่ตกเลยยกมือขึ้น จะยกก็ไม่กล้ายก ไม่ยกก็ไม่ดี ลังเลอยู่นี่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตตลอดมาดำเนินแบบลังเลๆ แบบนี้มาตั้งนานแล้ว เมื่อไรจะแน่นอนล่ะ ไม่แน่นอนอยู่ที่ไหน ไม่แน่นอนอยู่ที่ใจของตัวเราเอง ใจเป็นปัญหาสำคัญเลยจริงหรือเปล่า (จริง)
รู้มากแค่ไหน ไม่ว่าเราจะมีวิชามากแค่ไหน ประสบการณ์มากแค่ไหน เรื่องง่ายๆ มันกลายเป็นเรื่องยากเพราะว่าเรามีปัญหาอยู่ที่ไหน (ใจ)  จะมากก็ดีจะน้อยก็ดี แต่ปัญหาจิตใจอันนี้ต่างกับโรคจิตนะ ไม่ใช่อาการโรคจิต แต่เป็นอาการที่มีปัญหาทางจิตใจ คือรู้แล้วยังเป็น เป็นแล้วแถมรู้แล้วก็แก้ไม่ได้จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นกลายเป็นคนที่มีสภาพจิตใจที่ลังเล กลายเป็นคนที่มีจิตใจที่ไม่รู้จักพอ พอถึงจุดพอดีแล้วหยุดไหม ไม่ยอมหยุด ฉะนั้นการที่เรามานั่งฟังธรรมะ ฟังเพื่ออะไร ไม่ได้ให้มานั่งฟังที่นี่เพื่อเราจะฟังแล้วเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา หรือไม่ได้ให้เรามานั่งฟังเพราะว่าเราก็รู้อยู่แล้ว แต่เราต้องฟังให้ทำไม (เข้าใจ)
ปกติเรื่องที่รู้ก็รู้อยู่แล้วแต่แก้ไม่ได้จริงหรือเปล่า (จริง)  รู้แสดงว่าเข้าใจไหม เพราะฉะนั้นเรามาทบทวนใหม่ เรารู้จักตัวเองดีหรือยัง ทุกวันเราส่องกระจก เห็นเงาเห็นรูปตัวเองทุกวัน ไฝ ฝ้า กระ ตรงไหนรู้หมด หน้าตาเราเป็นอย่างไรถึงจะสายตาสั้นแต่ถ้ามีกระจกอยู่ตรงข้ามมองไกลๆ ก็รู้ว่านี่คือตัวเรา เราจับลักษณะตัวเราได้หมด แต่เรานั้นไม่รู้จักตัวเอง คือไม่รู้จักจิตใจของตัวเอง ทุกวันนี้จึงมีความสุขที่ไม่จริง เป็นความสุขที่ถูกหลอกไว้ด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายที่เรามี จริงหรือเปล่า (จริง)  ถามว่ามีเครื่องอำนวยความสะดวกมาก เราอยากฟังไปซื้อเครื่องเสียง เราอยากดูไปซื้อทีวี เราอยากขี่สบายเราไปซื้อรถ แต่ถามว่าเรามีความสุขไหม เราได้รุ่นที่เราต้องการ ได้ทุกอย่างตามที่เราต้องการ แต่เราไม่มีความสุข เพราะว่าความสุขอยู่ที่ไหน (ที่ใจ)
เพราะว่าความสุขไม่ได้เกิดจากการไปหาข้างนอกเข้ามา แต่ความสุขมันเกิดจากการหาเข้าไปข้างใน ถามว่าทุกวันนี้เรามองหาหรือเปล่า หลับตาสิ หลับตาจะได้มองเห็น มองเห็นอะไร หลับตามองไม่เห็นอะไรเลย แต่เวลาหลับตาเรามักจะคิดจริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะว่าเวลาเราคิด คิดมากๆ เข้าถึงจุดหนึ่งเราจะหลับตาไปเอง เพราะอะไร เพราะว่าเราต้องใช้ใจของเรา ถึงตรงนั้นไม่ได้ใช้ตาที่เป็นตาเนื้อนี้ แต่ตาเนื้อกับตาใจมันก็ต่อกัน ตอนนี้ให้เราลืมตามองเห็นอะไร เรามองเห็นคน เรามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้าง แต่เวลาที่เรามองเห็นเรามองไม่เห็นตัวเองจริงหรือเปล่า (จริง)  ทำอย่างไรจึงจะมองเห็นตัวเองได้ ถึงตรงนี้จึงมาถึงคำว่า ย้อนมองแล้วก็ส่องตน ใช้คำว่า “มอง”  เหมือนกัน แต่มองแล้วไม่เหมือน ตอนนี้เราลองคิดทบทวนว่าเรามองเห็นว่าเรามีนิสัยเป็นอย่างไร สรุปแล้วเรามีนิสัยดีหรือไม่ดี เกือบดีใช่ไหมหรือว่ามีนิสัยไม่ดี เกือบดี ดีมากหรือมีนิสัยกึ่งดีและกึ่งไม่ดี เลือกอะไรดี ขอบคุณมากที่อุตส่าห์ยกมือยอมรับความจริง เราเป็นกึ่งๆ อย่างนี้ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  เมื่อไรเราจะข้ามกึ่งนี้ไป ต้องให้ใครแก้ (ตัวเราเอง)
ธรรมะที่ฟังสองวันนี้ก็เช่นเดียวกัน บางเรื่องรู้แล้ว บางเรื่องรู้มากกว่า บางเรื่องรู้น้อยกว่า แต่การฟังเป็นกำไร การพูดขาดทุน จริงไหม (จริง)  การฟังได้กำไร ยิ่งฟังมากพูดน้อยก็ยิ่งได้กำไรมาก ทีนี้เราจะเป็นคนกึ่งๆ อยู่อย่างนี้ไปชั่วชีวิตไหม ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์อายุ ๓๐ ก็ดี ๒๐ ก็ดี ๔๐ ไปจนถึง ๖๐ ก็ดี ถ้าตอนนี้เรากึ่งๆ อยู่ ให้เวลาไปจนถึง ๒๐ ปีเลิกเป็นคนกึ่งดีกึ่งไม่ดีได้ไหม (ได้)  ใครที่อายุ ๖๐ ปีขึ้นไปแล้วลุกขึ้นยืนหน่อย ถามว่าทุกวันนี้ยังเป็นคนกึ่งดีกึ่งไม่ดีไหม (ค่อนๆ ไปทางดี)  เห็นไหมว่าอีกกี่สิบปีเราก็ไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองได้ แต่หากอยากเปลี่ยนตัวเองไม่ต้องรอ ๒๐ ปี เมื่อไรดี เดี๋ยวนี้ อะไรก็แล้วแต่ที่บอกว่าเดี๋ยวค่อยทำได้ทำหรือเปล่า (ไม่ได้)  อะไรที่บอกว่าทำเลยได้ทำหรือเปล่า (ได้ทำ)  ได้ทำแล้วจึงทำได้ ไม่ได้ทำก็ทำไม่ได้  อะไรก็แล้วแต่หากว่ารู้ว่าเราเป็นคนไม่ดี เปลี่ยนได้เปลี่ยนเลย
“พฤติกรรมเหมือนเปลือกที่ถูกปอก”  ถ้าหากเอาส้มมาแกะเปลือกออกจะเห็นอะไร (เห็นเนื้อส้ม)  ปกติผลไม้มีเปลือกไว้สำหรับทำอะไร เปลือกมีไว้ห่อหุ้ม แกะเปลือกออกเห็นเนื้อ เนื้อในของเราเป็นอย่างไร เวลาเราพูดออกมาคนอื่นเขาฟังแล้วตีความ เขาปอกเปลือกตัวเราเรียบร้อย เราดีหรือไม่ดีเห็นได้ที่คำพูดของเรา แต่ว่ามีอีกอย่างที่เห็นชัดยิ่งกว่าคำพูดอีกคือ การกระทำ จริงหรือเปล่า (จริง)  สมมติว่าเราเบื่อคนนี้มากเลย ไม่ชอบ ให้เราไปประจันหน้ากับเขา เราจะทำหน้าอย่างไร ถามว่าแม้แต่ยิ้มตามมารยาทเราทำได้ไหม (ไม่ได้)  ยังทำไม่ได้เลย แปลว่าเราไม่เคยฝืนใจตัวเองเลย ฝืนใจตัวเองมากเกินไปก็ไม่ดี ไม่ฝืนใจตัวเองเลย ดีไหม (ไม่ดี) 
“แม้ยากบอกแต่เวลาพิสูจน์คน” หนทางพิสูจน์อะไร (พิสูจน์ม้า)  เพราะฉะนั้นตอนนี้เวลาพิสูจน์อะไร (คน)  แม้จะบอกได้ยากมากๆ ว่าคนๆ นี้เป็นอย่างไรเป็นคนดีหรือไม่ดี แต่เวลาย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ คนยิ่งใกล้ชิดกันยิ่งมองเห็นกันชัดเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนเป็นแฟนกันอะไรก็ดูดีไปหมดเลย พออยู่บ้านเดียวกันดีไม่ดีหลบได้ไหม โกหกได้ไหม (ไม่ได้)  ที่ไม่โกหกหรือโกหกไม่ได้เพราะว่าเห็นได้ที่ไหน (การกระทำ)  ผู้ชายที่อยากมีบ้านเล็กบ้านน้อยก็ชอบที่จะโกหก ทั้งๆ ที่ผู้หญิงก็จับได้แล้ว แต่ว่าโกหกแล้วได้ผลไหม ก็ยังได้ผลเรื่อยๆ เพราะว่าอย่างไรคำพูดถ้าพูดให้ดีก็จะเป็นคุณ แต่พูดไม่ดีก็จะกลายเป็นโทษ จริงหรือเปล่า (จริง)  แต่ตอนนี้เราไม่ได้พูดเรื่องคำพูด เรากำลังพูดเรื่องพฤติกรรม ถึงแม้ว่าจะโกหกสำเร็จ แต่พฤติกรรมซ่อนได้ไหม (ไม่ได้)  กลับบ้านไม่ตรงเวลา เงินหาย หนีเที่ยว เพราะฉะนั้นอะไรก็แล้วแต่ที่เราไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจริงหรือไม่จริง ไม่เป็นไร เวลาบอกได้ทุกอย่างจริงหรือเปล่า เวลาบอกได้ว่าคนๆ นั้นดีหรือไม่ดี เวลาบอกได้ว่าเราดีหรือไม่ดี เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอยู่กับใคร สนิทมากแค่ไหน จะรู้เขารู้เรามากแค่ไหน สิ่งหนึ่งที่ยังต้องมีไว้ให้กับทุกๆ คนเลยคืออะไร คือมารยาทและความเกรงใจ  ถ้าหากว่าคนๆ นี้สนิทกับเรามาก เราไม่ชอบคนมาตบหัว เขาเดินมาตบหัว ชอบไหม (ไม่ชอบ)  เขาเห็นว่าเขาสนิทกับเรา เราอาจจะไม่สนิทกับเขาก็ได้ เพราะฉะนั้นการที่เราสนิทกับใครก็แล้วแต่ จะเป็นคนบ้านเดียวกันก็แล้วแต่ จะเป็นลูกที่คลอดออกมาเองก็แล้วแต่ จะมีญาติมิตร เพื่อนที่รู้จักกันมายี่สิบสามสิบปีก็ดี สิ่งหนึ่งที่ยังต้องมีไว้ก็คือ “ความเกรงใจ”  คำไทยบอกว่า “ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี”  เพราะฉะนั้นเราต้องมีสมบัติชิ้นนี้ไหม (ต้องมี)  สมบัติชิ้นนี้ล้ำค่ากว่าเงินทอง สมบัติชิ้นนี้หาไม่ได้จากที่ไหน นอกจากตัวเราเอง มีสมบัติหรือไม่มีสมบัติ จะเป็นคนรวยหรือเป็นคนจนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับสมบัติที่เรามีอยู่ข้างใน คนรวยไม่น่าคบ คนจนน่ารังเกียจก็มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราดูแล้วเป็นอย่างไร ย่อมขึ้นอยู่กับเราทำอะไร
นั่งมาสองวันแล้ว นั่งอย่างมีความทุกข์หรือมีความสุข  นั่งอย่างมีความสุข แต่ขามันเมื่อยเอวมันปวดหรือเปล่า (ใช่)  นั่งเมื่อยแล้วก็อยากยืนจริงหรือเปล่า เวลานั่งรถเมล์นั่งเมื่อยก็ไม่เห็นจะลุกให้ใครนั่งเลย จริงหรือเปล่า (จริง)  แต่ถามว่าที่ถูกต้องแล้วคืออะไร ในเมื่อนั่งจนเมื่อยแล้วก็ลุกให้คนอื่นนั่ง จริงไหม (จริง)  แต่เราทำไหม (ไม่ทำ)  อย่างนี้เขาเรียกว่ารู้แต่ไม่ทำ อีกยี่สิบปีข้างหน้าเราก็ยังเปลี่ยนเป็นคนที่ดีไม่ได้ เพราะเรายังไม่ยอมลุกให้ใครนั่ง เราไม่ยอมลุกในขณะนั้น (มโนธรรม)  สำนึกของเราว่าเราไปอีกสองชั่วโมงเรายังไม่หยุดด่าตัวเองเลย จริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากด่าตัวเองต้องทำอย่างไร ลุกขึ้นดีหรือเปล่า (ดี)  ถ้าหากว่าจะเป็นลมค่อยสะกิดเขาขอที่นั่งคืน ทำได้ไหม เคยไหมขึ้นรถเมล์แล้วเขาไม่ลุกให้เรานั่ง (เคย)  เคยไหมเราถือของหนักแล้วไม่มีคนช่วยถือ (เคย)  แสดงว่ากรรมตามสนอง จริงหรือเปล่า (จริง)  ในขณะเราไม่ได้นั่ง เราไม่ได้นึกถึงตอนที่เรานั่ง แต่เวลาที่เราได้นั่งเราก็ทำเหมือนกันจริงหรือเปล่า (จริง)  เพราะฉะนั้นทำอะไรคิดให้ดี อย่าให้มโนธรรมสำนึกของเราว่าเราไปอีกสองชั่วโมง
ฉะนั้นเมื่อฟังอาจารย์พูดถึงตรงนี้ ศิษย์ว่าธรรมะนี้ดีไหม (ดี)  แต่ที่ศิษย์ว่าธรรมะไม่ดีอยู่ที่ไหน  ธรรมะนี้ไม่ดีเพราะว่าคนที่ปฏิบัติ ยังปฏิบัติไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  เราจึงต้องหัดแยกแยะออกจากกันว่า เราจะพูดว่าธรรมะไม่ดี หรือเราจะพูดว่าคนที่ปฏิบัติธรรมไม่ดี จริงหรือเปล่า (จริง)  พูดอย่างนี้ไม่ได้แก้ตัวให้กับคนอื่นๆ แต่คำว่า “ธรรมะไม่ดี”  เป็นอุปสรรคที่อยู่ในใจของเรา คำว่า “ธรรมะไม่จริง”  เป็นอุปสรรคในใจของเราว่า เราคิดอะไรอยู่ เมื่อเราคิดว่าไม่ดี ไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง เราจะมาบำเพ็ญไหม   เราก็ไม่ยอมที่จะก้าวแม้เพียงหนึ่งก้าวเลย จริงหรือเปล่า (จริง)
วันนี้อาจารย์มาพร้อมแก้วน้ำหนึ่งแก้ว ที่สมมติขึ้นในมือ แก้วน้ำนี้มีน้ำอยู่เต็มแก้ว ถามว่าทำอย่างไรอาจารย์ถึงจะใส่น้ำเข้าไปเพิ่มในแก้วนี้ได้  มีน้ำอยู่แก้วหนึ่ง แล้วมีน้ำเปี่ยมอยู่เต็มปากแก้ว ถามว่าเราจะทำอย่างไร ให้เราสามารถใส่น้ำเพิ่มเข้าไปได้อีก (ทำน้ำในแก้วหกก่อน, ให้คนอื่นทานน้ำ, แบ่งน้ำให้คนอื่น, ทำน้ำหก คว่ำแก้วน้ำ) ปรบมือให้กับคำตอบสุดท้ายดีไหม สงสัยว่านักเรียนชั้นนี้จะเป็นคนคิดมากอยู่สักหน่อยนะ ยิ่งตอบ คำตอบยิ่งหลากหลายแยบยลขึ้นทุกทีเลย
แต่ความหมายของการที่มีน้ำอยู่ในแก้วนั้นคืออะไร ตอนนี้ทุกคนมานั่งอยู่ที่นี่  มีบุคคลที่มีความรู้สูงอยู่หลายคน เป็นปัญญาชนอยู่หลายคน อาจารย์จะบอกให้ แก้วที่มีน้ำอยู่เต็มเปี่ยมเนี่ยก็เปรียบเสมือนคนที่มีความรู้อยู่มากมาย ตอนนี้อาจารย์จะมาเติมน้ำอันใหม่ คือความรู้อันใหม่เข้าไป ถามว่าศิษย์จะยินดีเทน้ำเดิมทิ้งหรือเปล่า (ยินดี)  อันนี้เป็นแค่การเปรียบเทียบ เทไป ใจของศิษย์นั้นความรู้ก็ไม่ได้ลดลง การเพิ่มเข้าไปก็อาจไม่ทำให้ความรู้ศิษย์เพิ่มขึ้น แต่ทำให้ทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์มาอยู่ที่นี่แล้วเราเป็นผู้ที่มีบุญร่วมกัน ให้เรานั้นพูดจาสื่อกันเข้าใจ
อาจารย์ยืมร่างมาด้วยความจำใจ ไม่ได้จงใจจะให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นติดในรูปลักษณ์ใดๆ ฉะนั้นในวันนี้หวังว่าให้ศิษย์เทน้ำในใจของศิษย์นั้นออกบ้าง เพื่อให้ศิษย์ของอาจารย์นั้นฟังสิ่งใดเข้าใจเข้าไปบ้าง เข้าหูเข้าไปบ้างเอาไปปฏิบัติได้บ้าง บางทีเราอาจจะมาที่นี่เพราะว่าเราเกรงใจ แม้ว่าเราจะเป็นคนอยู่ในบ้านนี้เองก็อาจจะเกรงใจเหมือนกัน มีผู้ใหญ่กว่าเราเรียกมา เมื่อมีผู้ที่เราเคารพรักนั้นเรียกให้เรามานั่งฟัง แต่เมื่อเรามานั่งแล้วถามว่า เคยทำอะไรเสียเที่ยวไหม (เคย)  ส่วนใหญ่เวลาเราทำอะไรเราจะไม่ให้เสียเที่ยวเลย เราทำแล้วเราต้องได้มากขึ้นๆ แต่วันนี้เราจะได้เพิ่มมากขึ้นหรือเราจะขาดทุนหรือเสียทีที่มานั่งฟังหรือเปล่า
อย่างน้อยถึงจะไม่ได้อะไรเพิ่มพูนกลับไปแต่อย่าให้เสียเที่ยวที่มานั่งฟังดีหรือไม่ (ดี)  นั่งอยู่ที่นี่ คนที่อยู่ที่นี่เป็นคนดีหรือเปล่า (ดี)  บางครั้งศิษย์มองออกว่าเป็นคนดี หรือบางทีพูดไม่ดีแต่ก็เป็นคนดีได้จริงหรือไม่ (จริง)  ถึงบางทีทำไม่ดีแต่จริงๆ เจตนาของเขาไม่ใช่อย่างนั้น เหมือนกับศิษย์เคยยิ้มให้ใคร ถามว่าถ้ายิ้มด้วยความจริงใจได้ ศิษย์จะทำไหม (ทำ)  แต่ส่วนใหญ่เราก็ยิ้มให้เขาตามมารยาท ยิ้มไปแกนๆ เพราะว่าเรานั้นเลี่ยงไม่ได้ใจมันไม่ยอมยิ้มใช่หรือเปล่า บางทีใจของเรามันยิ้มไม่ออก เพราะฉะนั้นยิ้มให้ใครก็ยิ้มไม่ออก เช่นเดียวกัน มาที่นี่ แม้ว่ามาแล้วอาจจะดี หรืออาจจะไม่ดีกับตัวเราก็ขอให้เรานั้นตั้งใจทำ แล้วเก็บสิ่งที่ดีกลับไปให้มากดีหรือไม่ ความดีทำให้คนอื่นก่อน ทำให้คนอื่นเขามากๆ แม้กระทั่งเขาไม่ได้ให้เงินทอง ไม่ได้ให้กำไรอะไรแก่เรา แต่หากว่าเราทำอย่างนี้เสมอเราขาดทุนไหม  (ไม่ขาดทุน)  เราทำดีให้คนอื่น คนอื่นส่งยิ้มให้เรากลับมา ถามว่าเรากำไรไหม (กำไร)  เราก็กำไรแล้ว
เกิดเป็นคนอย่าคิดแต่เรื่องผลประโยชน์มากเกินไป ผลประโยชน์ทำให้คน
ตาพร่ามัว โดยเฉพาะเงินทองที่เราประสงค์ เราอยากจะได้เงินก้อนนี้จากการทำงานชิ้นนี้มากๆ เวลาเรามองเงินมากจิตใจขุ่นมัวไหม เราอยากจะได้ตำแหน่งนี้มากๆ ตำแหน่งนี้ควรจะเป็นของเราหรือว่าเราก็สามารถทำได้ เราอยากได้ตำแหน่งมากๆ เราจะทำสิ่งที่ไม่ดีออกไป เพื่อที่จะแย่งให้ได้สิ่งนั้นมา
ฉะนั้นคนเราอย่าได้เห็นแก่ผลประโยชน์มากเกินไปโดยเฉพาะกับคนของคนกรุง สังคมของคนกรุเทพมีผลประโยชน์ล่อตาล่อใจอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งขึ้นรถเมล์ยังมีผลประโยชน์จริงหรือเปล่า มีประโยชน์ว่าเราจะต้องรีบขึ้น เราถึงจะได้นั่ง ถ้าเราขึ้นช้า ได้นั่งไหม ตกลงศิษย์ต้องการถึงปลายทางหรือต้องการขึ้นไปนั่งให้ได้ อยู่บ้านนั่งนานไหม (นาน)  นั่งนานอยู่แล้ว ดูหนังนานกี่ชั่วโมง สองชั่วโมงถามว่านั่งพอหรือยัง ยืนสักหน่อยเป็นไร ขาไม่ดีหรือเปล่า เข่าไม่ดีหรือเปล่า หลังไม่ดีหรือเปล่า หรือว่ายืนไม่อยู่ อาจารย์ว่าศิษย์ของอาจารย์ขาก็ดี เข่าก็ดี หลังก็ดี แล้วก็แถมโชกโชนประสบการณ์ในการยืนไม่ให้ล้มด้วยจริงหรือไม่  แต่ว่าเสียสละให้ผู้อื่นได้หรือเปล่า
มาที่นี่เรามีเพื่อนมากมาย มีสุภาษิตจีนคำหนึ่ง “ถ้าหากว่าเราคบเพื่อนดีไม่ได้ ก็สู้นอนอยู่กับบ้านดีกว่า” ถ้าหากว่าศิษย์ออกไปข้างนอกมีเพื่อนดีๆ ไม่ได้อาจารย์ขอแนะนำให้ศิษย์อยู่กับบ้านดีกว่า ถ้าทำอะไรแล้วผิดสู้อยู่เฉยๆ ดีกว่า เพราะว่ามันก็จะไม่ผิดจริงหรือไม่ เพราะฉะนั้นเวลาจะทำอะไรสักที ก็ขอให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสมดีงามและไม่ต้องด่าตัวเอง ถ้าหากพูดอะไรก็พูดให้ดี พูดให้คนอื่นมีรอยยิ้ม พูดแล้วไม่ให้คนอื่นมาว่าทีหลัง คนนี้ปากไม่ดีอย่างนี้คุ้มไหม
คนเราเกิดมาในชีวิตคนๆ หนึ่ง อยากจะเป็นคนดีหรือคนไม่ดี อย่าเอาตัวของเรามาตัดสินว่าเราดีหรือเปล่า แต่มันต้องเป็นสิ่งที่คนอื่นมาตัดสิน เหมือนเรามองลูก มองหลาน มองเพื่อน เรามองแล้วคนนั้นดีหรือเปล่า เราบอกได้เลยว่าคนนั้นดีหรือเปล่า เพราะอะไร เพราะศิษย์มองเขาตลอดเวลาจริงหรือไม่ แล้วถามว่าเรามองตัวเองตลอดเวลาไหม เรามองตลอดเวลา ทุกอย่างที่ทำไปเราต้องรู้ใช่ไหม แต่เราเข้าข้างตัวเอง ว่าเรายังดี ที่เราทำอย่างนี้เพราะคนโน้นทำมา ถ้าทำอย่างนี้แล้วถามว่า เรานั้นมีความสุขจริงไหม เราไม่มีความสุขจริงๆ หรอก อยากมีความสุขจริง อยากเป็นมนุษย์ที่แท้จริง เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ต้องทำอะไร ต้องไม่ใช่คนที่รู้แล้วยังทำ ทำได้ไหม สิ่งที่อาจารย์พูดจะดีหรือเปล่านั้นอยู่ที่ใคร อยู่ที่ตัวคนที่นั่งฟังตรงนี้ จริงหรือเปล่า คนฟังเนี่ยทำได้แค่ไหนก็ได้แค่นั้น หุงข้าวหนึ่งถ้วยถามว่าจะหุงข้าวให้เท่ากับสองถ้วยได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ข้าวหนึ่งถ้วยหุงขึ้นมา จำนวนก็เท่ากับหนึ่งถ้วย หุงข้าวสองถ้วยข้าวที่ขึ้นมาก็เท่ากับสองถ้วย ส่วนข้าวนั้นพอกพูนมากแค่ไหน พอกินหรือไม่ อันนี้ย่อมขึ้นกับเราเป็นผู้กะ


“เพราะกลัวเป็นคนไม่ดี   ถึงทีต้องพูดไม่กล้า”
เคยไหมไม่กล้าพูด พูดกันทั้งวัน วันหนึ่งพูดตั้งหลายชั่วโมงเนี่ย แต่บางคำไม่กล้าพูดใช่หรือไม่ อาจารย์จะบอกให้ ว่าคนอื่น, นินทาคนอื่น, โกหกคนอื่น, พูดจาเพ้อเจ้อ เหล่านี้ไม่ต้องกล้าพูด อย่าได้พูดออกมา แต่หากเป็นคำที่เตือนสติเขา ถ้าเราพูดช้าจะได้ผลไหม ถ้าหากเป็นคำที่ให้สติเขาเราต้องพูดทันที พูดในขณะที่เหตุการณ์นั้นเกิด เพราะถ้าหากเราพูดช้าเขาก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เราพูด หลายๆ คนไม่ใช่นักสื่อสารความในใจ คือเป็นคนจริงใจ เป็นคนที่บริสุทธิ์ใจ เจตนาดี แต่พอพูดออกมาแล้วเป็นอย่างไร เสร็จเลย โดนเขาจำฝังอยู่ในจิตใจ ว่าเราเป็นคนไม่ดีเลย ทำไมพูดจาแบบนี้ คือไม่ใช่นักสื่อความในใจของตัวเองที่ดี ฉะนั้นเวลาเราพูดนอกจากจะพูดให้ได้ใจความ พูดให้ดีแล้ว เรายังต้องใช้อีกหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างเข้ามาประกอบคำพูด ไม่ว่าจะเป็นเจตนาบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่ดี ถ้าหากบอกว่าเป็นคนเจตนาบริสุทธิ์ แต่พูดคำว่าคำ ถือว่าดีไหม (ไม่ดี)  เพราะฉะนั้นคำพูดที่เราพูดออกมา พูดวันหนึ่งหลายชั่วโมงจึงต้องพูดให้ดีทุกๆ ชั่วโมง ต้องพูดให้ดีทุกๆ คำเลย
“เสียเรื่องก็เพราะพูดช้า พูดเร็วเกินหน้าใช่ดี”
ใช่ดีก็คือใช่ว่าจะดี หรือว่าพูดอีกทีก็คือ ไม่ดี ถึงตอนที่ควรหยุดก็ควรหยุด หยุดตรงไหนดี  “จงพูดเท่าที่คนฟัง”  บางทีคำพูดของเราดีมาก แต่คนฟังไม่อยากฟัง ถามว่าเราพูดตอนนั้นเขาเป็นอย่างไร น้ำล้นออกจากแก้ว เพราะฉะนั้นจงพูดเท่าที่คนฟัง แต่บางทีเรารู้ว่าสิ่งที่เราพูดนี่แสนที่จะดี  แต่ถ้าหากคนไม่ฟัง พูดให้ดีแค่ไหน ในเมื่อตัวส่งๆ ไปไม่มีคนรับ ทำได้ไหม (ไม่ได้)  วันนี้อาจารย์ให้เรื่องพูดนะ เพราะวันหนึ่งพูดตั้งหลายชั่วโมง เสร็จแล้วก็พูดให้คนอื่นเขาผิดใจ พูดให้คนอื่นดีใจ ช้ำใจ
“พูดเป็นไม่ทำใครโกรธ”  เราเคยพูดแล้วทำใครโกรธไหม (เคย)  แสดงว่าเรายังพูดไม่เป็น
“วาจาเป็นดังเหมือนทูต  ดึงดูดคนด้วยความดี”  ตอนนี้ดึงดูดคนด้วยเสื้อผ้า หน้าตา เงินทอง สิ่งของกำนัล ดึงดูดคนด้วยทุกอย่างที่เป็นสิ่งนอกกาย แต่เราไม่เคยดึงดูดคนด้วยความดี จริงหรือเปล่า (จริง)  ทำอย่างไรให้สามีอยู่กับบ้าน ให้ภรรยาไม่
ขี้บ่น อันนี้เป็นปัญหาโลกแตกของคนที่มีครอบครัว เขาบอกว่าเราบ่นมาก ทั้งๆ ที่รู้ว่าบ่นมากแต่ว่าอดบ่นได้ไหม เขาบ่นมากๆ ตีความง่ายๆ ก็คืออยากให้เราเงียบๆ ใช่หรือเปล่า แต่เราเงียบไหม ยิ่งพูดใหญ่เลย บอกว่าสามีเป็นคนที่ไม่รักดีเลย ไม่เอาถ่านเลย ถามว่าสามีรู้ไหมว่าภรรยาต้องการอะไร รู้ ก็แค่ให้ขยันทำมาหากิน อย่าติดเที่ยว ติดเล่นมากเกินไป เพราะว่ามีลูกแล้วใช่หรือเปล่า แต่ว่าสามีทำได้ไหม ก็ไม่ค่อยทำเป็นเรื่องง่ายๆ ของคนที่ยากๆ
เวลาฟังอาจารย์พูดถึงเรื่องการทำดี พูดถึงเรื่องการปฏิบัติธรรม ในชีวิตจริงของหลายๆ คน กลับไปบ้านแล้ว ทุกคนคงจะมีสิ่งที่ตามมาสำหรับคนที่ลงมือทำก็คือ การทำผิดพลาดจริงหรือเปล่า (จริง)  ทุกคนเกิดมาเป็นคนต้องทำผิดทั้งนั้น ไม่มีใครไม่ทำผิดจริงหรือไม่ (จริง)  ความผิดก็เป็นธรรมดาคู่กับความดี ความผิดก็เป็นธรรมดาคู่กับคนที่ลงมือทำ หากไม่ทำก็ไม่ผิด ทำมากก็ผิดมาก แต่เราจะทำอย่างไรในเมื่อความผิดนั้นมันตรงข้ามกับความถูกต้อง ทีนี้เราต้องมานั่งพิจารณาว่าทำอย่างไรเราถึงจะพ้นผิดได้ เวลาที่เราทำผิด เราจะต้องมีใจที่ระลึกไว้อย่างหนึ่ง คืออะไรรู้ไหม เมื่อผิดแล้วเราต้องรู้ตัวว่าเราทำผิด เมื่อเราทำผิดแล้วเราจะไม่ทำผิดอีก เมื่อเราทำผิดแล้วเราจะสำนึกอย่างจริงใจ เมื่อเราทำผิดแล้วเราจะแก้ไขอย่างจริงจัง นี่คือสิ่งที่เอาไว้รับมือสำหรับความผิดพลาดที่เราทำ เราอยากจะเกิดมาเป็นคนรวยกว่านี้ เราอยากเกิดมาเป็นคนที่อยู่ในตระกูลที่มีหน้าตามากกว่านี้ เราอยากเกิดเป็นคนที่สวยกว่านี้ สมบูรณ์แบบกว่านี้ เราอยากเกิดมาเป็นคนที่สายตาไม่สั้น
เราอยากเกิดมาเป็นคนที่ตัวสูง เราอยากเกิดมาเป็นคนที่หุ่นดี เราอยากเกิดมาเป็นคนที่มีพร้อม เราอยากเกิดมาเป็นคนที่เสียงเพราะ เราอยากเกิดมาเป็นคนที่ดีกว่านี้ แต่ทุกคนนั้นยังไม่คิดว่าจะไม่เกิดเลย ความทุกข์ที่มีทุกอย่างนี้ มีมาหลังที่เราเกิดแล้ว เมื่อเกิดแล้วจึงมีทุกข์ หากจะดับทุกข์กันจริงๆ แล้ว ต้องเลิกเกิด แต่ตอนนี้เราไม่ได้เลิกเกิด แต่เราเลือกเกิด ฉะนั้นเราต้องรู้จักที่จะต้องทำสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ให้มันดีกว่า เราต้องทำสิ่งที่เรามีอยู่ในตอนนี้ให้สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นอยู่ในวันนี้ให้ดีได้
อย่ามัวตัดพ้อน้อยใจ อย่าคิดว่าฆ่าตัวตายแล้วจะดีขึ้น ถ้าหากว่าศิษย์เองไม่เชื่อว่าเราเกิดมามีจิตวิญญาณสามารถหลุดพ้นการเกิดดับได้ ไม่เชื่ออาจารย์ยืนอยู่ตรงนี้ ไม่เชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยืมร่างเป็นเรื่องจริง แต่ทำไมเชื่อว่าถ้าตายเกิดมาแล้วจะดีกว่านี้ แล้วตายแล้วจะไปที่ไหนล่ะ จริงไหม (จริง)  เพราะฉะนั้นอย่าเลือกเชื่อเป็นบางเรื่อง แล้วไม่เชื่อเป็นบางเรื่อง
จงพัฒนาชีวิตของตัวเองทุกวันนี้ให้ดีขึ้น แล้วจงทำในสิ่งที่เราอยากจะเป็นให้มาก แต่อย่าเพ้อฝัน ทำอย่างจริงจัง จริงใจ คนที่มีอุดมการณ์ยาวไกลดูแล้วน่าเคารพ น่ายกย่อง แต่ศิษย์เอ๋ยคนมีอุดมการณ์ไกลมาก เหมือนคนเพ้อฝัน เพ้อเจ้อ ฉะนั้นเมื่อเราคิดจะเป็นอะไร ขอให้เราทำ เพราะเราเกิดมาเป็นคนแล้ว ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็ไม่รู้จะเกิดมาทำไม แต่ทำอะไรก็แล้วแต่ทำให้ดี ทำให้เต็มที่ แล้วทำในสิ่งที่ไม่ผิดต่อตัวเอง และไม่ผิดต่อผู้อื่น
เวลามีเท่ากันทุกคน จะเอาเวลาไปใช้ทำอะไร จะเอาเวลานอนอยู่กับบ้าน หรือจะเอาเวลาออกไปช่วยคนอื่น เอาเวลาออกไปทำงาน เอาเวลาไปหาเงิน จะเอาเวลาออกไปทำอะไร เวลามีมากมายเท่ากันทุกคน ต่อให้เป็นจอมปราชญ์ทั้งหลายก็มีเวลาเท่ากับศิษย์  แล้วทำไมเขาถึงทำสิ่งยิ่งใหญ่ได้ แล้วศิษย์ทำในสิ่งที่ แม้กระทั่งคนข้างบ้านยังไม่รู้เลยว่าศิษย์ทำอะไร หรือคนในบ้านยังเดาทางไม่ออกเลยว่าศิษย์จะเป็นอะไร ทำไมเราถึงเป็นคนที่ดูแล้วชีวิตไร้คุณค่าขนาดนั้นล่ะ เพราะว่าเรานี่เป็นคนที่แม้กระทั่งตัวเองยังไม่รู้จักตัวเองเลย จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นหลังจากวันนี้ต้องมองข้างในตัวเองให้มากๆ มองข้างนอกตัวเองให้น้อยๆ ศิษย์จะไปวิ่งไล่ตามกระแสสังคมที่มันรุดหน้าไปเรื่อยๆ จะเป็นแฟชั่น จะเป็นหนังสือ จะเป็นสังคม จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ จะเป็นวิทยาศาสตร์ จะเป็นทุกๆ ด้าน คนไล่ตามเหนื่อย คนวิ่งตามเหนื่อย ส่วนคนที่นำหน้าไปเหนื่อยไม่เหนื่อย (ไม่เหนื่อย) เขาอยากจะนำเขาก็นำไป เราวิ่งตาม ทำไมเราไม่ลองจะกลับมานำตัวเอง จะได้ไม่ต้องวิ่งไล่ตามอะไร นำตัวเองให้ตัวเองรุดหน้า ยกระดับจิตใจของตัวเองให้เป็นที่หนึ่ง  อย่างน้อยถึงเราจะไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทอง ไม่ได้มีฐานะ ไม่ได้มีชาติตระกูล แต่เรามีความภูมิใจ ภูมิใจในชีวิตนี้ที่เกิดมาแล้วเป็นคนที่มีคุณค่าที่สุด  อย่างน้อยตอบใครไม่ได้ เพราะเขาเอาเงินทองมาวัดเป็นบรรทัดฐาน เอาหน้าตาสังคมมาวัดเป็นบรรทัดฐาน เอาเสื้อผ้ามาวัดเป็นบรรทัดฐาน ไม่เป็นไร ศิษย์ไม่ต้องตอบคนพวกนั้น ศิษย์ตอบตัวเองได้ไหม ว่าภูมิใจในตัวเองมากพอหรือยัง ว่าพอใจกับชีวิตที่เกิดมาหรือยัง ทำอะไรเต็มที่แล้วหรือยัง กลัวอะไร กลัวเหนื่อย กลัวลำบาก กลัวยาก  กลัวทำไม ถามว่าทุกอย่างที่ทำมีอะไรไม่ยากไหม
วันนี้อาจารย์ลงมาหาศิษย์อาจารย์ก็ยาก แต่อาจารย์กลัวไหม ไม่ได้กลัว เพราะว่าคิดว่าศิษย์ยังมีทางที่จะตื่นขึ้นมาในจิตใจตัวเอง ฉะนั้นไม่ว่าศิษย์ในวันนี้ วันหน้าศิษย์บรรลุเป็นพุทธะแล้ว ศิษย์ก็เจอความยากไปเรื่อยๆ ความยากมาคู่โลก เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัว กลัวเหนื่อยไหม งานเหนื่อยๆ คนทำน้อยหรือเปล่า (น้อย)  งานสบายคนทำเยอะ แล้วคนสบายถึงจะมีเวลาพูดนินทากัน คนสบายถึงมีเวลาว่างมาว่ากัน จริงไหม (จริง)  เพราะฉะนั้นลำบากหน่อย เหนื่อยหน่อย จะได้ไม่พูดเยอะ จะได้ไม่ต้องคิดฟุ้งซ่าน ดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าหากวันนี้ห้องน้ำทุกห้องไม่มีคนล้าง คนร้อยคนเข้าไม่มีคนล้างได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าหากว่าคนร้อยคนมา แล้วไม่มีคนทำกับข้าวได้ไหม (ไม่ได้)  ทุกที่ต้องมีคนลำบาก อยู่ที่ใครจะยอมทนลำบาก ศิษย์หรือใคร
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง รักสติ ทำนองเพลง นึกว่าสงสาร)
เพลงนี้อาจารย์ออกจะไปทางเพลงทางโลกหน่อยๆ นะ แต่เป็นเพราะว่าศิษย์ของอาจารย์ช่วงนี้หลายคน ออกจะไปทางโลกหน่อย แม้กระทั่งคนที่มีธรรมะอยู่เต็มอก อยู่วงการธรรมะมาตั้งแต่เด็กก็ยังไปทางโลกกันเยอะเลย เมื่อเด็กเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ความรักก็เป็นเรื่องที่ตัดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเพลงนี้อาจารย์ให้ชื่อว่า “รักสติ”  รักกันฉันหนุ่มสาวเป็นสิ่งที่หวือหวาเร้าใจ เป็นสิ่งที่หอมหวาน แต่ว่าให้อยู่ในกรอบในระเบียบความเหมาะสม อย่าปล่อยใจให้เตลิดมาก อย่าหลบๆ ซ่อนๆ ดูแล้วไม่งาม พูดอย่างนี้เพราะว่าเป็นหลายคน อย่าได้บอกว่าเป็นของใครคนใดคนหนึ่ง วันหนึ่งก็อาจจะเจอกับเราก็ได้ แม้นกระทั่งคนที่อยู่ในวัยสี่สิบก็ยังไม่ค่อยแน่ คำพังเพยบอกว่า “ความรักทำให้คนตาบอด” แล้วก็ตาบอดไปหลายคน เพราะฉะนั้นขอให้อยู่ในสิ่งที่เหมาะควร
สถานธรรมมีคำพูดที่ใช้กันมานานคำว่า “สามบริสุทธิ์ สี่เที่ยงตรง”  สามบริสุทธิ์หมายถึงอะไร ชายหญิงชัดเจน เงินทองชัดเจน และทางโลกทางธรรมชัดเจน ทางโลกทางธรรมที่อาจารย์เจอในช่วงนี้ที่พูดถึงอาทิตย์ที่แล้วคือขายของในสถานธรรม วันนี้ก็มาพูดเรื่องชายหญิง ฉะนั้นทุกคนอย่าไปมองใคร ให้มองที่ตัวและระวังตัว หากคิดว่าจะผูกห่วงแล้ว ห่วงให้ดี เอาตัวให้รอด
ในการบำเพ็ญธรรมร่วมกัน แน่นอนคนที่มีความรู้เมื่ออยู่ในสังคมย่อมเป็นผู้นำอยู่แล้ว ในการบำเพ็ญธรรมก็เหมือนๆกัน คนที่มีความรู้บางคนก็เป็นผู้นำเสมอ แต่การบำเพ็ญไม่ได้ใช้ความรู้ แต่ใช้ความรู้ตื่น ใช้ความรู้ตัว ใครสะกิดตัวเองได้เร็วกว่ากัน คนๆ นั้นก็บำเพ็ญธรรมะได้เข้าถึงมากกว่ากัน ฉะนั้นจงแปรความรู้ที่มีให้เป็นความรู้ตื่น โดยเฉพาะคนที่มีความรู้อยู่ที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน คือมีความรู้แล้วทำงานสบาย เมื่อสบายแล้ว ก็ว่างมากเกินไปก็จ้ำจี้จ้ำไชคนอื่นเขา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เป็นอย่างนี้ ฉะนั้นถ้าอาจารย์จะเลือกบุคลากรสักคนหนึ่ง อาจารย์จะเลือกเขาที่คุณธรรมไม่มองที่ความสามารถ เพราะคุณธรรมของคนหาไม่ได้ในคนทุกคน แต่ความสามารถแม้ฝึกก็ได้แล้ว เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์หลายคนก็ทำงานธรรมะ ทำงานทางโลก จงฝึกในสิ่งที่ขาดไปคือคุณธรรม บารมีเกิดจากไหน บารมีเกิดจากสิ่งที่คนอื่นมองเรา แล้วเขาเคารพ อย่าดุมากเกินไป อย่าเสียงดัง อย่าพูดจาให้คนฟังรับไม่ได้ อย่าโกรธโดยแสดงกิริยาท่าทาง อย่าใช้อำนาจ อย่าเอาเงินทองมาวัดและซื้อใจใคร สถานธรรมใหญ่โต อาจารย์ไม่ดีใจ ที่นี่เล็กไปนิดหนึ่ง เมื่อเทียบกับปริมาณศิษย์ตรงนี้ แต่โดยทั่วไปที่นี่ก็กว้างดีใช่ไหม ฉะนั้นทุกอย่างมีความเหมาะสมในทุกๆ ช่วง ช่วงไหนเหมาะสมกับใคร คนไหนเหมาะสมจะทำอะไร การใช้คนก็มอบงานตามความสามารถนั่นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านี้
วันนี้อาจารย์มาที่นี่อาจารย์หวังว่า ศิษย์ทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ ไม่ว่าจะนั่งโดยไม่ตอบอะไรเลย จะนั่งโดยมีจิตใจรับฟังอาจารย์หรือไม่รับฟังอาจารย์ก็ดี จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ดี สิ่งที่ศิษย์ทำได้ขอให้กลับไปทำ ให้ชีวิตนี้ได้ชื่อว่าเป็นคนดีเป็นอย่างน้อย และสามารถเป็นผู้บำเพ็ญธรรมเข้าถึงธรรม และเป็นผู้นำธรรมไปให้ผู้อื่นนั้นมีความสุข สร้างความสุขให้คนอื่นแล้วตัวเองจะมีความสุข ถ้าอยากมีความสุขแล้วบำรุงบำเรอตัวเอง ศิษย์จะไม่มีความสุข เพราะว่าคนไม่เคยมีใครรู้จักพอเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท คำว่า “เมตตาด้วยธรรม”)
ปกติเราจะได้ยินแต่คำว่า เมตตาธรรม ใช่หรือเปล่า คนสมัยนี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีเมตตาทุกคน ศิษย์กล้าว่าใครว่าไม่เมตตาหรือเปล่า คำว่าเมตตาของคนปัจจุบันจึงไม่ใช่คำว่าเมตตาธรรม แต่เป็นคำเมตตาที่ยกย่อง เป็นคำเมตตาที่เมตตากันแต่เปลือก คือมันไม่ลึกเข้าไปอยู่ข้างในใจจริงๆ ฉะนั้นอาจารย์บอก เมตตาด้วยธรรม คืออย่าลืมว่า เมตตาต้องใช้ธรรม ธรรมะแปลว่าความดี ฉะนั้นเมตตาคนด้วยความเป็นคนดีของเรา ถ้าหากว่าเรายังกลัวว่าคนอื่นจะว่าเราเป็นคนไม่ดี เราเลยเมตตาอย่างนั้นไม่ใช่เมตตา หรือเมตตาเหมือนแม่เมตตาลูก แต่ว่าเมตตาแบบถึงขั้นเอาใจลูก แล้วก็เลี้ยงลูกออกมาผิดๆ อย่างนี้ก็ไม่ใช่เมตตาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเมตตาต้องกลางๆ คือต้องทำให้ผู้อื่นได้ดี เข้าใจไหม ฉะนั้นไม่ว่าจะเข้าไปอยู่ในมุมใด สังคมใด วันใด ขอให้ศิษย์เมตตาคนด้วยธรรม เข้าใจไหม (เข้าใจ)
อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะพูดไว้เมื่อต้องใกล้กลับ  ศิษย์เอ๋ย เกิดเป็นคนต้องหัดทำใจ ความทุกข์ที่มีอยู่ทุกวันนี้ อาจจะลดลงได้หากเราเป็นคนที่รู้จักทำใจ ความทุกข์เป็นปัญหาของมนุษย์ ความสุขเป็นปัญหาของมนุษย์ ความสุขและทุกข์เป็นปัญหาของคนทุกคน ไม่มีคนไหนไม่เจอ ไม่มีคนไหนไม่เป็น แต่มันขึ้นอยู่กับว่าทำใจได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อมีความสุขอย่าหลงระเริง ต้องรู้จักหยุดตัวเองด้วย เมื่อมีความทุกข์ก็จงหยุดตัวเองเหมือนกัน ไม่มีอะไร สุขมากเกินไปก็ไม่ดี ทุกข์มากเกินไปก็ไม่ดี อาจารย์พูดมาถึงตรงนี้เหมือนกับว่าอาจารย์พยายามจะแก้ปัญหาให้มนุษย์ ซึ่งมนุษย์เป็นผู้วุ่นวายสับสนที่สุด อาจารย์ก็ไม่รู้ว่าอาจารย์จะแก้ปัญหาได้มากน้อยแค่ไหน สองวันนี้อาจารย์คงไม่หวังว่าสามารถทำให้ศิษย์นั้นเข้าใจแล้วก็ตื่น แต่หวังว่าสองวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ให้ศิษย์นั้นกลับมาศึกษาธรรมบ่อยๆ ได้ไม่ได้ (ได้)
อาจารย์หวังดี อย่ามองอาจารย์ว่ามาเล่นละคร ถ้าหากว่ายังรู้สึกไม่ค่อยแน่ไม่ค่อยชัด วันหลังต้องศึกษาบ่อยๆ  เวลาใครถามว่ามีเวลามาสถานธรรมไหม อย่าพูดประโยคแรกว่าไม่มีเวลา คิดก่อนว่ามีเวลาหรือเปล่า


คนสมัยก่อนบำเพ็ญธรรมเน้นการสวดมนต์ เน้นการไหว้ สมัยนี้ให้ศิษย์มา
สวดมนต์ก็ทำไม่ได้ จิตใจก็ไม่สงบพอ แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์สวดมนต์วิธีใหม่ สวดด้วยการปฏิบัติ ในเมื่อการสวดมนต์แผ่เมตตาคือการให้ ถ้าอย่างนั้นขอให้ทำวันละ ๒๔ ชั่วโมง เห็นคนตกทุกข์ได้ยากเมื่อไหร่ ให้ยื่นมือเข้าไปช่วย อย่าลืมว่าเรานั้นเป็นคนมีธรรมะ จะทำตัวอย่างคนไม่มีธรรมไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็เป็นการถอยหลังเข้าคลอง ศิษย์ทุกคนรักษาตัว รักษาใจ รักษาก้าวเดินของตัวเอง ขอให้เดินแล้วยิ่งเดินยิ่งก้าวหน้า ยิ่งสง่างาม ยิ่งเป็นคนที่คนอื่นนั้นเขาให้ความเคารพ โดยที่เรานั้นไม่ต้องเรียกร้องจึงสูงส่ง 



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เมตตาด้วยธรรม”
    หากไม่เคยเผชิญอุปสรรค          
ไม่รู้จักความสำเร็จอันใดได้
จิตมั่นคงงามดีความไม่แปรใจ        
ทางยาวไกลแต่มาถึงไม่อาจนาน
    เมตตามีกันทุกคน                      
แต่ทนกันไม่ได้นาน
คนดีขาดความเชื่อมั่น                   
เนิ่นนานความดีกินแรง
เหนื่อยตัวไม่เอาเปรียบใคร                 
การให้ดีกว่ายื้อแย่ง
มีใจเพิ่มได้หลายแรง                       
ให้แรงคนด้วยเมตตา

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา