วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2543

2543-04-22 พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ จ.ประจวบคีรีขันธ์


PDF 2543-04-22-เมี่ยวเต๋อ #6.pdf

วันเสาร์ที่ ๒๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ จ.ประจวบฯ
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทขี้แนะ

ธงพลิ้วเองหรือว่าลมสะบัดธง ใจซื่อตรงรูปภายนอกกำราบได้ง่าย
จิตพุทธะอยู่ภายในเร่งฟื้นไว ขอให้ใช้สองวันนี้ศึกษาธรรม
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมเมี่ยวเต๋อ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤา
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา

ชีวิตนี้สุขแท้จริงอยู่หนใด เพียรคว้าไขว่ได้มาแต่ความว่างเปล่า
ความทุกข์ขมได้เจอมาแต่เยาว์ ขอรู้เรารู้เขาเร่งบำเพ็ญ
ในครานี้ธรรมะมากู้จิตคน อย่าสับสนคิดว่าตนคือคนเก่ง
เหนือฟ้ายังมีฟ้าน่ายำเกรง ขอตื่นเองตนเตือนตนให้ทำดี
การหลุดพ้นเวียนว่ายใช่เรื่องง่าย ไม่สบายแต่ขวนขวายย่อมไปถึง
คนทุกคนมีสิทธิ์เป็นส่วนหนึ่ง ให้คำนึงเรื่องที่ตนควรเริ่มทำ
การเวียนว่ายทรมานกว่ายามนี้หลายเท่า ขอให้ก้าวพ้นจากทุกข์ส่วนตนนั่น
ให้รับรู้ทุกข์เกิดกายทุกข์พัวพัน ให้ขยันบำเพ็ญเริ่มวันนี้เลย
ต่างเป็นผู้ฝึกฝนย่อมมีพลาด แต่ประมาทย่อมยากจะคืนฟ้า
รู้ว่าผิดยังทำระกำนา รู้แก้ไขไม่ล่าช้ายังมีกาย
อย่าสงสัยให้ในจิตต้องมือบอด เหน็บหนาวกอดตนเองยากจะหาย
ขอให้จุดไฟแห่งธรรมลุกขึ้นใหม่ ดับกิเลสในดวงใจย่อมสูงขึ้น
ในวันนี้เป็นวันแรกการประชุม ขอสุขุมพิจารณาปัญญาใส
ขอบำเพ็ญเริ่มที่ตนย่อมไม่สาย การปฏิบัติลงแรงใจเป็นสำคัญ
แม้จะร้อนขอให้ใจเย็นเข้าไว้ สามัคคีคือพลังให้คืนฝั่ง
แม้จบชั้นขอให้ก้าวอย่างระวัง และจะยังศึกษาต่อจนแจ้งคืน
ต่างมีบุญกับพุทธะอย่าประวิง คนติติงตั้งใจฟังน้อมรับมา
อย่าดูถูกตนเองว่าต่ำต้อย มากเริ่มมาจากน้อยก่อนทั้งนั้น
ทำจิตใจที่เคยวุ่นสารพัน ให้สงบเป็นขวัญเดินทางธรรม
สองวันนี้ขอตั้งใจอยู่ให้ครบ แลเคารพพุทธระเบียบให้มากมาก
ขอให้เร่งสยบสายน้ำหลาก และขอฝากให้บำเพ็ญเริ่มจากใจ
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด

วันเสาร์ที่ ๒๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ จ.ประจวบฯ
พระโอวาทพระนาจา

จุดเริ่มต้นมิต่างกับจุดสิ้นสุด เต็มแล้วหยุดรู้พอได้ย่อมเป็นสุข
ทุกสิ่งล้วนได้มาเพราะเสียไปเป็นที่สุด ทั้งชีพมนุษย์อย่าได้เพียงหาเงินตรา
เราคือ
นาจาน้อย รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามทุกท่านต้อนรับเราหรือเปล่า

ชีพที่ทำกระจัดกระจายกว่าสำเร็จได้ใหม่ ต้องทำสิ่งใดให้ได้ซึ่งฐาน
คงไม่พ้นไปเสียจากสิ่งสำคัญ เคยมองผ่านแต่เที่ยวนี้เห็นชัดเจน
เดินทีละขั้นยากกลายง่ายเมลือง น้ำไหลเนืองแต่เสมอมิเคยเว้น
เมื่อมีความเชื่อมั่นย่อมตามเกณฑ์ จิตบำเพ็ญต้องได้เสมอคงเส้นวา
ก่อนได้เจอความสำเร็จอันงดงาม ลงแรงพยายามด้วยบำเพ็ญด้วยความกล้า
รู้สัจธรรมยืมปลอมบำเพ็ญแท้นา ทุกเวลาสร้างสิ่งดีทุกขั้นตอน
สุขในทุกข์สรรพสิ่งจริงอยู่ในปลอม ควรถนอมกายสำหรับสร้างวันหน้าก่อน
สร้างดีพ้นเพื่อกุศลดั่งตะวันร้อน ไม่มองข้ามใจคลอนต้องหมั่นปราม
ใช้ปัญญาเรือลำน้อยยืมแรงลม ฟ้าชื่นชมผู้ปฏิบัติในยุคสาม
ทุกถิ่นทุกกันดารธรรมไปแพร่งาม เร่งรุดยามโอกาสงามยังนำพา
ฮิ ฮิ หยุด


พระโอวาทพระนาจา

รองเท้าคู่ใหญ่กับคู่เล็กท่านจะเลือกแบบไหน (คู่เล็ก) พอดีกับหลวมๆ ท่านเลือกแบบไหน (พอดี) ทุกคนมักจะเลือกคู่ใหญ่แล้วก็มีเยอะๆ หรือคู่หลวมๆ ฉะนั้นบางครั้งไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม จิตใจของเราก็มีอำนาจเหนือความเป็นจริงใช่หรือไม่ ทั้งที่รู้ว่าเลือกแบบพอดีย่อมดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาใส่เดินไปไกลหรือใกล้ก็เดินได้ เดินสะดวก เดินได้คล่องแคล่วใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ถ้าเลือกคู่ใหญ่ๆ หรือคู่เล็กๆ เพราะเห็นว่ามันสวย พอเดินไปได้สักครึ่งทางก็ต้องเจ็บแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วทำไมเราถึงไม่ทำกันบ้าง เลือกรองเท้าเป็นแต่บางทีก็เลือกชีวิตไม่ค่อยเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)
เดินเหมือนเป็ด เดินเหมือนคน เดินเหมือนพุทธะเราจะเดินแบบไหนกันดี (เดินแบบพุทธะ) ใครๆ ก็อยากจะเดินแบบพุทธะ ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะพุทธะไม่ว่าจะเยื้องย่างไปทางไหนก็มีคนกราบไหว้ แต่เดินแบบคนบางทีก็มีแต่คนเกลียด มีคนรัก มีคนชอบ มีคนชัง ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วถ้าเดินแบบเป็ดก็จะมีแต่คนหัวเราะเยาะ ใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตของคนเราก็เหมือนกัน เราอยากจะเป็นแบบไหน บางครั้งก็ไม่ใช่ไปโทษคนโน้นที่มาว่าเรา แบบนี้ไม่ได้ บางทีต้องมองตัวเราเองก่อนว่าเรามีชีวิตแบบไหน คนจึงหันมามองเราแบบนี้ หันมาพูดกับเราแบบนี้ จริงไหม (จริง) แล้วตอนนี้ท่านอยากเดินแบบไหน แบบพุทธะ ใช่หรือไม่ (ใช่) มาศึกษาธรรมะก็ต้องฝึกหัดเดินแบบพุทธะ ฉะนั้นเดินแบบคนเราจะเอาหรือไม่ (ไม่เอา) เอาไปก่อนแล้วค่อยไปฝึกเดินแบบพุทธะ ถ้าเดินเป็นคนไม่ดีแล้วจะเดินแบบพุทธะได้ดีหรือ ฉะนั้นต้องเป็นคนให้ดีก่อน เป็นคนให้สมบูรณ์แบบก่อน ถึงจะก้าวไปสู่การเป็นพุทธะได้ หากยังเป็นคนไม่ดีเลย แล้วจะเป็นพุทธะได้ดีหรือไม่ (ไม่ได้) เช่นเดียวกันหากดำเนินชีวิตไม่ดีแล้ว เราจะสามารถดำเนินในทางธรรมได้ดีไหม (ไม่ดี) การบำเพ็ญธรรมในยุคนี้ก็คือต้องรู้จักดำเนินชีวิตให้ดี ถึงจะดำเนินไปสู่การบำเพ็ญธรรมที่ดีได้ ใช่หรือไม่
“เต็มเมื่อหยุดรู้พอได้ย่อมเป็นสุข” คนในโลกนี้บ้างพอไม่มีแล้วก็หาให้ตนมี แต่มีเต็มแล้วไม่ล้น ใช่หรือไม่ (ใช่) เข้าใจคำนี้ไหม หลายๆ คนพอกระเป๋าตัวเองว่างก็พยายามหาให้กระเป๋าตัวเองมีให้มากที่สุด เมื่อมากสุดทุกคนสามารถหยุดในตรงคำว่าสุดได้พอดีไหม ไม่พอดี ใช่หรือไม่ (ใช่) จึงเป็นเรื่องลำบากของมนุษย์ทุกคน ที่เมื่อเกิดความอยากแล้วจะรู้จักหยุดหยุดได้อย่างพอดี หยุดได้อย่างมีสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าทุกคนหมั่นแสวงหาแต่ไม่รู้จักหยุดไม่รู้จักพอเป็นทุกข์ไหม (เป็นทุกข์) เหนื่อยหรือเปล่า (เหนื่อย) ย่อมเหนื่อยในการแสวงหาที่ไม่สิ้นสุดนี้ ฉะนั้นเกิดเป็นคนเมื่อมีแล้วต้องรู้จักพอ พอชนิดที่พอแล้วเราเป็นสุข พอแล้วเรียกว่าเต็มอย่างพอดีไม่ใช่เต็มแล้วล้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
จุดเริ่มต้นกับจุดสิ้นสุดก็คือจุดเดียวกันใช่ไหม (ใช่) อยู่ที่ว่าเราจะไปแสวงหาสิ่งใดให้กับชีวิต บางคนขอให้ได้มาก็พอ เป็นอะไรไม่รู้ เขาบอกให้ไปหาก็ไปหา เขาบอกให้มีก็ต้องมีใช่ไหม (ใช่) ในการมีชีวิตทำเช่นนี้ถูกหรือเปล่า เพราะว่าถ้าเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว เราไม่สามารถเรียกกลับมาได้ใช่หรือไม่ (ใช่) โอกาสมีแค่ครั้งเดียว หนเดียว ฉะนั้นแม้จะมาช้าไปหน่อย แต่บางทีเราต้องระมัดระวังด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) การหาของชีวิตนั้นก็มีเวลาจำกัดสั้นๆ เท่านั้น หากให้เวลากับการศึกษามากเกินไป แทนที่จะได้อะไรก็กลับไม่ได้ เพราะเวลาของชีวิตหมดสิ้นไปแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราเกิดเป็นคนอย่าได้มองว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่อแสวงหาอย่างเดียว บางทีคำพูดนี้ก็อาจจะทำให้เราวิ่งไปตามสิ่งที่เราพูด แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเราแสวงหาอะไรใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นชีวิตก่อนที่เราจะเริ่มต้นออกไปข้างนอก เราจึงต้องรู้จักศึกษาให้ดีก่อน รู้จักโลกให้ชัดเจนก่อน รู้จักตนเองให้ดีพร้อมก่อน ก่อนที่จะก้าวออกไป ไม่เช่นนั้นออกไปแล้ว บางทีอาจจะไม่ได้กลับมาเลยก็เป็นได้ ออกไปแล้วก็อาจจะไปลับ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นค่าของชีวิตกว่าที่เราจะได้มาแต่ละสิ่งแต่ละอย่าง เราจึงต้องรู้จักใช้ให้ดี ไม่อย่างนั้นค่าของชีวิตของท่านก็เป็นเพียงใบไม้หนึ่งใบใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเวลาที่เสียไปของชีวิต ขอให้มีค่ามากกว่าใบไม้หนึ่งใบ ดีหรือไม่ (ดี) แต่จะมีใครในโลกนี้ที่อยู่สูงแล้วไม่อันตราย เต็มแล้วไม่ล้นจริงไหม ใครยืนอยู่ที่ต่ำๆ เรามักไม่ชอบ เราชอบยืนอยู่ที่สูงๆ แต่สูงแล้วอันตรายไหม (อันตราย) มีน้อยๆ แล้วไม่ชอบ ชอบมีมากๆ มีมากแล้วลำบากใจใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วลำบากกายกับลำบากใจอันไหนลำบากมากกว่ากัน (ลำบากใจ) ยอมลำบากกายหรือ ก็ยังดีนะ
เรามีเกมอีกเกมหนึ่งให้เล่น เพื่อดูความสามัคคีของหมู่คณะในชั้นนี้ได้ไหม (ได้) เอามือแตะบ่าคนข้างหน้าไว้ เราบอกให้ลุกขึ้น มือท่านห้ามหลุดจากบ่านะ เพราะเรามาด้วยกัน เราก็ต้องไปด้วยกันใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมร่วมเล่นเกมด้วย) ถ้าเราบอกให้ยืนขึ้นก็ให้นั่งลง ถ้าเราบอกให้นั่งลงก็ยืนขึ้น แล้วสลับกันระหว่างนักเรียนและผู้ปฏิบัติงานธรรม
เวลาเรานั่งฟังอยู่ ถ้าเราหลับคนอื่นจะหลับด้วยไหม (หลับ) อยากหลับตามด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นตัวท่านก็มีอิทธิพลต่อคนรอบข้างด้วยเหมือนกันเพราะฉะนั้นอย่าหลับเพราะท่านจะเป็นคนที่ทำให้คนอื่นหลับตามไปด้วยใช่ไหม (ใช่) อย่าให้อิทธิพลมีผลต่อจิตใจเรา ตั้งสติให้ดี บางครั้งอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมภายนอกก็มีผลต่อจิตใจใช่ไหม (ใช่) ตอนนี้ไม่ต้องมองใคร ต้องมองที่ตัวเราเองเรื่องราวในโลกนี้บ่อยครั้งที่เราสามารถเก็บมาสอนชีวิตเราได้ใช่ไหม (ใช่) เราอาจจะมองเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าเราค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณา เรื่องราวในโลกนี้สอนเราได้เหมือนกัน เพราะธรรมชาติก็คือโลก โลกก็คือธรรมชาติใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วชีวิตของมนุษย์เป็นธรรมชาติไหม (เป็น) ฉะนั้นถ้าไม่เอาธรรมชาติมาสอนธรรมชาติแล้วจะเอาอะไรมาสอนตัวเราใช่หรือไม่ (ใช่) แต่มนุษย์เรามักจะแยกตัวเองออกจากธรรมชาติ คิดว่าตัวเองคือคนใช่ไหม (ใช่) ลืมความเป็นเดิมแท้ของตัวเองไปว่าคนก็คือหนึ่งในธรรมชาติ หากพูดว่าตอนนี้มนุษย์อยู่ในสังคมหรืออยู่ในธรรมชาติท่านจะตอบว่าอยู่ในไหน (ธรรมชาติ) ถ้าเราไม่พูดสิ่งนี้ไว้ก่อนท่านคงตอบว่ามนุษย์อยู่ใน (สังคม) ใช่หรือเปล่า (ใช่) แท้จริงแล้วมนุษย์อยู่ในธรรมชาติ ต้องไม่ลืมว่าตนเองคือธรรมชาติหนึ่งของสังคม ของชีวิต และของธรรมชาติที่ใหญ่กว่าใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วธรรมชาติของชีวิตหรือธรรมชาติที่ท่านเห็นเป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรที่เป็นสามัญที่เรารู้กันอยู่แล้วเรียกว่าธรรมชาติ (ธรรมชาติคือสิ่งที่ทำให้โลกสดชื่น) บางทีก็เป็นส่วนหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเราเดินไปในท้องทุ่งหญ้าเขียวขจีแล้วเรารู้สึกเป็นอย่างไร (สดชื่น) แล้วธรรมชาติทำให้หดหู่ได้ไหม (ได้) ฉะนั้นต้องบอกว่าธรรมชาติให้ทั้งความสดชื่นและความหดหู่ด้วย แล้วเราเคยให้ความสดชื่นแก่ใครไหม เคยให้ความหดหู่แก่ใครไปบ้างหรือเปล่า เคยเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราอยากให้ความสดชื่น หรือหดหู่แก่ผู้อื่น (สดชื่น) ฉะนั้นอะไรที่ทำให้หดหู่อย่าทำเลย แล้วธรรมชาติยังให้อะไรอีก (ธรรมชาติเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องค้นหา) ธรรมชาติเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องค้นหา แต่บางทีก็ต้องค้นหาเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะคนก็มีทั่วๆ ไปให้เราเห็น ใช่หรือเปล่า (ใช่) แล้วมีอะไรอีกน้ำหรือต้นไม้ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างเช่นธรรมชาติเป็นอย่างไร มีมืดมีสว่าง มีดีมีร้าย นี่คือธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งย่อมมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นคล้ายๆ วงกลม วิถีของธรรมชาติหรือสรรพสิ่ง มีการดำเนินคล้ายวงกลม พอเริ่มต้นก็เดินๆ ต่อไปจนถึงจุดสุดท้าย จุดสุดท้ายกับจุดเริ่มต้นก็คือ จุดๆ เดียวกันใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านคือธรรมชาติ หากเรารู้ธรรมชาติว่าคนเราเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราคงต้องใช้ชีวิตให้มีค่ายิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนที่เราอ่อนแอ ตอนที่เราป่วย เราจึงรู้ว่าคนต้องใช้ชีวิตให้มีค่ายิ่งขึ้น แต่ยังไม่ทันป่วยทุกคนก็สามารถรู้ได้ว่า คนเรานั้นมี เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมชาติ แล้วสรรพสิ่งในโลกนี้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมชาติเหมือนกันไหม (เหมือนกัน) รู้จะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อเรารู้และเอาไปใช้ เมื่อเอาไปใช้เราก็ต้องทำใจยอมรับให้ได้ด้วย ใช่ไหม (ใช่)
ตอนนี้เราพูดว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ เวลาดำเนินก็ดำเนินคล้ายๆ กับลักษณะวงกลม เมื่อเดินไปจนถึงที่สุดย่อมมีจุดอิ่มตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) เกียรติยศช่อเสียง ทรัพย์สิน เงินทอง ที่มนุษย์ทุกคนแสวงหา เมื่อเดินจนไปถึงที่สิ้นสุด ก็ย่อมมีจุดอิ่มตัวเหมือนกัน ฉะนั้นเมื่อมีจุดอิ่มตัว มนุษย์เราจึงต้องรู้จักทำความเข้าใจ และยอมรับ และปล่อยวาง เราถึงจะไม่เป็นทุกข์กับสิ่งที่เราแสวงหา หรือแม้กระทั่งร่างกายตัวนี้ ถ้าเกิดเรารู้ว่าชีพของมนุษย์มีธรรมชาติคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่เราไม่สามารถเอาไปใช้ ถึงว่าจะรู้ก็เปล่าประโยชน์ เราก็ทำใจไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์เวลาป่วยไข้มักจะไปหาหมอ แต่ลืมไปว่าจริงๆ แล้วธรรมะก็สามารถรักษา กาย ใจ ให้ทุเลาเบาบางลงได้เหมือนกัน ถ้าเกิดว่ารู้แล้วต้องนำมาใช้ให้ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างเช่น อยู่ๆ เราเคยแข็งแรง พอวันหนึ่งเราเกิดเจ็บป่วยแล้วเราไปหาหมอ หมอบอกว่า เราเป็นมะเร็ง ถ้าเราไม่รู้จักใช้ธรรมะ เรายังไม่ทันเป็นเลย ใจเราก็ตรอมแล้ว จริงหรือเปล่า (จริง) อย่างสมมติไม่ใช่ตัวเราเป็น แต่ลูกเราเป็น พี่น้องเราเป็น หรือคนที่เรารักเป็น ใจเราเป็นอย่างไร เจ็บยิ่งกว่าเขาอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นธรรมะอย่าได้มองข้ามว่าจริงๆ แล้ว ธรรมะก็สามารถรักษาใจเราได้เหมือนกัน ยังไม่ทันป่วยแต่ก็รักษาให้กระชุ่มกระชวยได้ อย่างเช่น พ่อแม่เราสามารถทำให้พ่อแม่กระชุ่มกระชวย แข็งแรงเหมือนคนที่อายุ ๓๐ ได้ไหม ทั้งๆ ที่อายุ ๕๐ แล้วก็ทำได้อย่าทำตัวแก่ ให้ทำตัวเป็นเด็ก พ่อครับ แม่ครับ ได้ไหม ไม่ว่าเราจะอายุ ๔๐ เราก็เรียกพ่อครับ แม่ครับ แม่จะรู้สึกว่าแม่ยังสาวอยู่เลย ใช่ไหม (ใช่) อย่างเช่น เราติดบุหรี่ ติดเหล้า หรือติดผู้หญิง หรือผู้หญิงติดผู้ชาย เราสามารถรักษาให้หายได้ ทำให้เราไม่ต้องเป็นโรคตับ ไม่ต้องเป็นโรคไต ไม่ต้องเป็นโรคหัวใจ โดยการที่เราต้องรู้จักอาหารการกิน ถ้ากินไม่ดีก็เป็นทุกข์เหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เป็นบุหรี่ ถ้ารู้ว่าไม่ดีก็ควรเลิก ถ้าเคยติดมาก่อนก็ต้องรู้จักอดทน อดกลั้น พอเห็นมัน ให้มันสวยๆ เต็มขวดอย่างนั้นดีแล้ว อย่าให้ขวดมันว่างเลย ไม่อย่างนั้นจะดูไร้ค่า เป็นเศษขยะไป ใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นก็คือ ให้รู้จักเอาธรรมะมาช่วยข่มใจเราให้รู้จักอดทน อดกลั้น แล้วธรรมะยังทำให้เรารู้จักสร้างมิตรได้ด้วย มิก่อศัตรูได้ด้วย และธรรมะยังช่วยทำให้เรารู้จักว่ายอมรับความเป็นจริงของชีวิตด้วย ว่าชีวิตนี้เดี๋ยวก็แก่แล้วไม่ต้องไปบำรุงมันมาก กว่าจะออกมาใครเสียเวลาอยู่หน้ากระจกเป็นชั่วโมงๆ ผู้บำเพ็ญธรรมยังมีอีกหรือเปล่า ใครยังยอมเสียเงินเพื่อได้สเปรย์ น้ำหอม ขวดราคาแพงๆ อีก อย่างนี้เรียกว่ายังปลงไม่ได้ ใช่หรือเปล่า รู้ว่าตัวเองเหม็นเลยต้องฉีดตัวเองให้หอมๆ ใช่ไหม คนที่รู้ว่าตัวเองหอมเขาไม่ฉีด ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีไว้สำหรบดับกลิ่นเหม็นหรอก ใช่ไหม (ใช่) เราศึกษาธรรมะและรู้ว่าธรรมะมีค่า ธรรมะดี เราต้องรู้จักนำไปปฏิบัติให้จงได้ เพราะว่าธรรมะดีปฏิบัติแล้วได้ทั้งกับตัวเอง แล้วก็ยังสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ด้วย ฉะนั้นเกิดเป็นคนเราจะมองข้ามธรรมะไม่ได้ เพราะคนเราหากมีคนๆ หนึ่งไม่รู้จักอะไรดีอะไรชั่ว คนๆ นั้นแม้ไม่ผิดแต่ก็อาจจะกลายเป็นคนที่ส่งเสริมคนชั่ว และทำลายล้างคนดีก็เป็นได้ หากไม่รู้จักแยกดีแยกชั่ว เมื่อคนๆ หนึ่งปฏิบัติต่อท่าน คนหนึ่งปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ว่าต่อหน้าอย่างไร ลับหลังก็ทำอย่างหนึ่ง แต่อีกคนหนึ่งต่อหน้าทำดี แต่ว่าลับหลังไม่ยอมทำดี ไม่ยอมทำงาน ท่านให้รางวัลเขาทั้งคู่คนที่ทำดีจะรู้สึกเป็นอย่างไร เสียใจ คนที่ทำชั่วจะเป็นอย่างไร กระหยิ่มยิ้มย่อง ใช่หรือไม่ (ใช่) นั่นแหละคือเหตุผลหนึ่ง ที่ทำไมเราจึงต้องรู้จักนำธรรมมาใช้ แล้วมีเหตุผลอะไรอีก (ธรรมะทำให้เกิดปัญญา, เกิดความเสียสละ, ทำให้เราพ้นจากความทุกข์ได้) ธรรมะทำให้เรารู้จักอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ทำให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสมานกลมกลืน และปฏิบัติต่อกันได้อย่าง แยกผู้ใหญ่ แยกเด็ก รู้ว่าสิ่งนี้ควรสิ่งนี้ไม่ควรใช่หรือไม่ (ใช่) ธรรมะหากควรรู้ปฏิบัติแล้วจะทำให้คนๆ นั้นมีชีวิตที่เป็นระเบียบ และสังคมสันติสุข เพราะว่าคนเราหากรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ต่อผู้ใหญ่เราเคารพ กับเด็กเราต้องเมตตา หากใช้กับผู้ใหญ่ต้องเมตตา เด็กต้องไปเคารพตลกไหม (ตลก) แล้วสังคมวุ่นวายไหม (วุ่นวาย) ฉะนั้นมีธรรมะไว้จึงดีแล้ว ตัวเราจึงต้องรู้จักศึกษาธรรมเข้าไว้ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมเล่นเกม โดยให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมสองท่าน แต่งตัวให้กับผู้ปฏิบัติงานธรรมอีกสองท่าน โดยให้ผู้ที่ทำหน้าที่แต่งตัวท่านหนึ่งปิดตา และอีกท่านหนึ่งเปิดตา แต่งตัวให้กับผู้ปฏิบัติงานธรรม ที่ทำหน้าที่เป็นหุ่น และกำหนดเวลาให้แล้วเสร็จต่างกัน หลังจากเล่นเกมจนเสร็จสิ้น ท่านได้เมตตาอธิบายต่อดังนี้) ตั้งหนึ่งชีวิตทำให้เขาเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้ เพราะชีวิตของเรามีอยู่สองแบบ บางคนแม้จะลืมตาก็เหมือนกับปิดตาสร้างชีวิตใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตนี้สมบูรณ์แบบไหม (ไม่สมบูรณ์) ฉะนั้นจะส่งอะไรก็ต้องโทษคนส่ง ฉะนั้นเราอยู่บนโลกนี้บางครั้งแม้จะรู้ว่าตัวเองรู้ แต่บางครั้งตัวเองมักจะเป็นผู้ปิดตาตัวเอง แล้วก็สร้างชีวิตแบบผิดๆ ถูกๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเมื่อเรามีชีวิตจงเปิดตาเปิดใจยอมรับความเป็นจริงของชีวิตด้วย และยอมรับความเป็นจริงของหุ่นเมื่อสักครู่ด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) ยอมรับเรื่องของโลกแล้ว เรายังต้องยอมรับความเป็นจริงของชีวิตด้วย ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นผู้ที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติ หรือมีชีวิตได้อย่างเป็นสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ท่านรู้หรือไม่ว่าเรื่องราวในโลกนี้ที่วุ่นวายนั้นเกิดจากอะไร (เกิดจากความไม่รู้) เกิดจากความไม่รู้แล้วยังไปทำอีก ใช่หรือไม่ (ใช่) หากเปรียบท่านว่าตอนนี้ตัวท่านหรือจิตใจท่านเป็นน้ำ ก็คงเป็นน้ำที่ไม่ค่อยสะอาดใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วจะทำอย่างไรให้น้ำนี้สะอาดได้ ต้องอยู่เฉยๆ บ้างเพื่อให้น้ำขุ่นกับน้ำใสแยกกันได้อย่างชัดเจน จริงหรือไม่ (จริง) หรือว่าตอนนี้ท่านจะบอกว่าท่านเป็นน้ำใส ก็คงไม่มีใครบอกได้ เพราะว่าตอนนี้ตัวเองไม่ใช่น้ำใสอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นน้ำขุ่น ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมะจึงต้องรู้อีกอย่างหนึ่งด้วยว่า ความวุ่นวายในโลกทั้งหลายเกิดจากการกระทำมนุษย์ บางครั้งเราจะหาความสุขได้จากการที่รู้จักหยุดบ้าง พอบ้าง ปล่อยวางบ้าง เราก็จะมีความสุขในการยอมรับความเป็นจริงของชีวิตและธรรมชาติ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
“สุขในทุกข์สรรพสิ่งจริงอยู่ในปลอม” ทำไมเราจึงบอกว่าความสุขนั้นบางครั้งก็แฝงอยู่ในทุกข์ ความทุกข์บางครั้งก็แฝงอยู่ในสุข ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งช่วงที่เรามีความสุขที่สุด หากเราปล่อยใจประมาท ปล่อยใจเผลอเรอ ตอนนั้นเราอาจจะได้ทุกข์กลับมา แทนที่จะเป็นสุขอันยืนยาวจริงหรือไม่ (จริง) ฉะนั้นไม่ว่ามีสุขหรือมีทุกข์ขอให้รู้จักอย่าได้ประมาทต้องมีความระมัดระวังเสมอได้หรือไม่ (ได้)
คำว่า “จริงอยู่ในปลอม ปลอมมีจริงอยู่” หมายความว่าอย่างไร ในตัวเรานี้อะไรเรียกว่าจริง อะไรเรียกว่าปลอม หรือว่าเป็นจริงหมดเลยทั้งตัวและหัวใจ (จิตคือของจริง) แล้วอะไรคือของปลอม (ร่างกาย) ร่างกายคือของปลอม แล้วในโลกนี้มีอะไรที่เป็นของปลอม แล้วอะไรที่เป็นของจริงอีก (กิเลสเป็นของปลอม ใจเป็นของจริง) แต่ของปลอมก็สามารถทำให้ใจนี้เป็นพุทธะได้ ฉะนั้นต้องยืมปลอมมาบำเพ็ญจริง ก็คือไม่ใช่ไปหยิบยืมมาจริงๆ แต่เป็นการรู้ว่าโลกนี้มีรัก มีโลภ มีโกรธ มีหลง เราต้องรู้จักปล่อยในรัก โลภ โกรธ หลง ใช่หรือไม่ (ใช่) เสื้อผ้านี้จริงหรือปลอม (ปลอม) ทำไมว่าปลอม (ไม่ใช่ธรรมชาติ) เสื้อผ้าก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งแต่เป็นสิ่งของที่เราต้องยืมมาสวมใส่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเกิดเรามีชีวิตแล้วเราสะสมปลอมเยอะๆ ดีหรือเปล่า (ไม่ดี) ใครมีเสื้อผ้าเต็มตู้บ้าง เต็มทั้งนั้นเลยใช่หรือเป่า (ใช่) นั่นก็คือว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ที่ดูแล้วแตกต่างกัน แต่จริงๆ แล้วมีความเป็นแก่นแท้เดียวกัน ฉะนั้นมนุษย์เราต้องรู้จักแยกแยะว่า หากเราหยิบยืมสิ่งใดมาใช้ หยิบยืมสิ่งใดมาดำเนินชีวิต หรือมาดำรงคู่กับชีวิต เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องรู้จักที่จะปล่อยวางบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
“เมื่อกุศลดั่งตะวันร้อน” เมื่อไรที่มนุษย์เรารู้จักบำเพ็ญธรรม มีคุณธรรมในการดำเนินชีวิต รู้จักแยกอะไรจริงอะไรเท็จ และรู้จักสร้างคุณค่าแห่งจริงให้กับชีวิตตนเอง เราก็จะเป็นชีวิตที่มีคุณค่าเหมือนตะวันที่สาดแสง ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อตะวันสาดแสง แม้จะไม่ได้ตั้งใจรับ ก็เหมือนได้รับแสง เมื่อคนตั้งใจบำเพ็ญปฏิบัติธรรมแม้จะไม่ได้ตั้งใจให้ แต่คนก็สะเทือนในการปฏิบัติธรรมของเขา ใช่หรือไม่ (ใช่) การดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกัน หากไม่คำนึงถึงธรรม แม้เราคิดว่าเราไม่ได้กระทบกระเทือนใคร แต่การกระทำของเราก็อาจทำให้เป็นการสนับสนุนคนให้ทำผิดก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ให้เป็นแบบอย่างก็เป็นได้ เพราะรุ่นแรกเกิดมาก็ต้องมีรุ่นหลังตามมาด้วย หากรุ่นแรกสร้างไม่ดี รุ่นหลังก็อาจจะติดแบบอย่างที่ไม่ดีมาด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) บ่อยครั้งที่ปูก็เดินเหมือนแม่ปู ฉะนั้นเราอยากให้ลูกปูเดินสบายๆ แม่ปูพ่อปูก็ต้องเดินสวยๆ ด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนในชั้นเล่นเกมใบ้คำแล้วทำท่าประกอบคำว่า “หน้าไหว้หลังหลอก”)
บ่อยครั้งที่ความคิดของเราบางทีเราตั้งใจว่าเขาน่าจะเข้าใจ แต่บางทีเขาก็ไม่เข้าใจ เพราะว่าประสบการณ์และความรู้ที่ทุกคนมีการสั่งสมนั้นแตกต่างกันออกไป บางคนอาจจะไม่ได้ทำหน้าไหว้อย่างนี้ เขาอาจจะทำท่าไหว้อีกแบบหนึ่งแล้วหลังก็หลอกๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นบางครั้งถ้าเราได้รับอะไรผิดพลาดหรือฟังอะไรผิดพลาด เราอย่าเพิ่งได้ตีโพยตีพาย ต้องเป็นคนที่หูหนักๆ ไว้ ตาหนักๆ ไว้ บ่อยครั้งที่อายตนะของคนนี้ ทำให้คนนั้นลุ่มหลงไปผิดทาง เข้าใจคนไปผิดแบบ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(เล่นเกมใบ้คำ) เราว่าดีแล้ว แต่ทำไมถึงไปดีไม่ตลอดใช่หรือไม่ (ใช่) บ่อยครั้งที่เราพยายามทำดีที่สุด แต่คนมักจะไม่เห็นดีด้วยกับเราใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเรื่องราวในโลกนี้บางครั้งเราต้องรู้จักทำใจด้วย ต้องยอมรับสภาพทุกอย่างให้ได้ เพราะเป็นธรรมดาที่ดีของเขากับดีของเรา อาจจะไม่ตรงกัน แม้ปราชญ์จะกล่าวว่าเรา อยากจะเป็นคนที่ดีนั่นก็คืออะไรที่ดีขอให้ทำต่อไป แต่บางครั้งเราว่าดี แต่เขาอาจจะไม่ชอบก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นการเป็นคนนั้นยากเหมือนกันนะใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วให้มาเป็นพุทธะไม่เอาใหญ่เลยใช่ไหม
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงเล่นเกมใบ้คำ ฝ่ายชายได้คำว่า ปากว่าตาขยิบ ฝ่ายหญิงได้คำว่า ใจฟ้าดิน) บางครั้งการจะสื่อท่านต้องใช้สัญลักษณ์ที่คนทั่วไปเขารู้จักกันด้วย เราอยู่ในโลกนี้ เราก็อยากมอบสิ่งที่ดีๆ ให้กับคนอื่น แต่ถ้าเกิดเวลามีจำกัด โอกาสมีไม่นาน เรามัวชักช้าไม่ได้ เพราะเราเคยบอกไว้ว่าชีวิตของทุกๆ คน ก็เหมือนสัตว์ สัตว์บางตัวมีชีวิตแค่หนึ่งวัน เห็นหน้าตอนเช้าพอตกกลางคืนก็ตายเสียแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) สัตว์บางตัวมีอายุเป็นสิบๆ ปีใช่หรือไม่ (ใช่) ต้นไม้ก็เหมือนกันบางต้นมีอายุแค่หนึ่งวัน บางต้นมีอายุเป็นร้อยๆ ปี คนก็เฉกเช่นเดียวกัน บางคนเกิดมาแค่หนึ่งวัน บางคนเกิดมาอยู่ได้หลายสิบปี แต่เราไม่สามารถรู้ได้เหมือนเช่นต้นไม้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นทุกขณะทุกเวลาขอให้ใช้คุณค่า และประโยชน์ให้เต็มที่ มิฉะนั้นเขาจะเรียกว่าเกิดมาเสียชาติเกิดใช่หรือไม่ (ใช่) เราคงไม่อยากเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นขอให้ทุกเวลารู้จักนำสิ่งที่ดีมาใช้ หยิบยื่นสิ่งที่ดีให้กัน แม้จากกันไปก็ยังเป็นสุข แม้กายจะต้องทิ้งไปก็ยังไม่กลัวตายใช่หรือไม่ (ใช่)
ทำไมมาคราวนี้เราให้เล่นมาก เพราะถ้าพูดธรรมะมากท่านคงจะเบื่อ วันนี้เป็นวันแรก บางคนเดินทางมาไกลก็จะเพลียใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนไม่เคยฟังธรรมะเป็นเวลานาน ก็ทำให้รู้สึกหน่ายที่จะฟังธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่) เราจึงขอเอาเกมมาให้ท่านเล่น จะได้มีความสุข แต่ในความสุข เราบอกท่านแล้วว่าอย่าได้ประมาท อย่าได้ลืมความระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นแล้วความสุขที่เรากำลังเล่นอยู่นั้นอาจจะแฝงด้วยความทุกข์ตามมาทีหลังก็เป็นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) โดยปกติแล้วหากมนุษย์เราไม่เคยศึกษาธรรมะ ไม่เคยได้เรียนรู้ว่าชีวิตนี้นอกจากเกิดมาเพื่อหาเงินทอง และมีความสุขแล้ว เรายังต้องคำนึงอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ ความสุขของมนุษย์ที่ได้มานั้นต้องไม่ยืนอยู่บนความทุกข์ของผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าทำกันโดยไม่นึกถึงว่าคนอื่นจะเดือดร้อน ทำเพราะว่าใจเราชอบใจเรารัก อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้) เปรียบเสมือนถ้าเราชอบขอ ไปอยู่ที่ไหนก็ขอ ท่านก็ไม่ชอบคนแบบนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ท่านอย่าลืมว่าการแสวงหาของตัวเราเองนั้น อย่าได้มองแค่ตนเองอย่างเดียว อย่าได้มองแค่สุขของตนเองอย่างเดียว เราต้องไม่ลืมว่าสุขของประชาก็คือสุขของตัวเรา สังคมสันติสุข ครอบครัวถึงจะสันติสุขใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเกิดว่าครอบครัวไม่สันติสุข สังคมก็ไม่สามารถเกิดสันติสุขได้ ถ้าตัวท่านไม่มีความสงบร่มเย็น ไม่มีคุณธรรมประจำใจ ครอบครัวท่านจะมีความสุขไหม (ไม่มี) ก็อาจจะเดือดร้อนเพราะท่านเป็นไปได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นก่อนที่เราจะทำอะไร เราอย่าได้มองเพียงแต่ความสุขของตัวเอง อย่าลืม ต้องนึกถึงและคำนึงถึงผู้อื่นด้วย ส่วนใหญ่ต้องอาศัยส่วนย่อย ส่วนย่อยก็ต้องพึ่งพาอาศัยส่วนใหญ่ มนุษย์อาศัยสังคม แต่สังคมก็ต้องพึ่งพามนุษย์เหมือนกัน หากแต่เราเลือกแต่สิ่งที่ดีมาหมด แล้วปล่อยสิ่งที่เลวร้ายให้กับสังคม เช่นนี้ถูกต้องไหม (ไม่ถูก) เพราะเมื่อไหร่ที่สังคมเดือดร้อน ตัวเรานั้นจะอยู่ได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เป็นสุขไหม (ไม่เป็นสุข)
ยังมีหัวข้อที่ต้องศึกษาอีกมาก ขอให้ศึกษาจนจบและตั้งใจฟังให้ดี ได้หรือเปล่า (ได้) ผู้บำเพ็ญธรรมไม่ได้เจอกันนาน รู้สึกอ่อนล้า อ่อนแรงกันบ้างไหม (ไม่รู้สึก) คนก็หายหน้าหายตาไปเยอะ ครั้งนี้ศิษย์พี่มายังไม่ได้เรียกศิษย์น้องสักคำ หายหน้าหายตากันไปบ้างหรือเปล่า จิตใจมาครบเต็มร้อยหรือเปล่า ทำไมยิ่งบำเพ็ญธรรม ใจเดิมยิ่งค่อยๆ หายไป ศิษย์พี่บอกแล้วดื่มน้ำต้องรำลึกต้นธาร บำเพ็ญธรรมเพื่อหวนกลับคืนจิตใจดวงเดิม ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนแรกมีเต็มเปี่ยม ทำไมตอนนี้ใจแฟบเป็น ต้องถามตัวเราเองให้ดีว่าบำเพ็ญธรรมขาดตกบกพร่องเรื่องอะไร บำเพ็ญธรรมผิดแล้วรู้จักแก้ไขหรือไม่ บำเพ็ญธรรมก้าวหน้าไปมากน้อยแค่ไหน บำเพ็ญธรรมกายภายนอกสะอาด จิตใจสะอาดหรือยัง ขอให้บำเพ็ญธรรมแล้วศิษย์น้องมีความก้าวหน้าขึ้นทุกวัน ได้หรือไม่ (ได้) ขอให้บำเพ็ญธรรมก้าวหน้าขึ้นทุกวัน ต้องรับรู้ไว้ว่า ชีวิตนี้มีทั้งเรื่องสุขและเรื่องทุกข์เป็นธรรมดา อย่าได้ท้อถอย สู้ต่อไป พยายามเข้านะ

วันอาทิตย์ที่ ๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๓ พุทธสถานเมี่ยวเต๋อ จ.ประจวบฯ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ไร้ปัญญาไม่อาจแยกแยะได้ชัดเจน ไร้เมตตาไม่อาจเป็นผู้ช่วยเวไนย
ไร้กล้าหาญไม่อาจรวมใจเป็นหนึ่งได้ วันใดไร้กลายมีหนอข้ารอชม
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมเมี่ยวเต๋อ แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนศรัทธาคืออะไร

บำเพ็ญธรรมมรรคสร้างยืมกายออกแรง ผลิดอกออกผลแห่งคุณค่าหนา
ในความสมบูรณ์ธรรมชาติมีหากรักษา อันชีวารู้จักใช้ธรรมเป็นแกน
สตินำใคร่ครวญหมั่นคลายใจล้า กิเลสหนุนปัญญาฟ้าจะมืดทึบแสน
ไม่อาจพ้นเมื่อโทษคนผิดแทน ชีวิตแม้นพลาดไปอย่าจมต่อไป
เคยบาดหมางใจขุ่นมาหายกัน พี่น้องกันให้ศรัทธาเป็นยาใส่
กำลังใจฝ่าฟันต้องช่วยกันให้ คุณธรรมแกร่งเป็นทุนในการบำเพ็ญ
ขอให้ศิษย์เตรียมตนพร้อมเพื่อบำเพ็ญจริง เวลาว่างตนวิ่งหาแม้ยากเข็ญ
บำเพ็ญใจให้ดุจจันทร์ในวันเพ็ญ เมื่อได้เห็นทางคืนกลับอย่าเมินไป
อย่าได้มัวเข้าข้างตนหาเหตุผล อย่าสับสนเจออุปสรรคฝ่าให้ได้
ทิ้งสัมภาระเตรียมเสบียงเดินทางไกล ศิษย์ต่างเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้ทุกคน
ใช้สัจธรรมบำเพ็ญจิตจึงเหนือมาร อันสังขารจะอยู่ได้สักกี่ฝน
ก้าวแรกนั้นให้รู้จักการทำตน จงเป็นคนให้สมคนนะศิษย์เอย
ฮา ฮา หยุด

หนทางนี้คงมั่น ถ้าศิษย์นั้นจะไม่หลายใจ จะยอมให้ทั้งหัวใจ พร้อมไปสู้ยิบตา ถึงยากเย็นไม่เปลี่ยน ผู้บำเพ็ญเพียรหมั่นภาวนา ปลดทุกข์ให้ผองประชา กังขาลบเลือนจากใจ
แม้นใครไหนยังดื้อดึง ได้คำนึงผลคงกลุ้มใจ ต้องการให้คนเข้าใจ เหนื่อยตัวเจ้าเองก็จะได้มิตรร่วมทาง
ขอจงคิดมุ่งมั่น เพื่อนานวันไม่เดินหลงทาง จุดหมายใจมิเลือนลาง ระวังขวนขวายไป ทุกชีวิตสูงค่า หลักธรรมพาข้ามสามโลกไกล
ไม่กลัวพรุ่งนี้เช่นไร แต่กลัวใจของเจ้าเปลี่ยนแปลง
เพลง : ขอจงบำเพ็ญจนลมหายใจสุดท้าย
ทำนองเพลง : หลง


พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


ศรัทธาคืออะไร (ศรัทธาคือความเชื่อมั่นในจิตใจ) หลายคนตอบว่าศรัทธาคือความเชื่อมั่น ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเรามาฟังสองวันเราเชื่ออะไรบ้าง (เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์) ถ้าอาจารย์ไม่ถาม ไม่จี้ ก็ไม่คิด คิดแต่อะไรไปเรื่อยเปื่อย คิดมากก็จริงแต่คิดแล้วไม่ได้ถาม เพราะฉะนั้นการที่เราจะบอกว่าเราเป็นคนที่สงสัย เราก็ต้องสงสัยอย่างคนที่คิดเป็นใช่หรือไม่ (ใช่) จึงจะเรียกว่าความสงสัยนั้นมีทางออก ไม่ใช่เป็นความสงสัยที่ไม่มีทางออก อยู่ในบ้านที่ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีประตู แล้วก็เอาตัวเองไปขังอยู่ในนั้น แล้วเราก็บอกว่าเราสงสัยจริงๆ เลย แต่ว่าเราสงสัยแล้วเราไม่รู้ว่าเราสงสัยอะไรเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ในเมื่อเราบอกว่าเรามีความศรัทธา ก็ถามแล้วว่าศรัทธาคืออะไร ศรัทธาในใจของศิษย์จะเป็นอะไรก็ได้ จะเป็นอย่างไรก็ได้ อาจารย์เชื่อว่าทุกๆ คนนั้นคิดในสิ่งที่ดี คิดในทางที่ดี การที่เรามาฟังธรรมะในสองวันนี้แล้วบอกว่าธรรมดี ธรรมะจะดีไม่ได้ถ้าหากว่าขาดคนปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ธรรมะจะดีเลิศเลอแต่ธรรมะก็ดีไว้เพียงคนที่ฟังแล้วทำตัวเฉยๆ นั่นแหละ ดีในใจอย่างเดียว เหมือนคนที่บอกว่าฉันเป็นคนที่ดี เป็นคนจิตใจดี ไม่ต้องรับธรรมะก็ได้ แต่ดีอยู่ที่ไหน ดีอยู่ที่ใจจริงๆ ดีอยู่ที่ใจของตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เคยมองเห็นใจเขาหรือเปล่า แล้วคนอื่นมองเห็นใจของศิษย์หรือเปล่า ไม่มีใครเห็นใจใครได้ใช่หรือไม่ (ใช่) การใช้ตานั้นไม่สามารถจะมองเห็นถึงจิตใจของอีกฝ่ายหนึ่ง จนกระทั่งอีกฝ่ายหนึ่งแสดงออก ว่าเราเป็นคนดีให้คนอื่นเห็นใช่หรือไม่ (ใช่) เราจึงรู้ว่าคนคนนั้นเป็นคนดี แต่ว่าการเป็นคนดีนั้นเป็นแค่สามชั่วโมง ห้าชั่วโมงได้ไหม การเป็นคนดีไม่ใช่สามชั่วโมง ห้าชั่วโมง แต่ว่าต้องเป็นตลอดไป ในยามที่เรานั้นมีความทุกข์ยากที่สุด ในยามที่เราวุ่นวายใจที่สุด ในยามที่เราเจออุปสรรคมากที่สุดนั่นเป็นเวลาที่ศิษย์จะสร้างความดีใช่หรือเปล่า ไม่ใช่เวลาแห่งความท้อแท้ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะหากว่าทุกคนดีหมดแล้วศิษย์ก็ทำดีด้วย คนๆ นี้ก็ทำดีเหมือนกันแต่ว่าทำดีแล้วอยู่ในกลุ่มของคนที่ทำดีแล้วเราก็ทำดี ถามว่าความดีอันนี้เป็นอย่างไร บางทีที่เราทำดีอยู่อาจจะเทียบไม่ได้กับคนที่อยู่รอบข้างเราใช่หรือไม่ (ใช่) ดูๆ แล้วความดีก็คืออยู่ในถิ่นที่ดีแล้ว ก็ทำความดีไม่มีอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น แต่ในยามที่ทุกคนไม่ดีหมดเลยก็คือในโลกปัจจุบันนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) ในโลกปัจจุบันที่อยู่นั้นเมื่อเราเจอคนไม่ดี เมื่อเราวุ่นวายใจ เมื่อเราเจออุปสรรค นั่นเป็นเวลาที่ให้เราแสดงความดีออกมาได้ชัดเจนใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความดีที่ศิษย์สร้างนั้นต้องออกมาจากใจจริงๆ ถูกหรือเปล่า  ใจจริงๆ ของเรานั้นเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าใจจริงๆ ของเรานั้นเป็นจิตใจที่ดีงาม แสดงออกมาในความดีนั้น ยิ่งดีเติมเข้าไป ยิ่งดีเป็นร้อยเท่าพันทวีใช่หรือไม่ (ใช่) แต่หากว่าจิตใจของเรานั้นเป็นจิตใจที่ไม่ดีเลย เรากำลังคิดไม่ดีแต่เราแสดงออกและทำแต่ความดีเป็นอย่างไร มนุษย์เรียกคนประเภทนี้ว่าเป็นเสแสร้งใช่หรือไม่ (ใช่) พุทธะก็เรียกคนประเภทนี้ว่าเป็นคนหลอกตัวเอง ความดีชนิดนี้ก็จะไม่ได้กุศล และก็ไม่ส่งผลใดๆ ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นบางทีเราลองมาคิดว่าทำไมเราถึงทำดีแล้วไม่ได้ดี เพราะบางทีใจของเรานั้นก็ยังไม่สะอาดพอใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นแค่การที่เราบอกว่าเราเป็นคนดีแล้ว คำว่าคนดีที่เราเคยพูดกันประจำจนติดปากเป็นเรื่องที่ทำลำบากไหม ถ้าหากว่าใจยังไม่ดีอยู่ ถ้าหากว่าจะเริ่มทำก็คงจะลำบากนิดหน่อย แต่ว่าคนบำเพ็ญนั้นกลัวลำบากไหม กลัวยากไหม (ไม่กลัว) คนบำเพ็ญกลัวคนด่า กลัวคนว่าไหม (ไม่กลัว)
“ไร้ปัญญาไม่อาจแยกแยะได้ชัดเจน” ถ้าหากว่าเรามองสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว เราไม่สามารถแยกแยะชัดเจนได้ว่าสิ่งนั้นคือความดีหรือความชั่ว เราจะลงมือทำหรือเปล่า เรื่องๆ นี้เป็นเรื่องดีหรือว่าไม่ดี ถ้าหากว่าเราไม่สามารถที่จะแยกแยะได้แสดงว่าเรายังไม่มีปัญญาใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างเช่นเวลาเราเจอคนๆ หนึ่ง คนๆ นี้เป็นคนไม่ดี ถามว่าเราตัดสินใจจะช่วยเขาหรือเปล่า (ช่วย) ยังไม่มีใครถามอาจารย์เลยว่าช่วยอะไร นี่แหละคือข้อเสียของศิษย์ทั้งหลาย ยังไม่ทันจะรู้ชัดเจนก็บอกว่าจะช่วยแล้วใช่ไหม แล้วถ้าคนชั่วคนนั้นให้ศิษย์ช่วยปล้นบ้านไปหรือไม่ไป ถึงบอกว่าต้องรู้จักแยกแยะให้ชัดเจนว่าจะช่วยหรือไม่ช่วย ช่วยอะไร แล้วช่วยอย่างไร เหมือนมาวันนี้ฟังธรรมะเป็นวันที่สอง ธรรมะคืออะไร ปฏิบัติอย่างไร หลุดพ้นอย่างไร ถ้าหากว่าสงสัยในสิ่งเหล่านี้ควรสงสัยไหม (สมควร) แสดงว่าใส่ใจใช่หรือไม่ ไม่ใช่ทำเหมือนว่าเราสนใจใส่ใจ แต่กลับไปบ้านแล้วอีกสองวันต่อมาไปสถานธรรมอย่างไรไม่รู้แล้ว ลืม อย่างนี้ก็แสดงว่าเรานั้นไม่ได้ใช้ปัญญาในการนั่งฟังใช่หรือไม่ (ใช่)
“ไร้เมตตาไม่อาจเป็นผู้ช่วยเวไนย” ตอนนี้เราก็ยังเรียกตัวเองว่าเวไนยใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะเรายังไม่พ้นทุกข์เช่นเดียวกัน แต่เราต้องการเป็นเวไนยที่ช่วยเวไนยใช่หรือเปล่า (ใช่) แต่ว่าเวไนยที่ช่วยเวไนยต้องทำใจให้เหมือนพุทธะเป็นเวไนยที่เป็นใจพุทธะ ก่อนที่จะขึ้นไปแดนนิพพาน ก่อนที่จะขึ้นไปเบื้องบน ไม่ใช่ว่าเราตายแล้วต้องไปเป็นพุทธะทันที ต้องผ่านทีละขั้นก้าวทีละก้าวเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) แม้ว่าตอนนี้เราจะมีความทุกข์มากมาย ยังมีกรรมรุมล้อม แต่ว่าต้องแบ่งเวลาของเราช่วยผู้อื่นได้บ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่) ต้องเป็นเวไนยที่มีใจเป็นพุทธะ ต้องมีความเมตตาเป็นอันดับแรกใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาจะช่วยคนต้องมีความเมตตา แล้วถ้าหากว่าจะเป็นคนที่สมบูรณ์ต้องมีอะไร วันนี้ฟังหัวข้อไปหนึ่งหัวข้อที่ทำให้คนเป็นคนสมบูรณ์นั้นชื่อว่าอะไร (กตัญญู) ต้องมีความกตัญญู ถ้าหากว่าไม่มีความกตัญญู แล้วบอกเราบำเพ็ญธรรมะอยู่จะมีคนเชื่อไหม (ไม่เชื่อ) คนๆ นี้ไม่มีความกตัญญูแต่กราบพระเอาๆ คนๆ นี้บำเพ็ญธรรมะหรือเปล่า คนๆ นี้ยังไม่ได้บำเพ็ญธรรมะเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นการเป็นผู้บำเพ็ญธรรมนั้นต้องรู้จักตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ใช่หรือเปล่า (ใช่)
อันแรกไร้ปัญญา อันที่สองไร้เมตตา อันที่สามไร้อะไรดี คนบำเพ็ญธรรมควรที่จะใช้ปัญญา ควรที่จะใช้เมตตา และคนบำเพ็ญต้องมีอะไรมาอีกอย่างหนึ่ง อันที่สามนี้ตั้งใจฟังให้ดี สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับทุกคน ในการทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้สำเร็จได้ต้องอาศัยสิ่งนี้ สิ่งนี้เรียกวาความกล้าหาญ ไม่ใช่ว่าจะกล้าเหนือใคร แต่ต้องกล้าหาญเหนือใจตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเราโดนคนอื่นว่า คนว่าคนแรกไม่เท่าไหร่ คนว่าคนที่สองเป็นอย่างไร ชักไม่แน่ใจแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) พอคนว่าสามคนสี่คน ถามว่าเราจะใช้ความกล้าของเรานั้นอธิบายให้เขาฟังได้ไหม กล้ายืนยันความเชื่อมันของตัวเองไหม (กล้า) ท่ามกลางความวุ่นวาย กล้าที่จะแสดงออกถึงการเป็นผู้บำเพ็ญหรือเปล่า (กล้า) นั่นถึงจะเรียกว่าเป็นความกล้า
“ไร้ความกล้ายากรวมใจเป็นหนึ่งได้” คนที่ไม่มีความกล้าหาญอยู่เหนือจิตใจของตัวเอง จิตใจของเรานั้นก็จะฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ เพราะว่าเราไม่มีปัญญาที่จะรวมใจของเราอันนั้นให้เป็นหนึ่งได้ คนที่สามารถรวมใจเป็นหนึ่งได้ ก็เหมือนคนที่ตั้งใจอ่านหนังสือ เวลาเราอ่านหนังสือ ถ้าหากว่ามีคนมารบกวนเรา เราจะอ่านหนังสือรู้เรื่องไหม (ไม่รู้)  ถ้าเรายังอ่านไม่รู้เรื่อง แสดงว่าเรายังไม่สามารถที่จะรวมใจเป็นหนึ่งได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับสองวันนี้นั่งฟังธรรมะมีคนเดินอยู่ข้างๆ เดินไปเดินมา ถ้าหากว่าเราสนใจคนที่เดินไปเดินมาข้างๆ เรานั้นก็ไม่รวมใจเป็นหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่เราฟังธรรมก็คือ ต้องรวมใจเป็นหนึ่งต้องอาศัยความกล้าหาญในการทำอะไร อย่างเช่นการที่คนอื่นรบกวนเรา เราต้องกล้าหาญในการดึงตาของเราให้อยู่ตรงกลาง ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเราไม่ดึงตาของเราอยู่ตรงกลาง เราคอยที่จะเหล่มองข้างๆ เราก็เห็นเสมอ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นต้องตัดความหลุกหลิกของสายตา ใช่หรือไม่ (ใช่) ให้เรานั้นเป็นคนที่สายตานิ่ง เมื่อสายตานิ่ง หูเราก็นิ่ง หูเรานิ่งปากเราก็นิ่ง ปากเรานิ่งใจเราก็นิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเรานิ่งแล้ว เมื่อปัญหามาหาเราๆ จะแพ้ไหม (ไม่แพ้) ก็หวังว่าไม่แพ้ การที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ประสบความสำเร็จได้ ไม่ว่าจะเป็นทางธรรมและทางโลกนั้น เมื่อเราล้มเหลวก็ประกอบไปด้วยปัจจัยหลายอย่าง เมื่อเราชนะก็ประกอบไปด้วยปัจจัยหลายอย่าง มีผู้มีบุญคุณต่อเรา มีสิ่งของที่เรานั้นใช้ในการจะเดินหน้ารุดหน้าไป และมีใจของเราที่เข้มแข็งในการฝ่าฟันอุปสรรค นั่นแหละอาจจะมีหลายอย่างมากกว่านี้ แต่นี่คือบอกคร่าวๆ ให้ศิษย์นั้น อย่างน้อยเมื่อเวลาฝ่าฟันปัญหาอะไร ให้เรามีปัจจัยง่ายๆ เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ไม่ยาก หาได้ไม่ยากเลย ใช่หรือไม่ (ใช่) เพียงแต่หันมามองตนเอง เมื่อย้อนมองส่องตนก็จะเห็นอุปกรณ์มากมายที่อยู่ในใจของเรา จะเห็นความว่างมากมายที่อยู่ในใจของเรา ความว่างนี้อยากจะดึงเอาอะไรออกมาก็ได้ อยากจะดึงปัญญา ปัญญาก็เกิด อยากจะดึงเมตตา เมตตาก็เกิด อยากจะดึงคุณธรรม คุณธรรมก็เกิด เพียงแต่กลัวว่าใจของเรานั้นไม่ว่างพอ ไม่นิ่งพอ ไม่อยู่ตรงที่ ไม่อยู่ตรงทาง จะดึงสิ่งใดออกมาก็บิดๆ เบี้ยวๆ
เราคือ จี้กงรู้จักไหม อยากเจออาจารย์หรือเปล่า (อยาก) เอาใจอะไรมารับอาจารย์ ใจของเราศรัทธาขึ้นบ้างหรือยัง (มีแล้ว) ขอให้เรานั้นมีใจศรัทธาตลอดไป ขอให้เรานั้นมีใจศรัทธาที่นิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาของให้อาจารย์ได้ใจศรัทธาดวงนี้จากเรา ถามศิษย์รักทุกคนศรัทธาคืออะไร ลองกลับไปคิดดู (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนทำท่าพายเรือธรรม) ไหนๆ ก็ยืนแล้วพายเรือสักหนึ่งรอบดีไหม (ดี) พายแล้วตั้งใจพายให้ถึงฝั่ง ได้หรือไม่ (ได้) 
แม้ว่าวันนี้เรายังเป็นชาวโลก ชาวดิน แต่วันหน้าเราคงได้เป็นชาวฟ้า ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าไม้พายมันชนกัน พายเรือจะเดินหน้าไหม (ไม่เดิน) ถ้าหากว่าพายแล้วไม้พายมันชนกันแสดงว่าพายผิด ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าพายผิดแล้วเรือจะวนอยู่กับที่ เพราะฉะนั้นตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว อยู่ที่เดิม ใช่หรือเปล่า (ใช่) การที่เราพายเรือนั้นต้องตั้งใจพาย แต่ว่าเรือลำนี้รู้สึกว่าจะหนักมาก มีของสองอย่างบนเรือ ๑. เรียกว่า สัมภาระ ๒. เรียกว่า เสบียง ทิ้งสัมภาระหรือทิ้งเสบียงดี (สัมภาระ) ไม่ทิ้งเสบียงเหรอ สัมภาระนั้นหมายถึงอะไรในทางโลก สัมภาระหมายถึง สิ่งของเครื่องใช่ ใช่หรือไม่ (ใช่) ในการที่เราจะบำเพ็ญธรรมะนั้น ในการที่เรานั้นจะพายเรือธรรมะ พายเรือธรรมหมายความว่า ออกแรงทำงานธรรมะ การที่เรานั้นจะทำสิ่งนี้ได้ เรือของเราถ้าไม่ให้หนักเกินไปต้องทิ้งสัมภาระไป ใช่หรือไม่ (ใช่) สัมภาระได้แก่ เสื้อผ้าสวยๆ คนบำเพ็ญธรรมนั้นมัวแต่งตัวได้ไหม (ไม่ได้) ทาคิ้วทาตาก็เสียเวลาไปตั้งครึ่งวันแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นเราจะทิ้งสัมภาระของเราอีกอย่างหนึ่ง ลองทิ้งอีกคืออะไร ของนอกกาย ของนอกกายมีอะไรบ้าง อะไรที่อยู่นอกตัวเราที่เป็นสัมภาระ (กิเลสที่อยู่ในตัวเรา) ผู้ชายทิ้งอะไร (ขวดเหล้า) ไหนใครจะทิ้งเหล้า เดี๋ยวอาจารย์รับเอง เหล้าบุหรี่ก็ต้องทิ้งใช่หรือไม่ (ใช่) เหล้าบุหรี่ทิ้งได้ก็จะบำเพ็ญได้ปลอดโปร่งใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะอะไรถึงปลอดโปร่ง เพราะเวลากินเหล้าแล้วเมาใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาเมาแล้วจิตใจปลอดโปร่งหรือเปล่า (ไม่) เวลาสูบบุหรี่แล้วจิตใจปลอดโปร่งหรือเปล่า (ไม่ปลอดโปร่ง) มีคนเขาบอกว่าเวลากลุ้มใจก็ให้กินเหล้าสูบบุหรี่ แต่ยิ่งกินยิ่งกลุ้มใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าไม่มีเงินยิ่งกินก็ยิ่งไม่มีเงินใช่หรือไม่ (ใช่) สัมภาระทางใจมีอะไรบ้าง (โลภ โกรธ หลง) ความโลภโกรธหลงเป็นหลักใหญ่ๆ ของการเกิดกิเลสเล็กๆ น้อยๆ ตามมาทั้งหมด ถ้าหากสามารถทิ้งความโลภโกรธหลงได้ ใจของเรานั้นก็จะเบาสบายโล่งยิ่งขึ้นถูกหรือเปล่า (ถูก) ตอนนี้ทิ้งสัมภาระไปมากแล้ว ทีนี้เสบียงมีหรือยัง เสบียงคืออะไร เสบียงก็คือกุศลต่างๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งมีกุศลมากการบำเพ็ญธรรมะก็ยิ่งราบรื่นได้ เพราะว่าคนทุกคนมีเจ้ากรรมนายเวรเป็นของตนเอง เรากินหมู  ไก่ ปลาเข้าไป หมู ไก่ ปลาก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา เพราะพวกเขาตายโดยไม่ได้ยินยอมใช่หรือไม่ (ใช่) เราเอาเงินไปซื้อเขามา แล้วเขาก็มาเป็นอาหารของเรา เขายินยอมหรือเปล่า (ไม่ยินยอม) ทุบหัวปลา ปลาเจ็บไหม (เจ็บ) แทงคอหมู หมูเจ็บไหม (เจ็บ) ปาดคอไก่ ไก่เจ็บไหม (เจ็บ) ทำไมถึงรู้ว่าเขาเจ็บ เพราะว่าเขาร้องใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นเราอยากที่จะบำเพ็ญธรรม อยากจะพายเรือธรรมให้ตลอดรอดฝั่ง จำเป็นจะต้องอุดรูรั่วของเรือก่อน คือการสร้างกรรมต่างๆ นั่นแหละ โดยเฉพาะกรรมปากเป็นหลักใหญ่ เพราะว่าเรานั้นกินข้าววันละสามมื้อ บางคนกินรอบดึกอีกวันหนึ่งก็สี่ห้ามื้อใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกๆ มื้อเราก็กินเนื้อสัตว์ กินเนื้อคนอื่นเข้าไป เพราะฉะนั้นอุดรูรั่วของเรือ เราจะเดินทางไกลได้ราบรื่นยิ่งขึ้น มีกรรมอีกหลายอย่างที่สร้างขึ้นมา แต่ว่ากรรมอื่นๆ เดี๋ยวค่อยพูดถึง (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นนั่งลง) สบายไหม (สบาย) นั่งมาตั้งเป็นวันๆ ไม่รู้สึกว่าเก้าอี้นี้สบายเลยใช่หรือไม่ (ใช่) เพิ่งรู้สึกว่าเก้าอี้สบายก็ตอนยืนนานๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะฉะนั้นเราเกิดเป็นคนอย่าเห็นของที่มีอยู่แล้วไร้ค่า ของที่มีอยู่แล้วก็อาจจะมีค่าก็ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างเช่นเสื้อที่เราใส่ถึงแม้ว่าจะเก่าไปหน่อย แต่หากไม่มีเสื้อใหม่มาเปลี่ยน แล้วเสื้อเก่ายังดีอยู่ ถามว่าเสื้อตัวเก่านี้มีค่าไหม (มีค่า) เรานั้นมาสถานธรรม ก็ใช้เก้าอี้ในการนั่งฟังธรรม เก้าอี้นี้เรานั่งมาตั้งสองวัน นั่งจนบิดไปบิดมา ขี้เกียจนั่ง นั่งหลับบ้างก็ยืมเก้าอี้ตัวนี้มาใช้ เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงรู้ว่าเก้าอี้นี้นั่งแล้วสบายจริงๆ ร่างกายของเราที่เราอาศัยอยู่นี้ เป็นร่างกายที่ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ตลอดไปใช่หรือไม่ (ใช่) คนเกิดมาก็มีวันตายทุกคน ศิษย์ของอาจารย์ก็เช่นเดียวกัน อย่าคิดว่าเรานั้นเกิดมาแล้วจะเกิดได้ตลอดไป เกิดมาเป็นคนร้อยปี แต่มีโครงการไปถึงพันปีใช่หรือไม่ (ใช่) งานบ้านทำเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักหมดใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการที่เราบำเพ็ญธรรม จะบอกว่าใครสักคนหนึ่งมีเวลามากกว่าใครอีกคนหนึ่งใช่หรือเปล่า (ใช่) ไม่มีใครมีเวลามากกว่าใคร มีแต่คนรู้จักที่จะเจียดเวลาออกมา ใช้ในการที่จะบำเพ็ญ การตอบอาจารย์ต้องคิดนะ ไม่ใช่ตอบไปเรื่อยๆ ฉะนั้นคนที่บำเพ็ญธรรมอยู่ในตอนนี้ ศิษย์ลองไปถามเขาดูว่าเขามีเวลาว่างหรือเปล่า (ไม่มี) แล้วศิษย์ลองถามตัวเองว่าศิษย์มีเวลาว่างหรือเปล่า (ไม่มี) เราก็ไม่มีคนที่เราไปถามเขา ต่อให้เขาบำเพ็ญมาสิบๆ ปี ไปถามเขาว่ามีเวลาว่างหรือเปล่า เขาก็บอกว่าไม่มีเหมือนกัน แต่ว่าคนที่ไม่มีสองคนต่างกันตรงไหน ต่างกันที่คนนี้รู้จักเจียดเวลามาบำเพ็ญธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ของอาจารย์ไม่ต้องกลัว ถ้าหากศิษย์มีเวลานอนก็มีเวลามาบำเพ็ญธรรม มีเวลากินข้าว หาซื้อของก็มีเวลาบำเพ็ญธรรม เจียดเวลานอน เวลากินข้าว เวลาซื้อของ อย่างละชั่วโมงหนึ่ง ถามว่ามีเวลาบำเพ็ญธรรมไหม (มี) การบำเพ็ญธรรมที่ต้องอาศัยเวลาก็คือการไปช่วยคนอื่นเท่านั้นเอง นอกเหนือจากนั้นการบำเพ็ญธรรมชนิดอื่น ไม่ต้องอาศัยเวลาเลย แต่ต้องอาศัยใจใช่หรือไม่ (ใช่) เราจะดับกิเลสของเรา ดับความโกรธของเรา จะดับความโกรธได้ไม่ใช่อยู่ดีๆ คิดจะดับก็ดับ แต่ต้องดับตอนไหน ดับตอนมีคนมายั่วให้เราโกรธใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่มีคนยั่วให้เราโกรธเราก็ไม่รู้ว่าเราโกรธ ถูกหรือเปล่า ก่อนที่ความโกรธจะเกิดขึ้น เราบอกว่าเราจะไม่โกรธพูดได้ไหม (ไม่ได้) เราบอกว่าเราจะไม่โกรธ พูดกี่ทีก็พูดได้ แต่เวลามีคนมายั่วให้เราโกรธ แล้วเราไม่โกรธทำได้ไหม (ทำได้ยาก) เพราะฉะนั้นการที่เราบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญใจนั้น บำเพ็ญชนิดนี้อาศัยชีวิตประจำวันของเราเป็นผู้ปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่) เราบอกว่าเราจะไม่โลภ เราก็ทำได้ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้อาจารย์ถามศิษย์ว่าบำเพ็ญธรรมแล้วไม่โลภได้ไหม มีคนพูดว่าถ้าอาจารย์ไม่พูดอย่างนี้ก่อน ศิษย์ก็จะบอกว่าทำได้ แต่ตอนนี้เงินทองกองโตมากองอยู่ตรงหน้า แล้วจะไม่โลภได้ไหม เงินกองนี้ไม่มีเจ้าของเลย ถ้าหยิบไปจะไม่มีใครรู้เลย มีคนหลายประเภท คนประเภทแรกหยิบไปเลย มีไหม (มี) คนประเภทที่สองต้องรอให้คนไม่เห็นก่อนถึงจะหยิบ คนประเภทที่สามคือไม่หยิบ ถ้าหากว่าเราเป็นคนประเภทที่สาม แสดงว่าเรานั้นเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่) คนประเภทที่สองนั้นพร้อมจะเป็นคนดีใช่หรือไม่ (ใช่) คนประเภทแรกไม่ดีเลยใช่หรือเปล่า (ใช่) คนประเภทแรกก็ปะปนอยู่ในคนประเภทที่สองที่สาม ที่ศิษย์เดินชนเขาแทบทุกวันๆ นั่นแหละ แล้วที่น่าสังเกตก็คือ คนประเภทที่สามก็พร้อมจะเป็นคนประเภทที่หนึ่งและประเภทที่สองด้วย คนประเภทที่หนึ่งก็พร้อมจะเป็นคนประเภทที่สองและประเภทที่สาม คนประเภทที่สองบางทีก็เป็นคนประเภทที่หนึ่งและประเภทที่สามด้วย แสดงว่าคนๆ นี้นั้นคือใคร (ตัวเรา) ก็คือตัวเราเท่านั้นเองที่ตัดสินใจว่าจะทำดีหรือไม่ดี หลายๆ คนที่ตกนรกไปก็ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะทำบาป ใช่หรือไม่ (ใช่) เพียงแต่เป็นอารมณ์ชั่ววูบที่ทำบาปไป ถ้าทำบาปร้ายมากแรงมากก็รับผลหนักมาก ถ้าหากเป็นบาปเล็กน้อยก็รับผลเล็กน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่) ดังคำว่า “กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมสนอง” ทำมากสนองมากทำน้อยสนองน้อย อันนี้เป็นกฎสัจธรรมอยู่แล้วใช่หรือเปล่า (ใช่) เราอาจจะไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ข้างนอกหรือทำบาปทำชั่วมาก เพียงแต่เราพูดถึงตัวเอง แล้วการบำเพ็ญธรรมของเรา เราก็บำเพ็ญธรรมตามอำเภอใจของเรา บางทีเราอยากจะบำเพ็ญ เราอยากจะทำดีเราก็ดีเสียจนดีไปหมด บางทีเรานั้นเกิดอารมณ์หงุดหงิด เกิดอารมณ์เบื่อหน่าย เราก็ไม่บำเพ็ญเสียเฉยๆ อย่างนี้มีไหม (มี) เรียกว่าคนบำเพ็ญธรรมตามอำเภอใจของตัว แล้วถามว่ามรรคผลของศิษย์จะเป็นมรรคผลที่มั่นคงและแน่นอน ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) มรรคผลของเรานั้นจึงเป็นมรรคผลที่ไม่แน่นอน เพราะว่าเรายังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเราได้ ยังไม่สามารถควบคุมจิตใจของเราให้นิ่งได้ การบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ใช่เรื่องง่าย คนบำเพ็ญธรรม แม้จะบำเพ็ญอยู่ด้วยกัน บางทีก็เหมือนกับก้อนกรวดที่อยู่บนพื้น ศิษย์ลองกำก้อนกรวดขึ้นมาสักกำหนึ่ง ก้อนกรวดที่อยู่ในมือของศิษย์นั้น มีทั้งก้อนกรวดที่เป็นก้อนมนและมีทั้งก้อนกรวดที่เป็นก้อนที่มีเหลี่ยมมีมุม ใช่หรือไม่ (ใช่) ถามว่าทำไมหินบางก้อนถึงมน ทำไมหินบางก้อนถึงกลม (เพราะบางก้อนโดนขัดเกลา) เป็นเพราะว่าหินก้อนนั้นถูกขัดไปขัดมา ใช่หรือไม่ (ใช่) ส่วนหินก้อนที่มีเหลี่ยมแสดงว่ายังไม่ค่อยจะถูกขัดจากก้อนอื่น หินกำมือหนึ่งที่อยู่ในมืออาจารย์นี้ก็คือศิษย์ทุกคน บำเพ็ญร่วมกันเหมือนกับหินหลายๆ ก้อนอยู่ด้วยกัน บางคนนั้นโดนขัดเสียจนมนแล้ว แต่บางคนนั้นยังเป็นมุมเป็นเหลี่ยมอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่) การบำเพ็ญธรรมก็คือการฝึกฝนและการขัดเกลา ไม่มีใครดีมาตั้งแต่เกิด ไม่มีใครเมื่อตอนที่เริ่มบำเพ็ญธรรมแล้วยังดีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่ายิ่งบำเพ็ญต้องยิ่งดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่ายิ่งบำเพ็ญแล้วยิ่งแย่ ก็จะถือว่าเป็นหินก้อนสี่เหลี่ยมก้อนนี้ แล้วถามว่าหินก้อนสี่เหลี่ยมก้อนนี้เหมือนคนบำเพ็ญหรือเหมือนคนไม่บำเพ็ญ (เหมือนคนไม่บำเพ็ญ) ถ้าเหมือนคนไม่บำเพ็ญ เราก็เป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่มีเพียงชื่อเท่านั้นเอง สุดท้ายเมื่อศิษย์ของอาจารย์ทิ้งกายสังขารนี้ไป เมื่อไปเบื้องบนแล้ว เบื้องบนเป็นแดนที่ไร้กิเลส ถ้าเรายังมีกิเลส ถ้าเรายังเป็นก้อนเหลี่ยมก้อนนี้แล้วเราจะอยู่กับแดนที่สว่างสงบแล้วก็ไร้กิเลสนี้ได้ไหม (ไม่ได้) โดยธรรมดาศิษย์ก็ตกลงมาในแดนโลกีย์ ลงมาเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้นการที่เรานั้นอยู่กับคนจำนวนมาก ไม่ต้องบอกว่าคนอื่นนั้นดีหรือไม่ดีอย่างไร อย่าไปว่าเขาไม่ดี หันมามองตัวเราดีหรือเปล่า อย่าไปพูด พูดให้น้อย กรรมปากจะได้น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่) 
ในทางเดียวกันหินก้อนมนที่อยู่ในมืออาจารย์นี้ วันหนึ่งโดนกดดัน รู้สึกว่าเราทำดีแล้วทำไมเราถึงไม่ได้ดีเหมือนคนอื่น ทำไมเราทำดีแล้วไม่มีใครเห็นความดีของเรา แล้วเราเกิดหมดความอดทนขึ้นมา หินก้อนกลมๆ ก้อนนี้ก็แตกออกมาพอแตกออกมาหินก้อนนี้เป็นหินมนไหม (ไม่มน) หินก้อนนี้ยังต้องโดนขัดต่อไปอีกทั้งๆ ที่ตอนแรกโดนขัดดีอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าถ้าเรามีความอดทนไม่มากพอ มัวแต่เอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนโน้นคนนี้ หินก็คือตัวเรา แตกออกจะมีมุมจะมีปลายแหลมมากยิ่งกว่าหินก้อนที่เราเห็น ที่เราเปรียบเทียบกันเมื่อสักครู่นี้อีกคุ้มไหมกับการที่เรานั้นเป็นคนที่ไม่รู้จักอดทน (ไม่คุ้ม) ฉะนั้นอาจารย์อยากสอนศิษย์สักคำหนึ่งว่า การบำเพ็ญธรรมคือธรรมชาติ ธรรมะคือธรรมชาติ บำเพ็ญตัวเราให้เป็นธรรมชาติ เมื่อเรายังไม่ดีต้องรู้ตัวเราว่าไม่ดี แล้วเราต้องแก้ เมื่อเราดีแล้วขอให้เรารักษาความดีของเรานี้ต่อไป อย่าได้แตก อย่าได้หัก เพราะว่าเรามีใจที่เปรียบเทียบ อันว่ากิเลส อันว่าความชั่วร้าย เพียงแค่ขณะจิตเดียวอาจทำให้เราต้องล้มเหลวในทางบำเพ็ญธรรม เหมือนกับที่อาจารย์เทียบไป บางคนเห็นเงินกองโตอยากได้ บางคนเห็นเงินกองโตอยากได้ก็จริงแต่ไม่หยิบ คนที่หยิบและไม่หยิบคนนี้ก็เป็นคนๆ เดียวกัน ทุกๆ ขณะจิตของเราจึงต้องสำรวมและเก็บงำประกายแห่งความดีของเรานี้ อย่าให้เสียดแทงตาผู้อื่นมากนัก อย่าให้เด่นเกินไปมากนัก ขอให้เรานั้นเป็นคนดีที่ไม่ต้องการการตอบแทน ขอให้เราเป็นคนดีที่เรานั้นรู้จักดีอย่างเงียบๆ ไม่ต้องให้คนอื่นชื่นชมก็ได้ ทำได้ไหม (ได้)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนที่ตอบคำถามยืนขึ้น)
ถ้าหากว่าดูจากตรงนี้ ดูจากคนที่ยืนกับคนทั้งห้องที่มีอยู่ เปรียบไปแล้วเหมือนกันการที่เบื้องบนนั้นจะคัดเลือกคนกลับขึ้นไปเป็นพุทธะ คนที่นั่งอยู่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคำตอบ คนที่ยืนก็ใช่ว่าจะตอบดีกว่าคนที่คิดๆ อยู่ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ว่าคนที่ยืนนั้นรู้จักอะไร (กล้า) คนที่ยืนนั้นก็คือคนที่รู้จักตอบออกมา รู้จักรักษาโอกาสของตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าศิษย์ของอาจารย์มีกายเป็นมนุษย์ ไม่รู้จักที่จะรักษาโอกาสของตัวเองที่จะบำเพ็ญ นั่งเฉยๆ แล้วรู้ว่าธรรมะดีก็ทำได้ แต่ว่าสำเร็จเป็นพุทธะได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมนั้นจึงต้องออกมาปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเรียกให้ตอบต้องตอบ เมื่อเรียกให้เงียบก็ต้องห้ามคุย ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานผลไม้ให้นักเรียนที่ออกมายืนหน้าชั้น)
คนที่ชอบดื่มเหล้า จะเลิกดื่ม จะทิ้งไปได้ไหม บางคนบอกอาจารย์ว่าทิ้งได้ แต่พออาจารย์ไปแล้ว บอกอาจารย์ทิ้งหมดเลยแต่วันละกรึ๊บ อย่างนี้ก็ไม่แน่ใช่หรือไม่ (ใช่) เห็นคนกำลังจะทำความดีอยากให้อะไรเขา ผลไม้บนโต๊ะเอาผลไม้อะไรดี (เอาของหวานๆ ) เคยฟังเรื่ององคุลีมาลไหม ทำไมถึงได้สำเร็จ ทำไมถึงได้บรรลุ เพราะในช่วงวินาทีนั้นตัดสินใจทิ้งใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อทิ้งดาบแล้วก็ไม่หันหลังไปจับดาบอีก คนที่เด็ดขาดและเด็ดเดี่ยวก็ย่อมทำได้ โดยเฉพาะการตัดใจกับเรื่องที่เราเห็นชัดๆ ว่าเป็นสิ่งไม่ดี เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความเด็ดขาดและเด็ดเดี่ยวมาก ศิษย์ในห้องนี้ผู้ชายใครกินเหล้า ใครสูบบุหรี่ ก็จงอาศัยความเด็ดเดี่ยวอันนี้ไปตัดอบายมุขให้สิ้น เหล้า บุหรี่ การพนัน เป็นเรื่องที่ต้องตัดทิ้งใช่หรือไม่ (ใช่) แม้คนในโลกมนุษย์เองก็ยังบอกว่าผิดศีล เพราะฉะนั้นจะไปเป็นเทวดายิ่งไม่มีทาง จะสำเร็จไปนิพพานย่อมไม่มีทาง ผู้หญิงคนไหนที่ยังเล่นหวย เล่นเบอร์ ถ้าอยากจะรวยก็ต้องทำอย่างไร ถ้าอยากจะรวยก็ต้องเลิกเล่น เมื่อเลิกเล่นก็มีเงินใช่หรือไม่ (ใช่) ไม่เลิกเล่นก็ถูกกินเงินใช่หรือไม่ (ใช่) ซื้อสิบครั้งถูกกี่ครั้ง ซื้อสิบครั้งถูกสักครั้งยังไม่ได้เลย ถ้าสิบครั้งนั้นเก็บเงินเข้ามาจะเท่ากับที่เราถูกครั้งหนึ่งหรือเปล่า ศิษย์ลองไปคำนวณดูว่าเงินที่ได้มาเท่ากับเงินที่เสียไปไหม ถ้าได้ก็ได้มากกว่าไม่เท่าไหร่หรอก อยากจะรวยก็ต้องรู้จักที่จะเลิก ถ้าหากว่าอยากเป็นคนบำเพ็ญธรรมจะมามัวนั่งกินเหล้า สูบบุหรี่ นั่งเล่นหวย เล่นไพ่ ได้หรือไม่ (ไม่ได้) แม้บำเพ็ญธรรมะไม่มีผลตอบแทนใดๆ เลย แต่การที่เราได้บำเพ็ญธรรมะแล้วเราได้เลิกอบายมุขต่างๆ นั้นอย่างน้อยจะทำให้จิตใจของเรามีความสุขมากขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) ความสุขจากการที่เราได้เลิกอบายมุขแล้ว เป็นความสุขที่หาได้ในโลกมนุษย์นี้ แล้วเราทุกคนก็เป็นผู้มอบความสุขให้แก่เราได้ เมื่อเราลด ละ เลิก คนในบ้านของเราก็มีความสุขด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ชอบอยู่ใกล้ๆ คนกินเหล้าไหม (ไม่ชอบ) คนกินเหล้าชอบอยู่ใกล้คนกินเหล้าแล้วเมาไหม (ไม่ชอบ) คนกินเหล้าเองก็คงไม่ชอบอยู่ใกล้กับคนที่กินเหล้าแล้วเมา เพราะว่าท่าทางไม่น่าดูใช่หรือไม่ (ใช่) เราสูบบุหรี่ คนในบ้านเราก็ไม่ชอบให้เราสูบ ออกจะเหม็นด้วยใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นถ้าเราเลิกได้ก็เป็นบุญของใคร (ของเราเอง)
“ชีวิตแม้นพลาดไปอย่าจมต่อไป” บางคนนั้นชีวิตของเขาเคยพลาดมาบ้าง แต่มีสุภาษิตโบราณบอกไว้ว่า “สิบเท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลัง” เป็นการให้กำลังใจกับคนที่เคยพลาดพลั้งมาแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์เองก็มีคำที่ให้กำลังใจศิษย์เหมือนกัน ชีวิตนี้แม้เราจะพลาดไป แต่เราอย่าปล่อยให้มันจมต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับคนที่พลาด ตัวเองไปติดเหล้า ติดบุหรี่ แต่ก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองจมต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่) แม้เราจะพลาดเป็นคนที่มีกิเลสหนา แต่เราก็จะไม่พลาดจมต่อไปโดยให้เรานั้นมีกิเลสหนากว่านี้ แม้เราจะพลาดในการทำการค้า แต่เราก็อย่าทำผิด อย่าทำบาป ให้หาอาชีพที่สุจริตทำต่อไป นั่นถึงเป็นการไม่จมต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับคนหนึ่งคน ชีวิตของเรานั้นเป็นชีวิตที่สูงค่า เป็นชีวิตที่มีค่าคนหนึ่งคนนั้นเกิดมาไม่ใช่ง่ายใช่หรือไม่ (ใช่) แม่ตั้งท้องเราเก้าเดือนกว่าจะโตได้ขนาดนี้เสียข้าวไปไม่รู้กี่กระสอบ เสียแรงไปไม่รู้เท่าไหร่ แล้วเราจะทำให้ชีวิตของเรานั้นเป็นชีวิตที่ไม่มีค่าได้หรือไม่ แม้เราเกิดมาเราอาจจะไม่ใช่คนดีเท่าไร อาจารย์ก็หวังว่าศิษย์นั้นจะไม่ใช่คนที่ชั่วร้าย แก้ตัวใหม่ทันทีที่เรารู้สึกตัวว่าทำผิด หนึ่งครั้งพลาดไปแก้ครั้งที่หนึ่ง ถ้าไม่ได้ให้แก้ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม แก้ตัวตั้งสามครั้งแล้ว ถ้าหากว่าเราตั้งใจแก้จริงๆ จะผิดไหม (ไม่ผิด) แต่ทุกวันนี้เราแก้ตัวเราไม่ได้เพราะว่าเราไม่ตั้งใจที่จะแก้ตัวของเราใช่หรือไม่ (ใช่) เราปล่อยตามอารมณ์ของเราไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเราจะไม่มีวันกลับตัวเป็นคนใหม่ได้ แต่อาจารย์หวังว่า ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนจะทำได้ เพราะอาจารย์หวังว่าทุกคนจะสำเร็จเป็นพุทธะได้ แต่ละครั้งที่อาจารย์มา ไม่ใช่ว่าอยากให้ศิษย์ของอาจารย์ยึดติดในรูปลักษณ์อันนี้ ไม่ใช่ว่าอยากให้ดูว่าอาจารย์จี้กงเป็นอย่างไร แสดงปาฏิหาริย์อย่างไร ทำอะไรอย่างไร แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์จำคำที่อาจารย์พูด และนำไปปฏิบัติจริงๆ ไม่ใช่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แล้วเราก็ลืมคำอาจารย์ไปสิ้น มาจำแต่รูปลักษณ์ภายนอก จำแต่สิ่งที่อาจารย์นำมาใช้ ศิษย์ก็จะกลายเป็นคนบำเพ็ญธรรมที่ยึดติดรูปลักษณ์ เวลาเจอปัญหานั้นก็ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้เลย การบำเพ็ญธรรมให้ยึดหลักสัจธรรมไว้เป็นหลัก ไม่ใช่มายึดว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ คนที่บำเพ็ญธรรมแล้วเป็นเตี่ยนฉวันซือต้องเป็นอย่างนี้ คนที่เป็นเจี่ยงซือต้องเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครกำหนดใครได้ มีแต่เรานั้นกำหนดตัวเราเองได้ เมื่อเห็นคนอื่นผิด เราไปขอร้องให้เขาเปลี่ยนได้ไหม (ไม่ได้) เราไปขอร้องให้เขาเปลี่ยนก็ไม่แน่ว่าเขาจะเปลี่ยน แต่การขอร้องตัวเราเองว่าอย่าให้ทำผิดเหมือนเขานั้นขอร้องได้ไหม คนที่เราเห็นว่าเขาทำผิดนั้น ถ้าหากว่าเราพูดกับเขาแล้ว แต่เขาไม่เปลี่ยนไปตามที่เราบอก เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เราพูด ขอให้เราหันกลับมามองตัวเองว่า เรานั้นคงจะมีคุณธรรมน้อยไป จึงไม่สามารถพูดให้เขาเปลี่ยนใจได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเรายังทำตัวไม่ดี แล้วเราไปพูดธรรมะให้เขาฟัง เขาจะฟังไหม (ไม่ฟัง) ถ้าหากว่าเราอยากให้เขาเปลี่ยนความคิด เราก็มาดูว่าเรานั้นมีคุณธรรมมากพอหรือเปล่า หากว่าพูดไปแล้วเขาไม่เปลี่ยน แสดงว่าคุณธรรมของเราไม่หนักพอ ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าศิษย์มีคุณธรรมมากต่อให้ศิษย์ไม่พูด เดินไปใกล้ๆ เขาก็เปลี่ยนแล้ว แต่มนุษย์นั้นมีการสื่อสารที่ คำพูด ที่แววตา ที่ตัวหนังสือ เราก็ต้องรู้จักใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ แต่ว่าสิ่งที่สื่อสารได้ดีที่สุด ก็คือคุณธรรมของเราเอง เพราะว่าคนนั้นยังมองที่รูปภายนอกมาก ยังสังเกตที่การกระทำของเรามาก เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ คุณธรรมของเราเอง พูดไปพูดมาก็ไม่พ้นการบำเพ็ญตน การทำตนให้เป็นคนดีและการสร้างกุศล พูดไปพูดมาไม่พ้นบอกว่าอย่าทำผิด อาจารย์มากี่ครั้งก็พูดในสิ่งเหล่านี้ จึงหวังว่าศิษย์ของอาจารย์จะทำในสิ่งเหล่านี้ วันนี้ พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ ถ้าหากว่าทำทุกวันก็จะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเราทำตัวเฉยๆ ก็เหมือนกับคนที่อาจารย์ถามแล้วไม่ตอบ เราก็จะกลายเป็นคนที่ล้าหลัง เพราะว่าเวลาที่มดตัวหนึ่งหยุดยืนอยู่บนทาง มดตัวหลังก็วิ่งแซงหน้าไปแล้ว เพราะฉะนั้นคนที่อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย ดีก็ไม่ดี เลวก็ไม่เลว อยู่เฉยๆ ก็จะเป็นคนที่ล้าหลัง บางคนที่เดินเคียงข้างเรา ล้ำหน้าเราไปไกลแล้ว ในขณะที่ศิษย์ของอาจารย์หยุดอยู่กับที่ ยิ่งหยุดอยู่กับที่นานเท่าไหร่ศิษย์ก็ยิ่งเท่ากับเป็นคนที่ถอยหลังมากขึ้นเท่านั้น จึงหวังว่าแม้เราจะมีนิสัยเป็นคนเฉยๆ เราก็ต้องรู้จักที่จะบำเพ็ญธรรมเช่นเดียวกัน ทำได้ไหม (ได้)
อาจารย์อยากให้มาในวันนี้ ไม่ใช่วันสุดท้ายที่ศิษย์จะได้มาสถานธรรมแต่เป็นวันแรกที่เริ่มต้นในการที่ศิษย์จะได้ใช้สถานธรรมในการบำเพ็ญตน คนที่ศิษย์จะได้เห็นต่อไป เป็นคนที่ศิษย์ไม่เคยรู้จัก แต่กลับเสียสละลงแรงในการทำอาหารให้ศิษย์กิน โดยที่เราไม่ต้องขอร้อง เป็นเพราะว่าทุกคนต่างเห็นว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ดี ต่างเห็นว่าธรรมะต้องลงแรงปฏิบัติ ต่างเห็นว่าต้องฝึกฝนที่จะบำเพ็ญธรรม ถ้าหากว่าให้เราไปยืนอยู่หน้าเตาร้อยๆ ตลอดทั้งวันโดยที่ไม่ได้รับเงินสักบาทเดียว เราอยากจะทำไหม ก็ไม่แน่ว่าเราอยากจะทำใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นจึงควรเห็นน้ำใจและเปิดใจให้กว้างในการที่จะมอง อาหารอร่อยๆ ของเรานั้นทำด้วยแรงคนจำนวนมากใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าคิดว่าจะสามารถให้เงินคนเหล่านี้ แล้วให้คนเหล่านี้มาทำได้ มาสถานธรรมขอให้มาด้วยความบริสุทธิ์ใจ มองทุกสิ่งทุกอย่างให้สะอาด แล้วเรานั้นก็จะมีความสุข
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ให้แม่ครัว) การที่เราเสียสละเวลาในการที่จะมาบำเพ็ญธรรมนั้น เราต้องเสียสละเวลาในการมาศึกษาธรรมไปพร้อมๆ กันด้วย ไม่ใช่ว่ารอให้อาจารย์มา มีโอกาสเจออาจารย์ก็พอแล้ว แต่ต้องรู้จักศึกษาธรรมะ เหมือนทางโลกที่เขาบอกว่ามีทฤษฎีและมีปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้ที่ศิษย์ทุกคนทำอยู่เรียกว่าการปฏิบัติ แต่ยังมีภาคทฤษฎีด้วย ภาคทฤษฎีหมายความว่าเราเคยนั่งมาแล้วสองวัน วันหลังๆ ถ้าหากว่ามีคนมาชวนเราไปนั่งฟังธรรมะ เราก็ยังจะต้องไปนั่งฟังด้วย เพื่อทำความเข้าใจให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นเวลาที่เราเจอการทดสอบ เวลาที่เราเจออุปสรรค เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้จะนำธรรมะข้อไหนมาใช้ในการแก้ปัญหา ไม่รู้ว่าจะเดินหน้าอย่างไร บางคนที่อยู่ที่นี่ ยังไหว้ไม่เป็น บางคนยังกราบพระไม่ถูกต้อง บางคนเวลาไหว้พระให้ท่องอะไรบ้างก็ยังไม่รู้ สี่ท่อนง่ายๆ ก็ยังท่องไม่เป็น เดี๋ยวไปเบื้องบนแล้วต้องไปฝึกหนักจะได้หรือ เวลาไม่มีร่างกายนี้ ถ้าจะให้กราบพระกราบหนึ่งก็เป็นเรื่องยากกว่าปกติถึงพันเท่า ฉะนั้นเมื่อมาสถานธรรม นอกจากจะบำเพ็ญธรรมที่ใจให้สะอาดยิ่งขึ้น ให้ใจของเราไม่มีกิเลสให้เรามีความสุข ยังต้องรู้จักหาเวลาว่างศึกษาธรรมะ ธรรมะข้อไหนที่กินใจเรา ที่ซึ้งใจเรา เราก็จดจำไว เพื่อวันหน้า การทดสอบไม่ใช่มีในชีวิตประจำวันอย่างเดียว ยังมีการทดสอบทางธรรม ยังมีการทดสอบจากมาร ดึงตัวศิษย์จากบำเพ็ญทางนี้ให้ไปบำเพ็ญทางนั้น แล้วค่อยดึงกลับไปกลับมาให้หัวปั่นเล่น ถ้าหากว่าเราไม่เข้มแข็งพอแล้วจะเอาอะไรไปสู้ ธรรมะก็ไม่ค่อยฟัง แล้วจะนำธรรมะข้อไหนมาใช้เวลาเจอปัญหาที่สำคัญ คนที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ตั้งปณิธานไว้สิบข้อ เมื่อเช้านี้ฟังไปแล้วปณิธานทั้งสิบข้อต้องทำให้ได้ เมื่อเราได้ทำตามปณิธานที่เราตั้งไว้ ก็ย่อมสามารถจะบรรลุธรรมได้เหมือนกัน คนที่นี่และคนข้างๆ มีปณิธานมากว่าสิบข้อ แต่ทุกๆ คนไม่ว่าจะตั้งปณิธานไปกี่ข้อ ก็จะต้องทำให้เต็มที่ เต็มความสามารถ เพื่อที่เราจะได้หลุดพ้นด้วยปณิธานอันนี้ สิ่งสำคัญคือทุกคนที่อยู่ที่นี่เป็นศิษย์อาจารย์ด้วยตรัยรัตน์ที่ผูกพันกัน ด้วยตรัยรัตน์ที่อาจารย์ถ่ายทอดไป ตรัยรัตน์เป็นสิ่งที่สำคัญมากจะต้องจำให้ได้ ปณิธานสิบ และตรัยรัตน์นั้นเป็นสิ่งพื้นฐาน หากจำไม่ได้แล้วจะขึ้นไปเบื้องบนได้อย่างไร ขึ้นไปเบื้องบนไม่รู้จะใช้กุญแจดอกไหนไขบ้าน แล้วจะเข้าบ้านได้ไหม (ไม่ได้) ที่สำคัญต้องใช้กุญแจถึงสามดอก มีกุญแจดอกเดียวหรือสองดอกเข้าบ้านได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าไม่มีกุญแจเลยเข้าได้ไหม (ไม่ได้) แล้วบอกว่าเป็นศิษย์อาจารย์แต่ไม่มีกุญแจเลย คนเชื่อไหม (ไม่เชื่อ) พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เชื่อไหม (ไม่เชื่อ) พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เชื่อแต่ทำอะไรไม่ได้ ไม่อย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นผีตนไหน ไม่ว่าจะเป็นเทวดาองค์ไหน ก็คงจะมาอ้างได้ถูกหรือเปล่า (ถูก)
บำเพ็ญธรรมลงแรง ทำครัวมีกุศล แต่อย่ายึดติดกับกุศลอันนี้ การบำเพ็ญธรรมต้องก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ต้องก้าวหน้าที่จิตใจของเรา อย่าไปยึดติดกับเรื่องที่งมงาย ไร้สาระ อย่าไปยึดติดกับสิ่งที่เป็นความทุกข์ที่มาเกาะใจเรา เข้าใจไหม ความทุกข์เป็นสิ่งที่ทดสอบคนจำนวนมาก ไว้สำหรับทดสอบคนไหนก็ได้ แต่หวังว่าไม่ใช่ศิษย์อาจารย์ เพราะว่าศิษย์ของอาจารย์ได้รู้จักตัวเองแล้ว ชนะตัวเองแล้ว แล้วจะยอมให้ความทุกข์ง่ายๆ มาทดสอบใจเราได้อย่างไร ถ้าหากว่ารักอาจารย์ก็ต้องบำเพ็ญธรรมให้จริงจัง รักอาจารย์ต้องไปอยู่กับอาจารย์ถึงเรียกว่ารักจริง แต่บอกว่ารักอาจารย์ บอกว่าบำเพ็ญแต่บำเพ็ญไม่ถึงไหน สุดท้ายตายไปแล้วสิ้นกายเนื้อนี้ไปแล้วก็จะไม่สามารถไปอยู่กับอาจารย์ได้ แล้วจะบอกว่ารักอาจารย์ได้อย่างไรใช่หรือเปล่า (ใช่) อาจารย์หวังว่าทุกๆ คน เลื่อนระดับของตนเองขึ้นมา ทำตัวเราให้ดี เพื่อให้คนรอบๆ ข้างเรา มีเราเป็นแบบอย่าง การพูดธรรมะต่อให้พูดได้แยบยลเท่าไหร่ ไม่สู้การปฏิบัติให้แยบยล จริงหรือไม่ (จริง) เราทำดีโดยไม่ต้องพูด คนอื่นก็รู้สึกแปลกใจ ยิ่งเข้ามาถามเราเอง ว่าทำไมเราถึงเปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ มีเรี่ยวแรงขึ้นมาได้ใหม่ เดินในทางใหม่ ชนะตนครั้งใหม่ ไม่ใช่จมอยู่กับสิ่งเก่าๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) หวังว่าทุกคนนั้นมีความสำเร็จมากขึ้นๆ 
การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่หวังว่าเข้ามาแล้วจะเป็นอะไร แต่ต้องหวังว่าเราเข้ามาแล้วจะทิ้งลาภยศ ชื่อเสียง เงินทองให้หมดสิ้น แต่ไม่ใช่ปล่อยความยึดติดทางโลกไป แล้วมายึดติดทางธรรมแทน อันนี้อันตรายที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะบางคนนั้นทางโลกปล่อยหมดเลย แต่ทางธรรมยึดไว้เต็มที่เลย อย่างนี้แล้วก็ไม่สามารถที่จะบรรลุสำเร็จธรรมได้เช่นเดียวกัน เพราะว่าเดินอยู่ทางธรรม แต่ก็ยึดติดในทางธรรมนี้ เมื่อบำเพ็ญจนถึงที่สุดแล้ว จนถึงระดับหนึ่งแล้วต้องรู้จักปล่อยวาง เมื่อนั่งเรือจนถึงฝั่งแล้ว ข้ามฟากได้แล้ว ก็ต้องวางเรือลง ไม่ใช่แบกเรือขึ้นบ่าแล้วเดินต่อ เพาะว่าเสียดายเรือนี้ ได้ไหม (ไม่ได้) บางคนนั้นมีเรือเป็นความน่าเชื่อถือ เพราะว่ามีตำแหน่ง มีเรือเป็นความภูมิฐาน เพราะว่ามีเงินทอง ก็ขอให้รู้จักใช้สิ่งที่เรามีอยู่เหล่านี้ในการทำประโยชน์ เช่นเดียวกัน เมื่อเรามีเงินทองก็ไม่ใช่ความผิด แต่ถ้าเรายึดติดในเงินทองเราก็คงจะไม่สำเร็จ เมื่อเรามีลาภยศก็ไม่ใช่ความผิด แต่ขอให้ใจของเราอย่าได้ยึดติด ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์บอกแล้วถ้าอยากเป็นคนให้สมกับที่ชาตินี้ได้เกิดมาเป็นคน เมื่อมีเงิน เมื่อเรามีโอกาสที่จะทำบุญด้วยการทำเงินก็ต้องทำ เมื่อเรามีแรง เวลาที่เราต้องออกแรงก็ให้ออก เมื่อเรามีเวลา คนอื่นไม่มีเวลา เมื่อถึงคราที่ต้องใช้เวลาของเราแล้ว ก็ให้ใช้เวลาของเรานั้นให้มีประโยชน์
ใครดื้อบ้างที่นี่ มีคนดื้อไหม (มี) อาจารย์ไม่เห็นคนดื้อเลย เห็นแต่ที่เป็นคนดี เห็นแต่เด็กที่เป็นเด็กดี เป็นเด็กดีของอาจารย์ใช่ไหม ใครที่ยังดื้ออาจารย์ก็บอกไว้คำเดียว ถ้าหากว่าดื้อมาก ผลร้ายก็จะตกอยู่ที่ใคร (ตัวเราเอง) ถ้าเราดื้อมาก ผลร้ายก็ตกที่ตัวเราเอง เพราะว่าคนที่มาพูดกับเรา ก็คือเตือนเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเราดื้อ ก็คือคนที่ไม่ยอมฟังคนเตือน มโนธรรมสำนึกเตือนแล้วก็ยังไม่อยากจะฟัง ในที่สุดแล้วผลร้ายก็จะตกอยู่ที่เราเอง ไม่ว่าจะอาวุโสเตือน ไม่ว่าจะคนรอบข้างเตือน แม้ว่าเตือนหนักไปนิดหนึ่ง ก็อภัยให้หน่อย ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าหวานเป็นอะไร (ลม) ขมเป็น (ยา) คำหวานเป็นลม คำขมเป็นยา อยากจะกินยาหรือว่าอยากกินน้ำหวาน เราชอบกินน้ำหวานอาจารย์ก็ไม่ว่า แต่ถ้าหากว่าเราป่วยอยู่ ก็ต้องยอมกินยา ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าคนป่วยอยากกินน้ำหวาน ก็คงจะไม่ได้การ ใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งน้ำหวานใส่น้ำแข็งก็ยิ่งไปกันใหญ่ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ทีนี้ก็หลงไม่รู้จักตื่น เพราะฉะนั้นบางทีคนที่เขาพูดกับเราหนักนิด เราก็ให้อภัยหน่อย เพื่อให้เรานั้นได้แก้ไข อยากจะเดินหน้าก็ต้องแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าอยากจะสบายๆ ก็หยุดอยู่กับที่ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าหากหยุดอยู่กับที่ ก็ระวังจะโดนแซง เวลาอาจารย์ให้โอวาทอย่าคิดไม่ดี ให้เราคิดแต่สิ่งที่ดีเข้าไว้ อาจารย์อยากให้ศิษย์นั้นบำเพ็ญจนลมหายใจสุดท้าย โดยไม่มีใจที่เปลี่ยนแปลงไปจากความศรัทธา ที่เราพูดถึงในตอนแรก เพราะว่าคนที่เปลี่ยนนั้น ถ้าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีก็ย่อมดี แต่ส่วนใหญ่นั้นในความหมายของอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนแปลงในวันนี้ในที่นี้ หมายถึงเปลี่ยนแปลงจิตใจเป็นคนที่ท้อ เปลี่ยนแปลงจิตใจเป็นคนที่ขี้กลัว เปลี่ยนแปลงจิตใจเป็นคนที่เลิกบำเพ็ญ
(พระอาจารย์เมตตาให้ร้องเพลง “ขอจงบำเพ็ญจนลมหายใจสุดท้าย”)
กลัวใจตัวเองเปลี่ยนหรือเปล่า กลัวไหม (กลัว) ขนาดศิษย์ยังกลัวแล้วจะไม่ให้อาจารย์ และพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กลัวได้อย่างไร เหมือนกับคำที่บอกว่าวันนี้คิดอย่างนี้ แล้วอีกวันก็เปลี่ยนไปอีกอย่างหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่) วินาทีนี้คิดอย่างนี้ อีกห้านาทีต่อไปก็คิดอีกแบบหนึ่งแล้วใช่หรือเปล่า (ใช่) บางทีศิษย์ของอาจารย์อาจจะควบคุมจิตใจของตนเองไม่ได้ แต่ว่าถ้าหากว่าเราปล่อยใจของเราโดยที่เราไม่หันมามองใจของเราเอง เราย่อมไม่รู้ว่าเรานั้นกำลังทำผิด กำลังเปลี่ยนใจ แต่หากว่าเรารู้จักที่จะควบคุมจิตใจของตัวเราเอง เราก็จะไม่เป็นคนที่เปลี่ยนใจง่าย แล้วคล้อยไปตามตัวเอง คนอย่างนี้คือคนที่น่ากลัวที่สุด เพราะว่าเราแม้จะรู้ แต่ไม่อาจยับยั้งชั่งใจตนเอง เหตุการณ์นี้มักเกิดกับคนวัยกลางคนและเด็ก ส่วนคนที่อายุมากไม่ค่อยเป็น เพราะฉะนั้นใครที่รู้ว่าตนเองอยู่ในวัยกลางคนเป็นคนเลือดร้อน ก็ให้รู้จักระวังตนเองให้มาก นี่คือความดีของการที่เราเป็นคนมีอายุมาก เราจะเป็นคนที่สุขุมขึ้น มั่นคงขึ้น นิ่งขึ้น ต้องรู้จักใช้ความนิ่งและความมั่นคงนี้ให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเรามากๆ เราต้องดูว่าตัวเรานั้นทำได้ดีหรือยัง ก่อนที่เราจะไปสอนคนอื่นเขา ส่วนคนที่รับการสอน ก็อย่าได้ดูแต่หน้าตา ความรู้ เงินทอง ถ้าหากว่าเรามัวแต่ดูหน้าตา ความรู้เงินทองของคนที่มาสอนเรา มัวแต่มาดูความอาวุโสของคนที่มาสอนเรา เราก็คงจะเลือกฟังคนใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงตอนนั้นเราอาจจะผิดพลาดไปแล้วก็ได้ เพราะว่าคนที่มาเตือนเราบางคนอาจจะไม่ค่อยกล้าเตือน แต่คนที่เรามองข้ามกลับคอยเตือนเรา อย่าได้โกรธ อย่าได้โมโห แต่จงน้อมรับฟัง
อยากรู้ไหมว่าได้คำว่าอะไร (อยากรู้) อาจารย์จะใบ้ให้ก่อน เรามีกายสังขาร เรามีการเนื้อนี้ กายเนื้อนี้ไม่ใช่ของจริง ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าเราเป็นจิตเข้ามาในร่างกายอันนี้ เรายืมกายเนื้ออันนี้ ยืมของปลอม ใช่หรือไม่ (ใช่) เรายืมกายเนื้ออันนี้ในการทำอะไร (บำเพ็ญ) เรายืมกายเนื้อปลอมอันนี้หาเงินใช่หรือไม่ (ใช่) หาเงินใช่จุดมุ่งหมายในชีวิตจริงของเราไหม  (ไม่ใช่) เรายืมกายเนื้ออันนี้ไว้มีครอบครัว ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) แล้วเรายืมกายเนื้ออันนี้ไว้สำหรับทำอะไร เราควรจะคิด ไม่ใช่ว่าเกิดมาหาเงิน เช้าแปรงฟัน หิวแล้วกินข้าว หาเงินเยอะๆ มีครอบครัวดีๆ อันนี้ใช่จุดประสงค์ที่เราได้ร่างกายอันนี้ ใช่จุดประสงค์ที่เกิดมาหรือเปล่า เพราะว่าคนที่มีครอบครัวที่ดีที่สุด คนที่มีเงินเยอะที่สุดก็ตายเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นมีคนที่ทำเงินได้มากกว่าเรา มีคนที่มีครอบครัวที่ดีกว่าเรา มีคนที่มีรถที่ดีกว่าเรา เขาก็ยังตาย เราน่าจะคิดว่าเรามีร่างกายอันนี้ เรายืมของปลอมอันนี้ เพื่อที่จะมาบำเพ็ญจริง แล้วเราไม่ใช่แค่ยืมร่ายกายอันนี้เท่านั้น สองวันนี้เราก็ยืมเก้าอี้ตัวนี้เพื่อใช้นั่งฟังใช่หรือไม่ (ใช่) เราก็ใช้เก้าอี้ตัวนี้ในการนั่งฟัง ก็ถือว่ายืมเก้าอี้ตัวนี้เพื่อที่จะได้ฟังธรรมะในสองวันนี้เช่นเดียวกัน ชีวิตนี้ยังยืมอะไรอีกบ้าง เราก็ยืมเสื้อผ้าอันนี้ใส่ เพื่อให้เราดูเรียบร้อยสะอาดตา ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วก็ยืมบ้านอยู่สำหรับให้เรามีที่พักอาศัย ใช่หรือไม่ (ใช่) เราก็ยืมรถมาขับเพื่อที่เราจะได้มีความสะดวก ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นจงให้ความสะดวกสบายนี้มาใช้ในการบำเพ็ญทำได้หรือไม่ (ได้) ไม่อย่างนั้นต่อให้ศิษย์เป็นคนที่มีเงินมากที่สุด ต่อให้ศิษย์เป็นคนที่มีครอบครัวที่ดีที่สุด ต่อให้ศิษย์เป็นคนที่เจอแต่สิ่งที่ดีทั้งชีวิตก็ยังต้องตาย เราควรทำอะไรก่อนตายดี ทำอะไรให้ชีวิตของเรานั้นมีคุณค่าดี เราต้องบำเพ็ญธรรม ต้องทำแต่ความดี ไม่ใช่ทำแต่ความดีธรรมดา ต้องทำความดีให้ดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) สมมติว่าความดีเหมือนบันได แม้มีบันได้กี่ก้าวเราก็จะก้าวไปถึงขั้นที่สูงสุดใช่หรือไม่ (ใช่) ดังที่เราเคยมีบางคนดีกว่าเราอีก แต่เราต้องไม่มองคนดีกว่าเราด้วยความอิจฉา เราต้องมองคนที่ดีกว่าเราเพื่อเป็นแบบอย่าง แล้ววันหลังเราจะบำเพ็ญตามเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาประทานโอวาทซ้อนพระโอวาทว่า “ยืมปลอมบำเพ็ญจริง”)
ยืมปลอมมาบำเพ็ญจริง ใช่หรือไม่ (ใช่) ตอนนี้ยืมอะไรที่ปลอม อาจารย์สมมติให้ชัดเจนที่สุดว่า ยืมร่ายกายที่ปลอมอันนี้เพื่อที่จะบำเพ็ญไปสู่แดนนิพพาน ดินแดนที่ไม่เกิดไม่ดับอีกแล้ว แม้ว่านิพพานจะไม่มีรูปลักษณ์ ไม่ใช่สิ่งจริงที่เราจับต้องได้ เหมือนเสื้อผ้า เหมือนเก้าอี้ เหมือนของใช้ แต่นิพพานย่อมจริงกว่า จริงกว่าโลกนี้ที่ศิษย์มองเห็นได้ด้วยตา จับต้องได้ด้วยมือแน่นอน เข้าใจไหม (เข้าใจ) เบื้องบนเปิดประตูออกต้อนรับศิษย์ของอาจารย์ทุกคน ไม่เว้นคนไหน ไม่เว้นว่าศิษย์ของอาจารย์จะอายุเท่าไร หน้าตาเป็นอย่างไร ไม่เว้นแม้คนที่เคยทำความชั่วที่สุดมาก่อน ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เคยทำความดีที่สุดมาก่อน แดนนิพพานนั้นต้อนรับคนที่ผิดแล้วรู้จักแก้ แม้จะเป็นคนที่เคยผิดพลาดที่สุด แต่หากว่าเราแก้ไขอย่างที่สุด เราย่อมแก้ไขได้สำเร็จ ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์หวังว่าศิษย์จะยืมกายเนื้อจอมปลอมอันนี้เพื่อที่จะบำเพ็ญให้จริงจังและจริงๆ เพื่อเป็นกำลังใจของอาจารย์ ที่อาจารย์จะได้ลงมาในแดนโลกนี้อย่างจิตใจของคนที่เบิกบาน ในสมัยก่อนนั้นอาจารย์เป็นคนที่ร่าเริงมาก เบิกบานมากอย่างที่ศิษย์รู้ แต่มาในสมัยนี้คนในโลกเปลี่ยนแปลง แม้กระทั่งอาจารย์จะยิ้ม อาจารย์ยังต้องคิดว่าอาจารย์จะยิ้มดีหรือเปล่า เพราะว่าเดี๋ยวนี้อาจารย์มีลูกศิษย์มากมาย ไม่ใช่มีแค่คนสองคน ไม่ได้มีแค่สิบคน แต่อาจารย์มีลูกศิษย์อยู่มากจริงๆ แล้วคนที่เป็นอาจารย์ ถ้าหากว่าไม่ห่วงศิษย์ ก็ไม่รู้จะห่วงใคร ศิษย์พรากร้อยยิ้มจากอาจารย์ไป ศิษย์ต้องรับผิดชอบใช่ไหม ต้องรู้จักที่จะบำเพ็ญตนให้มากกว่านี้ ไม่ใช่ทุกวันเอาแต่ท้อใจ ทุกวันคิดแต่เรื่องของตัวเอง อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นพุทธะ ไม่ใช่อยากให้เป็นพุทธะที่ไปเสวยสุข แต่อาจารย์อยากได้คนที่มีปณิธานเดียวกับอาจารย์ คือช่วยคนที่ทุกข์หนัก แม้ว่าเราจะยังทุกข์ แม้ว่าเราจะยังไม่พ้นทุกข์ แต่ถ้าหากว่าศิษย์ช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ได้บ้าง ความสุขก็จะเกิดในใจของเรา ดอกบัวนั้นบานขึ้นมาจากโคลนตม ศิษย์ของอาจารย์ก็เป็นคนที่สำเร็จธรรมได้จากแดนโลกีย์นี้ เกิดมาชาตินี้มีความทุกข์ ความทุกข์ไม่เคยสิ้นสุด วิธีมากมายที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรืออาจารย์สอนให้ก็ไม่ใช่ให้ศิษย์พ้นทุกข์ได้จริงๆ เป็นเพียงแค่หลบทุกข์ไปชั่วคราว แต่ขนาดวิธีที่อาจารย์สอนไปให้ ศิษย์ก็ยังไม่เคยทำ ถึงเวลาความโมโหวิ่งเข้าใส่ ก็โมโหเสียเต็มที่ ถึงเวลาความโลภวิ่งเข้าใส่ ก็โลภเสียเต็มที่ เหมือนคนจะตาพร่า เหมือนคนจะหูฝาด จะให้ทำอย่างไรถึงจะฝืนขึ้นมาได้ นอกจากช่วยตัวเองแล้ว ตั้งใจฟังให้ดีๆ ตั้งใจดูให้ดีๆ แล้วจะมีคนอื่นช่วยเราได้หรือ
วันนี้แม้อาจารย์จะมาหลายชั่วโมง แต่คำทุกคำจากใจอาจารย์ก็คือขอร้องให้ศิษย์บำเพ็ญ ขอร้อง หากว่าศิษย์ไม่ทำ ใครจะฝืนใจได้ ศิษย์ไม่กินข้าวยกข้าวมาให้ตรงหน้า ไม่กินก็คือไม่กิน ใช่หรือไม่ (ใช่) เอาธรรมะมาให้ถึงในโลก เคาะประตูถึงหน้าบ้าน ไม่บำเพ็ญก็คือไม่บำเพ็ญ แล้วใครจะช่วยตัวเราได้ อาจารย์ถึงบอกว่าอย่าตาพร่า อย่าหูฝาด ฟังให้ดีๆ ดูให้ดีๆ คิดให้ดีๆ ว่าชาตินี้จะพ้นได้ไหม ขอชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายทำได้ไหม สัจธรรมมากมายศึกษาให้เข้าใจ ให้พ้นจากคำว่างมงายขึ้นมา อย่ามัวแต่ยึดติดกับรูปลักษณ์ภายนอก อย่ามัวเห็นดีเห็นงามกับชื่อเสียงจอมปลอม โลกนี้จะเป็นเช่นไร จะเป็นอย่างไรต่อไป เป็นความลับของฟ้าดิน ไม่จำเป็นที่ศิษย์ต้องใส่ใจ ขอให้ทุกลมหายใจที่ศิษย์มีอยู่ บำเพ็ญธรรมจริง รู้จริงทำจริง ทุกสิ่งทุกอย่างเตรียมให้ตัวเราขึ้นไปสู่พุทธภูมิได้ ถ้าหากว่าเราบำเพ็ญจริง เราเป็นคนที่มีคุณค่าในสายตาของฟ้าดิน ต่อให้อยู่กลางภัยที่หนักที่สุด ก็ยังต้องช่วยให้รอด หากว่าศิษย์เป็นคนที่ไร้ค่าที่สุดในการมีชีวิต เจ้ากรรมนายเวรรุมทึ้งตลอดเวลา ต่อให้ศิษย์อยู่ในที่ๆ ปลอดภัยที่สุดก็ไม่อาจพ้นอันตรายได้ เพราะฉะนั้นอาจารย์ขอให้ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนบำเพ็ญลงแรงที่ใจ อยู่ร่วมกันอภัยกันจะได้มีความสุขทุกเวลา ทุกนาที พิจารณาดูว่าเราจะทำอะไรต่อไป อาจารย์รู้ว่าศิษย์ของอาจารย์ทุกคนรู้ว่าควรจะทำอะไร เพียงแต่ไม่อยากทำ กลัวเหนื่อย กลัวลำบาก ฝืนจิตใจของตัวเองไม่ได้ แต่หวังว่าในเร็ววันนี้จะทำได้ เมื่ออาจารย์จากไปแล้วจะคิดถึงอาจารย์ไหม (คิดถึง) อาจารย์จะขอให้ศิษย์นั้นมาสถานธรรมบ่อยๆ ศึกษาธรรมะให้มากๆ ทำได้ไหม (ได้) บำเพ็ญธรรมได้ไหม มาบำเพ็ญธรรมนะ หัวหน้าชั้นบำเพ็ญธรรมได้ไหม (ได้ครับ) กำลังใจอาจารย์มีให้เสมอ มาจากที่ไกลๆ มาเจอหน้าอาจารย์ก็ถือว่าทำดีแล้ว กลับไปมีอะไรที่ยังต้องแก้ไข ก็แก้ไขให้มากๆ อาจารย์มาพาศิษย์กลับเบื้องบน ศิษย์ก็ต้องเดินตามอาจารย์มาเข้าใจไหม เป็นศิษย์ที่ดีของอาจารย์ทุกคนหรือเปล่า รู้ว่าไม่ดีก็เกือบจะดีแล้วใช่หรือเปล่า อยู่ในยุคนี้มารก็เข้าหามาร พุทธะเข้าหาพุทธะ ศิษย์ของอาจารย์จะเลือกเป็นพุทธะหรือมารอยู่ที่ใจเจ้าเอง ถึงแม้วันนี้เป็นศิษย์อาจารย์วันหน้าสมัครใจไปหามาร อาจารย์ก็ช่วยอะไรไม่ได้ อย่าเปลี่ยนใจไปจากอาจารย์ ใครมีความไม่ดีอะไรก็ขอให้แก้ไขใครที่หมดกำลังใจ ท้อแท้ใจกับเพื่อนผู้ร่วมบำเพ็ญก็ขอให้เอาอาจารย์เป็นกำลังใจ อาจารย์อยู่กับศิษย์ตลอดไป เป็นคนไม่ใช่ง่ายอาจารย์รู้ จะสร้างบุญกุศลก็ขอให้ ปักรากปลูกต้นไม้นะ ใครๆ ก็ต้องการกำลังใจทั้งนั้นใช่ไหม คนทุกคนก็ต้องการกำลังใจ เวลาอาจารย์ไม่อยู่ก็ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
ลาก่อนนะ วันหน้าเจอกันใหม่ ขอให้ศิษย์ของอาจารย์อยู่กับพุทธะ อยู่กับอาจารย์ อย่าลืมนะ อย่าลืมนะ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา