วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544

2544-11-10 พุทธสถานเหยินเต๋อ จ.ลำปาง


PDF  2544-11-10-เหยรินเต๋อ #12.pdf

หมวด: เมตตาปัญญากล้าหาญ

วันเสาร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ พุทธสถานเหยินเต๋อ จ.ลำปาง
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

มวลมนุษย์ลุ่มหลงสุขสบาย และเหนื่อยหน่ายเห็นบำเพ็ญเป็นลำบาก
อันโลกนี้เรื่องยากคือทำใจยาก และลำบากหรือไม่ล้วนอยู่ที่ใจ
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่แดนบูรพา เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีทั้งหลาย  เกษมฤา
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง   ฮวา   ฮวา

จงฟื้นฟูจิตเดิมแท้ให้ปรากฏ มาละลดเหล่ากิเลสให้หมดสิ้น
อันเชื้อเพลิงอย่าเหลือในใจชาวดิน ยามได้ยินพิจารณาปัญญาคม
เกิดเป็นคนประเสริฐสุดกว่าสิ่งใด จงได้ใช้โอกาสตนอย่ามัวหลง
ทั้งลาภยศเงินทองใจไม่ปลง จะยิ่งหลงยิ่งลึกยากช่วยคืน
อันแท้จริงมีแต่ตนช่วยตนได้ อย่าเย็นใจอยู่ในวัฏสงสาร
อันเกิดแก่เจ็บตาบเรื่องทรมาน น้องรู้กาลอันคับขันเร่งบำเพ็ญ
อย่าปล่อยตนอยู่ในโลกแสงสี เป็นคนดียังต้องบำเพ็ญเพิ่ม
ชำระจิตให้สะอาดเป็นประเดิม ขอจงเริ่มแต่วันนี้ด้วยตั้งใจ
สามวันแห่งประชุมธรรมศึกษาธรรม การกระทำต้องสำรวจตนครั้งใหญ่
ในอดีตแม้เคยทำพลาดไป อนาคตจะไม่ให้ผิดซ้ำรอย
จงแสดงศรัทธาด้วยการปฏิบัติ เดินทางรัดชาตินี้อย่าให้เสียเปล่า
จงตื่นขึ้นจากความฝันไม่มัวเมา อย่าดูเบาจิตภายในล้วนพุทธา
อริยะสำเร็จไปจากมนุษย์ แดนวิมุตติทุกท่านล้วนมีส่วน
อย่าต้นดีปลายร้ายเฝ้าเรรวน ใดสมควรเร่งเท้าไปเผชิญ
น้องทุกท่านต่างมีบุญกับพุทธะ จงสละทั้งสามวันหมั่นศึกษา
อย่าได้ให้จิตเกิดอวิชชา ใช้ปัญญาที่มีอยู่ในตัวตน
หลังจากจบชั้นไปแล้วหมั่นกลับมา โลกมายามากปัญหาขบไม่แตก
การบำเพ็ญต้องมีใจมุ่งมั่นดุจแรก อย่าได้แทรกความหลงคอยบังตา
ในบัดนี้พี่รับพระบัญชา คุมชั้นเรียนขอน้องข้าตั้งใจยิ่ง
จงเป็นคนที่มีศรัทธาจริง รักษายิ่งพุทธระเบียบในชั้นเรียน
จงอย่าได้มีจิตใจเคลือบแคลงหนัก จงโปรดรักตนเองเลิกอบายมุข
ขอให้คนที่ยังล้มได้เร่งลุก ขอให้ทุกข์ในจิตใจสลายลง
มีจิตใจเสมอต้นปลายให้จงดี ขอจงพลีเวลามาฝึกฝน
ขอจงเชื่อสามารถกลับเบื้องบน ขออดทนต่อสิ่งที่ไม่สมใจ
จรดวางพู่กันลงคุมชั้นเรียน
ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่  ๑๐  พฤศจิกายน  พุทธศักราช  ๒๕๔๕
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซีนน ท่านจงหลีเฉวียน

อย่าชื่นชนความสามารถเหนือความดี แต่จงมีกำลังใจให้คนขยัน
จงยอมรับคุณค่าแห่งกันและกัน สูงสุดคือสามัญธรรมดา
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนจงหลีเฉวียน รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกา  แฝงกายกตัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤา

พลังชีวิตอุ่นอาบอยู่ในตัว ฤทัยทั่วยังอบอวลความกระตือรือร้น
ฟ้าใสแจ่มใจจิตไม่สับสน บำเพ็ญตนใสดุจดั่งน้ำอมฤต
ถึงปัญหาหลายครั้งปัญญามี มองคนที่ความดีงามชีวิต
เป็นกลางพลางใช้ปัญญาช้อนคิด ใช้อดีตความผิดช่วยส่องภัย
สู่ชีวิตมีไฟคนมีธรรม กระแสน้ำดุจจ่อจดเที่ยงจุดหมาย
ไม่มีจิตวอกแวกให้อันตราย หนึ่งจิตใจเพียงดิ่งไหลดำรง
หากใจมุ่งลึกเหวแห่งมายา คนเมินฟ้าแดนคับขันประชันหลง
สะดุ้งรู้ฝึกตนเป็นผู้มั่นคง ก้าวบรรจงกิเลสใหญ่ยิ่งพาเพลิน
อัตตาอย่าแฝงในคนปล่อยวาง เมตตากว้างใจช่วยคนน่าสรรเสริญ
เห็นแก่ตนใช้ไม่กลางเจริญ อัตตาเกินเราเป็นแกนตัดสิน
คนฉลาดอาจไม่ตรองสำรวมใจ ประมาทไปขาดการตริตรองสิ้น
น้ำตาเป็นเลือดไม่ย้อนเวลาผิน ฟ้าถวิลคือปรองดองการรวมตัว
งานสรรค์สร้างไม่อาจขาดความอุตส่าห์ พิจารณาถี่ถ้วนเห็นมองให้ทั่ว
ชีวิตดั่งความฝันกว่าฟื้นตัว ดั่งเหยี่ยวมองต้องทั่วใช้เวลา
ย่อมใจกว้างคนที่วางตระหนี่ จงไม่มีแง่เหลี่ยมแห่งอัตตา
บำเพ็ญธรรมเมื่อขัดเกลาเบิกทางฟ้า วิริยะใกล้มาเรื่อยบ้านของเรา
ฮา  ฮา  หยุด


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านจงหลีเฉวียน

ฟังธรรมะมาทั้งวันแล้ว  มีความอดทนมากน้อยแค่ไหน (อดทนมาก)  ต้องทนมากไหนในการฟังธรรม (มาก)  มากเลยหรือ  มีทั้งต้องใช้ความอดทนมากและอดทนน้อยใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเรามีอารมณ์ขึ้นมาแล้ว  ถ้าข่ออารมณ์ตนเองไม่ลงจะเป็นอย่างไร (เป็นทุกข์)  แล้วใครทุกข์ท่านทุกข์หรือคนที่พูดธรรมะ  ตัวเราเองหรือใครทุกข์ (ตัวเราเอง)  ถ้าให้เลือกระหว่างทุกข์และสุขจะเลือกอะไร (สุข)  ถ้าข่มอารมณ์ไม่ได้ก็เกิดความทุกข์  แล้วใครทำให้ใครกันล่ะ (เราทำตัวเอง)  จะโทษคนที่บังคับให้ท่านมาฟังได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  โทษได้เหมือนกันเพราะก้าวพลาดมาแล้วใช่หรือเปล่า  โดนพามาแล้วก็ต้องนั่งใช่ไหม  แต่จะสุขจะทุกข์นั้นอยู่ที่ตัวเองใช่หรือไม่  แม้ว่าต้นเหตุจะไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของเราทั้งหมดก็ตาม  เราถูกเรียกให้มา  ถูกพามาโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ  แต่อย่างไรเราก็ต้องหาความสุขท่ามกลางที่ที่เราไม่สมหวังดั่งใจ
“อย่าชื่นชมความสามารถเหนือความดี แต่จงมีกำลังใจให้คนขยัน”
ในโลกปัจจุบันนี้มีทั้งคนที่เห็นแก่ตัวและคนที่กินแรงคนอื่นเป็นจำนวนมาก  เราจะอยู่ร่วมกับเขาในสังคมได้อย่างไร  ถ้าเราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ทำเช่นนั้นด้วยคงไม่ดีแน่ใช่หรือไม่ (ใช่)  หากเราเผลอเป็นคนหนึ่งในนั้น  จงพยายามให้กำลังใจคนขยัน  แต่อย่าได้ต่อว่าหรือเดินออกห่าง  เพราะหลายต่อหลายคนนั้นไม่รู้จักว่าอะไรคือการทำงาน  อะไรคือความขยัน  รู้แต่ว่าถ้าฉันไม่ต้องทำได้เป็นสิ่งที่ดี  ถ้าตัวเรานั้นไม่ต้องทำได้เป็นสิ่งที่ถูกใจนัก  หากเรายังเป็นคนอย่างนี้และรู้จักว่าตนเป็นคนอย่างนี้  ก็จงมองให้ออกว่าคนที่ขยันนั้นบางครั้งเขาก็ต้องการความช่วยเหลือไม่มากก็น้อย  ต้องการคำพูดดีๆ ไม่มากก็น้อย  แต่ไม่ใช่เราขี้เกียจแล้วกลับไปว่าคนขยันว่าขยันเกิน  เช่นนี้หรือเรียกว่าการให้กำลังใจคนดี  ย่อมไม่อาจเรียกว่าใช่  แล้วเราอยากเป็นผู้ทำลายความดีบนโลกนี้ด้วยน้ำมือเราเองหรือด้วยคำพูดของเราบ้างหรือไม่ (ไม่)  แล้วเราจะทำอย่างไร  นอกจากพูดส่งเสริมเขาสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำก็คือต้องเป็นให้ได้อย่างเขาไม่มากก็น้อย  ไม่ใช่เห็นงามเห็นหน้าที่  เราเดินหนี  เช่นนี้เราก็จะเป็นคนที่หนีงานไปตลอดชีวิต  และไม่มีทางเป็นงานได้เลย  ในปัจจุบันนี้สังคมทุกคนต้องมีหน้าที่ไม่มากก็น้อย  แต่หน้าที่อย่างหนึ่งที่เราต้องพึงมีและรู้จักทำนั่นก็คือ  ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  เห็นใจซึ่งกันและกัน  ใครตกทุกข์ได้ยากเราต้องรีบลงไปช่วยอย่าได้ช้า  อย่าได้เกียจคร้าน  ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วท่านจะเป็นผู้ที่ทำลายความดีไปทีละเล็กทีละน้อย  และถ้าโลกนี้ปราศจากความดีแล้วใครเล่าจะเป็นคนดี  ฉะนั้นขอความดีจงเริ่มต้นจากใจของท่านและ
ลงแรงด้วยน้ำมือของท่านเอง  เห็นอะไรที่เป็นงานเป็นการหรือมองอะไรไม่ออก  ก็ลองดูคนที่เขาทำอย่างไม่หยุดนั่นแหละ  แล้วค่อยๆ ศึกษาจากเขาแล้วเราจะรู้ว่าความขยันคืออะไร  เราเห็นบ่อยครั้งที่มนุษย์มักจะชมคนที่ฉลาดมากกว่าชมคนที่ความดี  โดยเฉพาะลูกหลานเรา  เมื่อให้ไปสิบบาทแต่จ่ายไปห้าบาท  เก็บอีกห้าบาท  แล้วก็บอกว่าจ่ายหมดแล้ว  ถ้าจับได้เรากลับชมลูกว่าฉลาดเราชมถูกหรือเปล่า  ไม่ถูกใช่หรือไม่ (ใช่)  เราบอกว่าให้ลูกไปหยิบไม้เรียวมาเพราะเป็นความผิด  ลูกดันไปหยิบไม่เรียวอันเล็กๆ มา  แทนที่จะหยิบอันใหญ่ๆ เราชมลูกว่าฉลาด  เวลาใครโกง  โกงได้ร้อยบาทสิบบาท  กลับเอาคำพูดนี้ไปบอกต่อคนอื่นแล้วชมเพื่อนว่าฉลาด  เราภูมิใจแทนและอยากเลียนตามใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เลยทำให้สังคมปัจจุบันนั้น  เด็กเข้าใจสิ่งที่ผิด  เพราะว่าตัวท่านเองบอกว่าฉลาดจังลูก  แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่  แล้วอย่างนี้เขาจะแก้ไขไหม (ไม่)  จากหนึ่งทำได้ก็จะต้องเป็นสองและจะต้องมากกว่านั้น  ฉะนั้นเราต้องชี้ให้เขาเห็นก่อนว่าอะไรผิดอะไรถูก  แล้วก็ต้องลงโทษในความฉลาดของเขา  แล้วเขาจะไม่ฉลาดใจทางนี้อีก  อยากให้ลูกฉลาดหรืออยากให้ลูกดี (ดี)  แต่ทำไมชมฉลาดมากกว่าชมดี  อยากให้หลานหรือเป็นคนดี (คนดี)  แต่ขยันชมจังเลยเวลาเขาฉลาดเราไม่ขอเรียกว่าฉลาดได้ไหม  เรียกว่าเจ้าเล่ห์  ตัวเล็กแค่นี้ยังบ่มเพาะความเจ้าเล่ห์ได้ขนาดนี้  ถ้าโตไปล่ะ  แต่ก่อนที่จะถามว่าถ้าโตไปนั้น  เขาเอาความเจ้าเล่ห์มาจากไหน  ถ้าไม่ใช่คนรอบข้าง  เหมือนที่เรารู้จักกันว่าความรู้ได้มาจากการศึกษา  พฤติกรรมได้มาจากใหน  แล้วความคิดควรได้มาจากสิ่งใด  ให้ท่านคิดก่อน
หากท่านคิดว่าเด็กคนนี้กล้าแสดงตัวเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาคงกล้ามาก จริงหรือไม่ เป็นองค์ไหนไม่เป็น  เป็นจงหลีเฉวียนด้วย  ลองคิดให้ดีๆ ว่าการที่เขากล้าแบบนี้  บาปมหันต์หรือเปล่า  หรือว่าเขามาจริงๆ
ฟังธรรมะแล้วต้องมีแต่ความกระชุ่มกระชวย  และขอให้มีอย่างนั้นไปตลอดทั้งสาม  ชุ่มชื่น  กระชุ่มชวยเพียงวันนี้  แล้วอีกสองวันก็หายไป  ช่างน่าเสียดายใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะคืออะไร  ธรรมก็คือหลักแห่งการประพฤติปฏิบัติของความเป็นคน  จะเป็นคนธรรมดาที่สมบูรณ์แบบหรือคนเหนือคนขึ้นอยู่กับว่าท่านเลือกหลักธรรมะใดมาปฏิบัติ
เมื่อตอนเริ่มต้นเราทิ้งคำถามไว้สองคำถาม  ความรู้ได้มาจากการศึกษาเรียนรู้จึงทำให้เรารู้  แล้วความประพฤติเกิดจากอะไร  ทำไมเราจึงมีความประพฤติเช่นนี้ (สิ่งแวดล้อม)  สิ่งแวดล้อมใกล้หรือไกล (ใกล้)  เกิดจากสิ่งแวดล้อมใกล้ๆใช่หรือไม่  ลูกเราเดินเหมือนเราไหม  ไม่เหมือนพ่อก็เหมือนแม่ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าความประพฤติเกิดจากครอบครัว  พ่อแม่  พี่น้อง  เราต้องมีความประพฤติส่วนใดส่วนหนึ่งที่คล้ายกับครอบรัวในบ้านเรา  ไม่มากก็น้อย  แล้วความคิดได้มาจากสิ่งใด  ความคิดเกิดจากการอบรมสั่งสอน  และการสั่งสอนของพ่อแม่แต่ละคนมีบรรทัดฐานที่เท่าเทียมกันไหม (ไม่เท่า)  แล้วมีเหตุผลที่สมบูรณ์แบบไหม (ไม่สมบูรณ์)  ดังนั้น  ถ้าเราให้ความคิดของลูกหลามาจากความประพฤติและการสั่งสอนของเรา  ความคิดของลูกหลานจะเที่ยงธรรมไหม (ไม่เที่ยง)  เพราะแต่ละบ้านย่อมมีความคิดที่แตกต่างกันออกไป  แปลว่าเขาย่อมผิดพลาดได้  ถ้าเกิดเขาไปอยู่ในสังคมแล้ว  เขาจะเอาสิ่งใดซึ่งสามารถมีความคิดที่ถูกต้องแม่นยำและเที่ยงตรง  ไม่ใช่เหตุผลที่เข้าข้างหรือเอนเอียง  หรือยึดติดในความชิน  เราเคยคิดกันบ้างไหม  โดยส่วนใหญ่เกิดมาก็ไม่รู้  มีชีวิตอยู่ก็รู้บ้างไม่รู้บ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเอาความคิดของเรามาจากไหนกันที่ทำให้เราสามารถเป็นคนดีที่เที่ยงตรง  ที่สั่งให้เราสามารถอยู่ในโลกนี้  ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่ผิดพลาดบ่อยๆ เป็นที่ต้องการ  ไม่มีใครรังเกียจ  แปลว่าความคิดเราไม่มีใครรังเกียจ  แต่ความคิดเราต้องเที่ยงตรงใช่หรือไม่ และได้จากอะไร คิดออกไหม ใจของท่านลำเอียงไหม (ลำเอียง)  บางครั้งลำเอียง เวลามีของสิบส่วน ถ้าหนึ่งในการแจกนั้นมีลูกหลานเราด้วย เราให้เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง)  การตัดสินใจใครผิดใครถูก  ถ้าหนึ่งในนั้นมีลูกของเราอยู่ในจำนวนนี้ด้วย เราจะลำเอียงไหม (ลำเอียง)  แล้วทำอย่างไร  ถึงจะทำให้เราเที่ยงได้ (ธรรมะ)  จากธรรมะใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมเราจึงลืมธรรมะกันล่ะ เพราะไม่ค่อยได้คิด ไม่ค่อยได้เอามาใช้ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่เราใช้โลกนี้คืออะไร เงิน ทอง และความสามารถ และความเจ้าเล่ห์ฉลาด เราได้ใช้ธรรมหรือเปล่า  ใครไม่เคยใช้เลยยกมือขึ้น ตั้งแต่เราเด็กจนถึงโต จนป่านนี้ไม่เคยใช้ธรรมะสักข้อเดียว ยกมือขึ้น เพราะเราเห็นเป็นสิ่งไกลตัว เป็นสิ่งที่ทำแล้วไม่ค่อยได้ผลใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นสิ่งที่ทำแล้วเหมือนคนปิดทองหลังพระ  ไม่มีใครชื่นชมเราก็เลยค่อยๆ หนี  ค่อยๆ ทิ้ง  แล้วก็ค่อยๆ วางลงไป โดยไม่รู้ตัวหรือโดยตั้งใจ จริงหรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่น ทำดีแล้วไม่ได้ดีก็เลยเลิกทำ ทำงานขยันกว่าคนอื่นแต่เจ้านายดันให้คนที่เอาหน้ามากกว่า  เลยเลิกขยันใช่ไหม (ใช่)  เป็นคนที่แต่ก่อนพูดน้อย แต่พอพูดน้อยแล้วอย่างไร ไม่ได้ดี ก็เลยพูดมากๆใช่หรือไม่ เป็นคนที่แต่ก่อนไม่เคยว่าใครเลยแต่ทำไมคนช่างว่าเรา ก็เลยว่าคนอื่นบ้างใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าเราพ่ายแพ้คุณธรรมในตัวตนเอง แต่เพราะเราเข้าใจหลักธรรมไม่ถ่องแท้ เราจึงทิ้งธรรมกันเป็นทิวเป็นแถว  จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วต่อไปนี้จะทิ้งอีกไหม (ไม่ทิ้ง)
ถ้าให้เราแสดงอภินิหารก็ไม่มีประโยชน์หรอก  เพราะเดี๋ยวนี้  อภินิหารกับมายากลไม่แตกต่างกันเลย จริงหรือไม่ (จริง)  แล้วเราจะมองสิ่งที่ลวงหลอกหรือมองสิ่งที่เป็นจริงดีกว่ากัน สู้มองสิ่งที่เป็นจริง แล้วใช้ได้ตลอด ย่อมดีกว่าใช่หรือไม่
เมื่อครู่เราพูดว่าความคิดต้องได้จากหลักธรรม หลักธรรมคอยชี้นำความคิด  คอบควบคุมความคิด  และคอยตักเตือนความคิดของเรา  ไม่ให้ก้าวผิด  ไม่ให้ก้าวพลาด
มนุษย์เรานั้น ไม่ว่าจะทำสิ่งใดย่อมมีพลังใช่หรือไม่ (ใช่)  พลังที่ออกจากมนุษย์  มีอยู่สองทางคือ  พลังกายและพลังใจ  พลังกายเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพลังใจนั้นขับเคลื่อนตามขึ้นด้วย  กายกับใจถ้าเกิดขับเคลื่อนพลังพร้อมกันและเป็นหนึ่งเดียวกัน  งานที่ทำย่อมสำเร็จ  แต่ถ้าเกิดว่ากายอยากทำอย่างหนึ่ง  ใจคิดอย่างหนึ่ง  เวลาทำย่อมผิดพลาดและอาจจะล้มเหลวได้ใช่หรือไม่  แล้วในพลังใจนั้นยังประกอบไปด้วยสองอย่างคือ  พลังใจฝ่ายดีกับพลังใจฝ่ายร้ายใช่หรือไม่  พลังใจฝ่ายดีนั้น  ย่อมสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นและสำเร็จด้วยดีได้  แต่พลังฝ่ายร้ายแม้จะสร้างสรรค์ขึ้นมาได้  แต่ว่าทำให้คนเป็นอย่างไร  ทั้งทุกข์และเจ็บช้ำและเบียดเบียนทำร้ายได้  ฉะนั้นเมื่อเวลาเราจะผลักร่างกายนี้ขับเคลื่อนร่งกายนี้ให้ทำสิ่งใดก็ตาม  เราอย่าลืมมองที่พลังใจของเราด้วยความคิดที่มีธรรมะว่าใจเรานั้นฝักใฝ่ฝ่ายดีไหม  ในเรานั้นคิดดีเป็นพื้นฐานหรือไม่  หากไม่มีความดีหากไม่ฝักใฝ่ดี  อย่าออกมาซึ่งการกระทำ  ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นคนเจ็บช้ำมากที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  ดั่งคำที่พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า “โจรถ้าอยู่กับโจรย่อมทำร้ายซึ่งกันและกันไม่วันใดก็วันหนึ่ง  แต่ถ้าเกิดจิตใจของมนุษย์  ตั้งอยู่ในที่ผิดแล้ว ทำร้ายตัวตนเองมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก” ทำไมพระพุทธองค์จึงกล่าวเช่นนี้ คำว่าตั้งที่ผิดหมายความว่าอย่างไร นั่นก็คือ ถ้าใจยึดมั่นในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เข้าใจหรือเรียนรู้อย่างไม่เที่ยงตรง เวลาทำสิ่งใดย่อมเป็นอย่างไร (ย่อมผิดพลาด)  ย่อมผิดพลาด  ย่อมเกิดผลร้ายภายหลังใช่หรือไม่  ฉะนั้นไม่าจะทำสิ่งใดขอให้ตรวจสอบใจและลองมองย้อนที่ใจตัวเราเองว่าตั้งอยู่บนคุณธรรมความดีไหม  ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความถูกต้องชอบธรรมหรือเปล่า ถ้าทุกขณะที่คิดเช่นนี้  ไม่ว่ากายหรือใจจะทำสิ่งใดย่อมยากที่จะก่อผลร้าย
“ฟ้าใสแจ่มใจจิตไม่สับสน บำเพ็ญตนใสดุจดั่งน้ำอมฤต”
ถ้าเกิดว่าพลังใจนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดที่ถูกต้องแล้ว ใจนี้จึงเปรียบได้ดั่งน้ำอมฤตที่ต่อเติมลงไปในร่างกายใครก็จะเกิดแต่สิ่งที่สัมฤทธิ์ผล  และเป็นมงคลจริงไหม (จริง)  เอาง่ายๆ วันนี้ถ้าใจท่านคิดร้าย  อย่างเช่นเด็กคนนี้หลิกลวง  เด็กคนนี้แสดงละคร  วันนี้ท่านจะไม่ได้อะไรจากเสือตัวนี้เลย  จริงไหม (จริง)  แต่ถ้าเกิดว่าท่านคิดดีจริง  ไม่จริงไม่เป็นไร  ลองฟังดูว่าน่าสนใจไหม  ถูกต้องไหม  จริงเท็จไหม  บางทีท่านอาจจะได้  โดยที่จับเสือมือเปล่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่สำคัญอย่างหนึ่งต้องมีความกล้า  เมื่อจะเข้าถ้ำเสือแล้วต้องกล้าที่จะจับเสือ  หรือไม่ก็ต้องกล้าอย่างน้อยไม่ได้แม่เสือก็ต้องได้ลูกเสือใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วพร้อมจะจับไหม  จับเสือมือเปล่าได้ไหม (ได้)  อย่าไปพึ่งพิงอาวุธใดเลย  เหมือนกับท่านอยู่ในโลกนี้  ท่านก็เหมือนต้องออกไปจับเสือใช่หรือไม่  เงินทองเหมือนเสือไหม (เหมือน)  ท่านว่าเหมือนไหม  ไม่มีปากแต่ทำเราเจ็บไหม  ไม่มีปาก  ไม่มีร่างกายทุบตีเรา  แต่ทำเราทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราก็ชอบ  ชอบจับเหลือเกินใช่ไหม  วันไหมไม่ได้จับวันนั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับใช่หรือไม่  ทั้งที่รู้ว่าจับแล้วก็ต้องอาจเจ็บบ้าง  ต้องอาจทุกข์มาก  อาจทุกข์บ้าง  แต่ก็ขอจับก็ยังดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่เหมือนธรรมหรอกนะท่าน  ท่านมามือเปล่าหรือมีอาวุธ  จับอย่างไรก็ไม่เจ็บ  จะเจ็บก็ตรงที่ว่า  ท่านมีกิเลสจับแล้วถึงเจ็บ  ท่านมีอัตตาตัวตนจับแล้วจึงทุกข์ใช่หรือไม่  แต่ถ้าท่านมาด้วยความว่างเปล่า  จับธรรมไปเจ็บไหม (ไม่เจ็บ)  รัยธรรมะไปทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)  ไม่ทุกข์แถมธรรมะยังทำให้ท่านเป็นคนเหนือคนหรือว่าเป็นคนยิ่งกว่าคนด้วย  เอาไหม (เอา)  วันนี้เอา  สิบวันจะเอาหรือเปล่า  มนุษย์เรานี้แปลก  ถ้าให้เห็นประโยชน์อยู่ตรงหน้าใครบ้างไม่เอาใช่หรือไม่  แต่ถ้าเราบอกว่า  ธรรมะคือกระดาษเพียงเล็กๆ แค่นี้  เอาไม่เอา (เอา)  เพราะเราให้ท่านถึงเอานะ
สิ่งใดในโลกนี้ทีไม่มีประโยชน์เลยให้หามาหนึ่งอย่าง  และสิ่งใดในโลกนี้ที่เรียกว่าว่างเปล่าให้หามาอีกหนึ่งอย่าง (กิเลส,วัตถุ, คิดว่าไม่ต้องหาที่ไหนอยู่ที่ตัวเราเอง  อยู่ที่ใจเราเองถ้าใจเรามีทุกข์สิ่งนั้นก็ไม่มีประโยชน์, ความหลงผิด, ความว่างเปล่า)  กิเลสนั้นหากท่านรู้จักใช้อย่างพระพุทธองค์  ความทุกข์ โลภ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นเหมือนหนึ่งในกิเลสทั้งมวล  ท่านสามารถเอาสิ่งเหล่านี้มาทำให้ท่านตรัสรู้  อย่างนี้เรียกว่ามีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ (มี)  พระพุทธองค์สอนว่า  อริยสัจสี่  เราต้องเข้าใจและรู้ให้แจ่มชัด  ถ้าเราเข้าใจอริยสัจสี่ที่เรียกว่าทุกข์  เราจะรู้แจ้ง  สิ่งใดในโลกที่ไม่มีประโยชน์เลย (ความหลงผิด)  ความหลงก็ไม่ถูก  ดูง่ายๆ พระพุทธะอย่างองคุลีมาลย์เคยหลงผิด  แล้วท่านตื่นจากความหลงผิดที่ยิ่งใหญ่  จึงทำให้ท่านสำเร็จเป็นพุทธในปัจจุบัน  ดังนั้นความหลงผิดก็มีประโยชน์  ความว่างเปล่ามีประโยชน์ไหม   อย่างเช่นห้องมีตันหรือกลวง  ห้องมีเต็มหรือว่าง  ในความว่างจึงมีความเต็ม  แล้วในความเต็มเช่นเต็มกำแพงแต่กลวงตรงกลางจึงทำให้เกิดประโยชน์  เหมือนแก้วน้ำ  ถ้าแก้วน้ำเต็มมีประโยชน์ไหม (มี)  อาจจะเอาไปวางเป็นที่ทับของได้  แต้ถ้าแก้วน้ำว่างมีประโยชน์หรือไม่มี (มี)
เราเฉลยว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ไม่มีประโยชน์  หญ้าหนึ่งใบมีประโยชน์ไหม (มี)  บางคนเอามาแคะหู  เอาไปแหย่เพื่อน  กระดาษแม้เพียงเล็กนิดเดียว  แต่ถ้าเขียนอะไรสักหนึ่งข้อความ  ไปฝากคนที่อยากรู้  มีประโยชน์ไหม (มี)  แปลว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ไม่มีประโยชน์  และในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ไม่เป็นยารักษาโรคทุกอย่างล้วนรักษาโรคได้  วันนี้ท่านเสียใจแต่ถ้ามีกระดาษแผ่นหนึ่งส่งมาหาท่าน ท่านกลับยิ้มได้ กระดาษก็รักษาท่านได้  เสื้อผ้าหนึ่งตัวที่ท่านว่าไม่มีประโยชน์  ลองเอาไปให้คนที่ไม่มีแม้สักหนึ่งชิ้น  มีประโยชน์ไหม (มี)  อะไรคือความว่าง (ความนึกคิด)  เพราะว่างจึงได้นึกคิด  ความนึกคิดไม่ใช่ความว่างทำไมเราจึงบอกว่าให้ท่านไปหารู้ไหม เพราะว่าความว่างต้องใช้รูปลักษณ์หรือเปล่า (จริง)  ท่านอื่นตอบได้ไหม ตบมือให้สามท่านผู้กล้าที่มาจับเสือ มีคำกล่าวว่า “หากจะจับเสือต้องใช้ความกล้า แต่หากจะจับลิงในใจต้องใช้ปัญญา” วันนี้ท่านก็เหมือนตัวแทนสองคนที่จะต้องจับลิง  ก็คือใจของเราที่เหมือนลิงวิ่งไปวิ่งมา  จังให้มั่นแล้วใช้ปัญญาคิดให้ออก จับลิงได้มั่นแล้ว ลิงตัวนี้จะเดินไปจับเสือด้วยความกล้าถูกไหม (ถูก)
มนุษย์ทุกคนล้วนมีใจที่ชอบขบคิดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าใจนี้สั่งสมความรู้และคุณธรรมเป็นสิ่งที่ดีแล้ว  ใจนี้จะบังเกิดปัญญาซึ่งเป็นความรอบรู้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เสียอยู่อย่างหนึ่งคือ ใจของมนุษย์วอกแวกไม่อยู่นิ่ง แม้ยืนฟังตรงๆ นิ่งๆ แต่ใจวอกแวกใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้นั่งอยู่กับเก้าอี้ตัวนี้  แต่ใจฟุ้งซ่านคิดเรื่อยเปื่อยใช่หรือเปล่า  จึงทำให้เรายังจับลิงไม่ได้  แล้วจะมาจับอะไรกับเสือตัวนี้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นท่านจงเอาปัญญานี้จับให้อยู่  เมื่อปัญญาคุมตัวเองได้ เมื่อนั้นปัญญาจะสามารถจับทุกสิ่งในโลกนี้ได้อย่างถูกต้องและไม่ทำร้ายใคร และไม่เกิดผลพวงที่เรียกว่าความทุกข์ มีคำกล่าวว่า  “ใจนั้นถ้าข่มได้จะสำเร็จและบังเกิดประโยชน์  และถ้าใจนั้นควบคุมบังคับได้  จะบังเกิดความสุขที่แท้จริง”ใช่หรือไม่  แต่คนเราหรือตัวท่านหรือเมธีในห้องนี้เกือบหมด  จับใจไม่ค่อยได้  ข่มใจได้บ้างไม่ได้บ้าง  บังคับใจยิ่งเหลวใหญ่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ต้องมองซ้ายมองขวามองที่เรานั่นแหละใช่หรือหรือ (จริง)  เวลาไปจับเสือข้างนอก ในโลกที่เรียกว่าเงินทองจึงโดนเสือกัดเสียเจ็บไปหมด  เวลาไปจับคนที่อยู่ในโลกเพื่อจะหาความรัก  เพื่อจะหาความสมหวังจึงต้องทุกข์บ้าง ผิดหวังบ้าง เพราะไม่รู้จักจับใจตนเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ได้อะไรไปบ้างหรือยัง ได้ลูกเสือไปบ้างหรือยัง ได้ไปหรือยัง (ได้)  เสียอยู่อย่างหนึ่งอะไรรู้ไหมที่ทำให้จับไม่ได้เลย นั่นก็คือความกล้าๆ กลัวๆ เราก็เป็นคนเหมือนท่านมาก่อน แต่ก่อนก็เป็นคนที่หวาดกลัว แต่พุทธะสอนไว้ว่ากลัวอะไรก็ไม่น่ากลัวเท่ากับกลัวใจตัวเอง แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่กลัวตัวเอง  กลัวคนอื่นมากกว่า กลัวคนอื่นจะเห็น กลัวคนอื่นจะรู้  เวลาทำผิดใช่ไหม (ใช่)  คำสอนคำหนึ่งที่พระพุทธองค์สอนไว้ก็คือ จงมีความละอาย ความละลายเกรงกลัวต่อบาป แต่จริงๆ แล้ว ความหมายโดยนัยท่านต้องการสอนว่า  “จงมีความละอายเกรงกลัวต่อบาปของตนเอง”  หรือเกรงกลัวตนเองนั่นเอง เพราะถ้าเกรงกลัวคนอื่น วันนี้เขาไม่เห็น ท่านก็กล้าที่จะทำใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไรกลัวตัวเองจะเห็น ละอายตัวเองที่จะรู้ ทำไหมความผิด (ไม่ทำ)  ไม่ทำไม่ว่าที่ลับที่แจ้งเพราะว่าละอายใจตัวเอง กลัวตัวเองเหมือนที่ปราชญ์โบราณสอนไว้ว่า “อยากให้คนอื่นเคารพท่าน  ตัวท่านนั้นต้องเคารพตัวเอง” คือไหว้ตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่เรียกร้องให้คนอื่นมาไหว้เรา แต่คือการปฏิบัติกระทำแต่สิ่งที่ดีให้คนเคารพใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนกันเราอยากจะเป็นคนดีได้ สิ่งที่สำคัญสิ่งแรกคือ ความผิดต้องไม่กล้ำกราย แต่ก่อนนั้นอาวุธเราฝึกมานักต่อนักแล้ว เราไม่หวาดกลัวที่จะเข้าไปเผชิญภัย เราไม่หวาดกลัวที่จะเผชิญอันตราย แต่คนที่จะหวาดหวั่นได้คนที่จะไม่หวาดกลัวใจต้องกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว จึงพร้อมที่จะเผชิญความยากลำยาก ไปเผชิญเภทภัย แต่ถ้าท่านขาดซึ่งความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวแถมพ่วงท้ายไปด้วยความมั่นคง หากขาดซึ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วแม้จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายท่านก็ต้องพ่ายแพ้จริงหรือไม่  ความกล้าหาญต้องมี ความดีต้องปฏิบัติ  ความร้ายเราต้องหลีกหนี  แต่ถ้าเกิดว่าเราเป็นผู้บำเพ็ญกาลยุคขาว ความร้ายห้ามหนี เมื่อร้ายยิ่งต้องเดินเข้าไปช่วย ยิ่งดีต้องรักษาให้คงมั่น แต่สำคัญคือต้องกล้าหาญและมั่นคงเด็ดเดี่ยว ท่านถึงจะไปช่วยคนที่เลวร้ายและฉุดเขาขึ้นมาจากนรกหรือทะเลอันว่ายวนนี้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนหลายคนในโลกนี้มักจะหลีกหนีคนไม่ดีเข้าใกล้คนดี แล้วอย่างนี้ความดีจะเติบโตได้ไหมในสังคม (ไม่ได้)  แล้วท่านมีความดีกับความไม่ดีอยู่ในใจไหม (มี)  ถ้ามัวแต่คิดถึงแต่สิ่งที่ดี แต่ท่านไม่เคยล้วงเอาความไม่ดีของตนเองออกมาชำระล้าง ออกมาแก้ไข แล้วความไม่ดีนี้จะหมดไปจากใจไหม ไม่หมด ตราบใดที่มนุษย์ยอมรับว่าตนเองมีแต่ความดี เมื่อนั้นความไม่ดีในตัวจะไม่มีวันล้างหมดสิ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งน่ากลัวของมนุษย์อีกอยางหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ต้องเวียนว่าย วนไปแล้วก็ต้องวนกลับมาอีก นั่นก็คือ ความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่  ไม่ว่าจะแก่หรือผู้เฒ่า ย่อมมีทุกข์เหมือนกันหมดนั่นก็คือ เกิด แก่ เจ็บ ตายใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกข์อย่างหนึ่งที่อยากให้ท่านได้เรียนรู้วันนี้ก็เป็นต้นเหตุของทุกข์ทั้งมวล  นั่นคืออะไรรู้ไหม (กิเลส, ทุกข์, ความโลภ, ใจ)  อย่ากลัวที่จะกล้า
มีใครตอบได้อีก ฟังหัวข้อสัจธรรมไปแล้วมิใช่หรือ เราเลือกคำถามที่ง่ายและคนตอบได้ง่าย (พลัดพรากจากที่สิ่งที่รัก)  พลัดพรากจากสิ่งที่รักทำให้เราทุกข์ แล้วทุกข์ครั้งหนึ่งจะทุกข์อีกไหม (ไม่อยาก)  อย่างนั้นไม่รักใครอีกเลยดีไหม จะได้ไม่ต้องกลัวการพลัดพราก (ไม่ดี)  ไม่ต้องพบใครเลยได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนั้นเราจะต้องพยายามทำใจ  และนี้เป็นสัจธรรมใช่หรือไม่  เหมือนการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในโลกนี้เราหนีไม่พ้น ถ้าเกิดท่านทำใจได้เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านก็จะทำใจได้ และถ้าหนึ่งทำได้อีกสิงต้องทำได้ เราขออวยพรนะ
ผู้ปฏิบัติงานธรรมยืนเมื่อยหรือเปล่า (ไม่เมื่อย)  ยืนเป็นกำลังใจให้นักเรียน และยืนเป็นกำลังใจให้เราได้ไหม (ได้)  ฉะนั้นต้องยืนให้สง่างาม
ถ้าให้ท่านตอบคำถามโดยไม่ให้อะไรก็จะไม่มีกำลังใจในการทำความดีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าท่านทำแล้วหวังผลกำลังใจอย่างนี้ไม่เรียกว่าดี  มีใครท่านใดตอบอีกไหม ก่อนที่เราจะเฉลย (ไม่สมหวังดั่งใจ,รัก โลภ โกรธ หลง)
มนุษย์ทุกคนล้วนมีเหตุผล รู้ว่าทำผิดก็ยังมีเหตุผล ขนาดรู้ว่าตัวเองผิดคุกเข่าไปร้องไห้ไป ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา ศิษย์ผิดไปแล้วแต่เพราะมีเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้ารู้ว่าผิดไม่จำเป็นต้องพูดเหตุผล สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ดูออก แต่บางครั้งความทุกข์ ความผิดพลาดหรือปัญหาที่เกิดจากมนุษย์เป็นผู้กระทำ มนุษย์ละอายเกินกว่าที่จะหันกลับไปเห็นธรรมใช่ไม่ (ใช่)  เหตุหนึ่งที่พลัดพรากจากธรรมก็คือละอายใจ ไม่มีหน้าไปสู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีหน้ากลับไปเป็นคนดี เพราะว่าเคยทำผิดมา แต่เราอยากย้ำเตือนให้ท่านรู้ไว้ว่า พุทธะทุกพระองค์เห็นความทุกข์เห็นปัญหา และเอาความทุกข์มาทำให้ท่านตื่นหรือตรัสรู้เหมือนที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ในอริยสัจสี่  หรือตรัสรู้ในสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ เหตุแห่งการดับทุกข์คืออะไร แล้วทุกข์มาจากไหนใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคามผิดพลาดและความบาปสามารถทำให้มนุษย์ตื่นได้ไหม (ได้)  อย่างเช่นองคุลีมาลย์ ฆ่าคนมากี่คน ทำร้ายคนมามากเท่าไหร่  ทำไมท่านยังกลับตัวกลับใจได้ แล้วนับอะไรกับความผิดของตัวท่าน ถ้าเทียบกับองคุลีมาลย์ท่านยังผิดน้อยกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่าใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราจะตื่นรู้หรือไม่ จงตื่นรู้จากความทุกข์ทุกข์ความผิดพลาดนั่นแหละ  รู้ว่าสรรพสิ่งในโลกนี้มีเกิดแก่เจ็บตายเป็นสัจจะ เป็นความจริงแท้ ที่ธรรมดาทุกคนต้องมี ไม่มีใครพ้นแต่เราจะยิ้มสู้หรือเราจะทุกข์ทนสู้เราต้องยิ้มสู้และใช้สติยั้งคิดใช่หรือไม่ ใช้ปัญญาเป็นตัวฟันฝ่าออกไป จึงจะเรียกว่ายิ่งทุกข์เท่าไรยิ่งตื่นเท่านั้น ใช่ไม่ (ใช่)  ตื่นในความไม่รู้ มนุษย์เราทุกข์เพราะไม่รู้ทางออก ไม่รู้ว่าในทุกข์นั้นมีความสุขอยู่  ไม่รู้ว่าในสุขมีทุกข์อิงแอบจริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าเราลุ่มหลงยึดติด
ฉะนั้น เราจงตื่น ยิ่งทุกข์ต้องดีใจว่าชีวิตนี้ไม่ใช่อย่างที่เราคิดเสียแล้ว ความสวยงามแฝงไปด้วยพิษภัย ความสะดวกสบายแฝงไปด้วยความทุกข์ทนและเจ็บปวด เมื่อไรที่เราติดในความสุขมาก เมื่อสุขหายไปเราจะทุกข์มาก เมื่อเราติดในรักมาก เราพลัดพรากจากสิ่งที่รัก เมื่อนั้นเราจึงมีทุกข์  ฉะนั้นอย่าได้ติดสิ่งใด  จงมองสิ่งเป็นความว่าง  แม้จะเห็นว่ามี  แต่จงมองสิ่งที่มี เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ ให้มองเห็นและรับรู้ว่าทุกสิ่งล้วนชั่วคราว แม้กายตัวนี้ แม้ผลไม้ลูกนี้ หากถูกกินหมดแล้ว ชั่วคราวไหม  ถูกคนลักไปชั่วคราวไหม (ชั่วคราว)  แต่ทำใจไม่ได้ เพราะอะไร (เพราะยึดมั่นถือมั่น)  ถูกต้องแต่เพราะไม่ได้เตรียมใจ ไม่ได้เผื่อใจ ไม่ได้เก็บใจ ไม่ได้เก็บใจไว้เผื่อทุกข์จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นจงเผื่อใจส่วนหนึ่งไว้ผิดหวัง  จงเผื่อใจส่วนหนึ่งไว้รับความว่าง ทำได้ไหม (ได้)  เหมือนกระเป๋า ร่างกาย เส้นผม  ชุดของเรา จงเผื่อใจไว้ว่าสักวันจะกลายเป็นความว่าง ถ้าเราเผื่อใจไว้ทุกขณะจิต ทุกขณะจิตยั้งคิดว่าเผื่อใจเราจะไม่ทุกข์ เหมือนตัวเพื่อนเรา เหมือนตัวคนสนิทญาติมิตรเรา เหมือนแม้กระทั่งคำพูดของคนที่อยู่ใกล้ชิดเรา เผื่อไว้ว่าพูดวันนี้ก็คือความว่างในวันรุ่งขึ้น ทำไมเราเก็บเอาคำพูดไปเป็นความมีหรืออารมณ์ มนุษย์เราเสียแล้วพลาดแล้ว ทำไมจึงต้องเอาอารมณ์ของเราเสียเข้าไปอีก ตัวตนเสียยิ่งขึ้นไปอีก แม้เขาจะพูดผิดไปแล้วพลาดไปแล้ว เราจะเอาอารมณ์ของเรา ไปเกี่ยวผิดด้วยหรือ ไม่อีกต่อไปใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องดึงกลับมา แล้วยั้งคิดว่าพรุ่งนี้ก็คือความว่างแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นพรุ่งนี้ก็ได้  อีกสิบนาทีเสียงนี้ก็หายแล้ว ฉะนั้นอย่าได้กลัว ทุกคนต่างมีชะตา ชะตากำหนดไว้แล้ว แม้คนร้อยคนจะแช่งให้ท่านตกนรก แต่ถ้าท่านเป็นคนที่ทำดี มีความดี คำพูดนั้นก็ไม่สาปส่งให้คนนั้นตกนรกจริงๆ อย่ากลัวคำพูดคน อย่ายอมแพ้การตั้งใจกระทำความดี เอาชนะอารมณ์ของตัวเองให้ได้
เราเป็นคนปกติอย่างไร มีอารมณ์โกรธไหม (มี)  นั่งอย่างนี้เคยโกรธไหม รักไหม มนุษย์มีความปกติใช่หรือไม่ (ใช่)  ความปกติก็คือไม่รัก  ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เห็นสิ่งถูกใจจึงเกิดรัก แต่ก่อนปกติเรามีรักไหม (ไม่มี)  พอเห็นคนโอบอุ้มประคับประคองเราก็ไม่รู้หรอกว่า นี่เรียกว่ารัก จนกระทั่งได้เรียนรู้สัญลักษณ์ เรียนรู้ถ่อยคำ การแสดงออก จึงเรียกว่ารัก เราผิดปกติหรือปกติ (ผิดปกติ)  พอมีคนมาพูดกระทบใจให้ไม่ถูกหู  โกรธหรือไม่ (โกรธ)  ปกติหรือไม่ (ไม่)  พอโกรธเรายอมรับเลยว่าไม่ปกติ  แต่พอรักก็บอกว่าปกตินะ แต่จริงๆ แล้วชีวิตของเราโดยปกติมี รัก โลภ โกรธ หลงไหม (ไม่มี)  โดยปกติของมนุษย์แล้วไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง แต่พอมีเสียงมาให้ได้ยิน มีสิ่งของมาให้มองเห็น รัก โลภ โกรธ หลง วิ่งเข้ามาสู่ใจ ถ้าในใจเรามีหลายห้อง ห้องใดเรียกว่ารัก เมื่อมองเห็นสิ่งใดที่พ้องเข้ากับห้องของความรัก  อารมณ์รักก็เกิดขึ้นในใจใช่หรือไม่ ก้องใดที่พ้องกับความไม่ถูกโฉลก น่าเกลียด รังเกียจ อารมณ์โกรธไม่ชอบก็บังเกิดขึ้นในใจใช่หรือไม่ หรือที่เรียกว่าสัญญาใช่หรือเปล่า  ฉะนั้นเมื่อเราอยู่บนโลกนี้จงหมั่นล้างใจให้สะอาดวางใจให้บริสุทธิ์ พอมีสิ่งของมากระทบตา มือไปกระทบสิ่งใด หูสัมผัสสิ่งใด เมื่อใจว่างเปล่าอารมณ์จะบังเกิดไหม (ไม่บังเกิด)  แต่ใจมนุษย์ปัจจุบันนี้สกปรกยึดติดใช่หรือไม่ (ใช่)  เด็กต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พอไม่เป็นอย่างนี้ก็ว่าแก่แดดใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพื่อนเราต้องให้ความหวัง ต้องเป็นมิตร ต้องจริงใจ ต้องเสียสละ พอไม่เป็นอย่างนี้ก็บอกว่าไม่ใช่มิตรใช่ไหม แต่ถ้าท่านล้างใจให้บริสุทธิ์ทุกขณะจิต สิ่งไม่ดีในใจล้างออกให้หมด ให้ใจเราสะอาด ให้ใจเราว่างไม่มีสิ่งใด  เมื่ออะไรมากระทบอะไรมาสัมผัสก็จะเกิดความว่างสะท้อนกลับไป อารมณ์ก็จะไม่มี ถูกไหม  แล้วตอนนี้ปกติหรือยัง (ไม่ปกติ)
มนุษย์เราในโลกนี้มีทั้งคนดี คนร้าย คนเข้มเข็งและคนอ่อนแอ ฟ้าปรารถนามากที่สุดก็คือความปรองดองในการอยู่ร่วมกันในสังคม แต่มนุษย์เราเมื่อเห็นความแตกต่างก็เกิดจิตแบ่งแบก เมื่อเกิดจิตแบ่งแยกก็เกิดการยึดมั่นถือมั่น ดี ชอบ ร้าย เสีย และกำหนดตาบตัวในจิตใจ ความทุกข์หรือการอยู่ร่วมกันในสังคมจึงบังเกิดความแตกแยกจึงมีให้เห็นใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่ฟ้าปรารถนามากที่สุดคือ คนเราอยู่ร่วมกันอย่างฉันท์มิตรอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองแม้นไม่ใช่เกิดมาจากสายเลือกเดียวกันแต่เป็นคนที่เกิดอยู่บนโลกเดียวกันก็เป็นพี่น้องกันได้ก็รักกันได้ เหมือนตัวท่านกับตัวเราแม้นเราจะเกิดคนละยุคคนละสมัย แต่สิ่งหนึ่งที่ผูกใจไว้นั่นก็คือจิตแห่งพุทธะหรือจิตแห่งความดีที่ยังคงสานเชื่อมต่อกันอยู่ ที่ยังคงสานทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวังให้มนุษย์เป็นคนที่ดีอยู่ นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยากลงมาโปรดมนุษย์บนโลกนี้ให้กลับคืนขึ้นไปให้จงได้  เพราะว่าท่านยังมีจิตที่เรียกว่าฝ่ายดีอยู่ เมื่อไรที่มนุษย์สามารถขยายจิตฝ่ายดีให้เต็มใจจนไม่เหลือฝ่ายร้าย  และเอาฝ่ายดีไปฉุดช่วยคน เขาก็คือคนๆ หนึ่งที่เรียกว่าพุทธะ แต่ถ้าเมื่อเรามีความคิดฝ่ายดีและทำทุกอย่าง ทุกเวลา ทุกขณะเพียงเพื่อตนเอง เพียงเพื่อแสวงหาให้กับตนเองโดยไม่คิดถึงความทุกข์ของใคร เขาก็ยังเรียกว่าปุถุชนหรือมนุษย์ เห็นความแตกต่างระหว่างพุทธะกับมนุษย์บนโลกหรือยัง ก็คือท่ามกลางการมีชีวิตเราแสวงหาความสุข การหลุดพ้นความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ช่วงที่แสวงหาเราสามารถยื่นมือไปช่วยคนได้ด้วย เราสามารถโอบอุ้มประคับประคองคนได้ด้วย ด้วยหัวใจแห่งธรรมะ ที่เรามีนั่นคือพุทธะบนแดนดินทำได้ไหม (ได้)  ยากเกินไปหรือเปล่า (ไม่ยาก)  หากทำได้นั่นคือผู้บำเพ็ญธรรมเข้าใจไหม (เข้าใจ)  หากเมื่อใดที่เราทุกข์ เราลองหันไปมองความทุกข์ของผู้อื่น แล้วเรายื่นมือไปช่วยคนที่ทุกข์กว่าเราจะพบความสุขที่แท้จริงและความสุขที่เจิดจรัสในการช่วยคนให้พ้นทุกข์ ลองไปหาดู บ่อยครั้งมนุษย์โลกนั้นค้นหาความสุขโดยการที่ช่วยแต่ตนเอง หรือหาทางดับทุกข์เพื่อตนเอง ลองหันกลับไปดูว่าเมื่อใดที่คนอื่นทุกข์แล้วเราก็ทุกข์ด้วย และเราไม่สนใจที่จะหาความสุขในตนเอง แต่กลับไปช่วยค้นหาความสุขให้กับมนุษย์  เรากลับพบความสุขที่เจิดจรัสยิ่งกว่าความสุขที่หาให้กับตัวเองยิ่งนัก และถ้าทำได้ จากพุทธะจะเรียกว่า โพธิสัตว์ จากเซียนเดินดินจะกลายเป็นโพธิสัตว์บนแดนโลกเอาไหม (เอา)  น้ำหนึ่งสายจะเกิดได้นั้น ต้องเกิดจากก้าวแรกของตัวท่าน และเป็นสายที่ยิ่งใหญ่ได้ก็คือการสืบเท้าต่อไปเรื่อยๆ วันนี้จะบำเพ็ญเป็นอะไร ก็ขึ้นอยู่กับก้าวแรกของท่าน  หากก้าวแรกเริ่มต้นดีก็จงสืบเท้าก้าวก่อไปเรื่อยๆ แล้วท่านจะพบสิ่งที่ดียิ่งกว่าสิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบันนี้ มนุษย์เราหาเงินทองมาก็มาก หาลาภยศชื่อเสียงมาก็ไม่น้อย ทำไมไม่หาความสุขแห่งการหลุดพ้นและฉุดช่วยมวลชนกลับคืนเบื้องบนบ้าง ลองไปทำดูนะ ถ้าท่านทำได้จากพุทธะก็กลับเป็นโพธิสัตว์  จากมนุษย์ก็เป็นพุทธะเอาไหม (เอา)
อยู่ในโลกนี้ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ตาเราเมื่อมองเห็นจงมองให้รอบๆ จงมีความรอบคอบ จงมีความรอบคอบ จงมีความสุขุมและระมัดระวัง ปราชญ์เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าดำรงชีวิตทุกย่างก้าวเหมือนเดินอยู่บนน้ำแข็งบาง” เราจงมีความสุขุมและระมัดระวังดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาท ทำได้ไหม (ทำได้)  ความผิดพลาดก็จะบังเกิดได้น้อยยิ่งนัก แต่จะบำเพ็ญธรรมได้นั้น แม้วันนี้เราจะพูดได้ดีเพียงใดก็ตาม ถ้าท่านรู้จักปล่อยวางหน้าที่การงาน ทิ้งความสนุก ความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิต แล้วกลับมาแสงหาคุณธรรม ความเป็นพุทธะในตัวตน วันนี้ฟังไปทั้งวันหากท่านไม่ปล่อยวางหน้าที่การงานบ้างก็เปล่าประโยชน์ถ้ากลับไปแล้วยังหมกมุ่นเหมือนเดิม จริงหรือไม่ (จริง)  กลับไปแล้วคงพร้อมที่จะมีใจให้เวลากับตัวเอง อย่าลืมว่ามนุษย์เรานั้นหากใจอยู่ในสิ่งที่ถูกต้องก็จะนำมาซี่งความสุข จะยืนอย่างไม่หวั่นไหว ก็มีคุณธรรมเท่านั้น อารมณ์ความเคยชิน เงินทอง เกียรติยศ ไม่สามารถช่วยให้มนุษย์อยู่ในโลกนี้และโลกน้าได้ มีแต่คุณธรรมเท่านั้นที่ช่วยให้มนุษย์ไปได้ตลอดทั้งโลกนี้และโลกหน้า กลัวไหมกับความตาย คนทุกคนต่างมีความตายหรือมรณะแฝงอยู่ในทุกขณะลมหายใจของชีวิต ฉะนั้นจงรู้จักปลงและปล่อยวางและทำวันนี้ให้ดีที่สุด
“บำเพ็ญเมื่อขัดเกลาเบิกทางฟ้า”  เมื่อไรที่พร้อมบำเพ็ญและเมื่อไรที่ยอมรับการขัดเกลา เมื่อนั่นท่านกำลังเป็นผู้ที่ปูทางกลับคืนฟ้าเบื้องบน แต่ถ้าเมื่อไรยอมรับการบำเพ็ญแต่ไม่พร้อมการขัดเกลา เมื่อนั้นท่านไม่สามารถพบทางกลับคืนเบื้องบนได้ จำคำนี้ให้ดีนะ แม้ไม่มีเรี่ยวแรงแต่จงรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ทำได้ไหม (ได้)  ผู้ที่อายุมากแล้ว เราแยากบอกท่านว่าแม้จะไม่มีเรียวแรงจะไปฉุดช่วยคนหรือไม่มีเรี่ยวแรงที่จะไปดึงคนให้พ้นจากทุกข์ แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านจะทำได้นั่นก็คือการรักษาใจให้บริสุทธิ์และหมั่นเอื้อนเอ่ยวาจาในสิ่งที่ดี นั่นก็คือการบำเพ็ญธรรมแล้ว สิ่งที่เราอยากให้ท่านบำเพ็ญง่ายๆ ก็คือ ใจรักษาให้สะอาด อบายมุข กิเลส ลดละให้สิ้น วาจาพูดแต่สิ่งที่ดี คิดแต่สิ่งที่ดี กระทำแต่สิ่งที่ดี นั่นจึงเรียกว่าบำเพ็ญ ทำได้ไหม ยากไหม (ยาก)  ไม่ยากแล้วนะ ถ้าวันนี้ยากท่านจะเอาอะไรกลับไป (บุญ)  บุญจะบังเกิดได้จิตต้องเป็นกุศล หากจิตไม่สะอาดแม้จะทำบุญก็บุญไม่เต็มแรง บุญไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ฉะนั้นใจต้องสะอาด สำหรับท่านที่อายุยังน้อยสิ่งที่เราะพูดอาจจะดูไกลแต่สักวันหนึ่งท่านต้องเจอ ขอให้ท่านจำไว้ให้ดี อย่าหลงในกิเลสตัณหา มายาอันจอมปลอมบนโลกใบนี้ จนมองไม่เห็นความเป็นจริงไม่เช่นนั้นท่านคือผู้ที่น่าสงสารที่สุด ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเอง คนอื่นมีแต่ชี้แนวทางและนำทางท่านเท่านั้น ตัวท่านจะเดินหรือไม่เดิน ขึ้นอยู่กับวันนี้แล้ว จริงหรือไม่ (จริง)
เมื่อยแย่แล้วใช่ไหม เราคงต้องกลับแล้วนะ มีโอกาสเราคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก ขอให้ตังใจศึกษาบำเพ็ญให้ดี มองหลักธรรมนี้ให้ถ่องแท้ อย่ามองเพียงนิดหน่อย อย่ามองเพียงผิวเผิน หรืออย่าวัดเพียงรูปลักษณ์ภายนอกมองสิ่งใด จงมองให้ถึงแก่นแท้ เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  มีโอกาสเราคงได้มีโอกาสผูกบุญสัมพันธ์กันอีก เป็นการยากเหลือเกินที่จะได้เจอกันแบบนี้ จงถนอมรักษาโอกาสนี้ให้ดี ไปแล้วนะ


วันอาทิตย์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน  พุทธศักราช  ๒๕๔๔
พระโอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถง

ท้องใหญ่ใจกว้างรับทุกสิ่ง ให้มนุษย์ทิ้งทุกสิ่งลงในย่าม
พระศรีอาริย์โปรดเกณฑ์ในยุคสาม คนอยากจามฮัดเช้ยหูอื้อลืมฟัง
เราคือ
ต้าเชี่ยวฝอถง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนมนุษย์   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเซียนน้อยน้อย  มีความสุขหรือเปล่า

ใจงามยิ้มก็สวยไปเอง คนเก่งมีคุณธรรมไม่ทำชั่ว
คนดีไปไหนไม่ต้องกลัว รู้ตัวทำอะไรต้องรู้ตัว
เหนื่อยหรือไม่ชีวิตแสวงกันขวักไขว่ ใจไม่ได้สว่างขึ้นพร้อมทั่ว
เปรียบชีวิตกับแข่งขันจึงเหนื่อยกลัว ไฉนฝาดตัวเองไว้กับโลกีย์
งานรุ่งเรื่องหน้าก้าวฉลาดถอย สงบคอยตัดพายุผ่านปานกระบี่
เวลาเหมือนแม้นช้าเชื่องขณะนี้ แต่ฤดีล้าไม่อ่อนสุขุมพอ
ความดีอย่าอ่อนลงตามเวลา ประกายตามุ่งมั่นแรงไม่ท้อ
บำเพ็ญก้าวทางตามสร้างทางต่อ ไฉนหนอทำลายง่ายยากสร้างตรง
ฮิ   ฮิ   หยุด

พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่

เพียงศึกษาหลักธรรมนำชีวิต เพื่อสะกิดพุทธจิตตื่นหลับใหล
เริ่มวันนี้พรุ่งนี้อีกต่อไป ด้วยเข้าใจสู่ศรัทธาท้ายมั่นคง
เราคือ
อว๋าอวาเซียนหนวี่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนมนุษย์   แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีพุทธะทุกท่าน  สบายดีไหม

เตือนใจคนเข้าใจเตือนสัมฤทธิ์ โลกกว้างคนอดทนด้วยตามพะวง
ความลังเลไม่ขวางอุปสรรคประสงค์ ไร้ละเอียดเมื่อลงเล็กสำเร็จลาง
ร่วมปณิธานรวมพลังที่ต่างกัน อาศัยกันเริ่มแต่นี้อภัยตั้ง
ยามสบายตั้งใจยามลำบากหนีห่าง เลือกแต่ราบรื่นกำลังไร้บำเพ็ญ
เมื่อใจสู้ใจเข้มแข็งกว่าเก่า สนุกเดารู้ยิ่งเกินกว่าเห็น
ความเสื่อมวัดอันตรายไว้ยุคเข็ญ ฟ้ายามเย็นต้องระวังปัจจัยครบ
รู้จักใช้ความกล้าอย่าผิดแนว ถนอมแก้วของจิตใจใจสงบ
ถือสาเรื่องเล็กน้อยวุ่นไม่จบ อย่าผิดเรื่องเพราะกระทบอายตนะเลย
ฮิ   ฮิ  หยุด

เปลี่ยนแปลงตนเองทำวันนี้ให้ดี ให้ความดีจงคุ้มครองพลัน
เปลี่ยนแปลงใจใครคอยใจหายทุกวัน ถ้าเราดีกันความหมองสิ้น

ชื่อเพลง : สละให้-ได้รับ
ทำนองเพลง : แปลงฟัน

โอวาทท่านต้าเซี่ยวฝอถงและท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่

ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ตั้งใจฟังธรรมหรือเปล่าก็ไม่รู้ (ตั้งใจ)  หรือขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาไวๆใช่หรือเปล่า
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เดินไปทางไหนก็มีแต่คนใช่ไหม ท่านอยู่ที่นี่มีคนหรือเปล่า คนเบื่อคนไหม (ไม่)  เวลามีปัญหากับใคร (คน)  เบื่อไหมไหนใครเบื่อบ้างยกมือขึ้น เดี๋ยวใครไม่ยกมือก็ถือว่าไม่ให้ความร่วมมือ ถ้าอยากยกมือแล้วไม่ยอมยกแสดงว่าไม่ให้ความร่วมมือใช่หรือเปล่า (ใช่)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ใครชอบคน ยกมือขึ้น
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : แล้วนคที่ไม่ยกหมายความว่าอย่างไร (บางทีก็เบื่อบางทีก็ไม่เบื่อ)  ต้องเอารางวัลเข้าล่อใช่ไหม ชอบรางวัลหรือไม่  รางวัลเป็นเงินชอบไหม (ไม่ชอบ)  เสียงเบาๆ ไม่ขอบใช่ไหม ชอบจนๆ ใช่ไหม (ชอบรวยๆ ค่ะ )  ทำไมล่ะ รวยๆ แล้วดีหรือเปล่า (ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง, ดี)  จนๆ ดีหรือเปล่า (ดี)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ชอบโกหกเหรอ พูดก็พูดไม่จริง
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เดี๋ยวถ้าใครไม่ยอมตอบ จะจับมาอยู่ข้างหน้าสถานธรรมดีหรือเปล่า ให้ยืนขาแข็งเป็นชั่วโมงดีหรือเปล่า (ดี)  กลัวโดนสะกดจิตหรือ ขนาดจนยังไม่กลัวเลยใช่หรือเปล่า กลับไปดีกว่าไม่มีใครอยากคุยไหนใครอยากคุยกับเรายกมือขึ้น
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ผู้ปฏิบัติงานธรรมไม่มีใครช่วยยกมือเลย ยืนอยู่ข้างหลังก็เป็นกำลังใจด้วย
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ในโลกนี้มีคนเบื่อคนมากเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าโลกนี้มีเราคนเดียวก็ดีสิ ชอบพูดแบบนี้ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  ไม่ใช่หรือ บางเวลาเบื่อๆ มากๆ ชอบพูดว่า ถ้ามีเราคนเดียวก็ดี ในความจริงเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ในความเป็นจริงแล้ว เราไปทางไหนก็มีแต่คนใช่หรือไม่  และคนก็มีทั้งน่าเบื่อและไม่น่าเบื่อใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนน่าเบื่อคือเราหรือเปล่า (ไม่ใช่)  คนน่ารักคือเราหรือเปล่า (ใช่)  ชมตัวเองกันหมดเลย ไหนใครร่ารักยกมือขึ้นสิ คนไหนน่ารักยกมือขึ้นเร็ว
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ใครไม่น่ารักยกมือขึ้น
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : รู้สึกว่าแถวนี้ยกเก่งนะ เดี๋ยวจับแถวนี้มานั่งหน้าแถวนี้ไปนั่งหลังดีไหม (ไม่ดี)  เวลาเห็นท่านบึ้งๆ ยิ่งอยากยิ้มใหญ่เลยใช่หรือเปล่า  เวลาเห็นท่านบึ้งๆ เราตลกจังเลย ถ้าอยากให้เราเศร้าหน่อย  ท่านก็ยิ้มให้เราหน่อยดีหรือเปล่า (ดี)  จะบอกให้นะ ทุกท่านเกิดมาในโลกนี้ไม่ได้เกิดมาเพียงคนเดียว ฉะนั้นการเกิดมาในโลกนี้ก็มีแต่คนมีปัญหากับคน  ไม่มีคนก็ไม่มีปัญหาใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างไรก็ตามท่านก็หลีกคนไม่พ้น  ฉะนั้นเวลาเจอปัญหาต้องทำไม (เข้าหาปัญหา)  เวลาเจอปัญหากับคน ท่านต้องยิ้มให้หน่อยดีหรือไม่ ยิ้มหน่อยไม่พอ  ก็ยิ้มให้มากหน่อยดีหรือไม่ (ดี)  เพราะว่าเวลาที่พวกท่านอยู่ในโลกนี้ คนที่เขาชอบก็ชอบมองที่ยิ้มหรือบึ้ง (ยิ้ม)  เวลาเขามองเขาก็ชอบมองคนที่ยิ้ม ต่อให้มีปัญหากัน เขาก็อยากให้ท่านยิ้มใช่หรือเปล่า  ฉะนั้นยิ้มเป็นสิ่งที่ดีไหม (ดี)  แล้วพวกท่านยิ้มวันละกี่นาที
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : อย่างนี้ต้องเอานิ้วดันเพื่อจะยิ้มขึ้น
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ยิ้มวันละกี่นาที ไหนใครตื่นขึ้นมาก็ยิ้มเลย ยกมือขึ้น จริงหรือเปล่าตื่นขึ้นมาก็ยิ้ม (จริง)  เราเห็นตื่นขึ้นมาแล้วก็ขมวดคิ้วใช่หรือเปล่า  นาทีแรกท่านก็คิดถึงปัญหาชีวิตท่านเวลาหรือเปล่า (ใช่)  ไม่มีใครจะยิ้มเลยใช่หรือเปล่า เป็นเซียนเด็กนะ มีความสุข ทุกท่านแม้จะมีร่างกายเป็นมนุษย์แต่อยากเป็นเซียนทันทีก็ทำได้เหมือนกัน กายไม่ใช่เซียนแต่จิตใจเป็นเซียนเวลาเจอความทุกข์ต้องยิ้มใส เวลาเจอความสุขก็ต้อง (ยิ้ม)  ไม่ใช่ อย่างนี้เป็นเซียนไม่ได้ (เฉยๆ)  อย่างนี้ส่งลงจากสวรรค์เลย เวลามีความสุขท่านก็ทำให้ผู้อื่นเห็นว่ามีความสุขเหมือนเดิม  เพราะฉะนั้นเวลาที่ท่านมีความสุขก็ต้องเอาความสุขนั้นไปแบ่งให้ผู้อื่น ยิ่งท่านแบ่งความสุขไป  ความสุขจะยิ่งเป็นอย่างไร (มากขึ้น)  ท่านเก่งจริงๆ เลย
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ความจริงเขาก็รู้อยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยยอมทำ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ไม่รู้หรอก เราเห็นเหวลามีกุศลแล้วก็หวง
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : มีการทำบุญต้องเขียนชื่อ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เวลาทำบุญต้องกรวดน้ำใช่หรือไม่ (ใช่)ต้องอุทิศส่วนกุศล แต่บางคนก็อุทิศไปแล้วหมด เพราะว่าท่านนั้นไม่ได้คิดว่าจริงๆ แล้ว ยิ่งให้ไปจะยิ่งมาก บางคิดว่ากุศลมีอยู่หนึ่งแก้ว เวลาทำกุศลมามีอยู่หนึ่งแก้วแล้วมันจะหมดแบบนี้ (ท่านดื่มน้ำหมดแก้ว)  บางคนคิดว่ากุศลท่านจะหมดแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วกุศลไม่ใช่แบบนี้ กุศลเป็นเสมือนอากาศที่ลอยไปลอยมาด้วย ยิ่งท่านให้คนอื่นได้รับโอกาสสูดอากาศบริสุทธิ์เท่าไร ก็ยิ่งจะมีใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่มีวันหมดไป อากาศหมดไหม ถ้าอากาศหมดไปเมื่อสองสามวันก่อนนี้ที่นี่ไม่มีคนเลยเพระว่าไม่มีคนชอบมาสถานธรรม ตรงนี้อากาศเยอะแยะไปหมด แล้ววันนี้ให้ท่านเข้ามาเต็มไปหมด  อากาศหมดเรียบไหม (ไม่หมด )  ในดินแดนของกุศลและดินแดนของความดี  ยิ่งท่านให้ก็จะยิ่งมีมากขึ้น ยิ่งท่านให้ท่านก็ยิ่งได้รับมากขึ้น เคยคิดแบบนี้ไหม แต่เวลาที่เราอุทิศส่วนกุศลก็คิดโน่นคิดนี่ ต้องนับก่อน ต้องกรวดน้ำไปให้คนที่สำคัญๆ ก่อน  ท่านคิดว่าคนที่ไม่เคยสำคัญนั้น สำคัญไหม เพราะว่าไม่ใช่ญาติท่าน ท่านจึงคิดว่าไม่สำคัญ แต่จริงๆ แล้วทุกๆ คนในโบกนี้เป็นญาติท่านใช่ไหม (ใช่)  ท่านเกิดมาไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว  เพราะฉะนั้นคนทุกคนในตรงนี้ รวมทั้งเราสองคนด้วย ให้เราเป็นญาติกับท่านดีหรือไม่ (ดี)  ให้เราเป็นญาติท่าน ให้ท่านเป็นญาติเรา และเราทุกๆ คนมองหน้ากันแล้วมีรอยยิ้มให้กันดีหรือไม่ (ดี)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : มีพุทธะเป็นญาติไม่ดีหรือ ต้องรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ไวๆ นะ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : มีพุทธะเป็นญาติไม่ดี เพราะจะโดนจ้ำจี้จ้ำไช
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : เราว่าดีออก จ้ำจี้จ้ำไชให้เป็นคนดี พุทธะบ่นท่านบ่นได้ไหม (ได้)  พุทธะไม่เคยตีด้วยมือจริงๆ นะ  พุทธะตีด้วยคำพูดและคุณธรรม และพุทธะก็ช่วยฆ่ากิเลสในตัวท่านด้วย เราไม่ใช่พุทธะที่ฆ่าท่านด้วยคำพูด เป็นพุทธะที่ช่วยฆ่ากิเลสในใจท่าน
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ใครฆ่าด้วยคำพูด (คน)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : อย่าคิดแบบคนมากพยายามคิดให้เป็นพุทธะ คิดอย่างที่พุทธะคิด ทำอย่างที่พุทธะทำ เหมือนอย่างที่อาจารย์ของท่านสอนไว้ และเป็นอย่างที่พุทธะเป็นได้ แต่มนุษย์มักอยู่รวมกันแล้วคิดแบบมนุษย์ก็เลยวนกันแบบมนุษย์ คิดกันคน คน คน ไม่หยุดสักที
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : แล้วก็คนไป แล้วก็คนมา เละไปหมดเลย
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : เห็นนะ เห็นกินกันอิ่ม กินตั้งหลายจาน  เป็นคนบำเพ็ญต้องรู้จักพอ พอดีบ้าง กินอิ่มมากเกินแล้วเราจะง่วง
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ไม่รู้ว่ากินเจอร่อยไหม (อร่อย)  กินชออร่อยไหม กินเจกับชอต่างกันตรงไหน
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่กับท่านต้าเซี่ยวฝอถง  เมตตาให้เลือกจะนั่งหรือยืนหรือจะนั่งครึ่งๆ )
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ถ้าเลือกยืนแล้วง่ายกว่านั่นครึ่งๆใช่หรือไม่ (ใช่)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ฉะนั้นแปลว่าเป็นคนนั้นต้องมีจิตหนึ่งใจเดียว  อยากจะทำสิ่งใดก็ต้องตั้งมั่นอยู่สิ่งนั้นสิ่งเดียว อย่าวอกแวกถึงสองสิ่ง ไม่อย่างนั้นแล้วจะลำบากใจ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ยืนก็ง่าย นั่งก็ง่าย แต่ให้ครึ่งยื่นครึ่งนั่งนั้นยากใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นจะบำเพ็ญก็ง่าย ไม่บำเพ็ญก็ง่าย แต่ถ้าบำเพ็ญบ้างไม่บำเพ็ญบ้างก็ยาก เจกับชอต่างกันตรงไหน (เจคืออาหารที่บริสุทธิ์)  เจกับชอก็ต่างกันง่ายๆ ชอเอาเนื้อสัตว์มาปรุง  เจก็ไม่มีเนื้อ  ชออร่อยไหม  ต้องตอบจริงๆ จะโกหกตัวเองไปทำไม  ชอก็บอกว่าอร่อย  เจก็บอกว่าอร่อย  จะโกหกไปทำไม  โกหาตัวเองแล้วมาโกหาเราไม่น่ารักเลย  ชอก็บอกว่าอร่อย  เจก็บอกว่าอร่อย  แต่สิ่งที่ตัวเองแตกต่างไม่ใช่อยู่ที่ความอร่อย  ความอร่อยอาจทำให้ท่านไม่ได้กินเจต่อจากวันนี้ใช่หรือเปล่า  แต่สิ่งที่ทำให้ท่านกินเจต่อจากวันนี้ได้ก็คือ   การกลัวบาปเป็นการเริ่มต้นใช่หรือไม่ (ใช่)  พอทำได้แล้ว  ท่านก็ค่อยๆคิดไปถึงความเมตตา  เพราะความเมตตาเป็นสิ่งที่เข้าถึงยาก  เพราะฉะนั้นเวลามีคนถามว่า  กินเจอร่อยไหม  อร่อยจริง  อร่อยแล้วกินเจไหม (ไม่)  จริงๆแล้วท่านไม่ได้คิดถึงความอร่อยเป็นที่ตั้ง  เวลาจะกินเจท่านก็ไม่ได้คิดถึงความอร่อยเป็นที่ตั้ง  ให้คิดถึงการกลัวบาปเป็นที่ตั้ง  ส่วนการกินชอท่านนึกอะไร (อร่อย)  ฉะนั้นถ้าท่านจะงดชอท่านก็ต้องคิดถึงความกลัวบาปเป็นที่ตั้งใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้ท่านก็จะกินเจง่ายขึ้นใช่หรือเปล่า  มีใครในโลกนี้ไม่กลัวบาปบ้าง  ถ้าเราบอกว่ากินชอแล้วบาป  ท่านเชื่อไหม (เชื่อ)  แล้วกลับจากวันนี้ไปท่านกลัวบาปไหม (กลัว)  แล้วท่านจะเริ่มกินเจไหม (เริ่ม)  แย่จังเลยเพราะท่านนั้นกลังบาปก็กลัว  อร่อยก็อร่อยใช่หรือเปล่า (ใช่)  กลัวบาปกับอร่อยอันไหนมากกว่ากัน (กลัวบาป)
ตอนนี้ท่านอยู่ในอารมณ์ที่ปกติมากขึ้น ทีนี้เราจะสอนท่านยิ้ม ยิ้มเป็นไหม (เป็น)  มนุษย์ชอบยิ้มแต่มียิ้มหลายอย่าง ยิ้มหัวเราะเยาะ ยิ้มแหยๆ
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ยิ้มเยาะเย้ย ยิ้มหยันๆ ยิ้มแหยะๆ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : ยิ้มมีความสุข ยิ้มด้วยความชื่นใจ ยิ้มด้วยความจริงใจ ท่านรู้จักยิ้มเหล่านี้ไหม เวลาที่ท่านมีความทุกข์ก็อยากให้ท่านยิ้มให้กับความทุกข์นั้นๆ เวลาท่านมีความสุขก็อยากให้ท่านยิ้มกับความสุขนั้นๆ จริงๆ แล้วยิ้มนั้นมียิ้มเดียวแต่ใจท่านมีหลายใจ ฉะนั้นยิ้มก็ต่างกันตามจิตใจของท่านเอง ตอนนี้ถ้าใจของท่านเป็นอย่างไรท่านก็จะยิ้มออกมาอย่างนั้น ไม่เชื่อก็ลองดูมนุษย์บอกว่าถ้าอยากยิ้ม ให้พูดว่า คำว่า สี่
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ไหนลองพูดว่า สิบห้า แล้วยิ้มดู
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เราให้ท่านยิ้ม ท่านไหนไม่ยิ้มจะให้มายิ้มหน้าห้องหนึ่ง สอง สาม สี่
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่  เมตตาให้นักเรียนเล่นยิ้ม)
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : คนดีไปไหนไม่ต้องกลัวใช่หรือไม่ (ใช่)  ลางคนบอกว่ากลัวโน่นกลัวนี่ คนดีทำดีไม่มีอะไรคุ้มครองใช่หรือเปล่า  ก็เลยกลัวว่าไปโน่นไปนี่ แล้วจะไม่ปลอดภัยใช่หรือไม่ (ใช่)  เราแนะวิธีง่ายๆ ให้ คนโดนปล้นเพราะอะไร (ท่านต้าเซี่ยวฝอถงยหตัวอย่างนักเรียนในชั้น)  อย่างนี้ไปไหนปลอดภัยไหม (ไม่ปลอดภัย) เพราะอะไร (มีสมบัติเยอะ)  เพราะมีทองใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วคนนี้ล่ะปลอดภัยไหน (ปลอดภัย)  เราจะบอกให้ผู้หญิงหน้าตาไม่ได้แต่ง ผิวพรรณก็ไม่ได้บำรุง ฉะนั้นก็มอมแมมๆ ไปไหนก็สบาย แต่คนสมัยนี้ ทาครีมเช้า ทาครีมเย็น ฉะนั้นถ้ายิ่งแต่งหน้าด้วยยิ่งสวยก็ยิ่งไม่ปลอดภัยใช่หรือไม่ (ไม่)  มีอีกหลายสาเหตุของความไม่ปลอดภัยของท่านที่ต้องเจออยู่ทุกวันนี้ ท่านต้องคิดว่าเป็นเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะเราดูแล้วไม่น่าปลอดภัยเลยใช่หรือไม่  แต่คนดีจริงๆ ก็มีสุภาษิตกล่าวว่า “คนดีผีคุ้ม” ท่านก็ต้องเชื่อตรงนี้ด้วย  ถ้าท่านเป็นคนดีท่านก็ไม่ทำอะไรที่ผิดท่านก็มั่นใจว่าตัวท่านนั่นแหละปลอดภัยที่สุด แต่ตอนที่ท่านอยู่ต่อหน้าคนจำนวนมากแล้วเป็นอย่างหนึ่ง  พอลับหลังไปอยู่คนเดียวคิดก็คิดไม่ดี  ทำก็ทำไม่ดีอย่างนี้จะปลอดภัยได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้นการที่ท่านมองว่าใครเป็นคนดีนั้นท่านก็มองไม่ออกเพราะว่าเขาตั้งใจปกปิดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าจำเป็นไหมที่ท่านจะต้องมองว่าเขาเป็นคนดีหรือเปล่า (จำเป็น)  จำเป็นหรือ  แล้วท่านมองตัวเองสิว่าเป็นคนดีหรือเปล่า (ดี)  ถ้าท่านบอกว่า  ท่านจำเป็นต้องมองให้ออกว่าคนอื่นดีหรือเปล่า  ท่านก็ต้องมามองให้ออกว่าตนเองนั้นดีหรือเปล่าก่อน  ถึงจะดีใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนบอกว่าเวลาจะไปทำการค้ากับคนนี้  เราก็ต้องมองให้ออกว่าคนนี้ดีหรือเปล่า  เวลาจะไปสมาคมกับคนนี้  เราก็ต้องมองให้ออกว่าคนนี้ดีหรือเปล่า  ในขณะที่ท่านมองเขา  ก็มีคนอื่นกำลังมองตัวท่านอยู่  ฉะนั้นก่อนที่จะมองคนอื่นก็ต้องรู้จักที่จะมองตนเอง  แล้วถ้าหากว่าท่านทำได้  นี่ก็เป็นหนึ่งคุณสมบัติของคนที่กำลังบำเพ็ญอยู่เช่นเดียวกัน  เพียงแต่เพิ่งจะเป็นแค่ย่างก้าวแรกหรือจะเป็นแค่การเริ่มต้นก็ดี  ขอให้ท่านนำความคิดของท่านนั้นไปสู่สิ่งที่ดีความคิดของท่านดี  ไม่ว่าท่านจะพูดอะไรก็ออกมาดี  ไม่ว่าท่านจะชวนอะไรใครก็ออกมาดี  ไม่ว่าท่านจะพูดจากับใครคำพูดของท่านนั้นก็จะมีแต่สิ่งที่ดีใช่หรือไม่
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : อยากกินลูกอมยักษ์ไหม เราเพิ่งรู้นะลูกอมโลกมนุษย์ใหญ่ขนาดนี้ มนุษย์เราก็เหมือนลูกอมในถาดนี้  อยู่ที่ว่าวันใดเราจะถูกหยิบไปกิน จริงไหม (จริง)  แต่โชคดีที่พุทธะเก็บไป  แต่ไม่รู้ว่ท่านจะเป็นหนึ่งในโชคดีนั้นหรือเปล่า  ชีวิตของมนุษย์เราก็เหมือนลูกอมในกะบะนี้ วันใดจะถูกหยิบขึ้นมาแล้วก็หายไปจากกะบะนี้ ใช่ไหม  แล้วรู้ไหมว่าเราจะถูกกิน  ไม่รู้แล้วกลัวไหม (กลัว)  ถ้าตราบใดที่เรายังกลัวอยู่  แปลว่าตอนนั้นเรายังไม่ดีพอเราถึงกลัว จริงหรือเปล่า  ถ้าตอนที่ท่านรับธรรมะ มีคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “มีพุทธะท่านหนึ่งได้รับธรรมะชี้หนึ่งจุด แม้วันนี้หรือพรุ่งนี้จะตายก็ไม่กลัวเลย” เคยได้ยินคำนี้กันมาหรือเปล่า (เคย)  คงเคยมาบ้างเพราะอย่างน้อยก็รับธรรมะมาแล้วใช่หรือเปล่า  แต่พอเรารับไปแล้วแต่ทำไมเราถึงกลัวตายอยู่อีกล่ะ นั่นแปลว่าเป็นเพราะเราไม่ได้ศึกษา และเรายังดีไม่พอ  การจะเป็นคนดีให้พอและไม่ต้องถูกดึงออกไปทิ้งอย่างไร้คุณค่า เราจึงต้องทำตัวเองให้ดีก่อน ท่านเห็นไหมว่าลูกอมแต่ละเม็ดในกะบะนี้ล้วนมีสีสัน และล้วยมีการห่อหุ้มที่สวยงามต่างกันออกไปใช่ไหม ก็แปลว่ามนุษย์เราก็เหมือนกับลูกอมต่างๆ หลากสีนี่แหละพยายามประชันขอให้ตัวเองนั้นเด่นที่สุด แต่ว่าความตายไม่มีใครเลือกว่าใครสวนใครเด่น ไม่มีเลือกว่าอายุน้อยอายุมาก เมื่อถึงเวลาเขาก็ต้องไป ฉะนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำก่อนที่จะถูกเลือกไปนั้น ก็คือทำตัวให้ดีใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นเราจะบอกท่านว่ามีหลักอยู่ไม่กี่ข้อในการทำตัวให้เป็นลูกอมที่แสนดี หลักง่ายๆ ก็คือ หนึ่ง รู้จักสำรวมความประพฤติ ก็คือ พูด คิด ทำ วนเป็นสิ่งที่ดี กิริยามารยาทล้วนเรียบร้อย มีความร่าเริงได้ แต่ในความร่าเริง ในความสนุกสนานนั้นต้องอย่าลืมความระมัดระวัง สอง ปฏิบัติหน้าที่ตนเองให้สมบูรณ์ ทำได้ไหม (ได้)  ทุกคนต่างมีหน้าที่มากกว่าหนึ่งหน้าที่ หน้าที่เป็นลูก หน้าที่เป็นครูบาอาจารย์ หน้าที่เป็นบิดามารดา และหน้าที่ในการเป็นเพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนกับเพื่อน หรอหน้าที่ความเป็นพี่เป็นน้อง  ฉะนั้นเราต้องทำหน้าที่ต่างๆ เหล่านั้นให้สมบูรณ์ไม่บกพร่อง สาม มีความสามัคคี ทำไมคนดีต้องมีความสามัคคีรู้หรือเปล่า
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : บางคนบอกว่าประชุมธรรมต้องไม่ยึดติด ไม่กินกาแฟแล้ว จริงๆ กาแฟก็ขม แต่ก่อนที่จะเลิกกาแฟไปเลิกอย่างอื่นก่อนก็ดีนะ  เลิกยึดติดในเงินทองยากนะ
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : สามัคคีก็คือ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม  เป็นคนที่ต้องอยู่กับหมู่มาก ไม่ว่าจะอยู่ในครอบครัว สังคม หน้าที่การงาน  ท่านต้องอยู่มากกว่าหนึ่งคน นั่นคือสามัคคีนั้นแปลว่า อยู่ในบ้านก็ต้องสามัคคีปรองดอง อยู่ในที่ทำงานก็ต้องสามัคคีปรองดองกับเขาได้ ไม่ทำตัวผิดแผกแตกต่าง หรือให้เป็นที่น่ารังเกียจของคนอื่น แล้วอยู่กับตัวเองต้องมีความสามัคคีไหม (มี)  ทำไมเราบอกว่าต้องสามัคคีเพราะว่าร่างกายเราประกอบไปด้วยกายและใจ ถ้ากายกับใจเมื่อจะทำสิ่งใด ใจคิดมากแล้วมือจะทำได้สำเร็จไหม ฉะนั้นกายกับใจก็ต้องมีความสามัคคี หลักของการทำตัวดีมีสามข้อแล้ว ท่านทำได้ไหม (ได้)  หากท่านทำได้ไม่ว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ หรือทำสิ่งใดก็จะเป็นที่ปรารถนาของทุกคนในสังคม จริงไหม (จริง)  แต่ยังแถมท้ายด้วยอีกข้อที่ลืมไม่ได้คือ สี่ ความเสียสละ เป็นคนดีแม้จะดีทุกอย่างแต่ไม่เคยยืนมือช่วยใคร ไม่แคบเอื้อนเอ่ยพูดสิ่งใดที่เป็นการช่วยเหลือคนอื่น อย่างนี้ก็เรียกว่าดีไม่สมบูรณ์ ดีแค่ตัวเอง  ฉะนั้นการทำความดีมีอยู่กี่ข้อ (สี่ข้อ)  มีอะไรบ้าง  ใครตอบได้เราจะให้ลูกอม
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : “งานรุ่งเรืองหน้าก้าวฉลาดถอย สงบคอยตัดพายุผ่านปานกระบี่”
หน้าก้าวฉลาดถอย หมายความว่า  ก้าวไปข้างหน้าก็ต้องก้าว แต่เวลาจะถอยก็ต้องถอยอย่างชาญฉลาด พระอาจารย์ท่านเคยพูดว่า คนฉลาดนั้นไม่ดีแต่เราคิดว่าถ้าท่านฉลาดโดยไม่มีเล่ห์กลอุบายอะไรก็ดี  ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด นั่นเรียกว่าชาญฉลาด ใช้ไหวพริบ  ใช้ปัญญา ใช้ความเข้าใจในการที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ท่านอยู่ ถ้าหากการจะมาสถานธรรมเป็นอุปสรรค หากงานธรรมะเดินไม่สะดวก ขอให้ฉลาดที่จะพลิกแพลง เพราะเวลาท่านเดินก็จะมีอะไรมาขัด ท่านก็ต้องรู้จักที่จะหลบ เจ้าใจไหม ดีไหม  ถ้าหากท่านไม่พอใจและอยากจะเปลี่ยนแปลง ต้องรู้จักใช้ความฉลาดด้วยปัญญา อย่าทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เราคิดว่าเท่านี้ก็น่าจะดีแล้ว
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่  เมตตาสอนลุก-นั่งตอบคำถาม)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : เป็นคนดีเราต้องทำอะไรบ้าง (ปฏิบัติดี, มีความเสียสละ, มีสามัคคี)  สามัคคีตรงไหนบ้าง (ตรงจิตใจ)  ตรงจิตใจและการทำงานเป็นหมู่คณะ  หรือไม่ก็ในครอบครัว (ปฏิบัติหน้าที่ให้สมบูรณ์, มีความสำรวม)  สำรวมอะไร สำรวมความประพฤตินะ วันนี้เราอยากแสดงอะไรให้ท่านดูหน่อย อยากดูละครเรื่องหนึ่งไหน (อยาก)
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ เมตตาให้นักเรียนอาสาสมัครขึ้นมาเล่นตาบอดคลำช้าง)
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : ได้อะไรจากนิทานเรื่องนี้ สรุปก็คือ คนทุกคนหรือทุกๆ ท่านในที่นี้ล้วนมีความรู้ประสบการณ์ชีวิตแตกต่างกัน เวลาเรารู้แล้วเราก็จะยึดติดกับสิ่งที่เราเคยรู้ แล้วก็ยึดมั่นกับความรู้ตรงนั้นแบบไม่ปล่อยเหมือนกับคนแรกกับคนที่สอง  จับได้ว่าเป็นแขนกล้ามแข็งๆ ก็ต้องมั่นใจว่าเป็นผู้ชาย ผู้ชายในโลกนี้กล้ามนิ่มๆ มีบ้างไหม (มี)  ฉะนั้นบางครั้งเราจะเสริมเหตุผลอะไรของเรานั้นเราอย่าเพิ่งบอกว่ใช่เสมอไป ต้องบอกว่ายังไม่แน่ใจ แต่คิดว่าผู้ชายโดยส่วนใหญ่กล้ามจะแข็ง คำพูดที่จะออกมานั้นใช้การเดาอย่างเดียวแล้วยึดติดในกระสบการณ์อาจไม่ถูกต้องเสมอไป รองหัวหน้าบอกว่าใส่ผ้าคลุมผมต้องเป็นผู้หญิง ผู้ชายก็ใส่ผ้าคลุมผมได้เวลาอากาศร้อน นี่คือการยกตัวอย่างนะไม่ใช่ต่อว่า แต่คนเอาโดยส่วนใหญ่พอมั่นใจในความรู้ก็จะยึดมั่นในความรู้ไม่ปล่อยเหมือนที่คนคลำช้างคิดว่าช้างเหมือนหม้อเพราะจับหัว เหมือนกระด้งเพราะจับหู แล้วก็เถียงกันยกใหญ่ เฉกเช่นเดียวกันวันนี้ท่านมาศึกษาธรรมหลักธรรมที่ท่านอยู่ในใจ ที่ผ่านไปวันนี้สิ่งที่สรุปอยู่ในใจท่านก็จะแตกต่างกันบางคนจะบอกว่าธรรม หมายถึง การทำดี บางคนก็สรุปว่า ธรรมคือการเสียสละ แต่รู้ตรงนี้แล้วก็มั่นใจในตรงนี้ แล้วก็ไม่เปลี่ยนแปลงตรงนี้ ถูกไหม (ไม่ถูก)  สรุปง่ายๆ วันนี้เราเจอรองหัวหน้า รองหัวหน้าดูเรียบร้อยแล้วท่านก็มั่นใจว่าเมื่อพูดกับรองหัวหน้าก็เรียบร้อย แต่ถ้าวันใดรองหัวหน้าเกิดหัวเราะหลุดพูดคำไม่เรียบร้อยขึ้นมา ท่านก็บอกว่าไม่ใช่  รองหัวหน้าเป็นคนเรียบร้อยเข้าใจไหม (เข้าใจ)  เหมือนชีวิตที่ท่านเรียน รู้อย่ามองเพียงหนึ่งเป็นหนึ่ง อย่ามองแค่สุขทุกข์เป็นแค่สุขทุกข์  แต่จงมองให้มากกว่านั้น และจงเข้าใจให้ลึกกว่านั้น เหมือนที่ท่านมองลูกอม ถ้าท่านบอกว่าลูกอมคือต้องห่อแบบๆ มีลายแบบนี้อันอื่นไม่ใช่ลูกอม ถูกไหม (ไม่ถูก)  ฉะนั้นเราเรียนรู้อะไรในโลกนี้อย่ายึดมั่น เมื่อเรียนรู้แล้วจงให้เป็นเหมือนแพ พอข้ามมาฝั่งหนึ่งแล้วจงทิ้งแพนั้น อย่าเอาแพนั้นมาแบกไว้บนหัว เหมือนท่านเรียนรู้การเป็นคนดีท่านก็แบกความดีไว้บนหัว ใครมาว่าท่านไม่ดีท่านก็โกรธเช่นนี้ถูกไหม (ไม่ถูก)  เหมือนท่านจะทำตรงนี้และเขาต้องพูดว่าดีนะ  แต่เขาพูดว่าร้ายท่านก็โมโห นี่แปลว่าเรายึดในแบบใช่หรือไม่  และหวังผลในแบบที่เรายึดมั่นเข้าใจไหม (เข้าใจ)
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ เมตตาให้เล่นสัญลักษณ์ บวก ลบ คูณ หาร)
อย่างนี้แปลว่า (บวก)  อย่างนี้แปลว่า (ลบ)  อย่างนี้แปลว่า (คูณ)  ผิด นี่นิ่วมือกวาดไปกวาดมาจริงหรือเปล่า (จริง)  บอกแล้วว่าอย่างยึดใช่ไหม  ชีวิตเราบางครั้งต้องมีการเพิ่มอะไรให้กับชีวิต แล้วก็ตัดอะไรให้กับชีวิต  การเพิ่มกับการตัดก็เหมือนการบวกกับการลบ การเพิ่มกับการตัดก็เหมือนการคุณกับการหารได้เหมือนกัน แต่เราต้องดูให้ออกว่าชีวิตเราอะไรควรบวก  อะไรควรลบ อะไรควรคูณ อะไรควรหาร บางครั้งผลสรุปในความคิดต้องมีการแสดงออก เราพูดอย่างเดียวไม่ได้ผลต้องมีการแสดงออก เหมือนกันวันนี้ท่านรู้ว่าการบำเพ็ญธรรมเริ่มต้นก็คือการปฏิบัติตนให้เป็นคนดี  ถ้าท่านเอาแต่พูดไม่มีผล ต้องลงมือปฏิบัติ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เวลาที่ท่านมาฟังธรรมสามวันนี้ วันนี้วันที่สองใช่ไหม (ใช่)  วันนี้เป็นวันที่สองแล้วในจิตใจของท่านต้องรู้สึกมีอะไรที่ดีขึ้นบ้าง ถ้าแม้จะฟังธรรมจะยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นจริงหรือปลอม ยังสรุปไม่ได้ว่า  ดีแน่หรือเปล่า แต่ว่าในจิตใจของพวกท่านสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความเปลี่ยนแปลงในจิตใจ จิตใจต้องรู้สึกว่อยากที่จะทำความดีมากขึ้น นี่เป็นความสำเร็จของการฟังธรรมสองวันนี้ เพราะว่าเรามาฟังธรรม ไม่ใช่มาจับผิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราจับผิดก็ไม่ได้จับคนอื่น แต่ต้องจับผิดจิตใจของตนเอง ต้องให้มีความรู้สึกที่ดีขึ้นในการที่เราฟังธรรมต้องให้จิตใจของเราถูกโน้มน้าวไปในการทำความดีมากขึ้น ถ้าหากท่านยังไม่รู้สึกอยากทำความดีมากขึ้น หรือฟังจบไปพอเย็นแล้วก็เฉยๆ อย่างนี้แสดงว่าในจิตใจของท่านนั้นถูกโน้มน้าวให้เป็นดียากมากใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าตอนนี้ทุกท่านดีอยู่แล้ว เราก็อยากให้ท่านดีขึ้นกว่านี้ใช่หรือเปล่า (ใช่)
การบำเพ็ญธรรมไม่สามารถมีใครบังคับให้ใครบำเพ็ญได้ แม้ว่ามีคนมาบังคับให้ท่านทำงานได้ บังคับให้ท่านล้างชาม ส่งผ้าหรือทำกับข้าวได้ แต่ไม่มีใครบังคับให้ท่านบำเพ็ญธรรมได้เพราะบำเพ็ญนั้นจริงๆ เป็นเรื่องของจิตใจ คือ การทำจิตใจให้เป็นปกติ และทำจิตใจให้สะอาด ตอนนี้ต้องกลับไปทำเองใช่หรือไม่  คนอื่นบังคับให้ท่านปฏิบัติธรรมได้แต่ไม่สามารถบังคับท่านให้บำเพ็ญได้ ต่อให้ท่านปฏิบัติธรรมมากมายถ้าท่านบำเพ็ญด้วยความรู้สึกถูกบังคับ บีบคั้น ท่านก็จะไม่สามารถที่จะบรรลุธรรมได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  หลายๆ คนมาวันนี้ด้วยความเกรงใจ  บางคนมาด้วยความรู้สึกที่ไม่เต็มร้อย  จิตใจยังไม่พร้อม
หวังว่กลับไปจากสามวันนี้ขอให้ท่านพิจารณาให้ดีให้ท่านเกิดความรู้สึกเต็มร้อยในจิตใจของท่านเองมีความรู้สึกอยากจะบำเพ็ญธรรม มีความรู้สึกอยากจะชำระจิตใจให้สะอาด อยากจะเอากิเลสออกจากตัวท่านเองนั่นแหละคือการบำเพ็ญธรรมของท่านใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วพอท่านทำได้ดังนี้ผลดีก็คือจิตใจของท่านนั้นจะสว่างเหมือนแสงสว่างของพระอาทิตย์ไหม เวลาจิตใจสว่างกับโลกสว่างเหมือนกันหรือเปล่า (ไม่เหมือน)  แล้วเวลาที่โลกสว่างไสวกับใจที่สว่างไสวอันไหนเกิดความรู้สึกปิติ เต็มตื้นมากกว่ากัน (ใจสว่าง)  จิตใจที่สว่างไสว ย่อมเป็นพลังชีวิตให้ท่านเดินทางต่อไปไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมเปรียบเสมือนสิ่งที่คอยหนุนหลังให้ท่านเกิดความสำเร็จในการทำงานทั้งปวง แม้ท่านจะเอาการบำเพ็ญธรรมไปรวมกับการทำงานทางโลกไปเลี้ยงลูก ไปหาเงินแม้ท่านจะเอาการบำเพ็ญไปรวมกันสิ่งใดก็ตาม  การบำเพ็ญธรรมจะทำให้ท่านไปสู่ความสำเร็จง่ายขึ้น  นอกเสียจากว่าท่านคิดจะทำชั่ว การบำเพ็ญธรรมช่วยท่านไม่ได้  แต่เราเชื่อมั่นว่าโดยปกติแล้วมนุษย์ไม่มีใครคิดจะทำชั่วใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านมีแต่จะคิดทำดีให้ผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เวลาทำดีให้ผู้อื่นท่านรู้สึกว่าไม่สมใจที่เกิดขึ้นใช่หรือไม่  แต่ว่าคนบำเพ็ญธรรมทำได้แค่ไหน อย่างมากก็แค่ผิดหวังเท่านั้น ท่านแก้แค้นคนอื่นไม่ได้ ท่านไปบังคับคนอื่นไม่ได้ ขอให้ท่านเมื่อผิดหวังให้ย้อนกลับมาดูตัวเองใหม่ว่าเราดีพอหรือยังที่อยากจะให้คนอื่นดีตามเราใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าท่านทำได้อย่างนี้ ท่านก็จะเป็นคนที่น่ารัก เป็นคนที่ใกล้ๆกับการบำเพ็ญธรรมมากขึ้น
เวลาท่านมาสถานธรรม มีบรรยกาศธรรมมากมายที่เป็นบรรยกาศธรรมที่ดี เวลาท่านเป็นรุ่นพี่แล้ว บรรยากาศธรรมเหล่านี้บางคนบอกว่าทำไมไม่เห็นบรรยากาศธรรมดีเหมือนเมื่อก่อน เพราะว่าคนรุ่นก่อนอายุมากไปหมดแล้ว ส่วนคนรุ่นใหม่ก็คือพวกท่านที่มา ท่านไม่เคยเอาความรู้สึกดีๆ เหล่านี้ไปให้กับคนอื่น หมายความว่าพร้อมที่จะเป็นผู้นับไม่พร้อมที่จะเป็นผู้ให้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ท่านไม่เคยเอาสิ่งดีๆ ที่ได้มาให้คนอื่นจะได้รับไหม (ไม่ได้)  ท่านก็ต้องพยายามด้วยแรงนะไม่ใช่หมดหายใจ
(ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ ท่านเมตตาสอนร้องเพลงทำนองเพลง :แปรงฟัน)
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : แปลกนะแปรงฟันก็แปรงทุกวัน  แต่พอแก่แล้วก็ใส่ฟันปลอม  แสดงว่าสิ่งที่ท่านรักที่สุดและถนอมสุดความสามารถนั้นก็ไม่ได้อยู่กับท่าน  เวลาตั้งความหวังในตัวผู้อื่น  เช่นลูกเราหรือใครก็แล้วแต่ที่ท่านสามารถตั้งความหวังกับเขาได้ ท่านก็อย่างตั้งความหวังมากเกินไปเพราะตั้งไปแล้วก็เหมือนฟันใช่หรือไม่  ถึงเวลาแล้วฟันก็หลุดใช่ไหม  หลุดแล้วท่านก็ต้องหาฟันปลอมมาใส่ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็ขอให้ท่านรักษาให้ดีที่สุดแต่อย่าหวง
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่  :  เราสองคนจะกลับแล้วนะ
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : จริงๆ แล้วเราก็ไม่อยากจะเป็นภาระของอาจารย์พวกท่านเลยนะ แต่ว่าไปดีกว่า ไม่อยากให้เราไป อย่างนั้นถ้ายิ้มหนึ่งครั้ง  เราจะอยู่ต่ออีกห้านาที (ยิ้ม)  ตอนเรามากว่จะให้ท่านยิ้มก็ใช้เวลานานบังคับแล้วบังคับอีก  แต่พอเราจะกลับส่งยิ้มให้เราทำไม
ท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่ : มีโอกาสกลับมารศึกษาบ่อยๆ นะ  เพราะว่งานประชุมธรรมกว่าจะเริ่มขึ้นได้ต้องอาศัยแรงกายของมนุษย์เป็นผู้เดิน แล้วพุทธะถึงจะลงมาช่วยเสริม ปกติแล้วคนเริ่มงานก็ต้องมีการเตรียมงานใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่าจะเป็นความสะอาดการดูแลห้อง การเก็บของ ทำของให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมพร้อมที่จะจัดงานใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าใครมาถึงห้องพระ มีโอกาสกลับมาศึกษา มีโอกาสรีบกลับมาสร้างกุศลให้กับตัวเองโดยใช้แรงกายและแรงใจ นี้เป็นการเสียสละ เพราะคนอื่นทำแล้วนะรอท่านอยู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนข้างหน้าทำแล้ว รอพวกท่านเดินกุศลให้กับตัวเองมีโอกาสต้องหมั่นมาสร้างกุศลเยอะๆ ทำความสะอาด  เช็ดโต๊ะพระ  กวาดห้องพระ  มาร่วมสร้างห้องพระนี้ให้เต็มไปด้วยความสามัคคี  เต็มไปด้วยพุทธะดีไหม (ดี)  มีโอกาสกลับมาห้องพระบ่อยๆ นะ  ห้องพระก็เหมือนบ้าน   ทำได้ไหม แต่เดี๋ยวเราต้องไปก่อน ฉะนั้นอยู่กับท่านต้าเซี่ยวไปอึกช่วงหนึ่ง   เรายังมีหน้าที่ต้องไปช่วยเหลือคนอื่นๆ อีกยังมีหน้าที่ต้องไปช่วยพุทธะองค์อื่นๆ อีก
เอาอะไรเป็นกำลังใจให้คนที่มาช่วยเตรียมงานดี เอาส้มสีทองให้แก่คนที่มาช่วยเตรียมวงานตั้งแต่ก่อนที่จะมีงานนี้และช่วยเก็บหลังจากประชุมธรรมนี้หากเราไม่ได้ช่วยเตรียมก็มาช่วยตอนเก็บได้ไหม (ได้)
ใครเป็นคนลำปางยกมือขึ้น ความหวังอยู่ที่พวกท่านแล้วนะ ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญให้ดี หากวันนี้ยังไม่เข้าใจต้องมาฟังอีก เพราะวันนี้เราไม่สามารถพูดได้ทั้งหมด บำเพ็ญธรรมอย่ายอมแพ้ ไม่หูเบาแต่อย่าปากหนัก
ท่านต้าเซี่ยวฝอถง : เอาไว้คิดถึงพวกเราก็ไปหาพวกเรานะ รู้หรือเปล่า (รู้)  พวกท่านนั้นล้วนเป็นพุทธะได้  หากใครได้รับทอฟฟี่จากเราไป จะเป็นคนโชคดี เห็นไหมาว่าพวกท่านยังติดอยู่เลย อะไรที่เป็นของท่านก็เป็นของท่านอยู่วันยังค่ำใช่หรือเปล่า  มนุษย์ถ้าหากว่าจะโชคดีก็โชคดี   อยากได้โชคดีไหม ต้องทำอย่างไรถึงจะโชคดี (ทำดี)  ทำดีแล้วโชคดีหรือเปล่า (ดี)  แต่แค่นั้นไม่พอ ต้องทำมากกว่านั้นอีก คนเราจะโชคดีต้องสร้างเหตุแห่งความโชคดีไว้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากอยากรวยก็ต้องรู้จักหาเงินทอง  ถ้าหาเงินหาทองโดยทุจริตก็จะไม่ได้สิ่งที่เป็นโชคดีนั้นๆ เพราะว่าโชคดีผ่านไป   โชคร้ายก็เข้ามาแทน  จริงๆ แล้ว โลกมนุษย์ไม่ดึงดูดให้อยู่เลย รู้หรือเปล่า เพราะว่าโลกมนุษย์มีแต่ความทุกข์ แต่ท่านอย่าลืมว่าท่ามกลางความทุกข์ถึงจะสามารถสร้างความสุขขึ้นมาได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนเราถ้ามีความทุกข์ถึงที่สุด ความสุขก็จะบังเกิดฉะนั้นถ้าอยากโชคดีต้องมีโชคร้ายมาบ้าง  ถ้าใครที่ผ่านมาแล้วก็ไม่ต้องกลัวเพราะว่าผ่านโชคดีมาแล้ว ท่านรู้สึกว่าการที่โชคดีเป็นสิ่งวิเศษสุด  ฉะนั้นถ้าอยากโชคดีก็ต้องมีโชคร้ายมาบ้าง ถ้าใครที่ผ่านมาแล้วก็ไม่ต้องกลัวเพราะว่าผ่านโชคดีมาแล้ว ท่านรู้สึกว่าการที่โชคดีเป็นสิ่งวิเศษสุด
ในที่สุดเราก็ผ่อนภาระของท่านอาจารย์ไม่สำเร็จ ยิ่งเรามายิ่งภาระเยอะใหญ่เลย ขอให้พวกท่านได้รับความโชคดี ยิ้มให้เรานิดหนึ่ง ร้องเพลงไปด้วยยิ้มไปด้วย ความทุกข์จะได้หมดไปจากหัวใจท่านนะ


วันที่  ๑๒  พฤศจิกายน  พุทธศักราช  ๒๕๔๔
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ไม่มีเรื่องก็อย่าได้ไปหาเรื่อง เมื่อมีเรื่องมีปัญหาก็อย่ากลัว
ไม่มีเรื่องเหมือนมีเรื่องก็คือรู้กลัว ยามมีเรื่องคอยรู้ตัวทำเหมือนไม่มี
เราคือ
หนันผิงจี้กง รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทั้งหลาย   อยากจะบำเพ็ญหรือยัง

สกุณาโผบินลงมาจากทิศใด  อยู่เป็นเพื่อนคนผู้เคว้งข้างใจจิตใจ  เหงาหงอยในคน  ยกตนไปสูงเหนือใคร  หลิกฟื้นจิตเคยหลงไปด้วยการบำเพ็ญติดดินไม่เลื่อนลอย
สกุณาโผบินมาตรงหน้าของเรา  ปลดปล่อยมืดมนชีวิตไม่มีสิทธิ์ถอย  ชนะจิตใจของตน  ศึกษาย้อนรอยรู้แล้วแล้วอย่ามั่วเลื่อนลอย  จงน้อมมุ่งมั่นฝึกใจให้ดีงาม
นกน้อยเปรียบเหมือนปัญญา  เรียกคนมาคลายหลงไป  แม้ฟ้าจะสูงเพียงใด  แต่ชีวิตไม่เคยยากเย็นซะทีเดียว
เพลง : นกบนฟ้าปัญญาในใจ
ทำนองเพลง : เงาที่หายไป

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

หัวข้อตั้งยาวจำหมดไหม (จำไม่หมด)  เวลามาฟังธรรมจำได้หมดหรือเปล่า (ไม่หมด)  อะไรที่เราสมควรจะจำอยู่ในใจ สมมุติว่าเรามาสถานธรรม มีคนเรียกเราฟังธรรมสามวันก็เหมือนกับผลไม้หนึ่งถาดนี้เลย ตั้งขึ้นมาสูงๆ อย่างนี้บรรยายไปเนื้อหาดีๆ ก็ตั้งขึ้น ตั้งขึ้น แล้วพานนี้ก็เหมือนกับจิตใจของเราใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่เราต้องจำนั้น เราจำไหมว่ารายละเอียดของผลไม้เป็นอย่างไร เราจะจำหมดไหม (ไม่หมด)  สมมุติว่าถาดนี้ไม่ได้มีแค่สาลี  แต่มีสารพัดลูกให้เราจำ  ทั้งหมดในถาดนี้ว่ามีอะไรบ้าง เราจำได้หรือเปล่า (จำไม่ได้)  ถ้าให้ลักษณะว่าซ้ำตรงไหน  เขียวตรงไหน เหลืองตรงไหน จำได้ไหม (จำไม่ได้)  เพราะฉะนั้นเรามาฟังธรรมสามวัน ก็เหมือนชื่อหัวข้อที่ยาวๆ แล้วเราจำไม่ได้  แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่เป็นแก่นหรือใจความสำคัญที่เราต้องจำ  คืออะไร  มีแก่นอย่างหนึ่งที่เราต้องจำ  ไม่เช่นนั้นเราฟังสามวันนี้ก็เหมือนกับฟังไปแล้วไม่ได้อะไรเลย  สิ่งที่เราต้องจำคืออะไร (วิธีการปฏิบัติ, หัวใจสำคัญของเรื่อง, ธรรมะ)  อยากให้ตอบให้ตรงประเด็นกว่านี้สักนิดหนึ่ง  ว่าสิ่งที่เราจะนำกลับไปปฏิบัติคืออะไร  ไม่ได้หมายความว่า มีหัวข้ออะไร แต่ถามว่าคืออะไร สิ่งที่เราจะจำไป (การบำเพ็ญ)  ตอบถูกหรือยัง  เกือบถูกแล้วนะ (ความศรัทธาจริงใจ, การตังปณิธานแน่วแน่ที่จะปฏิบัติให้ได้)  ผลไม้หนึ่งพานนี้  ต่อให้ทั้งพานนี้คือสาลี่ ต่อให้ในพานนี้มีผลไม้หลากหลายแต่สิ่งที่ต้องจำคือ นี่คือผลไม้
ธรรมฟังไปสามวัน สิ่งที่ต้องจำคือธรรมที่เรานั้นจะเอาไปปฏิบัติ ฟังไปหมดสามวันนี้ ต่อให้ศิษย์นั้นเป็นผู้ที่มีความฉลาดเฉลียวถึงขนาดเก็บมาพูดเป็นฉากๆ ต่อให้ศิษย์นั้นเป็นผู้ที่มีความรู้ลึกซึ้งกว่าคนที่มาพูดข้างหน้าก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าหากทุกอย่างที่เราฟังไปรู้สึกว่าดีนั้น เราไม่ได้เอามาปฏิบัติ  เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องกลับไปแล้วทำก็คือกลับไปปฏิบัติธรรม ถูกหรือเปล่า (ถูก)
“ไม่มีเรื่องก็อย่าได้ไปหาเรื่อง เมื่อมีเรื่องมีปัญหาก็อย่ากลัว”
หลายๆ คนนั้นเป็นคนที่โดยปกติแล้ว ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขดี แต่วันดีคืนดีก็มีเรื่องขึ้นมา พอเรื่องจบไปเรื่องหนึ่งแล้วก็มาเรื่องใหม่อีก ปัญหาชีวิตครั้งใหม่มาอีกแล้วก็จบไปอีกครั้งหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าบางคนนั้นไม่ใช่มีเรื่องเฉยๆ แต่ไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมถึงบอกว่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน เพราะว่าคนนั้นมักจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ชอบหาเรื่องอย่างเช่น เห็นคนอื่นอยู่ด้วยกันเราก็ชอบยุยงให้เขาแตกแยกกัน อย่างนี้เคยเห็นไหมคนประเภทนี้ (เคยเห็น)  เห็นคนอื่นเขาทำอย่างนี้แล้วไม่ถูกใจก็ไปว่าเขาอย่างนี้ถือว่า แกว่งเท้าหาเสี้ยนไหม (ใช่)  เวลาที่เราทำอะไรแล้วมีเรื่องก็เพราะว่าเราไปยุ่งกับคนอื่น ทำไมเราถึงไม่ยุ่งกับตัวของเราเอง แปลกไหม ใครบ้างที่เรามีสิทธิ์ที่จะยุ่งได้ ตัวเราเองมีสิทธิ์ที่จะยุ่งด้วยมากที่สุดใช่หรือไม่ รองลงมาคือใคร (ครอบครัว, ลูกและสามี, คนรอบข้าง, ญาติพี่น้อง, บิดามารดา, คนในปกครอง)
มีคนกลัวอาจารย์ด้วยหรือ อาจารย์นี่ถ้าเรียกเป็นภาษาสามัญก็คือ ครู  ครูถือพัดไม้ ไม่ได้ถือไม้ กลัวโดนตีด้วยหรือ จะบอกให้ว่านอกจากตัวเราเองแล้วไม่มีใครจะยอมให้เรายุ่งด้วยเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  คิดดูดีๆ  แม้กระทั่งลูก  ตอนที่เราเป็นลูก เราอยากให้พ่อแม่ยุ่งกับเราไหม (ไม่อยาก) พ่อแม่โดนลูกบังคับมากๆ เคยเห็นในปัจจุบันไหม ตอนนี้คงจะได้เห็นลูกบังคับพ่อแม่แล้ว เมื่อก่อนไม่มีแต่เดี๋ยวนี้มีแล้ว  ลูกบังคับพ่อแม่ถามว่าพ่อแม่อยากให้ลูกยุ่งไหม ความจริงก็ไม่อยาก ฉะนั้นคนที่เราควรจะยุ่งด้วยมีอันดับเดียวและเป็นอันดับสุดท้ายก็คือตัวเราเองเท่านั้น  ยุ่งกับตัวเราแบบไหน ยุ่งกับตัวเราให้ตัวเรามีอารมณ์มากขึ้นทุกวัน ยุ่งกับตัวเราให้ตัวเรามีกิเลสมากขึ้นทุกวัน การยุ่งแบบนี้ทำให้ยุ่งแล้วไปนิพพานไหม การยุ่งอย่างนี้แล้วทำให้เราไปสวรรค์ไหม (ไม่ไป)  ยุ่งไปไหน (ไปนรก)  ยุ่งวนเวียนกันอยู่ในโลกมนุษย์นี้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยุ่งให้จิตใจของเรานั้นเป็นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นต้องยุ่งให้น้อยๆ ลง ยุ่งในแง่ของกิเลสตัณหา ยุ่งในแง่ของความอยากปรารถนา ยุ่งในแง่ของความโลภให้น้อยลง แต่ให้ยุ่งในด้านการช่วยเหลือผู้อื่นให้มากขึ้น ยุ่งในแง่ของการทำจิตใจของตัวเองให้สบายมากขึ้น ดีหรือไม่ (ดี)
ถ้าไม่มีเรื่องก็อย่าไปหาเรื่อง แล้วเวลามีปัญหาอย่าไปกลัว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าไม่มีเรื่องก็ให้รู้กลัวเสียบ้าง อย่าให้รู้สึกเหมือนตัวเองสบายๆ อะไรก็ไม่กลัว อย่างนั้นถือเป็นความประมาท ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นยามไม่มีเรื่องก็ให้รู้กลัว กลัวว่าจะมีปัญหาเกิด  แต่ถ้ามีปัญหาเกิดเราจะทำอย่างไร (แก้ไข)  ถูกหรือยัง อาจารย์จะให้มีแนวตรงกันข้าม (อย่ากลัว, วิ่งเข้าหา, อย่ามีเรื่องจะได้ไม่กลัว, เหมือนไม่มีเรื่อง)  ใช่แล้ว เวลามีเรื่องก็เหมือนไม่มีเรื่อง
กลัาคิดต้องกล้าพูดหรือพูดออกมาแล้วกลัวไม่ดีหรือเปล่า ไม่ได้ด่าใคร ไม่ได้นินทาใคร เป็นสิ่งที่ดีแต่ใช้ความคิด ใช้ปัญญา
“ยามมีเรื่องคอยรู้ตัวทำเหมือนไม่มี”  ทำเหมือนไม่มีคือไม่มีอะไร อันนี้ต้องไปทำความเข้าใจแล้วคิดต่อให้จบนะ ประโยคสุดท้ายนี้เป็นประโยคที่ทำยากใช่หรือเปล่า  เวลาคนมีเรื่องอย่างแรกคิ้วจะขมวด จะทำเป้นไม่มีอะไร ทำยากใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัญหายิ่งหนัก ยิ่งมาก แต่ยิ่งต้องพยายามทำ ต่อให้ไม่สบายใจ ต่อให้เรากลุ้มใจ ต่อให้เราวิตกกังวลไปต่างๆ นานา ปัญหาก็ไม่ใช่ว่าจะจบ แต่สิ่งที่ทำให้ปัญหาจบคือการแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่สามารถจะบอกให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงได้ มีแต่บอกให้ตัวเองเปลี่ยนแปลง ตัวเรากับปัญหาที่เกิดขึ้น ตัวเราอยู่ตรงไหน สมมติว่าอาจารย์เป็นตัวของศิษย์ และศิษย์เป็นปัญหาของอาจารย์ ก็จะดูว่าสิ่งที่เป็นปัญหาระหว่างอาจารย์กับตัวปัญหาคืออะไร ตรงไหนเป็นปัญหาก็แก้ไข ตรงนี้เป็นปัญหาเข้าไปแก้ไข เมื่อแก้ไขจบแล้วปัญหาก็เบาไป เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเรามากกว่าขึ้นกับผู้อื่น  เมื่อคนอื่นเห็นเราแก้ไขแล้วคนอื่นเขาจะแก้ไขสิ่งที่คนอื่นเป็นไหม (แก้)  ศิษย์คิดดูดีๆ ว่าเวลาที่เราอยู่ร่วมกัน ศิษย์มีอัตตาหนึ่ง คนตรงข้ามมีอัตตาหนึ่ง คนตรงนั้นมีอัตตาหนึ่ง ทุกคนมีอัตตาพร้อมกันขึ้นมาแค่คนละหนึ่ง ปัญหาที่เกิดขึ้นก็เป็นปัญหาใหญ่โต ถ้าทุกคนยอมถอยคนละหนึ่งก้าว ปัญหาก็จะลดน้อยลง ถ้าศิษย์ยอมถอยหนึ่งก้าว คนๆ นั้นเขาเห็นศิษย์ยอมลดอัตตาแล้ว เขาอยากลดไหม (อยาก)  ศิษย์คิดว่าอยู่กับอัตตามีความทุกข์ไหม (มี)  อยู่กับความสบายใจมีความทุกข์ไหม (ไม่มี)  อยู่กับความสบายใจไม่มีความทุกข์ ไม่มีใครอยากจะมีอัตตา ไม่มีใครอยากจะโกรธอยู่ตลอด ไม่มีใครอยากจะเกลียดอยู่ตลอด ไม่มีใครอยากจะแค้นอยู่ตลอด ไม่มีใครอยากจะเกิดความชังอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นถ้าให้คิดให้ดี แม้กระทั่งในเวลาที่ศิษย์เกิดอารมณ์โมโหขึ้มาจริงๆ แล้วศิษย์ก็ไม่อยากมี เพราะว่าอารมณ์โมโหนั้น ทำให้เรารู้สึกร้อนแม้อากาศเย็นหรือว่าความรู้สึกชังทำให้เราหนาวจับขั้วหัวใจทั้งที่อากาศร้อน แสดงว่าตัวเราไม่ปกติ อารมณ์ไม่ปกติที่มีจิตใจที่ไม่ดีทำให้เรานั้นป่วย ถ้าหากว่าเราเกิดความรู้สึกร้อนภายในคือเกิดความโกรธ ในขณะที่อากาศนั้นหนาวเย็น ร้อนจะเผาผลาญตนเอง จิตใจของเราเต้นแรง หูตาของเราพล่ามัว ถามว่าคนๆ นี้สุขภาพดีไหม (ไม่ดี)  ศิษย์รู้ไหมว่าหลายๆ คนป่วยด้วยโรคของจิตใจ จิตใจของเราป่วย ป่วยแบบอารมณ์โกรธครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่และครั้งที่ห้า วันหนึ่งโกรธกี่ครั้ง (หลายครั้ง)  หนึ่งปีโกรธกี่ครั้ง (หลายๆ ครั้ง)  สามร้อยหกสิบห้าคูณ ตอนนี้อายุเท่าไรแล้ว คูณด้วยอายุตัวเอง โรคที่สะสมอยู่ในจิตใจมีมากไหม (มีมาก)  แล้วเราว่าเราป่วยไหม (ป่วย)  จริงๆ แล้วเราสุขภาพแข็งแรงไหม (ไม่แข็งแรง)  ไม่แข็งแรงหรือ จริงๆ แล้วเราเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ยังแข็งแรงอยู่แต่ไม่ได้มาตรฐานของความแข็งแรง ถ้าเรามีจิตใจที่สบาย จิตใจที่มีความดีถ่ายเทอยู่เสมอๆ เหมือนคนเขาบอกว่ามีอากาศดีถ่ายเทอยู่เสมอๆ สุขภาพจิตใจของเราแข็งแรงไหม สุขภาพจิตแข็งแรง สุขภาพกายแข็งแรง เลือกอะไรแข็งแรงมากกว่ากัน (สุขภาพจิต)  สุขภาพจิตแข็งแรงเป็นพื้นฐานของความแข็งแรงทั้งหมด  ถ้าหากทำได้บางคนที่ป่วยอยู่เป็นโรคที่ทำไมหาหมอไม่หายสักที โรคแบบนี้มาจากจิตใจที่ไม่แข็งแรง มาจากจิตใจที่ไม่สะอาด มาจากจิตใจที่ไม่สมบูรณ์ ฉะนั้นตรวจที่ร่างกายจึงไม่พบต้นเหตุของโรค อยากให้แข็งแรงกว่านี้ ก็ทำจิตใจให้สะอาดกว่านี้ ดีหรือไม่ (ดี)  แต่ไม่ใช่เปลี่ยนจิตใจให้แข็งแรง แล้วร่างกายแข็งแรงทันที เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ยานี้รักษาโรคอันนี้เป็นยาที่อยู่ที่อารมณ์ของเราเอง อาจารย์กล้าบอกว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่มีคนไหนไม่เป็นโรค เป็นคนละนิด รักษาตัวเองดีไหม (ดี)  เมื่อรักษาจิตใจให้แข็งแรงได้ย่อมสามารถที่จะบำเพ็ญธรรมได้ และบำเพ็ญธรรมได้ก็บรรลุเป็นพุทธะได้ ข้อดีหลายต่อยิ่งกว่าซื้อของในโลกมนุษย์แล้วลด แลก แจก แถมอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  เอาไม่เอางานนี้ (เอา)  เสี่ยงไม่เสี่ยง (เสี่ยง)  เสี่ยงไม่เสี่ยงขึ้นอยู่กับตัวเอง ตอบอาจารย์ตอนนี้บอกเสี่ยง กลับไปบ้านแล้ว เอาไว้ก่อน ทำไมหนอ เพราะว่าเราไม่ได้เกิดความซาบซึ้งในธรรมะจริงๆ เป็นความซาบซึ้งเพียงเปลือกนอก เป็นการฟังธรรมะแล้วแค่รู้สึกว่าดีเท่านั้นเอง ไม่ได้รู้สึกว่าต้องเอาไปปฏิบัติ จึงยากที่จะกลับไปบ้านแล้วบำเพ็ญต่อได้ ถ้าหากว่าทำได้ ไปอยู่กับอาจารย์ ถ้าหากทำไม่ได้ไปไหน (กลับบ้าน)  ถามว่าบ้านที่อยู่ตอนนี้ บ้านนี้กี่ปีแล้วก็ไม่รู้ ก่อนหน้ามาก็มีอยู่แล้ว อากง ทวด เคยอยู่บ้านหลังนี้ แล้วตอนนี้ทำไมเขาไม่อยู่แล้ว เพราะว่าบ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านจริงๆ เราจะกลับมาอยู่บ้านนี้เราต้องเป็นอย่างไร ชาตินี้เราเป็นคน เราอยู่บ้านนี้ ชาติหน้าถ้าอยากกลับมาอยู่บ้านนี้อีก ถ้าไม่ใช่หลาน เหลน โหลน ก็กลับมาเป็นตุ๊กแกเกาะฝาผนังดีไหม (ไม่ดี)  ถ้าหากว่ายังหมกมุ่น ถ้าหากว่ายังมีอะไรที่เวียนว่ายอยู่ในอารมณ์ตอนนี้ ก็ให้รู้ไว้ว่าเราก็คนต้องเวียนว่ายอย่างนี้ ชาติหน้าอาจเกิดเป็นตุ๊กแกก็ได้ เกิดเป็นตุ๊กแกต้องเกิดมาหลายๆ ตัว เพราะว่าคนเป็นจิตญาณใหญ่ กลมใสที่มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด ตุ๊กแกเป็นจิตญาณเล็กๆ ถ้าเกิดเป็นตุ๊กแกต้องเกิดมาหลายๆ ตัวนะ ถ้ารักบ้านหลังนี้มาก
ในตอนแรกที่เรามาสถานธรรม มีหลายครั้งเราเกิดความรู้สึกงงว่าคืออะไร ทำอะไรกัน มีที่เป็นมาอย่างไร ทำอะไรกันบ้าง วันนี้ได้ฟังหัวข้อพระมหากรุณาธิคุณแล้ว ก็ได้รู้รายละเอียดเพิ่มมากขึ้นว่าเบื้องหลังในสิ่งที่เราเห็นมีการเสียสละจากคนมากมาย ที่เขาล้วนฝืนวัฏสงสาร ฝืนร่างกายนี้ดับสิ้น ไม่ได้รอแต่ว่ามีใครบ้างที่คิดจะสืบทอดไป คนมีปณิธานใหญ่สืบทอดธรรมะช่วยงานธรรม คนมีปณิธานเล็กก็คือทำตัวเองให้ดีๆ ฉะนั้นคนเราบางคนเกิดมายิ่งใหญ่ บางคนเกิดมากระจ้อยร่อย บางคนเกิดมาไม่มีใครรู้ว่าเกิดตาย ตายไปไม่มีใครรู้ว่าตาย เพราะอะไร ชะตาชีวิตลิขิตกำหนดให้เป็นเช่นนั้นไหม หรือว่าเรามากำหนดชีวิตของตัวเราเอง พรหมลิขิตในชีวิตเราเป็นอย่างนั้นหรือว่าเรากำหนดชีวิตของตัวเอง (เรากำหนดชีวิตของตัวเอง)  ลองย้อนกลับไปข้างหลัง วีรชนผู้เก่งกล้าทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่สละชีพ พวกเขาเหนื่อยไหม พวกเขามีความยากไหม (มี)  แล้วลองดูตัวเราในตอนนี้ ยังมัวแต่ห่วงตัวเองอยู่เลย มนุษย์ชอบพูดว่าเอาตัวเองให้รอดก่อน แล้วค่อยไปคิดช่วยคนอื่น ถามให้ตอบอย่างซื่อๆ ตรงๆ ว่าเมื่อไรรอด ตอบได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่มีวันนั้น แม้กระทั่งคนที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่เสียสละเพื่อส่วนรวมทั้งหลายยังไม่สามารถฝืนอาการเจ็บป่วยไปได้ ในขณะที่เขาเสียสละชีวิต ในขณะที่เขาเหนื่อยนั้นเขาก็มีความเจ็บป่วย ในขณะที่เขายอมทนเพื่อคนอื่นนั้น เขาก็มีภาระที่เขาไม่สามารถแก้ปัญหาตกได้เช่นเดียวกัน แต่ขณะเดียวกันเขาก็ยังอดทนช่วยพวกเราขึ้นมา ฉะนั้นถ้าหากมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ก็จำเป็นที่จะต้องทนต่อความยากลำบากและหัดที่จะช่วยเหลือผู้อื่นในขณะที่ตนเองยังทำไม่ค่อยได้ก็ตาม ต้องพยายาม ต้องช่วยเหลือผู้อื่น อาจารย์หวังเป็นอย่างยิ่งว่าศิษย์ของอาจารย์เป็นผู้มีความเมตตา มีมหาเมตตาช่วยเหลือผู้ที่ตกยากกว่าตน ช่วยเหลือผู้ที่อวดทะนงกว่าตนให้เขาได้รู้สำนึก เพราะว่าเรานั้นก็ยังมีคนที่ด้อยกว่าเรา และยังมีคนที่เหนือกว่าเรา เลือกเอาที่ตนเองช่วยได้ ช่วยเมื่อโอกาสเปิด ทำได้ไหม (ได้)
ถ้าสามารถนำพุทธระเบียบในสถานธรรมไปใช้กับคนข้างนอกได้ เราจะเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน มีจริยมารยาทมากเลย เพราะมีคนเชิญเรานั่งบ่อยๆ แต่เราเคยเชิญให้ผู้อื่นนั่งหรือเปล่า ก็มีน้อยครั้งเหมือนกัน ใช่หรือไม่ ถ้าเรานำกลับไปใช้ในชีวิตประจำวันของเรา เราก็จะเป็นคนที่มีความน่ารักมีจริยมารยาท ความอ่อนน้อมที่ขาดหายไปในสังคม ขาดแล้วขาดอีกให้เพิ่มแล้วเพิ่มอีก
ในสองวันนี้ใครยังไม่ได้ผลไม้อะไรเลย อาจารย์เตือนไว้ก่อน วันนี้วันสุดท้ายเรียกว่าเป็นโอกาสสุดท้ายไม่เอาก็อย่าเอา ใช่ไหม  วันนี้วันสุดท้ายแล้วใครสามารถตอบคำถามได้ก็ให้ตอบ หากใครอยากได้ผลไม้ก็ช่วยตอบแล้วช่วยเอาผลไม้บนโต๊ะนี้กลับไปบ้านดีหรือไม่ (ดี)
หลังจากวันนี้กลับไปจะเริ่มทำอะไรเป็นสิ่งแรก (ทานเจ, ทำความดี, ปฏิบัติธรรม)  เอาแบบพูดได้แล้วทำได้ (ปฏิบัติธรรม, ทบทวนตัวเอง, บำเพ็ญตนตามพระโอวาท, ปรับปรุงตัวเอง)
“เหงาหงอยในคน ยกตนไปสูงเหนือใคร”  คนที่เข้าใจว่าตนเองนั้นเก่ง และมีความสามารถ ส่วนใหญ่แล้วก็คือยกตัวเองขึ้นมาหรือว่ายกย่องตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วเป็นลักษณะของคนที่ชอบยกย่องตนเองว่าเก่งและมีความสามารถ ส่วนคนที่มีความสามารถจริงๆ นั้นรอให้ผู้อื่นยกย่องใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์อยากจะบอกว่าเวลาที่เรายกย่องตัวเองขึ้นไปสูงมากๆ ตัวเราเองก็จะโดดเดี่ยวเอกา เราก็จะลำพัง ฉะนั้นคนที่ยิ่งมีความสามารถ ยิ่งต้องอยู่กับคนที่เราเข้าใจว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพื่อจะได้ชี้แนะเสมอๆ เห็นเขาผิดตรงไหนก็จะได้ชี้แนะ ดีหรือไม่ (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนขึ้นมาวงคำในพระโอวาท)
มาฟังธรรมสามวันแล้วก็ค่อยตรองดู พิจารณาดูแล้วเลือกว่าเราจะบำเพ็ญหรือเปล่า ไม่ใช่บำเพ็ญตามใครคนหนึ่งที่บอกเราให้บำเพ็ญ แต่พอเข้ามาแล้วคนแนะนำก็เรื่องหนึ่ง ตัวเราก็เรื่องหนึ่ง เราบำเพ็ญสร้างกุศลให้ตัวเราเอง ทางก็เป็นของเรา มัวแต่ติดในตัวบุคคล เราบำเพ็ญก็บำเพ็ญให้คนอื่น เข้าใจไหม ตัดสินใจด้วยการตรองทุกเรื่องที่ผ่านมา สมใจตรองไว้อย่าดีใจเกิน เสียใจตรองไว้อย่าเสียใจเกิน
“การปรองดอง”  ปรองดองระหว่างกายกับใจ โรคจะได้หาย ปรองดองระหว่างธรรมะกับจิตใจของเรา ปรองดองระหว่างทางบ้านกับตัวของเรา ปรองดองกับผู้คนที่เราอยู่ร่วม ปรองดองให้โรคในใจหาย โรคภายนอกหาย ปรองดองให้ทุกอย่างดีขึ้น ดีหรือไม่ (ดี)  แต่ปรองดองต้องใช้ปัญญา ต้องมีปัญญาในการที่จะนำตนเองเดินไป ฟังอะไร คิดอะไร พูดอะไร หลังจากวันนี้ศึกษาให้เพิ่มมากขึ้นกว่านี้อีก เราจะได้ขึ้นมาอย่างมั่นคง ดีไหม
อาจารย์เปรียบศิษย์เป็นเลือด ขาดศิษย์ไม่ได้แล้วนะ ถ้าไม่บำเพ็ญอาจารย์ต้องตายแน่ๆ เลย ให้อาจารย์ตายไหม ตายแล้วตายอีก เวลาที่อาจารย์มีศิษย์ ศิษย์ทุกคนเหมือนเป็นเลือดของอาจารย์ แม้อาจารย์เป็นพุทธะ ไม่มีเลือด แต่ทุกคนในที่นี้เปรียบเหมือนเลือด รักศิษย์เหมือนดังรักเลือดของตัวเองทีเดียว ฉะนั้นฝากความหวังไว้ที่เราบำเพ็ญธรรมศึกษาธรรมให้มาก
(อาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาททำนองเพลง : เงาที่หายไป” และสอนร้อง)
วันนี้คนอายุมาก อาจารย์ให้วงคำว่า “เข้มแข็งใจสู้”  หมายความว่าเรายิ่งอายุมาก ชีวิตของเราก็สั้นลง โดยไม่ต้องรู้ว่าชีวิตของเราจะดับไปเมื่อไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้อยู่แล้วชีวิตสั้นลง ฉะนั้นทุกๆ เวลาๆ ทุกๆ นาทีที่เหลือมีค่ายิ่งกว่าทอง ต้องรู้จักใช้ชีวิตให้เข้มแข็งต่อสู้ เพราะเราเป็นคนอายุมาก ส่วนคนที่อายุน้อยยิ่งต้องรักษาโอกาส ฉวยโอกาส คิดจะทำอะไรให้เร่งทำ ส่วนคนที่อายุมากนั้นอะไรที่ยังไม่ได้ทำ ให้รีบทำไป เลือกทำแต่ในสิ่งที่ดี ในสิ่งที่ควร บางครั้งเรื่องบางเรื่องไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า ก็ต้องทำให้สำเร็จก่อน แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่ใช่ เรื่องบางเรื่องก็ต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนจึงทำใช่หรือเปล่า  ทีนี้เราจะมองเรื่องสองเรื่องนี้ เราจะมองเห็นได้อย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องอันไหนเราต้องพยายามทำให้เสร็จ แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องไหนเราต้องมองก่อน รู้ก่อน ต้องแยกแยะด้วยอะไร (ปัญญา) ใช่ต้องแยกแยะด้วยปัญญา
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายชื่อเพลงพระโอวาท “นกบนฟ้าปัญญาในใจ”)
มีนกตัวหนึ่งอยู่บนฟ้าไม่รู้บินมาจากไหน มาอยู่เป็นเพื่อนเรา เราเป็นผู้ที่มีความเคว้งคว้างในจิตใจ แม้เราจะยกตนสูงเหนือใคร แต่ว่าอะไรอยู่สูงกว่า (นก)  แต่นกก็ยังยอมลงมาอยู่กับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  นกเห็นเราเหงา นกลงมาอยู่เป็นเพื่อน พอเราพลิกฟื้นจิตที่เคยหลงไปให้มาบำเพ็ญ เราเป็นคนบนดิน เราต้องบำเพ็ญให้ติดดิน นกตัวเดิมบินลงมาตรงหน้าเรา ปลดปล่อยความมืดมนออกไป คนที่ไม่มีอัตตาสูงเกินไป คนที่ไม่มีทิฐิ คนที่รู้จักปล่อยวางในสิ่งที่ควรปล่อยวาง จิตใจนี้ก็จะโล่งสบาย
“ปลดปล่อยมืดมนชีวิตไม่มีสิทธิ์ถอย”  ชีวิตของเราเป็นชีวิตของศิษย์จริงๆ แต่ว่าเราไม่มีสิทธิ์ที่จะถอยไปจากชีวิตนี้ คนที่ถอยเป็นอย่างไร เคยเห็นคนที่โดดตึกตายไหม คนที่กินยาตาย คนที่ฆ่าตัวตาย นี่คือคนที่ถอย เขาเอาความทุกข์ทั้งหมดใส่ยาแล้วกินเข้าไป รู้ไหมว่าเอาความทุกข์ทั้งหมดไปโดดตึกครั้งเดียว แต่เจ็บไหม (เจ็บ)  เจ็บมาก ยาที่กินเข้าไปครั้งเดียว แต่ทรมานไหม (ทรมาน)  ทรมานมากมายทีเดียวพอถอยก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นจึงบอกว่า ชีวิตของศิษย์ไม่มีสิทธิ์ถอย คนที่ไม่ถอยเป็นอย่างไร ก็ชนะจิตใจของตัวเอง เราชนะมาทั้งหมด ทำการค้าก็ชนะ คุยกับใครก็ชนะ แค่มองตาเรายังชนะ แต่ว่าไม่ชนะอยู่อย่างหนึ่ง คืออะไร จิตใจของตัวเอง แพ้อยู่เรื่อยเลย ใช่ไหม  อยากจะได้เสื้อสีชมพูก็ต้องไปซื้อสีชมพู ซื้อสีเหลืองไม่ได้ อยากจะได้เงินทองก็ต้องไปหาเงินทอง ไม่เอาไม่ได้ ลูกไม่เชื่อฟังก็ตี ให้เขาฟังเราให้ได้ใช่ไหม (ใช่)  สามีไปนอกใจก็ดิ้นรนจะตายให้ได้ นี่คือคนที่ไม่ชนะจิตใจของตัวเอง อาจารย์บอกไว้ตั้งแต่ต้น สิ่งใดที่อยู่นอกตัวบังคับไม่ได้ บังคับได้คือตัวเอง คนที่ไม่สามารถบังคับตัวเองได้เป็นโรคอะไร โรคที่ขยับแขนขยับขาไม่ได้ โรคอัมพฤกษ์อัมพาต ใช่หรือไม่  นี่คือคนที่เป็นโรค แต่ว่าเราชนะจิตใจของตัวเอง ในเมื่อเราสามารถบังคับมือ บังคับเท้า บังคับอะไรก็ได้ เราต้องบังคับใจได้ ใช่หรือไม่
“ศึกษาย้อนรอย”  ศึกษาย้อนรอยไปดูอะไร ศึกษาย้อนรอยไปดูความผิดพลาดคนอื่นหรือเปล่า ศึกษาย้อนรอยไปดูความสมหวังของคนอื่นหรือเปล่า ใช่เราย้อนรอยไปดูความผิดพลาดคนอื่น แต่ไม่ได้ดูเพื่อเยาะเย้ย แต่ดูว่าเขาผิดได้อย่างไร แล้วเราจะผิดเหมือนเขาไหม ย้อนรอยไปดูว่าเขาสมหวังอย่างไรแล้วเรามีสิทธิ์สมหวังไหม ย้อนรอยเพื่อไปดู ไม่ทำให้ชีวิตของเราล้มเหลวด้วยมือของเราเอง ให้ชนะทุกอย่างด้วยตัวของเราเอง
“รู้แล้วอย่ามัวเลื่อนลอย”  ชีวิตของเราตอนนี้ ถ้าศิษย์นั่งเฉยๆ ไม่รู้จะทำอะไรดี เคยเป็นไหม (เคย)  ถ้าเช่นนี้แสดงว่าชีวิตของเราเลื่อนลอยเต็มที คนนั้นถ้ายิ่งนั่งอยู่เฉยๆ ยิ่งไม่มีงานทำ แต่ว่าคนยิ่งทำงานงานยิ่งมาก คนยิ่งไม่ทำงานงานยิ่งน้อย เพราะฉะนั้นถ้าหากเรารู้สึกว่าเราว่าง ให้เราลุกออกไปหา เป็นงานอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง เป็นงานที่เราไม่เคยทำเลยยิ่งดี อย่างที่ผู้ชายบางคนไม่เคยทำกับข้าว ถ้าหากวันไหนไม่รู้จะทำอะไรดี ก็ไปทำครัวดีไหม (ดี)  เหมือนเหลาจู่ซือ ถ้าหากผู้หญิงไม่เคยขับรถไปขับได้ไหม (ได้)  ไม่ได้ต้องไปกัดก่อน หากขับออกไปเลยเราอาจทำคนอื่นเดือดร้อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอะไรที่ไม่เคยก็ต้องไปหัด ผู้ชายหากไม่เคยทำครัว ทำครั้งแรกอร่อยไหม (ไม่อร่อย)  ผู้หญิงไม่เคยขับรถ ไปกัดขับบนถนนใหญ่ได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าหากเราไปฝึกฝน งานก็จะมีมากขึ้น
“มุ่งมั่นฝึกใจให้ดีงาม”  มุ่งมั่นทำจิตใจของเราให้ดีงามไม่ว่าทำอะไรก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญก็คือ จิตใจที่ดีงามของเราเอง เพราะหากว่าจิตใจของเราดีงามแล้วทุกสิ่งย่อมดี มองไปที่ไหนก็ย่อมสวยงาม เห็นแดดร้อนๆ ก็ยังรู้สึกว่าแดดเป็นประกาย ไม่ใช่บอกว่าวันนี้เห็นแดดร้อนตามัวเลย
“นกน้อยเปรียบเหมือนปัญญา  เรียกคนมาคลายหลงไปแม้ฟ้าจะสูงเพียงใด  แต่ชีวิตไม่เคยยากเย็นซะทีเดียว”  นกเปรียบเหมือนปัญญามาเรียกให้เราคลายความหลง ท้องฟ้าก็เปรียบเหมือนจิตใจ เพราะว่านกบินอยู่บนฟ้า  ฉะนั้นสิ่งทีครอบคลุมปัญญาของเราก็คือจิตใจ ชีวิตไม่เคยยากเย็นเสียทีเดียว เพราะทั้งจิตใจและปัญญานั้นเป็นหนึ่งในชีวิตของเรา เราทำตัวเองนำทางไปทางไหน ชีวิตของเราก็ไปทางนั้น หากว่าคนที่ชอบเล่นการพนัน ชอบซื้อหวย เล่นไพ่ ชีวิตของเขาก็ไม่พ้นผีพนันใช่หรือไม่  ถ้าเราชอบช่วยคน ชอบเกื้อกูลคน คนๆ นี้อนาคตก็ไม่พ้นเป็นวีรชน อยู่ที่ว่าช่วยแล้วหวังผลตอบแทน ช่วยแล้วมีความก้าวหน้ามากแค่ไหน ค่อยนับเลื่อนขึ้นไปเป็นพุทธะทีละหน่อย
ท้องฟ้าเปรียบเสมือนจิตใจ จิตละเอียด ใจหยาบ คนเลี้ยงๆ ได้แค่กาย ปราชญ์นั้นหล่อเลี้ยงอารมณ์ให้นิ่ง เมธีนั้นเลี้ยงใจให้สะอาด อริยะนั้นเลี้ยงจิตให้สงบ ลองดูซิว่า ทุกๆ วันเราเลี้ยงอะไรบ้าง เลี้ยงคน, ตัว หรือเลี้ยงแค่กายหรือเปล่า (เลี่ยงแค่กาย)  ฉะนั้นต้องเลื่อนขั้นตัวเองขึ้นมาอีก ปราชญ์ใกล้กับมนุษย์ที่สุด เรามาเลี้ยงอารมณ์ของเราให้เยือกเย็นดีไหม (ดี)  คนที่เป็นคนอารมณ์เย็นอยู่เสมอๆ คนมักชอบที่จะรักใคร่ คบหา  ถ้าเราเป็นคนอารมณ์ร้อน ก็ไม่มีคนอยากจะคุยด้วย  ฉะนั้นถ้าเราเป็นคนที่ไม่ค่อยมีใครอยากจะคุยด้วย เรามาสำรวจตัวเองว่าเวลาพูด เราพูดเสียงแข็งไหม เวลาเราพูดทำให้คนอื่นคิดมากหรือไม่ ถ้าพูดแล้วทำให้คนอื่นคิดมากต้องมาสำรวจตัว หากพูดแล้วทำให้เขาคิดไปในแง่ของปัญญาได้ จึงนับว่าเป็นคนที่พูดแล้วมีสาระ พูดแล้วทำให้คนคิดมากนี่ไม่ดี บางคนบอกว่าบำเพ็ญธรรมอย่าคิดมาก แต่ไว้สอนตัวเอง อย่าบอกว่าคนอื่นอย่าคิดมาก เพราะว่าเราพูดไม่ดีเราต้องรู้ว่าเวลาพูดอย่าให้คนอื่นคิดมาก
จิตใจของเราเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อเราปรับอารมณ์ของเราได้ เราลองมาปรับใจของเราให้ดีแล้วค่อยเลื่อนขั้นพุทธะไป ทำจิตใจให้สงบดีไหม (ดี)  ทำไมสมัยก่อนการนั่งสมาธิจึงมีประโยชน์ ทำไมสมัยก่อนการทำสมาธิจึงทำให้คนบรรลุได้ เพราะว่าการฝึกจิตเป็นลำดับสุดท้ายของการฝึกทั้งมวล เพราะฝึกมาทั้งหมดแล้ว เพียงแต่ทำจิตให้สงบเท่านั้นเอง ถึงเวลาเขาบรรลุต้องบรรลุ แต่คนสมัยนี้ไม่ใช่ นั่งหลับตาแต่จิตใจคิดไปเรื่อย ถือโอกาสนั่งหลับ ฉะนั้นจึงไม่เหมือนกัน จะบอกว่าคนสมัยก่อนนั่งสมาธิไม่บรรลุไม่ได้ พูดไม่ได้เสียทีเดียว แต่คนสมัยนี้ไม่ใช่ คือนั่งแล้วจิตใจไปเรื่อย สงบจิตไว้ก่อน แต่พอออกสังคมก็วุ่นวายไว้ก่อน อย่างนี้ไม่มีประโยชน์
ชีวิตไม่ได้ยากเกินไปใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก็ไม่งายใช่หรือเปล่า (ใช่)  ยากกับง่ายใครกำหนด (ตัวเรา)  ตัวเราเป็นผู้กำหนดชีวิตให้ยากหรือให้ง่ายนะอย่าลืม
อยู่กับอาจารย์ อาจารย์เป็นพุทธะ ฉายาของอาจารย์ “พุทธะเดินดิน”  อาจารย์ยังมาเดินอยู่บนดิน ศิษย์ของอาจารย์ก็ให้บำเพ็ญติดดินให้มากๆ
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “อุปสรรคอยู่เบื้องหน้า ชัยชนะอยู่เบื้องหลัง”)
คนทั่วๆ ไป เวลาอยากจะสำเร็จมักจะคิดถึงชัยชนะก่อนใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่จริงๆ แล้วอะไรมาอยู่ข้างหน้าของเราก่อนชัยชนะ (อุปสรรค)  สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของเราคืออุปสรรคให้คิดถึงอุปสรรคก่อนแล้วชัยชนะที่อยู่เบื้องหลังนั้น ก็จะมาแทนที่อุปสรรค ตอนนี้เฉพาะหน้าอุปสรรคอยู่เบื้องหน้า แต่ชัยชนะนั้นอยู่เบื้องหลังไปก่อน  ถ้าเราใช้ความพยายามมาก อุปสรรคก็ไปอยู่ข้างหลัง แล้วชัยชนะก็มาอยู่เบื้องหน้า ไม่มีอะไรที่ยากเย็นเกินคนที่พยายาม แม้กระทั่งคนที่จะสำเร็จเป็นพุทธะนั้น ก็ไม่ได้ยากเกินไป อย่าคิดว่าตัวเรานั้นทำไม่ได้ อย่าคิดว่าสิ่งที่อาจารย์พูดนั้นเพ้อฝัน เพ้อเจ้อ เพราะว่าครั้งหนึ่งอาจารย์ก็เคยเกิดเป็นคนมาแล้ว แล้วอาจารย์ก็สำเร็จเป็นพุทธะได้ ศิษย์ของอาจารย์ก็เหมือนกัน ตอนนี้เป็นคนก็สามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้ เป้นคนประเสริฐกว่าสิ่งใดทั้งมวล ที่เห็นมีร่างกายเหมือนกันก็คือสัตว์ สัตว์มีร่างกาย ศิษย์มีร่างกาย แต่ศิษย์ประเสริฐกว่า เพราะว่ามีความคิด มีปัญญา เทวดาไม่มีร่างกาย มนุษย์มีร่างกาย มนุษย์ประเสริฐกว่า ผีนรกนั้นชดใช้กรรมอยู่ เรานั้นเป็นมนุษย์ยังทำกรรมอยู่ ถ้าหากว่าเราทำกรรมมาก วันหนึ่งเราก็ต้องชดใช้กรรมก็ไม่ต่างกับผี ฉะนั้นตอนนี้ทำความดีหรือความชั่วก็ต้องรู้อยู่กับตัว เราต้องเลือกอนาคตของเราตั้งแต่วันนี้ อันว่าคนนั้นสามารถสำเร็จเป็นพุทธะ อันว่าพุทธะองค์นั้นเคยเกิดมาเป็นมนุษย์ ในศิษย์ของอาจารย์นั้นพยายามเริ่มตั้งแต่คนที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เป็นต้นไป ไปเป็นคนที่ดี เป็นคนที่เมตตา เป็นคนที่ช่วยเหลือผู้อื่น เป็นโพธิสัตว์น้อยๆ เป็นอรหันต์น้อยๆ แล้วเป็นอรหันต์ใหญ่ๆ ในวันข้างหน้าดีหรือไม่ (ดี)  ถ้าหากว่าวันนี้ ศิษย์เดินไปทางไหน คนยกมือไหว้ แสดงว่าเรานั้นมีคนนับถือ ถ้าหากว่าวันนี้เราเดินไปทางไหน คนเชิดใส่ แสดงว่าเราอะไร โพธิสัตว์คนอยากเจอ มีแต่ผีเท่านั้นคนไม่อยากเจอ คนเห็นเราแล้วกลัวแสดงว่าเราไม่ได้บำเพ็ญโพธิสัตว์ แสดงว่าเรากำลังบำเพ็ญเป็นผี เพราะฉะนั้นตอนนี้ดูว่าเราเดินไปทางไหนมีคนทักเราไหม (มี)  แล้วตอนที่เขาทักเรานั้นเขายิ้มหรือไม่  ตอนนี้เราทำอะไร วันหน้าก็คือสิ่งนั้น ตอนนี้ให้ตั้งใจทำให้ดีให้งาม ไม่ต้องคิดว่าเวลาเราทำดี คนอื่นจะต้องมาตอบแทนดีกับเรา หรือบางคนบังคับให้คนไหว้ได้ แต่จิตใจของเขาไม่เคารพ อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์  ฉะนั้นเราควรให้ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ธรรมก็คือธรรมชาติ ธรรมชาติหล่อเลี้ยงทุกสิ่ง ให้ธรรมชาติหล่อเลี้ยงใจของศิษย์ ให้ศิษย์บำเพ็ญธรรมเป็นธรรมชาติ มาที่นี้ไม่มีใครสามารถบังคับให้ศิษย์ทำอะไรได้ บังคับให้กินเจก็ไม่ได้  คนที่ต้องบังคับก็คือตัวเราเอง ขอให้รู้จักละอายต่อบาปที่เราสร้าง รู้จักที่จะทำดีให้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นไป อาจารย์หวังในตัวศิษย์มากมาย
บ่ายโมงแล้วนะ อาจารย์ไม่อยากรบกวนศิษย์มากเกินไป วันนี้อาจารย์มีความสุขมากที่เห็นศิษย์แม้ว่าจะน้อยแต่ว่ามีคุณภาพ ศิษย์เป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาสี่พระองค์ยังให้โอวาทยาวขนาดนี้ จนอาจารย์ก็ยังรู้สึกว่าศิษย์ของอาจารย์คงเป็นผู้มีภูมิธรรมมาก ส่วนจริงๆ แล้วเรามีภูมิธรรมแค่ไหน เราคงต้องเป็นผู้ตัดสินตัวเราเอง
พุทธะเกิดมาบนโลก แต่พุทธะไม่ยอมบำเพ็ญต่อ แม้ว่าจะสูงเกียรติยิ่งกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์
อาจารย์มอบกำลังใจให้ศิษย์ทุกๆ คนทุกๆ เมื่อ  คนลำปางทุกๆ คน ทุกๆ วันที่อยากได้กำลังใจ ทุกๆ นาทีที่อยากได้กำลังใจ
บำเพ็ญให้ดีๆ นะ มีบุญแล้วต้องรู้จักใช้ในทางบำเพ็ญด้วย บุญกุศลนี้หมดไปได้ ร่อยหรอลงได้ ขอให้ตั้งใจนะ อาจารย์รอศิษย์อยู่นะ แต่ไม่รู้ว่ารอครั้งนี้เสียเปล่าหรือเปล่า  ขอให้ความหวังของอาจารย์สำเร็จที่ตัวศิษย์ รักสามัคคีกันให้มาก อย่าทะเลาะเบาะแว้ง มาบำเพ็ญร่วมกันก็ขอให้เดินทางธรรมร่วมกัน ขอให้อาจารย์ได้เป็นอาจารย์ของศิษย์ชั่วฟ้าดินสลาย อย่าทอดทิ้งอาจารย์นะ
มีเวลาว่างมาสถานธรรมนะรู้ไหม บำเพ็ญใจอยู่ที่บ้านบำเพ็ญยากก็ให้พยายามแม้เหตุการณ์ไม่เป็นใจก็ต้องเปิดโอกาสให้ตัวเองมากๆ เข้าใจไหม รีบๆ บำเพ็ญนะ อายุมากแล้ว รีบๆ บำเพ็ญ ทำอะไรได้ก็ให้รีบๆ ทำได้แล้ว
ขอให้ครั้งนี้เจอกันเป็นครั้งแรกและมีครั้งต่อไป มีเวลาว่างศึกษาธรรมะให้หนักๆ พบสิ่งใดชอบใจ ไม่ชอบใจต้องใช้ปัญญาแยกแยะ
รักษาตัวให้พ้นมารพ้นภัย รักษาใจให้สะอาดๆ อาจารย์หวังว่าทุกครั้งที่อาจารย์เจอศิษย์ ศิษย์จะเป็นคนที่มีความสะอาดพร้อม หวังว่าทุกๆ ครั้งที่เจอศิษย์ ศิษย์จะเป็นศิษย์อาจารย์ ยอมรับอาจารย์ในหัวใจ หวังว่าศิษย์นั้นยอมให้จิตใจของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น อาจารย์อยู่ในใจศิษย์ต่อเมื่อศิษย์นั้นมีอาจารย์ในหัวใจ อย่าคิดว่าการทำดีนั้นยาก อย่าคิดว่าการเป็นพุทธะลำบาก อาจารย์รับประกันว่า ถ้าศิษย์พยายามย่อมที่จะไปถึง ขอให้ทุกคนนั้นแก้ไขสิ่งที่ไม่ดี นิสัยที่ไม่ดีเป็นอันดับแรกก่อนที่จะเริ่มลงมือทำอะไร ให้มองเห็นในสิ่งที่ตัวเองยังไม่ดีอยู่เพื่อให้นิสัยของเรานั้น ความประพฤติของเรานั้นไม่เป็นอุปสรรคต่อผู้อื่น เพื่อให้ความประพฤติของเรานั้นเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่น
สังคมการบำเพ็ญธรรมนั้นยังเป็นสังคมแคบ เมื่อเทียบกับสังคมมนุษย์ทั้งหมด บำเพ็ญธรรมนั้นยังบำเพ็ญอยู่บนทะเลทุกข์ จึงขอให้ทุกๆ คนอดทนและพยายาม เชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อมั่นในธรรมะที่ศึกษา มีเวลาแบ่งเวลามาสถานธรรมให้มาก อย่าทอดทิ้งกลางคัน อย่าล้มเลิกกลางคัน ถ้ารักอาจารย์ก็ตามอาจารย์มาละกันนะ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา