แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หมิงเฉิง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หมิงเฉิง แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2559

2559-01-02 สถานธรรมหมิงเฉิง อ.สามเงา จ.ตาก

西元二年歲次乙未十一廿三                            仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙                สถานธรรมหมิงเฉิง  อ.สามเงา จ.ตาก
พระโอวาทท่านหยรูอี้เซียนถง
   สุขไม่ใช่มีแค่วันปีใหม่                                คนเข้าใจย่อมสุขได้ในทุกสิ่ง
แค่คิดดีมีธรรมย่อมสุขจริง                          สุขไม่ทิ้งคนแจ้งในทุกข์ชีวัน
                                เราคือ
  ยรูอี้เซียนถ(如意仙童)  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา         ขออวยพรทุกท่านสุขสมหวัง สุขสมหวัง
  ความสามัคคีคือเพียบพร้อมไปทั้งหมู่   นอบน้อมรู้ได้ด้วยการแสดงออก
บำเพ็ญภายในแต่ปฏิบัติอยู่ภายนอก     อ่อนน้อมเมื่อยอมลอกคราบอัตตาไป
คิดพูดทำฝึกสติเป็นตัวช่วย               เย็นลงด้วยใจบำเพ็ญเป็นคนใหม่
ปีใหม่แล้วทำอะไรต้องตั้งใจ              ปณิธานใหญ่ยิ่งกว้างไม่เกินความพยายาม
มีกล้าหาญแล้วต้องไม่ลืมมีเมตตา        สุภาพชนไม่เย็นชาไม่มองข้าม
แม้ลำบากความดีคอนความซื่อหาม      โลกเสื่อมทรามธรรมฉายแววในคน
มุ่งออกเรือไปให้ตรงน่านน้ำ              แม้ฟ้าค่ำยังมีคนหลุดพ้น
เนื้อนาบุญมีจริงในใจคน                 ธารน้ำวนกลายธารใสไหลเย็น
ฝุ่นลงจับใจเป็นดั่งกระจกใส              เช้าเย็นไม่ชำระใจย่อมเน่าเหม็น
ย่ำแต่เรื่องโลกียธรรม[1]ข้ามไม่เป็น        พุทธะก็เป็นเวไนยเวไนยก็เป็นพุทธะ
                                                ฮิ ฮิ หยุด




[1] โลกียธรรม          เกี่ยวกับโลกทางโลกธรรมดาโลกของโลกตรงข้ามกับ โลกุตระ








พระโอวาทท่านหยรูอี้เซียนถง


ความสุขหาไม่ยาก ถ้าเราพอเป็น ความสุขหาไม่ยาก ความสุขอยู่ไม่ไกล ถ้าเราหยุดความอยากบ้าง จริงไหม (จริง)  ความสุขไม่ได้อยู่ไกล ความสุขมีทุกที่ แค่เราพอหรือยัง ถ้ามนุษย์สามารถค้นพบความสุขที่แท้จริง มนุษย์จะมีเงินเหลือเฟือ ถ้าเราแค่พอ เราแค่หยุดความอยากบ้าง แต่เดี๋ยวนี้ความสุขของเราต้องแลกมาด้วยการใช้จ่ายเงิน การหาเงินมากๆ เพื่อจะได้ให้มีสุขที่เหนื่อยแทบแย่ มีสุขแค่หนึ่งวันสองวันเงินหมดแล้ว กลับไปเป็นทุกข์ต่ออีก มีสุขก็ต่อเมื่อต้องไปไกลๆ แล้วกลับมาก็ค่อยมาทุกข์ต่อ ใช่ไหม (ใช่)  จะมีสุขก็ต่อเมื่ออยู่กับคนนั้น อยู่กับคนนี้ แล้วพอต้องอยู่คนเดียว ก็มาเป็นทุกข์ใหม่ สุขแท้จริงอยู่ไม่ไกล อยู่ที่ว่าพอหรือยัง หยุดความอยากบ้าง สุขก็ไม่ไกลเกินเอื้อม แล้วไม่ต้องไปเหนื่อยด้วย ฉะนั้นถ้าเรารู้จักสุขได้ เราจะมีเงินเหลือเฟือ แล้วสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีคุณค่า จะกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่านักหนาเลย แต่เดี๋ยวนี้เราสุขยาก สิ่งที่มีนั้นเหมือนไม่มีค่าอะไรเลย อยู่กับตัวเองก็ไม่สุข อยู่กับแฟนก็ไม่สุข อยู่กับลูกก็ไม่สุข ชวนไปไกลๆ เดี๋ยวจะมีสุข แล้วกลับมาบ้านทุกข์เหมือนเดิม จริงไหม (จริง)  ความสุขไม่ใช่ต้องเริ่มต้นจากในบ้านเราหรือ แล้วถ้าบ้านเราไม่มีความสุข ใจเราไม่รู้จักสุข ไปอยู่ที่ไหนก็สุขไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นสุขอยู่ที่เขาหรือสุขอยู่ที่ใจ (อยู่ในใจ)ใจที่หยุดอยากหรือยัง ใจที่รู้จักพอบ้างหรือยัง ถ้าไม่หยุดอยาก ไม่หยุดพอ แม้ไปเที่ยวไกลโพ้นแล้วบอกว่าจะมีสุข พอไปถึงที่สุดแล้ว ก็นั่งคิดอีก แล้วเราจะได้มาดูอีกไหม ทั้งที่น่าจะมีความสุขกลับทุกข์ เขาจะอยู่กับเราไหมหนอ เงินมันจะมาอีกไหมหนอ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นอยู่ที่ไหนก็สุขไม่ได้ ถ้าใจไม่พอสักที อยู่ที่ไหนก็ไม่มีสุข ถ้ายังไม่รู้จักหยุดสักที ถ้าเราเริ่มสุขเป็น แม้ในทุกข์ที่สุดเราก็จะเข้าใจ แม้ในวันที่เราจะต้องสูญเสียที่สุด เราก็จะเข้าใจ และแม้ในวันที่เราไม่เหลือใคร เหลือเราคนเดียว เราก็จะเข้าใจ เป็นบ้างไหม ไม่เป็นเลย ใช่ไหม ถ้าท่านรู้จักสุขเป็น แม้ไม่มีอะไร แม้ต้องสูญเสียทุกสิ่งที่เคยมีมา ท่านก็จะไม่ทุกข์ เราก็จะเข้าใจ แม้วันหนึ่งเราเคยมีใครเยอะแยะ แต่วันหนึ่งเหลือเราคนเดียว เราก็จะไม่ทุกข์ แต่เราจะเข้าใจ เหมือนต้องไปดื่มน้ำเองถึงจะรู้รสน้ำ ฉะนั้นทำไมไม่ลองไปสุขทางนั้นล่ะ ไปสุขที่แท้ที่ไม่ต้องวนกลับมาเป็นทุกข์อีก จริงไหม (จริง)  
พยายามทำแต่สิ่งที่ดี ก็ดีกว่ามีวัตถุมงคล คิดดี พูดดี ยิ่งกว่าดวงดีอีก ถ้าดวงดีแล้วแต่คิดชั่ว ก็ไม่ดี ได้วัตถุมงคลมีค่ามหาศาลมา แต่ในใจกลับคิดว่าวัตถุจริงหรือปลอม อย่างนี้ได้มาก็ไม่มงคล ถ้าคิดไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)
ขออวยพรให้ทุกท่านดีกว่านะ สุขสมหวังๆ อันดับแรกเราให้ความสุขไปแล้วนะ ความสุขไม่ได้อยู่ไกล ไม่ได้อยู่ที่ใคร อยู่ที่ใจเรา หยุดอยากบ้างก็มีสุข เอาแต่เรียกร้องทุกสิ่ง อย่าลืมเรียกร้องถามใจว่าพอหรือยัง ไม่พอก็ไม่มีวันสุขหรอก เพราะความอยาก ถมอย่างไรก็ไม่เต็ม พูดว่าไม่มีแต่จริงๆ แล้วมี แต่ใจไม่ยอมมีสักที ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นถ้าท่านรู้จักสุขที่แท้จริง ท่านจะมีเงินเหลือเฟือ ถ้าท่านเข้าใจสุขที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ไกลภายนอก แต่อยู่ที่ใจว่าพอหรือยัง ท่านก็จะรู้จักมีที่แท้จริง และเป็นมีที่ไม่ทุกข์ด้วย เพราะแค่ไหนก็แค่นั้น เท่าไหนก็เท่านั้น เหนื่อยแทบแย่ หวังแทบตาย ผลสุดท้ายก็ต้องมาผิดหวังและทุกข์ใจ สู้แบบแค่ไหนแค่นั้น แค่นี้ก็ดีแล้ว ทุกขณะคิดเสมอหรือไม่ว่าเรามีสุขทุกขณะ วันนี้เราได้ทำงานดีแล้ว วันนี้ได้ตื่นมาหายใจยังมีชีวิตอยู่ดีแล้ว สุขแล้ว ดีกว่าไม่ตื่นแล้วหรือไม่ตื่นแล้วก็ดี ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอยู่แล้วทำใจไม่ได้อย่าเพิ่งตาย ต้องให้เข้าใจก่อนแล้วค่อยตาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
นานๆ จะกลับมากันครบพร้อมหน้าพร้อมตา บางทีไม่ต้องถ่อไปไกลๆ อยู่ใกล้ๆ พ่อก็ยิ้ม เเม่ก็ยิ้ม ลูกก็ยิ้ม มีความสุขไหม (มี)  มีความสุขเเล้วตอนนี้ยิ้มมีความสุขได้ไหม (ได้) 
เราจะบอกให้นะ แต่ก่อนเราก็ไม่เข้าใจหรอกว่าการเรียนรู้ธรรมะนั้นดีอย่างไร ก็มีคนบอกเราว่า เรียนรู้ธรรมะเข้าใจธรรมะแล้วจะทำให้เราพ้นทุกข์ได้นั้นเป็นสิ่งดีนะ เราก็คิดอยู่ในใจว่า แล้วทุกข์นั้นน่ากลัวไหม เราว่าจริงๆ ทุกข์ก็ไม่ได้น่ากลัว ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเข้าใจธรรมะเราว่าน่ากลัวกว่าเข้าใจทุกข์เสียอีก เพราะว่าพอบอกว่าธรรมะคืออะไร เข้าใจยากจังเลย อย่างนั้นถ้าเราพูดง่ายๆ ว่า ทำไมเราต้องเรียนรู้ธรรมะก่อนดีไหม (ดี)  เพราะหลายคนพอบอกว่าให้มาเป็นนักเรียนฟังธรรมะ คนส่วนใหญ่จะบอกว่า รู้แล้ว เรื่องที่พูดมารู้หมดแล้ว อย่างนั้นเราจะบอกให้นะว่า ถ้าใครพูดอะไรมา แล้วเราบอกว่าเรารู้หมดแล้ว อย่างนั้นเราเรียกว่า รู้แบบอวดรู้ แต่ผู้รู้ธรรมะที่แท้จริงบอกว่า รู้แล้วเหมือนไม่รู้ ให้รู้แล้วปล่อยวาง ถ้าบอกว่าตัวเองรู้ไปเสียทั้งหมด สิ่งที่ตัวเองรู้นั่นแหละมันจะทำให้ทุกข์ เพราะคิดว่าตัวเองรู้ พอใครบอกว่าไม่รู้ก็เลยโกรธ แล้วพอทุกสิ่งไม่เป็นดั่งที่รู้ก็ทุกข์
การเรียนรู้ที่แท้จริงแล้วจะเข้าใจธรรมะก็ต่อเมื่อเรียนรู้แล้วปล่อยวาง แต่ถ้าเรียนรู้แล้วยึดติดยึดมั่น มันก็คือทุกข์ เพราะเวลาที่เราฟังหนึ่งเรื่องไม่มีใครเข้าใจเหมือนกัน ทุกคนจะเข้าใจตามความคิด ตามความรู้ ตามสติปัญญาภูมิธรรมลึกตื้น ถูกไหม (ถูก)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาชูนิ้วชี้ขึ้น J)
อันนี้อะไร (หนึ่ง นิ้วชี้)  บอกแล้วยังไงก็ต้องบอกว่าตัวเองรู้ เราทุกข์ก็เพราะพยายามที่จะบอกว่า มันเป็นอะไร ไม่มีใครบอกหรอกว่าไม่รู้ พยายามรู้หมดเลย หนึ่ง นิ้วชี้ เรามั่นใจว่าอันนี้คือหนึ่ง อันนี้คือนิ้วชี้ แต่ถ้าเกิดว่ามันไม่ใช่หนึ่ง ไม่ใช่นิ้วชี้ แต่มันกำลังจะชี้ออกไปเพื่อด่าคน ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เหมือนเวลาเราเห็นสามีเรา เราเห็นลูกเรา เราเห็นภรรยาเรา พอแค่บอกว่า ออกไปข้างนอกนะ เรานึกในใจว่าจะไปเที่ยวแน่เลย ใช่ไหม (ใช่)  เพราะว่ารู้เราจึงทุกข์ แต่ถ้าเราไม่อยากทุกข์ เราก็ไม่ต้องรู้ และต้องพยายามสร้างบุญ มนุษย์มักจะพูดว่าเราทำบุญเพื่อชำระใจให้บริสุทธิ์ แล้วบุญนั้นจะบริสุทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อสิ่งที่ให้บริสุทธิ์ แล้วเจตนาที่ให้ก็ต้องบริสุทธิ์ทั้งก่อนให้ ขณะให้และหลังการให้และผู้รับไปก็ต้องบริสุทธิ์ บุญนั้นถึงจะชำระใจให้บริสุทธิ์
ทำไมเวลาเขาบอกว่า จะออกไปข้างนอก ทำไมเราไม่ให้ทาน สร้างเจตนาที่ดี ขอให้เดินทางโดยปลอดภัยนะ ถ้าเรายัดเยียดและให้ในสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ และให้เจตนาที่เป็นทุกข์ ผลสุดท้ายทุกข์ทั้งเราและทุกข์ทั้งเขา จริงไหม (จริง)  เพราะเพียงแค่เรารู้ ใช่ไหม (ใช่) 
พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า จิตคือต้นธารแห่งความรู้ ถ้าจิตบริสุทธิ์ ความรู้ก็แจ่มชัด และความรู้นี้เองคือหลักสำคัญของหัวใจ ถ้าความรู้คือหลักสำคัญของหัวใจ และถ้าความรู้นั้นถูกต้อง ไม่อคติ ไม่ลำเอียง ไม่ติดชอบ ไม่
ติดชัง สิ่งที่เรารู้ก็จะทำให้เราสงบสุข แต่เรานั้นไม่ใช่ เรามองใคร เราเห็นใคร เจตนาเราไม่ค่อยบริสุทธิ์เท่าไร ใช่ไหม (ใช่)
  ไหนบอกว่าเป็นคนชอบทำบุญ บุญที่แท้คือบุญที่ชำระใจให้บริสุทธิ์ แต่ถ้าทำบุญแล้วโลภ แล้วโกรธ แล้วหลง แล้วยึดมั่น นั่นไม่เรียกว่าบุญ แต่นั่นเป็นการหลงบุญแล้วติดกิเลส ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
การเรียนรู้ฝึกฝนธรรมะจึงสอนไว้ว่าไม่จำเป็นต้องรู้ภายนอก แต่ให้รู้เตรียมตัวภายในใจ ไม่จำเป็นต้องเห็นชัดภายนอก แต่ขอให้เห็นชัดภายในใจตนเองว่า มันจะเยี่ยมหรือมันจะแย่ก็รับได้ เพราะไม่ได้เห็นชัดข้างนอก แต่เห็นชัดข้างใน เพราะไม่ได้รู้จักข้างนอก แต่รู้เท่าทันใจ เหมือนเวลามีปัญหา มนุษย์พยายามแก้ข้างนอก แต่ลืมมองใจตนเอง ยอมรับได้ไหม ถ้ามันไม่ปกติ ยอมรับได้ไหม ถ้ามันไม่เป็นดั่งใจคิดและสู้ไหวไหมถ้ามันไม่มีอะไรที่รู้สึกดีเลย ฉะนั้นธรรมะจึงไม่ได้สอนให้รู้ข้างนอก แต่ธรรมสอนให้รู้ข้างใน ธรรมไม่ได้สอนให้พยายามเข้าใจข้างนอก แต่ธรรมสอนให้เข้าใจข้างในก่อน เพราะไม่มีอะไรดีที่สุด และไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงแท้แน่นอน
มันเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ถ้าเราเข้าใจธรรม ธรรมจะทำให้เราเข้าใจความเป็นจริงว่าโลกใบนี้ดูเหมือนรู้แต่ไม่รู้ ดูเหมือนจะเข้าใจแต่ก็เหมือนไม่เข้าใจ ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์ อยากสมหวังก็อย่าไปคาดหวังและคิดว่าตนเองรู้อะไรเลย ดีไหม (ดี)
 
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาตีที่แก้มผู้ปฏิบัติงานธรรมคนหนึ่งแล้วถามนักเรียนในชั้นว่าเจ็บไหม)
ถ้าบอกว่าเจ็บแปลว่าท่านกำลังเอาทุกข์ของเขามาฝากไว้ในใจ ที่มนุษย์ทุกข์อยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่ทุกข์เพราะโดนกระทำ แต่ทุกข์เพราะเอาสิ่งที่โดนกระทำมาคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนเวลาเราโดนเขาด่า เราทุกข์เพราะเขาด่าหรือเราทุกข์เพราะเราเอาคำด่ามาคิดซ้ำ คิดแล้วคิดอีก ทุกข์เพราะคำพูดหรือทุกข์เพราะเอาสิ่งคิดมาแขวนไว้ในใจจนปล่อยวางไม่ลง ฉะนั้นพุทธะจึงสอนไว้ว่า รู้เพื่อวาง ไม่ใช่รู้เพื่อเก็บแล้วยึดมั่นจนเกิดทุกข์ แล้วเมื่อสักครู่จบหรือยัง แล้วตีทำไม ยังสงสัยอีกไหม ไม่มีอะไรก็แค่มือไปแตะเนื้อ ก็แค่นั้นเอง เมื่อรู้แล้ววาง กรรมเราก็จบ แต่ถ้าเรารู้แล้วไม่วางก็ก่อเกิดเป็นโกรธ เกลียด จองเวร จองกรรม วิบากกรรมและการเวียนว่ายวน เราอยากเป็นแบบนั้นไหม (ไม่อยาก)  หลายคนมักพูดว่า ทำดีไม่เห็นได้ดี ส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนมีความทุกข์ เเล้วเวลาทุกข์มากๆ ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร เราก็เลยหันหน้าไปพึ่งบุญ เผื่อบุญจะทำให้เราคลายทุกข์ เเต่พอเราไปทำบุญแล้วมันคลายทุกข์ไหม เมื่อไปเจอศัตรูก็โกรธอีกเอาใหม่เดี๋ยวค่อยไปทำบุญ ถูกหรือไม่ ไม่ถูกนะ บุญที่เเท้จริง เเปลว่าเครื่องชำระล้างใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์ จนไม่มีกิเลสมาทำให้เราขุ่นหมองใจ ฉะนั้นถ้าทำอะไรเเล้วใจเราสะอาด บริสุทธิ์ โล่ง โปร่ง เบา อย่างนั้นเรียกว่าบุญ เเต่ทำไมเวลาเราไปทำ เรากลับบอกว่า ทำเเล้วต้องได้ดี ทำเเล้วต้องหวังผล ทำเเล้วขอให้ร่มเย็นเป็นสุข รวยๆ หรือถูกหวยสองตัวก็ยังดี เเล้วอย่างนี้เรียกว่าบุญชำระล้างใจไหม เราว่ามันเป็นบุญหลงทาง ทำเเล้วหลงยึดติด ทำเเล้วหลง ทำเเล้วโลภ ทำเเล้วหลงยึดมั่นถือมั่น อย่างนี้ใจมันไม่สะอาด เพราะฉะนั้นบุญจึงไม่ตกผล เพราะเป็นบุญยึดหลงผิดทาง เพราะฉะนั้นบุญที่เเท้จริงต้องทำเเล้วปล่อยวางความยึดมั่น ทำเเล้วไม่ก่อเกิดเป็นกิเลส เพราะฉะนั้นการทำบุญคือชำระใจให้สะอาด ชำระใจให้ผ่องใส เเล้วช่วยลดความโลภ ความหลงตระหนี่ในทรัพย์ สมบัติผลัดกันชม เงินทองร้อยพันเจ้าของ สามีผลัดกันใช้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่อย่างหลังมันฟังดูแปลก แต่บางทีมันก็ใช่นะ เพราะเราไม่รู้อะไรแน่นอน ฉะนั้นการเรียนรู้ธรรมจึงสอนให้เรารู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น แต่ไม่ใช่ให้ไปรู้ให้ไปเห็นใคร แต่สอนให้เรารู้และเห็นชัดในตัวตนแห่งความเป็นจริงบนโลกใบนี้ ว่ามันเปลี่ยนแปลงได้ทุกขณะ ว่ามันไม่เที่ยง ว่ามันไม่ใช่ของเรา แล้วถึงที่สุดเราไม่ได้มีหน้าที่ทุกข์ แต่เรามีหน้าที่เข้าใจและปล่อยเขาไป อย่าไปเอามาเก็บไว้ในใจให้อกกลัดหนองเลยนะ
อยู่ในโลกนี้เราจะเอาชนะทุกข์ได้อย่างไร ก็ในเมื่อบอกว่าทำบุญแล้วไม่ช่วยให้หายทุกข์ บุญแค่ช่วยทำให้เราปล่อยวางไม่ยึดมั่น เพราะฉะนั้นเราต้องหาให้ถูกว่า เหตุแห่งทุกข์นั้นมาจากไหน ทุกข์บางทีเกิดขึ้นเพราะว่าไม่สมหวัง ทุกข์เกิดขึ้นเพราะโดนคนว่า ทุกข์เพราะว่าเรารู้สึกทำดีแล้วเหมือนไม่ได้ดี ทำดีกับใครแล้วเหมือนไม่ได้ดีเลย
เราถามว่า อย่างแรกทุกข์เพราะไม่สมหวัง ไม่สมหวังเรื่องอะไร (อยากได้ในสิ่งที่อยากได้แล้วไม่ได้)  เราเลยผิดหวังแล้วเป็นทุกข์ ถ้าเกิดอยากแล้วทำให้เราไม่ทุกข์ คิดแค่เพียงว่า ช่วงที่เรากำลังหาอยู่นั้นได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ใช่หรือไม่ (ได้ก็ดี)  แน่ใจหรือว่าได้แล้วดี ไม่แน่นะได้มาแล้วมีหนี้ก็ไม่รู้นะเพราะถึงเวลาได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พอถึงเวลาได้มา มีหนี้ก้อนโตเลย ต้องทุกข์ขนาดนี้ บางทีไม่เอาดีกว่าจริงไหม (จริง)   ในความเป็นจริงของคนบนโลกนี้ คนสมหวังมีแค่ ๑% คนผิดหวังมีมากถึง ๙๙% จริงไหม (จริง)  ใครในโลกสมหวัง แล้วตัวท่านทำให้ตัวเองสมหวังกี่ครั้ง ฉะนั้นถ้าอยากได้อะไรท่านต้องประเมินตัวเองก่อนว่าที่ทำมาสำเร็จไหม แล้วจะได้ไม่ทุกข์กับการคาดหวังว่าได้หรือไม่ได้ ฉะนั้นคิดให้ดีๆ เพราะโลกนี้เป็นโลกของการเปลี่ยนแปลง เราคิดว่ามันดี พอถึงเวลาสิ่งที่ดีเกิดเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ ตอนนั้นจะไม่อยากได้เลย ฉะนั้นมองโลก มองความอยากต้องมองให้ชัด ไม่เช่นนั้นจะต้องทุกข์เพราะความอยาก
ถ้าอยากอยู่ในโลกนี้แบบมีความสุข ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ดีเพราะเราทำเต็มที่แล้ว ถึงที่สุดมนุษย์ต้องกลับทางสายเก่าที่อะไรๆ เราก็ไม่มี จริงไหม (จริง)  ถึงที่สุดแล้วอะไรๆ ก็ไม่ใช่ของเรา แล้วเราจะมีให้เยอะๆ แล้วค่อยไปปล่อย ทำใจไหวไหม (ไม่ไหว)  สู้ทุกขณะนั้นเมื่อมีแล้วก็ปล่อย มีแล้วก็ปล่อย อันไหนฝึกใจได้ดีกว่ากัน ตอนนี้เห็นมีไว้ก่อนทั้งนั้นเลย เดี๋ยวตายแล้วค่อยปล่อยใช่ไหม ตายแล้วปล่อยทันไหม (ไม่ทัน)  แล้วต้องมาทุกข์แล้วก่อเกิดกรรมไม่จบสิ้น จริงหรือไม่ (จริง)  
พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า ถ้าเรารู้ว่าเป็นทุกข์ รับรู้แต่ไม่เก็บ เรียนรู้เพื่อปล่อยวาง แต่มนุษย์ไม่ใช่ เก็บทุกอย่าง แล้วสุดท้ายใจก็เป็นถังขยะเน่าๆ นี่เอง ใจท่านมีเรื่องดีเยอะกว่าหรือเรื่องไม่ดีเยอะกว่า (เรื่องดี)  ถามว่าใครทำดีกับเราบ้างท่านตอบจำไม่ได้ แต่ถ้าถามว่าใครทำไม่ดีอะไรบ้าง ท่านกลับจำได้
ฉะนั้นอะไรไม่ดีปล่อยวางไป อย่าเก็บไว้ในใจ เราตื่นมาเรายังรู้จักอาบน้ำ แต่การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมสอนให้เราชำระจิตใจให้สะอาด แต่เดี๋ยวนี้เราเคยมองใครแล้วตาใสมีไหม เห็นอะไรแล้วใจปลอดโปร่งมีไหม ไม่มีเลย ใจเด็กๆ ที่เคยใส ที่เคยปลอดโปร่งหายไปไหนหมด ใช่ไหม (ใช่)  แล้วอะไรที่จะช่วยทำให้เรากลับคืนความใส นั่นก็คือหมั่นมีศีล มีธรรม ประพฤติ‍‍‍ชอบ ปฏิบัติชอบ ไม่ใช่ขาดศีล ขาดธรรม เหล้าก็เอา บุหรี่ก็เอา
ฉะนั้นถ้าพลิกใจเป็นมนุษย์ที่บอกว่าทุกข์ก็จะกลายเป็นสุข และสุขที่เคยบอกว่าเป็นแค่สุขทางโลก มันก็จะกลายเป็นสุขแห่งความเข้าใจในธรรมที่เบิกบานและรู้แจ่มชัด พุทธะก็เป็นเวไนย เวไนยก็เป็นพุทธะ อย่างนั้นก็สุขสมหวัง อะไรๆ ก็ดี แล้วอยู่ในโลกจะได้ไม่ทุกข์เพราะความคิดของตัวเองที่หลงยึดมั่นถือมั่นว่า ฉันรู้ แต่จริงๆ พุทธะบอกว่า คนที่บอกว่าฉันรู้ แท้ที่จริงก็คือคนอวดรู้ แต่พุทธะที่แท้จริงท่านบอกว่า ท่านไม่รู้จักคนอื่น แต่ท่านรู้จักตัวเอง ท่านไม่มัวแต่มองดูจับผิดใคร แต่ท่านมัวแต่มองดูจับผิดแก้ไขตน นี่จึงเรียกว่าการฝึกฝนบำเพ็ญธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ รู้แต่เรื่องคนอื่นไปหมด แต่ไม่รู้ใจตนเอง จับผิดคนอื่นได้ชัดเจนไปหมด แต่ไม่เคยรู้ว่าตัวเองผิดถูกอะไรแล้วรู้จักแก้ไข ใช่ไหม (ใช่)  โลกจึงยุ่งทุกวันนี้เพราะมนุษย์วิ่งตามแต่กิเลส ไม่ตามความเป็นจริง
สุขสมหวัง สุขสมหวัง สุขสมหวัง สุขสมหวังนะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร สุขสมหวังแล้วยิ้มให้ออกนะ รู้เพื่อปล่อยวาง ไม่ใช่รู้เพื่อเอามาเก็บฝังใจแล้วไปว่าเขา ไม่เอานะ เราไม่เกี่ยวกรรม ถูกไหม (ถูก)


วันอาทิตย์ที่ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙              สถานธรรมหมิงเฉิง อ.สามเงา จ.ตาก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  อันความคิดความเคยชินและนิสัย      ความเข้าใจวจีกรรมความประพฤติ
ทั้งหมดนี้ไม่ให้อยู่ในด้านมืด              ขอให้ยึดหลักธรรมเป็นแนวทาง
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานหมิงเฉิง แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                    ถามศิษย์รักของอาจารย์สบายดีไหม

ต้นน้ำทอดยาว บนฟ้าสว่างใส ใบไม้ก็ไหวไป ลมพัดปะทะหน้า ปีนึงเผลอพริบตา ทุกข์สุขผ่านหัวใจ แต่ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย
*ยอดไม้ที่ไหวเอน รู้ตน รู้จุดหมาย สังคมขยายไป รู้ตัวก็หลงยาก เหนื่อยตั้งแต่ต้นปี ดีหน่อยเมื่อท้ายปี ศิษย์ต้องลงแรงหน่อยงานนี้ตั้งแต่วันนี้
**ทุกทุกวันจะต้องยอมรับความจริง ชีวิตหยั่งรู้เท่ากันที่ไหน จิตใจคลี่คลาย  เรื่องเดิมเดิม แบบแผนใหม่ เห็นความเปลี่ยนไป นั่นคือความหมาย ที่บำเพ็ญธรรม
ฟ้าสวยไม่หลงตา แม้ลิบโลกแห่ชม ศิษย์รักนั่งหน้าก้ม ทำตัวอย่างไร้ค่า เจ้าคิดแต่ไม่ทำ โอกาสสูญสิ้นเสียไป อยู่ใกล้ไยไม่มาชื่นชม
(ซ้ำ *,**,**,**)
ทำนองเพลง อากาศดีดี
ชื่อเพลง ฟ้าสวยไม่ไร้คนชื่นชม

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ส่วนใหญ่พอบอกว่าปีใหม่แล้ว ก็จะทำอะไรให้ใหม่ขึ้น และจะทำอะไรให้ดีขึ้น สิ่งที่ไม่ดีก็จะแก้ไขให้ดีขึ้น ถ้าอย่างนั้นปีใหม่ใครจะใจเย็นขึ้นบ้าง อย่างนี้ปีที่แล้วมา ศิษย์ใจร้อน ใช่ไหม (ใช่)  แล้วใครจะยิ้มให้มากขึ้น ปีใหม่จะโมโหให้น้อยลง แปลว่าปีเก่าที่ผ่านมาหาดีไม่ค่อยเจอ ทั้งใจร้อน โมโห ยิ้มยาก น่ากลัวนะ เกิดเป็นคนถ้าใจร้อน เจ้าอารมณ์ ยิ้มยาก ไม่มีใครเข้าใกล้นะ ฉะนั้นต้องเป็นคนอย่างไร (ใจเย็น ยิ้มง่าย ไม่ขี้โมโห ไม่เอาแต่ใจ)  เพราะเวลาขี้โมโหแล้วจะมีอารมณ์อื่นร่วมด้วย ขี้หงุดหงิด ขี้รำคาญ
ขี้เบื่อ ขี้บ่น เครียด ถ้าอย่างนั้นควรมีไหม (ไม่มี)
  เพราะมันเป็นขี้ แล้วถ้าเป็นขี้เราควรจะเก็บไหม (ไม่ควร)  แต่อยู่ในใจศิษย์ตลอด ในเมื่อไม่ควรเก็บ เวลาเจอคนที่ทำให้โมโหเราควร (ยิ้ม)  เขาตบหน้ามาเราก็ยื่นให้เขาตบหน้าอีกครั้งเลย บางทีเขาโมโหตบหน้าให้สาแก่ใจ แล้วบอกเขาได้ว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์ หนูทนได้ ศิษย์เอ๋ยบางทีตอนนี้พูดได้อย่างน่าหัวเราะ แต่ถึงเวลาเจอจริงๆ ต้องรับให้ได้นะ เพราะเรื่องบนโลกนี้มีหลายเรื่องราวที่เราไม่สามารถคาดเดาได้ แต่เราอยากจบแบบ Happy endding หรือจบแบบจองเวรจองกรรม (Happy endding)
ฉะนั้นถ้าเราอยากจบเรื่องราวกันด้วยความสุข อยากจบเรื่องราวกันด้วยรอยยิ้ม อยากจบเรื่องราวกันด้วยมิตรมากกว่าเป็นศัตรู ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมมีมิตรเป็นพันคนยังไม่พอเท่ากับมีศัตรูแค่หนึ่งคน
มีมิตรเป็นพันเป็นร้อยคนยังไม่สามารถเยียวยาใจเราได้ ถ้าเรามีศัตรูแค่หนึ่งคน
 แล้วทำไมเวลาเราอยู่ร่วมกันเราจึงไม่สร้างมิตร ทำไมเราอดทนไม่ได้ ยอมไม่ได้ แล้วผลสุดท้ายคนที่ทำให้เราทุกข์ก็คือตัวเราเองที่ไม่ยอมอดทน ฉะนั้นถ้าอาจารย์บอกศิษย์ว่า หากศิษย์อยากอยู่ในปีต่อไปนี้ให้มีความสุขและทำให้ศิษย์สามารถสุขได้จริงๆ ขอให้อดทน เสียสละหน่อยได้ไหมและทำอะไรด้วยสติปัญญาหน่อยได้ไหม (ได้)  ถ้าทำได้อย่างนี้ คุณธรรมเหล่านี้จะนำพาให้ศิษย์ไม่ต้องเจอทุกข์ ศิษย์เคยได้ยินไหม ผู้ที่มีความมั่นคงในความพากเพียรอดทนอดกลั้น ไม่ย่อหย่อน ไม่ว่าเจออารมณ์ใดมากระทบกระแทกกระทั้น ก็สามารถวางเฉย ไม่ยินดียินร้ายได้ ผู้นั้นจะประสบสุขที่ประเสริฐที่สุด
ผู้ใดที่มีความมั่นคงในความเพียรไม่ย่อหย่อน สามารถอดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่ยากทนได้ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย สามารถรักษาความปกติเฉยเย็นได้
ผู้นั้นจะประสบความสุขอันประเสริฐที่สุดในโลกใบนี้ จริงไหม (จริง)
  อดทนต่อความเพียรไม่ย่อหย่อน ไม่มีความยินดียินร้ายใดๆ ในโลก เขาด่าก็ดี
เขาชมก็ดี เขารักก็ดี เขาเกลียดก็ดี เห็นความดีความร้ายเสมอกัน เห็นทุกข์สุขเท่ากัน ไม่มีอะไรในโลกที่จะทำให้ศิษย์ต้องเจ็บปวด เขาอยู่หรือไม่อยู่ก็รู้สึกเท่ากัน เขารักหรือไม่รักก็รู้สึกเท่ากัน เขาดีหรือไม่ดีก็รู้สึกเท่ากัน ใช่ไหม (ใช่)
  แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชมก็ดี ไม่ชมก็เกลียด อารมณ์จึงแปรไปแปรมา เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ ไม่เหนื่อยหรือศิษย์เอ๋ย ไม่เหนื่อยกับการผันแปรไปตามอารมณ์ของใจหรือ ไม่เหนื่อยไปกับความผันแปรของความรู้สึกที่ไม่เคยเที่ยงหรือ ถ้าเหนื่อยแล้วทำไมไม่ปล่อยวางแล้วทำความเข้าใจในความจริงบนโลกใบนี้ล่ะ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นจึงมีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวว่า ถ้ามนุษย์เลือกเดินตามธรรม มนุษย์จะค้นพบความสงบสุข แต่ถ้ามนุษย์ขาดธรรม มนุษย์จะพบแต่ความโกลาหล และเป็นทุกข์ในที่สุด ฉะนั้นเมื่อเวลามีชีวิตเราเลือกตามธรรมหรือเราเลือกตามใจ (ตามธรรม)  จริงหรือ (จริง)  เห็นเวลาทำอะไร อยากไว้ก่อน”  กิเลสมาก่อนธรรมะอีก ใช่ไหม ถ้าตามธรรมถึงเวลาเขาชวนให้มาฟังธรรมมาไหม (มา)  เห็นไม่ ก่อนมา ทุกทีเลย ถ้าตามกิเลสก็มีแต่ความทุกข์และการเวียนว่ายวน แต่ถ้าตามธรรมก็มีแต่ความสงบ อาจารย์ถามง่ายๆ คนหนึ่งทำอะไรถือธรรมเป็นหลัก พูด คิด อยู่ร่วมกับใครถือเมตตาธรรม ถือมโนธรรมสำนึก ถือความละอายเกรงกลัวต่อบาป คนนั้นจะทำผิดไหม (ไม่ผิด)  แต่ถ้าอีกคนหนึ่งคุณธรรมไม่สน ตามอารมณ์เป็นใหญ่ ตามความอยากเป็นใหญ่ ตามบุหรี่ ตามเหล้าเป็นใหญ่ ผิดไหม ผิดศีลตั้งแต่แรกเลย อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยว่า แล้วเรามีชีวิตอยู่เราควรตามธรรมหรือตามกิเลส (ตามธรรม)  แล้วเรามีธรรมบ้างไหม (มีสติ)  มีสติแต่สติตามใจ อย่างนั้นก็ยังไม่ค่อยเข้าถึงธรรมนะ (ตามเหตุผล)  ตามเหตุผลหรือ แต่บางครั้งศิษย์เคยได้ยินไหม เหตุผลของเราบางทีก็ไม่ถูกต้องกับเหตุผลของเขา ถูกหรือไม่ ฉะนั้นถ้ามีสติตามธรรมย่อมประเสริฐกว่าสติตามใจ เพราะเหตุผลของคนๆ หนึ่งอาจไม่ถูกสำหรับอีกคนๆ หนึ่ง และบางทีเหตุผลที่ใช้ได้ตอนนี้ก็อาจใช้ไม่ได้ในอีกสองสามวันข้างหน้าได้ เหมือนกัน ถูกไหม (มันไม่แน่นอน)  มันไม่แน่นอน ฉะนั้นควรตามธรรมหรือตามเหตุผล (ตามเหตุผลและตามธรรม)  ตามเหตุผลและตามธรรม แต่ศิษย์เคยได้ยินไหมว่าเรื่องบางเรื่องในโลกใบนี้บางทีตามธรรมเหมือนไม่มีเหตุผลนะ เหมือนง่ายๆ คนบางคนเขารักคนอื่นหมดแต่ทำไมเขาไม่รักเรา หาเหตุผลได้ไหม (ได้)  (เพราะเราทำตัวแบบไม่มีเหตุผล เขาก็ไม่รักเรา)  เราทำตัวแบบไม่มีเหตุผลเขาเลยไม่รักเรา จริงหรือ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนเล่นเกม ปรบมือ ผงกหัว ซอยเท้า) 
ตัวศิษย์เองนั้นต้องรู้จักควบคุมตนเองให้ได้ ถึงจะรู้อะไรดีมากแค่ไหน แต่ถ้าถึงเวลาเราควบคุมตัวเองไม่ได้ เราไม่รู้จักควบคุมกายใจตัวเองให้ดี
คนที่จะต้องรับผลของความผิดพลาดนั้นก็คือตัวศิษย์เอง ฉะนั้นเวลาทำอะไรขอให้มีสติอย่างที่ศิษย์คนนี้ว่าไว้ แต่เรื่องความผิดพลาดก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่จะทำให้เราต้องทุกข์ ผิดก็กล้ายอมรับแล้วก็เปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ดีขึ้น ไม่ใช่ผิดแล้วก็เอาแต่ซ้ำเติมตัวเอง แล้วไม่ทำอะไรให้ดีขึ้น อย่างนั้นก็น่าเสียดาย ชีวิตมันไม่ง่าย ยิ่งอยู่บนโลก มันก็เรื่องยากขึ้นมาเยอะ แล้วเรื่องยากมาพร้อมๆ กัน หลายๆ เรื่อง อย่างนั้นอาจารย์เพิ่มเป็นปรบมือ ผงกหัว ซอยเท้า ได้ไหม (ได้)
  ก็ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนที่ไม่เคยมักน้อย มักมากตลอด ไม่เคยอยากมีอะไรอย่างเดียว ต้องมีอะไรหลายๆ อย่าง พอมันมีอะไรหลายๆ อย่าง คุมได้ไหม (ไม่ได้)  คุมไม่ได้แล้วทำอย่างไร พอทำอะไรไม่ได้ โยนมันทิ้งไปเลยอาจารย์ โยนไปให้พ้นๆ เลย ถูกไหม การศึกษาธรรมไม่ให้เราหนีทุกข์ แต่ให้เราอยู่ร่วมกับทุกข์โดยที่ไม่ให้ทุกข์มันทำให้เราทุกข์ ไม่ตกเป็นทาสของทุกข์ ฉะนั้นเราลองคุมให้ได้ ช้าๆ นะ ลองดูนะ ผงกหัว ปรบมือ ซอยเท้า พร้อมกันสามอย่าง ยากไหม (ไม่ยาก)  ไม่ยาก ชีวิตศิษย์ก็เป็นแบบนี้ ตัวเองยังไม่พอ มีสามี มีลูก มีภรรยา มีน้อย ทุกข์คนเดียวไม่พอยังหาห่วงเพิ่มอีก แล้วเข็ดไหม (ไม่เข็ด)  อย่างนั้นลองดูนะว่าทำได้ไหม ลองดู ยากๆ ศิษย์ยังสู้มาได้เลย เรื่องแค่นี้ทำไมเราไม่ลองสู้มันสักตั้ง เพราะคิดว่าตัวเองคุมอยู่ เอารอด ศิษย์พอไหม ไม่พอ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นคราวนี้เพิ่มขยับปีก ดีไหมดีไหม (ดี)  พร้อมนะ ขยับแบบนี้นะ
(พระอาจารย์เมตตาขยับให้นักเรียนในชั้นดูเป็นตัวอย่าง)
แค่ขยับก็ตบมือแล้ว นักเรียนเคยเห็นลิงตีฉาบไหม อาจารย์ให้จังหวะนะ หนึ่งที พอไหม (ไม่พอ)  ชีวิตจริงไม่พอ ต้องเอาอีก ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามหน่อยไหวไหม (ไหว)  เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  อาจารย์กลัวศิษย์ทำไม่ได้ ศิษย์เอยความอยากในโลกก็เหมือนกัน เราคิดว่าตัวเราคนเดียวเราไหว เพิ่มแบบนั้นอีกหน่อย แบบนี้อีกหน่อย พอถึงเวลาที่มาพร้อมๆ กันเรารับไหวไหม (ไม่ไหว)  หนึ่งคนก็หนึ่งทุกข์ สองคนก็สองทุกข์ สามคนก็สามทุกข์ แต่ศิษย์มีเท่าไร นับไม่ถ้วนเลย แล้วถ้าถึงเวลาทุกข์พร้อมๆ กันรับไหวไหม (ไม่ไหว)  ในเมื่ออยากมีก็ต้องกล้ารับนะศิษย์ อาจารย์ถามศิษย์นะ ตอนนี้จะพยายามหาวิธีแก้กับสิ่งที่มีแล้ว หรือหาวิธีแก้กับสิ่งที่ทำอย่างไรให้มีแล้วไม่ทุกข์ เพราะว่าไปแก้กับต้นเหตุไม่ทันแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  
ก็เหมือนกับที่ศิษย์มักจะพูดว่า อาจารย์มันมีไปเยอะเเล้ว จะทำอย่างไรที่จะอยู่กับสิ่งที่มีเเล้วมันไม่เป็นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  มีลูกก็ทุกข์เพราะ (ลูก)  มีเงินก็ทุกข์เพราะ (เงิน)  มีสามีก็ทุกข์เพราะ (สามี)  มีภรรยาก็ทุกข์เพราะ (ภรรยา)  มีเพื่อนก็ทุกข์เพราะ (เพื่อน)  มีตัวเองก็ทุกข์เพราะ (ตัวเอง)  ทุกข์ไปหมดทุกอย่างเลยอาจารย์ มันก็ต้องทุกข์เป็นธรรมดา ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหม สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นมีความทุกข์
อาจารย์พูดใหม่ คนเราเกิดมา มีความเกิด มีความแก่ ใช่ไหม แต่อาจารย์เคยได้ยินอีกคำหนึ่ง คนเรามีความเกิดเป็นทุกข์ เเก่ก็เป็นทุกข์ เจ็บก็เป็น (ทุกข์)  ตายก็เป็น (ทุกข์)  พลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็น (ทุกข์)  อยู่กับสิ่งที่รักก็เป็น (ทุกข์)  ผู้ใดที่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ผู้นั้นจะต้องประสบกับยอดทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ถ้าอาจารย์ถามว่ากินลูกพลับ แล้วมีทุกข์สุดๆ กินไหม (ไม่กิน)  เอาไม่เอา (ไม่เอา)  
พระอาจาย์เมตตาถามหัวหน้าชั้น เอาไม่เอา (เอาครับ)  ลูกเดียวพอไหม (พอครับ)  อาจารย์ให้อีก เพราะมีของเราแล้วก็ต้องมีของภรรยา ของลูก ของพ่อแม่ (ของพี่สาว)  เอาอีกไหม (พอแล้ว)  พอจริงหรือ ถือไหวไหม (ไหว)  แล้วจะเดินกลับไปรอดไหม แน่ใจนะ ห้ามหล่นนะ ถ้าหล่นเอากลับมาคืน แล้วศิษย์แน่ใจนะว่าจะอยู่กับอาจารย์จนจบสองชั่วโมงไม่ หล่นจากตัวเลย ถ้าหล่นสักลูกหนึ่งอาจารย์เอาคืนหมดเลยนะ เดี๋ยวอาจารย์คอยดู จากที่จะได้ทั้งหมดหรืออย่างน้อยจะได้สักลูกหนึ่ง แต่ตอนนี้อาจจะไม่ได้เลยก็ได้ ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์ก็เหมือนกับหัวหน้า
รู้ว่าการเกิดเป็นทุกข์ การแก่เป็นทุกข์ การอยู่กับสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ การพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ และการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่อาจารย์พูดซึ่งเรียกว่า ขันธ์ห้าหรือตัวตนคือทุกข์ นั่นแหละก็คือตัวตน ฉะนั้นถ้าเมื่อไรที่เผลอยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เมื่อนั้นเราจะทุกข์ตั้งแต่ต้นจนสุดท้าย ทุกข์ตั้งแต่เกิดจนตาย แก่ก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์ มีก็ทุกข์ ไม่มีก็ทุกข์ ในเมื่อเรารู้ขนาดนี้ ทำไมเรายังเผลอยึดมันอีก ทำไมเรายังเผลออยากกับมันอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วพอถึงเวลาจริงๆ แล้ว เราจะเอามันไปพ้นไหม
(ไม่พ้น)  อาจารย์ถามนะ ศิษย์เอาไปเท่านี้ ศิษย์แน่ใจนะว่าจะครบแล้วมีสุขทุกคน เดี๋ยวคนนั้นได้ คนนี้ไม่ได้ เดี๋ยวคนนั้นมี คนนั้นไม่มี น้อยใจไหม ฉะนั้นสู้ไม่เอาไปเลยดีไหม ไม่น้อยใจทั้งหน้าและหลัง ใช่ไหม แล้วไม่ต้องแบกให้มันทุกข์ด้วย ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเคยคิดแบบนี้ไหม ถึงเวลาเราบอกว่า เอาก่อน อยากก่อนอาจารย์ เดี๋ยวทุกข์ค่อยไปแก้ทีหลัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงคิดต่างกัน มนุษย์พยายามดับที่ผล พุทธะพยายามหยุดที่เหตุ มนุษย์พยายามกลบปัญหา แต่พุทธะหยุดสร้างปัญหา มนุษย์อยู่กับการเกิดๆ อยากๆ แต่พุทธะอยู่กับความดับสิ้นแล้วซึ่งความอยาก ฉะนั้นคุณค่าความหมายมันต่างกัน เราตื่นขึ้นมาเราอยากอะไร แต่พุทธะตื่นขึ้นมาดับอะไร จบอะไร วางอะไร เห็นไหม ว่าต่างกันไหม ใช่ไหม (ใช่)  เอาไหมหัวหน้า ไม่เป็นไรมันตกนิดหน่อยศิษย์ (เอา)  ศิษย์เอย ถึงเวลาที่เจอเรื่องที่มันชอกช้ำแล้วเราจะเก็บมันขึ้นมาไหวหรือ 
(ลูกพลับตกลงพื้น)
เมื่อสักครู่อยากได้แต่ตอนนี้มันตกไปแล้ว ศิษย์จะเก็บขึ้นมาแล้วรับไหวไหม ถ้ารู้ว่ามันตกแล้ว มันพลาดไปแล้ว แล้วถ้ารับไม่ไหวแล้วเจ็บปวดเกินจะรับก็ปล่อยให้จบๆ ไป อย่าไปเก็บมาฝังไว้ในใจ ใช่ไหม (ใช่)  เรื่องบางเรื่องเราคิดว่าเราทำดีที่สุดแล้ว แต่คนรับเขาไม่ชอบ คนรับเขารังเกียจ คนรับเขาปัดอย่างไม่ใยดี แล้วเราจะเก็บมาให้ชอกช้ำหรือเราจะปล่อยให้จบๆ แล้วผ่านไป เห็นไหมว่าหนทางแห่งพุทธะคืออยู่เพื่อดับ ไม่ใช่อยู่เพื่อเกิด อยู่เพื่อหยุดเหตุ ไม่ได้อยู่เพื่อหยุดผล ไม่ได้อยู่เพื่อกลบปัญหา แต่อยู่เพื่อหยุดสร้างปัญหาอีกต่อไป เอาไหม (ไม่เอาแล้ว)  คนที่มีสติปัญญา แม้เรื่องไม่ดียังแปรเป็นสิ่งที่ดีและเป็นมงคลได้ เพราะความเจ็บช้ำที่เราเคยเจอในอดีต ในอนาคตเราจึงไม่อยากเจ็บช้ำอีก ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเรื่องเลวร้าย เรื่องไม่ดีจริงๆ มันก็มีดีอยู่ ถ้าเรารู้จักช่วงใช้และใช้มันให้เป็น ฉะนั้นอย่าหวังความสมบูรณ์พูนพร้อมในโลกใบนี้ อย่าหวังความงามพร้อมจนหาที่ติติงไม่ได้ เพราะขึ้นชื่อว่าโลกใบนี้ มีดีก็ยังมีไม่ดี มีสวยก็ยังมีไม่สวย มีงดงามก็ยังมีอัปลักษณ์ ฉะนั้นผู้ที่อยู่บนความเป็นจริงและเดินบนหนทางแห่งธรรมจะไม่พยายามหลงใหลใน มายาอันจอมปลอมเด็ดขาด แต่จะระมัดระวังรักษาจิตของตัวเองให้เป็นปกติให้มากที่สุด 
สิ่งที่มักจะทำให้เรากลายเป็นคนผิดปกติไปจากความเป็นจริง คืออารมณ์ที่ครอบงำจิตใจ คนที่ดีๆ ก็กลายเป็นคนโมโหร้าย ใช่ไหม (ใช่)  
คนดีๆ ก็กลายเป็นคนขี้โมโห เจ้าอารมณ์ ขี้น้อยใจ ขี้หงุดหงิด ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์เราจิตผิดปกติไปเพราะอะไรกันหรือ ใครตอบอาจารย์ได้บ้าง
(ความโลภ)  ถ้าโลภมากๆ เราจะสูญเสียความมีเมตตา ความใจกว้าง ความใจเย็น
(กิเลส)  ตัวไหน (ความอยาก)  นึกว่าความหลง ทำอะไรอย่างคนไร้สติ นึกจะพูดก็พูด ใช่ไหม (ใช่)  
(ความโกรธ)  ฉะนั้นครั้งหน้าๆ จะไม่โกรธ ถ้าอย่างนั้นจะ
(ไม่โกรธ)  ก็โกรธให้น้อยลง ใจเย็น อดทนให้มาก เพราะความโกรธเป็นเหมือนไฟ ก่อนที่เราจะไปโกรธเขา เราก็เผาใจตัวเองก่อน โกรธมากๆ ร้อนไหม (ร้อน)  หงุดหงิดไหม เครียดไหม ทุกข์ไหม เศร้าไหม แล้วมีทำไม อย่างนี้อย่ามีดีไหม ไม่ต้องโกรธแต่ทำเป็นใจเย็นความไม่รู้จักยั้งคิด ชอบปล่อยไปตามอารมณ์ชั่ววูบ ใช่ไหม
คนที่ทำอะไรมักจะขาดสติ เอาอารมณ์ เอาความคิดตนเองเป็นใหญ่ ใช่ไหม จิตที่ไม่นิ่ง ชอบวอกแวก ใช่ไหม จิตที่ชอบหลงกาลเวลาใช่ไหม ทำให้มนุษย์สูญเสียปัจจุบันขณะไป บางทีหลงไปคิดอดีตเมื่อวานได้กินไอศกรีมกับคนนั้นอร่อยดี เมื่อวานได้ดูหนังเรื่องนั้น”  ใช่ไหม
(โลภ โกรธ หลง) อย่างนั้นต่อไปก็จะไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง อย่างนั้นลูกพลับก็ไม่ต้องเอาเพราะเดี๋ยวจะหลงเเล้วก็จะโลภ ใช่หรือเปล่า ไม่ต้องเอา เอาไหม (เอา) 
(ความหลง)  หลงอะไร หลงแฟนหรือหลงตนเอง หรือหลงเงินทอง หลงหมดทุกอย่างใช่ไหม
(ความหลงผิด เห็นกงจักรเป็นดอกบัว)  น่าเสียดาย ใช่ไหม รู้ว่าทำดีเป็นสิ่งที่ได้ดี แต่บางทีก็ไม่ยอมทำ เพราะมันไม่ได้ดั่งใจเลยเลิกทำ ถูกไหม (ไม่ถูก)  คนทำดีมีค่าทุกวันนะศิษย์
(ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี)  ตอบได้ดี
(รักไม่มีเหตุผล)  ทำให้เราสูญเสียความผิดปกติไป คือรักไม่มีเหตุผลหรือ อาจารย์ว่ากลัวว่าจะเป็นประเภทที่รักเเล้วต้องให้ได้รักตอบ พอไม่รักตอบมันเลยไม่มีเหตุผลใช่ไหม ความรักแบบนั้นเป็นรักที่เห็นเเก่ตัวนะศิษย์ รักที่เเท้คือรักอย่างไม่ครอบครอง รักอย่างยอมรับที่เขาไปได้คนที่ดีกว่าเเละมีสุข เเม้จะไม่ใช่เรา ถูกไหม ถ้าเเฟนจากไปจะโกรธไหม (ไม่โกรธ) 
(ใจร้อนวู่วาม ไม่รู้จักยั้งคิด)  อาจารย์ว่าขี้น้อยใจมากกว่า ใช่ไหม (ใช่)  ทำให้เราสูญเสียความปกติไป
(หวั่นไหวกับสิ่งยั่วยุ)  พอโดนเขาว่านิดหน่อย โดนเขานินทานิดหน่อย ทนไม่ได้ ต้องไปเอาคืนให้ถึงที่เลย ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วทำไหม (ไม่ทำ)  เพราะคนนั้นคนนี้ที่มาทำให้เราวุ่นวาย  ไปโทษเขาได้อย่างไร ศิษย์เคยได้ยินไหม ถ้าจิตเรานิ่งมั่นคง ใครจะวุ่นวายขนาดไหนเราก็นิ่งมั่นคงได้ แต่เป็นเพราะจิตเราไม่นิ่ง จิตเราอ่อนแอต่างหาก
(หลงผิดเป็นชอบ)  หลงผิดเป็นชอบ ใช่ไหม เห็นขาวเป็นดำหรือเห็นดำเป็นขาว ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากทำอะไร แล้วอยู่ในโลกโดยไม่ต้องมีความทุกข์ จงรักษาใจให้ปกติ แล้วใช้ใจที่ปกตินั้นมองสรรพสิ่งตามความเป็นจริง อย่ามองอย่างความเข้าใจหรือรับรู้แค่ตัวเองคิดไปเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเราอยู่ในโลก ศิษย์ก็รู้ว่าตัวนี้เป็นต้นเหตุของทุกข์ ถามว่าทำไมเรามีทุกข์จังเลย แล้วเราเคยมองหาไหมว่าทุกข์นั้นมาจากไหน เรามักจะโทษว่าคนนั้นเป็นตัวปัญหา คนนี้เป็นตัวปัญหา เพราะเรื่องนั้นทำให้เราเป็นปัญหา เพราะเรื่องนี้ทำให้เราเป็นปัญหา ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าไม่มีตัวนี้ ปัญหาทั้งหลายจะมีไหม (ไม่มี)  ถ้าไม่มีตัวนี้ความโกรธจะมีไหม ถ้าไม่มีตัวนี้ความหลงจะมีไหม ถ้าไม่มีตัวนี้ความทุกข์จะมีไหม (ไม่มี)  แล้วเรากำลังทุกข์กับอะไร ทุกข์เพราะอะไร ความคิดของเรา ใช่ไหม (ใช่)  แล้วความคิดนั้นมาจากอะไร
มาจากตัวตนที่บอกว่า อันนี้ของเรา แล้วคิดอย่างนี้ รู้สึกอย่างนี้ แล้วเกิดเป็นอารมณ์อย่างนั้น อารมณ์อย่างนี้ ฉะนั้นถ้าอยากดับเหตุแห่งทุกข์ก็หยุดคิดวันนี้ ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนที่พระพุทธะกล่าวว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี แล้วถ้าสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนั้นจะมีได้อย่างไร  จริงไหม
ถ้าสิ่งนี้เป็นกองทุกข์ เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ แล้วเราจะไปยึดทำไมให้เป็นทุกข์ แล้วเราควรจะเชื่อไหมกับความคิด พุทธะจึงกล่าวว่าถ้าอยากอยู่กับโลกแล้วไม่ทุกข์ จงอย่าใช้ความคิด แต่จงใช้สติ แต่สติไม่ใช่แปลว่าคิดออก เพราะความคิดยังง่ายที่จะเข้าข้างตัวเองและยึดตามเหตุผลของตัวเองเป็นหลัก แต่สติคือแค่รู้ รู้แล้วไม่หลงตาม เช่น เวลาเกิดอารมณ์แล้วโกรธ โกรธรึ ก็แค่นั้น ก็เท่านั้น ไม่โกรธตอบ จบ (ปล่อยวาง)  ไม่ต้องปล่อยวางศิษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา อาจารย์จะบอกให้นะ สติดีกว่าความคิด เช่น เมื่อคนเรามีความโกรธเกิดขึ้นมา ถ้าเราเอาความคิดเข้ามาใส่ จะอดคิดไม่ได้ เขาด่าเราทำไม เขาว่าเราทำไม ความคิดเหมือนน้ำมัน ยิ่งราดน้ำมันเข้าไปไฟก็ยิ่งลุกไหม้ ไม่เหมือนการมีสติ เมื่อความโกรธมาสติรู้ว่าความโกรธมาแล้ว แล้วศิษย์จงรู้ไว้อย่างหนึ่ง สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เมื่อความโกรธมา เราไม่แยแส เราไม่สนใจใยดี ความโกรธจะบอกว่า ไปก็ได้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าศิษย์เอาความคิดเข้าไป เขาด่าเราทำไม ทำไมเขาเป็นคนอย่างนี้ ความโกรธก็จะไม่ไปไหน เพราะศิษย์เรียกให้ความโกรธอยู่ แต่ถ้าโกรธมา โลภมา อยากมา ถามว่าอยากแล้วได้อะไร อยากแล้วเหนื่อยขึ้นไหม สวยแล้วดีกว่าเดิมตรงไหน ทั้งที่จริงๆ สวยไปก็เท่านั้น จริงๆ เราก็ไม่ได้สวย เขาชมเราเก่งขนาดไหน จริงๆ เราก็ไม่ได้เก่ง ใช่ไหม (ใช่)  เขาชมว่าเราดีขนาดไหน จริงๆ เราก็รู้ไส้รู้พุงตัวเอง จริงๆ ตัวเองชั่วหนักหนาเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรามีสติ สติจะสอนให้เรารู้เท่าทันสิ่งที่กระทบ ที่ทำให้เราผิดปกติ พอมันผิดปกติอย่าเพิ่งไปดูเขา กลับมาดูเราก่อน ดูเราเห็นอะไร เห็นโกรธ เห็นโลภ เห็นอยาก เห็นหลง เห็นแล้วไปกับมันไหม ไม่ไป เอาไหม ไม่เอา แล้วไม่ต้องไปให้คุณค่า ไม่ต้องไปสนใจ เดี๋ยวมันจะบอกว่าไปก็ได้ ก็พุทธะสอนแล้วว่า สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นเดี๋ยวก็ดับไปเป็นธรรมดา ศิษย์ไม่ต้องไปทำอะไรเดี๋ยวมันก็ดับเอง เหมือนเรามีความเกิดเป็นธรรมดา เราก็ต้องมีความตายเป็นธรรมดา ฉะนั้นถ้าเกิดว่ามันมีทุกข์เกิดขึ้นมาเป็นธรรมดา เดี๋ยวทุกข์มันก็ดับไปเป็นธรรมดา ทุกข์มันก็เหมือนกิเลสพอไม่สนใจใยดีมันก็จะบอกว่าทุกข์หน่อยสิ เราก็บอกไม่ทุกข์ ไม่เอา ไม่สน เดี๋ยวมันก็ไปก็ได้แต่เราเป็นอย่างไร เก็บมาหมด หนูจะโกรธ หนูจะโลภ หนูอยาก หนูจะทุกข์ แล้วผลสุดท้ายไปไหว้พระเก้าวัด ไปทำบุญสังฆทานมันก็ไม่หลุดไปจากใจสักที จำไว้นะศิษย์ของบางอย่างเข้าง่ายแต่ออกยาก ใช่ไหม (ใช่)  และที่ออกยากที่สุดก็คือความคิดที่ไม่ยอมรับความจริง ทุกข์หน่อยจะเป็นอะไร อยากทุกข์ก็ทุกข์ ฉันทุกข์กับเธอแล้วนะสองนาทีพอละ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำไมเราทำไม่ได้ล่ะ งานลำบากขนาดไหนก็ทำจนสำเร็จ เงินหายากขนาดไหน เหนื่อยเลือดตาแทบกระเด็นก็หามาได้ แต่ความทุกข์ตัวเดียวที่อยู่ในใจนี้แก้ไม่ค่อยได้สักที
ฉะนั้นแค่ยอมรับและยิ้มกับความทุกข์ อาจารย์บอกแล้วทุกข์เป็นธรรมดา แก่เป็นธรรมดา เจ็บเป็นธรรมดา ตายเป็นธรรมดา โดนด่าเป็นธรรมดา โดนเอาเงินไปไม่คืนเป็นธรรมดา ก็อย่าเอาใจไปฝากเขาไว้สิ อย่าเอาใจไปยึดกับเงิน ไม่ตายก็หาใหม่ได้ศิษย์ ขอเพียงเรามีใจไม่ธรรมดา แต่เรามองทุกอย่างธรรมดา ใช่ไหม (ใช่)  แม้จะหามาชั่วชีวิตแต่วันนี้หมดไปแล้วจริงๆ ไม่เป็นไร ถ้ายังมีใจที่ไม่ธรรมดาก็ทำสิ่งที่ธรรมดาให้ดีขึ้นได้ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นศิษย์อย่าดูถูกคุณค่าของความเป็นจริงที่เรียกว่าธรรมะในตัวเอง ถ้าเราเข้าใจเราจะเตรียมตัวตายก่อนตาย เราจะเตรียมตัวเจ็บก่อนเจ็บ และเราจะรู้จักทุกข์โดยที่ไม่ต้องตกเป็นทาสของทุกข์ แล้วทำไมจึงไม่อยากเรียนรู้ธรรม จริงไหม (จริง)  ธรรมะไม่ใช่เรื่องไกล แต่เป็นเรื่องใกล้ที่ทำให้เราเข้าใจชีวิต แล้วเราก็มีสติปัญญารู้แจ้งชัดจนเห็นความเกิดดับของโลกใบนี้เป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็เกิดความเบิกบานใจ ที่เรียกว่าสุขที่แท้จริง ไม่ใช่สุขจากการชื่นชมยินดี สำเร็จ ล้มเหลว แล้วทำไมอาจารย์ถึงไม่อยากให้ศิษย์เดินไปหนทางนั้น เพราะหนทางของพระต่างจากหนทางมนุษย์ตรงที่พระท่านเดินไปสู่ความดับ ไม่ใช่เดินไปสู่ความเกิด ท่านเดินไปสู่ความไม่มีและปล่อยวาง ไม่ใช่เดินไปสู่ความต้องมีและยึดมั่น ท่านเดินไปสู่หนทางแห่งการดับเหตุ หยุดสร้างปัญหา แต่มนุษย์เดินไปสู่ทางแก้ผล แก้ปัญหา แล้วทำไมอาจารย์ซึ่งเป็นอาจารย์ของศิษย์จึงอยากชวนศิษย์ให้เดินหนทางนี้ หนทางที่อยู่กับทุกข์แต่ไม่ตกเป็นทาสของทุกข์ อยู่กับทุกข์แต่เข้าใจทุกข์ และยิ้มกับทุกข์ได้ ไม่ว่าจะเจ็บ ไม่ว่าจะเสีย ไม่ว่าจะตาย ไม่ว่าจะไม่เหลืออะไร เพราะเรากำลังเดินไปสู่ความดับ เพราะจริงๆ ทุกชีวิตก็ล้วนไปสู่ความดับและความไม่มี แล้วทำไมเราไม่เตรียมตัวก่อนล่ะศิษย์ จะรอให้มีเยอะๆ แล้วพอทุกข์ตอนนั้นศิษย์ก็จะทำใจไม่ไหวหรือรอให้มีเยอะๆ เเล้วก็ก่อเกิดเป็นกรรม วิบากกรรม จองเวรจองกรรม วัฏสงสารเวียนว่ายไม่จบสิ้น ศิษย์บอกอาจารย์ว่า ศิษย์อยากอยู่บนโลกอย่างไม่มีเวรกรรม ศิษย์อยากอยู่บนโลกอย่างไม่มีศัตรูคู่อาฆาต ศิษย์อยากอยู่บนโลกแบบไม่มีใครชิงชังเคียดเเค้น อยากอยู่อย่างมีความสุข ใช่ไหม (ใช่)  เเล้วทำไมสิ่งที่ศิษย์ทำมันจึงเป็นการสร้างเหตุ เพื่อตกผล เเต่ไม่ได้เป็นการดับเหตุ ฉะนั้นพระพุทธะจึงชี้นำต่ออีกว่า ในสิ่งที่เรียกว่า กองทุกข์ นี้มันเป็นภาระหนักที่ศิษย์ ต้องแบกมันทุกวัน หาให้มันกินทุกวัน ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราอยู่อย่างยืมเขาใช้ ใช้เต็มที่เเล้ว มันจะเเก่ช่างมัน เพราะเราใช้เต็มที่ถูกไหม ถึงเวลาเราห้ามเเก่ ห้ามตายเลย ห้ามเจ็บได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือทำใจของเราให้เข้มเเข็งเเล้ว
ยอมรับความจริง ถ้าป่วยก็ดูเเลรักษา เเต่ถ้าดูเเลรักษาจนถึงที่สุดมันไม่ได้ก็ช่างมัน ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกว่า นี่นะศิษย์มันเป็นทุกข์กองโต ที่ใครสามารถแบกมากเท่าไรก็ต้องทุกข์มากเท่านั้น เเต่ถ้าใครสามารถสละวางได้มากเท่าไร คนนั้นก็สุขเท่านั้น เเละพระอริยะโบราณจนถึงปัจจุบัน ท่านก็ล้วนปล่อยวางความทุกข์อันนี้ เเละก็ไม่คว้าอะไรมาเพิ่มให้ตนเองทุกข์อีก เพราะการปล่อยวางกองทุกข์นี้ได้ มันจะสามารถถอนรากเเห่งตัณหา เเละหยุดสิ้นความปรารถนาใดๆ ในโลกทั้งปวงได้นะศิษย์
เหมือนที่พระพุทธองค์เคยสอนไว้ว่า อวิชชาเกิด ก็ก่อเกิดเป็นตัณหา เป็นอุปทาน ความไม่รู้ก่อเกิดเป็นความอยากเเละความยึด เมื่ออยากก็ยึดมากเข้าก็กลายเป็นกิเลส กิเลสก็กลายเป็นกรรม กรรมดี กรรมชั่วใช่ไหม (ใช่)  เเล้วก็กลายเป็นวิบากกรรมเเละการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เเล้วศิษย์ก็บอกว่าไม่เป็นไรอาจารย์ ศิษย์ขอทำชั่วให้เต็มที่เเล้วเดี๋ยวศิษย์จะมาทำดีชดเชยได้ไหม (ไม่ได้)  เเล้วเราเป็นอย่างนี้ไหม ไปเบียดเบียนเขา ไปโกหกเขา ไปขาดเมตตาต่อเขา ไปโป้ปดมดเท็จเขา เเล้วก็บอกว่า  สัพเพสัพตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ จงเป็นสุข เป็นสุข มันจะได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นทำไมเราไม่รู้จักทำตั้งเเต่ตอนที่เราอยู่ร่วมกัน อยู่กับเขาด้วยเมตตา อยู่กับด้วยความซื่อตรง อยู่กับเขาด้วยความรักจริงใจ นี่เเหละทำบุญได้ทุกๆ วัน ไม่ต้องไปรอทำที่วัด จริงไหม (จริง) เเล้วเราทำได้ไหม
น้ำเต็มเเก้วได้ไหม ไม่เต็มก็ได้นะ คนเราเต็มได้มันก็ลดได้ใช่ไหม (ใช่)  เเล้วถึงเวลาเต็มจริงๆ มันก็ไม่มีใครเต็มหรอกศิษย์มันพร่องเสมอ ใช่ไหม (ใช่)  ขอเเค่เพียงว่าถ้าเราอยากอยู่ในโลกนี้อย่างเป็นสุข ทิฐิ อัตตา ตัณหา ต้องพยายามควบคุมมันให้ดี เพราะไม่อย่างนั้นมันจะวางกร่าง
ไม่ยอมใคร ไม่กลัวใคร เเต่พอถึงเวลาก็เเก้ใจตนเอง ใช่ไหม ฉะนั้นศิษย์คิดให้ดีๆ นะ อยู่ในโลกใช้สติ อย่าใช้ความคิด อยู่ในโลกมองตามความเป็นจริงแห่งธรรม อย่ามองตามใจและอารมณ์
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง : อากาศดีดี  ชื่อเพลง : ฟ้าสวยไม่ไร้คนชื่นชม)
ฟ้าสวยไม่หลงตา แปลว่า ฟ้าไม่ว่าจะตรงไหนจะสวยขนาดไหน ศิษย์ก็พยายามจะไปดั้นด้นหาจนเจอ อยู่สูงขนาดไหน ศิษย์ก็ไปดูจนได้ ฉะนั้นแม้จะอยู่ไกลลิบโลกขนาดไหน คนก็ไปแห่ชื่นชม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นฟ้าสวยคนยังไปชื่นชม แต่มนุษย์เรานั้นแปลกทำไมเราไม่ทำจิตใจเราให้สวยบ้าง แบบที่ใครๆ ผ่านมาต้องชื่นชม วันๆ เอาแต่ก้มหน้าเล่นไอแพด ทำตัวอยู่กับแค่มีค่ากับไลน์ กับเฟซบุ๊ก น่าเสียดายนะ บางคนคิดได้แต่ไม่ทำ ถึงเวลาก้มหน้าเหมือนเดิม ส่งข้อความดีๆ ทางไลน์ แต่ถึงเวลาไม่เคยทำดีกับคนอยู่ใกล้ ใช่ไหม (ใช่)  ทำตัวสวยๆ ในไลน์ ในเฟซบุ๊ก แต่อยู่กับพ่อแม่ไม่เคยสวย ไม่เคยมีอะไรเลย ฉะนั้นศิษย์เอย ฟ้าสวยข้างนอก ไม่เท่ากับพยายามทำใจตัวเองให้สวย แล้วใครๆ ก็ชื่นชม ไม่ต้องรอเรียกใคร เอาตัวเองก่อนนะ เพราะถ้าเราสวยลูกหลานก็จะกลับมาหา ถ้าเราทำตัวน่ารักลูกหลานก็ไม่ทิ้งเราไปไกลหรอก จริงไหม (จริง)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร้องเพลง)
ร้องแล้วจะได้จำได้ดีไหม ปกติอาจารย์ให้เพลง อาจารย์อยากให้ แม้ศิษย์กลับบ้านไปแล้วเพลงนั้นก็ยังติดอยู่ที่ใจศิษย์ดีไหม

(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)



วันนี้เรามาฟังธรรมะเพื่อความเป็นมงคลต่อชีวิต วันนี้เรามาฟังธรรมะเพื่อเอาไปใช้แล้วสร้างความเป็นมงคลให้กับชีวิต ถูกหรือไม่ (ถูก)  พระโอวาทซ้อนได้คำว่า (ฝู) ” เป็นสิ่งที่อาจารย์มอบไว้ให้ศิษย์นะ สังเกตว่าวันปีใหม่ของคนจีนเขาจะห้อยตัวนี้กลับหัว ที่ห้อยคว่ำหัวก็เพราะให้วาสนาหล่นอยู่ในบ้าน แต่บางทีเรามีทั้งแบบตั้งและแบบตกบ้างก็ได้นะ เผื่อให้คนอื่นบ้างดีไหม ไม่ต้องมาตกอยู่กับตัวเองหมดดีไหม ศิษย์นึกถึงความเป็นจริงเวลา (ฝู) หล่นลงมาคงไม่หล่นแบบท่าตั้งสวยตลอดนะ เดี๋ยววาดให้เอียงซ้ายให้คนทางซ้ายบ้าง ให้คนข้างบนบ้าง ให้คนข้างล่างบ้าง ดีไหม (ดี) 
รูปนี้เป็นรูปภาพแห่งมงคล ปกติน้ำเต้าของอาจารย์เป็นน้ำเต้าที่ดูดสิ่งชั่วร้าย แต่เมื่อปลดปล่อย อาจารย์ก็ปลดปล่อยสิ่งที่ดีและมงคลให้กับศิษย์ เป็นของขวัญ เป็นเหมือนการ์ดอวยพรปีใหม่ให้ศิษย์ ดีไหม
(นักเรียนในชั้นกล่าวขอบคุณพระอาจารย์เมตตา) 
ศิษย์เอ๋ยคนที่รู้จักยอมคือคนที่สามารถมีบุญวาสนา คนที่รู้จักเอาเปรียบคือคนที่สร้างพิษภัยให้กับตัวเอง แต่คนที่ยอมเสียเปรียบอยู่ร่ำไป คนนั้นคือคนที่สร้างวาสนาให้กับตัวเอง ฉะนั้นอาจารย์ก็อยากเห็นศิษย์เป็นคนที่รู้จักเสียสละ รู้จักให้ รู้จักอดทนอดกลั้น เพื่อสร้างวาสนา ไม่ใช่อยู่ที่ตัวหนังสือ แต่อยู่ที่ใจของเรา อยู่ที่การกระทำของเรา บุญวาสนาที่คนอื่นให้ไม่มีประโยชน์เท่ากับบุญวาสนาที่เกิดจากการกระทำของเรา ประพฤติปฏิบัติให้อยู่ในศีลในธรรม รู้จักให้ รู้จักเสียสละ รู้จักอดทนอดกลั้น รู้จักมีธรรมให้กับผู้อื่น ทำยากไหม (ไม่ยาก)  แล้วอยากอยู่บนโลกโดยไม่หวาดหวั่นไม่กลัวทุกข์ แต่อยู่บนโลกอย่างคนที่มีสติเข้าใจทุกข์ ทุกข์ไม่น่ากลัวอีกแล้ว ความแก่ ความเจ็บ ความตายไม่น่ากลัวอีกแล้ว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือใจที่ไม่ยอมปล่อยวาง เอาแต่ยึดมั่นถือมั่น ใจที่ชอบผิดซ้ำ หลงในอบายมุข หลงในทิฐิตัณหาน่ากลัวกว่า ใช่ไหม (ใช่) 
ฉะนั้นอาจารย์ก็หวังว่าหนทางนี้จะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ทำให้ศิษย์สามารถ อยู่บนโลก อยู่กับเพื่อนมนุษย์ก็สามารถบำเพ็ญธรรม และให้ธรรมะเป็นทานกับเขาได้ และสามารถช่วยคนได้ด้วยการเอาตัวเองเป็นแบบอย่างที่ถูกต้องและดีงาม สอนคนโดยไม่ต้องพูด แต่สอนด้วยการปฏิบัติและแก้ไข้ตัวเองย่อมประเสริฐกว่า จริงไหม
อย่าลืมนะศิษย์ แม่ปูย่อมได้ลูกปู ฉะนั้นถ้าแม่ตรงลูกก็ตรง พ่อไม่ตรงลูกก็ไม่ตรง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นชีวิตจะเป็นอย่างไร อนาคตขึ้นอยู่กับขณะนี้ อย่ามัวแต่ไปหวังอดีต อย่ามัวแต่ไปห่วงอดีต หรือไปวาดฝันอนาคตแต่ไม่ทำวันนี้ให้ดี ก็น่าเสียดาย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ในพระโอวาทซ้อนพระโอวาทนี้ยังมีความหมายที่อาจารย์ให้ไว้คือ
เมตตาใจเย็นอ่อนน้อม                      รู้ยอมใจกว้างยิ่งใหญ่
สุภาพซื่อตรงจริงใจ                น้ำใจดั่งธารใสเย็น
ขอให้เป็นคนที่ใจเย็นๆ รู้จักอดทนอดกลั้น ได้ไหมศิษย์ (ได้)  บำเพ็ญไม่ใช่เรื่องยาก แต่ยากตรงที่คิดแล้วแต่ไม่เคยทำ ฟังแล้วแต่ไม่เคยปฏิบัติคือเรื่องยากกว่า จริงหรือไม่ (จริง) 
คำถามสุดท้ายก่อนที่อาจารย์จะกลับ ใครอยากตอบรีบตอบ แล้วอาจารย์จะได้มอบผลไม้ที่เป็นมงคลให้กับศิษย์ ดีไหม (ดี)  ปีใหม่แล้วเราอยากเอาอะไรที่ไม่ดีออกจากตัวเราไปบ้าง แล้วพยายามสร้างอะไรที่ดีๆ ให้มียิ่งขึ้นไป
(ความคิดที่ไม่ดี)  ความคิดที่ไม่ดีถูกต้อง ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่คิดไม่ดีจงแปรบาปให้เป็นบุญ แปรความอิจฉาริษยาเป็นความชื่นชม ยินดีอนุโมทนาสาธุ
(อย่าใจร้อน)  แต่จะเป็นคนดีที่ใจเย็น
(โรคภัยไข้เจ็บ)  โรคภัยเกิดจากปาก เกิดจากตา เกิดจากใจ ไม่มีใครยัดเยียดโรคภัยให้กับศิษย์นะ ฉะนั้นรู้จักคิด รู้จักกิน รู้จักระวังและรู้จักออกกำลังกาย
(อดทนกับความโกรธ)  รู้จักให้อภัย
(หยุดนินทา)  ดีแล้วนะศิษย์ มีใครบ้างในโลกนี้ไม่ถูกนินทา มีใครในโลกนี้ไม่โดนด่า ยกมือขึ้น เห็นไหมไม่มี
(ไม่เคยโกรธ)  ไม่เคยโกรธแต่ยังจำได้อย่างนี้ก็ไม่ดีนะ คำว่าสงบแปลว่าจบ ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นจบได้ก็สงบ แต่ถ้าไม่จบมันก็ไม่สงบ
(จะเอาใจเข้าธรรมะ)  อดทนใจเย็นๆ นะ ยิ้มเข้าไว้ ฉะนั้นไม่ว่าคนจะแสดงความคิดเห็นอะไร เราต้องไม่ถือตัวเองเป็นใหญ่ ไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางรู้จักรับฟัง น้ำที่ดีต้องรู้จักไหลเวียน ความรู้ที่ยิ่งใหญ่คือความรู้ที่ถ่ายออก ไม่ใช่รับแล้วเก็บไว้ 
(รู้จักยั้งคิด)  รู้จักยั้งคิดยั้งทำ ไม่ฆ่า ไม่เบียดเบียนเขา ยุงกัดจะไม่ตบ ความสุขที่ประเสริฐที่สุดอีกอันหนึ่ง คือความสุขที่เกิดจากการไม่เบียดเบียนชีวิตเขา เพื่อความสุขชีวิตเรา ฉะนั้นถ้าเขากัดเลือดออกนิดเดียวศิษย์ยังตบ แล้วศิษย์ไปเอาเขาทั้งชีวิตแล้วเขาไม่ฆ่าศิษย์หรือ ฉะนั้นรู้จักคิดให้ดีๆ
(หยุดความอยากได้อยากมี และให้รู้จักพอ) สุขก็ไม่อยู่ไกลเกินเอื้อม 
(อยากเอาความทุกข์ออกจากใจ)  อาจารย์พูดจนจบแล้ว ความทุกข์เอาออกไม่ได้ ทุกข์เป็นสิ่งที่เป็นจริงและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ศิษย์รู้ไหมถ้าไม่มีทุกข์ ศิษย์ไม่มีวันโต จริงไหม (จริง)  ทุกข์เป็นสิ่งที่ทนได้ยาก ทนเด็กไม่ได้ก็เลยต้องรีบโต พอทนโตไม่ได้ก็รีบแก่ พอทนแก่ไม่ได้ก็เลยรีบตาย ไม่ใช่พอทนเจ็บไม่ได้ก็เลยรีบตาย ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นทุกข์คือสิ่งที่ทนได้ยาก อย่าไปเกลียดทุกข์ เพราะทุกข์คือส่วนหนึ่งของชีวิต ถ้าเราไม่ยึดมั่น เราก็ไม่ทุกข์ เพราะว่าเกิดขึ้นแล้วดับไปเอง แต่เราไปเผลอยึด ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วแน่ใจไหมว่ากินแล้วจะไม่ทุกข์ จริงไหม ถ้ากินด้วยความอยาก และกินด้วยความหลง ขณะกินก็ทำให้เกิดทุกข์ได้ แต่ถ้ากินแบบไม่คาดหวัง กินแบบไม่อยาก กินแบบไม่หลง เวลากินก็จะไม่ทุกข์ ศิษย์เคยไหมเวลาจะกินผลไม้อะไร ทำอย่างไรไม่ให้ทุกข์ ไม่ก่อเกิดเป็นกิเลส เวลากินอย่าไปคาดหวังว่าผลไม้ต้องหวาน เพราะถ้าคาดหวังจะกลายเป็นกิเลส แล้วเราจะทุกข์ทันทีถ้าเรากินแล้วเกิดเปรี้ยว ผิดหวังรู้สึกว่าไม่น่ากินเลย ทุกข์เพราะผลไม้แล้วไปต่อว่าแม่ค้าอีกไหนบอกว่าหวาน โกหก ขายของหวานไม่หวานเลย ซื้อมาก็แพง เอาเรื่องเขาอีก ศิษย์เอยถ้าเรารู้จักมีสติ เราจะไม่เกิดกิเลสทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นเวลากิน นอน นั่ง แต่มนุษย์ไม่ใช่ จะขจัดกิเลสหยาบก็ไม่ได้ กิเลสละเอียดยิ่งไม่ต้องพูดถึง   แน่ใจไหมว่าจะไม่ทุกข์กับผลไม้นี้ (แน่ใจ)
(จะพูดดี)  พูดดี คิดดี ทำดี ศิษย์เอยถ้าอยากมีสติ สติต้องไม่ขาด ณ ปัจจุบันขณะ ถ้าเวลาทำอะไรต้องมีสติพร้อมกับมีปัจจุบันขณะ คนนั้นจะไม่หลง จะไม่ตกเป็นทาสของกิเลส อย่ามีเเค่สติเเต่ต้องมีปัจจุบันขณะอยู่ด้วย เพราะคนบางคนมีสติเเต่ชอบหลงไปคิดกับอดีต เพ้อฝันไปกับอนาคต เเล้วก็ไม่สามารถทำวันนี้ให้ดีได้ ฉะนั้นมีสติต้องมีปัจจุบันขณะเป็นเพื่อนคู่คิด อยู่ในโลก เอาก็ได้ไม่เอาก็ได้ คือทางพ้นทุกข์ เเต่บุหรี่ไม่เอาดีที่สุด เหล้าก็ไม่กินดีที่สุด (เหล้าไม่ดื่ม)  เเต่สูบบุหรี่ (มีบ้าง ยอมรับ)  ต้องยอมรับว่าจะเเก้ไข 
(เป็นคนที่ทำบาปมาเยอะ พอมาตรงนี้รู้สึกว่าเรามาปล่อยวาง)  ฉะนั้นพยายามอยู่บนโลกนี้อย่างไม่เบียดเบียน ด้วยจิตใจที่รู้จักมีเมตตา มีมโนธรรมสำนึกที่ดี ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยจริยะมารยาทที่งดงาม ไปอยู่ที่ไหนใครก็รัก อยู่กับใครมีเมตตา อยู่กับใครรู้จักละอายผิดชอบชั่วดี อยู่กับใครรู้จักมีจริยะที่งดงาม เเละอยู่กับใครมีปัญญาที่รักเรียนรักการเรียนรู้ ถ้าทำได้ขนาดนี้ ศีลห้าครบโดยไม่ต้องถือเลย ขอให้ทำให้ได้นะศิษย์
ฉะนั้นครั้งนี้อาจารย์ขอบิณฑบาตศิษย์อย่างเดียวได้ไหมปีใหม่นี้ และปีต่อๆ ไปจะพยายามไม่โกรธ ดีไหม (ดี)  เพราะความโกรธเป็นทุกข์และแผดเผาใจตัวเองให้เจ็บปวดมากยิ่งนัก โกรธเสร็จแล้ว จะหงุดหงิด ขี้บ่น เครียดง่าย ขี้น้อยใจ แค้นเคืองใจ อาฆาตใจ ไม่ดีสักอย่างเลย ฉะนั้นวันนี้ใครให้อาจารย์แล้วอย่าไปทำอีกนะ จะเป็นคนใจเย็นได้ไหม (ได้)  ผู้ร่วมฟังทำได้ไหม ไม่ว่าใครจะว่า ใครจะด่า ใครจะบ่นก็จะใจเย็น ไม่ว่าใครจะโกงใครจะกินก็จะใจเย็น ไม่ว่าใครจะเอาเปรียบ ใครจะแช่งชักหักกระดูกก็จะใจเย็น ทำให้ได้นะศิษย์รักของอาจารย์
วันนี้อาจารย์จะพยายามจากกันด้วยรอยยิ้ม เพราะปีใหม่อาจารย์ไม่อยากร้องไห้ให้ศิษย์เห็น อยากจากด้วยความสุข อยากจากด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มแห่งความเข้มแข็ง รอยยิ้มแห่งความเชื่อมั่นว่าศิษย์จะไปให้ถึงที่สุด ทำให้ได้นะศิษย์เอ๋ย ตั้งใจบำเพ็ญเพื่อตัวเองจะได้ไม่ต้องทุกข์กับโลกใบนี้อีกนะ แต่เป็นเพื่อนที่เข้าใจทุกข์นะศิษย์
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท

 เมตตาใจเย็นอ่อนน้อม      รู้ยอมใจกว้างยิ่งใหญ่
 สุภาพซื่อตรงจริงใจ         น้ำใจดั่งธารใสเย็น



พระโอวาท มีการแก้ไข ดังนี้
แก้ไขเพลงพระโอวาทงานประชุมธรรมที่สถานธรรมจินเอวี๋ยน 
วันที่ ๑๙-๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๘
หน้า ๑๓  บรรทัดที่ ๑๑
เดิม อย่าติติงให้หมองใจ แก้ไขเป็น  อย่าติติงกันเองให้หมองใจ



อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

2554-05-21 สถานธรรมหมิงเฉิง สามเงา จ.ตาก




วันเสาร์ที่ ๒๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ สถานธรรมหมิงเฉิง สามเงา จ.ตาก
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา


พูดอย่างคนหงุดหงิดติดถือถือ ยิ่งฝึกมือฉันคือฉันคนยิ่งหนี
ฟังคนพูดแรงเข้าหูน้อยเต็มที ช่วยคนดีได้มากหากปล่อยทิฐิลง
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหมิงเฉิง แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนหายง่วงหรือยัง
สังคมคนเป็นที่ชุมนุมชน ความมีนั้นหนึ่งตนเสมือนฝิ่น
ชนะแพ้ยังคนอดทนกิน แทบดับดิ้นกี่ครั้งแพ้อบาย
คนทนทุกข์ความมีกิเลสอนันต์ แค่เข้าใกล้ใจสั่นบั่นไฉน
อันคนที่มีธรรมสำนึกไว ในผู้ใจรับต้องบำเพ็ญจริง
เมื่อเห็นธรรมยอมว่างจาก อนุสัย ใจขวนขวายกายขวนขวายสรรพสิ่ง
กล้ายอมรับฝึกหนักประจักษ์จริง ปัจฉิมและเป็นหนึ่งสิ่งประดุจกัน
ตกใจ ลัยกาล ที่คนร่ำลือ แต่ไยอายเขาหรือบำเพ็ญมั่น
แม้ว่าที่สุดโลกนาฬิกาลาน แต่คนดีล้วนเพื่อญาณบำเพ็ญ
อิจฉาคนมีทั้งเงินและวาสนา ติดนั่นหนาอัตตาใจเหม็นเหม็น
รู้ร้อนหนาวแต่ไม่รู้บำเพ็ญ คนเป็นเป็นร้อนกิเลสและเวทนา
การรู้เพื่ออะไรต้องไตร่ตรอง คนรู้มองมองอะไรต้องศึกษา
คนจะพูดพูดอะไรใช้ปัญญา คนเกิดมาเพื่ออะไรคิดใคร่ครวญ
ฮิ  ฮิ   หยุด
พระโอวาทศิษย์พี่นาจา
พูดอย่างคนหงุดหงิดติดถือถือ ยิ่งฝึกมือฉันคือฉันคนยิ่งหนี
ฟังคนพูดแรงเข้าหูน้อยเต็มที ช่วยคนดีได้มากหากปล่อยทิฐิลง
มานั่งฟังอย่างนี้หงุดหงิดไหม พออะไรไม่ได้ดั่งใจหรือเวลาไม่สบายใจใครมาพูดอะไรกระทบหูหน่อยเราเป็นอย่างไร หงุดหงิด ใช่ไหม (ใช่)  คนหงุดหงิดมองแล้วน่ารักไหม (ไม่น่ารัก)  แล้วเราชอบหงุดหงิดไหม (ไม่ชอบ)  ไม่ชอบแต่ก็ทำบ่อยๆ พอถามว่าทำไมหงุดหงิดง่ายจัง ก็บอกฉันก็เป็นแบบนี้ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วยิ่งเป็นตัวฉันมากๆ เข้า ยิ่งบ่งบอกนิสัยของกันและกัน สังเกตไหมว่าคนที่อยู่ใกล้ๆ เราชักจะไม่ค่อยอยากอยู่ใกล้เราแล้ว  จากที่เคยมาให้เห็นหน้าบ่อยๆ ก็เปลี่ยนเป็นนานๆ จะมาให้เห็นที ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ฉะนั้นเราตั้งแต่เกิดมา มนุษย์ก็คอยตอกย้ำตัวเองว่า นี่คือตัวฉัน นี่คือตัวฉัน และนี่คือตัวฉัน ทุกวันเกิดมาเราพร้อมที่จะบอกตัวเองว่า อันนี้แหละเรียกว่าตัวฉัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วการพึ่งพาตัวฉันแล้วยึดมั่นถือมั่นในตัวฉันเป็นสิ่งที่ดีไหม (ไม่ดี) ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน การรู้จักตัวตนมากๆ เป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ แต่ทำไมพอเราเริ่มรู้จักตัวตนแล้วกลับกลายเป็นว่าไม่มีใครรักเราเลย แม้แต่ตัวเราเองบางทียังเบื่อเลยว่าทำไมเรายังรู้สึกหงุดหงิดแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
พระพุทธองค์สอนเราว่า “ตนคือที่พึ่งแห่งตน” อย่างนั้นการมีชีวิตอยู่ยิ่งสอนให้เรารู้จักตัวตนเองมากขึ้น การอยู่ร่วมกับคนทำให้เรามองเห็นตัวเราเองมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตนที่เป็นแบบนี้พึ่งได้ไหม (ไม่ได้)
พระพุทธะสอนไว้ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่ถึงที่สุดแม้ตนของตนก็ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้” พึ่งได้แต่ยึดไม่ได้ ใช้ได้แต่ว่าเชื่อไม่ค่อยจะได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ว่าอย่ายึดมั่นถือมั่นจนเกินไปเพราะไม่อย่างนั้นตนจะฆ่าตน และตนจะทำตนให้ยิ่งทุกข์ขึ้นไปใหญ่  จึงมีคำกล่าวว่า “เราเกิดมาเพื่อช่วงใช้ เรียนรู้ และถึงเวลาต้องปล่อยวาง”  ทุกข์มาเพื่อให้เราเรียนรู้ เข้าใจโลก เข้าใจคน และถึงเวลาที่เรารู้ เราเข้าใจ เราต้องปล่อยวาง เพราะไม่อย่างนั้นตนของตนนั่นแหละที่จะฆ่าตนเองเพราะความยึดมั่นถือมั่นจนเกินไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เราบอกว่าถ้าท่านอยากโลภ โลภไปเลย ท่านอยากโกรธ โกรธไปเลย ท่านอยากหลง หลงไปเลย ดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมถึงไม่ดี ในเมื่อพระพุทธะมากี่ครั้งก็บอกให้มนุษย์รู้จักพอ รู้จักเบาความโกรธ เบาความโลภ แต่มนุษย์กลับบอกว่ายังทำไม่ได้ พอบอกว่าทำไม่ได้ก็เลยไม่คิดทำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นวันนี้เราสนับสนุนให้ท่านมีเต็มที่เลย ดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าไม่ดี อย่างนั้นเรามาดูกันดีไหมว่า ถ้าเรามีโลภ มีโกรธ มีหลง อย่างเต็มที่จะเกิดผลเสียอย่างไร
พระพุทธะทุกพระองค์ สอนให้มนุษย์ควบคุมโลภโกรธหลงให้ดี เพราะโลภโกรธหลงเป็นต้นเหตุแห่งการเวียนว่าย และเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวล  การยึดมั่นถือมั่นในตัวตนให้มีโลภโกรธหลงก็เป็นเหตุให้เราต้องสร้างทุกข์ไม่จบสิ้น แต่รู้แค่นี้เราเลิกได้ไหม (ไม่ได้)  เพราะเป็นเรื่องยากเลยไม่อยากเลิก และมองเห็นว่ามันก็ยังมีข้อดีอยู่ ทำให้เรามีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าอย่างนั้นศิษย์พี่ถามศิษย์น้องนะว่า ถ้ามีชีวิตอยู่ มีวันที่ได้กินแบบไม่มีวันเบื่อ ไม่ต้องทำอะไรก็มีกิน มีกินจนตาย ชอบไหม
มนุษย์โดยส่วนใหญ่ลึกๆ อยากอยู่เฉยๆ แล้วก็มีกินมีใช้จนตายใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์พี่เห็นมาเยอะแล้ว เพราะว่าเขาเคยเกิดมาแล้วไม่ได้กิน กว่าจะได้กินต้องลำบาก เขาก็เลยฝังใจว่า “ถ้าชาติหน้าเกิดมา ขอให้ได้มีกินจนตาย ไม่ต้องทำอะไรก็ได้กิน”  แล้วพอเขาตาย เขาได้เกิดเป็นอะไร รู้ไหม เป็นหนอนในอุจจาระ มีกินจนตาย  เชื่อไหมว่าจิตมันจะนำพาให้ไปเกิดเป็นหนอนในอุจจาระจริงๆ
ฉะนั้นถ้ามนุษย์อยากมีความโลภ มีไปเลย สั่งสมในจิตเยอะๆ เลย เพราะสิ่งนั้นแหละจะนำพาศิษย์น้องให้ไปสู่ทางที่ท่านอยากสั่งสม ถ้าความชั่วมีมากกว่าความดี ตอนเกิดมาเป็นคน ท่านอาจจะไม่ได้เกิดมาเป็นหนอน แต่อาจจะเกิดมาเป็นเปรต กินไม่มีวันอิ่ม ทรมานทั้งเป็น ฉะนั้นเลือกเอาเลยนะ ทางหนึ่งอยากโลภจนถึงที่สุด ไม่เคยหยุดความโลภในใจได้ ถึงที่สุดจะเป็นอะไร ไม่เปรตก็หนอนในอุจจาระ หรือไม่เปรต ไม่หนอน ก็อาจจะเป็นหมู มีคนเอาของกินมาให้กินตลอด พอถึงเวลาก็ต้องสละร่างกายให้คนอื่นเขากินต่อเอาไหม (ไม่เอา)  ท่านก็ไม่อยากเอา แต่ถามว่าให้หยุดไหม ท่านก็ไม่เคยคิดจะหยุดความโลภ ท่านก็บอกว่าไม่เคยพอ ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วท่านรู้ไหมพระพุทธะเทียบคนที่อยากไม่รู้พอ มีแล้วไม่เคยมีสุข ว่าเหมือนกับอะไร มีร้อยก็อยากได้สองร้อย มีสองร้อยก็อยากได้สามร้อย เราคิดว่าแต่ก่อนมีรถคันหนึ่งมีความสุขไหม พอมีรถแล้วมีสุขไหม มีรถแล้วก็ต้องมีบ้าน มีบ้านเสร็จแล้วมีอะไร (มีเฟอร์นิเจอร์)  อยากไม่พอใช่หรือไม่ (ใช่)  เราคิดว่าการที่ไปถึงก้าวนี้จะทำให้มีความสุข แต่พอเดินไปถึง เราพอไหม เราสุขไหม (ไม่สุข)
คนที่ไม่รู้จักพอเปรียบเทียบได้กับหมาขี้เรื้อน พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า คนที่ไม่รู้จักพอในลาภ ยศ สรรเสริญ เปรียบได้กับสุนัขจิ้งจอกขี้เรื้อน ไปอยู่ที่ใดก็ไม่มีความสุข ใช่ไหม (ใช่)  ความอยากทำให้เราคันใจ อยากได้ ไปอยู่ตรงนี้ อยากได้ เหมือนคนเป็นขี้เรื้อนไหม คันไปทั้งตัว ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์ชอบคันอะไร คันตรงลูกตา คันตรงหู คันปากอยากพูด คันใจยุบยิบอยากนินทา ใช่ไหม (ใช่)
เราเป็นขี้เรื้อนทางตา หู จมูก ปาก เลยไม่เคยพอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ไม่รู้จักพอก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่เป็นโรคเรื้อน รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย เพราะยิ่งเกาเรื้อนมันยิ่งลาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่ปากไม่รู้จักควบคุม ตาไม่รู้จักควบคุม ใจไม่รู้จักควบคุม คนนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับเป็นโรคเรื้อนทั้งตัว  มนุษย์มักจะมองไม่เห็นตัวเองเวลามีกิเลสครอบงำ แต่พุทธะมองเห็นชัดเจนเลย คนที่โลภไม่รู้จักพอ โลภอยากมีจนฝังไว้ในจิต จะทำให้มีผลร้ายผลเสียยังไง ถ้ารู้ขนาดนี้แล้วยังโลภก็สุดแล้วแต่ท่านนะ
ถ้าพูดถึง “โลภ” ก็ขาดไม่ได้ที่พูดถึงความ “โกรธ” ใครในที่นี้บ้างที่มักโกรธบ่อยๆ ยกมือขึ้น คนที่ไม่ค่อยโกรธเลยยกมือขึ้น  ในชีวิตนี้นับครั้งได้ไหมว่าโกรธกี่ครั้ง หรือนับครั้งไม่ถ้วน  ถ้านับครั้งไม่ถ้วนนี้เรียกว่า โกรธบ่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วยังจะบอกว่าไม่ค่อยโกรธแต่นับไม่ได้เลยว่ากี่ครั้งแล้ว
ศิษย์พี่ถามศิษย์น้องนะ ระหว่างกอดกองไฟกับกอดคน กอดอะไรประเสริฐกว่ากัน (กอดคน)  หัวหน้าชั้นตอบว่ากอดคนประเสริฐกว่า ทำไมถึงคิดว่ากอดคนประเสริฐกว่ากอดกองไฟล่ะ (มีความรักถึงกอดคน)  ไม่เคยได้ยินหรือว่า “ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์” อย่างนั้นกอดกองรักก็คือกอดกองทุกข์ใช่ไหม (ความรักมีหลายแบบ)  รักดีๆ ก็ไม่ทุกข์ (รักไม่เป็นก็ทุกข์)  แล้วรักเป็นแล้วทุกข์ไหม (รักเป็นก็ไม่ทุกข์)
หัวหน้าชั้นเลือกกอดตัวตน กอดสิ่งที่รัก แล้วตัวท่านล่ะกอดอะไร ถ้าถามแบบนี้ใครๆ ก็คงไม่เลือกกอดกองไฟ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะกอดกองไฟแล้วเป็นยังไง  มีแต่ร้อนแล้วก็ทำให้เราตายทั้งเป็น ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ถ้าศิษย์พี่ให้แง่คิดศิษย์น้องนะ กอดกองไฟร้อนครั้งเดียว ตายครั้งเดียว เจ็บครั้งเดียว จำครั้งเดียวแล้วก็ตายไปเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่กอดตัวตนนี้ตายกี่ครั้ง ไฟเผากี่ครั้ง ช้ำกี่ครั้ง
กอดมนุษย์ประเสริฐกว่ากอดกองไฟ แต่กอดกองไฟครั้งเดียวทำเราเจ็บแล้วตายครั้งเดียว ไม่ต้องตกนรกอเวจีด้วย แต่ถ้ากอดตัวตนแล้วยึดมั่นผิด กอดคนแล้วยึดมั่นผิดถือมั่นผิด เกิดกิเลส เกิดความหลงผิด กอดคนหรือกอดตนทุกข์ไม่จบสิ้น ไฟเผาแล้วเผาอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ว่ากอดไฟน่ากลัว แต่ศิษย์พี่ว่ากอดตัวตนที่ไม่รู้จักควบคุมไฟในตนน่ากลัวยิ่งกว่า เพราะไฟที่เรามองเห็นไหม้เราครั้งเดียวเจ็บครั้งเดียว แล้วยังทำให้เราจำ เหมือนเรารู้ว่านี่เป็นไฟ พอจะแตะมืออีกเราจะระมัดระวังขึ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ตัวตนเองนี้ใช้มันมากี่ปี อยู่กันมากี่ปี มันทำเจ็บกี่ปี แล้วจำสักทีไหม (ไม่จำ)  รู้ว่ารักอย่างนี้แล้วจะทุกข์ ยังรักไหม (รัก)  รู้ว่ายึดมั่นอย่างนี้แล้วจะเจ็บปวด ยังยึดไหม (ยึด)  แล้วทำไมไม่ปล่อย
เห็นไหมว่ากอดกองไฟยังประเสริฐกว่ากอดตัวตน ถูกหรือไม่ (ถูก)  หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่ามีรักร้อยก็ทุกข์ร้อย มีรักห้าสิบก็ทุกข์ห้าสิบ มีรักสิบก็ทุกข์สิบ มีรักหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง ไม่มีรักเลยก็ไม่ทุกข์ แล้วเรายังรักไหม
ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “อยากไม่โศก อยากไม่พลัดพรากจากสิ่งที่รัก อยากไม่รำไพพิราบ หรือร่ำไรเป็นทุกข์เศร้าหม่นหมอง จงอย่ายินดีในสัตว์ทั้งปวงในโลกนี้ จงอย่ารักในสังขารนี้  เมื่อใดที่มนุษย์พ้นจากความรัก พ้นจากความยินดีในสัตว์ในสังขารนี้ มนุษย์จะพ้นจากความทุกข์โศกในโลกนี้”
เพราะมีรักจึงมีเกลียด ใช่หรือไม่ (ใช่)  และถ้าเราไม่รักเราจะเกลียดอะไร เมื่อไม่รักไม่มีเกลียด ความโกรธจะมาจากไหน ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราทำได้ไหม (ไม่)  อย่างนั้นก็จงปล่อยให้ไฟมันเผาชีวิต แล้วรู้ไหมว่าไฟที่เผาตัวเองนั้น ถ้าเรายังดับไม่ได้ ไฟนี้มันยังเผาทั้งจิตญาณ แล้วยังทำให้เกิดไฟเผาแล้วเผาเล่าไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยังอยากมีอีกไหม ศิษย์พี่ให้มีอยากโลภ โลภไปเลย อยากหลง หลงไปเลย อยากไม่พอ ไม่พอไปเลย อยากเป็นขี้เรื้อน เป็นไปเลย ดีไหม (ไม่ดี)
ยังเหลืออีก เรื่องความหลง ท่านว่าคนที่หลงเป็นคนที่น่ารักไหม (ไม่น่ารัก)  พระพุทธะเทียบคนหลงเหมือนกับอะไรรู้ไหม เหมือนเต่า
ท่านยกตัวอย่างให้ว่า มีเต่าตัวหนึ่ง เต่าตัวนี้พ่อแม่สอนให้ทำอะไรก็ไม่ฟัง พ่อบอกว่าลูกอย่าไปคูน้ำนั้นนะจะมีคนจับกิน มาคูน้ำที่ดูแห้งแล้งหน่อยจะปลอดภัย คูน้ำที่ยิ่งสมบูรณ์ ยิ่งมีคนหมายจะจับตัวเจ้า ลูกเต่าไม่เชื่อบอกว่าพ่อแก่แล้ว ฉันยังหนุ่มเอาตัวรอดได้ พ่อไม่ไหวแต่ฉันยังไหว
ลูกเต่าหลงว่าตนเองยังมีความเก่ง มีความสามารถ แข็งแรง มีกำลัง ก็เลยไปหนองน้ำที่อุดมสมบูรณ์ แต่พอไปถึงหนองน้ำที่อุดมสมบูรณ์ นายพรานกำลังรอจับอยู่พอดี แต่พรานคนนี้ฉลาด จับตัวเดียวไม่เอา ถ้าจับต้องจับให้ได้ทั้งฝูง เขาก็เลยยิงธนูชนิดหนึ่งที่มีเชือกผูกตรงปลาย ธนูนี้เวลายิงเต่าจะไม่รู้สึกเจ็บ แต่เวลามันเดินไปไหนนายพรานจะรู้ทันทีเพราะว่ามีเชือกคล้องหางอยู่
พอเต่าตัวนี้โดนธนูยิงก็เลยรีบหนี ดีใจหนีพ้นแล้ว กลับไปหาญาติพี่น้อง บอกว่าฉันรอดแล้ว ฉันแข็งแรง ฉันเก่ง ไปกินน้ำที่หนองน้ำโน้นฉันก็รอดมาได้แต่ฉันไม่เข้าใจไม่รู้มีอะไรติดหลังฉัน พ่อช่วยดูหน่อยสิ พอพ่อเห็นก็ใจหาย เพราะความหลงผิดของลูกตัวเดียวทำให้ทั้งครอบครัวของเต่าต้องมีอันเป็นไป นายพรานเดินตามเชือกมากับเต่า แล้วก็จับเต่าไปทั้งฝูง
ความหลงผิดนอกจากจะเผาตัวเองให้ตายแล้ว ไปอยู่ในครอบครัวก็เผาคนในครอบครัวให้วิบัติ ไปอยู่ในสังคมก็ทำให้สังคมนั้นมีแต่ความทุกข์หนัก จริงไหม (จริง)  ลองแค่หลงว่าตนเองพูดถูก คิดถูก เป็นคนดี ใครว่าไม่ได้ ไปอยู่ในบ้าน พ่อผิดนะ ฉันดีแล้วอย่ามาว่า ใครสะกิดเชื่อไหม (ไม่เชื่อ)  ความหลงนอกจากจะเผาตัวเองแล้ว ยังเผาคนที่อยู่ข้างๆ หรือท่านไปอยู่ที่ใดก็เผาที่นั่นวิบัติและวอดวาย ฉะนั้นอยากมีความหลงไหม (ไม่อยาก)  แล้วเราหลงตัวเองไหม ใครว่าไม่ได้ เราผิดไม่ได้ ต้องชมอย่างเดียว นั่นแหละ หลงทั้งนั้น
บุญจะเกิดได้อย่างไรถ้าหากมีโลภโกรธหลง เป็นรากเหง้าแห่งกิเลสและสันดาน ฉะนั้นแม้มีบุญขนาดไหน แต่ถ้าโลภโกรธหลงตัดไม่ได้ บุญก็ส่วนบุญ บาปก็ส่วนบาป ทำบุญก็ต้องปล่อยวาง เพราะถ้ายึดมั่นถือมั่นก็เรียกว่าความหลง ใช่หรือไม่ (ใช่)
เหมือนแค่ง่ายๆ ฉันเป็นคนทำบุญเยอะ ตักบาตรเยอะ ถึงแม้เราจะเป็นคนดีขนาดไหน มีความหลงเข้าไปครอบงำ อย่างนี้เขาเรียกว่าหลงบุญเหมือนกัน  แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม ทำแล้วหวังผลไหม  ตักบาตรหนึ่งครั้งก็อธิษฐานขอให้ครอบครัวร่มเย็น ขอให้มีกินมีใช้ ขอให้สุขภาพแข็งแรง ตักบาตรข้าวหมดแล้วแต่ยังขอไม่หมดเลย อย่างนี้เรียกว่าหลงไหม (หลง)  เพราะเราทำบุญเพื่อสละ เพื่อให้ ไม่ใช่เพื่อยึดติด  พระช่วยเราได้ไหม ถ้าวันๆ เอาแต่นั่งขายของแล้วก็กินหมาก แล้วก็เล่นหวย แต่ไม่เคยออกกำลังกาย ไม่รู้จักพักผ่อน  แข็งแรงหรือไม่แข็งแรง ไม่ใช่อยู่ที่พระช่วย แต่อยู่ที่ตัวเราต้องช่วยตัวเราเอง  โชคดีโชคร้ายไม่ใช่อยู่ที่ฟ้ากำหนด แต่อยู่ที่เรากำหนดชะตาชีวิตเราเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มักจะพูดเสมอๆ ว่า ถูกหวยสองตัวดีใจไหม (ดีใจ)  แต่พอเพื่อนบ้านถูกสามตัวเราดีใจไหม (ไม่ดีใจ)  เราถูกเขาโกงหนึ่งร้อย เราเสียใจไหม (เสียใจ)  แต่พอเพื่อนบ้านโดนโกงสามร้อยเราดีใจไหม (ดีใจ) นี่แหละคือความหลง คือความยึดมั่นถือมั่นทั้งนั้น
ฉะนั้นเราเกิดมาในโลกนี้ เราเรียนรู้ชีวิตเพื่อเข้าใจความเป็นจริงแห่งชีวิตและถึงที่สุดเราก็ต้อง รู้จักปล่อยวางมันลง  เพราะสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตไม่ใช่การมีโลภโกรธหลง เกิดมาแล้วต้องรู้จักบำเพ็ญธรรมเพื่ออะไรรู้ไหม แล้วทำไมเราจึงต้องมานั่งฟังธรรม แล้วทำไมชีวิตเราจะต้องบำเพ็ญธรรม
เคยคิดไหม ธรรมเกี่ยวข้องอะไรกับชีวิต เรานับถือศาสนาพุทธไหม ท่านบอกว่าให้ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ ให้ถือศีล สมาธิ ปัญญาเป็นการดำเนินชีวิต
ศีล สมาธิ ปัญญา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกี่ยวอะไรกับเรา  พระพุทธเปรียบเทียบได้กับอะไร พระธรรมเปรียบเทียบได้กับอะไร พระสงฆ์เปรียบเทียบได้กับอะไร แล้วทำไมชีวิตเราต้องถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ
พระพุทธ ก็เทียบได้กับ เมตตา
พระธรรม ก็เทียบได้กับ ปัญญา
พระสงฆ์ ก็คือ ความกล้าหาญ
แล้วศีลกับสมาธิล่ะ ศีลควรจะเข้ากับอะไร สมาธิควรจะเข้ากับอะไร
ศีลคือคุณธรรมแห่งความเป็นคน  ผู้ใดมีศีล ผู้นั้นจะมีคุณธรรมแห่งความเป็นคน
ศิษย์พี่แค่อยากให้ศิษย์น้องรู้ว่า ทำไมพระพุทธองค์ถึงสอนให้มนุษย์ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ นั่นก็คือเทียบได้ง่ายๆ เท่ากับ ศีล สมาธิ ปัญญา  เวลาที่เรากระทำสิ่งใดก็ตามถ้าเราไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ครอบงำ แล้วเราควรจะใช้อะไรในการดำเนินชีวิต นั่นก็คือ ใช้ศีล สมาธิ ปัญญา หรือที่เรียกว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือที่เรียกว่า เมตตา ปัญญา ความกล้าหาญ
ฉะนั้นเกิดเป็นคนทำไมจึงต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา หรือทำไมต้องมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  พระพุทธองค์เคยกล่าวไว้ว่า ตักบาตรด้วยอาหารร้อยหม้อในช่วงเช้า ร้อยหม้อในช่วงกลางวัน ร้อยหม้อในช่วงเย็น แปลว่าทำทานสามร้อยหม้อในหนึ่งวันยังไม่มีอานิสงส์สูงเท่ากับจิตใจที่มีความเมตตาเพียงหยดน้ำนมเพียงหนึ่งหยด ไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้า ช่วงกลางวัน หรือช่วงเย็น  แปลว่าคนๆ หนึ่งอยากจะทำบุญมากขนาดไหนก็ไม่ประเสริฐเท่ากับดำรงรักษาจิตเมตตาชั่วขณะหนึ่ง ประเสริฐกว่าทำทานสามร้อยหม้ออีก ขอเพียงรักษาจิตเมตตาให้ดำรงอยู่ในชีวิตก็มีอานิสงส์สูงขนาดนี้แล้ว แล้วจิตที่เมตตาก็เทียบได้กับพระพุทธ และจิตที่เมตตาก็เทียบได้กับศีล แล้วถ้าเรารักษาความเมตตา รักความเป็นพุทธะ รักษาศีลให้ครบด้วยความมั่นคง และทำปัญญาให้ถึงแจ้งตลอดชีวิต ถือแค่เมตตาข้อเดียว ศิษย์น้องจะเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทันที เข้าใจหรือยัง (เข้าใจ)
ฉะนั้นการถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะคืออะไร ง่ายๆ ถือเมตตา ไม่ว่าจะทำอะไร มองเห็นใคร ก่อนจะโกรธ โกรธดีไหม ควรเมตตาดีกว่าไหม เพราะเมตตาอานิสงส์มากกว่าทำทานด้วยอาหารสามร้อยหม้ออีกนะ แค่คิดว่าจะโกรธแต่ไม่โกรธ ถือความเมตตาเป็นหลัก และรักษาความเมตตาด้วยจิตที่เป็นสมาธิมั่นคง ไม่หวั่นไหว และทำให้บรรลุ เขาด่ามาไม่ด่าตอบ เอาเมตตาออกไปให้มั่นคง ให้ถึงแจ้ง ศิษย์น้องจะเข้าถึงศีล สมาธิ ปัญญา และเดินทางสู่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และคือการบวชจิตตน ง่ายไหม (ง่าย)
ฉะนั้นแค่หนึ่งขณะจิต โลภ โกรธ หลง ให้ถือศีลเมตตาเป็นหลัก ถือศีลมโนธรรมสำนึกละอายเป็นหลัก ถือสัตยธรรมเป็นหลัก ถือจริยธรรมเป็นหลักรู้จักเคารพผู้อื่น เขาด่าเรามา เราเคารพเขาเราไม่ด่าตอบ เขาด่าเรามาเราให้อภัยเขา เราไม่โกรธตอบ เราเมตตาตอบ  แค่ชั่วขณะหนึ่งที่เขาด่า เราจะเข้าถึงศีล สมาธิ ปัญญา เมตตา ปัญญา กล้าหาญ เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เข้าถึงแก่นแท้ของความเป็นพุทธ และแก่นแท้ของความเป็นปราชญ์  ขอเพียงไม่เอาโลภ โกรธ หลง แต่เปลี่ยนเป็นเอาศีล เอาเมตตา เอามโนธรรมสำนึก ไม่เบียดเบียนเขา ไม่ผิดลูกผิดเมียเขา ไม่โกหกเขา ไม่กินเหล้า คนไม่กินเหล้าก็มีปัญญาใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์น้องทำได้แค่ชั่วขณะหนึ่ง ศิษย์น้องก็ไม่ต่างอะไรกับพระพุทธะ ไม่ยากเลยใช่หรือไม่
ศิษย์พี่ถามง่ายๆ นะ ถ้าเกิดมาเป็นคน ระหว่างเป็นหนอนในอุจจาระ เป็นสุนัขจิ้งจอกขี้เรื้อน เป็นเต่าที่หลงตัวเอง กับเป็นพระพุทธะที่ประเสริฐ สี่ทางนี้อยากเป็นอะไร สุดแล้วแต่ศิษย์น้องกำหนดชีวิตตัวเอง
ตอนนี้ศิษย์น้องมีหนทางให้เลือกนะ อยากโกรธโกรธไปเลย อยากหลงหลงไปเลย อยากโลภโลภไปเลย แต่ศิษย์พี่อยากบอกว่าในหนทางโลภโกรธหลง ยังมีทางที่ประเสริฐคือความเป็นพุทธะและเข้าถึงได้ ขอเพียงรักษาจิตเมตตา เอาข้อเดียวก็ได้ มีเมตตา
คนมีเมตตาจะด่าคนไหม (ไม่ด่า)  คนมีเมตตาจะฆ่าสัตว์ไหม (ไม่ฆ่า)  คนมีเมตตาจะเห็นแก่ตัวไหม (ไม่)  คนมีเมตตาจะโกหกไหม (ไม่)  คนมีเมตตาจะปากว่าตาขยิบไหม (ไม่)  ฉะนั้นขอเพียงศิษย์น้องถือความเมตตาเป็นหลักด้วยปัญญาที่เห็นแจ้งแล้ว ด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวมั่นคง ใครด่ามาอดทน อดทนว่าฉันจะไม่ด่ากลับ ถ้าทำได้ก็คงประเสริฐ
จำไว้นะมนุษย์มีหนทางที่ประเสริฐกว่าการเป็นเทพพรหม ทำบุญเยอะๆ ก็เป็นแค่เทพพรหม แต่ถ้าเข้าถึงคุณธรรมหัวใจแห่งธรรม ไม่ใช่เป็นเทพพรหม แต่เป็นพุทธะที่ไม่ต้องมาเวียนว่ายวน เพราะเป็นเทพพรหมแล้วยังต้องกลับมาเกิด  ตักบาตรเยอะๆ ได้ไปเกิดเป็นเทพบนสวรรค์แล้วก็ต้องกลับมาเกิดใหม่เพราะบุญกุศลหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการทำที่ประเสริฐยิ่งกว่าการตักบาตร ยิ่งกว่าการทำบุญก็คือการเติมคุณธรรมเข้าไปในหัวใจ ซึ่งเรียกว่า “เมตตา”  แล้วเรามีในใจไหม
อย่าให้ความเห็นแก่ตัว อย่าให้ความโลภ ความโกรธ ความหลง มาบดบังจนเมตตาใครไม่เป็น  อย่าเพียงเพราะลิ้นติดรสชาติ เราจึงสามารถฆ่าสัตว์ได้เป็นๆ ระวังนะเวรกรรมมันมีจริง  ฉะนั้นขอให้คิดให้ดีๆ ชีวิตนี้มีหนทางที่ประเสริฐ และการเกิดเป็นคนเท่านั้นถึงจะสามารถสั่งสมบุญกุศลแล้วกลับไปสู่หนทางนั้นได้ ตายแล้วทำไม่ได้นะ ต้องทำตั้งแต่ตอนมีชีวิตอยู่
อยู่ร่วมกับคนอย่าเห็นแก่ตัว อยู่ร่วมกับคนอย่ามักมาก อยู่ร่วมกับคนอย่ามัวแต่ห่วงทรัพย์สินเงินทองจนลืมความเป็นคน ลืมเมตตาในหัวใจ น่าเสียดายที่เกิดมาแล้วถึงที่สุดเรากำหนดทางลงต่ำมากกว่าขึ้นสูง จริงหรือเปล่า
(นักเรียนในชั้นกล่าวขอบคุณศิษย์พี่พระนาจาที่เมตตา)
ขอบคุณไม่มีประโยชน์ ขอเพียงศิษย์น้องนำสิ่งที่ศิษย์พี่บอกไปปฏิบัติทันที ได้ไหม แค่เขาส่งผ้าให้ “ขอบคุณนะ ดีใจจังเลยที่ส่งผ้าให้” แค่นี้เองทำให้คนทำมีกำลังใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาเอาน้ำให้ดื่ม “ชื่นใจจริงๆ ขอบคุณนะที่ทำให้ได้ดื่มน้ำ”  จงแผ่เมตตาออกมาให้เยอะๆ ยิ่งเราแผ่เมตตายิ่งทำให้คนดีมีกำลังใจ คนดียิ่งอยากทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าเป็นคนปากหนัก ด่าเก่งแต่ชมไม่เป็น  เราเป็นอย่างนั้นไหม
รู้ไหมว่าอานิสงส์ของคนที่ถือเมตตาเป็นหลักในชีวิต คนก็เป็นที่รัก อมนุษย์ก็เป็นที่รัก เทวดาก็คุ้มครอง แม้พิษภัยของศัสตราวุธก็ทำอันตรายคนที่มีเมตตาในหัวใจไม่ได้ เคยได้ยินตรงนี้ไหม (เคย, ไม่เคย)  ถ้าเคยได้ยินเราคงถือเมตตาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่ามัวแต่ถือในสิ่งที่ตัวเองรู้ วางบ้าง แล้วจะได้ฟังเพิ่มเติมได้รู้เพิ่มเติม
บุญมีสิบประการ แต่บุญจะสมบูรณ์ได้ต้องประกอบไปด้วยหกประการ เคยได้ยินไหม ก่อนให้ต้องเป็นสุข ขณะให้ต้องเป็นสุข หลังให้ต้องเป็นสุข และบุคคลที่ให้ต้องปราศจากโลภโกรธหลง บุญนั้นถึงจะเป็นบุญที่สูงสุด หรือคนที่กำลังให้นั้นกำลังขจัดความโลภโกรธหลง บุญนั้นถึงจะเป็นบุญที่ประมาณค่าไม่ได้ นี่แหละคือบุญอันประเสริฐ
วันนี้เพิ่งเป็นวันแรกอดทนไหวไหม (ไหว)  เหลือพรุ่งนี้อีกวันหนึ่งจะต่อไหวไหม (ไหว)  ต้องเอาชนะตัวเอง ถ้าเอาชนะตัวเองไม่ได้ท่านก็ไม่มีวันถึงจุดหมายสูงสุดแห่งการเป็นคนหรอกนะ อดทนเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีมา ทำไมจะอดทนไม่ได้
ฉะนั้นถ้าวันนี้อดทนเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีมา สองวันอดทนได้ไหม (ได้)  ไปแล้วนะ มีโอกาสคงมาผูกบุญกันอีกนะ ไม่จำเป็นต้องเชื่อศิษย์พี่ พระอาจารย์จี้กงมักพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ขอให้เชื่อมั่นในความดีงามของตัวเอง” ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม แต่วันนี้ศิษย์น้องมีธรรมหรือยัง


วันอาทิตย์ที่ ๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ สถานธรรมหมิงเฉิง  จ.ตาก
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


คนบางคนมีสองบุคลิก เป็นทั้งคนจุกจิกและเงียบขรึม
เป็นทั้งคนเจื้อยแจ้วและอึมครึม เป็นทั้งคนเซื่องซึมและเสียงดัง
คนบำเพ็ญเป็นแบบนี้ดูสับสน คนที่ทนกับเราได้ดั่งถูกขัง
อยู่กับคนเดาได้ยากมิตรจะห่าง เกิดช่องว่างระหว่างกันคนยิ่งไกล


เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีไหม


คนเป็นที่หนึ่งนั้นมีกี่คน  ยังแพ้อดทน แพ้ความทุกข์ทนที่เข้าใกล้ใจ ผู้ใจเห็นธรรม ยอมรับว่าต้องขวนขวาย ยอมรับฝึกกายและใจ ไยอาลัยเป็นหนึ่งที่เขาว่า
คนดีที่สุดล้วนคนนั่นหนา มีทั้งอัตตา ร้อนเป็นหนาวเป็น รู้เพื่ออะไร
ให้คอยระวังชีวิตตนเองแบบไหน  ความคิดแอบซ่อนข้างใน  บำเพ็ญเพื่อใครไม่เท่าเพื่อตน
*  สิ่งไหนคือธรรมจงรีบไต่สูง รีบดำลึกลง  ยังหลอกแม้ใจตัวมั่วส่งจิตใจจะหลงภายใน  ใครเน้นปรัชญาไม่ประพฤตินั้นไกล  ประพฤติโดยสิ้นจุดหมาย  ทิศไหนวุ่นวายทุกวัน
**  บำเพ็ญจิตใจมิมีเคลือบแคลง หากทุกข์ไม่แรง ทุกวันปลอดภัยแล้วตั้งมั่นเถิด ตั้งใจทุกวัน คนรู้มากก็ตามเถิด  ทำน้อยปัญญาไม่เกิด ฝันฐานบัวงามบนฟ้าโปรดเพียร
ซ้ำ ( *, ** )


ชื่อเพลง: คนล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร
ทำนองเพลง: ลมจ๋า


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อยู่ในโลกนี้ต้องมีได้มีเสีย จะได้ทั้งสองอย่างจะสมหวังไปตลอดเป็นไปไม่ได้ เหมือนวันนี้เราต้องยอมเสียสละเวลาของตัวเอง เสียสละความสบายที่อยู่บ้าน เพื่อมายอมนั่งฟังอย่างลำบากที่นี่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  นั่งที่นี่ลำบากไหม (ไม่ลำบาก)  อย่างนั้นเพิ่มอีกหนึ่งวันดีไหม (ดี)  ถึงเวลาเอาจริงหรือเปล่า
คนบางคนมีสองบุคลิก เป็นทั้งคนจุกจิกและเงียบขรึม
เป็นทั้งคนเจื้อยแจ้วและอึมครึม เป็นทั้งคนเซื่องซึมและเสียงดัง
มนุษย์ไม่สุดโต่งไปด้านหนึ่งก็สุดโต่งไปอีกด้านหนึ่ง หาตรงกลางไม่ค่อยเจอ อารมณ์ดีก็พูดไม่หยุด พูดน้ำไหลไฟดับ เวลาอารมณ์ไม่ดีก็เงียบไปเลยใช่หรือไม่ (ใช่)
เราบำเพ็ญธรรมแล้วเรายังมีนิสัยสุดโต่งสองข้างไหม พอเขาชมว่าดีก็ทำไม่มีวันหยุด แต่พอเขาชมว่าไม่ได้เรื่องก็หยุดทำจนไม่มีดีเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ดูง่ายๆ ระหว่างช่องทางเดินนี้กับช่องทางเดินข้างๆ ช่องทางนั้น  ถ้าศิษย์เลือกเดินได้ศิษย์เลือกเดินช่องกว้างหรือช่องแคบ (ช่องกว้าง)  เพราะเดินช่วงกว้าง ยิ่งมีช่วงห่างของจิตใจ ใจที่ยิ่งเปิดกว้างมากเท่าไหร่ คนก็จะอยู่ร่วมได้ง่าย แต่ถ้าจิตใจของเราคับแคบ มีความเป็นอัตตาตัวตนสูง มีความยึดมั่นในตัวตนสูง มีใจที่ไม่ค่อยรับฟังใคร  เราอยากชิดใกล้เขาไหม ไม่ค่อยอยากจะชิดใกล้ เพราะกลัวว่าเดินผ่านไปแล้วเดี๋ยวจะกระทบกระทั่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อยู่ในโลกใบนี้จงเปิดใจให้กว้างและกล้าที่จะยอมรับความจริงในทุกสิ่ง ทุกอย่าง เพราะเรื่องราวของโลกใบนี้ถ้าศิษย์มองให้ดีทุกๆ เรื่องราวก็คือส่วนหนึ่งของชีวิต และทุกๆ ชีวิตก็คือชีวิตของเราได้เหมือนกัน ในโลกนี้ย่อมมีสิ่งที่ศิษย์รักและสิ่งที่ศิษย์เกลียด  สิ่งที่ศิษย์รัก ศิษย์ก็อยากอยู่ใกล้ สิ่งที่เกลียดเราก็อยากไกลห่าง หรือลบให้หายไปจากชีวิต ถ้าศิษย์เข้าใจคำพูดที่อาจารย์พูดประโยคแรกศิษย์จะรู้ว่าไม่ว่ารักหรือเกลียด ศิษย์ก็จะบอกว่ามันคือชีวิต เพราะทุกๆ สิ่งในโลกล้วนทำให้เกิดชีวิต และทุกๆ สิ่งในโลกไม่ว่าดีร้าย ได้เสีย ก็คือส่วนหนึ่งของชีวิตและทำให้ชีวิตเป็นชีวิต จริงไหม (จริง) 
เมื่อวานฟังศิษย์พี่นาจาบอกว่าให้รู้จักควบคุมความโลภ ความโกรธ ความหลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะดำเนินชีวิตอย่างไรล่ะ ที่ไม่ให้ความโลภความโกรธความหลงมานำพาชีวิต ฟังดูแล้วเราเหมือนคนหาทางไม่ออกเลย ถามว่าให้บำเพ็ญอย่างไรโดยไม่มีความอยาก นึกออกไหม
“ให้ทำตามหน้าที่โดยไม่ตกเป็นทาสของทุกๆ สิ่งในโลก” เมื่อทำจนถึงที่สุด จะได้จะเสีย จะโดนคนชมหรือโดนคนว่า ก็ต้องกล้าที่จะยอมรับและยินดีที่จะรับผลที่ต้องเป็นไป แต่ไม่ปล่อยให้ได้เสีย สุขทุกข์ดีร้าย มาทำให้เราต้องตกเป็นทาส พอมีเรื่องดีใจก็ดีใจ พอมีเรื่องเสียใจก็เสียใจ อย่างนี้ก็คือคนที่ยังตกเป็นทาสของอารมณ์
ทุกๆ อย่างทำไปตามหน้าที่ของชีวิตที่ควรจะเป็น เรามีหน้าที่อะไร ขายของก็ขายไป ถึงเวลาก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ กำไรก็ดี ไม่กำไรก็ดี  ทำยากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “ผู้ประเสริฐคือผู้ที่แม้ต้องทุกข์ ต้องผิดพลาด แต่ยังสามารถรักษาความสงบในจิตใจ โดยที่ทำให้ใจตัวเอง ไม่สูญเสียคุณธรรม เพราะความผิดชอบชั่วดี ดีร้ายได้เสีย” ทำยากไหม (ไม่) 
ผู้ประพฤติบำเพ็ญธรรม แม้จะต้องทุกข์ แม้จะต้องผิดพลาด แต่ก็ยังรักษาความสงบในจิตใจโดยไม่สูญเสียคุณธรรมเพราะได้หรือเสีย ดีหรือร้าย ทุกข์หรือสุข ยังคงสามารถรักษาคุณงามความดีของความเป็นคนให้อยู่ในจิตใจ แม้โดนคนว่าก็ยังอดทนได้ แม้ทำดีที่สุดแล้วยังสูญเสียยังขาดทุนก็ยอมรับความเป็นไปโดยที่ไม่สูญเสียคุณธรรม ทำยากไหม
มนุษย์นั้นแปลกนะ เงินทองหายยังรู้จักตามกลับคืน ลูกหลานทรัพย์สินหาย ยังพยายามหาจนเจอ แต่คุณงามความดีในตัวตนหาย เรากลับไม่ค่อยคิดจะตามหากลับคืนมา อย่างนั้นอาจารย์ถามนะว่าจริงๆ แล้วคุณงามความดีในหัวใจเรานั้นอยู่ตรงไหน
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ให้ฟังเรื่องหนึ่ง มีชายคนหนึ่งนิยมปลูกต้นไม้ ต้นไม้ยิ่งราคาแพงยิ่งสรรหามาปลูก พอปลูกแล้วเขาก็เรียงไว้เป็นชั้น ราคาแพงหน่อยอยู่บน ราคาถูกหน่อยอยู่ล่าง เรียงเป็นชั้นๆ หมั่นดูแลรดน้ำ พอใครเห็นก็ชมว่าดูแลต้นไม้ได้ดี พอมีคนชมก็ดีใจที่มีคนชมต้นไม้ที่ตัวเองดูแล ใช่หรือเปล่า (ใช่)  พอชมเขาก็ยิ่งรักยิ่งหวง แล้ววันหนึ่งเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เขากลับมาบ้าน เห็นชั้นที่เรียงต้นไม้แตกร่วงหล่นระนาว ต้นไม้ที่ราคาสูงสุด แตกไม่มีชิ้นดี เขาเดินไปรอบบ้าน เห็นแมวหนึ่งตัว เห็นเด็กอีกหนึ่งคนกำลังเล่นบอล เห็นคนใช้กำลังกวาดบ้าน ศิษย์ว่าเขาจะทำอะไร
ถ้าเจอเรื่องแบบนี้ศิษย์จะจัดการอะไรก่อนระหว่าง แมว เด็กเล่นฟุตบอล คนกวาดบ้าน  (จัดการตัวเองก่อนว่าควรจะทำอย่างไร)  ตอบได้ดีนะ ก่อนที่จะไปจัดการคนอื่นถามใจเราก่อน จัดการตัวเราเองก่อนหรือยัง เหมือนเราก่อนออกจากบ้านเราทำบ้านเรียบร้อย ตรงนี้ก็สะอาด  พื้นก็สะอาด พอกลับมาบ้านอีกที นี่ก็รอยเท้า นี่ก็รอยเท้า โน่นก็รอยเท้า ทำอย่างไร จัดการรอยเท้าในใจก่อน ต้องจัดการรอยสกปรกในใจ เหมือนกันเมื่อเราเจอรอยแตก เราต้องจัดการรอยแตกในหัวใจเราก่อนนะศิษย์ เมื่อจัดการกับรอยแตกในหัวใจ เราใจเย็นแล้วเราค่อยเดินไปถามคนกวาดบ้านว่าเกิดอะไรขึ้น พอไปถามคนกวาดบ้าน คนกวาดบ้านบอกว่าเด็กทำ แค่นี้เราจะจัดการเด็กเลยไหม (ไม่)  เราต้องเดินไปถามเด็ก ถ้าเด็กบอกว่าแมวทำ เราจัดการแมวเลยไหม (ไม่)  อาจารย์จะบอกว่าเรื่องนี้วัดจิตใจคนได้ เพราะคนโดยส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนี้ พอสูญเสียของล้ำค่า ก็จัดการทุกคนที่โผล่หน้ามา ใครทำหาย ไปไหนกันมา ทำไมของมันหาย ทำไมบ้านเลอะ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์เรื่องราวในโลกใบนี้ล้วนบ่งบอกให้เห็นถึงชีวิตและจิต ใจของเราเป็นอย่างไร เราเตรียมพร้อมรับมือกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยชีวิตและจิตใจแบบไหน  เราพร้อมที่จะทำร้ายคนหนึ่งคนเพียงเพราะสูญเสียเงินห้าแสน ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์ส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ เราพร้อมยอมฆ่าแมวได้เลย เพียงเพราะว่าสูญเสียเงินห้าแสน ถ้าหากวันนั้นไม่มีคนอยู่เลย แต่มีแมวที่มีใบไม้ติดอยู่ที่หลัง ศิษย์เชื่อไหมว่าอารมณ์
ชั่ววูบขณะนั้นศิษย์พร้อมฆ่าแมวให้ตายได้ทันที ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วถ้าเกิดเป็นเด็กข้างบ้านล่ะ ศิษย์ก็พร้อมจะด่าแช่งชักหักกระดูกเด็กได้ทันที ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเราเห็นห้าแสนมีค่ามากกว่าความเป็นคน  ห้าแสนมีค่ามากกว่าเมตตาธรรมในหัวใจ  แล้วเรายอมทิ้งทุกอย่างเพียงเพื่อห้าแสนแล้วลืมความเป็นคน   ถูกหรือเปล่า (ถูก)  หรือที่ศิษย์เจอบ่อยๆ รถที่ขับมาล้างเอี่ยมๆ เจอคนขับปาดหน้า รถเราเป็นรอย จัดการอะไรก่อนดี จัดการกับใครก่อนดี เปิดประตูได้เป็นอย่างไร (ด่า) 
อาจารย์จึงอยากจะบอกศิษย์ว่าเรื่องราวในโลกนี้ล้วนบ่งบอกให้เห็นชีวิตและตัวตน เราให้ความสำคัญอะไรที่สุดในชีวิต เราให้ความสำคัญกับรถจนลืมค่าความสำคัญของความเป็นคนไหม ใครๆ ก็ผิดพลาดได้ แต่น้อยคนที่ผิดพลาดแล้วได้รับการให้อภัย ใช่หรือเปล่า (ใช่) 
เราอยู่ในโลก เราจะเป็นคนของโลกหรือเราจะเป็นคนเหนือโลก ก็ขึ้นอยู่กับว่าศิษย์เจอสิ่งกระทบศิษย์จะเป็นคนไม่ต่างจากคน หรือศิษย์จะเป็นคนที่เหนือกว่าคน ก็ขึ้นอยู่กับว่าศิษย์เอาอะไรเป็นหลักในชีวิต แล้วเราจะจัดการใจเราอย่างไรก่อนที่จะไปจัดการกับผู้อื่น ใช่หรือไม่ (ใช่) 
อาจารย์จะบอกว่า มีสายสัมพันธ์เส้นหนึ่งที่ศิษย์สามารถควบคุมกายกับใจให้ประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าศิษย์สามารถควบคุมสายสัมพันธ์ให้เข้มแข็ง แข็งแรงและเป็นของที่วิเศษสูงสุด สายสัมพันธ์นี้จะทำให้ศิษย์สามารถอยู่บนโลกนี้ได้อย่างเป็นสุข และเดินทางไปสู่ความสันติได้ สายสัมพันธ์เส้นที่เราทอดทิ้งและลืมดูแล นั่นคือสายสัมพันธ์ของกายกับใจ  แล้วอะไรที่เป็นตัวเชื่อมกายกับใจ ทำให้กายกับใจเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วสามารถนำพาศิษย์ให้เดินไปสู่ความมีสันติและสุขได้ 
กายกับใจเรามักไม่ค่อยปรองดองกัน กายก็คิด ใจก็ไปอีกอย่างหนึ่ง สิ่งที่เป็นสายสัมพันธ์เชื่อมให้กายกับใจเป็นหนึ่งเดียวกัน เวลาทำอะไรแล้วทำให้เราสามารถเดินไปสู่ความสันติและความสงบได้ นั่นคือสติ ใช่หรือไม่ (ใช่)  สติคือสายสัมพันธ์ที่เชื่อมกายกับใจ  เวลาเรามีสติ กายกับใจเราจะเป็นหนึ่งเดียวกัน
ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่จะต้องพ่วงกับสติไปด้วย นั่นคือ “ลมหายใจอย่างคนมีสติ” ใจกลางของชีวิตมีลมหายใจเป็นตัวเชื่อม เมื่อลมหายใจเข้า “รู้” ออก “รู้” เข้าสั้น “รู้” ออกสั้น “รู้” ด้วยสติที่เท่าทัน กายกับใจจะเป็นหนึ่งเดียว  กายกับใจจะปรองดองและสายสัมพันธ์นี้ ถ้าศิษย์สามารถมีสติรู้อยู่ทุกขณะที่เวลาทำอะไร รู้ลมหายใจเข้า รู้ลมหายใจออก จะก่อเกิดพลังที่นำพาไปสู่ความสันติได้ 
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาโมโห ลมหายใจจะเป็นอย่างไร
ฟึดฟัด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาเราเจอเรื่องไม่ถูกใจ ไม่พอใจ ศิษย์กลับมาควบคุมลมหายใจก่อน หายใจเข้า สูดเข้าลึกๆ พอหายใจออก เบาๆ อย่างลึกๆ และผ่อนคลาย สูดลมหายใจเข้าไปก่อนจะโกรธ จะทำให้เรามีสติยิ่งขึ้น  คิดอย่างคนมีสติรู้เท่าทันตัวเอง  เมื่อเรารู้เท่าทันจึงเกิดพลัง แล้วเมื่อรู้เท่าทันเราจะไม่ใช้อารมณ์ชั่วแล่น เมื่อไม่ใช้อารมณ์ชั่วแล่น เราจะขาดสติในการทำอะไรผิดพลาดไหม (ไม่)  ก็ไม่มีวันผิดพลาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  และรู้ไหมว่าสายสัมพันธ์ของกายและใจที่ชื่อว่า “ลมหายใจอย่างมีสติ” นั้น จะทำให้ปอดเราแข็งแรง จะทำให้เลือดลมของเราไหลเวียนดีและจะทำให้อวัยวะของเรามีพลังในการขับ เคลื่อน และการรู้จักควบคุมด้วยการกำหนดลมหายใจอย่างมีสติไม่ว่าจะทำอะไร จะทำให้เรานั้นมีชีวิตที่มีคุณค่า ไหนลองตามสติตัวเองนะ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้น ยกมือซ้าย ยกมือขวา จับหัว จับไหล่ จับเข่า จับมือ จับคนข้างๆ)
เวลาจับช้าๆ อย่างนี้ศิษย์ก็ว่าอันไหนหัว อันไหนไหล่ อันไหนเข่า ฉะนั้นเวลาเจอเรื่องใดกระทบ จงช้าสักนิดหนึ่ง จงมีสติ จงรู้จักกำหนดลมหายใจ แล้วสติและลมหายใจจะนำพาชีวิตให้เราไม่วุ่นวาย ฟังแล้วทำยากไหม (ไม่ยาก)  ถ้าทำแล้วไม่ยากก็จงพยายามทำนะ เพราะเรื่องราวบางเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น ศิษย์จะรู้ว่าบางครั้งในโลกใบนี้ ความมีและไม่มีก็ล้วนทำให้เกิดทุกข์ได้ไม่ต่างกันเลย แต่ก่อนศิษย์คิดว่าไม่มีก็เป็นทุกข์  แต่ถ้ามีแล้วจัดการไม่เป็นก็เป็นทุกข์ เหมือนแต่ก่อนเราคิดว่าเรามีทรัพย์สินคงไม่มีปัญหาอะไร ยิ่งมีทรัพย์สินก็ยิ่งมีความสุข แต่ที่ไหนได้ความสุขนั้นกลับกลายให้ทุกข์ได้ไม่ต่างกับไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  การมีหรือไม่มีในโลกนี้ล้วนมีค่าไม่ต่างกัน  มีก็เป็นทุกข์ ไม่มีก็เป็นทุกข์ ถ้าจัดการไม่เป็นก็ยิ่งทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อาจารย์จะบอกว่ามีหรือไม่มีก็ไม่ทุกข์ ถ้าเรารู้จักจัดการและวางใจให้เป็น   เช่นแจกันแตกแล้วมีคนกล้าเดินมาบอกว่า หนูทำผิดเอง แต่เราบอกว่าไม่เป็นไร แล้วเราก็ไปเก็บกวาดให้เรียบร้อย เชื่อไหมว่าคนที่ทำแตก เขาจะรู้สึกว่าทำไมไม่ต่อว่าเขาสักคำ เขาจะรู้สึกผิดทันที  ใช่หรือไม่ (ใช่)  การว่าที่ดีที่สุดคือ ไม่ว่าอะไรเลย  กลับทำให้คน ๆ นั้นรู้สึกว่าทำไมไม่พูดอะไร อะไรทำให้คุณใจเย็นได้ขนาดนี้ ทำไมคุณถึงไม่โกรธผมเลย ทำไมคุณถึงไม่ว่าผมเลย เห็นไหมว่าหนึ่งเหตุการณ์แต่ให้ผลต่างกันราวฟ้ากับดิน เราก็วัดคุณค่าในจิตใจของเราด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)
“เวลาคนด่าเราหนึ่งคำ  เราจัดการอย่างไรแล้วเราทนได้ไหม”
ถ้าศิษย์ทนไม่ได้ ศิษย์ก็ไม่สามารถดับเชื้อไฟในโลกให้มอดไหม้ ศิษย์กลับกลายเป็นคนที่เติมเชื้อไฟและจุดไฟให้ไม่รู้จักจบสิ้น
พระพุทธะกล่าวไว้ว่า เวลาเจอคนด่า ให้คิดเสียว่า เขาด่าดีกว่าเขาตี ถ้าเขาตีดีกว่าเขาแทง ถ้าเขาแทงดีกว่าเขายิงด้วยศัสตราวุธ เขายิงด้วยศัสตราวุธดีกว่าเขาฆ่าให้ตาย ถ้าเขาทำให้ตายดีกว่าอยากตายแล้วไม่ได้ตาย เป็นศิษย์ ๆ คิดได้อย่างนี้ไหม (ไม่ได้) แพ้ตั้งแต่ต้นแล้วใช่ไหม 
นี่แหละเรียกว่า ปัญญานำพาให้ชีวิตไปสู่ความบริสุทธิ์ พระพุทธะจึงสอนว่า ความศรัทธาเป็นทรัพย์อันประเสริฐ ความไม่ประมาททำให้เราข้ามทะเลทุกข์ได้ เราสามารถข้ามทะเลทุกข์ได้พ้นด้วยความไม่ประมาทและความเพียรพยายาม แต่เราจะไปถึงฝั่งอันบริสุทธิ์ได้ก็ด้วยปัญญา  เรามีศรัทธาในตัวเองไหม เราตั้งตนไม่ประมาทไหม แล้วเรามีความเพียรที่จะเอาชนะและไปให้ถึงซึ่งปัญญาอันบริสุทธิ์ไหม
พระพุทธะยังสอนอีกว่า ถ้าเขาด่าเราว่าเลว เราจะตอบเขาว่าอย่างไร ถ้าเราศรัทธาในตัวเอง เรามีความไม่ประมาท เรามีความเพียรจะลุไปให้ถึงซึ่งจิตใจอันบริสุทธิ์ ศิษย์จะสามารถแก้ปัญหาได้ พระพุทธะท่านบอกว่า  “ใช่ ผมเลว เลวที่ยังกำจัดความไม่ดีในหัวใจให้หมดสิ้นไม่ได้เสียที”  หากเขาด่าว่าเราเลว เราไม่ยอมรับ เขาก็จะยิ่งด่าอีกจนกว่าเราจะบอกว่าใช่ ฉะนั้นเขาอยากให้เราเป็น เราก็ยอมรับเลยสิ “ใช่ ผมมันยังเลวอยู่ ยังตัดความโกรธไม่ได้ ยังตัดความโมโหไม่ได้ ยังทำเรื่องถูกไม่ได้เสียที ยังชอบผิดพลาดอยู่ ใช่ ผมเลว” 
การยอมรับน่าอายไหม (ไม่น่าอาย)  คนที่ยอมรับได้ แล้วพยายามแก้ไขนั่นแหละคือคนที่ประเสริฐ คนที่สามารถหยั่งรู้ด้วยปัญญา และนำพาให้จิตไปสู่ความบริสุทธิ์ จะสามารถแปรเปลี่ยนคนโกรธให้เย็นได้ด้วยหัวใจเราเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นมีหรือไร้ ได้หรือเสีย ล้วนมีผลต่อชีวิตของเราไม่มากก็น้อย และมีผลต่อชีวิตคนรอบข้างไม่มากก็น้อยเฉกเช่นเดียวกัน เราอยากขึ้นสวรรค์ เราก็นำพาคนขึ้นสวรรค์ได้ด้วยปัญญาของเรา ด้วยสติที่รู้เท่าทันอารมณ์
แก้วแตกแล้วอย่าให้ใจเราแตกและอย่าให้ความสัมพันธ์ของคนแตกด้วย รถพังแล้วแต่อย่าทำให้ใจเราพังแล้วความเป็นคนของเราก็พังด้วย ขอให้คิดให้ดีๆ ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทุกขณะที่เรามีชีวิต ไม่ว่าจะตาดู หูฟังล้วนบ่งบอกความเป็นชีวิตของเรา
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง “คนล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร” ทำนองเพลง “ลมจ๋า”)
มนุษย์ทุกคนล้วนมีความทุกข์  ทุกข์เพราะกิเลส ทุกข์เพราะตัวตน ทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่น หรือทุกข์เพราะอะไรกัน มนุษย์ล้วนมีทุกข์แตกต่างกันออกไป แต่ถ้าเราเข้าใจว่าเรามีชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร เราอาจจะทุกข์น้อยลงไปก็ได้ จริงหรือไม่ (จริง) 
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนฝ่ายชายสามคนออกมายืนหน้าชั้น)
อาจารย์ถามศิษย์นะ มนุษย์ทุกข์เพราะอะไร เราว่าในสามคนนี้เราเป็นทุกข์กับใครมากที่สุด เราว่าเราทุกข์เพราะอะไร หรือทุกข์กับใครมากกว่ากัน ถ้ามองเฉยๆ เราเป็นทุกข์ไหม (ไม่เป็น)  แต่ถ้าเมื่อไรเขาเกี่ยวข้องกับเรา เราเป็นทุกข์ไหม (เป็น)  แต่ถ้าไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่แฟนเรา ไม่ใช่สามีเรา ไม่ใช่ลูกเรา ไม่ใช่ญาติเรา ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  มนุษย์เริ่มต้นทุกข์เพราะว่ามีตัวตน 
แต่ถ้าเมื่อใดไม่มีตัวตน เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ฉะนั้นถ้าเราดับตัวตนได้และเรารู้ว่าตัวตนแท้จริงมาจากไหน เราคงทุกข์ได้เบาไปหนึ่งเปลาะ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ตัวตนที่ศิษย์เห็นนี้เหมือนกับอะไร ถ้าอาจารย์บอกว่า เหมือนกับซากเน่าๆ ศิษย์ว่าเหมือนไหม อาจารย์ว่าเหมือนถุงขี้ ศิษย์ว่าเหมือนไหม เพราะในร่างกายนี้เปรียบเหมือนถุงขี้ ลืมตามาก็ขี้ตา อ้าปากมาก็ขี้ฟัน
พ่นออกมาทางจมูกก็ขี้มูก ออกมาทางมือก็ขี้มือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่า ในร่างกายนี้ที่ศิษย์บอกว่าตัวของเรา ร่างกายของเรา มองให้ดีๆ ศิษย์ทำทุกวันนี้เพื่อบำรุงถุงขี้ ใช่ไหม (ใช่)  เรายอมเสียคุณธรรมความเป็นคนเพื่อถุงขี้ ถูกหรือไม่
ถ้าอาจารย์จับแยกส่วน หัวไปทาง ขาไปทาง แขนไปทางตาไปทาง  จมูกไปทาง ใครจะเอา เอาไหม (ไม่เอา)  แล้วเวลาถุงขี้มันไร้จิตใจ ไร้ชีวิต เอาไว้ในบ้านไหม (ไม่เอา)  และเป็นลูกเราเก็บไว้ไหม (ไม่)  แล้วทำไมไปเก็บไว้ที่วัด อาจารย์ไม่เข้าใจ ตอนอยู่ห่วงนักหนา หายก็ไปตามหา แต่เวลาตายทำไมไปฝากไว้ที่วัด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอะไรล่ะศิษย์
เราพยายามทำทุกอย่างเพื่อชีวิต แต่จริงๆ แล้วเราทำทุกอย่างเพื่อถุงขี้ สวยก็สวยถุงขี้ สวยแค่ถุงแต่จริงๆ แล้วข้างในก็เป็นขี้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราอย่าสูญเสียคุณธรรมแห่งความเป็นคนแล้วเหลือแต่ถุงขี้ ไม่อย่างนั้นจะเสียชาติที่เกิดมาเป็นคนคนหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนฝ่ายชายสามคนที่ยืนหน้าห้อง)
อาจารย์ถามศิษย์นะว่ากว่าจะกลายมาเป็นคนนี้ ต้องประกอบไปด้วยอะไรบ้าง (สี่ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ)  ดิน น้ำ ลม ไฟ ทำให้เป็นชีวิต   แล้วยังมีอะไรอีก (จิตวิญญาณ)  อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่า ขึ้นชื่อว่าชีวิต นอกจะประกอบด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ ยังมีอะไรเป็นองค์ประกอบที่ทำให้สำเร็จมาเป็นชีวิต มีกาย มีใจ มีจิตญาณ ใช่นั่นคือตัวศิษย์ แต่การที่จะเติบโตมาได้ยังต้องประกอบไปด้วยอะไร ถ้าศิษย์รู้ว่าเราเกิดมาด้วยอะไร ศิษย์จะเข้าใจว่าชีวิตควรไปในทางไหน ใช่หรือไม่
เหมือนที่เขาพูดกันว่าถ้ารู้ว่าเรามาจากไหน เราก็จะรู้ว่าเราจะไปทางใด  งั้นศิษย์ตอบอาจารย์ได้ไหมว่ากว่าจะมาเป็นชีวิต เรายังต้องใช้อะไรมาเป็นองค์ประกอบอีก อะไรอีกที่ทำให้เรามีชีวิตแล้วยืนอยู่บนโลกใบนี้ได้
ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า “เพราะมีโลกจึงมีชีวิต เพราะมีฟ้ามีดินจึงเรียกว่าสรรพสิ่ง”  ฉะนั้นชีวิตเราไม่ใช่มีแค่กายใจจิต ไม่ใช่มีแค่ดินน้ำลมไฟ แต่ยังมีอะไรที่ทำให้เราเป็นชีวิตและมีชีวิต นั่นคือมีฟ้ามีดิน มีสรรพสิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์จำให้ดีนะว่าชีวิตและเป็นชีวิตเราได้ ไม่ใช่แค่ดินน้ำลมไฟ ไม่ใช่แค่ธาตุทั้งห้า แต่ทั้งกลางวันกลางคืน มีเธอมีฉันมีเขามีเรา
มีต้นไม้ มีไฟ มีพัดลม มีคนด่าทำให้เรามีชีวิต มีคนชมทำให้เรามีชีวิต
มีเรื่องได้ทำให้เรามีชีวิต มีเรื่องเสียทำให้เรามีชีวิต ต้องมีทั้งกลางวันกลางคืน มีพระจันทร์ มีพระอาทิตย์ มีน้ำ มีทะเล มีไฟ มีความร้อน
มีความเย็น
พูดง่ายๆ ก็คือมีโลก เพราะมีโลกจึงมีชีวิต ส่วนหนึ่งของโลกก็ทำให้มีส่วนหนึ่งของชีวิต  ฉะนั้นเราก็คือส่วนหนึ่งของโลก โลกก็คือส่วนหนึ่งของเรา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวเราก็คือโลกน้อยๆ หรือจักรวาลน้อยๆ ในตัวเรา เข้าใจไหม (เข้าใจ)  แล้วจักรวาลน้อยๆ นี้ก็มีผลที่จะทำร้ายหรือสร้างจักรวาลใหญ่ๆ  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคือส่วนหนึ่งของชีวิต ถ้าเราทำร้ายส่วนหนึ่งในโลก เราก็ทำลายส่วนหนึ่งของชีวิต เข้าใจไหม
คนที่น่ารังเกียจกับคนที่น่ารักก็คือส่วนหนึ่งที่ทำให้เรามีชีวิต เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเข้าใจชีวิต ถ้าศิษย์เข้าใจอย่างนี้ว่าทุกๆ อย่างที่ทำให้เกิดโลกคือทุกๆ อย่างที่ทำให้เกิดเรา และความเป็นเราก็ทำให้โลกนี้จะเกิดหรือดับได้เหมือนกัน แล้วถ้าเรามองอย่างนี้เราจะทำร้ายใครไหม เพราะทุกสิ่งทุกอย่างคือส่วนหนึ่งของชีวิต แล้วเขาก็มีค่าเท่ากับชีวิต และเมื่อนั้นเราจะทำร้ายชีวิตหนึ่งเพื่อชีวิตเราไหมล่ะ
อาจารย์ถาม ศิษย์นะว่า แล้วเราอยู่บนโลกใบนี้ศิษย์ยังทุกข์เพราะสิ่งใดอีกหรือเราทุกข์เพราะเหตุใดบ้าง (ทุกข์เพราะตัวตน) ความหวังดีอย่างยึดมั่นถือมั่น บางทีก็ทำให้เราทุกข์ได้ อย่าลืมว่าคนทุกคนล้วนมีชะตาชีวิตเป็นของตนเอง แม้เราจะหวังดีขนาดไหนแต่ถ้าถึงเวลาเราบอกว่าอันนี้ดี แต่ถ้าเขาไม่เอาเราก็ต้องยอมรับและปล่อยวางด้วยการทำใจให้ได้นะ
(ทุกข์เพราะสิ่งรอบข้างเราที่ไม่สมดุล เพราะว่ามนุษย์ใช้ธรรมชาติมากเกินไป จนเราไม่รู้จักคำว่าแบ่งปันหรือว่าเมตตาและพอเพียง)  อย่างนั้นเริ่มต้นที่เราก่อน ศิษย์เคยเห็นไหม น้ำหนึ่งหยดถ้ามั่นคงและดิ่งลึกจะเกิดวงกว้าง ฉะนั้นขอเพียงศิษย์เริ่มต้นทำด้วยความมุ่งมั่น อาจจะแปรเปลี่ยนวงเล็กๆ ให้กลายเป็นวงใหญ่ๆ ได้
(ทุกข์ใจเพราะพ่อแม่พี่น้องไม่สบาย)  พ่อแม่พี่น้องไม่สบายจะกลัวอะไร มีใครในโลกไม่เคยป่วย การป่วยเป็นเรื่องปกติ แต่การดูแลคนป่วยให้เป็นปกติเป็นเรื่องยาก ฉะนั้นถ้าศิษย์มองเห็นว่าความป่วยเป็นเรื่องธรรมดา ความป่วยนี่แหละมาเตือน ทำให้เรารู้ว่าเรากำลังดำเนินชีวิตผิดปกติ สมมติว่าศิษย์ไม่ป่วยเลยแต่ศิษย์ตายทันทีโดยไม่รู้สาเหตุ ศิษย์เอาไหม (ง่ายดี)  แน่ใจหรือ ฉะนั้นจงรู้จักรักษาเท่าที่รักษา แต่ถ้ารักษาไม่ได้ก็ต้องทำใจ มีร่างกายให้เจ็บป่วยดีกว่าไม่เหลือร่างกายให้เจ็บป่วย
ทุกข์เพราะ (ในใจยังมีความโกรธอยู่)  ยังดับไม่ได้หรือ อย่างที่อาจารย์บอก “รู้จักควบคุมลมหายใจด้วยสติ” เวลาโกรธกลับมาอยู่กับตัวเอง แล้วถามดูว่าโกรธแล้วดีไหม โกรธแล้วได้อะไร โกรธแล้วเป็นการจองเวรจองกรรมไม่จบสิ้น ผูกเวรผูกกรรมไม่จบสิ้น เราควรจะโกรธไหม คนในโลกมีทั้งที่รู้ช้าและรู้เร็ว ถ้าเรารู้เร็วกว่าแล้วเราเจอคนรู้ช้าเราไม่ควรหงุดหงิด แต่คนโดยส่วนใหญ่มักจะหงุดหงิดที่เจอคนโง่ๆ ใช่หรือไม่
ทุกข์เพราะ (ยังทุกข์ทุกอย่าง)  แล้วศิษย์เคยได้ยินไหม ความทุกข์เป็นสิ่งเริ่มต้นและเป็นสิ่งสุดท้ายที่มนุษย์ทุกคนต้องมี แต่เมื่อเวลามีทุกข์เราจะรับมือกับทุกข์อย่างไร ถ้ามองเห็นทุกข์เราก็จะรู้ว่าความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่เป็นสิ่งที่เราสามารถจัดการได้ ควรปล่อยวางหรือควรจะทำใจ หรือควรจะพยายามให้ถึงที่สุดแล้วค่อยปล่อย
ทุกข์เพราะ (ตอนนี้ที่ทุกข์เพราะคนไทยไม่รักกัน)  เราทุกข์เพราะเรากังวลสังคมในโลกที่ทะเลาะเบาะแว้ง ใช่หรือไม่ ก่อนที่จะหวังให้สังคมเป็นอย่างไร ถามใจเราก่อนเรายังมีคนที่เราเกลียดอยู่ไหม (ไม่มี)  เรายังรับทุกคนได้ใช่หรือไม่ (รับได้)  แต่เราก็ต้องทำใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของคนในโลก ถ้าเราสามารถรักษาความดีในจิตใจ บางครั้งความดีในจิตใจก็อาจจะแปรเปลี่ยนคนร้ายๆ ในโลกให้เป็นคนดีได้ด้วยตัวเราเอง อย่ากลัวกังวลภายนอก ทำตัวเองให้ดีที่สุด เพราะหนึ่งการกระทำของเราอาจจะมีผลสะท้อนต่อคนรอบข้างได้ และหนึ่งความคิดที่ดีอาจจะมีผลสะท้อนให้คนอยากดีก็ได้ ฉะนั้นเราต้องหนักแน่นมั่นคงก่อนนะ
ทุกข์เพราะ (ร่างกายที่เจ็บป่วย)  แล้วเราจะทำอย่างไรดี
(กินยา)  แต่ถ้ากินยาแล้วไม่หายเราก็ต้อง (ทำใจ)  การทำใจเป็นเรื่องยากไหมศิษย์ (ยาก)  แต่อาจารย์อยากบอกว่าให้ทำใจเพราะสังขารนี้มีใครบ้างไม่เจ็บป่วย แม้แต่พระพุทธองค์ก็ยังเจ็บป่วย แต่ท่านเจ็บป่วยแล้วท่านปล่อยวางแล้วเข้าสู่ความรู้แจ้ง เพราะร่างกายนี้มันเป็นแค่ถุงขี้นะศิษย์นะ ใช้ให้ดีที่สุดถึงเวลาก็ต้องปล่อยไปตามธรรมชาติ  เข้มแข็งนะ
(ทุกข์ เพราะกังวลและเป็นห่วง)  ถ้าทำดีที่สุดแล้วไม่ต้องกังวล เพราะความกังวลไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ศิษย์จงมีจิตใจที่กล้าหาญและรับทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างให้ได้ อันนั้นประเสริฐกว่านะ ความกังวลไม่ช่วยอะไร ต้องใช้จิตใจที่กล้ารับให้ได้แม้จะเจ็บ ไม่ว่าทุกข์ ไม่ว่าจะผิดหวังหรือเสียใจ เพราะนั่นคือความจริง แต่ความกังวลคือการหนีความจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ทุกข์เพราะกิเลสตัณหา ไม่รู้จักปล่อยวาง)  ทุกข์เพราะตัวเองควบคุมตัวเองไม่ได้มากกว่า ไม่ต้องไปคิดเยอะ อย่างนั้นต้องควบคุมให้ได้
(ทุกข์เพราะหลง)  หลงใคร (หลงในอัตตา)  หลงในความรู้ตัวเอง หลงในความคิดตัวเอง หลงในมาตรฐานที่ตัวเองคิด แล้วชอบเอาไปวัดคนอื่นมันก็มีแต่ทุกข์ เราไม่มีวันเปลี่ยนแปลงใครได้ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้คือเปลี่ยนแปลงใจตัวเอง ยอมรับในสิ่งที่เป็น เพราะหลงตัวเองก็ไม่มีใครชอบ ใช่หรือเปล่า (หลงในหลายๆ อย่าง)  อย่างนั้นปล่อยได้ก็ปล่อยที่หลงนี้มันน่าหลงไหม คิดให้ดีๆ นะ
(ทุกข์เพราะรักและไว้วางใจ)  เป็นธรรมดานะ เวลาศิษย์เห็นคนหน้าตาดีๆ ศิษย์แอบมองไหม เป็นธรรมดาบางคนซื่อตรง บางคนไม่ซื่อตรงเราก็ต้องทำใจ อาจารย์เคยได้ยินเรื่องของคนบางคนนะ เขาไม่ว่าจะแต่งงานกี่คนต่อกี่คนสามีต้องหนีเขาทุกครั้งไป แต่งงานกับเศรษฐี เศรษฐีก็หนี แต่งงานกับคนฐานะปานกลาง คนฐานะปานกลางก็หนี แต่งงานกับยาจก เอายาจกมาเป็นสามีให้ได้ดี ก็ยังหนีไปเป็นยาจก เพราะอะไรรู้ไหมศิษย์ เพราะกรรมที่เขาเคยไปทำกับคนอื่นมาก่อน เพราะกรรมที่เขาเคยไปผิดลูกผิดเมียคนอื่นมาก่อน
ศิษย์เคยสงสัยไหมว่าทำไมคนบางคนหญิงก็ไม่ใช่ ชายก็ไม่เชิง เพราะว่าเศษกรรมของการไปผิดลูกผิดเมียเขา เขามีเมียแล้วก็ยังไปบอกให้เขาทิ้งเมียเขาแล้วมาอยู่กับเรา เศษของกรรมเลยทำให้เขาเกิดมาหญิงก็ไม่ใช่ ชายก็ไม่เชิง นั่นแหละทุกข์ยิ่งกว่าอะไรอีกนะ นี่แค่เศษของกรรมเองนะศิษย์ ฉะนั้นขึ้นชื่อว่าคน กระทำอะไรแล้วจงระวัง อยากมีทุกข์ต่อหรือว่าจบทุกข์สิ้น อยู่ที่เราตัดสินนะ ถ้าเราไม่ยอม เราไม่อยากเสียเปรียบเราก็คือคนที่ผูกเวรต่อ แต่ถ้าเรายอม เราให้อภัย เราอดทน เรารับได้ เราก็คือผู้ที่ยอมจบเวรจบกรรมกันวันนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ทุกข์เพราะอยากได้)  ยังไม่รู้จักพออีกหรือ เมื่อวานท่านนาจาบอกว่าคนที่ไม่รู้จักพอเป็นโรคขี้เรื้อน ไหนเป็นตรงไหนอาจารย์จะได้อยู่ไกลๆ ไว้จะได้ไม่ติดเชื้อ คนที่เป็นคนไม่รู้จักพอคือคนที่ไม่เคยสมบูรณ์ ช้ำตลอด
(ทุกข์เพราะชวนพ่อบ้านและลูกๆ มาฟังธรรมะเขาไม่อยากมา)  อย่างนั้นก็ค่อยๆ ใช้ความดีแปรเปลี่ยนจิตใจ ใจเย็นๆ เมื่อบุญวาระสุกงอมเขาก็จะมาเอง แต่ขอให้อดทนนะ เพราะเราคือตัวแทนของธรรม ถ้าวันใดศิษย์ระเบิดวันนั้นเขาก็ยิ่งไม่อยากมา ใช่หรือเปล่า
ทุกข์ เพราะ (ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ สามีเมาเหล้าทุกวัน)  เอาไว้คราวหน้าสามีเมาเหล้ามา ศิษย์ต้องยอมหน่อยนะ  เขามาศิษย์ก็เตรียมผ้าเย็น น้ำเย็น มาแล้วหรือ เช็ดหน้าให้ กินน้ำหน่อยเผื่อความดีจะเปลี่ยนใจเขาได้ อดทนหน่อย ก็เลือกเขามาแล้ว คนที่ต้องรับผลกรรมที่ตนเองเลือกก็คือเราเอง สามีก็เหมือนลอตเตอรี่ แต่ไม่ถูกลอตเตอรี่แต่มาขาดทุนเสีย
(ทุกข์เพราะเป็นห่วงคนที่เรารัก)  ห่วงเหมือนอาจารย์ห่วงศิษย์ อยากให้ศิษย์ได้ดีแต่ศิษย์ก็มีเหตุผลเสมอ แม้กระทั่งศิษย์ทำผิด ศิษย์ก็ยังมีเหตุผลที่ผิดและอยากได้คนเข้าใจ ฉะนั้นยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น อย่าหวังในสิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น แต่จงหวังและพอใจในสิ่งที่เขาเป็น แล้วเราก็จะเป็นสุข แล้วเขาก็เป็นสุข
ทุกข์เพราะ (ทำสิ่งที่ดีให้คนอื่นแต่สิ่งที่ได้รับกลับทำให้คนอื่นไม่เข้าใจ)  เป็นธรรมดานะศิษย์ เหมือนปลูกต้นไม้ต้นหนึ่ง บางครั้งก็ได้ลูกงาม บางครั้งก็ได้ลูกไม่งาม แต่ต้นไม้เบื่อที่จะออกลูกไหม เพราะว่าคนหมั่นดูแล ต้นไม้จึงไม่เบื่อที่จะออกลูก ความดีก็เหมือนกัน ความดีจะยิ่งใหญ่ได้เพราะคนนั้นไม่หวั่นไหวต่อความชั่ว ศิษย์อยากเป็นคนดีที่สุดไหม คนที่ดีที่สุดคือทำดีโดยไม่หวังผล ทำดีโดยไม่กลัวคนว่า ขอให้ไปให้ถึงนะ
ทุกข์เพราะ (อยากให้ลูกเรียนหนังสือเก่ง อยากให้ลูกเป็นคนดี)  บางครั้งระหว่างเรียนเก่งกับเป็นคนดี เอาอะไรดี (เป็นคนดี)  บางทีเป็นคนดีแต่เรียนไม่เก่ง เราก็ต้องทำใจนะ บางทีถ้าเรียนไม่เก่งเป็นคนไม่ดีแต่ทุกๆ วันอยู่ช่วยแม่ทำงาน เราก็ต้องยอมรับ ลูกจะเป็นอย่างไร ถ้าอยากซิ่งรถ ไปเที่ยวไหน แม่ไม่ว่า แม่ให้ไปเท่าไรกลับมาขอให้อวัยวะครบเหมือนเดิม แต่กลับมาหาแม่ๆ ก็รักแล้ว แค่นี้แหละ ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น มนุษย์ทุกข์เพราะคาดหวัง หวังอยากให้เขาเป็นอย่างที่เรานึก แต่เขาเป็นได้ไหมศิษย์ ไม่ได้นะ อย่างตัวศิษย์เป็นได้อย่างที่อาจารย์หวังไหม ฉะนั้นศิษย์จะมีความสุขเมื่ออยู่กับเขาก็คือยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น แม้เขาจะต่ำกว่ามาตรฐานที่เราคิดก็ตาม แต่อย่างน้อยยังดีที่เขายังอยู่
(การควบคุมผัสสะ) แล้วเราจะควบคุมผัสสะอย่างไรล่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องยาว แต่อาจารย์เคยสอนไว้ ผัสสะคืออะไร เพราะตาเราเห็นรูป แล้วเรารู้สึกไหม เมื่อรู้สึกแล้วเราเกิดตัณหา เวทนา แล้วก็เกิดภพชาติไม่จบสิ้น แต่ถ้าเราเห็นเพียงแค่เห็น ได้ยินเพียงแค่ได้ยิน ทุกสิ่งทุกอย่างได้หรือไม่ได้คือเท่ากัน มีหรือไม่มีก็มีค่าเท่ากัน เมื่อนั้นเราจะเห็นและเราก็ไม่เกิดความรู้สึก
ทุกข์เพราะ (โรคภัยเบียดเบียน)  อาจารย์จี้กงเองยังหนีไม่พ้นโรค  โรคอาจารย์ก็มี พระพุทธองค์ก่อนท่านจะปรินิพพานดับสิ้นซึ่งกาย ท่านก็ยังต้องป่วย ใช่หรือไม่ แต่สังขารมีไว้เพื่อปลง รักษาจนถึงที่สุด ดูแลจนถึงที่สุดเราก็ต้องปลงและก็ต้องปล่อยวาง  เพราะมันเป็นแค่ถุงขี้ที่เรายืมใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดพอถึงเวลาเราก็ต้อง ทิ้งถุงขี้ จำไว้นะศิษย์ สุดท้ายแล้วสิ่งที่เอาไปได้ก็คือความดี ความชั่ว คุณธรรมที่ฝังอยู่ในจิตใจ
(อยากจะดับไฟในใจตัวเอง)  แล้วดับได้หรือยัง (ยังดับไม่ได้) 
ไม่เป็นไร จำไว้อย่างเดียวเกิดเป็นคนต้องใจเย็น ยอมได้เป็นยอม อภัยได้เป็นอภัย ท่องให้ได้นะ ใช้ให้ตลอดนะ
(ทุกข์เพราะต้องการแก้ปัญหาตลอด)  แล้วต่อไปเราลองไม่แก้ได้ไหม (ปัญหาตัวเอง ทั้งครอบครัว ทั้งคนรอบข้าง)  เราไม่แก้ก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเวลาเจอปัญหา ก่อนจะกระโดดลงไปเจอกับปัญหา ศิษย์ถอยหลังมาสักก้าวหนึ่ง ทำใจก่อนแล้วหันกลับไปมอง ถ้าศิษย์กระโดดลงไปทันทีเราก็จะมองไม่เห็น ใช่หรือไม่ เวลาเจอทุกข์ตั้งสติ ถอยออกมาก้าวหนึ่ง มองให้กว้างๆ ปัญหาเกิดจากอะไร  ถ้าเกิดศิษย์กระโดดลงไปทันที “วุ่นวายๆ ปัญหาๆ” มันแก้ไม่ได้ แต่ต้องถอยออกมา ทำจิตเราก่อน นิ่งให้พอ แล้วทำปัญญาให้เกิด ถือความเมตตาเป็นหลัก  ถือสติเป็นหลักแล้วปัญญาจะเกิด  ในโลกนี้มีปัญหาเยอะเราแก้ไม่หมดหรอก บางครั้งก็ต้องยอมรับว่ามันคือปัญหา ใช่หรือไม่
(ทุกข์เพราะลูก)  อาจารย์ตอบให้เยอะแล้วนะ (แล้วเราจะทำอย่างไร ทุกข์แค่ไหน ที่เขาจะกลับมาบ้าน)  ต้องทนจนถึงที่สุดและศิษย์ต้องยอมรับว่าถ้าเขากลับมาบ้านแม้สมบูรณ์หรือไม่ สมบูรณ์ ศิษย์ก็ต้องรับให้ได้และให้กำลังใจเขา เพราะพ่อแม่บางครั้งต้องยอมรับว่า ลูกบางคนเกิดมาเพื่อชดใช้กับเรา แต่ลูกบางคนเกิดมาเพื่อเราต้องชดใช้ให้กับเขา  และจะหมดได้ก็เมื่อเรายอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ว่าจะเจ็บ ไม่ว่าจะปวด ศิษย์ก็ต้องรับให้ได้เพราะนั่นคือลูกของเรา ฉะนั้นจิตใจที่เข้มแข็งจึงจะแปรเปลี่ยนโลกใบนี้ได้นะ
ทุกข์เพราะ (ญาติพี่น้องสามีไม่ปรองดอง)  ศิษย์ไปกังวลกับญาติพี่น้องจริงๆ หรือ สิ่งที่ศิษย์กังวลที่สุดคือสามีฉัน ลูกฉัน ไม่เป็นดั่งใจฉัน ก็ต้องทำใจใช่หรือเปล่า ศิษย์เคยได้ยินไหมว่าถ้าเรารู้จักให้เกียรติเคารพเขา สักวันหนึ่งสามีก็จะให้เกียรติเคารพเรา ใช่หรือไม่
(ทุกข์เพราะใจตนเองบังคับยากเหลือเกิน)  แล้วต่อไปจะบังคับได้ไหม (จะพยายาม)  ขอให้ทำให้ได้นะ
(ทุกข์เพราะคนในครอบครัวไม่มีใครเข้าใจ เพราะสามีไม่เข้าใจเรา) ตัวเราเองยังไม่เข้าใจตัวเองเลย ก็ไม่ต้องคิดมากถ้าเราทำไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งเขาอาจจะเห็นก็ได้  อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาอยู่กับใครนานๆ ศิษย์เห็นและจำสิ่งที่ดี หรือจำแล้วเห็นสิ่งที่ร้ายมากกว่ากัน (สิ่งที่ร้ายมากกว่า)  อาจารย์ถามศิษย์ทุกคนนะ  ศิษย์จำได้ไหมสามีที่น่ารักของศิษย์เป็นอย่างไร จำไม่ได้แล้ว จำได้แต่ว่าเขาน่าเกลียดยังไง เขาทำร้ายเรายังไง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาก็เหมือนกับเรา เขาก็จำได้แค่เพียงว่าศิษย์ไม่ดีกับเขายังไง ศิษย์ขี้บ่นกับเขายังไง ศิษย์จู้จี้กับเขายังไง ฉะนั้นถ้าอยากให้เขากลับมารักเราเหมือนเดิม เราก็ต้องทำตัวให้น่ารัก ยอมอดทนอดกลั้น อย่างนั้นกลับไปศิษย์ก็ได้ผลไม้ผลนี้ไปแล้วศิษย์ก็บอกว่า ฉันเอาผลไม้มาฝาก เพราะรักนะจึงให้ พูดกับเขาบ่อยๆ  ศิษย์ลืมคำนี้ไปหรือเปล่า เพราะศิษย์รักเขามาก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้บอกเขาไปเลยทุกวัน เจอหน้าไปไหนหรือที่รัก กลับมาดึกหรือที่รัก คุณเป็นอย่างไรฉันก็รัก กอดเขาเลย ถ้าโดนเตะก็ต้องกอดนะ อดทนให้ได้เขาอาจจะรู้สึกแปลก แต่ถ้าทำบ่อยๆ เขาอาจจะดีใจก็ได้ ใช่หรือเปล่า
(ทุกข์เพราะคาดหวังในสิ่งที่อยู่รอบตัวเรามากเกินไป)  บางครั้งต้องปล่อยวางแล้วนะ โลกนี้มีทุกข์มากมาย ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนโอวาทคำว่า “เห็นสัจธรรม” ซึ่งต่อจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “จิตนิ่ง” ที่ได้ประทานไว้ที่สถานธรรมเซิ่งเต๋อ เมื่อวันที่ 14 - 15 พฤษภาคม 2554 )
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์อยากจะบอกว่าความทุกข์ทำให้เราเห็นสัจธรรมความเป็นจริงแห่งชีวิต แต่ก่อนเราเคยคิดว่าอยู่คนเดียวคงไม่มั่นคง เราอยู่คนเดียวคงไม่มีความสุข การมีใครสักคนหนึ่งคงเป็นสุข แต่ที่ไหนได้ยิ่งมีก็ยิ่งเห็นทุกข์ ยิ่งเห็นความเป็นจริงแห่งชีวิต คนทุกคนล้วนคือส่วนหนึ่งของชีวิต และคนทุกคนล้วนสอนให้เราเข้าใจชีวิต และเข้าใจความทุกข์ เราเกิดมาเพื่อแค่ทุกข์ แล้วก็ทุกข์แล้วก็ตายกับทุกข์ หรือเราเกิดมาเพื่อทุกข์แล้วเห็นแจ้งในทุกข์ และเอาชนะทุกข์และพ้นทุกข์ อะไรประเสริฐกว่ากัน เราอย่าแค่เห็นทุกข์เท่านั้น แต่เราจงเห็นทุกข์และหาทางพ้นทุกข์ให้ถึงที่สุด และเราจะรู้ว่าทุกข์นี้ไม่ได้น่ากลัวแต่มันคือความจริงที่คอยเคาะประตูบอกใจ ศิษย์เสมอว่า จงรับมันให้ได้และจงอยู่กับมันให้เข้มแข็ง ละทำความประเสริฐให้ถึงที่สุดด้วยหัวใจแห่งคุณธรรม อาจารย์ขอเพียงสิ่งเดียว เจอทุกข์ขนาดไหนขอเพียงรักษาจิตเมตตาให้อยู่ เจอคนร้ายขนาดไหนขอให้เพียงรักษาจิตเมตตาให้อยู่ ถ้าศิษย์ลุถึงเมตตาศิษย์จะละลายคลี่คลายบาปกรรม ฉะนั้นเมื่อเจออะไร กระทบตา กระทบใจ ขอให้นิ่งแล้วมองให้เห็น มันคือความจริงไหม มีสุขก็มีทุกข์ มีได้ก็มีเสีย มีสมหวังก็มีผิดหวัง มันเป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นสัจธรรม เป็นความจริงแห่งชีวิตที่ถึงที่สุดแล้ว เราต้องรู้จักเรียนรู้ เข้าใจและปล่อยวาง เพราะถึงที่สุดแล้วเราทำอะไรไม่ได้  ทุกๆ สิ่งล้วนมีหนทางเป็นของตัวเอง สิ่งที่ทำได้คือควบคุมตัวเองให้ดีที่สุด เราเปลี่ยนแปลงคนในโลกไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนแปลงใจเราเองได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  วันนี้อาจารย์ให้เพียงแค่นี้ ถึงเวลาอาจารย์ก็คงต้องไปแล้วนะ
(นักเรียนในชั้นกล่าวขอบคุณพระอาจารย์เมตตา)
จำไว้นะศิษย์ ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ความทุกข์สอนให้เราเรียนรู้ชีวิต ความทุกข์คือส่วนหนึ่งของชีวิตและความทุกข์ทำให้เราเข้าใจชีวิตและตัวตน เมื่อทุกข์มาเราเข้มแข็งหรืออ่อนแอ เมื่อทุกข์มาเรากล้าที่จะยอมรับความจริงหรือเอาแต่หนี ความเจ็บป่วยเอย ความพลัดพรากเอย ความตายเอย  ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการดำรงชีวิตอยู่อย่างคนที่ไม่เห็นแจ้งความเป็นจริง ยังปล่อยให้กิเลสโลภ โกรธ หลงครอบงำไม่จบสิ้น แต่ต่อไปนี้เราจะมีชีวิตอยู่ด้วยคุณธรรมอันดีงาม รู้จักมีสติยั้งคิด รู้จักมีมโนธรรมสำนึก รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาป รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักเอาคุณธรรมมาแปรเปลี่ยนใจคน รู้จักเอาการให้อภัยมาช่วยเหลือคน ทำให้ได้นะศิษย์ เพราะชีวิตอยู่ที่ตัวศิษย์เอง อาจารย์เป็นแค่เพียงผู้ชี้ทาง  แต่ใครจะเดินไปให้ถึงที่สุดถ้าไม่ใช่ตัวศิษย์เอง
อาจารย์ไปแล้วนะ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกไหม ความเจ็บป่วยไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่การเวียนว่ายในโลกนี้แล้วต้องทุกข์แล้วทุกข์อีกน่ากลัวกว่า ตัวเราไม่น่ากลัวแต่ความคิดที่ไม่รู้จักควบคุมตัวเราน่ากลัวกว่า
มีโอกาสมาช่วยอาจารย์ดีไหม ศิษย์เอย ปณิธานที่ยิ่งใหญ่เกิดจากจิตใจที่มุ่งมั่นและศรัทธา ขอให้ศิษย์มุ่งมั่น ศรัทธาและบรรลุให้ถึงความตั้งใจ เสียสละตัวเองเพื่อช่วยผู้อื่นไม่ใช่เรื่องยาก แต่เสียสละความสุขตัวเองเพื่อช่วยผู้อื่นเป็นเรื่องที่ศิษย์ต้องทำให้ได้ อยากไปกับอาจารย์ก็ต้องอดทนให้ได้ในทุกๆ เรื่อง ทำให้ได้นะ
ลำบากไหม ขอให้อดทนนะศิษย์ ทำดีย่อมมีอุปสรรค ขอให้ศิษย์อดทนให้ได้ อาจารย์มาหาศิษย์ถึงขนาดนี้แล้วศิษย์ยังไม่มาหาอาจารย์อีกหรือ  ดูแลตัวเองให้ดี ดูแลจิตใจของตัวเองให้ดี อย่าปล่อยให้ความคิดของตัวเองทำร้ายตัวเอง ความมุ่งหวังศรัทธาที่ศิษย์มี อาจารย์อยากให้ศิษย์ลุล่วงและทำให้ได้ดีนะ
อาจารย์ไปแล้วนะ ดูแลตัวเองดีๆ ตั้งใจบำเพ็ญธรรม ไปให้ถึงธรรมะในหัวใจของศิษย์ ไปให้ถึงความดีที่มีอยู่ในหัวใจ และรักษาความดีในหัวใจให้มั่นคง ชีวิตนี้มีแต่ความทุกข์ ชีวิตนี้มีแต่เรื่องเศร้า แต่เราสามารถผ่านความทุกข์และเรื่องเศร้าได้ด้วยหัวใจที่เข้มแข็งและมั่นคง ในคุณธรรม
อดทน เข้มแข็งนะ เจ็บขนาดไหนก็เพื่อละลายหนี้บาปเวรกรรม อย่ายอมแพ้ ศิษย์ดูแลตัวเอง จงเข้มแข็ง ถ้าศิษย์อ่อนแอไม่เข้มแข็งศิษย์จะนำใครได้ อาจารย์เป็นห่วงศิษย์นะ ต้องเอาชนะจิตใจให้ได้ รู้จักตามลมหายใจของตัวเอง อย่างที่อาจารย์พูดไว้ ลมหายใจคือเส้นบางๆ แต่ถ้าเรารู้จักใช้จะมีคุณอนันต์ และเป็นสิ่งที่ทำให้กายกับใจประสานเป็นหนึ่งได้ แล้วจะนำพาชีวิตไปสู่สิ่งที่ประเสริฐที่เรียกว่าสันติ
ขอบคุณศิษย์ทุกคนที่ทำให้วันนี้สำเร็จได้ ขอบคุณศิษย์ทุกคนที่ยอมเหนื่อยเพื่อผู้อื่น และขอบคุณศิษย์ทุกคนที่ยอมเหนื่อยเพื่อตัวเองบ้าง และต่อไปจะกล้าเหนื่อยเพื่อผู้อื่นบ้าง

พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “เห็นสัจธรรม
คนเป็นที่หนึ่งนั้นมีกี่คน ยังแพ้อดทน  แพ้ความทุกข์ทนที่เข้าใกล้ใจ
ผู้ใจเห็นธรรม ยอมรับว่าต้องขวนขวาย ยอมรับฝึกกายและใจ ไยอาลัยเป็นหนึ่งที่เขาว่า
คนดีที่สุดล้วนคนนั่นหนา  มีทั้งอัตตา ร้อนเป็นหนาวเป็น รู้เพื่ออะไร

(หมายเหตุ พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เห็นสัจธรรม”  เป็นส่วนหนึ่งของเพลงพระโอวาท
ชื่อเพลง “คนล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร”  ทำนองเพลง “ลมจ๋า” )

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา