西元二○一三年 歲次癸巳 九月 廿二日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
ถูกความคิดถูกอารมณ์ถมทับซ้อน จนไหวคลอนจนยากสงบเห็น
ถูกอารมณ์ถูกนิสัยบ่มเพาะเป็น จนยากเห็นความจริงแท้บริสุทธิ์ใน
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานถงซิน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ผู้เป็นปราชญ์ต้องหวงความรู้หาย อย่าหน่ายแหนงจริตไหนก็ฝึกได้
ต้องอ่อนน้อมที่ตรงดำริวาจาใจ เสียดายไม่เห็นธรรมหากมืดในปัญญา
ผงกิเลสใจสนแอบอย่ามองข้าม จงพยายามใช้ธรรมสยบด้วยความกล้า
แม้ชีวิตความเป็นอยู่ทุกข์ชินชา อาจธรรมดาไม่เหนือใครเหนือใจตน
ถูกสิ่งใดแวดล้อมสิ่งนั้นคือเรา อย่าอับเฉาสิ่งใดใดใจฝึกฝน
อาทิตย์ร้อนช่างอาทิตย์เพราะเรารู้ทน ชีวิตคนเลือกอยู่ไกลหรือใกล้ธรรม
มองจนทั่วชัดเจนส่องใช่เห็นหมด เป็นคนรู้ไม่กำหนดจึงไม่คว่ำ
วิสัยปราชญ์เรียนฝึกฟ้าดินหลักธรรม ไม่คะมำผองหลักแข็งยืดหยุ่นเป็น
ธรรมจืดจางธรรมเข้มแข็งเพราะขวนขวาย รู้ละอายที่มีศรัทธาดีเคี่ยวเข็ญ
ระวังทุกความคิดจิตก็ได้บำเพ็ญ อย่าเคยคุ้นมารชนะเห็นเป็นธรรมดา
มุ่งหมายบำเพ็ญมั่นมุ่งอย่าได้พัก ใช้ความสุขุมไม่สักแต่ถางหญ้า
ดีงามเป็นงานจิตได้สั่งสมมา คุณธรรมมากสรรค์สร้างพาบำเพ็ญดี
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
ชีวิตเราบางที เราก็ไม่รู้จะอยู่ที่ตรงไหนดี อยู่ตรงไหนก็ไม่ใช่ที่ของเรา อยู่ตรงนี้ก็ไม่ใช่ อยู่ตรงนั้นก็ไม่ใช่ เหมือนไปอยู่ไหนก็ไม่มีความสุขสักที เราเคยเป็นแบบนั้นไหม ในที่ที่เราคิดว่าเราคุ้นเคยที่สุดบางครั้งเราก็เหมือนคนแปลกหน้าที่สุด ในที่ที่เราว่าเรารู้จักมากที่สุด แต่บางครั้งเราก็เหมือนคนที่ไม่รู้จักอะไรเลย จริงไหม (จริง)
วันนี้เรามาเรียนรู้หลักธรรม แล้วเราใจกว้างพอที่จะฟังทุกๆ อย่างได้ไหม (ได้) หรือว่าใจเราแคบเหลือนิดเดียว อะไรก็รับไม่ไหวแล้ว ยังพอรับไหวไหม (ไหว) วันนี้ฟังมาทั้งวันเยอะแล้ว จากที่กว้างๆ ตอนนี้มันเหลือแค่นี้แล้ว เป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น) เห็นบางคนไม่ไหวแล้ว อีกนิดเดียวก็ล้มคว่ำแล้ว ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) ฟังมาทั้งวันเยอะแล้ว ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) อย่าดูถูกศักยภาพของหัวใจตัวเองนะ ไม่มีใครดูถูกเราได้ ไม่มีใครทำร้ายเราได้ถ้าเราไม่ดูถูกและทำร้ายหัวใจตัวเอง
มนุษย์มีสิ่งหนึ่งที่เหนือกว่าสิ่งใดๆ ในโลก นั่นก็คือหัวใจที่เข้มแข็ง แต่บางทีก็กลายเป็นแข็งกระด้าง หรือบางทีก็กลายเป็นอ่อนปวกเปียกเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ก่อนเราเรียนรู้วิชาทางโลกเยอะ ถ้าวันนี้เราบอกท่านว่า เราชวนท่านมาคุยเกี่ยวกับวิชาแห่งจิตใจ ท่านอยากลองคุยกับเราไหม (อยาก) ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคำพูดว่า มนุษย์รู้อะไรก็รู้ได้หมด แต่ชอบเป็นเส้นผมบังภูเขา ใจตัวเองกลับไม่รู้เลย และก็ชอบให้คนอื่นมาเดาใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเขาเดาถูกจริตก็ชอบ ถ้าเขาเดาไม่ถูกจริตก็ไม่ชอบ และหนีไปไกลๆ แถมว่าเขาอีก ใช่ไหม
อยากรู้จักเราไหม (อยากรู้จัก) เป็นเรื่องยากนะกว่าจะได้มาเจอกันในครั้งนี้ ถูกคัดแล้วคัดอีก คิดแล้วคิดอีก ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถนอมบุญถนอมโอกาสนะ แม้ยากจะเชื่อก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หวังให้ท่านต้องเชื่อ แค่อยากคุยเรื่องความจริงแห่งชีวิตเท่านั้นเอง ยินดีสนทนากับเราไหม (ยินดี) ไม่ต้องกลัวไม่ต้องเกร็งนะ เราไม่มาดุว่าหรอกและเราก็ไม่ได้มาขออะไรจากท่านด้วย มีแต่ให้ดีไหม (ดี)
เราเรียนรู้ธรรมมาก็เยอะแต่บางครั้งเราก็ไม่เข้าใจเลยว่าธรรมะคืออะไร ฟังมาตั้งเยอะเรียนมาตั้งเยอะแต่ธรรมะคืออะไร อยากรู้ไหม (อยากรู้) ธรรมะก็คือตัวท่าน ธรรมะก็คือทุกๆ สิ่ง แต่ที่เรามองไม่เห็นธรรมะเพราะเราไม่ยอมรับความจริง เราก็ยังเป็นเรา แต่จริงๆ แล้วทั้งตัวเราทุกๆ คน และทุกๆ สิ่งล้วนมีสภาวะธรรมอยู่แต่ว่าหัวใจของเรากลับมองไม่เห็นเพราะอะไรหรือ เริ่มต้นคุยได้หรือยัง
เราเคยเห็นความว่างที่ไม่มีขอบเขตบ้างไหม ความว่างที่ไม่มีขอบเขต ถ้าเราพูดว่าท้องฟ้า ท่านคงร้องอ๋อ ขอบฟ้าสิ้นสุดที่ตรงไหน (ไม่มี) ถ้าอย่างนั้นอย่าบอกว่าเรียนรู้ธรรมะไม่เข้าใจความว่าง ความว่างไม่มีขอบเขต ความว่างไม่มีรูปลักษณ์ นั่นคือจิตเดิมแท้ของตัวท่านและนั่นแหละคือธรรมอันเดิมแท้ที่บริสุทธิ์ เห็นบ้างไหม
เมื่อสักครู่ท่านบอกอยากรู้จักจิตตัวเอง แล้วอยากเข้าถึงธรรม ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นเราก็ตอบคำถามสองข้อเรียบร้อยแล้วนะ แต่กลับไม่ถึงไม่เห็น ใช่ไหม (ใช่) เพราะอะไรรู้ไหม ทำไมมนุษย์ถึงไม่สามารถมองเห็นความว่างได้อย่างแท้จริงในจิตตน ไม่สามารถมองเห็นธรรมแท้จริงในจิตตนได้ เพราะมนุษย์มักจะยึดติดกับสิ่งที่เห็นและสิ่งที่รู้ สิ่งที่เข้าใจ จึงทำให้เราไม่สามารถมองเห็นโลกกว้าง แต่ตีโลกเป็นกรอบ เป็นชั้น เป็นความคิด เป็นความรู้ เป็นความเข้าใจ ฉะนั้น พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “เมื่อใดมนุษย์เห็นเหมือนไม่เห็น รู้เหมือนไม่รู้ มนุษย์จะเข้าถึงความบริสุทธิ์อันแท้จริงที่ เรียกว่าสภาวะธรรมอันว่างเปล่า” แต่เราไม่ เห็นก็คือเห็น รู้จะบอกว่าไม่รู้ได้อย่างไร ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเมื่อเราติดกับความเห็น ความรู้ เราจึงเกิดจิตใจแบ่งแยกคือ ชอบ ไม่ชอบตามมา แล้วเรายังเกิดความคิดแบ่งแยกว่า คนนั้นต้องเป็นแบบนั้น คนนี้ต้องเป็นแบบนี้ พวกเรายึดติดชอบชัง เห็นแล้วกำหนดตีตัวขอบเขตอย่างตายด้าน เราจึงไม่สามารถมองเห็นคนได้อย่างกว้าง และมองโลกได้อย่างไม่บริสุทธิ์ แล้วทำอย่างไรเราจึงกลับคืนสู่สภาวะเดิมแท้ได้ ในเมื่อเรายังเห็นก็คือเห็น รู้ก็คือรู้ ยังมีชอบ ยังมีชัง ยังมียึดมั่น ยังมีคาดหวัง
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเห็นครั้งเดียวแล้วเต็มเปี่ยม แล้วเข้าใจโลก แล้วเข้าถึงธรรม และเห็นตัวเองได้อย่างถ่องแท้นั่นคือ มองนอกแล้วหันกลับมามองใน เห็นความวุ่นวายแต่สามารถมองเห็นด้วยสติอันสงบ แล้วรู้ไหมว่า การตั้งใจมองนอกแล้วย้อนกลับมามองในแค่เพียงชั่วแวบหนึ่งที่ทำให้เราเห็นชัดด้วยสติปัญญาอันถ่องแท้ จะทำให้ความมืดที่ถูกสั่งสมมาเป็นร้อยๆ ปี พันๆ ปี สว่างโพลงได้ในฉับพลัน แล้วเห็นอะไรล่ะที่จะทำให้เราสว่างโพลงแล้วค้นพบธรรมอันบริสุทธิ์ เราเคยเห็นอะไรอย่างลึกๆ ถ่องแท้ไหม ส่วนใหญ่จะเห็นแค่ฉาบฉวย หรือไม่ก็เห็นตามความเข้าใจ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าเมื่อไหร่ที่มนุษย์ไม่ยึดติดกับสิ่งที่เห็นและสิ่งที่รู้ เมื่อนั้นเรียกว่า “ความว่าง” เมื่อใดมนุษย์ไม่ติดความชอบความชัง เมื่อนั้นมนุษย์พบ “ความบริสุทธิ์” เมื่อใดมนุษย์ไม่ตีกรอบ คนนั้นต้องเป็นอย่างนั้น ไม่คาดหวังคนนั้นต้องเป็นอย่างนี้ เมื่อนั้นมนุษย์พบ “ดวงตาเห็นธรรม”
ที่ทำไม่ได้เพราะเรายังไม่เคยสงบและเรายังไม่เคยย้อนมองส่องตน เอาแต่มองออกไปจับผิด ว่าเขา แต่ไม่เคยหันมามองเข้าและดูว่าเราดีกว่าเขาแค่ไหน ฉะนั้นปริศนาธรรมของพระพุทธะ “ตาไม่เคยมองออก แต่คือการก้มแล้วหันมองเข้า” ทำไมถึงมีหนังสือที่เราเคยอ่านว่า ให้ฉีกคัมภีร์พระไตรปิฎก เพราะว่าคัมภีร์ข้างนอกไม่สู้คัมภีร์ข้างใน ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วคัมภีร์ข้างในอยู่ตรงไหน (อยู่ที่ใจ) ใจก็เห็นอยู่แต่ทำไมเราไม่พบธรรม ไม่พบความบริสุทธิ์ สิ่งที่ทำให้เราเห็น เราจะบอกให้ เราสรุปง่ายๆ มี ๓ อย่าง
ข้อที่หนึ่ง ความสุขของพุทธะหรือความเห็นแจ้งของพุทธะนั้น ไม่ได้เกิดจากการไปถึงจุดหมาย ไม่ได้เกิดจากการไปถึงซึ่งความฝัน ไม่ได้เกิดจากการไปถึงซึ่งความสำเร็จ แต่เกิดจากการอยู่ร่วมกับผู้คนทุกๆ วัน ทุกๆ ก้าว ด้วยความเข้าใจ
ทำไมเราถึงมองไม่เห็นความจริงในชีวิต ก็เพราะโดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะหลงกับความฝัน คาดหวังกับจุดหมายปลายทาง หวังกับความสำเร็จ เราเลยไม่เคยเห็นว่าทุกๆ ก้าว แท้จริงแล้วสามารถมีความสุขและทำให้เราหยั่งเห็นความจริงในชีวิตได้ จริงไหม (จริง)
ความสุขคืออะไร ต้องมีแบบนั้น ต้องมีแบบนี้ แล้วความสุขตรงนี้ ไม่ใช่ จริงไหม ในเมื่อทุกๆ ก้าว คือหนทางความสำเร็จ ไม่ใช่ก้าวหนึ่งก็คือความสุขแล้วหรือ แต่มนุษย์ไม่ใช่ มนุษย์กลับจะบอกว่าฉันจะมีความสุขต้องมีเงินเยอะ ฉันจะมีความสุขต้องมีคนรัก ฉันจะมีความสุข ฉันจะเข้าใจชีวิต ฉันจะยิ่งใหญ่ได้ ฉันต้องสำเร็จ เราจึงกลายเป็นผู้ที่ไม่เคยอยู่กับความจริง แต่เราอยู่กับความคาดหวัง ฉะนั้นเมื่อถึงตรงนี้ทุกก้าวจะเดินไป ลำบากขนาดไหน มีรอยยิ้มขนาดไหน เราก็จะไม่มีความสุข เพราะทุกๆ วันความสุขของเราคือวันเงินเดือนออก วันที่ขายของแล้วได้กำไร ใช่ไหม (ใช่) นี่แหละคือต้นเหตุที่ทำให้เราปิดบังความจริง ทุกๆ ก้าวเราก็มีความสุขได้ อยู่กับใครก็เข้าใจ อยู่กับใครก็มีความสุข แต่มนุษย์เราไม่ใช่ ต้องกับคนนี้เท่านั้นฉันจะมีความสุข ต้องกับคนนั้นเท่านั้นฉันจึงจะมีความสุข ฉะนั้นเราจึงไม่ได้เป็นคนที่อยู่กับความจริง แต่เรากำลังมีชีวิตอยู่กับความฝันและจุดหมายอันลมๆ แล้งๆ ใช่ไหม (ใช่)
ข้อที่สอง ถ้าไม่อวดว่าตัวเองเก่ง ใครจะว่าเราโง่เขลาเบาปัญญา สิ่งที่เราทำให้เราอยู่ร่วมกับคนได้ยากที่สุดก็คือ อย่ามาบอกว่าฉันไม่รู้ มีอะไรบ้างที่ท่านบอกว่าท่านไม่รู้ รู้เล็กรู้น้อยก็บอกว่าฉันรู้ ใช่ไหม (ใช่) แล้วเพราะรู้ จึงได้เจ็บขนาดนี้ ใช่ไหม (ใช่) ถามว่าอันนี้ ทำอย่างไรรู้ไหม (รู้) ให้ทำ ทำได้ไหม (ได้) แต่พอถึงเวลาล้มเหลวเป็นอย่างไร ขายหน้าไหม (ขายหน้า) อายไหม (อาย) ไม่เห็นต้องอายเลย จะได้รู้สักทีว่าที่รู้คือ ไม่รู้ ที่บอกว่า เหมือนเราเห็นว่าเราเป็น แต่จริงๆ เราอาจจะไม่เห็นและไม่เป็นเลย
ข้อที่สาม ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่น เราจะมีทุกข์เพราะต้องสูญเสียไหม ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่น ความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว) ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่นเราจะมีทุกข์ และจะต้องสูญเสียไหม (ไม่มี) แล้วตอนนี้ยังทุกข์ไหม (ทุกข์, ไม่ทุกข์) แถมบางท่านยังอมทุกข์ด้วย ฉะนั้นถ้าท่านจำสามข้อนี้ได้คงช่วยให้ท่านอยู่ในโลกได้อย่างไม่ทุกข์และเห็นแจ้งธรรมะอันแท้จริงได้ แค่สามข้อนี้ทำให้เราเห็นแจ้งแห่งธรรมะอันแท้จริงได้หรือไม่ (ได้) ท่านว่าเห็นไหม (เห็น) บางท่านบอกว่ายังยากอยู่นะ
ข้อสามนี้สำคัญที่สุด ในโลกใบนี้สิ่งที่ทำให้เราทุกข์มากที่สุดคือ เห็นสิ่งที่ไม่มีว่ามี มนุษย์ทุกข์มากที่สุด เพราะเห็นสิ่งที่ไม่มี ว่ามี แล้วก็ยึดมั่นเชื่อมั่นว่า มี ก็เลยต้องทุกข์ และต้องสูญเสีย ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ไม่ แต่เรายังยืนหยัดว่ามี นั่นแปลว่าเราหลงลืมอะไรไป หรือท่านหลงลืมธรรมอันจริงแท้ ว่า ใดๆ ในโลกล้วนไม่เที่ยง ลืมไหม (ลืม)
ฉะนั้นหลักธรรมที่มนุษย์ลืมไม่ได้เลยก็คือ ใดๆ ในโลกล้วนไม่เที่ยง ที่เห็นว่ามีก็คือไม่มี ฉะนั้นที่รู้ก็คือไม่รู้ ที่เห็นก็คือไม่เห็น ฉะนั้นเมื่อไม่เที่ยง จงจำไว้เสมอว่า อย่าเผลอยึดมั่นถือมั่น เพราะถ้ายึดมั่นถือมั่น ท่านก็จะได้รู้หนทางแห่งทุกข์อันแท้จริง ว่ามันทุกข์ขนาดไหน แล้วตอนนี้ก็เห็นมันอยู่ทุกวัน จริงไหม (จริง) ทุกข์ไหม (ทุกข์) ยึดทุกอย่าง คาดหวังทุกอย่าง แล้วก็แบกทุกอย่าง แบกเสร็จแล้วก็วิตกกังวล วิตกกังวลเสร็จก็ร้อนรุ่ม ร้อนรุ่มเสร็จแล้วก็หน้ามืดตามัว ทั้งที่จริงๆ แล้วเรารู้ไหม รู้แต่เหมือน (ไม่รู้) เห็นแต่เหมือน (ไม่เห็น) ทั้งที่จริงๆ แล้วสิ่งนี้น่าจะทำให้ท่านเข้าถึงความว่าง แต่กลับกลายเป็นอับจนปัญญา
ฉะนั้นเราจึงอยากบอกท่านว่าการสูญเสีย การพลัดพราก ไม่ใช่ความทุกข์ ความตายความเจ็บไข้ไม่ใช่เรื่องทรมาน ถ้าวันหนึ่งต้องอยู่คนเดียว ใครๆ ก็ล้มหายตายจากไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า แต่เรากำลังได้กลับสู่หนทางเก่าที่เราเคยทอดทิ้งกันมา หนทางแห่งความจริงแท้ที่ทุกชีวิตต้องเดิน ทุกคนไม่มีใครไม่ต้องสูญเสีย ไม่มีใครไม่เคยพลัดพรากและไม่มีใครไม่รู้จักคำว่าโดดเดี่ยว แต่พุทธะพบความทุกข์จนเกิดความเบิกบาน แต่มนุษย์เห็นทุกข์แล้วก็ทุกข์ แล้วก็หม่นหมองเศร้า นั่นแหละคือความแตกต่าง ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเราจึงบอกท่านว่าขอเพียงแค่เห็นสักอย่างหนึ่ง เห็นแล้วมองให้เห็นอย่างจริงแท้ การเห็นนั้นจะนำพาซึ่งความปิติ เบิกบาน เข้าใจโลก เข้าใจคน ใครทุกข์ได้ตลอดปีบ้าง ใครสูญเสียทุกวันบ้าง (ไม่มี) ทุกสิ่งเหมือนลมพัดผ่านมาแล้วก็พัดผ่านไป อย่ามัวจมอยู่กับความทุกข์ อย่ามัวจมอยู่กับความเศร้า แต่จงเอาความทุกข์ ความเศร้ามาทำให้เรามองเห็นความจริงและค้นพบความสงบอันเบิกบานใจ ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ความสูญเสียไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า ความโดดเดี่ยวไม่ใช่ความเหงาเปล่าเปลี่ยว แต่ทำให้เราเข้าใจตัวเองว่าเรากำลังเดินกลับทางเก่า ทางเก่าที่ท่านทอดทิ้งมานานและถ้าวันนี้ท่านไม่เดิน ชีวิตจะนำพาให้ท่านเดิน ถึงที่สุดใคร บ้างไม่ต้องกลับคนเดียว ถึงที่สุดใครบ้างที่จะต้องทิ้งทุกสิ่งแล้วไปมือเปล่า ไม่ใช่ท่านหรือ ทำไมไม่นำความทุกข์มานำความเบิกบานแล้วเห็นแจ้ง อย่าเป็นทุกข์แล้วก็ทุกข์ น่าเสียดายนะ เพราะเดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว เหมือนเราพูดไปสักพักหนึ่งมันก็ผ่านไปแล้ว จริงไหม (จริง)
พระพุทธะกล่าวว่า จุดหมายเป้าหมายไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือขณะนี้ เดี๋ยวนี้ทำอะไร ถ้าขณะนี้เดี๋ยวนี้ทำแล้วคิดถูกต้อง จุดหมายเป้าหมายก็ไม่ใช่เรื่องยาก มนุษย์มักจะพูดว่าตัวเองมีอนาคต ตัวเองมีอดีต แต่พระพุทธะกล่าวไว้ว่าอดีตคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว อนาคตคือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ส่วนปัจจุบันคือสิ่งที่ไม่แน่นอน ฉะนั้นท่านจึงมีแค่เดี๋ยวนี้ ตรงนี้ ขณะนี้ ฉะนั้นอดีต ปัจจุบัน อนาคตจึงไม่ใช่เรื่องที่สำคัญ จึงเรียกว่าจิตเหนือกาลเวลา เราพูดยากเกินไปไหม
อยากฟังเราพูดต่อไหม (อยาก) เห็นเริ่มจะไม่ไหวแล้ว ไหวไหม (ไหว) เปลี่ยนจากภาคทฤษฎีที่ฟังเยอะๆ มาเป็นภาคปฏิบัติดูบ้างดีไหม (ดี) ถ้าอย่างนั้นเราถามท่านนะ ใครมาฟังธรรมะพร้อมกับเพื่อนที่สนิทรู้ใจบ้าง ยกมือขึ้น
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนที่เป็นเพื่อนสนิทรู้ใจกัน นักเรียนชายหนึ่งคู่ นักเรียนหญิงหนึ่งคู่ ออกไปยืนที่หน้าชั้นเรียน)
สนิทกันมากไหม หรือแค่ระดับเล็กๆ ระดับหนึ่ง มากพอจะรู้ใจกันใช่ไหม ทำไมเริ่มไม่มั่นใจล่ะ เราถามอะไรผิดไปไหม สนิทกันมากนะ อีกท่านหนึ่งล่ะ รู้จักเขาไหม (รู้จัก) รู้จักระดับหนึ่งเลยใช่หรือไม่ (ใช่) มั่นใจกันไหม มั่นใจนะ เพราะว่าเมื่อสักครู่ฟังภาคทฤษฎีไปแล้ว เราจะให้ท่านเรียนภาคปฏิบัตินะคนหนึ่งจะต้องทายใจอีกคนหนึ่ง จะให้ใครทายใจใคร มั่นใจนะว่ารู้จักกันแน่ แล้วจะใครอยู่ใครไป จะให้ใครทายใจใคร
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้คู่เพื่อนสนิททั้งสองคู่ คนหนึ่งอยู่ในห้องพระ อีกคนหนึ่งไปอยู่อีกที่หนึ่ง)
ให้ท่านเดาง่ายๆ เองว่า ถ้าเรายืนอยู่ตรงนี้ แล้วเพื่อนของท่านยืนอยู่ตรงจุดนั้น คิดว่าเขาจะเดินมาหาเรากี่ก้าวถึง รู้จักเขาใช่ไหม ฉะนั้นฟังธรรมะไป จำไว้นะเราพูดว่าอะไร ถ้าจำไม่ได้อาจจะทุกข์เพราะตัวเอง จำได้ไหม พอเดาได้ไหม ถ้าเขายืนอยู่ตรงนั้น เขาจะเดินกี่ก้าวมาถึงเรา ตอบได้ไหม ตอบถูกได้กลับไปนั่ง ตอบไม่ถูกยืนเป็นเพื่อนเรานะ คิดว่ารู้ไหม (ไม่รู้) ไม่เดาแล้วหรือ เดาไหม (เดา) คนที่ยุถึงเวลาเขาไม่เจ็บกับท่านด้วยนะ เดาไหม (เดา) คนยุเขาไม่รับทุกข์กับเรานะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(นักเรียนฝ่ายหญิงตอบว่าไม่รู้ นักเรียนฝ่ายชายขอเดาว่าเพื่อนจะเดินสองก้าว)
ถ้าเดาแล้วท่านต้องรับผลเองนะ เราคุยธรรมะกันไปแล้วใช่ไหม ภาคทฤษฎีเราบอกว่าอะไรนะ จำสามข้อที่เราพูดได้ไหม จุดมุ่งหมายในชีวิตบางทีไม่จำเป็นจะต้องสำเร็จ อย่าคิดว่าตัวเองอวดรู้ไปหมด จะได้ไม่โดนคนว่าโง่เขลา และอย่ายึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองรู้และเข้าใจ เพราะบางทีอาจจะยึดมั่นอะไรไม่ได้เลย ใช่ไหม (ใช่)
จริงๆ แล้วถึงเราจะสนิทกับใครมากแค่ไหนอย่าคิดว่าเรารู้จักเขาดีเด็ดขาด เพราะเมื่อไรที่ท่านคิดว่าท่านรู้จักเขาเป็นอย่างดีท่านมักเริ่มวางกรอบ ท่านเริ่มคาดหวัง แล้วเมื่อเขาทำไม่ได้ท่านเริ่มวิตกทุกข์ร้อน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นสู้บอกว่าไม่รู้ แม้ถูกมองว่าโง่หน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะสนิทขนาดไหนเราก็ไม่รู้จักเขาจริงๆ แม้แต่ตัวเราเองถามท่านว่าระยะทางจากบริเวณที่ท่านอยู่เดินมาหาเราใช้กี่ก้าว ท่านว่าตัวท่านรู้ไหม (ไม่รู้) กล้าไหม ไม่กล้า แล้วทำไมในชีวิตจริงกล้าไปหมด ฉะนั้นไม่รู้บ้างไม่เอาบ้างก็ไม่เสียหายอะไร
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เรียกเพื่อนอีกสองคนที่ไปแอบอีกที่หนึ่งกลับมา คู่เพื่อนสนิทฝ่ายหญิงให้กลับไปนั่งที่ได้เพราะตอบว่าไม่รู้ว่าเพื่อนจะเดินกี่ก้าว ส่วนคู่สนิทฝ่ายชาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เดินจากจุดที่กำหนดมาถึงจุดที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ ซึ่งก็เดินได้สองก้าว)
พอท่านรอดท่านไม่ทุกข์ รู้ไหมว่าท่านก็ทำเพื่อนไม่ทุกข์ด้วย พอเราทุกข์ว่าเพื่อนต้องเดินให้ได้ตามคำตอบของเรา เราคาดหวังไหม แล้วสุขทุกข์อยู่ที่ไหน อยู่ที่ขาเขา ใช่ไหม (ใช่) เราจะตายเราจะรอดอยู่ที่ขาเขา
ฉะนั้นเห็นเหมือนไม่เห็น รู้เหมือนไม่รู้ มีก็คือไม่มีจะได้ไม่ทุกข์ พอท่านรอดเพื่อนก็รอด พอท่านไม่ทุกข์เพื่อนก็ไม่ทุกข์ ท่านรู้หรือไม่ว่าการก้าวเดินของเพื่อนทำให้เราทุกข์ทันที
เราอยู่ในโลกเราเผลอคิดว่าตัวเองรู้ทุกสิ่งในโลกไหม เราอยู่ในโลกเรายึดมั่นทุกสิ่งทุกอย่างแม้คนที่เรารักที่สุด จนทำให้เขาอึดอัดไปหรือเปล่า พอได้ทฤษฎีแล้วนำไปปฏิบัติได้หรือยัง
อย่างที่เราบอก รู้เหมือนไม่รู้ มีเหมือนไม่มี ทำได้หรือเปล่าหนอ ถ้าทำไม่ได้การยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ในความคิด ในความรู้จะนำมาซึ่งหนทางแห่งความทุกข์อันนิรันดร์ แค่นั้นเองนะ ถ้าทำไม่ได้ท่านก็จะรู้จักหนทางแห่งทุกข์ที่สุด แต่ถ้าทำได้ความทุกข์จะไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่ความทุกข์จะเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความเบิกบานและเข้าใจกัน จริงไหม (จริง) ต้องลองทำดูนะ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียน อาสาสมัครออกมาหน้าชั้นหนึ่งคน)
นั่งเฉยๆ เบื่อแย่ไม่ใช่หรือ อย่างนั้นขึ้นมาฝึกฝนปฏิบัติกับเราดู ปรบมือให้ผู้กล้าหน่อย
กลัวไหม (กลัว) กลัวอะไรหรือเราไม่ได้จะแกล้งนะ ตอนนี้บนโต๊ะมีผลไม้เยอะแยะไปหมดเลย เราถามท่านว่าอยากได้ไหม (อยากได้) อย่างนั้นถ้าเราบอกว่าให้ท่านหยิบได้เท่าที่ท่านอยากหยิบ (นักเรียนหยิบผลไม้มา 3 อย่าง) เราจะบอกท่านอีกอย่างหนึ่งนะว่า สิ่งที่ท่านหยิบท่านยังขาดอีกสิ่งหนึ่ง ถ้าท่านหยิบได้ถูก สิ่งนั้นจะนำพาซึ่งความสุขและก็ไม่เจ็บป่วย (นักเรียนกลับมาหยิบแก้วมังกร) มั่นใจหรือยัง (มั่นใจ) แต่ถ้าเรายังบอกว่าท่านยังหยิบไม่ครบนะ ถ้าท่านหยิบอีกมันจะมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ท่านไม่รู้จักความจนเลย (นักเรียนไม่หยิบแล้ว) แบกไม่ไหวแล้วใช่ไหม ไม่หยิบอีกหรือ (ไม่) อันนี้อาจจะมีความสุขแต่อาจจะต้องจนนะ (พอใจแล้ว) แน่ใจนะ (แน่ใจ)
นักเรียนในชั้นได้ธรรมะอะไรจากเขาไหม (ได้ความพอดี) ใช่หรือ ถ้าเป็นเราจะไม่หยิบอะไรเลย รู้ไหมเพราะอะไร เพราะยิ่งหยิบ (ก็ยิ่งหนัก) ก็รู้นะยิ่งหยิบก็ยิ่งหนัก หยิบมาหนึ่งผลให้พ่อ อีกหนึ่งผลให้แม่ แล้วเพื่อนล่ะ น้องล่ะ พี่ล่ะ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นยิ่งหยิบก็ยิ่งหนัก ตอนนี้ทำอย่างไร (แบกไว้) นี่แหละมนุษย์ ถูกไหม (ถูก)
ทำไมเราจึงตอบว่า ถ้าเป็นเราไม่หยิบอะไรเลย เพราะสิ่งที่มีก็เหมือนไม่มี และยิ่งพยายามมีเราก็ต้องแบกมันไว้ทั้งหมด และจริงๆ แล้วเราแบกมันทั้งหมดได้ไหม (ไม่ได้) ความสุข ความสมหวัง ความร่ำรวย ความไม่เจ็บป่วย สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้ท่านเป็นอย่างนั้นได้จริงๆ หรือ ใช่อยู่ที่ผลไม้หรือ ใช่อยู่ที่เงินทองหรือ แล้วทำไมเราคาดหวังถ้ามีเงิน ถ้ามีความสำเร็จ เราจะสุข เราจะไม่จนและพอได้มันมา เราต้องแบกมันนานเท่าไหร่จริงไหม (จริง) เมื่อยหรือยัง (ยังไหว) นี่แหละมนุษย์แท้ๆ เลย รู้ว่าหนักก็ยังแบก รู้ว่าทุกข์ก็ยังรับ อยากจะคืนไหม (ได้ก็ดี) ให้คิด จะคืนกี่ลูก (นักเรียนคืนแก้วมังกรและสาลี่ 2 ลูก)
มนุษย์ถึงแม้จะเรียนรู้หลักธรรมเยอะแยะมากมาย แต่สุดท้ายก็ตายตอนจบ ใช่ไหม (ใช่) รู้ว่าแบก รู้ว่ายึดมันไม่ดี แต่ก็ยังหวังที่จะแบกจะยึด เพราะคิดว่ามันคือความสุข แต่จริงๆ แล้วในสุขนั้นมีทุกข์สาหัสสากรรจ์เลย จริงหรือไม่ (จริง) คนที่ท่านรัก คนที่ท่านหวัง คนที่ท่านห่วง แม้ตอนนี้คือความสุข คือรอยยิ้ม แต่ต่อไปคืออะไรเราไม่รู้ ฉะนั้นยังอยากแบกยังอยากยึดก็ต้องเรียนรู้ที่จะมีจะเป็นให้ดีนะ ไม่อย่างนั้นสิ่งที่มีจะนำพาให้เราทุกข์ไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาถามนักเรียนว่าจะเอาผลไม้ที่ถืออยู่ไหม) อย่างไรก็เอาไปอยู่ดีใช่ไหม เพราะถ้าท่านได้ไป ถ้ามีคนขอท่านจะไม่ให้ได้ไหม (ไม่ได้) เพราะนักเรียนในชั้นนี้ทั้งหมดไม่มีใครมี มีท่านคนเดียว
มนุษย์ชอบคาดหวัง ถ้ามีสิ่งนี้แล้วจะทำให้ตัวเองดีขึ้น แต่ไม่ได้มองตัวเองเลยว่า ตัวเองทำได้ไหม ถ้าคนบางคนอาจจะหยิบไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถามจริงๆ นักเรียนในชั้นนี้ ท่านว่าคนหนึ่งสามารถนำผลไม้กลับมาไว้ที่ตัวได้มากน้อยแค่ไหน ท่านจะตอบว่าอย่างไร (ไม่รู้) ไม่รู้เลยหรือ หลายคนอาจจะตอบว่า หยิบได้ไม่จำกัด เท่าที่เขาอยากได้ แต่อย่าลืมนะว่า เมื่อหยิบได้ไม่จำกัด สิ่งที่เราหยิบจำกัดไหม ชีวิตเราจำกัดไหม (จำกัด) แล้วเรากำลังหลงไขว่คว้าอยู่จนลืมความจำกัดในตัวเองหรือไม่ เราเป็นอย่างนั้นไหมชีวิตคือการแสวงหา แสวงหาไม่จบสิ้นแล้วถึงเวลาเป็นอย่างไร เจ็บป่วยเพราะความโลภที่ไม่รู้จักพอ เพราะตัวเรามีความจำกัดอยู่ แต่ความอยากที่ท่านมีนั้นไม่เคยจำกัดเลย
ถ้าสมมติว่าเราเดินอยู่ เราเผลอไปเหยียบเท้าเขา แล้วเราก็เดินไปเลย ท่านว่าคนที่โดนเหยียบเท้าจะเป็นอย่างไร (โกรธ, ด่า) ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น (ใช่) แล้วทำไมเราต้องเรียนรู้เรื่องคุณธรรม ถ้าแค่โดนเหยียบเท้าแล้วต้องด่ากลับ ท่านเป็นศิษย์พระพุทธองค์ ใช่หรือไม่ (ใช่) พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า “คนอื่นว่าเราไม่ผิดเท่ากับเราว่าเขา เพราะทำให้เวรยืดเยื้อ” ท่านเป็นศิษย์พระพุทธองค์ แล้วทำตามที่พระพุทธองค์สอนไหม (ไม่) แล้วเคยเอาคุณธรรมขึ้นมาใช้ในชีวิตไหม (ไม่) ถ้าสมมติว่าโดนเหยียบเท้า ท่านคิดว่าอย่างไร เอาคุณธรรมอะไรมาใช้ ก็ไม่เห็นเป็นไร ร้ายมาก็ร้ายตอบ ดีมาก็ดีตอบ แน่ใจหรือ ดีมาก็สงสัยตอบ มนุษย์เป็นอย่างนี้นะ ใครดีมา ก็คิดว่ามีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า หวังอะไรจากฉันหรือไม่ พอใครร้ายมาร้ายกลับทันที แถมร้ายกว่าเขาอีกด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ท่านรู้ไหมว่า ถ้าตอนนี้สมมติว่าเราเหยียบเท้าเขา แล้วเราเดินไปแล้วเพิ่งนึกได้กลับมาขอโทษ แต่ยังไม่ทันจะยกมือขอโทษ เขาก็ชี้หน้าด่าท่านรู้ไหมว่า คนผิดจะกลายเป็นคนถูก คนถูกจะกลายเป็นคนผิด จริงหรือไม่ (จริง) แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่) ฉะนั้นเราจะดึงคุณธรรมอะไรออกมาใช้ เขาเหยียบเท้าเราแล้วไม่ขอโทษเลย ปล่อยไหม (ปล่อย) ปล่อยอย่างไรถึงจะปล่อยได้สุดใจ ไม่ค้างคาใจ ไม่เกี่ยวกรรมใจ มนุษย์พูดว่าปล่อย แต่ไม่สุดใจ มนุษย์พูดว่ายอมแต่ยังเกี่ยวกันอยู่ ใช่ไหม (ใช่)
พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “เมตตาธรรมค้ำจุนโลก” ไม่ต้องโลกหรอกเอาใจเรานี่แหละ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอย่าลืม มนุษย์มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าคุณธรรมประจำใจ นั่นคือความเมตตา เขาอาจจะมีเรื่องรีบร้อนจนไม่ทันรู้ตัวว่าเหยียบเท้าเราก็ได้ นี่แหละเรียกว่าวางใจเป็นกลางแล้วไม่ถือสาหาความ ไม่มีใครทำร้ายเราเจ็บเท่ากับเราทำตัวเราเอง มนุษย์ไม่ได้ใจเย็นมาตั้งแต่เกิด แต่รู้จักดึงคุณธรรมแห่งความเมตตา และจิตใจที่รู้จักวางใจเป็นกลางมาใช้ จึงเกิดความใจเย็นได้ เกิดเป็นคน ธรรมก็ลืมไม่ได้คุณธรรมก็ทอดทิ้งไม่ได้
ฉะนั้นมนุษย์จะทำร้ายกันได้ลงคอ และจะผูกใจเจ็บกันไปภพแล้วภพเล่าไม่จบสิ้น เพียงแค่เหยียบเท้ากันเท่านั้นเองหรือ มนุษย์ไม่ได้เข้มแข็งมาตั้งแต่เกิด แต่มนุษย์รู้จักเมตตา อดทนอดกลั้น ไม่หุนหันพลันแล่น ใช่หรือไม่ (ใช่) ทำได้ไหมหนอ ถ้าเราทำไม่ได้อย่างที่เราพูดนอกจากทุกข์ในชาตินี้แล้ว ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดชาติแล้วชาติเล่า เพราะความยึดมั่น ถือมั่นในตัวตน คือหนทางแห่งความทุกข์และบาปทั้งมวล แค่โดนเหยียบเท้าก็โกรธ แค่โดนชนก็ด่า แค่โดนว่าก็ผูกใจเจ็บ เราเป็นเช่นนั้นใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นสิ่งสุดท้ายที่เราจะบอกกับท่านก็คือ ถ้ายึดมั่นถือมั่นในตัวตนเมื่อใด หนทางบาปทั้งมวลก็เกิดขึ้นได้เพราะตัวเราเอง จริงไหม (จริง) ถ้าอยากทำลายตัวตนให้หมดสิ้น แล้วไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป ทำอย่างไรรู้ไหม ช่วงใช้แต่ไม่ยึดมั่น ข้องเกี่ยวแต่ไม่ผูกพัน ถ้าทำได้แม้จะต้องหาเงินก็จะไม่ต้องทุกข์เพราะเงิน แม้จะมีรักก็จะไม่ทุกข์เพราะรัก แม้จะมีตัวตนก็ไม่เจ็บช้ำเพราะตนเอง ทำได้ยากนะ แต่ถึงยากท่านก็ต้องกล้าทำ เพราะถ้าท่านไม่กล้าทำเอาแต่ยอมแพ้อยู่ร่ำไป ท่านก็จะไม่พบความสุขที่นำมาสู่ความ เบิกบานอันแท้จริง วันนี้เพิ่งเริ่มต้นแค่นั้นนะ
อยากฟังต่อใช่หรือไม่ (ใช่) เราเห็นหน้าตาก็รู้แล้วว่าอยากฟังต่อแล้วนะ มีโอกาสพรุ่งนี้ตั้งใจฟังอีกหนึ่งวัน เราไม่ได้หวังให้ท่านเชื่อ แต่เรากำลังพูดความจริงที่เรียกว่าชีวิต ซึ่งเราพบแล้วทางออก และเราก็ยินดีจะนำพาท่านให้ไปสู่ทางพ้นทุกข์นี้ แต่ก็อยู่ที่ว่าท่านจะประจักษ์แจ้งด้วยตัวเองเมื่อไรกัน อย่าคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ถ้าเมื่อใดที่ความทุกข์มันจุกอก ไหว้พระก็ไม่มีประโยชน์ สวดมนต์ก็เปล่าประโยชน์ ถ้าเราไม่หันกลับมามองความจริงแท้ว่า มีก็เหมือนไม่มีจำไว้นะ แล้วจะได้ไม่ทุกข์เพราะการมี
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก อย่าไปยึดหวัง คาดหวังกับความสุขในโลก พุทธะไม่เคยบอกว่าในโลกนี้มีความสุข มีแต่ความทุกข์ ทุกข์มาก ทุกข์น้อย มีโอกาสคงได้ร่วมเดินหนทางสายเก่าพร้อมกัน ด้วยความเข้าใจทุกข์และเกิดความเบิกบานใจในหลักธรรมนะ อย่าศึกษาธรรมแล้วยิ่งทุกข์ใจ แต่ยิ่งศึกษายิ่งเบิกบานใจ นี่ถึงจะเรียกว่าเข้าถึงธรรมอย่างถูกต้อง ความเจ็บ ความพลัดพราก ความสูญเสียไม่ใช่เรื่องน่ากลัว จำไว้นะ
วันอาทิตย์ที่ ๒๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
อยู่ว่างว่างชอบฟุ้งไม่เห็นธรรม คนรู้ทำคิดร้ายไม่เห็นดี
หากจะทำใช้เมตตาจิตเต็มที่ ชอบติฉินนินทานี้ไม่ใช่บำเพ็ญ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักของอาจารย์ทุกคนสบายดีไหม
จุดมุ่งหมายคือจันทราใช่ปลายนิ้ว ระหว่างคิ้วหลั่งไหลมาจากหนึ่งชี้
กลับคืนฟ้าและญาณใจกลับที่ หลักแห่งปราชญ์ดูตนนี้จึงยั่งยืน
ศีลคุมใจทำให้อารมณ์ไม่วิปลาส ทางยืนหยัดปราชญ์ตื่นคนอื่นตื่น
ฉุดช่วยคนช่วยยืนยาวพ้นหมื่น ไม่ใช่ยืนตามความเก่งเปรียบกัน
คนหลงแพ้ต่อความสุขรูปนาม เที่ยวกินงามงอกเพียรก็มักสั้น
เว้นกามปราชญ์ลดละความสุขนั้น ดูแล้วท่านเป็นปราชญ์หรือคนหลง
ฮา ฮา หยุด
ปราชญ์ต้องหวงแหน จิตที่เห็นธรรม หากตรงไหนมืดดำ อย่าแอบสนใจ ธรรมเหนือความเป็นอยู่ สิ่งแวดล้อมใดใด พระอาทิตย์ช่างไกล ส่องชัดเจนทั่วฟ้า
ฝึกเรียนรู้ผอง หลักธรรมที่มี ศรัทธาเข้มแข็งดี จิตชนะมาร คนมุ่งมั่นบำเพ็ญ สุขุมเป็นงาน จิตสร้างสรรค์มากมาย หลั่งไหลมาจากฟ้า
* ปราชญ์ดูแลญาณตนให้ตื่น ปราชญ์หยัดยืนช่วยคนยืนตาม ความเก่งแพ้ต่อความเพียรงอกงาม ปราชญ์ลดละกินกามความสุข
** เปลี่ยนความลุ่มหลงเป็นปัญญา อันความว่างไหนไม่เทียมการวาง เพราะขอบฟ้าที่จริงแล้วว่างว่าง เลิกเอาความคิดตีเส้นตรง เปลี่ยนความไม่รู้ในคนเก่า เอาการเฝ้าย้อนเฝ้ามองเต็มตา มีแต่รู้ด้วยตนถึงเริ่มจะ เปลี่ยนตัวเองก็ต้องจริงใจ แก้แม้ผิดนิดเดียว
*** ปราชญ์เป็นนักคิดด้วยความระวัง อย่าลืมต้องรู้ฟัง จึงไม่พลาดไป ความรู้ในปราชญ์ อย่าใจแคบเกินไป รักการถูกเอาใจ ย่อมทำลายปรัชญา (ซ้ำ *, **)
ชื่อเพลง: เส้นทางสายปราชญ์
ทำนองเพลง: หากันจนเจอ
หมายเหตุ
เนื้อเพลงสามย่อหน้าแรก เป็นพระโอวาทซ้อนพระโอวาท "เส้นทางสายปราชญ์"
เนื้อเพลงสองย่อหน้าสุดท้าย พระอาจารย์เมตตาประทานเพิ่ม
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร้องเพลงแสงกระทบที่ธารน้ำหลั่ง)
มีความสุขไหม (มี) แต่มีบางคนไม่ค่อยมีความสุข เพราะจำใจมา จำใจอยู่ เพราะอาจารย์เห็นว่าไม่ได้นั่งฟังเลย มัวแต่มองโทรศัพท์มือถือ ใช่ไหม ชีวิตมีอยู่สองอย่าง ตื่นมาอัพ โหลด กด ใช่ไหม (ใช่) ที่พึ่งของชีวิตคือโทรศัพท์ ถ้าไม่มีเหงาตาย ใช่ไหมศิษย์ (ใช่) อาจารย์ลองถาม ถ้าใครบอกว่าไม่ใช่ อาจารย์บอกว่าให้ปิดหนึ่งวัน แล้วไม่เปิดเลย จะเป็นแบบตาคอยมอง แล้วมีใครจะคิดถึงเราบ้างไหม ใช่ไหม (ใช่)
คุณค่าของศิษย์วัดด้วยการที่ใครกดไลค์ (Like) มากสุด ใช่หรือเปล่า ศิษย์เอย บางทีอาจารย์เห็นแล้วอาจารย์ก็รู้สึกน่ารัก แต่บางทีก็รู้สึกน่าสงสารนะ ความสุขมีอยู่แค่นี้เองหรือศิษย์ ไหนใครยอมรับว่าตัวเองติดมาก ไม่มีโทรศัพท์จะขาดใจตายยกมือขึ้น จริงไหม ทั้งที่สมัยก่อนตอนเด็กๆ เรามีไหม โทรศัพท์มาทีหลังนะศิษย์ อย่าปล่อยให้โทรศัพท์ขังเราอยู่ในนั้น ไม่มีโทรศัพท์เราก็อยู่ได้ ใช่หรือไม่ อย่ามัวแต่อยู่กับกล่องสี่เหลี่ยม จนลืมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนและพี่น้องรอบข้าง อย่ามัวสนใจกล่องสี่เหลี่ยม จนลืมดูแลทุกข์สุขพ่อแม่ หรือสุขภาพตน ใช่ไหม (ใช่) ติดกล่องสี่เหลี่ยมจนบางทีลืมกิน ลืมนอน ลืมป่วย ลืมเจ็บ ใช่ไหม บางทีอาจารย์ก็อยากให้ติดบ้างเหมือนกันนะ เวลาเจ็บมากๆ ดูแต่โทรศัพท์จะได้ลืมเจ็บ ดีไหม
ศิษย์ลองดูสิมนุษย์นี่แปลกนะ ถ้ากำลังมันในอารมณ์ กำลังคึกอยู่กับสิ่งใด เหมือนผู้ชายเวลาดูมวย อาจารย์ก็ขำ ยืนเป็นชั่วโมงไม่เคยเมื่อยเลย แต่นั่งฟังธรรมไม่ถึงสิบห้านาที ก็เมื่อยขา ใช่ไหม (ใช่) ได้นั่งด้วยนะ ไม่ไหว มันเมื่อยขา แต่ยืนดูมวย ยืนดูฟุตบอล ลองไปดูสิ แล้วแอบถ่ายรูปเขาแล้วบอกว่านี่แหละท่าเธอ ใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ผู้หญิงเป็นอย่างไรรู้ไหม ผู้หญิงเป็นโรคแปลก เห็นคำว่า SALE ไม่ได้ แต่ถ้า SALE 20% ก็ยังไม่มาก แต่ถ้า SALE 70% นี่ เห็นแล้วกรี๊ด ถูกหรือเปล่า (ถูก) แปลว่าอีกคนหนึ่งติดฟุตบอล อีกคนหนึ่งติดของลดราคา
มีบ้างไหมที่เวลาเจอพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วร้องดีใจ เจอสิ่งที่ดีแล้วร้องดีใจ พอเจอสิ่งที่ดีก็เงียบ เกี่ยวอะไรกับเรา เรื่องของเขาไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน ใช่ไหม (ใช่) มนุษย์นั้นติดวัตถุ ติดรูปนาม ติดๆ ไปหมดเลย ติดแล้วก็วัดค่าตัวเอง วัดค่าผู้คนด้วยเครื่องแต่งตัว แล้วผลสุดท้ายก็มาพ่ายตัวเองเพราะว่าติดเครื่องแต่งตัวดีๆ ของเขา ติดความรู้ความสามารถของเขา แต่พอมาอยู่ด้วยไม่น่าเลย ไม่น่ามองผิดเลย ใช่ไหม (ใช่) เรารู้อยู่เต็มอก แต่ถึงเวลาเราห้ามใจตัวเองไม่ได้ บางทีเรารู้นะอะไรดี อะไรไม่ดี เห็นนะทำแบบนี้ไม่ดีอย่าทำ แต่เวลาเผลอเราก็ทำ ใช่ไหม (ใช่) ว่าผู้ชายชอบเที่ยวดึก เห็นผู้หญิงไม่ได้เหล่ นิสัยไม่ดี เจ้าชู้ แต่พอเราเห็นดาราหล่อๆ กลับกรี๊ด ขอหอมแก้มหน่อย ขอถ่ายรูป ว่าคนอื่นตัวเราเองเป็นเอง ใช่ไหม (ใช่) ไม่ต่างกันเลยนะศิษย์เอ๋ย
อาจารย์คุยง่ายๆ เริ่มต้นก่อนก็คือว่า เมื่อเวลาเราอยู่ในโลก เวลาเราเห็นคนไม่ดี บางครั้งเราอดไม่ได้ มันคันปาก เก็บเอาไว้ในใจไม่ได้ พอเจอใครอยากระบาย ใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ถามว่าพอเรานำไปเล่าให้คนอื่นฟัง คนอื่นเขาจะรู้สึกดีไหม จากที่ตอนแรกเขามองคนนี้ดี คนรับฟังจิตใจก็ไม่ค่อยตรงเท่าไหร่ พอใครพูดว่าคนนี้ไม่ดี เอียงตามไปแล้ว จากที่มองดี เราก็เริ่มเอียงแล้ว เรายิ่งพูดไป เราหยุดคนอื่นพูดได้ไหม เรายังหยุดปากไม่ได้มันต้องมีต่อ แล้วพอต่างคนต่างมองไม่ดี แล้วคนที่ทำไม่ดีจริงๆ เขาจะดีขึ้นไหม เคยไหมนินทาจนวนมาพบเจอตัวคนโดนว่า อาจารย์เห็นบ่อยเลยคือนินทาๆ จนมันวนกลับมาว่าเรื่องที่คนนินทาเป็นเรื่องของตัวเอง แล้วพอเขารู้แล้วเขาจะดีขึ้นไหมศิษย์
ฉะนั้นการยิ่งพูดว่าคนอื่นไม่ดี มันไม่เคยทำให้ใครดีขึ้นและไม่เคยทำให้ใครอยากจะเป็นคนดีเพราะรับฟังเรื่อง ไม่ดีของคนอื่น แต่ในทางกลับกัน ถ้าศิษย์เห็นใครดีแล้วศิษย์พูดต่อๆ เมื่อมันวนกลับมาเจอเขา เขาจะรู้สึกว่าดีใจและเขาจะขยายสิ่งที่ตัวเองดีให้ดียิ่งขึ้น แต่ถ้าเกิดว่าคนนี้เขามีทั้งไม่ดีและดีแต่เราพูดแต่เรื่องไม่ดี ศิษย์คิดว่าเขาจะมีอะไรดีขึ้นไหมเขาก็จะจมอยู่กับอย่างนี้ จะแก้ให้ดีขึ้นไหม (ไม่แก้) ถูกไหม
ในโลกนี้มีคนสองประเภท อาจารย์สรุปง่ายๆ ประเภทแรกคือ อยากเป็นคนดีมากๆ เลย แต่เวลาเป็นคนดีแล้วเบื่อคน เหมือนอยากจะดี แต่พอดีแล้ว คนเป็นอย่างนี้ พอยอมก็โกรธ จนบางทีก็คิดว่าจะดีไปทำไม พอดีก็โกรธเอาๆ ไม่ดีแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากเป็นคนดีแต่ดีไม่ขึ้นเพราะเบื่อคนเลว กับอีกประเภทหนึ่งคิดว่าจะเป็นคนดีไปทำไม คนในโลกมีสองประเภทก็เลยเป็นพวกก้ำกึ่ง จะดีก็ไม่แน่ใจ จะไม่ดีก็ไม่ใช่ แต่ศิษย์รู้ไว้อย่างหนึ่งนะ คนที่พยายามไม่ดี แล้วก็ไม่อยากจะดีเพราะไม่รู้ว่าจะดีไปด้วยเหตุผลอะไร จะเจอคนไม่ดีกว่ามาหักล้าง แล้วทำให้เขาคิดว่าทำไมคนในโลกไม่ยอมดีสักที ถ้าศิษย์อยากเลว ศิษย์จะเจอคนเลวกว่ามาปราบ ถ้าศิษย์อยากเป็นคนดี โลกจะหาคนเลวมาเพื่อทำให้คนนั้นดียิ่งขึ้น ศิษย์เลือกเอา จะเป็นคนเลวแล้วเจอคนเลวมาปราบ หรือเป็นคนดีแล้วเจอคนเลวมาขัดเกลาให้ดียิ่งขึ้น เราอยากเป็นแบบไหนกัน
อาจารย์ไม่พูดนะว่า เป็นคนดีดีอย่างไร เพราะศิษย์ฟังมาเยอะแล้ว ถ้าอาจารย์พูดว่า ทำดีแล้วได้ขึ้นสวรรค์ ทำดีแล้วหมดทุกข์ ถ้าพูดแบบนั้นแปลว่าไปยึดติดสวรรค์ ยึดติดความดี หลงความดี ทำดีแล้วหน้าบาน มีคนชม ทำไปเถอะ ทำแล้วมีคนรัก อันนั้นเรียกทำแล้วยึดติดคำชม นั่นก็ไม่ถูกต้อง แต่อาจารย์จะบอกว่า คนเราต้องดี เพราะจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงาม คือพื้นฐานแห่งพุทธจิตในตน เพราะจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงาม คือ สิ่งที่เป็นพื้นฐานที่อยู่ในจิตของศิษย์ อาจารย์ถามศิษย์นะถ้าหากเกิดมาเจอหน้าใคร ก็ว่าเขาไปหมดเลย ว่าตั้งแต่ต้นซอยถึงท้ายซอย เจอหน้าใครก็ว่าไปหมด ศิษย์ทำได้ไหม (ไม่ได้) ทำไมทำไม่ได้ล่ะ หรือว่าตั้งแต่ต้นซอยถึงท้ายซอยเห็นอะไรของใครก็ขโมยเลย อยากได้ก็หยิบเลย ศิษย์ทำได้ไหม (ไม่ได้) เพราะอะไร ความกลัวเกรง ความละอาย และความเมตตาจิต เป็นสิ่งพื้นฐานที่อยู่ในจิตเรา
(พระอาจารย์เมตตาเรียกนักเรียนฝ่ายชายสี่คนที่ขึ้นมาบนห้องพระช้าให้ออกมาหน้าชั้น)
ศิษย์ทั้งสี่มาช้าก็เลย ไม่ได้ยินสิ่งที่อาจารย์พูดก่อนหน้านี้ ยืนหน้าชั้นอย่างนี้อายไหม เขินไหม (เขิน) ทำไมล่ะ ปกติเห็นเดินเชิดหน้า ใช่ไหม ยืนตรงๆ กลัวอะไรอาจารย์ไม่ได้รังแก แต่คนอื่นขึ้นกันมาหมดแล้วนะ ขนาดผู้เฒ่าที่อายุมากกว่าศิษย์ยังเดินไวกว่าศิษย์อีก ใช่หรือไม่ ฉะนั้นอาจารย์ถามนะ ทำไมถึงมาช้าถ้าตอบตรงๆ ได้กลับไปนั่ง แต่ถ้าตอบแบบโกหกก็ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ต่อดีไหม บอกได้ไหมไปทำอะไรมา ไม่มีใครช่วยใครนะ ต้องตอบเองนะ ว่าอย่างไรตอบได้ไหมไปทำอะไรมา (ไปเที่ยวตลาดน้ำ) ไปตลาดน้ำกันยกแก๊งเลยหรือ แล้วไปเที่ยวถึงตลาดน้ำไหม ถึงหรือ ก็เลยมาช้าเลย อายทำไมล่ะ อย่างน้อยก็ไม่ได้ไปแอบสูบบุหรี่ก็ดีใจแล้ว ใช่หรือไม่ ไม่แอบไปกินเนื้อสัตว์ก็ดีแล้วใช่ไหม
อย่างนั้นอาจารย์ถามนะ ในเมื่อคนนี้กล้าตอบแล้วได้นั่ง ดีไหม แล้วปล่อยเพื่อนยืนต่อไปดีหรือเปล่า (ไม่ได้) เพราะเรารักกัน ใช่ไหม อาจารย์ถามหน่อยนะที่วันนี้เขาให้ศิษย์มาฟังธรรมะ ศิษย์รู้ไหมว่าเพื่ออะไร รู้สึกสงสารเขาไหม แล้วถ้าอาจารย์ไม่สงสารล่ะ ปล่อยให้ยืนเขิน ปล่อยให้เขายืนว่าอาจารย์ในใจอย่างนี้ไปเถอะ ดีไหม (ไม่ดี) นี่แหละที่อาจารย์บอกว่าทำไมเกิดเป็นคนจึงต้องมีดีในหัวใจ เพราะถ้าอาจารย์ไม่มีจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงาม ไม่มีจิตสำนึกแห่งความเมตตา “เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน ฉันอยากให้เขายืนก็ยืนไปสิ ดีแล้ว ทำอะไรผิดก็ต้องรับโทษจะไปสงสารทำไม” ดูอาจารย์ใจร้ายใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเป็นคนไม่มีจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงามในหัวใจ คนก็ทำร้ายคนได้ลงคอ และคนก็ฆ่าคนได้ลงคอ จริงไหม ถ้าอาจารย์ไม่สนใจ ก็ยืนไปสิ ทำไมต้องสนใจ ทำไมต้องทำดีให้กัน ไหนบอกเหตุผลสิดีไปเพื่ออะไร
ศิษย์พอเข้าใจหรือยังทำไมต้องดี เพราะว่าถ้าเราไม่ดี เราจะทำร้ายทุกคนได้ลงคอ โดยที่ไม่จำเป็นต้องให้เหตุผลอะไร ฉะนั้นเหตุผลหนึ่งที่มนุษย์จะหลงลืมไม่ได้คือ มนุษย์ทุกคนล้วนมีจิตสำนึกแห่งความถูกต้องดีงาม และมีจิตสำนึกแห่งความละอายใจ แต่ถ้าเราไม่เคยหยั่งจิตสำนึกที่อยู่ในใจนี้เลย ก็จะเห็นแค่เพียงก็ฉันเป็นแบบนี้ ก็แค่นี้ แล้วจะทำไม แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มนุษย์รู้จักหยั่งจิตสำนึกให้ถึงซึ่งความถูกต้อง ละอาย มีเมตตาจิต มนุษย์จะเห็นธรรม และตัดทิ้งซึ่งตัวตนได้ในฉับพลันทันที จริงหรือไม่ (จริง)
ยืนไม่ไหวแล้ว ใช่หรือไหม (ใช่) ปรบมือให้ศิษย์ทั้งสี่คนนี้นะ ไม่ต้องเขิน อาจารย์ไม่ได้ว่าอะไรเลย เพราะชีวิตมันอยู่ที่ตัวศิษย์เอง ศิษย์เลือกเดินเอง เพราะถึงใครจะบังคับให้ศิษย์ต้องเดินตรง ศิษย์ต้องไปทางดี ถ้าศิษย์ไม่เอา ใครก็บังคับศิษย์ไม่ได้ ฉะนั้นจำคำพูดอาจารย์ไว้คำหนึ่งนะ “ถ้าเมื่อไรศิษย์คิดจะชั่ว ศิษย์จะเจอคนที่ชั่วกว่า” อย่าให้คนที่ชวนเรามาฟังธรรมะเสียแรงเปล่านะ เพราะถ้าเรามาแล้วไม่ได้อะไรเลยก็น่าเสียดาย
ลงเรือลำเดียวแล้วก็ไปด้วยกันหน่อยนะ ใครที่มานั่งแบบฝืนๆ ก็ทนหน่อยดีไหม อาจารย์มีเกมให้เล่นเกมหนึ่ง เกมนี้เป็นเกมที่ช่วยเขาแล้วได้ช่วยตัวเรา เกมของอาจารย์ง่ายๆ จะนั่งได้ก็ต่อเมื่อแถวให้แถวตามแนวนอนคิดประโยคเป็นธรรมะหนึ่งประโยค โดยที่ทุกคนต้องพูดทีละคำ อย่างเช่นมี 3 คำ เป็น คน ดี ถ้าพูดได้ครบทั้ง 3 คน ก็ได้นั่ง แต่ตอนนี้ให้พูดแล้วช่วยได้ทั้งแถว คือช่วยเขาแล้วก็ช่วยเราด้วย ดีไหม ไม่ใช่แค่ให้ศิษย์นั่งแค่คนเดียว แต่ก่อนจะนั่งศิษย์ต้องรู้จักช่วยเขาแล้วช่วยเรา ดีไหม (ดี) แถวนี้มีผู้หญิง 8 คน ก็ต้องคิดหลักธรรมะให้ได้ลง 8 คำ ถ้าลง 8 คำได้ครบ ก็ได้นั่งทันที แต่ถ้าไม่ลง 8 ขาดไปก็ยังไม่ได้นั่งดีไหม ผู้ชายมี 6 ฉะนั้นต้องคิดประโยคธรรมะให้เป็น 6 คำ ถ้าคิดได้ก็ได้นั่ง ถ้าคิดไม่ได้ก็ยืนเป็นเพื่อนอาจารย์ ห้ามพูดซ้ำกันนะ
พร้อมหรือยัง จริงๆ อาจารย์รู้ว่าศิษย์ทุกคนพร้อมแล้ว แต่อาจารย์ได้บอกไปแล้ว ช่วยเขาก็คือช่วยเรา อาจารย์บอกให้ศิษย์แต่งประโยคเพื่อช่วยแต่ละคน เพื่อให้ศิษย์ได้หันไปดูคนข้างๆ บ้าง เพราะบางทีมัวแต่มองเห็นแต่ตัวเองไม่เคยสนใจใคร ฉะนั้นการที่เราหันไปดูคนข้างๆ เพื่อจะได้รู้ว่า เวลาที่เราบอกว่าเรานั่งจนเมื่อยยังมีคนอายุมากกว่ายังนั่งได้สบายเลย ฉะนั้นถ้าแถวไหนมีคนอายุมากกว่าให้แถวนั้นตอบก่อนดีไหม (ดี) เป็นผู้ศึกษาธรรมต้องยอมให้ผู้อาวุโสก่อน แถวไหนมีผู้อาวุโสสูงสุด
(พระอาจารย์เมตตาให้ฝ่ายหญิงแถวที่มีผู้อาวุโสสูงสุดยกมือและต่อประโยคก่อน)
(กตัญญูกตเวที) แปลว่าอะไรศิษย์ (กตัญญูกตเวที หมายถึง การรู้บุญคุณของพ่อแม่ ผู้อาวุโส ครูบาอาจารย์)
(คิดดีทำดีจะได้ดี)
(ช่วงใช้แต่ไม่ผูกพัน)
(ละความชั่วเสริมสุขเพื่อหวนคืน)
(รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น)
ที่เมื่อสักครู่ในประโยคที่ตัวเองคิดเรื่องธรรมะ เราคิดอะไรได้ที่เป็นธรรมะบ้าง โดยส่วนใหญ่มนุษย์อยู่ในโลกจะคิดก็แต่เรื่องทางโลก วันนี้จะหาอะไรกิน วันนี้จะไปเที่ยวไหน ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้อยู่ๆ อาจารย์ให้คิดเรื่องพูดอะไรให้เป็นธรรมะ ถ้าคิดยากแปลว่าเราไม่ค่อยคิด แต่ถ้าคิดได้ทันทีแปลว่าเรามีใจคิดบ่อยๆ จริงไหม (จริง) ไหนใครกล้ายอมรับกับอาจารย์บ้างคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก มีคนยกมือด้วยนะ ในห้องมีคนเดียวเองหรือ ที่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก อาจารย์เชื่อว่ามีหลายคน ฉะนั้นเราอยู่ร่วมกับคน บางครั้งถ้าถึงเวลาเราคิดไม่ออกแต่มีคนคิดออก เราก็ต้องรู้จักรับฟัง เพราะถ้าเกิดว่าเราไปเถียงเขาทั้งที่เวลามีจำกัด ทั้งที่จะได้รีบจบ รีบเสร็จ ก็กลายเป็นยืดเยื้อไม่จบไม่เสร็จ จริงหรือไม่ (จริง)
คุยกันต่อดีไหม (ดี) แล้ววันนี้เราจะคุยกันเรื่องอะไรดีนะอาจารย์ คุยกับศิษย์ไว้ตอนแรกว่า ทำไมเราต้องมีดี เพราะว่าความดี ความถูกต้องดีงาม คือสิ่งที่เป็นพื้นฐานในจิตใจของมนุษย์ทุกคน ถ้ามนุษย์สามารถมีสติหยั่งคิดก่อนที่จะทำอะไรด้วยความถูกต้องดีงามอยู่เสมอๆ คนนั้นจะสามารถเข้าใกล้ธรรมได้ และห่างไกลอัตตาตัวตนได้ มีคำกล่าวอยู่คำหนึ่งว่า เมื่อมีตัวตนเกิดเมื่อไหร่ ความทุกข์ก็จะเกิดขึ้นเมื่อนั้น ฉะนั้นถ้าเราอยากทำลายตัวตน วิธีที่ดีที่สุด ก็คือ หยั่งให้เจอ ค้นให้พบตัวตนเดิมแท้ แล้วตัวตนเดิมแท้ของศิษย์มีอะไรที่เรียกว่าถูกต้องดีงาม
๑. ความเมตตา
๒. จิตที่ละอายเกรงกลัวต่อบาป
๓. จริยะอันดีงามที่รู้จักเคารพให้เกียรติผู้อื่น
๔. เป็นคนซื่อตรง ไม่สับปลับ ไม่ปลิ้นปล้อน ไม่เป็นคนกะล่อนหลอกลวง
๕. ทำอะไรรู้จักทำด้วยปัญญา รู้ว่าอะไรที่ทำให้เกิดปัญญา จึงจะไปทำ
นี่เรียกว่าความปกติพื้นฐานที่อยู่ในจิตใจของเรา ฉะนั้นทุกขณะที่ศิษย์จะทำอะไรก็ตาม ให้มีสติยั้งคิดว่า ทำแล้วมีเมตตาไหม ทำแล้วถูกต้องกับมโนธรรมสำนึกไหม ทำแล้วเคารพให้เกียรติผู้อื่นไหม ทุกขณะที่ทำคิดถึงแต่เรื่องธรรมะ คิดถึงแต่ความถูกต้องดีงาม เมื่อนั้นศิษย์ก็จะคือธรรม แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ศิษย์ทำอะไรก็คิดแค่ว่า ก็ฉันเป็นแบบนี้ ก็ฉันได้แค่นี้ ก็ฉันอยากทำแค่นี้ อันนั้นก็คือตัวตน เมื่อไหร่มีตัวตน เมื่อนั้นมีทุกข์ แต่เมื่อไหร่ที่เราทำอะไรแล้วเราคิดได้ว่า ถูกต้องไหม เอาสติมาก่อนแล้วหยั่งคิด ทำแล้วมีเมตตาไหม ทำแล้วเคารพให้เกียรติผู้อื่นไหม ถ้าทำแล้วไม่มีสิ่งที่กล่าวข้างต้น เราไม่ทำดีไหม
ฉะนั้นทุกขณะที่ทำคิดถึงแต่พื้นฐานความดีงามในจิตใจ เราก็คือคนที่เรียกว่าธรรม ตัวตนจะหายไป ธรรมะจะปรากฏขึ้นในตัวเราทันที นี่แหละเรียกว่าฝึกตัวเองดำเนินชีวิต จนกระทั่งพบธรรมได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่มนุษย์ไม่ใช่แบบนั้น นึกอยากทำอะไรก็ทำ ถูกต้องหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ตอนนี้ว่าอยาก ฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏในร่างกายจึงเป็นการแสดงออกของความคิด อารมณ์และคำพูด ตัวตนที่ปรากฏให้เห็นที่เรียกว่าตัวตนของศิษย์มาจากความคิด อารมณ์ คำพูด นิสัย หล่อหลอมจนกลายเป็นตัวตนแบบนี้ ฉะนั้นคนที่ชอบเดินอย่างล่องลอย คนที่นั่งแบบไม่แคร์อะไร ก็เป็นเพราะความคิดนิสัยเขาเป็นแบบนี้ สิ่งที่แสดงออกภายนอก ย่อมส่อให้เห็นถึงความคิด นิสัย อารมณ์ภายใน ใช่หรือไม่ (ใช่)
ดังนั้นการกระทำของกายคือผลพวงของความคิด อารมณ์ และนิสัย แต่ถ้าทุกขณะที่ศิษย์คิด มีเมตตา เคารพให้เกียรติ การเดิน การนั่ง คำพูดก็จะเปลี่ยนไปทันที เพราะจะคิดว่าพูดไปจะไม่มีเมตตาไหม จะไม่เคารพให้เกียรติคนไหม สิ่งนี้จะเป็นตัวบ่งบอกว่าเราอยู่ใกล้ธรรมหรือไกลธรรม โดยที่เราดำเนินชีวิต เราใช้สติ แล้วหยั่งลงที่ความถูกต้องดีงาม หรือไม่ใช้สติ ใช้แต่อารมณ์ความรู้สึกล้วนๆ หรือเปล่า แล้วศิษย์เป็นแบบไหน ทำไมศิษย์ฟังธรรมะมาตั้งเยอะ ทำไมไม่เห็นธรรม แล้วจะเข้าถึงธรรมได้อย่างไร ก็วันๆ เอาแต่อารมณ์ ความรู้สึกล้วนๆ ไม่เคยหยั่งเข้าไปในจิตเลย ไม่เคยทำอะไรด้วยสติ ปัญญา ไตร่ตรอง อย่างคนมีธรรมเลย ใช่ไหม (ใช่)
พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า “เกิดเป็นคนต้องมีศีล” แล้วศิษย์เคยดูเนื้อความนัยๆ ของพระพุทธองค์ไหม ท่านกำลังจะบอกว่า ศีล คือ พุทธจิตที่อยู่ในตัวเรา หรือแปลอีกความหมายหนึ่งว่า ศีลคือความปกติ ศิษย์บ่นกับอาจารย์ว่า ศิษย์ยังถือศีลไม่ครบเลย แปลว่า ศิษย์กำลังเป็นคนผิดปกติ โกหกเป็นว่าเล่น ผิดปกติไหม (ผิด) ฉะนั้นศิษย์อย่าบอกว่า ศีลยากกว่าจะดำเนินชีวิต ไกลตัวไป ศีลอยู่ที่วัดก็พอ รับศีลแล้วก็ฝากไว้ที่วัดเหมือนเดิม ซึ่งแปลว่าศิษย์ก็ยอมรับความผิดปกติเหมือนเดิม ใช่ไหม (ใช่) ที่อาจารย์พูดว่า เมตตาธรรม มโนธรรม สัตยธรรม ปัญญาธรรม มีอยู่ในศีล จริงๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดศีลมาเพื่อให้ศิษย์มีชีวิตอยู่ แล้วค่อยมีศีล แต่ท่านจะบอกว่าศีลมีอยู่ในตัวคน เช่น เมื่อไม่ฆ่าสัตว์ก็ฝึกจิตเมตตา เมื่อเมตตาจะว่าคนได้ไหม เมื่อเมตตาจะนินทาคนได้ไหม เพราะความเมตตาคือความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และถ้าเมื่อไหร่ที่ศิษย์ทำตามอารมณ์ ตามนิสัย นั่นคือศิษย์กำลังลืมความปกติเดิมแท้ในจิตใจ เมื่อศีลไม่ครบก็เลยต้อง มีสมาธิตามมา คือหนักแน่นไม่หวั่นไหว อาจารย์แค่ตีความนะ เกิดเป็นคนต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา ศิษย์เป็นสาวกของพระพุทธองค์ ต้องละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ละชั่วคือรักษาศีล ทำดี คือมีสมาธิมั่นคง สมาธิความหมายจริงๆ คือ ความมั่นคง ไม่หวั่นไหว แต่ศิษย์เจออะไรหวั่นไหวไปหมด ฉะนั้นศิษย์มั่นคงแต่ในวัดได้ไหม (ไม่ได้) ศิษย์ ต้องมั่นคงตั้งแต่ตอนนี้ มั่นคงในความปกติ จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งในชีวิตอันถ่องแท้ แล้วหลุดพ้นความทุกข์ทั้งมวล นี่แหละคือแก่นหลักของธรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ มนุษย์เข้าใจว่าเกิดเป็นคนต้องดี ดีเพื่ออะไร ดีเพราะมีคนชม ดีเพื่อขึ้นสวรรค์ แบบนี้เรียกว่า ไม่หลงชั่ว แต่หลงดี อย่างนี้ไม่ใช่ เกิดเป็นคนคิดว่าตัวเองมีศีลครบ แต่มองคนอื่นไม่มีศีล ไม่มีธรรม กลายเป็นพอมีศีลเริ่มเปรียบเทียบกับคนอื่น ต่อว่าคนอื่น แก่นของหลักธรรมคือ ความหลุดพ้นแห่งจิตใจอันไม่กำเริบหรือหวั่นไหวอีก แต่เมื่อศิษย์เจออะไร ก็ยังอยากอยู่ ยังอยากว่าเขาอยู่ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นศิษย์ว่าใช้อะไรกำกับดี
ตัวร้ายที่น่ากลัวที่สุด คอยครอบงำจิตใจมนุษย์ให้ไม่ต้องสนใจธรรมะ แล้วครอบงำให้มนุษย์ต้องตกเป็นทาสของความทุกข์อยู่ร่ำไป ศิษย์ว่าคืออะไร (กิเลส) โดยนิสัยมนุษย์นี้ มนุษย์มักจะบอกว่าความคิดเป็นตัวนำพาชีวิตและจิตใจ ส่วนใหญ่เวลาเราทำอะไรก็ทำตามที่เราคิด ถูกไหม (ถูก) จริงๆ แล้วความคิดไม่ใช่เจ้านายชีวิตนะ เจ้านายชีวิตที่แท้จริงคืออารมณ์ อารมณ์ไหนมาแรงที่สุด อารมณ์นั้นคือเจ้านายเรา ถ้าตอนไหนไม่มีอารมณ์ศิษย์ก็นั่งเฉยๆ ไม่ได้อยาก ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อ ไม่ได้โกรธ แต่ถ้าเมื่อไหร่อารมณ์ไหนครอบงำ อะไรมาแรงสุดตัวนั้นแหละจะคอยชักให้ไปซ้าย ขวา หน้า หลัง และที่ครอบงำ เพราะเราไม่เคยหยั่งลงมองที่จิตและฟุ้งไปตามอารมณ์ จึงมีคำกล่าวว่า “ทุกข์เกิดเพราะความไม่รู้ หลงผิดและยึดมั่น”
เราไม่รู้ว่าเรามีสิ่งที่ดีอยู่ในตัว เราไม่ฟังสิ่งที่ดีในตัวเลย เราฟังแต่ว่าตอนนี้หนูรู้สึกอย่างไร ตอนนี้หนูอยากได้อะไร พอปล่อยไปตามความรู้สึกความอยาก ก็ได้ยินคำว่า ต้นเหตุแห่งบาปและกรรมชั่วทั้งหลาย มาจากสามตัวที่ชั่วร้าย คือ (โลภ โกรธ หลง) ต้นเหตุแห่งอกุศลทั้งมวลมาจากโลภ โกรธ หลง เป็นทางมาแห่งความทุกข์ บาป การจองเวร และการเวียนว่ายไม่จบสิ้น ฉะนั้นถ้ามนุษย์เชื่อในอารมณ์ เชื่อในกิเลส ก็ง่ายที่จะมีเชื้อของโลภ โกรธ หลง
อาจารย์จะบอกวิธีกำจัดโลภ โกรธ หลง เอาไหม (เอา) อาจารย์ว่าก่อนที่จะกำจัด ศิษย์ต้องรู้จักนิสัยก่อนว่าโลภ โกรธ หลง มีนิสัยอยู่อย่างหนึ่งคืออะไรรู้ไหม จริงๆ โลภ โกรธ หลง ไม่มีตัวตนนะ แต่ชอบอยู่กับคนที่บอกว่าก็หนูเป็นแบบนี้ ก็หนูชอบบ่นแบบนี้ แล้วจะทำไม นั่นแหละโลภ โกรธ หลง ชอบอยู่กับคนที่พูดแบบนี้ จำไว้นะโลภ โกรธ หลง ไม่มีตัวตน แต่ที่มีอยู่เพราะว่าคนตอกย้ำตัวตนเองว่า ฉันนิสัยอย่างนี้ ฉะนั้นถ้าอยากกำจัดโลภ โกรธ หลงง่ายๆ คือ โลภ โกรธ หลง เกลียดคนรู้ทัน เวลาโกรธมาศิษย์ลองบอกเอาสติมา พอจะโกรธฉันรู้แล้วนะเธอจะโกรธ ฉันไม่เอาๆ โกรธจะตกใจ รู้ได้อย่างไร แล้วก็จะอยู่เฉยๆ แล้วก็จะไม่มีอิทธิพลกับเราเลย ลองดูถ้าเมื่อไหร่จะโกรธ ลองถามดู เธอจะโกรธ ฉันไม่โกรธกับเธอ ความอยากมีมา แต่ไม่เล่นกับมัน แล้วเราจะเอาชนะมันได้ก็แค่ด้วยสติและใจที่รู้เท่าทัน
ศิษย์เอาชนะโลภ โกรธ หลงได้ แต่ศิษย์จงจำไว้อย่างหนึ่งนะ การ ดับกิเลสยังไม่ทำให้เราพ้นทุกข์ จนกว่าเราจะหาทางพ้นทุกข์พบ เราจึงดับกิเลสได้สิ้น โพธิจิตจะหาได้เมื่อเราค้นพบจิตเดิมแท้ เมื่อไหร่เราเจอจิตเดิมแท้ เมื่อนั้นเราพบโพธิในใจตน “มนุษย์อยากพ้นทุกข์ขอเพียงอย่างเดียวแค่รู้ทันตน” และเราจะเอาชนะโลภ โกรธ หลงได้ด้วยสติ จำไว้นะ โลภ โกรธ หลง เกลียดคนรู้ทัน เมื่อไหร่ที่ศิษย์มีความสามารถแค่รู้ตื่นทันว่าจิตกำลังจะโกรธ แล้วศิษย์รู้ตื่นว่าโกรธมาแล้ว ไม่เอา ความโกรธจะงง แล้วก็จะหายไป ลองดูนะ วิธีของอาจารย์ยากไหม (ไม่ยาก) เหมือนเวลาเราเหงา เราเศร้าซึม เราโดดเดี่ยว อยากเหงาก็เหงาไป ฉันไม่เหงา แล้วความเหงาจะหยุดอยู่กับที่ แล้วเราจะเหงาไปทำไม ใช่ไหม (ใช่) ตัวศิษย์เองที่ยังทุกข์อยู่ เพราะขาดสติหรือเปล่า และไม่ตื่นรู้ทันตัวเองหรือไม่ รู้ทันคนในโลกไปหมด แต่ไม่รู้ทันใจตัวเองก็ทุกข์เปล่าๆ นะ
ศิษย์โดยส่วนใหญ่มักจะคิดว่า มีอัตตาตัวตนผิดตรงไหน ใช่หรือเปล่า (ใช่) เราเป็นคนนิสัยแบบนี้ เราเป็นตัวเองแบบนี้ การได้รู้จักตัวเองแบบนี้ น่าจะดีสิอาจารย์ แต่ศิษย์รู้ไหมว่าการยิ่งตอกย้ำตัวเองเป็นแบบนี้ นิสัยแบบนี้ และยึดมั่นกับตัวเองที่เป็นแบบนี้ก็คือ กำลังหาทางให้ตัวเองมีทุกข์นะ ศิษย์รู้ไหมตัวตนที่ศิษย์รักหวงแหนและดูแลเหลือเกิน อาจารย์จะบอกว่าจริงๆ แล้วคือถุงขี้ ออกจากจมูกเรียกว่า (ขี้มูก) ออกจากปากเรียกว่า (ขี้ปาก) ออกจากตาเรียกว่า (ขี้ตา) ออกจากมือเรียกว่า (ขี้มือ) แล้วไม่ใช่ถุงขี้หรือ มันคือถุงหนังที่ห่อหุ้ม ใช่หรือไม่ (ใช่) อันนั้นคือเรื่องหนึ่ง แต่พระพุทธะบอกว่า ร่างกายนี้จริงๆ แล้วเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กองทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นคนหนึ่งลุกขึ้นยืนแล้วกลับหลังหันเป็นแบบ)
ศิษย์รู้ไหมว่า อันนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มายาแห่งการลวงหลอกที่แสดงออกมาว่าเป็นคนแต่หาที่สิ้นสุดไม่ได้ จริงไหม (จริง) อันนี้คือหน้าสุดท้ายของเขาไหม ใช่ไหม (ใช่) แล้วศิษย์จะบอกว่า อันนี้คือตัวศิษย์ใช่ไหม (ไม่ใช่) ศิษย์จำให้ดีนะ ทำไมพุทธะถึงบอกว่า ตัวตนนี้ยึดไม่ได้ เพราะตัวตนนี้แท้จริงแล้วคือ มายาแห่งการลวงหลอก แต่แสดงออกในคราบมนุษย์ที่หาที่สุดไม่เจอ ตราบจนจิตใจถ้ายังไม่พ้นทุกข์ เราก็เวียนไปไม่จบสิ้น แต่จะเปลี่ยนเป็นอะไรขึ้นอยู่กับสิ่งที่จิตสั่งสม อย่าบอกนะว่าภพนี้คือภพสุดท้ายของศิษย์ แน่ใจไหม นี่คือหน้าสุดท้ายของศิษย์ ศิษย์แน่ใจไหม (ไม่แน่ใจ) อาจจะเป็นหน้านี้ก็ได้ ยังมีอีกไหม (มี) แล้วยังไปที่สุดไหม (ไม่) แล้วที่สุดอยู่ตรงไหน ใช่ตรงนี้ไหม
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียน 3 คน ออกมายืนหน้าชั้น แล้วให้เรียงตามอายุ)
ศิษย์มักจะบอกว่า การมีตัวตนมันผิดตรงไหน อาจารย์จะบอกว่าการมีตัวตนไม่ผิด แต่การยึดมั่นในตัวตนเป็นทางมาแห่งทุกข์ เพราะอะไรจึงยึดไม่ได้ ศิษย์เคยดูหนังไหม (เคย) ถ้า มีหนังเรื่องหนึ่งศิษย์เปิดดูแบบเร็วๆ จนจบเรื่อง ต่อไปศิษย์จะดูสนุกไหม เพราะเรารู้หมดแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) พุทธะก็เหมือนกัน เห็นหมดแล้ว ดีใจ หน้าสวย หน้าตึง เพราะมันไม่ใช่ที่สุด ดี เสียใจ หน้าเหี่ยว หน้าย่น ก็ไม่ใช่ที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นพุทธะคือผู้ที่เห็นแจ้งในสิ่งทั้งปวงว่า ไม่ใช่แค่ตัวตนเท่านั้นที่หาที่สุดไม่ได้ เงินทอง โทรศัพท์ เสื้อผ้า ไม่มีที่สุดใช่ไหม (ใช่) ศิษย์ตามแฟชั่นตามทันไหม (ไม่ทัน) แล้วเหนื่อยกับการวิ่งตามแฟชั่นไหม (เหนื่อย) แล้ววิ่งไหม (วิ่ง) ศิษย์มีเงินเหนื่อยไหม (เหนื่อย) แล้วหยุดไหม (ไม่หยุด) แต่พุทธะคือผู้ที่เห็นชัดเจนถึงที่สุดแล้ว ก็เลยไม่มีอะไรที่หลอกลวงท่านได้
ฉะนั้นเมื่อเข้าใจแล้ว ใครชมว่าสวยก็เท่านั้น ใครชมว่าเหี่ยวก็แค่นั้น เธอไม่ต้องว่าฉันหรอกว่าฉันเหี่ยว เพราะอันนี้ยังเหี่ยวไม่สุดนะ ยังเหี่ยวได้อีกเรื่อยๆ ตราบที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าใครชมว่าเราตึง อย่าดีใจ เพราะมันยังตึงไม่สุด ถูกหรือไม่ (ถูก)
ครั้งนี้อาจารย์ยังไม่ได้แจกแอปเปิลเลยนะ อยากได้ไหม (ไม่อยาก) อาจารย์เห็นแค่นักเรียนชั้นนี้แหละที่ไม่อยากได้ ปกติทุกชั้นอยากได้กันหมดเลยนะ ทำไมไม่อยากได้ล่ะ (แบกแล้วมันหนัก) ปรบมือให้นักเรียนชั้นนี้หน่อยนะ อย่างนั้นถ้าอาจารย์บอกว่า อาจารย์จะให้ศิษย์เอาแอปเปิลไปผูกบุญกับคนอื่น ดีไหม (ดี) เริ่มอยากได้แล้วใช่ไหม (ใช่) ศิษย์นี่นะต้องมีเหตุผลเสมอเลย ทำไมศิษย์ไม่คิดเหตุผลได้ด้วยตัวเอง อย่าเอาแต่รออาจารย์ตอบคำถาม แต่จงรู้จักตอบคำถามด้วยตัวเองบ้าง เพราะชีวิตไม่ได้มีอาจารย์อยู่ด้วยในทุกๆ ที่ แต่ตัวศิษย์เองต้องมีสติและคุณธรรมเป็นอาจารย์ อาจารย์ไม่ได้มา เพื่อให้ศิษย์ติดในตัวอาจารย์ แต่อาจารย์มาเพื่อให้ศิษย์ยืนอยู่บนโลกอย่างคนเข้มแข็ง และมีปัญญารู้จักคิด มีปัญญาแห่งพุทธะอยู่ในตัวศิษย์ แล้วไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ศิษย์ก็จะพ้นทุกข์ได้ด้วยตัวเอง อย่างนั้นจะประเสริฐกว่า แล้วปัญญาญาณเช่นนั้นจะไปถึงได้อย่างไร ไม่ใช่จะเกิดด้วยเพราะอาจารย์พูด แต่จะต้องเกิดจากการหยั่งลึก และลงแรงปฏิบัติด้วยตัวเอง
มนุษย์ทุกคน หรือศิษย์ของอาจารย์ทุกคน มีโพธิจิตอยู่ในใจนะ อย่างที่อาจารย์ได้พูดไว้ตั้งแต่ต้นว่า เมื่อไหร่ที่ศิษย์คิดจะทำอะไร ให้คิดถึงเมตตาก่อน ทำแล้วถูกต้องไหม ทำแล้วทำร้ายคนไหม ทำแล้วไม่ให้เกียรติคนไหม ทำแล้วเราเอารัดเอาเปรียบคนไหม นี่แหละศิษย์กำลังเรียนรู้ที่จะเป็นจี้กงน้อยๆ กลับคืนสู่โพธิจิตอันดีงาม ถ้าทำแล้วอย่าเอาอารมณ์เป็นหลัก เพราะอารมณ์ล้วนๆ เป็นทางที่ทำให้เกิดโลภ โกรธ หลง พอเกิดโลภ โกรธ หลง ศิษย์ก็ต้องมานั่งมีสติ มานั่งดูมัน ไม่ให้มันเข้ามา บางทีเหนื่อยนะ โดยเฉพาะตามคนอื่นตามทัน แต่ตามตัวเองไม่เคยทันสักที ปล่อยให้ตัวเองด่าไปเรียบร้อยแล้ว เพิ่งกลับมาคิดได้ว่าไม่น่าด่าเลย ปล่อยตัวเองให้เห็นแก่ตัวเต็มที่ไปแล้ว มาคิดว่าไม่น่าทำเลย เราเป็นอย่างนั้น ปล่อยให้ตัวเองดื้อ ให้ตัวเองนิสัยไม่ดี ให้ตัวเองกลายเป็นคนที่พ่อแม่หงุดหงิด แต่เรากลับบอกว่าก็เราเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นการที่เราบอกว่าก็ตัวเราเองเป็นอย่างนี้ อาจารย์อยากบอกว่าไม่ดีเลยนะศิษย์ ยิ่งตอกย้ำให้ศิษย์มองไม่เห็นธรรมในหัวใจ ตัดมันทิ้งดีไหมศิษย์
นิสัยยังไม่เที่ยงเลย วันนี้ขี้บ่น วันนี้ไม่อยากพูด พออารมณ์ดีพูดไม่หยุด พออารมณ์เซ็งอย่าพูดเชียว ในแต่ละวันอารมณ์ยังไม่เที่ยงเลย ใช่ไหม แต่ความดีงามที่อยู่ในหัวใจ ทำไมศิษย์ไม่เชื่อ รู้ไหมว่า ถ้าเชื่อบ่อยๆ ศิษย์ก็คือธรรม ธรรมก็คือศิษย์ แต่ถ้าศิษย์ไปเชื่ออารมณ์ เชื่อกิเลส ศิษย์ก็คือกิเลส ศิษย์ก็กำลังเดินไปสู่หนทางแห่งทุกข์ และหนีไม่พ้นการเวียนว่าย
อาจารย์จะตัดตรง และเข้าทางลัดอีกวิธีหนึ่ง สนใจไหม เคยได้ยินคำว่า “วางใจเป็นกลาง” ไหม ถ้าศิษย์อยากตัดทุกข์ตั้งแต่เหตุ มองไปที่จิต อยากหาโพธิต้องหาจิตให้เจอ ถ้าพบจิตจะพบโพธิ แล้วเราจะหาจิตเราเจอได้อย่างไร แค่ง่ายๆ ยิ่งศิษย์กล้าพูดบอกว่าก็ศิษย์เป็นอย่างนี้ ศิษย์นิสัยแบบนี้ ชอบแบบนี้ เพราะความชอบแบบนี้ เราเลยแบ่งรักชัง ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง ถ้าสมมติว่าตอนนี้อาจารย์เป็นผู้ชาย ถ้าผู้ชายกับผู้หญิงทะเลาะกัน ศิษย์ว่าอาจารย์เข้าข้างใคร (ผู้ชาย ผู้หญิง) โดยส่วนใหญ่ก็เข้าข้างผู้ชาย เพราะเข้าใจผู้ชายดี แต่ผู้หญิงจะไม่เข้าข้าง จะเข้าใจผู้ชายมากกว่า ความชอบชังจึงมีผลต่อการตัดสิน ก็เลยมีผลการโกรธเกลียด ก็เลยมีความโลภความอยากตามมา
ฉะนั้นถ้าจะตัดรักตัดตรง อย่างนั้นหยุดเลย ไม่รัก ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ชอบ ไม่ชัง เลยได้ไหม ก็ศิษย์อยากได้วิธีทางตรงที่สุด ไม่รักใครเลย และเมื่อเราไม่รักใครเลย เราจะเกลียดใครไหม ไม่เกลียด และเมื่อเราไม่อยากอะไรเลยเราจะโลภไหม นี่แหละวิธีการตัดตรงของอาจารย์ ถ้าใจของศิษย์ไม่มีอะไรที่ชอบ จะมีอะไรที่ชัง ถ้าใจของศิษย์ไม่มีอะไรที่อยาก จะมีอะไรที่ทำให้เราต้องโลภ ก็เมื่อสักครู่อาจารย์บอกแล้วว่าความหลุดพ้น เกิดจากการไม่กำเริบของจิตอีกที่เป็นแก่นและเป็นสาระของคำว่าพุทธะ นั่นก็คืออะไรมาก็ไม่หวั่นไหว เพราะวางเฉยแล้ว เพราะเห็นถึงที่สุดแล้วสวยก็แค่นั้น น่าเกลียดก็แค่นั้น คำชมก็แค่นั้น คำด่าก็แค่นั้น นี่แหละเรียกว่า วางเฉย
ศิษย์เคยไปไหว้พระพรหมสี่หน้าไหม แล้วศิษย์มีครบสี่หน้าไหม ถ้าศิษย์ทำได้ศิษย์ก็คือพระพรหมของโลกใบนี้ อย่าคิดว่าเราทำไม่ได้ อย่าดูถูกตัวเอง เพราะพุทธะเกิดขึ้นจากการเป็นคน เพราะท่านไม่ดูเบาตัวเอง ท่านไม่กลัวทุกข์ แล้วท่านคิดว่า การช่วยคนที่ประเสริฐที่สุดคือ ถ้าเราไม่ทุกข์ คนอื่นก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้าเรายังทุกข์คนอื่นก็ยังทุกข์ คนที่โกรธแล้วกล้าว่าคนอื่นได้เพราะอะไร ทุกข์เหลือเกินที่ลูกไม่ได้ดั่งใจ สามีไม่เป็นดังหวัง ทุกข์แน่นอน ทำอะไรไม่ได้จึงต้องแบ่งความทุกข์ให้คนอื่นได้รับรู้ออกไป เหมือนเราอยากจนถึงที่สุดแล้ว เราอยากมากๆ ไม่มีใครสนใจ ก็ฉันอยากก็เลยต้องเบียดเบียนออกไป แต่ถ้าตอนนี้ล่ะ ตัดตรงเลย ไม่อยากแล้ว ไม่ชอบแล้ว ไม่ชังแล้ว อะไรมาก็เฉย แต่เฉยอย่างเบิกบานนะ ไม่ใช่เฉยอย่างตายด้าน
จำไว้นะศิษย์ถ้าเป็นคนดีแล้วยังต้องพยายาม ถ้าเป็นคนดีแล้วยังต้องใช้ความอดทน นั่นหาใช่เรียกว่าดีแท้ คนดีจะไม่ต้องพยายามเพราะมา จากจิตสำนึกดี จิตสำนึกบอกว่าที่เราทำเพราะว่าเราทำร้ายเขาไม่ได้ เราเลยไม่อยากว่า ที่เราทำเพราะว่าเราทนไม่ได้ถ้าอยากแล้วทำร้ายคนอื่น เราลดความอยากตัวเองดีกว่าไหม ถ้าทำดีแล้วยังต้องใช้ความอดทน ถ้าทำดีแล้วยังต้องใช้ความพยายาม ยังไปไม่ถึงดีนะศิษย์เอ๋ย
ฉะนั้นถ้าศิษย์เข้าถึงดี ไม่ต้องทน ไม่ต้องพยายาม แต่มันเป็นธรรมชาติที่ออกมาจากใจแท้ล้วนๆ อาจารย์อยากให้ศิษย์ไปถึงตรงจุดนั้น ฟากฝั่งแห่งความทุกข์ที่เข้าถึงทุกข์แล้วเกิดความเบิกบานใจ เพราะถ้าเมื่อไหร่ศิษย์พ้นทุกข์และพบความเบิกบาน ศิษย์ก็จะสามารถทำให้ผู้คนในโลกเป็นพุทธะเดินดินได้ แต่ถ้าตราบใดศิษย์ยังเป็นคนทุกข์ ศิษย์ก็ยังทำร้ายคนในโลกให้ทุกข์ได้เฉกเช่นเดียวกัน ไม่มีเวลาไปจับผิดคนอื่น มีแต่เวลาดูแลขัดเกลาแก้ไขตัวเอง บำเพ็ญธรรมคือดูแล ขัดเกลา แก้ไขตัวเอง อย่าเอาเวลาไปนินทาให้เมื่อยเลยนะศิษย์ เพราะการพูดไม่ทำให้ใครดีขึ้นได้ จำคำพูดอาจารย์ไว้นะ อารมณ์ก็ลดให้มันเบาบางด้วยการมีสติรู้ทัน
ฉะนั้นเกิดเป็นคนจงมีสติเมื่อโดนกระทบ ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางใจ เมื่อโดนกระทบแล้วรู้จักยั้งคิดด้วยมโนธรรม เมตตาธรรมในใจ อย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่นะ ไม่อย่างนั้นชั่วจะเจอชั่วกว่า ร้ายจะเจอร้ายกว่า
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “เส้นทางสายปราชญ์” ซึ่งเป็นบทเพลงธรรม ชื่อเพลง “เส้นทางสายปราชญ์” ทำนองเพลง “หากันจนเจอ”)
เฮ้อ..กว่าอาจารย์จะหาศิษย์จนเจอ จี้กงน้อยๆ หัวดื้อเหลือเกิน เอาแต่ใจ เอาแต่อารมณ์ ไม่ค่อยฟังใครง่ายๆ ไม่ค่อยเชื่อใครง่ายๆ พอโดนใครว่านิดก็โกรธ ใครพูดขัดใจหน่อยก็เคือง ใช่หรือเปล่า อย่างนี้ถูกหรือ เป็นผู้บำเพ็ญต้องรู้จักยอมนะ ใช่ไหม
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อ “หมิงเอิน (明恩)” ให้สถานธรรมแห่งใหม่ที่ อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์)
พร้อมจะแบกรับหรือยัง (เต็มใจ) หนักนะศิษย์ หนทางอีกยาวไม่ใช่แค่เท่านี้แล้วจบ ไม่ใช่สร้างเสร็จแล้วจบ แต่เรายังต้องแบกภาระอีกเยอะ ไหวไหม (อาจารย์เมตตา) อาจารย์เมตตาศิษย์อยู่แล้วนะ แต่ว่าศิษย์จะแบกรับไหวไหม ถ้าไม่ไหวบอกอาจารย์ได้ตอนนี้ ยังถอนตัวทันนะ ฉะนั้นถ้าตั้งใจขอให้ไปให้ถึงที่สุด เรือธรรมสร้างมาเพื่อฉุดช่วยคน ฉะนั้นเจอคนแบบไหนจะต้องอดทนให้ได้ แต่สิ่งสำคัญก็คือเราช่วยคนเพื่อทิ้งตัวตน ถูกไหม ไม่ใช่บำเพ็ญแล้วยิ่งยึดตัวตนอย่างนี้ไม่สุข เข้าใจนะ ช่วยเขาหน่อยนะ ได้ไหม เราต้องสู้ต่อ อาจารย์ให้ชื่อว่า “หมิงเอิน (明恩)” หนักหน่อยนะ
อาจารย์ให้ขนมถ้วยฟูดีกว่า ความหมายดี “ฟาเกา” จะได้เฟื่องฟู ถ้าอยากให้ขนมนุ่มๆ ก็ต้องนึ่งใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเจอเรื่องลำบากอะไร ก็ต้องอดทนถึงจะเฟื่องฟูและผ่านไปได้ จำไว้นะศิษย์เอย รักษาจิตนี้ให้ดีนะ
ประชุมธรรมครั้งนี้ห้องพระที่นี่ต้องซ่อมแซมใช่หรือเปล่า (ใช่) ใครที่ช่วยทาสี ใครช่วยดูแล เดี๋ยวอาจารย์ให้รางวัลคนทาสี ทาหน้าอาจารย์ซะใสกิ๊กเลย อาจารย์ฝากแจกด้วยนะ
ตอนนี้ศิษย์ฟังธรรมะมาเยอะ ถึงเวลาอาจารย์จะแจกผลไม้ให้ศิษย์บ้าง แต่ว่าศิษย์ต้องบอกอาจารย์ก่อนว่า ผลไม้นี้ศิษย์ได้ไปแล้วจะไปช่วยใคร ตอบได้จะได้แอปเปิลไป อย่าบอกนะว่าช่วยตัวเองนะ พอแล้ว ตอนนี้รู้จักช่วยคนอื่นบ้าง อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักมอบความดีงามให้คนอื่น เราเข้าใจธรรมแล้ว จงส่งความสุขให้คนอื่นบ้างอย่าเก็บไว้คนเดียวได้ไหม
ขอให้แข็งแรงนะ (จะเอาไปให้แม่ค่ะ) ให้ของไม่สู้เท่ากับการปฏิบัติดีให้เสมอต้นเสมอปลาย (เอาให้พี่สาวครับ) เพราะเขาอุตส่าห์ชวนมาใช่ไหม (ให้แม่กับน้องชายแบ่งกันครับ) ตอบได้ดีนะทำให้ได้ดีด้วยล่ะ (ให้คุณแม่ครับ) แต่ก่อนรักคุณแม่อย่างนี้หรือเปล่านะ ระวังคุณพ่อน้อยใจนะ (ให้คุณแม่ค่ะ เพราะคุณพ่อเสียแล้ว) แต่ก็เอาไปให้คุณพ่อได้เหมือนกันนะ
เหนื่อยกันไหม (ไม่เหนื่อยค่ะ) ขอบคุณในความขยัน ขอบคุณในความเข้มแข็งนะศิษย์ ยิ้มหน่อยนะศิษย์เอย เห็นไหมว่าขนมมันมีรอยยิ้ม รับไปก็ต้องยิ้มให้ได้เหมือนอย่างขนมนะ ขอบคุณในความตั้งใจของศิษย์ทุกคนนะ ดูแลห้องพระ แล้วอย่าลืมดูแลญาติธรรมด้วยนะ ให้สวยให้ดีงามเหมือนที่ศิษย์พยายามทำห้องพระให้สวยให้ดีงามนะ ฝากดูแลต่อด้วยนะศิษย์เอย ยิ้มให้ได้ตลอดเหมือนขนมด้วยนะ ฝากไปให้คนที่ยังไม่ได้ด้วยนะ
(ให้ลูกสะใภ้, ให้ลูก, ให้น้องชาย) ศิษย์ว่าศิษย์จะเอาไปให้ใคร อาจารย์ก็ดีใจแล้วนะ (ให้ครอบครัว, ให้สามี) ไม่ต้องตอบก็ได้นะ อาจารย์รู้ อย่าให้แค่ตัวเองก็พอ (ให้คุณแม่, ฝากหลานค่ะ) อาจารย์แค่อยากแจก ตอบอะไรอาจารย์ก็ให้นะ อาจารย์อยากให้ความสงบ ความมั่นคงในจิตใจ (ให้หลาน, ให้ลูก, ให้แม่, ให้พ่อแม่แล้วก็น้อง) มีใครบ้างไหมที่ไม่นึกถึงแต่ครอบครัวตัวเอง บอกเอาบุญไปฝากเพื่อนบ้าน อย่าลืมดูแลเพื่อนบ้านบ้างนะ อย่ามัวแต่รักคนในครอบครัวจนทอดทิ้งเพื่อนบ้าน
(อาจารย์ไม่ขอผลไม้แต่ขอพร) พรที่ดีคือความเข้มแข็งในจิตใจ จะทำอะไรจำสิ่งที่อาจารย์พูดก็พอนะ
(ขอพรจากอาจารย์) เกิดเป็นคนต้องรู้จักขยันและอดทน แล้วจะทำให้เราไม่ลำบาก จำไว้นะศิษย์ ขยัน อย่ายอมแพ้ พรใดๆ ไม่ประเสริฐเท่ากับรู้จักควบคุมตัวเอง อย่ามัวแต่มองเห็นตัวเองจนลืมมองเห็นคนรอบข้าง ความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่เกิดจากการทำตามใจตัวเอง แต่บางครั้งต้องยอมลดใจตัวเอง แล้วทำเพื่อคนอื่นบ้าง
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนในชั้นเรียนท่านหนึ่ง)
อยากขอพรใช่ไหม ขอให้ลูกใช่ไหม ขอให้เลี้ยงง่าย เลี้ยงให้เป็น ไม่อย่างนั้นจะมีแต่ทุกข์ รู้จักยอม รู้จักแข็ง รู้จักอ่อน ใช้ให้ถูก เข้าใจนะชีวิต อันนี้คือห่วง อันนี้คือทุกข์ ฉะนั้นศิษย์ต้องประคองจิตใจ จะได้ไม่ล้มทั้งยืนนะ ดื้อใช่ไหม ฉะนั้นต้องรู้จักฟัง เชื่อพ่อแม่ อย่ามัวเชื่อเพื่อน จนทอดทิ้งความรักและความหวังดีของพ่อแม่ เข้าใจพ่อแม่นะ เอาไปให้ใคร (ลูก) ลดได้หรือยัง เหล้า บุหรี่ สิ่งที่ให้ลูกได้ดีกว่าแอปเปิล คือการลดเหล้า บุหรี่ นะ (ให้หลาน, ให้อาม่า) ทำให้ได้นะ คงไม่แอบถ่ายลงเฟซบุคแล้วค่อยให้นะ (คุณแม่และครอบครัว) มีลูกเดียวพอไหม (ให้ผู้มีบุญคุณและสิ่งศักดิ์สิทธิ์, แม่, เอาไว้กินเอง, เพื่อน)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นฝึกร้องเพลง พร้อมกับแจกแอปเปิลให้นักเรียน) ศิษย์ให้ใครอาจารย์ก็ยินดีทั้งนั้น ให้ถึงมือนะอย่าแอบเผลอกินก่อนนะ
ให้ใคร (พ่อ พี่สาว ให้ตัวเอง) เอาไปรักษาตัวเองใช่ไหม โรคภัยเกิดจากปาก พิษภัยก็เกิดจากปาก อยากหยุดโรคภัย อยากหยุดพิษภัยต้องระวังปาก จำไว้นะ
หัวหน้าตอบให้อาจารย์ชื่นใจหน่อย ให้ใครดี (ให้ลูกผู้ชายกับลูกผู้หญิง) แล้วลูกเดียวพอไหม (พอแล้ว แบ่งครึ่ง) แล้วภรรยาไม่ให้หรือ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาร้องเพลง)
มีนักร้องใหม่ขึ้นมาอีกแล้วนะ อาจารย์ให้รางวัลแล้วกัน ลูกใหญ่ไปเดี๋ยวดีใจเอาลูกเล็กก่อนแล้วกันนะ ค่อยๆ ฝึกกันนะ เสียงดีไม่ใช่เล่นเลยใช่หรือเปล่า
ดูแลญาณตนให้ดี ดูแลจิตใจตนให้ดี อย่าปล่อยให้มายาโลกมันทำให้เราหลงไปไกล
มีโอกาสกลับมาหาอาจารย์อีกนะ อย่าลืมล่ะ ถึงเวลาที่เราต้องจากกันแล้วนะศิษย์เอ๋ย เส้นทางสายปราชญ์เป็นเส้นทางสายเก่า ปราชญ์คือผู้ดำรงโลกให้เป็นเอกภาพและสันติภาพเป็นหนึ่งเดียว ปราชญ์คือผู้ที่ไม่ทอดทิ้งเด็ก ดูแลผู้ใหญ่ ไม่ห่วงแต่ความสุขตน แต่ปราชญ์ถือจริยะในการดำเนินชีวิต
เกิดเป็นคนถ้าทำอะไรด้วยเมตตาจิต จริยะจะออกมาด้วยท่าทีที่ดีงาม เกิดเป็นคนถ้าทำอะไรด้วยความถูกต้องชอบธรรม การแสดงออกจะสุภาพนุ่มนวลและสุขุม แต่ถ้าเป็นคนเอาแต่อารมณ์ เอาแต่ใจ เอาแต่ตัวเอง คนๆ นั้นก็ห่างไกลเส้นทางสายปราชญ์ และถ้าวันหนึ่งต้องกลับสู่เส้นทางสายเก่า เขาก็จะเดินได้ไม่เต็มที่เพราะมีแต่ความทุกข์และทรมาน เมื่อวานท่านหนึ่งในแปดเซียนได้กล่าวไว้ว่า ทุกคนต้องเดินกลับสู่เส้นทางสายเก่า เส้นทางสายเก่าคือเหลือตัวคนเดียว ว่างเปล่าไม่มีอะไร อาจารย์ถามศิษย์นะ ถ้าวันหนึ่งต้องเหลือตัวคนเดียว และว่างเปล่าไม่มีอะไร เราจะเอาอะไรนำพาชีวิตและจิตญาณตน
ธรรมะคือแสงสว่างนำทางแห่งชีวิตและจิตใจ ไม่เหมือนอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด โลภ โกรธ หลง คือหนทางแห่งความมืดบอดและการเวียนว่ายตายเกิด มนุษย์มีหนทางที่ดีงาม ไม่ต้องสนใจอาจารย์ก็ได้ แต่ให้ศิษย์สนใจความถูกต้องอันแท้จริงในจิตใจ ทำแล้วถูกต้องกับมโนธรรมสำนึกในใจไหม ทำแล้วเรียกว่าคนไหม นี่หรือคือสิ่งที่คนควรจะทำกับคนด้วยกัน นี่หรือคือสิ่งที่จะทำกับคนที่ดูแลและรักเรา ถ้าขนาดพ่อแม่ศิษย์ยังนินทา แล้วศิษย์จะรักใครในโลกนี้ได้ ถ้าพ่อแม่ศิษย์ยังบ่นตัดพ้อต่อว่า ก็คงไม่มีใครในโลกดีได้เท่ากับพ่อแม่แล้วถูกไหม (ถูก)
มนุษย์เกิดมาล้วนมีกรรม ถ้าเจอสิ่งร้ายอย่าโกรธเพราะเราได้ชดใช้กรรม เจอสิ่งร้ายอย่ายอมแพ้เพราะเรากำลังจะได้หมดกรรม แต่เจอสิ่งร้ายจงใช้เมตตาจิตตอบกลับไป อย่าเอาความโกรธ ความชิงชัง ความแค้นตอบกลับ เพราะนั่นคือการผูกเวรไม่จบสิ้น ฉะนั้นเจอใครร้ายจงดีใจว่าฉันจะได้หมดกรรมเสียที เจอคนดีอย่าเผลอลุ่มหลง ไม่อย่างนั้นศิษย์จะเกี่ยวกรรมไม่จบสิ้น อาจารย์จึงอยากบอกศิษย์ว่าถ้าอยากตัดตอนการบำเพ็ญให้ตัดความรู้สึกไปเลยนะศิษย์ มันไม่เคยทำให้ใครดี ให้วางเฉยได้ไหม สิ่งดีมาก็ไม่ลุ่มหลง สิ่งร้ายมาก็ไม่รังเกียจ มีจิตใจที่มั่นคงไม่หวั่นไหวอะไร เมื่อนั้นศิษย์จะค้นพบหนทางแห่งพุทธะที่นำความเบิกบานมาสู่ใจ เบิกบานที่แม้ใครจะบึ้งเราก็ยิ้มได้ ใครจะโกรธเราก็เข้าใจ เราก็ไม่เคืองแค้น เพราะเรามองเห็นความเข้าใจที่เกิดมาจากเมตตา ให้หลั่งล้นออกมาจากใจ แล้วนำพาไปช่วยผู้คน อย่าเอาความทุกข์ใส่กันเลย ศิษย์ก็เห็นโลกนี้โหดร้าย บางทีศิษย์ชอบบ่น ทำไมฟ้าทำให้ศิษย์เป็นอย่างนี้ ทำไมเขาทำกับศิษย์อย่างนี้ อาจารย์อยากจะบอกว่า ไม่ต้องน้อยใจ ไม่ต้องตัดพ้อ ศิษย์กำลังจะชดใช้กรรมให้หมดสิ้น แผ่เมตตาให้เขาเยอะๆ อย่าโกรธ เราจะได้จบเพราะเขาสักที หรือถ้าอยากไม่จบก็ฝืนไปต่อก็ได้นะ อยากเกลียดก็เกลียดต่อไป เพราะอาจารย์ชี้บอกหนทางแห่งการพ้นทุกข์แล้ว ถ้าศิษย์มัวแต่สนใจอาจารย์ สนใจนิ้ว ศิษย์ก็ไปไม่ถึงทางพ้นทุกข์ โลกนี้ไม่สวยงามนะศิษย์เอย โลกนี้คือความสุขหรือ มองให้ดีสิมันคือมายาที่หาที่สุดไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) ตัวเรานี่น่ารักนะ มันก็เป็นมายาที่หาที่สุดไม่ได้เหมือนกัน น่ารักที่สุดนี่แหละทำร้ายตัวเองให้เจ็บที่สุด เพราะห่วงมัน มันเจ็บก็ประคบประหงม มันป่วยก็ประคบประหงม แต่อาจารย์อยากจะบอกว่า ถ้ากายป่วยแล้วใจป่วยด้วย มันจะเจ็บยิ่งกว่า ฉะนั้นกายป่วย ใจต้องเข้มแข็ง เพราะโลกใบนี้รักษาได้แต่กาย แต่รักษาใจไม่ได้ คนที่จะรักษาใจและเยียวยาใจศิษย์ได้คือตัวศิษย์เอง ไม่มีใครดึงเราให้ตก และไม่มีใครนำเราให้พ้นทุกข์ได้เท่ากับตัวเราเอง ต้องคิดได้ด้วยตัวเอง อย่ารอแต่อาจารย์
บางทีอาจารย์สงสารเวลาศิษย์เศร้า แล้วอาจารย์อยากจะบอกว่าอย่ารออาจารย์ ศิษย์ต้องช่วยตัวเอง เพราะไม่มีใครทำให้ศิษย์ทุกข์เท่ากับความคิดของตัวเอง อย่าเป็นคนเอาแต่คิดร้าย มองแง่ร้าย มันไม่ดีเลยศิษย์ เปิดใจกว้างมองให้เห็น โลกยังมีอะไรที่เราต้องไปให้ถึง อย่าปล่อยให้ความเข้าใจเพียงชั่วขณะ หรือความหลงเพียงชั่วขณะบดบังปัญญาเดิมแท้ ศิษย์มีสิ่งที่ประเสริฐเรียกว่าพุทธจิตในตัว ที่มีความเมตตา ที่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ที่รู้จักผิดชอบชั่วดี เอาออกมาใช้ และทิ้งตัวตนนั้น ตัวตนที่นิสัยแบบนั้นแบบนี้ มันไม่เคยช่วยให้ใครพ้นทุกข์ เอาความเมตตามาใช้ดีกว่า
ถ้าอาจารย์ดึงศิษย์ขึ้นไปได้ อาจารย์ก็อยากดึง แต่ศิษย์ก็ชอบห่วง ชอบกังวลไม่จบสิ้น แล้วถ้าถึงวันหนึ่งเราต้องเดินสู่ทางสายเก่า ความห่วงกังวลก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีหนทางเป็นของตัวเอง เราแค่ทำให้ดีที่สุด ใช่หรือไม่ศิษย์ ดูแลตัวเองให้ดี ให้เข้มแข็ง อย่าปล่อยให้อะไรทำให้ตัวเองต้องทุกข์ เข้าใจหรือเปล่า รู้จักคิดรู้จักทำ อย่าพ่ายแพ้ต่อความเจ็บปวด อย่ามัวจมอยู่กับเรื่องเก่าๆนำพาตัวเอง คิดได้ด้วยตัวเอง
นี่หรือเคารพอาจารย์ ชอบลองเรื่อยเลยไม่ใช่หรือ จิตที่รักอาจารย์ทำกับอาจารย์แบบนี้หรือ ถามเพื่อรอให้อาจารย์ตอบ
(พระอาจารย์เมตตาร่วมร้องเพลง “เส้นทางสายปราชญ์” กับนักเรียนในชั้น)
รู้จักควบคุมระมัดระวังอารมณ์ อย่าปล่อยให้อารมณ์มาทำร้ายชีวิตและจิตใจ รู้จักคิดให้ถูกต้อง เข้าใจนะศิษย์เอ๋ย คำถามมีคำตอบอยู่ที่ใจ อย่ารออาจารย์ตอบอย่างเดียว ทำอะไรแล้วต้องไปให้ถึงที่สุด แต่ถ้ามันลำบากก็ต้องดูสภาพตัวเอง เข้าใจนะ ทำให้ดี
อาจารย์เป็นห่วงศิษย์ทุกคน ขอให้ศิษย์รู้จักดูแลตัวเอง นำพาตัวเองให้ได้ อาจารย์ก็ดีใจแล้ว กลัวอย่างเดียวอ่อนแอแล้วไม่รู้จักคิด อย่ายอมแพ้กิเลสและนิสัยที่มันยั่วยวนนะ รู้จักตัวเอง ช่วยผู้อื่นเป็นสิ่งที่ดีแล้ว ใช่ไหมเด็กดี มีโอกาสกลับมาอีกนะศิษย์เอ๋ย
อาจารย์อยากให้พรศิษย์ทุกคน รู้จักดำเนินชีวิตให้เป็น มีสติ ทำอะไรรู้จักคิด อย่าเอาแต่อารมณ์ อาจารย์คงแตะศีรษะศิษย์ไม่ได้ทุกคนนะ แต่ความรักและปรารถนาดีอาจารย์มีให้ศิษย์เสมอ ดูแลจิตใจตัวเองให้ดีนะศิษย์เอ๋ย อย่าสร้างเวรสร้างกรรมด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ
มีโอกาสกลับมาอีกนะศิษย์เอ๋ย ได้ไหม อยู่ในโลกอย่าเป็นคนดื้อมากนะ มีพุทธะดูแลเอาใจใส่ไม่เอาหรือ มีพุทธะคอยนำพาจิตใจยังอยากหลงไปไหนอีกหรือ อาจารย์ไปแล้วนะ อาจารย์แถมแอปเปิลให้นะ ฝากเอาไปให้เขาหน่อยนะ มีโอกาสกลับมาอีกนะจอมเหตุผล อาจารย์ไม่อยากไปเลยนะ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เส้นทางสายปราชญ์”
ปราชญ์ต้องหวงแหนจิตที่เห็นธรรม หากตรงไหนมืดดำอย่าแอบสนใจ ธรรมเหนือความเป็นอยู่สิ่งแวดล้อมใดใด พระอาทิตย์ช่างไกลส่องชัดเจนทั่วฟ้า ฝึกเรียนรู้ผองหลักธรรมที่มี ศรัทธาเข้มแข็งดี จิตชนะมารคนมุ่งมั่นบำเพ็ญ สุขุมเป็นงาน จิตสร้างสรรค์มากมายหลั่งไหลมาจากฟ้า
ปราชญ์ดูแลญาณตนให้ตื่น ปราชญ์หยัดยืนช่วยคนยืนตาม ความเก่งแพ้ต่อความเพียร งอกงามปราชญ์ลดละกินกามความสุข
พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาทที่สถานธรรมฮุ่ยอวี้ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น
แก้ไขทำนองเพลง หน้า ๑๔
เดิม ทำนองเพลง ดวงตะวันลับไป
แก้เป็น ทำนองเพลง สายัณห์รัญจวน