วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2560

2560-12-23 สถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา

西元二○一七年歲次丁酉十一月初六日 仙佛慈悲訓

วันเสาร์ที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ สถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

ยิ่งทำดีพบคนดีอยู่มากมาย แม้ว่าทำเพื่อผู้อื่นใช่ใจตนนี้

ยอมลำบากยอมเหนื่อยเพื่อสิ่งดีดี ความดีกลับหนุนคนดีให้พบเจอ

เราคือ

หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ

องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤา

ความคิดจะการุณย์เพราะจิตอ่อนโยน ทะเยอทะยานออกทโมนมีแต่แย่

อยากเหมือนนักธรรมธรรมะเป็นกุญแจ ไขปริศนาออกแค่ต้องทำจริง

บำเพ็ญกันแบบประจำไม่ทำเล่น เดินน้ำแข็งบางเว้นบุ่มบ่ามวิ่ง

ใดสำคัญอันสิ่งสรรพสรรพสิ่ง รู้สำนึกในทุกข์ยิ่งต้องพยายาม

เข้าออกอยู่ตอนนี้ห้วงคะนึง ใช้ธรรมะแทรกดึงไม่ใช่ห้าม

ไฟหัวใจไม่อาจรู้โมงยาม ใช้ธรรมะที่สอนปรามกำราบตน

แพร่ธรรมออกไปสู่ผู้ประสงค์ บุญมาส่งชนะจิตเป็นกุศล

ฝึกตัวเองการบำเพ็ญต้องอดทน ตัดตัวกิเลสใจตนคุมอายตนะ

เรียกว่าแพ้ในโลกีย์เวิ้งว้าง ทว่าทางคุณธรรมเรียกว่าชนะ

ใจกายละลดพิชิตทุกขณะ คนมีกรรมโมหะไฟสุมทรวง

ไม่ไว้กันต่ออารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เศร้ามานานเกินจนชีวิตหน่วง

อย่าได้หมักหมมไปว่างทั้งปวง ฝึกไร้จำนวนฝึกไปช่วงอายุขัย

ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

เคยเจอคนที่ทำสิ่งดีๆ เพื่อผู้อื่นไหม แล้วยิ่งเขามุ่งมั่นทำแม้เหนื่อยแม้ลำบากก็ไม่ท้อ เป็นความดีที่เสียสละเพื่อผู้อื่นไม่ใช่เพื่อตัวเอง ยิ่งทำให้เขาได้ปลุกคนดีให้ตื่น ทำให้เขายิ่งพบสิ่งดีๆ เกิดขึ้นและรายล้อมเขามากขึ้นจริงไหม (จริง) ฉะนั้นลองหันกลับมาถามตัวเรา หากเราทำสิ่งที่ดีแล้วแต่เราไม่เคยพบเจอคนที่ดีรายล้อม นั่นอาจแปลว่าความดีที่เราทำยังไม่ใช่เพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริงใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้ามีคนหนึ่งคนใดที่มุ่งมั่นทำสิ่งถูกต้องและดีงามเพื่อผู้อื่นโดยไม่เพื่อตัวเองเลยสักนิด ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก สิ่งนั้นจะกลับเป็นการปลุกคนดีให้ยิ่งตื่นขึ้นและปลุกคนดีให้เขาได้พบเจอ และยิ่งปลุกคนดีให้ยิ่งเข้มแข็ง เช่นนี้จึงเรียกว่ายอมลำบากยอมเหนื่อยเพื่อสิ่งดีๆ แล้วความดีกลับหนุนคนดีให้พบเจอ

มีคำกล่าวคำหนึ่งว่า การจะรักษาตัวเองให้รอดปลอดภัย ให้พ้นเวรพ้นภัยในโลกนี้ คือทำดีให้ถึงที่สุด ประกอบคุณธรรมให้ถึงที่สุด ความดีจะคุ้มครองผู้ประพฤติดีเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) และหากเราอยากรักษาการอยู่ร่วมกับผู้อื่นให้เป็นสุขเราควรทำเช่นไร สิ่งที่เราต้องมีคืออะไร (รักษาธรรม, ต้องรักษาศีล) สิ่งที่ดีที่สุดคือ ต้องอดทน สองต้องไม่เบียดเบียน และสามต้องมีเมตตา

เมื่อไรที่เกิดปัญหาแปลว่าเรายังไม่อดทน เมื่อไรที่มีเรื่องมีราวนั่นแปลว่า เราเริ่มจะเบียดเบียนไร้ความเมตตา ฉะนั้นรักษาตัวเองรอดแต่รักษาการอยู่ร่วมกับผู้อื่นไม่รอดก็เปล่าประโยชน์ ใช่ไหม (ใช่) ทำให้ได้นะ

โดยส่วนใหญ่อยู่ในโลกเราเป็นผู้พูดมากกว่าผู้ฟัง เป็นผู้กระทำมากกว่าผู้นิ่งใช่หรือไม่ วันนี้สอนให้เราต้องฟังและนิ่งมากกว่า นี่ก็เป็นธรรมะเหมือนกันนะ เพราะเราอยู่ในโลกเอาแต่ทำจนลืมการนิ่งไป ทั้งที่จริงๆ แล้วการนิ่งการหยุดบางทีก็ให้แง่คิดอะไรดีๆ ได้เหมือนกัน การมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เป็นเรื่องยากไหม (ยาก) บางครั้งก็เหมือนยากมาก บางครั้งก็เหมือนง่าย ตั้งแต่เด็กจนโตเรามักจะถูกอบรมสั่งสอนมาว่า เกิดเป็นคนต้องเข้มแข็ง อย่าอ่อนแอ เกิดเป็นคนต้องทำอะไรรวดเร็ว อย่าเชื่องช้า เกิดเป็นคนต้องฉลาดปราดเปรื่อง อย่าโง่งม เกิดเป็นคนต้องได้มากกว่าให้ แต่พอเราใช้ชีวิตจริงๆ จึงได้รู้ว่าการเกิดเป็นคน ถ้ายิ่งต้องพยายามทำตัวเองให้เข้มแข็งก็ยิ่งอ่อนแอ ท่านเคยศึกษาคัมภีร์ของปราชญ์โบราณหรือไม่ พูดตรงกันข้ามกับความเป็นมนุษย์ในโลก มนุษย์ในโลกให้เข้มแข็ง แต่ปราชญ์ท่านสอนว่าเกิดเป็นคนต้องอ่อนโยน ตำราทางโลกเขาให้หาเยอะๆ แต่ตำราสายปราชญ์ท่านสอนว่าให้ให้เยอะๆ คนในโลกสอนให้ฉลาด แต่สายปราชญ์บอกว่าให้โง่มากๆ คนในโลกบอกให้เข้มแข็ง ตำราสายปราชญ์บอกว่าให้อ่อนน้อมเข้าไว้ แล้วระหว่างอ่อนน้อมกับเข้มแข็งอะไรอยู่ได้ดีกว่ากัน (อ่อนน้อม) แต่ปัจจุบันนี้มนุษย์เราอยู่กันอย่างอ่อนน้อมสุภาพหรือว่าแข็งกระด้างดื้อดึง (แข็งกระด้างดื้อดึง) คนเราในโลกส่วนใหญ่ชอบคนสุภาพอ่อนน้อม แต่เวลาเราอยู่ในโลกเราดื้อดึงแข็งกระด้าง ทำไมเราจึงทำตรงกันข้ามเช่นนั้น ทั้งที่ใจลึกๆ ในความเป็นคนของมนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาคนสุภาพอ่อนน้อม คนใจดี ไม่ใช่คนเอะอะมะเทิ่ง แข็งกระด้าง ดื้อดึง ดันทุรัง แต่เรามักจะเป็นในทางตรงข้ามมากกว่าใช่หรือเปล่า ท่านเคยได้ยินไหมว่าแข็งมากๆ ถึงที่สุดก็กลายเป็นแตกหัก ปราชญ์ท่านจึงสอนไว้ว่าการเรียนรู้จากความอ่อนแอ ความสุภาพอ่อนน้อม จะทำให้เราเรียนรู้ที่จะเข้มแข็งได้ แต่มนุษย์เอาแต่เข้มแข็งและไม่ยอมรับความอ่อนแอ พอถึงเวลาก็รับความอ่อนแอไม่ได้ ฉะนั้นเรียนรู้การอ่อนแอเพื่อเข้มแข็ง เรียนรู้ความสุภาพอ่อนน้อมเพื่ออยู่ร่วมกับผู้คนได้อย่างเป็นสุขถูกหรือไม่ ดังที่พูดไว้ว่าแข็งมากๆ ถึงที่สุดก็ต้องกลับมาอ่อน ยึดติดกับความแข็งกระด้างก็กลายเป็นอ่อนปวกเปียกและยอมแพ้ในที่สุด เหตุผลนี้ทุกคนต่างรู้กัน แต่ไร้คนทำได้จริง

ยังมีคำกล่าวว่า ความอ่อนคือความเป็น ความแข็งคือความตาย เราถามท่านว่าระหว่างลิ้นกับฟันอะไรอยู่ได้คงทนกว่ากัน (ลิ้น) สังเกตต้นไม้ เมื่อต้นไม้ยังอ่อนนั่นแปลว่าอายุของการเป็นต้นไม้ยังไม่มาก แต่เมื่อไรที่ต้นไม้แข็งกระด้างแปลว่าต้นไม้ใกล้สู่ความตาย ฉะนั้นถ้าจิตใจมนุษย์แข็งกระด้าง นั่นก็ไม่อาจเรียกว่าชีวิตที่แท้จริง แต่เป็นชีวิตที่กำลังเดินไปสู่ความตาย ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ชีวิตตายทั้งเป็นก็อย่าดื้อดึงแข็งกระด้างถูกหรือไม่ (ถูก) ดั่งมีคำกล่าวว่า ความอ่อนย่อมชนะความแข็ง ความนุ่มย่อมชนะความแกร่ง มนุษย์ต่างก็รู้แต่หาผู้ใดทำได้จริงถูกหรือไม่ (ถูก) ความสุภาพอ่อนน้อมเป็นสิ่งที่สามารถทำให้มนุษย์เราอยู่ที่ใดก็เป็นที่รัก อยู่ที่ใดก็มีสุข แต่มนุษย์กลับไม่เลือกความสุภาพอ่อนน้อม แต่มักเลือกการกระทำที่ดื้อดึงแข็งกระด้าง ช่างน่าเสียดาย

เราอยู่ในโลกเราอยากเข้มแข็งไม่อยากอ่อนแอ อยากมั่งมีอยากมีมากๆ ไม่อยากว่างเปล่า ไม่อยากไร้ค่า ไม่อยากกลายเป็นคนจน ถูกหรือไม่ (ถูก) เราจึงกำหนดว่าการมีทรัพย์สินคือคนที่โชคดี คนที่ร่ำรวย การมีทรัพย์สิน การมีชื่อเสียงคือคนที่เหมือนโชคดีมีบุญวาสนา แต่เมื่อไรที่เรายกคุณค่าของทรัพย์สินให้สูงก็หนีไม่พ้นการแก่งแย่งช่วงชิงและก่อเกิดความวุ่นวาย

ในที่นี้ใครบ้างไม่มีเงิน ทุกคนต่างมีเงินใช่หรือไม่ แต่ถ้าเมื่อไรที่ใจคิดว่าตัวเองไม่มีเงินนั่นแหละจนแน่ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) เต็มล้นสักวันย่อมล้มคว่ำ มั่งมีถึงที่สุดสักวันย่อมหนีไม่พ้นภัยพิบัติและอันตราย เมื่อไรที่อยากมี เราก็หนีไม่พ้นการแก่งแย่ง

อยากเป็นคนที่ไปอยู่ที่ไหนก็ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ศัสตราวุธอันตรายใดๆ ก็ทำอันตรายเขาไม่เข้าไหม อยากได้วิชานี้ไหม (อยาก) ปราชญ์ท่านได้สอนว่า ไม่อยากมี ไม่อยากได้ ไม่แก่งแย่งแข่งขัน อาวุธศัสตราและคมมีดจะทำอะไรเราได้ แต่ถ้าเมื่อไรอยากมีอยากได้ แม้ไม่โดนอาวุธก็เหมือนโดน ฉะนั้นถ้าไม่อยากทุกข์ ถ้าไม่อยากต้องแก่งแย่ง ถ้าไม่อยากต้องผิดบาป บางครั้งให้รู้จักไม่มีมากกว่ามี แต่มนุษย์ทำไม่ได้ ช่างน่าเสียดายนะ จริงหรือไม่ (จริง) เราถามหน่อยนะ ห้องนี้จะเกิดประโยชน์ก็ต่อเมื่อมีทุกสิ่งเต็มไปหมดหาที่ว่างไม่เจอ ใช่ไหม (ไม่ใช่) อย่างนั้นแปลว่าห้องนี้จะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อต้องมีที่ว่าง ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตก็เหมือนกัน หวังมีทุกสิ่ง หวังมีทุกอย่าง หวังต้องได้ทุกสิ่ง หวังต้องได้ทุกอย่าง ถึงเวลาความมีทุกสิ่งมีทุกอย่างกลับทำให้เราไม่เกิดปัญญาในการสร้างสรรค์อะไร ใช่หรือไม่ (ใช่) วางสิ่งที่มีแล้วเราจึงจะคิดออกและทำออก ใช่หรือไม่ (ใช่)

อุตส่าห์ตั้งใจมา เผื่อเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะได้ขอสองตัวสามตัว ใช่ไหม แต่ปรากฏว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์กลับบอกว่าไม่ต้องมี ไม่ต้องอยากได้ จะได้พ้นภัย จริงไหม (จริง) คนที่ใส่ทอง ในกระเป๋ามีเงิน มีทอง เดินไปที่ไหน ไม่มีมีดก็มีคมมีดมาจ่อ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่อีกคนหนึ่งเดิน ตัวเองไม่มีอะไร มีใครจะเอามีดมาจ่อ มีใครจะเอาภัยมาให้เป็นอันตรายไหม (ไม่) ก็ยังมี ขนาดเราไม่มีแล้ว แต่คนก็ยังเอาความอยากมาหลอกลวงเรานะ ใช่หรือไม่ (ใช่) อยากรวยไวไหม พรุ่งนี้รวยไวไหม พรุ่งนี้เป็นเศรษฐีไหม ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นถ้าเรามีความอยากจะทำให้เราหนีไม่พ้นทุกข์ หนีไม่พ้นเวรภัย ทำไมเราไม่รู้จักหยุดอยากบ้าง เพราะบางครั้งจิตที่สงบ จิตที่ว่างๆ จิตที่นิ่งๆ ก็ทำให้ชีวิตเรามีค่า มีความหมายกว่าจิตที่ดิ้นรนขวนขวายต้องมีให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง จริงหรือไม่ (จริง)

ธรรมะสอนไว้อย่างหนึ่งว่า อย่าคิดว่ามีแล้วเรียกว่าสุข บางครั้งการไม่มีก็มีสุข เพราะใจที่ว่างๆ ใจที่เบิกบานบริสุทธิ์ กลับสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ มากมาย ไม่เหมือนกับใจที่อยากได้ใคร่มี กลับทำให้เราไม่สามารถมีปัญญาอันปราดเปรื่องได้ ฉะนั้นถ้าอยากอยู่ในโลกแล้วมีสุขมากกว่าทุกข์ บางครั้งก็ต้องไม่มีบ้าง และบางครั้งความไม่มีก็ก่อให้เกิดประโยชน์ และถึงที่สุดก็ไม่มี เพราะถึงที่สุดเรามีชีวิตไหม ชีวิตเป็นของเราไหม แล้วพรุ่งนี้เราจะยังมีชีวิตไหม ฉะนั้นอย่าคิดว่าสิ่งที่ตัวเองมีนั้นจะมีอย่างแท้จริง บางทีอาจจะไม่มี เพราะทุกสิ่งล้วนเดินไปสู่ความมีเพื่อไม่มี หรือจริงๆ แล้วมันไม่เคยมีเลยสักขณะหนึ่งเลย เหมือนเห็นแต่จริงๆ แล้วไม่เห็น คิดให้ดีๆ นะ

ปกติอยู่ในโลกเรามักจะถูกสอนให้ต้องเป็นคนเก่ง ให้ฉลาด แต่ทางสายปราชญ์กลับสอนว่าให้โง่ โง่ได้ไหม (ได้) มนุษย์ทุกคนเรียนรู้หมดทุกอย่างแต่กลับไม่เก่งจริงสักอย่าง มนุษย์รู้หมดทุกอย่างแต่เรากลับไม่เคยรู้อะไรแท้จริง และก็ยังดันทุรังตอบว่าตัวเองรู้ แล้วท่านเคยได้ยินไหมว่า คนที่ฉลาดที่สุดคือคนที่ยอมโง่ที่สุด เก่งมากก็เหนื่อยมาก บางครั้งต้องไม่เก่งต้องไม่เป็นบ้างใช่ไหม

อย่างนี้เรียกว่าเจ้าเล่ห์มากกว่านะ ฉลาดเกินเก่งเกินไปก็เหนื่อยเกินไปถูกไหม (ถูก) แล้วเรายังอยากฉลาดไหม (ไม่) แต่ถึงเวลาใครว่าเราโง่ยอมได้ไหม (ไม่) ปราชญ์ท่านจึงสอนไว้ว่าจริงๆ ยอมโง่บ้าง ยอมไม่รู้บ้าง แล้วทุกวิชาความรู้จะไหลลงสู่เรา แต่ถ้าพูดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ ตัวเองฉลาด เราจะไม่ได้วิชาความรู้ใดๆ จากใครในโลกเลย ฉะนั้นคนที่เก่งคนที่ฉลาดจริงๆ จึงต้องเป็นคนโง่ แล้วยอมไหม (ยอม) เราขอถามท่าน ไม้ที่มีประโยชน์กับไม้ที่ไร้ประโยชน์ อะไรถูกทำลายบ่อยมากกว่ากัน (ไม้ที่มีประโยชน์) อะไรที่ถูกทำให้สูญพันธุ์ไวกว่ากัน (ไม้ที่มีประโยชน์) ยิ่งมีประโยชน์ยิ่งมีค่าสูงกลับยิ่งถูกทำลาย เช่นนั้นอยากเป็นคนเก่งเป็นคนฉลาดที่มีปัญญาปราดเปรื่องที่สุดในโลกไหม (ไม่) ยิ่งเก่งยิ่งฉลาดคนยิ่งอยากกดอยากข่ม แต่ยิ่งโง่ยิ่งไม่รู้คนยิ่งอยากสอนอยากให้ความรู้ แต่เดี๋ยวนี้คนในโลกทั้งเก่งและไม่เก่งก็โดนทำร้ายได้เหมือนกัน ฉะนั้นผู้มีปัญญาจะต้องก้าวมากกว่าคือ รู้ตอนไหนควรฉลาด ตอนไหนควรโง่ นี่จึงเรียกว่าเก่งแท้จริง ฉะนั้นถ้าอยากอยู่ในโลกให้รอดไม่ยากลำบาก ถามตัวเองก่อน อ่อนน้อมไหม รู้จักได้ รู้จักให้ หรือรู้จักแต่จะเอา รู้จักแต่เป็นคนฉลาดแล้วโง่ไม่เป็นอย่างนั้นหรือ เราก็คงไม่เป็น

มนุษย์ทุกคนอยู่ในโลกก็อยากมีสุขมากกว่ามีทุกข์ ถามต่อว่าแล้วความสุขของท่านอยู่ในความฝันหรือในความจริง ส่วนใหญ่มักจะมีสุขอยู่ในความฝัน ไม่เคยมีสุขกับความจริง อยู่ในโลกยากแล้วยังหาความสุขได้ยากอีก ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้นถ้าอยากมีความสุขในชีวิตควรจมอยู่ในความฝัน ความคาดหวังหรือกล้าเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริง (กล้าเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริง) แล้วทุกวันความจริงจะกลายเป็นความสุข ไม่ใช่รอฝันแล้วถึงจะ (มีความสุข) ฉะนั้นถ้าอยากมีความสุขจงเลือกที่จะอยู่กับความจริงมากกว่าความฝัน แล้วทำอย่างไรที่เราจะอยู่กับความจริงได้แล้วเป็นสุข ถ้าอยากมีความสุขในความจริงง่ายๆ คือลดความอยากในใจตนให้มากและอยู่กับปัจจุบันและกล้าเรียนรู้ความจริง

ฉะนั้นถ้าอยากมีความสุข จงพอใจในปัจจุบันและปัจจุบันจะทำให้เราได้เรียนรู้ความจริงได้อย่างมีความสุขและสามารถที่จะปล่อยวาง ไม่คาดหวัง ไม่ผิดหวังได้ แต่ทำได้ยากใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะในใจมักชอบเปรียบเทียบ เพราะในใจชอบยึดติด จึงไม่สุขถูกไหม (ถูก) สมมติวันนี้มีคนชม แต่ก่อนเคยได้รับคำชมมากกว่านี้ แล้ววันนี้เราจะมีสุขไหม เมื่อก่อนได้รับคำชมและตอนนี้โดนคำว่า จะมีสุขไหม (ไม่มี) ที่ไม่มีสุขเพราะไม่ยอมรับความจริงกับใจยึดติดแต่อดีตที่เคยได้รับคำชมถูกหรือไม่ (ถูก) ท่านเคยได้ยินไหม ปัจจุบันคือชีวิต คนที่จมอยู่กับอดีตคือคนที่ตายแล้วถูกหรือไม่ (ถูก) ทำไมเราจึงบอกให้ท่านจงมีความสุขในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันคือชีวิต คนที่จมอยู่กับอดีตแล้วหมกมุ่นอยู่กับอดีตคือคนที่ตายแล้ว หาปัจจุบันไม่ได้ ฉะนั้นถ้าอยากมีความสุขจงกล้าที่จะเรียนรู้ความจริงและมีสุขกับปัจจุบันได้หรือไม่ (ได้) ขอเพียงใจไม่ยึดติด ถ้ามัวยึดติดกับอดีตก็คือคนที่ยอมตายมากกว่าคนที่อยากมีชีวิตต่อ

เหมือนวันนี้ถ้านั่งฟังแล้วมีความสุขได้ แปลว่าท่านกล้าที่จะอยู่กับปัจจุบันและเรียนรู้ความจริงเพื่อเข้าใจชีวิตและเอาธรรมะมาทำให้เราพ้นทุกข์ ไม่ใช่เอาธรรมะที่ฟังกลับมาทำให้เราทุกข์จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นตอนนี้นั่งฟังแล้วยังทุกข์หรือนั่งฟังแล้วพ้นทุกข์ (พ้นทุกข์) ถ้าอยากมีความสุขอยู่ในโลกนี้ไม่อยากทุกข์ จงรู้จักการให้มากกว่าการรับ เพราะจิตที่รู้จักการให้จะทำให้ชีวิตมีคุณค่า และจิตที่รู้จักสร้างสรรค์ความดีงามนั้นจะทำให้เป็นเหมือนยาอายุวัฒนะ ทำให้เรารู้ว่าลมหายใจที่มีอยู่นั้นมีค่ามีความหมาย อยากมีสุขจงมีศีลมีธรรม จงใจเย็น อยากมีสุขจงรู้จักตัวเองให้มาก และรู้จักผู้อื่นให้น้อย แต่มนุษย์กลับรู้ผู้อื่นมากและไม่เคยรู้จักตัวเองเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกข์สุขไม่ใช่ใครกำหนดแต่เราเป็นผู้กำหนด แล้วชีวิตจะดีหรือจะร้ายไม่ใช่ใครเป็นผู้แก้ไขแต่คือเราเป็นผู้จัดการ ใช่หรือไม่ (ใช่)

ตอนนี้อยู่ในโลกอย่างมีสุขได้หรือยัง ถ้ายังเป็นคนใจเย็นไม่ได้ ให้ไม่เป็น และเอาแต่มองผู้อื่นลืมมองตัวเอง เอาแต่มองความฝันมากกว่าความจริง ตลอดชีวิตท่านจะไม่มีวันพบความสุขเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นลองถามตัวเองว่าที่ยังทุกข์อยู่นั้น ทุกข์เพราะขาดศีลขาดธรรม เอาแต่เพ่งโทษผู้อื่น เอาแต่อยากได้อยากมี และลืมมองความจริงหรือไม่

กล้าเรียนรู้รับความจริงนั่นจึงเป็นความสุขที่ดีที่สุด ใจไม่ยึดติด ใจไม่เปรียบเทียบ ใจไม่คาดหวัง ใจเบิกบาน ใจเปิดกว้าง นั่งฟังนานแค่ไหนก็เป็นสุขได้ แต่ถ้าใจยึดติด ใจคาดหวัง ใจเรียกร้อง นั่งฟังตรงนี้แม้หนึ่งนาทีก็ไม่มีวันเป็นสุข

มองความจริง รู้จักพอ ใจเย็น มีศีลธรรม หันกลับมาตรวจสอบตัวเอง ถ้าเข้าใจตรงนี้ความสุขก็ไม่ใช่เรื่องยาก การอยู่ร่วมกับผู้อื่นทำให้ผู้อื่นมีความสุขก็ไม่ใช่เรื่องยาก

อย่างนั้นวันนี้เราคงมาผูกบุญกับท่านเพียงแค่นี้ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีก อย่างที่เราบอก ทุกสิ่งทุกอย่างมีก็เหมือนไม่มี ไม่มีใครมีสิ่งใดแท้จริงแม้กระทั่งชีวิตตนฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจตรงนี้ เราควรหาคุณค่าที่มีมากกว่าไม่มี นั่นคือ ทางพ้นทุกข์ที่เราเรียกว่า “ธรรมะ” ซึ่งไม่ได้อยู่ข้างนอกแต่อยู่ที่ใจ รู้หรือยัง (รู้แล้ว) รู้แล้วปฏิบัติได้ถึงหรือยัง (ยัง) มีโอกาสคงได้มาศึกษากันอีก

วันอาทิตย์ที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ สถานธรรมจินเอวี๋ยน จ.นครราชสีมา

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มองเห็นคุณทุกคนก็มีค่า จ้องจับผิดก็ไร้ค่าไร้ความหมาย

ดั่งเรื่องสองคนยลตามช่องมาสอนใจ ถึงต่างแต่ทุกแง่ให้สอนชีวี

เราคือ

จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก

พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานจินเอวี๋ยน แฝงกายน้อมกราบ

องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนสบายดีนะ

เกิดเป็นคนหมั่นสร้างบุญบารมี สร้างความดีปฏิบัติธรรมบำเพ็ญจิต

ภัยภายนอกไม่ร้ายเท่าใจหลงผิด ภัยภายในคือความคิดกิเลสเคยชิน

ชีวิตคนดั่งความฝันแสนสั้นนัก หาใช่เพื่อโลภโกรธรักไม่เคยสิ้น

เวียนในสุขทุกข์เปลี่ยนหน้าไม่ชาชิน เป็นโขดหินกลางกระแสน้ำที่แรง

การบำเพ็ญก็เพื่อฉุดช่วยตน เพื่อฝึกตนเพื่อพ้นให้รู้แจ้ง

ความยากเข็ญมาลับคมให้สำแดง ความพลิกแพลงด้วยปัญญาช่วยย่นทาง

บำเพ็ญธรรมตั้งแต่ง่ายจนยากสุด ไม่รอดพ้นปัญญาธรรมแสงสว่าง

จากเบื้องบนลงสู่คนเบื้องล่าง มีเมตตาเป็นสื่อกลางระหว่างกัน

จงศรัทธาด้วยปัญญาจึงยั่งยืน จิตสดชื่นท่ามกลางความแปรผัน

ปัญหาคนคือคนงานคืองาน อย่ามัวค้างสร้างทุกข์กรงขังตน

ฮา ฮา หยุด

การจะคิดออก ออกเหมือนนักธรรม มีธรรมะกันแบบประจำ บางสิ่งอันสำคัญนึกออก ธรรมะแทรกอยู่ในทุกตอน ดึงธรรมะที่ไม่อาจสอน มาส่งออกไป

* ชนะใจตัวเอง กิเลสแพ้ทางคุณธรรม ลดละกายกรรมต่อกันไว้ พิชิตไฟอารมณ์ที่หมักหมมมานานเกินไป ฝึกจนไร้ จนว่างไป

** หากใครคิดมาก ยากไปแสนนาน วางความคิดให้จิตเบิกบาน แสงแรกแห่งใจ

(ซ้ำ *, **)

ทำนองเพลง : เพียงกระซิบ

ชื่อเพลง : นักธรรมที่ดีดีอย่างไร

หมายเหตุ : เนื้อเพลงสองย่อหน้าแรกมาจากพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “นักธรรมที่ดี”

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)

รักษาจิตอันดีงามไว้ให้คงอยู่ ไม่จืดจางไปไหน ไม่พลาดพลั้งเพราะความผิด ไม่พลาดพลั้งเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ใช่ไหม (ใช่)

(พระอาจารย์เมตตานักเรียนในชั้น)

ชีวิตนี้สุขหรือทุกข์ ส่วนใหญ่สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ใช่ไหม (ใช่) แต่ส่วนใหญ่ทุกข์มากกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งว่า “ผู้ใดถึงซึ่งความสุข โดยอาศัยการทำสิ่งที่ถูกต้องดีงามอยู่เป็นนิจ จะมีชีวิตที่ร่มเย็นและเป็นสุข” เคยได้ยินสิ่งนี้ไหม ผู้ใดอาศัยความดีงามที่ประกอบธรรมอยู่ทุกวัน จะนำพาให้ชีวิตมีแต่ความร่มเย็นและเป็นสุขได้

ศิษย์เคยได้ยินคำพูดนี้ไหมว่า “บุญคือความสุข บาปคือความทุกข์” “บุญคือสวรรค์ บาปคือนรก” ฉะนั้นผู้ใดที่หมั่นทำบุญ แปลว่าผู้นั้นย่อมอาบอิ่มไปด้วยความสุข ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นถ้าผู้ใดอาบอิ่มไปด้วยความทุกข์ ใบหน้าเศร้ามอง จิตใจหดหู่ นั่นแปลว่าเขาอาบอิ่มไปด้วยบาป ฉะนั้นในทางย้อนกลับ ตอนนี้ถ้าศิษย์บอกว่าศิษย์มีทุกข์มากกว่ามีสุข แปลว่าศิษย์ดำเนินชีวิตในทางบาปมากกว่าบุญ ถูกไหม (ถูก) แล้วโดยส่วนใหญ่จิตใจเบิกบาน โปร่งเบา โล่งเบา หรือจิตใจหนักหน่วง กลัดกลุ้ม วิตกทุกข์ร้อน ส่วนใหญ่มันจะหนักกลุ้ม โปร่งโล่งไม่ค่อยมีในชีวิตเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ผู้ใดมีชีวิตหวานอมขมกลืนเต็มไปด้วยความทุกข์หม่นหมองใจ นั่นแปลว่าศิษย์ไม่ค่อยได้ทำบุญสุนทาน จริงไหม (จริง) คนทำดีทุกวันหน้าจะหม่นหมองหดหู่ไหม หน้าจะปิติยินดี ศิษย์รู้ไหมการทำบุญบ่อยๆ การทำดีบ่อยๆ เป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้ชีวิตมีค่ามีความหมาย ไม่เหมือนทำบาป ยิ่งทำยิ่งหดหู่หม่นหมองไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร แล้วชีวิตเราอยู่ไปเพื่ออะไร (เพื่อทำความดี) แต่ส่วนใหญ่ไม่ดีมากกว่าใช่ไหม (ใช่)

ศิษย์เคยได้ยินไหม ขึ้นชื่อว่าบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศล ความดีงามอะไรก็ตาม ถ้าทำอยู่เนืองๆ ทำอยู่เป็นนิจ ถ้าทำบ้านทำโลกนี้ให้เป็นสวรรค์ ตายไปก็ขึ้นสวรรค์ แต่ปัจจุบันนี้อยู่บนโลกเหมือนนรกหรือเหมือนสวรรค์ ถ้าทำนรกวันนี้ให้บังเกิด ชาติหน้าอย่างไรก็ต้องตกนรก ถูกไหม (ถูก)

ถ้าเรารู้ว่ารากฐานแห่งความดีคืออะไร เราก็ย่อมจะทำดีต่อไปได้ แต่ถ้ารากฐานแห่งความดีเรายังไม่รู้ เราจะสร้างความดีต่อได้ไหม (ไม่ได้) แล้วอะไรคือรากฐานแห่งความดีงามทั้งมวล (จิตใจ) จิตใจก็เป็นรากฐานแห่งความชั่วได้เหมือนกัน (คิดดี ทำดี) คิดดี ทำดี พูดดี แต่ต้องละชั่วด้วย (คุณธรรม) เมื่อเรามีคุณธรรมก็ย่อมมีความดี แต่เมื่อวานหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอสอนไว้ว่า “ถึงเราจะพยายามมีคุณธรรม แต่ถ้าเราไม่รู้จักอดทนอดกลั้น คุณธรรมก็ไม่มี”

(ความเมตตา ความเข้มแข็ง) ใช่หรือไม่ ถ้าเราเกิดมาแล้ว คิดแต่จะเอา เราอยู่ในโลกนี้จะไม่มีวันทำความดีได้เลย ฉะนั้นรากฐานของความดีเริ่มต้นที่ (การให้ การเสียสละ) ถูกไหม (ถูก) ถ้าศิษย์ไม่เคยคิดจะให้ อยู่บนโลกเอาอย่างเดียว ทำอะไรก็ไม่ให้ความดีจะเกิดได้อย่างไร ถ้าทุกชีวิตคิดแต่จะเอาไม่เคยคิดจะให้ เมตตาจะสำแดงได้อย่างไร คุณธรรมจะสำแดงได้อย่างไรถ้าศิษย์คิดว่า เธอดีขนาดไหนฉันถึงต้องดีกับเธอเมตตากับเธอ ทำไมถึงต้องให้ก่อน ทำไมถึงต้องยอมก่อนล่ะ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าศิษย์ลืมรากฐานของความดีสิ่งนี้ ศิษย์เกิดมาเพื่อที่จะเอาศิษย์ย่อมไม่มีวันเป็นคนดีได้แน่นอน

พระพุทธะยังกล่าวไว้ว่า การให้เป็นบันไดขึ้นสู่สวรรค์ การให้เป็นเครื่องผูกมิตร และการให้ยังเป็นที่รักของมนุษย์และเทพเทวาทั้งปวง แล้วที่เราไม่สามารถทำดีได้ เป็นเพราะว่าเอามากกว่าให้ ถูกไหม (ถูก) อาจารย์ถามหน่อยไปเอาของเขามาแล้ว ทำเขาเจ็บแล้วค่อยไปดีกับเขาทันไหม (ไม่ทัน) แล้วปัจจุบันเราเป็นเช่นนี้ไหม เป็นทั้งนั้นเลย ไปฆ่าคนนี้ ไปตีคนนั้น แล้วก็ไปทำบุญกับคนโน้นแล้วก็ท่องสัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดใช่หรือไม่ แล้วเราทำอย่างนี้ไหม ฉะนั้นศิษย์จำไว้นะ รากฐานของความดีง่ายๆ คือให้ ให้ได้ เราก็หยุดยั้งกิเลสได้ ให้ได้ เราก็หยุดผิดบาปได้ แต่ถ้าให้ไม่ได้ เราก็มีแต่สนองกิเลสตัณหาตัวเอง ฉะนั้นถ้าให้แล้วมันทำให้เราว่าง ทำให้เราโปร่ง ทำให้เราไม่ต้องไปแข่งขัน ไม่ต้องไปกดขี่ ไม่ต้องไปผิดบาป ไม่ต้องไปเบียดเบียน ทำไมไม่ให้ ทำไมต้องกลัวเสียเปรียบ บางครั้งการให้เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องใช้อะไรเลย อย่างเช่นเขาร้ายมาเราให้อภัยไหม เขาเอาเปรียบเรามา เราไม่ถือสาหาความได้ไหม เขาเอาภรรยาสามีเราไป (ให้ไม่ได้ค่ะ) สุดท้ายตัวอยู่แต่ใจไม่อยู่จะเอาหรือ อยู่แล้วหวานอมขมกลืนจะเอาหรือ ทำไมไม่แปรทุกข์ให้เป็นบุญ แปรบาปให้เป็นกุศล ไม่ต้องทำบุญกับใครทำบุญกับสามีเรานี่แหละ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราไม่เคยสร้างบาปที่ไหนก็สร้างบาปกับสามีหรือไม่ก็สร้างบาปกับภรรยานี่แหละถูกไหม แล้วเวรกรรมก็ย้อนกลับมาทำร้ายเราให้เจ็บปวดจริงไหม (จริง) ฉะนั้นอาจารย์ถึงได้บอกไง ถ้าให้แล้วทำให้เราบังเกิดความสบายใจ บังเกิดเป็นบุญเป็นสุขก็ให้ไปเถิด

อาจารย์บอกตั้งแต่ต้นแล้ว ทำบุญก็คือสวรรค์ ถ้าตรงนี้เป็นสวรรค์ภพภูมิหน้าก็เป็นสวรรค์ แต่ถ้าตรงนี้เป็นนรกภพภูมิหน้าศิษย์ก็หนีไม่พ้นนรก แล้วทำไมไม่แปรบาปให้เป็นบุญ แปรร้ายให้เป็นดี เราเกิดมาถึงเวลาเขาก็ไม่ไปกับเราหรอกนะศิษย์ ใช่หรือเปล่า (ใช่) รักกันปานจะกลืนกินถึงเวลาก็ต่างคนต่างตาย ตัวใครตัวมันใช่หรือไม่ (ใช่)

ในโลกนี้แม้เราจะทำดีแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยมีอะไรเป็นได้ดั่งใจเราสักอย่าง ความทุกข์มีกี่อันก็นับไม่ถ้วนความทุกข์ทำเราเจ็บช้ำแค่ไหนก็ไม่รู้จะพูดบรรยายว่าอย่างไร อาจารย์ถามหน่อย ถ้าทุกข์มาแล้วทำให้เราเจ็บช้ำและเจ็บปวด ทำไมเราไม่รู้จักพลิกทุกข์ให้มาสอนใจเราบ้าง จริงหรือไม่ (จริง) มีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า ของบางอย่างทำให้เราทุกข์ แต่ถ้าเราไม่อับจนปัญญา ของนั้นก็ทำให้เราสิ้นทุกข์และพ้นทุกข์ได้ เหมือนพระพุทธะสอนไว้ว่า สิ่งใดเป็นกิเลสสิ่งนั้นก็สามารถเป็นปัญญา สิ่งใดเป็นสิ่งเกิดดับสิ่งนั้นก็เป็นหนทางพระนิพพานได้

บางอย่างถ้ารู้ว่าคิดแล้วจะเป็นทุกข์ ก็ควรที่จะหยุดความคิด หยุดทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ ด้วยการรู้ทันความคิดแล้วไม่ยึดติดในความคิด ถ้าใจของศิษย์ไม่มีกรอบ ไม่มีความยึดมั่น ไม่มีความเป็นตัวตน ไม่มีความยึดถือ มันก็ไม่มีการโดนอะไรให้เจ็บช้ำ แต่ถ้าใจของศิษย์มีกรอบ มีความยึดถือ มีความเป็นตัวตน อะไรนิดอะไรหน่อยมันก็ทุกข์ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นถ้าใจมันว่างจากตัวตน ว่างจากการยึดถือ สิ่งใดจะทำให้ทุกข์

จำไว้นะศิษย์ คนก็เป็นอย่างนี้ ตอนแรกปากก็พูดดีว่าให้ พอถึงเวลาผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงกลับไม่ให้เสียอย่างนั้น แล้วเราควรจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์) ฉะนั้นถ้าศิษย์รู้ว่าบางสิ่งบางอย่างไม่เที่ยงไม่แน่นอน วัดค่าอะไรไม่ได้ และก็ไม่สามารถตัดสินอะไรได้ เราควรเอาสิ่งนั้นมาสอนใจหรือเอาสิ่งนั้นมาทำให้เราต้องเจ็บช้ำน้ำใจ (สอนใจ)

หนทางที่จะทำให้เรามีความสุข ก็คือมีชีวิตอยู่เพื่อให้ แล้วเราทำได้ไหม (ได้) สมมติเราเป็นอาจารย์ มีความรู้แต่ไม่เคยคิดให้สิ่งที่ดีที่สุดกับนักเรียนจะเรียกว่าอาจารย์ได้ไหม (ไม่ได้) สอนอะไรก็สอนแบบกั๊กๆ สอนเก็บๆ สอนแบบไม่เต็มใจไม่สุดใจ กับคนที่ทำอะไรอย่างสุดจิตสุดใจเต็มกำลังทุกขณะ ความสุขมีอยู่ทุกขณะที่ได้ทำ แล้วเราจะต้องหวังผลอะไรอีกไหมศิษย์ แต่ถ้าอาจารย์สอนแบบสอนบ้างเก็บบ้าง สอนบ้างหวงบ้าง ให้บ้างงกบ้าง ให้บ้างไม่ให้บ้าง จะมีความสุขไหม ชีวิตเราไม่ว่าเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นลูกศิษย์ เป็นอาจารย์ เป็นคนค้าขาย ถ้าศิษย์ทำสิ่งที่ดีที่สุด ทุกขณะที่ทำคือสิ่งที่ดีที่สุด มันมีความสุขที่ได้ทำ มันมีความสุขที่ได้ให้สิ่งที่ดี มันมีความสุขที่ได้ทำหน้าที่ที่ดีที่สุด ผลของการกระทำมันให้อยู่ทุกขณะ แล้วศิษย์จะต้องหวังผลอะไรอีกไหม แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์เราไม่ใช่ เราทำทุกขณะเพื่อหวังจะเอาตำแหน่ง จะเอาเงินเยอะๆ จะเอากำไรเยอะๆ จะเอาให้มากที่สุด จะทำอย่างไรให้ได้ตำแหน่งใหญ่สุด ทุกขณะที่คิดจะเอาๆ มันไม่เคยสุข เราหวังแค่เพียงสุขแบบนั้นจึงไม่เคยสุข

ฉะนั้นคนที่ทุกขณะให้เต็มที่ ทำเต็มที่ ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด มันมีสุขทุกขณะ ปลูกข้าวก็ข้าวดีที่สุด ปลูกผักก็ผักสะอาดปลอดภัยที่สุด เป็นครูก็สอนดีที่สุด เป็นนักเรียนก็ให้ความเคารพซื่อสัตย์และทำหน้าที่ดีที่สุด เป็นพ่อก็เป็นพ่อที่ดีที่สุด เป็นแม่ก็เป็นแม่ที่ดีที่สุด เป็นลูกก็เป็นลูกที่ดีที่สุด ยังต้องหวังอะไรอีกไหม ไม่ต้องหวังแล้ว เพราะทุกขณะที่ทำเราได้สุขที่สุดในใจอยู่แล้ว แต่มนุษย์ไม่ใช่ ทำนิดๆ หน่อยๆ กินแรงเอาเปรียบแล้วก็หวังว่าจะได้คนชมใช่หรือไม่ แล้วศิษย์เป็นอย่างนั้นหรือไม่ เมื่อศิษย์ไม่สามารถทำอย่างที่อาจารย์บอกได้ศิษย์ก็เลยหนีไม่พ้นความทุกข์ ศิษย์ก็บอกว่าอาจารย์หนูพยายามทำดีที่สุดแล้วนะ หนูหวังดีกับเขามากแล้วนะ ผมทำดีที่สุดแล้วนะทำไมฟ้ายังทำให้ผมเป็นแบบนี้อีก เหมือนบอกว่าผมเป็นคนดีแล้วนะ อาจารย์ แต่บาปผมไม่เคยละเท่านั้นเอง ดีผมก็ทำ แต่ชั่วผมยังลดไม่ได้เท่านั้นเอง ใช่ไหม (ใช่)

อาจารย์ถามว่าเวลาที่ศิษย์มีชีวิตอยู่ ศิษย์เคยทำงานๆ หาเงินๆ เที่ยวๆ แล้วสักพักศิษย์รู้สึกว่าไม่ได้ทำบุญเลยอยากทำบุญ รู้สึกว่าความดีมันหายไปจากใจอยากทำดี เป็นไหม (เป็น) ถ้าเป็นอย่างนั้นแปลว่าทั้งชีวิตไม่ค่อยได้ทำดี นานๆ ค่อยทำ แล้วพอนานๆ ค่อยทำแล้วพยายามทำดี พยายามเมตตา เสียสละอุทิศให้ อันนั้นไม่เรียกว่าความดีที่แท้จริง อันนั้นเป็นความดีที่พยายามจะชดเชยความไม่ดีที่ทำมา เป็นความดีที่ศิษย์ใช้ปลอบประโลมใจตัวเองว่า ฉันก็ยังพอมีอะไรที่ดีเหลือไว้ให้ภูมิใจบ้าง (ใช่) ทั้งที่ตลอดชีวิตมานั้นไม่ค่อยดีเลยใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นสิ่งที่ศิษย์ทำดีแบบนี้จะทำให้ศิษย์พบกับสิ่งที่ดีเป็นไปได้ไหม แล้วบอกว่าศิษย์เป็นคนดีคนหนึ่งได้ไหม (ไม่ได้)

การให้บุญที่บริสุทธิ์ ความดีที่บริสุทธิ์แบบไหนที่เห็นชัดเจน อย่างเช่นมีเด็กกำลังเดินข้ามถนน ตอนนั้นศิษย์จะทำอย่างไร (จับไว้ก่อน) ไม่รู้ว่าลูกใครไปอุ้มไว้ก่อนใช่ไหม (ใช่) ชั่วขณะที่ศิษย์คิดจะช่วยเด็กคนนั้นโดยไม่สนใจว่าเราจะต้องเป็นคนดีหรือไม่ คิดแต่เพียงว่าจะให้เด็กคนนั้นรอดปลอดภัย นั่นเรียกว่าบุญอันบริสุทธิ์ นั่นคือความดีอันบริสุทธิ์ เพราะเราไม่คิดว่าจะทำเพื่ออะไร แต่มนุษย์เวลาทำดีอะไรมักจะคิดว่าเพื่อจะได้มีเมตตาเยอะๆ จะได้บุญเยอะๆ จะได้หน้าบานๆ หรือจะได้ขอต่อ ถ้าบุญยังแอบอิงไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง บุญนั้นก็เรียกว่าบาป บุญนั้นก็เรียกว่าบุญที่ไม่บริสุทธิ์แท้จริง แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม ทำบุญไม่เคยขอเลยใช่ไหม รากฐานแห่งความดีคือการทำเพื่อให้ ไม่ใช่ทำเพื่อเอา ถ้ายังทำเพื่อเอาก็ยังตกเป็นทาสของกิเลสอยู่ร่ำไป

เราทุกข์กับเรื่องอะไรในโลกบ้าง คนใจร้อนเราชอบไหม (ไม่ชอบ) เย็นแบบเช้าชามเย็นชามชอบไหม (ไม่ชอบ) ถ้าเราเจอคนประเภทนี้เราจะทำอย่างไร อารมณ์เย็นเกินไปเราก็ไม่ชอบ ร้อนเกินไปเราก็ไม่ชอบ แล้วโลกนี้เป็นไปได้ไหมที่จะมีคนไม่ร้อนไม่เย็น เวลาเจออากาศร้อนเราทำตัวให้เย็นไว้ แล้วเวลาเจออากาศเย็นเราทำตัวให้อบอุ่น ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เอยอยู่ในโลกเราหนีไม่พ้น คนบางคนเย็นชาจนเรารู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง มีเขาอยู่แต่เย็นชาเกินไป ฉะนั้นเหมือนใส่เสื้อ เจอใครเย็นต้องทำตัวให้อบอุ่น เจอใครร้อนต้องทำตัวให้เย็น เอาธรรมะมาใช้ในชีวิต เอาธรรมะที่เรียกว่าความจริงมาสอนใจ ไม่ใช่เจอใครร้อนศิษย์ก็ร้อนก็มีแต่พัง เจอใครเย็นศิษย์ก็หนาวเหงาอย่างนี้ก็แย่ใช่หรือไม่ (ใช่) เขาร้อนมาเราต้องเย็นให้ได้ เขาเย็นจนดูเหมือนแล้งน้ำใจ เราก็ต้องสร้างความอบอุ่นให้กับกายใจตนเองก่อนที่จะเอาแรงนั้นไปดันเขา ถ้ายังเอาตัวไม่รอดอย่าเพิ่งไปช่วยใคร ฉะนั้นเวลามีปัญหาอย่าเพิ่งไปจัดการใคร ไม่ใช่ไปแก้ใคร แต่เอาตัวเองให้รอดก่อน เมื่อเอาตัวเองรอดแล้วก็ไม่ทำให้เขาทุกข์ เขาก็ไม่ทำให้เราทุกข์ เราก็สามารถแปรทุกข์เป็นสุขได้ เมื่อเราทำให้ตัวเองมีสุขได้เราก็จะทำให้คนข้างๆ เขาได้ข้อคิดตามด้วย

แล้วเรายังมีทุกข์อีกไหม บางครั้งชีวิตเหมือนขึ้นที่สูงเหมือนโชคดี แต่บางครั้งมันก็ตกลงต่ำ ขึ้นที่สูงมันก็ได้เห็นอะไรชัดเจนดี แต่เมื่อมันต้องกลับมาลงที่ต่ำ มันก็แค่มองไม่ชัดหรือกลับมายืนที่เดิม คนเราไม่มีใครสูงหรืออยู่เหนือใครตลอดไป ขึ้นสูงขนาดไหนอย่างไรก็ต้องลง หนีพื้นดินอันธรรมดาไม่ได้ ถ้าวันหนึ่งชีวิตได้เจอเรื่องที่ดี แล้ววันหนึ่งชีวิตได้เจอเรื่องที่ร้าย ก็จงอย่าลืมว่าแค่กลับมายืนที่เดิม แม้ว่าวันนี้จะไม่ได้สูงแล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยชีวิตหนึ่งเราได้เคยสูงสักวันหนึ่งก็ยังดี

ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจชีวิต เราก็จะรู้ว่าฟ้ายังมีสิ่งที่เรียกว่าภูเขาสูง ยังมีสิ่งที่เรียกว่าพื้นพสุธา แล้วเป็นไปได้หรือที่เราจะขึ้นสูงแล้วไม่มีวันลงสู่พื้นดิน แล้วเป็นไปไม่ได้หรือที่ยืนอยู่บนพื้นดินแล้วจะใฝ่สูงบ้างไม่ได้ แล้วเรายืนอยู่บนพื้นดินเราจะสูงที่สุดไม่ได้เลยหรือ ใช่ไหมศิษย์ (ใช่) สิ่งที่ไกลกลายเป็นใกล้ก็เพราะความเพียร สิ่งที่ยากกลายเป็นง่ายก็เพราะความวิริยะอุตสาหะ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นได้ก็เพราะใจที่สู้ไม่ถอยใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเราอยู่บนโลกบางครั้งอยู่สูงแต่ก็ต้องกลับมาต่ำให้เป็น เมื่อต่ำเป็นแล้วสูงบ้างไม่ได้หรือ เมื่อร้ายแล้วทำไมจะดีไม่ได้ แล้วดีจนถึงที่สุดจนสุดๆ ไม่มีหรือ (มี) แล้วเมื่อไรจะทำ เกี่ยงกันอยู่ให้เขาดีก่อนฉันยังชั่วอยู่ใช่ไหม (ใช่)

ศิษย์เคยเห็นใบไม้ไหม สักวันมันต้อง (ตาย) ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อขึ้นชื่อว่าชีวิตเราหนีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ความสูญเสียไม่ได้ แต่ถ้าต้นไม้งก ไม่ให้ใบไม้ร่วงเลย เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) ยอมให้มันร่วงหล่น จึงเห็นหน่อใหม่ที่ได้แตกออก ยอมให้มันร่วงหล่นจึงก่อเกิดเป็นปุ๋ยที่บำรุงเลี้ยงให้เติบโต บางครั้งยอมเสียเพื่อได้อะไรที่ดีกว่า ยอมเจ็บ ยอมให้ ยอมพลัดพราก ยอมทุกข์ ยอมแพ้แล้วทำให้คนอื่นเป็นสุขใจไม่ได้หรือ (ได้) แล้วเราเกิดเป็นคน เสียบ้างไม่ได้หรือ โดนเขาว่าบ้างไม่ได้หรือ โดนเขาเข้าใจผิดบ้างไม่ได้หรือ โดนเขาเอาเงินไปแล้วไม่คืนไม่ได้หรือ เพราะในความเสียมันอาจจะมีอะไรที่เราได้แอบแฝงอยู่ ถ้าเราไม่เจ็บเราจะรู้จักความเข้มแข็งไหม ถ้าเราไม่ป่วยเราจะรู้ไหมว่าใครห่วงใครรักเราจริง เมื่อเราตกต่ำเราจึงได้รู้ว่าใครที่เป็นมิตรแท้ ถ้าเราไม่ถูกสามีทิ้งเราจะรู้หรือว่าฉันก็ยืนคนเดียวได้ สามีหรือภรรยาตายไปแล้ว ลูกก็ไม่ดูแล เรายืนคนเดียวไม่ได้หรือ ดูแลตัวเองไม่ได้หรือ ต้องรอสามี ภรรยา ลูก มาเลี้ยงตลอดเลยหรือ ทำไมต้องเป็นใจที่ว่างเปล่าแล้วรอคนมาเติมเต็ม แต่เราเป็นใจที่สามารถเต็มล้นและพร้อมให้ทุกคนไม่ได้หรือ เอาธรรมะที่เห็นทุกวันมาสอนใจ ไม่ต้องเอาตำราหรือคัมภีร์จากไหน แต่เอาที่เห็นทุกวันมาสอนใจเรา สอนแล้วให้มันเกิดธรรม ไม่ใช่สอนแล้วให้มันเกิดกิเลส เกิดความโง่ ไร้ปัญญา อย่างนี้เกิดมาเสียเปล่า แต่สอนแล้วมันต้องได้ธรรมได้ความตื่นรู้ ได้ความพ้นทุกข์

สิ่งต่างๆ ในโลกนี้มีอะไรเป็นได้ดั่งใจศิษย์ไหม (ไม่มี) แล้วมีอะไรสมบูรณ์พร้อมไหม (ไม่มี) ศิษย์เคยเห็นนิ้วเท่ากันไหม อย่างนั้นชีวิตคนเหมือนกันไหม แล้วเป็นไปได้ไหมว่าทุกชีวิตต้องเหมือนกันและเท่ากัน ฉะนั้นเจอคนไหนที่ขาดไปบ้างเกินไปบ้างก็คิดว่าอย่างน้อยก็เป็นชีวิตๆ หนึ่ง แต่ว่าเราขาดเขาได้ไหม บางครั้งการมีอยู่ของเราก็ต้องเป็นการมีอยู่ของเขาด้วย แต่บางครั้งถ้าการที่เขาอยู่แล้วทำให้เขาเป็นทุกข์ เราก็ต้องสามารถอยู่คนเดียวให้ได้ด้วย เหมือนนิ้วเราให้มันสมบูรณ์เท่ากันไม่ได้ แล้วมันมีคุณค่าและความสามารถที่ไม่เหมือนกัน ฉันใดก็ฉันนั้นคนในโลกก็เหมือนกัน คิดไม่เหมือนกัน ถนัดไม่เหมือนกัน ดีไม่เหมือนกัน แล้วจะหวังให้เป็นดั่งใจได้ไหม (ไม่) เวลาตอบอาจารย์ตอบดีหมดแต่ถึงเวลาทำไมไม่เห็นดีแบบนี้เลย ถ้าเราคิดอย่างนี้เสมอ เราตระหนักรู้อย่างนี้เสมอ คนนั้นจะทำให้เราทุกข์ไหม ถ้าคนนั้นเกินเลยไปบ้างเขาจะทำให้เราเจ็บไหม คนนั้นขาดไปบ้างจะทำให้เราทุกข์ไหม แล้วถึงเวลาเราทุกข์ไหม ถ้าศิษย์เอาความจริงมาสอนใจแล้วศิษย์กล้ายอมรับในความจริง ศิษย์จะได้เรียนรู้ว่า ทุกข์ไม่ได้มีไว้ให้ทุกข์ แต่ทุกข์มีไว้เพื่อเรียนรู้แล้วก้าวต่อไป

ทุกข์แปลว่า สิ่งที่ทนได้ยากใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นไม่ว่าเราเจอเรื่องอะไร พอเราทนได้ยากเราต้องเปลี่ยนเป็นอีกสิ่งหนึ่ง เพื่อเราไม่ต้องทุกข์กับมันถูกหรือไม่ (ถูก) เหมือนอาจารย์ถามว่า หน้าตาของเราจะเป็นแบบนี้ตลอดไหม จะเปลี่ยนไหม ฉะนั้นถ้าวันนี้คนดีๆ เขาเปลี่ยนแปลงเราทุกข์ไหม คนดีๆ เขาเปลี่ยนใจเราทุกข์ไหม และคนที่ไม่ดีควรจะเปลี่ยนแต่ไม่ยอมเปลี่ยน เราทุกข์ไหม อาจารย์แค่อยากให้ศิษย์ยอมรับความจริงเหมือนนิ้วมือ ใช่ไหม (ใช่) บางคนได้แค่นี้ บางคนสูงตั้งเท่านี้ เหมือนเอานิ้วโป้งเปรียบกับนิ้วกลางต่างกันเยอะไหม คุณค่าเหมือนกันไหม ฉะนั้นถ้าเราเกลียดนิ้วโป้ง ตัดนิ้วโป้งทิ้งดีไหม ตัดแล้วเรียกว่าอะไร (ด้วน) มันเป็นธรรมดาศิษย์เอ๋ย คนที่เคยดีแล้วเปลี่ยนเป็นไม่ดี และคนที่ไม่ดีน่าเปลี่ยนเป็นดีแต่ก็ไม่เคยเปลี่ยนเป็นดี แล้วเราจะทำอย่างไร เราจะทุกข์กับเขาหรือว่าเราแค่เรียนรู้และยอมรับกับมัน (ยอมรับกับมัน) ใช่ไหม (ใช่) เพราะในความที่เขาดีแล้วเปลี่ยนเป็นไม่ดี แล้วความดีเขาไม่เหลือเลยหรือ ยังเหลือไหม (เหลือ)

(พระอาจารย์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมท่านหนึ่งมายืนหน้าห้อง)

สมมติว่าอะไรอาจารย์ก็รู้สึกดีกับเขาหมด ยกเว้นอย่างเดียวอาจารย์ไม่ชอบความดำ อาจารย์ถามหน่อยนะว่า ถึงแม้เขาจะดำ เขาจะสูญเสียความดีที่อาจารย์ชอบในใจไหม (ไม่) ดีก็ส่วนดี ดำก็ส่วนดำใช่ไหม เราแก้อะไรเขาไม่ได้

วันหนึ่งถึงคนที่ดีที่สุดของศิษย์เขาจะเปลี่ยนแปลงเป็นไม่ดี แต่ใช่ว่าความดีเขาจะไม่มี ความดีเขาจะหดหายไป แต่มนุษย์เวลาเกลียดก็เกลียดมาก เวลารักก็รักมาก จนบางครั้งมองไม่เห็นเลยว่าจริงๆ แล้วในความรักก็มีความน่าเกลียด ในความน่าเกลียดก็ยังพอมีอะไรดีๆ ฉะนั้นเวลาศิษย์มองสิ่งใด เวลาเราเห็นคนที่ไม่เป็นดั่งใจเรา หรือมองเขาว่าน่าจะดีกว่านี้แล้วเขาไม่ดี ศิษย์จะต้องปรับความคิดให้ได้ อย่าปล่อยให้ความคิดนั้นสร้างกิเลสแล้วทำให้เกิดทุกข์ ตอนนั้นศิษย์จะให้ความสุขเขาให้บุญเขาให้ทานเขา หรือศิษย์จะก่อเกิดเป็นกรรม วิบากกรรม ด่าเขาให้ไม่เหลือดีเลย ว่าให้เจ็บปวดไปเลย ในเมื่อเคยดีมาก่อนแล้วกล้าทำแบบนี้ก็ทำให้จมไม่มีที่อยู่เลยดีไหม (ไม่ดี) ถ้าเจอคนไม่ดีนอกจากจะทำให้เราทุกข์ใจแล้ว สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ต้องระมัดระวังที่สุดคือ อย่าสร้างวิบากกรรม หรืออย่าเกี่ยวกรรม เพราะไม่เช่นนั้นแล้วคนที่ศิษย์เกลียดที่สุดก็จะมาจองเวรจองกรรมศิษย์ แล้วเราเกิดมาเพื่อสิ้นกรรมหรือเกิดมาเพื่อสร้างกรรม (สิ้นกรรม) ถ้าเพื่อสิ้นกรรมควรด่าให้ไม่มีชิ้นดีหรือควรเข้าใจแล้วตื่นรู้เห็นแจ้งในธรรม (เข้าใจแล้วตื่นรู้เห็นแจ้งในธรรม) ฉะนั้นถ้ากลับไปเจอสามีด่าหรือเจอภรรยาบ่น เจอลูกไม่เป็นดั่งใจ ก็มองว่าถึงเขาจะแย่อย่างไร เขาก็ยังมีดีอยู่ แล้วเราจะได้มองเห็นสิ่งที่ดีในใจเขาได้ใช่ไหม (ใช่)

ฉันใดก็ฉันนั้นให้อภัยใจตัวเองได้ ไม่ถือโกรธเกลียดตัวเองได้ ทำไมไม่ให้อภัยไม่ให้ทานไม่ให้เมตตาผู้อื่น ในเมื่อบุญของการให้ที่ประเสริฐที่สุดคือให้ธรรมเป็นทาน แต่เราอยู่ด้วยกันเรากลับให้กิเลสอารมณ์เพื่อเกี่ยวกรรมหรือ ในเมื่อศิษย์อยากสร้างความดี เขามาให้เราได้สร้างทานที่ยิ่งใหญ่ ทำไมเราไปไม่ถึง ทำไมเราอยากไปเกี่ยวกรรมจองเวรจองกรรม ทำไมเราอยากไปสนองกิเลสอารมณ์ ทำไมเราไม่ตื่นรู้แล้วพบธรรม ตื่นรู้แล้วได้ให้ธรรมที่ประเสริฐ เขาร้ายเราต้องดี เขาแย่เราต้องดีให้ถึงที่สุดใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นหนักแน่นหน่อยนะศิษย์เอย แล้วเมื่อไหร่ศิษย์หนักแน่นศิษย์จะพบว่าถึงที่สุดไม่มีใครดีงามสมบูรณ์พร้อม หาไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวไม่มีใครดีที่สุดและไม่มีใครแย่ที่สุด แล้วเราจะพ้นทุกข์ได้ด้วยหัวใจที่เปิดกว้างและมองเห็นธรรมมากกว่ามองแล้วเห็นกรรม เราจะอยู่เพื่อเห็นธรรมหรืออยู่เพื่อก่อกรรม ถามใจศิษย์เองนะ

(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาทชื่อเพลง “นักธรรมที่ดีดีอย่างไร” ทำนองเพลง “เพียงกระซิบ” และให้ผู้นำร้องเพลงออกมานำเพลงหน้าห้อง)

จงเป็นพลังเสียงกระบอกเสียงอันไพเราะ นำพาเวไนยให้พ้นทุกข์ด้วยเพลงของเรา ปลุกให้เขาตื่นและปลุกให้ใจเรารู้ตื่นด้วย

(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนในชั้น)

เรื่องบางเรื่องคิดมากไปก็ทุกข์ ทุกสิ่งที่เรากระทำ ไม่ว่าพูดหรือกระทำอะไรก็ตาม ล้วนเป็นการแสดงออกของจิตใจเรา เห็นอะไรที่ชอบก็เข้าหา เห็นอะไรที่ไม่ชอบก็หนีห่าง แสดงว่าใจเรามีความชอบชังอันนั้นอยู่ในใจ แสดงว่าใจของมนุษย์มีอะไรอยู่ข้างใน ถ้ามีอะไรอยู่พอเจอสิ่งที่ชอบเราก็บอกว่าชอบ เจอสิ่งที่ไม่ชอบเราก็บอกว่าไม่ชอบ เจอสิ่งที่ถูกใจเราก็บอกว่าเป็นสุข เจอสิ่งที่ไม่ถูกใจเราก็บอกว่าเป็นทุกข์ ถ้าในใจเราไม่มีอะไรที่เรียกว่าชอบชัง อะไรจะเรียกว่าสุขอะไรจะเรียกว่าทุกข์ ก็จะไม่มีอะไรที่ทำให้เราเจ็บแค้น ไม่มีอะไรที่ทำให้ใจเราโลภ โกรธ หลง แปลว่าต้องไม่มีทั้งข้างนอกและข้างใน เมื่อข้างในไม่มี เห็นอะไรมันก็ไม่รู้สึก ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ตัดสิน เทียบง่ายๆ สมมติว่าอาจารย์เคยกินเหล้า เคยสูบบุหรี่ แม้อาจารย์ไม่เห็นเหล้าไม่เห็นบุหรี่ อาจารย์ก็ยังอยากดื่มอยากสูบอยู่ เพราะมันติดในรสเหล้าบุหรี่อยู่ ถึงแม้จะไม่เห็นเหล้าบุหรี่ ใจมันก็ยังใฝ่หาเหล้าบุหรี่ แม้จะหนีปรากฏการณ์ทั้งมวล พยายามไม่เจอเหล้าบุหรี่ แต่ถ้าใจมันยังชอบอยู่ เราก็จะเดินไปหาเหล้าบุหรี่จนได้

ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าสมมติว่าใจของอาจารย์ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสุข ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าดี ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าแย่ อะไรจะทำให้อาจารย์ทุกข์ อะไรจะทำให้อาจารย์รู้สึกแย่และเกลียด ฉะนั้นจึงมีคำพูดกล่าวไว้ว่า มนุษย์พยายามแก้กิเลส หนีกิเลส วิ่งให้พ้นกิเลส แต่มนุษย์ลืมกิเลสที่อยู่ในใจ มนุษย์พยายามหนีให้พ้นความวุ่นวาย หนีให้พ้นตัวปัญหา แต่มนุษย์ลืมว่าต้นเหตุของปัญหาอยู่ที่ใจ ศิษย์มัวแต่แก้กิเลสแต่ลืมแก้ต้นเหตุที่สร้างกิเลส พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า โลภโกรธหลงสุขทุกข์แท้จริงไม่เคยมีตัวตน แต่กลับมีตัวตนเพราะมนุษย์ยึดติดใจ มนุษย์พยายามแก้โลภโกรธหลง ความยึดติดทิฐิ ความเกียจคร้าน แต่มนุษย์ลืมแก้ต้นเหตุ ฉะนั้นศิษย์จะไปด่าเขา ไปเปลี่ยนเขาไม่มีประโยชน์ ถ้าเหล้าไม่อยู่ในใจ เห็นก็ไม่อยากกิน ถ้าความเกลียดไม่อยู่ในใจ คนน่าเกลียดขนาดไหนเราก็ไม่เกลียด ถึงเขาจะน่ารักขนาดไหน เราไม่รู้ความรักคืออะไรเราก็จะไม่รัก ฉะนั้นถ้าอยากจะแก้ปัญหาทั้งมวล ไม่ใช่พยายามหนีเหตุการณ์แต่ลืมหลีกหนีใจ ไม่ใช่พยายามแก้คนอื่นแต่ลืมแก้ที่ต้นเหตุที่จิตใจ

มีคำกล่าวคำหนึ่งว่า ในตัวของเราประกอบไปด้วยกายกับใจ กายหนีไม่พ้นกฎแห่งกรรม หนีไม่พ้นกฎของไตรลักษณ์ ที่จะต้องเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป พระพุทธกล่าวว่าแท้จริงใจหรือจิตเดิมแท้ไม่มีตัวตน ไม่ต้องการเจ้าของ และพ้นจากกฎของไตรลักษณ์มานานแล้ว เพราะจิตหรือใจแท้จริงเป็นของว่าง เป็นสภาวะธรรมที่ว่าง แต่มนุษย์ไม่ชอบใจว่างๆ จึงพยายามยัดเยียดความเป็นตัวตนให้มียัดเยียดอารมณ์ให้ตัวเองมี แล้วก็บอกว่าตัวเองเป็นคนนิสัยอย่างนั้น ชอบแบบนี้ ไม่ชอบแบบนี้ เมื่อชอบแบบนี้ ไม่ชอบแบบนี้ ก็เลยก่อเกิดเป็นสิ่งที่เรียกว่าทุกข์สุขหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กรรมดี กรรมชั่ว แล้วก็สนองกรรมตัวเองก่อเกิดเป็นวิบากกรรมและเรียกว่าวัฏสงสาร และเราก็ต้องมานั่งแก้เหตุด้วยการสร้างบุญ สร้างคุณธรรม สร้างความดีเพื่อที่จะได้พ้นจากเหตุแห่งกรรมใช่หรือเปล่า ฉะนั้นจึงบอกว่าใจของมนุษย์จริงๆ ว่าง แต่มนุษย์ไม่ชอบความว่าง จึงพยายามมีอารมณ์มาสนองใจ และชอบยึดติดอารมณ์ เอาอารมณ์เป็นปัจจัยสำคัญที่เรียกว่าใจของตัวเอง อารมณ์ใดเป็นใหญ่ อารมณ์นั้นเป็นนายของกาย อารมณ์ใดที่มาบ่อยแล้วเราติดใจ เราพอใจ เราชอบใจก็จะสั่งสมจนฝังแน่นในใจจนก่อเกิดเป็นตัวตน แล้วใจก็มีอำนาจอยู่อย่างหนึ่งคือชอบสะสมสิ่งที่ชอบ อารมณ์ก่อเกิดเป็นกรรมที่สะสมในใจ ฉะนั้นการที่เราทำอะไรก็ได้ที่เราพอใจ ทำอะไรก็ได้ที่สนองใจ ทำอะไรก็ได้ที่ถูกใจ นั่นคือการพยายามสะสมให้ใจมันมีกรรม มีความเป็นตัวตน มีที่อยู่ เมื่อมีที่อยู่จึงง่ายที่จะถูกกระทบ จึงง่ายที่กิเลสจะมาเกาะติด เมื่อกิเลสมาเกาะติดก็เกิดเป็นวิบากกรรม แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์หันกลับไปมองแล้วไม่ยึดติดอะไร ไม่เกลียดอะไร ใจเราว่างๆ อะไรจะทุกข์ อะไรจะสุข มีไหม

ฉะนั้นพระพุทธะจึงบอกว่าใจไม่ใช่มีไว้เพื่อยึดดี ใจไม่ใช่มีไว้เพื่อต้องเป็นคนดี แต่ใจเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า กระทบได้ กระเพื่อมได้ แล้วมันก็กลับมานิ่งได้ แต่ด้วยความที่ไม่รู้ มนุษย์จึงบอกว่าฉันก็คือสังขาร สังขารก็คือฉัน รูปก็คือตัวฉัน ฉันก็คือตัวรูป รูปฉันเป็นอย่างไรก็เป็นไปตามอารมณ์ที่ฉันยึดติด จนพระพุทธะย้อนกลับมาถามว่า รูปที่ศิษย์ยึดติดมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ แล้วมันควรไหมที่จะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา (ไม่ควร) เมื่อไม่ควรแล้วอะไรคือของเรา ฉะนั้นสังขารจึงหนีไม่พ้นกฎแห่งไตรลักษณ์ที่เรียกว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่จิตเดิมแท้ว่างเปล่าอยู่แล้ว แต่มนุษย์ไม่เคยกลับไปสู่ความว่าง มนุษย์กลับชอบเอาความเป็นตัวตนใส่เข้าไปในใจ แล้วก็บอกว่าใจหนูชอบแบบนั้น ใจผมติดแบบนี้ แล้วก็เกิดเป็นวิบากกรรมที่เรียกว่า ทุกข์สุขดีร้าย พุทธะจึงสอนไว้ว่า พยายามอย่ามีใจมาก ให้กลับไปสู่ทางสายกลาง แล้วก็มองให้ชัดว่าจริงๆ แล้วไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรร้าย ทุกสิ่งถึงที่สุดล้วนคงอยู่เพียงชั่วคราว แล้วที่สุดก็ว่างเปล่า ถ้าเวลามีอะไรเกิดขึ้นกับใจแล้วเรารู้ทันความคิด เราจะไม่ทุกข์เพราะความคิด แต่ถ้าเมื่อไรความคิดเกิดแล้วเรารู้ไม่ทัน เมื่อนั้นเราจะทุกข์จากความคิด

หลังจากที่ศิษย์ฟังสามวันนี้ขอให้เป็นนักปฏิบัติธรรม อยู่เพื่อปฏิบัติธรรม อยู่เพื่อให้ธรรม ไม่ใช่อยู่เพื่อสนองกิเลสแล้วก่อเกิดเป็นเวรกรรมดีไหม (ดี) สิ่งใดที่ทำแล้วก่อเกิดเป็นธรรมจงทำ อาจารย์พูดไม่ใช่เรื่องยากแต่ปฏิบัติยากไหม ขอเพียงมีความเพียรและตั้งใจ เอากลับไปพิจารณาต่อนะ

(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “นักธรรมที่ดี”)

เพลงเพราะก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าศิษย์ไม่ได้เอาไปย้อนใช้ ไม่ได้เอาไปหยั่งรู้ให้เห็นแท้ความจริงในใจตนเอง การฝึกฝนบำเพ็ญธรรม สิ่งที่น่ากลัวจึงไม่ได้อยู่ที่โลภ โกรธ หลง แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ รู้เท่าทันใจตัวเองไหม เพราะโลภ โกรธ หลง แท้จริงมันไม่มีตัวตน แต่มันมีตัวตนเพราะเรายึดติด เพราะชอบมัน ฉะนั้นเรากำจัดมันได้ เราอย่ามัวแต่กำจัดกิเลสจนลืมกำจัดที่อยู่ของกิเลส ให้มันตั้งอยู่นานแล้วเมื่อไรจะเอามันออกไปจากใจ มีใครบ้างไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง โลภ โกรธ หลง มันไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่มองไม่เห็นชัด แล้วก่อเกิดเป็นความโลภ ใจที่มองไม่เห็นโลกกระจ่าง จึงก่อเกิดเป็นความหลง เงินมันแค่ต้องใช้แต่บางครั้งมันก็ไม่ต้องใช้เงินในทุกเรื่อง อย่างน้อยเงินก็ซื้อความสุขและความพ้นทุกข์ไม่ได้ แต่ถ้าหลงเงินมันจะทำให้ศิษย์ต้องเวียนว่ายแล้วทุกข์ไม่จบสิ้น ถ้าใช้เงินอย่างขาดศีลขาดธรรม

เมื่อเวลาใดที่ไม่มีตัวเรา เวลานั้นจะเป็นเวลาที่มีความสุข เมื่อเวลาใดที่เราว่างจากความยึดถือในตัวเรา เมื่อนั้นจะเป็นเวลาที่ว่างจากความทุกข์ แต่มนุษย์ไม่ใช่ สิ่งนี้ก็ของฉัน สิ่งนั้นก็ของฉัน เมื่อยึดติดจึงหนีไม่พ้นทุกข์ ฉะนั้นเราจะยึดจนทุกข์หรือเรียนรู้แล้วไม่ยึด ยืมใช้แล้วปล่อยวางหรือยืมใช้แล้วหน่วงเหนี่ยวไว้เป็นของเราตลอดเวลา

เมื่อใดที่มนุษย์อยู่ในโลกแล้วไม่พยายามควบคุมทุกสิ่งให้ต้องเป็นดั่งใจฉัน ปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามธรรมชาติของตัวเอง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด อะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ แม้ตัวเองจะเป็นผู้ให้กำเนิดสิ่งใดก็ตามก็จะไม่ยึดติด แม้จะบำรุงเลี้ยงร่างกายหรือบำรุงเลี้ยงใครก็ตามก็จะไม่เห็นแก่ตน ไม่หวังผลประโยชน์ส่วนตน มีแต่ความดีเพื่อให้และให้ เมื่อนั้นความดีของศิษย์อันนั้นจะเป็นความดีที่แท้จริงและไม่มีวันเลือนไปจากโลกใบนี้ แต่ศิษย์ของอาจารย์ สิ่งนั้นฉันก็จะคุม สิ่งนี้ฉันก็จะหวัง สิ่งนั้นฉันก็จะเอา สิ่งนี้ฉันก็ต้องได้ เลี้ยงมาแล้วมันต้องได้ดั่งใจ ดูแลมาแล้วมันต้องดีใช่ไหม (ใช่) อาจารย์ถามหน่อยสังขารดีได้ดั่งใจไหม นิสัยดีได้ดั่งใจไหม แม้แต่ตัวเองยังคุมไม่ได้ทำไมยังคิดจะไปคุมคนอื่น แปลกจริงที่ไหนอร่อยรู้หมด ที่ไหนสนุกรู้หมด ที่ไหนน่ารื่นรมย์รู้หมด แต่มีอยู่ที่ใจที่เดียวที่ทำอย่างไรให้ดีที่สุดและสงบที่สุดไม่เคยรู้ ใช่ไหม

คนเราเจ็บแล้วอย่าเจ็บซ้ำในเรื่องเดิมๆ ถ้าเจ็บซ้ำในเรื่องเดิมๆ แปลว่าไม่ฉลาด แต่มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบนั้น รู้ว่าโมโหไม่ดีก็ยังโมโหแล้วโมโหอีก รู้ว่าโลภแล้วทำให้ผิดศีลขาดธรรมก็ยังโลภอีก แล้วถึงที่สุดก็หนีไม่พ้นอบายภูมิและวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย

(ไม่คาดหวัง) ถ้าอยู่ในโลกอย่างไม่คาดหวังเราก็จะไม่ผิดหวัง ปล่อยวางความคิดได้ ยอมรับในทุกสิ่งด้วยจิตใจที่กล้าหาญ

(ฝึกการให้ ฝึกให้คนอื่นก่อน) ฝึกให้มากกว่าเอา

(มีศีลธรรมป้องกัน) ศีลคือตัวป้องกันใจ คุณธรรมคือตัวป้องกันกายที่จะไปกระทบผู้อื่น เพราะฉะนั้นมีแต่ศีลแต่ขาดธรรมก็ไม่ได้ คุณธรรมในการอยู่ร่วมกันคือหัวใจที่มีความเมตตา

(ไม่โกรธไม่โลภไม่หลง) ทำได้หรือ อาจารย์ขอแค่อย่างเดียว ทำอย่างไรให้ตลอดชีวิตไม่โกรธเลย (ใครว่าอะไรก็ไม่โกรธ) ใครเอาอะไรไปก็ (ไม่โกรธ) ใครเอาสามีไปก็ (ไม่โกรธ) ใครทำร้ายลูกเราก็ (ไม่โกรธ) ใครทำร้ายเราก็ (ไม่โกรธ) ทำได้อย่างนี้ก็ดีนะศิษย์เอย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุผลและเหตุปัจจัย ถ้าทำแล้วสิ้นเวรสิ้นกรรมปลดปล่อยวางได้บางทีเราก็ต้องยอม เคืองแค้นไป โกรธไปก็มีแต่เจ็บ

(ต้องชนะใจตนเอง) (คิดดีทำดี ไม่หวังโลภจากคนอื่น) แล้วอย่าลืมละชั่วด้วยนะ (ขัดจิตให้สว่างสงบจะได้มีธรรม ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง) เอาอะไรขัดดีศิษย์ (เอาใจ) เอาใจขัดกับใจใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเจออะไรที่ขัดใจก็ต้องขอบคุณ และถ้าเจออะไรที่ถูกใจก็ต้องเอามาขัดใจด้วย ถ้าเจออะไรถูกใจแล้วดีใจ แบบนี้เรียกว่าไม่ได้ขัดใจ ถ้าอยากขัดใจง่ายๆ ทำใจให้ว่าง ไม่มีคำว่าตัวตนอยู่ในใจถูกไหม (ไม่ยึดติดแล้วปล่อยวาง) ถึงเวลายึดติดไหม เงินก็ไม่ยึดใช่ไหม สามีก็ไม่ยึดใช่ไหม

สิ่งที่ดีที่สุดที่ทำให้เราสามารถพ้นจากโลภ โกรธ หลง ได้ก็คือ อยู่เพียงแค่ยืมใช้ ถึงเวลาคืนเขาไป สังขารเราก็ยืมเขาใช้ ยืมธรรมชาติใช้ ถึงเวลาก็ต้องวาง เพราะธรรมชาติก็ต้องเรียกคืนกลับสู่ธรรมชาติ จึงมีคำกล่าวว่า ถ้าเมื่อใดมนุษย์ประจักษ์ชัดในหลักสัจธรรม และมีจิตตรงเที่ยงต่อ สัจธรรม เมื่อนั้นมนุษย์จะพ้นบาปพ้นบุญ และสามารถกลับคืนสู่สภาวะความว่างได้ แล้วจิตที่ตรงเที่ยงต่อสัจธรรมหรือสภาวะธรรมนั้นก็คือ จิตที่เห็นชัดต่อโลกใบนี้ว่า ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ เป็นทุกข์ ว่างเปล่าจากตัวตนที่ยึดถือ เมื่อเข้าใจและหยั่งรู้จนเห็นชัด ศิษย์จะไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง โดยที่ไม่ต้องพยายามกดใจตัวเองเลย

มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก รักษาใจเดิมแท้อันนี้ไว้ อย่าปล่อยให้ใจนี้แปดเปื้อนไป เพราะความไม่รู้และหลงผิด ตกเป็นทาส โลภ โกรธ หลง เลยนะ จิตดีงามมันมีอยู่ในใจศิษย์แล้วนะ เราอยู่เพื่อกายหรือกลับคืนสู่สภาวะธรรม เราอยู่เพื่อสนองกิเลสตัณหาหรืออยู่เพื่อตื่นรู้ในธรรม ธรรมอันแท้จริงในตัวตน ที่ทำให้เราตื่นและเบิกบาน และพ้นทุกข์ด้วยสติ

รักษาใจอันดีงามไว้นะศิษย์ อย่ายอมแพ้เพียงเพราะความโลภ โกรธ หลง ที่ศิษย์มองไม่เห็นชัด เมื่อไรที่ศิษย์เห็นชัดศิษย์จะรู้ว่า ไม่ควรเลยที่จะเอาชีวิตทั้งชีวิต ไปพลาดผิดเพราะความโลภ โกรธ หลง และทิ้งปัญญาอันดีงาม ปัญญาที่ทำให้ศิษย์ตื่นรู้และพ้นทุกข์น่าเสียดายนะ มีโอกาสกลับมาศึกษาอีกนะ เข้มแข็งนะไม่ว่าเจอเรื่องอะไร

มุ่งมั่นให้ถึงที่สุดนะศิษย์เอย ถ้าฉุดศิษย์พ้นทุกข์ได้ เวลานี้อาจารย์ก็อยากจะดึงให้พ้นทุกข์ รู้จักสร้างบุญสร้างกุศล มีศีลธรรมคุ้มครองชีวิตและจิตใจ อย่าดูเบาคุณค่าตัวเอง มุ่งมั่นไปให้ถึงที่สุด บำเพ็ญธรรมอุทิศเสียสละช่วยเหลือผู้อื่นให้ตื่นรู้และพ้นทุกข์ไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงมุ่งมั่นก้าวเดิน

สังขารเป็นอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญคือจิตใจต้องเข้มแข็ง ความเจ็บปวดเป็นเรื่องของสังขาร แต่จิตใจเข้มแข็งและตื่นรู้ เรามุ่งมั่นทำให้ถึง ไปให้สุดกำลังเท่าที่ตัวเองจะทำได้ อย่าหลงกับโลก อย่าให้เสียชื่อที่เป็นศิษย์ของอาจารย์ ทำให้อาจารย์ภูมิใจ ให้อาจารย์มั่นใจ ทำให้อาจารย์เชื่อใจว่าศิษย์จะไปให้ถึง เดินจนถึงที่สุด แม้กายจะเจ็บ แต่ใจจะหนักแน่นมั่นคง แม้กายจะสูญสลาย แต่หัวใจแห่งความเป็นพุทธะยังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง สังขารเจ็บเป็นทุกข์เป็นธรรมดา แต่จิตเราพ้นทุกข์ได้ด้วยความตื่นรู้

อาจารย์ให้กำลังใจศิษย์นะ หัวใจที่ดีงามจะมีอยู่ในใจศิษย์ตลอดไป หัวใจแห่งความมั่นคงและงดงามจงคงอยู่ต่อไป อย่าแพ้ใจตัวเองนะ เข้มแข็งนะ มีโอกาสกลับมาอีกนะศิษย์ กลับมาร่วมเดินหนทางที่ศิษย์เคยทอดทิ้งไปนาน หนทางที่นำพาให้เราพ้นทุกข์และนำพาให้ผู้คนพ้นทุกข์ ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป ในจิตที่ตื่นรู้ในธรรมนะศิษย์

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “นักธรรมที่ดี”

การจะคิดออก ออกเหมือนนักธรรม มีธรรมะกันแบบประจำ บางสิ่งอันสำคัญนึกออก ธรรมะแทรกอยู่ในทุกตอน ดึงธรรมะที่ไม่อาจสอน มาส่งออกไป

ชนะใจตนเอง กิเลสแพ้ทางคุณธรรม ลดละกายกรรมต่อกันไว้ พิชิตไฟอารมณ์ที่หมักหมมมานานเกินไป ฝึกจนไร้จนว่างไป

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา