วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2562

2562-12-28 สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี

西元二○一九年歲次己亥十二月初三日                             仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒                  สถานธรรมเจิ้งซิน  จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  สุขภาพดีเพราะรู้จักดูแลตน               การงานดีเพราะคนรู้หน้าที่
ทรัพย์สินมีเพราะรู้ใช้อย่างพอดี             ครอบครัวดีเพราะใส่ใจดูแลกัน
                        เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                 ถามศิษย์รักทุกคนยินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม
  ถือดีว่ารู้แล้วจึงหละหลวม                 พูดกระทำแต่กำกวมน่าเวียนหัว
หากไม่มีการย้อนพิจารณาตัว               ไม่รู้ตัวเริ่มต้นจากอะไร
รู้ว่ากลัวแต่ชอบจะหมกมุ่น                   ฟ้ายืดหยุ่นยังทำตัววายร้าย
ปัญหาเวียนตัวทำกรรมเพราะอบาย       คลื่นทำคนว่ายเท่าไรไกลสัจธรรม
โอกาสดีก็มีแต่ต้องตั้งใจ                       อัธยาศัยความเป็นอยู่ไม่ตกต่ำ
เรื่องมายมากตั้งมั่นเสมอธรรม               อะไรทำได้ไม่ทำอย่ากังวล
พยายามทำกลับคุ้นเคยความเกียจคร้าน ศรัทธามีอยู่แค่นั้นสำหรับบ่น
อาจารย์ขอมือหยิบจับเมตตาคน           ระคนใส่ใจตนเองบำเพ็ญธรรม
เป็นคนปฏิบัติเพื่อบรรลุการบำเพ็ญ       เป็นคนบำเพ็ญการบำเพ็ญประดุจน้ำ
มีเป็นบ้างไม่เป็นบ้างประจำ                 เกินเลยบ้างเป็นมโนธรรมสำนึกเอง
แอบติดยึดในใจหลักอลวน                   เลิกถือคนเข้าประตูธรรมกระฉับกระเฉง
อำนาจจะไม่หยุดถ้ามัวกระเตง             หลงอย่างจังยื้อเก่งศิษย์อันตราย
                                                                                          ฮา ฮา หยุด



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



ใกล้ปีใหม่แล้วใครๆ ก็อยากมีความสุขและโชคดี มนุษย์มักบอกว่า ต้องเจอสิ่งดีๆ ถึงจะเรียกว่า โชคดี มีเรื่องดีๆ ถึงจะเรียกว่า โชคดี
ชีวิตเรามักไม่ค่อยราบรื่น มีลุ่มๆ ดอนๆ มีร้ายมีดี ถ้าเราบอกว่า ในเวลาที่เราแย่ที่สุด เราสามารถมีจิตใจที่เข้าใจความเป็นจริงของชีวิต จนไม่ทำให้เราแย่ นี่เรียกว่า โชคดีไหม ในวันที่เราเจอเรื่องที่แย่ที่สุด แต่เราสามารถเข้มแข็งผ่านไปได้และหยัดยืนได้ ศิษย์ว่าโชคดีไหม (โชคดี)  ในวันที่เราอ่อนแอที่สุด แต่เราสามารถปลุกใจเราให้เข้มแข็งได้ นี่เรียกว่าโชคดีไหม (โชคดี)  ในวันที่เรายากไร้ที่สุด แต่เราสามารถที่จะลุกขึ้นสู้กลับมามีขึ้นมาได้ นี่เรียกว่าเราโชคดีไหม (โชคดี)  โชคดีแบบเรานี้ดีไหม (ดี)  เจอเรื่องแย่ไม่ดีแน่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เงินหมดไม่ดีแน่ วันหนึ่งเจอเรื่องสูญเสียไม่ดีแน่ แต่ชีวิตจะมีทุกวันที่ไม่สูญเสียเป็นไปได้หรือไม่ ทุกวันมีแต่วันที่ดี เจอแต่คนที่ดี เป็นไปได้ไหม แต่ในทางกลับกัน ทุกวันที่เจอเรื่องแย่ๆ แต่เรากลับเข้มแข็งได้ ทุกวันที่เจอเรื่องร้าย เราสามารถลุกขึ้นพยายามค้นหาสิ่งที่ดีได้ แบบนี้ไม่เรียกว่าโชคดีหรือ
ปวดขาแล้วยังนั่งอยู่จนได้ ถือว่าโชคดี  ฉะนั้นโชคดีไม่ได้อยู่ที่ใคร ไม่ได้อยู่ที่ฟ้าจัดสรร แต่อยู่ที่ไม่ว่าเราจะเจอเรื่องราวอะไร เรากล้าสู้ เรากล้าที่จะยอมรับความจริงไหม และเอาสิ่งที่เป็นความจริงนั้นมาพลิกผันจนเกิดโชคดีให้กับตัวเอง อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ ฉะนั้นในวันที่เราสูญเสียที่สุด เราอาจจะพบโชคดีที่สุด ในวันที่เราอ่อนแอที่สุด เรากลับโชคดีที่สุดที่ได้รู้
ชีวิตนี้ถ้าสุขภาพดี การงานก็ดี เงินก็มี ครอบครัวก็ร่มเย็น ไม่มีอะไรโชคดีกว่านี้แล้วจริงไหม แต่คำว่า สุขภาพดีของอาจารย์ ไม่ได้หมายความว่า มันจะดีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าสุขภาพดีเหลือแค่แปดสิบ เก้าสิบ หรือยี่สิบ เมื่อยังมีลมหายใจก็ขอให้รู้จักดูแลตัวเองให้เป็น เพราะอย่างน้อยใช้มาตั้งร้อยเหลือยี่สิบ ก็ยังดีกว่าไม่เหลืออะไรที่ดูดีเลย ถ้าเกิดวันหนึ่งชีวิตเราต้องเจอโรคร้าย ต้องเจอเรื่องเลวร้าย คิดแค่เพียงว่าโชคดีแล้วที่ได้เจอ และยังมีลมหายใจที่จะสู้ต่อไป ดีกว่ายอมแพ้และไม่ทันที่จะโชคดี หรือได้แก้ตัวอะไร และเราคิดว่าเราโชคดีไหม ที่สามารถนั่งจนเมื่อยขนาดนี้ ง่วงขนาดนี้ได้ (โชคดี)  เคยชินแต่ตัวเองพูดเยอะๆ แต่ตอนนี้ต้องมาฟังคนอื่นพูดโชคดีไหม (โชคดี)
ฉะนั้น ถ้าวันหนึ่งชีวิตต้องเจอเรื่องพลิกผันที่ไม่คาดคิด เป็นไปในสิ่งที่เราไม่อาจคาดเดาได้ ขอให้ศิษย์มีจิตใจที่กล้าหาญยอมรับความจริง ธรรมะระดับศีลเรียกว่า ละบาปบำเพ็ญบุญ ธรรมะระดับสมาธิคือ มั่นคงในความถูกต้องดีงาม แต่ธรรมะระดับปัญญาคือ มีความรู้แจ้งเห็นจริงในความเป็นจริงของชีวิตจนไม่ทำให้ตัวเองทุกข์  ฉะนั้นศึกษาธรรมอย่าเอาแค่ระดับศีลธรรมดา เป็นคนดีเป็นคนไม่ประพฤติผิด ไม่ใช่ แต่ต้องไปต่อทั้งศีล สมาธิและปัญญา เหมือนเราฟังธรรมตรงนี้ อย่าแบ่งแยกว่าเป็นของจีน ไม่ใช่ของไทย มีแต่ภาษาจีนไม่ใช่ภาษาไทย เช่นนี้เรียกว่าจิตที่ยึดติด ย่อมไม่มีวันพบความสุข แต่จิตที่เข้าใจความเป็นจริง ย่อมสามารถที่จะนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ เมื่อเข้าถึงสภาวธรรม แล้วมีแบ่งแยกไหม (ไม่มี)  เพราะทุกสิ่งล้วนคือธรรม แต่จิตมนุษย์ชอบแบ่งแยกตีกรอบยึดติด
(พระอาจารย์เมตตาถามว่ายินดีต้อนรับอาจารย์บ้างไหม)
อาจารย์เพิ่งรู้ว่าหน้าตาแบบนี้ แปลว่าหน้าตายินดีต้อนรับอาจารย์นะ หน้าตาแบบนี้คือต้อนรับอาจารย์ไหม ต้อนรับหรือว่าขับสู้ (ต้อนรับ)  ไม่ใช่ต้อนรับขับสู้นะ นั่งเมื่อยและเบื่อนั่งใช่ไหม ฟังก็เบื่อใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เปลี่ยนจากนั่งฟังเป็นยืนฟังดีไหม อยากให้อาจารย์ช่วยศิษย์ ศิษย์ต้องรู้จักช่วยตัวเองก่อน หวังให้ฟ้าบันดาลขอโน่นขอนี่ หวังขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าตัวเองไม่ขยับเขยื้อน ไม่ทำอะไรเลย ฟ้าจะบันดาลดล สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยเหลืออะไรไหม (ไม่)  วันๆ เอาแต่กินนอนเที่ยว แล้วจะมีวาสนาไหม มีก็หมดได้ อยากจะเจอสิ่งดีๆ แต่วันๆ ทำแต่เรื่องเลวร้าย คิดแต่สิ่งที่ไม่ดี ชอบทำร้ายตัวเอง ชอบทำร้ายผู้อื่น อย่างนี้จะเจอเรื่องดีๆ ไหม ถ้าอยากจะเจอสิ่งดีๆ ควรเริ่มต้นที่ตัวเอง แต่ถึงเวลา เริ่มต้นที่ตัวเองไหม ให้คนอื่นทำก่อนจริงไหม (จริง)  ถ้าตอนนี้ให้อาจารย์นั่งก่อนแล้วศิษย์ยืนใช่ไหม ศิษย์เคยได้ยินไหม ให้คนอื่นสบาย เขาก็ไม่ทำให้เราทุกข์ แต่ถ้าให้คนอื่นเขาทุกข์ เขานี่ล่ะจะกลับมาทำให้เรายิ่งทุกข์
อาจารย์ขอให้กลอนไปด้วย แล้วหันมาคุยกับศิษย์ด้วย เราต้องช่วยกันคิดช่วยกันทำ ดีไหม ศิษย์เห็นดี อาจารย์ก็ทำ ศิษย์เห็นไม่ดี อาจารย์ก็ไม่กระทำ ดีไหม เพราะการมาของอาจารย์จะได้ไม่ทำให้ศิษย์ลำบากใจ อาจารย์มาสัก 2-3 ชั่วโมงไหวไหม ข้างๆ เขายืนจนชินแล้ว คนที่นั่งฟังก็นั่งฟังจนชินแล้ว แต่ตอนนี้ฟังมาทั้งวันแล้ว เพิ่มเป็น 3 ชั่วโมงไหวไหม ถ้าไม่ไหวอาจารย์จะอยู่แค่ชั่วโมงเดียว แล้วอย่ามาขอเพิ่มนะ เพราะอาจารย์ให้โอกาสแล้ว ถ้าชั่วโมงเดียวจะทำให้ไวที่สุดเลย ชีวิตถ้าตัดสินใจอะไรแล้ว เราย้อนกลับมาไม่ได้
เหมือนอย่างที่อาจารย์เคยพูดหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์กล่าวไว้ว่า “ชีวิตคนเราเหมือนกระแสน้ำ ไหลไปแล้วเรียกกลับคืนมาไม่ได้ พลาดไปแล้วจะย้อนแก้ตัวก็ยากลำบาก” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับเสียอะไรก็เสียได้ แต่อย่าให้เสียความรู้สึกและเสียจิตใจ เพราะถ้าใจเสียแล้ว มันแก้กลับมายาก เวลาเราจะทำอะไร เราต้องรู้จักทำให้ถูกต้องและทำให้ดีที่สุด เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า มนุษย์ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม สำคัญที่ใจ ใจเป็นหลักใหญ่ ถ้าใจเราสะอาด บริสุทธิ์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็สะอาด อย่างนั้นแปลว่าถ้าเมื่อไรเราเห็นคนอื่นสกปรก ก็แปลว่าใจเราก็ (สกปรก)  เราเห็นใครแย่ ก็แปลว่าใจของเราก็ (แย่)  ก็ในเมื่อทุกสิ่งเป็นภาพสะท้อนของใจเรา เราทำอะไรเพราะใจเราคิดอย่างนั้น ถ้าใจเราสะอาดทุกสิ่งทุกอย่างก็สะอาด ถ้าใจเราสกปรก ทุกสิ่งทุกอย่างก็สกปรก ถ้าใจเราดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดี แต่ถ้าใจร้ายทุกสิ่งทุกอย่างก็ร้าย ถ้าโลกภายนอกที่เราเห็นว่าร้ายว่าแย่ นั่นแปลว่าเป็นเพราะเขาหรือเพราะเรา (เรา)  ศิษย์บอกว่า มันไม่น่าใช่นะอาจารย์ คนมันไม่ดี อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ในตัวเรานี้เราย่อมมีสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดีใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่าอะไรทำให้เราร้ายและไม่ดี มีอิทธิพลกับเรามากที่สุด
(จิตเรา)  รองหัวหน้าตอบว่าจิต อย่างนั้นแปลว่ารองหัวหน้ายังไม่เคยได้ยินธรรมะประโยคหนึ่งว่า “จิตประภัสสร หมองไปเพราะกิเลสจรมา” ใช่ไหม แปลว่าสิ่งที่ทำให้เราร้ายคืออะไร (กิเลสที่จรมา)  ถามจริงๆ ว่าเรานั่งอยู่ตรงนี้ พอเดินออกไปให้ตบหน้าเขาเลย ทำลงไหม (ไม่ลง)  มันต้องมีอารมณ์ก่อนถูกไหม มันต้องมีความรู้สึกเกลียดก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจิตเดิมแท้เราไม่ร้าย แต่เราร้ายเพราะกิเลส สิ่งที่ร้ายคือกิเลส
ถ้าอาจารย์บอกว่า ศิษย์เอ๋ย ยังมีสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่ากิเลส และร้ายมากๆ คืออะไร รู้ไหม ถ้าเรามีกิเลสแล้วเราทำผิดทำบาป เรายังมีวันที่จะสิ้นเคราะห์สิ้นกรรมได้ หรือเรารู้ตัวรู้ตนทันที เราก็สำนึกผิดแก้ไขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ว่ากิเลสน่ากลัวแล้ว แต่อาจารย์อยากบอกว่ายังมีสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่ากิเลสคืออะไร รู้ไหม ถ้าตอบได้อาจารย์อยู่ต่อ ถ้าตอบไม่ได้อาจารย์กลับ ดีไหม (ไม่ดี)  ศิษย์เคยได้ยินไหมว่าถ้าอยู่แล้วทำให้ทุกข์ ไม่อยู่ดีกว่า อาจารย์ถามหน่อย เราร้ายเพราะมีกิเลสครอบงำ เราร้ายเพราะมีโลภโกรธหลงชักพาทำให้เราร้าย ถูกหรือไม่ แต่ศิษย์เคยได้ยินไหม ฆ่าพ่อฆ่าแม่ถือว่าบาปที่สุด ตกนรกอเวจี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าคนฆ่าพ่อฆ่าแม่ เคยพลาดพลั้งไปแล้ว แล้วมีจิตสำนึกผิดได้ นรกอเวจียังกลายเป็นพุทธะได้ใช่หรือไม่ ยังมีวันกำหนดได้ แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่อยู่ในใจของคน ถ้าครอบงำใจแล้ว ร้ายยิ่งกว่าสิ่งใด แม้พุทธะร้อยพระองค์มายืนโปรดตรงนี้ ก็ไม่สามารถนำพาคนนั้นให้พ้นทุกข์ พ้นเวรกรรม พ้นการเวียนว่าย พ้นความเลวร้ายได้ นั่นคืออะไร
(ใจเราไม่เปิดรับธรรมะ)  ธรรมะแค่แคบๆ ไม่เปิดรับธรรมะแบบกว้างๆ ใช่ไหม ฟังมาทั้งวันแล้ว อาจารย์ให้สมองได้คิดบ้างไม่คิดกันเลยหรือ เขาตอบถูกไหม (ถูก)  เกือบจะถูกนะ อาจารย์ให้โอกาสถ้าตอบไม่ถูกอาจารย์จะกลับเลยดีไหม (เพราะความยึดมั่นถือมั่น)  สิ่งที่น่ากลัวนอกจากกิเลสครอบงำจิตใจ แล้วทำให้เราน่ากลัวแล้ว สิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างหนึ่งคือ ความยึดมั่นถือมั่น ตอบได้ดี อาจารย์อยู่ต่อได้ไหม (ได้)  ความยึดมั่นถือมั่นใกล้เคียงแต่ยังตอบไม่ถูกนะ (จิตใต้สำนึก)  ไม่มีความรู้ผิดชอบชั่วดี ไม่มีจิตใต้สำนึก จึงทำให้เราทำสิ่งที่เลวร้ายได้ (ยึดติดในรูปกาย)  พยายามตอบเพื่อให้อาจารย์อยู่ (ตัวเราเอง)  ตัวเราเองคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด จริงๆ ตัวเราที่ไม่ค่อยรู้จักตัวเรานั่นเอง น่ากลัวที่สุด แล้วตัวเราที่ชอบหลงตัวเอง ดูความกระตือรือร้นของศิษย์ว่าถ้าศิษย์พยายามจะตอบ จะถูกจะผิดพยายามตอบแปลว่าในใจศิษย์อยากให้อาจารย์อยู่ แต่ถ้าไม่ตอบเลยแปลว่าไม่อยากให้อาจารย์อยู่ อาจารย์ก็จะกลับ (การเกิด)  การเกิดเป็นทุกข์ที่สุดจริงหรือไม่
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่ากิเลสตัณหาอารมณ์ อารมณ์ทางโลกไม่ว่าจะเป็นโลภโกรธหลง ยังมีสิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ ความคิด คนที่คิดว่าฉันได้แค่นี้จะเอาอะไรกับฉัน ฉันดีแค่นี้จะเอาอะไรกับฉัน ฉันทำได้แค่นี้จะขออะไรมากมาย คนที่คิดแบบนี้จะมีวันดีขึ้นไหม คนที่คิดได้แค่นี้จะมีวันพ้นทุกข์ไหม คนที่คิดว่าบุญบาปไม่มี อยากทำอะไรทำไปเลย ใครจะโปรดให้เขาพ้นทุกข์ได้ไหม  ฉะนั้นพระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “กิเลสที่ว่าเลวร้ายยังไม่น่ากลัวเท่ากับความคิดที่ไม่ยอมรับความจริง”  ความคิดที่ยึดติดว่าตัวเองถูก ความคิดที่ยึดติดว่าความคิดตัวเองนั้นใช่ ทั้งที่จริงๆ แล้วอาจจะไม่ใช่ และความคิดที่ยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเองนั่นแหละแน่ ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่แน่ ความคิดที่ยึดติดว่าตัวเองรู้ ทั้งที่ตัวเองไม่รู้  พระพุทธะยังกล่าวไว้อีกว่า คนที่ทำบาปหนักที่สุด ฆ่าพ่อฆ่าแม่ยังมีวันสิ้นกรรมได้ แต่คนที่คิดผิดเหมือนคนที่โดนไฟ ไม่มีวันขึ้นสวรรค์ ไม่มีมรรคผล ต้องถูกไฟของกัปกัลป์เผาอยู่หลังจักรวาล และเป็นตอของวัฏจักรที่ไม่มีใครโปรดได้ แม้พระพุทธะมาโปรดก็ช่วยไม่ได้ จนกว่าคนๆ นั้นจะสละความยึดมั่นถือมั่นและความคิดตัวเองออกจากใจได้  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ “ความคิด” และผลที่สุดก็นำพาให้คนที่คิดแบบนั้น หนีไม่พ้นอบายภูมิ และมนุษย์เราหนีความคิดพ้นไหม (ไม่พ้น)  มักจะคิดว่าตัวเองดี สิ่งที่น่ากลัวสำหรับศิษย์ของอาจารย์มากที่สุดคือ มักจะคิดว่าตัวฉันดีแล้ว แกเป็นใครบังอาจมาว่าฉัน ฉันถูกแล้ว เธอนั่นแหละผิด ทำไมฉันต้องยอม เธอนั่นแหละต้องยอม แล้วเป็นอย่างไร รู้นี่ว่าพัง ไม่มีใครเอา ฉะนั้นกิเลสว่าร้ายแล้ว แต่ความคิดที่ยึดติดในตัวตนแล้วคิดว่าตัวเองถูก ไม่มีวันผิดแน่ไม่มียอมใคร นั่นแหละร้ายยิ่งกว่ากิเลส แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม ผิดแล้วยอมรับมันยังมีวันแก้ไข แต่ผิดแล้วไม่เคยยอมรับ มันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะความคิดเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิต ถ้าอยากเปลี่ยนชีวิตก็ต้องเปลี่ยนความคิด อารมณ์ไม่น่ากลัวเท่ากับความคิด แล้วเราเคยห้ามความคิดได้ไหม
ฉะนั้นที่ทุกข์อยู่ทุกวันนี้ พยายามเลิกจะได้ไม่ต้องคิด ทำอย่างไรให้คิดน้อยที่สุด ถ้าวิ่งไปตามความคิด ผลที่สุดก็จะรู้สึกเหนื่อย เราพยายามหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ต้องคิด โดยที่แก้ภายนอกแต่ไม่เคยแก้ภายใน แล้วมันแก้ได้ไหม ไปเก้าวัดเจ็ดวัดถ้าไม่เปลี่ยนความคิดมันก็แก้ไม่ได้ ถ้าจะเรียนรู้ฝึกฝนธรรมะต้องรู้จักบอกตัวเองให้เยอะๆ สิ่งที่ทำร้ายความดีคือความชั่ว และความชั่วมีต้นเหตุมาจากอะไร มิจฉาทิฐิแปลว่าความเห็นผิด ความคิดผิด
สิ่งที่ทำร้ายความดีคือความชั่ว ความชั่วเกิดมาจากอารมณ์ กิเลส ศิษย์รู้ไหมความคิดที่ไหลเข้าออกในตัวเรา แล้วทำให้จิตติดยึดในอารมณ์นั่นเรียกว่า กิเลส ตอบความคิดก็ถูก แต่จริงๆ แล้วอาจารย์อยากย้ายประเด็นให้เข้าใจมากที่สุด สิ่งที่ทำร้ายความดีก็คือความชั่ว แล้วความชั่วมีต้นเหตุมาจากอารมณ์ กิเลส แล้วกิเลสและอารมณ์เกิดมาจากความคิดที่ไหลเข้าออก และจิตติดยึดในอารมณ์ ความคิดก็เป็นส่วนหนึ่งด้วย แต่ถ้าความคิดนั้นยึดติดในอารมณ์ก็จะกลายเป็นกิเลส ถ้าเราไม่อยากมีความชั่ว เราก็ต้องไม่มี (กิเลส)  ถ้าเราเป็นคนดี คนดีต้องไม่มี (กิเลส)  แต่ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนดีที่มี (กิเลส)  ฉะนั้นอย่ามาพูดว่า ทำดีแค่ไหนก็ไม่เห็นได้ดี เพราะคนดียังมี (กิเลส)  ถึงจะทำบุญแต่มีกิเลสลูบคลำอยู่ในจิตใจ นั่นก็ไม่ได้เรียกว่า บุญบริสุทธิ์ เพราะเคลือบแฝงไปด้วยความโลภ ตัวที่ทำร้ายความดีก็คือกิเลส แล้วกิเลสเป็นต้นทางแห่งการมาซึ่งความบาป ทุกข์และวิบากกรรม ใครอยากเกิดมาแล้วมีเคราะห์ร้ายไหม (ไม่)  
ศิษย์อยากเกิดมาแล้วโชคดีใช่ไหม (ใช่)  ไม่อยากเคราะห์ร้ายต้องไม่ตกเป็นทาสของกิเลส เพราะฉะนั้นจะได้คำว่า วิบากกรรมตามมาด้วย เพราะเป็นกิเลสที่ตัวเองก่อ อาจารย์ขอถามศิษย์นะ กิเลสมีไม่กี่ตัว สิ่งที่อยากและยึดเข้ามาหาตัวเขาเรียกว่า ความโลภ สิ่งที่พยายามผลักออกไปให้ไกลๆ (โกรธ, หลง)  ศิษย์เคยเจอคนที่หลงไหม เหมือนจะสุขแต่ก็ทุกข์ เหมือนจะดีแต่ก็ร้าย แต่ก็ตัดไม่ขาด นั่นเขาเรียกว่า อารมณ์ของคนหลง เรารู้จักโลภ โกรธ หลง อาจารย์ถามหน่อย ใครที่มีความโลภแล้วประพฤติไม่ผิด ไม่มียกมือเลย แสดงว่าที่โลภมาประพฤติผิดหมดเลย ใช่ไหม (ใช่)  มีความอยากได้เล็กน้อยแล้วไม่ผิดเลยเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าศิษย์กล้ายอมรับแปลว่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง ใครมีแล้วล้วนประพฤติผิด เวลาโกรธนิดหน่อย แล้วด่าน้อยๆ ไม่ให้เขาเจ็บ ไม่ทำให้เขาทุกข์ มีไหม
ถ้าศิษย์รู้ว่าโลภ โกรธ หลง เป็นทางแห่งทุกข์ เป็นทางมาแห่งบาป เป็นทางมาแห่งกรรมชั่วกรรมไม่ดี อย่างนั้นเราควรมีโลภ โกรธ หลงไหม อาจารย์ถามหน่อย ถ้ามีคนหนึ่งเขาไปขโมยๆ อยู่ทุกวัน เวลาว่างเห็นอะไรไม่ได้ต้องขโมย อาจารย์ก็เลยขอบิณฑบาตเขา โดยบอกว่า โยมอาจารย์ขอบิณฑบาตให้โยมเลิกขโมยได้ไหม เขาบอกได้ครับอาจารย์ ผมจะขโมยให้น้อยลง  เหมือนศิษย์ไหม (เหมือน)  แล้วมันช่วยอะไรไหม (ไม่ช่วย)
ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ความคิดที่ศิษย์คิดว่าอยากนิดหน่อย โกรธนิดหน่อย หลงนิดหน่อยไม่เป็นไร แต่อาจารย์ไม่เคยเห็นใครอยากนิดหน่อยแล้วไม่ทำบาป โกรธนิดหน่อยแล้วไม่ทำร้าย สิ่งที่จะช่วยยับยั้งกิเลสในใจศิษย์ได้คือ มีสติไม่ขาดสาย สติจะทำให้เรารู้จักยั้งคิด สติจะทำให้เรารู้จักระลึกรู้ตัวรู้ตน และกลับมาสู่ความเป็นกลาง สติทำให้เราไม่ไหลไปตามกิเลสอารมณ์ทางความคิด เมื่อรู้ว่ามีสติเกิดแล้วอารมณ์มาแล้ว แล้วเราควรจะตกเป็นทาสอารมณ์ไหม เราเป็นคนหรือเราเป็นกิเลส ปัจจุบันนี้เราเป็นคนที่ประเสริฐหรือเป็นคนที่ตกเป็นทาสของกิเลส (เป็นทาสของกิเลส)  สิ่งที่จะช่วยยับยั้งอารมณ์ได้ดีที่สุดคือ การมีสติรู้ตัวตนไม่ขาดสาย เมื่อมีสติรู้ตัวตนแล้ว ไม่ให้ฆ่ากิเลสนั้น ไม่ปรุงแต่งกิเลสนั้นเพิ่ม กิเลสนั้นก็จะมาครอบงำใจเราไม่ได้ กิเลสเป็นอย่างไร อาจารย์จะบอกให้ กิเลสมีนิสัยเหมือนเรา มันชอบคนใส่ใจ กิเลสมาแล้วเราใส่ใจดูแลมันมันจะยิ่งอยู่ แต่ถ้ากิเลสมาแล้วเราไม่สนใจมันเลย ไม่แยแสไม่เป็นพวกมัน สักครู่มันจะอายและมันก็จะไป เหมือนเราด่าคนอื่นเขา แต่เขาไม่สนใจ ด่าสักพักเหนื่อย พอหันไปซ้ายขวาจะอายไหม (อาย)  หยุดไหม (หยุด)  แล้วเราจะปล่อยให้ตัวเองด่าแล้วอายแล้วค่อยหยุด หรือควรจะหยุดก่อนที่จะด่าแล้วจะได้ไม่ต้องอาย และเราเคยหยุดก่อนที่จะทำตัวน่าอายไหม (ไม่)
อาจารย์ขอถามหน่อยว่า ถ้าในกลอนนี้มันมีกลอนซ้อนอยู่ ถ้าอาจารย์แยกวันนี้ แล้วทำเสร็จวันนี้เลยเอาไหม ศิษย์เอยเราเกิดเป็นคนทำอะไรให้มันเสร็จไปเป็นวันๆ เราจะได้ไม่ต้องรู้สึกค้างคาใจ แล้วถ้าเกิดชีวิตเราไม่มีพรุ่งนี้ ตายแน่เลยฉันยังไม่เสร็จเลย ใจจะเป็นห่วงใจจะเป็นกังวล ฉะนั้นพยายามเคลียร์ให้เสร็จเราจะได้ไม่มีความกังวล อย่าเพิ่งเบื่อฟังธรรมนะศิษย์เอย ศิษย์เคยได้ยินไหม การฟังธรรมมีอานิสงส์มาก ธรรมทานเป็นทานอันประเสริฐ วันนี้เขาให้ธรรมะแก่ศิษย์เป็นทาน ศิษย์กำลังได้ทานอันประเสริฐที่เรียกว่าธรรมะ แล้วการฟังธรรมะนี่มันก็มีอานิสงส์มาก เพราะช่วยให้คนที่ฟังแล้วกระจ่างแจ้ง สามารถนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ได้ เหมือนที่อาจารย์บอกตั้งแต่ต้น ธรรมะมีหลายระดับ ระดับศีลคือ ละบาปบำเพ็ญบุญ ระดับสมาธิคือ มั่นคงในความถูกต้อง ในความดีงาม ไม่หวั่นไหว ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนระดับปัญญาคือ รู้แจ้งในความเป็นจริงจนนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์
ฉะนั้นอาจารย์บอกวิธีที่จะทำอย่างไรให้เป็นคนดีแล้ว ถ้าศิษย์ถามอาจารย์ว่าศิษย์เดี๋ยวเป็นคนดีบ้างไม่ดีบ้าง วันนี้ทำบุญกับคนนี้แต่ไปด่าคนนั้นดีไหม (ไม่ดี)  แบบนี้เขาเรียกว่าคนดีไหม อาจารย์จะพูดง่ายๆ ระดับศีลคือ ขอเพียงศิษย์ไม่ทำผิดเลยนั่นล่ะเรียกว่าบุญหนักหนาแล้ว ดีกว่าแต่พยายามทำดีแต่ศีล แต่สิ่งที่ผิดไม่ละ อย่างนี้เรียกว่าคนดีหรือไม่ (ไม่)  ฉะนั้นถ้าระดับศีลศิษย์ทำได้ก็เริ่มต้นคือ สิ่งที่เป็นบาป โลภ โกรธ หลง พยายามอย่าทำได้ไหม (ได้)
เราจะได้ไม่สร้างกรรมเวรที่เราต้องไปรับ ต่อไปเมื่อเราเป็นคนดีแล้ว เราต้องมั่นคงในความดี แล้วคนที่จะมั่นคงในความดีได้ คนนั้นต้องมีความรู้ที่แจ่มชัด ไม่ใช่มีความรู้ที่บิดพลิ้ว คดโกง มนุษย์ชอบพูดว่า รู้เยอะรู้มากไม่สู้รู้จริง รู้อะไรต้องรู้ให้จริงให้กระจ่างชัด ถ้าเรารู้อะไรกระจ่างชัด เราก็จะไม่โดนสิ่งนั้นหลอกได้
อาจารย์ขอถามว่า อยู่กับใครแล้วไม่มีทุกข์ มีไหม (ไม่มี)  อยู่กับสามี ลูก และเงิน มีทุกข์ไหม (มี)  ถ้าอยู่กับตัวเองแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์) ทุกข์เพราะความคิดตัวเอง ไม่ยอมตัวเอง ถูกไหม เราจะทำอย่างไรให้สิ่งที่เรารู้ไม่ทำให้เราทุกข์ ทั้งที่จริงๆ แล้วเรามีอะไรเราก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้น ใช่ไหม ฉะนั้นจึงมีคำกล่าวว่า “รู้อะไรต้องรู้ให้ถูกต้อง รู้อะไรต้องรู้แล้วทำให้ตัวเองพ้นทุกข์” แล้วที่สุดของความรู้คือการรู้จัก (ตัวเอง)  ชีวิตข้างหน้าโลกนี้เป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับตัวเรา โลกจะดีจะร้ายก็อยู่ที่ใจเรามอง เอาง่ายๆ อยากรู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไร ให้หันกลับไปดูเฟซบุ๊กตัวเองถ้ามีแต่ความสวยความงาม แปลว่า ชีวิตติดอยู่กับความสวยงาม ถ้ามีแต่เกม กีฬา หวยออนไลน์ สลากกินแบ่ง อาจารย์พูดผิดไหม อาจารย์พูดใช่เลยจริงไหม ถ้าในเฟซบุ๊กหลงมีรูปโป๊มา แสดงว่าเรานั้นชอบรูปโป๊ ถูกไหม (ถูก)  อยากรู้ว่าจิตตัวเองเป็นอย่างไร ในตัวเรานั้นล่ะเป็นที่เกิด เริ่มและจบ อย่ารู้จักเกิด เริ่ม เพิ่มได้ แต่จบไม่ได้ ถ้าตัวเองเป็นคนทำให้ทุกข์ ตัวเองทำให้เจ็บ เป็นที่ๆ ก่อเกิดความเลวร้าย อาจารย์จะบอกว่า ที่ตรงนี้ก็ทำให้จบได้ แล้วก็ดีได้ แล้วก็ไม่เจ็บได้ ใช่หรือไม่ ขอเพียงแค่ศิษย์ไม่ปล่อยให้ชีวิตลื่นไหลไปวันๆ โดยไม่มีสติ ขอเพียงแต่ศิษย์ไม่มองออกข้างนอกแล้วโทษคนอื่นอยู่ร่ำไป แต่หันมารู้ตัว รู้ตนในทุกขณะว่าจะทำอะไรแค่นั้นเอง ถ้าอาจารย์ตีๆ เข้าตรงนี้ เจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  รู้ว่าศิษย์ไม่เจ็บ แต่เขาน่าจะเจ็บ แล้วถ้าเขาเจ็บ ควรจะหยุดไหม (หยุด)  หยุดที่ไหน (หยุดที่ตัวเรา)
แปลกนะ มนุษย์ขวนขวายกับการแก้ปัญหา แต่ไม่มีใครหยุดสร้างปัญหา ถ้าเราไม่หาเหตุมาคนจะมาตีเราไหม ถ้าเราไม่บังเอิญต้องมีกรรมกันมาเราจะมารักเขาไหม ถ้าบังเอิญเราไม่เกี่ยวกรรมกันมา เราจะมายืมเงินเขาแล้วไม่คืนไหม คนมีตั้งมากมายไม่ยืม กลับมายืมเรา พอยืมเสร็จแล้วจากที่เราเป็นเจ้าหนี้เราเหมือนกลายเป็นลูกหนี้ ต้องไปตามทวงคืน ถ้าเรารู้ว่าทุกสิ่งมันเริ่มและเกิดและจบได้ที่ตัวเรา แล้วเราจะทำอย่างไรที่เราจะหยุดทุกข์ได้ ศิษย์เคยได้ยินคำว่า การยึดติดตัวตนเป็นทางมาแห่งบาปไหม (หยุดที่ใจ)  พยายามหยุดใจตัวเองใช่ไหม จริงๆ แล้วมนุษย์เรา ถ้าอยู่เฉยๆ เราก็คงไม่ทุกข์ร้อนใช่ไหม แต่เรามักจะชอบให้ทุกอย่างเป็นดั่งใจ  ฉะนั้นต้นเหตุของความทุกข์อีกอย่างหนึ่งคือ เราชอบเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลก และเรื่องราวต่างๆ หวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นดั่งใจ หวังว่าเขาต้องยิ้มให้แต่เขาไม่ยิ้ม เป็นไปได้ไหม และนิสัยเราเป็นอย่างนี้จริงไหม เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางและทุกคนต้องหมุนตาม พ่อต้องอย่างนั้นลูกต้องอย่างนี้ เพื่อนต้องแบบนั้น กำหนดทุกคนแต่ลืมกำหนดตัวเอง รู้จักทุกคนแต่ลืมรู้จักตัวเอง เราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น)  ต้นเหตุของความทุกข์อย่างหนึ่งก็คือ หวังให้ทุกสิ่งเป็นดั่งใจเราจึงเรียกว่าดี จึงเรียกว่าไม่ทุกข์ ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่เคยมีอะไรเป็นดั่งใจเรา จงอย่ามองเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองคิด แต่จงยอมรับสิ่งที่มันต้องเป็นไป และเราก็จะได้ไม่ทุกข์
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์อยากให้ศิษย์รับรู้ว่าบางอย่าง หากยอมรับในสิ่งที่เป็น ไม่ยึดติด จะได้ไม่คาราคาซัง ดีไหม (ดี)  สิ่งที่มนุษย์เป็น แล้วทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ มีเหตุผลหลายอย่าง สิ่งแรกคือ มักเอาตัวเป็นจุดศูนย์กลาง และอีกอย่างคือ มักเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินผิดถูกชั่วดีของคน แล้วก็ยึดติดในบรรทัดฐานนั้นอย่างตายตัวจนทำให้ตนเองทุกข์อย่างโงหัวไม่ขึ้น จริงไหม (จริง)  เขาต้องดีกว่านี้ ทำไมเขาพูดอย่างนี้กับฉัน ทำไมเขาทำอย่างนี้กับฉัน จริงไหม (จริง)  
ถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์เพราะการยึดติดอย่างตายตัว ศิษย์จงมองเห็นว่าการชมกับการว่ากล่าว มีค่าเท่ากัน แล้วศิษย์จะไม่ทุกข์ ใครว่ากล่าวมาก็มีค่าเท่ากับคำชม ใครชมมาก็มีค่าเท่ากับคำว่ากล่าว เมื่อมีความสุขเข้ามาก็มีค่าเท่ากับความทุกข์ เมื่อมีความทุกข์เข้ามาก็มีค่าเท่ากับความสุข แล้วอย่างนี้เราจะหลง และจะเกลียดอะไรไหม แต่เราอดรนทนไม่ไหว อดทนได้ไม่เพียงพอใช่ไหม (ใช่)  ศิษย์เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า อย่าทำเวรให้ยืดเยื้อ อย่าเห็นการณ์ยาวจงเห็นการณ์สั้น ฉะนั้นถ้าใครร้ายมาก็ร้ายตอบ อย่างนี้เราก็ไม่สามารถหยุดเวรกรรมได้ใช่ไหม (ใช่)
เราอยากเบาหรืออยากหนัก (อยากเบา)  แต่ถึงเวลากลับทำแต่สิ่งที่หนักใจกับตนเองใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์อยู่ในโลกนี้ อย่าใช้ตนเองเป็นบรรทัดฐานไปวัดใคร และอย่าคิดว่าสิ่งที่ตนเองคิดนั้นจะถูกต้องเสมอไป เหมือนอาจารย์ถามว่า ถ้าอาจารย์มีความคิดหนึ่ง แล้วศิษย์มีความคิดอีกความคิดหนึ่ง แล้วอย่างนี้ใครจะถูกใครจะผิด (ไม่มี)  เขาก็คิดเราก็คิด แต่ความคิดของแต่ละคนก็มักจะเข้าข้างตนเองเป็นหลักใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราสามารถทำให้ชอบชังมีค่าเท่ากัน ทำให้ความสุขและความทุกข์มีค่าเท่ากัน เราก็จะไม่มีความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราทำได้หรือไม่ (ได้)
ศิษย์เอ๋ย ถ้ารู้อะไรไม่สิ้น รู้ไม่สุด ก็จะไม่มีวันพ้นทุกข์ ฉะนั้นถ้ารู้อะไรแล้วต้องรู้ให้สิ้นและต้องรู้ให้สุด
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นออกมาหน้าชั้น ๒ คน)
ศิษย์จำคำอาจารย์ไว้ รู้อะไรต้องรู้ให้สิ้นรู้ให้สุด ศิษย์บอกว่าไม่เท่า เอาอะไรเป็นบรรทัดฐาน ถ้าศิษย์อยากมองให้สิ้นมองให้สุด อาจารย์ดูเหมือนตัวเล็กกว่าเขา แต่จริงๆ อาจารย์ก็สามารถตัวใหญ่กว่า  รู้อะไรรู้ให้สิ้นรู้ให้สุด ถ้าอาจารย์หลงลำพองเข้าข้างตัวอาจารย์เอง อาจารย์ก็โง่แล้ว เพราะถึงที่สุดแล้วก็ยังมีคนตัวเล็กกว่าอาจารย์ ถ้าอาจารย์หลงว่าตัวเองหุ่นดี ถ้าอาจารย์หลงอย่างนี้อาจารย์ก็มองแบบคนไม่สิ้นทุกข์ ไม่สิ้นสุด แล้วก็ไปว่าคนอื่น ไปดูถูกคนอื่นสร้างบาปใหม่ นี่แหละคือรู้ไม่สิ้นทุกข์รู้ไม่สิ้นสุด แล้วชอบเอาสิ่งที่ตัวเองเห็นแค่ชั่ววูบมาตัดสินชะตาชีวิตทั้งชีวิตได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์เอยจำไว้นะ ถ้าอยากอยู่ในโลกโดยที่ไม่เอาความคิดตัวเองเป็นบรรทัดฐาน ไม่เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง อยู่ในโลกจงอย่าคิดว่าตัวเองรู้จริง และเป็นอะไรจริง เพราะชีวิตล้วนคือการพลิกผันเปลี่ยนแปลง วันนี้ฉันดีแต่ไม่แน่อาจไม่ดี ฉะนั้นถึงที่สุดแล้วเราควรหลงดีใจกับสิ่งในตอนนี้ แล้วค่อยมาทุกข์ในวันหน้า หรือไม่ควรดีใจและไม่ทุกข์ใจอะไรเลย อาจารย์ถามหน่อยถ้าวันนี้โดนเขาว่า ศิษย์ร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตายตีอกชกตัวเอง แต่ไม่แน่ พอไปอีกสักสองสามเดือนศิษย์อาจจะเจอคนที่ด่าเราว่าเราหนักกว่านี้ก็ได้ ที่เคยถูกว่ามานั้นกลายเป็นเรื่องเล็กๆ และฉันไม่น่าไปเสียน้ำตาตอนนั้นเลยจริงไหม และเหมือนตอนนี้ฉันได้คำชมว่าเก่งว่าแน่ว่าดี ดีใจลำพองใจ พอถึงเวลาไม่มีใครชมเลยแล้วเราจะทุกข์ใจไหม ไม่ต้องทุกข์เพราะชีวิตคือความหมุนเวียนเปลี่ยนผัน รู้อะไรต้องรู้ให้สุด รู้อะไรต้องรู้ให้สิ้น สิ้นทุกข์ อย่างที่อาจารย์บอก ไม่ต้องรู้มาก ไม่ต้องรู้เยอะแต่ขอให้รู้จริง แล้วรู้ในสิ่งที่ถูกและนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ และสิ่งที่ควรรู้คือรู้จักตัวเอง ฉะนั้นอย่าคิดว่าตัวเองแน่ อย่าคิดว่าตัวเองทุกข์เสมอไป
ถ้าพรุ่งนี้เรายังมีบุญต่อกัน เราจะมาหาโอวาทในโอวาท ดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าเรายังมีบุญร่วมกัน ผูกบุญดีกว่าผูกกรรม จริงไหม (จริง)  บุญที่ชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ บุญที่นำพาให้เราพ้นทุกข์ อาจารย์ถามหน่อย มนุษย์เราส่วนใหญ่ทุกข์เพราะความอยากที่ไม่รู้จักพอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีหนึ่งก็อยากมี (สอง)  มีสองก็อยากมี (สาม)  มีสามก็อยากมี (สี่)  มีสี่ก็อยากมี (ห้า)  มีห้าก็อยากมี (หก)  ไม่รู้จักพอบ้างเลยหรือ เคยได้ยินคำว่า พอจึงดี พอจึงสุข ถ้าชีวิตนี้ยังไม่เคยดี ยังไม่เคยสุข ก็แปลว่า ยังไม่เคย (พอ)  ตอนนี้เคยดีหรือยัง สุขหรือยัง สุขๆ ดิบๆ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าอยู่ร่วมกันแล้วศิษย์พอกับความอยากในใจเราได้ ศิษย์ก็จะเห็นเขาดีได้ แต่ถ้าศิษย์ยังพอในใจเราไม่ได้ ศิษย์ก็ไม่มีวันเห็นเขาดีได้ เขาต้องแบบนี้สิ ไม่ได้ดั่งใจเราเลย ก็เลยไม่ได้ดีสักที อยู่ร่วมกันก็ไม่เคยมีความสุข ก็เพราะเราไม่เคยพอ ใช่หรือเปล่า สิ่งหนึ่งที่อาจารย์อยากจะทิ้งท้ายไว้ อยู่ในโลกนะศิษย์ ถ้าทำจนถึงที่สุดอะไรจะเป็นของเราก็เป็นของเรา แต่ถ้าไม่เป็นของเราก็ให้คิดว่า เป็นบุญเป็นกุศล ดีไหม (ดี)  สมมติทำอะไรมาอย่างหนึ่ง แต่คนอื่นเอาไปตัวเองไม่ได้ ทำอะไรมาอย่างหนึ่งเขาเอาไปไม่เคยคืน ให้คิดว่าดีแล้วทำให้ฉันได้สร้างบุญ ดีแล้วทำให้ฉันได้สร้างกุศล บุญคือเครื่องชำระล้างใจให้บริสุทธิ์ กุศลคือเครื่องที่ไม่ทำให้เราติดตัวตน สามารถล้างตัวตนได้สิ้น
วันนี้อาจารย์พอแค่นี้ ถ้ามีโอกาส บุญยังมี เราคงได้มาร่วมบุญกันนะศิษย์ ดีไหม (ดี)  อาจารย์ต้องไปก่อน มีโอกาสคงได้มาพบกันนะ


วันอาทิตย์ที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒               สถานธรรมเจิ้งซิน  จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ไม่บิดเบี้ยวในจิต                              ความคิดก็จะกลาง
จะเดินก็ตรงทาง                                เจอหลุมพรางก็ข้ามไป
                        เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า              รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา        ลงสู่แดนโลก น้อมกายกราบ
องค์มารดาแล้ว                 ถามศิษย์รักทุกคนยังยินดีต้อนรับอาจารย์ไหม
  เส้นทางแห่งอริยะ                           การชนะใจตนเอง
ใช่ว่าจะต้องเก่ง                                  แต่ต้องเปล่งคุณธรรม
เมื่อรู้โลกยังเคลื่อนหมุน                       จิตไม่ขุ่นจึงเลิศล้ำ
พึงมีสภาวธรรม                                  ขาวมีดำดำมีขาว
เมื่อทุกอย่างมีสมดุล                            ปรับยืดหยุ่นดีกว่าเก่า
สิ่งใดจะเทียมเท่า                               การที่เจ้าได้บำเพ็ญ
อยู่ในโลกด้วยสติ                                อโหสิกันให้เป็น
จิตใจหยุดยอมเย็น                             ฝึกบำเพ็ญเป็นหัวใจ
เมื่อแย่รู้ว่าแย่                                    จงแน่วแน่จะแก้ไข
ทำได้หรือไม่ได้                                  ย่อมดีกว่าไม่ลงมือ
เมื่อดีรู้ว่าดี                                        สิ่งสิ่งนี้ไม่ยึดถือ
ส่งต่อมือต่อมือ                                   สามัคคีคือความสำคัญ
สถานธรรมผ่องอำไพ                          จะไกลใกล้อย่างไรไม่แปรผัน
ขอแค่ทำทุกคืนวัน                              เป็นการทำแต่สิ่งดี
ฮา ฮา หยุด



พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



รู้จักกันแล้วนะ รู้สึกคิดถึงกันไหม เงียบๆ อย่างนี้แสดงว่าไม่ได้รู้สึก
รู้สาอะไรกัน แต่ก็ดีการที่รู้สึกรู้สามากเกินไปก็ทำให้ทุกข์ ไม่รู้สึกรู้สาบ้าง
ก็อาจจะดี มีอะไรก็เฉยๆ เราก็คงไม่ (ทุกข์)  แต่ถึงเวลาจริงๆ เราเฉยไหม (ไม่เฉย)  ยังมีความรู้สึกอยู่ใช่หรือไม่ 
ใกล้ปีใหม่แล้วนึกถึงอะไรบ้าง บางคนบอกความโชคดี บางคนบอกของขวัญ บางคนบอกคำอวยพร อยากได้อะไรมากกว่านี้ไหม (อยากได้โบนัส, อยากได้สุขภาพที่แข็งแรง) โบนัสจะได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับผลประกอบการ ในใจมีแต่ความอยากได้เต็มไปหมดจริงไหม อย่างนี้อาจารย์จะให้สมหวังทุกอย่างเป็นไปได้ไหม พรอาจจะให้ได้ แต่โบนัสอาจจะยากหน่อย เพราะมันอยู่ที่การกระทำของศิษย์เอง และผลประกอบการของบริษัท ฉะนั้นอาจารย์เกินจะช่วยได้ ส่วนอยากได้ของขวัญอาจารย์ก็พอให้ได้ ใครก็อยากได้พรดีๆ อาจารย์เคยให้วิธีไว้ที่หนึ่งคือ แจกน้ำทุกคน คนละแก้ว และให้ทุกคนอวยพรลงในน้ำนั้น แล้วเอาน้ำนั้นมารวมกัน คำอวยพรนั้นจะกลายเป็นคำอวยพรที่ยิ่งใหญ่ เพราะไม่ใช่มีคำอวยพรของคนแค่คนเดียว คำอวยพรของคนแค่คนเดียวก็ไม่ประเสริฐเท่ากับคำอวยพรของทุกๆ คนรวมกัน สักพักหนึ่งถ้าได้นั่งแล้วอาจารย์รบกวนผู้ปฏิบัติงานธรรมไปเตรียมน้ำให้ ให้ถือทั้งนักเรียนและตัวเอง แล้วตั้งจิตอธิษฐานขอให้น้ำนี้เป็นน้ำที่ใครดื่มแล้วจะเป็นอย่างไร เช่น ขอให้เขามีความสุข ขอให้เขาแข็งแรง ยิ่งให้คนอื่นเราก็ยิ่งได้ช่วยตัวเอง รู้จักช่วยคนอื่นก็คือการได้ช่วยตัวเอง ถ้าทำอย่างนี้เสร็จแล้ว เราค่อยเอาน้ำมารวมกัน แล้วเราค่อยออกไปกินใหม่ดีไหม (ดี)  จะได้เป็นคำอวยพรที่รวมคำอวยพรของทุกๆ คน หรือถ้าไม่กินก็เอามาพรมศีรษะเพื่อเป็นสิริมงคล
เมื่อสักครู่ผู้ดำเนินรายการเขาเริ่มต้นดี สิ่งที่ทำร้ายความดีคือความชั่ว ความชั่วมาจากกิเลส ถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์ก็จงอย่ามีกิเลส เพราะกิเลสนอกจากเป็นความชั่วแล้ว ยังเป็นสิ่งที่ทำให้เราหนีไม่พ้นทุกข์ เป็นหนทางแห่งการทำบาป และหนีไม่พ้นวิบากกรรมที่เราต้องไปแบกรับ แปลว่าการบำเพ็ญธรรมต้องทำให้ศิษย์ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก จริงไหม (จริง)  เพราะความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นหนทางแห่งทุกข์ บาปและความชั่ว แต่เราเคยชินอยู่กับความอยาก ตื่นขึ้นมาอยากกินอะไร ไปเที่ยวไหน อยากทำอะไร เราเคยชินกับการมีชีวิตวิ่งไปตามอารมณ์ความรู้สึก แล้วที่วิ่งตลอดชีวิตเป็นหนทางแห่งการทำบาป ความชั่วและวิบากกรรม แล้วตอนนี้อาจารย์บอกให้ศิษย์ไม่อยากเลย ย่อมเป็นไปได้ยาก อาจารย์ถามหน่อยว่า ศิษย์ทำอะไรก็ตามศิษย์ทำด้วยใจ มีใจจึงอยากทำ แต่ถ้ามีคนสองคน คนหนึ่งทำอะไรด้วยใจ แล้วใจนั้นประกอบไปด้วยคุณธรรม อีกคนหนึ่งทำด้วยใจและอารมณ์ล้วนๆ สิ่งใดทำแล้วมั่นคงกว่า สิ่งใดทำแล้วเวลาอยู่กับเขาเราปลอดภัยกว่า สิ่งใดที่เราอยู่ร่วมด้วยแล้วไม่ทุกข์ สิ่งใดที่ทำแล้วยั่งยืนกว่า (ใจที่ประกอบไปด้วยคุณธรรม)  เหมือนคนๆ หนึ่ง ถ้าเขาอยู่กับศิษย์ด้วยอารมณ์ล้วนๆ วันหนึ่งเขามีอารมณ์หมดไหม มีวันผิดพลาดไหม มีเวลาที่จะเปลี่ยนไหม เพราะอารมณ์มีวันหมดสิ้น และอารมณ์มีวันกลับกลาย คนที่อยู่กันด้วยอารมณ์จะมีวันระเบิดและอารมณ์ก็ทำร้ายกันได้ ใช่ไหม
อาจารย์ถามหน่อยว่าถ้าเราเริ่มต้นทำอะไรด้วยใจที่ประกอบไปด้วยคุณธรรม กับทำอะไรด้วยใจที่ประกอบไปด้วยอารมณ์ คุณค่ามันแตกต่างกันไหม แล้วปัจจุบันนี้ เรามีชีวิตอยู่กันด้วยใจที่ประกอบด้วยธรรมหรือใจที่ประกอบด้วยอารมณ์ ศิษย์เอย ศิษย์อยากได้คนรักจริงใช่ไหม ศิษย์อยากได้คนที่อยู่กับศิษย์แล้วมั่นคงใช่ไหม ศิษย์อยากได้รักที่เป็นรักแท้ อยากได้ความดี ไม่อยากได้อารมณ์ที่ทำให้เราอยู่ด้วยแล้วเหมือนมีไฟเผาใจตลอดเวลา ฉะนั้นเกิดเป็นคนควรอยู่กับเขาแบบไหนจึงเรียกว่าสุข แบบไหนจึงเรียกว่าทุกข์ เราดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันด้วยอารมณ์หรือด้วยคุณธรรม ศิษย์รู้ไหมว่าอารมณ์รักนี้มีวันที่จะทำร้ายเราให้เจ็บปวดได้ แต่ไม่เหมือนคุณธรรม เวลาเรารักใครรักด้วยการให้กับรักด้วยการครอบครอง อะไรทำให้เจ็บปวดกว่ากัน เวลาเราคิดครอบครอง เราจะรู้สึกเสียไม่ได้ หายไม่ได้ แค่คิดก็ทุกข์แล้ว แค่คิดว่าจะเสียเขาไปก็เจ็บแล้ว ไม่เหมือนการอยู่กับเขาด้วยการให้ ให้ด้วยความเมตตา ให้ด้วยความรัก และความซื่อตรงจริงใจ ยิ่งให้เหมือนยิ่งอิ่ม ยิ่งให้กลับยิ่งสุขและปลื้มใจ แล้วอยู่แบบให้หรืออยู่แบบเอา
อย่าถามอาจารย์เลยนะว่า อยู่ในโลกอย่างไรไม่ให้มีอารมณ์ อาจารย์ไม่ได้บอกว่าไม่ให้มีอารมณ์ แต่ให้อยู่ในโลกด้วยการประกอบหนทางที่ถูกต้อง เพราะธรรมเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ที่ประเสริฐที่สุด พ่อแม่และลูกมีอะไรเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ พ่อแม่เมตตากับลูก รักใคร่ลูก ลูกมีความกตัญญูตอบแทนพ่อแม่ ความสัมพันธ์นี้จะเป็นการอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็น แต่ความรักความสัมพันธ์แบบฉาบฉวยมันมีวันหมด เธอไม่รักฉัน ฉันก็ไม่รักเธอ เมื่อลูกไม่รักแม่ พ่อกับแม่ก็ไม่จำเป็นต้องรักลูก ดีไหม (ไม่ดี)  เมื่อลูกโตมาไม่เชื่อฟัง แม่ก็ตัดหัวตัวหางทิ้งเลย ดีไหม นี่เป็นเครื่องยืนยันว่า เกิดเป็นคนทำไมต้องมีธรรม เพราะธรรมเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ให้เราอยู่บนโลกได้อย่างปกติสุข
ถ้าใช้อารมณ์ ก็จะทำให้เราร้อนรน และทุกข์ทนกลุ้มกังวลใจ จริงไหม (จริง)  ถ้าไม่เชื่ออาจารย์ก็ไม่เป็นไร เมื่อถึงเวลาก็กลับไปใช้อารมณ์เหมือนเดิมก็ได้นะ เพราะคนที่ต้องรับผลของการกระทำก็คือตัวของศิษย์เอง ซึ่งไม่ใช่อาจารย์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเมื่อนั้นมีน้ำตานองหน้ามาหาอาจารย์ เมื่อนั้นอาจารย์ก็ช่วยไม่ทันแล้วนะ ฉะนั้นเราต้องเริ่มต้นให้ถูกก่อนนะศิษย์ ว่าทำไมเราจึงต้องมีธรรมมากกว่ามีกิเลสอารมณ์
การมีคุณธรรมเป็นเรื่องที่ยากหรือไม่ (ไม่ยาก)  ทำไมเราต้องเป็นคนดีที่มีธรรม ศิษย์เคยคิดไหม เกิดเป็นคนหนึ่งคน เป็นผู้ที่มีความใจเย็นมีเมตตาก็มักไม่ดูถูกใคร แต่ในทางตรงกันข้าม คนที่ใช้อารมณ์ เห็นแก่ตัว มักจะเป็นผู้ที่มีจิตใจคับแคบ ยกตัวอย่าง ถ้ามีแอปเปิลหนึ่งผล เราจะแบ่งก่อนหรือจะกินก่อน (กินก่อน)  คนทุกคนล้วนรักตัวกลัวตาย คนทุกคนล้วนรักสุขเกลียดทุกข์ อยากได้ไม่อยากเสีย เหมือนกันหมด แล้วคนทุกคนชอบคนเคารพหรือชอบคนดูถูก (เคารพ)  ซื่อตรงหรือคดโกง (ซื่อตรง)  รับผิดชอบหรือไม่รับผิดชอบ (รับผิดชอบ)  ดังนั้นการที่ปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยความเคารพ ด้วยการให้เกียรติ นั่นเป็นการปฏิบัติแบบคนที่มีคุณธรรมใช่ไหม (ใช่) การปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความเมตตา ด้วยความใจเย็นสุขุมนั่นคือจิตที่เมตตา การปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยความซื่อตรงนั่นคือการมีมโนธรรมสำนึกที่ดี การปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเที่ยงตรง ไม่คดโกง ในเมื่อเราก็อยากได้การปฏิบัติที่มีคุณธรรมเหมือนกัน แล้วทำไมเราจึงไปคดโกงเขาเล่า เราอยากได้ความซื่อตรงเราจึงคดโกงเขา อย่างนี้ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เราอยากได้มากกว่าเราจึงเอาเปรียบเขา เราอยากได้คนที่ซื่อตรงเราจึงโกหกเขา อย่างนี้หรือ ทำไมเราอยากได้อย่างหนึ่งแล้วกลับไปทำอีกอย่างเล่า
เหมือนเมื่อสักครู่อาจารย์ถามว่า เมื่อถึงเวลา เราได้มาก่อนเรารู้จักให้ไหม แต่เรากินอิ่มก่อนแล้วจึงให้กันทั้งนั้น แต่ศิษย์รู้ไหมว่า ถ้าเรารู้จักให้ก่อนแล้วตัวเราเองค่อยกินอิ่มทีหลัง อย่างนี้ดีกว่ากันนะ เพราะบางอย่างเมื่อความรู้สึกมันเปลี่ยนแปลงและสูญเสียไปแล้ว ตามแก้ไขไม่ได้แล้วนะ ดังนั้นจงทำดีต่อกันไว้ดีกว่า ยอมลดความอยากของตัวเองสักหน่อย แล้วปฏิบัติกับผู้อื่นให้ดีหน่อย แล้วเราจะได้ไม่เสียใจในภายหลัง อย่างนี้ดีไหม (ดี)
และอีกเหตุผลหนึ่งที่เราต้องทำดีคือ ใจของมนุษย์ง่ายที่จะไหลลงต่ำมากกว่าดึงตัวเองสูง เคยเห็นอะไรที่มันไม่ดีไหม (เคย)  เคยได้ยินอะไรที่ไม่น่าฟังไหม (เคย)  แล้วปักใจเชื่ออย่างนั้นจริงไหม เคยคิดว่ามันอาจจะไม่ใช่บ้างไหม และถึงที่สุด เราเชื่อในสิ่งที่ไม่ใช่หรือเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น (เชื่อในสิ่งที่ตาเห็น)  ทั้งที่จริงๆ แล้วมันมีโอกาสเปลี่ยนและมีโอกาสที่ไม่ใช่ไหม  ฉะนั้นเหตุผลหนึ่งที่เราต้องทำดีไว้คือ เพื่อยับยั้งจิตไม่ให้คิดร้าย ยับยั้งใจไม่ให้ใฝ่ชั่ว เหมือนเวลาให้แบ่งของ แบ่งให้ตัวเองและแบ่งให้ผู้อื่นด้วย เรานั้นง่ายที่จะแบ่งให้ตัวเองมากกว่าและคนอื่นน้อยกว่า พอเข้าใจบ้างหรือยังว่า ทำไมเกิดเป็นคนจะต้องมีดีและมีคุณธรรม
เงินจะมีมากก็ต่อเมื่อเราลดความอยากให้ต่ำเตี้ยที่สุด แล้วสิ่งที่มีก็จะเพิ่มพูนหนึ่งร้อยบาทพอไหม (ไม่พอ)  ก๋วยเตี๋ยวก็ห้าสิบบาทแล้ว น้ำก็อีกสามสิบหรือสี่สิบ รวมกันก็ตั้งเก้าสิบแล้ว อย่างนั้นต่อไปก็เปลี่ยนเป็น กลับไปกินน้ำที่บ้าน กลับไปกินข้าวที่บ้านก็แล้วกัน เป็นอย่างนี้หนึ่งร้อยพอไหม (พอ)  เหลือไหม (เหลือ)  แล้วปกติกินข้าวนอกบ้านหรือกินข้าวในบ้าน (นอกบ้าน)  ในทางเดียวกันนะศิษย์ ถ้าศิษย์อยากทำให้เงินที่ศิษย์มีมากขึ้น ศิษย์ก็ต้องลดความอยากในใจเราให้น้อยลง ยิ่งน้อยมากเท่าไหร่เงินก็มีมากขึ้นโดยที่เราไม่ต้องไปเหนื่อยแสวงหาเลย กับอีกอย่างหนึ่งเวลาจะทำอะไรก็ตาม ทำเพื่อให้ตัวเองกินให้อิ่มก่อนอยู่รอดก่อน อย่าทำเพื่อจะได้ขาย ได้เงิน แล้วตัวเองค่อยรอด อย่างนี้ตายไหม (ตาย)  เกษตรกรปลูกข้าวเพื่อกินหรือเพื่อขาย ขายก่อนแล้วค่อยกิน หรือกินก่อนแล้วค่อยขาย ถ้าขายก่อนแล้วค่อยกินมีแต่ตายแล้วก็ตาย จงแปรเปลี่ยนความคิดว่า ไม่เป็นไร ขายไม่ได้ฉันยังมี ฉะนั้นเราต้องแปรเปลี่ยนเป็นกินก่อนขาย ยิ่งโลกปัจจุบันเป็นปัจจุบันที่คนไม่ค่อยอยากจะจับจ่ายใช้สอยด้วยแล้ว สิ่งที่ดีที่สุดคือศิษย์ต้องเอาตัวเองให้รอดก่อนคือ กินให้อิ่มก่อนแล้วเหลือแบ่งขาย อย่าหวังว่าจะขายแล้วตัวเองจะได้กินอิ่ม ไม่อย่างนั้นท้องแห้งตาย เหมือนเวลาเราอยู่ในโลก อย่าหวังว่าจะได้สุขจากข้างหน้า แต่ตัวเองสุขไม่เป็น แล้วถ้าข้างหน้าไม่มีสุขให้ ไม่มีความรักให้ ไม่มีความสำเร็จให้ คนนี้จะไม่ตายก่อนหรือ เพราะรักตัวเองไม่เป็น หาความสำเร็จจากตัวเองไม่ได้ หาความสุขให้ตัวเองไม่ได้ จงรู้จักหาความสุขจากตัวเองให้เป็น รู้จักทำตัวเองให้รอด เมื่อตัวเองรอดแล้ว ความสุขข้างหน้าจะมีหรือไม่มีเราก็ไม่ตาย แต่มนุษย์เรารักตัวเองไม่เป็น และหวังจะรอรับจากคนอื่น พอคนอื่นไม่รักแล้วเป็นอย่างไร (ตาย)  การดำรงชีวิตก็เหมือนกัน เอาตัวเองให้รอดก่อน ถ้าตัวเองอยู่ได้ ตัวเองรอดได้ การช่วยคนอื่นก็ไม่ยาก ไม่ต้องนั่งรอคนอื่น และเวลามีกินแล้วเราจะแบ่งคนอื่นได้ แต่ถ้าเมื่อไรที่เราคิดจะขายอย่างเดียว เราจะคิดแบ่งใครไหม (ไม่)  เห็นไหมว่าคุณค่ามันต่างกัน
(พระอาจารย์เมตตาให้เล่นเกมส่งผลไม้)
ส่งผลไม้ไปถึงหลังห้องอย่างไร ต้องกลับมาอย่างนั้น กลับมาให้คงสภาพเดิมดีไหม ถ้าหากกลับมาไม่เหมือนเดิม แถวนั้นจะต้องเต้นเป็ด ชีวิตนี้มีเรื่องยากหลายเรื่องนะ เวลาที่เราต้องสัมพันธ์กับผู้อื่น การที่เราจะรักษาใจไว้ให้เหมือนเดิมนั้นเป็นเรื่องที่ยาก จริงไหม (จริง)
ศิษย์เอ๋ยถ้าชีวิตเรารู้จักระมัดระวังในการอยู่ร่วมกัน โอกาสที่เราจะทำร้ายกันก็เป็นเรื่องยาก แล้วเราอยู่ร่วมกันอย่างระมัดระวังหรือเราอยู่ร่วมกันอย่างไม่คิดระวังอะไรเลย นึกอยากจะพูดอะไรก็พูด อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะไปก็ไป ไม่สนใจใครเลยใช่ไหม แล้วโอกาสที่ทำให้คนรอบข้างเดือดร้อนและเป็นทุกข์เป็นไปได้ไหม แต่ถ้าต่อไปเรารู้จักระมัดระวังในการอยู่ร่วมกัน เราจะทำให้ใครทุกข์ใจไหม แล้วเราระวังไหม พูดความจริงหรือพูดตามความคิดของตัวเอง อาจารย์บอกให้อย่างหนึ่งนะศิษย์ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าพูด พูดแล้วเหนื่อย เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ แต่ถึงเวลาหู ตา ปากอยู่ตรงนี้แล้วก็บ่นตรงนี้จนเหนื่อย ถ้าอยากอยู่บนโลกนี้แล้วทุกข์น้อยหน่อย ต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ พอถึงที่สุดเราก็เปลี่ยนแปลงความคิดคน หรือเปลี่ยนนิสัยคนไม่ได้ เพราะชีวิตเป็นเรื่องของความจริง ไม่ใช่เป็นเรื่องของความคิด เอาแต่คิดแต่ไม่มองความจริงก็ไม่ใช่ชีวิต แล้วเราใช้ชีวิตเอาแต่คิดหรือมองความจริง ความคิดเป็นเรื่องของสมอง แต่จิตใจต้องเป็นเรื่องของความเป็นจริง แล้วการเข้าใจหลักของความเป็นจริงนั้นดีอย่างไร ศิษย์เอ๋ยอาจารย์ถามหน่อย มีใครอยู่ในโลกแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)  มีเงินก็ทุกข์เพราะเงิน มีลูกก็ทุกข์เพราะลูก มีตัวเราก็ทุกข์เพราะ (ตัวเรา)  ขนาดตัวเองยังไม่รอดเลย เห็นไหม ถ้าเราใช้ชีวิตเราต้องรู้จักที่จะมองความจริงมากกว่ามองแต่สิ่งที่ตัวเองคิด ในความเป็นจริงนั่นล่ะที่เป็นกฎและเป็นหลักของทุกชีวิต รูปและนามอันเป็นธรรมดาของโลกนี้ ฉะนั้นการเรียนรู้ความจริง คือการเรียนรู้หลักของชีวิต อาจารย์จะพูดถึงความจริง ความจริงอันไม่ตาย และความจริงอันเป็นธรรมดาโลก และเป็นสัจธรรม เราเกิดเป็นคน เราลืมความเป็นจริงอันนี้ไม่ได้ ความจริงอันเป็นธรรมดาของโลก ความจริงอันหนีไม่พ้น ความจริงอันเป็นสัจธรรมคืออะไร
(ความตาย)  ความตายเป็นธรรมดาโลก เป็นความจริงที่หนีไม่พ้น ฉะนั้นถ้าเรามีการพิจารณาอยู่เสมอว่า เรามีความตาย แล้วเราจะมีความประมาทในการดำเนินชีวิตไหม แล้วเราจะทำผิดคิดร้ายหรือไม่ เพราะเราไม่รู้ว่าชีวิตนี้เราจะต้องตายเมื่อไร ฉะนั้นผู้ที่ไม่ประมาทคือ ผู้ที่ไม่ปล่อยให้จิตใจเพลิดเพลินจนขาดสติและประพฤติผิด แต่ดำรงจิตให้อยู่ในหลักความจริงอันถูกต้อง เพื่อย้ำเตือนใจไม่ให้ก่อเกิดทุกข์ 
(เกิด แก่ เจ็บ ตาย)  ในเกิด แก่ เจ็บ ตาย อะไรน่ากลัวที่สุด (การเกิด)  การเกิดน่ากลัวที่สุด การเกิดที่เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนที่ทำให้เราเกิดแล้วเกิดอีกไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์เอ๋ย เป็นคนชอบธรรมะ ชอบเข้าวัดเข้าวา เกิดเป็นคนอย่าแค่ทำบุญเป็น สวดมนต์เป็น ไหว้พระเป็น แต่มากกว่าการทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ นั่นก็คือ การมีปัญญาเห็นแจ้งในความเป็นจริงจนนำพาให้ตนเองพ้นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สุขและทุกข์)  เป็นความจริงอันเป็นธรรมดาโลก หรือเรียกอีกอย่างว่า โลกธรรมแปด มีทุกข์ก็มีสุข มีสุขก็มีทุกข์ ฉะนั้นเมื่อไรที่พบทุกข์ ก็ให้คิดว่าสุขก็มี เพียงพลิกใจให้เป็น ความทุกข์ก็กลายเป็นความสุขได้ หากพลิกใจไม่เป็น เราก็ต้องจมอยู่กับความทุกข์ไปจนตาย
(การพลัดพราก)  พลัดพรากจากสิ่งที่รักและต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รัก แต่ศิษย์เอ๋ย ถ้าชีวิตนี้เราไม่รักไม่เกลียดอะไร เราจะเศร้าเมื่อยามพลัดพรากไหม และเราจะทุกข์เมื่อต้องทนอยู่กับสิ่งที่เราไม่ชอบไหม อาจารย์ถามว่าถ้าเราไม่มีใจชอบอะไร เวลาเขาจากไปจะเสียใจไหม (ไม่เสียใจ)  แล้วถ้าเกิดว่าเราไม่เกลียดอะไร แล้วเราต้องอยู่กับคนที่เราไม่เกลียดอะไรเลยแล้วเราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ที่เราต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เพราะว่าใจเรามีความรักและความเกลียด ถ้าเมื่อไรใจเราสิ้นสิ่งที่รักสิ้นสิ่งที่เกลียด เราก็จะเจอความจริงอันเป็นธรรมดาในโลกนี้ได้ ความจริงเป็นสิ่งที่ศิษย์หนีไม่พ้น และเป็นสิ่งที่ศิษย์ทุกคนต้องเจอ
ศิษย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า สิ่งที่ศิษย์มองว่าสวย แท้จริงพุทธะบอกไม่สวย สิ่งที่ศิษย์บอกว่ามั่นคง แท้จริงพุทธะบอกไม่มั่นคง และสิ่งที่ศิษย์คิดว่าดีแสนดีแท้จริงมันอาจจะไม่แน่  ฉะนั้นผู้ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิตจึงไม่หลงลืมความเป็นจริง เพราะความเป็นจริงล้วนเปลี่ยนแปรผัน คงอยู่แค่ชั่วขณะหนึ่ง ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เราเห็นอยู่นี้ มีโอกาสเปลี่ยนแปลง มีโอกาสทุกข์ แล้วเราอยากได้ไหม (ไม่)  ถ้าสิ่งที่ศิษย์เห็นมีทุกข์ได้ มีเจ็บได้ มีพลัดพรากได้ มีสูญเสียได้ เรายังอยากได้ไหม (ไม่)  ถ้ากินแอปเปิลแล้วจะทุกข์ กินแอปเปิลแล้วจะเจ็บ กินหรือไม่กิน เอาหรือไม่เอา (ไม่เอา)  อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย อะไรในโลกที่ศิษย์มีแล้วไม่เจ็บ มีแล้วไม่ทุกข์ มีแล้วไม่ตาย ถ้าเรายอมรับความจริงว่าทุกสิ่งหนีไม่พ้นความเปลี่ยนแปลง เราหนีความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แล้วเราควรจะยึดมั่นถือมั่นไหม
โลกใบนี้เหมือนสิ่งที่แสวงหาได้ แต่ยึดได้ไหม (ไม่ได้)  สามี ลูก ยึดได้ไหม ชีวิตเรายึดได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเรายึดไหม ฉะนั้นใครด่าเรา เรายึดไหม การเข้าใจความเป็นจริงและประจักษ์แจ้งความเป็นจริงจนเข็ดแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่ยึดแล้ว พอแล้ว มันจะทำเราทุกข์ไหม แต่เราเข็ดหรือยัง พอหรือยัง ฉะนั้นถ้าศิษย์เพิ่มความอยากหนึ่งก็เกิดความทุกข์อีกหนึ่ง ศิษย์เพิ่มความอยากอีกหนึ่ง ศิษย์ก็ต้องเจ็บอีกหนึ่ง ยิ่งศิษย์มีอยากสิบอย่าง ศิษย์ก็จะต้องทุกข์สิบอย่าง ความทุกข์ของสังขารเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น เมื่อไรที่เราประจักษ์แจ้งในความเป็นจริง แล้วเราจะเข็ด เวลาเราจะหยิบ จะใช้อะไร เราก็จะไม่ปักใจเต็มที่ เพราะถ้าปักใจลงไปแล้วมันจะทำให้ฉันทุกข์และเจ็บ มีใครบ้างที่เรารักแล้วไม่ยึด และเมื่อยึดแล้วมีไหมที่จะไม่ทุกข์ (ไม่มี)  ฉะนั้น
ทำตัวเองให้ดีที่สุดก่อน ถึงเวลาทุกคนมีทางเดินเป็นของตัวเอง ไม่ไปบังคับความคิดเขา ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ไม่พยายามยัดเยียดในสิ่งที่เราอยากให้เป็น แล้วเราจะไม่ทุกข์เพราะมนุษย์ที่ทุกข์อยู่ เพราะว่าไม่ยอมเห็นในสิ่งที่เขาเป็น เห็นแต่ในสิ่งที่เราอยากให้เป็น
อาจารย์ถามศิษย์ว่าเคยเห็นคนติดบุหรี่ ติดเหล้าไหม เวลาแค่นึกถึงมันก็อยาก แต่คนที่ไม่เคยสูบบุหรี่ ไม่เคยกินเหล้า ถ้าเห็นก็เฉยๆ  ถ้าเมื่อไรจิตเรามีความอยาก มีตัณหา มีความโลภ มีความยึดมั่นถือมั่น ถือดีถือชอบอยู่ เวลาเราเห็นอะไรมันก็อดจะหวั่นไหวไม่ได้ แต่ถ้าเกิดว่าจิตเราไม่มีอะไร ไม่อยากแล้ว เข็ดแล้ว พอแล้ว ทุกข์มากแล้ว เจ็บจนสาแก่ใจแล้ว อะไรมันจะทำให้ศิษย์หวั่นไหว และอยาก และทุกข์ไหม
ถ้าไม่มีความอยาก ความโลภหรือกิเลสในจิต เห็นอะไรก็แค่นั้นไม่หวั่นไหว เมื่อจิตไม่หวั่นไหวจิตนิ่งแล้ว ความเกิดก็ไม่มี เมื่อความเกิดไม่มี ไม่มีเราทั้งโลกนี้ ทั้งโลกไหน เมื่อนั้นล่ะคือการสิ้นทุกข์แล มนุษย์ไม่อยากสิ้นทุกข์หรือ แต่พอเราเห็นอะไร อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ใช้ได้ พอเกิดความอยากก็หนีไม่พ้นกรรมดี กรรมชั่ว บุญบาปชอบชัง แต่ถ้าเมื่อไรจิตเราเห็นความจริงจนแจ่มชัด จนเข็ดแล้ว ไม่เอาแล้ว เราจะหวั่นไหวไหม การเกิดของตัวตนจะมีไหม เมื่อไม่มีการเกิดของตัวเอง จะไม่มีตัวตนทั้งโลกนี้และโลกไหน ไม่มีการไปไม่มีการมา จิตสงบนิ่งแล้ว นั่นคือที่สุดของความสิ้นทุกข์
เวลาเจออะไรก็ตาม ขอให้นิ่งไว้ ถ้าเรานิ่งได้ เราจะสามารถควบคุมทุกเรื่องราวได้ แต่ถ้าเรานิ่งไม่ได้ เราจะถูกเรื่องราวชักจูงไป ฉะนั้นถ้าเจอเรื่องราวอะไรก็ตาม ขอให้นิ่ง เมื่อนิ่ง เราจะสามารถเป็นนายเหนือสถานการณ์ เราจะควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในมือเราได้ แต่ถ้าเราไม่นิ่ง เราจะตกเป็นทาสของสถานการณ์อยู่ร่ำไป เหมือนที่เขาบอกว่าน้ำสามารถดับไฟได้ แต่ถ้าเราควบคุมตัวเองไม่ได้ ไฟก็ต้มน้ำให้เดือดได้เหมือนกัน
อย่าเพิ่งวิ่งไปตามกิเลสตัณหา อย่าเพิ่งวิ่งไปตามใจที่ฟุ้งซ่าน แต่ขอให้สงบนิ่งก่อน เมื่อนิ่งได้ ความนิ่งจะเป็นรากฐานของความเข้าใจ ความแข็งแกร่ง และความนิ่งจะทำให้เราเกิดความประจักษ์แจ้งว่า สวยก็แค่นั้น หล่อก็แค่นั้น เหี่ยวก็แค่นั้น จนก็แค่นั้น มีก็แค่นั้น เพราะสิ่งสำคัญอยู่ที่ (ใจ)  ถ้าศิษย์รู้จักควบคุมใจตัวเองได้ ใครก็หลอกให้เราเจ็บไม่ได้ ถ้าศิษย์ยังควบคุมใจตัวเองไม่ได้ ใจศิษย์ยังง่ายที่หลงไปตามกิเลส ง่ายที่จะหลงไปตามสิ่งที่ยั่วยวนต่างๆ ศิษย์ก็ง่ายที่ตกเป็นทาสของคนอื่น แล้วปล่อยให้เขาบีบหัวใจศิษย์เล่นอยู่ร่ำไป แต่ถ้าใจเป็นของเรา ชีวิตเป็นของเรา ใครจะแปรเปลี่ยนใจเราได้ จริงไหม ไม่ว่าจะเจออะไร สำคัญอยู่ที่ใจ คุมใจตัวเองได้ ก็คุมเกมอยู่ รู้จักตัวเองแจ่มชัดก็สามารถคุมเกมในโลกให้เป็นดั่งใจเราได้แจ่มชัด เหมือนคำว่า ถ้าใจไม่มี เห็นก็เหมือนไม่เห็น แต่ถ้าใจมี ไม่เห็นก็เหมือนเห็น ถ้าใจเราบริสุทธิ์สะอาด ทุกสิ่งทุกอย่างก็ว่างเปล่า แต่ใจของมนุษย์ยังหนีไม่พ้นความอยากได้อยากมี ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกข์สักกี่ครั้งหรือถึงจะเข็ด ถึงจะจำ เราเกิดมาเพื่อทุกข์ หรือเราเกิดมาเพื่อเอาสิ่งนั้นมารู้แจ้งและละวางอย่างเข้าใจธรรม เราไม่ได้เกิดมามีกรรม แต่เราเกิดมาเพื่อเข้าใจธรรม ใช่ไหม (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “พยายามบำเพ็ญ”)
พระโอวาทซ้อนครึ่งแรกเป็นของศิษย์ในชั้นนี้ แต่ครึ่งหลังเป็นของงานประชุมธรรมที่ลำปาง แต่เป็นความหมายที่ต่อกันที่อาจารย์แฝงความนัยเอาไว้ ฉะนั้นถ้าเราควบคุมใจเราได้
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ ไม่ใช่ความตาย แต่คือ การต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดแล้วชดใช้กรรมที่ตัวเองก่อไว้ กรรมที่เกิดจากการกระทำของตัวเรา แต่การกระทำที่ทำด้วยธรรม จะไม่ก่อเกิดกรรม การกระทำที่กอปรไปด้วยกิเลสอารมณ์จะหนีไม่พ้นกรรม ถ้าทำอะไรด้วยธรรม เราจะไม่ได้หวังผล เพราะเป็นการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม เราไม่ได้หวังผลตอบแทน อย่าทำดีแล้วหวังผล แต่เราทำดีเพื่อละบาป และป้องกันไม่ให้จิตไหลลงต่ำ
หากมีโอกาสจงกลับมาศึกษาอีกนะ ศิษย์เอ๋ยอย่าดูถูกคุณค่าความสามารถของตนเอง อย่าคิดว่าการหลุดพ้นเป็นเรื่องไกลตัว อาจารย์ไม่ได้บอกให้ศิษย์หลุดพ้น แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์พ้นทุกข์ ซึ่งล้วนเป็นทุกข์ที่เกิดจากตัวเองทั้งนั้น รู้ว่ายึดแล้วมีแล้วเกิดความทุกข์ก็ยังอยากจะยึด รู้ว่ารักแล้วเป็นทุกข์ก็ยังอยากจะรัก รู้ว่าเกลียดแล้วจะมีกรรมก็ยังอยากจะเกลียด ฉะนั้นถ้าควบคุมใจไม่ได้ คนที่ทำให้ตนเองต้องทุกข์ แล้วมีกรรมที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้นก็คือตนเอง ดังนั้นหากควบคุมใจตนเองไม่ได้ สิ่งต่างๆ ก็มีผลทั้งนั้น แต่ถ้าควบคุมใจตัวเองได้แล้ว เรื่องคนอื่นก็ง่ายมากๆ ถ้าควบคุมใจของตัวเองไม่ได้ ไม่สามารถรู้ใจตนเองได้ เรื่องคนอื่นก็เป็นเรื่องยาก ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้เราสามารถมีตัวรู้ และเข้าใจตัวเองได้อย่างไม่ขาดสาย นั่นก็คือสติ
เมื่อมีสติปัญญาก็เกิด แต่ถ้าสติเตลิดปัญญาก็ไม่มี สตางค์ก็ไม่มี เมื่อถึงที่สุดแล้ว ในโลกไม่มีอะไรดีที่สุด และไม่มีอะไรที่สมควรมาทำให้เราต้องทุกข์เลย จริงไหม (จริง)  เห็นชัดๆ ว่ามีเขาแล้วเราเป็นทุกข์ เราก็ยังจะมี แล้วมีอย่างไรไม่ให้ทุกข์ ก็แค่ทำตัวเองให้ดี ส่วนเขาจะเป็นอย่างไร ก็เพียงแค่เรากล้ายอมรับความจริง เราเปลี่ยนให้โลกเป็นดั่งใจของเราได้หรือไม่ (ไม่)  อาจารย์บอกแล้วว่า ชีวิตคือความจริง แล้วโลกก็หมุนตามความจริง ไม่ใช่หมุนตามความคิด เราชอบหวังให้ชีวิตเป็นดั่งใจคิด ไม่มองตามความจริง สุดท้ายเราก็ทุกข์ ฉะนั้นหลุดออกจากความคิดแล้วหันกลับมามองความจริงด้วยหัวใจที่ไม่ประมาทและมีสติในการดำเนินชีวิต การมีสติในการดำเนินชีวิตไม่ให้ผิดลู่ผิดทาง คือ มีศีล มีธรรม แล้วประจักษ์แจ้งเห็นความจริงจนนำพาให้ตนเองพ้นทุกข์ ยากไหม (ไม่ยาก)  ขอให้ตั้งใจ ทำอะไรขอให้สำรวมรอบคอบนะศิษย์เอ๋ย เพราะเมื่อเราไปทำอะไรกับใครเขามาแล้ว การจะทำดีชดใช้กันนั้นไม่ได้ จริงไหม (จริง)
คนที่ว่าศิษย์ คนที่เขาทำร้ายศิษย์ แสดงว่าเขาต้องมีเวรมีกรรมกับศิษย์มา จึงมาทำให้เราเป็นทุกข์ ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากมีกรรมต่อ ก็ต้องอโหสิกรรม ไม่ใช่แค่อภัย ถ้าศิษย์ว่าเขาต่อ ศิษย์ก็เกี่ยวกรรมต่อ ถ้าศิษย์เก็บไว้ในใจก็แปลว่าศิษย์อยากผูกเวรผูกกรรม ถ้าศิษย์จำไม่ลืม พอเจอหน้าแล้วว่าประชด ศิษย์ก็คือคนที่จองเวรจองกรรม แล้วเราอยากมีกรรมหรืออยากมีธรรม ทุกวันนี้ทำเพราะกรรมหรือทำเพราะธรรม  ฉะนั้นอยู่กับเขา จงอยู่ด้วยบุญอยู่ด้วยธรรม ใครทำกรรมมาก็ขอบคุณที่ทำให้ฉันแปรบาปเป็นบุญ แปรกรรมเป็นธรรม  ใครจะทำกรรมอะไรกับเรามาให้ เราอโหสิกรรมแล้วเปลี่ยนกรรมนั้นเป็นธรรม เพราะทุกคนล้วนมาจากธรรมและก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ยังไม่สามารถเห็นธรรม ศิษย์ก็หนีไม่พ้นกรรมที่ศิษย์ก่อ กรรมที่ศิษย์ยึดติด
ถ้ายังไม่เข้าใจหาโอกาสมาฟังธรรมต่อเพื่อให้เกิดปัญญาธรรม และนำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ ไม่ต้องทุกข์กับโลกใบนี้ ถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริง แก่ เจ็บ ตายศิษย์ก็จะปลดปลงและเข้าใจทุกข์ แต่ถ้าศิษย์ยังปล่อยวางไม่ได้ ยังมีความอยากอยู่ ยังมีความโลภอยู่ จิตของศิษย์ก็หนีไม่พ้นวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
มนุษย์มาจากกรรมอันเป็นผลของการกระทำที่ตัวเองสร้างแล้วก่อตัวเป็นตัวเรา แต่อาจารย์จะบอกว่าสังขารเรานี้มีหน้าที่ใช้กรรม แต่จิตเดิมแท้ของเราไม่มีกรรม  ฉะนั้นถ้าเมื่อไรศิษย์สามารถคืนสู่จิตเดิมแท้ที่เรียกว่า “สภาวธรรม”  ได้ ศิษย์ก็จะพ้นเวรพ้นกรรมได้ แต่ถ้าศิษย์ยังยึดติดตัวตน ศิษย์ก็หนีไม่พ้นกรรมเวรที่ศิษย์ยึดมั่นถือมั่น ลองมองให้ทะลุสิว่ากายนี้ยึดได้ไหม ลองมองให้ชัดถึงสิ่งที่เราคิดว่าสิ่งนั้นถูกสิ่งนั้นผิด เถียงกันจนทะเลาะกันจนทำร้ายกัน ถึงที่สุดแล้ววางได้ไหม เพราะยึดไปก็ก่อกรรมกันเปล่าๆ ชนะแล้วได้อะไร แพ้ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ขอเพียงเราเข้าใจว่า ตัวเราเองทำดีที่สุดหรือยัง
อาจารย์คงต้องไปแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก ดูแลตัวเองให้ดี รักษาสุขภาพให้ดี รักษาจิตใจตัวเองให้ดีเหมือนเดิม ให้มั่นคงแข็งแกร่งเหมือนเดิม ให้สะอาดบริสุทธิ์งดงามเหมือนเดิมนะศิษย์รัก และจงเป็นจิตใจที่เสียสละช่วยเหลือคน เพราะยิ่งช่วยเขามากเท่าไรก็คือช่วยเรามากเท่านั้น เข้าใจไหม สักวันหนึ่งศิษย์จะรู้ว่าชีวิตที่มีค่าแท้จริงไม่ใช่การอยู่เพื่อตัวเอง แต่คือการอยู่เพื่อช่วยคนให้เขาพบธรรม เมื่อเขาพบธรรม เราก็พบธรรม อย่าปล่อยให้ชีวิตทำร้ายตัวเอง ตั้งใจบำเพ็ญธรรม ทำให้ดี ศิษย์มีรากบุญ เด็กดื้อเป็นคนดีได้จริงไหม รักษาจิตรักษาใจกันให้ดี ไม่ว่าเจออะไรถือว่านั่นคือโชคดีแล้ว


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “พยายามบำเพ็ญ เริ่มที่ใจให้ไวที่สุด”
     รู้ว่าดีแต่ไม่มีการเริ่มตัว                 รู้ว่ากลัวแต่ยังทำตัวเวียนว่าย
คนทำดีก็มีอยู่ตั้งมากมาย                  คนทำได้กลับมีอยู่แค่หยิบมือ
ขอใส่ใจตนเองเพื่อการบำเพ็ญ           คนเป็นบ้างไม่เป็นบ้างเลยยึดถือ
คนเข้าใจหลักธรรมจะไม่ยุดยื้อ           จงอย่าซื้อเวลาด้วยหลงลังเล
     ความสำเร็จไม่ได้เกิดในวันเดียว     จงขับเคี่ยวเรื่องเก่าใหม่หลายหักเห
ชะตากรรมแสนยากยิ่งจะคะเน          ใจรวนเรไม่อาจทำเรื่องสำคัญ
ความสำเร็จไม่ทำด้วยคนคนเดียว        ความอ่อนน้อมเกาะเกี่ยวใจดั่งให้ผสาน
คือสำเร็จกันตั้งแต่เพียงกัน                แลสิ่งนั้นสมควรเกิดในใจทุกคน
รู้ว่าดีเพลานี้เรื่องอะไร                      เริ่มที่ใจไวที่สุดหยุดสับสน
รื้อกำแพงที่ใจสบายตน                    บำเพ็ญแล้วทุกข์ทนใช่บำเพ็ญ

หมายเหตุ    พระอาจารย์เมตตาให้นำพระโอวาทซ้อนพระโอวาทที่เมตตาประทานไว้ที่
พุทธารามเหยินเต๋อ จ.ลำปาง เมื่อวันที่ ๒๑-๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๒ มาต่อท้าย


(พระอาจารย์เมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาท ประทานไว้ที่สถานธรรมจินโจว จ.ชัยภูมิ)
ย่อหน้าที่ ๕
เดิม
*** จะต้องอย่างนั้น จะต้องอย่างนี้ ที่จริงทำแล้วถึงไหน ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนี้ กลับทำมากมาย สรุปตัวเองบำเพ็ญเรื่อยไป ต้องลงแรงเพื่อบำเพ็ญ
แก้ไขเป็น
*** จะต้องอย่างนั้น จะต้องอย่างนี้ ที่จริงทำแล้วถึงไหน ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนี้ กลับทำมากมาย สรุปตัวเองบำเพ็ญเรื่อยไป ต้องลงแรงเพื่อการบำเพ็ญ
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา