วันเสาร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2543

2543-04-08 พุทธสถานฮุ่ยจื้อ จ.บุรีรัมย์


PDF  2543-04-08-ฮุ่ยจื้อ #5.pdf


วันเสาร์ที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
อากาศร้อนใจของคนอย่าร้อนด้วย ใจเย็นช่วยให้กายนั้นสบายขึ้น
ประชุมธรรมฟื้นฟูจิตพ้นเมามึน ให้บำเพ็ญดีขึ้นกว่าวันวาน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยจื้อ   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา
ในวันนี้เป็นฤกษ์ดีประชุมธรรม ขอน้องนำจิตศรัทธาออกมาเถิด
เป็นมนุษย์ผู้ได้ชื่อว่าประเสริฐ ของามเลิศคุณธรรมแผ่กำจาย
คุณธรรมนำประชาให้มีสุข ปลดความทุกข์ให้โลกสันติส่อง
ขอให้ใช้ชีวิตถูกครรลอง ให้ปรองดองซึ่งกันสู่เจริญ
ไม่วอนขอผู้อื่นวอนขอตน ยามบำเพ็ญอย่าสับสนใจฟุ้งซ่าน
บัดนี้ธรรมลงฉุดคนพ้นทรมาน กลับคืนบ้านอย่างน้อยต้องไร้กรรม
อนุเคราะห์โลกช่วยคนจิตเมตตา มีปัญญาต่อสู้รู้จักตนนั่น
มีสิ่งใดขัดใจย้อนตนพลัน ว่าตนนั้นคนบำเพ็ญทำอย่างไร
ตัดกิเลสเบาสบายกว่านั่งพรม ไม่สะสมความอิจฉาในใจนี้
นาวาธรรมล่องลอยช่วยคนดี ยิ่งนานปีมีหลักธรรมอย่าแปรใจ
โลกวุ่นวายใจคนต้องหนักแน่นขึ้น ไม่เมามึนสิ่งที่มารหยิบยื่นให้
บำเพ็ญธรรมนำสว่างสามโลกไกล ระฆังไร้คนช่วยสั่นก็ยากดัง
สองวันนี้มีบุญได้มาถึง ให้ท่านพึงตั้งใจฟังอย่างครบถ้วน
อย่าให้อากาศร้อนอบอ้าวทำเรรวน ความง่วงชวนก็ไม่หลงเผลอหลับไป
จงตั้งใจสองวันมาให้ครบ แลเคารพพุทธระเบียบให้ดียิ่ง
เรื่องทางโลกปล่อยชั่วคราวอย่าประวิง ทำใจนิ่งศึกษาธรรมให้เข้าใจ
กลับออกไปเน้นหนักปฏิบัติ เดินทางลัดเป็นธรรมดามีขวากหนาม
แต่จิตใจจงมากมายพยายาม แลติดตามปลายน้ำจนถึงต้นน้ำ
คนตั้งใจฟังธรรมะมีกุศล ขอน้องจงไม่อับจนฟังให้รู้
ใดหลักการใดปฏิบัติพินิจดู จงเกิดมาเพื่อรู้แจ้งพ้นเกิดตาย
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ศิษย์พี่นั้นจดบันทึกคอยคุมชั้น
ยืนเคียงข้างอยู่กับท่านทั้งสองวัน ขอให้ท่านเปิดใจใช้ปัญญา
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด

วันเสาร์ที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง
พระโอวาทท่านหลวี่ฉุนหยังต้าเซียน
ส่งความดีออกไปให้กว้างไกล ให้เงาร้ายไม่มีที่หลบซ่อน
บำเพ็ญธรรมก้าวเดินเป็นขั้นตอน ผู้รู้ก่อนรู้หลังคนช่วยปูทาง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลวี่ฉุนหยัง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   แฝงกายประณต
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสุขเกษมอยู่ดีหรือไม่
มีกายคนสำหรับทำความดี วู่วามมีรักษาด้วยใช้ครวญใคร่
อันโอกาสต้องการรังสรรค์สืบไป จรรโลงให้สมกับมียากเย็น
ขณะนี้โชคดีที่ธรรมแผ่กว้าง ประสงค์สร้างวิเศษคุณเบาความเห็น
เป็นกลางแต่จะต้องคงเส้น ดำรงความไม่มีเช่นแก้วประจำ
อย่ายโสโอกาสมีอยู่ตรงหน้า ไร้เวลาคืออุปสรรคเรือขาดน้ำ
พินิจสิ่งใดทำได้จึงทำ สะเพร่าทำรีบคลำทางให้เจอ
อย่าปล่อยโอกาสไร้ผ่านเลยไป ประสงค์ไร้น้ำตาบ้างก็ยังเผลอ
เมื่อมาเกิดโอกาสใหม่อย่าละเมอ รักษาไว้เสมอด้วยรู้ทำจริง
ทุกเมื่อในปัญญามีเมตตาข้าง คุณธรรมใครไม่สร้างเราไม่ทิ้ง
เพราะได้มากระจ่างเองชีวิตจริง กล้าเลือกในสิ่งถูกต้องพิจารณา
ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทท่านหลวี่ฉุนหยังต้าเซียน

แปลกใจไหม อยู่ดีๆ เขาก็บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็สำเร็จไปจากมนุษย์อย่างท่าน เพราะฉะนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่แปลก แต่คนที่ยังอยู่ในโลกนี้ แต่กลับไม่รู้ว่าตนเองอยู่ในโลกนี้เพื่ออะไรนั้นจึงเป็นคนแปลกใช่หรือไม่ (ใช่)
“ส่งความดี”  มีความดีให้ส่งกันหรือไม่ (มี)  บางคนมีความดีแต่ความดีนั้นไม่เพียงพอที่จะให้แก่ใครเลยคือดีอยู่เฉพาะตัว ดีอยู่คนเดียว ท่านเคยเห็นคนประเภทนี้ไหม (เคย)  ฉะนั้นเมื่อเรารู้ เราจึงต้องทำให้เรานั้นมีความดีมากมายและพอที่จะส่งไปให้ผู้อื่นได้ ดังเช่นเวลาที่เรามีข้าวกิน ท่านคิดว่าผู้อื่นมีข้าวกินเหมือนเราไหม (มี)  และท่านคิดว่าถ้าหากเขาไม่สะดวกที่จะหุงหา ท่านจะทำอย่างไร ความดีที่ท่านสร้างในตอนนี้ท่านควรจะพิจารณาเป็นรายบุคคล พิจารณาด้วยตนเอง ท่านก็จะเห็นว่าตัวท่านนั้นมีความดีมากมายที่จะส่งออกไปให้ผู้อื่นไหม ดังเช่นที่เรายกตัวอย่างว่า ในเวลาที่ท่านกินข้าวบางทีกินข้าวก็ไม่เคยคิดว่าคนอื่นนั้นมีข้าวกินหรือเปล่า จึงบอกว่าความดีนั้นๆ ยังไม่เพียงพอที่จะใช้ส่งออกไป เวลาที่เรามีเงินเคยคิดว่าคนอื่นนั้นมีเงินไหม เวลามีความดีเคยคิดไหมว่าจะทำให้ผู้อื่นมีความดีเหมือนกับที่เรามี และสิ่งที่ควรจะคิดอย่างยิ่งก็คือความดีของท่านนั้นเรียกว่าความดีจริงๆ หรือไม่ เพราะว่าในสมัยนี้คนมากมายจิตใจไม่บริสุทธิ์พอ เวลาทำสิ่งใดก็มักจะเคลือบแฝงไว้ต่างๆ นานา ทำให้โลกมนุษย์นั้นเปลือกนอกดูดี แต่ภายในนั้นย่ำแย่ลงทุกวัน
เห็นเรามาเป็นคนที่เคร่งครัดก็จริง แต่ว่าพวกท่านนั้นก็ไม่ต้องกลัว คนเราจะกลัวก็ต่อเมื่อเรานั้นได้ทำผิดบาปใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อไม่ได้ทำผิดบาปก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรใช่หรือเปล่า คนทุกคนนั้นมีด้านที่เป็นด้านอ่อนและด้านแข็ง เรานั้นก็คือการแสดงธาตุแข็งความแข็งของมนุษย์ออกมานั่นเอง  แต่ถ้าหากท่านสามารถพัฒนาบำเพ็ญในด้านนี้ของท่านมีความบริสุทธิ์แล้ว ท่านก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้ที่ทำหน้าที่ในฝ่ายของความเคร่งครัดได้เช่นเดียวกัน หากท่านเป็นด้านอ่อนก็เหมือนเวลาที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ที่เป็นผู้หญิง อย่างเช่นพระโพธิสัตว์กวนอินลงมาโปรด ท่านนั้นก็มีด้านอ่อน นำธาตุอ่อนความอ่อนออกมาให้ท่านเห็น แท้ที่จริงแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เหมือนเช่นมนุษย์ เพียงแต่บำเพ็ญจิตใจจนได้บรรลุเหนือสภาวะของความถูกผิด สภาวะของความดีชั่วเลยล้ำขึ้นไป  ทุกๆ ท่านที่มาอยู่ที่นี่ล้วนมีด้านอ่อนและด้านแข็ง เมื่อได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์จึงต้องเอาทั้งด้านอ่อนและด้านแข็งนั้นรับมือกับการใช้ชีวิตของตัวเอง ถ้าหากว่าท่านแข็งประดุจหินเวลาที่ท่านรวมอยู่กับสายน้ำ ก้อนหินนี้ก็จะชัดเจนขึ้นมาใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าท่านรวมอยู่กับหินแต่ท่านอ่อนประดุจสายน้ำท่านก็ไม่สามารถรวมตัวกับหินเหล่านั้นได้  ฉะนั้นมนุษย์จึงมีทั้งสองด้าน เลือกใช้ให้ถูกต้อง เลือกดูให้ถูกต้อง เป็นมนุษย์นั้นขี้ลืมบ่อยมากไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเรามาในวันนี้ อีกสามวันถัดไปท่านไม่เจอเราแล้วท่านก็ลืมเราใช่หรือไม่ (ใช่)  การที่เรามาสถานธรรมนั้นย่อมไม่ใช่เพราะว่าท่านนั้นคิดอยากที่จะมาหรือว่าคนเขาบังคับให้ท่านมาแล้วก็สุดวิสัยต้องมา ความคิดที่ไม่จริงใจเช่นนี้ไม่สามารถทำให้เรานั้นศึกษาจนเข้าใจได้ ฉะนั้นใครที่มาในวันนี้แล้วมีความคิดที่โดนบีบบังคับ หรือมีความคิดที่ไม่บริสุทธิ์พอ เราต้องเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราใหม่
รับธรรมะมาช่วงหนึ่ง เวลาเขาเรียกมาให้ประชุมธรรม ท่านคิดว่าธรรมะคืออะไร (หนทางไปสู่เบื้องบน)  ธรรมะไม่ใช่ของเด็กเล่นที่ท่านนั้นจะจับยกได้ ธรรมะไม่ใช่อาหารที่ท่านนั้นจะกินเข้าไปได้ แต่ธรรมะคือสิ่งที่เป็นธรรมชาติ วนอยู่แล้วในตัวเราเพียงแต่เรานั้นหยิบยกออกมาที่จะบำเพ็ญเท่านั้น การที่เราพูดถึงเรื่องบำเพ็ญธรรมนั้น ท่านคิดว่าไกลไปหรือไม่ (ไม่ไกล)  การบำเพ็ญธรรมนั้นทำได้ง่ายดาย ไม่ใช่เรื่องยาก แต่คนที่บำเพ็ญแล้วสามารถบรรลุขึ้นไปได้นี่สิถึงจะเป็นความยาก ร้อยคนบำเพ็ญอาจจะมีแค่สิบคนบรรลุ  ร้อยคนบำเพ็ญอาจจะมีแค่หนึ่งคนที่สามารถบรรลุได้  แต่ถ้าหากเราไม่ลองพยายามดูคงจะไม่รู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่แน่ว่าถ้าหากทุกคนพยายามพร้อมกัน ร้อยคนบำเพ็ญร้อยคนบรรลุ ดังนี้เป็นเรื่องมงคลหรือไม่ (มงคล)  เป็นมงคลที่สุด  ชีวิตของเรานั้นเป็นชีวิตที่เกิดมานานแล้ว มีความทุกข์มากมายที่เกิดขึ้น ท่านคิดว่าท่านอยากจะพ้นทุกข์ไหม (อยาก)  ถ้าหากว่าท่านไม่อยากคิดจะพ้นทุกข์ อย่างนั้นก็ไม่ต้องบำเพ็ญ  แต่ถ้าท่านอยากจะพ้นทุกข์แล้วมัวนั่งสงสัยเราว่าเราเป็นใครอยู่นี่ อยากจะบำเพ็ญก็คงไม่รู้ว่าบำเพ็ญอย่างไร เพราะว่าฟังไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นเปิดใจให้กว้างดีหรือไม่ (ดี)
ใจของเรานั้นเป็นประตูไปสู่ความเป็นพุทธะ ใจของเรานั้นเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับเหล็กอันหนึ่งที่มีสนิมเกาะ นานๆ ขัดทีคงจะไม่ไหว จะต้องหมั่นขัดทุกวันๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนขัดสะอาดขัดจนไม่มีรอยสนิมก็เคยมีให้พบเห็น คนที่ขัดยังไม่สะอาดแล้วคิดว่าใช้ได้แล้ว เพราะว่ามัวแต่ไปเทียบกับคนอื่นก็มีอยู่มากมาย ฉะนั้นเวลาเราดีกว่าคนอื่น เราทำความดีแล้วไม่มีคนเห็นความดีของเรานั้น เราจะรู้สึกท้อแท้ได้หรือไม่ (ไม่ได้)  การที่เราทำความดีแล้วผู้อื่นไม่เห็นความดีของเรานั้น เราจะรู้สึกทุกข์ร้อนได้หรือไม่ (ไม่ได้)  ในตอนนี้ถามสิ่งใดก็ตอบได้อย่างแม่นยำ แต่เมื่อเวลาไปเจอเรื่องราวจริงๆ แล้วกลับลืมหมดใช่หรือไม่ (ใช่)  คำตอบนี้ได้จากใจของตัวเอง คิดค้นออกมาจากใจของตัวท่านเอง แสดงว่าถ้าหากท่านมีสติในยามที่ปัญหาเกิดขึ้น ท่านจะสามารถฝ่าได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  บางคนอาจจะคิดว่าชีวิตของเรานั้นเป็นชีวิตที่ไม่มีค่าเลย ชีวิตของเราเป็นชีวิตที่ลุ่มๆ ดอนๆ ชีวิตของเราเป็นชีวิตที่เราไม่อยากจะมีชีวิตอย่างนี้  แต่ทุกๆ คนต่างมีคำว่า “ชีวิต” ถูกหรือไม่ (ถูก)  เพราะฉะนั้นความที่เรานั้นมีชีวิตจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก สำคัญจนท่านนั้นคาดไม่ถึง ตราบเมื่อวันใดท่านไม่มีชีวิตแล้วท่านจึงจะรู้ว่าการมีชีวิตนั้นสำคัญเช่นไร  ชีวิตแห่งท่านเป็นชีวิตแห่งมนุษย์ คำว่า “ปุถุชน” นั้นแปลว่า คนธรรมดาสามัญ เพราะฉะนั้นทุกๆ คนก็ได้ชื่อว่าเป็นปุถุชน  ทุกๆ คนนั้นมีเป็นความธรรมดาสามัญ แล้วคำว่า “ธรรมดา”  นี้ข้างหน้าเป็นคำว่า “ธรรม”  อันหมายความว่าท่านนั้นเป็นคนที่มีธรรมนั่นเอง ความเป็นธรรมดาสามัญแห่งมนุษย์นั้น ถ้าหากว่าท่านอยากจะได้ความฟุ้งเฟ้อ ความใหญ่โต ความยิ่งใหญ่ ท่านจะไม่มีเวลาเหลือที่จะบำเพ็ญธรรม ทำความดี ไม่เหลือเวลาที่จะเหลียวไปมองผู้อื่น ไม่เหลือเวลาที่จะใช้เวลาของท่านให้เป็นประโยชน์  ฉะนั้นทุกวันนี้ความที่เรานั้นเป็นคนที่ไร้ค่า เมื่อเรารู้ว่าไร้ค่าจงอย่าปล่อยให้ไร้ค่า เมื่อรู้ว่าไร้ค่าจงสร้างคุณค่าใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อรู้ว่าชีวิตของเรานั้นลุ่มๆ ดอนๆ ก็ขอให้เรานั้นอยู่กับความลุ่มๆ ดอนๆ นี้อย่างมีความสุข ได้หรือไม่ (ได้)  เพราะฉะนั้นในกลอนวรรคแรกที่เราให้มีคำบอกว่า “มีกายคนสำหรับทำความดี”  กายของมนุษย์อันนี้เป็นกายที่มีค่า แม้ว่าตอนนี้จะอายุมากแล้ว เนื้อหนังมังสาจะเหี่ยวย่น แม้ว่าจะเกิดมาไม่งดงาม แม้ว่าผมของเรานั้นจะกลายเป็นสีขาว แม้ว่าขาของเรานั้นจะเดินไม่ไหว แม้ว่าแขนของเรานั้นจะไม่ถนัดในการใช้งาน แต่ว่าถ้าหากไม่มีร่างกายอันนี้ ท่านจะทุกข์ทรมานยิ่งกว่านี้หรือไม่ (ทุกข์)  ถ้าหากไม่มีขาที่เจ็บข้างนี้ ถ้าหากไม่มีมือที่เจ็บข้างนี้ ท่านจะทรมานยิ่งกว่านี้หรือไม่ (ทรมาน)  ปากที่เราเคยบอกว่ากินข้าวไม่อร่อยเลย ถ้าหากว่าไม่มีปากจะทรมานกว่านี้หรือไม่ (ทรมาน)  เพราะฉะนั้นเราอยู่กับความทุกข์ทรมานนี้อย่างมีความสุข ถามว่าท่านจะสุขไหม (สุข)  เราก็หวังให้เป็นเช่นนั้น เพราะว่ามนุษย์นั้นได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่ไม่รู้จักพอใจในตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อเราไม่รู้จักพอใจในตนเอง เราจึงไม่รู้จักที่จะช่วยผู้อื่น จึงเป็นสาเหตุของคำว่า ทำไมท่านถึงเป็นคนที่ไม่มีบุญกุศลเอาเสียเลย  ในยามนี้จึงมาเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นหันหน้ามามองตนเอง แล้วอย่าลืมหันไปมองผู้อื่น เริ่มต้นบำเพ็ญธรรมด้วยความรู้สึกเต็มใจที่จะบำเพ็ญหรือไม่ (ดี)
ผู้มีสติคิดว่าแอปเปิ้ลลูกนี้เอาไปทำอะไร  (ทาน, ถ้าเจอคนที่ด้อยกว่าเราก็ให้เขา)  ปรบมือให้หน่อย ถือว่ามีความก้าวหน้าในด้านความคิดอ่านขึ้น เพราะว่าคนทั่วไปเห็นของกินแล้วนึกถึงอะไร  โดยทั่วไปเวลาเห็นของกินเราก็บอกว่ากินใช่หรือไม่ ตอบให้เพราะหน่อยก็คือทาน แต่ถ้าหากเราคิดว่าของที่เราทานได้ผู้อื่นก็ทานได้ แล้วเราส่งให้ผู้อื่นนับว่าเป็นอะไร นับว่าเป็นการให้ทานชนิดหนึ่ง น่าพอใจมาก
เมื่อสักครู่ถามไว้ว่า เมื่อท่านได้รับธรรมะแล้ว ท่านมองธรรมะเป็นอะไร  ถ้าหากว่าผู้ใดที่ตอบคำถามนี้ได้ รับรองได้ว่าอนาคตการบำเพ็ญไม่ต้องเป็นห่วง (คนเรามีสติแล้วทำตนให้อยู่ในศีลในธรรม ศีลสมาธิปัญญาจะเกิด  การดำรงชีวิตก็จะอยู่ในภาวะที่สงบ  แนวทางที่จะทำให้จิตพุทธะไปสู่อนุตตรธรรม) ถูกหรือไม่  ทุกๆ สิ่งที่เราเคยพูดไป  ทุกๆ สิ่งที่เรานั้นลั่นวาจาออกไปแล้ว ทุกๆ สิ่งที่เราคิดต้องทำให้ได้  มีผู้บำเพ็ญหลายๆ คนที่บำเพ็ญเพียงแต่ให้ผู้อื่นเรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญ  แต่ในทางปฏิบัตินั้นไม่ได้ปฏิบัติ  สิ่งที่เป็นคำตอบของสิ่งที่เหนือยิ่งกว่าก็คือ การพูดได้และต้องทำได้  ใช่หรือไม่ (ใช่)  คำๆ นี้ได้ยินมานานหรือยัง  นานแล้วแต่ไม่มีใครเน้นหนัก ไม่มีใครให้ความสำคัญ จึงต้องมาให้ความสำคัญยิ่งกว่าสำคัญ เพื่อให้ท่านได้รู้ว่าการที่ท่านเกิดมาเป็นมนุษย์ไม่ใช่สิ่งง่ายดาย  การที่ท่านมีปากไว้พูดก็ไม่ใช่พูดได้ทุกอย่าง  การที่ท่านมีหูไว้ฟังก็ไม่ใช่ฟังได้ทุกอย่าง  การที่มีตาไว้ดูก็ไม่ใช่ว่าดูได้ทุกอย่าง  ฉะนั้นการที่เราจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่ไม่น่าห่วงในสายตาของพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงต้องเป็นคนที่พูดได้แล้วก็ทำได้  คนที่ทำได้ย่อมเป็นผู้ที่ลงแรงจริงๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่พูดว่าทำอย่างเดียว แต่ต้องบอกว่าทำได้  เมื่อทำได้ถามว่าเป็นคนที่น่าห่วงไหม (ไม่น่าห่วง)  ฉะนั้นขอให้ท่านลงแรงให้ได้ตามนี้ ทำได้หรือไม่  สิ่งใดที่เราพูดออกไปต้องทำได้  สิ่งใดที่เรารู้นั้นต้องรู้ให้จริง
กลอนนำบอกว่า “ส่งความดีออกไปให้กว้างไกล”  แสดงว่าเรามีความดีมากมายที่จะส่งออกไป  ถ้าหากว่าท่านส่งออกไปแล้วตัวท่านไม่เหลือความดีเลยจะได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ไม่ได้หรือ อาจจะฟังแล้วเหมือนกับการบอกว่าการทำบุญนั้นทำบุญออกไปถ้าหากว่าไม่เหลือเลย จะกลายเป็นการทำบาปใช่หรือเปล่า  เวลาทำบุญไปถ้าทำจนตัวเราไม่เหลือเลยสักบาทเดียว  ทำจนตัวเราแทบต้องไปกู้ยืมเขามา ถือเป็นบาปใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นแนวคิดอย่างเดียวกันแต่ผลตอบออกมาไม่เหมือนกัน  ถ้าหากว่าท่านมีความดีเพียงเล็กน้อย แต่ความดีเพียงนิดน้อยก็ให้ผู้อื่นถือเป็นบาปหรือไม่ (ไม่)  ถือว่าทำสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ (ถูกต้อง)  ถ้าหากท่านมีความดีแม้น้อยนิดก็ขอให้ส่งไปให้ผู้อื่นได้  เมื่อเราส่งไปให้ผู้อื่นความดีนั้นจะยิ่งใหญ่ขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เปรียบประดุจแสงเทียนและกองไฟนั้นเป็นแสงไฟเหมือนกัน  ถ้าหากว่าท่านมัวแต่ยึดติดกับความดีของท่านเอง มัวให้เป็นแสงเทียนไม่ให้เป็นกองไฟ ความดีนั้นก็จะเล็กน้อย  แต่ถ้าหากท่านนำเทียนนี้ไปจุดกองไฟในยามที่ผู้อื่นเหน็บหนาว  ความดีของท่านก็ยิ่งใหญ่ขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความดีแม้มีเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ขอให้เราส่งออกไปก่อน อย่ามัวหวงความดี อย่ากลัวว่าความดีไม่ใช่เป็นของเราแล้วเราจะไม่เป็นคนดีในสายตาผู้อื่น เพราะคนอื่นจะมองเราดีหรือไม่ดีอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ แต่การที่เราจะมองตัวเราดีหรือไม่ดีนั้นคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใช่หรือลองพิจารณาดู
รู้หรือไม่ว่าที่เราถือนี้เรียกว่าอะไร (แส้)  แส้มีไว้ทำอะไร แส้นั้นมีไว้ปัดใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัดอะไร (ปัดสิ่งที่ไม่ดี)  ท่านมีสิ่งที่ไม่ดีให้เราปัดหรือเปล่า (ไม่มี)  แต่เมื่อสักครู่เราปัดไปแล้ว ปัดการนั่งโดยไม่สง่างามใช่หรือไม่  การนั่งเป็นนักเรียนสองวันนี้ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ถือเป็นความทรงภูมิอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าท่านนั่งแบบคนไม่มีกระดูกสันหลัง นั่งไปเรื่อยๆ หลับง่ายไหม (ง่าย)  ฉะนั้นการนั่งที่ถูกต้องควรนั่งอย่างไร (นั่งตัวตรง)  รู้ไหมว่าเวลาเรานั่งเราต้องนั่งตัวตรง (รู้)  รู้แต่ว่าเราปล่อยตัวตามสบายปล่อยใจไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ ถ้าหากว่าเราปล่อยตัวตามสบายหรือปล่อยใจไปเรื่อยๆ อย่างนี้นับเป็นผู้บำเพ็ญธรรมหรือไม่ (ไม่)  แล้วการที่เรานั่งตัวตรงนั้นเรานั่งเฉพาะในสถานธรรมใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เรานั่งทุกๆ ที่ที่เป็นเก้าอี้เราจะต้องนั่งตัวตรง แม้ว่าเก้าอี้นั้นจะมีพนักพิงหรือไม่ก็ตาม  แต่ถ้าหากว่าคนใดรู้แล้วว่าควรที่จะนั่งตัวตรงแต่ยังนั่งไปเรื่อยๆ แสดงว่ารู้แล้วก็ยังอยากเป็นอย่างนั้น คนอย่างนี้พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยลำบากที่สุด เพราะว่าอะไร (รู้แล้วไม่ปฏิบัติ)  ใช่หรือไม่ พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นฝ่ายพูดมนุษย์เป็นฝ่ายปฏิบัติ หากว่าพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดกับท่านตลอดเวลา แต่ท่านไม่ปฏิบัติเลย พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นจะห้ามได้ไหม จะฝืนได้ไหม (ไม่ได้)  พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่สามารถที่จะฝืนมนุษย์ได้ เพราะว่ามนุษย์แต่ละคนนั้นมีชะตาชีวิตเป็นของตัวเอง ในผู้บำเพ็ญธรรมนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้ อันเหมือนท่านนั้นเคยไปดูชะตาชีวิตของท่านเองว่าชะตาชีวิตของท่านเป็นอย่างไร  แต่ถ้าถึงเวลาก็จะไม่เป็นอย่างนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะความดีของท่านนั้นหนุนนำให้โชคร้ายกลายเป็นดี  หากว่าเรารู้สึกว่าเรานั้นเป็นคนที่มีชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ มาก เป็นคนไร้ค่ามาก เป็นคนที่ชีวิตผ่านไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรมาก เรานั้นจะต้องทำความดีให้ยิ่งมาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าท่านไม่ทำความดีมาก ถึงเวลาแล้วจะให้ใครช่วย หลายๆ คนนั้นอยากจะให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย ถูกหรือไม่ บอกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าขอให้เรานั้นรวยก่อนแล้วค่อยบำเพ็ญ หรือขอให้เรามีอยู่มีกินมีใช้ก่อนที่จะคิดบำเพ็ญ ถ้าหากพุทธะนั้นมาช่วยให้ท่านมีอยู่มีกินมีใช้ก็ไม่มีเวลาไปช่วยผู้คนใช่หรือเปล่า (ใช่)  มาห่วงท่านผู้เป็นห่วงปากท้องตัวเอง ดั่งนี้สมควรเป็นพุทธะไหม ขอให้ท่านนั้นมีชีวิตที่สุขสบายแล้วจึงค่อยบำเพ็ญ คนเช่นนี้ช่วยไปบำเพ็ญก็ไม่สำเร็จ เพราะว่าโลกนี้นั้นมีความสบายและความลำบากเป็นของคู่กัน เมื่อท่านเจอความลำบากจนถึงที่สุดท่านก็จะเจอความสบาย เมื่อท่านเจอความสบายจนถึงที่สุดท่านก็จะเจอความลำบากใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกับบันไดเมื่อก้าวขึ้นไปแล้วอย่างไรก็ต้องถึงขั้นสุดท้าย อย่างไรแล้วก็ต้องเปลี่ยนจากดำเป็นขาว  อย่างไรแล้วก็ต้องเปลี่ยนจากขาวเป็นดำถูกหรือเปล่า เปรียบไปแล้วเหมือนกับเวลาที่ท่านนั้นเห็นสีดำมากๆ สีดำแห่งโคลนเวลาที่ใส่น้ำลงไปสีก็เจือจาง เวลาที่เห็นสีขาวบริสุทธิ์ ผ้าผืนนี้เป็นสีขาวเวลาใช้ไปนานๆ ก็กลายจากสีขาวเป็นสีดำถูกหรือเปล่า (ถูก)  ย่อมเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ระหว่างสีขาวกับสีดำ เลี่ยงไม่ได้ระหว่างความผิดกับความถูกในโลกมนุษย์นี้ จึงบอกตั้งแต่ต้นว่าท่านต้องใช้ปัญญาในการแยกแยะ ใช้ธรรมะในการดำรงชีวิตของท่านเอง ไม่พาตัวท่านหลงทาง และท่านนั้นจะสามารถบำเพ็ญธรรมได้ตลอดรอดฝั่ง หากว่าท่านไม่มีความตั้งใจดี การบำเพ็ญธรรมไม่ตั้งใจจริง ต่อให้พุทธะต่อให้ผู้แนะนำมาฉุดลากดึงไปก็ได้เพียงช่วงเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจึงต้องขึ้นอยู่กับตัวท่านเองว่าจะตั้งใจจริงหรือเปล่า พุทธะนั้นมีอยู่ในตัวทุกคนขอเพียงท่านนั้นรู้จักฟื้นฟูขึ้นมา ความเป็นพุทธะนั้นก็จะเต็มเอ่อขึ้นมา และท่านนั้นก็จะมีความเป็นพุทธะอย่างเต็มเปี่ยม ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้อยากจะเป็นพุทธะหรือไม่ (อยาก)  อยากเป็นต้องทำอย่างไร (ปฏิบัติ)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ร้องเพลง ทำนองเพลง : ศักดิ์ศรีในใจ)
ในชาตินี้นั้น ทุกท่านนั้นถือว่าเป็นผู้ที่โชคดีที่เกิดร่างกายมาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง อันว่ามนุษย์นั้นได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐเหนือกว่าสัตว์ใดๆ ทั้งปวง  ฉะนั้นคนนั้นประเสริฐ ประเสริฐอยู่ที่ไหน  ประเสริฐอยู่ที่ใจ แล้วใจของท่านที่ท่านมีอยู่ตอนนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นใจที่ประเสริฐหรือไม่ (ใช่)  บางคนคิดว่าตัวเองนั้นมีใจที่ประเสริฐแล้ว บางคนนั้นคิดว่าตัวเองนั้นไม่ใช่ นี่คือความแตกต่างกันระหว่างการรู้ตื่น แจ้งในจิตของตัวเอง  ถึงแม้ไม่รู้ตื่นถึงขั้นพุทธะ แต่ว่าความรู้ตื่นเล็กๆ น้อยๆ ตรงนี้ ความรู้ตื่นเบื้องต้นอันนี้นำพาท่านไปสู่ที่สูงกว่านี้ได้ ทำไมสวรรค์ถึงแบ่งเป็นหลายชั้น เพราะว่าคนนั้นมีความรู้ตื่นในระดับที่แตกต่างกัน  คนนั้นมีการบำเพ็ญที่ต่างกัน ทำไมคนจึงมีคนฉลาดและคนโง่ คนฉลาดกว่าและคนโง่กว่า เพราะว่าความรู้ตื่นในจิตนั้นแตกต่างกัน หากว่าคนที่รู้ว่าตัวเองนั้นยังประเสริฐ ใจยังประเสริฐไม่พอ จึงต้องพัฒนาให้สูงขึ้นเพื่อให้เรานั้นก้าวสูงขึ้นไปกว่านี้ แต่หากว่าคนที่คิดว่าตัวเองนั้นยังไม่ ยังไกล จะต้องทำอย่างไร  ถ้าหากว่าท่านจะรอให้เวลาผ่านไปวันๆ หนึ่ง แล้วท่านก็มัวแต่เทียบกับคนที่ต้อยต่ำกว่าท่าน มีการบำเพ็ญที่ช้ากว่าท่าน ก็ถือว่าท่านนั้นถอยหลังลงคลอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราจึงต้องรู้จักที่จะพัฒนาตัวเอง เมื่อท่านคิดว่าท่านไม่ใช่และท่านยังทำไม่ดีนั้น จึงต้องก้าวให้มากกว่านี้ เหมือนบางคนที่ส่ายหัว คนที่ส่ายหัวนี้ก็จำเป็นจะต้องพัฒนาตนเองให้มากยิ่งขึ้น  ส่วนคนที่พยักหน้าบอกว่าเรานั้นใช่แล้ว เรานั้นดีแล้ว  คนๆ นี้สักวันหนึ่งเขาก็จะรู้มากยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรานั้นไม่สามารถบังคับผู้อื่นได้ มีแต่บังคับใครได้ (ตัวเราเอง)  มีแต่บังคับตัวเราเองได้ ความสมหวัง ความผิดหวังในชีวิตนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถบังคับได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าท่านนั้นอยู่ในภาวะของคนที่ผิดหวังควรจะทำอย่างไร (ทำใจให้สงบแล้วอยู่ในศีลธรรม, ควรทำใจยอมรับแล้วหาวิธีแก้ไข)  หรือว่าท่านไม่เคยผิดหวังเลย  ถ้าหากว่าท่านไม่ตอบเรา ก็จะรู้สึกว่าเรานั้นดุยิ่งขึ้น เพราะเรายิ่งตั้งคำถาม ท่านก็ยิ่งกลัวว่าเราจะชี้ให้ท่านตอบ  เพราะฉะนั้นก็ไม่สู้ว่าท่านจะลุกขึ้นมาตอบเองดีกว่าจริงหรือเปล่า (จริง)  (รู้จักปล่อยวางในสิ่งที่ตนเองนั้นควรปล่อยได้ และแก้ไขในสิ่งที่ตนเองสามารถแก้ไขได้บางอย่าง)  ขอเชิญท่านที่ตอบทั้งสามท่านออกมาข้างนอก ท่านทั้งสามนั้นเป็นผู้มีปัญญา หากว่าใช้ปัญญาในการบำเพ็ญธรรมก็จะดีมาก  ชีวิตคนหลบไม่พ้นเรื่องผิดหวัง เวลาท่านผิดหวังขอให้ใช้คำตอบที่ตนเองตอบมาดีหรือไม่ (ดี)  และเวลาที่ท่านสมหวังล่ะ ความสมหวังรับมือง่าย แต่ทำให้ท่านนั้นวนไม่รู้จักจบใช่หรือไม่ (ใช่)  ผิดกับความผิดหวัง หากท่านสามารถตื่นขึ้นมาจากความผิดหวัง ท่านก็จะสามารถพ้นทุกข์ได้ตลอดไป แต่ความสมหวังกลับทำให้ท่านวนแล้ววนเล่าไม่รู้จักจบสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะมนุษย์มีอยู่คำเดียวคือ คำว่า “หลง”  ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าเรานั้นยังมัวหลงอยู่ จะให้ผู้ใดเรียกเราตื่นได้ไหม  แม้กระทั่งคนเวลาที่เขาเตือนสติเราว่าเราผิด เรายังไม่ยอมฟังเลย  เพราะฉะนั้นหากเขาเตือนในเวลาที่เราไม่มีสติ ยิ่งไม่มีทางที่จะรู้ตื่นขึ้นมาในเวลานั้นถูกหรือไม่ (ถูก)  มีอย่างเดียวคือ มีการรับมือก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น
ก่อนฝนจะตกท่านต้องเตรียมร่มแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก่อนที่ฟ้าจะผ่าท่านต้องยืนอยู่ในที่ร่มแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่ว่าเห็นฟ้าตั้งเค้ามาดำๆ ท่านก็ยังยืนอยู่กลางแจ้งเช่นนั้น เป็นเรื่องอันตรายหรือไม่ (อันตราย)  ถ้าหากเวลานี้ถ้าเปรียบได้เช่นเดียวกัน  ขออีกสักคนหนึ่งตอบว่า เวลาสมหวังทำอย่างไร เพราะว่าทำอย่างไรนั้น เราไม่ได้พูดข้อจำกัดความผิดหวังและสมหวังว่าอย่างไร (สิ่งที่สมหวังคือความเป็นคนดี รู้สึกว่าภูมิใจและดีใจ)  ความสมหวังนั้นอยู่กับท่านตลอดไปได้หรือไม่ และกว่าที่จะเสียสิ่งนี้ไปท่านทำอย่างไร (เสียใจ)  เมื่อมีความสมหวังมาไม่ควรดีใจ เพราะเมื่อความสมหวังผ่านไปก็ยังมีความสุขเหมือนเดิม
โดยสรุปของคำว่า “ชีวิต”  ก็คือการมีชีวิต หมายถึงการมีโอกาส  หากว่าท่านไม่มีชีวิตตอนนี้ จะพูดเรื่องบำเพ็ญให้ท่านฟังอย่างไร ท่านก็ไม่มีโอกาสที่จะบำเพ็ญ แล้วการบำเพ็ญนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป เพราะว่าการบำเพ็ญนี้ก็คือการที่ท่านใช้ชีวิตด้วยธรรมะนั่นเอง  หากว่าเราใช้ชีวิตโดยไม่มีธรรมะ ต่อให้เรานั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรม เราก็ไม่มีธรรม  ฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาสแล้วจึงต้องรักษาโอกาสไว้ คนบางคนนั้นไม่มีโอกาสแต่ก็รู้จักสร้างโอกาส ดังเช่นในเรื่องเดียวกันนี้เทพผีเทวดาเวลาที่เขานั้นไม่มีร่างกายนี้ เขาก็พยายามที่จะหาโอกาสมาสร้างกุศล เช่นเข้าฝันคน รักษาโรค เป็นต้น  นั่นถือเป็นการสร้างโอกาสของตัวเอง แล้วท่านผู้เป็นมนุษย์ ผู้มีโอกาสอย่างเต็มเปี่ยม ท่านจะทิ้งโอกาสของท่านไปหรือ จริงหรือไม่ (จริง)  เมื่อโอกาสยังมาไม่ถึงเราก็ควรที่จะรอโอกาส หลายๆ เรื่องราวที่เราทำขึ้นมา วางแผนทำขึ้นมา ในที่สุดแล้วถ้ายังไม่ถึงโอกาสก็เหมือนกับคนที่รับธรรมะโดยที่เขานั้นวาระบุญยังไม่ถึง เขาก็ไม่สามารถที่จะบำเพ็ญธรรมได้เช่นเดียวกัน  ส่วนคนที่รับธรรมะไปแล้วถึงแม้ว่าจะบุญไม่ถึงอย่างไร ก็ให้รู้จักสร้างโอกาสให้ตัวเองดีหรือไม่ (ดี)  เมื่อคนอื่นรู้สึกว่าธรรมะลำ้ค่า ทำไมท่านคนเดียวถึงคิดว่าธรรมะไม่ลำ้ค่า นั่นเป็นเพราะเราไม่มีบุญ หรือเป็นเพราะว่าเราไม่รู้จักคิดกันแน่ คนบางคนเป็นคนคิดมาก แต่พอถึงเวลาจริงๆ ในเรื่องที่ควรคิดกลับคิดไม่ออก อย่างนี้เรียกว่าคิดมากแต่ไร้ประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในตอนนี้ธรรมะลงมาโปรดพร้อมกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น  คนที่บำเพ็ญธรรมได้ดีจริงๆ นั้นคือ คนที่บำเพ็ญธรรมได้ท่ามกลางความวุ่นวาย เวลาท่านท้อจึงรู้ว่าท่านบำเพ็ญได้ดีแค่ไหน คนที่ไม่เคยท้อก็ยังไม่รู้หรอกว่าตนเองนั้นบำเพ็ญได้ดีแค่ไหนใช่หรือไม่ (ใช่)  คนไม่เคยท้อก็ยังไม่รู้ว่าตนเองนั้นบำเพ็ญได้ไปถึงไหนแล้ว เพราะไม่มีอะไรมาทดสอบและไม่มีอะไรมาเป็นตัวบอก ตัวบอกนี้อาจจะเป็นตัวบอกที่ค่อนข้างจะรุนแรงและเจ็บปวดสำหรับท่าน อันได้แก่อารมณ์ท้อ อารมณ์ล้า อารมณ์ความไม่อยากบำเพ็ญ อารมณ์เอาแต่ใจตัวเอง อารมณ์ความดื้อดึง ดังนี้เป็นสิ่งที่ทำให้การบำเพ็ญนั้นสะดุดชะงักลงได้  แต่วันนี้เมื่อเราได้พูด ได้กล่าว ได้บอก ได้พูดถึงสิ่งที่ทำให้ท่านนั้นหยุดบำเพ็ญ อย่างน้อยก็ควรจะให้สิ่งที่เรานั้นได้พูดถึงนี้ แม้ไม่สามารถหายไปแต่สามารถเบาบางได้
ชีวิตของคนนั้นเหมือนกับฝัน เหมือนกับแมลง เหมือนกับละคร สามอย่างนี้เป็นสิ่งที่แม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เองก็ชอบที่จะเอามาเทียบให้ท่านฟัง เพราะว่าเห็นภาพได้เด่นชัดที่สุด แต่ว่าท่านนั้นไม่มีจินตนาการที่จะไปคิดถึงมันเลย  ทุกๆ วันก็ยังจะคิดว่าชีวิตของเรานั้นยาวนาน บางคนไม่รู้ใช้ชีวิตอย่างไร เบื่อเหลือเกินวันหนึ่ง กว่าเวลาจะผ่านไปได้วันหนึ่ง ท่านสามารถที่จะหาเรื่องราวแห่งความดีนั้นกระทำได้ตลอดเวลาเพียงแต่ท่านรู้จักย้อนคิด แต่อย่าทำความดีประเภทมือซ้ายเขียน ก ไก่ มือขวาเขียน ข ไข่ เป็นอย่างไรรู้ไหม  มือซ้ายเขียนวงกลม มือขวาจะเขียนสี่เหลี่ยม ทำได้หรือไม่  เมื่อทำเรื่องใดจึงต้องรู้จักทำให้สำเร็จตามโอกาสอันอำนวย และดังที่บอกโอกาสการมีร่างกายเป็นมนุษย์นั้นเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โอกาสการบำเพ็ญธรรมอาจจะมาหาท่านครั้งเดียว หนึ่งคนนั้นสามารถที่จะเกิดร่างกายเป็นมนุษย์ได้กี่ครั้ง และหนึ่งคนนั้นสามารถที่จะเป็นมนุษย์นี้และเป็นมนุษย์ผู้บำเพ็ญได้กี่ครั้ง ขอให้ท่านนั้นอย่าได้ทิ้งโอกาสของตัวเองไปดีหรือไม่ (ดี)
จิตใจที่สับสนนั้นขอให้เรารู้จักวางให้เบาบางลง เพราะไม่มีใครนอกจากเราที่จะจัดการสิ่งนี้ได้ ชีวิตคนนั้นไม่ยืนยาว หลังจากวันนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไร แต่ละคนแบกกรรมมาเต็มร่างกาย ร่างกายของเราที่มีกรรมนี้มักจะลากให้เราเดินไม่ไหว ขอให้เรานั้นหันหน้าเข้าหาความจริง ยอมรับในสิ่งที่เป็นและท่านก็จะมีความสุขมากยิ่งขึ้น 
วันหน้ามีโอกาสขอให้เราได้เจอท่านใหม่ดีหรือไม่ (ดี)  ขอให้ท่านนั้นเป็นผู้บำเพ็ญที่บำเพ็ญแล้วยังบำเพ็ญได้ดีอีกด้วย ดีหรือไม่ (ดี)  ดังที่บอกทุกๆ คนนั้นมีด้านอ่อนและด้านแข็ง ขอให้รู้จักใช้ผสมผสาน แล้วท่านนั้นจะเจอความสุขจากนิสัยของท่านเอง  โอวาทที่ให้ในวันนี้ไม่มีเวลาอธิบาย ขอให้ทุกท่านนั้นกลับไปทำความเข้าใจด้วย  วันหลังมีโอกาสขอให้เจอกันใหม่

วันอาทิตย์ที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
แอบเดินเข้าบ้านศิษย์เจ้าไป  เหลียวแลคนใกล้บ้างศิษย์น้อย  สว่างธรรมในบ้านของเรา อย่าทำให้ใครต้องหลงคอย  ทบทวนตน เบาเรื่องผิดใจ  ขอให้มอบน้ำใจก่อน  หากไร้คนเห็นใจ  ก็ยังคิดทำดีต่อ
เพลง : บำเพ็ญทั้งครอบครัว
ทำนองเพลง : เชียนเอยี๋ยนอวั้นอวี่ 
เราคือ
จี้กงวิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยจื้อ    แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนร้อนหรือเปล่า
ยิ้มบ่อยบ่อยใบหน้าจะมีราศี ทำความดีจิตใจนั้นจะอิ่มเอิบ
หมั่นควบคุมความเคยชินไม่กำเริบ หวังศิษย์รักเติบโตไปไร้กิเลส
ใช้ปัญญาในการบำเพ็ญจริง คนจิตนิ่งแจ่มใสในดวงเนตร
แม้อยู่กลางทุกข์ทนไม่เทวษ ศิษย์ประเภทนี้ยังมีน้อยเหลือเกิน
ชีวิตคนแสนสั้นไม่ยาวนาน อย่ามัวหลงเสียงผ่านหูคำสรรเสริญ
อย่ามัวหลงมายาพาเพลิดเพลิน อย่ามัวเดินเล่นริมทางจนสายไป
คนมาช้าก็ยังดีกว่าไม่มา บำเพ็ญล้าดีกว่าเลิกบำเพ็ญใช่ไหม
อย่าบุญมีแต่กรรมบังอนาถใจ ทางแสนไกลกำหนดทิศใกล้เข้ามา
ยกระดับจิตใจของตนเองขึ้น ยังเมามึนโลกีย์ข้าถวิลหา
เบารักโลภโกรธหลงจนสุญตา ให้ได้ในเวลาชีวิตเดียว
แม้สายลมเย็นฉ่ำไม่ผ่านเข้ามา แต่ขอให้ตั้งใจหนาอย่างแน่นเหนียว
อยู่ร่วมกันสามัคคีอย่าปีนเกลียว รับกรำเคี่ยวผ่านเมื่อไรเป็นพุทธา
ฮา  ฮา  หยุด

  เทวษ การคร่ำครวญ, ความลำบาก
  สุญตา ความว่างเปล่า


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

 (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร้องเพลงจับไม้พาย)  การพายเรือธรรมะนั้นต้องพายให้ไกลและต้องมีใจที่สนุกสนานแอบแฝงอยู่ด้วย และในความสนุกสนานนั้นก็อยู่ท่ามกลางมรสุม ท่ามกลางความยากลำบาก
เมื่อสักครู่ร้องเพลงจับไม้พายแล้วสนุกหรือเปล่า (สนุก)  หรือว่าเกรงใจอาจารย์ (เกรงใจ)  เกรงใจนี้เป็นเหตุผลหรือข้ออ้าง  มนุษย์มีคำว่าเหตุผลหรือข้ออ้างเป็นคำที่ใกล้เคียงกันมาก บางทีเราก็พูดว่าเราเป็นคนมีเหตุผลแต่จริงๆ แล้วเป็นข้ออ้าง ใช่หรือเปล่า (ใช่)   เพราะฉะนั้นคำว่าเหตุผลกับข้ออ้างต้องรู้จักใช้ให้ถูกต้อง ถูกไหม (ถูก)  เวลาที่เราพูดสิ่งใด หรือเวลาที่เราพูดว่าเรามีเหตุผลให้ลองถามตนเองว่าเป็นเหตุผลหรือข้ออ้าง อย่างข้ออ้างที่ศิษย์พูดประจำก็คือไม่มีเวลามา
สถานธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเอาเวลาไปทำอะไรบ้าง (ทำงานบ้าน, วิ่งเล่น, เลี้ยงลูกหลาน,ดื่มเหล้า)  ทั้งวันยี่สิบสี่ชั่วโมงใช้เวลาไปกับการทำเรื่องแบบนี้ทั้งหมดเลยหรือ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เหตุผลของศิษย์เวลาที่ไม่อยากมาสถานธรรมนั้นมีมากมาย เวลาที่เราบอกว่าไม่มีเวลาก็ไม่มีใครกล้ามาเซ้าซี้เราถูกหรือเปล่า (ถูก)  ถามว่าถ้าเราไม่อยากมาสถานธรรม แล้วเราไม่อยากบำเพ็ญธรรม เราไม่สามารถบรรลุเป็นพุทธะได้ ถามว่าข้อเสียตกอยู่ที่ใคร (ที่เรา)  เพราะฉะนั้นเหตุผลของเราเป็นเหตุผลที่ดีพอไหม เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปต้องปรับปรุงใหม่ถูกหรือไม่ (ถูก)  เวลาที่คนชวนเรามาสถานธรรมเราก็ต้องรู้สึกอยากจะมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหตุผลที่บอกว่าไม่มีเวลาว่างต้องไม่มีเวลาว่างจริงๆ อย่างเช่นทำมาหากิน แต่คนที่เขาเรียกเรามาสถานธรรมเขาก็ไม่ได้เรียกให้เรามาตอนกลางวัน เขาให้เรามาตอนเย็นๆ  บางทีก็เรียกให้มาในวันหยุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นในวันเหล่านี้เราทำงานหรือเปล่า (ไม่ได้ทำ)  เวลาเราทำกับข้าวเราทำทั้งวันเลยหรือไม่ (ไม่)  เพราะฉะนั้นเวลามาสถานธรรมยังมีไหม ยี่สิบสี่ชั่วโมงนอนไปกี่ชั่วโมง (๘ชั่วโมง)  ยังเหลืออีกกี่ชั่วโมง (๑๖ชั่วโมง)  หากมาสถานธรรมวันละชั่วโมงได้ไหม ยากหรือไม่ (ไม่ยาก)  เรามีใจมากหน่อยก็มาสถานธรรมวันละ ๒ ชั่วโมงได้ไหม (ได้)  แต่ถ้าหากว่าเรามาแล้วเกิดมีธุระไม่ว่างขึ้นมามีคนมาตาม ถามว่าถ้าหากว่าเราจะกลับบ้านคนในสถานธรรมดึงเราหรือเปล่า (ไม่ดึง)  เขาเอาอะไรมาผูกเราไว้หรือไม่ (ไม่)  เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมมีอิสระ ใช่หรือไม่ (ใช่)  การบำเพ็ญธรรมอยากมาหรือไม่อยากมาก็เป็นอิสระ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราบำเพ็ญธรรมสำเร็จเป็นพุทธะได้หรือไม่ก็เป็นอิสระ  เพราะฉะนั้นขอให้เราตั้งใจที่จะบำเพ็ญธรรมะเองดีหรือไม่ (ดี)  หากว่าเราไม่อยากบำเพ็ญแล้วผลสุดท้ายเป็นอย่างไร ผลก็ตกอยู่ที่ตัวเราเอง แบบคำตอบที่ศิษย์ชอบว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ผลที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นเราจะไม่รู้ว่าอะไรตกมาที่ตัวเราเลย  เรารู้ว่ามีอะไรตกมาที่ตัวเรา แต่เราไม่รู้ว่าเป็นอะไร เราไม่ชัดเจนในเรื่องนี้ใช่หรือไม่  สิ่งที่ตกมาที่ตัวเราคือการที่เรานั้นต้องเวียนว่ายตายเกิด ชีวิตนี้เกิดมาต้องตายหรือไม่ (ต้องตาย)  เมื่อตายแล้วต้องเกิดไหม (เกิด)  เกิดเป็นอะไร (ทำอย่างไรก็ไปเกิดเป็นอย่างนั้น)  ถ้าหากว่าเราอยากจะรู้ว่าเราเกิดเป็นอะไร ตอนนี้ก็ต้องรีบมองตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีมากๆ ก็เกิดเป็นเทวดา เทวดาเกิดบนสวรรค์ ๕๐๐ ปีลงมาใหม่ เทวดายังต้องลงมาเกิด  ทำชั่วมากๆ ไปไหน (ลงนรก)  ไปนรกรับความทรมาน ชดใช้กรรมเสร็จต้องกลับมาเกิดอีก  แล้วเราเกิดอยู่ในโลกมนุษย์นี้ถามว่าเราก็เกิดๆ ตายๆ อยู่ตลอดเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดๆ ตายๆ นี้คืออะไร  คือจิตใจของเราเอง บางทีใจของเราก็เกิดความอยากได้ เคยเกิดไหม พอได้มาแล้วความอยากได้นี้ก็ดับใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามว่าจิตใจของเราก็เกิดแล้วตายหรือเปล่า เวลาเกิดมา เวลาความโลภความอยากทั้งหลายเกิดมามีความทุกข์ไหม (มี)  ทุกข์เพราะว่าเราไม่ได้ ถูกหรือเปล่า  เวลาที่ความอยากหายไปรู้สึกเป็นอย่างไร  (หมดทุกข์แล้วก็โล่งใจ)  รู้สึกหมดทุกข์ แล้วสิ่งที่เรามองเห็นอยู่ตอนนี้ก็คือกายกับใจของเรา ถูกหรือไม่ (ถูก) ที่ๆ เรามองเห็นได้คือร่างกายของเราถูกหรือไม่ (ถูก)  สิ่งที่มองไม่เห็นก็คือจิตใจของเราถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นจึงบอกว่าเรานั้นเกิดมามีร่างกายและจิตใจของเราเอง เวลาเรานั้นเกิดความอยากได้ในใจ  ใจนี้เกิดๆ ดับๆ เกิดๆ ดับๆ เราก็รู้สึกทรมานมากพอ แต่หากว่าคราวนี้ไม่รู้จักบำเพ็ญธรรม ผลร้ายของการไม่บำเพ็ญธรรมคือต้องเกิดๆ ตายๆ ด้วยการมีร่างกายที่ไร้สติ ด้วยการคุมสติไม่ได้ ด้วยการควบคุมทิศทางและแนวทางของเราไม่ได้  ผลเสียอันนี้เป็นผลเสียที่มหาศาลไหม (มหาศาล)  เป็นการเสียผลประโยชน์ของตัวเองที่มหาศาลที่สุด  เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นมีโอกาสที่จะบำเพ็ญธรรมนั้น ย่อมเป็นเรื่องที่เราน่าจะรักษาโอกาสอันนี้ไว้ให้มากที่สุดถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าหากว่าเราไม่รักษาโอกาส ก็อาจจะเหมือนนักเรียนผู้ชายคนหนึ่งที่ตอบว่าเรานั้นโง่ เพราะว่าเรานั้นจะต้องเกิดๆ ตายๆ ด้วยการมีร่างกาย  ชาตินี้เกิดเป็นคน ชาติหน้าเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ไม่แน่  ชาตินี้เกิดเป็นคนชาติหน้าไปเกิดเป็นเทวดาก็ไม่แน่ ชาตินี้เกิดเป็นคนชาติหน้าไปเกิดเป็นสัตว์นรกก็ไม่แน่ ชาตินี้เกิดมาเป็นคนชาติหน้าไปเกิดเป็นยุงให้คนเขาตบเล่นก็ไม่แน่ เคยตบยุงไหม (เคย)  ชีวิตของยุงไร้ค่าหรือเปล่า (ไร้ค่า)  ชีวิตของเขาไม่ไร้ค่า แต่เรามองไร้ค่าถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้าหากว่าเราทำตัวให้ไร้ค่าก็เหมือนกับยุงตัวหนึ่งถูกไหม (ถูก)  ถ้าทำตัวของเราให้มีค่าก็เหมือนกับอะไร ถ้าหากว่าทำชีวิตของเราให้มีค่าก็เหมือนมนุษย์คนหนึ่งถูกหรือไม่ (ถูก)  แม้ว่าเราจะมีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ไม่แน่ว่าคุณธรรมความสามารถของเรานั้นถึงมนุษย์หรือยัง อาจจะมีไม่ถึงก็ได้ เพราะว่าตลอดมาเราไม่เคยรักษาคุณธรรม เพราะฉะนั้นจึงมีความสามารถไม่ถึงมนุษย์  การมีความสามารถไม่ถึงมนุษย์เป็นเช่นไร บางคนเกิดมาไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ คนๆ นี้เป็นมนุษย์ไหม (ไม่เป็น)  ทำไมถึงเรียกเขาว่าไม่ใช่มนุษย์ล่ะ ทั้งๆ ที่ร่างกายเขาก็เป็นมนุษย์ (จิตใจไม่ใช่มนุษย์)  อาจารย์ก็อยากให้ศิษย์นั้นเป็นมนุษย์ทั้งกายและใจ
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่ง)  นั่งแล้วสบายไหม สบายจริงๆ ยืนเดี๋ยวเดียวก็เมื่อยแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ยังสาวๆ อยู่ก็บอกว่าไม่เมื่อย ลองไปถามคนแก่ๆ สิเมื่อยไม่เมื่อย  เพราะฉะนั้นดูๆ ไว้เราคนข้างหน้าที่ยังผมสีดำอยู่ วันหลังก็มีผมสีขาวเหมือนเขาใช่หรือไม่ (ใช่)  หนีพ้นไม่พ้น (ไม่พ้น)  ไม่พ้น เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะแก่เราต้องทำอะไรด้วย คนบางคนเป็นคนแก่เฒ่า แม้แต่คนที่ไม่ใช่ลูกหลานก็ยังเคารพนับถือใช่หรือไม่ (ใช่)  คนเหล่านี้ทำอะไร เขารู้จักช่วยเหลือผู้อื่นในตอนที่เขามีกำลังใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วตอนนี้เรามีกำลังแล้วเราช่วยคนอื่นไหม ช่วยครึ่งหนึ่งหรือช่วยเต็มๆ ช่วยหนึ่งส่วนสี่ได้หรือยัง  ถ้าหากว่าเราช่วยคนอื่นไม่ถึงครึ่งหนึ่ง เราก็ไม่ควรจะได้รับผลอย่างที่คนอื่นเขาได้รับ  ถ้าหากว่าเราช่วยคนอื่นเต็มๆ วันหลังเราก็รับผลเต็มๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เก้าอี้นั่งมาสองวันไม่รู้เลยว่าเก้าอี้นั้นนั่งสบายแค่ไหน มีแต่นั่งแล้วร้อน นั่งแล้วเหนื่อย นั่งแล้วอยากจะลุกใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าพอยืนสักครู่เดียว พอได้นั่งแล้วรู้สึกสบายขึ้นเป็นกองถูกหรือเปล่า (ถูก)  เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรามีอยู่ในชีวิตของเราเช่นเสื้อผ้าตัวนี้ที่เราใส่อยู่ เราอาจจะรู้สึกว่าเสื้อผ้าของเราตัวนี้เก่าจริงๆ แต่หากวันไหนไม่มีเสื้อผ้าตัวเก่าๆ นี้มาให้ใส่ แล้วเผอิญตัวใหม่ก็ไม่อยู่จะเป็นอย่างไร (ไม่มีเสื้อผ้าใส่)  ไม่มีเสื้อผ้าใส่ ออกจากบ้านได้ไหม (ไม่ได้)  เหมือนกับว่าร่างกายของเรานี้เป็นร่างกายเก่าๆ ใช้มาตั้งนานแล้วเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ แต่หากว่าถ้าไม่มีเสื้อเก่าตัวนี้ ไม่มีร่างกายเก่าๆ อันนี้ เราจะทำอย่างไร  ออกจากบ้านได้ไหม (ไม่ได้)  ออกจากบ้านนี้คิดให้ดีแล้วกันนะ  ร่างกายอันนี้แม้จะเป็นร่างกายที่ใช้มาแล้วนับสิบปี เจ็บป่วย แต่ว่าย่อมเป็นร่างกายที่เรานั้นใช้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  ย่อมเป็นร่างกายที่มีประโยชน์ต่อเรา แม้ว่าเราจะมองไม่เห็นประโยชน์นั้น หากวันไหนไม่มีร่างกายอันนี้ แม้คิดจะหยิบแก้วน้ำทำได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นแม้วันนี้ร่างกายของเราจะดีหรือไม่ดีก็จำเป็นที่จะต้องพอใจและใช้อย่างมีประโยชน์ใช่หรือไม่ (ใช่)
“แอบเดินเข้าบ้านศิษย์เจ้าไป  เหลียวแลคนใกล้บ้างศิษย์น้อย  สว่างธรรมในบ้านของเรา อย่าทำให้ใครต้องหลงคอย  ทบทวนตนเบาเรื่องผิดใจ  ขอให้มอบน้ำใจก่อน  หากไร้คนเห็นใจ  ก็ยังคิดทำดีต่อ”  อาจจะมีคนคิดว่าตอนนี้อาจารย์กำลังว่าใคร  อาจารย์ไม่ว่าใครทั้งนั้น แต่อาจารย์บอกคนทุกคนใช่หรือไม่ (ใช่)  คนทุกคนมีชีวิต คนทุกคนเกิดมาจากท้องแม่ คนทุกคนมีบ้านและคนทุกคนนั้นต้องรู้จักรักบ้านตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  คนในบ้านของเรามีพ่อ มีแม่ มีพี่ มีน้อง มีญาติใช่หรือไม่ (ใช่)  คนทุกคนต้องทำอย่างไรกับคนในบ้านของตัวเอง กับพ่อแม่ก็ต้องรู้จักที่จะกตัญญูใช่หรือไม่ (ใช่)  กับพี่น้องต้องรู้จักที่จะปรองดองใช่หรือเปล่า (ใช่)  กับญาติพี่น้องของพ่อแม่นั้นก็ต้องเคารพอย่างที่พ่อแม่ของเรานั้นเคารพใช่หรือไม่ (ใช่)  บางทีนั้นเราเห็นคนนอกบ้านดีกว่าคนในบ้านเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แท้ที่จริงนั้นคนทุกคนมีข้อดีและข้อเสีย  คนที่เราเห็นว่าดีก็อาจจะไม่ดีก็ได้  แต่คนในบ้านเราถึงแม้ว่าไม่ดี เราก็เห็นว่าเขาไม่ดีไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราเห็นคนในบ้านเราไม่ดีเรารู้สึกอย่างไรบ้าง (เสียใจ)  เวลาเราได้ยินคนอื่นนินทาคนๆ หนึ่งให้ฟัง ว่าคนๆ นี้ไม่ดีอย่างไร  ทุกๆ ครั้งที่เรามองหน้าเขาเราก็จะจำความไม่ดีของเขาได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  และแทบไม่อยากจะมองหน้าเขาเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้แต่มองก็ยังไม่รู้สึกว่าอยากจะมอง แต่ว่าคนในบ้านของเรา เราต้องมองทุกวัน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  หากเราเห็นว่าคนในบ้านเราไม่ดี แล้วเราจะอยู่ในบ้านได้อย่างไร แล้วเราจะมีความสุขได้อย่างไร  ชีวิตของคนนั้นจะมีความสุขหรือไม่มีความสุขนั้นมาจากในบ้านของตนเอง ถ้าหากว่าเรานั้นรู้จักทำตนเองให้มีความสุข และเรารู้จักมอบความสุขให้กับคนอื่น และมอบความสุขให้กับคนในบ้านของเรา  ต่อพ่อแม่เราก็ต้องกตัญญู ต่อพี่น้องต้องปรองดอง ต่อญาติพี่น้องต้องเคารพ อย่างนี้แล้วจะมีความสุขน้อยได้อย่างไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ว่าเราออกไปนอกบ้านจะไม่มีความสุข แต่กลับเข้ามาในบ้านก็คงจะมีความสุข อย่างน้อยในชีวิตคนในวัฏสงสารนี้ ก็ยังมีที่ให้ศิษย์แอบที่จะมีความสุขคนเดียว แต่ขึ้นอยู่กับว่าเรานั้นทำตัวอย่างไร หากว่าพี่ให้เรานั้นไปหยิบน้ำแก้วหนึ่ง หากเราไม่อยากจะหยิบ จะมีความสุขกับพี่ได้ไหม (ไม่ได้)  อยู่กับพี่ก็คงจะไม่มีความสุข หากว่าพ่อแม่ร้อนแล้วเราไม่รู้จักเปิดพัดลมให้ ถือว่าเรานั้นเป็นคนที่กตัญญูไม่พอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าไม่สนใจ หากว่าญาติเราไม่มีข้าวกิน และเราก็ไม่สนใจ ญาติของเรานั้นจะชอบเราไหม (ไม่ชอบ)  หากทางบ้านนั้นไม่มีเงินใช้ยังจะบอกว่าเรามีความสุขได้ แต่หากว่าคนทั้งบ้านไม่มีน้ำใจ มีความสุขไม่ได้ เพราะฉะนั้นคำว่า “น้ำใจ”  นั้น ไม่ใช่มอบให้เฉพาะคนนอกบ้าน แต่ต้องให้คนทุกคน อยากมีบ้านที่มีความสุขไหม (อยาก)  อยากมีบ้านที่มีความสุข ก็จงทำตัวเราให้มีความสุข และเป็นคนที่มีน้ำใจให้มากๆ
อาจารย์เชื่อแน่ว่า หากว่าเรานั้นเป็นคนที่ดี เป็นคนที่เปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่ร้ายเป็นสิ่งที่ดีได้ คนในบ้านของเราก็คงจะยินดีด้วย และเขาก็คงจะตามเรามาบำเพ็ญ นี่เป็นวิธีการพูดธรรมะอย่างหนึ่งที่ง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้ปาก บางทีเราพูดตั้งมากมายแต่เขาฟังไม่เข้าหู ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราทำตั้งมากมายเขาไม่ดูก็ไม่ได้ นี่เป็นวิธีการพูดธรรมะโดยไม่ต้องพูดใดๆ ทั้งสิ้น
เอาอะไรต้อนรับอาจารย์ (ใจ)  ใจของเราเป็นอย่างไร (ศรัทธา)  เอาศรัทธาต้อนรับอาจารย์ ศรัทธาแค่พักเดียวหรือว่าศรัทธาตลอดไป  มีคนที่เอาใจต้อนรับอาจารย์ อาจารย์ก็อยากจะรู้ว่าใจของเรานั้นเป็นอย่างไร ใจของคนที่มีความบริสุทธิ์ ความศรัทธา เอามาต้อนรับอาจารย์ อาจารย์ก็ชื่นใจ  แต่หากจะให้ชื่นใจยิ่งกว่า ไม่ใช่มีศรัทธาแค่สองวัน ศรัทธานี้ต้องสามารถฝ่าอุปสรรคได้ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ศรัทธาที่ไม่สามารถฝ่าอุปสรรคได้ เมื่อเวลาที่มีคนกล่าวว่าให้ร้ายก็ไม่สามารถที่จะอยู่ยืนยงได้
การบำเพ็ญธรรมะนั้นใช้วิจารณญาณของตัวเอง มองคนข้างหน้าเป็นแบบอย่าง  แต่วิจารณญาณต้องขึ้นอยู่กับตัวเอง เพราะบางทีคนข้างหน้าก็อาจจะทำถูกต้อง แต่ถึงแม้ว่าเขาจะทำไม่ถูกต้อง เราก็ว่าเขาไม่ได้ ใช่หรือไม่  ต่างคนต่างมีวิธีการบำเพ็ญของตัวเอง ถ้าหากว่าเราบำเพ็ญดีเราก็ไปได้สูง แต่ถ้าหากว่าเราบำเพ็ญแล้วว่าคนข้างหน้าด้วย แทนที่จะข้ามไปฟากดีก็จะตกต่ำไปเลย  เพราะอย่างน้อยก็ผิด ผิดต่อการที่อาวุโสนั้นมีพระคุณต่อเรา เพราะฉะนั้นต่อให้ใครดีไม่ดีอย่างไร เก็บปากเก็บใจของเราไว้แล้วเราก็จะได้สูงขึ้น สูงขึ้น และสูงขึ้น ดีหรือไม่
การบำเพ็ญธรรมต้องปรับตามสภาพ มีหลักการยึดติดหลักการมากเกินไปก็ใช้ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นบำเพ็ญธรรมก็คือ ทางสายกลาง
“อย่าทำให้ใครต้องหลงคอย”  เด็กๆ ตอนที่ออกไปจากบ้าน พ่อแม่คอยอยู่ที่บ้าน คนที่เป็นพ่อแม่ก็หลงคอยลูกเหมือนกัน ใช่หรือไม่  แล้วทุกคนก็เคยเป็นเด็กมาและก็เคยหนีเที่ยวด้วย ใช่หรือไม่  ครั้งนี้ไม่เหมือนกับทุกที เพราะว่าครั้งนี้เขาหลงคอยอะไรของเรา หลงคอยเราจะถามเขาว่า กินข้าวหรือยัง, เมื่อวานหลับดีหรือเปล่า, กินอิ่มไหม, ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง, สุขภาพร่างกายแข็งแรงดีไหม  พ่อแม่อยากได้ยินคำเหล่านี้จากลูกทั้งนั้น ใช่หรือไม่  ส่วนคนเป็นลูกชอบถามไหม (ไม่ชอบ)  ไม่ชอบถามเลย เพราะฉะนั้นการแสดงความห่วงใยเล็กๆ น้อยๆ ง่ายๆ คืออะไร คือการเปิดปากออกถาม ใช่หรือไม่  บางทีพวกเขาก็สบายดี แต่บางทีก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรใช่หรือไม่ คนนั้นดูหน้าไม่รู้ใจ เพราะฉะนั้นคนในบ้านเราก็เช่นเดียวกัน เขามองหน้าเราเขาอาจจะไม่รู้ว่าเราคิดอะไรก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยเห็นตัวอย่างคนในบ้านเดียวกันเข้าใจผิดคนในบ้านเดียวกันก็ถมเถ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดเรา ขอให้เรานั้นพยายามใช้การสื่อสารให้เป็น มีภาษาไว้ให้พูดก็ต้องรู้จักใช้ มีตัวหนังสือไว้ให้เขียนก็ต้องรู้จักเขียน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เขียนหนังสือไม่เป็นก็ต้องรู้จักพูดใช่หรือเปล่า (ใช่)  จะบอกว่าพูดมากไม่ไหวแล้ว ไม่อยากพูดได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าอยากให้ครอบครัวมีความสุข เราเองก็อยากมีความสุขก็จงรู้จักที่จะไต่ถาม จงใช้จิตใจของเรานั้นออกมาถาม ไม่ใช่ถามแต่ปาก ใจไม่ถามไม่ได้ กลับไปคราวนี้ที่บ้านคงมีความสุขขึ้นเยอะใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลงที่ท่านประทานให้)
ถ้าหากว่าใครร้องไม่เป็นก็ขอให้ซึมซับเนื้อหาเข้าไป เพื่อหลังจากวันนี้เรากลับบ้าน เราจะได้ใช้การกระทำทั้งหมดแทนการอธิบายคำพูด เพราะว่าคำพูดที่เราพูดไปมากมาย ไม่ว่าจะเกี่ยวกับธรรมะข้อไหน คนทางบ้านอาจจะฟังไม่เข้าใจ เราก็ใช้การกระทำของเรา คือการกระทำตัวเป็นคนดีขึ้นให้คนที่บ้านเห็น การที่เราใช้ตัวเรานั้นเป็นการอธิบายธรรมะแทนคำพูด เราจะต้องมีความอดทนมากๆ ไม่ใช่ว่ากลับไปบ้านยกน้ำให้ครั้งเดียว ยกข้าวให้ครั้งเดียวแล้วเราก็ไม่ทำอีกเลย หรือเวลาเราทำให้แล้วมีคนอื่นว่ามา เพราะคนที่เรายกให้นั้นกำลังอารมณ์เสียอยู่ เราก็หมดความอดทนแล้วเราก็เลิกทำ เราจึงต้องรู้จักที่จะทำความดีของเราให้ยาวนาน ให้ใช้ความอดทน ให้มีศรัทธาต่อความดี ไม่ใช่บอกว่าทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป
“มีโอกาสต้องรักษาด้วยการใช้”  คนเราเมื่อมีโอกาสไม่ใช่เอามารักษาไว้เฉยๆ ไม่เหมือนกับการเก็บแก้วนิลจินดาที่เอามาเช็ดมาถู แต่ต้องรู้จักรักษาและใช้ออกไปจึงเรียกว่าเป็นการรักษาโอกาสอย่างแท้จริง
(พระอาจารย์เมตตากับนักเรียนที่มาวงพระโอวาท)
โชคดี  คนนี้หน้าตาเหมือนคนโชคดีไหม คนจะโชคดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับว่าโดยปกติเราทำอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากโชคดีอย่างคำที่ได้วงก็ต้องทำสิ่งที่ดีๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคำว่า “โชค” ก็จะวิ่งมาหาเราเองถูกหรือเปล่า (ถูก)  อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์นั้นจะโชคดี
คนเรานั้นเมื่อบำเพ็ญธรรมะไปสักช่วงหนึ่งใบหน้าราศีจะเปลี่ยนไป คนที่ชอบทำหน้าบึ้งบ่อยๆ ใบหน้านี้ก็กลายเป็นใบหน้าที่บึ้งตึง  คนๆ นี้เหมือนคนที่โชคดีไหม (ไม่เหมือน)  คนที่ใบหน้ามีแต่รอยยิ้มคนๆ นี้เหมือนคนที่โชคดีไหม (เหมือน)  เพราะฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ก็ตัดสินใจได้ ถึงแม้ว่าเราจะอยากบำเพ็ญหรือไม่อยากบำเพ็ญธรรมอย่างน้อยก็ให้ไปฝึกรอยยิ้มไว้เสมอๆ
ได้ ได้เป็นศิษย์อาจารย์ แต่ว่าจะได้เป็นศิษย์อาจารย์ตลอดไปหรือเปล่าขึ้นอยู่กับตัวเราใช่ไหม  อาจารย์ไม่บังคับไม่ฝืนใจ และก็ทำอะไรไปได้ด้วยอยู่ที่เราทำ หากเราทำก็เป็นผลดีกับเรารู้ไหม (ต้องพิจารณาก่อน)  การพิจารณานั้นก็ต้องประกอบด้วยการศึกษาให้เวลา หวังว่าไม่ปิดโอกาสตนเองนะ
ท่านขงจื้อพูดไว้ว่ามีเรื่องน่าเศร้าอยู่สามอย่าง หนึ่งคือคนที่ไม่มีความรู้ สองไม่มีความรู้แล้วยังไม่เรียน สามเมื่อเรียนแล้วยังไม่ตั้งใจที่จะไปลงมือ ในวันนี้อาจารย์ไม่พูดถึงความรู้ในทางโลก ความรู้ในการอ่านออกเขียนได้ แต่เราจะมาพูดถึงความรู้ในการบำเพ็ญธรรม  กล่าวไปแล้วนั่งชั้นสองวันนี้ก็เหมือนการหาความรู้ในทางธรรม ไม่ว่าหาออกมาแล้วความรู้นั้นจะถูกหรือจะผิดก็ต้องพิจารณาดู เมื่อเราได้ความรู้ทางธรรมอันนี้ เราก็ต้องรู้ เมื่อเราไม่รู้ให้เราได้ไปเรียน ตอนนี้ศิษย์ก็ได้เรียนแล้ว เมื่อเรียนและรู้แล้วต้องทำอะไรเป็นอย่างสุดท้ายถึงจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเศร้า จะต้องได้ลงมือทำใช่หรือไม่ (ใช่)  ดังเช่นฟังเรื่องความกตัญญูก็ต้องกลับไปดำเนิน ฟังเรื่องความเมตตาก็ต้องกลับไปเมตตาผู้อื่น ฟังเรื่องคุณธรรมก็ต้องกลับไปสร้างคุณธรรม ฟังเรื่องความดีก็ต้องกลับไปสร้างความดี นั่นแหละถึงจะเป็นการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าการนั่งอยู่ในห้องแคบๆ นี้อีกใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าในโลกของความรู้นั้นไม่มีที่ใดกว้าง ในโลกของความรู้นั้นไม่มีที่ใดที่ศิษย์นั้นจะหาได้สิ้น มีแต่การปฏิบัติการลงแรงเท่านั้นที่จะทำให้เรานั้นมีความรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เรานั้นเป็นผู้มีปัญญามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเราผิดพลาดครั้งหนึ่งเราก็จะรู้ว่าเราผิดพลาดตรงไหนแล้วเราก็ไม่ไปทำซ้ำอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นจึงเป็นการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่และนั่นจึงเป็นการบอกได้ว่าเรานั้นมีความรู้ระดับไหน
ในวันนี้อาจารย์มา ก็เป็นโอกาสที่ศิษย์ของอาจารย์นั้นจะได้ทำความรู้จักกัน  การที่เรานั้นได้มีโอกาสเจอกันถือว่าเป็นคนที่มีบุญร่วมกัน แล้วศิษย์จะบอกว่าตัวเรานั้นเป็นคนมีบุญน้อยคงไม่ใช่ การบำเพ็ญธรรมนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะว่าการบำเพ็ญธรรมนั้นคือการบำเพ็ญใจ ลงแรงที่ใจของเราเอง ใจของศิษย์นั้นแบ่งไปหลายอย่าง สิ่งที่สำคัญมากคือความคิดของเรานั่นเอง ความคิดของเรานั้นจะต้องเป็นคนที่คิดดีตลอดเวลา  ถ้าหากเมื่อไรที่เรามีความคิดที่ไม่ดี หรือคิดกับคนอื่นไม่ดี  ศิษย์จะต้องรู้จักกำราบจิตใจของตัวเอง ใจของเรานั้นเป็นใจที่ถ้าหากว่าเราตั้งใจจะควบคุมแล้วถึงจะสามารถควบคุมได้สำเร็จ และเมื่อเราควบคุมใจของเราได้แล้ว จึงเอาใจของเรานี้มาควบคุมกายของเรา เมื่อนั้นเราจะได้ถึงการเป็นพุทธะอย่างง่ายดาย  ทุกๆ วันนี้เป็นเพราะว่าเราควบคุมใจของเราไม่ได้ ใจของเรามีแต่กิเลสใช่หรือไม่ (ใช่)  มีกิเลสอันได้แก่อะไรบ้าง ความรัก โลภ โกรธ หลง  สี่อย่างนี้เป็นสิ่งที่ได้ยินมาตั้งนานแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถามว่าตอนนี้สี่อย่างนี้ในใจของศิษย์อย่างใดที่ลดลงแล้ว มีไหม รู้จักมาตั้งนานแล้วแต่ไม่รู้ว่าใครรู้จักใคร ไม่รู้ว่าเขารู้จักเราหรือเรารู้จักเขา  ฉะนั้นสี่อย่างนี้จึงต้องรู้จักกำราบให้เบาบางลง นี่จึงเป็นการที่เรานั้นเข้าสู่การบำเพ็ญธรรมที่แท้จริง การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยากใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาคนมาเตะเราครั้งหนึ่ง เวลามีคนมาตบเราสักทีหนึ่ง เราโมโหได้ไหม โกรธได้ไหม  เป็นเรื่องง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นเรื่องง่ายๆ แค่เรานั้นไม่โกรธทำได้หรือเปล่า (ได้)  เวลาเห็นเงินกองโตแล้วไม่โลภได้ไหม เวลาเห็นคนอื่นมีเสื้อใส่ดีๆ เราไม่อยากได้ ได้หรือเปล่า เราไม่อยากจะเลียนแบบเขาได้หรือไม่ (ได้)  เวลาเห็นผู้หญิงสวยๆ แล้วเรารู้สึกว่าไม่อยากที่จะหลงเขาได้ไหม  คนถ้าหากว่าลองสังเกตก็จะยิ่งผิด หากไม่สังเกตก็ไม่ผิดสักที
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้กับแม่ครัว)
พวกเขาเหนื่อยอยู่หน้าเตาเรากินสบาย เราก็ต้องรู้จักขอบคุณ ใช่หรือไม่
“เบารักโลภโกรธหลงจนสุญตา”
ต้องเบาความรัก โลภ โกรธ หลง ออกจากจิตใจให้ได้ ในวันนี้อาจารย์มาไม่ค่อยพูดเรื่องรัก โลภ โกรธ หลง เท่าไร  แต่เมื่อพูดน้อยอาจารย์ก็จะสรุปว่าคนบำเพ็ญธรรมไม่สามารถมีรัก โลภ โกรธ หลง เหลืออยู่ได้  ไม่ว่าศิษย์จะตัดด้วยวิธีการไหน เมื่อไร ไม่ว่าจะตัดอย่างไรก็ตาม จะต้องตัดให้หมดให้ได้ภายในชีวิตนี้  ถ้าหากว่าอยากจะเป็นเซียนและขึ้นไปยังมีความรักอยู่ หากไปรักคนโน้นคนนี้อย่างนี้ก็ไม่ได้ หรืออยากจะโลภในมรรคผลของคนอื่นก็ไม่ได้ หรือจะโกรธผู้บำเพ็ญคนนั้นคนนี้ก็ไม่ได้ หรืออยากจะหลงใครๆ ก็ไม่ได้  ฉะนั้นหากว่าคนที่ยังมีรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ในใจ ตอนนี้บอกว่าตัดยาก รออีกหน่อยไม่มีกายเนื้อนี้ยิ่งตัดยาก  เพราะว่าตลอดมาไม่เคยฝึกฝน เมื่อไม่มีกายเนื้อนี้จะเอาอะไรมาฝึกฝน ฉะนั้นไม่ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญเท่าไรก็ต้องตัดให้มาก เหมือนกับที่อาจารย์เคยบอกว่าคนที่ซื่อๆ ใสๆ บำเพ็ญง่าย แต่ศิษย์ของอาจารย์นั้นซื่อๆ ใสๆ หรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า "รักษาโอกาส")
เมื่อวานนี้ท่านหนึ่งในแปดเซียนมาก็บอกศิษย์ว่าให้ศิษย์นั้นรักษาโอกาส โอกาสที่ดีที่สุดก็คือโอกาสที่มีร่างกายเป็นมนุษย์นี้ ดูซิว่าคนที่มีโอกาสอย่างศิษย์มีร่างกายเป็นกายเนื้ออย่างศิษย์นั้นจะสามารถรักษาไว้ได้หรือไม่ มีกายเป็นคนจึงถือว่าเป็นโอกาส และรักษาด้วยการใช้โอกาสของตนเองนี้ให้มากๆ ใช้โอกาสที่เรานั้นไปทำความดี ใช้โอกาสที่เรานั้นจะไม่นั่งอยู่บ้านเฉยๆ  วันๆ ไม่ใช่เอาแต่นอนดูทีวี ไม่ใช่เห็นคนอื่นเดือดร้อนแล้วไม่อยากจะช่วย หรือเห็นคนอื่นเดือดร้อนแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องของเรา  อย่างนั้นไม่ใช่วิสัยอย่างพุทธะที่ทำกัน
อาจารย์หวังว่าศิษย์ของอาจารย์นั้น หลังจากวันนี้เป็นต้นไปคงจะกลับมาสถานธรรมบ่อยๆ แม้ว่าจะมาลำบาก มายากก็ขอให้เรานั้นพยายามที่จะมา  และศิษย์จะรู้ว่าการศึกษาธรรมะนั้นทำให้เราเข้าใจ การบำเพ็ญของเราจะราบรื่นได้อย่างไรถ้าเราขี้เกียจศึกษาไม่ชอบฟังหรือเอาตัวมาฟังแต่ใจไม่ยอมฟัง อย่างนี้เวลาไม่เข้าใจก็ย่อมจะทำสิ่งใดไม่ได้
เมื่อเราพูดถึงการบำเพ็ญธรรมทั้งครอบครัวแล้ว เมื่อเราทำดีกับครอบครัวเราได้สำเร็จ ไม่ว่าเราจะอยู่กับใครที่ไหนทุกคนก็คงจะรักเรา ถึงตอนนั้นอย่าได้มีความเห็นแก่ตัวหรือดีเฉพาะกับคนที่เรารู้จัก ดีเฉพาะกับคนที่เป็นญาติของเรา หรือดีเฉพาะกับคนที่เราชอบพอ  ถ้าทำอย่างนั้นเราก็ยังเป็นคนเห็นแก่ตัว กลับกลายเป็นปล่อยการยึดทางนี้แต่ไปจับการยึดทางโน้น ไม่พ้นคำว่า “ยึด” ก็ไม่พ้นแดนโลกีย์นี้ ไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิดนี้
ในวันนี้อาจารย์มาได้ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกแล้วว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นเป็นคนมีบุญแค่ไหน บุญไม่ได้ดูจากหน้าตา บุญไม่ได้ตัดสินถึงอดีตชาติที่เคยสร้าง  แต่บุญที่มีในเวลานี้คือบุญที่เจ้าสร้างในเวลานี้ บุญที่แสดงออกมาในการตั้งใจฟังนี้ถึงจะเป็นบุญในอนาคต ถึงจะเป็นบุญที่จะบอกว่าเราจะสำเร็จเป็นพุทธะได้หรือไม่  เพียงแต่เราตั้งใจฟังอย่างนี้จนจบกลับออกไปวันหลังก็ยังจะกลับเข้ามาฟังธรรมะ ศึกษาธรรมะ บำเพ็ญธรรมอย่าได้ท้อถอย อย่าได้กลัวความยากลำบาก เหมือนกับตอนแรกที่อาจารย์มาเห็น  อาจารย์รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์นั้นสนุกสนาน แต่ไม่รู้เลยว่าในความสนุกสนานนั้น ข้อความที่อยู่ในเพลงนั้นก็คือความทุกข์ทั้งนั้น เพียงแต่เราอย่าเอาจิตใจไปยึดกับความทุกข์ ท่ามกลางความทุกข์เราไม่รู้สึกถึงความทุกข์ ก็เหมือนกับการที่เรานั้นมีสภาพร่างกายที่เจ็บป่วย แต่จิตใจของเรานั้นไม่เจ็บป่วยเลย อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นจิตใจไม่เจ็บป่วย ยังอยากให้จิตใจของศิษย์นั้นเป็นจิตใจที่สะอาดสะอ้าน เป็นจิตใจที่กว้างและเป็นจิตใจที่เตรียมพร้อมจะสู่ความเป็นพุทธะในวันข้างหน้า  ใจของเจ้านั้นสอนเจ้าอยู่ตลอดเวลา ทำอย่างไรอาจารย์นั้นก็แอบบอกเจ้าตลอดเวลา นิพพานนั้นไม่ใช่ไปยาก อย่าบอกว่าทำไม่ได้ อย่าบอกว่าเราไปไม่ถึง  ให้เรานั้นได้ลองได้รู้ ถ้าหากว่าเรามีความพยายามสักวันต้องสำเร็จ
อาจารย์กลับไปแล้วศิษย์จะคิดถึงอาจารย์ไหม (คิดถึง)  อาจารย์อยากมองหน้าคนที่บอกว่าคิดถึงอาจารย์ให้ชัดๆ คิดถึงอาจารย์ก็ทำในสิ่งที่อาจารย์สอน ทำในสิ่งที่อาจารย์บอก อย่าทำในสิ่งที่ขัดกับที่อาจารย์บอก ชื่ออาจารย์ ชื่อ “จี้กง”  แปลว่าอนุเคราะห์โลก อนุเคราะห์ผู้อื่น  ศิษย์ก็ต้องรู้จักช่วยคนอื่น ช่วยคนอื่นด้วยจิตใจโหดเหี้ยมไม่ได้ เวลาช่วยคนอื่นเราต้องมีความเมตตา
(อาจารย์เมตตาประทานทอฟฟี่ให้คนที่เดินทางมาไกล และประทานสับปะรด ๒ ผลให้กับนักเรียน)
อาจารย์มา ศิษย์ไม่ค่อยอยากจะตอบเลย คนที่ไม่ได้ผลไม้ก็คือคนที่ไม่ได้ผลไม้ อย่างไรก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวอาจารย์ให้เขาปอกไว้ให้ แล้วไปกินด้วย
รักษาจิตใจของเราให้คงเดิมให้คงที่ ให้คงที่ ณ ความดี ให้คงที่ ณ ความเมตตา มีโอกาสมาทั้งทีศึกษาธรรมให้เยอะๆ
อาจารย์นั้นในยามนี้คิดถึงศิษย์บางคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ คิดถึงศิษย์บางคนที่มีใจท้อแท้ไป ทนอุปสรรคไม่ไหว แล้วก็ขอถามว่าศิษย์ของอาจารย์ที่อยู่ที่นี่จะเป็นเช่นนั้นไหม (ไม่เป็น)  คำยืนยันที่อาจารย์ได้ และอาจารย์จะเก็บจำไว้เสมอ คือคำตอบจากคนที่เป็นคนเก่าแล้ว  บางคนมาบำเพ็ญธรรมะเพราะยึดติดรูปลักษณ์ บางคนมาบำเพ็ญธรรมะเพราะความอยากได้ บางคนมาบำเพ็ญธรรมะเพราะความลุ่มหลง บางคนมาบำเพ็ญธรรมะไม่เคยคิดอยากตัดกิเลสเลยสักข้อเดียว บางคนมาบำเพ็ญธรรมะ ไม่รู้ว่าบำเพ็ญคืออะไร นี่คือสภาพของคนบำเพ็ญที่น่าสงสารที่สุด  การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องยาก แต่การบำเพ็ญธรรมนั้นทำไมถึงทำไม่ได้ อาจารย์ก็ยังคิดอยู่  กรรมดึงไว้หรือว่าใจตัวเองดึงไว้กันแน่  รับผิดชอบตัวเราให้ดี ดูแลสุขภาพตัวเราให้ดี  ทุกๆ วันขอให้มีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
ลาก่อนนะ วันหลังเจอกันอีก ขอให้มีแต่ความดีมาโอบล้อมศิษย์ของข้า ลาก่อน



พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทาน
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท   “รักษาโอกาส”

มีโอกาสต้องรักษาด้วยการใช้ รังสรรค์ให้สมกับที่โชคดีนี้
คุณวิเศษสร้างกลางความไม่มี แต่โอกาสมีอุปสรรคคือเวลา
สิ่งใดทำได้จงให้รีบทำ ปล่อยโอกาสไร้คำไร้น้ำตา
บางโอกาสเกิดมาด้วยปัญญา ในเมื่อใครไม่ได้มาจงสร้างเอง 

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา