วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2561

2560-06-02 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร




西元二○一八年歲次戊戌四月十九日                                          仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑         ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

  จิตสับสนเพราะความคิดไร้ทิศทาง     จิตสว่างเพราะปัญญาเป็นเข็มทิศ
เรื่องวุ่นวายมาจากคนชอบยึดติด              คอยจับผิดมาติดขัดให้ทุกข์ใจ
                                เราคือ
  หลันไฉ่เหอต้าเซียน                  รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา                      ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

  อันว่ากิเลสเกิดจากความคิดอยากมี    จิตที่ไม่ตื่นข้องคิดพันกันวุ่น
ไร้ความเห็นแต่วนมาคิดหมกมุ่น          มีเยอะก็วุ่นได้เลยก็วุ่นเลย
ถึงมองเห็นแต่ไม่คิดว่างไปทันใด          ในเมื่อทุกข์ไร้ใจเมื่อแจ้งแสร้งเฉย
เมื่อนั้นสิ่งก็ว่างโดยพลันเทียวเอย        ทุกข์หมื่นเท่าสติเกิดพลันเผยหมื่นพุทธา
เมื่อความคิดไม่ขาดสายใจต้องนิ่ง        จงรู้เท่าทันความจริงที่ยิ่งกว่า
รู้ชัดเจนไม่ใช่ใช้แค่หูตา                   ใช้ปัญญามาไถ่จิตเป็นไทเร็ววัน
เพราะหมกมุ่นคิดลบจึงไม่หายขาด       เลิกอคติใจไม่เป็นทาสเป็นเช่นนั้น
เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยนกิเลสทุกข์แปรผัน   เปลี่ยนความประพฤติความความนั้นทั้งนอกใน
เลือกประพฤติจะกลายเป็นสร้างสุขไม่สิ้น   ความเคยความชินจะพาล้วนเลวร้าย
ความชินความเคยกลายต่างคนต่างใจ   เสียนิสัยนิสัยจะกลายไม่หลงไม่มี
                                    ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ



วันนี้มาแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกับท่านช่วงเวลาหนึ่งได้ไหม (ได้)  จากที่นั่งฟังเฉยๆ เปลี่ยนเป็นการคุยโต้ตอบกันดีหรือเปล่า (ดี)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเเจ้งพระนาม)
เราคือ หลันไฉ่เหอ การคุยกันได้นานๆ ไม่ต้องมียศไม่มีตำเเหน่ง จะคุยกันง่ายกว่า ถ้าบอกว่ามาจากไหน เก่งอย่างไร บางทีจะคุยก็คุยไม่ออกจริงไหม (จริง)  ถ้ายกตัวเองสูงว่าเรียนจบอะไรมา แล้ววันนี้จะมาคุยกัน บางทีได้ฟังว่าเรียนจบอะไรมา เราก็ไม่อยากคุยด้วยแล้วใช่ไหม (ใช่)  เพราะรู้สึกว่าเขาจบสูงเกินไป เรามีความรู้น้อย
เราแนะนำตัวเองแล้ว เราคือเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบถือตะกร้าดอกไม้ ถ้าเป็นผู้ชายถือดอกไม้แปลกไหมในยุคปัจจุบัน (แปลก)  บางท่านบอกว่าดูอบอุ่นดีนะ ดูน่ารักดีออก ใช่หรือไม่ คิดดีก็เป็นสุข คิดร้ายก็เป็นทุกข์ คิดดีก็เหมือนอยู่สวรรค์ชั้นฟ้า แต่ถ้าคิดร้ายต่อกันก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้คิดร้ายหรือคิดดี (คิดดี)  แปลว่าที่นั่งฟังมา คิดดีตลอดเหมือนอยู่สวรรค์ตลอด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ตัวเรานั้นมีสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคืออะไร (ความคิด)  ความคิดที่ดีหรือ
ไม่ดีที่น่ากลัว (ความคิดที่จิตสับสน)  หรือบางครั้ง ความคิดที่หยุดคิดไม่ได้ หรือความคิดที่ไม่ยอมรับความจริง ใช่ไหม (ใช่)  หรือแม้กระทั่งความดีที่เราติดก็น่ากลัว จริงไหม (จริง)  ถ้าเรายึดติดดีมากเกินไป ความคิดที่พยายามจะต้องเป็นคนดี และต้องดีให้ได้ก็น่ากลัว ยิ่งถ้าพยายามเป็นคนดีแล้วใครว่าไม่ได้นั่นก็น่ากลัว จริงไหม (จริง)  คนเลวบางครั้งดูเหมือนน่ากลัว แต่ถ้าเราคิดอะไรเลวร้ายสักอย่างหนึ่ง แต่เราหยุดได้ทัน บางครั้งการคิดเลวร้ายแล้วหยุดได้ทัน ก็อาจจะดีกว่าความคิดดีที่ยึดติด จริงไหม (จริง)
มนุษย์มักพูดว่าคนนั้นน่ากลัว คนนี้ไม่น่ากลัว คนนั้นน่าคบ คนนี้
ไม่น่าคบ แต่เราลืมไปหรือเปล่าว่าเราทำให้เขาน่ากลัว หรือเราทำให้เขากลายเป็นคนน่ากลัวไม่น่าคบหรือเปล่า เหมือนกับที่เรามองว่าโลกน่ากลัว สังคมเลวร้าย หาคนดีไม่เจอ แล้วท่านดีหรือยัง แล้วเป็นคนดีที่ยึดติดดี
จนกลายเป็นคนเลวร้ายหรือเปล่า
วันนี้เรามาคุยเรื่องธรรมะ ธรรมะที่เป็นกลางๆ ที่ใช้สำหรับการดำเนินชีวิต เเละนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์ หรืออยู่กับทุกข์แล้วไม่ทุกข์ เราอยู่ในโลกนี้อย่าหลงในสิ่งที่เห็นจนลืมความเป็นจริงแท้ เพราะสิ่งที่เราคิดว่าเรารู้เราเห็นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ไหม (ได้)  ถึงเราจะบอกว่าเรารู้ เเต่จริงๆ แล้วเราอาจจะไม่รู้ คนโบราณจึงสอนไว้ว่า “รู้แค่ไหน เก่งแค่ไหน ก็อย่าบอกว่าตัวเองรู้ ตัวเองเก่ง” เพราะถึงที่สุดแล้ว สิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เราเก่ง ก็เปลี่ยนแปลงได้ เเละทำให้เราไม่รู้ได้เหมือนกัน ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราเข้าใจแบบนี้ก็เเปลว่าอย่ามั่นใจในสิ่งที่เราคิดว่าใช่และไม่ใช่ และอย่าตัดสินอะไรในทันทีว่าจริงหรือไม่จริง เพราะทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงพลิกผันได้
จริงหรือไม่ (จริง)
เราถามท่านว่า ท่านเป็นคนดีไหม คนที่บอกว่าฉันก็ยังไม่แน่ใจเลย
ว่าตัวเองดีหรือไม่ดี เพราะเรายังไม่รู้ว่าชีวิตนี้เราจะคิดดีหรือคิดร้าย หรือตอนนี้เราจะอารมณ์ดีหรือเราจะอารมณ์ร้าย ฉะนั้นเราศึกษาธรรมเพื่ออะไร เพื่อเป็นคนดีแล้วไม่ชอบคนไม่ดี ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  หรือเราศึกษาธรรมเพื่อเป็นคนดีแล้วยึดมั่นในความดี ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วเราศึกษาธรรมเพื่ออะไร (เพื่อกล่อมเกลาจิตใจตัวเอง)  ถ้าอยากเป็นคนมีธรรมก็ต้องปฏิบัติดี แต่การจะเข้าถึงธรรมนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะธรรมนั้นไม่ได้อยู่ที่หนังสือ แต่ธรรมอยู่ที่ความเป็นจริงขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ เรียกว่า “ธรรม” นอกเหนือจากนี้เป็นความคิด เป็นความหวัง เป็นความยึด ถ้าอยากเข้าถึงธรรมต้องมองตรงนี้ เดี๋ยวนี้
เรายกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่าเราได้ดอกไม้มาดอกหนึ่ง ทีแรกเราก็เกิดความดีใจ แต่เมื่อไรที่เราเห็นดอกไม้ดอกนี้ แล้วไปเปรียบเทียบกับดอกไม้ดอกอื่นที่สวยกว่า เราจะทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าเรายอมรับได้แค่ตรงนี้ก็คือ ธรรม แต่ถ้าบอกว่าดอกนี้เล็กไป ไม่สวย ราคาน้อย ดอกนั้นใหญ่กว่า สวยกว่า ดีกว่า ก็กลายเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วชีวิตของท่านล่ะ ถ้าพบธรรมก็พ้นทุกข์ แต่ถ้าไม่พบธรรมตรงนี้ หวังตรงนั้น หวังตรงนี้ นั่นแหละ ทุกข์นักแล
ชีวิตเรามีตรงนี้ มีเท่านี้ ได้เห็นธรรม ได้เห็นสุข แต่เรากลับยึดว่าต้องมีอย่างนั้น ต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นธรรมคือสิ่งตรงนี้ แค่นี้ สุขได้ไหม (ได้)  พอได้ไหม (ได้)  แล้วทุกข์คืออะไร ธรรมคืออะไร
ถ้าท่านยังไม่เห็นธรรมตรงนี้ ท่านก็จะพบทุกข์ตรงนั้น เเละพยายามหาทางดับทุกข์ตรงนั้นด้วยธรรม แต่ถ้าท่านพอตรงนี้ ดีตรงนี้ สุขตรงนี้ ธรรมตรงนี้เราต้องทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  แต่มนุษย์พยายามใช้ธรรมเพื่อดับทุกข์เพราะเราไม่เคยพอตรงนี้ เราไม่เคยยินดีกับแค่นี้ เเต่เราหวังว่าต้องเป็นดอกไม้ดอกนั้น ต้องเป็นดอกไม้ช่อนั้น
ตอนนี้เรามีทุกข์เรามีความสูญเสีย มีความเจ็บป่วย ถ้าเราพอใจเข้าใจในธรรมเราก็ไม่ทุกข์ แค่สู้กับสิ่งที่เป็นให้ได้ แต่มนุษย์ไม่ใช่ อยู่ตรงนี้แต่คิดถึงตรงโน้น อยู่ตรงนี้แต่อยากเป็นตรงนั้น เราไม่เคยพบธรรมตรงนี้ เราก็เลยไปทุกข์ตรงนั้นก่อนแล้วค่อยมีธรรม เราไม่พบธรรม ไม่พบความจริงตรงนี้ก่อนเราก็เลยไปทุกข์กับข้างหลังและพยายามเห็นธรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราเห็นตรงนี้ พอใจตรงนี้ อย่ามัวคิดว่าเราเจ็บ อย่ามัวคิดว่าเราสูญเสีย อย่ามัวคิดว่าเราชราวัย แต่สิ่งที่เจ็บ สิ่งที่ทุกข์ตอนนี้เป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิตเท่านั้น ชีวิตท่านยังมีอะไรดีๆ อีกมาก ถ้าวันหนึ่งเราต้องล้มเจ็บ ต้องพลัดพราก ถ้าใครทำให้ทุกข์ อย่าเอาแผลเล็กๆ อย่าเอาความทุกข์เล็กน้อยมาทำร้ายลมหายใจทั้งชีวิต มัวจมอยู่กับความทุกข์ว่าทำไมไม่เป็นแบบนั้นแบบนี้ มาทำร้ายชีวิตตัวเองทั้งชีวิต ในเมื่อจริงๆ แล้วธรรมไม่ใช่ตัวหนังสือหรืออิทธิปาฏิหาริย์แต่ธรรมคือความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาที่อยู่ตรงนี้
เห็นก็มีธรรม ก็เป็นสุข แต่ถ้าไม่เห็นไม่ยอมรับ ก็ต้องทุกข์ทั้งสิ่งที่มีและก็ต้องทุกข์กับความพยายามจะมี แล้วก็ต้องพยายามไปหาธรรม ทั้งที่จริงๆ แล้วธรรมไม่ได้อยู่ภายนอก แต่ธรรมอยู่ภายใน ถ้าท่านศึกษาปฏิบัติธรรมจริง อย่ามัวแต่มองออก ถ้าปัญหาทุกปัญหาเริ่มที่นี่ เกิดที่นี่ ก็ต้องจบที่นี่ ผู้ที่เข้าถึงการบำเพ็ญที่แท้จริง จะไม่พยายามไปดับร้อนดับไฟใคร แต่จะหันกลับมาย้อนมองส่องตนเองว่าเขาร้อนแล้วเราจะเย็น เขาไร้ธรรมแต่เราจะมีธรรม ดังที่พระพุทธะบอกไว้ว่า “ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีธรรม ที่ใดมีมาร ที่นั่นมีพุทธะ” เมื่อใดเจออะไรก็ตาม แค่นี้เท่านี้ก็คือธรรม มันเป็นธรรมดาที่เราต้องเจอ ถ้ายอมรับตรงนี้สุขไหม (สุข)  แล้วถ้าสุขตรงนี้ ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็สุขอยู่ทุกๆ วัน เพราะธรรมคือความเป็นจริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์มักหวังและฝันจนลืมธรรมอันเรียกว่า “ความจริง”
ฉะนั้นอยากพบธรรม ก็แค่พบความจริง ยอมรับความจริง เพราะความจริงจะดีหรือร้ายก็ไม่น่ากลัว เพราะคนที่จะทำให้ท่านดีหรือร้าย อยู่ที่เขาหรืออยู่ที่เรา เขาทำเราร้ายได้ไหม (ไม่ได้)  ดีหรือร้ายเขากำหนดหรือเรากำหนด (เรากำหนด)  แต่ถ้าเกิดเขาร้ายแล้วเราดีได้ไหม (ได้)  แล้วถ้าเขาร้ายแล้วทำให้เราดี ทำให้เราเห็นธรรม ไม่เอาหรือ (เอา)  มนุษย์กำลังกลุ้มอยู่กับความทุกข์ แต่เหล่าพระพุทธะเอาทุกข์มาค้นพบเห็นธรรม สิ่งที่มนุษย์กำลังวนเวียนอยู่กับความทุกข์ พระพุทธะกลับตื่นรู้แจ้ง แล้วค้นพบทางดับทุกข์
มนุษย์ชอบตัดสินและชอบคิดนึกไปตามสิ่งที่ตัวเองรู้ เราจึงอยู่กับคนแล้ววิพากษ์วิจารณ์ พอวิพากษ์วิจารณ์เราก็อดยึดติดในความคิดเราไม่ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  นั่นแหละทุกข์ จริงๆ แล้วเราอยู่ในโลก อยู่กับทุกๆ สิ่ง
อยู่กับเพื่อนหรืออยู่กับใครก็ตาม เราอดที่จะคาดหวังหรือ ยึดติดไม่ได้ เราคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่อง เพราะเราคิดว่าเพื่อนน่าจะพูดแบบนี้ แต่ทำไมเพื่อนพูดแบบนั้น อยู่กับสามีอยู่กับภรรยา เราไม่เคยคุยกันได้จบความ เพราะเธอพูดอีกอย่างแต่ฉันคิดอีกอย่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราอยากอยู่ร่วมกันแล้วมีความสุข สามารถเป็นธรรมไม่เป็นทุกข์ได้นั้น ก็อย่าเพิ่งตัดสินอะไรว่าเตี้ยหรือสูง เพราะเวลาที่เราอยู่กับคนที่เตี้ยกว่าเราอาจจะสูง แต่พอถึงเวลาเจอคนที่สูงกว่า เราก็อาจจะเตี้ย นี่คือหลักธรรมของความเป็นจริง เมื่อเจออะไรเราสามารถยอมรับในสิ่งที่เราได้แค่นั้นเท่านั้น ก็คือธรรม ก็คือความจริง แต่ถ้าเราไม่เคยยอมรับในสิ่งที่เรียกว่าแค่นั้น เท่านั้น แต่เราหวังว่าต้องเป็นอย่างที่
เราคิด เราเข้าใจ ก็คือทุกข์
อยู่ในโลกทุกข์หรือสุขมากกว่ากัน (ทุกข์)  ทุกข์มากกว่าสุขเพราะเราไม่ยอมรับความจริงที่เรียกว่าธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอยากค้นพบความจริง อยากพบธรรมแล้วไม่ทุกข์ แค่ยอมรับในสิ่งที่เป็นก็แค่นี้ ก็เท่านี้ แต่ถ้าไม่ยอมรับเราก็มีทุกข์ แล้วก็ต้องพยายามหาธรรมไปดับทุกข์ เมื่อท่านได้มาเรียนรู้ปฏิบัติธรรมแล้ว ระหว่างทุกข์ก่อนแล้วค่อยเห็นธรรม หรือมีธรรมแล้วไม่ต้องมีทุกข์ แบบไหนดีกว่ากัน (มีธรรมแล้วไม่ต้องมีทุกข์)  แล้วปัจจุบันท่านเป็นเช่นไร (มีทุกข์ก่อนแล้วค่อยเห็นธรรม)
หลายๆ ท่าน มักจะเรียนรู้ธรรมและเข้าใจว่า การเรียนรู้ธรรม ปฏิบัติธรรม ก็คือ การทำความดี เมื่อใดที่เราทำดีเรากำลังปฏิบัติธรรม บางครั้งทำดีแล้วไม่ได้ดีน้อยใจไหม (น้อยใจ)  การปฏิบัติธรรมปฏิบัติเพื่อละหรือเพื่อยึด (เพื่อละ)  การปฏิบัติธรรมแล้วไม่ได้ดีเป็นละหรือเป็นยึด (ยึด)  อย่างนั้นแปลว่าท่านปฏิบัติธรรมถูกหรือปฏิบัติธรรมผิด เราปฏิบัติธรรมเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อหลงยึด ถ้าทำแล้วไม่ได้ดี น้อยใจแล้วเลิกทำ ก็แปลว่าเราไม่ได้ทำดีเพื่อละ แต่เรากำลังทำดีเพื่อยึด ถูกหรือไม่ (ถูก)
รู้หรือไม่ว่าทำดีละชั่วเพื่ออะไร การปฏิบัติสอนให้เราทำความดีละความชั่ว แล้วเราทำดีไหม (ทำดี) แล้วชั่วเราละไหม (ละ, ไม่ละ)  คนปฏิบัติธรรม ถ้าเขาทำดีจริงๆ เขาต้องไม่ทำชั่ว ไม่ตกเป็นทาสอบายมุข ไม่ผิดศีล แล้วท่านทำดีไหม (ทำดี)  ถ้าปฏิบัติธรรมต้องละชั่วบำเพ็ญดี
ละชั่วบำเพ็ญบุญ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าชั่วไม่ละ บุญก็ยังสร้างเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี)  แล้วยังบอกว่าทำดีไม่ได้ดี ถ้ามือหนึ่งท่านก็ทำดี แต่อีกมือหนึ่งท่าน
ก็ยังไม่ละชั่ว จะเรียกว่าคนดีที่แท้จริงไหม (ไม่)
ถ้าความชั่วไม่ทำเลยนั่นเรียกว่ายอดบุญ ถ้าความชั่วไม่ปฏิบัติเลยนั่นเรียกว่าคนดี ถ้าความชั่วไม่กระทำเลยเรียกว่ามีธรรม การปฏิบัติดีที่แท้จริงคือไม่กระทำผิดเลยเรียกว่ายอดบุญ ถ้ายังทำบุญแล้วทำชั่วด้วย เรียกว่าบุญที่อิงแอบไปด้วยบาปกรรม
ธรรมคือการปฏิบัติดีละชั่ว บำเพ็ญบุญ เมื่อใดที่ท่านไม่กระทำผิด เรียกว่ายอดบุญ เรียกว่าผู้มีธรรม แต่คนปัจจุบันเข้าใจความหมายการปฏิบัติธรรมผิด คือดีก็ทำ ไม่ดีก็ทำ แล้วท่านก็อดบ่นไม่ได้ว่า ทำแทบแย่ไม่เห็นได้ดีเลย จะได้ดีได้อย่างไร ในเมื่อความไม่ดีท่านยังไม่ละเลิก ถูกหรือไม่ (ถูก)  รากเหง้าแห่งความทุกข์ เหตุแห่งความเวียนว่าย ความเจ็บปวดและทุกข์ทั้งมวล ล้วนหนีไม่พ้นการตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง และอบายมุขทั้งหลาย ฉะนั้นทำดีแค่ไหนแต่ถ้าความชั่วไม่ละ ท่านก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ได้ เพราะเหตุแห่งทุกข์ยังคงนอนเนื่องอยู่ในใจที่ยังสร้างบุญและสร้างบาป ฉะนั้นถ้าอยากทำดีก็แค่ (ละชั่ว)  แล้วตอนนี้ท่านดีหรือยัง (ยัง)  ธรรมะสอนให้เราเกลียดทุกข์ หนีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  แล้วตอนนี้มีทุกข์ หนีหรือสู้ (สู้)  เวลาเจอคนไม่ดีสู้หรือยอม (ยอม)  การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงไม่ใช่ไปจัดการคนอื่นว่าเขาร้อนเขาเย็นอย่างไร แต่การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือหันกลับมาจัดการใจตัวเอง ย้อนมองส่องตนเองก่อน เหมือนเราบอกแต่แรกแล้วว่าสิ่งที่มนุษย์กำลังเห็นเป็นทุกข์ พระพุทธะกลับเห็นเป็นธรรม สิ่งที่มนุษย์เห็นเป็นกิเลสมาร พระพุทธะกลับเห็นเป็นหนทางดับทุกข์
ชีวิตนี้มีอะไรครอบครองได้บ้าง (ไม่มี)  ชีวิตนี้สูญเสียไปกี่อย่างแล้ว (หลายอย่าง)  แล้วสิ่งที่สูญเสียทำท่านทุกข์ไหม (ทุกข์)  เจ็บไหม (เจ็บ)  แล้วยังอยากได้อีกไหม (ไม่อยากได้)  อย่างนั้นจะนำสิ่งนั้นมาทำให้เราทุกข์หรือจะเอาสิ่งนั้นมาทำให้เราแจ่มแจ้งในความเป็นจริงของสรรพชีวิตในโลก แล้วเกิดการปลดปลงแล้วปล่อยวาง (ปลดปลงปล่อยวาง)  ตอบได้แต่เมื่อกลับไปเจอหน้าคนที่เกลียดแล้วเป็นอย่างไร (ทุกข์)
มีอะไรในโลกบ้างที่ไม่เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนทุกครั้งใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อมันเปลี่ยนเเล้วยึดได้ไหม (ไม่ได้)  เมื่อยึดไม่ได้แล้วควรจะทุกข์ไหม (ไม่ควร)  เมื่อไม่ทุกข์แล้วจะปลดปลงหรือแช่งชักหักกระดูกต่อไป (ปลดปลง)  จะให้เขามาเป็นกรรมกับเราหรือจะให้เขามาเป็นธรรมสอนใจเรา (ธรรมสอนใจ)  สิ่งที่เรียกว่าความจริงล้วนคือธรรม เเละธรรมนั้นสอนให้เรารู้ว่า ใดๆ ในโลกก็ยึดไม่ได้ ใดๆ ในโลกก็ปักใจเชื่อว่าอะไรเป็นแบบนั้นตลอดไปไม่ได้ และใดๆ ในโลกก็ไม่เคยมีอะไรเป็นของเราจริง ธรรมสอนเราอยู่ทุกขณะ เเต่เราเคยเห็นธรรมไหม เห็นแต่ทุกข์ ทำไมไม่ “เเปรพบทุกข์เป็นพบธรรม” ลองสู้ดูสักตั้ง ไม่ได้สู้กับใครแต่สู้กับตัวเอง วางได้ ปลงได้ เห็นแจ่มชัดได้ นั่นคือหนทางธรรม วางไม่ได้ ปลงไม่ได้ จบไม่ได้ นั่นคือหนทางทุกข์
อย่ามัวจมกับความไม่ดีของผู้อื่น จนลืมคุณค่าสิ่งที่ดีในตัวเขา อย่าเอาแต่จ้องจับผิดจนลืมมองคุณค่าดีๆ ที่เราอาจลืมเลือนและดูถูกดูแคลนไปก็เป็นได้ ในทุกข์ก็มีสุขได้เหมือนกัน และในทางทุกข์ก็มีทางพ้นทุกข์ได้เฉกเช่นเดียวกัน ขอเพียงอย่าดูถูกดูเบาปัญญาตัวเองก็พอ นั่งตรงนี้เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  อย่ามัวจมกับความเมื่อยจนมองไม่เห็นคุณค่าต่างๆ ที่เราควรมี อย่ามัวจมอยู่กับความคิดจนลืมคุณค่าของการมานั่งฟังวันนี้นะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้ท่านมาศึกษาปฏิบัติธรรม แล้วอย่างไรเรียกว่าปฏิบัติธรรม ยกตัวอย่างง่ายๆ ทุกคนทำงานไหม (ทำ)  ถ้าทำงานเพื่อเงินเรียกว่าปฏิบัติธรรมไหม (ไม่)  ปฏิบัติธรรมคือแค่ทำบุญใส่บาตรแค่นั้นไหม (ไม่ใช่)  แต่คือการกระทำใดๆ ที่ทำให้เราสามารถนำธรรมมาปฏิบัติต่อกัน ทานแบบใดประเสริฐที่สุด ให้ธรรมะเป็นทานถูกไหม (ถูก)  ท่านสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกที่ไหม (ได้)  ถ้าท่านไม่ได้ปฏิบัติงานเพื่อเงิน แต่ปฏิบัติงานเพื่อธรรม ท่านจะอยู่ที่ไหนท่านก็ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมคือปฏิบัติด้วยความซื่อตรง รับผิดชอบเต็มกำลังในหนึ่งวันที่ทำงาน แต่มนุษย์เราไม่ใช่ ทำเพียงแค่เงินเดือน ทำไปวันๆ ให้จบ แต่ถ้าเราปฏิบัติด้วยความซื่อตรงที่สุด ดีที่สุด และจริงใจที่สุด ท่านก็กำลังปฏิบัติธรรม ทำหน้าที่อะไรก็รับผิดชอบในหน้าที่ให้ดีที่สุด ซื่อตรงที่สุด เช่นนี้ก็เรียกว่าการให้ธรรมะต่อกัน แล้วปัจจุบันนี้เราให้ธรรมตอนไหน เราให้ตอนที่เขาน่าสงสารเราจึงปฏิบัติ ใช่ไหม (ใช่)  ทำไมเราไม่ปฏิบัติกับทุกคนและทุกขณะ เราไปเอาของเขามาก่อน ไปโกงเขามาก่อน ไปโกหกเขามาก่อน ไปเอาเปรียบเขามาก่อน แล้วเราค่อยไปปฏิบัติธรรม ใช่ไหม (ไม่ใช่)
การปฏิบัติธรรมคือการทำทุกวันให้เป็นธรรม ซื่อตรงต่อหน้าที่ รับผิดชอบและจริงใจต่อภาระที่ตัวเองทำ นั่นแหละให้ธรรมเป็นทาน ถ้าทุกคนต่างรับผิดชอบ ซื่อตรง ไม่ทำผิดต่อกัน สังคมนี้จะมีคนเลวร้ายไหม (ไม่มี)  แต่มนุษย์ปัจจุบันไม่ใช่ แก่งแย่งกันเต็มที่แล้วค่อยไปปฏิบัติธรรม ใช่ไหม (ใช่)  แต่การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงคือ ทำทุกที่ ทุกคน ให้มีธรรม นี่คือหลักแท้ของการปฏิบัติธรรม วันนี้เราอาจจะพูดแล้วทำให้ท่านได้ยั้งคิดบ้างสักนิดก็ยังดี
มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญอีกนะ รักษาบุญรักษาโอกาสให้ดี อย่าประพฤติผิด อย่าผิดต่อคุณธรรมความเป็นคน รู้จักสงสารตัวเองก็ต้องรู้จักสงสารผู้อื่น รู้จักเห็นใจตัวเองก็ต้องรู้จักเห็นใจผู้อื่น รู้ว่าเรามีทุกข์ เขาก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ถ้าเข้าใจหัวอกคนมีทุกข์เหมือนกันจะไม่ทำใครให้ทุกข์ใจ ไม่มีสิ่งใดมงคลเท่ากับการปฏิบัติตนละบาปบำเพ็ญบุญ และปฏิบัติธรรมกับทุกๆ คน มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญกันอีก รักษาบุญดีกว่าสร้างกรรม ใช่หรือไม่

วันอาทิตย์ที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑     ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
  ฝึกใจเป็นกลายสวรรค์                              ประกันสว่างกว่านี้
ใช้กรรมชะตาเป็นปี                                      ฉันทาคติก็ระวังตัว
ดึงตัวภายในธุระ                          ตัวธรรมดาความพ้น
ฝึกใจฝึกกายอุบล                         จงกลสัทธรรมคิดตรอง
จำได้หมายรู้ลิขิต                         ความคิดชีวิตสมอง
ชาตินี้เป็นโอกาสทอง                     เพราะจะประลองปัญญา
อนาคตที่มองไม่เห็น                      จำเป็นกลายเป็นปัญหา
ทัศนคติคุมโชคชะตา                      อนิจจายึดติดทันใด
                                เราคือ
  จี้กงอาจารย์เจ้า                                     รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา          ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว                     ถามศิษย์รักทุกคนคิดถึงอาจารย์ไหม
การเป็นคนที่เก่งอยู่อย่างนั้น อาจกลายเป็นคนที่เหนื่อยจับขั้วหัวใจ
หัดโง่ไว้แล้วจะทำให้สบาย เก่งแค่ไหนไม่มีสุขเท่านั้น
ไม่กลายเป็นคนเรื่อยเปื่อยอยู่อย่างนั้น กอบกรรมบำเพ็ญทั้งหอบกอบธรรมหายไป ศิษย์ต้องรู้ชีวิตทำอะไร ต้องเข้าใจต้องรู้เรื่องจริงที่แท้นั้นคือ
เจ้าไม่ต้องเก่งแต่รู้จักทำ กุศลต้องสร้างประจำเสกสรรด้วยมือ ห้ามไม่ค่อยอยู่เหตุผลนั้นคือ ศิษย์ต่างก็ถือความคิดตนด้านเดียว (ศิษย์เหนื่อยบ้างไหม แก้ไขคิดทันรวดเดียว)
ทำนองเพลง : พูดไม่ค่อยเก่ง
ชื่อเพลง : ทำตนสายกลาง


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง



(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)
ถ้าศิษย์ยังไม่สามารถรักษาใจเดิมได้ ศิษย์ก็ย่อมต้องพลาดและตกหล่นไปอีก คิดให้ดีเลือกว่าจะทำอะไร จะก้าวต้องก้าวให้ถึงที่สุด ก้าวให้ยิ่งใหญ่ให้คุ้มค่าที่เลือกแล้วว่าจะบำเพ็ญ อย่าพลาดแล้วต้องกลับมาใช้กรรม ก้มหน้าพูดไม่ออกเพราะสิ่งที่ตัวเองผิด อย่าทำเช่นนั้น เพราะเมื่อถึงตอนนั้น แม้อาจารย์อยู่ข้างๆ อาจารย์ก็ช่วยไม่ได้ จงจำไว้เลือกแล้วจงเลือกให้ดีที่สุดเพราะเมื่อถึงวันที่เลือกไม่ได้ ศิษย์จะโทษใครไม่ได้ มีแต่ต้องก้มหน้ารับกรรมเท่านั้น ซึ่งอาจารย์ไม่อยากเห็นศิษย์ตอนนั้น จงอย่าทำผิด ประคองใจให้ดี เข้มแข็ง ช่วยเหลือผู้คนด้วยใจที่อุทิศเสียสละ ไม่เหลือตัวตนให้ยึดถือ เมื่อว่างจากตัวตนแล้ว ใครด่าก็ไม่เจ็บ ใครทำอย่างไรก็ไม่ทุกข์ เพราะตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ไม่มีตัวตนแล้ว แต่ถ้าศิษย์ยึดตั้งแต่หัวจรดเท้าก็เจ็บทุกขณะ ไม่ว่าเจออะไรห้ามใจร้อนวู่วาม
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนในชั้น)
ทานข้าวอิ่มไหม (อิ่ม)  ฟังธรรมะอิ่มไหม (อิ่ม)  ถ้าอิ่มแล้วก็แปลว่าเติมอะไรไม่ได้แล้ว ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่)  อิ่มก็แปลว่าเติมอะไรไม่ได้แล้วรอย่อยอย่างเดียว ทำไมไม่มีใครตอบอาจารย์ว่าอิ่มอกอิ่มใจ อิ่มไหม (ไม่อิ่ม)  ไม่อิ่มอย่างนี้ก็แปลว่ายังโลภอยู่
ศิษย์เคยได้ยินคำกล่าวว่า “ไหว้พระพุทธะพันรูป ไม่สู้ไหว้พระพุทธะไร้ใจ” ถ้าใครสามารถตีธรรมข้อนี้ได้แตก ศิษย์จะอยู่บนโลกอย่างผู้พ้นทุกข์ มีใครตอบได้ไหม
มนุษย์ในแต่ละวันชอบคิดนินทา คิดกังวล หรือไม่ก็คิดไปว่าใครด่าเราบ้าง เมื่อเราเป็นผู้หนึ่งที่ต้องการจะศึกษาธรรมปฏิบัติธรรม เวลาที่เจอข้อธรรมแปลกๆ เราลองหย่อนเมล็ดธรรมลงไปในเนื้อนาบุญแห่งจิตใจดูบ้าง เผื่อว่าเนื้อนาบุญนี้จะตอบคำถามด้วยปัญญาอันตื่นรู้ เอาเวลาที่คิดฟุ้งซ่านมาเป็นเวลาหาธรรมะ และหย่อนลงในจิตใจแล้วเกิดความตื่นรู้ที่นำพาให้พ้นทุกข์ เอาเวลาที่คิดกลัวกังวลในภายหน้า เปลี่ยนเป็นเอาข้อธรรมมาคิดแล้วทำให้เราแจ่มแจ้งในวันนี้ แล้วเข้าใจอนาคต เหมือนที่เรียกว่า ถ้าเข้าใจชีวิต รู้จักชีวิตการเรียนรู้ธรรมก็ไม่ยาก ถ้าเข้าใจธรรมรู้จักธรรม การเข้าใจชีวิตก็ไม่ยากเช่นกัน ถูกหรือไม่ (ถูก)
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของศิษย์ทุกข์ไหม (ทุกข์)  ถ้าเรายึดตั้งแต่หัวจรดเท้า เท่ากับเราก็ทุกข์ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ถ้าเรามองเห็นความจริงว่า ตั้งแต่หัวจรดเท้าว่าง ใครจะทำให้เราทุกข์ ก็ไม่มี ใครจะว่าเราให้เจ็บ แท้จริงก็ว่าง เมื่อเราเห็นตัวว่าง แล้วใครกำลังทำอะไรกับใคร มันไม่มี มีแต่ธรรมที่เคลื่อนคล้อยไป ศิษย์ลองมองจนถึงที่สุด มองตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนมี เหมือนอยู่ เหมือนใช่ แต่บางครั้งก็ไม่มี ไม่ใช่ ไม่อยู่ ฉะนั้นไหว้พระพุทธะร้อยรูป ก็ไม่สู้ไหว้หนึ่งพระพุทธะไร้ใจ
มีตัวตน ยึดตัวตน โดนตรงไหนก็เจ็บ แม้ไม่โดนก็เจ็บเพราะยึดชื่อ ยึดคำว่าตัวตน แต่เมื่อไรศิษย์เข้าถึงความเป็นจริงแห่งสัทธรรม เข้าถึงความเป็นจริงแห่งชีวิตว่าธรรมแท้ที่อยู่ในตัวเรานั้น มีแก่นอันหนึ่งที่เรียกว่า ถึงที่สุดก็ต้องกลับคืนสู่ความว่าง ถึงที่สุดก็ต้องกลับคืนสู่สภาวธรรม แล้วเราจะมีตัวตนให้ยึดถือไหม (ไม่มี)  มีแต่ความหลงผิด ที่สร้างเป็นตัวตนให้เราทุกข์และเจ็บช้ำ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์ตีศิษย์แล้วเจ็บไหม (เจ็บ)  ก็ถ้ายึดมันก็เจ็บ ใช่ไหม ถ้าอาจารย์ตีอีกๆ (ไม่เจ็บเพราะไม่ยึด)  ไม่ใช่หรอกศิษย์ หลังจากอาจารย์ตีเสร็จมันจบแล้ว ถ้ามันว่างมันก็ไม่มี แต่ถ้าศิษย์เอาสิ่งที่มันจบแล้วมาเกี่ยวและขังตัวเอง ว่าเจ็บ มันก็ทุกข์ จริงไหม (จริง)  ทั้งที่ชีวิตเรามีแต่ปัจจุบัน แต่มนุษย์ชอบคิดอดีตแล้วลากมาเจ็บปวดในปัจจุบันและอนาคต ถ้าโดนตีแล้วจบ ก็พบธรรมและสงบ เพราะธรรมคือความสงบ แต่ถ้าไม่จบก็กลายเป็นเกี่ยวกรรม แล้วพอเกี่ยวกรรมเสร็จก็ต่อด้วยการจองเวรจองกรรม ฉะนั้น “กราบไหว้พระพุทธะร้อยรูป ไม่สู้ไหว้หนึ่งพระพุทธะไร้ใจ”
อยู่ในโลกนี้ทุกข์ไหม เศร้าไหม ที่เป็นแบบนี้เพราะเรายึดไม่ปล่อย เราหวงไม่วาง ทั้งที่จริงๆ แล้วมีอะไรที่เป็นของเรา (ไม่มี)  เหมือนจะได้เหมือนจะมี แต่ถึงเวลาก็ไม่มี เวลาศิษย์สอนลูกว่า “อย่าเล่นกับไฟ เดี๋ยวมันไหม้มือ” ห้ามเท่าไรก็ยังอยากเล่น วิธีของอาจารย์คือให้เล่นไปเลย แต่เราต้องอยู่ควบคุมด้วย
ถ้าเรายึดติดตัวตนสังขารทุกอย่างที่เป็นตัวเรา ไม่ว่าใครจะมาทำร้ายเรา ใครจะมาทำอะไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา เราก็จะทุกข์กับทุกสิ่งใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเรามองเห็นความเป็นจริงว่าตัวตนที่แท้จริง ถึงที่สุดแล้วก็หนีไม่พ้นความเป็นจริงแห่งสัจธรรม คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ถึงที่สุดแล้วว่างจากตัวตนที่แท้จริง เราจะทุกข์เพราะอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อศิษย์สามารถทำทุกสิ่งให้จบภายในขณะนี้ ก็จะไม่เกิดอดีตและอนาคต จะไม่เกิดสามกาล เพราะจบลงได้ในตอนนี้ คำว่าตัวตนก่อเกิดขึ้นได้เมื่อเราไม่สามารถจบ ไม่สามารถวางในขณะนี้ได้จนเกิดเป็นอัตตาขังตัวตน ก่อเกิดเป็นชะตากรรม ฉะนั้นเรียนรู้เข้าใจธรรมมีหรือจะไม่เข้าใจชีวิต แต่น้อยคนนักที่สนใจธรรมะ รักชีวิตแต่ไม่สนใจธรรม ทั้งที่จริงแล้วธรรมก็คือส่วนหนึ่งของชีวิตและเป็นแก่นแท้ของใจเรา จริงหรือไม่ (จริง)
ความทุกข์น่ากลัวไหม (น่ากลัว)  ความทุกข์เป็นสิ่งที่น่ารัก อาจารย์พูดเสมอเพราะทุกข์จึงรู้จักปล่อยวาง ไม่อย่างนั้นก็จะยึดติดไม่จบสิ้น เพราะทุกข์จากการยืนจึงรู้จักความสุขของการนั่ง ฉะนั้นความทุกข์น่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  เพราะมีทุกข์ทำให้เราเจ็บปวด เราจึงต้องรู้จักดำรงชีวิตให้เข้มแข็ง เพราะมีทุกข์ทำให้เรารู้ว่าอะไรคือความอ่อนแอ เราจึงรู้ว่าชีวิตตอนนี้ต้องรักษาและดูแลใจ ความทุกข์ไม่น่ากลัว แต่ใจที่ไม่สู้ทุกข์น่ากลัวกว่า
อาจารย์จะบอกอะไรอย่างหนึ่งนะ อย่าทำให้ใครทุกข์ เพราะเมื่อไรที่ศิษย์ทำใครคนใดทุกข์ คนที่ทุกข์จะย้อนกลับมาทำให้ศิษย์ทุกข์ยิ่งกว่า อย่าทำให้ใครเจ็บ เพราะคนที่ศิษย์ทำให้เขาเจ็บ เขาจะทำให้ศิษย์เจ็บจนลืมไม่ลง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เจอใครไม่ดีอย่าฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น แต่จงเห็นใจและให้โอกาส อย่าเหยียบย่ำซ้ำเติม เพราะว่าคนที่ศิษย์ทำลายเขา เขาจะมาป่วนให้เราไม่มีวันมีความสุข ฉะนั้นเวลาเราเจอคนมีความทุกข์ เราจึงต้องรีบช่วยเหลือ เวลาเราเจอคนที่มีความทุกข์ ศิษย์จะช่วยเขาดับทุกข์เป็นครั้งๆ หรือจะสอนให้เขารู้วิธีดับทุกข์ อย่างไหนดีกว่ากัน (สอนให้รู้วิธีดับทุกข์)
ศิษย์เอ๋ย อาจารย์เจอคนประเภทหนึ่ง ที่ฟ้าทำอะไรเขาไม่ได้ และอาจารย์ก็อยากเอาชะตาของคนๆ นี้ มาเล่าให้ศิษย์ฟัง แม้ความทุกข์หรือนรกก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ศิษย์สนใจไหม (สนใจ)  คนประเภทนี้เป็นคนที่ แม้ชะตาทำให้เขาอดอยาก เขาก็ไม่อด แม้ชะตาจะทำให้เขาโดดเดี่ยว เขาก็ไม่เคยโดดเดี่ยว แม้ชะตาจะทำให้เขาสูญเสีย เขาก็ไม่เคยสูญเสีย สนใจชะตากรรมคนนี้ไหมศิษย์ (สนใจ)  คนนี้ๆ ตกนรกไม่กลัว กล้าที่จะตกนรก ขึ้นสวรรค์ไม่เอา สิ่งที่แย่ที่สุด สิ่งที่ทุกข์ที่สุด เขายังกล้าแบกรับ เขายังกล้ายืนหยัด ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เขาจะผ่านไม่ได้ สิ่งที่ดีที่สุดเขาก็ไม่รับ เพราะเขาไม่มีตัวตนให้ยึดถือแล้ว
ฉะนั้นจะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์อะไรก็ไม่หวาดหวั่นไม่หวั่นกลัว ถ้าศิษย์อยากรู้ชะตาคนนี้ ศิษย์ต้องกล้าไปนรก เพราะถ้านรกศิษย์ผ่านได้ สวรรค์ยิ่งกว่าสวรรค์เราก็ไปได้ สวรรค์เขาไม่เอาเพราะเขาอยากเข้าถึงธรรมที่เรียกว่าแม้สวรรค์เขาก็ไม่ยึดถือ แต่เขาขอกลับคืนสู่ธรรม ธรรมที่ทำให้เขาเป็นทุกสิ่ง ไม่ต้องเป็นอะไรเลยที่แท้จริง ถ้าวันหนึ่งศิษย์รู้จักคำว่านรกที่อยู่ในใจ ถ้าต้องเจอทุกข์ขอให้มุ่งมั่นรักษาความดีและก้มหน้ายินดีชดใช้มันจนจบ แต่ถ้าเจอนรกแล้วศิษย์บอกว่า “ทำไมๆ “ มันจะไม่มีวันจบและนรกจะยิ่งเผาไหม้ใจศิษย์ไม่จบสิ้น แต่ถ้าเมื่อไรศิษย์ต้องเจอกับนรกและความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตศิษย์จงบอกว่า “ขอบคุณๆ” และนรกจะจบได้ คำว่านรกก็คือ ผิดก็กล้ายอมรับ ถูกก็ไม่ยึดมั่นแบ่งปันให้ผู้คน แล้วใครจะกดขี่ข่มเหงเราได้ ความทุกข์ลืมไปบ้างเถอะ จำมันก็มีแต่เจ็บ ยึดมันก็มีแต่ทุกข์
ศิษย์เอยรู้ไหม คนที่ฟ้าก็ไม่สามารถกุมชะตาชีวิตของคนๆ นั้นได้ ก็คือ คนที่แม้ฟ้าจะเล่นตลกให้เขาอับจน ให้เขาโดดเดี่ยว ให้เขาสูญเสีย ให้เขาทุกข์ แต่เขาก็จะไม่อับจน ไม่สูญเสีย และไม่ทุกข์ แล้วศิษย์ทำได้อย่างนั้นไหม (ไม่ได้)  อาจารย์ถามนะลึกๆ แล้วศิษย์เหงาไหม (ไม่เหงา)  เบื่อไหม (ไม่เบื่อ)  คนที่มีคู่ก็ตอบได้สิว่าไม่เบื่อ เพราะไม่มีเวลามานั่งเหงา แต่คนที่ไม่มีคู่ก็จะรู้สึกว่าเหงาจังเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเพียงศิษย์สามารถอยู่อย่างเข้มแข็งได้ ความเหงาก็มาเล่นตลกกับศิษย์ไม่ได้ ใครที่ไหนก็มาทำให้ศิษย์โดดเดี่ยวไม่ได้ ศิษย์เหงาเพราะศิษย์รอให้ใครมารัก รอเมื่อไรเนื้อคู่จะมาหนอ เมื่อไรจะมีคนมารักหนอ ศิษย์เป็นอย่างนี้แทบทุกคน การที่ศิษย์เอาแต่รอ ก็เลยได้แต่รอ เราก็เลยกลายเป็นคนที่ใจห่อเหี่ยว เพราะรู้สึกว่าไม่มีใครมารักเราเลย แต่ในทางกลับกัน ถ้าเรามีรักที่แท้จริง รักทุกคน รักทุกสิ่ง รักด้วยความจริง รักด้วยใจที่ให้ อย่างนี้จะเหงาไหม โดดเดี่ยวไหม เพื่อนไม่จริงใจ เราจริงใจ เพื่อนไม่ซื่อตรงเราซื่อตรง คนแบบนี้ไปอยู่ที่ไหนจะไม่มีใครรักหรือ จริงไหม (จริง) อย่ามัวแต่รอ คนที่ไม่ยอมแพ้ชะตาชีวิต คือคนไม่รอฟ้า สร้างทุกอย่างเองกับมือ ไม่ต้องรอให้ใครมารักแต่เราจะรักทุกคน ไม่ต้องรอใครจริงใจกับเราแต่เราจะจริงใจกับทุกคน ไม่ต้องรอใครเมตตากับเราแต่เราจะเมตตากับทุกคน ดูสิใครจะไม่รักบ้าง จริงไหม (จริง)
คนที่สามารถยึดกุมชะตาได้ ฟ้าจะมาเล่นตลกกับเขาไม่ได้ ฟ้าจะทำให้โดดเดี่ยวได้อย่างไร ในเมื่อเขาจริงใจ รักทุกคน และเมื่อจริงใจรักแล้วจะมีเวลาจับผิดใครไหม จะมีเวลาตำหนิใครไหม แต่คนที่ไม่เคยจริงใจกับใคร เห็นคนรักกันก็คิดไปว่าคงไปกันไม่รอด เดี๋ยวก็เลิกคบกัน พอเวลาหัวใจว่างไม่เคยจริงใจกับใคร แทนที่จะสร้างบุญแก่กันกลายเป็นแอบแช่งชักกันอีก และก็มีเวลาจับผิดกัน สุดท้ายก็กลับมาอยู่กับตัวเองพร้อมกับความรู้สึกเหงา เดียวดาย
ฉะนั้นถ้าอยากกุมชะตาชีวิตให้อยู่ รักทุกคน เห็นใครก็รัก และเป็นความรักที่แท้จริง เราจะมีเวลาไปจับผิดใครไหม เราจะมีเวลาไปต่อว่าใครไหม มีแต่พยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีที่สุด ฉันต้องจริงใจให้มากขึ้น ฉันต้องรักคนรอบข้างยิ่งขึ้น แล้วคนแบบนี้เหงาไหม (ไม่เหงา)  จะมีเวลาเดียวดาย อาดูร สิ้นสูญแล้วทุกสิ่งไหม ถ้าศิษย์รู้จักคุมชะตาชีวิตให้เป็น ชีวิตนี้จะไม่มีวันโดดเดี่ยวเดียวดาย ทั่วทั้งสี่ทิศก็เป็นมิตร เป็นญาติ เป็นคนรักเรา
ศิษย์กลัวสูญเสียไหม (กลัว, ไม่กลัว)  เสียมาเยอะแล้ว เจ็บจนจำแล้วใช่ไหม (ใช่)  มีเกิดต้องมีดับ เมื่อเจอเรื่องที่สูญเสีย ศิษย์จงอย่าเสียศูนย์ มีใครบ้างไม่สูญเสีย (ไม่มี)  เมื่อคนอื่นสูญเสียก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ทำไมเมื่อตัวเองสูญเสียถึงรู้สึกว่าไม่ธรรมดา ทั้งที่เรารู้ว่าความสูญเสียล้วนเป็นสิ่งธรรมดา ตั้งแต่เล็กจนโตมีใครไม่เสียอะไรเลย เป็นไปไม่ได้ ในโลกนี้การได้มาล้วนเป็นเรื่องที่ต้องเสียไปทั้งสิ้น มีอะไรบ้างที่ศิษย์ได้มาแล้วไม่เสียไป (ไม่มี)  แล้วมีอะไรบ้างที่เคยเสียไปแล้วได้กลับมา (ไม่มี)  คนที่ถึงเวลาต้องสูญเสียเขาจะจำไว้ว่าเขาจะไม่เสียศูนย์ ถึงเวลาที่ฟ้าจะให้เขาอับจน เขาจะไม่จนปัญญาและไม่จนใจ ศิษย์จำไว้ว่าทุกชีวิตล้วนต้องกลับคืนสู่ความว่าง ฉะนั้นเราเคยเสียไหม (ไม่เสีย)  เรามาจากความว่างเเละกลับสู่ความว่าง ฉะนั้นฟ้าเเค่ให้เรากลับมายืนที่เดิม ที่ๆ เราเคยไม่มี ในความเป็นจริงของทุกชีวิตเเม้จะมีเเค่ไหนถึงที่สุดก็ต้องไม่มี เเล้วจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  เสียใจไหม (ไม่เสียใจ)  ถ้ากลัวการสูญเสียก็สู้รักษาโอกาสเมื่อยังมีเเละอยู่กับทุกๆ สิ่งให้มีค่าที่สุด เมื่อถึงเวลาต้องจากกันจะได้ไม่เสียใจ รักเขาที่สุดก็ดูเเลเขาที่สุดเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด เมื่อถึงวันหนึ่งต้องจากลากันก็ไม่เสียใจ เมื่อวันหนึ่งเราต้องจากกับเขาเราก็ทำเต็มที่แล้ว ใช่ไหม (ใช่)
กลัวตายไหม (ไม่กลัว)  ถึงแม้ว่าชะตาจะทำให้เราต้องเจ็บ ถึงแม้ชะตาจะทำให้เราต้องทุกข์ แต่อาจารย์จะบอกศิษย์ว่า ความเจ็บเป็นเรื่องน่ารัก ถ้าไม่เจ็บศิษย์จะรู้หรือว่าตอนนี้ร่างกายศิษย์ผิดปกติ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นความเจ็บปวดไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวและความตายก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่อยู่แล้วประพฤติผิด ขาดศีลขาดธรรม ขาดความเป็นคน มีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายดีกว่า จึงมีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ว่า ความดีเหมือนน้ำ ตายเพราะน้ำ ตายเพราะความดี ยังประเสริฐกว่าเกิดเป็นคนแล้วตกเป็นทาสของโลภ โกรธ หลง ตายเพราะไฟกิเลส จะทำให้ศิษย์แม้ตายแล้ว ไม่ว่ากี่ภพ กี่ชาติ ศิษย์ก็ต้องกลับไปชดใช้กรรมของกิเลสที่ศิษย์สร้าง
ถ้าศิษย์บอกว่าไม่กลัวตายเพราะศิษย์ทำดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าศิษย์บอกว่ากลัวตาย แปลว่าศิษย์ยัง (ไม่ทำความดี)  เมื่อเข้าใจว่า ไม่เหงา ไม่กลัวสูญเสีย ไม่กลัวตาย แล้วทุกข์จะน่ากลัวไหม (ไม่น่ากลัว)  ฉะนั้นพอรอดหรือยัง (รอด)  แต่มีอีกสิ่งหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะรอดแต่ไปไม่รอดก็คือ มันอดใจไม่ได้ สิ่งดีก็รู้ แต่สิ่งไม่ดีก็ยังหวั่นไหว ใช่ไหม เมื่อเรายังไม่สามารถห้ามใจเราได้ ถ้าเราเลือกทางที่ผิด ชีวิตจะเป็นอย่างไร ชีวิตทางที่ผิดก็คือการตกเป็นทาสของความหลงผิด ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนและตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์ ศิษย์จงรู้ว่า ทุกข์มีสองอย่าง ที่เรียกว่าทุกข์แห่งความเป็นจริง คือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และทุกข์ที่เราเป็นผู้สร้าง โลกนี้เป็นโลกของเหตุและผล เราไม่สร้างเหตุ เราก็ไม่ต้องมารับผล ถ้าศิษย์สร้างเหตุแห่งกรรมชั่ว ศิษย์ก็ต้องรับผลกรรมชั่ว
ฉะนั้นจำไว้นะศิษย์ ชีวิตมีโอกาสเลือก ถ้าศิษย์ไม่เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง และสิ่งที่ดีงาม วันหนึ่งเมื่อกรรมตกผล ศิษย์จะไม่สามารถเลือกอะไรได้นอกจากใช้กรรม
ฉะนั้นถ้ามีโอกาสเลือกระหว่างดีกับไม่ดี ศิษย์เลือกอะไร (ดี)  ระหว่างธรรมะกับอธรรม ศิษย์เลือกอะไร (ธรรมะ)  ถึงเวลาจริงๆ อธรรมล้วนๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์เทียบง่ายๆ เขาด่ามา ลองเอาสิ่งนั้นมาพิจารณาก่อน อย่าเพิ่งปล่อย ดูว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจริงไหม แล้วเราเป็นจริงอย่างที่เขาพูดไหม ถ้าเป็นจริงให้รีบขอโทษ เพราะตอนนี้เขากำลังทุกข์เพราะเรา แล้วเขาเจ็บมากๆ จนทนไม่ไหว ต้องระเบิดออกมาให้ได้รับรู้ เราไม่ต้องยิ้ม ทำหน้าเศร้าไว้แล้วบอกขอโทษ เพราะถ้ายิ่งยิ้มจะเหมือนยิ่งยั่วเขา เหมือนไม่มีความสำนึก ฉะนั้นเมื่อเขาด่ามา ขอโทษจากใจ รู้สึกผิดจากใจเพราะมันเป็นโอกาสที่ดีที่ศิษย์จะได้ยอมรับกรรม ยอมรับสิ่งที่ศิษย์กระทำ เหมือนที่อาจารย์บอกกับศิษย์ว่า เมื่อเจอนรก ศิษย์อย่ากลัวนรก แต่จงยินดีที่จะชดใช้แล้วกรรมมันจะได้จบ คนตั้งเยอะแยะไม่ด่า มาด่าเรา แสดงว่าต้องมีอะไรเกี่ยวกรรมกันมา คนตั้งเยอะไม่เกลียด แต่เกลียดเรา คนตั้งเยอะแยะไม่ไปใช้แต่มาใช้เรา “คิดดีขึ้นสวรรค์ คิดชั่วตกนรก” ธรรมะสอนให้เราเลือกทางสายกลาง ถ้าพ้นจากความคิดดีคิดชั่วเรียกว่าธรรมอันเป็นทางสายกลางหรือเรียกอีกอย่างว่าธรรมแท้แห่งความสงบ ธรรมที่ทำให้เราจบ ว่าง สงบ เย็น
สังขารถูกสร้างขึ้นมาจากพ่อและแม่ แต่ความเป็นตัวตนของเราถูกสร้างขึ้นมาจากความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สิ่งที่โกรธ สิ่งที่พอใจ กิเลสก็คือความคิดที่กำลังนึกคิดของตัวตน เมื่อไรที่มนุษย์ว่างจากตัวตนก็จะว่างจากกิเลสและอารมณ์ ถ้าเมื่อไรศิษย์โดนด่าและว่างจากความคิด สงบ จบ ขอโทษ ธรรมะอยู่ตรงนี้เอง สงบ จบ ก็คือธรรม ถ้าไม่ยอมจบ ไม่ยอมสงบก็ก่อเกิดเป็นกรรมและก็เรียกว่าทุกข์
แอปเปิลผลนี้กินแล้วมีความสุขที่สุดแล้วก็ทุกข์ที่สุด จะเอาหรือไม่เอา (ไม่เอา)  แล้วชีวิตศิษย์ยึดหรือไม่ยึด (ไม่ยึด)  เรายึดเราเอาทั้งนั้น ในเมื่อเอามาแล้วก็เลยหนีไม่พ้นกรรม เมื่อไรที่ศิษย์โดนกระทบไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ศิษย์ว่างจากความคิดปรุงแต่ง ศิษย์จะพบจิตเดิมแท้ ว่างจากความคิดแบ่งแยกชอบชัง ศิษย์จะพบกับความว่างบริสุทธิ์ ว่างจากความคิดปรุงแต่งยึดติดรูปลักษณ์จำได้หมายรู้ ศิษย์จะพบจิตเดิมแท้อันเป็นหนึ่งเดียวที่เรียกว่าธรรม เมื่อโดนกระทบเเล้วพ้นจากการคิดเเละการปรุงเเต่งจะกลับคืนสู่สภาวธรรมที่เรียกว่าว่าง ตัวตนไม่มี เมื่อตัวตนไม่มีศิษย์จะเป็นอิสระจากภาวะคู่ ไม่มีอุปาทาน ไม่มีกิเลสเเละพ้นจากเวรกรรม เหมือนไม่ยากแต่ทำยาก วิธีเเก้ก็คือให้มีสติ สติจะเป็นกำลังที่ดีของปัญญาเเละของจิตใจ มีสติรู้เท่าทันต่อเนื่องไม่ขาดสายจะสามารถนำพาให้ศิษย์พ้นทุกข์ภัยเเละพ้นอบายภูมิทั้งหลาย เมื่อไรที่ศิษย์โดนกระทบแล้วยึดติดดีก็ขึ้นสวรรค์ ยึดติดชั่วก็ตกนรก แต่ถ้าพ้นจากการยึดติดดีหรือชั่วเรียกว่าธรรมอันเป็นทางสายกลางหรือเรียกว่าธรรมะ
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ทำนองเพลง: พูดไม่ค่อยเก่ง ชื่อเพลง: ทำตนสายกลาง)
ศิษย์ยังมีโลภ โกรธ หลงอยู่ในใจกันเยอะแยะไปหมด ถ้าสมมติเราเจอเรื่องอะไร ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ อารมณ์ก่อเกิดขึ้นมาทันที พร้อมสร้างกรรมขึ้น แล้วเราจะแก้ไขอย่างไร รีบวางให้ไวที่สุดหรือระเบิดอารมณ์ ศิษย์จำไว้นะ เขาทำศิษย์ ศิษย์ให้อภัย ศิษย์จบได้ แต่เวลาศิษย์ทำเขา กรวดน้ำก็แล้ว ขอโทษก็แล้ว บางทีเขาไม่ยอมจบ และไม่ยอมลืมง่ายๆ ในโลกนี้มีอยู่สองแบบ ไม่เขาทำเรา ก็เราทำเขา ถ้าเขาทำเรา แล้วเราก็ต้องรู้จัก (ให้อภัยไม่ถือโทษโกรธ)  แต่สำหรับอาจารย์ถ้าเรายังมีคำว่าให้อภัยแปลว่า เรายังทำใจไม่ได้ ถ้ามันจบเป็นกลาง ศิษย์ไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า ให้อภัย มันก็แค่นั้นเท่านั้น ถ้าศิษย์ยังต้องพยายามใช้ธรรมะข่มใจ นั่นแปลว่าเรายังทำใจไม่ได้ เรายังยึดติดความคิดอยู่
ท่ามกลางความสับสนขอให้รักษาจิตให้มีสติ เวลาที่เกิดเรื่องราวอะไรก็ตาม ศิษย์จะจัดการเหตุการณ์ในตอนนั้นด้วยการตั้งสติ เมื่อตั้งสติแล้วเรายอมจบยอมวางได้ไหม เมื่อไรที่ต้องคิดให้อภัย แปลว่าศิษย์ยังไม่ยอมจบ และเมื่อไรที่ศิษย์ยังจำได้ไม่ลืม แปลว่าศิษย์ยังผูกใจเจ็บ จบก็แปลว่าจบตรงนั้น เมื่อศิษย์ไม่ยอมจบ ยังจำ มันก็ก่อเกิดเป็นกรรม ที่เรียกว่า กรรมดี กรรมชั่ว เมื่อทำกรรมชั่วมากๆ ศิษย์ก็พยายามทำกรรมดีชดใช้ ศิษย์ด่าเขาไปแล้ว แต่ไปสวดมนต์ แผ่บุญกุศล กรวดน้ำให้ เขาจะหายโกรธไหม (ไม่หาย)  เขาจะลืมไหม (ไม่ลืม)
เรามาตัวเปล่า มาคนเดียว กลับก็กลับคนเดียว สามีกลับด้วยไหม ภรรยากลับด้วยไหม ลูกกลับด้วยไหม (ไม่กลับ)  จริงไหม (จริง)  คำว่าตัวตนของเราเกิดขึ้นจากความคิดเเละความเข้าใจ ความโกรธ ความรักก็เพราะนึกคิด กิเลสทั้งหลายที่มาจากตัวเรา ก็เพราะเราคิดนึกเเล้วก็เข้าใจว่าสิ่งนี้ชอบ สิ่งนี้ไม่ชอบ ศิษย์จำไว้ว่าเมื่อมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่ารัก ก็หนีไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่าเกลียด เมื่อมีสิ่งหนึ่งที่ชอบ ก็หนีไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่าชัง ทำดีที่สุดเเต่ไม่ได้ยึดติด เรารักเขาแต่เขาจะรักหรือไม่รักเราก็ไม่เป็นไร เราทำดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว เขาต้องรักเราตอบนั่นเเปลว่า เรากำลังสร้างกรรมที่เรียกว่ากรรมร่วม เเต่ถ้าเป็นกรรมด้านเดียวคือทำกรรมแล้วจบไม่เอาอีก จะมีผลตอบโต้ไหม (ไม่มี)  พระพุทธะจึงสอนว่า “การปฏิบัติธรรมเพื่อวาง ไม่ใช่เพื่อยึดถือ” ถ้าศิษย์ยังละกรรมไม่ได้ ยังอดที่จะยึดไม่ได้ว่าคนนี้รัก คนนี้เกลียด คนนี้ชม คนนี้ด่า ศิษย์จึงหนีไม่พ้นกรรมดีเเละกรรมชั่ว เเต่ถ้าเมื่อไรเข้าใจความเป็นจริงแล้วปรับเปลี่ยนความคิดชีวิตศิษย์ก็เปลี่ยน ถูกไหม (ถูก)  ความรู้ ความเข้าใจก่อเกิดเป็นความคิด ความคิดก่อเกิดเป็นนิสัย นิสัยก่อเกิดเป็นความประพฤติเเละความประพฤติก่อเกิดเป็นชะตากรรมที่เรียกว่าเกิดมาใช้กรรม ถ้าเราทำอะไรตามความคิดก็คือเราทำอะไรตามกรรม ซึ่งมีทั้งกรรมดีเเละกรรมชั่ว ถ้าเราจะเปลี่ยนชะตากรรมเราก็ต้องเปลี่ยนที่ความรู้ ความเข้าใจ เพราะมันมาก่อนความคิด ศิษย์จะรู้เเละเข้าใจจึงมาเป็นความคิดมีใครดีที่สุด มีใครชมเราเเละไม่ด่าเราเลย มีใครบ้างที่สมบูรณ์แบบ (ไม่มี)  เมื่อไม่มีแล้วใครที่น่ารัก ใครที่น่าเกลียด (ไม่มี)  ใครที่เราต้องโมโห ต้องโกรธ ต้องหลง (ไม่มี)  แล้วจบไหม (จบ)  เเล้วเราต้องพยายามเอาอะไรไปข่มความโลภ ความโกรธ ความหลงไหม (ไม่มี)  อย่างนั้นก็ต้องแก้ตั้งแต่ความรู้ความเข้าใจ ต้องแก้ตั้งแต่ความรู้ความเข้าใจในธรรม ซึ่งเป็นรากความเป็นจริงของทุกชีวิต
เมื่อเข้าใจความเป็นจริงว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง หาแก่นแท้ไม่ได้ เราจะปรับเปลี่ยนความคิด เราจะเปลี่ยนนิสัย เราจะเปลี่ยนชะตากรรม อะไรในโลกก็ไม่น่ายึด ไม่มีอะไรที่ยึดได้เลย เพราะเป็นแก่นของทุกชีวิตที่เรียกว่า
สัจธรรม คนพบธรรมก็ค้นพบทางพ้นทุกข์ แต่ถ้ามองไม่เห็นธรรมก็ทุกข์ไม่จบสิ้น แล้วศิษย์เกิดมาเพื่อทุกข์หรือเกิดมาเพื่อกลับคืนสู่ธรรม (กลับคืนสู่ธรรม)  เพราะทุกชีวิตตายไปก็ต้องกลับคืนสู่ธรรม เมื่อเข้าใจแล้ว ศิษย์จะโลภ ศิษย์จะโกรธ ศิษย์จะหลงอะไร ความไม่เที่ยงของโลกทำให้เราไม่อยากโลภ ความทุกข์ของโลก ทำให้เราไม่อยากโกรธ ความไม่มีตัวตนในโลกทำให้เราไม่อยากหลง ฉะนั้น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาคือทางดับโลภ โกรธ หลง ได้ด้วยการรู้แจ้งในใจตนที่เรียกว่าสัจธรรม เราอยู่บนโลกอย่าอยู่แบบคนมีกรรมเลย อยู่แบบคนเกิดมาสิ้นกรรมไม่ดีกว่าหรือ
ศิษย์ทำบุญเยอะและหวังว่าจะไปรับผลบุญ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าขอแปลว่ายังอยากกลับมาเกิดเพื่อรับผลบุญ แต่ถ้าศีลห้าไม่ครบศิษย์ไม่สามารถเกิดเป็นคนได้ ใครที่ทำบุญแล้วขอว่า “ขอให้สบายๆ” ระวังจะเกิดมาแล้วสบายจริงๆ แต่ไม่ได้เกิดเป็นคน ไม่ว่าทำอะไรขอให้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ถูกต้องในทำนองคลองธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้าก้มหน้าไม่อายดิน ต่อผู้คนไม่ผิดต่อคุณธรรมความเป็นคน จะพ้นทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อความเป็นคนต้องสมบูรณ์ก่อน ถ้าความเป็นคนไม่สมบูรณ์ ไม่ประเสริฐอย่าคิดว่าจะพ้นทุกข์ได้ ศิษย์ต้องปฏิบัติความเป็นคนให้ถูกต้อง เมื่อปฏิบัติได้ถูกต้องการปฏิบัติต่อผู้คนศิษย์ก็จะสิ้นทุกข์ได้ ระหว่างขอเขาจุดไฟไม่สู้สอนวิธีจุดไฟ สอนวิธีดับทุกข์ไม่สู้ศิษย์รู้จักดับทุกข์ด้วยตนเอง ขอแค่เพียงมีสติ ระมัดระวังตัวเองให้มากๆ
“อะไรเป็นต้นเหตุให้เราทุกข์” (กิเลส)  กิเลสเป็นความนึกคิดแห่งตัวตน เมื่อว่างจากตัวตนกิเลสก็ไม่มี
(ความยึดมั่นยึดติด)  ที่เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ ใช่ไหม แล้วตอนนี้ล่ะ (ยังยึดอยู่)  เมื่อถึงเวลาก็ต้องวางนะศิษย์  รู้จักวางเสียก่อน เรียนรู้แล้วต้องเอาไปฝึกจิต
(ยึดติดในความดีและความไม่ดี)  ต้นเหตุและรากเหง้าของความทุกข์มาจากอะไรรู้ไหม มาจากการไม่ยอมรับความไม่มีแล้วอยากจะมี จริงไหม
(ความทุกข์ความอยาก)  อยากมากก็ทุกข์มาก เกิดมากี่ทีก็ทุกข์ทุกที ฉะนั้นถ้ารู้จักพอมันก็ไม่ทุกข์ ใช่หรือไม่ รู้จักสุขกับสิ่งที่มี
(ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์)  ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ อาจารย์อยากให้ศิษย์ รู้ว่าในโลกนี้ไม่ว่าอยู่กับสิ่งที่รักหรือต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่รักมันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเข้าใจธรรมดาก็เข้าใจชีวิต
(ความโลภ ความโกรธ ความหลง)  เมื่อสักครู่อาจารย์บอกวิธีแก้โลภโกรธหลงไปหรือยัง (ความรู้ความเข้าใจ) ถ้าเรารู้เข้าใจความเป็นจริงแห่ง
สัจธรรม เราก็จะไม่มีอะไรในโลกที่น่าโลภน่าโกรธน่าหลง จริงไหม
(ไม่ยอมรับความจริง)  ความจริงบางครั้งก็เป็นสิ่งที่ยากรับ แต่ก็ต้องเรียนรู้ เพราะความจริงล้วนเป็นธรรมดา ใช่ไหม
(การยึดติดอยู่กับความสุข)  การนั่งสมาธิบางทีทำให้เรามีสุข แต่ติดอยู่กับความสุขจะทำให้เราไม่พ้น ใช่ไหม เพราะธรรมแท้คือความว่าง ว่างคือสงบเย็น ไม่มีอะไร เหมือนเรานั่งให้สงบไม่จำเป็นจะต้องมีอะไร เพราะการพยายามมี ก็คือการละรูปลักษณ์หนึ่งเพื่อไปยึดรูปลักษณ์อีกหนึ่งนั้นก็ไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่
ฉะนั้นต้องฝึกให้มีสติทุกขณะที่เรารู้ ถ้าศิษย์สามารถมีสติรู้เท่าทันความคิด ไม่ให้ขาดหาย ถ้าเวลาความคิดมา ไม่ต้องไปกดห้ามความคิด แค่อยู่กับความคิดนั้นให้ได้ แต่ไม่ให้ค่า ไม่สนใจ แล้วความคิดเหล่านั้นจะจางหายไป
(การไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่)  ได้ตรงนี้แต่ไปคิดตรงนั้น ฉะนั้นต่อไปตรงนี้ก็ดีแล้ว แล้วความสุขจะอยู่ในใจ จริงไหม (จริง)
สังขารคือความเป็นจริงที่หนีไม่พ้นความทุกข์ แต่ใจพ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นสังขารเจ็บก็รักษา ถ้าทุกข์ที่รักษาไม่หายจงพิจารณายอมรับว่าเป็นการชดใช้กรรม อย่าทำผิดบาปอีก
(ความรัก รักมากก็ทุกข์มาก)  ต่อไปจะรักใครรักได้ แต่ไม่หวังผลตอบแทน รักแบบไม่คาดหวังผล รักในสิ่งที่เขาเป็น และยินดีรับให้ได้เมื่อเขาเป็นแบบไหน รักให้เป็นแล้วจะไม่ทุกข์ ยินดีรับได้ในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบไหน ไม่เช่นนั้นรักใครก็เป็นทุกข์ อย่าเอาอดีตมาทำให้ปัจจุบันทุกข์หรือจะให้แล้วก็ผ่านเลยไป จะได้ชดใช้กันให้หมดสักที (อยากได้ อยากมี อยากเป็น)  เพราะไม่พอจึงเป็นทุกข์ แค่นี้ดีแล้ว แค่นี้สุขแล้ว ได้ไม่ได้ไม่เป็นไร
(การยึดในอัตตาเมื่อไม่ได้ดั่งใจ)  จริง ๆ อัตตาคือรากเหง้าแห่งทุกข์ทั้งมวล ถ้าศิษย์แก้ที่ต้นเหตุได้ ศิษย์ก็ดับทุกข์ทั้งมวลได้ แล้วอัตตาจริง ๆ มีไหม แล้วอัตตาใดที่ใหญ่ที่สุด อารมณ์ไหนมาแรงอารมณ์นั้นจะครอบงำตัวเรา ทั้งที่จริงแล้วอารมณ์นั้นไม่ใช่ตัวตนเรา
เราจะสามารถดับความโกรธได้ ก็ต่อเมื่อเรามองเห็นตามความเป็นจริงว่า แท้จริงสิ่งที่เราโกรธก็ไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์แบบ (ความไม่รู้ทำให้ไม่เข้าใจความทุกข์)  จริงๆ แล้วทุกข์มาจากไหนศิษย์ก็รู้ ดับทุกข์ที่ไหนศิษย์ก็รู้ แต่ศิษย์ไม่เคยคิดที่จะรู้จริงๆ สักที รู้แต่ไม่ทำก็เหมือนไม่รู้ อย่าบอกว่าศิษย์ไม่รู้ รู้ไหมว่ากำลังคิดไม่ดี แต่ก็ยังไม่หยุดคิด อย่าแค่รู้แต่จงรู้แล้วกระจ่างแจ้ง
จนสามารถเห็นแล้วไม่ต้องทำอะไร มันจบได้เลย เห็นมันเที่ยงไหม มันทุกข์ไหม ถ้ารู้ว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์จะโกรธทำไม ถ้ารู้ว่าไม่เที่ยงจะรักทำไม ถ้ารู้ว่าหาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้จะหลงอะไร  (ความทุกข์เกิดจากการยึดติดในอำนาจลาภยศสรรเสริญ)  ถ้าเรามองเห็นความจริงว่า แม้แต่อำนาจสูงสุดก็ยังต้องกลับคืนสู่ความเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ แล้วควรหรือที่จะไปยึด
(ความคาดหวัง)  ตัวศิษย์ทุกคนในที่นี้โดนคนอื่นด่า ที่ทุกข์เพราะว่าคาดหวังว่าเขาไม่น่าด่าเรา เขาแค่พูดอะไรธรรมดาไม่ได้ด่า แต่ศิษย์ก็ทุกข์เพราะคิดในใจว่าทำไมเขาพูดกับเราแบบนี้ ฉะนั้นความคาดหวังคือสิ่งที่น่ากลัว เรายึดติดจำได้หมายรู้ว่าถ้าเป็นเพื่อนฉันต้องพูดแบบนี้ ถ้าคุยกับอาจารย์ฉันต้องพูดแบบนี้ ถ้าเป็นแฟนฉันต้องพูดหวานแบบนี้ก็เลยทุกข์
(การให้แล้วไม่ยึด)  นั่นเพราะศิษย์ไม่ได้ละ ศิษย์ให้แล้วศิษย์ยึด เราบำเพ็ญธรรมการให้เป็นสิ่งที่ดี การให้เป็นรากเหง้าของมูลเหตุของการสร้างคุณธรรมเเละกุศลธรรมทั้งมวล ให้ได้เราก็สร้างกุศลได้ ถ้าให้ไม่ได้เราก็สร้างอะไรไม่ได้ เเล้วเราก็ดีไม่ได้ เเต่จงให้เพื่อละ ไม่ใช่ให้เพื่อยึด ไม่อย่างนั้นการทำบุญของศิษย์ก็ยังอิงแอบไปด้วยความทุกข์เเละความหมองเศร้า
(การคาดหวังเเละพะวงกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น)  ถ้าทำดีที่สุดแล้วอะไรจะเกิดก็กล้าหาญไว้ ถ้ากล้าจะกลัวอะไร ล้มเหลวก็สำเร็จได้ เเพ้ก็ชนะได้ เเต่บางครั้งเเพ้บ่อยๆ เพื่อให้คนอื่นชนะก็เป็นธรรมะอีกอย่างหนึ่ง ยอมให้คนอื่นก้าวหน้าเเต่ตัวเองไม่ก้าวหน้าแต่มีความสุขก็คือธรรมอย่างหนึ่งซึ่งคนในโลกไม่มี ไม่ต้องเเก่งแย่ง เเค่รับผิดชอบให้ดีที่สุด ใครก้าวหน้าก็ก้าวไปแต่ฉันขอก้าวหน้าในทางธรรม
(ความเจ็บป่วยของร่างกาย)  ความเจ็บปวดเพียงเสี้ยวเดียวตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ค่าของชีวิตยังมีอีกมาก อย่าให้ความเจ็บปวดแค่เสี้ยวเดียวมาฆ่าชีวิต เพราะความเจ็บปวดเป็นแค่สัญญาณเตือน ถ้าไม่มีสัญญาณ ศิษย์จะไม่มายืนหายใจแบบนี้แล้ว ฉะนั้นความเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่ดีอย่ากลัว แต่จงหาทางสู้อย่ายอมเเพ้
(การตัดสินคนอื่น)  เมื่อเจอใครอย่าเพิ่งตีค่าหรือตัดสินเพราะสิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่เราคิดเเละเขาอาจจะมีค่าอะไรมากกว่าที่เราคาดคิดก็ได้ รักมากก็เกลียดมากแต่ถ้าไม่รักก็ไม่เกลียดใคร ฉะนั้นทำให้เสมอกัน ศิษย์จะได้ไม่รู้สึกว่าต้องเกลียดใครมากหรือรักใครมากเเล้วเจ็บเพราะรักเจ็บเพราะเกลียด
ในโลกนี้ไม่มีใครแย่กว่าใคร ถ้าศิษย์มองคนที่แย่กว่าเรา เราก็คือคนโชคดี แต่ถ้าศิษย์เอาแต่มองคนที่สูงกว่าศิษย์ก็มีแต่ช้ำใจ เรายืนกลางฟ้าดิน ฟ้าสอนเสมอว่าเราเป็นกลาง เราไม่ได้แย่กว่าใครและเราก็ไม่ได้เหนือกว่าใคร มีสิ่งที่สูงกว่าก็คือฟ้า มีสิ่งที่เตี้ยกว่าก็คือดิน เราคือภาวะที่ดีที่สุดที่เรียกว่ากลาง แต่เรามักอดไม่ได้เอาแต่มองฟ้าจนลืมมองดิน
(กิเลสตัณหา)  ถ้าเราอยากดับกิเลสและตัณหาให้ได้เราต้องรู้จักควบคุมใจตัวเอง จงฝึกให้มีพระพุทธะอยู่กับใจเพราะพระพุทธะเป็นผู้ไม่มีกิเลส



 


เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน ชีวิตของศิษย์มักถูกความคิดครอบงำ เราเป็นอะไร ดูที่ความคิด ชีวิตเป็นอย่างไร ดูที่ความคิด ความคิดที่ไม่ดี มันมีปัญหาเราก็ต้องเปลี่ยน การจะเปลี่ยนชีวิตได้ ต้องรู้ทันความคิดแล้วเราถึงจะเปลี่ยนได้ ถ้าเรารู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าโลกใบนี้หรือความเป็นจริงของโลกใบนี้ ไม่ได้มีไว้เพื่อทุกข์ แต่มีเพื่อให้เราตื่นรู้เข้าใจและเท่านั้นเอง เช่นนั้นเอง เราก็จะไม่ทุกข์อีกต่อไป
จงระวังความคิดเพราะความคิดจะกลายเป็นความประพฤติ
ความประพฤติจะกลายเป็นความเคยชิน
ความเคยชินจะกลายเป็นนิสัย
นิสัยจะกลายเป็นชะตากรรม”
ใครที่บอกว่ามีเคราะห์มีกรรม จะเปลี่ยนตรงไหนก็ต้องเปลี่ยนที่ความคิด กิเลสเกิดจากความคิด ถ้าเกิดว่าเห็นแต่เราไม่คิด มันจะมีไหม (ไม่มี)  ถ้าไม่เห็นแต่เราคิด มันมีไหม (มี)  เหมือนเขาไม่ได้ด่า แต่เราคิดว่าเขาด่า ไม่มีก็เหมือนมี เขาด่าแต่เราไม่คิด มันมีก็เหมือนไม่มี ถ้าเขาทำเราเจ็บปวด มีมันก็เหมือนไม่มี ยังทุกข์อะไรอยู่หรือ
วันนี้อาจารย์ก็ต้องกลับแล้ว เป็นเรื่องธรรมดา มีพบก็มีพรากจาก ขอให้รู้จักรักษาบุญ รักษาโอกาสให้ดี เจออะไรจงแปรกรรมให้เป็นธรรม แปรทุกข์ให้เป็นทางพ้นทุกข์ เขาพ้นทุกข์แล้วจะคิดทำไมให้ทุกข์ เข้าใจที่อาจารย์พูดหรือยัง เขาพ้นทุกข์แล้วอย่าคิดให้ตัวเองทุกข์ เพราะไม่อย่างนั้นจะลากคนที่เขาไปแล้วให้กลับมาทุกข์ด้วย เข้าใจนะ
บำเพ็ญธรรมอย่าท้อ อย่าล้า ช่วยคนไม่มีคำว่าเหนื่อย มีแต่เดินหน้าสู้ต่อไปทำให้ดีที่สุด เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง ตอนนี้ศิษย์มีลมหายใจยังเลือกได้ อย่ารอจนกระทั่งเลือกไม่ได้ แล้วต้องจำใจอยู่กับสิ่งที่เรียกว่ากรรมของตัวเองเลย อาจารย์เห็นมาเยอะ ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ตอนมีโอกาสไม่ทำความดี พอเจอกรรมได้แต่เงยหน้าถามอาจารย์ว่าทำไมต้องเจอแบบนี้ อาจารย์ก็จะบอกว่า ตอนศิษย์มีโอกาสเลือกให้ทำสิ่งที่ถูกต้องสิ่งที่ดี ศิษย์ไม่ทำ ศิษย์เคยเห็นคนที่ทุกข์มากๆ ไหม เคยเห็นคนที่แย่ไหม เพราะอะไรศิษย์ เพราะเงยหน้าว่าใครไม่ได้ต้องหันกลับมาแก้ไขตัวเอง อะไรที่ทำให้ฉันเจอคนแบบนี้ อาจารย์ก็พูดได้แค่คำเดียวเพราะศิษย์ทำเขามา
ฉะนั้นตอนนี้ศิษย์โชคดีทำไมไม่เลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่าตกเป็นทาสของกิเลสอารมณ์เลยเพราะกิเลสอารมณ์ทำให้เราหนีไม่พ้นความทุกข์ วิบากกรรมและวัฏฏะแห่งการเวียนว่าย ศิษย์คิดว่าทุกข์ในโลกน่ากลัวแล้ว แต่อาจารย์จะบอกว่าทุกข์แห่งการต้องกลับไปใช้กรรมที่ศิษย์สร้างไม่จบสิ้นน่ากลัวยิ่งกว่า แล้วไยเกิดมาเป็นคนจึงไม่ทำชาตินี้ให้ดีที่สุด ทำไมต้องรอชาติหน้า ตอนนี้เขามาจะจบกรรม จะเกี่ยวกรรมหรือจะพบธรรม พ้นทุกข์อยู่ที่เรา ทำดีกับเขา ทำไปเถอะ ทำแล้วสิ้นตัวตนได้นั่นคือกุศล ทำแล้วจิตสว่าง ทำแล้วบริสุทธิ์นั่นคือยอดของบุญ คิดให้ดีๆ นะ เราไม่รู้วันตายของชีวิต ฉะนั้นตอนนี้ทำไมไม่สร้างสรรค์สิ่งที่ถูกต้องให้กับชีวิต ทำให้ดีงาม ทำให้มีค่าสมกับที่เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ อย่าเป็นผู้ประเสริฐแต่หาคุณธรรมไม่ได้ อย่าเป็นผู้ประเสริฐแต่ความเป็นคนกลับบกพร่อง ความทุกข์น่ากลัว เชื่ออาจารย์เถอะ แล้วถ้าศิษย์เชื่อมั่นในความดีของตัวเอง จงพากเพียรมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ ให้เป็นคนที่ดีจริง ปฏิบัติจริงและพ้นทุกข์ได้จริง เมื่อเราพ้นได้เราก็ช่วยคนรอบข้างได้ จริงไหม (จริง)
ลองไตร่ตรองให้ดี ลองคิดพิจารณาให้ดี ว่าสิ่งที่อาจารย์พูดวันนี้เพื่อใคร เพื่ออะไร เพื่อให้ศิษย์ทั้งนั้น ชีวิตไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เวลาทำอะไรต้องระมัดระวังให้มากๆ ผิดแล้วมันแก้ไม่ได้ ผิดแล้วทำดีล้างไม่ได้ ฉะนั้น อย่าทำผิดเลย ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นให้ยินดีชดใช้ เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ นรกก็ไม่กลัว สวรรค์ก็ไม่เอา ขอกลับคืนสู่สภาวธรรมอันไร้ตัวตน ดูแลตัวเองดีๆ นะศิษย์



พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เปลี่ยน           ” (เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน)
    กิเลสเกิดจากความคิดของตน          ไม่เห็นแต่วนมาคิดก็วุ่นได้
เห็นแต่ไม่คิดเลยก็ว่างไป                    เมื่อใจไร้ทุกสิ่งก็ว่างโดยพลัน
เกิดสติเท่าทันคิดไม่ขาดสาย                จึงเป็นไทไม่เป็นทาสกิเลสนั้น
ทั้งทุกข์สุขล้วนพาหลงไม่ต่างกัน           วางตัวฉันก็ธรรมดาสัทธรรม

    จงระวังความคิดเพราะความคิดจะกลายเป็นความประพฤติ
ความประพฤติจะกลายเป็นความเคยชิน
ความเคยชินจะกลายเป็นนิสัย
นิสัยจะกลายเป็นชะตากรรม


(พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาทชั้นประชุมธรรม)
สถานธรรมหมิงเอิน  วันที่ ๑๒ - ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๑
แก้ไขเพลงพระโอวาทหน้า ๑๒
เดิม
หากใจนั้นชัดเจนเบิกบาน ทุกวันไม่เป็นไร เกิดตรงไหนก็จงจบไป ว่างไปที่นั้นเลย
แก้ไขเป็น

หากใจนั้นชัดเจนเบิกบาน ทุกวันไม่เป็นไร เกิดตรงไหนก็จงดับไป ว่างไปที่นั่นเลย
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา