วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2562

2562-04-20 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร

西元二〇一九年嵗次己亥三月十六日 仙佛慈悲訓

วันเสาร์ที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

ใจคนนั้นปราบยากกว่าสิ่งไหน ทั้งดื้อรั้นทิฐิไปมากหลงผิด
ภัยภายนอกไม่น่ากลัวเท่าใจคิด ขาดสำนึกไม่รู้ผิดยากเปลี่ยนแปลง

เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามทุกท่านเกษมฤา

อารมณ์ร้อนรู้สติมีคุณหนักหนา คอยยั้งเตือนทันเวลาไม่พลาดผิด
หมั่นเตือนตนอยู่เสมอไม่ขาดมิตร ใครหงุดหงิดทาสอารมณ์รีบเตือนตน
ทำปล่อยปล่อยเผลอติดจนเป็นนิสัย ทำอะไรจะได้ดีต้องฝึกฝน
มีอะไรกระทบถูกร้ายแรงเกินทน ไม่สับสนในตัวตนย่อมผ่อนคลาย
ถ้าไม่รู้นิ่งหยุดก็จะรู้ สติกู้ให้ไวรู้สอบตรวจง่าย
สงบว่างวางใจไม่โทษใครใคร มุ่งบำเพ็ญตัวตนใจกายลงแรง
อย่าได้ทำนิ่งแต่เพียงภายนอก น้ำกระฉอกปรุงความคิดจิตดื้อแพ่ง
ปล่อยตัวเองฟุ้งซ่านย่อมติดคาตะแกรง ชนกำแพงจำแต่อภัยจิตไม่ลง
โลกโลกีย์ขุ่นหมองแล้วไม่หลุดพ้น ธรรมเข้มข้นผู้สงบอยู่โล่งโล่ง
ชีวิตวุ่นวางเฉยได้ไม่หมุนโคลง เวหาโล่งกมลเย็นอย่ารู้หาความ
เมื่อจิตตื่นรู้ตนย่อมเกิดปัญญา แปรเปลี่ยนอัตตากลายเป็นทางให้ข้าม
แปรเปลี่ยนทิฐิติดวนเป็นความพยายาม ทางต้องข้ามพยายามจึงถึงเส้นชัย
ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ

เราเป็นคนชอบฟังคนอื่นพูดหรือเราเป็นคนชอบพูดมากกว่า
(พูดมากกว่า) มนุษย์โดยส่วนใหญ่ชอบพูดมากกว่าฟัง จริงไหม
“ใจคนนั้นปราบยากกว่าสิ่งไหน ทั้งดื้อรั้นทิฐิไปมากหลงผิด
ภัยภายนอกไม่น่ากลัวเท่าใจคิด ขาดสำนึกไม่รู้ผิดยากเปลี่ยนแปลง”
ใจเรานั้นควบคุมยาก ให้คิดดีก็ชอบคิดร้าย หูฟังแต่ใจปฏิเสธ
ใจเราอยากจะทำดีนะ แต่มือมันก็อดทำไม่ดีไม่ได้
ทำความรู้จักกันก่อนดีหรือไม่ มีหลายท่านคงสงสัยว่าเราคือใคร
เราขอแนะนำตัวก่อนและขอเวลาสนทนาธรรมกับท่านในชั้นนี้สักชั่ว
โมงกว่าๆ หรืออาจจะไม่ถึงชั่วโมง ได้ไหม (ได้)
ไม่ต้องยกว่าเราสูงล้ำกว่าใคร เราก็ไม่ต่างอะไรจากท่าน
ในโลกของความแตกต่าง การกระทำอะไรย่อมมีที่แตกต่างกันไปบ้าง
แต่ไม่ใช่ว่าสิ่งที่แตกต่างนั้นจะดูน่ารังเกียจ และก็ใช่ว่าจะดูไม่น่าสนใจ
ใช่หรือไม่ (ใช่) เราไม่ได้มาแบบน่ากลัว
และเราก็ไม่ได้ดูแตกต่างอะไรจากท่าน ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นก็คงไม่กลัวเราจริงไหม
เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ทุกสังคมย่อมมีกฎระเบียบ
อย่าอึดอัดกับกฎระเบียบ
บางครั้งกฎระเบียบก็ทำให้เรารู้ว่าการยึดติดในความคิดมากเกินไปก็ทำให้เร
าทุกข์ ปล่อยไปบ้างจึงจะทำให้เราสุข จริงไหม
วันนี้มาฟังธรรม เรามาเพื่อละหรือมาเพื่อยึด (มาเพื่อละ)
ฟังแล้วละหรือฟังแล้วยึด
แล้วเรามาเพื่อเห็นธรรมหรือเรามาเพื่อเห็นแก่ความคิดตัวเอง (เห็นธรรม)
จริงหรือ (จริง) เห็นฟังไปก็เอาแต่บ่นๆ ยังไม่ค่อยเห็นธรรมเลย
มีไหมที่ไม่บ่นตัดพ้อต่อว่า ไม่ต่อว่าใครเลย ถ้าอย่างนั้นเราบอกให้นะ
วันนี้ถึงแม้ใครจะถูกบังคับมาหรือไม่เต็มใจมา
แต่คนที่ชวนมาเขาเห็นว่าทุกท่านมีดี จึงอยากให้มาเจอสิ่งที่ดีๆ
เพราะเขาเห็นว่าเรามีธรรมจึงอยากให้เราค้นหาธรรม
แล้วธรรมก็ไม่ได้อยู่ภายนอก
แต่ถ้าสงบจากภายในจะบังเกิดความเข้าใจในธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านเคยทำสิ่งที่ดีๆ ไหม (เคย) เวลาที่เราทำสิ่งที่ดีๆ
มีคนไม่เห็นคุณค่าไหม (มี) เคยได้รับการดูถูกไหม (เคย)
เคยได้รับการต่อว่าต่อขานกลับไหม (เคย)
ถ้าเช่นนั้นก็หัวอกเดียวกับเราเลย เคยทำดีแล้วโดนคนว่าหลอกลวงไหม
(เคย) แล้วเคยถูกว่า ทำดีเอาหน้าไหม (เคย) แล้วยังทำดีอยู่ไหม (ทำ)
ฉะนั้นใครดูถูกคุณค่าเราก็ได้ แต่เราอย่าดูถูกคุณค่าความดีในใจเรา
ใครจะว่าเราใจร้าย ใจดำก็ได้ แต่เราอย่าลืมคุณธรรมในใจเรา
มนุษย์ทุกคนล้วนเคยทำดี แล้วพอทำดีกลับถูกคนตั้งแง่รังเกียจ
ทำเท่าไรก็รังเกียจ ถึงขนาดอยากฆ่าเราให้พ้นๆ เคยเจอแบบนี้ไหม (เคย)
เคย
ทำดีแล้วเจ็บแบบนี้ไหม (เคย)
เราเล่าเรื่องของคนๆ หนึ่งให้ฟัง มีคนๆ
หนึ่งเขาเกิดมาไม่รู้ว่าพ่อแม่คือใคร ต้องเลี้ยงตัวเอง
อยากเรียนวิชาก็ต้องดิ้นรนหาเรียนด้วยตนเอง
แต่เมื่อไปเรียนก็ถูกคนรังเกียจเพราะความยากจน
อาจารย์ที่ดูเหมือนน่าจะประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้
ก็กลับดูถูกดูแคลนเขา จนบางครั้งเขาอดน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้
เงยหน้ามองฟ้าถามฟ้าทำไมทำดีไม่ได้ดี บางครั้งก็ถามใจตัวเอง
“เราจะทำดีไปเพื่ออะไร เหนื่อยจัง” เพราะไม่มีใครรัก
เพียงแค่ว่าเราไม่มีพ่อแม่ พ่อแม่เราเป็นใครไม่รู้ ในชั่วขณะที่ทุกข์จนถึงที่สุด
เรากลับคิดได้ว่า เกิดเป็นคน ยืนอยู่กลางฟ้าและดิน มองฟ้ามากๆ
ก็น้อยเนื้อต่ำใจ ก้มหน้ามากๆ ก็ดูถูกดูแคลน แต่ในชั่วขณะนั้น
กลับคิดได้ว่า เราเกิดมากลางฟ้าดิน เราเกิดมาอยู่ระหว่างฟ้าดิน
พูดแบบนี้อยู่ 4-5 ครั้ง จน 10 ครั้ง
ความทุกข์ทั้งหลายมันหลุดโพล่งออกไปทันที ถ้าเราทำตัวหนัก ทำตัวแย่
เราก็คือพื้นดินให้คนเหยียบย่ำ แต่ถ้าเรายกจิตให้สูงให้ดี ให้งาม ให้บริสุทธิ์
ให้ใส เราก็คือฟ้าที่คนแหงนมอง ฉะนั้นเราอยากเป็นฟ้าหรืออยากเป็นดิน
(อยากเป็นฟ้า) แล้วถ้ายิ่งเขาเหยียบ เราจะเป็นดินที่ลอยสู่ฟ้าไม่ได้หรือ
แล้วขณะนั้นเราก็คิดได้อีกว่า เราอยู่ระหว่างฟ้าดิน ฟ้าดินสอนว่า
“แม้เราจะไม่ได้สูงเด่นแต่เราก็หาใช่คนที่ต่ำต้อย
เพราะยังมีคนที่ต่ำกว่าเรา” จริงไหม (จริง)
ไม่เคยมีใครทำเราตกต่ำได้นอกจากตัวเราเอง
ไม่มีใครเหยียบย่ำใจเราได้นอกจากตัวเราเอง
และไม่มีใครทำเราทุกข์ได้นอกจากตัวเราเอง ฉะนั้นเรายืนระหว่างฟ้าดิน
นั่นหมายความว่าฟ้าหรือธรรมชาติต้องการบอกเราว่า
“เรามีความบริสุทธิ์ ยุติธรรมและตรงกลางเสมอ”
เราไม่เคยแย่และเราก็ไม่ได้ดีมากมาย
เพราะถึงที่สุดเราก็อยู่ระหว่างคนที่ดีกว่าและคนที่แย่กว่า ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นทำความดีไม่ต้องไปรอพึ่งใคร ขอเพียงมีสติคิดได้
ตื่นรู้ตนและนำสิ่งนั้นมาสอนใจ เพราะถ้ารอใครมาเตือน รอที่จะพึ่งใคร
เขามีวันเปลี่ยนแปลง จริงไหม (จริง) แต่ถ้าเรารู้จักตื่นด้วยสติ
ด้วยความคิดที่เข้าใจธรรม ไปอยู่ที่ไหนเราก็ไม่ตกต่ำ
เหมือนวันนี้ทำไมเราต้องเข้าใจธรรม
เพราะความเข้าใจธรรมจะทำให้เราไม่เคยเกลียดใครได้ลง
และความเข้าใจธรรมจะไม่ทำให้เรารักใครจนทำร้ายให้เราเจ็บปวด
และความเข้าใจธรรมจะทำให้เรารู้จักพึ่งสติปัญญาและธรรมในใจตน
โดยที่ไม่ต้องไปอ้อนวอนหรือขอใคร
อยากเกิดมาเป็นราชาที่ร่ำรวยคำขอบคุณ
หรืออยากเกิดเป็นยาจกที่ขอคนรักคนเห็นใจ คนเข้าใจและคนไม่รังเกียจ
ถามใจท่านดู
คนที่เป็นราชาได้คือคนที่ไม่ว่าเรื่องเล็กแค่ไหนก็ขอบคุณ
แบบนี้ก็ขอบคุณ แต่คนที่เอาแต่ขอก็คือ “ขออีกนิดสิ ดีกว่านี้ไม่ได้หรือ
ทำไมทำกับฉันแบบนี้” หรือแม้แต่ตัวเองก็ไม่เคยมีความสุขเพราะขอไม่จบ
ใช่ไหม (ใช่) เราอยากอยู่บนโลก
อยากอยู่อย่างคนที่ขาดทุนหรืออยากอยู่อย่างคนที่มีกำไรในความสุข
(คนที่มีกำไร) ฉะนั้นถ้าคนที่มีกำไรเขาเอาแต่ติ ว่า “ไม่ชอบ” จับผิด
หรือว่า “นั่นก็ดี โน่นก็ใช้ได้ นั่นก็น่ารัก นี่ก็สวยหล่อ”
แต่ชีวิตเราขอบคุณหรือตำหนิติเตียน (ขอบคุณ)
สงสัยเพิ่งจะขอบคุณตอนเราพูดใช่ไหม ฉะนั้นลองถามใจท่านเองนะ
ให้ท่านจำไว้เสมอว่า มนุษย์ทุกคนอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน
ไม่มีใครแย่และไม่มีใครดีเกิน จริงไหม (จริง)
เราอยู่กลางระหว่างฟ้าดิน เป็นฟ้าดี แต่ถึงเวลาเราก็ต้องเป็น “ดิน”
ได้ด้วย แล้วถึงเวลาเราก็ต้องเป็นกลาง
เพราะธรรมชาติสอนให้เรารู้ว่าอย่ายึดติดสิ่งใด
เพราะถ้าพยายามยึดติดอยากเป็นฟ้า พอโดนคนกดขี่ทำให้เป็นดิน
เราจะเป็นทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นเราเป็นอะไร (เป็นกลาง,
เป็นอะไรก็ได้) ตอบได้ดีนะ เป็นอะไรก็ได้
เพราะแม้กระทั่งยึดติดคำว่าเป็นกลาง พอโดนเขาว่าลำเอียงเราก็โกรธอีก
จริงไหม (จริง) ฉะนั้นเรารู้ตัวเองดีที่สุด
สำคัญแค่เพียงเท่านี้ว่าเรารู้ตัวเองดีที่สุดว่าเรามีกลางอยู่นะ
เราเป็นกลางอยู่นะ แต่ใจเรามันไม่เคยกลาง ใช่ไหม (ใช่)
เดี๋ยวยึดติดอยากเป็นนั่น ยึดติดอยากเป็นนี่ ทั้งที่จริงแล้วเราเป็นอะไรก็ไม่รู้
ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นธรรมะที่เรานำมายกตัวอย่างเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อมไหม (ไม่)
แต่เป็นเรื่องที่เห็นในชีวิตประจำวัน ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาที่เราโดนคนว่า
โกรธไหม (โกรธ) เวลาที่เราทำอะไรก็ตาม เราถามท่านนะ
สมมติว่าวันนี้เรามีดอกไม้อยากให้ท่าน เอาไหม (เอา)
ย่อมมีคนอยากรับและเฉยๆ ในโลกแห่งความเป็นจริงมักมีคนสามแบบ
แบบหนึ่งคือเอา แบบหนึ่งคือไม่เอา และอีกแบบคือเฉยๆ
ฉะนั้นเวลาเราทำอะไรก็ตาม ย่อมมีคนที่ชอบ มีคนที่ไม่ชอบ
และมีคนที่เฉยๆ
ฉะนั้นเราจะเอาเวลาทั้งชีวิตที่เรารู้ว่ามันมีจำกัดไปเสียเวลากับการแก้ตัวกับ
คนที่เฉยๆ หรือไปเสียเวลากับคนที่เกลียดเรา
หรือเอาเวลานั้นมาใส่ใจคนที่เข้าใจเราดีกว่า (ใส่ใจคนที่เข้าใจเรา)
(ท่านหลันต้าเซียนเมตตาให้นักเรียนออกมาหน้าชั้น
โดยให้คนที่หนึ่งและคนที่สองทำหน้ายิ้มและให้คนที่สามทำท่าชี้หน้าว่า)
ส่วนใหญ่ท่านใส่ใจคนไหนมากกว่า (หน้ายิ้ม)
ทั้งที่ในโลกของความเป็นจริง เป็นไปได้ไหมว่าจะมีคนยิ้มให้เราตลอด
ไม่มีคนชี้หน้าว่าเรา (ไม่มี) ถ้าอย่างนั้นเราควรใส่ใจกับคนชี้หน้าว่า
หรือใส่ใจคนที่ยิ้มให้เรา (ยิ้มให้เรา)
(ท่านหลันต้าเซียนเมตตาให้นักเรียนออกมาหน้าชั้นเพิ่มอีกหนึ่งคนและทำท่าชี้หน้า
ว่า)
เราถามท่านต่ออีกว่าในระหว่างสองคนที่ยิ้ม
กับสองคนที่ชี้หน้าว่าเราใส่ใจใครมากว่ากัน (คนที่ชี้หน้าว่า, คนที่ยิ้ม)
เราควรใส่ใจใครมากกว่ากัน เราควรหันกลับมาใส่ใจตัวเอง
เพราะถ้ามีคนยิ้มมากกว่า คนไม่ชอบน้อยกว่านั่นแปลว่าเรายังไม่ค่อยผิด
แต่ถ้าเกิดมีคนยิ้มเท่ากับคนต่อว่า เราต้องตรวจสอบตัวเอง
แต่ถึงเวลาท่านเอาแต่ (เอาแต่มองคนอื่น) ใช่หรือไม่
เราโกรธเพราะเหตุใดหรือ เราโกรธเพราะเขาชี้หน้าเรา
หรือเราโกรธเพราะเราไม่เห็นตัวเอง เพราะมัวเห็นแต่คนที่ทำร้ายเรา ใช่ไหม
(ใช่)  ฉะนั้นถ้าคราวนี้มีคนยิ้ม 2 คนและชี้หน้าคนเดียว เราควรใส่ใจใคร
หันกลับมาใส่ใจคนที่ยิ้ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อย่าได้รังเกียจคนที่โกรธ
เพราะเราจะร่วมกันทำให้คนที่โกรธคลายความโกรธได้ ใช่ไหม
ไม่ใส่ใจก็ไม่ได้แล้วจริงไหม เพราะหนึ่งคนที่คด
ย่อมสามารถทำร้ายร้อยคนเที่ยงตรงได้ ถ้าเป็นเรื่องของตัวเราเอง
เราต้องตรวจสอบ แต่ถ้าเป็นเรื่องของส่วนรวม เราต้องร่วมกันแก้ไข
เพราะเมื่อมีคนไม่ดีหนึ่งคน
คนไม่ดีหนึ่งคนก็พร้อมจะทำร้ายคนดีร้อยพันคนให้สูญเสียใจได้ จริงไหม
(จริง)  ฉะนั้นควรดูใคร ดูตัวเราใช่ไหม
ผู้ใดมักโกรธ ผู้นั้นย่อมพบทุกข์ ความโกรธครอบงำนรชน อยู่ที่ใด
ที่นั่นย่อมมืดมน  แล้วเรารู้ไหมว่าเราโกรธเพราะอะไร (รู้, ไม่รู้)
แม้ว่าเรามีธรรมแค่ไหน แต่ถ้าโกรธหนึ่งครั้งก็หมดธรรมเลย ใจดีแค่ไหน
แต่ถ้าโกรธหนึ่งครั้งก็ร้ายเลย ใช่ไหม (ใช่)
ใครสามารถยกมือบอกเราได้บ้างว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา ไม่เคยโกรธเลย
(ไม่มี) ไม่มีให้ชื่นใจเลยเหรอ อย่างนั้นถามใหม่นะ ใครบ้างที่เคยโกรธแล้ว
ไม่โกรธอีกต่อไปเลย (ไม่มี) ฉะนั้นใครฆ่าความโกรธได้ย่อมอยู่เป็นสุข
ใครฆ่าความโกรธได้ย่อมไม่โศกเศร้า พึงตัดความโกรธได้ด้วยการข่มใจ
หรือที่มนุษย์มักจะพูดบ่อยๆ ว่าพึงชนะความโกรธด้วยการไม่โกรธ
พึงชนะคนไม่ดีด้วยความดี พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้
อย่างนั้นเรามารู้สาเหตุของความโกรธก่อน ไม่ว่าอดีตจนถึงปัจจุบัน
พระพุทธะล้วนกล่าวไว้ว่า โกรธคือความยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง
เมื่อใดที่รู้สึกยินดี เมื่อนั้นจึงรู้จักโกรธ แต่ถ้าเมื่อไรเราไม่ยินดีอะไรในโลก
เราก็ไม่โกรธ พูดแบบนี้ไม่เข้าใจใช่ไหม (ใช่)  รู้จักรักเป็นก็โกรธเป็น
รักไม่เป็นก็โกรธไม่เป็น ยิ่งรักมากก็ยิ่งโกรธมาก ยิ่งชอบมากก็ยิ่งเกลียดมาก
ถ้าไม่รักไม่ชอบ ก็จะไม่โกรธไม่เกลียด ทำได้ไหม (ได้)  ทำยากใช่หรือไม่
(ใช่)
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ระหว่างฟ้าและดิน
เราจะไม่รักใครและเราจะไม่เกลียดใคร เพราะคนที่เราว่าน่ารัก
ยังมีคนที่น่ารักกว่า คนที่เราว่าน่าเกลียดยังมีสิ่งที่น่าเกลียดกว่า
เราจะรักไหม (ไม่รัก)  แล้วเราเคยเอามาเข้าใจไหม (ไม่เคย)
ฉะนั้นอย่าให้ธรรมเป็นแค่ธรรม
แต่จงเอาธรรมมาพิจารณาจนบังเกิดความเข้าใจในธรรม
อย่าแค่ฟังธรรมเป็นธรรม
แต่จงเอาธรรมมาพิจารณาจนเกิดสติตื่นรู้ในความเป็นจริงอันเป็นธรรม
พอเข้าใจไหม (เข้าใจ)
คนส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่โกรธบ่อย โกรธบ่อยๆ ก็ไม่ดี
โกรธทีเราก็ปิดประตูแห่งความสุข และเชื้อเชิญความทุกข์มาสู่ใจ
เวลาโกรธแล้วเราจะแก้อย่างไร ส่วนใหญ่จะพูดว่าข่มใจหรือให้อภัย
ข่มใจแล้วดีขึ้นไหม (ดี)  ถ้าเห็นหน้าคนที่เกลียดแล้วยังนึกโกรธไหม
อย่างนั้นเรามาดูวิธีแก้กันดีไหม (ดี)  โดยส่วนใหญ่เราไม่อยากมีความโกรธ
เพราะความโกรธเป็นศัตรูกับความเป็นคนดี เป็นศัตรูกับธรรมะ
โกรธเมื่อใดก็หนีไม่พ้นทุกข์ โกรธเมื่อใดก็เหมือนจุดไฟเผาตัวเองให้เจ็บปวด
ฉะนั้นถ้าเราไม่โกรธได้คงดีที่สุด ถูกหรือไม่ (ถูก)  เวลาเราโกรธ
เราพยายามข่มใจ ฉะนั้นถ้าข่มใจได้จนหมด
เห็นหน้าคนเกลียดจะรู้สึกอะไรไหม (ไม่)  แล้วเวลาใครว่าคนที่เราเกลียด
เราจะแอบหัวเราะในใจหรือไม่ (มี)
 บางครั้งน้ำเสียงในคำพูดของเราที่บอกว่า “อย่าไปว่าเขาเลย”
ก็แอบมีความสะใจอยู่ ใช่ไหม (ใช่)  ท่านรู้ไหมเมื่อไรมีคนหนึ่งที่เราโกรธ
แม้เราจะไม่พูดถึงแต่เมื่อเห็นหน้าเขา สิ่งที่เขาเคยว่าเรา
สิ่งที่เขาเคยทำร้ายเรา เรื่องราวต่างๆ กลับไหลลงสู่ใจหมดเลย
จำได้ไม่ลืมเลย ใช่ไหม (ใช่)  แม้ไม่พูดถึงแต่อย่าให้เห็นหน้า
เห็นแล้วสะกิดใจ ท่านรู้ไหมว่าแม้ปากเราไม่แสดงออก
แม้ตัวเราไม่แสดงออก แต่ใจที่คิดแบบนั้น พระพุทธะกล่าวไว้ว่า
“เป็นผู้ที่พยายามผูกเวร ผูกความโกรธและยังอยากจองเวรอยู่”
ฉะนั้นถ้าเราข่มใจแล้ว แต่ใจยังจำได้ไม่ลืม เราวางเฉยแล้ว
แต่ใจยังจำเก็บไว้ไม่ลืมเลือน แถมบ่อยครั้งนำไปพูดต่อ นำไปนินทาต่อได้
พระพุทธะเรียกคนเช่นนี้ว่า “คนที่พยายามทำเวรให้ยืดเยื้อ”
หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือคนที่ยังอยากผูกความโกรธไว้ในใจ หรือเรียกง่ายๆ
อีกก็คือคนที่อยากจองเวรจองกรรม ฉะนั้น เกลียดแล้วควรจำไหม (ไม่ควร)
แล้วรู้ไหมว่าผู้ที่พยายามผูกเวรผูกความโกรธและจองเวรหรือจำไม่ลืมนั้น
ท่านบอกว่าเมื่อเวลาความโกรธเกิดขึ้น ความโกรธครอบงำใจ
คนเช่นนี้อยู่ที่ไหนก็ทำบาปได้ทุกที่ จริงไหม (จริง)
 แล้วบาปนั้นยังให้ผลเป็นความทุกข์ เป็นกรรม ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ
อยากเจอเขาอีกไหม ถ้าอยากเจอจำให้แม่นนะ
เดี๋ยวจะกลับมาเจอไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน
ฉะนั้นจงอย่าจำความโกรธและให้มองเป็นธรรมดา
เราอยู่กลางฟ้าดินมีสว่างก็มีมืด มีร้ายก็มีดี ฉะนั้นเราอยู่กลาง เราไม่เคยต้องร้าย
และไม่ต้องดี เพราะเราอยู่กลางเสมอ จริงไหม (จริง)
ถ้าท่านเข้าใจธรรมที่เราพูด ท่านจะไม่ทุกข์ และไม่โกรธ
และไม่เกลียด และไม่ต้องจำให้เจ็บปวดใจ แล้วทำอย่างไรดี
ถ้าเจอคนที่ไม่ชอบ ข่มใจแล้ว ไม่ลืมแล้ว แต่ยังวางเฉยไม่ได้
พระพุทธะจึงสอนไว้ว่า อยากวางเฉยแล้วล้างกรรมกับเขาไหม (อยาก)
ไม่ต้องมาผูกกรรมกันอีก เอาไหม (เอา)
เพราะคนที่เกลียดเราต้องมีกรรมเวรกันมาก่อน ใช่ไหม (ใช่)
คนตั้งเยอะแยะไม่เกลียดแต่มาเกลียดเรา คนเยอะแยะไม่ด่าแต่มาด่าเรา
แปลว่าเราคงเคยทำกับเขาไว้ไม่มากก็น้อย กับอีกอย่างหนึ่งก็คือเราคงแย่ไม่
มากก็น้อย ใช่ไหม (ใช่)  แต่เราเคยยอมรับไหม (ไม่เคย)
ถ้ายอมรับไม่ได้มีอีกวิธีหนึ่งก็คือ ให้หมั่นมีสติครองใจ
เตือนตนเสมอเมื่อเจอคนที่เกลียด เขาไม่เคยดีกว่าเรา
และเราไม่เคยแย่กว่าเขา และเขาก็ไม่เคยแย่กว่าเรา
และเราก็ไม่เคยดีกว่าเขา ไม่รู้สึกว่าเรากับเขาเสมอกัน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ตลอด จะไม่มีจิตที่ก่อเกิดกิเลสและทำให้เราทุกข์อีกต่อไป
ยากไหม (ไม่ยาก) ลองดูสิ ในขณะที่เราเห็นคนที่เราเกลียด ใจเรามันนิ่ง
ไม่รู้สึกว่าเขาแย่กว่า ไม่รู้สึกว่าเขาดีกว่า
ไม่รู้สึกว่าเรากับเขาเสมอกัน ทั้งเขากับเราล้วนไม่มีใครดีกว่าใครหรือแย่ก
ว่าใคร หรือเสมอใคร เพราะเขากับเราล้วนไม่มี
เมื่อนั้นกิเลสจะไม่เกิดขึ้นในใจอีกต่อไปเลย เมื่อนั้นเรียกว่า
“ผู้สิ้นทุกข์สิ้นกิเลส โดยความเกลียดนำพาให้ท่านพ้นทุกข์ขณะที่เห็น”
ฉะนั้นทุกขณะจิต เราเกิดมาเพื่อสิ้นทุกข์ สิ้นเวร สิ้นกรรม
หรือเราเกิดมาเพื่อจองเวรจองกรรม และทุกข์ไม่จบสิ้น
แล้วเราเคยสิ้นทุกข์ไหม ไม่ต้องไปจัดการกับคนอื่น จัดการที่ตัวเราเอง
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเพราะเราเปรียบเทียบ
เรายึดติด ทำไมคนนี้เราชอบ แต่เพื่อนเราไม่ชอบ ทำไมคนนี้เราไม่ชอบ
แต่เพื่อนเรากลับชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นดีไม่ดี เกลียดหรือไม่น่าเกลียด
อยู่ที่เราไม่ใช่อยู่ที่ใคร อย่างที่เราพูดตั้งแต่ต้น อย่าลืมคุณค่าธรรมในใจตน
และอย่าละทิ้งความดีในใจตน ถึงเวลาเจอเรื่องราวอะไรก็ตาม
รักษาใจให้เฉยๆ ไว้ เราก็ไม่ต้องผูกใจเจ็บกับใคร
เพราะหลักการสำคัญของธรรมะ คือความสงบเย็น
ฉะนั้นสิ่งใดที่ทำให้เราสงบเย็นได้ นั่นก็คือจบ
เจอเขาจบไหม (ไม่จบ)  สิ่งสำคัญคืออยู่ที่ตัวเรา ถ้าเราทำถูกต้อง
ถ้าเราทำดีแล้ว อย่าไปกังวลว่าใครจะเป็นอย่างไร
เอาตัวเราให้ถูกต้องให้ดีก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นก็มีสุข
ที่ใดมีร้ายที่นั่นก็มีดี ขอเพียงไม่ยึดมั่นถือมั่นในความรู้สึก ไม่ยึดมั่นตัวตน
ท่านก็สามารถอยู่ร่วมกับผู้คนด้วยสติปัญญาที่หลุดพ้นและแจ่มชัด
ถ้าเราไม่ยึดมั่นความคิดตัวเอง คนต่อว่าเราได้ไหม (ได้)  ถูกโกงได้ไหม (ได้)
ถูกเอาเปรียบได้ไหม (ได้)  ใจจะได้โล่งๆ ใจจะได้เบาๆ ไม่ใช่ใจมีไว้เป็นขยะ
เก็บแต่สิ่งที่ไม่ดีอยู่ในใจ ตอนต้นเราก็พูดว่า ใจโล่งๆ เหมือนจะเป็นฟ้า
ใจหนักๆ ถึงจะเป็นดิน แล้วตอนนี้ใจโล่งหรือใจหนัก
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ก็คือ (ใจ)  ใจมีทั้งดีและไม่ดีใช่หรือไม่
(ใช่)  แล้วใจที่ไม่ดีก็คือใจที่ประกอบไปด้วยกิเลส อารมณ์
คือใจที่ตกเป็นทาสของกิเลส อารมณ์ และหนีไม่พ้นความทุกข์
ฉะนั้นถ้าอยากพ้นทุกข์ก็จงอย่าตกเป็นทาสของอารมณ์
ไม่ว่าเจออะไรก็ไม่ดีไม่ร้าย แค่สติพลันคิดก็พ้น เหมือนโดนเขาว่าปุ๊บ
สติคิดได้ปั๊บ เขาร้ายหรือก็ไม่ร้าย เราดีกว่าเขาหรือ ก็ไม่ได้ดี จริงไหม
(จริง)  ชั่วขณะนั้นพ้นความยึดติด ความโกรธ
เป็นอิสระจากเครื่องร้อยรัดที่เรียกว่ากิเลส อารมณ์ และอัตตาตัวตน
พ้นทุกข์ได้เลยในขณะนั้น แต่จะมีใครทำได้หนอ (มี)  ทำได้ไหม (ได้)
อยากทดสอบไหม (อยาก)  แน่ใจนะ (แน่ใจ)  ไอ้โง่ (ไม่เป็นไร) ขออภัยนะ
แต่ท่านเป็นคนพูดเองว่าอยากลองดู ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้น โง่ไหม เราเองก็โง่
ไม่โง่จะฉลาดไหม ถ้าทำตัวฉลาดถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเราโง่
เพราะถึงฉลาดอย่างไรก็มีคนฉลาดกว่า โง่ขนาดไหนก็มีคนโง่กว่า
แล้วเราจะโกรธอะไร ฉะนั้นถ้าเรามีสติ พึงระลึกในธรรมอยู่เสมอ
เราจะไม่เกลียดใคร ไม่โกรธใคร และไม่รักใครจนเกินไป
และสามารถมีสติรู้ตน ไม่จำเป็นต้องพึ่งใคร
เพราะเรามีสติตื่นรู้ในธรรมนั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อสักครู่คนที่มาช่วยเราอธิบายธรรม
อยากได้ดอกไม้จากเราบ้างไหม (อยากได้)
(ท่านหลันต้าเซียนเมตตาดึงกลีบดอกไม้ทิ้ง)
ถ้าดอกไม้ที่เราให้เหลือแค่นี้ เอาไหม (เฉยๆ)
จะได้ไม่รู้สึกเจ็บปวดและผิดหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นไม่ว่าเจออะไร
อย่าตีค่าสูง อย่าเหยียบย่ำให้ต่ำ แต่จงรักษาใจ
ประคองใจไว้ว่ามันไม่มีอะไรดีที่สุดและแย่ที่สุด จงรักษาความเฉยไว้
นิ่งไว้ แล้วเมื่อนั้นกิเลสจะไม่เกิดขึ้นในใจ
และท่านจะพบทางที่สว่างอย่างแท้จริงนะ
(ท่านหลันต้าเซียนเมตตาแจกดอกไม้ให้นักเรียน)
เผื่อพรุ่งนี้ดอกไม้จะออกดอกและตกผลได้บ้างนะ
ท่านอื่นอยากได้ไหม (อยาก)  บางทีอย่าอยากเลยนะ
เพราะถึงเวลาเราอยากได้ไป เราก็ดูแลได้ไม่ถึงที่สุด
เพราะสุดจากดอกไม้แล้ว ที่สุดก็คือความว่างเปล่า
ฉะนั้นสุดจากมือเราที่สุดแล้วก็คือความไม่มี แล้วเราจะยึดทำไมให้เจ็บปวด
จริงหรือไม่ (จริง)
ไปแล้วนะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันเรื่องธรรมะอีก ดีไหม (ดี)
เวลาเจอหน้ากันไม่ว่าใคร ไม่บ่นใคร ไม่มีอะไรเจ็บปวดใจ เพราะเราโล่งแล้ว
วางแล้ว จำไว้นะยิ่งบำเพ็ญยิ่งละ ไม่ใช่บำเพ็ญเพื่อยึด
เพราะความยึดเกิดขึ้นในจิตใจใคร
จิตใจคนนั้นย่อมไม่สามารถใช้สติปัญญาได้สมบูรณ์
ทำความดีแม้โดนคนว่า ทำความดีแม้โดนคนด่า
ทำความดีแม้ไม่มีใครเห็นค่า
ก็จงรักษาความดีโดยไม่ทิ้งธรรม เจออะไรไม่ต้องตัดสินว่าดี
จิตที่วางเฉยได้คือไม่เห็นว่าสิ่งใดดีกว่า แย่กว่าหรือเสมอกัน
เมื่อใดที่สามารถมีสติรักษาจิตนี้ได้ตลอด
เมื่อนั้นสติจะทำให้กิเลสไม่เกิดขึ้นในจิตใจ ไม่ต้องใช้ความข่มใจ
แต่ใช้การหันกลับมาดูใจ ไม่เปรียบเทียบ ไม่ยกค่า ไม่กดค่า
เพราะทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง


วันอาทิตย์ที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพมหานคร

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ไม่มีใครไม่โดนว่านั้นไม่มี หมั่นเตือนตนให้มีสติหนา
ยอมผิดบ้างแย่บ้างเป็นธรรมดา โลกธรรมหนาเตือนตนอย่าหลงไป

เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนคิดถึงกันบ้างไหม

* ศึกษาวิธีเพื่อบำเพ็ญที่จิตใจ  รู้ทุกอย่างดี ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับตน
เริ่มตรงนี้นั่นแหละ เริ่มตรงนั้นนั่นแหละ  ไม่รู้ก็จะรู้ได้ด้วยใจ
* * กี่ร้อยวิธี การบำเพ็ญเข้าสู่ใจ มองหาอะไรในทุกอย่างไม่เห็นมี
ชีวิตนั้นยิ่งใหญ่ เช่นความจริงยิ่งใหญ่ ไม่ทุกข์บ้างเป็นได้อย่างไร
* * * ที่ศิษย์คิดมีเป็นล้าน  ยังไม่พบว่ามีสุขจริงในตอนนี้
ครองปัญญากี่นาที  ให้นึกดูให้ดี ที่มีอันตรธานไปไหน
ก้าวง่ายง่ายในที่นี้ จะสุขทุกข์ร้ายดี ก็มีหนึ่งความหมาย

ฝึกบำเพ็ญเป็นสวรรค์ คืนวันสงบใจ
พรุ่งนี้แม้ไม่ได้ทุกอย่าง ไม่ทุกข์ใจอะไร  (ซ้ำทั้งเพลง, ***,---)

ทำนองเพลง : ยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


คิดถึงกันบ้างไหม (คิดถึง)  พอมีความทุกข์ก็ค่อยนึกถึงอาจารย์
(ไม่ใช่)
“ไม่มีใครไม่โดนว่านั้นไม่มี หมั่นเตือนตนให้มีสติหนา
ยอมผิดบ้างแย่บ้างเป็นธรรมดา โลกธรรมหนาเตือนตนอย่าหลงไป”
มีใครบ้างในโลกไม่เคยโดนว่า ไม่เคยโดนนินทา (ไม่มี)
แล้วโดนว่าโกรธไหม (โกรธ)  ในเมื่อไม่มีใครไม่เคยโดนว่า แล้วโกรธทำไม
อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อยนะ มีใครบ้างที่จะชมเราตลอด 24 ชั่วโมง (ไม่มี)
 แล้วถ้าเขาชมเราทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ศิษย์โกรธไหม (ไม่โกรธ)
 ไม่จริงหรอก เพราะชมบ่อยๆ เข้าก็คิดว่าเขาจะจริงใจกับเราไหม
ใช่หรือเปล่า (ใช่)
อาจารย์ถามง่ายๆ ศิษย์ยิ้มตลอดทั้งวันได้ไหม
ใครผ่านไปผ่านมาก็ยิ้มให้ (ไม่ได้)
 แล้วเป็นไปได้ไหมที่จะให้คนที่อยู่ตรงข้ามเราหรือคนที่เรารู้จักต้องยิ้มให้เรา
ตลอดเวลา เป็นไปได้ไหมที่เขาจะต้องพูดดีกับเราตลอดเวลา
เป็นไปได้ไหมที่เราจะไม่โดนว่า (ไม่ได้)
 เมื่อรู้ว่าเป็นไปไม่ได้แล้วเราควรโกรธไหม (ไม่ควร)  พุทธพจน์กล่าวไว้ว่า
การไม่นินทาในโลกไม่มี ใครไม่ถูกนินทาในโลกไม่มี
ทุกคนล้วนต้องถูกนินทา ถูกต่อว่า ฉะนั้นถ้าเราคิดว่าเป็นธรรมดา
เราจะโกรธไหม (ไม่)
คราวหน้าเวลาโดนใครว่า โดนใครนินทา จำไว้ว่า
พระอาจารย์จี้กงบอกแล้ว มันเป็นธรรมดา เกิดเป็นคนผิดบ้าง แย่บ้าง
ไม่เห็นเสียหายอะไรเลย หนังกำพร้าจะหายออกไปจากใจไหม
ใจเราจะเว้าแหว่งไปไหม หน้าเราจะมีรอยตีนกาเยอะขึ้นไหม
โดนว่าแล้วเราจะหมดหล่อไหม โดนว่าแล้วเงินของเราจะหมดกระเป๋าไหม
แล้วแย่อะไร แล้วทุกข์อะไร จริงไหม (จริง)
เขาว่าเราแล้วเงินของเราจะหายไปไหมถ้าเราไม่ให้เขา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นถ้าใครมายืมเงินอย่าให้เยอะ ให้เท่าที่ให้ไหว ให้เท่าที่คิดว่า
เขาไม่คืนก็ไม่เป็นไร แล้วเราจะได้มองหน้ากันติด ใช่ไหม (ใช่)
เหมือนธรรมแห่งความเป็นจริงในโลกนี้ มีดีก็มีร้าย มีร้ายก็มีดี
มีสุขก็มีทุกข์ มีคนชมก็มีคนด่าเป็นเรื่องธรรมดา
ถ้าเราเข้าใจความเป็นธรรมดาเราจะทุกข์ไหม (ไม่)
 มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด มีคนเกลียดเรา เราจะทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
 เมื่อไรที่มนุษย์เข้าใจความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาของโลก
มนุษย์จะทุกข์น้อยลง แต่ถ้าเมื่อใดเราไม่เข้าใจความเป็นธรรมดาของโลก
ความทุกข์ก็ยังสุมแน่นอก ก็ไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
 ศิษย์อยากอยู่อย่างคนที่เรารักกันเป็นมิตรกัน
หรืออยากอยู่กันอย่างศัตรูคู่อาฆาต (เป็นมิตร)  แล้วเวลาเจอหน้ากัน
พูดดีหรือพูดไม่ดี (ไม่ดี)  อ้าปากก็พูดไม่ดีแล้วใช่หรือไม่ เคยพูดหวานๆ
กันไหม ในเมื่อจริงๆ แล้วทุกคนก็อยากได้มิตรมากกว่าอยากได้ศัตรู
อยากได้คนรักมากกว่าคนเกลียด อย่างนั้นทำไมเราไม่ทำสิ่งที่ดีงาม
โลกนี้น่าอยู่เพราะทุกคนต่างเกื้อกูลกัน เข้าใจกันและเห็นใจกัน
ไม่ใช่แค่ดีเท่านั้น คนบางคนชอบดี ใครทำอะไรต้องดีก่อน ฉันดีก่อน
บางทีถอยให้คนอื่นดีบ้าง ให้เขาได้ดีบ้าง ไม่เป็นไร ใช่ไหม (ใช่)
แล้วเราเป็นแบบไหน ติดดีจนใครว่าเราไม่ดีไม่ได้
บางครั้งถ้าเราไม่ดีแล้วคนอื่นดีขึ้นก็สุขใจเล็กๆ ใช่ไหม
คิดถึงกันบ้างไหม (คิดถึง)  เรายังไม่รู้จักกันเลย
ในวันที่ศิษย์ได้รับธรรมะนั้นก็เป็นวันแรกเริ่มที่เราได้เป็นศิษย์อาจารย์กัน
ศิษย์จะรับไม่รับไม่เป็นไร แต่อาจารย์รับศิษย์ทุกคน
เอาไม่เอาไม่เป็นไรแต่ถ้าได้รับแล้วอาจารย์รักศิษย์ทุกคน
แต่ขอให้ศิษย์รู้จักดูแลตัวเองให้ถูกก็พอ
อาจารย์ถามง่ายๆ มีอะไรในโลกนี้ที่มีแล้วไม่ทุกข์ (ไม่มี)
ถ้าศิษย์ดำเนินชีวิตแล้วพึงมีสิ่งนี้ตลอด
ไม่ว่าศิษย์จะมีอะไรเพิ่มขึ้นมาหรือมีอะไรอยากได้ขึ้นมาก็จะทำให้ศิษย์ไม่ทุก
ข์ได้ อะไรหรือ (สติ)  ความตื่นรู้ มีสติตื่นรู้ในความจริง
เราจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร สมมติว่าละครชีวิตของอาจารย์ตั้งแต่เกิดจนตาย
อาจารย์สามารถฉายดูได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่ออาจารย์ดูจบแล้ว
เมื่อถึงเวลาอาจารย์ไปใช้ชีวิตจริง เวลาอาจารย์เจอทุกข์ เจอความผิดหวัง
อาจารย์จะเสียใจไหม (ไม่)  เพราะอาจารย์รู้ก่อนแล้ว ใช่ไหม (ใช่)
เวลาอาจารย์จะตาย อาจารย์จะเศร้าไหม
เพราะอาจารย์รู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะต้องตาย ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าอาจารย์พลัดพราก อาจารย์จะเศร้าไหม (ไม่เศร้า)
เพราะอาจารย์มีสติตื่นรู้แล้วว่าอาจารย์ต้องพลัดพราก
ฉะนั้นมีคนมาด่าอาจารย์ อาจารย์จะเศร้าไหม (ไม่เศร้า)
มีคนมาโกงอาจารย์จะเศร้าไหม (ไม่เศร้า)  มีคนมาดูถูกอาจารย์
อาจารย์จะเกลียดไหม (ไม่เกลียด)  เพราะอาจารย์รู้จนจบแล้ว ใช่หรือไม่
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์กลับ ศิษย์ต้องพลัดพรากไหม
(ต้อง)  ศิษย์ต้องตายไหม (ตาย)  ศิษย์ต้องเจ็บไหม
(เจ็บ)  ศิษย์ต้องทุกข์ไหม (ทุกข์)  ศิษย์ต้องโดนด่าไหม (โดน)
 พระพุทธะสอนธรรมะให้เพื่อ “แค่รู้” เมื่อไม่รู้ชีวิตจึงแสดงออกเป็นกิเลส
กรรม การเวียนว่าย ทุกข์ เมื่อตื่นรู้ด้วยสติและปัญญาเห็นแจ้ง
ชีวิตจึงแสดงออกด้วยปัญญา ฉะนั้นธรรมไม่ได้สอนให้คนโง่
แต่ธรรมสอนให้เราฉลาด อยู่กับทุกข์แต่ไม่ทุกข์กับมัน
ธรรมสอนให้เรารู้ด้วยสติ แห่งความจริง
แต่มนุษย์ทุกข์เพราะไม่มีสติรู้ยอมรับความจริง ยึดติดแต่สิ่งที่ตัวเองคิด
ถ้าเรามองแล้วคิดทันทีว่าเขาด่าเป็นธรรมดา กรรมก็ไม่เกิด
บาปก็ไม่มี ทุกข์ก็ไม่เอา เขาชมก็เป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)
สมมติอาจารย์เหงา อยากมีใครสักคน ลึกๆ เรารู้ไหมว่า
การมีใครสักคนหนึ่ง มีได้ก็มีเสีย มีสุขก็มีทุกข์
มีรักก็ต้องมีผิดหวังและรังเกียจ อาจารย์ถามจริงๆ
จะเลือกเขาแล้วไม่รู้หรือว่าวันนี้เขาสวย พรุ่งนี้เขาจะไม่สวย รู้ไหม (รู้)
แล้วรู้ไหมว่าจริงๆ แล้วเห็นเขาดีแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วเขาก็ร้ายอยู่ รู้ไหม
(รู้)  แต่ก็เอาไหม (เอา)  ฉะนั้นศึกษาธรรมะ ไม่ได้ศึกษาเพื่อสะสม
การนั่งสมาธิเก่ง สวดมนต์เก่ง ทำบุญเก่ง
แต่แก่นหลักของการศึกษาธรรมะคือตื่นรู้ในความเป็นจริงด้วยสติปัญญาที่เ
ห็นชัดในสิ่งที่ตัวเองอยากมี อยากได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราจะมี จะเอา
จะได้ ก็จะไม่ทุกข์เพราะทำใจไว้แล้วว่าต่อไปเขาก็จะน่าเกลียด
ทำใจไว้แล้วว่าต่อไปเขาก็หุ่นไม่สวย ใช่ไหม (ใช่)
 คนที่แต่งงานตอนแรกคิดว่าเขาจะเป็นอย่างนี้ไหม (ไม่)
 แล้วรู้ไหมว่าเขาจะเปลี่ยนไปมากกว่านี้ (รู้)
เหมือนรจนารู้ไหมว่าคนที่เลือกเป็นเงาะป่า (ไม่รู้)
คิดว่าเป็นองค์ชายถอดรูป ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บังเอิญเขาไม่ยอมถอดรูปเงาะ
ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าศิษย์ไม่หลอกตัวเอง ศิษย์จะเห็นตั้งแต่ต้นจนจบ
เห็นอย่างคนมีสติและอยู่กับทุกสิ่งอย่างไม่ทุกข์
หลักสำคัญของธรรมะสอนให้เราแค่รู้ด้วยสติ
รู้ความจริงอันเป็นแก่นของธรรมะที่เหมือนกันหมดทุกอย่าง มีได้ก็มีเสีย
มีดีก็มีร้าย มีสุขมากก็มีทุกข์มาก มีผิดหวังก็มีสมหวัง
มีสมหวังก็มีผิดหวังเป็นธรรมดา
 เมื่อไรที่มนุษย์เข้าใจหลักอันเป็นธรรมดาแล้ว
เราจะสามารถอยู่อย่างไม่ทุกข์ อยู่อย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น
ที่เรียกว่าไม่จำเป็นต้องจับแล้วค่อยปล่อย
แต่รู้จักที่จะปล่อยไปตามความเป็นจริง
หน้าที่ของเราคือดีที่สุดกับเขาหรือยัง ดีที่สุดกับทุกคนหรือยัง
ถ้าดีที่สุดแล้วไม่จำเป็นต้องเสียใจว่าผลจะเป็นอย่างไร เพราะทำเต็มที่
สู้สุดใจ จะกลัวอะไรเมื่อมีปัญญา จริงไหม (จริง)  แต่คนบางคนไม่สู้
หวังจะพึ่งเขาๆ แล้วใครเสียใจ (เรา)
 เพราะเขาอาจมีเปลี่ยนใจและรำคาญเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีอะไรแล้วไม่ทุกข์ (มีสติตื่นรู้ความเป็นจริงของชีวิต)  ในโลกนี้มี 2
อย่าง อย่างแรกเรียกว่ารูป อีกอย่างเรียกว่านาม
และในรูปนามมีแก่นเดียวกันคือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
“มีสติตื่นรู้ในความเป็นจริงอันเป็นธรรมดา” และถ้าขยายคำว่า
“ธรรมดา” มีอะไรบ้าง
ทุกสิ่งมันเกิดและมันก็ดับอยู่ทุกขณะ แปลว่าทุกอย่างมันเกิดและดับ
และมันก็จบไปแล้ว แต่คนที่ไม่จบคือตัวเรา ที่ยังยึดถือ ถูกหรือไม่ (ถูก)
สิ่งใดมีความเกิด
สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ฉะนั้นสิ่งที่เราอยากจะขยายธรรมดา
นั่นก็คือ มันมีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์
และถึงที่สุดคือความว่างเปล่า ไม่เที่ยงก็คือ มันเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ
ใช่หรือไม่ (ใช่)  เช่นอาจารย์ถามศิษย์ว่า ศิษย์เกิดกิเลสตอนไหน
เกิดตอนที่เขาด่าศิษย์จบแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อไม่จบมันเลยกลายเป็นกิเลส
แต่ถ้าเรามีสติรู้ทันความเป็นธรรมดาของทุกสิ่งว่ามันเกิดแล้วดับ
มีสติรู้ทันความเป็นจริงอันเป็นธรรมดาว่ามันเกิดแล้วดับ
เราจะลากแล้วเอาตัวเรามาขังอยู่ในความเกลียด เขาด่าเรา เขาแช่งเรา
เขาว่าเราไหม (ไม่)
ฉะนั้นมนุษย์คือผู้ที่สร้างความทุกข์แล้วนำความทุกข์นั้นมาขังตัวเอง
ทั้งที่สิ่งที่เป็นทุกข์นั้นมันจบไปนานแล้ว จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจความเป็นธรรมดาอันธรรมชาติที่มันมีเกิดมีดับอยู่ทุกขณะ
เราจะทุกข์ไหม (ไม่)  มีแต่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะพรุ่งนี้ (ไม่รู้)
ขึ้นอยู่กับวันนี้เราทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  มันเกิดแล้วดับทุกขณะ
แล้วศิษย์จะพยายามปล่อยวางทำไม
ถ้าศิษย์พยายามปล่อยวางแสดงว่าศิษย์ยังเอามายึด ถูกไหม (ถูก)
หรือที่ศิษย์ชอบพูดธรรมะอีกข้อหนึ่งเป็นธรรมดาก็คือ มีแค่ปัจจุบัน
ถ้าเมื่อไรลากอดีต ปัจจุบัน อนาคตมารวมกัน
เรียกว่าสร้างกรงขังคำว่าอัตตาตัวตน แต่ถ้าเมื่อไรมีแค่ตอนนี้ เดี๋ยวนี้
อัตตาตัวตนก็จะไม่มี
คำว่าชีวิตเกิดขึ้นจากอัตภาพที่เรียกว่าจิตใจ
และจิตใจก็แปรเปลี่ยนไปตามความรู้ความคิดที่เราสั่งสม ฉะนั้นเมื่
อไรที่มีความรู้ความคิดที่เราสั่งสม รวมเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอัตตาตัวตน
เราคิดอย่างไร นั่นแหละตัวเราเป็นแบบนั้น เรารู้เราสนุกเราชอบอะไร
นั่นคือตัวตนเราเป็นอย่างนั้น
เช่นศิษย์ถามอาจารย์ว่าทำไมต้องศึกษาธรรม ทำไมต้องปฏิบัติธรรม
เราศึกษาธรรมก็เพื่อให้เข้าใจความเป็นจริงที่ทำให้เราไม่ทุกข์และเข้า
ใจตัวตนที่แท้จริง สมมติอาจารย์คือต้นไม้ต้นหนึ่ง เมื่อมีเกิดขึ้น ก็มีออกดอก
แล้วก็มีออกผล เป็นธรรมดาใช่ไหม (ใช่)  สุดท้ายแล้วก็ตายไป ใช่หรือไม่
(ใช่)  ฉะนั้นถ้าไม่มีเมล็ดพันธุ์ของความอยาก มันจะขึ้นมาได้ไหม (ไม่)
ไม่มีเมล็ดพันธุ์ของความยึดและหลงชอบ ต้นไม้ต้นนี้จะกลับมาไหม (ไม่)
ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าตัวเราเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป
สิ้นเมล็ดพันธุ์แห่งความยึดมั่นถือมั่นว่าฉันชอบแบบนั้น ฉันอยากมีแบบนี้
ฉันอยากเป็นแบบนั้นฉันอยากเป็นแบบนี้
ฉะนั้นเวรกรรมของเราเลยไม่จบไปจากการตาย
เวรกรรมของเราเลยจบไปกับเมล็ดพันธุ์ที่เราเพาะลงไปในจิตใจ เข้าใจไหม
(เข้าใจ)  ฉะนั้นเมล็ดพันธุ์ก็เลยไปตามบุญ บาป และกรรม
อย่างที่เรียกว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  กรรมดี
กรรมชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราทำอะไรที่สว่าง เบา ใส ก็เรียกว่าเป็นบุญ
ถ้าเราทำอะไรที่ขุ่นมัว หนักก็เป็น บาป หรือเรียกว่าบาปนี้คือ โลภ โกรธ
หลง ซึ่งเป็นทางมาแห่งบาป ทุกข์และการเวียนว่าย
ฉะนั้นถ้าทุกขณะจิตกลับมาสู่ความคิด
ถ้าทุกขณะจิตที่ศิษย์กระทำตามความรู้ตามความเข้าใจด้วยสติที่ตื่นรู้
ในธรรมไม่ได้ทำตามความอยาก กิเลส อารมณ์
สิ่งที่ทำมันก็เลยไปกลายเป็นธรรมดาอันเป็นธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่)
แล้วเราก็กลับคืนสู่ธรรม ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่เราไม่ใช่แบบนั้น เรามักจะ
“ขออีกนิดสิ ขออีกหน่อยสิ” ใช่ไหม (ใช่)  “ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น
ทำไมไม่เป็นอย่างนี้” ดังตามหลักพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า อวิชชา ตัณหา
อุปาทาน เพราะไม่รู้จึงอยาก จึงยึด แต่ถ้าเรารู้ชัดเราจะไม่อยากเราจะไม่ยึด
เพราะมีแต่ทุกข์ยึดไม่ได้ เพราะถึงที่สุดก็ว่างเปล่า ใช่ไหม (ใช่)
ถ้ายึดก็หนีไม่พ้นกรรมดี กรรมชั่วที่เราต้องไปแบกรับ ถูกหรือไม่ (ถูก)
เราเกิดมาพร้อมกับความอยาก อย่างแรกอยากได้เงิน เงินร้ายไหม (ร้าย)
เงินทุกข์ไหม (ทุกข์)  ผู้ชาย ผู้หญิงร้ายไหม (ไม่ร้าย)  ผู้หญิง ผู้ชายร้ายไหม
(ไม่ร้าย)  มีเงินแล้วอยากมีผู้ชายไหม (ไม่อยาก)
มีเงินแล้วผู้ชายอยากมีผู้หญิงไหม (อยากมี)  จริงไหม (จริง)
พอมีเงินแล้วเราก็อยากได้บ้าน ได้รถ ทรัพย์สินอยากได้ใช่ไหม (ใช่)
ทรัพย์สินร้ายไหม (ไม่ร้าย)  ทำเราทุกข์ไหม (ทุกข์)
ศิษย์บอกว่าเงินทำให้ทุกข์ บ้านก็ทำให้ทุกข์ รถก็ทำให้ทุกข์
ทรัพย์สินก็ทำให้ทุกข์ เราสะสมทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  และยังเอาอีกไหม (เอา)
แล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)  ธรรมะไม่ต้องไปแก้เหตุแล้วถ้าแก้ตรงนี้ไม่ได้
รู้ว่าทุกข์เอาไหม (เอา)  ทุกข์ไหม (ทุกข์)  เจ็บไหม (เจ็บ)  เข็ดไหม (ไม่เข็ด)
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่รู้อยู่ว่าเงิน บ้าน รถ ทรัพย์สิน มีแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์)
แล้วสิ่งนี้เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ ใช่ไหม (ไม่ใช่)  เพราะเงิน บ้าน รถ ทรัพย์สิน
ไม่ทำให้เราทุกข์ แต่คนที่ทุกข์คือคนที่พยายามยึดเงิน ยึดบ้าน ยึดรถ
ยึดทรัพย์สิน ต้องมี ต้องได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแล้วขับรถคันเก่ากว่าคนอื่น
อายไหม (อาย)  ทุกข์ไหม (ทุกข์)  แล้วมีทำไม
อาจารย์อยากบอกว่าเงิน บ้าน รถ ทรัพย์สิน คนรัก ชีวิต จิตใจ
เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากมีแล้วยึดไว้ทุกสิ่ง แล้วรู้ไหมว่ามีแล้วทุกข์ ศิษย์ก็รู้
แต่ศิษย์ก็ยังยึดติด อย่างนั้นเงินทำให้เราทุกข์หรือตัวเราที่ทำให้ทุกข์
(ตัวเรา)  เงิน บ้าน คนรักไม่ได้ร้าย แต่การมีเงินโดยไม่คำนึงถึงธรรม
การมีเงินโดยเห็นแก่ตัวการมีเงินโดยผิดศีล ผิดธรรม
การมีคนรักโดยคิดถึงแต่ตัวเองเป็นหลัก ไม่สนใจความจริง
นั่นทำให้มีจิตใจที่เป็นทุกข์ ฉะนั้นปัญหาไม่ได้อยู่ที่เงิน บ้าน รถ
แต่ปัญหาอยู่ที่เมื่ออยากจะมีแล้ว มีไม่เป็นก็เลยเกิดทุกข์
แล้วเคยนำธรรมะมาสอนใจไหม ก็ไม่เคย ศิษย์มักจะเป็นกันแบบนี้
แล้วศิษย์รู้ไหมบางครั้งผิดครั้งเดียวทำกับเขาเจ็บครั้งเดียว
ใช้คืนทั้งชาติก็ไม่หมด ถ้าเขาจำแล้วก็ไม่ลืม จริงไหม
(จริง)  ยกตัวอย่างง่ายๆ เราตบหัวเขาแล้วค่อยพูดว่า “ขอโทษ”
ศิษย์ว่าเขาจะลืมไหม โกรธไหม จำได้ไหม แค้นไหม (แค้น)
 แล้วพูดว่าขอโทษ เขาจะหายโกรธไหม (ไม่หาย)
ไปตบหัวเขาแล้วท่องบทแผ่เมตตา เขาจะหายโกรธไหม (ไม่หาย)
 ถ้าเราจะแก้เราต้องแก้ที่ต้นเหตุ
ฉะนั้นมีอย่างไรไม่ให้ทุกข์ มีโดยไม่ขาดศีล มีโดยไม่ขาดธรรม
มีโดยไม่เห็นแก่ตัว มีโดยที่เมื่อเงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน มีเงิน
มีรถ เมื่อเจอใครก็ไม่ละอายใจแม้รถจะเก่า แม้จะแต่งตัวใส่เสื้อขาดๆ
แต่ก็ยืนข้างๆ กับคนที่แต่งตัวภูมิฐานได้อย่างภูมิใจว่าฉันก็มีดี
ไม่เห็นต้องอายเลย สิ่งสำคัญของการมีก็คือธรรมแห่งความเป็นคน
เราอยู่ในโลกไม่ว่าหาอะไรก็ตาม ถ้าหาแล้วยืนบนความทุกข์ของคนอื่น
การหาของศิษย์ก็ไม่เรียกว่าธรรมะ
เรียกว่าทำให้พ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าเราหาเงิน หาบ้าน หาทรัพย์สิน
มีคนรักมีชีวิตจิตใจ และศีลไม่ขาด ธรรมไม่พร่อง ความเป็นคนไม่ด่างพร้อย
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำเราทุกข์หรอก แต่สิ่งที่ทำเราทุกข์คือ
ใจเราเองที่โลภจนลืมคุณธรรม ใจเราเองที่มันเห็นแก่ตัว จนลืมเห็นหัวใครๆ
ใจเราเองที่สนใจแต่ตัวเอง แต่ไม่สนใจใคร ทั้งที่อาจารย์ถามจริงๆ
ว่าเรายืนบนโลกนี้ เราสามารถยืนโดยไม่พึ่งใครได้ไหม (ไม่ได้)
เราต้องพึ่งกันใช่หรือไม่ แล้วโลกน่าอยู่เพราะว่าคนต่างเห็นแก่ตัว
หรือโลกน่าอยู่เพราะคนต่างเข้าใจกัน เห็นใจกัน เอื้อเฟื้อกัน ใช่ไม่ใช่ (ใช่)
(นักเรียนขอให้พระอาจารย์ตีหัว เพื่อให้ขาแข็งแรง)
ศิษย์เอ๋ย ทุกอย่างอยู่ที่กำลังใจ ไม่มีใครไม่เจ็บป่วย
ไม่มีใครไม่เป็นโรค แต่สำคัญอยู่ที่ใจสู้ไหม
ถ้าสู้เราก็อยู่กับโรคด้วยความสุขได้ แต่ถ้าไม่สู้แม้ไม่เจ็บป่วยเราก็ทุกข์ได้
เพราะคิดไม่เป็น จริงหรือไม่ (จริง)
 การเรียนรู้ธรรมะไม่ใช่ให้เราเชื่อแต่ปาฏิหาริย์แล้วไม่ยอมพึ่งตัวเอง
การศึกษาธรรมะเพื่อสอนให้เรารู้จักพึ่งตัวเองและยืนอยู่กับความเป็นจริง
อย่าหลอกใจตัวเอง
ถ้าศิษย์รักตัวเอง เคารพตัวเองศิษย์อย่าหลอกใจตัวเอง
และจะไม่มีใครหลอกเราได้ เหมือนที่อาจารย์คุยกับศิษย์ตั้งแต่ต้น
อาจารย์ถามว่าเงินเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนอยากได้
แต่เงินไม่น่ากลัวเท่ากับใจที่อยากได้แล้วไม่รู้จักพอ
เพราะคนที่ไม่รู้จักพอหาเท่าไรก็มีแต่คำว่า “ไม่มี” หามาเยอะๆ
ก็เหมือนไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์อยากหาเท่าไรแล้วยิ่งมีไหม
ให้ลดความอยากของตัวเองให้น้อย แล้วสิ่งที่มีมันจะเยอะขึ้นมาทันที
จริงไหม (จริง)  แต่เงินพอมีเท่านี้ก็อยากให้มีเท่าโน้น หาเท่าไรมันก็ไม่พอ
ฉะนั้นลดความอยากให้น้อยที่สุด แล้วเงินที่ศิษย์บอกว่าหนึ่งร้อยมันน้อย
อาจารย์จะบอกว่ามันเยอะ จริงหรือไม่ (จริง)
อีกเรื่องหนึ่งศิษย์หลายคนเหงา อ่อนแอแล้วก็ว้าเหว่ ใช่ไหม (ใช่)
เหงา อ่อนแอ ว้าเหว่ ทั้งหมดซึมเศร้าแปบนึง ใครจะมาทำอะไร เหงา
คนที่เอาแต่รอให้คนอื่นรัก จะรักตัวเองไม่เป็น
ส่วนคนที่รู้จักรักคนอื่นให้เยอะๆ ดีกับคนอื่นให้มากๆ ช่วยคนอื่นให้เต็มที่
จะไม่มีวันเหงา หงอย เศร้า
เพราะความสุขของมนุษย์มีแล้วแต่ถ้ามันไม่มีค่าไม่มีความหมายและไม่มีกา
รยอมรับ ความสุขนั้นไม่ใช่สุขที่แท้จริง จริงไหม (จริง)
 เพราะเราไม่เคยได้การยอมรับจากใคร
เพราะเราไม่มีคุณค่าสำหรับใครและเราไม่มีความหมายเพื่อใคร
ความสุขนั้นมันก็เลยกลายเป็นซึมเศร้า
กับอีกแบบหนึ่งรับเรื่องของชาวบ้านมาเยอะเกินไปคนโน้นก็อยากช่วย
คนนี้ก็อยากช่วย คนนั้นก็อยากช่วย ไม่ไหวแล้ว
อะไรทำไมชีวิตมันเยอะขนาดนี้ เข้าสู่ภาวะความเศร้า
อยากจะช่วยคนอื่นแต่ตัวเองเอาไม่รอด
ฉะนั้นศิษย์ต้องมีสติรู้ความเป็นจริง เราเห็นจริง
ไม่ใช่เอามาให้เราทุกข์ แต่เราเห็นจริงเพื่อเอามาเห็นชัดจนพ้นทุกข์
เหมือนชีวิตนี้เกิดมามือเปล่า ไปมือเปล่า เอาอะไรไปได้ไหม (ไม่ได้)
สามีเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  เงินเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)  ลูกเอาไปได้ไหม
(ไม่ได้)  ภรรยาเอาไปได้ไหม (ไม่ได้)
แต่ศิษย์ก็บอกอาจารย์ว่าให้ศิษย์รวยก่อน ให้ศิษย์สุขก่อน
เดี๋ยวศิษย์ค่อยมาบำเพ็ญ พออาจารย์ให้ศิษย์รวย ศิษย์กลับต่อรองอีกว่า
ขอให้ลูกๆ ของศิษย์รวยก่อน
ขอดูแลเลี้ยงหลานก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยไปบำเพ็ญ
ถึงเวลาต้องตายแล้วตอนนั้นทำใจทันไหม (ไม่ทัน)  ปลงทันไหม (ไม่ทัน)
แต่ถ้าเรารู้เห็นชัดว่าถึงที่สุดเราก็เอาอะไรไปไม่ได้
โลกนี้ทุกสิ่งที่เหมือนหาได้แต่ก็ครอบครองไม่ได้ เหมือนมีแต่ก็เหมือนไม่มี
ความจริงมันบอกใจศิษย์ทุกอย่าง ศิษย์มีคนรัก ศิษย์มีรถ ศิษย์มีเงิน
ศิษย์มีบ้าน แต่ถึงเวลาทำไมใจลึกๆ เหมือนไม่มีอะไร
เพราะธรรมชาติต้องการบอกว่า ถึงที่สุดแล้วสิ่งที่ศิษย์หา มันก็คือความไม่มี
แล้วชีวิตนี้ทั้งชีวิต ศิษย์จะยอมเสียเวลาในชีวิต เพื่อได้มาแค่รถ บ้าน คนรัก
ลูกหลาน หรือศิษย์จะรู้จักที่จะมีบ้าน มีรถ มีลูกหลาน
และรู้จักบำเพ็ญตัวเอง เมื่อเราพ้นได้ ลูกหลานเห็น เขาก็พ้นตาม
เราทุกข์ครอบครัวก็ทุกข์ เราสุขครอบครัวก็สุข
เราพ้นทุกข์ครอบครัวก็จะพ้นทุกข์ แล้วทำอย่างไร
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท
คำว่า “ปรามใจตัวเอง”)
นำไปทำให้ได้ก็พอ ถ้าทำได้นะ ดีกว่าคำขอบคุณอีก เวลาที่เรามีลูก
เราอยากให้ลูกด้อยกว่าหรือเก่งกว่าพ่อแม่ (เก่งกว่า)
 อาจารย์ก็อยากได้ศิษย์ที่เก่งกว่าอาจารย์นะ
สิ่งไหนเรียกว่าบำเพ็ญ แล้วบำเพ็ญแบบไหน
ยังไปทำบุญตักบาตรได้ไหม (ได้)  ยังจะต้องมีศีลห้าครบถ้วนด้วย
เพราะศีลห้าทำคนให้เป็นคนที่ปกติ คนที่ขาดศีลห้าคือคนผิดปกติ
อาจารย์ถามนะ ใครจะเบียดเบียน เข่นฆ่า
ต่อว่าหรือโกหกคนอื่นทันทีที่เกิดมา แบบนี้ใช่คนปกติไหม (ไม่)
 แค่เราปกติก็คือเราไม่คิดเบียดเบียนใคร เราไม่คิดฆ่าใคร
เราไม่คิดทำร้ายใคร นั่นก็คือการมีศีลห้าครบ ใช่หรือไม่
เราไม่คิดอยากมีชู้มีกิ๊กทางไลน์ ใช่ไหม (ไม่)
เราไม่แอบดูสิ่งที่ไม่น่าดูทางไลน์ ทางเฟซบุค ใช่ไหม
(ใช่)  ศิษย์จำไว้นะว่าถ้าเมื่อไรศิษย์เปิดดู เท่ากับศิษย์เพิ่มยอดไลค์การดู
แปลว่าศิษย์ส่งเสริมให้อันนี้มันโดดเด่น มันเด่นดังขึ้นมาในทางที่ไม่ดี
แปลว่าเราร่วมบาปด้วยนะ จริงไหม (จริง)
ภาพคนแก้ผ้ายอดไลค์ทะลุล้านวิว
แล้วหนึ่งในล้านวิวเราเป็นหนึ่งในนั้นที่แอบดู ควรไหม (ไม่ควร)  ดูไหม (ไม่ดู)
การฝึกปฏิบัติเริ่มต้นง่ายๆ ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนดีไหม (ดี)
อะไรเรียกว่าบำเพ็ญ เป็นคนดีไหม (ดี)  มีน้ำใจไหม
(มี)  ศิษย์ของอาจารย์เป็นคนมีน้ำใจไม่นิ่งดูดายใคร ไม่กินแรง ไม่เอาเปรียบ
ไม่ข่มเหงใคร ใช่ไหม (ใช่)  ที่ต่ำกว่าไม่เคยกดขี่ ที่สูงกว่าไม่เคยนินทา
ใช่ไหม (ใช่)  สูงก็นินทา ต่ำก็กดขี่ แอบใช้แรงเขา จริงไหม (จริง)
ยอมรับได้ก็แก้ได้เปลาะหนึ่ง ถ้าไม่ยอมรับมันก็ผิดอยู่วันยังค่ำนะศิษย์เอย
ฉะนั้นเริ่มต้นแรก อาจารย์บอกให้ง่ายๆ ในการฝึกฝนบำเพ็ญ
คือไม่ต้องเป็นคนดี ขอแค่เพียงชั่วไม่ทำ บาปไม่ก่อแต่ถ้าดีแทบตาย
ชั่วก็ทำ บาปก็ก่อ อาจารย์ไม่รู้ว่าดีตรงไหน บุญทำไหม (ทำ)
แล้วด่าคนไหม (ด่า)  เบียดเบียนเขาไหม (เบียดเบียน)
 ฉะนั้นละบาปบำเพ็ญบุญเรียกว่าการเริ่มต้นบำเพ็ญธรรม
และมีโอกาสหมั่นสร้างบารมีเป็นทานด้วยการมอบธรรมให้กับทุกคนโดย
ไม่เจาะจง บางคนบอกวันนี้เคราะห์ไม่ดี ดูดวงแล้วไม่ดี ราหูอมจันทร์ จริงๆ
อาจารย์ว่าปากนี่แหละอมสิ่งที่ไม่ดีนิสัยเป็นหนอง ใช่ไหม (ใช่)
 ถ้าจะแก้ไม่ใช่ไปสะเดาะเคราะห์ ต้องแก้ที่ปากและนิสัย
อยากเปลี่ยนชีวิตต้องเปลี่ยนความคิดและความรู้ความเข้าใจในตัวเอง
ถูกหรือไม่ (ถูก)
วิธีที่ศิษย์จะสร้างบารมีก็คือ อยู่กับใครให้ธรรมะเป็นทาน ให้เมตตา
ผู้อาวุโสกว่าให้ความเคารพซื่อตรง ซื่อสัตย์
ทำหน้าที่ด้วยความสุจริตใจและจริงใจ บำเพ็ญในโลกยากไหม (ไม่ยาก)
ทุกครั้งที่ทำออกไปคือให้ธรรมเป็นทาน ไม่ได้ทำเพราะยึดติดในตัวตน
แต่ทุกครั้งที่ทำล้วนเป็นธรรมะเมตตาที่สุด
พูดกับเพื่อนพูดด้วยความเมตตา จริงใจ แล้วการว่าคน
ว่าด้วยเมตตาได้ไหม (ได้)  ว่าอย่างไร (ว่ากล่าวตักเตือน)  ตักเตือนอย่างไร
(รู้ว่าทำไม่ดี ก็เตือนว่าทำไม่ดี)  ถึงเวลาใครฟังเรา
ฉะนั้นการตักเตือนที่ดีที่สุดคือ ทำตัวเองให้ถูกต้องที่สุด
และทำให้เขาเห็นความดีที่แท้จริงที่สุดในใจเรา
ด้วยการกระทำให้เขาเห็นเป็นประจำ ประเสริฐกว่าคำพูดใดๆ
อยากได้ลูกดีพ่อแม่ต้องทำให้ถูกต้อง แต่ถ้าอยากได้สามีดีเราต้องทำใจ
ใช่ไหม (ใช่)  เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เราสร้างเหตุแล้ว เรารู้วิธีดับทุกข์แล้ว
การบำเพ็ญยากไหม (ไม่ยาก)  แบบนี้ครอบครัวจะอบอุ่นไหม (อบอุ่น)
เพราะทุกคนต่างรู้ที่จะไม่ทุกข์ ศิษย์จำไว้นะ
ถ้าศิษย์ยิ่งรู้จักทุกข์มากเท่าไรศิษย์จะยิ่งรักทุกข์ เพราะความทุกข์ไม่น่ากลัว
แต่ใจที่ยึดติดจนทุกข์เกินไปนั้นน่ากลัวกว่า
ชีวิตจะหมดสิ้นทุกข์และกิเลสได้ต่อเมื่อเราไม่ยึดติด
อุทิศตัวตน สิ่งสำคัญก็คือได้ทำตัวเองให้ถูกต้องและดีงามหรือยัง
ถ้ายังทำตัวเองให้ถูกต้องดีงามไม่ได้ ก็ยังบำเพ็ญยากอยู่
ต้องเริ่มต้นที่ความเป็นคนสมบูรณ์แบบ
แล้วต่อไปจะบำเพ็ญเป็นพุทธะก็จะไม่ยากอะไร
แต่ถ้าเป็นคนยังไม่สมบูรณ์แบบ จะบำเพ็ญเป็นพุทธะไม่มีทางเป็นไปได้
ฉะนั้นการเริ่มต้นบำเพ็ญธรรมจึงต้องเริ่มต้นตั้งแต่ความเป็นคนมีธรรมให้สมบูรณ์ ธรรมหนึ่งเรียกว่าสัจธรรมความเป็นจริง
ธรรมหนึ่งคือคุณธรรมแห่งความเป็นคน ที่เรียกว่าเมตตา มโนธรรม
จริยธรรม สัตยธรรม ปัญญาธรรม ยังมีอีกเยอะเลย
ไม่สามารถพูดหมดได้ในสองวัน
ถ้าศิษย์ศึกษาให้มากกว่านี้ ศิษย์จะรู้ว่า
ธรรมแห่งความเป็นจริงถ้ายิ่งมีสติตื่นรู้มากเท่าไร
ศิษย์ก็จะมองเห็นว่าโลกใบนี้ ตัวเรานี้ คนที่ยืนบนนี้ว่างเปล่า
และสิ่งที่ศิษย์เห็นว่ามันทุกข์นี้ เราก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
มันมาเพื่อให้เราเข้าใจความเป็นจริงอันเป็นกลาง
เหมือนที่เมื่อวานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านบอกไว้ ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นกลาง
ทุกข์ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่ในทุกข์มันมีสุขอยู่
ถ้ามัวแต่ทุกข์เราก็จะไม่เห็นสุข
แต่ถ้าเรายืนให้เห็นชัดเราจะรู้ว่าในทุกข์มันมีสุข
ในกิเลสมันมีปัญญาที่นำพาให้เราหลุดพ้น
ขอเพียงมองให้เห็นความเป็นกลาง แต่มนุษย์นั้นเห็นอะไรก็ยึดติด จริงไหม
(จริง)  เขาด่าก็ไปยึดติดและลืมมองว่าการด่านั้นก็มีดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
เขาเกลียดเรา ก็ไปยึดติดอีก ทั้งที่เราลืมไปว่าคนที่เกลียดก็ยังทำให้เรามีสติ
รู้จักชีวิตตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขาน่ารัก เราก็ไปยึดติดอีก
แต่ความน่ารักมันก็ทำให้เรารู้ว่าเขาก็มีอะไรน่าเกลียดไม่ต่างกัน ใช่หรือไม่
(ใช่)  ฉะนั้นถ้าศิษย์มีสติตื่นรู้อยู่ทุกขณะในความเป็นจริง
อะไรในโลกก็ทำศิษย์ทุกข์ไม่ได้ ใครก็บีบใจเราให้เจ็บปวดไม่ได้
เราจะรู้จักรักษาใจเราเอง จริงไหม (จริง)
อย่างไรศิษย์ของอาจารย์ก็น่ารัก มีทั้งที่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง
แต่ถ้าลองได้เข้าใจตัวเอง
แล้วศิษย์จะรู้ว่าสิ่งที่ทุกคนพยายามให้ศิษย์มานั่งฟังตรงนี้
เขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเขาเอง
แต่เขาทำเพื่อตัวศิษย์ทั้งนั้น เขาไม่ได้ทำเพราะเขาเห็นว่าตัวเองมีดี
แต่ทำเพราะเขาเห็นว่าศิษย์มีดี
มีธรรมะและหวังว่าเมื่อศิษย์เห็นธรรมะในตัวเองแล้ว
นำธรรมะนั้นไปช่วยคนอื่นต่อ เราอาจมองว่าบางคนทำไมมีบุญจัง
ไปไหนก็มีแต่คนรัก เพราะรู้จักสร้างบารมีด้วยการให้ สร้างบุญด้วยการให้
ให้ความจริงใจ ให้ธรรมะ ให้แง่คิด ให้ความถูกต้อง
ให้เขาเห็นว่าเราเป็นคนที่ดีคนหนึ่งได้ และเป็นคนดีที่พร้อมจะเสียสละ
แม้ตัวเองจะเจ็บ แม้ตัวเองจะถูกต่อว่า
แม้ตัวเองจะสูญเสียจนหมดเนื้อหมดตัวก็พร้อมจะรักษาความดีได้
คนเช่นนี้สมควรเรียกว่า พุทธะบนดิน
อาจารย์อยากบอกศิษย์ว่าโรคภัยไข้เจ็บและปัญหาไม่น่ากลัว ยิ่งรู้จัก
ยิ่งเข้าใกล้ เราจะยิ่งรู้ว่าจะช่วยทำให้เราปลดปล่อยความยึดมั่น
เข้าสู่ภาวะแห่งการพ้นทุกข์ จริงไหม (จริง)  ใครจะต่อว่า ใครจะเกลียด
ใครจะโกง ใครจะชิงชัง
เราก็จะรู้สึกขอบคุณที่ทำให้เราเรียนรู้ทุกข์และเข้าใจความเป็นจริงอันเป็นธ
รรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  อาจารย์อาจจะมาแล้วทำให้ศิษย์ไม่สบายใจ
แต่อาจารย์ก็หวังว่าสิ่งที่ทำนี้จะมาย้ำเตือนศิษย์หรือมากระตุ้นเตือนศิษย์ว่า
ศิษย์มีดีอยู่นะ ศิษย์มีธรรมะอยู่นะ เราไม่ได้เกิดมาแล้วทุกข์จนตาย
แต่เราสามารถเกิดมาพ้นทุกข์ได้เพียงแค่เข้าใจความจริง
อาจารย์คงต้องกลับแล้ว ขอบคุณในความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่ง
ขอบคุณในความเสียสละที่ไม่ยอมแพ้
ขอบคุณจิตใจที่รู้จักทำดีโดยไม่ท้อถอย อาจารย์ดีใจที่อาจารย์มีศิษย์แบบนี้
ดูแลตัวเองให้ดี
หนทางสำคัญในการบำเพ็ญไม่ใช่การยึดมั่นถือมั่นในตัวตน
แต่แกนหลักของการศึกษาธรรมคือ ทิ้งตัวตนได้เพื่อกลับคืนสู่ธรรม
เจ็บจนถึงที่สุดแล้วขึ้นสู่ธรรมทำได้ก็น่าภูมิใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ให้จนถึงที่สุดได้โดยที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดนั่นคือพุทธะบนดิน
ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือสู้เพื่อช่วยคนนะศิษย์ แม้จะโดนว่า แม้จะโดนคนไม่เข้าใจ
แต่จงอย่าลืมว่าเราทำเพื่อธรรม ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง
เราทำเพื่อให้เขาเห็นธรรมและทำเพื่อให้เราได้เห็นธรรม
ธรรมที่เมตตาจนถึงที่สุด เสียสละจนถึงที่สุดแม้จะเจ็บปวดบ้างก็ดี
ได้ทิ้งตัวตนบ้าง ได้วางตัวตนลงบ้าง ฉะนั้นอย่าท้อ อย่ายอมแพ้
ไปด้วยกันแล้วต้องไปให้ถึงที่สุดนะ ได้ไหมศิษย์ (ได้)
แม้การบำเพ็ญจะยาวนานแค่ไหนก็อย่าได้ท้อ ล้มบ้าง ผิดหวังบ้างไม่เป็นไร
อาจารย์ยังคงรอ รอวันได้พบศิษย์ที่บริสุทธิ์ที่สุกสกาว

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ปรามใจตัวเอง”
มีสติรู้เตือนตนอยู่เสมอ ไม่ปล่อยเผลอทาสอารมณ์ติดดีร้าย
ถูกกระทบหยุดรู้ตัวนิ่งให้ไว รู้วางใจไม่โทษใครตรวจสอบตน
ทำนิ่งแต่ใจฟุ้งซ่าน ปรุงความคิด ยอมอภัยแต่จำติดจิตขุ่นข้น
ผู้สงบแล้ววางเฉยได้เย็นกมล ตื่นรู้ตนอย่าวนติดทิฐิอัตตา

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา