แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทาน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทาน แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

2559-05-14 สถานธรรมหมิงเอิน จ.เพชรบูรณ์

西元二○一六年歲次丙申四月初八日                                        仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙               สถานธรรมหมิงเอิน  จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

  การให้ธรรมประเสริฐกว่าทานทั้งหลาย     รักการให้ใจเมตตาต้องเหมาะสม
เลือกที่รักมักที่ชังตามอารมณ์            ก็ยากบ่มคุณธรรมงามแท้จริง
                                เราคือ
  ศิษย์พี่นาจา                       รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่พุทธสถานหมิงเอิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                    ถามศิษย์น้องทุกคนต้อนรับศิษย์พี่ไหม

  การให้ต้องธรรมหลายข้อผนวก        ผู้สะดวกถึงรู้ไม่แตกแถว
บำเพ็ญธรรมบาปกรรมสร้างขวางแนว   แต่ความดีทำแล้วก็สบาย
หาทางนำสติมาคืนชีวิต                  พรหมลิขิตของใครสิ่งดีร้าย
สงบใจสิ่งใดเกิดไม่เป็นไร                 การทำใจทำให้พ้นสบาย
อะไรนั้นไม่ยึดได้คงระงับ                 อะไรดับเมื่อจะดับก็เข้าใจ
ชีวิตทุกขณะต้องเบาทางใจ               ใครละไหมไม่เสมอตนวาง
คนปล่อยวางมีสุขไร้กังวล                ลืมแม้ตนของเราจึงสว่าง
ละอัตตาตัวใครไม่มีทาง                  การสะสางล้วนทำเริ่มที่เรา
ทุกสิ่งเป็นทุกอย่างไม่ได้                  โลกเปลี่ยนไปกิเลสก็เหมือนเก่า
เป็นเช่นนั้นเองจงบำเพ็ญเรา             ไม่ขัดเกลาจะดีขึ้นได้อย่างไร
                                                                                                      ฮิ ฮิ หยุด

พระโอวาทศิษย์พี่พระนาจา

ความเกียจคร้าน ความเบื่อหน่าย ความท้อและการจมอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง จนไม่มองว่าข้างหน้ากำลังมีอะไรเกิดขึ้น ก็ทำให้เราพลาดโอกาสดีๆ ไปโดยไม่รู้ตัว จริงไหม (จริง)  บางครั้งก็ทำให้เรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและดูดาย ไม่สนใจไยดีคนรอบข้าง คนอื่นเขาทำอะไรไปตั้งเยอะแยะ แล้วเราก็มารู้สึกเบื่อ เกียจคร้าน บางทีก็ทำให้เรากลายเป็นคนไม่มีน้ำใจกับคนรอบข้าง  ความเกียจคร้าน ความท้อและการจมอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง จนไม่สนใจข้างหน้าว่าเขาจะทำอะไร อยากทำอะไรก็ทำไป ไหนบอกว่าเราศึกษาธรรม เราเป็นคนบำเพ็ญปฏิบัติธรรม แล้วทำไมเราถึงไม่รู้จักให้ธรรมกับคนอื่นบ้าง เวลาเราอยู่ร่วมกันทำไมเราชอบให้แต่กิเลส อารมณ์
ธรรมะไม่ได้สอนให้เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแค่ตอนเราอยู่ที่วัด ทุกๆ ที่เราก็สามารถปฏิบัติธรรมได้ และทุกคนเราก็สามารถที่จะให้ธรรมได้ จริงไหม (จริง)  รู้ทุกอย่างเต็มอก แต่ถึงเวลาทำไม่ได้ ทำบ้างไม่ทำบ้าง แล้วแต่อารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้สึกดีก็ให้ รู้สึกไม่ดีก็ไม่ให้ อย่างนี้เรียกว่าคนดีจริงไหม แล้วจะอ้างว่าตัวเราก็ยังดี ได้หรือเปล่า
บางคนชอบทำบุญทำทาน แต่ทำทานแบบเลือกที่รักมักที่ชัง อย่างนี้ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  อาหารดีๆ ถวายแต่เจ้าอาวาส พระรูปอื่นถวายไหม อยากกินอะไรก็ทำแบบนั้น เดี๋ยวชาติหน้าก็ได้กิน ถวายดอกไม้เยอะๆ ชาติหน้าจะได้สวย แต่ศีลธรรมไม่มี แล้วจะกลับมาเกิดเป็นคนไหม มนุษยธรรม คุณธรรมแห่งความเป็นคนไม่มี ก็ไม่เเน่ว่าจะได้กลับมาเกิดเป็นคนหรือเปล่า เเล้วอยากทำบุญกลับไปสวรรค์ เเต่เมตตา กรุณา ก็มีแบบเอียงๆ เเล้วอย่างนี้จะขึ้นสวรรค์ได้ไหม จะเป็นเทพเทวดาได้ไหม (ไม่ได้) 
ถ้าทำดีเเค่ไหนเเต่นิสัยไม่เคยเเก้ เรื่องไม่ดีไม่เคยลดละ มือหนึ่งก็ทำดี อีกมือก็ทำบาป อย่างนี้ยังเรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี)  พระพุทธองค์สอนว่า “ละชั่ว บำเพ็ญบุญ” เเต่มนุษย์ชั่วก็ไม่ละ บุญก็ทำกะปริดกะปรอยเเล้ว อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นคนมีธรรมไหม (ไม่มี)  บอกให้มาฟังธรรม ฟังไหม
วันนี้เราคุยกันเรื่องธรรมะล้วนๆ ฉะนั้นจะมาขอเลขสามตัวไม่ได้ จะมาขอรักษาโรคไม่มีนะ จะขอให้มีเเต่สุขเเล้วไม่มีทุกข์ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะทุกสิ่งล้วนคือธรรม ฉะนั้นไม่ว่าดีหรือร้าย ได้หรือเสีย นั่นก็คือธรรม เเต่เรามองไม่เห็นธรรมก็เพราะว่าตาเราฝ้าฟาง ใจเรายึดมั่นชอบเปรียบเทียบ ธรรมจึงมีสูงต่ำ ดีร้ายได้เสีย ทั้งที่จริงๆ เเล้วทุกขณะล้วนคือธรรม ไม่มีร้าย ไม่มีดี ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ความหมายของคำว่าทุกข์ คือสิ่งที่ทนได้ยาก เเละต้องเปลี่ยนอยู่เสมอ ทุกคนเข้าใจความทุกข์ผิดไปหรือเปล่า ทุกข์ไม่ใช่พูดว่า “ตายแน่ๆ ตายแล้ว ทำอย่างไรดี” คนที่คิดอย่างนั้นคือ รับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นไม่ได้ มัวจมและยึดมั่นกับอดีตหรือความคิดที่ตัวเองคาดหวัง เหมือนถามว่าตอนนี้ซื้อทองมาหนึ่งเส้น แล้วโดนคนกระชากไป ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์ที่ไหน (ใจ)  มันเป็นทุกข์ที่เป็นธรรมดาของธรรมชาติ แล้วเราเอามันไหลมาสู่ใจ อย่าลืมสิ ทุกสิ่งมันมีมา เดี๋ยวมันก็มีไป ในเมื่อเรายังมีปัญญา ไม่ยอมแพ้ ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันหาใหม่ก็ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมไม่แปรทุกข์ให้กลายเป็นบุญล่ะ แปรทุกข์ให้กลายเป็นการให้ธรรม ให้เป็นการไม่จองเวรจองกรรม ให้หมดเวรหมดกรรม ไหนบอกว่าไม่อยากมีเวร ไม่อยากมีกรรม แล้วทำไมมักจะเผลอเกี่ยวกรรม เผลอคิดเป็นเวรทุกที ทุกข์มันก็แค่ทุกข์อันเป็นธรรมดา แต่มันไม่ใช่ทุกข์ของเรา มันเป็นทุกข์ของธรรม ทุกข์ของทุกสิ่ง แล้วไหนของเราล่ะ แล้วเราหลงอะไรไป  หลงไปเองทั้งนั้นเลย เหมือนที่พระอาจารย์บอกว่า มนุษย์ทุกคนขี้ตู่ ทุกอย่างมันคือธรรมชาติ เก้าอี้ก็มาจากต้นไม้ ร่างกายเราก็มาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วเราขี้ตู่ไหม ขี้ขโมยไหม (ไม่)  ขโมยต้นไม้มาหาตังค์ ขโมยปลาทำบาปกรรมมาหาตังค์ นั่นน่ะขี้ตู่ทั้งนั้นเลย แล้วถ้าวันหนึ่งฟ้าจะเรียกกลับคืน ทำไมบอกว่าฟ้าไม่ยุติธรรม ฟ้าก็แค่เรียกคืน และถึงที่สุดทุกคนก็ต้องเดินกลับไปสู่ความไม่มี อันเป็นของเดิมแท้ ใช่ไหม
ฉะนั้นมีแต่คนโง่เท่านั้นที่หลงยึดถือทุกอย่างเป็นของตัวเอง มนุษย์เป็นนักเกี่ยวตัวยง รู้จักคนนั้น รู้จักคนนี้ก็เก็บมาคิด แล้วก็ลากคนนั้นคนนี้ไปด้วยกัน พอว่างก็เอาเรื่องคนนี้ เอาเรื่องคนนั้นมาคิด ขี้ตู่อย่างเดียวไม่พอ ยังงกและชอบเกี่ยวกรรม บางเรื่องจบไปแล้วแต่ขอเกี่ยวเอาไว้ ทำไมเขาถึงว่าฉันอย่างนั้น ทำไมเขามองฉันอย่างนี้ ใช่ไหม (ใช่)
จิตที่หนักย่อมลงนรก แต่จิตที่ใสเบาย่อมขึ้นสวรรค์ ถ้าทำอะไรเอาแต่เกี่ยวคนนั้นเกี่ยวคนนี้ แบกคนนั้นยึดคนนี้ ก็เหมือนตกนรก แต่ถ้าเราดำเนินชีวิตอย่างปล่อยวาง ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่รัก แล้วเราจะยึดมั่นอะไรใครให้หนักใจ ใช่ไหม (ใช่)  แต่เรากลับไม่ใช่ เห็นใครน่ารัก เก็บไปหมดทุกอย่างแล้วก็เป็นทุกข์เพราะความคิดของตัวเองมันเป็นธรรมดา ศิษย์พี่ทำให้เห็นธรรม มันเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ เราอย่าเอามาเก็บไว้ในใจ เพราะถ้าเราเอามาเก็บไว้ในใจ จากทุกข์อันเป็นธรรมดาก็กลายเป็นทุกข์ขังใจ คิดให้บังเกิดธรรม ความทุกข์ก็จะกลายเป็นการพ้นทุกข์ แต่ถ้าคิดให้บังเกิดธรรมไม่เป็น เราก็เป็นผู้ที่จมอยู่ในกระแสแห่งทุกข์ที่ตัวเองยึดติด แล้วตัวเองมองไม่เห็น ตัวเองก็จะก่อกรรมโดยการกล่าวโทษผู้อื่น ด้วยการใส่ร้าย ด้วยการว่าให้เจ็บปวด ใช่ไหม
แต่ความดีทำแล้วก็สบาย ทุกขณะหนึ่งความคิด ทุกขณะหนึ่งการกระทำ ล้วนสามารถส่งผลเป็นบุญบาปเวรกรรมหรือสิ้นเวรสิ้นกรรมได้ เหมือนขณะนี้ ถ้าศิษย์น้องบอกว่า ทำไมไม่นั่ง คิดอย่างนี้คือคิดให้เป็นทุกข์ แล้วคิดเป็นทุกข์มนุษย์หยุดแค่ตรงคิดไหม ถ้าไม่มีสติแล้วคิดต่ออีก ตัวเองได้นั่ง ให้คนอื่นยืน ตัวเองพูดได้ เพราะตัวเองนั่งมานานแล้ว เริ่มใส่ไคล้เริ่มว่าเริ่มตัดพ้อ ใช่ไหม (ใช่)  เพราะว่าศิษย์น้องฟุ้งซ่าน คิดไปเอง   แล้วก็ไม่ยอมรับความจริงแค่นั้นเอง ใช่ไหม
เราอยู่ในโลก เราปฏิบัติธรรมได้ทุกขณะเลย ไม่ต้องรอไปวัด เราก็สามารถให้เมตตาได้ เเต่ถึงเวลาตอนนั้นศิษย์น้องจะยอมรับความจริงเเล้วให้ธรรมเขาได้ไหม หรือตอนนั้นจะเอาอารมณ์เป็นใหญ่ เอาความยึดมั่นของตนเองเป็นใหญ่ เหมือนเขาว่าเราโง่ โกรธไหม (โกรธ)  อยู่ๆ เดินมาเเล้วด่าไอ้โง่ โกรธไหม (โกรธ)  นั่นล่ะศิษย์น้องเอ๋ย น่าเสียดาย เป็นโอกาสที่ศิษย์น้องจะได้จบเวรจบกรรม เเต่ศิษย์น้องไม่เคยจบ ใช่ไหม (ใช่) 
พระพุทธะสอนให้รักกาลสั้นหรือรักกาลยาว (ยาว)  รักกาลยาวจึงมีเรื่องตลอดเลย ให้รักกาลสั้น ไม่ให้รักกาลยาว ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อกี้ศิษย์น้องยังพูดเองเลย เวลาเราทำดีกับใคร กับหลวงพ่อทำดีเยอะๆ กับเณรไม่ต้องสนใจ อย่างนั้นได้ไหม (ไม่ได้)  คนเมตตาจริงๆ จะอุทิศให้จริงๆ กับใครก็ต้องให้ กับใครก็ต้องรัก เเต่เราเป็นแบบนั้นไหม (ไม่เป็น)  มีบ้างไม่มีบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นถึงเวลาฟ้ากำหนดความยุติธรรมมาบ้าง เจ้านายเขารักอีกคนหนึ่งไม่รักเรา อย่าบ่นนะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเหตุผล เราทำอะไร เราก็ได้รับอย่างนั้น ในเมื่อตัวเรายังเลือกที่รักมักที่ชัง พอถึงเวลาเวรกรรมกลับมา เจ้านายเอาเเต่ด่าเราเเต่ไม่ด่าเพื่อนเราเลย โกรธไหม ก็ทำเองทั้งนั้น จริงไหม (จริง) 
ทุกอย่างอยู่ที่ตัวศิษย์น้องเองทั้งนั้น คิดได้คิดเป็น บาปก็กลายเป็นบุญ คิดไม่ได้คิดไม่เป็นบาปก็ยังเป็นบาปอยู่วันยังค่ำ วันนี้ศิษย์พี่มีแนวทางในการปฏิบัติธรรมง่ายๆ ใครสนใจบ้าง (สนใจ)  ที่ศิษย์พี่พูดมาทั้งหมดฟังรู้เรื่องไหม (รู้เรื่อง)  เเต่ยังทำไม่ได้เลย เเต่ถ้าทำได้จะดีมาก พระอาจารย์ก็เมตตาบอกเสมอว่าในโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ไม่ว่าใครจะด่าใครจะว่า ไม่ว่าใครจะเอาอะไรของเราไป ศิษย์น้องจำไว้เสมอนะ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเหตุเป็นผล เป็นเวรเป็นกรรม คนมีตั้งร้อยคนทำไมไม่หลอก ทำไมมาหลอกเรา คนมีตั้งหมื่นตั้งพันคน ทำไมไม่ด่า ทำไมมาด่าเรา คนตั้งมากมาย ทำไมไม่ไปยืม แต่มายืมเงินเรา ฉะนั้นคนให้ยืมโง่ไหม (ไม่โง่)  คิดให้ดีๆ ให้ครั้งที่หนึ่งถือว่าเป็นเมตตา แต่ให้ครั้งที่สอง ครั้งที่สามถือว่าเราโง่ไปแล้วนะ ให้ครั้งที่หนึ่งเพื่อให้ใจเมตตา ให้แล้วแม้เขาจะไม่คืนก็ต้องทำใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะศิษย์พี่บอกแล้วว่า “ทุกขณะแปรบาปให้เป็นบุญ แปรร้ายให้เป็นดี แปรกรรมให้เป็นการจบเวรจบกรรม” ฉะนั้นทุกขณะที่เราทำ ถ้าเราไม่ละบาปก่อน แล้วจะเข้าสู่หนทางบริสุทธิ์ได้อย่างไร หนทางของพุทธะก็ล้วนบอกไว้แล้วว่า “ละบาปบำเพ็ญบุญ เดินทางสู่ความบริสุทธิ์ เท่ากับคืนสู่ความบริสุทธิ์” แต่ตัวเราไปถึงสักทางไหม เห็นพยายามมาตั้งนาน ยังเหมือนเดิมเลย นิสัยอย่างไรก็ยังอย่างนั้น
ฉะนั้นธรรมะจึงสอนไว้ว่าไม่ใช่เปลี่ยนเขา แต่เปลี่ยนเรา ไม่ใช่แก้เขา แต่แก้เรา ไม่ใช่เอาธรรมไปวัดใคร แต่เอาธรรมมาใช้ที่เราแล้วจงให้ธรรมแก่เขา เพราะเราก็คือธรรม เขาก็คือธรรม และทุกสิ่งก็คือธรรม แต่เราตาบอดเองมองไม่เคยเห็นธรรม ฉะนั้นอยากจะแก้ไหม (อยาก)  พระพุทธะสอนไว้ว่าเริ่มต้นก้าวแรก ต้องรู้จักให้ ทำได้ไหม (ได้)  ศิษย์น้องอาจจะบอกว่ามันยากนะ ยังไม่มีเลยจะให้ได้อย่างไร สมมติว่าเราไม่เคยกินแอปเปิลมาก่อนเลย แล้ววันนี้ได้แอปเปิลมาหนึ่งผล ถามว่าคิดจะให้ใครไหมหรือคิดจะเก็บ ให้หรือไม่ให้ (ให้)  พูดดีนะ แต่ถึงเวลาให้ไหม (ไม่ให้)  ขอหาอีกสักลูกหนึ่ง แล้วค่อยว่ากัน จริงไหม (จริง)  เก็บก่อน แล้วพอลูกที่สองจะให้ไหม (ให้)  ลูกแรกของตัวเอง ลูกที่สองของคนที่ตัวเองรัก เดี๋ยวหาลูกที่สาม มีแล้วจะแบ่งให้ ใช่ไหม (ใช่)  พอลูกที่สามหามาได้ ให้ไหม (ไม่ให้)  รอหาให้เยอะๆ ก่อนค่อยให้ทีเดียว ใช่ไหม (ใช่)  หาลูกที่สองก็แล้ว หาลูกที่สามก็แล้ว รอฤกษ์รอยาม รอดูหน้าคนก่อนว่าคนไหนน่าจะให้ จริงไหม (จริง)  แล้วพอจะให้เห็นหน้าปุ๊บก็ว่าพรุ่งนี้ค่อยให้ พอเห็นหน้าปุ๊บ เขาทำหน้าอย่างนี้อย่าหวังเลยว่าจะได้ ใช่ไหม (ใช่)  ได้ให้ไหม (ไม่ได้ให้)  รอจนตลอดชีวิตสิ่งที่หามาเก็บหรือให้ (เก็บ) 
พระพุทธะจึงสอนว่า ถ้าอยากปฏิบัติธรรม จงรู้จักให้ แต่เราไม่เคยให้ บอกว่ารอให้มีก่อน เดี๋ยวให้ ใช่ไหม (ใช่)  พออยากมีก็เริ่มหลง เริ่มยึด เริ่มโลภ เริ่มถมไม่เคยเต็ม แล้วตอนนั้นจะสละออกง่ายไหม ไม่ง่ายเลยใช่หรือไม่ ยิ่งมีก็ยิ่งหลง อยู่ในโลกนี้ถ้าไม่จับอะไรเลย ไม่ลิ้มรสอะไรเลย เราก็จะไม่ติดอะไรเลย พอรู้จักมันแล้วเป็นอย่างไร เอาอีก แล้วถึงเวลาก็คิดถึงมันอีก ตามมาด้วยกิเลส โลภ โกรธ หลง แล้วตอนนั้นค่อยให้ ทันไหม
บางทีความอยากมีของศิษย์น้อง ก็ทำให้คิดว่า “ไม่เป็นไร ผิดหน่อย บาปหน่อย เดี๋ยวก็ค่อยไปทำบุญทีหลัง ไม่มีใครเห็น”  แล้วมีใครบ้างโลภแล้วไม่ทำผิด โลภแล้วไม่ทำบาป โลภแล้วไม่เบียดเบียนหรือเอาเปรียบใคร จะทำทุกขณะที่มีโอกาส ตอนนี้ศิษย์พี่ถามหน่อย อยู่ในโลกนี้กินก็รู้รสมาหมดแล้ว อะไรที่สวยๆ อยากแต่งก็แต่งมาหมดแล้ว อะไรที่อยากได้ก็ได้มาเกือบค่อนชีวิตแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าตอนนี้จงรู้จักการให้ผู้อื่นบ้างทำยากไหม (ไม่ยาก ยาก)  ทำยากเพราะยึดติด ทำไมพระพุทธองค์ถึงสอนว่า จงรู้จักให้ เพราะการให้ทำให้เราไม่โลภ ไม่หลง ไม่เอาเปรียบ ไม่รังแกคน ไม่สร้างบาป ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร จิตที่ให้ประเสริฐกว่าจิตที่คิดจะรับ ยิ่งถ้าให้ด้วยความสุขให้ด้วยความเข้าใจและเต็มใจให้ ถามว่า ผู้รับจะไม่รู้สึกรับรู้ได้ถึงความดีเขาเลยหรือ จะรับอย่างเดียวเป็นไปได้ไหม เราต้องให้อย่างสุดจิตสุดใจ เหมือนที่พระพุทธองค์ท่านปฏิบัติ ให้จนไม่ยึดติดคำว่าตัวตน ของตน ให้จนไม่มีคำว่าอะไรคือของตน ถ้าให้ขนาดนั้นสิ่งที่ท่านกำลังให้ คือสิ่งที่ท่านกำลังปฏิบัติธรรมได้ถึงสุดยอดความเป็นพุทธะอยู่ ไม่ต้องไปปฏิบัติธรรมที่ไหน ทำกับคนใกล้ตัวเรา ฉะนั้นทำไมเราไม่ลองให้ดูล่ะ คิดให้ดีๆ นะ การให้ที่ดีนั้นมีหลายอย่าง เราอย่าให้แค่ของ เราต้องให้ธรรมที่เกิดจากใจเราจริงๆ ให้เพราะเราเมตตารัก เราให้เพราะความหวังดี แล้วจะเข้าถึงความสุขที่เรียกว่าสุขของการไม่มีอะไรให้ยึดถือ ความสุขของการปล่อยวาง ความสุขของการไม่มีอะไรแต่ก็สุขจนเปี่ยมล้นได้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ เราสุขแต่การมี การได้รับ แต่พุทธะกลับสอนให้สละ เพราะท่านพบความสุขที่ประเสริฐที่สุดคือ ความสุขที่ให้เเล้วสงบเย็นไม่มีตัวตนต้องมารองรับยึดติดว่าฉันกำลังสุข เเล้วเมื่อนั้นศิษย์น้องจะเข้าใจคำว่า สุขที่ว่างเปล่าจากตัวตนที่ยึดถือ นั่นคือสุขที่เเท้จริง คือสุขของการปล่อยวาง แต่มนุษย์ไม่ใช่ ทำอะไรก็ยังหวังผล ยังยึดถือ จึงไม่เรียกว่าการให้ที่แท้จริง
สมมติว่าเรามีแอปเปิลลูกหนึ่งทำอย่างไรเราจะให้คนทั้งชั้นได้ (เอาเมล็ดไปเพาะ)  กว่าจะได้กินแอปเปิลนักเรียนในชั้นบางคนคงตายไปแล้ว ใช่ไหม เอาตอนนี้ เอาเดี๋ยวนี้ (หนึ่งลูกก็ให้กันต่อๆ ไปเรื่อยๆ ลูกเดียวให้กันไปเรื่อยๆ ให้คนละหนึ่งลูกเท่ากัน)  พูดได้ถูกใจศิษย์พี่นะ ปรบมือให้เขาหน่อย ถูกต้องที่สุดเลย ศิษย์น้องส่วนใหญ่บอกว่าให้แบ่ง ใช่ไหม (ใช่)  ให้แบ่งก็คือยังยึดตัวเองก่อนเเล้วค่อยแบ่งให้คนอื่น แต่การให้ที่ถูกต้องคือ ให้โดยที่ตนเองไม่เอา เมื่อผู้อื่นได้รับไปแล้ว ก็ยังรู้จักให้ต่อ ศิษย์น้องอย่าศึกษาธรรมแบบแตะๆ เเล้วก็เลิก ไม่เอาแล้ว มาศึกษาธรรมเเล้วต้องปฏิบัติให้เข้าถึงให้ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ทำอย่างไรให้มนุษย์ทุกคนมีจิตสำนึกที่ดี รู้จักให้มากกว่ารับ ศิษย์น้องไปเอาเปรียบเขามาเยอะแล้ว แล้วค่อยมาให้ ไปทำเขามาเยอะแล้ว แล้วค่อยมาดีกับเขา จริงไหม (จริง)  ไปทำบาปมาเต็มที่แล้วค่อยมาทำบุญล้างได้หรือ คิดให้ดีๆ นะ เหมือนตัวเราเอง ชมเราดีขนาดไหน แต่ด่าเราเจ็บหนึ่งครั้ง จำขึ้นใจเลย สนิทกันขนาดไหน พูดขัดหูนิดทะเลาะกันทันทีเลย ใช่ไหม (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้แอปเปิลแก่นักเรียนที่ตอบคำถาม)
รับแอปเปิลได้เลย แต่ได้รับแล้วต้องรู้จักให้ต่อนะ แอปเปิลนี้ก็จะเกิดจากการให้ที่ยิ่งใหญ่ เมื่อให้จนถึงที่สุด บางครั้งการให้นั้นจะย้อนกลับมาหาเราโดยที่เราไม่ได้คาดหวังเลย ซึ่งอันนั้นคือบุญที่ยิ่งใหญ่กว่าการให้แค่ตัวเองอีกนะ ใช่ไหม (ใช่)  อย่าส่งต่อแอปเปิลนี้ผ่านไปเฉยๆ จงบอกว่า “ขอให้ใครได้รับแอปเปิลนี้จงมีความสุข” อย่าแค่ให้เพียงสิ่งของ แต่ต้องให้จากความรู้สึกที่กลั่นออกมาจากใจ แล้วแอปเปิลนี้ก็จะเป็นแอปเปิลที่เต็มไปด้วยความสุขจากนักเรียนทุกคนในชั้น อย่าจับแค่ผ่านมือไป อวยพรให้กับคนที่จับมีความสุข มีความโชคดี ถ้าเรารู้จักให้แล้ว ก้าวต่อไปของการเรียนรู้ปฏิบัติธรรมนั่นคือให้แล้วต้องสงบ ให้แล้วต้องนิ่ง ให้แล้วต้องอดทน เพราะถ้าอยู่ในโลก สงบไม่ได้ นิ่งไม่เป็น อดทนไม่มี ให้ไปก็ระเบิด ใช่ไหม (ใช่)
แล้วการอดทน การสงบนิ่ง ดีตรงไหน อยากฟังไหม (อยาก)  คนที่รู้จักอดทนได้ คนที่รู้จักสงบนิ่งได้ คนที่รู้จักวางเฉยได้ คนที่รู้จักใจเย็นได้ ไม่ว่าโดนอะไรกระทบ คนที่ทำได้แบบนี้จะสามารถขุดรากแห่งบาปทั้งมวลให้มลายหายสิ้น จะสามารถขุดรากของการติเตียนและการทะเลาะวิวาทให้หมดสิ้น เขาด่าเรามาเราอดทน แค่นิ่งๆ เพราะบางทีพูดอะไรมากดูเหมือนจะเป็นการประชด คนกำลังโมโหคิดได้ทุกอย่าง ฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุด เวลาเจออะไร นิ่ง สงบ เย็น เอาความนิ่ง สงบ เย็น เป็นประธานในการดำเนินชีวิต หนทางนี้จะนำพามาซึ่งศีลธรรม กุศล แต่ถ้าไม่นิ่ง ไม่สงบ ไม่อดทน ไม่รู้จักใจเย็น หนทางนั้นจะนำมาซึ่งบาป ขาดศีลขาดธรรมและอกุศล ทางธรรมสอนไว้ชัดเจน ให้แล้วต้องนิ่ง
อยู่ในโลกนานๆ รู้สึกวุ่นวายไหม (วุ่นวาย)  อยากหาความสงบไหม (อยาก)  อยากไปหาที่สงบใจ อยากไปหาที่สบายใจ แต่ใจนี้ไม่เคยสงบสักที พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า อย่ามัวแต่กราบพระข้างนอก อย่ามัวแต่หาพระข้างนอก จนลืมสร้างพระข้างใน ศิษย์น้องเคยได้ยินไหม ใจฟ้าถ้าสงบ ทุกอย่างก็ราบรื่น แต่ถ้าใจฟ้าชอบสอดรู้สอดเห็น อยากยุ่งเรื่องนั้นยุ่งเรื่องนี้ คนบนโลกก็วุ่นวาย ฉะนั้นทุกอย่างอยู่ที่ใจ ถ้าใจเรานิ่ง ใจเราสงบได้ ใครจะเป็นอย่างไรช่างเขา จัดการเราดีกว่า เพราะเราเปลี่ยนเขาไม่ได้ เปลี่ยนใจเราดีกว่า ถ้ามองแล้วเจ็บปวด อย่ามองดีไหม สงบใจดีหรือเปล่าทำได้ไหม ยากไหม (ยาก แต่ทำได้) 
ศิษย์น้องจะไปหาที่สงบทำไมต้องขนกันไปทั้งบ้าน ที่สงบต้องเริ่มจากตัวเอง ถ้าศิษย์น้องอ้าปากก็หาเรื่อง ไปอยู่ที่ไหนแม้จะไปเที่ยวทะเล อุตส่าห์มาเที่ยวตั้งไกล ก็ยังพูดให้หมดสนุก เคยไหม (เคย)  ถ้าใจเราไม่สงบไปอยู่ที่ใดก็ไม่สงบ แต่ถ้าเราสงบได้ แม้ที่ใดจะวุ่นวาย เราก็แปรเปลี่ยนให้กลายเป็นที่สงบได้ ถึงสามีจะเป็นอย่างไร ภรรยาจะเป็นอย่างไร ก็ยังรักกันได้ เพราะมนุษย์ทุกคนแม้จะนิสัยไม่ดีขนาดไหน ลึกๆ เราก็อยากได้คนที่เข้าใจกัน ใช่ไหม (ใช่)  ถึงแม้ภรรยาจะบ่นขนาดไหน แต่สามีก็ต้องเข้าใจภรรยา ถึงสามีจะมีกิ๊ก ชอบดื่มเหล้า ชอบสูบบุหรี่ แต่ภรรยาก็เข้าใจ ฉะนั้นสิ่งสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ตัวเรา เราจะเอาตัวเองเป็นหลักหรือเอาครอบครัวเป็นหลัก ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าเราสามารถสงบได้ ถ้าเราสามารถนิ่งได้ ถ้าเราสามารถสำรวมได้ ภัยก็จะไม่เกิดจากตัวเรา แต่มนุษย์กลับไม่ค่อยสงบสำรวมตัวเอง พูดอะไรไปแล้วก็ลืม แล้วค่อยคิดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อรู้จักให้ รู้จักนิ่งแล้ว พุทธะยังสอนให้เรารู้จักอีกอย่างคือ รู้นิ่งจนมีสติรู้เท่าทันทุกความคิด และรู้เท่าทันกิเลสที่ไหลเข้ามาครอบงำใจ จนสามารถกางกั้นไม่ให้มันมายุ่งกับเราได้  ไม่ใช่แค่สงบอย่างเดียว แต่สงบจนรู้ ไม่ใช่รู้คนอื่น ธรรมะไม่เคยสอนให้เราไปรู้คนอื่น แต่สอนให้เรารู้จักใจตัวเอง รู้ว่ากิเลสมาแล้ว ความโกรธมาแล้ว ความอยากมาแล้ว แล้วศิษย์น้องรู้ไหมว่าโลภ โกรธ หลงมันกลัวอะไร เราจะมีวิธีแก้และจัดการกับโลภ โกรธ หลงอย่างไร โลภ โกรธ หลงกลัวคนรู้ทัน เมื่อเรารู้ทันว่ากำลังโกรธ เราก็จะไม่โกรธ เพราะเรารู้ทัน ถูกไหม (ถูก)  ทุกสิ่งมันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เดี๋ยวมันก็ดับเป็นธรรมดา ฉะนั้นไม่ต้องไปข่มมัน เดี๋ยวมันก็จางไปถ้าเราไม่ปรุงแต่ง ไม่ให้ค่า ไม่ให้ความสำคัญ จบไหม (จบ)  ฉะนั้นถ้าเรามีสติระลึกรู้อยู่ทุกขณะ ไม่ว่าอะไรที่มากระทบ กระทบแล้วไม่ปล่อยให้กิเลสมันครอบงำ แต่ใช้สติรู้แล้วสงบ ก็ไม่กลายเป็นกิเลสครอบงำใจ แต่กลายเป็นการได้สร้างกุศลที่เรียกว่าอกรรม กรรมที่ไม่ต้องเวียนกลับมาชดใช้กรรมอีกต่อไป ดีกว่าไหม (ดี)  ทำได้ไหม (ได้)  ง่ายไหม แต่ถึงเวลาไม่เคยนิ่ง มารู้อีกทีปล่อยไปเต็มๆ เลย ทั้งความโกรธ ทั้งความเกลียด ทั้งจองเวร ใช่ไหม (ใช่)
สิ่งที่ศิษย์พี่พูดทั้งหมดคือธรรมแห่งความเป็นจริง วันหนึ่งถ้าศิษย์น้องต้องเจอ ศิษย์น้องก็จงรู้จักเอาไปใช้ เพราะโลกนี้มันเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะและมีทุกข์ และถึงที่สุดก็ว่างเปล่า ความเปลี่ยนแปลงสอนให้เรารู้จักให้ ความเป็นทุกข์สอนให้เรารู้จักสงบ ความว่างเปล่าสอนให้เรารู้เท่าทัน แล้วมีร่างกายนี้เราหนีความไม่เที่ยง ความทุกข์และความว่างเปล่าพ้นไหม แล้วเราเคยเอาอะไรมาใช้ จนสามารถนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ นั่นคือจงนิ่งและมีสติรู้เท่าทัน ยากไหม
เข้าใจธรรมที่เรียกว่าแก่นธรรมหรือยัง (เข้าใจ)  จงแปรทุกข์ให้เป็นสุข จงแปรบาปให้เป็นบุญ จงแปรความคิดร้ายให้เป็นความคิดถูกต้องที่นำพาให้เราพบทางสว่าง พุทธะนำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ไม่ได้ถ้ามนุษย์ไม่รู้จักพึ่งตนเอง พระพุทธะเป็นผู้ชี้ทาง แต่คนที่จะนำพาให้ตัวเราพ้นทุกข์และกลับสู่ทางที่ถูกคือตัวเราเอง ไม่มีใครร้ายเท่ากับตัวศิษย์น้องและไม่มีใครดีที่สุดเท่ากับตัวศิษย์น้อง ดังคำกล่าวว่า “ที่ใดเป็นที่แห่งกิเลส ที่นั่นก็เป็นที่พุทธะบังเกิด ที่ใดเป็นที่แห่งทุกข์ ที่นั่นก็เป็นที่สิ้นทุกข์สิ้นเวรกรรมได้”
ฉะนั้นศึกษาธรรมต้องเข้าให้ถึงธรรม อย่ามัวแต่หลงกิเลส ความมี ความโลภ ความโกรธ ความหลงเลย สิ่งเหล่านี้ไม่เคยทำให้ใครมีสุขเลย นอกจากการปล่อยวาง

วันอาทิตย์ที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙            สถานธรรมหมิงเอิน  จ.เพชรบูรณ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

  หลงในรูปติดทุกข์เกี่ยวกรรมไม่สิ้น     ติดเคยชินติดอารมณ์สารพัน
หากไม่มีธรรมเตือนตนยากรู้ทัน          ฝึกรู้ตนสติรู้ทันแจ้งปัญญา
                                เราคือ
  จี้กงสงฆ์วิปลาส                รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา     ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา                         ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนคิดถึงอาจารย์ไหม

    อยู่กับทุกข์ในใจ เทียบใจนี้เป็นฟองน้ำเอย ดูดซึมคอยซับมา ซ่อนในใจซ้อนในใจ บีบออกไปไวไว ซอกซอยของใจมีหลายอย่าง ผู้หญิงนองน้ำตา ผู้ชายอัตตาเหลือเกิน
    เกิดมาเป็นคนทั้งที ต้องไม่ทำตัวหลงไป อย่ามองไปไหนไกล ชาติอื่นอื่นใดไม่เป็นของตัว
*   ลุ่มหลงละลายความหวัง อะไรคือธรรมของตน ไม่ยอมชัดเจน ก็ไม่อาจเห็นอนาคตงาม สับสนไม่ทำอะไร อะไรคือทางสายกลาง แน่ใจไหมทุกข์ทำให้เจ้าเป็น  (ซ้ำ *,___) 
ทำนองเพลง :ทางรักสีดำ
ชื่อเพลง :ทุกข์ไม่ทำให้ทุกข์

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

วันนี้อาจารย์มาคุยเรื่องง่ายๆ ดีไหม โดยส่วนมากมักสงสัยว่า ทำไมหนอ เป็นคนต้องมีคุณธรรม ต้องศึกษาธรรม จำเป็นไหม (จำเป็น)  ศิษย์ปกติไม่ค่อยได้เข้าใจธรรม ไม่ค่อยได้ปฏิบัติธรรมเท่าไหร่ ขอเเค่ทำบุญไปวัดใส่บาตรก็พอเเล้ว ไม่ต้องเข้าใจธรรม ไม่ต้องฟังธรรมอะไรมากก็ยังอยู่รอดมาได้ จะฟังธรรมอะไรเยอะเเยะ อย่างนั้นหรือเปล่า ฟังไปเยอะก็ไม่ค่อยได้ใช้ จริงไหม ไม่ใช่หรือ อาจารย์ถามหน่อยนะว่าเกิดเป็นคน เราจำเป็นต้องมีคุณธรรมไหม (จำเป็น)  แล้วเกิดเป็นคน เราจำเป็นต้องเข้าใจธรรมไหม (ต้องเข้าใจ) 
ส่วนใหญ่ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนมักจะถามว่า ฟังธรรมะเยอะๆ ฟังไปทำไม มันก็เหมือนๆ เดิม หลายต่อหลายคนมักจะสงสัยว่า คุณธรรมจำเป็นต้องมีไหมและความเข้าใจจำเป็นต้องเข้าใจมากแค่ไหนหรือ แล้วมันสำคัญกับชีวิตเราจริงๆ หรือเปล่า เพราะเราไม่เคยคิดตรงนี้เลย เราคิดแค่เพียงว่าชีวิตนี้เพียงตื่นมาหาเงิน ถูกไหม (ถูก)  แต่เราไม่เคยคิดเลยว่า ชีวิตนี้ต้องมีธรรม ต้องเข้าใจธรรม ต้องประกอบคุณงามความดีที่เรียกว่า คุณธรรม สมมติง่ายๆ เราอยากออกไปหาตังค์ เราอยากไปซื้ออะไรสักอย่างหนึ่ง ของที่เราซื้อเราต้องพยายามเลือกดีที่สุด เพราะเราเสียเงินไปแล้ว แล้วศิษย์เคยเห็นประเภทย้อมแมวไหม (เคย)  ผลไม้ดูแล้ว พินิจแล้ว มีสติกเกอร์แปะ ดีแน่เลย แต่พอแกะสติกเกอร์ออกมา หนอนโผล่มา เรารับได้ไหม (ไม่ได้)  โกรธไหม (โกรธ)  เวลาเราเอาเงินไปซื้อของทั้งที เราก็อยากได้ของที่ดีมีคุณภาพ เราก็เลยบ่นออกมาว่า ขายของไม่มีคุณธรรมเลย ไม่ซื่อตรง เหมือนเวลาเรามีเพื่อน เพื่อนพูดกับเราดีมาก แต่ถึงเวลาแอบแทงเราข้างหลัง รับไหวไหม (ไม่ไหว)  ทำไมทำอย่างนี้กับฉัน ทำไมเป็นคนอย่างนี้ ทำไมไม่ซื่อตรง ทำไมไม่จริงใจ ถูกไหม (ถูก)  เราอยากได้เพื่อนซื่อตรง เราซื้อของ เราก็อยากได้คนจริงใจ เรามีแฟนเราก็อยากได้คนรักเดียวใจเดียว เรามีลูกน้องเราก็อยากได้ลูกน้องจริงใจ ซื่อตรง ไม่คดในข้องอในกระดูก มีหัวหน้าเราก็อยากมีหัวหน้าที่ดี ยุติธรรมไม่รักลำเอียง สิ่งที่ศิษย์อยากได้เรียกว่าคุณธรรมในความเป็นคน ถ้าศิษย์ไม่เข้าใจว่าทำไม ก็ถามตัวเองสิว่า อยากได้เพื่อนดีไหม ไปทำงานอยากได้เพื่อนร่วมงานโกงเราไหม อยากได้เพื่อนเอาเปรียบไหม อยากมีลูกน้องรักเรา แต่แอบด่าเราข้างหลังไหม อยากมีภรรยาแต่ภรรยามีชู้ไหม อยากมีสามีแต่สามีไปแอบมีกิ๊กเอาไหม สิ่งที่ตัวเราควรจะอยากได้ในตัวของทุกคนคือคุณธรรมของความเป็นคน หรือง่ายๆ เป็นคนที่รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ และรู้จักรับผิดชอบในความเป็นคนของตน
ศิษย์ถามอีกว่าทำไมต้องมาเรียกศิษย์ให้ปฏิบัติธรรม เอาแบบง่ายๆ สมมติอาจารย์เป็นคนทำหน้าที่เก็บขยะ แต่วันนี้อาจารย์ขี้เกียจเก็บ พรุ่งนี้ มะรืนก็ขี้เกียจเก็บ แต่สิ้นเดือนเก็บเงิน ด่าไหม ให้ไหม (ไม่)  ศิษย์ไม่ให้เพราะอะไร เพราะไม่รับผิดชอบหน้าที่ ไม่มีจิตสำนึกแห่งคุณธรรมความเป็นคน ถึงเวลาเอาเต็มที่ แต่ถึงเวลาที่ควรจะทำกลับไม่ทำ บางคนทำอย่าง
สุดจิตสุดใจ เหมือนเราจะสอนลูกน้องว่า ต้องเคารพหัวหน้า แต่สักพักเรากลับนินทาหัวหน้า แล้วลูกน้องจะรักเราไหม ช่วงที่เราเป็นลูกน้องเราก็ทำตัวไม่ดีเอารัดเอาเปรียบ ถึงเวลาที่เรามีลูกน้องเอาเปรียบบ้าง เราจะด่าเขาลงไหม ตอนสามีมีกิ๊กเราว่าเขา แต่พอถึงเวลาเราเห็นหนุ่มๆ เรากิ๊กไหม กิ๊กกั๊กเลยใช่ไหม (ไม่) 
อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ ถ้าอยู่แล้วทำให้เขาทุกข์ เราก็ต้องพร้อมจะเดินจากไป ถ้าอยู่แล้วทำให้เขามีความสุข ทำไมเราจะทิ้งตัวเองออกไป ถ้าฝืนแล้วทำให้เขาทุกข์ เราจะฝืนใจเขาไหม ถ้าอยู่แล้วเขาไม่รัก มีแต่รังเกียจ มีแต่ความทุกข์ เราจะอยู่ไหม (ไม่อยู่) 
เราเรียนรู้ธรรมเพื่อดับทุกข์ ฉะนั้นทุกข์เกิดที่ไหน เราก็ต้องดับที่นั่น ทุกข์เกิดที่ไหน เราก็ต้องแก้ที่นั่น ตอนนี้ยืนเป็นทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่ถ้ายืนนานกว่านี้อีกนิดจะทุกข์ ใช่หรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์นะ ระหว่าง “เห็นทุกข์” กับ “พยายามเป็นทุกข์” อันไหนหนักกว่ากัน (พยายามเป็นทุกข์)  เวลาทุกข์มาเราควรจะแค่เห็นทุกข์หรือไปเป็นทุกข์ (แค่เห็น)  ถ้าเผลอไปเป็นมันก็หนัก มันก็ทุกข์ แต่ถ้าทุกข์มาแค่เห็นแล้วเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เหมือนกันถ้ายืนแล้วเป็นทุกข์ เราก็เปลี่ยนจากการเป็นทุกข์ มาเป็นเห็นทุกข์ หายไหม (ไม่หาย)  อย่างนั้นยืนต่อดีไหม ในโลกนี้ขารู้จักปวดไหม (รู้)  ตัดมันแล้วมันยังไม่รู้จักเจ็บเลย ขาไม่รู้จักเจ็บ เนื้อไม่รู้จักปวด แต่ใจของคนสอนให้มันเจ็บสอนให้มันปวด ธรรมะจึงสอนให้รู้ว่า บางอย่างแค่รู้แต่อย่าเผลอไปเป็น
อาจารย์จะบอกศิษย์ว่า ในโลกนี้เราไม่ใช่แค่ต้องรู้ว่าทำไมเราต้องมีคุณธรรมอย่างเดียว แต่ศิษย์ต้องรู้อีกว่า ทำไมอาจารย์จี้กงต้องให้เข้าใจธรรม เพราะถ้าศิษย์เข้าใจธรรม ศิษย์จะรู้เลยว่าในทุกๆ เรื่องจะไม่ทำให้ศิษย์ทุกข์ เพราะทุกๆ เรื่องคือธรรม ถ้าเราเข้าใจธรรมตัวนี้ ธรรมตัวนี้ก็จะทำให้เราไม่ทุกข์ เเต่เราเคยเข้าใจธรรมตัวนี้ไหม ว่าก่อนจะเข้าใจธรรมนี้ เราต้องมาเข้าใจอย่างหยาบๆ ก่อนว่า ทำไมเกิดเป็นคน ทำไมเราต้องมีคุณธรรม จำเป็นไหม (จำเป็น)
อย่างนั้นถ้าใครตอบได้ ได้นั่ง ดีไหม (ดี)  ช่วยเหลือตนเองนะ อาจารย์จี้กงไม่ช่วยแล้วนะ อาจารย์ถามหน่อยนะว่า ทำไมเราต้องมีคุณธรรม เเล้วคุณธรรมอะไรบ้างที่ควรมีไว้กับตัวถึงจะทำให้เราสามารถอยู่กับคนอื่นได้ อย่างไม่ทุกข์ สมมติถ้าเป็นแม่คน ควรมีคุณธรรมกับลูกคืออะไร ควรมีคุณธรรมกับสามีคืออะไร แล้วควรมีคุณธรรมกับน้องคืออะไร เเละควรมีคุณธรรมกับเพื่อนคืออะไร ตอบได้ไหม ตอนนี้เป็นโอกาสของศิษย์ที่จะต้องช่วยตนเอง แต่อาจารย์จะบอกให้ว่าการช่วยตนเองถ้าคิดดีๆ ถ้าตอบได้ยังสามารถเสียสละช่วยคนอื่นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราจะเอาคุณธรรมที่แสดงออกมาแล้ว นอกจากจะช่วยตนเองได้แล้วยังช่วยคนอื่นได้คืออะไร อย่าแค่ฟังแต่ต้องคิดและทำให้ได้ตามที่อาจารย์ว่านะ

(เมตตา ความซื่อสัตย์ ปากตรงไปตรงมา)  ศิษย์เอ๋ย ปากตรงไปตรงมาก็กลายเป็นขวานผ่าซากนะ
(ต้องรู้จักสิ่งแวดล้อมภายในและภายนอก)  (ซื่อสัตย์ เอื้อเฟื้อ ให้อภัย มีความกตัญญู)  ความกตัญญูแปลว่า รู้คุณตอบแทนคุณ แล้วเราจะตอบแทนคุณเพื่อนในชั้นไหม แล้วเราจะรู้คุณคนเพื่อนในชั้นไหม
มีเมตตา (การให้คนอื่น เสียสละให้คนอื่นอย่างไม่มีเงื่อนไข)  รักโดยไม่มีเงื่อนไข ให้โดยไม่มีการร้องขอ ทำโดยไม่หวังผล อันนี้ยากหน่อยนะเหมือนคนข้างๆ ศิษย์เขาก็ตอบเหมือนกันกับศิษย์
อาจารย์ถามหัวหน้ากับรองหัวหน้าก่อนนะ จะยอมนั่งเพราะตัวเองตอบได้ แล้วให้นักเรียนในชั้นยืน หรือตัวเองจะยืนแล้วให้นักเรียนในชั้นนั่ง ได้ไหม (ได้)  เพราะอาจารย์รู้ว่าหัวหน้ามีคนช่วย รองหัวหน้าก็มีคนช่วย มากันเป็นคู่ตัวเองยืนไม่ไหวเดี๋ยวหาคนยืนคู่ได้ ใช่หรือเปล่า เชิญศิษย์รักทุกคนนั่งลงได้
หัวหน้ากับรองหัวหน้าเขายอมเสียสละแล้วเรากล้านั่งหรือ นั่งเป็นพระอิฐพระปูนเลย ศิษย์เอ๋ย ถ้ามีคนทำดีให้เรา โดยไม่หวังผลแถมเขายอมลำบาก ศิษย์ยังกล้านั่งได้ลง อาจารย์ถึงว่าโลกนี้คนดีถึงได้อ่อนแอนัก ยิ่งเขาดีเราก็ต้องยิ่งดีตอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคุณธรรมจะได้ค้ำจุนโลกอยู่ต่อไป
อาจารย์เทียบง่ายๆ นะศิษย์ ถ้าคนๆ หนึ่งไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ของความเป็นคน เช่นขับรถห้ามคุยโทรศัพท์ แต่ก็ยังคุยแล้วเผลอไปชน ตายไปห้าหกราย แล้วบอกฉันไม่ได้ตั้งใจ ศิษย์รับผิดชอบไหวไหม (ไม่ไหว)  ฉะนั้นจิตสำนึกแห่งคุณธรรมความเป็นคนจึงขาดไม่ได้ ถ้าศิษย์จะเป็นคนในสังคมแล้วอยากเป็นที่รักของใคร แล้วไม่อยากมีกรรมเกี่ยวกับใคร ถ้าเรารับผิดชอบได้ดี ทำได้ถูกต้อง ทำได้เหมาะสม แล้วไม่ทำให้ใครทุกข์ ใครล่ะจะทุกข์เพราะศิษย์ จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเรายังรับผิดชอบตัวเองได้ไม่ดี ยังทำตัวให้มีความเป็นคนได้ไม่ถูกต้อง ตราบลมหายใจไม่สิ้น ศิษย์ก็สามารถทำให้ทุกคนในโลกเป็นทุกข์ได้ ฉะนั้นอาจารย์จึงถามศิษย์ตั้งแต่แรกแล้วว่า เข้าใจไหมว่า ทำไมเกิดเป็นคนถึงต้องมีคุณธรรมถ้าเราทำหน้าที่ได้ดี ทำหน้าที่ได้ถูกต้องและมีคุณธรรมของความเป็นคนครบถ้วน เราก็จะสมบูรณ์ในหน้าที่ สมบูรณ์ในความเป็นคน
เราต้องพึงสังวรตนเองให้รู้ไว้เสมอว่า เราอยากได้สิ่งใด เราอยากได้คนรักหรือคนเกลียด (คนรัก)  เราอยากได้คนซื่อตรงหรือคนคิดคดทรยศ (คนซื่อตรง)  เราอยากได้คนที่มีเมตตาจริงใจหรือคนเอาเปรียบกินแรงเรา (เมตตา)  โลกนี้เรียกว่าเป็นเหตุและผล มีสิ่งหนุนนำเป็นปัจจัยกัน ถ้าเราอยู่ร่วมกัน แต่เราไม่สร้างสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เอาแต่เรียกร้องคนอื่น แต่ตัวเราไม่ทำ เขาจะมีแบบอย่างดีๆ ให้ดูไหม (ไม่มี)  ยิ่งถ้ารุ่นนี้ไม่ทำ รุ่นต่อไปไม่ทำ แล้วรุ่นต่อๆ ไปไม่ทำ เเล้วรุ่นต่อไปจะมีไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)
เกิดเป็นคนทั้งทีสิ่งแรกที่มนุษย์ควรจะมีคือ เมตตาธรรมในหัวใจ บางทีศิษย์เมตตาเขาเเล้วศิษย์ซื่อตรงต่อเขาแล้ว จริงใจดูแลเอาใจใส่เขาแล้ว  รักเดียวใจเดียวก็แล้ว แต่ทำไมบางทีก็ยังเจอคนโกงอีก บางทีก็ยังเจอคนว่าไม่ดีอีก ถ้าศิษย์ทำคุณธรรมของตนเองได้ดี รับผิดชอบต่อหน้าที่ได้ดี ถามว่าเราจะมีปัญหาในการร่วมงานกับคนไหม (ไม่มี)  มันน่าจะไม่มี แต่บางครั้งเราก็มีจริงไหม (จริง)  เพราะเรามีนิสัยอยู่อย่างหนึ่งที่อาจารย์อยากจะบอกว่าถึงเราจะมีคุณธรรมความเป็นคนมากเท่าไร แต่ถ้านิสัยนี้เเก้ไม่ได้ เราก็ไม่สามารถอยู่กับใครได้ ใครบ้างเป็นคนที่ชอบฟื้นฝอยหาตะเข็บ เรื่องเก่าเล่าใหม่ เป็นไหม จริงๆ แล้วอาจารย์จะบอกว่าศิษย์เป็นทุกคน แต่ไม่กล้ายอมรับ ใช่ไหม
ถึงศิษย์จะมีเมตตา จะซื่อตรงขนาดไหน แต่มีนิสัยชอบฟื้นฝอยหาตะเข็บ เรื่องเก่ากลับมาเล่าใหม่ แล้วจะจบไหม จะไปกันรอดไหม (ไม่รอด)  จะเมตตากันจริงไหม (ไม่จริง)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม เพราะเป็นกันทุกคน เป็นเรื่องอดีต เขาเป็นคนใหม่แล้ว แต่เรายังมองเขาเป็นอย่างนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมจึงสอนให้เรารู้ว่า นอกจากมีคุณธรรมแล้วยังไม่พอ เราต้องเข้าใจธรรมแห่งความเป็นจริงของคน ว่าเขาไม่ชอบอะไร ไม่ต้องไปมองไกล มองที่ตัวเรา สมมติว่าเราแอบไปทำผิดมา แล้วเขาจับได้ บีบให้ตายคั้นให้ตาย ยอมรับมาว่าไปแอบมีกิ๊ก แล้วบางทีเรื่องเก่าเล่าใหม่ แล้วบางทีแค่ผิดนิดเดียวต้องจับให้มั่นคั้นให้ตาย พอสามียอมรับแล้ว เรายอมรับได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วจะอยู่กับเขารอดไหม
ศิษย์เอ๋ยมีคุณธรรมในความเป็นคน ต้องเข้าใจหลักของใจคนด้วยว่า ใจคนไม่ชอบให้ใครมาจับผิด ใจคนไม่ชอบให้รื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ แล้วไม่ชอบมากที่สุดคือ ถึงจะผิดอย่างไรก็อยากให้เข้าใจ ผิดอย่างไรก็อยากให้ได้รับการอภัย ฉะนั้นเราอย่าลืม อภัยตัวเองได้ ก็ต้องอภัยผู้อื่นได้เช่นกัน ธรรมะสอนให้มองแค่วันนี้ เพราะพรุ่งนี้ไม่มี พอถึงพรุ่งนี้ก็กลายเป็นวันนี้ ใช่ไหม เวลาเราจะทุกข์ เราคิดแค่เพียง เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยทุกข์ ดีไหม (ดี)  พอถึงพรุ่งนี้มันก็เป็นวันนี้
ธรรมะจึงสอนไว้ว่า เข้าใจตัวเองชัดมีหรือจะมองผู้อื่นผิด แต่คนกลับมองคนอื่นชัด แต่มองตัวเองไม่เห็น ไม่ใช่มีตาไว้แค่จับผิด แต่มีตาไว้มองรอบด้าน ฉะนั้นหัวหน้าที่ดีต้องดับปมด้อยแต่ชูปมเด่น จึงเรียกได้ว่าเป็นหัวหน้าที่ดีที่ถูกต้อง ไม่ใช่ขยายปมด้อยแล้วดับปมเด่น อย่างนี้อยู่กับบุคลากรใดก็ไม่พัฒนา ถ้าศิษย์มีนิสัยฟื้นฝอยหาตะเข็บแล้วก็นำไปประจาน ชอบนำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ อาจารย์ถามว่าถ้าเราเอาไปเล่าให้คนอื่นฟังทั่วไปหมด แล้วเขาจะแก้ไขตัวให้ดีขึ้นไหม (ไม่)  จำไว้นะถ้าลูกน้องทำผิดอย่าประจาน เพราะจะทำให้เขาไม่มีที่ยืน และศิษย์จะทำให้เขาไม่อยากดีขึ้นเลย เพราะเขาถูกว่าไปหมด ฉะนั้นควรดับปมด้อย แต่ชูปมเด่น แต่มนุษย์ไม่ใช่ กลับชอบดับปมเด่น แต่ชูปมด้อยแทน แล้วใครจะอยากอยู่ด้วย ถ้าอยากอยู่ในโลกนี้แล้วเป็นที่รักของทุกคน ต้องรักคนให้จริงใจ มีเมตตาให้ถึงที่สุด บางครั้งเราไม่ต้องเรียกร้อง เขาก็จะรักกลับมาเอง ถ้าเขาไม่รักเรา เราก็ต้องย้อนกลับมาดูว่าเราจริงใจที่สุดหรือยัง ถ้าเราต้องการคนที่รักแบบไม่มีข้อแม้ เราก็ต้องรักเขาแบบไม่มีข้อแม้เหมือนกัน หัวอกของคนมีธรรม ถ้าเขาจะดี เขาควรดีในแบบของเขาหรือดีในแบบที่เราอยากให้เป็น (ดีในแบบของเขา)  ถ้าศิษย์รักเขา ศิษย์ก็ต้องรักที่เขาเป็นแบบนั้น ถ้าศิษย์หวังดีกับเขา ศิษย์ก็ต้องหวังดีในสิ่งที่เขาอยากเป็นถ้าเราเข้าใจคุณธรรมความเป็นคนแล้ว เราจะต้องเข้าใจหัวใจของการเป็นคนที่ถูกต้องด้วย อย่าเอานิสัยมาปนกับคุณธรรม ไม่อย่างนั้นเราจะแยกแยะไม่ออก อยากได้คนรักจงมีเมตตา อยากได้คนจริงใจจงมีความซื่อตรง ไม่อยากได้คนคดโกง เราอย่าไปคิดอยากได้ของๆ ใคร อยากได้ปัญญาดีก็จงรู้จักเรียนรู้และไถ่ถามให้มากๆ
เกิดเป็นคนทำไมต้องเข้าใจธรรมะ เข้าใจคนก็ยากแล้ว เข้าใจธรรมะยิ่งยากใหญ่ ใช่ไหม (ใช่)  เข้าใจคนเพื่อปรับตัวในการอยู่ร่วมกัน เข้าใจธรรมเพื่อเข้าใจหลักของความเป็นคนและหลักของสรรพสิ่ง ศิษย์เคยได้ยินไหมว่า เราเรียนหนังสือตายไปสิ่งที่เรียนเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  ตายไปเงิน เกียรติยศและทรัพย์สินเสื้อผ้าเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  ตายไปมีแค่บุญกับบาป แต่อาจารย์อยากจะบอกศิษย์ว่ามีสิ่งวิเศษยิ่งกว่าบุญกับบาป นั่นคืออะไรรู้ไหม มีสิ่งหนึ่งที่แม้ตายไปกี่ภพกี่ชาติ สิ่งนี้ก็สามารถติดตัวศิษย์ไปได้ นั่นคือความดี คุณธรรม คุณธรรมทำให้มนุษย์ประเสริฐ แต่สิ่งที่สามารถนำพาให้เราตัดภพตัดชาติได้ไม่ใช่แค่คุณธรรม แต่เรียกว่า ปัญญา ถ้าเกิดปัญญาเข้าใจในธรรมจะสามารถตัดภพตัดชาติหลุดพ้นการเวียนว่ายได้ ถ้าผู้ใดรู้จักอบรมบ่มเพาะคุณธรรมปัญญาธรรมลงไปในหน่อเนื้อแห่งจิตใจ จะทำให้หน่อเนื้อแห่งจิตใจนี้ไม่ว่าต้องเกิดกี่ภพกี่ชาติ คุณธรรมแห่งปัญญาที่กระจ่างแจ้งในธรรมจะนำพาให้ศิษย์ไม่ว่าอยู่ภพไหนชาติไหน ก็จะมีปัญญาดี ฟังอะไรก็เข้าใจง่าย ปัญญานี้ได้มาจากการเรียนรู้เข้าใจธรรม ถ้าศิษย์หมั่นเรียนรู้เข้าใจธรรมมากๆ ถึงแม้วันนี้จะยังไม่เข้าถึง ถึงแม้วันนี้จะยังไม่รู้แจ้ง แต่เรียนรู้ไปบ่อยๆ บ่มเพาะคุณธรรมแห่งความรู้ธรรมไปบ่อยๆ ปัญญานี้จะติดตัวไปทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าจะอยู่ชาติไหน เราก็มีปัญญาคิดได้ ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากมีปัญญาดี จงต้องรู้จักหมั่นศึกษาเข้าใจธรรม ความเข้าใจนี้จะสามารถทำให้เราตัดภพตัดชาติได้ แต่ว่าศิษย์ก็บอกว่า ยังยากอยู่ เพราะศิษย์ยังอยากรวย เอารวยไว้ก่อน พอรวย ตายแล้วเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  แต่ถ้ามีเงินแล้วมีปัญญา มีปัญญาแล้วมีบุญบารมีสั่งสม ซุปเปอร์มหารวยเลย อาจารย์ถามระหว่างมีเงินกับปัญญา ศิษย์ว่าเอาอันไหนดี (ปัญญา)  แต่พอถึงเวลามาฟังธรรม พอเข้าใจธรรมก็เกิดปัญญา แต่ศิษย์ก็ยังบอกเอาเงินก่อน ถูกไหม (ถูก)  ปัญญาเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าไม่มีเงินแต่มีปัญญาก็ทำให้มีเงินได้ แต่ถ้ามีเงินแล้วไม่มีปัญญา ทำอย่างไรก็จน แล้วปัญญาไม่ได้เกิดจากการไปนั่งฟังเขาพูด แต่ต้องเกิดจากการกระจ่างแจ้งในธรรมที่เคยสั่งสมมา ฉะนั้นถ้าต่อไปมีการฟังเทศน์ฟังธรรม มีการอบรมธรรม ฟังไหม (ฟัง)  เพราะอะไร (อยากมีปัญญา)  จำไว้นะปัญญาจะเป็นอริยทรัพย์ที่สามารถติดไปได้ทุกภพทุกชาติ 
ถ้ายังตัดอบายมุขไม่ได้ ยังตัดโลภโกรธหลงไม่ได้ ถ้าวันหนึ่งศิษย์ต้องตกนรก ไม่ต้องกลัว ยอมรับ ผิดก็ผิด ชดใช้ก็ชดใช้ แต่ถ้าตกนรกเเล้วยังไม่ยอมรับ บาปกรรมจะยิ่งเพิ่มทวีคูณ ถูกไหม (ถูก)  สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม กรรมจำแนกสัตว์โลกให้แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน จงคิดก่อนจะสร้างกรรม คุณธรรมทำให้คนประเสริฐ ปัญญาทำให้มนุษย์บริสุทธิ์และพ้นทุกข์สิ้นทุกข์ได้ ทำไมเลือกเงินไม่เลือกปัญญา ทำไมเอาเกียรติยศแต่ไม่เอาอริยทรัพย์ เกิดเป็นคนอย่าคิดว่า เข้าใจธรรมเป็นเรื่องยาก อาจารย์อยากให้ศิษย์รับเอาไว้ เพราะจะดีกับปัญญาของศิษย์เอง วันนี้ไม่ได้ เดี๋ยววันหนึ่งก็ได้ พอได้แล้วก็จะสว่างใส จะเข้าใจทะลุทะลวงเลยนะศิษย์ ปัญญาเกิดได้เมื่อเราสงบนิ่งจนถึงที่สุด แต่คำว่าสงบนิ่ง ไม่ใช่แค่หลับตา ไม่รับรู้ปิดหูปิดตา อย่างนั้นไม่ใช่ แม้เราลืมตาเจออะไรมากระทบก็เข้าใจจนเกิดปัญญาแล้ววางลงได้ อย่างนั้นย่อมประเสริฐกว่า เหมือนที่พระพุทธะเคยกล่าวไว้ว่า แม้เรานั่งสมาธิจนได้ฌาณถึงสิบปี ก็ยังไม่ประเสริฐเท่ากับรู้แจ้งในธรรมเพียงชั่วช้างกระดิกหูไก่กระพือปีก แค่รู้ขณะเดียว
ศิษย์เคยได้ยินคำว่า สูงสุดย่อมคืนสู่สามัญ ใช่ไหม (ใช่)  คนชอบติดดอย นึกว่าตัวเองยังสูงอยู่ ทั้งที่ตัวเองนั้นเป็นมนุษย์เดินดินทั่วไป เวลาได้เงินมาแล้วต้องสูญเสียไปทำใจได้ไหม (ไม่ได้)  ผิดหวังในรัก ทำใจได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าศิษย์อยากรวยแต่ศิษย์ไม่เข้าใจธรรมของการมีเงิน ไม่เข้าใจธรรมของความเป็นจริงที่เรียกว่าสัจธรรม ศิษย์ก็จะทุกข์เพราะเงิน ศิษย์ก็จะทุกข์เพราะรัก ศิษย์ก็จะทุกข์เพราะเกียรติยศ สิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นจริงอย่างที่เข้าใจ สิ่งที่ศิษย์เห็นจริงนั้น มันเปลี่ยนได้ไหม (ได้)  แล้วเรายอมรับได้ไหม รับได้บ้าง ไม่ได้บ้าง สรรพสิ่งในโลกแสวงหาได้แต่ยึดครองไม่ได้ เราจึงต้องเข้าใจในหลักของธรรม ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่าหลักสำคัญในการเข้าใจธรรม ไม่ใช่ให้เราเข้าใจเพื่อทุกข์ ไม่ใช่ให้เราเข้าใจเพื่อท้อ แต่ให้เราเข้าใจเพื่อรู้จักอยู่กับมันให้เป็น สมมติโดนเพื่อนด่าว่าไอ้แก่ รับได้ไหม (ได้)  ศิษย์รับได้หรือเขารับไม่ได้ ตอนศิษย์แก่ศิษย์ก็รับได้ แต่บางคนขนาดแก่แล้วพอโดนด่าว่าไอ้แก่ รับไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  ในเมื่อเรารู้ความจริง ความจริงคือหลักสัจธรรมที่ทำให้เราไม่ลืมเลือน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ศิษย์เอ๋ย ศิษย์จะเป็นใครศิษย์จะอยากอะไรอาจารย์ไม่ว่า แต่ศิษย์ต้องไม่ลืมความจริงว่าโลกเปลี่ยนทุกขณะ เเละสิ่งที่ศิษย์กำลังครอบครองมันก็เปลี่ยนทุกขณะ ศิษย์กำลังทุกข์กับอะไรในเมื่อทุกขณะมันเปลี่ยน เขาด่าเราไอ้แก่ ขอบใจเดี๋ยวฉันก็แก่ ถ้าเขาด่าเราว่าไอ้ขี้เหร่เราโกรธไหม (ไม่โกรธ)  ไม่เป็นไรเพราะเราก็ขี้เหร่จริงๆ 
ความเข้าใจธรรมทำให้เราเป็นกลาง เมื่อเราเป็นกลาง เราจะไม่โกรธใคร เราจะไม่เกลียดใคร เเละเราจะไม่รักใคร เมื่อไม่โกรธไม่เกลียดไม่รักไม่หลงไม่โลภ เราก็ไม่ตกลงไปอยู่ในทางเเห่งอบายภูมิ นั่นล่ะเรียกว่าเกิดปัญญาเห็นเเจ้งในธรรมทั้งมวล นอกจากมีคุณธรรมความเป็นคนแล้วเราต้องเข้าใจ หลักแห่งสัจธรรม เพราะหลักแห่งสัจธรรมจะสอนให้เรารู้ว่าเกิดเป็นคนต้องมีทางสายกลาง เราไม่ต้องพยายามเป็นกลาง แต่เราแค่รู้ยอมรับว่า เราไม่ใช่สวยสุดเเละเราไม่ได้ขี้เหร่สุด เราไม่ได้เก่งสุดและเราก็ไม่ได้แย่สุด เวลาหาเงินมามากแค่ไหนศิษย์เอ๋ยจำไว้ไม่ต้องรวยสุดเพราะรวยสุดก็มีรวยกว่า ไม่ต้องเดินทางสายกลางแค่ยอมรับว่าตนเองเป็นกลาง
อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าใจหลักแห่งธรรมะ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กฎแห่งไตรลักษณ์ที่เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และมีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างและก็ทุกผู้ทุกคน เพราะถ้าเราเข้าใจถึงเวลามันเปลี่ยนไป รับได้ไหม (ได้)  ต้องรับให้ได้ เราทุกข์กายแล้วเราโง่ทุกข์ใจทำไม เราเจ็บกายแล้วเราโง่เจ็บใจทำไม เราสูญเสียแล้วทำไมต้องให้ใจสูญเสียอีก ฉะนั้นรู้ธรรมเพื่อเข้าถึงปัญญา เพื่อนำทางตนไปสู่ความบริสุทธิ์ที่มีอยู่ในใจศิษย์ทุกคน แต่ศิษย์ไม่เคยมองเห็นมันเท่านั้นเอง
อาจารย์บอกว่า ถ้าผลไม้นี้กินแล้วแก่ กินแล้วเจ็บ กินแล้วตาย เอาไหม (ไม่เอา)  งั้นอาจารย์ถามหน่อยสิ่งที่ศิษย์ปรารถนา ไม่ว่าเงินทอง
คนรัก กระเป๋า เสื้อผ้า เกียรติยศ มีอะไรที่ศิษย์ครอบครองแล้วไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายบ้าง (ไม่มี)  ฉะนั้นเราอยากเพิ่มทุกข์ เพิ่มความแก่ เพิ่มความตายให้ตัวเองไหม (ไม่)  ทำไมไม่พอสักที ศิษย์ก็บอกว่ามีคนมาทำให้ศิษย์โมโห ทำให้ศิษย์รัก ศิษย์ไปว่าเขาที่ทำให้ศิษย์โกรธ ไปว่าที่ทำให้เรารักเขา ถ้าสมมติมีใครมาดีกับศิษย์ สวยจัง เดี๋ยวเขาเอาขนมมาให้และมาหาตัวเองทุกวันเลยนะ อาจารย์ถามจริงๆ ถ้าใจมันไม่รัก ต่อให้ประเคนอะไรมา ถึงให้ดีขนาดไหน จะรักไหมอาจารย์ถามว่า เขาทำให้หนูรัก หรือหนูไปรักเขาเอง แล้วก็ไปโกรธเขาว่าเขาทำให้หนูเจ็บ ก็หนูเผลอไปรักเขาทำไม ถูกไหม (ถูก)  เหมือนกัน เขาทำให้ผมโกรธ ด่าผม ตีผม ถามว่าถ้าตัวศิษย์ไม่มีตะกอนแห่งความโกรธ ใครตีจะโกรธไหม เขาตีเรานิดเดียวเอง ถ้าเขามาทำให้เราโกรธ แต่เราไม่มีตะกอนแห่งความโกรธ เราไม่มีไฟแห่งความเกลียด เราจะโกรธหรือเกลียดเขาไหม เขาผิดไหมที่ทำให้ตัวเองโกรธ รับกันไปคนละครึ่งนะ  
ฉะนั้นก่อนที่จะไปว่าเขา เราต้องเข้าใจหลักแห่งธรรม หลักแห่งใจ ถ้าใจกว้างจนหาที่สุดไม่ได้ แล้วในความกว้างและความว่างนั้น  มันไม่มีคำว่าเกลียดคืออะไร โกรธคืออะไร รักคืออะไร ถ้าไปแหย่อะไร เขาจะโกรธไหม และเขาจะหลงรักไหม เขาทำให้ศิษย์โกรธหรือศิษย์มีตะกอนแห่งความโกรธ เขาทำให้ศิษย์รักหรือศิษย์ยินยอมไปรักเขา ฉะนั้นก่อนจะโกรธที่เขาทำเราให้เจ็บ เราควรจะโกรธที่ใจตัวเราเผลอไปมีสิ่งนั้นหรือเปล่า ศิษย์เอยถ้าเราเข้าใจหลักแห่งธรรมแล้วสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือใจ ของเราต้องคุมให้อยู่ เพราะถ้าคุมไม่อยู่ แม้จะเข้าใจธรรมขนาดไหน ใจเรามันก็ไหวไปเรื่อยๆ 
อาจารย์อยากให้ศิษย์ทำอะไรคิดให้ดีๆ อย่าคิดสนุกไม่อย่างนั้นจะทุกข์ถนัด เพราะชีวิตลองเล่นไม่ได้ ถ้าพลาดไปแล้วศิษย์ต้องรับผิดชอบเขาทั้งชีวิตมันน่ากลัว อยู่กับอาจารย์ อาจารย์ช่วยรับผิดชอบได้ แต่ชีวิตประมาทไม่ได้นะศิษย์ เพราะเราไม่รู้ว่าคนที่เราคู่ด้วยเขาเป็นคู่เวรคู่กรรม หรือคู่บุญคู่วาสนา ฉะนั้นคิดให้ดีๆ นะ แต่กว่าจะเข้าใจนั้นก็คงยากเเล้วจริงไหม เรายังยึดติดความมีความเป็นอยู่ แต่ทั้งที่จริงเเล้วในความมีความเป็นแท้จริงหาเป็นของเราไม่ สังขารตายได้แต่จิตไม่มีวันตาย สังขารมีวันดับได้แต่จิตไม่มีวันดับ แต่มนุษย์มัวหลงแต่สังขารจนลืมจิตเดิมแท้
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง ทุกข์ไม่ทำให้ทุกข์ ทำนองเพลง ทางรักสีดำ)
ทุกข์ไม่ทำให้เราเป็นทุกข์ แต่เราทุกข์เพราะตัวเราเอง พบความเป็นจริงในโลกแล้ว หลักแห่งสัจธรรมที่เรารู้คือ โลกนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และว่างเปล่า ว่างเปล่าจากตัวตนให้ยึดถือ ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจหลักสัจธรรมอันนี้
เรายังทุกข์กับอะไรอยู่อีก เมื่อวานแอปเปิลของพระนาจาเป็นแอปเปิลที่เกิดจากความอธิษฐาน ความตั้งใจดีของทุกคนใส่ลงไปในแอปเปิล เพราะเมื่อวานพระนาจาสอนศิษย์ว่ารู้จักสละให้ แล้วการสละให้นั้น ไม่ใช่การให้แค่สิ่งของ เหมือนเราให้คุณธรรม ให้ความจริงใจ ให้ความเมตตา
ให้ความโอบอ้อมอารี ให้ความซื่อตรง อย่ามองเขาเพียงให้แค่นี้ แค่ให้สิ่งของอย่างเดียว แต่ต้องให้ด้วยคุณธรรม ถ้าวันนี้อาจารย์จะแจกแอปเปิลให้ เอาเพื่อให้หรือเอาเพื่อสละ (เอาเพื่อสละ)  เอาไปแล้วให้ต่อ อาจารย์ก็ยินดีจะแจก

(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนออกมาวงคำในพระโอวาทซ้อนบนกระดาน และให้นำแอปเปิลผลที่นักเรียนได้รับจากศิษย์พี่พระนาจาที่รับแล้วและส่งต่อๆ กันจนทั่ว ให้นำไปปั่นเป็นน้ำแล้วแบ่งกันทุกคน เพื่อเป็น
สิริมงคล)
จงรู้จักให้ก่อนนะศิษย์เอย จะยิ่งดีมากที่สุด ถ้าการให้ทำให้เขารู้จักให้ต่อนะ ให้แล้วรู้จักให้ต่อนะศิษย์
นอกจากให้แอปเปิล แล้วอะไรที่เราจะรู้จักให้ต่อได้อีก (ความรัก)
สู้ให้ความเมตตาจริงใจดีกว่านะ
(ให้ความเมตตา ให้ใจ)  แล้วทำอย่างไรถึงจะให้ใจคนอื่น ทำอะไรจริงใจซื่อตรง นี่แหละเรียกว่าให้ใจล้วนๆ ไม่ว่าทำอะไรกับใครจริงใจ ซื่อตรง ขยันให้ให้ตลอดนะ ไปอยู่ที่ใดจะได้ไม่ลำบาก ทำสิ่งที่ถูกต้อง ไปอยู่ที่ใดก็ไม่ลำบาก ไม่ต้องรอให้ใครถูกต้อง ขอเพียงตัวเองถูกต้องให้ได้ก่อนนะ สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดี ถ้ายอมรับความจริง ชีวิตไม่เที่ยงนะ เกิด แก่ เจ็บ ตาย สังขารเป็นของดิน จิตเป็นของฟ้า จำไว้นะ ไหว้พระข้างนอกไม่สู้สร้างพระข้างใน ฉะนั้นถ้าเราทำตัวน่าเคารพ ถ้าเราทำตัวได้ถูกต้อง ไม่ต้องเรียกร้องใคร เราเคารพตัวเองได้ เราไหว้ตัวเองได้ คนอื่นก็เคารพเราได้ ไหว้เราได้ แต่ถ้าเรายังทำตัวไม่ถูก ใครจะเคารพเรา แล้วเราจะรักตัวเองได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง อบายมุขห่างๆ ไว้ดีไหม ดีแปลว่าต้องทำให้ได้
ศิษย์เป็นคนจิตใจดีและอาจารย์ก็เชื่ออย่างนั้น รักษาความดี รักษาความซื่อตรง อย่าคดในข้องอในกระดูกเด็ดขาด ทำดีให้ถึงที่สุดนะ
การให้ที่ประเสริฐที่สุดและเป็นการให้ที่ดีที่สุดคือให้โดยไม่หวังผล ให้โดยไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ เพราะถ้าเรายังหวังผล ยังมีตัวตนให้ยึดถือ แปลว่าสิ่งที่เราทำเราต้องเอาตัวเราไปรับผลนั้นอีก แล้วศิษย์อยากกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในทุกข์นั้นอีกไหม อย่างนั้นต้องทำอย่างไรที่ทำให้เราให้แล้วไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ ไม่เหลือตัวตนให้ต้องกลับมาเวียนว่ายอีก ต้องให้ทั้งใจ ให้หมดใจ ทำให้ได้นะ
รูปลักษณ์เป็นเพียงภายนอก สิ่งที่งดงามแท้จริงคือภายใน ระมัดระวังนิสัย นิสัยเป็นอารมณ์แค่ชั่วขณะหนึ่ง สิ่งสำคัญคือถ้าศิษย์ตรง ศิษย์ดีแน่ คำพูดคนอื่นก็ไม่มีผล แต่บางครั้งตรงเกินไปก็เดือดร้อนคนอื่น ฉะนั้นจำไว้นะ ความจริงแม้จะพูดแล้วดี แต่ถ้าพูดแล้วทำให้คนไม่รัก ทำให้คนไม่สามัคคี ทำให้คนฟังแล้วเจ็บปวด บางครั้งไม่ต้องพูดเงียบไว้ดีกว่านะ ทำให้ได้นะ อะไรที่ดีก็รักษา แต่อะไรที่ไม่ดีทั้งความเอาแต่ใจ บางครั้งก็ต้องเบาๆ ลงบ้างนะ
สวยหรือไม่สวยเรารู้ดี เพราะสิ่งที่สวยยิ่งกว่าคือใจของศิษย์ เราอยากเชิดชูอะไรให้คนข้างนอกรับรู้ เราอยากเชิดชูใจ เชิดชูคุณงามความดี หรือเราอยากเชิดชูหน้าตา อาจารย์อยากให้ศิษย์เชิดชูที่ใจคุณงามความดี ดีกว่า และยิ่งถ้าทำดีโดยไม่เปิดเผย สิ่งนั้นยิ่งเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่กว่า ปิดทองหลังพระประเสริฐกว่านะ ดีกว่าทำอะไรแล้วเอาแต่เชิดชูหน้าตา มันเป็นความหลอกลวง
มากันทั้งครอบครัวเลย ฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้เราเป็นครอบครัวอบอุ่นคือรอยยิ้ม ไม่ว่าอะไรใจเย็นเข้าไว้ นี่คือบุญของศิษย์นะ
ยอมได้ก็ยอม อย่าแอบดื้อลึกๆ ตั้งใจไปทำให้ได้นะ
ระมัดระวังควบคุมอารมณ์ของตนเองด้วย อย่าใจร้อน พูดอะไรให้รู้จักยั้งคิด ทำอะไรขอให้ใจเย็นๆ คิดไตร่ตรองให้ดี
งามภายนอกไม่สู้งามภายใน ขาวภายนอกไม่สู้ขาวภายใน สงบภายนอกไม่สู้สงบที่ใจ 
ตั้งใจบำเพ็ญให้ดี เวลามีกันไม่มากเเล้ว ฉะนั้นศิษย์เอย รู้จักบำเพ็ญ มีโอกาสอย่าหลงทางโลกจนลืมบำเพ็ญ 
ชีวิตคืออะไรหรือ คือความแน่หรือความรู้จักยอม บางทีแน่มากๆ เราก็เจ็บปวดใช่ไหม ยอมได้ก็ยอม
รักษาความดีดุจเกลือรักษาความเค็ม
ดีชั่วรู้หมดแต่อดใจไม่ไหว น่าเสียดายนะศิษย์เอย
รู้แล้วเหลือแต่ลงมือปฏิบัติ อาจารย์เชื่อมั่นในศิษย์
บางครั้งชีวิตมีทางเลือก แต่ต้องเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าเลือกสิ่งที่ตามใจเห็น เพราะบางครั้งตามใจมากๆ มันไม่ถูกต้อง ใช่ไหม ตามใจมากๆ ก็กลายเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ฉะนั้นบางครั้งต้องรู้จักฝืนใจตัวเอง
ชีวิตเหนื่อยไหม ลำบากไหม ฉะนั้นอดทน เราต้องรู้จักสร้างบุญบารมีให้กับตนเอง อะไรที่เป็นสิ่งที่ดีจงบอกจงเผื่อแผ่ผู้อื่น
ดื้อไหม ตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดหรือยัง (ยัง)  บางครั้งยังล้ายังท้อใช่ไหม ศิษย์เอยวันนี้คืออนาคตวันหน้า ถ้าวันนี้ศิษย์ไม่ตั้งใจทำให้ดีที่สุดวันหน้าจะลำบาก ฉะนั้นยอมลำบากตอนนี้เพื่อวันหน้าจะได้มีอนาคตที่ดี เชื่ออาจารย์นะ
รออาจารย์ไหม (รอ)  มีโอกาสศึกษาธรรมเยอะๆ อายุมากแล้วสังขารมันไม่เที่ยงมีแต่จิตคน แต่ตัวศิษย์เองต้องรู้จักคิดรู้จักทำอยู่ในกรอบเเห่งศีลธรรมอันดีงาม
ตั้งใจบำเพ็ญฝึกฝนเรียนรู้คุณธรรมความเป็นคนให้ถูกต้องและงดงาม ระมัดระวังควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ ธรรมมีความสำคัญกับชีวิต
ในร่างกายเรามีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าสังขาร และมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าจิตญาณ สังขารเป็นสิ่งที่เกิดดับได้ วันหนึ่งก็ต้องแตกสลายไปตามสภาพธรรมชาติ แต่จิตญาณไม่มีวันแตกดับ ไม่ต้องการที่อยู่ ไม่ต้องการเจ้าของ แต่ต้องการแค่คนที่รู้และเข้าใจในธรรม มนุษย์ประเสริฐเพราะมีธรรม มีคุณธรรมในการดำรงชีวิต เข้าใจในธรรมที่อยู่ในตัวตน ธรรมที่อยู่ในตัวตนเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สัจธรรม ถ้าเรารู้แจ้งในสัจธรรมของตัวตน เราก็มีปัญญาหลุดพ้นและเข้าถึงจิตเดิมแท้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฉะนั้นศิษย์มองให้ชัดนะในธรรมมีสัจธรรม และถ้าเราเข้าถึงสัจธรรมและประกอบด้วยคุณธรรมเราคือ
ผู้ประเสริฐที่เข้าถึงหนทางบริสุทธิ์ ละชั่ว กระทำดี กลับคืนสู่ธรรมญาณเดิมในตัวตน ในตัวเรามีสัจธรรมที่เรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจังคือความไม่เที่ยง ทุกขังคือความทนได้ยาก อนัตตาคือว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง เมื่อมันว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง เราจะมีตัวตนไปแบกรับมันไหม (ไม่มี) 
มนุษย์ไม่ใช่มีแค่กายกับจิต แต่มนุษย์เติมใจเข้าไป ใจที่ครอบงำและเชื่อมระหว่างกายกับจิต และใจตัวนี้ที่เรียกว่า อัตตาตัวตน ทำให้แม้เราจะตาย ใจตัวนี้ก็ตามจิตไป แล้วครอบงำจิตว่า เราเป็นแบบนี้ เราชอบแบบนี้ แต่ถ้าเมื่อไหร่เรามองเห็นชัดว่าสังขารไม่เที่ยง ใจก็ไม่เที่ยง และความไม่เที่ยงนั้นไม่ใช่ตัวเรา เราจะค้นพบจิตเดิมแท้ซึ่งเป็นหนทางบริสุทธิ์ที่เรียกว่า สภาวธรรม มนุษย์เกิดแค่ครั้งเดียว เกิดแล้วแก่แล้วเจ็บแล้วตาย แต่มนุษย์ซ้อนเกิดเข้าไปอีก ด้วยการที่เกิดชอบ เกลียด รัก ชัง เบื่อ หน่าย ซึ่งรวมกันเรียกว่า กรรม เมื่อมีตัวตน มีผู้สร้าง มีกรรม ก็ก่อเกิดเป็นภพ ชาติ ชรา มรณา เกิดกี่ทีก็ทุกข์ทุกที ก็เลยไม่รู้แจ้ง ถ้าเราเข้าใจธรรมที่เรียกว่าสัจธรรม หรือมีปัญญาเห็นแจ้งด้วยการเข้าใจว่าอนิจจังแปลว่า ไม่เที่ยง ทุกขังแปลว่า ทนได้ยาก อนัตตาแปลว่า ว่างเปล่าจากตัวตน ถ้าเราทำแล้วไม่ยึดจึงเรียกว่า “ธรรม” แต่ถ้าทำแล้วยึดแล้วหลงจึงเรียกว่า “กรรม”  ถ้าเราใช้แล้วไม่ยึดแปลว่าเราเข้าถึงธรรม แต่ถ้าเราใช้แล้วเรายึด ยึดแล้วเรายังสร้างดีก็เรียกว่า “บุญกรรม” เรียกว่า กรรมดี  ยึดแล้วยังสร้างบาปก็เรียกว่า กรรมชั่ว เรียกว่า “บาป” แต่ถ้าเรายืมใช้แล้วเราเข้าใจ แล้วเราแจ้ง เราไม่ยึด แค่ยืมใช้แล้วปล่อยวาง เรียกว่า “อกรรม”
พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า จงมาอยู่บนโลกแบบคนยืมใช้ ยืมสังขาร เราแค่ยืมเขามา ถึงเวลาก็เป็นไปตามสภาวธรรม คนนี้เขารัก คนนี้เขาหน่าย ก็เป็นไปตามสภาวธรรม วันนี้เขารัก วันนี้เขาเกลียด ก็เป็นสภาวธรรม วันนี้ศิษย์แข็งแรง พรุ่งนี้เจ็บปวดก็เป็นสภาวธรรม พอเข้าใจมากๆ ก็จะเป็นธรรมดา เมื่อเข้าใจมากๆ ธรรมดาก็กลายเป็นแค่นั้นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดแล้วดับ สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา แล้วศิษย์จะพยายามปล่อยทำไม เดี๋ยวก็ดับได้เอง ถูกไหม (ไหม)  แต่ที่ต้องพยายามปล่อยเพราะศิษย์ยึดมันไม่ปล่อย วางไม่ลง ถ้าอยากไม่ทุกข์ แค่เห็นทุกข์แต่อย่าทน เข้าใจไหม
พระพุทธะสอนไว้ว่าเมื่อมันไม่เที่ยง เมื่อมันเป็นทุกข์และเมื่อมันว่างเปล่า เราโกรธอะไรกับความไม่เที่ยง เขาด่าก็รู้ว่าไม่เที่ยง เขาชมก็รู้ว่าไม่เที่ยง เขายกย่องก็รู้ว่าไม่เที่ยง ถ้าเราหลงเราก็คือคนที่โง่กับความไม่เที่ยง แล้วเราทุกข์ไหม แล้วเราจะแบกทุกข์ไปอีกทำไม แล้วทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ไหม (เป็น)  แล้วเราจะให้ทุกข์เขาอีกทำไม ฉะนั้นถ้าปิดปากได้
พูดน้อยหน่อยดีไหม (ดี)  นอกจากมีปัญญาแล้ว ยังต้องรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นที่เรียกว่าสัจธรรม พระพุทธะสอนไว้ว่า “จงอย่าประมาทในการดำเนินชีวิตเพราะทุกชีวิตล้วนไปสู่ความตาย” เรากำลังตายอยู่ทุกขณะ ทุกคนดีใจที่ได้เป่าเค้กวันเกิด แต่พระพุทธะบอกว่ากำลังเป่าเค้กวันตาย ดีใจที่ตัวเองสวย ตัวเองหล่อ แต่พระพุทธะบอกว่าคือหนังผีหุ้มกระดูก ดีใจมีบ้านใหญ่ๆ แต่ตายไปแล้วบ้านใหญ่ๆ เป็นของใคร เงินทองแย่งกันแทบตาย แล้วผลสุดท้ายเป็นของใคร (ของคนอื่น)  แล้วทำไมไม่เอาปัญญา เอาเงินไปทำไม เมื่อไรที่เราเข้าใจความไม่เที่ยง ความทนได้ยาก ความว่างเปล่าจากตัวตน ความโลภ โกรธ หลงมันเลยไม่มี เมื่อทุกอย่างไม่เที่ยงจะโลภอะไร เมื่อทนได้ยากจะโกรธอะไร เมื่อว่างเปล่าจากตัวตนจะหลงอะไร เมื่อศิษย์โลภแล้วจะค่อยไปให้ทานหรือ ไปเกลียดไปโกรธเขามาเต็มที่แล้วค่อยมารักษาศีลหรือ ไปหลงก่อนแล้วค่อยมีปัญญาหรือ ทำไมไม่มีปัญญาก่อนจะได้ไม่หลง ทำไมไม่มองให้เห็นชัดจะได้ไม่โกรธ พระพุทธะจึงสอนให้รู้จักทาน ศีล ภาวนา ก็มาจากตรงนี้ ก็อยู่ในตัวศิษย์ที่เรียกว่าสัจธรรม เรียกว่าสังขาร เรียกว่ากองทุกข์ เรียกว่าสิ่งของ เรียกว่าธรรม ในธรรมมีหลักสัจธรรม
ในสัจธรรมถ้ารู้จักประกอบคุณธรรมเรียกว่ามนุษย์ประเสริฐ แล้วถ้าประกอบคุณธรรมแล้วเข้าใจในหลักสัจธรรมนั่นคือหนทางพ้นทุกข์
ทำบุญอย่าหวังผล เพราะถ้าทำบุญเเล้วหวังผลคือเรากำลังจะมีตัวตนเพื่อไปแบกรับกรรมต่อ เหมือนที่ศิษย์ชอบขอกัน ชาติหน้าขอให้เกิดมาสบายไม่ต้องทำอะไรก็มีกินมีใช้ ชาติหน้าเกิดเป็นสุนัขให้เขาอาบน้ำให้ทำนู่นทำนี่ให้ แต่คุณธรรมความดีไม่ดีเลยใช่ไหม (ใช่)  เอาหรือ (ไม่เอา)  อาจารย์จึงอยากให้ศิษย์อยู่บนโลกอย่ามัวหลงโลภ หลงโกรธ หลงเงินทอง หลงรูปลักษณ์ มันเป็นของไม่เที่ยง มีของเที่ยงอยู่อย่างเดียวที่อยู่ในใจศิษย์ นั่นคือจิตเดิมแท้อันบริสุทธิ์ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสภาวธรรม
ไปแล้วนะ มีโอกาสกลับมาผูกบุญกันอีกดีไหม (ดี)  จำไว้โลภ โกรธ หลง คือหนทางแห่งบาปและกรรม แต่ไม่โลภไม่โกรธไม่หลงคือหนทางแห่งอกรรม เลือกทางที่ถูกอย่าหลงผิดทาง มีโอกาสเป็นศิษย์อาจารย์กันแล้ว กลับมาผูกบุญกันอีก กลับมาเพิ่มปัญญาธรรมอีก ดีไหม (ดี)  อาจารย์ห่วงศิษย์ได้มากแค่ไหน แต่ถึงเวลาก็ต้องปล่อย คิดให้ดีๆ ก่อนจะเลือกทำอะไรนะศิษย์ แล้วเราจะได้ไม่ต้องทุกข์เพราะตนเอง ทำให้ได้นะ เข้มแข็งนะ บำเพ็ญธรรม อุทิศเสียสละ ฉุดช่วยเวไนยกลับคืนฟ้าเบื้องบน สังขารเป็นของดิน จิตเป็นของฟ้า ไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา ฝึกใจฟ้ารู้จักให้ รู้จักใจกว้าง รู้จักอดทน ฝึกใจดั่งดินที่หนักแน่นมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง แล้วศิษย์จะเป็นคนที่มีทั้งใจฟ้าที่กว้างใหญ่และใจดินที่อดทน ทำให้ได้นะ เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่าหลงทาง รักษาคุณงามความดีให้เข้มแข็งยิ่งกว่าสังขารตั้งใจทำให้ได้ นำไปปฏิบัติบ้าง อย่าแค่ฟังแล้วผ่านเลย ศิษย์เอ๋ยมีโอกาสเป็นศิษย์อาจารย์กันแล้วกลับมาอีกนะ มาช่วยอาจารย์อีกได้ไหม ทำให้ได้นะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
 “ผู้ใฝ่ธรรม” )
คำนี้มีความหมายที่ดี คำนี้มีความหมายที่ลึกซึ้ง และอาจารย์ก็เชื่อว่าศิษย์ของอาจารย์ในชั้นนี้ทำได้ดีและทำได้ลึกจนถึงคำว่า “ธรรม”  ลองไปอ่านความหมายข้างในดู ถ้าทำได้ถึงขนาดนี้ศิษย์ถึง “ธรรม” แน่ ศิษย์สิ้นทุกข์แน่ อย่าทุกข์แล้วทุกข์อีกเลยนะ มีปัญญาตื่นเถอะ ทุกข์พอแล้ว
เจ็บพอแล้ว มีปัญญาแล้วมีสติรู้ แต่ไม่ต้องทุกข์ ได้ไหม ทำให้ได้นะ ศิษย์เอ๋ยบำเพ็ญเพื่อสิ้นทุกข์ เกิดมาเป็นคนถือว่าประเสริฐสุดแล้ว จะหลงอะไรกับโลกใบนี้ ไม่มีอะไรน่าอาลัยอาวรณ์เลย ถ้าเราทำได้ดี ทำได้ถูกต้อง เราก็ช่วยคนได้ทั้งโลก อย่าดูเบาตัวเอง ถ้าเราทำได้ดี เราทำได้ถูกต้อง เราก็คือพระบนโลกใบนี้ ศรัทธาในความดีงาม คุณธรรมในใจของศิษย์ เพราะสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดที่ศิษย์มีในชีวิตหนึ่ง


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ผู้ใฝ่ธรรม”
     รู้ธรรมต้องให้ถึงธรรม                          บาปกรรมผู้บำเพ็ญไม่สร้าง
ความดีทำแล้วก็วาง                                 สตินำทางของใจ
     สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดับทุกขณะ                     เมื่อไม่ยึดจะต้องละปล่อยวางไหม
ไม่มีแม้อัตตาตัวตนของใคร                        ทุกสิ่งล้วนเป็นไปเช่นนั้นเอง




แก้ไขเพลงพระโอวาทงานประชุมธรรมสถานธรรมผู่ถี  จ.พิษณุโลก 
๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙
หน้า ๑๕  ย่อหน้าแรกเพลงพระโอวาท
บรรทัดที่ ๔
เดิม ไม่จับไม่ฝืนทน        แก้ไขเป็น ไม่จับไม่ฝืนตน

บรรทัดที่ ๘
เดิม เหมือนกับทุกทุกวัน  แก้ไขเป็น เหมือนกันกับทุกทุกวัน

บรรทัดที่ ๑๑
เดิม เรื่องแบบนี้ศิษย์คุ้นกันบ้างหรือเปล่า   
แก้ไขเป็น เรื่องแบบนี้ศิษย์คุ้น(กัน)บ้างหรือเปล่า


อ่านต่อ...

วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557

2557-06-28 29 สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง จ.อุตรดิตถ์


西元二○一四年 歲次甲午 六月 初二日 仙佛慈悲訓

วันเสาร์ที่ ๒๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง  จ.อุตรดิตถ์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี

ยิ่งแข็งดื้อคนกลับให้อ่อนน้อมนัก ยิ่งอวดจักคนกลับให้ดูเบายิ่ง
จิตอ่อนน้อมสุภาพเป็นที่รักจริง ดุจไม้ผลดกยิ่งน้อมต่ำลง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามทุกท่านสราญฤๅ

โดยมากฟังอรรถามารู้แค่รู้ สาระเหมือนผู้คนก็แต่งเสริมไป
ปัญญาน้อยกลับว่ารู้เห็นบ่อยไป ธรรมรู้ยากถึงแต่ใจไม่มั่นคง
จึงบำเพ็ญปฏิบัติได้ไม่เต็มที่นัก กิเลสหากมากก็ยังยึดโลภหลง
กระจ่างธรรมจากใจไกลการอวดองค์ พูดทุกคำธรรมอย่าหลงสัจธรรมจริง
ธรรมเหมือนว่าปฏิบัติได้ไม่สิ้นสุด เพียรไม่หยุดดีได้ด้วยจิตนิ่ง
สิ้นกายแค่ก็เพียงเปลี่ยนเปลือกทิ้ง เมื่อทุกข์ผ่านไปต้องยิ่งทบทวนตน
สติย้ำหยั่งถึงใจพูดกลั่นกรอง เมื่อคิดตรองให้ตนทำไม่สับสน
ดึงชีวิตอยู่ไหมมีคำตอบตน อย่าตกใจในผลถ้าไม่ระวัง
เดินทางธรรมรักษาธรรมจักได้ดี วิสัยที่เคยชินนำใกล้เหมือนห่าง
มาร่วมใจร่วมธรรมถากถางทาง นกกางปีกคนต้องกางคุณธรรม

ฮา  ฮา   หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านฮั่นจงหลี
วันนี้ใครคิดว่าตัวเองอดทนได้เก่งมากๆ บ้าง ยกมือขึ้น แล้วความอดทนนี้อยู่ได้กี่วัน (สองวัน)  นึกว่าได้แค่วันเดียววันนี้ก็พอแล้ว อย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่ใช่)  ไหนใครคิดว่าอดทนแล้วจะอดทนอีก ยกมือขึ้น ส่วนที่ไม่ยกมือแปลว่าไม่อดทนแล้ว ใช่ไหม ความอดทนของทุกคนมีขีดจำกัดไหม (มี)  ถ้าเรามีความสุขที่ได้อดทน เรามีความสบายใจที่ได้อดทนอดกลั้น คิดว่าความสุขที่ได้จากการอดทนอดกลั้นจะมีขีดจำกัดไหม (ไม่มี)  ถ้าเราอดทนด้วยความรู้สึกไม่ชอบ รำคาญ เบื่อหน่าย อดทนได้ไม่เท่าไหร่ก็เลิก จริงไหม (จริง)  แต่ว่าถ้าในความอดทนนั้นเรามีความสบายใจ มีความสุขใจ มีความปลื้มใจว่าไม่คิดเลยว่าในชีวิตนี้จะอดทนได้ขนาดนี้ ความอดทนนั้นจะไปได้เรื่อยๆ จริงไหม อย่างนั้นวันนี้อดทนด้วยความสบายใจหรืออดทนด้วยความลำบากใจ (สบายใจ)  ถ้าอดทนด้วยความสบายใจความอดทนนั้นก็ต้องไม่มีขีดจำกัด ยังอดทนได้เรื่อยๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาฟังธรรมะมีความสุขกันดีไหม ใครที่รู้สึกว่าฟังไม่ไหวแล้วยกมือขึ้น ยังไหวกันไหม (ไหว)  อย่างนั้นสู้ต่ออีกวันก็ยังไหว เพราะว่าเรามีความอดทนได้ดี
วันนี้มาฟังธรรมะ ส่วนใหญ่ก็มาฟังเพื่อจะได้เป็นคนดี มีความสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าฟังธรรมะแล้วกลายเป็นคนไม่ดี แถมยังมีความทุกข์ เราจะฟังธรรมะกันไหมโดยส่วนใหญ่เราฟังธรรมะก็เพื่อจะได้นำไปประพฤติปฏิบัติ ให้เป็นคนดีในสังคม เมื่อทำดีแล้วจะได้มีความสุขเมื่อดำเนินชีวิต แต่ว่าเราปฏิบัติได้อย่างที่เราพูดไหม ทำได้ดีแล้วมีความสุขไหม ถ้าทำได้ดีมีความสุข เราก็คงไม่จำเป็นต้องอธิบายธรรมะอะไรเพิ่มแล้ว ถูกไหม (ไม่)  เพราะว่าต่างคนก็ต่างทำได้ดีมีความสุขแล้ว ใช่ไหม (ไม่)  ฟังธรรมะก็เพื่อให้ได้ดีมีความสุข แล้วตอนนี้ดีหรือยัง มีความสุขหรือยัง (ยัง)
โดยส่วนใหญ่เราฟังธรรมะกันเยอะ เพราะคิดว่าเมื่อฟังแล้วจะต้องได้ดี เมื่อมาฟังธรรมะแล้วชีวิตจะต้องดี แค่นั้นหรือเปล่า แต่ถ้าแค่ฟังแล้วไม่ลงมือปฎิบัติจะได้ดีหรือ แค่ฟังโดยที่ไม่ทำอะไรเลยจะได้รับผลดีได้หรือไม่ (ไม่ได้) ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเรามาฟังธรรมะ แล้วยังกลับไปด่าว่าคนเหมือนเดิม ฟังธรรมะแล้วยังขี้โมโหเหมือนเดิม ฟังธรรมะแล้วยังใจวุ่นวายเหมือนเดิม จะได้ดีไหม (ไม่ได้)  
ฉะนั้นถ้าแค่ฟังธรรมะแล้วบอกว่าจะต้องได้ดี อย่างนี้ไม่ถูกต้องนะ ที่ถูกต้องคือเมื่อฟังธรรมะแล้วจะต้องลงมือปฏิบัติ ถ้าฟังธรรมะแล้วไม่ปฏิบัติจะให้ได้ดีก็คงยาก อย่างมากสุดก็แค่เมื่อฟังธรรมะที่ดีๆ ก็จะได้แค่ความสบายใจ ได้เข้าใจ ได้อิ่มใจ ได้รู้มากยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าท่านอยากได้มากกว่านั้น เมื่อฟังแล้วเข้าใจแล้ว ท่านก็จะต้องกลับไปกระทำกลับไปปฏิบัติ แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ทำดีกันถึงที่สุดหรือไม่ (ไม่ถึง)  ท่านสามารถทำดีได้ตลอดหรือไม่ (ไม่ได้) เพราะมีนิสัยอย่างหนึ่งในจิตใจที่เป็นสิ่งขวางกั้นไม่ให้มนุษย์ไปถึงความดี จริงๆ แล้วจิตใจลึกๆ มนุษย์ก็อยากเป็นคนดี แต่ในจิตของความที่อยากเป็นคนดีนั้น ก็มีนิสัยอย่างหนึ่งที่ทำให้ไปไม่ถึงซึ่งความดี คืออะไรรู้ไหม (ไม่มีความอดทน)  ตอบได้ดีนะ แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่คอยขวางกั้นนั่นก็คือ ความคิดที่ว่า “ทำไมฉันต้องทำ ทำไมฉันต้องยอม” ใช่หรือเปล่า
สมมติเวลาเราอยู่ร่วมกับคน คนอื่นเขาเอารัดเอาเปรียบ เราอยากเป็นคนดีไหม (อยาก, ไม่อยาก)  ส่วนใหญ่จะไม่อยาก ถ้าตอนนี้เราทำงานอยู่กับเพื่อน เพื่อนก็นั่งเฉยๆ เราก็ทำงานไป พอสักพักเราเห็นเพื่อนไม่ทำงาน เราทำไหม (ไม่อยากทำ)  ตอนนี้เรากำลังนั่งฟังธรรมด้วยใจจดใจจ่อ แต่เห็นคนอื่นหลับคร่อกฟี้ๆ เราอยากฟังต่อไหม (อยาก) เขาหลับ เราหลับด้วย ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)
สิ่งหนึ่งที่มนุษย์อยากจะเป็นคนดี แล้วไปไม่ถึงความดี นั่นคืออะไรรู้ไหม เพราะเราคิดว่าทำไมเราต้องทำความดีมากกว่าคนอื่น ทำไมเราจะต้องทำดีแล้วเหนื่อยกว่าคนอื่น ทำไมฉันต้องทำดีแล้วเสียเปรียบคนอื่น ทำไมฉันทำดีแล้วต้องกลายเป็นคนโง่ที่ปล่อยให้คนอื่นเอารัดเอาเปรียบ ใช่ไหม เหมือนคนอื่นเขาโกง เขาไม่ขยัน เราขยันอยู่คนเดียว พอเห็นเพื่อนที่ร่วมงานเขาไม่ขยัน เราเป็นอย่างไร วันแรกก็ยังพอไหว พอวันที่สอง วันที่สามเริ่มท้อแล้ว วันที่สี่ วันที่ห้า ขยันไปทำไมในเมื่อไม่มีใครขยันเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงไปไม่ถึงความดี เพราะอะไร (ไม่อดทน)  แน่ใจหรือว่าเป็นเพราะไม่อดทน แต่บางทีเพราะเรากลัวเสียเปรียบหรือเปล่า จริงไหม (จริง)  เหมือนเราทำงานเหนื่อยแทบแย่เลย กลับมาลูกนั่งเฉยๆ สามีนั่งเฉยๆ โมโหไหม (โมโห)  ทำไมโมโหล่ะ เพราะรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยมาแทบแย่ แล้วทำไมจะต้องมานั่งเก็บกวาด ทั้งที่สามีกับลูกนั่งเฉยๆ คนดีก็เลยดีแตกเลย ใช่ไหม (ใช่)  นั่นแปลว่าคนดีแพ้คนขี้เกียจ หรือแพ้ใจตัวเอง (แพ้ใจตัวเอง)  แล้วใจอะไรที่แพ้แล้วทำให้เราไม่สามารถไปถึงฟากฝั่งแห่งความดีได้สำเร็จ เพราะแค่ยอมไม่ได้หรือ เพราะแค่รู้สึกว่าเสียมากกว่าหรือ จริงไหม (จริง) เราจึงอยากจะบอกว่าถ้าจะเป็นคนดีอย่ากลัวการเสียเปรียบ อย่ากลัวการรักษาความดีแม้จะต้องเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม ถ้าเป็นคนดีแล้วทำได้สองอย่างนี้ความดีที่สุดเราถึงแน่ แต่ถ้าทำดีแล้วเห็นคนเอาเปรียบแล้วยอมไม่ได้เราก็ไปไม่ถึงความดีหรอก จริงไหม (จริง)  ถ้าทำดีแล้วเจอคนรักสบายแต่เราต้องเหนื่อยแล้วเรายอมแพ้ เราก็ไปไม่ถึงความดีหรอก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอยากไปให้ถึงความดีที่สุดไหม (อยาก)
อย่างนั้นเราถามหน่อยนะ ทำดีมาช่วงหนึ่งแล้วเจอคนเอาเปรียบ เจอคนกินแรง เราโมโหแล้วเราก็เอาเปรียบแล้วก็กินแรงกับเขาถึงที่สุดแล้วเราสบายใจไหม (ไม่สบายใจ)  แล้วรู้สึกว่าเราดีไหม (ไม่ดี)  ไม่ดีเลย แล้วทำไมยังยอมแพ้ความชั่ว ไปไม่ถึงความดีกันเล่า ฉะนั้นถ้าอยากทำดีแล้วไปถึงความดีจงอย่ากลัวการเสียเปรียบและจงอย่ากลัวความเหนื่อยในการพยายามทำให้ถึงที่สุดแห่งความดี เพราะโดยพื้นฐานนิสัยของมนุษย์ที่ขวางกั้นไม่ให้ไปถึงความดีนั่นก็คือไม่อยากเป็นคนแพ้ ไม่อยากยอม และลึกๆ ก็เกียจคร้าน
จำไว้นะโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาด้วยความบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่สร้างเหตุ จะได้รับผลหรือ ฉะนั้นอยากได้ผลดีก็จงสร้างเหตุดี แล้วตอนนี้เราสร้างเหตุดีบ้างหรือเปล่า ไม่สร้างเลย นึกมาแต่ละอย่างว่าเขาเอาเปรียบ เราก็ต้องเราเอาเปรียบ เขาขี้เกียจ เราก็ต้องขี้เกียจ แล้วอย่างนี้จะไปถึงความดีงามได้ไหม (ไม่ได้) 
และนิสัยของมนุษย์อีกอย่างหนึ่งที่ขวางกั้นไปให้ไม่ถึงความดีคืออะไรรู้ไหม ข้างนอกทำเหมือนแข็ง แต่ข้างในอ่อนแอ ข้างนอกพยายามทำดีแสนดี แต่จริงๆ ข้างในร้ายเหลือทน มนุษย์แม้จะอยากดีขนาดไหน แต่ถ้าคุมร้ายไม่อยู่นอกจากจะไปไม่ถึงความดี ความดีไม่สัมฤทธิ์ผล ความร้ายก็พร้อมจะออกมารุกรานใจเราได้ทันที แล้ววันนี้ใครคิดว่าตัวเองสามารถข่มความร้ายแล้วรักษาความดีได้ยั่งยืนนานจน ไม่ปริปากบ่นสักคำ ไม่บ่นเบื่อ ไม่บ่นเหนื่อย มีไหม (มี)  ปรบมือให้ตัวเองหน่อย
ถ้าอยากไปให้ถึงความดี ที่สำคัญก็คือคนดีไม่กลัวเสียเปรียบ คนดีไม่กลัวพ่ายแพ้ ถ้าเราโดนดูถูก โดยเรียกว่าคนขี้แง ไม่แน่จริง ถ้าโดน  ดูถูกแบบนี้ยอมไหม (ไม่ยอม)  ส่วนใหญ่ไม่ยอม แรงมาก็แรงกลับ ร้ายมาก็ร้ายกลับ ทุกคนเป็นอย่างนี้จริงๆ เพราะโลกปัจจุบันนี้เป็นอย่างนี้ เราจึงไม่สามารถรักษาความดีได้ เพราะเมื่อโดนหยาม โดนดูถูกนิดหนึ่ง ยอมไหม (ไม่ยอม)  ฉะนั้นเราจึงไม่สามารถรักษาความดีได้ พระพุทธองค์จึงสอนว่าเป็นคนดีอย่ากลัวพ่ายแพ้เพราะยิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอ ใช่ไหม (ใช่)   ฉะนั้นอย่ากลัวอย่าเกลียดความพ่ายแพ้ เพราะความพ่ายแพ้ทำให้เราเข้มแข็ง แต่ถ้าจะเอาชนะอย่างเดียวเราจะเข้มแข็งไหม (ไม่)  แล้วมีใครในโลกนี้บ้างชนะแล้วไม่เคยแพ้ (ไม่มี)  คนที่แพ้ได้ก็คือคนที่ชนะได้ แต่คนที่ชนะได้ไม่เคยเห็นสักรายที่จะแพ้ได้จริง คนที่กล้าแพ้ได้คนนั้นคือคนที่ชนะเป็น แต่เราไม่เคยเห็นในโลกเลยที่ชนะเป็นแล้วแพ้ได้ ถูกไหม (ถูก)  ทำไมพระพุทธองค์จึงบอกว่าจงรู้จักพ่ายแพ้ จงอย่ากลัวพ่ายแพ้ เพราะคนที่แพ้เป็นคือคนที่ทำให้เวรกรรมไม่ยืดเยื้อ คือคนที่มองเห็นแล้วฉลาดกว่าคนที่เอาแต่มีเรื่อง แล้วหาเรื่องตอบคือคนที่ทำให้เวรไม่จบ
ฉะนั้นอยากให้ไปถึงความดี
๑. อย่ากลัวการเสียเปรียบ
๒. อย่ากลัวพ่ายแพ้
๓. อย่าขี้เกียจ
๔. อย่ากลัวเหนื่อย
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนชายสองคนออกมายืนหน้าชั้น)
เล่นเป่ายิงฉุบเป็นไหม (เป็น)  คิดว่าตัวเองจะแพ้หรือชนะ (แล้วแต่จังหวะโอกาส และดวง)  แต่ถ้าเราไม่กลัวแพ้ ยอมรับความพ่ายแพ้ เวลาแพ้จะเสียหน้าไหม (เสียก็ไม่กลัวแค่สมมติ)  และถ้าเรารู้จักเตรียมตัวแพ้ไว้ก่อนใจเราจะเสียไหม (ไม่เสีย เพราะเป็นเกมชนิดหนึ่ง)  ท่านก็เข้าใจได้ ฉะนั้นเกิดเป็นคนใช่ว่าจะต้องชนะ แต่บางครั้งการเตรียมตัวแพ้ก็ไม่เสียหาย ไหนลองเป่ายิงฉุบ
(ครั้งแรกและครั้งที่สองเสมอกัน ครั้งที่สามและครั้งที่สี่ผลัดกันชนะคนละครั้ง)
จริงๆ กรรไกรก็แพ้ค้อนอยู่แล้ว ทำอย่างไรกรรไกรก็ชนะค้อนไม่ได้ แม้กรรไกรจะแพ้ แต่ถึงเวลาค้อนก็ยังรู้จักช่วยเหลือกรรไกร อย่างที่นักเรียนท่านนี้พูดว่า ถ้ากรรไกรเสีย ค้อนก็สามารถช่วยทุบให้กลับมาเป็นปกติได้ ฉะนั้นชนะแล้วอย่าหลงลำพองตน ชนะแล้วต้องรู้จักเอื้อประโยชน์เพื่อผู้อื่น แล้วความชนะนั้นจะได้ไม่เป็นที่รังเกียจของใคร ฉะนั้นถ้าอยากไปถึงซึ่งความดี อย่ากลัวการพ่ายแพ้ อย่ากลัวการเสียเปรียบ และอย่าขี้เกียจ เพราะว่าการที่เรารู้จักระมัดระวังเช่นนี้ จะทำให้เวลาที่เราทำอะไร เราจะสามารถทำได้จนถึงที่สุด
แต่โดยปกติแล้วมนุษย์ก็มักจะพลั้งเผลอและหลงลืมตัวเอง แม้รู้ขนาดนี้ก็ยังไปไม่ถึงความถูกต้องและดีงาม ธรรมะทางสายพุทธจึงสอนไว้ว่า “เกิดเป็นคนต้องรู้จักรักษาศีล” ทางสายปราชญ์จึงสอนไว้ว่า “เกิดเป็นคนต้องรู้จักมีคุณธรรม” แต่ถามว่าศีลคืออะไร คุณธรรมคืออะไร บางครั้งเราก็ยังสับสน ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นถ้าอยากเข้าถึงศีลและมีคุณธรรมเราควรคิดอย่างไรดี (ต้องเริ่มศึกษาและปฏิบัติ)  ต้องรักการเรียนรู้ สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เรารู้ว่าทำไมการเป็นคนดีและเราจะรักษาความดีได้นั้น ทางพุทธสอนว่าให้มีศีล ทางปราชญ์สอนว่าให้มีคุณธรรม แต่ศีลห้าข้อเรารักษาได้ครบไหม (ไม่ครบ)
พื้นฐานของมนุษย์ในการอยู่ร่วมกัน จำไว้เลยนะ
๑. ปฏิบัติต่อกันด้วยดี คือมีเมตตาธรรม ไม่ได้อยู่ร่วมกันด้วยความไร้เมตตา มีศีลก็เข้าถึงธรรม ถ้าเข้าถึงศีลถึงธรรมก็จะเข้าใจความเป็นปกติที่เรียกว่าคนดีที่มีรากฐานอันงดงาม ในศีลห้าข้อนี้ถ้าทำได้เรียกว่าคนปกติใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าทำไม่ได้สักข้อหนึ่งเรียกว่าคนไม่ดี ใช่ไหม (ใช่)
๒. ของของใคร ใครก็หวง อย่าคิดอยากได้ของใคร คือมีมโนธรรม มีสำนึกที่ดี เงินหนึ่งร้อยบาทอยู่กับเรา เราดีใจไหม (ดีใจ)  แต่พอเห็นร้อยหนึ่งของคนอื่นเราอยากได้ไหม (อยาก)  ทั้งที่รู้อยู่ว่าของของใคร ใครก็หวง แล้วเราไปเอาทำไม ถูกไหม (ถูก)  ทั้งที่เรามีไหมหนึ่งร้อย (มี) แต่ทำไมยังอยากได้อีกหนึ่งร้อย (ไม่พอ)  ถามว่าเรามีแฟนไหม (มี)  แต่ทำไมเห็นคนอื่นดีกว่า ใช่หรือเปล่า
๓. ให้เกียรติ สุภาพ อ่อนน้อมต่อกัน คือมีจริยธรรมที่งดงาม
๔. อย่าปากว่าตาขยิบ ปากหวานก้นเปรี้ยว คือมีความซื่อตรง 
๕. ชอบคนคุยรู้เรื่อง คือปัญญาธรรม แปลว่าเป็นคนรักคนมีปัญญา คนที่ชอบดื่มสุรายาเมาคุยรู้เรื่องไหม (ไม่รู้เรื่อง)  คนที่หลงแต่ความคิดของตัวเองคุยกันรู้เรื่องไหม (ไม่รู้เรื่อง)  คนที่จมอยู่ความชอบของตัวเองแล้วมองไม่เห็นความถูกต้อง ไม่มีความยุติธรรมคุยรู้เรื่องไหม (ไม่รู้เรื่อง)  แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม
เพื่อนที่อยู่ใกล้ฉลาดกว่า โง่กว่า หรือไม่ต่างจากเรา (ไม่ต่างจากเรา)  ไม่ต่างเลยใช่ไหม ฉะนั้นเราจึงไม่ได้ความรู้เพิ่มเติม เพราะเราเกลียดคนที่เก่งกว่า เพราะอยู่ใกล้คนเก่งกว่าเรากลายเป็นคนโง่ ทั้งที่จริงๆ แล้วโง่แล้วเราก็จะได้ปัญญา อยากเข้าถึงความดีก็อย่ากลัวความโง่ ใช่ไหม (ใช่)  การเข้าถึงความดีจนกระทั่งมีศีลมีธรรม แล้วกลับสู่ความเป็นปกติที่เรียกว่าคนดีงาม ยากไหม (ไม่ยาก) 
บางทีทะเลาะกับแฟนเพราะอะไร คุยกันไม่รู้เรื่อง ใช่ไหม (ใช่)  ต่างคนต่างหวังดีคนละแบบ แต่ไม่เคยมองกันตรงกลาง ไม่เคยมองความจริง ถูกหรือเปล่า มนุษย์อยู่ด้วยกัน ขนาดเป็นครอบครัวเดียวกัน ยังยอมเสียเปรียบต่อกันไม่ได้เลย จริงไหม (จริง)  ภรรยาเหนื่อยกว่าสามียอมได้ไหม สามีเหนื่อยกว่าภรรยายอมได้ไหม ถ้ายอมไม่ได้ถึงที่สุดครอบครัวก็ทะเลาะกัน แล้วก็ไม่อบอุ่น น่าเสียดายนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเหนื่อยกว่าหน่อย ให้เขาสบาย ยอมทำให้ถึงที่สุด สักวันหนึ่งคุณค่าความดีงามของเราต้องสะเทือนใจเขาบ้าง ใช่ไหม (ใช่)  สิ่งที่สำคัญที่เราทำดีนั้น เพื่อความสุขใจ เพื่อความสบายใจไม่ใช่หรือ ฉะนั้นถ้าท่านยอมเหนื่อยหน่อย แต่ได้ความสุขของครอบครัวกลับมา ถ้าเสียเปรียบหน่อยแต่ได้ความร่มเย็นของครอบครัว อย่างนี้ยอมถอยหน่อยจะเป็นอะไรไปเล่า ถ้าเอาแต่ถือดี เอาแต่ถือว่าตัวเองเสียเปรียบ แล้วถึงที่สุดก็มีแต่ความทุกข์ ถึงที่สุดคนที่ต้องช้ำใจก็คือคนที่ถือนั่นแหละ จริงหรือไม่ (จริง)  
ฉะนั้นอย่ามัวหวังแต่ผลดีจนลืมนึกถึงต้นทุน คือชีวิตและหัวใจ อย่ามัวหวังว่าจะต้องสมบูรณ์พูนสุข จนลืมคนรอบข้างและจิตใจตนเอง เราเป็นกันอย่างนี้หรือเปล่า เวลาลูกไม่ได้ดี โกรธไหม (โกรธ)  สามีไม่ได้ดี โกรธไหม (โกรธ)  แล้วท่านโกรธกันทำไมหรือ เพราะเขาไม่เหลืออะไรดีเลยจริงๆ หรือ อย่ามัวมองเห็นแต่สิ่งที่เสีย จนลืมมองเห็นคุณค่าที่ยังเหลือมี เขาอาจจะเสียแค่เรื่องเดียว แต่อีกร้อยเรื่องก็ไม่ได้เสียนี่ เขาอาจจะไม่ดีเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีทั้งหมดนี่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะมัวกังวลแล้วทุกข์ใจกับข้อเสีย จนลืมเห็นคุณค่าของข้อดีอีกหรือไม่ ถ้าเขาเจ้าชู้รับได้หรือไม่ หรือถ้าภรรยาเป็นคนขี้บ่นรับได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ไม่ได้เลยหรือ นี่แหละอย่างที่เราบอกว่าอย่าเห็นแต่สิ่งที่เสียเพียงอย่างเดียว แล้วทำลายร้อยความดีทั้งหมด ถึงแม้เขาจะขี้บ่นแต่เขาดูแลบ้านดีไหม แม้เขาขี้บ่นแต่ซื่อสัตย์ไหม แม้จะขี้บ่นแต่ถึงอย่างไรก็รักเราใช่ไหม แล้วทำไมจึงให้เรื่องขี้บ่นเพียงอย่างเดียว ทำให้เราเกลียดเขาไปทั้งหมด ทั้งๆ ที่อยู่กันมาเกือบค่อนชีวิตแล้ว แถมยังทำให้ครอบครัวแตกแยก ไม่คุ้มเลยนะ แล้วถ้าคิดว่าขี้บ่นทนไม่ได้ แล้วเราไปหาใหม่ ท่านคิดว่าท่านจะไม่เจอคนขี้บ่นอีกหรือ ในเมื่อมนุษย์ชอบพูดว่า ยิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอ ฉะนั้นอย่าทำให้ข้อเสียแค่อย่างเดียวแล้วทำให้เราทุกข์ทั้งชีวิต อย่าแค่มองเห็นความผิดพลาดครั้งเดียว แล้วเราไม่มีความสุขใจเลยไปตลอดชีวิต ท่านเคยเป็นไหม เวลาที่เสื้อตัวโปรดหายแล้วเสียใจไหม (เสียใจ)  บ่นแล้วบ่นอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วมีความสุขไหม (ไม่มี)  แค่เสื้อตัวเดียวเองนะ หรือเพื่อนสนิททำให้เสียใจนิดหน่อย แต่เรากลับสูญเสียความสุขไปเลย ช่างน่าเสียดายนะ ฉะนั้นอย่ามัวกังวลผลจนลืมต้นทุนแห่งชีวิต อย่ามัวกังวลว่าผลต้องได้ดีจึงทำร้ายร่างกายและจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในความไม่ดีก็ใช่ว่าจะไม่ดีไปทั้งหมดเหมือนกับที่ผู้หญิงชอบเป็น อย่ากลัวแค่หน้าเหี่ยวแล้วชีวิตจะไม่เหลือดี แล้วเราจะไม่เหลือดีอะไรให้ภูมิใจเลยหรือ เราก็เลยต้องไปทำทุกอย่างเพื่อจะให้หน้าเราดีแค่นั้นเองหรือ แต่สิ่งอื่นเราไม่เคยดูแล ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอยากปฏิบัติไปให้ถึงความดีหากรักษาศีลไม่ได้ก็จงมีธรรม รักษาธรรมไม่ได้ก็จงมีศีล รักษาศีลรักษาธรรมไม่ได้ก็จงมีความเป็นคนอันปกติ รักดีก็ต้องปฏิบัติดี ไม่ชอบคนปากว่าตาขยิบ เราก็อย่าเป็นคนปากว่าตาขยิบ ชอบคนคุยรู้เรื่องเราก็ต้องคุยให้รู้เรื่อง ชอบคนเคารพให้เกียรติเราก็ต้องให้เกียรติคน ใช่หรือไม่ (ใช่)  คุยกับเรายากไหม (ไม่ยาก) 
“สุขสงบ” กับ “สงบสุข” สองคำนี้อะไรดีกว่ากัน เมื่อสักครู่เราพูดถึงเรื่องการทำดีแล้วไปให้ถึงดีแล้วใช่ไหม (ใช่) ตอนนี้เราจะพูดถึงเรื่องความสุข ถ้าอย่างนั้นเราถามท่านว่า สุขแล้วสงบ หรือ สงบแล้วค่อยสุข (สงบแล้วสุข)  สงบก่อนแล้วค่อยสุข ใช่ไหม (ใช่)  หรือสุขก่อนแล้วค่อยสงบ (ทั้งสองอย่าง)  ถ้าอยากหาความสุข แต่ถ้าท่านยังไม่เข้าใจสองคำนี้ ท่านจะไม่มีวันพบความสุขที่แท้จริงได้ ยิ่งถ้ามองไม่เห็นความแตกต่าง ยิ่งไม่มีวันมีความสุขที่แท้จริงได้ เพราะมนุษย์โดยส่วนใหญ่ขอสุขก่อนแล้วค่อยสงบ แล้วทุกวันนี้สุขแล้วได้สงบไหม ยิ่งหาความสุขก็ยิ่งไม่สงบ ยิ่งพยายามหาความสุขก็กลับไม่เคยสงบ พุทธะจึงสอนไว้ว่าจงสงบสุข ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะสงบได้อย่างไร ในเมื่อพื้นฐานความเป็นคนของเรายังดีไม่เป็นปกติเลย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเรารักษาความเป็นคนอันเป็นปกติให้ดีแล้ว สงบแล้วจะสุขยากไหม (ไม่ยาก)  อย่างนี้เราพยายามสุขเพื่อจะให้ (สงบ)  แล้วเจอไหม (เจอ)  ฉะนั้นเราจึงอยากบอกท่านว่า ถ้าอยากพบสุขจงสงบให้เป็นก่อนแล้วจึงสุข แล้วจะสงบได้อย่างไรในเมื่อยังไม่ดีเลย แถมชอบยึดดี เรียกร้องดี ทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่ได้ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นอยากสงบและสุขจงถามตัวเองก่อนว่า ถ้าดีได้แท้จริง สงบก็สุขได้ แต่ถ้ายังดีไม่ถ่องแท้ก็ยากสงบและพบสุขที่แท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่) 
สิ่งที่มนุษย์มักหาความสุขกันมีสองอย่างคือสุขที่เกิดจากภายนอก กับสุขที่เกิดจากภายใน ภายนอกก็คือพอมีอะไรดีเราก็มีความสุข พออะไรไม่ดีเราก็มีความทุกข์ ถ้าอะไรที่เรายึดติดนั้นมันขึ้นๆ ลงๆ ใจเราก็ต้อง (ขึ้นๆ ลงๆ)  แล้วทำไมเราไม่หาความสุขที่เกิดจากภายใน ทำไมเราจึงปล่อยใจไปสุขทุกข์กับภายนอก ใช่ไหม
โดยส่วนใหญ่ทุกข์ก็เกิดที่ใจ สุขก็เกิดที่ใจ หาใช่ภายนอก แต่มนุษย์ไม่เป็นเช่นนั้น เขาดีเราจึงสุข เขาไม่ดีเราก็ (ทุกข์)  ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนทำให้เราสุขหรือเปล่า (ไม่)  จริงๆ แล้วสุขอยู่ที่ไหน (ใจ)  ดีก็อยู่ที่ (ใจ)  ร้ายก็อยู่ที่ (ใจ)  ถ้าเรารู้จักควบคุมใจได้ วางใจเป็น กระทบภายนอกก็ไม่กระเทือนภายใน จริงไหม (จริง)  อย่างนั้นฟังใหม่นะ ดีก็อยู่ที่ (ใจ)  ร้ายก็อยู่ที่ (ใจ)  ฉะนั้นถ้าเราวางใจเป็น กระทบก็เพียงภายนอก ใจข้างในก็จะไม่กระเทือน จริงไหม ฉะนั้นถ้าเมื่อไรมนุษย์ มองเห็นทุกข์กับสุข ดีกับร้ายเท่ากัน มนุษย์จะไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป บาปก็จะไม่เกิดเพราะว่ามองเห็นสองสิ่งนี้เท่ากัน ทำได้ไหม (ได้)  ดังนั้นถึงเขาร้ายเราก็ไม่ (กระเทือนใจ)  กระทบแต่ไม่กระเทือนใจเพราะมันมีค่าเท่ากัน เท่ากันตรงไหนล่ะ เขาร้ายตลอดไหม แล้วคนที่ดีกับเราควรดีใจไหม เขาดีตลอดหรือ (ไม่)  แล้วควรยิ้มดีใจไหม วันนี้เขาชมดีใจไหม แล้วแน่ใจหรือเขาจะชมตลอด ฉะนั้นพุทธะจึงสอนว่า ถ้าอยากพ้นทุกข์ พ้นจากความผิดบาปและความชั่ว จงมองความทุกข์และความสุขเท่ากัน จงมองความดีและความร้ายไม่ต่างกัน และหมดเยื่อใยจากความแตกต่างได้เสีย ทุกข์สุข เมื่อนั้นเรียกว่าผู้พ้นทุกข์ วางใจเป็นกระทบก็ไม่กระเทือน วางใจไม่เป็นยังไม่กระทบก็กระเทือน
ถ้าเราวางใจไม่ยึดติดในชอบ ไม่รังเกียจในชัง เห็นเท่ากันบาปก็ไม่เกิด ทุกข์ก็ไม่มี ถ้าเราหมดเยื่อใยในชอบในชัง เราก็คงพ้นทุกข์ฟังดูเหมือนง่ายๆ แต่ทำยาก ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าทำได้ กระทบเท่าไหร่ก็ไม่กระเทือนเพราะวางใจเป็น จำไว้นะเรื่องภายนอกไม่ได้น่ากลัว เรื่องภายนอกไม่ได้เลวร้าย แต่เพราะใจเราไม่ยอมเรื่องเล็กๆ เลยเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเราไม่ยอมแค่นั้นเอง ตรงกันข้ามเรื่องใหญ่ๆ ก็กลายเป็นเรื่องเล็กได้ถ้าเรายอม จำไว้นะ วางใจเป็น กระทบก็ไม่กระเทือน แต่ถ้าวางใจไม่เป็น กระทบเมื่อไหร่ก็เจ็บปวดและทุกข์ทนเมื่อนั้น แค่กลับไปที่คำว่า “ยอม” จำคำต้นเราได้ไหม ยอมเสียเปรียบแค่นั้นเอง ทุกข์ก็จะหยุดตั้งแต่ต้น แต่เพราะไม่ยอมเราจึงต้องมารอแก้ตรงนี้ ทุกข์ไปแล้วแก้หายไหม (ไม่หาย)  ฉะนั้นถ้ายอมแต่แรกจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ถ้าไม่ชังตั้งแต่แรกจะทุกข์ไหม (ไม่)  ถ้าไม่ชอบตั้งแต่แรกจะมาเศร้าเสียใจที่รักมากเกินไปไหม ฉะนั้นวางใจให้เท่าๆ กัน กระทบเมื่อไหร่ก็ไม่กระเทือน กระแทกเมื่อไหร่ก็ไม่กระเทือน ได้หรือไม่ถ้าเมื่อไรมนุษย์หมดเยื่อใยในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ว่างเปล่า มนุษย์ก็สามารถพ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์ยังมีเยื่อใยยังรัก ยังชอบ ยังทุกข์ ยังสุข ถึงจะวางใจให้พ้นทุกข์อย่างไรก็หนีไม่พ้น กระทบเมื่อไหร่ก็กระเทือนเมื่อนั้น แต่ถ้าวางใจให้เท่าๆ กันก็ไม่ทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  
ใครที่ร้ายที่สุดในโลก (ตัวเรา)  ใครที่ทำให้เราทุกข์ที่สุดในโลก (ใจที่ไม่รู้จักยอม)  แค่คำเดียวเองนะ ยอมได้ทุกข์จบเมื่อนั้น ยอมไม่ได้ทุกข์ไม่จบ โง่ได้ทุกข์จบเมื่อนั้น โง่ไม่ได้ทุกข์ไม่จบ เกียจคร้านเมื่อไหร่ ทุกข์ก็ไม่จบ แต่คนขยันทุกข์จบได้ เพราะชีวิตไม่ยอมแพ้ จนก็ไม่กลัว ลำบากก็ไม่กลัว เพราะขยัน แต่ถ้าเกียจคร้านก็ตาย ลำบากก็แย่ ฉะนั้นกลับไปตั้งแต่ต้น “อย่ากลัวเสียเปรียบ ไม่กลัวพ่ายแพ้ อย่าขี้เกียจ อย่ากลัวเหนื่อย” วิธีพ้นทุกข์ของเรายากไหม (ไม่ยาก)  ฉะนั้นถ้าวางใจเป็น เรื่องใหญ่แค่ไหนก็กลายเป็นเรื่องเล็กได้ แต่ถ้าวางใจไม่เป็น ยึดติดในชอบชัง ดีร้าย เพียงชั่วครู่ก็ทุกข์ได้ในทุกๆ ขณะ แม้ไม่มีเรื่องราวอะไรก็ตามจริงไหม (จริง)  
วันนี้เราไปแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ขอเพียงยอมได้ ไม่ขี้เกียจ แพ้ได้ ไม่กลัวเสียเปรียบ ลืมแล้วหรือ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ


วันอาทิตย์ที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ สถานธรรมอิ๋งเซิ่ง  จ.อุตรดิตถ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ความสงบมีแล้วอยู่ภายใน แต่จิตใจไม่ว่างพอได้ตระหนัก
ความพ้นทุกข์มีอยู่แล้วทุกขณะ แต่มัวรักโลภโกรธหลงจนหลงลืม

เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนยังคิดอะไรอยู่แล้ววางไม่ลง

สุขกับความหลงตน สุขกับความต้องการ สุขกับมายาท่วมเต็มจิตใจ ใจไม่ว่างพอเพื่อตระหนัก อย่างไรยับยั้ง ใจที่ไม่เคยได้หยุด สุขใจยังสร้างเอา
* สุขอยู่ในหัวใจ ผ่อนคลายในหัวตน สุขคือทุกข์ทุกข์ก็คือสุขนั้น
** เพียงคิดได้เองไม่มียาก ได้สุขเป็นของขวัญ ชีวิตที่มีที่อยู่ ก็แค่ลมหายใจ
*** รู้รู้ทั้งรู้มิหยุดใจ ยังคงสุขใจช่างมัน ตัวเองที่ไม่เคยรู้จัก ห้ามแล้วห้ามอีกยังไม่ฟัง รู้รู้ทั้งรู้มิหยุดใจ สุขมาสุขไปใจรกแทน ทำเพื่อตนให้สุข ยิ่งทุกข์ใจตนเอง    (ซ้ำ * ,** ,** ,***)
ชื่อเพลง : สุขพบได้ด้วยใจไม่ใช่สร้างเอา
ทำนองเพลง : ด้วยมือของเธอ

หมายเหตุ: “แต่มัวรักโลภโกรธหลงจนหลงลืม” สามคำที่ขีดเส้นใต้ พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนแต่งกลอนต่อให้สมบูรณ์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เป็นโอกาสดีที่ได้มาเจอศิษย์ แต่ในโอกาสนั้นก็มีความจำกัดอยู่ ทุกเรื่องทุกราวที่เกิดขึ้นล้วนพร้อมจะเกิดแล้วก็ดับไปในเวลาเดียวกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  จะคุยเรื่องอะไรดี ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเรื่องทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์อยากจะบอกว่า ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์ทุกคนมีความสงบสุขและความพ้นทุกข์อยู่แล้ว ศิษย์ว่าจริงไหม (จริง)  อย่าเชื่อเพราะคนอื่นเขาพูดหรืออย่าเชื่อเพราะอาจารย์พูด แต่จะเชื่อได้ก็ต่อเมื่อเราลงมือปฏิบัติแล้วเห็นจริง จึงค่อยตอบว่าเชื่อ ส่วนใหญ่มนุษย์มักจะชอบฟังๆ กันมา ได้ยินมา เชื่อตามๆ กันมา ฉะนั้นก็เลยทำให้เราไม่เคยรู้จริงสักที แค่ฟังๆ มา เราจะรู้จริงได้ก็ต่อเมื่อเราเอาสิ่งที่ฟังนั้นไปปฏิบัติจนเห็นจริง นั่นแหละจึงควรเชื่อ แต่ถ้าเกิดยังไม่เคยเอาไปปฏิบัติแล้วบอกว่าจริง อย่างนั้นไม่ควรจะรีบเชื่อ อย่างนั้นเรียกว่างมงาย ถูกไหม (ถูก)  แล้วเราเป็นแบบไหน ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นปฏิบัติ ถึงเวลาก็เชื่อเลย ฟังแล้วดีนะ เชื่อนะ แต่พอถึงเวลาไม่ทำ ใช่หรือไม่ (ใช่) 
เรามีความสงบไหม เราเคยมองหาไหมว่าตัวเรามีความสงบไหม หรือชีวิตมันวุ่นๆ ไวๆ แล้วก็วุ่นๆ แล้วก็ไวๆ รวมกันเป็นวุ่นวายๆ จริงๆแล้ว ความสงบมีอยู่แล้วนะ แต่อยู่แค่เพียงว่าเราหันกลับมามองตัวเองบ้างหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่) 
ยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม (ยินดี)  ดีใจจริงๆ หรือ ขอดูหน้าคนดีใจหน่อยนะ ไม่เป็นไรนะเป็นธรรมดา มีคนยินดี มีคนไม่ยินดี เป็นเรื่องปกติธรรมดา มีคนเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยก็เป็นเรื่องธรรมดา มีคนเข้าใจไปกับอาจารย์กับมีคนไม่เข้าใจอาจารย์ก็เป็นเรื่องธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เวลาอยู่กับศิษย์ทำไมไม่ธรรมดานะ อยู่กับคนอื่นก็ปลอบใจเขาได้ แต่พอถึงเวลาเป็นเรื่องของเราเป็นอย่างไร (ไม่ธรรมดา)
โดยส่วนใหญ่เรามีชีวิตเพื่อ (เพื่อรับกรรม, บำเพ็ญ, ปฏิบัติความดี, ทำดีและทำชั่ว)  ทำดีและทำชั่ว เขาตอบได้ดีนะ ใช่ไหม (ใช่)  เรามีชีวิตอยู่เพื่อ (ตอบแทนคุณแผ่นดิน)  จริงหรือ ทุกวันนี้ก็แทบจะขโมยต้นไม้ ขโมยน้ำ ขโมยอากาศ เราได้ตอบแทนคุณแผ่นดินอะไรบ้าง มีแต่ทิ้งของไม่ดี ปล่อยอากาศพิษ อย่างนี้เรียกว่าตอบแทนคุณแผ่นดินหรือเปล่า (ไม่)  บอกชีวิตมีเพื่อปฏิบัติธรรม แต่ถึงเวลาปฏิบัติธรรมไหม (ไม่ปฏิบัติ)  เริ่มต้นมาก็จะบ่นคนอื่น ด่าคนอื่น อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรมไหม ชีวิตเกิดมาเพื่อใช้กรรม ใช่ไหม (ใช่)  รับกรรมอดีตหรือกำลังสร้างกรรมใหม่เพื่อจะได้ก่อเกิดเป็นอนาคต
ชีวิตเกิดมาเพื่อ (หาความสุข)  อาจารย์ว่าหัวหน้าตอบถูกที่สุดเลย โดยส่วนใหญ่มนุษย์มีชีวิตเพื่อหาความสุข ถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นที่ตอบมาให้อาจารย์ฟังนั้นไม่จริงเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อีกคนหนึ่งก็ตอบถูก เกิดมาเพื่อทำดีและทำชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยส่วนใหญ่ศิษย์เกิดมาเพื่อหาความสุข อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย แล้วที่หาอยู่สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  แล้วที่มีอยู่สุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  แล้วที่ติดอยู่ดีหรือร้าย (ร้าย)  แล้วสิ่งที่ชอบสุขหรือทุกข์ (ทุกข์)  ไหนบอกว่าเกิดมาเพื่อหาสุข ทำไมถึงที่สุดกลายเป็นทุกข์ ฉะนั้นพออยู่ๆ ไปเราจึงเข้าใจว่าชีวิตที่แท้ไม่มีสุขไหนจริง ไม่มีทุกข์ไหนแท้ถ้าเราเข้าใจว่าเราเกิดมาเพื่อหาสุข อย่างนั้นวิธีที่จะทำให้เรามีสุขได้ คือทำอย่างไร (ทำใจ)  ตอบได้ดีนะศิษย์ ในเมื่อทำแล้วไม่ได้สุข ก็ต้องทำใจ ฉะนั้นเราก็เลยหาทางทำอย่างไรให้เรามีสุขตลอด แล้วมันไม่พลิกกลับเป็นทุกข์ ด้วยการทำอย่างไร (หาเรื่องทำให้สงบ)  แค่พูดว่าหาเรื่องก็ไม่สงบแล้วนะ (หาวิธีปฏิบัติ, ทำใจให้มีความสุข)  ก่อนอื่นศิษย์ ต้องเข้าใจจุดมุ่งหมายก่อน ชีวิตทุกๆ คนอยากพบความสุข จำไว้เลยนะศิษย์ ถ้าศิษย์คิดว่าชีวิตนี้ศิษย์อยากมีสุข ฉะนั้นคิดแล้วทุกข์ก็ต้องเลิกคิด ติดแล้วทุกข์เลิกติด ด่าแล้วเจ็บเลิกด่า บ่นแล้วทุกข์เลิกบ่น ใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์ยังบอกเลยทำใจๆ ก็ในเมื่อหลักของชีวิตเกิดมาตั้งแต่ต้น สิ่งที่ศิษย์ทุกคนอยากได้คือความสุข แล้วถ้าคิดแล้วทุกข์ คิดทำไม ด่าแล้วทุกข์ ด่าทำไม โกรธแล้วทุกข์ โกรธทำไม ถ้าเราเริ่มต้นคิดอย่างนี้แล้วเข้าใจชีวิต ตั้งแต่นี้เราจะโกรธ เราจะด่า เราจะเกลียด เราจะอยากอะไรจนเกินไปไหม ถ้ามันอยากแล้วเหนื่อยแทบตาย อยากทำไม อยากแล้วเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  แล้วอยากไหม (ไม่)  จริงหรือ ก็เห็นยังอยากอยู่ แค่อยากก็เหนื่อยแล้วศิษย์ อย่างนั้นอยากให้น้อยๆ หน่อยไม่ดีหรือ หรือบางทีไม่อยากบ้าง จะตายไหม (ไม่ตาย)  แล้วทำไหม (ไม่ทำ)  ก็เลยเอาแต่ฝืน ทำใจๆ อย่างนั้นถูกไหม (ไม่ถูก)
ฉะนั้นวิธีแก้ที่ศิษย์พยายามที่จะหนีให้พ้นทุกข์ คือทำอย่างไรรู้ไหม (บำเพ็ญเพียร)  ตอบ ได้ดีนะ (เอาธรรมะมาเข้าทางใจ)  ธรรมะเป็นรูปร่างที่เข้าทางใจได้หรือศิษย์ (เดินทางสายกลาง, ปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ, ละวางปล่อยวาง, หาเหตุแห่งทุกข์และดับทุกข์)  อาจารย์ถามจริงๆ นะ ถึงเวลาที่เราทุกข์จริงๆ เราเคยหาเหตุแห่งทุกข์กันหรือไม่ (ไม่เคย)  แล้วเราเคยดับที่ทุกข์กันหรือไม่ (ไม่เคย)  แต่พอทุกข์ศิษย์ไปแก้กันที่ไหนรู้ไหม เวลาที่ศิษย์บอกว่าชีวิตนี้อยากมีสุข และไม่อยากมีทุกข์ สิ่งแรกที่ศิษย์จะทำเลยก็คือ ใส่บาตร ทำบุญ ทำทาน เผื่อว่าอานิสงส์ของบุญทานนั้น จะดลให้เรามีสุขพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่
โดยส่วนใหญ่ชีวิตทุกคนต้องการความสุข แต่บางครั้งถ้าสิ่งใดคิดแล้วทุกข์ หยุดแล้วถามตัวเองก่อนดีไหมว่าควรจะคิดไหมถ้าทำแล้วทุกข์ ทำไมไม่หยุดก่อนที่จะปล่อยให้ตัวเองตะบี้ตะบันทำต่อไป แล้วจมอยู่กับความทุกข์ ทั้งที่จริงๆ แล้วชีวิตอยากหาความสุขไม่ใช่หรือ วิธีแก้ของศิษย์ส่วนใหญ่ที่ทำกันเป็นพื้นฐานคือ ทำบุญ ใส่บาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรม เพื่อว่าผลของบุญในการใส่บาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรมนั้นจะมีอานิสงส์ที่ทำให้ศิษย์นั้นมีสุข พ้นทุกข์ ทำบุญ ๑๐๐ วัด แต่ถ้าใจไม่ปล่อยวางความคิด ไปทำบุญ ๑๐๐ วัดทุกข์ก็ยังอยู่ในหัว ถึงศิษย์ไปฟังเทศน์ ๑๐๐ วัด ไหว้พระ ๙ วัด ถ้าศิษย์ยังหาทุกข์ไม่เจอ แม้ฟังจนจบศิษย์ก็ยังแบกทุกข์ไปวัด แล้วแบกทุกข์กลับมาบ้านเหมือนเดิม ถูกหรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นวิถีทางปฏิบัติของทางศาสนาพุทธจึงสอนไว้ว่า การปฏิบัติเพื่อทำให้เราพ้นทุกข์นั้นไม่ยาก อย่างแรกคือ ทาน อย่างที่สองคือ ศีล อย่างที่สามคือ ภาวนา อย่าง ที่สี่คืออะไรรู้ไหม โดยส่วนใหญ่วิธีปฏิบัติเมื่อเวลาเราอยากจะหาเหตุแห่งทุกข์แล้วดับทุกข์ให้ได้ พระพุทธะก็สอนไว้ว่าให้รู้จักมี ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา แปลว่าทานยังเป็นส่วนเล็กๆ ถึงที่สุดจึงเข้าถึงปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นศิษย์เคยได้ยินไหมว่า ถวายทานอะไรได้บุญที่สุด (ถวายธรรม, อภัยทาน, ทาน, ให้ปัญญา, ให้ธรรมะ, ให้บุตร, สร้างสถานธรรม, กตัญญูพ่อแม่)
ทางสายพุทธจะเน้นเรื่องเกี่ยวกับทาน ศีล สมาธิ และปัญญา แต่ทางสายปราชญ์จะเน้นเรื่องการมีคุณธรรมประจำใจ หรือการมีคุณธรรมในการดำรงชีวิต อย่างเช่น ถือกตัญญูเป็นหลัก ใครมีพระคุณต้องรู้จักตอบแทนคุณ กับพี่น้องรู้จักสามัคคีปรองดอง กับเพื่อนรู้จักซื่อตรง กับภาระหน้าที่รู้จักรับผิดชอบ นี่คือการใช้คุณธรรมในการดำเนินชีวิต แต่ศิษย์เป็นคนนับถือพุทธ ธรรมะทางพุทธสอนให้เรารู้จักทำทาน แต่ทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและทานที่ประเสริฐที่สุด ศิษย์เคยได้ยินไหมว่าคืออะไร พระพุทธะบอกว่าให้ทานกับสัตว์ไม่สู้ให้ทานกับคน ให้ทานกับคนไม่สู้ให้ทานกับพระภิกษุ แต่อาจารย์ว่าไม่ว่าพระ ไม่ว่าคน ไม่ว่าพระภิกษุ ศิษย์ให้ได้หมดทานเล็กๆ ก็ค่อยๆ สะสม ไม่ใช่รอแต่ให้ทานใหญ่ๆ ใช่ไหม (ใช่)  อย่างน้อยเล็กๆ ก็ทำให้ใหญ่ได้ ไม่ใช่เอาแต่ใหญ่ๆ ฉะนั้นศิษย์บางคนจึงบอกว่าถวายทานทั้งทีต้องสังฆทาน เพราะสังฆทานได้บุญมาก ใช่ไหม (ใช่)  กับสัตว์ศิษย์ก็เตะ กับคนศิษย์ก็ด่า แต่ทำบุญอยู่แค่สังฆทาน กับสัตว์ก็ต้องเมตตา กับคนก็ต้องเมตตา ไม่ใช่ทำบุญแค่สังฆทานใหญ่ๆ บุญเล็กๆ ไม่ทำ ไม่อย่างนั้นกลายเป็นเราสร้างบุญที่หนึ่ง สร้างบาปอีกที่หนึ่ง ก็ไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า ถวายสังฆทานโดยที่ไม่เจาะจงหนึ่งครั้ง ยังได้บุญมากกว่าถวายภัตตาหารโดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขร้อยครั้งพันครั้ง คือทำโดยไม่เจาะจงได้บุญเยอะกว่า ทำสังฆทานร้อยครั้งพันครั้ง ก็ยังไม่ประเสริฐเท่ากับให้ธรรมะเป็นทานหนึ่งครั้ง ให้ธรรมะเป็นทานให้คนเข้าใจธรรมะร้อยครั้งพันครั้งก็ยังไม่ประเสริฐเท่ากับให้อภัยทาน ใช่ไหม (ใช่)  สังฆทานร้อยครั้งไม่ประเสริฐเท่ากับสร้างวิหารหนึ่งครั้ง สร้างโบสถ์ให้คนปฏิบัติธรรม สร้างวิหารร้อยครั้งร้อยโบสถ์ก็ไม่ประเสริฐเท่ากับให้ธรรมะเป็นทานหนึ่งครั้ง ให้ธรรมะเป็นทานร้อยครั้งก็ยังไม่ประเสริฐเท่ากับให้อภัยทานหนึ่งครั้ง แปลว่าสร้างโบสถ์เป็นร้อยๆ ครั้งต้องใช้เงินหลายล้าน แล้วทำไมเราไม่ทำบุญที่เราไม่ต้องใช้เงินเลย นั่นก็คือการให้อภัย แล้วไม่ก่อกรรม ไม่ทำให้เวรมันยืดเยื้อ ทำให้เราจบเวรจบกรรมเป็นบุญยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าให้ธรรมะเป็นทาน บุญยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าสร้างโบสถ์สร้างวิหาร
แต่มนุษย์กลับไม่ใช่ ชอบไปสร้างโบสถ์วิหารแต่ก็ยังแช่งชักหักกระดูกคน กลายเป็นมือหนึ่งสร้างบุญ อีกมือหนึ่งสร้างบาป บุญกับบาปชดเชยชำระกันไม่ได้ บุญก็อยู่ส่วนบุญ บาปก็อยู่ส่วนบาป แล้วบุญให้ผลคือความสุข และบาปให้ผลเป็นความทุกข์และมีวิบากกรรม แต่บุญให้ผลคือความสุขและวิบากกรรมเหมือนกัน แต่เป็นกรรมในด้านสุข ความชั่วให้ผลคือทุกข์และวิบากกรรม ฉะนั้นถ้าศิษย์ทำบุญเยอะๆ ชาติหน้าก็อาจจะได้กลับมาเกิดเป็นคนที่มีเงินมากมาย หรือไม่ก็ได้เสวยสุขบนสวรรค์ เมื่อหมดบุญก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ อย่างนี้หนีพ้นอย่างแท้จริงหรือไม่ (ไม่)  ฉะนั้นอาจารย์อยากบอกว่าทานยังไม่สามารถนำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้
แล้วการรักษาศีลสามารถทำให้พ้นทุกข์ได้หรือไม่ มีทั้งคนที่บอกว่าได้และไม่ได้นะ แล้วถ้าอาจารย์บอกว่าไม่ได้ล่ะ เพราะถ้ารักษาศีลแล้ว แต่ยังยึดติดในการรักษาศีล ก็ยังต้องไปรับบุญ รับผลของศีลนั้น เคยได้ยินหรือไม่ว่า ถ้าเราเมตตาสัตว์มากๆ ไม่เบียดเบียนสัตว์ ทำให้อายุยืน แปลว่ายังต้องไปรับผล ไม่ลักขโมยของผู้อื่น ไม่อยากได้ของเขามาเป็นของเรา ทำให้เป็นคนมีทรัพย์และไม่สูญเสียทรัพย์ ไม่โดนฉ้อฉล ประพฤติซื่อสัตย์สุจริตไม่ผิดลูกผิดเมียใคร ทำให้เจอรักแท้ ลูกก็อยู่ในโอวาท ถ้าใครอยากได้แบบนี้ก็จงรักษาศีลข้อนี้ เพราะจะทำให้เจอรักแท้ และลูกก็ว่านอนสอนง่าย ถ้าศิษย์บอกว่าสามีก็ไม่ได้เป็นรักแท้ ลูกก็ไม่ว่านอนสอนง่าย แปลว่าศิษย์เคยผิดข้อธรรมข้อนี้ แล้วศิษย์เคยไหม พูดอะไรก็ไพเราะ พูดอะไรคนก็ฟัง เพราะศิษย์เป็นคนรักษาความสัตย์ จึงทำให้พูดอะไรคนก็เชื่อฟัง แต่ถ้าเวลาศิษย์พูดไม่มีใครบอกว่าไพเราะ น่ารำคาญ ไม่เชื่อฟัง แปลว่าศิษย์โกหกมดเท็จ
ฉะนั้นศีลจึงยังไม่นำพาให้พ้นทุกข์ เพราะศีลยังเป็นเหตุ เป็นผลที่ยังต้องรับกันอยู่ จำไว้นะ แล้วถ้าอยากมีปัญญาดี ก็อย่าเสพของมึนเมา เวลาเรียนหรือทำอะไร ทำไมเราความจำไม่ดี เพราะเราชอบเสพของมึนเมาหรือเปล่า อย่างนั้นหมายความว่าทั้งทานและศีลทำให้เราพ้นทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นต้องทำอย่างไร (สงบกาย สงบใจ สงบวาจา)  ถ้ามนุษย์รู้จักหมั่นทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล เราก็จะเกิดความปิติสุขที่ได้ทำสิ่งที่ดีงามถูกต้อง ก็จะเกิดความสงบได้ แต่ว่าเวลาโดนทุกข์กระทบ เรายังไม่สามารถที่จะพ้นทุกข์ได้ เพราะอะไรรู้ไหม (เพราะใจยังไม่สงบ)  ใช่ไหม เมื่อสักครู่ศิษย์ตอบว่า (สงบกาย สงบใจ สงบวาจา)  แต่เขาบอกว่าใจยังไม่สงบ เราก็เลยยังไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราจะทำอย่างไร เขาบอกว่าต้องสงบๆ (ต้องทำสมาธิให้เกิดปัญญา)  ตอบได้ดีนะเป็นคนมีปัญญา
ก้าวต่อไปที่เราต้องเรียนรู้ก็คือทำอย่างไรให้เราสงบ นั่นก็คือสมาธิ แต่สมาธิโดยความหมายแท้จริงหมายความว่าความมั่นคง ไม่หวั่นไหวเมื่อโดนกระทบ ไม่ใช่หลับตาแล้วบอกว่านี่คือสมาธิ แต่สมาธิที่แท้จริงคือเมื่อโดนกระทบ จิตสงบไม่หวั่นไหว เมื่อโดนกระทบไม่กระแทกกระทั้นย้อนกลับไป แล้วเราจะทำอย่างไรให้เราสามารถสงบได้ นั่นคือต้องมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในธรรมะ
ฉะนั้นวันนี้อาจารย์จึงอยากมาคุยกับศิษย์เรื่องทุกข์และทางดับทุกข์ โดยใช้สติและปัญญาและรู้แจ้งด้วยธรรม ถ้าอย่างนั้นเราต้องเข้าใจก่อนว่าเราทุกข์เพราะอะไร
(ทุกข์เพราะเรายังปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างยังไม่ได้)  เหตุแห่งทุกข์มีเยอะไหม (เยอะ)  เยอะแล้วเราแก้ได้สักข้อไหม (ไม่ได้)  ได้แต่ทำใจๆ อย่างเดียว ทำใจอย่างเดียวรักษาได้ทุกโรคไหม (ไม่ได้)
อย่างนั้นอาจารย์จะบอกให้นะ ทุกข์นี้ถ้าทางหลักธรรมมีสาเหตุมาจากความไม่รู้ (อวิชชา)  ไม่รู้แล้วจึงอยาก (ตัณหา)  อยากแล้วจึงยึด(อุปาทาน)  เพราะไม่รู้จึงอยาก เมื่ออยากแล้ว จึงอยากยึด แล้วศิษย์เคยรู้ไหมว่าจริงๆ แล้วจิตเดิมของมนุษย์นั้นดี แต่เพราะความอยากจึงทำให้เราสูญเสียความยุติธรรม สูญเสียปัญญาและสูญเสียความกล้าหาญในการเผชิญความจริง ฉะนั้นพระพุทธะก็เลยบอกว่า เพราะว่าเราไม่รู้ แล้วไม่รู้อะไรหนอที่ทำให้ทุกข์ ไม่รู้จักใจตัวเองหรือไม่รู้จักเท่าทันโลภ โกรธ หลง หรือไม่รู้จักธรรมเป็นความจริงแท้ ใช่ไหม ที่ศิษย์พูดมาทั้งหมดมีหลายอย่าง บางคนทุกข์เพราะโลภ โกรธ หลง เรียกว่ากิเลส ถ้าเชื่อกิเลสก็หนีไม่พ้นการสร้างบาปและวิบากกรรม ถ้าเราเลิกโลภ โกรธ หลง เราสามารถควบคุมได้ เราก็หยุดบาป หยุดวิบากกรรมได้ ฉะนั้นตอนนี้โลภ โกรธ หลง หยุดได้ไหม (ไม่ได้)  มีแล้วก็มีอีก แล้วทำอย่างไรดี
หนึ่ง คือ ทุกข์เพราะโลภ โกรธ หลง
สอง คือ ทุกข์เพราะเราไม่รู้ความเป็นจริงของโลกใบนี้
สมมติว่าตอนอาจารย์มาถึง มองแต่ตัวเอง คิดแต่เรื่องตัวเอง ไม่สนใจศิษย์เลย แต่สักพักหนึ่งเมื่ออาจารย์สงบ อาจารย์ก็หยั่งรู้ได้ถึงจิตของศิษย์ว่ามีศิษย์บางคนกำลังนินทาอาจารย์อยู่ พระพุทธะจะรู้จักจิตคนได้ก็ต่อเมื่อท่านสงบแล้วหยั่ง เมื่อหยั่งรู้ว่าศิษย์คนนี้กำลังนินทา ศิษย์คนนั้นกำลังเบื่อว่าเมื่อไหร่จะจบ เมื่ออาจารย์หยั่งรู้แล้ว ก็คิดท้อแท้อุตส่าห์มาเพื่อให้ศิษย์รู้จักพ้นทุกข์ แต่ศิษย์กลับมาทุกข์เพราะอาจารย์ ทำไมเป็นแบบนี้ แต่ถ้าอาจารย์พลิกใหม่ คิดใหม่ว่าเป็นเรื่องธรรมดาของคน มีชอบก็มีชัง มีดีก็มีร้าย มีชื่นชมก็มีรังเกียจเดียดฉันท์ แล้วอาจารย์จะเอาอะไรกับความไม่แน่นอนของคนและความเป็นเช่นนั้นเองของศิษย์ นั่นคือตัวอย่าง เช่นศิษย์ถูกเขาว่าแล้วศิษย์ก็รู้ว่าเขากำลังว่า ศิษย์จะคิดว่าเขาว่าเราทำไม ทำไมต้องว่าด้วย ผิดตรงไหน เราก็ดีนะ ทำไมทำกับเราแบบนี้ ศิษย์จะใช้แบบนี้ก็ได้นะ เห็นทุกข์แล้วจงทุกข์ต่อไปนะศิษย์ เชิญเต็มที่กับทุกข์เลย กับอีกแบบหนึ่ง เขาด่าเราเป็นเรื่องธรรมดา มีชอบก็มีชัง มีเกลียดก็มีรัก เป็นธรรมดาของโลก จะไปอะไรกับทุกเรื่องราว ทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นเช่นนั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)  ถามตัวเองว่าทำดีหรือยัง เบียดเบียนเขาไหม ก็ไม่ได้เบียดเบียน ว่าเขาไหมก็ไม่ได้ว่า แต่เขานินทาก็ช่างเขา ขนาดพระพุทธรูป คนยังติเลย แล้วเอาอะไรกับฉัน ทำไมเขาจะไม่ติ ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นเอาแบบไหน (แบบสอง)  นั่นคือรู้อะไรถึงพ้นทุกข์ เรารู้อะไรเราถึงปล่อยวางได้ (รู้ต้นเหตุแห่งทุกข์)  รู้สติใช่ไหม หนึ่งคือรู้เท่าทันความคิด เมื่อทุกข์มากระทบหน้า ทุกข์มันตบหน้า คนด่าเรา โดนตบหน้า เราจะตบตัวเองซ้ำอีกไหม เหมือนเขาด่าศิษย์ครั้งเดียว เขาว่าศิษย์ครั้งเดียว ว่าแล้วก็จบแล้ว แต่เราจบไหม (ไม่จบ)  เอามาคิดอีก ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นต่อไปนี้จะรู้อะไร (รู้ให้อภัย)  รู้ให้อภัยยังแก้แค่หลักของทาน รู้เมตตาก็ยังแก้แค่หลักของศีล แต่ถ้ารู้แล้วสงบ ไม่หวั่นไหว เรียกว่าหลักของสมาธิ แต่รู้แล้วเห็นแจ้ง แล้วหยุดได้ ไม่หวั่นไหว ไม่โต้ตอบไป ไม่ทุกข์ นั่นคือหลักของปัญญา รู้อะไร (รู้เท่าทันความคิด, รู้ตื่น)  รู้ความจริงอันเป็น
สัจธรรมของโลกใบนี้ หรือเรียกว่าโลกธรรม๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีทุกข์มีสุข มีชมมีด่า มีรักมีเกลียด เป็นธรรมดา ฉะนั้นโดนด่าก็ธรรมดา เวลาป่วยก็ธรรมดา ป่วยกายไม่ป่วยใจ เจ็บขา ไม่ใช่เจ็บทั้งตัว แต่ศิษย์แปลก เจ็บที่เท้า แต่สั่นไหวทั้งตัวเลย แค่เจ็บเท้าจะตายๆ ใช่ไหม (ใช่)  มันเป็นธรรมดาของโลก มันเป็นจริงของโลก ที่ต้องมีเปลี่ยนแปลง แล้วที่สุดก็หาตัวตนไม่ได้ แล้วเราทุกข์ไหม
ฉะนั้นเรามารู้ความจริงอีกคำหนึ่งคือ โลกใบนี้ล้วนไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา ฉะนั้นเจอคนชมก็ธรรมดา โดนคนด่าก็ธรรมดา สามีไปมีแฟนใหม่ก็ (ธรรมดา)  ลูกดื้อก็ธรรมดา แต่เราจะทำอย่างไรให้ความธรรมดานั้นมันไม่ทำให้เราทุกข์ เมื่อรู้ว่ามันคือสิ่งธรรมดาที่ทุกชีวิตต้องเจอ แต่เมื่อบางครั้งมันมาจุกอกเรา เราจะทำอย่างไร จำไว้นะศิษย์ ต้องไม่กลัวคำว่าทุกข์ ทุกคนมักจะหันหลังและเบือนหน้าหนีความทุกข์ ไม่อยากเจอมัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เป็นศิษย์ของอาจารย์จี้กงต้องรักทุกข์มีทุกข์เป็นเพื่อน และอีกอย่างที่ศิษย์จะต้องจำไว้ในใจคือ ความทุกข์ไม่ได้แปลว่าซึม เศร้า หงอย ห่อเหี่ยว หมดแรง ตายแน่ ให้ศิษย์ล้างไปจากความคิด ล้างไปจากหัวเลยนะ ทุกข์ แปลว่าสิ่งที่ทนได้ยาก ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน เมื่อเวลาทุกข์มาให้อยู่เฉยๆ อย่าไปเกลียดเพราะยิ่งเกลียดยิ่งเจอ ถ้าความทุกข์มา ความพลัดพรากมา การโดนนินทามา การสูญเสียมา ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน ไม่ต้องหนี ไม่ต้องปรุงแต่ง ไม่ต้องให้ค่า ปล่อยมันวางเฉยไว้อย่างนั้น พอถึงเวลามันจะหายไปเอง มันเริ่มที่ไหน ก็ให้ละ ให้วาง ให้จบ ให้หยุดที่นั่น โดยที่ไม่ต้องให้ค่า ไม่ต้องปรุงแต่ง ไม่ต้องคิดซ้ำซาก คิดวนเวียน ปล่อยให้ทุกข์อยู่ส่วนทุกข์ เราก็อยู่ส่วนเราเดี๋ยวทุกข์ก็จะจบไปเอง แต่พอทุกข์มา ศิษย์มักจะซึม เศร้า หงอย ตายแน่ อาจารย์จะบอกว่าไม่ใช่นะให้คิดใหม่ว่า เมื่อทุกข์อยากมาก็ให้มันมา แต่ทุกข์ก็อยู่ส่วนทุกข์ เราก็อยู่ของเรา ให้ไปใส่ใจเรื่องอื่นแทน แล้วทุกข์มันก็จะหายไปเอง แต่ศิษย์โดยส่วนใหญ่ไม่ใช่ ทุกข์มาก็ทุกข์ ทุกข์ ทุกข์
ฉะนั้นวิธีที่อาจารย์จะแก้คือศิษย์จะใช้ใจมนุษย์ไปสัมผัสทุกข์ หรือจะใช้จิตแห่งความพ้นทุกข์ไปสัมผัสทุกข์ ถ้าใช้ใจในการสัมผัสทุกข์ก็หนีไม่พ้นความรู้สึก ความยึดติด แต่ถ้าใช้จิตเดิมแท้ที่ศิษย์ได้รับหนึ่งชี้ จิตเดิมแท้นี้มันไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่าง ไม่ต้องการที่อยู่และไม่ต้องการคนครอบครอง เอาจิตตัวนั้นทำงานเมื่อเจอทุกข์ จิตตัวนั้นมีหน้าที่แค่เพียงตื่นรู้ แค่รู้ รู้ตัวเอง ทุกข์มาแล้วฉันจะเอาจิต ฉันจะไม่เอาใจ ฉันจะใช้จิตที่ตื่นรู้มาอยู่ร่วมกับทุกข์ เพราะเมื่อเราใช้ใจ เราหนีไม่พ้นฉันรู้สึกอย่างนั้น ฉันรู้สึกอย่างนี้ ฉันคิดอย่างนั้น ฉันคิดอย่างนี้ ใช่ไหม นี่คือใจมนุษย์ แต่เรามีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าธาตุรู้หรือจิตเดิมแท้ที่บริสุทธิ์อยู่ เอาจิตนั้นแหละ จิตที่ไม่ต้องการที่อยู่ ไม่ต้องการคนครอบครอง ทำหน้าที่แค่เพียงรู้ เมื่อเวลาทุกข์มากระทบ เลือกตามจิต ไม่ตามใจ เพราะจิตเป็นสภาวะที่พ้นทุกข์อยู่แล้ว และเป็นสภาวะว่างแล้วนะ และมีอยู่ในตัวศิษย์ทุกคนนะ ฉะนั้นเราจะเลือกใช้ใจหรือใช้จิต (ใช้จิต)  แล้วเราจะเลือกเข้าใจทุกข์แล้วพ้นทุกข์ด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่ ฉะนั้นลบไปจากหัวใจเลยนะ ทุกข์ไม่ได้แปลว่าซึม เศร้า หงอย แต่ทุกข์คือสภาพที่ทนได้ยาก
อีกอย่างหนึ่งที่ศิษย์มักจะทุกข์คือทุกข์เพราะการยึดติดในตัวตน ฉะนั้นตัวตนนี้ถ้าอาจารย์ตีก็เจ็บทุกที่ ตีตรงไหนก็ (เจ็บ)  ลองตีตัวเอง เจ็บไหม (เจ็บ)  เจ็บหรือ อย่างนั้นเริ่มใหม่ ตีแรงกว่านี้หน่อย ตีมือเจ็บไหม (เจ็บ)
ทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เชื่อไหมว่า แม้คำพูดที่พูดไปแล้วคนไม่ฟัง ทุกข์ไหม (ทุกข์)  แม้เสื้อผ้าที่เราทิ้งไปแล้ว หากมีคนนำมันมาเหยียบย่ำ ทุกข์ไหม (ทุกข์)  แม้จานข้าวที่เรากินแล้ว แล้วมีคนนำมากระแทกๆ เราทุกข์ไหม (ทุกข์)  เราทุกข์หมดทุกอย่าง ฉะนั้นเหตุแห่งทุกข์อีกอย่างที่น่ากลัวของมนุษย์ก็คือ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง “สุขพบได้ด้วยใจไม่ใช่สร้างเอา” ทำนองเพลง ด้วยมือของเธอ)
ได้ผลไม้แล้วจะเอาไปทำอะไร (รับประทาน)  รู้จักให้ต่อจะได้เกิดบุญที่กว้างไกล ไม่ใช่เก็บบุญไว้ที่ตนเอง ฉะนั้นจะนำไปให้ใครดี
(รับประทาน)  ขออีกคนหนึ่ง อาจารย์อยากให้ศิษย์ได้มาแล้วรู้จักให้ จะได้บังเกิดบุญที่ยิ่งใหญ่ จะนำไปให้ใครดี (ให้คนข้างๆ)  คนข้างๆ มัวแต่นั่งก้มทำอะไรไม่รู้ ให้เขาช่วยตัวเอง ให้ใครดี (ให้คนที่นั่งข้างๆ)  อย่ามัวแต่นึกถึงเพื่อนจนลืมนึกถึงพ่อแม่ ใช่ไหม (ใช่)  จะนำไปให้ใคร (รับประทาน
เอง)  นักเรียนชั้นนี้ไม่รู้จักสร้างบุญต่อเลยนะ (อยู่ที่บ้านคนเดียว)  ก็นำไปผูกบุญกับเพื่อนบ้านก็ได้ คนที่ทำงานก็ได้ คนที่ชักชวนเรามาก็ได้ (เกษียณแล้ว)  แล้วไม่มีเพื่อนบ้านเลยหรือชีวิตนี้ ยิ่งอยู่คนเดียวยิ่งต้องรักเพื่อนบ้าน ยิ่งต้องเกื้อหนุนเพื่อนบ้าน เพราะเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย คนที่พึ่งได้คือเพื่อนบ้าน การรู้จักให้ต่อจะได้มีบุญ บุญจะได้กว้างไม่ได้จมอยู่ที่เราคนเดียว
(พระอาจารย์เมตตาให้ผลไม้แก่นักเรียนที่ตอบคำถาม)
ตอบคำถามแล้วได้ผลไม้ จงรู้จักนำไปผูกบุญสัมพันธ์กับคนอื่นต่อ อย่าเก็บไว้ทานคนเดียว ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมผู้ร่วมฟัง)
ร้อนไหม ศิษย์สบายดีนะ ทำดีโดยไม่ยึดติดนะ โลภ โกรธ หลงตัดได้บ้างหรือยัง (ตัด ได้บ้างแล้ว)  ตัดได้บ้างหรือยัง (ยัง)  ยังเลยหรือ อายุปูนนี้แล้วนะ โลภ โกรธ หลง ต้องเบาบางได้แล้ว ถ้าศิษย์อยากไปหนทางที่ดี หลับตาแล้วก็สบายใจ โลภ โกรธ หลง คือทางแห่งบาปและความทุกข์และการเวียนว่าย เมื่อศิษย์ตั้งใจบำเพ็ญแล้ว โลภ โกรธ หลง ต้องละและเบาบางให้น้อยที่สุด หรือพูดง่ายๆ คือพยายามอย่าให้มี ด้วยการรู้จักเท่าทันตัวเอง ควบคุมชีวิตด้วยสติ ใช้จิตในการนำพาตน ไม่ใช่ใช้ใจ เพราะชอบรู้สึก รู้สึกอยากได้ รู้สึกอย่างนั้น รู้สึกอย่างนี้ ซึ่งหนีไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าใช้จิตอันเดิมแท้ที่เรียกว่าธาตุแห่งความรู้ หรือจิตแห่งพุทธะจะไม่มีตัวมีตน ไม่มีรู้สึก และไม่มีคนต้องครอบครอง ในตัวเรามีสิ่งที่ประเสริฐที่เรียกว่าจิตเดิมแท้ ที่ใช้แค่การตื่นรู้ด้วยสติ และเข้าใจสรรพสิ่งด้วยปัญญา ถ้าศิษย์เข้าใจในการดำเนินชีวิต ใช้จิตมากกว่าใช้ใจ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นมันจะเกิดและจบได้ด้วยตัวเรา แต่ถ้าศิษย์เอาแต่ใช้ใจเอาแต่รู้สึก ก็หนีไม่พ้นโลภ โกรธ หลง ก่อเวรกรรม ทำโน่นทำนี่ เกิดตัวตนไม่จบสิ้น ฉะนั้นไม่ว่าอะไรมากระทบ ให้จิตมองให้รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น มันเป็นกิเลสไม่ใช่ตัวตนเดิมแท้ ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปปรุงแต่ง ไม่ต้องให้ค่าปล่อยมันไว้ เดี๋ยวมันก็จบไปเอง ให้เหลือแต่จิตที่ว่าง จิตที่นิ่ง จิตที่สงบ เมื่อจิตไม่รวมกับอารมณ์ก็เรียกว่าบริสุทธิ์ เมื่อจิตไม่ยึดติดในอารมณ์ความคิดก็เรียกว่าวิมุตติ ใช่ไหม
อย่าฟังแล้วไม่ลงมือปฏิบัติ ไม่อย่างนั้นศิษย์ไม่พ้นทุกข์นะ อย่าฟังแต่ถึงเวลาขาดสติทำไม่ได้ ศิษย์ก็ยังหนีไม่พ้นวังวนแห่งความทุกข์ เราเกิดมาเพื่อจบ เกิดมาเพื่อดับ ไม่ใช่เกิดมาเพื่อเกิดตัวตนไม่จบสิ้น ทุกสิ่งกำลังเกิดและจบ เกิดและจบ แต่เพราะความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนมันเลยไม่จบ เอาอดีตมาคิด เอาอนาคตมากังวล ปัจจุบันก็ทำไม่ได้ดี ใช่ไหมศิษย์ ปูนนี้แล้วนะศิษย์ไม่ใช่อายุน้อยๆ ฉะนั้นปลงได้ปลง วางได้วาง โลภ โกรธ หลง อย่าไปเอามาให้ครอบงำใจ ไม่อย่างนั้นศิษย์หนีไม่พ้นวิบากกรรมที่ศิษย์ก่อเอง เพราะโลกนี้เป็นโลกแห่งเหตุปัจจัย ถ้าเราไม่สร้างปัจจัยให้เราทุกข์ เราจะไปรับกรรมอะไร จริงไหม
ฟังแล้วทำนะศิษย์ ทำให้ได้นะ อาจารย์อยากเห็นศิษย์พ้นทุกข์จริงๆ ไม่ใช่ตายแล้วถึงจะพ้นทุกข์ แต่พ้นทุกข์ขณะนี้เดี๋ยวนี้เลย เราสามารถพ้นทุกข์ได้ทุกขณะ ไม่ต้องกังวล ทำตรงนี้ให้ดี ใครจะเป็นอย่างไรช่างเขา ทำตัวเองให้มีสติรู้ตัวเอง เห็นจิตตัวเอง ไปที่ๆ พ้นทุกข์กับอาจารย์นะอย่าทิ้งอาจารย์ไปคนเดียวเลย ได้หรือไม่ (ได้)  พ้นทุกข์ตื่นรู้ด้วยตัวเองนะ ศิษย์เอยชีวิตมันชอบดื้อ อาจารย์อยากเห็นศิษย์พ้นทุกข์จริงๆ นะ ไม่ได้วนเวียนอยู่กับทุกข์ ทุกข์สุดท้ายที่อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้าใจ ตื่นรู้ แล้วพ้น
มีอีกอย่างหนึ่งที่ศิษย์ยังมักจะติดกันแล้วเป็นเหตุให้เกิดทุกข์แห่งความมีตัวตน นั่นคือการยึดติดในสิ่งที่ตาเห็น หูฟัง ลิ้นสัมผัส มือยึดถือ หัวใจดิ้นรน ศิษย์รู้ไหมว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ล้วนเป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์ได้ ถ้าเรากินแอปเปิลแล้วอร่อยทำให้เราทุกข์ได้ไหม อร่อยแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  อร่อยก็ทุกข์ มันเกิดสัญญาจำได้หมายรู้ว่าอร่อย คราวหน้าถ้ามีโอกาสกินอีกลูกเดียวพอไหม (ไม่พอ)  กินอีกคำหนึ่งเจอหนอน ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ทุกข์เพราะความจำได้หมายรู้ตอนแรกมันอร่อย มันไม่มีหนอน ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เราทุกข์เพราะการยึดติดในรสชาติ ยึดติดในสิ่งที่เห็น เห็นแล้วต้องสวย เห็นแล้วต้องเจริญตา ต้องสบายใจ ใช่ไหม ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เพราะว่าคราวหน้ามันต้องสวยอีก ถ้าไม่สวย ทุกข์ ถูกไหม ได้ยินต้องเจริญหู ไม่เจริญหู ทุกข์ไหม (ทุกข์)  มนุษย์ทุกข์เพราะการยึดติดในสิ่งที่ต้องดี ไม่ดีไม่ได้ แล้วเป็นไปได้ไหม ในเมื่อศิษย์รู้ความจริงอยู่อย่างหนึ่งว่าธรรมดาของโลกมีได้ ก็ต้อง (มีเสีย)  มีสุขก็ต้อง (มีทุกข์)  มีดีก็ต้อง (มีร้าย)  รู้อย่างนี้แล้วทำไมถึงยังทุกข์อีก เพราะเราขาดสติตระหนักรู้ในความเป็นจริงที่เรากำลังกระทบอยู่ ฉะนั้นอยากกินแล้วไม่ทุกข์เอาไหม อยากเห็นแล้วไม่ทุกข์ เอาไหม อยากอยู่ในโลกเกิดแล้วจบดับ เอาไหม (เอา, ไม่เอา)  ไม่ต้องรอตายแล้วค่อยดับทุกข์นะศิษย์ ทุกข์ดับได้ทุกวันเลย คือกินไม่อร่อยก็ได้ เห็นไม่สวยก็ได้ ได้ยินไม่ดีก็ได้ เรียกว่าเห็นสักแต่เห็น ได้ยินสักแต่ได้ยิน ลิ้มรสสัมผัสเพียงแค่สักแต่ได้กิน แต่มนุษย์ไม่ใช่ กินก็ต้องอร่อย อยู่ก็ต้องสบาย มันก็เลยทุกข์ ถ้าไม่อร่อย ไม่สบาย ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าอยากพ้นทุกข์ กินไม่อร่อยก็ได้ ถ้าอร่อยแล้วต้องสร้างกรรม ควรกินไหม (ไม่ควร)
อาจารย์ถามนะ ถ้าอร่อยแล้วสร้างกรรมและวิบากกรรมแห่งการจองล้างจองผลาญไม่จบสิ้น เอาไหม (ไม่เอา)  กินไหม (ไม่กิน)  ถ้าอย่างนั้นพยายามกินเนื้อสัตว์น้อยๆ นะ เพราะศิษย์ไปเอาเนื้อเขามานิดนึง แล้ว
แผ่บุญแผ่กุศลให้ ศิษย์ว่ามันพอหรือ (ไม่พอ)  ศิษย์ไปเอาเขาทั้งชีวิต แล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ท่องสัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด เขาพอไหม (ไม่พอ)  แค่คนด่าศิษย์ ศิษย์ยังจำแล้วจำอีกเลย แล้วนี่ศิษย์ไปเอาถึงชีวิต แล้วแผ่เมตตาพอหรือ ฉะนั้นอย่าสร้างกรรมที่ทำให้เราต้องชดใช้เกิดวิบากกรรม ฉะนั้นทำอะไร คิดให้ดีๆ บาปคือผลพวงของความทุกข์และการเวียนว่าย บุญคือเครื่องชำระจิตใจให้ผ่องใส แต่ปัญญาคือสิ่งที่นำพาให้มนุษย์พ้นทุกข์ด้วยการรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม อันเป็นธรรมดาของโลก
ฉะนั้นระวังไว้นะศิษย์ คนที่ศิษย์ทำร้ายเขา ไม่ว่าด้วยคำพูดหรือการกระทำ ถ้าเขาแก้แค้นศิษย์ยังไม่สาแก่ใจ แม้ศิษย์จะเจ็บขนาดนี้ ถ้าเขาบอกว่ายังไม่พอ เขาก็จะทำแล้วทำอีก อยากรับผลหรือ ถ้าไม่อยากอย่าสร้างเหตุในการเข่นฆ่าสรรพสัตว์และผู้คน ทางสายปราชญ์จึงสอนว่า เกิดเป็นคนจงมีเมตตา เมตตาแล้วจะฆ่าใครไหม เมตตาแล้วจะนินทาใครไหม เมตตาแล้วจะด่าใครไหม (ไม่)  ฉะนั้นถ้าจำอะไรไม่ได้ เกิดเป็นคนขอให้มีเมตตา ดีไหม (ดี)  เมตตาจะต้องให้อภัยใครไหม (ไม่ต้อง)  ไม่ต้องแล้ว ก็เมตตาเขาแล้ว ถ้ายังต้องให้อภัย แปลว่าโกรธแล้วค่อยให้อภัย แปลว่าเกลียดแล้วค่อยให้อภัย ถ้าเมตตาแล้วจะเข้าใจ อะไรจะเกิดก็เข้าใจว่าคนไม่เท่ากัน คิดไม่เหมือนกัน มันเป็นธรรมดา เขาคิดซ้าย เราคิดขวา เขาชอบ เราไม่ชอบ เราจะไม่โกรธ แต่เราจะเมตตา ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเรามีความซื่อสัตย์สุจริต เราจะโกงใครไหม (ไม่โกง)  เราจะเบียดเบียนใครไหม (ไม่เบียดเบียน)  เราจะอยากได้ของใครมาเป็นของเราไหม (ไม่อยาก)  ถ้าไม่มีศีลก็จงมีธรรม ถ้าไม่มีศีลไม่มีธรรม ก็ไม่รู้จะได้เจออาจารย์หรือเปล่านะ
เกิดเป็นคนทำไมต้องรักษาความดีงาม เพราะความดีชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ แต่ความชั่วนำพาให้มนุษย์ทุกข์และเวียนว่ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นขอให้ศิษย์คิดเอา ชีวิตนี้จะตามใจ หรือตามจิตเดิมแท้ ใจที่มีแต่อารมณ์โลภโกรธหลง หรือจะตามจิตเดิมแท้ที่เข้าถึงสภาวะว่าง ไม่มีตัวตนให้ครอบครอง
คิดให้ดีก่อนจะทำอะไร พลาดแล้วจะถอยหลังไม่ได้ตลอดนะ ตราบใดยังมีลมหายใจ ยังมีโอกาสแก้ไข แม้ศิษย์ทำผิดแล้วศิษย์ยังมีลมหายใจ ฟ้ายังให้โอกาส ถ้าผิดแล้วยังมีลมหายใจรีบแก้เพราะถ้าเมื่อไรที่ลมหายใจหมดลง ศิษย์หมดโอกาสที่จะแก้ตัวแล้ว ศิษย์จะต้องรับผลของการกระทำที่ศิษย์ก่อ แต่ตอนนี้ยังมีลมหายใจพยายามทำความดีเยอะๆ ทำสิ่งที่ถูกต้อง เข้าใจความทุกข์ ดับทุกข์ด้วยตัวเอง เพราะตัวตนที่แท้จริงก็ยึดถือไม่ได้ ความดีก็ยึดถือไม่ได้ ถ้ายึดถือแล้วจะต้องไปรองรับอีก แต่ทำดีด้วยการพ้นทุกข์ คือ ทำดีโดยไม่หวังผล ไม่มีตัวตนต้องไปรับแล้ว เราพ้นทุกข์แล้ว แต่ถ้าทำดียังยึดในผล คือการเอาตัวไปรับ รับแล้วพ้นทุกข์ไหม 
(มีนักเรียนในชั้นคนหนึ่งถามพระอาจารย์ว่า การสวดมนต์แผ่เมตตาทำให้คนอื่นพ้นทุกข์ได้ไหม)
ถ้าแรงกระแสจิตของศิษย์นิ่งและมั่นคง ช่วยคนได้ ช่วยสรรพสัตว์ได้ และช่วยจิตให้ศิษย์สงบได้ แต่สวดมนต์ไม่มีประโยชน์ ถ้าถึงเวลาศิษย์อยู่กับคนแล้วศิษย์สงบไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  การสวดมนต์เป็นอุบายอย่างหนึ่งให้เกิดจิตที่สงบ จิตที่นิ่ง ถ้าถึงเวลาเจอคนว่าศิษย์ แล้วศิษย์โมโหเหมือนเดิม ก็ไม่ได้เรื่องอะไร จิตต้องสงบเมื่อโดนกระทบ ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์บอกแล้วนะว่า หนทางแห่งการดับทุกข์ ไม่ใช่มีเพียง ทาน ศีล แต่มีสมาธิ คือ ความมั่นคง และ มีปัญญา คือ ความเข้าถึงธรรม และรู้ตื่นด้วยสติตนเอง เมื่อเวลาโดนกระทบแล้วไม่กระแทก แต่โดนกระทบแล้วจบได้ที่ใจ ไม่ก่อเกิดเป็นตัวตนอีกตนหนึ่งที่ทับซ้อนเรา
อาจารย์อยากคุย อยากพูดธรรมะเยอะๆ อาจารย์อยากช่วยศิษย์ แต่ถึงเวลาอาจารย์ก็ต้องไปแล้ว (อยากฟังอาจารย์อีก)  ฟังไปก็ไม่มีประโยชน์ถ้าศิษย์ไม่นำกลับไปทำ อาจารย์แค่ชี้ทางสว่าง ถึงเวลาศิษย์ต้องเดินไปให้พบทางสว่างด้วยตนเอง ตัวตนมันไม่น่ายึดถือนะ เพราะถึงที่สุดก็หาความเที่ยงแท้ไม่ได้ มันเป็นทุกข์ที่ทนได้ยาก ว่างเปล่าจากการยึดถือ ว่างเปล่าจากตัวตนที่แท้จริง เหมือนที่อาจารย์บอกศิษย์ว่า นี่คือหน้าตาของศิษย์จริงๆ หรือเปล่า หน้ายังเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ใช่ไหม (ใช่)  และยังหาที่สุดไม่ได้ ตราบที่ยังไม่หยุดกรรมของตัวเอง หน้านี้จะไม่ใช่หน้าสุดท้าย แต่ถ้าเราหยุดได้ในทุกขณะหน้านี้ชาตินี้คือชาติสุดท้าย จะพ้นทุกข์ให้ได้ด้วยตัวเอง
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “รู้ธรรมรู้ทำ”)
รู้ธรรมรู้ทำ แปลว่า ธรรมะที่อาจารย์ได้บอกไปแล้วจงเอาไปปฏิบัติการ ปฏิบัติธรรมไม่ใช่การไปตรวจสอบใคร แต่เอามารู้ด้วยใจตัวเอง แก้และเปลี่ยนแปลงที่ตัวเอง บำเพ็ญปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงใจตัวเอง รู้เท่าทันใจตัวเองไม่ก่อให้เกิดกิเลส โลภ โกรธ หลง ที่เป็นหนทางแห่งบาปอีกต่อไป
จำไว้นะศิษย์ให้อภัยทานดีกว่าสร้างวัดวิหารอีกนะ อาจารย์ยังมีแอปเปิลอีกลูก เอาให้คนที่ยิ้มยากแล้วกันนะ เวลาทำอะไรให้ใจเย็นๆ ยิ้มง่ายๆ เป็นคนที่ทุกข์ยากสุขง่าย ดีไหม (ดี)  แต่ที่สำคัญลด ละ เลิกเหล้าก่อนนะ ไม่อย่างนั้นชีวิตจะเหลือแค่นี้ ถ้าศิษย์เลิกเหล้าได้แอปเปิลลูกนี้เป็นยาได้นะ แต่ถ้าศิษย์เลิกเหล้าไม่ได้ก็จะทำให้ศิษย์ยิ่งตายไว คิดให้ดีๆ ก่อนกินนะศิษย์
มีโอกาสตั้งใจบำเพ็ญกลับมาหาอาจารย์อีกนะ มาร่วมสร้างบุญนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ อาจารย์ไม่อยากให้ศิษย์ยึดติดอาจารย์ แต่เอาธรรมะเป็นประทีปส่องทางให้ชีวิตพ้นทุกข์
มนุษย์ทุกคนพ้นทุกข์ได้ ขอเพียงไม่เอาใจไปใช้ในการดำเนินชีวิต แต่จงใช้จิตเดิมแท้นะศิษย์ มีโอกาสกลับมาอีกเด็กดื้อทั้งหลาย อย่าฆ่าตัวเองด้วยมอเตอร์ไซค์ อย่าฆ่าตัวเองด้วยผู้หญิง หรือโลภโกรธหลง อบายมุขนะศิษย์ ได้ไหม
อาจารย์ไปแล้วนะ มีโอกาสมาผูกบุญกันอีกนะศิษย์ อาจารย์อยากได้ศิษย์ไปด้วยนะ ตั้งใจทำอะไรขอให้มีสติ ชีวิตไม่เหลือมากแล้วนะ คิดให้ดีๆ รู้เรื่องไหม โดนลูกบังคับมาใช่หรือเปล่า ฟังรู้เรื่องไหม ทำอะไรขอให้มีสติอย่าเอาแต่อารมณ์ คิดให้ดีๆ มีโอกาสกลับมาอีกนะ ใช่ไหมเด็กดื้อ
ตั้งใจบำเพ็ญนะ มุ่งมั่นแล้วไปให้ถึงที่สุดนะ คิดอะไรไตร่ตรองให้ดี อย่าใช้อารมณ์ อย่าทุกข์เพราะความคิด อย่าทุกข์เพราะอารมณ์ ทำอะไรคิดให้ดีๆ มีสติรักษาจิตให้บริสุทธิ์นะ ศิษย์เอ๋ยชีวิตมันไม่ใช่เรื่องน่าสนุกนะ คิดให้ดีๆ ถ้าประมาทชีวิตก็แขวนอยู่บนความตายได้ ใช่หรือไม่ ดูแลห้องพระดีหรือเปล่า ทอดทิ้งใช่ไหม (ทำทุกวัน)  แล้วแอบบ่นตัดพ้อได้หรือ
ตั้งใจนะศิษย์เอ๋ย จิตใจที่ดีงาม อาจารย์อยากให้ศิษย์รักษาจิตที่ดี จิตที่บริสุทธิ์ ทำได้ดีแล้วพยายามต่อนะ เดินหน้าต่อไป อย่ายอมแพ้นะ อาจารย์ไปแล้วนะศิษย์เอ๋ย ทุกข์มันจบแล้ว เรื่องบางเรื่องจบแล้ว เริ่มต้นใหม่กับชีวิตด้วยหัวใจที่เข้มแข็งนะ เข้าใจไหม เริ่มต้นใหม่ได้แล้วนะ ตั้งใจบำเพ็ญ นำพาผู้คนด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง ไม่อ่อนแอแล้วนะ รักษาบุญ รักษาโอกาสด้วยหัวใจที่ระมัดระวัง อาจารย์ช่วยเต็มที่แล้วนะ ไม่ต้องคิดมาก
มีโอกาสกลับมาอีกนะ สัญญากับอาจารย์ได้ไหม บำเพ็ญเพื่อตัวเองนะศิษย์ ทำงานธรรมะอย่าเหนื่อยอย่าท้อ มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ ตั้งใจบำเพ็ญ เป็นเด็กดี ไม่ใช่หลงแต่แสงสีอยากได้แอปเปิลต้องเลิกกินหมากก่อน
อาจารย์ไปแล้วนะศิษย์เอย อย่ากลัวความทุกข์ อย่ากลัวความลำบาก อาจารย์อยากให้พร อยากให้ศิษย์เข้มแข็ง รู้จักดำเนินชีวิตให้เป็น กลัวอะไรหรือ ไปแล้วนะศิษย์เอย อาจารย์อยากจับมือทุกคน อาจารย์อยากให้พรศิษย์ทุกคน ให้ศิษย์เข้มแข็งในการดำเนินชีวิต นำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ อย่าทุกข์เพราะความคิดตัวเอง อย่าให้ความคิดทำร้ายชีวิตนะศิษย์เอย รู้จักนำพาชีวิตให้ถูกทาง เราเกิดมาบนโลกเพื่อพบความสุขที่แท้จริง แล้วสุขที่แท้จริงคืออะไร คือเข้าใจตัวเอง รู้ถึงตัวเองอันแท้จริง รู้เท่าทันตัวเองไม่ตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์อีกต่อไปนะ ดูแลตัวเองนะ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “รู้ธรรมรู้ทำ”
ฟังผู้คนอรรถามาก็มาก 
เหมือนรู้แต่กลับยากปฏิบัติได้
ถึงว่ารู้แต่ไม่มาจากใจ
ก็ยังไกลคำว่าปฏิบัติธรรม
อย่าได้เพียงแค่ดีก็ผ่านไป
ต้องหยั่งตรองให้ถึงใจตนย้ำ
คิดพูดทำมีไหมอยู่ในธรรม 
รักษาธรรมจักนำธรรมร่วมใจ



พระอาจารย์จี้กงเมตตาแก้ไขพระโอวาทประชุมธรรม ณ สถานธรรมเซิ่งเต๋อ
จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ ๒๑-๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๗

กลอนพระโอวาทหน้า ๑ บรรทัดที่ ๑๒ และพระโอวาทครอบ บรรทัดที่ ๕
เดิม ต่างมีความเป็นฉันครุกรุ่นคุกคาม แก้เป็น ต่างมีความเป็นฉันคุกรุ่นคุกคาม

กลอนพระโอวาทหน้า ๑ บรรทัดที่ ๑๔ และพระโอวาทครอบ บรรทัดที่ ๑๐
เดิม บางคนเดินจนแค่ไม่รู้หน้าที่ แก้เป็น บางคนเดินจนแทบไม่รู้หน้าที่

กลอนพระโอวาทหน้า ๓๕ บรรทัดที่ ๑๓ และพระโอวาทครอบ วรรคที่ ๒
เดิม ก่อนครุเป็นอารมณ์ฉัน เป็น ก่อนคุเป็นอารมณ์ฉัน

เพลงพระโอวาท หน้า ๑๕ บรรทัดที่ ๙
เดิม เพียงเด้วยความไม่ประมาท เป็น เพียรด้วยความไม่ประมาท

อ่านต่อ...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา