วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2543

2543-12-16 สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี


PDF 2543-12-16-เจิ้งซิน #24.pdf


วันเสาร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ผลแห่งกรรมเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้นอย่าฉงน
ในบัดนี้ต้องมารู้จักตัวตน บำเพ็ญพ้นเกิดตายสู่นิรพาน
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์   เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
ขอทุกท่านจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา  ฮวา
หนึ่งชีวิตเกิดมาอย่าค่าไร้ เกิดเป็นคนใช่ง่ายดายอย่างที่คิด
อย่าปล่อยผ่านไปวันวันไม่ลิขิต จะทำผิดทำถูกต้องพิจารณา
เมื่อมีบุญกราบรับธรรมต้องรักษา ฟังธรรมาใช่ฟังแค่ผ่านหู
ขอให้มีปัญญามาเคียงคู่ ขอให้เป็นนักต่อสู้ต่อชะตา
กรรมลิขิตอดีตอนาคต แต่บำเพ็ญกำหนดทางคืนฟ้า
ต่างมีสิทธิ์อย่าตัดสิทธิ์ตนเลยนา ใช้ความกล้าที่ตนไม่เคยมี
บุญไม่ทำกรรมไม่สร้างอยู่กลางกลาง ท่านเลยต่างมีสุขทุกข์ที่เลือกได้
ขยันหน่อยจะสบายพ้นยากไป ขี้เกียจไประทมจนอย่างเป็นอยู่
จงรู้ว่านำชีวิตตนเองสูง จิตใจอย่าปรุงแต่งให้วนหลง
สุรานารีเป็นตัวร้ายที่ฉุดลง เดินทางตรงต้องช่วยตนก่อนช่วยคน 
ความอิ่มบุญยากพบในใจคนโลภ นกบินโฉบคิดแต่จะเข่นฆ่า
เกิดในโลกจิตพ้นโลกเหนือมายา จิตเมตตาต้องปลูกฝังให้กับตน
สองวันนี้โอกาสดีมาเริ่มต้น สร้างชีวิตให้กับตนนะน้องเอ๋ย
เปลี่ยนแปรตนคนเก่าที่ละเลย เอาจริงกับการเดินเอยเดินทางธรรม
ฟังไปแล้วต้องนำกลับไปปฏิบัติ ต้องจำกัดตนเองอย่าทำเล่น
ธรรมศักดิ์สิทธิ์เพราะจิตใจไม่อ่อนเอน มีกฎเกณฑ์มางัดกับนิสัยตน
อย่าไปหลงสิ่งเพลินตาอีกเพลินใจ คนแก้ไขทุกวันย่อมดีขึ้น
สัจธรรมนำชีวิตไม่เมามึน ขอให้ขึ้นสวรรค์เถิดน้องเมธี
เรื่องวันนี้ต้องทำเสร็จในวันนี้ อย่าให้มีนิสัยดินพอกหางหมู
ขอให้คุมจิตใจตนให้คงอยู่ ตนเองคงดูตนเองชัดที่สุด
จงหลีกเลี่ยงการทำผิดอีกทำบาป ธรรมมาปราบคนที่ไม่รู้ตื่น
ความศรัทธาไม่ทำให้ใครกล้ำกลืน คนรู้ตื่นย่อมเป็นกำลังให้เบื้องบน
สองวันนี้จงตั้งใจมาให้ครบ และเคารพพุทธระเบียบในสถาน
อย่าดูถูกตนเองต่างมีญาณ จิตชื่นบานฟังธรรมะให้จริงใจ
กลับตัวอีกกลับใจเถิดน้องท่าน น่าสงสารถ้าเวียนว่ายหลังชาตินี้
เพราะว่าต่างได้ชื่อเป็นคนดี และต่างมีบุญมาเกิดประเทศธรรม
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ศิษย์พี่ได้รับบัญชามาคุมชั้น
หวังว่าน้องอยู่ครบทั้งสองวัน ฟังธรรมกันไม่ผ่านหูไปเฉยเฉย
เวลาว่างกลับมาสถานธรรม ให้ละกรรมเป็นส่วนหนึ่งของเรือนี้
จงมุ่งมั่นอย่างที่ไม่เคยมี หนึ่งชีวีจงใช้ไปเพื่อเวไนย
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
ฮวา  ฮวา  หยุด 


วันเสาร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวเซียนถง

กอบกำสำเร็จอยู่ในมือ จะต้องถือเสียสละเป็นสรณะ
บำเพ็ญกายเป็นดั่งผู้มีใจพุทธะ และลดละกิเลสจึงสงบสุขจริง
เราคือ
เสียวเสี่ยวเซียนถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเจิ้งซิน    แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามพุทธะน้อยๆ ทุกท่านฟังธรรมะเข้าใจบ้างไหม
กล้าพูดแย้งนอบน้อมไม่เพิ่มปัญหา เมื่อขัดกันต้องพิจารณาอย่าไปเพ่ง
ทะเลาะเพราะผลประโยชน์มาขัดกันเอง จิตเครียดเคร่งถูกอารมณ์นำผิดทาง
เศร้าโดดเดี่ยวปล่อยใจจะยิ่งสับสน ฟุ้งซ่านเพราะเป็นคนที่คิดมากอย่าง
อภัยไม่แค้นเก่งย่อมช่วยได้บ้าง โชคอาจเยือนได้กลางคนจิตดี
ยืนเขย่งเพราะนานไม่อาจยืนแกร่ง โลกธรรมแปดใครแจ้งปลงโลกนี้
หลงชอบอวดเก่งเข้าทางใครมี เหนือฟ้าย่อมจะมีฟ้าเสมอมา
ใครเตือนกล้ามาบอกขอบคุณไว้ อุทิศตนสิ่งของไม่ไปยึดคว้า
ยามใดแม้เป็นเราเจ้าของนา อย่าได้ให้ตาบอดมามอมเมาใจ
ยินตลอดคนตายจึงจะไม่สู้ หน้าผาริมยืนอยู่น่าเสียวไส้
ก้าวร่วงหล่นหันกลับมาปลอดภัย คิดไกลใกล้อยู่เพื่ออะไรหนอคน
อย่าบำเพ็ญดั่งมีใจที่อ่อนล้า สิ่งได้มาไม้ผุที่อุ้มฝน
ให้ทางนำเท้าย่อมเดินเวียนวน ชีวิตตนรู้จักตนให้ฝึกตนเดิน 
ดวงตาสว่างคืนมากลางเสียงธรรม เสรีนำดั่งนกกลางหาวร่อนเหิน
เมื่อบำเพ็ญต้องใช้ธรรมออกลงเดิน อย่ามัวเพลินโลกจนกระทั่งลืมบำเพ็ญ
ฮิ  ฮิ  หยุด


พระโอวาทท่านเสียวเสี่ยวเซียนถง

ชีวิตนี้จริงๆ แล้วมีความสุขหรือไม่ (มี)  แล้วมีความสุขแบบไหน (สุขใจ)  ชีวิตนี้มีความสุขง่าย แต่บางคนก็ไม่สุขง่ายๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะอยู่ในโลกนี้บางทีก็เรียกว่าสุขง่ายๆ บางทีก็ไม่ได้ยาก ไม่ได้ง่ายเลย  บางครั้งเราบอกความสุขของเราก็คือทำอะไรก็ได้ตามใจใช่ไหม  ตามใจชนิดที่แบบห้ามมีคนขัด ถ้าขัดเมื่อไรไม่มีความสุขเหมือนมีคนมาตีกรอบ มีคนมาชี้นิ้วใช้ มีคนมาบังคับให้นั่งฟังไม่สุขใช่ไหม (ใช่)  ความสุขใครๆ ก็อยากเรียกร้องให้อยู่กับตัวเอง  ถ้าหากว่านั่งตรงนี้มีความสุข ท่านก็ต้องเรียกร้องให้ตัวเองมานั่งตรงนี้บ่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ความสุขก็เหมือนเราชอบกลิ่นหอม เราชอบกลิ่นหอมเราก็ต้องไปใกล้กลิ่นที่หอมๆ  สมมติว่ากลิ่นหอมคือความสุข ท่านบอกว่าท่านชอบความสุขและสิ่งใดที่ทำให้ท่านสุข ท่านก็จะไป  หากความสุขเหมือนกลิ่นหอม สิ่งใดหอมท่านก็จะไปหาใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเราบอกว่าความทุกข์คือกลิ่นเหม็น สิ่งใดที่เหม็นท่านก็จะไม่ไปหาใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราจึงบอกว่ากลิ่นหอมกับกลิ่นเหม็นเหมือนความสุขกับความทุกข์ของมนุษย์ ดูง่ายๆ เหมือนใบไม้ใบหนึ่งถ้าเอาไปห่อหุ้มขวดน้ำหอมห่อนานเข้า วันแรกวางออกจากหัวน้ำหอมก็ไม่มีกลิ่นแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าห่อไว้สักเดือนหนึ่งหรือปีหนึ่ง จะติดนานไหม (นาน)  แม้จะห่างขวดไปก็ยังหอมอยู่ แต่ถ้ากลิ่นเหม็นห่อวันเดียวเป็นอย่างไร (เหม็น)  เหม็นแบบห่างจมูกแล้วจมูกเราก็ยังติดกลิ่นเหม็นอยู่ และเดินไปไหนก็ยังรู้สึกว่ากลิ่นเหม็นยังติดจมูกอยู่ใช่ไหม (ใช่)  ความทุกข์ความสุขก็เหมือนกัน เราอยากจะหาความทุกข์ความสุขมาใกล้ตัวก็ง่ายๆ เหมือนเราอยู่ใกล้กลิ่นหอมกลิ่นเหม็น  ถ้าเราอยากหาความสุขมาใส่ตัว เราก็ต้องหมั่นชิดใกล้สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขใช่หรือไม่  ถ้าเราไม่อยากให้ความทุกข์มาใส่ตัว เราก็ต้องห่างไกลความทุกข์แค่นี้เองใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อสักครู่เราบอกว่าบางครั้งแม้เราจะไม่ได้ดมสิ่งที่เหม็น ไม่ได้ดมสิ่งที่หอมแล้วแต่ใจเรา จมูกเรายังติดกลิ่นอยู่จริงไหม (จริง)  ถ้าวันนี้จบจากเราพูดไปแล้วท่านลองไปดมอะไรก็ได้ที่เหม็นที่สุดเสื้อท่านก็ได้  พอท่านดมทีหนึ่งแล้วท่านก็วางเสื้อไว้ เดินไปไหนก็ได้จมูกท่านก็ยังได้กลิ่นอยู่จริงไหม (จริง)  แล้วยิ่งถ้าใจท่านรู้สึกว่าเกลียดสิ่งนี้มากๆ เดินไปไหนท่านก็รู้สึกว่าเหม็นจริงๆ  แต่มีสิ่งหนึ่งที่คอยควบคุมเราให้สามารถค้นหาความสุขความทุกข์ได้เหนือสภาวะแวดล้อมนั่นคือ ใจดวงนี้ของเรา ที่จะกำหนดให้เราสุขสั้นๆ หรือสุขยาวๆ สุขโดยที่แม้สภาวะแวดล้อมไม่สุข ทุกข์ได้ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่น่าจะทุกข์ใช่ไหม (ใช่)  หลายต่อหลายคนบอกว่าเราจะสุขได้ต้องมีกลิ่นหอม ต้องมีสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่ใจเราอยากเป็น สภาวะแวดล้อมที่ดี ไม่แน่เสมอไป เพราะสิ่งนั้นไม่ได้สำคัญอยู่ที่สภาวะแวดล้อม  แต่จริงๆ แล้วอยู่ที่ใจเราต่างหาก  หลายต่อหลายคนมักจะพูดว่าใบตองห่อยาเส้นก็จะหอมกลิ่นยาเส้น เชือกร้อยปลาร้อยสัตว์ที่ตายแล้วก็จะมีกลิ่นคาวสัตว์ที่ตายแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  ตัวมนุษย์เราก็เฉกเช่นเดียวกันอยากมีสภาวะจิตใจ อยากมีความประพฤติดีหรือประพฤติชั่ว ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกสภาวะแวดล้อมเช่นไรให้กับตัวเอง ท่านอาจจะพูดว่าเราเกิดเป็นคน เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่อย่าลืมว่าเราเลือกที่จะเป็นเช่นไรได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากบอกว่าเราอยู่บนโลกนี้มีแต่คนไม่ดี ชอบนินทา ชอบทำร้ายเบียดเบียน เขาเป็นอย่างนั้นแล้วเราต้องเป็นตามเขาไหม  อยากเป็นใบไม้ห่อยาเส้นก็หอมกลิ่นยาเส้น ใบไม้ห่อปลาร้าก็มีกลิ่นปลาร้า อย่างนี้ก็เป็นคนที่คบไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยู่กับใครก็เป็นอย่างนั้น อยู่กับอีกคนหนึ่งก็เป็นอีกคนหนึ่ง อย่างนี้เรียกว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่รู้จักตนเองจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นอย่ามาพูดว่าทำดี ทำไม่ได้หรอก เพราะว่าสังคมยังเลวร้าย เช่นนี้ท่านก็เอาความเลวร้ายไปฝากไว้กับคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า “คนดีจะพูดว่าทำดีง่าย  คนชั่วจะพูดว่าทำดียาก”  และมีคำกล่าวต่อไปอีกว่า “ท่านที่ชอบสรรค์สร้างสิ่งที่ดีย่อมมีความสุข ผู้ที่เอาแต่สั่งสมความชั่วร้ายย่อมมีความทุกข์”  ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ยากเลยถ้าคิดจะทำความดีหากคิดอย่างนี้อยู่เสมอ ถ้าเราพูดว่าทำดียากเราก็กลายเป็นคนชั่วใช่หรือไม่  ถ้าเราเป็นคนที่เอาแต่ทำความชั่วเราก็กลายเป็นคนที่ต้องทุกข์ แล้วอย่างนี้อยากที่จะดมกลิ่นเหม็นไปตลอดชีวิตเลยหรือ  ถ้าเราบอกว่าคนที่ทำชั่วเหมือนคนที่นั่งอยู่หน้าห้องส้วมท่านอยากทำไหม (ไม่อยาก)  คนที่เป็นคนชั่วเหมือนคนที่ทำส้วมแตก ส้วมแตกไปอยู่ที่ไหนก็เหม็น แต่คนทำดีเหมือนทุ่งดอกไม้บาน ไปอยู่ที่ไหนก็หอม หอมทั้งทวนลมและตามลมใช่หรือไม่ (ใช่)  ดอกไม้หอมได้แค่ตามลม แต่คนทำดีหอมทั้งทวนลม และตามลม ฉะนั้นมาทำดีกันเถอะ
เด็กคุยกับผู้ใหญ่จะอยู่ได้นาน เพราะผู้ใหญ่มองเด็กก็เห็นว่าน่ารัก น่าเอ็นดู แต่เวลามองผู้ใหญ่ด้วยกัน ช่างขี้บ่น เอาแต่ใจใช่ไหม  แต่เด็กอยู่กับเด็กก็ต้องอยู่ได้นานเพราะสนุกสนานด้วยกันใช่หรือไม่ (ใช่)  จิตใจเด็กเท่านั้นที่จะอยู่กับทุกๆ วัยได้อย่างเป็นสุขจริงหรือเปล่า (จริง)
เกิดมาเป็นคนอยู่บนโลกอะไรๆ ก็เพื่อตัวเอง  อันนี้ขอให้ฉันเองได้ไหม เกิดเป็นคนเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก เราต้องอยู่กับคนหมู่มาก  ถ้าหากว่ามีชีวิตอยู่แล้วเราเห็นแก่ตัว นึกถึงแต่ตัวเองก็เป็นคนที่น่ารังเกียจของสังคมไม่น้อยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าพูดออกมาคำหนึ่งก็ต้องเพื่อฉัน เธอพูดไม่เห็นถูกใจฉัน เปลี่ยนใหม่เธอพูดไม่เพราะ พูดให้เพราะๆ อย่างนี้รำคาญไหม (รำคาญ)  ฉะนั้นเราต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า เราอยู่ในสังคมหมู่มากจะบังคับให้ทุกคนเป็นเส้นตรง ไม่คดได้ไหม  ห้ามพูดหยาบคาย ต้องมีน้ำใจ ทุกคนห้ามแล้งน้ำใจกับเรา ต้องซื่อสัตย์ห้ามคดโกงได้ไหม (ไม่ได้)  เราบังคับเขาด้วยปากไม่ได้ เราบังคับให้เขากระทำตามที่เราต้องการก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าบังคับสิ่งที่พูดเพื่อตัวเองอย่างเดียว ไม่มีใครที่ทำตามท่านเด็ดขาด  ฉะนั้นไม่ว่าจะเรียกร้องสิ่งใดจากผู้อื่น จงพินิจพิจารณาให้ถ่องแท้ก่อนว่าเพื่อเขาหรือเพื่อเรา คิดถึงตัวเองหรือว่าคิดถึงเขา  ถ้าคิดถึงแต่ตัวเอง แม้ท่านจะเรียกร้องเป็นสิบเป็นร้อยครั้งเขาก็ไม่ทำตาม ไม่เปลี่ยนแปลงจริงหรือไม่ (จริง)  กิเลสเป็นตัวร้ายที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถค้นพบความเป็นพุทธะ กิเลสเป็นตัวร้ายที่ทำให้มนุษย์สามารถทิ้งความดีแล้วมากระทำความชั่วร้าย และกิเลสเป็นตัวร้ายที่ใครมีแล้วย่อมยากที่จะเป็นคนดีจริงไหม (จริง)  อย่าให้นั่งแล้วเสียเปล่า อย่าให้เสียงผ่านหูแล้วก็หลับ  ศึกษาธรรมะมีแค่สองวันตั้งใจศึกษาให้มากๆ  อย่าเหนื่อยอ่อนล้าจิตใจ
ในตัวของมนุษย์ทุกๆ คนนั้นมีความเหมือนมีความต่างกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราจะมองให้เหมือนก็มีส่วนที่เหมือน ถ้าเราจะมองให้ต่างก็มีส่วนที่ต่าง  แต่มนุษย์เราปัญหาไม่ได้อยู่ที่เหมือนที่ต่าง แต่อยู่ที่ใจของท่าน ทำไมเราจึงบอกว่าอยู่ที่ใจ  คนทุกคนใช่มีความเหมือนต้องมองให้ออก คนทุกคนมีความต่าง อะไรคือความต่าง  เมื่อรู้ความเหมือนความต่างและเกี่ยวอะไรกับใจ คนทุกคนอยู่รอบตัวเรา บางครั้งเราเห็นความต่างมากเกินไปอย่างเช่นใจท่านชอบเขา ใจท่านเกลียดเขา ในใจเรากำหนดไว้ว่า สิ่งที่ท่านชอบต้องเป็นผอมสูงขาว  เมื่อชอบก็อยากอยู่ใกล้ มองอะไรก็ดูดี เห็นอะไรก็ชอบไปหมด  แต่ถ้าเกลียดก็ไม่อยากมองไม่อยากอยู่ใกล้ แล้วก็เป็นทุกข์ ถ้าหากว่าเขามาอยู่ในรัศมี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความเหมือนและความต่างจึงเริ่มมีปัญหาและทำให้เกิดทุกข์สุข หลายต่อหลายคนมีคำ  “ชอบ”  มีคำว่า “เกลียด”  ก็เริ่มแบ่งแยกสิ่งที่เหมือนกับต่าง ไม่ยอมมองตรงที่ต่างให้เหมือนๆ กัน อย่างเช่นท่านบอกว่า พอคนไหนที่ท่านเกลียด คนที่ท่านเกลียดคือคนที่ดำ อ้วนตุ๊ต๊ะ ท่านเกลียด  แต่แท้ที่จริงแล้วเขาเป็นคนเหมือนคนขาวผอมไหม (เหมือน)  แต่เพราะอะไรท่านถึงเกลียด เพราะใจที่ชอบกับไม่ชอบใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเพราะอะไรใจถึงชอบกับไม่ชอบ นั่นก็คือใจเรายึดมั่น พอรักเรายึดมั่น พอไม่ได้ดั่งรักเราก็เสียใจ  พอเกลียดเรายึดมั่นแล้วเกลียด ไม่ไปดังที่ใจเราต้องการเราก็เสียใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงบอกว่ามนุษย์รู้จักแบ่งแยก ความเหมือน ความต่างเป็นสิ่งที่ดี  แต่บางครั้งหากความเหมือนความต่าง ทำให้เกิดทุกข์ ทำให้เกิดสุข ที่ยึดมั่นจนเกินไป ก็จงมองความต่างให้เป็นเช่นความเหมือนแล้วเราจะไม่ทุกข์ จริงไหม (จริง)  มองคนดำให้เป็นคนขาวแล้วเราจะรักเขาได้เหมือนคนขาวที่เป็นคนขาว มองคนอ้วนเป็นคนผอมแล้วเราจะรักเขาได้เหมือนคนผอม นี่ก็คือการรู้จักปรับเปลี่ยนสภาพจิตใจ แม้สิ่งแวดล้อมจะไม่เป็นดังใจเราหวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือพูดง่ายๆ ก็คือ มองสิ่งต่างให้เหมือนกับสิ่งที่เหมือน  มองสิ่งเหมือนให้รู้จักแตกต่าง ไม่ว่าต่างไม่ว่าเหมือนก็คือ สิ่งเดียวกันเข้าใจหรือเปล่า ท่าทางจะยังงงกันอยู่
พูดง่ายๆ นาย ก. นาย ข. นาย ง. ก็คือคน  แต่คนหนึ่งชื่อนาย ก. คนยาว นาย ข. คนอ้วน นาย ง. คนสั้น  ถ้าเรามองแบ่งแยกก็ต้องเป็นคนผอม คนอ้วน คนสั้น  แต่แท้จริงแล้วก็คือคนเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายต่อหลายคนมักจะพูดว่าชอบคนต้องเป็นแบบนี้ ต้องดีอย่างนี้ ต้องเหมือนอย่างนี้และต้องมีความสุขเหมือนความสุขที่กำหนดว่าต้องได้แบบนี้  แต่พอได้เป็นแอปเปิ้ลลูกเดียวเราก็ทุกข์ใจ ต้องให้ได้แอปเปิ้ลสองลูก ต้องแอปเปิ้ลสองลูกเท่านั้นถึงจะมีความสุข  แต่บางครั้งชะตาชีวิตได้แค่ลูกเดียว ก็จงสุขในลูกเดียว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องรู้จักปรับเปลี่ยนสภาพจิตใจให้เป็นด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือรู้จักยอมรับตามแต่ที่เป็น ทุกๆ สิ่งในโลกนี้มีเหตุมาและก็มีเหตุไป  หากเราเอาแต่กำหนดใจให้ตายตัว จะเป็นคนที่ทุกข์ง่าย สุขยากจริงหรือเปล่า (จริง)  เราจะยกตัวอย่างอะไรที่ง่ายๆ อีก เวลาที่ท่านเดินไปสวนสัตว์เห็นนกบิน ท่านเดินไปได้อย่างสบาย  แต่ถ้าเห็นเสือเดินเพ่นพ่านท่านเดินแบบรีบๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรที่ต่าง เสือกับนกต่าง หรือว่าใจที่ต่าง (ใจต่าง)  ใจที่สัมผัสกับสภาวะแวดล้อมต่าง นกกับเสือก็คือสัตว์  ถ้าท่านคิดว่าเสือก็คือสัตว์ นกก็คือสัตว์ ท่านจะเดินอย่างไม่รู้สึกแตกต่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
หลายต่อหลายคนที่ไม่กล้าเข้ามาในห้องพระ เพราะบอกว่าอยู่ในห้องพระกับอยู่ในแดนโลกต่างกัน และอะไรที่ต่าง  ใจต่าง สถานที่ใช่ต่าง แต่อารมณ์ความรู้สึกผูกพันธ์และสิ่งที่เราตระหนักพึงรู้ในใจเราต่างด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมหลายต่อหลายคนไม่อยากมาอยู่ในห้องพระ ไม่กล้ามาเดินเหยียบ เพราะรู้สึกว่าใจเราไม่สะอาด ห้องพระคือที่สะอาด บริสุทธิ์ ต้องสงบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แดนโลกีย์จะดีจะชั่วอยู่ไปเถอะ แล้วทำไมเราไม่ชอบสิ่งที่สะอาด เรากลับชอบสิ่งที่สกปรก ท่านก็รู้อยู่แก่ใจ จริงไหม (จริง)  แล้วท่านก็รู้ว่าท่านละอายใจ นั่นก็หมายความว่า ความต่างในนั้นก็มีสิ่งที่มีประโยชน์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่นก็คือในโลกนี้ไม่ว่าจะเหมือน ไม่ว่าจะต่างจงรู้จักใช้ปัญญาขบคิด และนำสิ่งที่เหมือนมานำพาให้ถูกทาง อย่านำทางให้จิตใจหม่นหมองและจมปลัก ไม่รู้จักทางสว่างเช่นนี้จะเรียกว่า รู้ต่าง รู้เหมือน แล้วไม่มีประโยชน์ จริงไหม (จริง)  หลายต่อหลายคนเวลาทำงานอยู่ร่วมกันมองเขาเหมือนๆ กัน สบายใจไหม  แต่เวลาทำงานร่วมกันมองเขาเหมือนๆ กันได้ไหม (ไม่ได้) จะไม่สามารถช่วงใช้เขาได้เหมาะสมกับงาน  ถ้าเรามองเขาทำงานเก่งหมดทุกอย่าง จริงๆ แล้วไม่ถูก เราต้องรู้จักในหนึ่งเหมือนเราต้องรู้จักความต่าง ใช่ไหม (ใช่)  คนนี้ขยันชอบล้างจาน คนนี้ชอบนั่งเฉยๆ ทำงานจดๆ เขียนๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือเอาความต่างมาช่วงใช้ให้มีประโยชน์ เราจึงจะสามารถนำเขา ดึงความสามารถเขาได้ถูกทาง  แต่มีอันหนึ่งต้องมองความต่างให้เป็นความเหมือน นั่นก็คือเวลาอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่บอกคนนี้ขี้บ่น พูดมาก ชอบนินทา ท่านจะอยู่กับเขาอย่างมีความสุขไหม (ไม่มี)  เพราะในใจท่านมีแต่สิ่งต่างที่เป็นรอยด่างพร้อย อยู่กับเขาก็อย่างทุกข์ใจ  ฉะนั้นเมื่อเราเห็นความต่าง ต้องเปลี่ยนความต่างให้เป็นความเหมือน เขาก็เหมือนกันหมด  มีดีมีร้าย มีเสียมีดี ใช่หรือไม่  เหมือนตัวเรามีดีมีร้าย มีเสียมีดีเหมือนกัน  แล้วเราจะคุยกับเขาได้อย่างเป็นสุขและอยู่กับเขาได้อย่างสบายใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ปัจจุบันนี้เรามักอยู่กับคน อยู่กับแฟนเรา พี่น้อง เพื่อน อยู่กันแล้วคุยกันได้อย่างไม่จริงใจ ไม่สามารถเข้าใจกันได้  เพราะเรามีความต่างของเรา  เขามีความต่างของเขา  เรามีความเป็นตัวของตัวเรา  เขามีความเป็นตัวของตัวเขาและก็มีความเป็นตัวของเขาอยู่ในใจเรา ทำให้เราคุยกับเขาเหมือนมีกำแพงบางๆ มากั้นไว้  คุยกันรู้เรื่องไหม (ไม่รู้เรื่อง)  ภาษาเดียวกันแต่ไม่รู้เรื่อง  ในใจเราก็คิดว่าคนนี้นิสัยไม่ดี ทำให้เราไม่สามารถยืนในตำแหน่งเขาและเข้าใจจิตใจเขาได้  ทำให้เขาไม่สามารถยืนในตำแหน่งเราและเข้าใจจิตใจเราได้  บางครั้งเราอยู่ด้วยกันหลายๆ คน ความรู้สึกต่อคนย่อมต่างกัน  ต่อคนที่มีอำนาจท่านจะรู้สึก (เกรงกลัว)  กับผู้ใหญ่จะรู้สึกเกรงใจ  กับเด็กจะมีความรู้สึกเอ็นดู รัก ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราบอกว่าถ้าอยู่ในโลกให้ล้างความรู้สึกนั้นทิ้งบ้าง  เพราะความรู้สึกนั้นจะทำให้ท่านไม่สามารถพูดอะไรตรงไปตรงมา ไม่สามารถแสดงออกได้อย่างจริงใจ เป็นไหม (เป็น)  เวลาเราอยู่กับคนที่มีอำนาจ เวลาจะพูดต้องค่ะ ครับ  จะผิดจะถูกอย่างไรก็ได้  แต่ในใจก็แย้งว่าหัวหน้าพูดอย่างนี้ไม่ถูกนี่ จริงไหม (จริง)  เป็นเพราะว่าในใจของเรารู้สึกเช่นนั้น จึงทำให้เราไม่สามารถเป็นคนที่จริงใจ และพูดอะไรได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง หรือพูดอะไรได้อย่างตรงไปตรงมา  กลอนนำเราจึงบอกไว้ว่า บางครั้งถ้าสิ่งใดที่เราได้ยิน ไม่แน่ใจ รู้สึกว่าไม่ใช่ เรารู้มาว่าไม่จริง การที่จะพูดแย้งต้องใช้เวลา ใช้ความนอบน้อม  จะพูดแย้งกับหัวหน้าว่า คุณพูดไม่ถูก  อย่างนี้ถูกไหม (ไม่ถูก)  ต้องรอให้หัวหน้าพูดให้จบก่อน  เราค่อยอธิบาย  เฉกเช่นเดียวกับพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่เข้าใจเราผิด เห็นว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เราตั้งใจจะเป็น แต่ตอนนั้นพ่อแม่กำลังพูดอยู่ เราจะไปทำเป็นจระเข้ขวางคลอง  ท่านจะฟังเราไหม (ไม่ฟัง)  เราต้องใช้ท่าทีนอบน้อมค่อยๆ พูด จึงจะไม่เกิดปัญหา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฟังเราพูดง่ายๆ ไม่ยาก เข้าใจได้และนำไปใช้ในชีวิต สามารถจะเป็นคนที่พูดได้อย่างถูกต้อง กระทำได้อย่างดีงาม ไม่เกิดความผิดพลาดในชีวิตบ่อยๆ  เพราะสิ่งที่ผิดพลาดในชีวิตนำมาซึ่งความ (ถูก)  ใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนแบมือออกมา)  คนข้างๆ แบมือข้างซ้าย  ตัวท่านเองแบมือข้างขวา  ตบมือตนเอง  ตบมือเขาเป็นอย่างไร  กลัวจะโดนตีกลับใช่ไหม เพราะเรามีความกลัวอยู่ด้วยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เรามีความกลัวว่าเราจะทำอะไรก็ตาม หากเราไปโดนคนอื่น เรากลัวที่จะโดนกลับ  ถ้าหากทุกขณะที่เรามีชีวิตอยู่ เราคิดเช่นนี้ เราไม่มีทางไปเบียดเบียนทำร้ายใคร จริงหรือไม่ (จริง)  แต่โดยปกติแล้วเรานึกจะตีก็ตี นึกจะไปก็ไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครบ้างที่บอกว่า ตีเขาซิ หันไปมองก่อน ไม่มี  แปลว่าเวลาเราจะทำอะไรก็ตาม บางครั้งหากมีสติเราจะยังมองตนเองอยู่บ้างว่า เบานิดหนึ่ง พอตีเขาก็ตีลงไปเลย ไม่รู้ว่าเขาจะเจ็บไหม  ไม่รู้ว่าจะไปโดนสิ่งใดของเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่ออยู่ด้วยกัน เราต้องระมัดระวังสักนิดหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องที่ชอบขัดแย้งกัน ต้องระวังให้หนัก อย่าใช้แต่อารมณ์ ไม่เช่นนั้นอารมณ์จะพาท่านไปไม่ถูกทาง
ใครชอบโมโหยกมือขึ้น ใครเกลียดโมโหยกมือขึ้น ใครมีโมโหยกมือขึ้น  ท่านจงแยกภาษาไทยให้ออก ชอบโมโหแปลว่าชอบมาก  มีโมโหแปลว่าตัวเองนั้นมีโมโห ไม่มีใครชอบโมโห แต่ตัวเองมักจะมีโมโห จงทำให้ดี คนเราเวลาโมโหจงนึกถึงสองอย่าง หากโมโหแล้วพรุ่งนี้ต้องเสียใจ อย่าโมโห  หากโมโหแล้วต้องร้องไห้เสียใจ อย่าโมโห  ถ้านึกสองอย่างนี้ได้จะไม่โมโหอีกเลย ดีไหม (ดี)  แต่ทุกครั้งที่โมโหต้องคิดก่อนนะ โมโหแล้วท่านต้องเสียใจ อย่าโมโห ถ้าพรุ่งนี้มานั่งคิดมากอีก อย่าโมโห แล้วเช่นนี้จะโมโหไหม (ไม่โมโห)  ใช่แล้วจำไว้นะ
“โชคอาจเยือนได้กลางคนจิตดี”  คนชอบมีโชคลาภ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีโชคเป็นเงินก้อนโตกับมีโชคเป็นเพื่อนอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุข อันไหนดีกว่ากัน  ใครว่าอันเดียวหรือสองอัน คนที่เลือกอันเดียวเลือกอย่างไหน (เงินก้อนโต)  ถึงว่าไม่ยอมมาบำเพ็ญกันเลย เพราะว่าห่วงเงินก้อนโต ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนวันนี้ ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบอกว่า สี่ ห้า หก เจ็ด คือเลขท้าย คงมีใจมาประชุมธรรมอีก  พอมาหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ๆ บอกว่าขอเงินสักสิบบาทไม่มาอีกเลย ใช่ไหม  ชีวิตนี้ท่านอย่าเห็นเงินเป็นใหญ่ เพราะว่าเงินไม่สามารถช่วยชีวิตท่านได้ตลอดชีวิต จริงหรือไม่ (จริง)  เราถามท่านว่า เวลาท่านทุกข์ ท่านมีเงินร้อยบาทช่วยให้ท่านหายทุกข์ไหม ลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัลช่วยให้ท่านหายทุกข์ไหม  สมมติว่าท่านเป็นโรคร้าย มีลอตเตอรี่ใบหนึ่งคิดว่าถูกรางวัล ช่วยให้ท่านหายทุกข์ไหม (ช่วย)  ตอนแรกช่วย แต่พอรู้ว่าโรคนี้รักษาไม่หาย มีเงินก็ช่วยไม่ได้ และสิ่งที่ช่วยท่านได้คือ การรู้จักปลงและยอมรับความเป็นจริงด้วยจิตใจที่กล้าหาญและต่อสู้กับโรคร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  การรู้จักปลงและจิตใจกล้าหาญต่อสู้กับโรคร้าย คือการรู้จักนำธรรมะมาใช้กับชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาธรรมะมาเรียกร้องตัวตนเองให้เป็นคนที่ต้องสู้เมื่อยามล้ม ทุกข์ทนเมื่อยามเจ็บปวด ตอนเจ็บเราต้องรู้จักเอาธรรมะมาช่วยสู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงคิดให้ดีๆ ว่าเงินแท้จริงนั้นหาได้ซื้อความสุขที่จริงๆ ไม่  แม้ท่านจะมีเงิน มีทรัพย์สิน เกียรติยศตอนนี้ แต่จริงๆ แล้วก็ซื้อความสุขได้ไม่แท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจงคิดให้ดีๆ อย่าให้เงินหลอกความดีไปจากใจเลย พุทธะน้อยๆ อย่าให้เงินมาซื้อคุณธรรมในใจ น่าเสียดายเปล่าๆ  ยอมเป็นคนที่โลภแล้วหาความสุขได้ยากก็เพราะว่าหลงเงิน ยอมเป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์ เพราะอยากได้เกียรติยศเช่นนี้แล้วหรือ เรียกว่าคนน่าคบ เช่นนี้หรือจะเรียกว่ามนุษย์ที่เป็นผู้ประเสริฐ ไม่มีใครเรียกได้ และไม่มีใครอยากจะเคารพ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาตัวเราคด แล้วไปคดกับคนอื่น ทำยากไหม (ยาก)  แล้วเงินมีมากๆ รำคาญไหม (ไม่)  ทำไมท่านไม่รำคาญ จริงๆ น่าจะรำคาญ ไม่ใช่หรือ มีเงินมากๆ ก็เป็นห่วงมาก กังวลมาก มีเงินน้อยๆ ไปไหนก็สบาย ไม่กลัวใครมาจี้ ไม่กลัวใครมาปล้น และไม่ต้องกลัวใครมาขอ จริงหรือไม่ (จริง)
ท่านอยู่ในชั้นนี้ต้องทำสมาธิให้ดีๆ ยิ่งวุ่นวายอย่างนี้จิตต้องนิ่ง ไม่อย่างนั้นจะฟังตรงนี้ไม่รู้เรื่อง  มนุษย์นั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม หากมีใจยึดมั่นก็จะทำให้เราสุขได้ยาก หากจิตใจมีอคติก็จะทำให้เราอยู่กับคนอื่นอย่างเป็นมิตรได้ยาก จริงหรือไม่ (จริง)  คนเราถ้าใจคิดร้ายแม้จะฝึกฝนบำเพ็ญตนก็เหมือนอาบน้ำโคลน  แม้ว่าจะอยู่ร่วมกับคนอื่น จิตใจจะบำเพ็ญธรรมแต่ก็เหมือนทุกวันอาบน้ำโคลน เพราะว่าจิตใจคิดไม่ดี เหมือนกันเวลาท่านเข้าวัดแต่ใจท่านไม่ชอบพระ แม้จะฟังพระท่านพูด พระพูดคำหนึ่งท่านก็อาบน้ำโคลนคำหนึ่ง แม้ว่าพระท่านจะพูดดีอย่างไร แต่ถ้าในใจท่านอคติกับพระไม่มีความบริสุทธิ์กับพระ ทั้งที่จะอาบธรรมด้วยความบริสุทธิ์อิ่มเอมใจ แต่ยิ่งอาบแล้วยิ่งเหม็นสกปรก เหมือนท่านไม่เคารพพระองค์นี้  แต่วันนี้ต้องมานั่งฟังเพราะท่านฟังแล้วเกิดความดีขึ้นไหม ถ้าตราบใดที่ใจท่านมีอคติและท่านไม่ชอบ เหมือนท่านอยู่กับใครก็ตาม หากจิตใจท่านไม่ชอบแม้อยู่กับเขาก็เป็นทุกข์ใจเพราะว่าใจไม่ชอบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าท่านอยู่กับทุกๆ คนด้วยใจที่บริสุทธิ์ ด้วยใจที่เที่ยงธรรมไม่ยึดมั่น ไม่ยึดเอาแต่ใจตัว เวลาอยู่กับใครท่านก็จะอยู่กับเขาด้วยความสบายใจใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้ายึดมั่นเอาแต่ใจตัว ยึดมั่นว่าเขาเป็นคนที่ไม่ดีแม้จะฟังเขาพูดดีกี่รอบ ก็เหมือนเอาน้ำโคลนสาดเข้าหาตัวเอง  ฉะนั้นแม้จะฟังเรื่องราวดีมากมายเพียงไร แต่ถ้าใจขาดซึ่งความบริสุทธิ์ก็ยากที่จะชำระด้วยธรรมะได้ ฉะนั้นขอให้ท่านจำไว้อย่างหนึ่งว่า หนึ่งต้องไม่รู้จักยึดมั่น สองต้องวางใจเป็นกลางและบริสุทธิ์ยุติธรรม
หลายต่อหลายคนพอฟังว่าพระมีเรื่องไม่ดีก็อคติกับพระทุกองค์ เช่นนี้ถูกไหม (ไม่ถูก)  ไม้ต้นหนึ่งผลไม้เสียไปลูกหนึ่ง ผลไม้มีตำหนิลูกหนึ่งจะโทษทั้งต้นไม่ได้เรื่องได้หรือ ก็ไม่ใช่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นจิตใจของมนุษย์จึงเป็นสิ่งสำคัญจะมองต้นไม้เป็นต้นไม้ หรือต้นไม้เป็นต้นร้าย ก็อยู่ที่ใจของเรา  บำเพ็ญธรรมก็เฉกเช่นเดียวกัน จะยิ่งบำเพ็ญแล้วก้าวหน้าบริสุทธิ์ หรือยิ่งบำเพ็ญแล้วยิ่งสกปรกขุ่นมัวก็อยู่ที่ใจของเรา  จงมองทุกคนให้เป็นคนดีแล้วเราจะสบายใจ  แต่ถ้าเมื่อไรต้องใช้เขาจึงต้องแยกแยะคนให้เป็นใช่หรือไม่  นี่คือสิ่งสำคัญ  มนุษย์เราที่ต้องวุ่นวายและไม่หยุดหย่อนในการแสวงหาก็เพราะ ตาดู จมูกดม ปากลิ้มรส และก็หูฟังใช่หรือไม่ (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมวาดรูปตา หู จมูก ปาก หัวใจ มือ แล้วนำมายืนประกอบให้เป็นรูปหน้าคน)
 เมื่อตาเห็นสิ่งสวย ตาก็วิ่งไปบอกใจว่าสวย  เมื่อจมูกดมกลิ่นหอม จมูกก็ไปบอกใจว่าหอม  เมื่อปากได้ลิ้มรสอร่อย ปากก็ไปบอกใจว่าอร่อย  คำว่าความรู้สึกเป็นหน้าที่ของใจ ร่างกายเราเป็นแบบนี้ใช่หรือไม่  ตาเห็นแล้วยังเลือกที่จะมองด้วย  จมูกเวลาดมแล้วยังเลือกที่จะดมด้วย แต่บางครั้งก็ต้องดมทั้งหมดใช่หรือไม่  เพราะจมูกเวลาไม่ดมต้องใช้มือปิด เวลาปากไม่พูดก็จะปิดปากใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านลองดูว่าชีวิตของมนุษย์วิ่งวนไขว่คว้า เมื่อตาเห็นแล้วไปบอกใจ เมื่อจมูกได้กลิ่นแล้วไปบอกใจ เมื่อปากได้ลิ้มรสแล้วไปบอกใจ พอใจได้ยิน ได้เห็น ได้กลิ่น ใจก็ไปบอกตาว่าให้ไปมองสิ่งที่สวยจริงไหม นั่นก็คือใจมีสัญญา ใจมีความทรงจำ เมื่อใจสวยก็ไปบอกตาว่าจงไปมอง นี่คือระบบของอายตนะกับใจใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าสมมติว่าตา หู จมูก ปาก และมือไปทำทุกอย่าง แต่ใจบอกว่าไม่ทำ แม้ตาจะดู ใจก็นิ่งเฉยใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้ร่างกายเราจะขยับไหม (ไม่ขยับ)  บางครั้งอายตนะภายนอกมาควบคุมใจ แต่บางครั้งใจที่มีสัญญามีความทรงจำที่จำได้ว่าสวยเป็นอย่างไร ก็เรียกร้องให้ร่างกายภายนอกไปกระทำ แต่ถ้าสมมติว่าใจท่านแม้ตาจะดูหูจะฟัง มือจะขยับแต่ใจท่านไม่เอาแล้ว พอแล้ว ตาดู หูฟัง ทำอะไรได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วถ้าใจไม่สัญญาไม่มีซึ่งความทรงจำอะไรแล้ว ตาดู หูฟัง ช่วยอะไรท่านได้ไหม ก็แค่ทำหน้าที่ตามที่เป็นเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ทุกวันนี้ ตาวิ่งไปทาง จมูกก็อยากดม มือก็อยากจับ หูก็อยากฟัง ใจก็เลยต้องทำหน้าที่ให้ครบทั้งตาดู หูฟัง จมูกดมกลิ่นใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตของเราที่ยังต้องวิ่งวุ่นอยู่  เพราะว่าอายตนะภายนอก  แล้วใจก็วิ่งวุ่นตาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าถ้าใจของมนุษย์รู้จักหยุด รู้จักสงบนิ่งบ้าง  แม้ตาจะมองก็มองได้แค่เท่านี้  แม้จมูกจะดมกลิ่นก็ดมได้เท่านี้ เพราะใจไม่ไปด้วยจริงไหม (จริง)  ถ้าใจไปด้วยร่างกายก็ขยับตามใจด้วย  เราต้องวิ่งเหนื่อยตามหู ตา จมูก ปาก  แล้วท่านที่เป็นอยู่เมื่อยังไม่รู้จักพอใจก็ยากที่จะนิ่ง  เมื่อใจยังไม่รู้จักพอก็ตกเป็นทาสอารมณ์ของ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ จริงไหม (จริง)  ฉะนั้นการแสวงหาในโลกนี้จะเป็นทุกข์มาก  ถ้าเกิดว่าเราไม่รู้จักหยุดมองบ้าง บุกบ้างไม่รับมือบ้าง และใจก็หัดวางเฉยบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ต้องรู้วางชีวาบ้างจึงดีได้  ยินตลอดคนตายจึงจะไม่สู้”  หลายต่อหลายคนเกิดมาชีวิตต้องสู้ เคยได้ยินคำนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนตายเท่านั้นจึงสู้ไม่ได้  แต่คำว่าสู้ไม่ใช่เกิดมารบแล้วต้องชนะ บางครั้งรบแล้วแพ้บ้าง  ยอมถอยบ้าง ท่านเคยเห็นเสือเวลาจะตะคุบหรือตะปบเหยื่อต้องย่อตัวให้สุด หมอบให้ต่ำ ถึงจะสามารถตะคุบเหยื่อได้มั่นคงจริงหรือไม่ (จริง)  นกเวลาจะกระพือปีกบิน ต้องวางตัว กระดูกต้องเบาใช่หรือไม่ (ใช่)   แล้วจะต้องแยกขาค่อยๆ กระพือออกไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดเป็นคนก็เหมือนกันการจะก้าวหน้า การจะรุกไปสู่ข้างหน้า บางครั้งต้องรู้จักถอยหลังบ้าง และบางครั้งต้องรู้จักอ่อนน้อมบ้าง เราถึงจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและดีงาม  นั่นก็คือไม่ว่าจะทำสิ่งใดขอให้ย้อนกลับมาคิดที่ตนเองก่อน ก่อนที่จะเริ่มต้นที่จะกระทำสิ่งใดเข้าใจไหม (เข้าใจ)
“หน้าผาริมยืนอยู่น่าเสียวไส้”  ชีวิตนี้ถ้าเราปล่อยตาม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็คือปล่อยไปตามกิเลสความปรารถนา ก็เปรียบเหมือนกับคนที่ยืนอยู่ริมหน้าผาแห่งกิเลสตัณหา ถ้ายิ่งก้าวลงไปก็มีแต่ถลำลึกไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น  คนเราเมื่อมีความต้องการมีใครบ้างรู้จักพอไม่มีเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจะหยุดความต้องการได้ ไม่ใช่ต้องเติมให้เต็ม แต่คือรู้จักเต็มในความมีใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายต่อหลายคนมักจะบอกว่า เรามีไม่เคยเต็ม  แต่อย่าลืมว่าในสิ่งที่มีสามารถเต็มได้ถ้าใจเราบอกว่าพอและเต็ม จริงไหม (จริง)  เราจะหยุดแสวงหาสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ได้ก็ต่อเมื่อเรารู้จักพอ รู้จักหยุด รู้จักพักผ่อนร่างกายในการหาเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง
“ก้าวร่วงหล่นหันกลับมาปลอดภัย  คิดใกล้ไกลอยู่เพื่ออะไรหนอคน”  มนุษย์เราเกิดมาไม่ใช่วิ่งวุ่นไปตาม หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ เพื่อสมปรารถนาเท่านั้น  เราเกิดมาใช่หน้าที่ต้องบำรุงเลี้ยงร่างกายตัวตนนี้  แต่ค่าที่เหนือกว่านั้นก็คือทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมบ้าง รู้จักเสียสละเอาชีวิตของตนเองช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง จึงจะเป็นคนที่เรียกว่าเกิดมามีคุณค่า  คนเราหากรู้จักที่จะช่วยเหลือผู้อื่น คือคนที่รู้จักคุณค่าแห่งชีวิตและความงามแห่งจิตใจ  ถ้าเกิดคนเราไม่รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น คนนั้นจะไม่มีวันพบคุณค่าความงามในตัวตนได้เข้าใจไหม (เข้าใจ)  คนเรามีความงามได้ งามที่ตรงไหน คนเรามีความสมบูรณ์ดีงามได้ที่ตรงไหน ไม่ใช่ทำเพื่อตนเอง แต่รู้จักทำแล้วหยุดของตนเอง แล้วแบ่งปันส่วนของตนเองให้กับคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)
“อย่าบำเพ็ญดั่งมีใจที่อ่อนล้า”  คนบางคนมีชีวิตเกิดมานั้นไม่สามารถมีความเข้มแข็งในตัวเองได้  จะยืนอยู่ได้ต้องมีคำปลอบใจจากผู้อื่น ต้องมีความช่วยเหลือจากผู้อื่น ต้องมีคำพูดที่ดีจากผู้อื่นจึงจะสามารถอยู่ตรงนั้นได้ สามารถที่จะทำงานตรงนั้นได้ เช่นนี้ถูกต้องไหม เวลาท่านอยู่ในครอบครัว บางครั้งท่านเรียกร้องพ่อแม่ว่าอย่าขี้บ่น ใช่ไหม (ใช่)  เวลาท่านอยู่กับสามี ท่านจะเรียกร้องกับสามี อย่าว่าฉันบ่อยๆ ใช่ไหม (ใช่)  หลายต่อหลายคนตัวท่านนั้นมักจะบอกว่า อยู่กับใครก็ตามเรามักจะเรียกร้องเขาว่า อย่าเป็นเช่นนั้น อย่าเป็นเช่นนี้  แล้วเราจะอยู่กับเขาได้ ใช่ไหม  เราคำนึงถึงเขาหรือคำนึงถึงตัวเรา ที่อยู่ร่วมกัน  เราคำนึงถึงตัวเรา แล้วก็ยึดมั่นที่ตัวเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วก็อคติที่เขาเป็นตัวเขา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนต่างมีความเป็นตัวของตัวเองเยอะ  แต่บางครั้งอยู่ร่วมกันต้องพบกันครึ่งทาง แล้วเดินไปตรงกลาง  ฉะนั้นอยู่ร่วมกันอย่าเอาแต่เรียกร้องคนอื่น เราจงถามตัวเราเองก่อน เราทำได้ดีหรือยัง ก่อนที่จะไปเรียกร้องใครๆ เขา ใช่ไหม (ใช่)
“สิ่งได้มาไม้ผุที่อุ้มฝน  ให้ทางนำเท้าย่อมเดินเวียนวน”  การบำเพ็ญธรรมแม้จะมีทาง แต่ถ้าเกิดว่าเราไม่คิดอะไรเลย เราไม่ใช้ปัญญาเดินไปตามทาง โดยไม่คิดก็จะทำให้ท่านเดินวนอยู่ในเขาวงกต ไม่ว่าจะเดินทางไหนก็ตาม อย่าเดินตามทาง แต่จงเดินด้วยใจและปณิธานของตน จะไม่หลงทาง จริงไหม (จริง)  เมื่อมีทางเดิน แต่ถ้าท่านไม่มีแผนที่ ไม่มีเข็มทิศ เดินไปตามทาง พอเจอทางก็ต้องมีทางแยก ท่านจะเลือกทางไหน  ถ้าท่านไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่มีเข็มทิศ ไม่มีแผนที่และไม่มีจุดหมายที่จะไป  ชีวิตของมนุษย์เราเหมือนคนที่เดินไปตามทาง เดินไปเรื่อยๆ แล้วชีวิตได้อะไร  ได้เงิน ได้เกียรติยศ เท่านี้หรือคือคุณค่าสูงสุดของชีวิต  ตอนนี้ท่านได้รู้ว่าคุณค่าสูงสุดของชีวิตบนทางที่ท่านเดินอยู่ มีอีกทางหนึ่งคือการบำเพ็ญตัวเองเป็นพุทธะ ขัดเกลาจิตใจตน แต่การจะบำเพ็ญขัดเกลาจิตใจตนต้องรู้จักลดความปรารถนาทางโลก และเอาเวลาที่ลดความปรารถนาทางโลกมาศึกษาธรรม และลดความปรารถนาทางโลกมาลดกิเลสในใจตน ล้างใจตนเองให้สะอาดและรู้จักสงบวาง เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ฟังดูแล้วยากไหม (ไม่ยาก)  บำเพ็ญธรรมสิ่งสำคัญนั่นก็คือต้องรู้จักปิดตา จมูก ปาก หู การกระทำบ้าง  แล้วเอาเวลาว่างที่ปิดทั้งหมดนี้มาศึกษานั่งฟังธรรมะให้เข้าใจ และนำเอาสิ่งที่เข้าใจนั่นไปช่วยคน คือการสร้างคุณค่าเพิ่มขึ้นจากที่เป็นอยู่  ทำไมพุทธะจึงมีคนกราบไหว้ จึงมีคนเรียกว่าพุทธะ  เพราะว่าพุทธะไม่ใช่ทำงานหาแต่เงิน แต่พุทธะมีชีวิตอยู่เพื่อช่วยมวลชน  คนจึงเรียกว่าพุทธะ คนจึงกราบไหว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คือสิ่งที่เราให้อยากให้ท่านมาศึกษาและบำเพ็ญตามรอยการเป็นพุทธะ ทำได้ไหม (ได้)  คงไม่ยากเกินไป
“ชีวิตตนรู้จักตนให้ฝึกตนเดิน”  ท่านเคยเห็นนก นกบินสูงหรือบินต่ำ (สูง)  แล้วเวลาสิงห์สาราสัตว์ เวลาจะตะคุบเหยื่อ จะตะคุบต่ำหรือสูง (ตะคุบต่ำ)  จากต่ำไปสู่สูง ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เราก็เหมือนกัน  แม้ตัวเองจะต่ำต้อย แต่ไม่ใช่ว่าจะทะยานสูงไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ถ้าเกิดว่านกคิดว่าตัวเองต่ำต้อย ก็คงไม่กางปีกกระพือบินสูง จริงหรือไม่ (จริง)  เสือถ้าคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่ ก็คงจะไม่รู้จักหมอบต่ำบ้าง เพื่อจะได้เหยื่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกิดเป็นคนอย่าดูถูกตนและก็อย่าได้หลงตัวเอง ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่เพียงใด บางครั้งก็ต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ว่าจะต่ำต้อยเพียงใดก็ต้องรู้จักที่จะทะยานขึ้นสู่สูง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตคนจึงจะมีคุณค่า นั่นก็คือการสร้างโอกาสให้กับตนเอง อย่าดูเบาตนเองและอย่าหลงตนเองจนเกินไป  ฟังธรรมะมาตั้งนาน อยู่กับเรามาตั้งเยอะแล้ว พอเข้าใจอะไรบ้างไหม (เข้าใจ)
“ดวงตาสว่างคืนมากลางเสียงธรรม”  วันนี้เซียนเด็กมามีแต่ให้ธรรมะ ไม่ได้ให้เพลง
“เสรีนำดั่งนกกลางหาวร่อนเหิน”  คำบรรยายในธรรมะมักจะมีรูปอยู่รูปหนึ่ง นั่นคือรูปนกบินกลับบ้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกๆ คนไม่ว่าจะออกมาจากบ้านไกลแค่ไหน  เมื่อยามทุกข์มักจะนึกถึงบ้าน ใช่ไหม (ใช่)  นึกถึงบ้านตัวนี้หรือบ้านแห่งจิตเดิมแท้ (จิตเดิมแท้)  ลองหมั่นนึกถึงใจเดิมแท้บ้าง มนุษย์เราหลงอยู่ในโลกมานานนับหลายปีแล้ว หลงในแสงสีเสียง บันเทิง คำพูด รูปลักษณ์ เกียรติยศ เงินทอง ท่านหลงมากี่ปีแล้วก็ไม่รู้ จนกระทั่งท่านมีชีวิตก็หลงมาอีกหลายปี ไม่ยอมวางกันซักที  แล้วไปยึดตัวตนนี้ เลยไม่เคยปล่อยวาง  หากมนุษย์เรารู้จักปล่อยวางตัวตนบ้าง ปล่อยวางรูปลักษณ์ภายนอก แสงสีเสียง สัมผัสของโลกบ้าง ท่านก็จะมีเวลามาศึกษาธรรมมากขึ้น เข้าใจธรรมะแล้วเอาไปช่วยคนได้มาก  แต่ปัจจุบันนี้ทุกคนมัวแต่ห่วงเรื่องชีวิต เรื่องชื่อเสียง หน้าใบนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เข้ามาห้องพระโดนเขาว่าจนเสียชื่อ โดนเขาว่าขายหน้าไปหมดแล้วก็ไม่มาอีกเลย อย่างนี้ท่านบำเพ็ญเพื่อหน้าหรือว่าบำเพ็ญเพื่อความว่างเปล่าแห่งจิตใจกัน  การบำเพ็ญธรรมก็คือ หวนกลับไปสู่ความว่างเปล่าไม่ยึดติดแม้รูปลักษณ์ กลิ่นเสียง อารมณ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  นี่คือหลักสำคัญในการบำเพ็ญธรรม อย่าบำเพ็ญเพื่อหน้าสวยๆ ชื่อหอมๆ อย่างเดียว  ชื่อหอมน่ะใช่ แต่ไม่ใช่ยึดติดจนมากเกินไปใครแตะต้องไม่ได้ ใครว่ากล่าวตักเตือนไม่ได้ เขาว่ากล่าวตักเตือนต้องขอบคุณและน้อมรับมาพิจารณา นี่ถึงเรียกว่าผู้บำเพ็ญใช่หรือไม่ (ใช่)
แม้วันนี้จะได้ธรรมะไม่มากแต่ขอให้เอาไปคิดพิจารณาให้ดีๆ นะ วันนี้เรามีโอกาสเจอท่านใช้เวลานานเหมือนกัน จิตใจนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ใจทำให้กายนั้นอยู่นิ่งๆ ใจทำให้กายบริสุทธิ์แล้วใจก็บริสุทธิ์ด้วย ใจทำให้กายสว่างใจก็สว่างด้วย ฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดก็ตามขอให้อย่าลืมตรวจสอบใจ  หากใจบริสุทธิ์ยุติธรรมก็จะมองทุกอย่างได้บริสุทธิ์ยุติธรรม แต่ถ้าใจมีอคติ คดงอก็จะมองทุกๆ อย่างอคติคดงอใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ฟังเสียงธรรมใจก็จะคดงอไม่มีทางได้ธรรมเข้าใจไหม ฉะนั้นยิ่งบำเพ็ญใจต้องยิ่งสะอาด ไม่ใช่ยิ่งบำเพ็ญยิ่งมีแต่อคติ ความไม่ดีของคนอื่นล้างทิ้งไป ไม่ใช่บำเพ็ญธรรมแล้วมากำหนดว่าแบบนี้จะต้องเป็นแบบนั้น อย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญ  ผู้บำเพ็ญคือผู้ที่ถอยหลังไปสู่ความว่างเปล่า ไม่ใช่เดินไปสู่ความมืดจริงไหม (จริง)  ถอยไปบ้างหรือยังผู้บำเพ็ญ ผู้บำเพ็ญทั้งหลายต้องรู้จักล้างจิตใจ และเอาเวลาไปช่วยคนกันบ้างหรือยัง ช่วยคนแล้วเจอต่อว่าบ้าง เจอทุกข์บ้างก็อย่าได้ยอมแพ้ จงก้าวต่อไปเรื่อยๆ  การก้าวไปเรื่อยๆ อย่างไม่ยอมแพ้ เจออุปสรรคก็ต่อสู้จะทำให้ท่านแข็งแกร่งในการบำเพ็ญธรรมทุกท่าน พุทธะน้อยๆ ในที่นี้ก่อนจะบำเพ็ญธรรมเริ่มต้นรักษาความดีให้อยู่กับตัว ทำบุญ รักษาศีลทำให้ได้ อบายมุข ตัณหา กามราคะ สุรา นารี พาชีกีฬาบัตร รู้ว่าไม่ดียังอยากจะทำ ทำแล้วจะมาบอกว่าพุทธะไม่ช่วยไม่ได้ เพราะท่านทำตัวท่านเองใช่หรือไม่ (ใช่)  คนโลภก็ต้องตกเป็นทาสของความโลภ ฉะนั้นสู้ทำความดีจะได้ไม่ต้องตกเป็นทาสของสิ่งใด รู้จักควบคุม หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ จะได้ไม่เป็นทาสใจดวงนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากพูดเยอะๆ  ก็จะไม่มีค่าอะไรเลยถ้าท่านไม่ได้ปฏิบัติ อย่าเป็นห่วงตัวเองมาก นึกถึงคนอื่นบ้างแล้วเราจะช่วยเขาได้อย่างเต็มที่จริงหรือเปล่า อย่ามัวแต่ห่วงสุขของตัวเองไม่เช่นนั้นแล้วท่านจะไม่สามารถเห็นทุกข์ของใครเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นผู้บำเพ็ญธรรมอยู่ข้างหน้าแล้วต้องควบคุมดูแลตัวเองให้ดี เพราะถ้าท่านก้าวผิดธรรมะจะหมดสิ้นเลยเข้าใจไหม (เข้าใจ)  ค่าของธรรมะจะหมดสิ้นเพราะตัวท่าน อย่าทำให้ธรรมะที่มีค่าที่พุทธะพยายามรักษาโอบอุ้มไว้ให้ท่าน ต้องหมดค่าไปเพราะตัวท่านเองเข้าใจหรือเปล่า (เข้าใจ)  รักษาธรรมะให้ดี ธรรมอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ใจ ความยุติธรรมบริสุทธิ์จะเกิดได้จากที่ไหน ก็เกิดจากใจ ใจที่ไม่มีความโลภ ความหลง และเห็นแก่ตัว เข้าใจไหม (เข้าใจ)  จงตั้งใจบำเพ็ญธรรมให้ดีๆ นะพุทธะน้อยๆ รักษาความดีให้มั่นคง บุญกุศลก็หัดสร้าง อย่าเป็นเด็กดื้อของพ่อแม่ จงเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารักของเด็กๆ ไปแล้วนะ


วันอาทิตย์ที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๓ สถานธรรมเจิ้งซิน จ.อุบลราชธานี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

อย่าได้ให้เรือล่มเมื่อใกล้จอด เพียรตลอดอย่าให้ความพยายามถึงฝั่งก่อน
คนสองสีอาจารย์หนาวหนาวร้อนร้อน ความลุ่มดอนหวังศิษย์อดทนบำเพ็ญ
เราคือ
พุทธะจี้กง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่สถานธรรมเจิ้งซิน    แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนอยากบำเพ็ญธรรมไหม
ความต้องการและความรู้ต้องสมดุล ความเชื่อมั่นปัญญาหนุนให้ต่อเนื่อง
จิตใจคนอย่าคิดมากจนสิ้นเปลือง คนปราดเปรื่องไม่ได้มาจากการร่ำเรียน
จิตใจตรงมั่นคงและอดทน แม้อับจนเท่าไหร่มุ่งไม่เปลี่ยน
บำเพ็ญใจสร้างกุศลพ้นวนเวียน ตามรอยเกวียนแห่งพุทธะเหล่าเมธา
มีเรื่องอีกมากมายให้ศิษย์ฝึก ตรึกตรึกตรึกอันสิ่งใดคือคุณค่า
ธรรมะแท้ขอให้ศิษย์สละเวลา ยามเดินหน้าอย่ามีใจท้อมาปน
เฝ้าอภัยวิสัยแห่งผู้มีบุญ ไม่โกรธกรุ่นวาสนาเทดั่งฝน
ความเมตตาต่างมีอยู่ทุกผู้คน เฝ้าฉงนวิสัยแห่งผู้มีกรรม
ศิษย์รักเอยอาจารย์ฝากดูแลตน บำเพ็ญยืนบนความจริงอ่อนน้อมต่ำ
สิ่งใดที่อาจารย์พูดใส่ใจจำ เป็นดั่งน้ำอมฤตช่วยประชา
ฮา ฮา หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ถ้าทุกวันๆ มีคนมาสถานธรรมเยอะอย่างนี้ก็ดีใช่หรือไม่  อยู่บนนี้เหมือนอยู่บนสวรรค์ไหม (เหมือน)  ตอนนี้คนที่อยู่บนสวรรค์ก็ต้องเป็นเทวดา และตอนนี้เราเหมือนเทวดาไหม (เหมือน)  มีคนบอกว่าเก้าอี้ที่เรานั่งนี้เขาเรียกว่าเก้าอี้เซียนใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือพูดอีกทีก็เรียกว่าเก้าอี้เทวดา นึกจะกินก็มีกิน ร้อนก็มีคนส่งผ้าเช็ดหน้าให้ เทวดาที่นี่ทำไม่ได้อย่างเดียวอะไรรู้ไหม อาจารย์หมายความว่าอยู่บนนี้ก็เหมือนขึ้นสวรรค์ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ทางขึ้นสวรรค์แคบหรือไม่ (แคบ)  เพราะฉะนั้นต้องช่วยกันมาสถานธรรมอีกหน่อยจะได้ขยายกว้างๆ ดีหรือไม่ (ดี)  สวรรค์เมื่อวานนี้ร้อนไปหน่อย แต่วันนี้มีบุญมีแอร์ใช้ แต่ว่าคนที่เป็นเทวดานึกอยากจะกินข้าวก็มีกินเหมือนคนอิ่มทิพย์ นึกอยากจะนั่งก็มีเก้าอี้ดีๆ ให้นั่ง  แต่เทวดาที่นี่ทำไม่ได้อย่างเดียวคือ นอนใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่เทวดาก็ยังแอบหลับ ใครนั่งที่นี่ยังไม่หลับเลย แสดงว่าโดยทั่วๆ ไปทุกคนมีการแอบหลับใช่หรือไม่ (ใช่)  แสดงว่ามีวิชาช่วงใดช่วงหนึ่ง ของใครคนใดคนหนึ่งที่พูดมา แต่ว่าเราฟังไม่ได้ยิน เพราะว่าช่วงนั้นเราหลับไป พอจะตกเก้าอี้ก็กลับมาฟังใหม่ใช่หรือเปล่า แสดงว่าสองวันที่ฟังมา วันละห้าสิบเปอร์เซ็นต์ สองวันก็เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าเราทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่า (ไม่ได้)  เรายังฟังไม่ได้กันร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นก็มีสิ่งที่เราฟังแล้วเรายังไม่ค่อยเข้าใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนที่ฟังแล้วได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หมายความว่าไม่หลับเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเข้าใจทุกอย่างใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญ การมานั่งฟังธรรมะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น  หนังสือธรรมะที่เราอ่านคงจะเทียบไม่ได้กับการที่เราลงมือปฏิบัติเองใช่หรือไม่  ถ้าหากว่าเราไปฝึกปฏิบัติเองก็เหมือนกับเราอ่านหนังสือทีละหน้า วันนี้เราสามารถที่จะละอารมณ์โมโหได้แล้ว ก็เหมือนกับเราอ่านหนังสือเรื่องความโกรธ แล้วเราพยายามที่จะละใช่หรือไม่ (ใช่)  การปฏิบัติของเราจะดียิ่งกว่าการที่เรามานั่งอ่านโดยไม่ทำ หรือนั่งฟังโดยไม่รู้เรื่องอีก แต่ว่าการที่ให้ศิษย์มานั่งฟังจะว่าบังคับก็ไม่เชิง ไม่บังคับก็ไม่ใช่  แต่ว่าการที่เราถูกบังคับในขณะนี้แล้วเราควรที่จะได้สิ่งใดกลับไปบ้าง เพื่อนำกลับไปปฏิบัติใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเราทำไม่ได้มากก็ต้องทำให้ได้น้อย  หากว่าทำน้อยไม่ได้ ก็ต้องทำให้ได้นิด  ถ้าทำนิดไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้หน่อย  การทำสิ่งใดจะทำได้หรือไม่ได้นั้นอยู่ที่ตัวเราเอง จะทำได้หรือไม่ได้ไม่ใช่คนอื่นมาตัดสิน แต่ว่าอยู่ที่ตัวเรา  หากว่าเรามั่นใจว่าเราทำได้ เราจะทำได้ไหม (ได้)  ต่อให้ไม่ได้มาก ก็ได้น้อย ไม่ได้น้อยก็ได้นิด ฉะนั้นจะต้องพยายามหมั่นเพียรใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าบอกว่าเราเป็นชาวบ้านธรรมดา เราอ่านหนังสือไม่ออก เราไม่มีความรู้ เราอายุมากแล้ว เราไม่ค่อยมีเงิน เราจะบำเพ็ญได้หรือไม่ (ได้)  มั่นใจตัวเองไหม (มั่นใจ)
“อย่าให้เรือล่มเมื่อใกล้จอด”  ทุกคนก็เหมือนกับมีชีวิตอยู่ในทะเลทุกข์ หากว่าเราเป็นคนที่ไม่รู้ธรรมะเลย เป็นคนที่มัวเมากิเลสตัณหา ก็เหมือนกับคนที่ลอยคออยู่ในทะเลทุกข์  แต่หากว่าคนที่รู้ตื่นจิตใจเบิกบาน จิตใจฟื้นฟูความเป็นพุทธะได้มากขึ้น ก็เปรียบเสมือนหนึ่งคนที่ขึ้นเรือแล้ว  ส่วนคนที่ขึ้นเรือมาแล้ว คือตื่นแล้วยังกลับไปหลับอีก แถมยังแพ้กิเลสตัวเองในเรื่องเดิมๆ ที่ตัวเองเคยแพ้มาแล้ว แสดงว่าไฟกิเลสของเราไม่ได้ดับสนิท แต่ดับแบบพร้อมจะคุอยู่เสมอใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเวลาศิษย์จะดับไฟกิเลสดวงไหนพยายามดับให้สนิท หมายความว่า เวลาเราจะละอารมณ์ ละกิเลสข้อไหน จะเปลี่ยนแปลงตัวเองในข้อไหน ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงไปให้ตลอดรอดฝั่ง ไม่เป็นเหมือนเรือล่มเมื่อใกล้จอด ไม่ใช่ขึ้นเรือมาแล้วก็กระโดดกลับไปอีก เพราะว่าเหมือนคนที่รู้ตัวอยู่แล้วว่าตัวเองทำผิด และถ้าทำผิดซ้ำเข้าไปอีกบาปกรรมที่เคยมี สมมติว่าศิษย์ทำผิดข้อนี้ กรรมของศิษย์ก็เพิ่มมาเท่านี้ แต่ถ้าหากคนที่ทำผิดข้อนี้รู้อยู่แล้วว่าตัวเองทำผิด แล้วยังทำผิดเข้าไปกรรมจะเพิ่มเข้ามาอย่างไร (เป็นสองเท่า)  แล้วถ้าหากว่าเป็นกรรมชนิดที่ต้องเบียดเบียนผู้อื่น หมายความว่าต้องเดือดร้อนผู้อื่น กรรมอันนี้จะสามารถคลายได้ไหม เพราะว่าประกอบด้วยความแค้นของสิ่งนั้นๆ ที่เราไปทำด้วย  ฉะนั้นถ้าให้ดี ถ้าศิษย์เลือกได้จะเกิดเป็นคนรวยหรือคนจน (คนรวย)  ถ้าเลือกได้ศิษย์ก็อยากเป็นคนรวยใช่หรือไม่ (ใช่)  ตอบความจริงจากใจไม่ต้องโกหก มนุษย์ในโลกนี้ไม่มีใครบอกว่าฉันไม่อยากรวย เลยเป็นจุดบกพร่องชิ้นโต เหมือนตะบองที่เอาไว้คอยทุบศีรษะตัวเองอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าศิษย์เลือกได้จะเลือกเป็นคนดีหรือคนไม่ดี (คนดี)  รวยกับจนเลือกได้ไหม (ไม่ได้)  ดีกับไม่ดีเลือกได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นเราควรจะเลือกในสิ่งที่เราเลือกได้  สิ่งที่เลือกไม่ได้ก็อย่าไปเพ้อเจ้อ ฝันกลางวัน รวยจนเลือกไม่ได้ แต่ดีชั่วเลือกได้  ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์เลือกตั้งแต่วันนี้ ให้รู้ ให้ดู ให้เห็นว่าตัวเองอยากจะเป็นใคร เพราะว่าอดีตก็ผ่านไปแล้ว จะกลับไปแก้อดีตเป็นเรื่องที่ยากแสนยาก แต่อนาคตเกิดขึ้นหรือยัง (ยัง)  อยากจะให้ตัวเองมีชะตาชีวิตที่ดีจะต้องเลือกทางเดินให้กับอนาคต อย่าเป็นคนสองจิตสองใจ ชีวิตนี้ทำดีก็ได้ เขาไม่ดีมาเราก็ไม่ดีด้วย ตกลงคนนี้เป็นคนดีไหม (ก็ยังไม่ดีเท่าไร)  เพราะว่าจะดีไม่ดีขึ้นอยู่กับคนอื่น ถ้าคนอื่นไม่ดีมาเราจะไม่ดีตอบ แต่ถ้าคนอื่นดีมาเราจะดีตอบคนนี้เป็นคนดีไหม (ไม่ดี)  ศิษย์ของอาจารย์โดยส่วนใหญ่ทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้น คือรอดูว่าเขาจะดีกับเราหรือเปล่า ถ้าเขาดีมาเราจะดีไป ถ้าเขาไม่ดีมาเราก็ไม่ดีไป  ศิษย์ยังไม่ได้เลือกทางให้กับชีวิตของตนเองเลยว่าเราจะเป็นคนดีไหม แล้วคนดีคนนี้เป็นคนดีแท้หรือคนดีเทียม ดีแบบสามวันดีสี่วันไข้ หรือเป็นคนดีที่มุ่งมั่นทำความดีไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะทำดี อย่างนี้จึงเรียกว่าเป็นคนดีแท้  หมอดูไม่สามารถบอกอะไรเราได้ ดีหรือไม่ดีก็ใกล้ๆ กับหมอเดา  การเรียนหนังสือมีคนเรียนเก่งได้ที่หนึ่ง กับคนเรียนบ๊วยก็อยู่ในห้องเดียวกัน  คนเรียนบ๊วยก็สามารถผ่านข้ามชั้นได้ หมอดูก็เหมือนกันผ่านมาจากชั้นเดียวกัน บางทีก็อ่านหนังสือเล่มเดียวกัน คนที่เดาถูก คนที่สามารถคำนวณได้ก็มี แต่ว่าคนที่คำนวณผิดๆ ก็มี  ฉะนั้นคนที่คำนวณได้ถูกที่สุดคือใคร (ตัวเราเอง)  ศิษย์เชื่อคำของพระพุทธองค์ ฉะนั้นอาจารย์ถามว่าถ้าศิษย์ทำดีศิษย์จะได้อะไร (ได้ดี)  ถ้าศิษย์ทำชั่วศิษย์จะได้อะไร (ได้ชั่ว)  แล้วทุกวันนี้ทำดีตลอดไหม (ไม่)  เพราะฉะนั้นชีวิตของเราก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง ถ้าหากว่าอยากให้ชีวิตได้ดีก็ต้องทำดี แม้ว่าวันนี้ผลที่ตอบกลับมายังไม่ดีเท่าไร แต่คิดว่าวันหน้าจะดีกว่านี้ไหม (ดีกว่า)  แล้วถ้าหากว่าวันหน้าก็ยังไม่ดีเท่าไร วันต่อไปจะดีไหม ก็คงจะมีสักวันหนึ่งที่ผลของความดีตอบกลับมาเป็นผลดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ทำดีก็ต้องได้ดีเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ได้ดีกรรมดีก็ไม่มีจริงใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาศิษย์จะทำการค้าเวลาทอนเงิน ลูกค้าให้เงินมาเราต้องมองแบงค์หรือเปล่า (มอง)  ยิ่งโดยเฉพาะช่วงที่มีแบงค์ปลอม ความดีปลอมๆ มา  สมมติว่าศิษย์เป็นคนขายต้องเอาแบงค์มาส่องก่อนไหม (ส่อง)  ถ้าศิษย์เป็นคนที่ทำดีบ้างไม่ดีบ้าง แล้วพ่อค้าเป็นเบื้องบน หรือนรก เช็คความชั่วและความดี และสามวันดีสี่วันไข้ไม่รู้ว่าวันนี้จะกลับตัวได้หรือเปล่า คนที่เป็นพ่อค้าต้องเช็คก่อน ศิษย์ของอาจารย์จะทำดีได้หรือเปล่า จะกลับตัวได้หรือไม่ เช็คเสร็จแล้วทอนกลับมาเท่าเดิมไหม (ไม่เท่าเดิม)  สมมติว่าศิษย์เป็นลูกค้า อาจารย์อยากทอนจะทอนกลับห้าสิบไหม (ไม่ทอน)  ต้องทำอย่างไรก่อน ต้องเอาไปจ่ายเจ้ากรรมนายเวรก่อนและเหลือทอนเท่าไรค่อยเอากลับไปใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นอย่าได้ใจร้อนมาก ไม่ใช่ว่าทำดีแล้วต้องได้ดี แล้วอย่าบอกว่าทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป บางทีเราก็ทำชั่วเหมือนกันนะ แต่ก็ได้ดีด้วย เพราะว่ามนุษย์เป็นสิ่งที่มีทั้งความชั่วและความดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าเปรียบกับการแต่งตัวของเรา ถ้าหากศิษย์ใส่เสื้อข้างบนขาว จะใส่กางเกงข้างล่างสีอะไร ผู้ชาย (น้ำเงิน)  ถ้าใส่เสื้อสีขาวใส่กางเกงสีเข้มๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่าบอกว่าสีน้ำเงิน เพราะตอนนี้ไม่ใช่สีน้ำเงินก็ใส่สีเข้มๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้หญิงถ้าข้างบนสีขาว จะใส่ข้างล่างสีอะไร (สีเข้ม)  สีเข้มๆ เหมือนกัน สีขาวคือความดีเปรียบเหมือนเสื้อ ตัดกับอะไร ตัดกับสีเข้มๆ ใช่หรือเปล่า (ใช่)   ถ้าหากว่าใส่ขาวทั้งตัวจะดูเป็นเทวดาไม่ได้ เทวดาอยู่โลกมนุษย์ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถามศิษย์ว่าอะไรดี อยากบำเพ็ญธรรมไหม (อยาก) คนไหนที่อยากบำเพ็ญธรรมยกมือขึ้น การที่เราจะบำเพ็ญธรรมได้ต้องมาพร้อมจิตใจศรัทธา ใช่หรือไม่  แต่ความศรัทธาหนุนเนื่องมาจากการศึกษาเข้าใจเสียก่อน ถึงจะเกิดความศรัทธาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นตอนนี้ศิษย์กำลังศึกษาธรรม นี่ก็เป็นการเริ่มต้นของการบำเพ็ญธรรม เพียงแต่ว่าคนที่จะเริ่มต้นบำเพ็ญธรรมได้ กว่าจะมีความศรัทธาได้ ก็ต้องศึกษาให้เข้าใจให้ถ่องแท้  แต่ว่าโดยส่วนใหญ่หลุดรอดมาบำเพ็ญธรรมไม่ได้เพราะอะไร เพราะไม่สามารถพยุงตัวเองไปได้ตลอดรอดฝั่ง ส่วนใหญ่ก็เสียสละเวลามาศึกษาแค่สองวันนี้เท่านั้นเอง พอกลับไปบ้านธรรมะก็อยู่ในใจ ใจก็มองไม่เห็น เลยไม่มีใครเห็นว่าศิษย์บำเพ็ญตรงไหน ในที่สุดก็เลิกบำเพ็ญ  เพราะคนนั้นเวลาห่างธรรมะไปนานๆ ถ้าหากไม่มีคนคอยบอกศิษย์ว่าทำดีแล้วได้ดี ศิษย์ก็จะเผลอไปทำชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม อยู่ได้ด้วยกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เราก็เลยชอบที่จะเอาตัวเราไปเกาะไว้กับใครก็แล้วแต่ บางทีทำความดีไม่ได้ ก็โทษกัน โทษใคร โทษแฟน โทษลูก โทษเวลา โทษชาวบ้าน เพื่อนร่วมงาน คนที่อยู่รอบข้างทั้งหลาย เราก็โทษไปเรื่อย  เราก็เอาตัวเราไปเกาะกับคนนั้นคนนี้ แล้วก็บอกว่าเราทำดีไม่ได้เพราะมีมารอยู่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่าจริงๆ แล้วมารอยู่ที่ไหน บางทีมารก็อยู่กับตัวเราเอง เพราะอะไรเราเป็นคนช่างคิดมาก ปกติให้คิดอะไรเป็นเหตุผล คิดไม่ค่อยออก แต่พอให้คิดมากคิดเป็นตุเป็นตะ เรื่องคิดมากเป็นทุกคนไหม ทำอย่างไรจะคิดน้อยได้ ตัดหัวสมองส่วนหนึ่งทิ้งได้ไหม (ไม่ได้)  ตัดแขนข้างหนึ่งทิ้งแล้วจะเลิกคิดมาก เชื่อไม่เชื่อ (ไม่เชื่อ)  ควักหัวใจออกมาบีบๆ ไว้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่ใช่ทำอย่างนั้นมากๆ แล้วจะหายกลุ้มใจ ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าลูกหลานดีแล้วจะหายกลุ้มใจใช่ไหม บางคนก็คิดว่าถ้าลูกหลานเราดีกว่านี้ เราคงจะมีเวลาไปทำอย่างอื่นได้ บางคนก็บอกว่าถ้าแฟนฉันดีกว่านี้ ทั้งชีวิตคงมีความสุข คงจะคิดเรื่องทำบุญ ทำดีมากๆ หน่อย ไปๆ มาๆ อาจารย์ก็พูดวนไปวนมา อาจารย์ก็พูดกลับมาที่เดิมว่า เราเอาชีวิตไปฝากไว้กับคนนั้นคนนี้ แล้วหวังว่าสิ่งต่างๆ ดีขึ้นก็จะได้ทำความดี  ถ้าหากว่าเรามีเงิน เราคงมีเวลาว่างมาสถานธรรม ถ้าเรามีความรู้มากกว่านี้ มีความฉลาดมากกว่านี้เราก็คงอยากมาสถานธรรรม  ถ้าเรามีเสื้อผ้าดีๆ กว่านี้หน่อย เราก็คงอยากมาสถานธรรม จริงๆ ใช่ไม่ใช่ (ไม่ใช่)  พุทธะที่อยู่เบื้องบนที่สำเร็จธรรมไป คนไม่มีความรู้ก็มี คนหน้าตาอัปลักษณ์ก็มีอย่างอาจารย์ คนที่หน้าตาดีก็มีเยอะแยะไป คนที่กลิ่นตัวเหม็นๆ ก็มี คนที่เป็นขอทานก็ยังมี แล้วศิษย์เป็นใคร ดูว่าเราเป็นคนที่สมประกอบไหม (สมประกอบ)  หัวสมองเรายังคิดได้ไหม (คิดได้)  ต้องพยายามคิดถึงในเรื่องดี ใช่หรือไม่ ต้องพยายามที่จะมุ่งเดินหน้าไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่ามัวให้ตัวเองมาจอด จอดอยู่ที่ไหน (ทะเลทุกข์)  ตอนนี้ศิษย์จอดอยู่ในหัวใจตนเอง ทะเลที่เต็มไปด้วยความคิดเข้าข้างตัวเอง และก็สรุปว่าการบำเพ็ญธรรมเป็นเรื่องยากเกินไป ยังไม่ถึงเวลาของเรา อาจารย์อยากให้ศิษย์ลองคิดดูใหม่ ศิษย์คิดว่าถ้าศิษย์เลือกเป็นคนดีได้ ศิษย์ก็เลือกเป็นคนดี คนดีลงท้ายที่ไหน คนดีไปนรกหรือไปสวรรค์ (ไปสวรรค์)  เมื่อศิษย์ไปถึงสวรรค์แล้ว ไม่ไปให้ถึงนิพพานหรือ ใกล้นิดเดียวไปไม่ไป (ไป)  จะไปนิพพานเพิ่มอีกอย่างเดียว จะไปสวรรค์ต้องเป็นคนมีบุญ มีกุศล จะไปนิพพานเพิ่มอีกนิดเดียว ตัดกิเลส ง่ายไม่ง่าย (ง่าย)  รู้สึกว่าเสียงมันสะท้อนอยู่ในหัวใจตัวเองไหม เคยเห็นเด็กทารกไหม เมื่อวานก็อยู่กับเด็กมาแล้ว เด็กดูแล้วใสไหม (ใส)  ดูแล้วมีกิเลสไหม (ไม่มี)  แล้วเราเคยเป็นเด็กไหม เราเคยเป็นคนที่ไม่มีกิเลสมาก่อนทุกคน แต่กิเลสเกิดขึ้นหลังจากที่เราเติบโตขึ้นมา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก็แค่กลับไปสู่จิตใจเดิมๆ แค่หันหลังเดินกลับไปแค่นั้นเอง ยากไหมยาก (ไม่ยาก)
วันนี้เซียนไม่ได้นั่ง อยู่กับอาจารย์เซียนอดนั่ง มีใครที่ยืนอยู่แล้วไม่เอาตัวพิง ส่วนใหญ่ก็เกาะไว้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีแต่คนแถวหน้าไม่มีอะไรให้เกาะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นจึงต้องบอกว่าการบำเพ็ญธรรม คือการที่ถูกบังคับให้เราได้ถูกกดดัน บังคับให้เราได้ลำบาก บังคับให้เราต้องสู้  ศิษย์ลองคิดดูว่าตอนนี้ ถ้ามีคนกดหัวศิษย์ลงพื้น ศิษย์จะทำอย่างไร จะยอมให้เขากดจนติดเลยไหม (ไม่ยอม)  เป็นสัญชาติญาณของมนุษย์ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าเขากดแล้วเรายอม ให้เขากดจนหัวถึงพื้น แล้วเราเอามือยันไว้ ถ้าหากว่าหน้าติดพื้นเมื่อไร เราจะยอมไม่ยอม (ไม่ยอม)  ฉะนั้นการที่อาจารย์บอกว่า ต้องโดนกดดัน ต้องให้รับความยากลำบาก การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนนี้ศิษย์โดนกดอยู่ ก็คือโดนกรรมเวรของตัวเองกดอยู่ และนี่เป็นอำนาจที่อยู่เหนือตัวศิษย์ แต่ว่าศิษย์จำเป็นที่จะต้องต่อสู้ การที่ได้รับความยากลำบาก บางทีไม่ใช่เบื้องบนทดสอบ แต่กรรมวิ่งมาหา มากดเราไว้แต่เราไม่ยอม ก็ให้ศิษย์พยายามที่ต่อสู้  ถ้าหากเบื้องบนมาทดสอบกดศิษย์ไว้ ก็เพื่ออะไร ก็เพื่อให้ศิษย์เลือก ในยามที่ลำบากที่สุด ในยามที่ต้องถูกสิ่งที่ตัดสินใจยากเข้ามาบีบบังคับ  ถ้าหากศิษย์กล้าที่ตัดสินใจไปทำในสิ่งที่ถูกต้อง โดนคนนินทาครหามากๆ ในยามที่ถูกกดอย่างนี้ เหมือนคนมากดหัวเราไว้ เราก็กล้าตัดสินใจ ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เราก็คือที่หนึ่งในการผ่านข้อสอบนั้นๆ มา ในการได้พ้นจากกรรมนั้นๆ มา  ฉะนั้นคนที่อยู่ข้างหน้าก็เปรียบเสมือนคนที่โดนกดอย่างที่อาจารย์ว่า ศิษย์อยู่ข้างหน้าไม่มีอะไรให้เกาะ มีแต่ถูกบังคับให้ยืนไว้ ส่วนคนข้างหลังมีที่เกาะก็เกาะเข้าไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  สุดท้ายคนที่ยืนข้างหน้าข้างหลังใครยืนเก่งกว่ากัน (คนข้างหน้า)  เพราะว่าเราเหมือนกับได้รับสิ่งที่ลำบากมากกว่า เมื่อเทียบไปแล้วคนที่อยู่ข้างหน้าก็เหมือนกับอาจารย์อาวุโสที่อยู่ข้างหน้า เหมือนกับอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมที่อยู่ข้างหน้า ยิ่งอยู่หน้าเท่าไรยิ่งไม่มีอะไรให้เกาะ  เมื่อเราเป็นอาจารย์บรรยายธรรม เมื่อเราเป็นฐันจู่ หรือขณะที่เรานำใครอยู่ เราก็คือผู้นำ แล้วผู้นำก็ต้องยืนอยู่ข้างหน้าไม่มีอะไรให้เกาะ มีแต่ถูกกดไว้แล้วก็ต้องตัดสินใจต้องเลือก ต้องคิด ทั้งที่คิดไม่ออกแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากศิษย์สามารถพ้นได้ก็จะเป็นคนที่ยอดเยี่ยม
การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เรื่องที่ลำบากจนเกินไป เพราะว่าในปัจจุบันนี้ให้ศิษย์บำเพ็ญธรรมในขณะที่อยู่ในบ้าน ไม่ได้ให้ออกไปบำเพ็ญคนเดียว ศิษย์ยังมีพ่อยังมีแม่ ยังมีญาติและคนรอบข้าง เมื่อเวลาที่เรายากลำบากก็ยังมีคนที่คอยช่วยเหลือเราอยู่ การบำเพ็ญธรรมยุคนี้จึงไม่ยากจนเกินไป แต่สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการบำเพ็ญธรรมในตอนนี้คือการฝ่าจิตใจของตัวเราเอง จิตใจของเราเองที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดสำหรับการบำเพ็ญธรรม  เมื่อวานเซียนน้อยมาพูดให้ศิษย์ได้รู้จักดีไม่ดีเป็นอย่างไร ธรรมะไปใช้ในชีวิตประจำวันใช้อย่างไร  เมื่อวานนี้เป็นภาพมนุษย์ สอนให้รู้เรื่องมนุษย์และการคงอยู่ในโลกมนุษย์นี้  ถ้าหากว่าศิษย์กลับไปบำเพ็ญธรรม ศิษย์เอาธรรมะที่เมื่อวานใช้ ไปใช้กับชีวิตทุกวันได้และเป็นคนดีที่หนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่วันนี้อาจารย์สอนให้ศิษย์บำเพ็ญธรรมเพื่อให้กลับไปเป็นพุทธะ หากว่าศิษย์สามารถทำได้ศิษย์ก็เป็นพุทธะ เพราะคนที่เป็นพุทธะได้ต้องมาจากมนุษย์
(พระอาจารย์เมตตาถามหัวหน้าชั้นว่า)  กลับไปบ้านจะทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรก (เปิดประตูบ้าน)  ลองตีความหมายว่า เปิดประตูบ้าน เทียบกับอะไร ธรรมะคือธรรมชาติไม่ว่าศิษย์จะตอบมาอย่างไร จะตลกขบขัน แต่ทุกอย่างสามารถใช้เป็นปริศนาธรรมได้สำหรับอาจารย์  ถ้าหากอาจารย์จะบอกว่า การที่ศิษย์เกิดมาชีวิตหนึ่งนี้ก็เปรียบเสมือน ศิษย์เดินเข้าบ้านหลังหนึ่ง เดินเข้าบ้านหลังนี้แล้วศิษย์ยังไม่เคยออกมาเลย วันๆ เฝ้าแต่คิดว่าความดีเป็นอย่างไร ถ้าจะบำเพ็ญธรรมะ บำเพ็ญอย่างไร เงินทองหามาอย่างไร วันๆ มีแต่นั่งคิดไปต่างๆ นาๆ คำว่าเปิดประตูในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า เปิดประตูเข้าไป เพราะศิษย์เข้าไปตั้งนานแล้ว อาจารย์หมายความว่า ให้ศิษย์เปิดประตูออกมาจากความคิดเพ้อเจ้อ ความคิดฝันกลางวันออกมาจากการคาดเดา ถ้าหากว่าเราเอาชีวิตของเราตั้งอยู่บนโลกแห่งความจริง ศิษย์จะได้รู้ว่า ชีวิตของศิษย์มีค่ามากกว่านั้น มีค่ามากกว่าการเดินเข้าบ้านหลังหนึ่งไป แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนั้นโดยที่ไม่เคยทำอะไรเลย ไม่เคยออกมาทำประโยชน์ให้กับใคร เราออกจากบ้านหลังนั้นมาเพื่อที่จะทำประโยชน์ให้กับคนอื่น  การเปิดประตูครั้งนี้ อาจารย์หมายความว่า ขอให้ศิษย์ได้เปิดประตูออกมา เปิดประตูความทิฐิ เปิดประตูของความอิจฉา ความเพ้อเจ้อ ออกมาอยู่กับโลกของความเป็นจริง ทำในสิ่งที่ตัวเองสมควรจะทำ ชีวิตคนไร้ค่าก็เพราะศิษย์รู้ว่าสมควรทำอะไร แต่ยังไม่เคยลงมือ จิตใจหนึ่งเต็มไปด้วยความกลัว กลัวว่าถ้าทำอย่างนี้แล้ว จะโดนคนว่า กลัวว่าถ้าทำออกไป
แล้วจะไม่ได้ดีเท่าไร ก็เลยไม่เคยกล้าลงมือทำ  แต่กลับกัน การเล่นหวยเป็นเรื่องที่น่าทำไหม (ทำ) แล้วศิษย์รู้ไหมว่าการที่เราไปซื้อจะขาดทุนหรือได้กำไร (ขาดทุน)  ก็รู้อยู่แล้วว่าถ้าหากเราออกไปซื้อเราก็ต้องขาดทุนแน่นอนใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยส่วนใหญ่ก็โดนกิน แต่ทำไมกล้าไปทำ (เป็นกิเลส, ความโลภ)  ในทางกลับกันสิ่งที่เรารู้อยู่แล้วว่าเป็นสิ่งไม่ดี แต่บางทีศิษย์กล้าไปทำมากกว่าที่จะไปทำดี เพราะอะไร ในเรื่องนี้ก็บอกว่าศิษย์มีความโลภ มีความอยากได้เงิน ต่อเรื่องอื่นๆ ที่เป็นลักษณะนี้ กับเรื่องที่เป็นความดีส่วนใหญ่เราก็ไม่กล้าไปทำ เรื่องที่เป็นความชั่วส่วนใหญ่เรากล้าทำ  อาจารย์อยากให้ศิษย์มองกลับกัน ถ้าหากว่าศิษย์ไปทำดีต่อสิ่งใดก็แล้วแต่ ผลที่กลับมาอย่างมากที่ไม่ดีที่สุดก็คือ ไม่มีผลตอบแทนของความดีนั้นกลับมาเลย อย่างเช่นเราไปช่วยเขาแต่เขาบอกว่าเรายุ่งไม่ดูตาม้าตาเรือ อย่างมากก็แค่นั้น วันหลังเราก็ต้องดูตาม้าตาเรือใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะว่าเขาแนะนำว่าเรายังไม่ได้ดู วันหลังเราก็ต้องดูใช่หรือเปล่า (ใช่)  จะเข็ดไหม (อย่าเข็ด)  ส่วนใหญ่แล้วเข็ด แต่พอเป็นเรื่องทำความชั่ว ไปซื้อหวยแล้วถูกกิน ครั้งต่อไปซื้อไม่ซื้อ (ซื้อ)  เรื่องไม่ดี อย่างคนนี้บอกว่าไม่เคยซื้อ แต่ถามว่าไม่เคยเลยหรือชีวิตนี้ ก็ตอบว่าเคย กับเรื่องที่ไม่ดีก็เคยทำมาแล้ว  บางคนก็ทำครั้งหนึ่ง บางคนก็ทำสองครั้ง อย่างนี้กลับกล้าที่จะลองใช่หรือไม่ (ใช่)  ความไม่ดีนั้นก็เหมือนเหล้า กินแล้วก็เมา มีกี่คนที่กินแล้วไม่เมามีไหม (ไม่มี)  ถ้าหากว่ายังไม่เมากินมากๆ ไปก็เมา หากว่าเรากินจนไม่เมาได้แสดงว่าเราต้องเป็นเซียนเหล้าทีเดียวใช่หรือไม่ (ใช่)  กินมากๆ เป็นโรคตับแข็ง อย่างนี้เป็นเซียนเหล้าหรือเป็นเซียนบนฟ้าดี  เป็นเซียนกิเลสหรือเป็นเซียนบนฟ้าดี (เซียนบนฟ้า)  ไม่ต้องทำความไม่ดีจนกระทั่งเขาเรียกเราว่าเป็นเซียนนะ อย่างนี้คงไม่ดีเท่าไรใช่หรือไม่ (ใช่)  เซียนเหล้า ผีพนันอย่างนี้เอาไม่เอา (ไม่เอา)  ต้องหัดที่จะทำความดีให้มากๆ ความดีนั้นช่วยจรรโลงโลกเหมือนกับน้ำที่ไว้รดน้ำต้นไม้ ถ้าหากว่าศิษย์นั้นนานๆ ทำทีต้นไม้ของศิษย์ตายไม่ตาย (ตาย)  เราไม่ค่อยรดน้ำต้นไม้ก็ตายใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่ารดน้ำตรงเวลาตามเวลาต้นไม้ตายไม่ตาย (ไม่ตาย)  ชีวิตของเราก็คือต้นไม้ต้นนั้น อยากให้ต้นไม้ของชีวิตของเราตายไหม (ไม่อยาก)  ถ้าไม่อยากให้ต้นไม้ของเราตายก็ต้องหัดทำความดีมากๆ ถ้าหากทำความชั่วก็เหมือนกับอะไร (การไม่รดน้ำต้นไม้)  ในที่นี้รู้เรื่องต้นไม้ทุกคน ต้องให้อาจารย์สอนปลูกต้นไม้ไหม ถ้าหากว่าต้นไม้โดนอะไรแล้วจะตาย (แมลงที่กัดกินต้นไม้)  การทำไม่ดีก็เหมือนกับแมลงกัดต้นไม้ ความไม่ดีได้เข้าไปกัดต้นไม้ทีละนิดทีละหน่อยจนต้นไม้ต้นนี้ตายโดยไม่รู้ตัวเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นให้ศิษย์เลือกระหว่างความดีที่เหมือนกับน้ำที่ไปรดไปหล่อเลี้ยง กับให้ศิษย์เลือกทำความชั่วที่เหมือนแมลงกัดต้นไม้ตายโดยไม่รู้ตัว จะทำอะไรกับชีวิตของตัวเองดี (ทำความดี)
“อย่าให้เรือล่มเมื่อใกล้จอด เพียรตลอดอย่าให้ความพยายามถึงฝั่งก่อน”  ระหว่างเรือกับความพยายาม เรือก็คือตัวเราที่อยู่บนเรือกับความพยายามต้องไปควบคู่กันใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยส่วนใหญ่แล้วศิษย์ของอาจารย์เกือบทำสำเร็จแล้ว แต่ความที่ว่าเพียรพยายามมานานมากเกินไป ความพยายามไปถึงที่สุดก่อนที่ความสำเร็จจะวิ่งมาหา บางทีความสำเร็จอยู่แค่เอื้อม แต่ความสำเร็จนี้ไม่มีรูปให้ศิษย์เห็นเหมือนกับเสื้อผ้า เงินทอง ความสำเร็จเหล่านี้ไม่มีรูปให้ศิษย์เห็น ศิษย์จึงไม่รู้ว่าเราควรที่จะทำต่อไป คำว่า “ใกล้” ของอาจารย์บางทีก็ไม่ได้หมายความว่าสองวัน คำว่าใกล้อาจจะหมายถึงสองปีก็ได้ แต่หมายความว่าในที่สุดจะสำเร็จอยู่แล้ว แต่ความพยายามของเราไปถึงฝั่งก่อน ส่วนเรือของเราที่พยายามจะพายอยู่นี้มันไม่ไปถึง ถ้าหากว่าความพยายามไปถึงฝั่งก่อนเรือ เรือลำนี้ก็ล่มเมื่อใกล้ที่จอดใช่หรือไม่ (ใช่)
“คนสองสีอาจารย์หนาวหนาวร้อนร้อน”  คนสองสีมีสีขาวมีสีดำ แต่ว่าสองสีในที่นี้ไม่ใช่สองสีเหมือนเสื้อผ้า แต่หมายถึงสองสีที่จิตใจ จิตใจที่เป็นสองฝักสองฝ่าย รักดีบ้างรักชั่วบ้าง รักชอบบ้างรักไม่ชอบบ้าง พอใจบ้างไม่พอใจบ้าง นึกอยากปลงก็ปลง ไม่อยากปลงก็ไม่ปลง นึกอยากได้ก็เอามา ไม่อยากได้ก็ไม่เอามา คนส่วนใหญ่ก็จะเป็นอย่างนี้ คือ ตามจิตใจตนเองเสียจนเคยตัว ในที่สุดแล้วเป็นอย่างไร ไม่ได้อะไรมาเป็นชิ้นเป็นอย่างเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ต่อให้เบื้องบนอยากจะช่วยก็ช่วยไม่ถูกเพราะว่าศิษย์เอาแต่ใจของตัวเอง นึกอยากทำก็ไปทำ นึกไม่อยากทำก็ไม่ทำ ถ้าหากว่าศิษย์เป็นคนที่ต้องช่วยคนๆ นี้จะเบื่อไหม (เบื่อ)  แต่อาจารย์ไม่ได้เบื่อหรอกนะ ไม่ได้เบื่อศิษย์ของอาจารย์ แต่ว่าอาจารย์มีศิษย์มากมายเข้าใจนะ เพราะฉะนั้นเราต้องทำตัวให้เป็นคนแน่นอน คนที่แน่นอนไม่ว่าจะพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นก็ชื่นชม แม้แต่มนุษย์ด้วยกันก็ยังจะชื่นชม ชอบช่วยเหลือซึ่งกันและกันใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้จักที่จะเป็นคนที่แน่นอน เมื่อเราคิดจะทำดีก็ต้องทำดี เมื่อเราคิดจะทำไม่ดีก็ต้องรู้จักกลับตัวกลับใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่บอกว่านึกจะทำดีก็ทำ พอนึกจะทำไม่ดีก็ไปทำอีก แบบนี้เสร็จแน่ๆ เลย
การที่อยากจะบำเพ็ญธรรมนั้นมีอยู่ทางเดียวคือ ทางที่จะทำดีเท่านั้น แต่การทำดีนั้นมีอยู่หลายลักษณะ หลายรูปแบบ หลายสถานะการณ์ ต้องใช้ปัญญาของเรามาช่วยใช่หรือไม่ (ใช่)  ศิษย์ต้องยอมให้ความต้องการ ความเชื่อมั่นของศิษย์ควบคู่ไปกับปัญญาและความรู้ของศิษย์ บางคนความรู้น้อยความต้องการก็ต้องน้อยด้วย บางคนมีความเชื่อมั่นมาก ปัญญาของศิษย์ก็ต้องสูงด้วย จึงจะควบคู่ไปพร้อมๆ  กันได้ บางคนความรู้น้อย ภาวะที่จะได้มาน้อยแต่ความต้องการของศิษย์ไม่สมดุลกัน เพราะฉะนั้นเราจึงเกิดความล้มเหลวขึ้นบ่อยๆ  ระหว่างความต้องการและความรู้ ความเชื่อมั่นและปัญญาจะต้องควบคู่กัน จะต้องให้ตัวเองอยู่บนความสมดุลให้ได้ ปัญญานั้นนำมาพลิกแพลง ความเชื่อมั่นต้องคงอยู่และจะต้องมีสืบไป บนเหตุบนผล บนความถูกต้องเข้าใจไหม
เมื่อวานเซียนน้อยบอกว่านักเรียนที่นี่เบื่อเก่ง นั่งๆ ไปยังกล้าหลับ ถ้าหากว่าอาจารย์มาสอนศิษย์ที่นี่ อาจารย์ก็คงต้องบอกว่าถ้าเปรียบไปก็เหมือนกับพุทธะเบื้องหน้า พุทธะที่สำเร็จไปก่อนหน้านี้ท่านนั่งเกวียนลุยไปข้างหน้าตามรอยเกวียน เมื่อเกวียนผ่านไปศิษย์ยังเห็นรอยไหม (เห็น)  ศิษย์ของอาจารย์ถึงแม้ว่าจะลำบากมากเท่าไรในการมุ่งมั่นบำเพ็ญธรรม ศิษย์ก็ยังพอจะมองเห็นรอยเกวียนที่คนข้างหน้าเขาวิ่งไปแล้ว ศิษย์ก็แค่วิ่งตามรอยเกวียนนั้นมา บางทีบางเรื่องเคยเกิดมาแล้วในอดีต ศิษย์ก็แค่เดินตามหรือทำตาม แก้ปัญหาอย่างที่คนข้างหน้าเขาแก้ แต่ไม่ใช่เลียนแบบไม่ใช้ปัญญาเลย  ต้องใช้ปัญญาบ้าง เพราะว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป สิ่งต่างๆ รอบตัวก็เปลี่ยนไป จิตใจของมนุษย์สมัยนี้ก็ไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่ว่าจิตใจของมนุษย์สมัยนี้จะไม่ดี แต่จิตใจของมนุษย์สมัยนี้ขึ้นๆ ลงๆ เอาแน่นอนไม่ได้ ไม่เหมือนกับจิตใจของคนสมัยก่อน จิตใจของคนสมัยก่อนถึงแม้ว่าเขาจะไม่ดีแต่เขาก็หนักแน่น ในสมัยนี้คนไม่ดี หรือคนดี ก็ไม่ค่อยหนักแน่น การที่เราจะแก้ปัญหาอะไรสักอย่างก็เลยเป็นเรื่องยาก เหมือนกับที่อาจารย์บอกศิษย์ตั้งแต่ต้นว่า ศิษย์เคยตัดกิเลสอันนี้ไปได้แล้ว แต่ถึงวันดีคืนดีก็กลับมาใหม่เพราะว่าเราไม่หนักแน่นพอ  เมื่อตัดแล้วก็ตัดไม่ขาดเลยกลายเป็นปัญหาใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าอยากจะหนีปัญหาก็หนีไม่พ้น แต่หากว่าอยากจะแก้ปัญหาก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองใช่หรือไม่ อย่าไปเสียดายจิตใจของเราที่เราเคยหลงสิ่งนี้ เคยรักสิ่งนี้ เคยชอบสิ่งนี้ บางทีก็เหมือนกับการตัดเนื้อร้ายสักชิ้นออกไป  ถ้าหากว่านิ้วของศิษย์เป็นนิ้วที่เสียถ้าหากว่าไม่ตัดเนื้อร้ายก็จะกินไปเรื่อยๆ จนแขนกุด ศิษย์จะทำอย่างไร จะปล่อยให้กินไปเรื่อยๆ หรือไม่ เราก็ต้องพยายามหาวิธีทางรักษา แต่หากทำไม่ได้ก็ต้องยอมตัดทิ้งใช่หรือไม่ ถ้าหากไม่ตัดทิ้งจะเป็นอย่างไร มันก็กินไปเรื่อยๆ  ในที่สุดก็กินไปถึงหัวใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นความเด็ดขาดก็จำเป็นต้องมีในตัวตนทุกคนไป เด็ดขาดเพื่อให้อนาคตของเราดี บางทีการบำเพ็ญก็ขาดความสบาย ขาดคนรัก ไม่มีใครรัก บางทีก็ขาดความแข็งแรงของร่างกาย แต่การบำเพ็ญก็ไม่ได้ให้ศิษย์มีพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่าง คนที่มีพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่างคือคนที่ไม่ยอมบำเพ็ญ  เพราะว่าพร้อมสมบูรณ์มากเกินไปจนกระทั่งลืมไปว่าอยู่ในทะเลทุกข์ ฉะนั้นวันนี้แม้ว่าเราจะมีความลำบากมีอุปสรรคบ้าง แต่นั่นจะเป็นสาเหตุที่จะทำให้ศิษย์กล้าที่จะออกมาบำเพ็ญ บางทียังต้องขอบคุณสิ่งเหล่านี้ด้วยซ้ำ
 (พระอาจารย์เมตตาส่งเสริมหัวหน้าชั้น)  วงคำว่า “ต้อง”  อาจารย์ขอให้ศิษย์แม้ว่าต้องเจออุปสรรคอะไรก็ต้องบำเพ็ญ ได้ไหม (ได้)  เพราะชีวิตคนเราไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ ไม่ใช่จะราบรื่นตลอด อย่างไรก็ต้องบำเพ็ญ  ถ้าทางที่ศิษย์เลือกคือทางนิพพาน เดินไปก็ต้องถึง เพราะยังไงก็ต้องบำเพ็ญ เข้าใจไหม  การเล่นหวยไม่ดี แต่ถ้าถูกก็ดี ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนี้คิดแบบคนที่ไม่มีสิทธิ์จะหลุดพ้น ตอนนี้ศิษย์เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ หากวันไหนมีคนที่อยากได้ศิษย์ของอาจารย์ เพราะรู้ว่าอาจารย์จะพาไปนิพพาน ถ้าหากรู้ว่าคนไหนจิตใจไม่มั่นคงพอ มีจุดอ่อนตรงชอบซื้อหวย ก็ให้ถูกหวยทุกงวดเลย เสร็จแล้วยังจะเป็นศิษย์อาจารย์จี้กงอยู่ไหม ก็ไปเป็นศิษย์ของมารร้าย ไปเป็นศิษย์ของอบายมุข ไปเป็นศิษย์ของคนที่อยากจะลากศิษย์ไปลงนรก ไปหรือไม่ไป  เราไม่ได้มีชีวิตเกิดมาเพื่อกินเหล้า ไม่ได้มีชีวิตเกิดมาเพื่อลุ่มหลง ศิษย์มีชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร (เพื่อชดใช้หนี้กรรม)  ชดใช้หนี้กรรมก็ดี แต่ต้องสร้างบุญด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  พาตัวเองให้หลุดพ้นด้วยดีหรือไม่ (ดี)  ชาตินี้เราเกิดเป็นคนมีความทุกข์มากไหม (มาก)  ตอนนี้บอกมีความทุกข์มาก แต่จริงๆ แล้วอาจจะยังไม่มากเท่าไหร่ก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)   แต่ว่ารอบต่อไปของการเวียนว่ายตายเกิด เราจะไปเกิดเป็นอะไร ตอนนี้เราว่าเราเกิดเป็นคนเราก็ลำบาก ก็ทุกข์แล้ว ถ้าคราวหน้าเกิดไปเป็นหมูให้เขาเชือด ลำบากไหม (ลำบาก)  หมูมีชีวิตวันๆ หนึ่ง สบายหรือเปล่า (ไม่สบาย)  เขามาเลี้ยงเรากิน อยู่ไปก็เหมือนเทวดา เหมือนราชา มีคนเขาประเคนให้ตลอดเวลา เวลาที่เรากิน เขาก็ให้เรากินอย่างเต็มที่ ไม่มีใครห้าม เหมือนกับให้เราถูกกิเลสมาปรนเปรออย่างเต็มที่ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนสมัยนี้ บางคนก็ชอบกินเหมือนหมู กินโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ เรียกว่ามีกิเลสอยู่ที่ปาก กินเข้าไปชาตินี้เป็นอย่างนี้ ชาติหน้าก็เกิดเป็นหมู ดีหรือไม่ (ไม่ดี)  มีชีวิตให้สบายเต็มที่ เกิดเป็นคนกินมากไป มีคนบ่น ถ้าหากเกิดเป็นหมู จะมีคนบ่นไหม (ไม่มี)  ยิ่งเรากินมากเขายิ่งชอบ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  สบายไปตลอดชีวิตเลย จบที่ไหน โดนฆ่าตาย  ตอนนี้เกิดเป็นคนก็ลำบากแล้ว ชาติหน้าจะเกิดเป็นอะไรก็ยังไม่รู้ เกิดเป็นคนก็ยังดี เพราะฉะนั้นเราควรที่จะเริ่มจากจุดที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด อาจารย์พูดศิษย์อาจจะยังไม่เชื่อ ว่าเป็นไปได้อย่างไร เพราะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องยาก อย่างเราหรือจะทำได้ ศิษย์ได้ลองแล้วหรือยัง (ยัง)  แล้วกล้าลองไหม (กล้า)  ซื้อหวยยังซื้อถูกซื้อผิด ตอนนี้ให้ลอง จะลองไหม (ลอง)  ลองสักตั้งดีไหมผู้ชาย (ดี)  ลองสักตั้งดีไหมผู้หญิง (ดี)  ตอนนี้ทุกๆ คนก็เหมือนกับปลาที่อยู่ในน้ำสายหนึ่ง ปลาเมื่อตอนที่เกิด แม้จะเกิดในที่ไกล แต่เขาก็สามารถว่ายทวนน้ำก็ไปสู่ต้นน้ำที่เป็นของเขาได้ นั่นหมายถึงเป็นที่ที่บรรพชนเขาอยู่ได้ โดยที่เขาไม่อาจรู้ด้วยซ้ำว่า ต้นน้ำอยู่ที่ไหน แต่เขาสามารถว่ายไปถูกทิศทาง ศิษย์ของอาจารย์ก็เหมือนกัน ศิษย์ทุกๆ คนมีจิตใจที่อยู่ภายใน พูดอีกทีก็คือญาณหรือจิตแท้  พูดอีกทีก็คือจิตแห่งพุทธะที่อยู่ภายใน  ถึงแม้ว่าตอนนี้ ศิษย์ของอาจารย์จะไม่รู้ว่า จิตพุทธะมาอยู่ในตัวเราได้อย่างไร ไม่รู้ด้วยว่าตัวเรามีจิตพุทธะอยู่ ไม่รู้ด้วยว่าไปนิพพาน ไปอย่างไร ศิษย์ก็เหมือนปลาตัวนั้น ทุกๆ คน รู้วิธีการจะกลับคืนขึ้นสู่นิพพานได้ เพียงแต่ว่าใครอยู่ไกล อยู่ใกล้มากกว่ากัน ในที่สุดศิษย์ก็จะไปถึงโดยที่ศิษย์ไม่รู้ตัวทีเดียว ขอเพียงแต่ว่าเราจำเป็นที่จะต้องฟื้นฟูจิตใจของเราให้เหมือนเดิมให้ได้ ยิ่งจิตใจของเราฟื้นฟูได้เหมือนเดิมมากเท่าไร เราก็ยิ่งใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น  จำที่อาจารย์พูดได้หรือไม่ ปลาตัวนั้นแม้จะอยู่ปลายน้ำ แต่ว่าโดยสัญชาติญาณแล้ว เขากลับต้นน้ำถูกต้อง แม้ว่าเขาจะไม่เคยรู้เลยว่า ต้นน้ำเดิมอยู่ที่ไหน แต่ปลาตัวนี้ว่ายกลับไปถูก เหมือนกับศิษย์ ศิษย์ก็คือปลาที่อยู่ปลายน้ำ ที่มาโดนปล่อยไว้ไกล แต่หากว่าศิษย์เชื่อในสิ่งที่อาจารย์พูด อาจารย์จะบอกว่าศิษย์กลับต้นน้ำถูก บำเพ็ญกลับสู่นิพพานได้ ต่อให้วันนี้ไม่มีอาจารย์ มาช่วยชี้ทางบอกศิษย์ สักวันหนึ่งศิษย์ก็กลับได้ เคยรู้อย่างที่อาจารย์พูดไหม ต่อให้อาจารย์ไม่ชี้บอก ศิษย์ก็กลับถูก เพราะศิษย์มีใจเป็นดั่งพุทธะเหมือนกับอาจารย์ สักวันหนึ่งก็กลับได้ เพียงแต่ว่าอีกนานแสนนาน  แต่ตอนนี้อาจารย์ช่วยย่นระยะทางหรือช่วยบอกทางให้ศิษย์รู้ว่าไปทางนี้ รีบๆ ไปอย่ามัวช้า หรือบางคนอาจารย์ก็จับขึ้นมาแล้วก็พาไปล่วงหน้าจนใกล้ๆ บอกว่าพยายามว่ายไปอีกนิดหนึ่งก็จะถึงแล้ว ขอให้รีบๆ ว่าย ฉะนั้นคนที่เป็นศิษย์อาจารย์ในชาตินี้ อย่างน้อยศิษย์ก็มีคนช่วยคุ้มครอง เพียงแต่ศิษย์ขอให้อยู่ในความคุ้มครองของอาจารย์ด้วยเหมือนกัน นักโทษที่พยายามจะแหกคุก ไม่ยอมรับความผิดของตนเอง พยายามแหกคุกออกมา แม้ว่าจะถูกกักขังไว้แน่นหนา ก็ยังออกมาได้  หากอาจารย์บอกในสิ่งที่ดีแล้ว หากจะพยายามหนีอาจารย์ไปก็ย่อมสำเร็จ เพราะอาจารย์ก็บอกศิษย์อยู่แล้วว่า ไม่ว่าศิษย์จะทำอะไร ก็ทำได้สำเร็จทั้งนั้น ทำดีให้สำเร็จก็ได้ ทำไม่ดีให้สำเร็จก็ได้ สำเร็จเป็นพุทธะก็ทำได้ สำเร็จเป็นผีนรกก็ทำได้ เวียนว่ายตายเกิดต่อไปก็ทำได้ อยากจะเป็นคนเหนือคนก็ทำได้ ศิษย์ของอาจารย์ทุกคนทำได้ทุกอย่าง เพียงแต่ศิษย์จะทำอะไร  อยู่ในโลกมนุษย์ก็คืออยู่ท่ามกลางสวรรค์ และนรก วันหน้าอยากไปสวรรค์ ก็ต้องเลือกทางไปสวรรค์ตั้งแต่ยังมีชีวิต วันหน้าอยากไปนิพพาน ก็ต้องเลือกทางไปนิพพานตั้งแต่ยังมีชีวิต อย่าปล่อยให้ชีวิตสักแต่ลอยไปๆ แล้วรอสักวันให้ไปถึง หากว่าคนทุกคนบนโลกนี้ สามารถกลับคืนนิพพานได้อย่างที่อาจารย์บอก คนที่ปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามยถากรรม คนนั้นจะเป็นคนสุดท้าย แล้วศิษย์อยากเป็นคนสุดท้ายไหม (ไม่อยาก)  หากไม่อยากเป็นคนสุดท้ายที่ไปถึง ก็ขอให้เรารู้จักที่บำเพ็ญ รู้จักตัวเราเองว่าเราต้องแก้ไขปรับปรุงอะไร อย่าคอยให้คนอื่นเตือน เมื่อคนอื่นเตือนก็อย่าไปว่าเขา ทำในสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ศิษย์จะทำได้เวลานี้ ทุกคนเกิดมามีกรรมเหมือนกัน กรรมผลักดันให้ศิษย์เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ การจะหนีให้พ้นกรรมไม่ใช่เรื่องง่าย การต่อสู้กับกรรม ดีที่สุดก็คือหันหน้าเผชิญ ยอมชดใช้และสำนึกเป็นสิ่งที่ดีที่สุด อาจารย์มาทุกครั้งก็จะพูดอะไรที่คล้ายๆ อย่างนี้ แต่อาจารย์ก็เห็นศิษย์ของอาจารย์บางทีก็เข้าใจ บางทีก็ไม่เข้าใจ หรือบางทีศิษย์อาจจะเข้าใจ แต่ในทางปฏิบัติกลับอยู่ตรงกันข้ามกับความเข้าใจของศิษย์ เกินกว่าที่อาจารย์จะเชื่อว่าศิษย์เข้าใจจริงๆ 
 (พระอาจารย์เมตตาประทานท๊อฟฟี่)
เห็นท๊อฟฟี่ไหม อาจารย์มักจะแจกท๊อฟฟี่ให้ศิษย์แล้วพูดว่า ขอให้ศิษย์เป็นคนพูดจาหวานๆ พูดจารื่นหู เพราะมีแต่คนที่ชอบฟังคำพูดที่ดีๆ ทั้งนั้น ไม่มีใครชอบฟังคำพูดที่ทิ่มแทงใจ เพราะว่าคำพูดมันทิ่มแทงใจได้มากกว่าอาวุธศาสตราใดๆ ไม่ว่าเราจะเป็น คนประเภทไหน จะเป็นคนชอบอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ตอนที่เราพูดออกมาต้องรู้จักพูดแต่สิ่งที่ดีเท่านั้น คนเรามีภาพพจน์ของตัวเองอยู่ ถ้าหากว่าการที่เราสามารถที่จะสร้างภาพพจน์ของเราได้ด้วยคำพูดก็จะเป็นการดี แต่ว่าภาพพจน์จากคำพูดก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่มีอยู่ ย่อมต้องประกอบไปด้วยการกระทำ การปฏิบัติ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ความจริงใจ เพราะว่ามนุษย์สมัยนี้ไม่ค่อยจะมีความจริงใจให้กัน เวลาที่ทำอะไรแล้ว ไม่ค่อยจะมีความจริงใจให้กัน ก็เลยกลายเป็นดาบสองคมที่จะประหัตประหารตัวเอง ถ้าหากว่าเราพูดดี ก็ต้องรู้จักที่จะทำดี เมื่อเราสร้างภาพพจน์ด้วยคำพูด ก็ต้องรู้จักที่จะรักษาภาพพจน์นั้นๆ ด้วย อันว่าพูดอะไรต้องทำสิ่งนั้นได้ ถ้าหากว่าพูดแล้วทำไม่ได้ คนเขาก็ไม่ฟังเรา เหมือนอาจารย์บรรยายธรรม ถ้าหากว่าเราพูดธรรมะได้ดี เราก็ต้องทำได้ดีด้วย จึงเป็นการรักษาภาพของตนเองอยู่ อย่าเป็นคนที่สร้างภาพ เพราะว่าคนใช้เวลาตลอดชีวิตในการพิสูจน์ซึ่งกันและกัน  วันนี้เราให้เขาเห็นว่าเราเป็นคนอย่างไร วันพรุ่งนี้ วันมะรืนนี้ ปีสองปียังพอไหว บางคนไม่ได้เจอกันบ่อยๆ ก็ยังดี ถ้าเจอกันทุกวัน ถ้าเป็นนักสร้างภาพจะทำอย่างไร เพราะฉะนั้นขอให้ภาพต่างๆ มันออกมาจากใจของศิษย์ ดีก็ดีมาจากใจ ไม่ดีก็ต้องขจัดให้ทิ้งไปจากใจ
(พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้)  ยืนๆ ริมบันไดอย่าให้ตกบันไดไปนะ เดี๋ยวจะต้องกลับไปอยู่กับอาจารย์เร็วเกินเหตุ หรือไม่อีกทีหนึ่ง กลับไปอยู่ไม่ได้เพราะว่ามาเร็วเกินไป กุศลยังไม่ทันจะสร้าง
ทำไมอาจารย์แจกท๊อฟฟี่วันนี้ ท๊อฟฟี่ก็มีรสชาติหวานอร่อยดีใช่หรือไม่ เคยเห็นเด็กกินท๊อฟฟี่ไหม กินมากๆ ฟันก็ผุ เพียงแต่ผู้ใหญ่รู้จักระมัดระวังมากกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในสายตาอาจารย์ศิษย์ทุกคนก็ยังเป็นเด็กอยู่ เป็นเด็กที่กินท๊อฟฟี่แล้วฟันผุทุกคน แต่ไม่ได้ผุที่ฟัน ไปผุที่ใจเพราะอะไร เวลาเรากินท๊อฟฟี่ไปมันก็มีรสชาติหวาน เป็นเด็กก็ติดใจรสชาติหวานอย่างนี้ รสชาติหวานๆ อย่างนี้ก็เปรียบเหมือนกับกิเลสของเราเอง กิเลสก็มีสิ่งที่ทำให้ศิษย์ติดใจ ติดใจรสชาติความหวาน เวลาที่เรามีกิเลส พอกินเข้าไปแล้วก็ติดใจ ยิ่งกินก็ยิ่งติดใจ แต่ในที่สุดฟันก็ผุ ใจก็ผุ ผุเพราะว่ากิเลสที่เราสะสมมากเกินไป  เพราะฉะนั้นบางทีจึงต้องลด ละ และก็เลิกใช่หรือไม่ (ใช่)  เด็กๆ เวลาเขาจะกินท๊อฟฟี่เขาก็กินได้ตามใจ เขาอยากจะกินเท่าไรเขาก็กิน ถ้าเราไม่ไปห้ามเขาก็กินไปเรื่อยๆ  ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ตอนนี้ศิษย์ของอาจารย์ก็กำลังอมอยู่เหมือนกัน แต่อมกิเลสไว้ แล้วพออมไปเรื่อยๆ  ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักห้ามตัวเองเราก็กินไปจนฟันของเราผุ เราอมกิเลสไว้ก็ทำให้ใจของเราผุใช่หรือไม่ (ใช่)  มันเป็นผลของการสะสม เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จักที่จะยับยั้งช่างใจของตัวเราเอง ถ้าหากว่าไม่รู้จักยับยั้งช่างใจตัวเองแล้ว ใครจะเป็นผู้ห้ามไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะเวลาคนห้ามไม่ชอบฟังใช่หรือเปล่า ถึงฟังก็ไม่เชื่อใช่หรือไม่ หน้าอย่างหลังอย่างก็มี ล้วนแต่เป็นความไม่ดี ต้องพยายามที่จะเตือนตัวเองถ้าหากว่าไม่ชอบให้คนอื่นเตือนเข้าใจไหม (เข้าใจ)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทว่า .เห็นแก่ส่วนรวม”  ไว้ที่สถานธรรมฉงเต๋อ และได้ประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทว่า “มากกว่าส่วนตน” ที่สถานธรรมเจิ้งซิน)  คำว่า เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน เป็นหนึ่งในความตั้งใจของพุทธะอริยะ หรือว่าวีรชนปราชญ์ทั้งหลายที่พร่ำช่วยคนอื่น ถ้าหากคิดเราจะทำทุกอย่างเพื่อตัวเองแล้วจะมีใครทำเพื่อคนอื่นบ้าง ถ้าหากว่าเราคิดว่าทำทุกอย่างเพื่อตนเองจะมีวีรบุรุษที่ไหน ที่เขาถูกยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ วีรชนก็เพราะว่าเขานั้นช่วยผู้อื่น อันว่าช่วยนั้นมีช่วยมาก ช่วยน้อย อาจารย์ไม่ได้อยากให้ศิษย์เป็นวีรชนพร้อมๆ  กันทุกคน เพราะฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์รู้จักช่วยผู้อื่นเท่าที่ตัวเองสามารถที่จะทำได้ในเวลาอันเหมาะสม บางคนชักช้าเห็นแล้วแต่ทำเป็นไม่เห็น ผ่านๆ  เลยไป ถึงเวลาผ่านเลยไปแล้วคิดว่าตอนนั้นน่าจะช่วยแล้วเป็นอย่างไร เสียใจไหม (เสียใจ)  ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ เช่น คนจมน้ำตายศิษย์จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต แต่หากว่าเป็นเรื่องเล็กๆ  เช่น เห็นแม่บ้านกำลังทำกับข้าว คิดว่าจริงๆ  เราน่าจะช่วยเขา แต่ความที่ว่าเราเป็นผู้ชายเราไม่ชอบช่วย เราก็ไม่ช่วย การแสดงน้ำใจเล็กๆ  น้อยๆ  ทำไม่ได้ ถามว่าวันหลังเรียกให้แม่บ้านช่วย แม่บ้านอยากช่วยไหม ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักช่วยเขา เขาจะช่วยเราไหม พูดง่ายๆ ถ้าหากว่าคนเป็นลูกเห็นแม่ทำกับข้าวอยู่เราน่าจะเดินเข้าไปช่วยแต่เราไม่ช่วย ถึงเวลาผ่านไปแล้ว และมาคิดว่าตอนนั้นเราน่าจะช่วยแม่ ผ่านไปแล้วอาหารออกมาแล้วจะช่วยทันไหม  คนที่อยู่อุบลฯ ต้องรักสามัคคีกันให้ดีๆ ปีๆ ผ่านไปเราไม่รู้อนาคตเราเป็นอย่างไร ปีที่แล้วก็มีคนช่วยเรามากกว่านี้ ปีนี้แม้แต่จะช่วยกันเขาก็ยังไม่ยอมมาเลย เพราะฉะนั้นต้องดูว่าเราดูเขาแล้วเอามาเป็นตัวอย่าง ว่าเราจะไม่แตกแยกกันอย่างนั้น ไม่ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็อภัยกัน รักกัน สามัคคีกัน ทำได้ไหม  สิ่งใดก็แล้วแต่ที่ผ่านมาศิษย์ที่อยู่ตรงนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว สิ่งใดที่เคยเห็นเป็นสิ่งที่ไม่ดีเก็บมาเป็นบทเรียน และต้องจำไว้ว่าเราจะบำเพ็ญตลอดชีวิต ฉะนั้นเวลาที่เราต้องทน ก็ขอให้ทน ถ้าหากว่าเราทนไม่ไหวอาจารย์อยากให้ศิษย์สงบใจลงพิจารณา ปล่อยวางได้ก็ปล่อยวาง บำเพ็ญธรรมะก็ต้องใช้ธรรมะให้เป็น ถ้าหากว่าใช้ธรรมะไม่เป็นจะได้ชื่อว่าบำเพ็ญธรรมะแต่ชื่อเข้าใจไหม เวลาเจอคนทะเลาะกันพยายามอย่าเข้าข้างใครคนไหนมากกว่าใคร ถ้าหากว่าเราไม่รู้จริง ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะทำให้ความแตกแยกที่เกิดขึ้นลามไปมากกว่าเดิม ทุกคนที่เป็นศิษย์อาจารย์ก็บำเพ็ญธรรมะด้วยหัวใจทั้งนั้น อันว่าเคยที่จะเป็นศิษย์อาจารย์ เคยฟังคำพูดของอาจารย์ทุกคนก็มีจิตใจที่ดีงาม เพียงแต่ชั่วขณะหนึ่งถูกสิ่งที่ไม่ดีมาบดบัง เราอย่าได้โกรธกัน เราอย่าได้เถียงกัน ขอให้เรามีความเข้าใจ และเชื่อว่าทุกคนบำเพ็ญธรรมะด้วยหัวใจเช่นกัน ในตอนนี้เวลาที่คนเขาโมโห เวลาที่คนเขาโกรธ พูดอะไรไปก็คงฟังไม่เข้าหู แต่อย่าลืมว่าเราต้องห้ามปากของเรา ที่เรามีไว้พูด
เมื่อวานนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์สอนไว้ว่าอย่างไร สอนไว้ว่าตาไปบอกหัวใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ให้เราควบคุมหัวใจและไปควบคุมตา ควบคุมหัวใจและมาควบคุมปากของเรา ให้เราพูดแต่ในสิ่งที่ดีเท่านั้น บางเรื่องปล่อยผ่านๆ ไป เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างก็จะดีขึ้น บางเรื่องก็ไม่ใช่อย่างนั้นที่ไม่ดีขึ้นก็อาจจะดีขึ้น ก็อาจจะเป็นเพราะเราเป็นส่วนที่ทำให้เขาแตกแยก เพราะเราพูดเยอะก็เป็นไปได้ ฉะนั้นเวลาเจอคนที่ทะเลาะกัน คนที่ไม่เข้าใจกัน ถ้าจะพูดก็ขอให้พูดแต่สิ่งที่ดี ศิษย์ต้องเชื่อมั่นว่าทุกคนเข้ามาบำเพ็ญธรรมะเดิมทีเข้ามาด้วยหัวใจ ตอนนี้ก็ยังด้วยหัวใจ ไม่มีอะไรที่อาจารย์จะสอนศิษย์ได้ดีเท่ากับการรู้จักควบคุมตัวเอง ถ้าสมมติเราเป็นคนที่ทะเลาะกันอยู่ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายข้างซ้าย หรือข้างขวาที่เขายืนทะเลาะกันอยู่ก็ดี ไม่ว่าฝ่ายข้างซ้ายหรือฝ่ายข้างขวา คนใดคนหนึ่งยอมที่จะหยุด เรื่องก็จะหยุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการควบคุมตัวเองก็ยังเป็นสิ่งที่ดีอยู่ บางทีบางเรื่องจบลงได้ด้วยคำว่าขอโทษ เราก็ขอโทษ  บางทีบางเรื่องจบลงได้ด้วยคำว่า ขอบคุณ เราก็ขอบคุณ  บางทีบางเรื่องจบได้ด้วย การหยุดเราก็หยุด  อย่าได้ใช้อารมณ์มาเป็นเหตุ อย่าใช้อารมร์มาเป็นหลัก แต่คำว่า ขอบคุณ ขอโทษ ทั้งหลายนี้ ต้องมาจากหัวใจของเรามันถึงจะดี เวลาศิษย์เห็นคนยิ้มไม่จริงใจศิษย์มองออกไหม (ออก)  เวลาศิษย์เห็นคนหัวเราะไม่จริงใจ ศิษย์เห็นไหมว่าเขาไม่จริงใจ (เห็น)  เพราะทุกคนมีสายตาที่แจ่มชัด แต่อย่าให้ชัดเกินกว่าความเป็นจริง ไม่ใช่ชัดแบบเราเห็นเองว่ามันชัดก็ชัดอยู่คนเดียว คนอื่นตาพร่าหมด มีแต่เราชัดเท่านั้น อย่างนี้เราก็เป็นคนที่ทำให้เรื่องใหญ่โตเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดีที่สุดคือควบคุมตัวเอง ถ้าหากว่าเราเป็นสาเหตุและปัญหา เราต้องทำให้มันจบ แต่ไม่ใช่พยายามให้จบแบบไม่ให้ใครรู้ ไม่ให้ใครเห็น บางทีเราต้องสำนึกว่า ความห่วงใยที่ทุกคนมีให้เขาก็อาจจะห่วงใยด้วยการพูดเยอะไปหน่อย บางทีก็ห่วงใยด้วยแววตาที่ชัดไปหน่อย ทำไมเราไม่มองโลกในแง่ดีและทุกอย่างจะดีขึ้น
ตอนนี้ก็ใกล้จะปีใหม่อยู่แล้ว เดือนนี้ก็เป็นเดือนธันวาคมแล้ว ผ่านมาแล้วก็ผ่านมาอีกปี บำเพ็ญก็ต้องดีขึ้นทุกๆ ปี แต่ว่าไม่ใช่บำเพ็ญแล้วถอยหลังไปทุกๆ ปี หรือว่าก้าวไปสู่วันหน้าที่เราอาจจะเหมือนใครสักคนที่เราเห็นตอนนี้มันก็จะไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขอให้ศิษย์ทุกๆ คน ดูแลตัวเองให้ดีๆ อย่ารักแต่ตัวเอง มองให้เห็นผู้อื่น มองให้ทะลุผู้อื่น เลือกมองแต่ในสิ่งที่ดีๆ อย่าไปมองในสิ่งที่ไม่ดีของเขา ทำได้ไหม (ได้)  ความสามัคคี ความปรองดองอยู่ที่ไหนมันก็ต้องต่างส่งมือออกมา ไม่ใช่เราส่งอยู่คนเดียวหรือเขาส่งอยู่คนเดียว อย่างนี้ก็จะลำบาก ใกล้ปีใหม่แล้วอาจารย์อวยพรให้ศิษย์ทุกๆ คน มีชีวิตที่ราบรื่นมากขึ้น ด้วยการละอารมณ์ ละกิเลสให้เบาบางลง อย่าเอาแต่ใจมาก สิ่งใดไม่ดีก็แก้ไข สิ่งใดไม่ดีก็ทบทวน สิ่งใดไม่ดีก็ขจัดทิ้ง ถ้าหากว่าปีใหม่ทุกๆ ปี ศิษย์ของอาจารย์ขจัดทิ้งได้ทุกปี เมื่อขึ้นปีใหม่ก็จะเป็นปีที่ดีของศิษย์ทุกๆ ปี คนเราชีวิตไม่แน่ไม่นอนเหลือเกิน วันนี้ก็ไม่รู้พรุ่งนี้เป็นอย่างไร คนที่จะเสียชีวิตก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นคนแก่เสมอไป เป็นศิษย์อาจารย์ก็ไม่ใช่ว่าจะรอดพ้นความตายเสมอไป ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกๆ คน อย่าได้ผัดวันประกันพรุ่งในการจะทำความดี ขอให้ศิษย์ทุกๆ คน เฝ้ารักสถานธรรมเหมือนรักบ้านตัวเอง มีเวลาก็มาช่วยกัน อย่าเกี่ยงกัน ยังเป็นเด็กก็ทำตัวเป็นเด็กที่ดี  ทุกๆ คนเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในหัวใจของอาจารย์เสมอ อย่าให้ความท้อแท้เข้ามาแปดเปื้อนจิตใจของตัวเอง จนมากมายเกินกว่าคำว่า “บำเพ็ญ”  วันนี้อาจารย์เรียกศิษย์ทุกๆ คน ก็เรียกศิษย์รัก เรียกศิษย์ทุกคนก็เรียกศิษย์เมธี แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเมธีหรือเปล่า คงต้องพยายาม อาจารย์อยากให้สถานธรรมที่นี่ งานธรรมะได้รุ่งเรือง ทุกคนเป็นคนที่เอาแน่เอานอนได้ ในสายตาของอาจารย์ งานธรรมะโดยการนำพาของ ฮวั๋งจิงหลี่ ดูยากลำบากก็เพราะทุกคนมีจิตของความเป็นคนอยู่มากเกินไป อาจารย์อยากให้ศิษย์มีจิตใจแห่งพุทธะให้มากๆ ถึงเวลาต้องเด็ดขาดก็ต้องเด็ดขาด ถึงเวลาควรจะหยุดก็ต้องหยุด ควรละอารมณ์ ควรจะอภัยได้แล้วก็ต้องอภัย ทุกคนต่างควบคุมตัวเอง ต่างรู้จักตัวเอง ทุกคนดีงานธรรมะก็ดีเอง รู้ไหม (รู้)
การบำเพ็ญธรรมะเป็นสิ่งที่สูงส่ง ศิษย์ต้องทำจิตใจให้สูงส่ง ชีวิตไม่ใช่เรื่องที่สุขเท่าไรนะ ดูแลตัวเองให้ดีนะ แล้วเจอกันใหม่  บางทีอาจารย์รู้ว่าศิษย์บางคนนั้นบำเพ็ญธรรมไปได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง อาจารย์ก็ยังมีความหวังอยู่ลึกๆ หวังว่าการบำเพ็ญธรรมที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตานี้ จะสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาของศิษย์ได้ จริงๆ แล้วมันเปลี่ยนได้ แต่ศิษย์ต้องเข้มแข็งกว่านี้  อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นศิษย์ของอาจารย์ชั่วฟ้าดินสลาย  อาจารย์สู้อดทน สู้เข้มแข็งทุกวันๆ เพื่อให้ศิษย์เข้มแข็งได้ตามมา แต่บางทีก็ดูเหมือนว่าเป็นความฝันที่เลื่อนลอย  อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้มแข็ง เข้มแข็งเอาชนะกิเลส เข้มแข็งเอาชนะจิตใจของตัวเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองตกต่ำ ไม่ให้ศิษย์ท้อแล้วถอยไป มีใจก็กลับขึ้นมาใหม่ อย่างนี้ศิษย์อาจจะวิ่งไม่ทันเจ้ากรรมนายเวรของตัวเอง  อาจารย์ที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ที่พูดไม่ออกก็พูดไม่ออก ขอให้ใจของศิษย์ทุกคนมีอาจารย์ แล้วให้อาจารย์ที่อยู่ในหัวใจของศิษย์สอนศิษย์นะ

การบำเพ็ญธรรมะเป็นสิ่งที่สูงส่ง ศิษย์ต้องทำจิตใจให้สูงส่ง ชีวิตไม่ใช่เรื่องที่สุขเท่าไรนะ ดูแลตัวเองให้ดีนะ แล้วเจอกันใหม่  บางทีอาจารย์รู้ว่าศิษย์บางคนนั้นบำเพ็ญธรรมไปได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง อาจารย์ก็ยังมีความหวังอยู่ลึกๆ หวังว่าการบำเพ็ญธรรมที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตานี้ จะสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาของศิษย์ได้ จริงๆ แล้วมันเปลี่ยนได้ แต่ศิษย์ต้องเข้มแข็งกว่านี้  อาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นศิษย์ของอาจารย์ชั่วฟ้าดินสลาย  อาจารย์สู้อดทน สู้เข้มแข็งทุกวันๆ เพื่อให้ศิษย์เข้มแข็งได้ตามมา แต่บางทีก็ดูเหมือนว่าเป็นความฝันที่เลื่อนลอย  อาจารย์อยากให้ศิษย์เข้มแข็ง เข้มแข็งเอาชนะกิเลส เข้มแข็งเอาชนะจิตใจของตัวเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองตกต่ำ ไม่ให้ศิษย์ท้อแล้วถอยไป มีใจก็กลับขึ้นมาใหม่ อย่างนี้ศิษย์อาจจะวิ่งไม่ทันเจ้ากรรมนายเวรของตัวเอง  อาจารย์ที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ที่พูดไม่ออกก็พูดไม่ออก ขอให้ใจของศิษย์ทุกคนมีอาจารย์ แล้วให้อาจารย์ที่อยู่ในหัวใจของศิษย์สอนศิษย์นะ


พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มากกว่าส่วนตน”

ต้องขัดแย้งกันเพราะผลประโยชน์ ถูกปล่อยเดี่ยวโดดเพราะเป็นคนเก่ง
คนไม่อาจยืนได้นานเพราะเขย่ง ชอบอวดเก่งใครเขาจะมากล้าเตือนตน
สิ่งใดแม้เป็นของเราไม่ตลอด คนตาบอดยืนริมผาใกล้ร่วงหล่น
หันมาบำเพ็ญดั่งมีไม้เท้านำทางตน รู้จักตนดั่งตาสว่างคืน

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา