วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544

2544-11-17 สถานธรรมสกุลหง จ. ชัยนาท (อิ๋งเต๋อ)


PDF  2544-11-17-สกุงหง(อิ๋งเต๋อ) #13.pdf

หมวด: สติสัมปชัญญะ

วันเสาร์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมสกุลหง จ. ชัยนาท
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

หากเป็นคนอารมณ์หุนหันพลันแล่น ส่งสายตาดุดันแทนการวานไหว้
ส่งคำพูดส่อเสียดแทนการไว้ใจ คนนั้นไซร้ไร้มิตรชีพไม่งาม
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤา
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง   ฮวา  ฮวา

การบำเพ็ญอยู่ในการดำเนินชีวิต ปรับปรุงจิตอยู่ท่ามกลางความว้าวุ้น
เกิดเป็นคนมีน้ำใจใฝ่การุณย์ ความอบอุ่นมากกว่าแสงตะวัน
การได้รู้ทางกลับแสนมงคล ต้องทำตนเป็นคนใหม่ทั้งเช้าค่ำ
อย่าได้ไปใส่ใจเรื่องขาวดำ ชีพระกำเพราะทำตนวุ่นโลกีย์
ในชาตินี้บำเพ็ญธรรมให้จริงจัง ด้วยพลังออกจากใจใช้ความกล้า
แก้ปัญหาผ่านเข้าออกด้วยปัญญา อย่าสรรหาเรื่องใส่ตนจำจงดี
เมื่อใครทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น ทุกทุกวันล้วนดีงามประเสริฐศรี
ทำชีวิตให้งดงามมอบยอมพลี ทุกนาทีหมายใจช่วยเวไนย
สองวันนี้ประชุมธรรมงานศักดิ์สิทธิ์ แปรชีวิตนำที่ฟังไปปฏิบัติ
จะเคร่งครัดหรือไม่อยู่ที่ตนจัด ปรมัตถ์ต้องทุ่มใจย่อมแปรจริง
ในวันนี้พี่รับพระบัญชา หวังว่าน้องรู้เวลาไม่ปล่อยผ่าน
เดินทางฟ้าไม่จบลงด้วยทรมาน ดั่งกินขมค่อยหวานสัจธรรม
อย่าได้หลงว่าตนเองดียิ่งนัก จงประจักษ์ด้วยเสมอต้นปลายหนา
อันสิ่งใดในโลกล้วนมีราคา แต่ชีวาหนึ่งนี้ยากประมาณราคา
จงตั้งใจฟังธรรมะให้จงดี ทุกนาทีมีค่ากว่าทองคำมาก
พุทธระเบียบจงรักษาพี่ขอฝาก ฝ่าลำบากด้วยใจธรรมคืนเบื้องบน
ในวันนี้หลายคนอายุน้อย หลายคนค่อยเกิดจิตความกังขา
จึงอยากฝากให้ติดตามเฝ้าศึกษา จงสืบหาความรู้ตื่นในกายตน
แล้วพี่นั้นจรดวางพู่กันคุมชั้นเรียน
ฮวา   ฮวา   หยุด

วันเสาร์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน  พุทธศักราช  ๒๕๔๔ สถานธรรมสกุลหง จ. ชัยนาท
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียน  ท่านหันเซียงจือ

ลมหนาวมากระทบสัมผัสกาย หนึ่งจิตใจมุ่งหมายไม่แปรเปลี่ยน
แม้ต้องทุกข์ยากลำบากตามวนเวียน จิตพากเพียรเป็นลมอุ่นอาบเวไนย
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจือ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤา

บำเพ็ญจงย้อนมองตนอยู่เสมอ เมื่อเผอเรอขอจิตน้อมสำนึกเห็น
ได้ความยอมรับใจยอมผิดเป็น แม้ลำเค็ญไม่หาเรื่องประมาทไป
ใครหนักใจมองชีวิตด้วยสัจจา วันเวลาคือความเร่งเพื่อแก้ไข
ชีวิตมีชมหน่ายน่าเศร้าใจ ติดนิสัยลูบหน้าปะจมูกกัน
เผชิญมาคมปัญหาสอบคนจริง ชนะยิ่งใจตนเลิกไหวหวั่น
เพียงเห็นทางกล้าขึ้นรู้ประมาณ มุ่งเดินหวังเป็นนั่นช่วยเวไนย
บุคคลมีความเส้นคงวาแทน ยิ่งไกลแสนชัยชนะยิ่งไสว
เมฆแสนไกลของคนผดุงใจ รู้หรือไม่หัวใจกล้าหาญเหนือเวลา
เพ่งยากเกินคือแสงอาทิตย์ส่อง ประกายเงินแสงทองจับขอบฟ้า
ตกแล้วขึ้นส่องในบำเพ็ญว่า สนิทกันเคารพใจกล่าวคำระวัง
ช่วยดึงใจมีน้ำใจให้กัน สำเร็จความหวานที่ทุกข์สร้าง
สุขกลางทุกข์จงไปหาพลัง บำเพ็ญอย่างทันรู้หลงเพียงใด
ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทหนึ่งแปดเซียน  ท่านเซียงจื่อ

เบื่อไหมที่ต้องมีคนคอยกระตุ้นให้พูด  ให้ตอบ  หรือเป็นตัวของตัวเองไม่ได้เป็นไหม  (เป็น)  เป็นแล้วทำไมต้องให้คนอื่นนำอยู่ตลอด  ไม่ว่าอายุมากน้อยยอมแพ้เขาไหม  ไม่ยอมแพ้กันและกันดีหรือเปล่า  สู้กันจนตายไปข้างหนึ่งดีหรือเปล่า  (ไม่ดี)  เมื่อสักครู่บอกว่าให้เราไม่ยอมแพ้  ก็บอกว่าดี  แต่พอบอกให้สู้ให้สู้กันจนล้มหายตายจากไปข้างหนึ่ง  ก็ไม่เอา   ใช่หรือไม่  (ใช่)  มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ต้องเข้าใจถ่องแท้  เรื่องความถูกต้องและเหมาะสม  หากเกิดเป็นคนมีชีวิตแล้ว  เข้าใจสองอย่างนี้ไม่ถูกต้อง  ย่อมเป็นคนที่ดำเนินชีวิตอย่างลุ่มๆ ดอนๆ และแยกไม่ออกว่าอะไรดีอะไรชั่ว  จริงไหม  (จริง)  แล้วมาตรฐานของตัวท่านอะไรเรียกว่าความถูกต้อง  อะไรเรียกว่าความเหมาะสม  ถ้าเราเขาใจอย่างถ่องแท้  ชีวิตจะไม่ก้าวผิดพลาดและจะไม่มีอะไรที่เรียกว่าความผิดพลาดในชีวิต  แต่ถ้าเมื่อไรเรายังเข้าใจไม่ถ่องแท้  เมื่อนั้นความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นอย่างง่ายดายโดยที่เราไม่รู้ตัว  จริงหรือไม่  (จริง)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนสิ่งแรกที่ต้องศึกษาคือความถูกต้อง  อะไรเรียกว่าความถูกต้อง  อะไรเรียกว่าความเหมาะสม    หากเรามีชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง  ด้วยความรู้  ด้วยปรัชญาเท่านั้นพอหรือเปล่า  (ไม่พอ)  เท่านั้นสามารถตัดสินความถูกต้องและความเหมาะสม  ได้หรือเปล่า  (ไม่ได้)   ทำไมไม่ได้  แปลว่าท่านขาดอะไร  จริงๆ  เราว่าก็ได้   อาจจะทำให้ท่านผิดบ้างเหมือนกันใช่หรือไม่  (ใช่)  ประสงการณ์ของชีวิต    ประสบการณ์ของการศึกษาสามารถทำให้เราติดสินได้ว่า  อะไรถูกต้อง  อะไรเหมาะสม  จริงหรือไม่  (จริง)  แต่ไม่ตลอดรอดฝั่ง  ใช่หรือไม่  (ใช่)  เพราะประสบการณ์ของการศึกษาแต่ละคน  อาจารย์หนึ่งคน  ศิษย์ประมาณสิบคน  ความรู้ที่อาจารย์ส่งมอบให้เหมือนกันไหม  ไม่เหมือนกัน  ใช่หรือไม่  (ใช่)  เราได้บรรทัดฐานที่เท่ากันไหม  (ไม่เท่า)  ได้ความรู้ที่เท่ากันไหม   คนที่ได้หนึ่งอย่างก็ต้องคิดว่าตนเองถูกต้องสุด    ใช่หรือไม่  (ใช่)  แต่ถ้าอีกคนฟังอาจารย์เหมือนกัน  แต่ได้สองอย่าง   เขาต้องว่าตัวเองถูกต้อง  แต่ถ้าอีกคนไม่ได้อะไรเลย   เขาก็ว่าตัวเองถูก  ใช่หรือไม่  (ใช่)  แม้ว่าอาจารย์หนึ่งคน  แต่ศิษย์สามคนย่อมได้ความรู้ต่างกัน  คนหนึ่งไม่ได้อะไรเลย  คนหนึ่งได้หนึ่งอย่าง  อีกคนหนึ่งได้สองอย่าง  จริงไหม   (จริง)  แล้วใครที่ถูกต้อง  การศึกษาอย่างเดียว  ก็ไม่สามารถทำให้มนุษย์อยู่บนความถูกต้องและเหมาะสมได้  จริงหรือไม่   (จริง)    แล้วพูดถึงประสบการณ์ชีวิต  คนสองคนมีอาชีพเป็นอาจารย์   สอนวิขาเดียวกันคือ   ประวัติศาสตร์  อาจารย์พูดประวัติศาสตร์เรื่องหนึ่ง  แต่ใช้วิธีพูดแตกต่างกัน   อย่างพูดเรื่อง  “ประเทศไทย”  อาจารย์คนแรกเริ่มกล่าวเรื่องนิสัยใจคอก่อนและภูมิประเทศตามมาทีหลัง  แล้วก็พูดว่า  “นิสัยใจคอเป็นอย่างนี้    ก็เพราะว่าภูมิประเทศเป็นอย่างนี้      คนจึง
เป็นเช่นนี้”  นี่คือความเห็นของอาจารย์คนแรก  แต่ว่าอาจารย์คนที่สองมาสอนอีก  บอกว่า      ภูมิประเทศเป็นเช่นนี้ไม่เกี่ยวกับนิสัยคน  นิสัยคนเกิดจากจิตใจของคนและธรรมะต่างหากที่ทำให้มีผลต่อจิตใจ  สองคนประการณ์การสอน  ต่างกันไหม  (ต่างกัน)  ถูกไหม  (ถูก)  ใครถูก  (ถูกทั้งคู่)  ท่านทำนา   วิธีการทำนาของแต่ละคนย่อมมีความละเอียดแตกต่างกันออกไป  แต่ทำแล้วได้ต้นข้าวเหมือนกัน  ใช่หรือไม่  (ใช่)  แล้วอะไรที่เป็นบรรทัดฐานความถูกต้องและความเหมาะสม  บางครั้งเรามีชีวิตอยู่จนอายุป่านนี้ ก็ยังมีความเข้าใจไม่ถ่องแท้  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ถ้าคนเรายึดติดที่ตัวตนเป็นหลัก  เอาตัวตนเป็นที่ตั้งความถูกต้องและความเหมาะสมย่อมหาได้ยาก     แล้วเราจะใช้อะไรดี  ความรู้ก็ไม่ได้    ประสบการณ์ก็ไม่เหมาะ  ตัวเองก็ไม่ได้  ใช้อะไรดี  (ปัญญาสมาธิ)  เกือบจะใช่    แต่ยังไม่ใช่เสียทีเดียว  ท่านว่าอะไร    (หลักสัจธรรม)  ใกล้เคียงเหมือนกัน  ท่านคิดว่าอะไรที่ทำให้ยืนอยู่บนบรรทัดฐานที่ถูกต้อง  ไม่เอนเอียงไม่เข้าข้างโดยที่ตัวเองไม่รู้  (หลักธรรมะ)  หลักธรรมะทำให้มนุษย์ยืนอยู่บนโลกอย่างเที่ยงตรง  ไม่เข้าข้างใคร  ไม่เข้าข้างตนเอง  แม้ว่ามีความรู้  มีประสบการณ์ก็ทำให้เราไม่หลงในความรู้  ไม่หลงในประสบการณ์ของตนเอง  ยังรู้จักตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสมของตนเองได้อีกด้วย  จริงหรือไม่  (จริง)  และเพราะอะไรท่านถึงลืมเรื่องนี้ไป  ลืมไปไหน  (ลืม)  ลืมและคิดไม่ถึงด้วย  ใช่หรือไม่  (ใช่)
เรายังงอยู่เหมือนกันว่าท่านยังมีชีวิตรอดมาได้อย่างไรกัน    ความถูกต้องและความเหมาะสมท่านยังหาไม่ได้เลย  แล้วท่านอยู่รอดมาได้อย่างไร  นับว่าเป็นบุญโดยแท้  จริงหรือไม่  (จริง)   อยู่รอดมาจนถึงป่านนี้  แม้ว่าจะทุกข์บ้างเจ็บบ้างก็ไม่เป็นไร    ยังคงก้มหน้าดำเนินชีวิตเหมือนเดิม     ใช่หรือไม่  (ใช่)   นี่คือความยากของมนุษย์  มองฟ้าก็เป็นฟ้า  มองชีวิตก็เป็นชีวิต  ไม่เคยมองชีวิตให้เข้าใจชีวิตสักที    เหมือนมองคน ๆ หนึ่งก็เห็นเพียงคนๆ หนึ่ง  จะมีใครบ้างที่มองชีวิตและเห็น
สะท้อนเข้าไปถึงชีวิตที่แท้จริง  คงเป็นการยาก  ใช่หรือไม่  (ใช่)   ถ้าง่ายป่านนี้เราคงมองเห็นท่านข้างบนแล้ว   ไม่วนอยู่บนโลกนี้  แล้วอยากรู้วิธีหรือเปล่า   ทำอย่างไรจึงเป็นคนที่สมบูรณ์  ทำอย่างไรจึงเป็นคนที่ดำเนินชีวิตได้อย่างไม่ผิดพลาดเลย  อยากรู้บ้างไหม  (อยาก)
มาถึงที่นี่  สิ่งแรกเราไม่มีอะไรจะให้  แต่เราขอให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข  คิดกันในแง่ดี    อย่าระแวงเคลือบแคลงกันเลย  ไม่อย่างนั้นจะอยู่กันอย่างไม่มีความสุข  ทำจิตใจให้เบิกบาน    ทำจิตใจให้สงบ  อย่าระแวงอย่าสงสัย  ไม่เช่นนั้นแล้วท่านจะเป็นผู้ที่ทุกข์ก่อนใครเพื่อน   จริงหรือเปล่า  (จริง)  เรามาอาจจะดูไม่สนุกสนานเหมือนเซียนเด็ก   แต่ว่าในความสงบเงียบก็มีความสุขอิงแอบ  ใช่หรือไม่  (ใช่)    และเคยค้นหาความสุขที่เป็นความสุขอันนิรันดร์กันบ้างไหม   (ไม่เคย)  ไม่เคยบ้างเลยหรือ  มีใครบ้างที่ตั้งแต่เกิดมามีจิตใจดวงเดียวไม่แปรเปลี่ยน  เหมือนมุ่งมั่นจะทำสิ่งใดก็เดินไปสู่สิ่งนั้นอย่างไม่ท้อถอย  ไม่ยอมแพ้ไม่ว่าจะเจอความยากลำบากเพียงใด  มีไหม  (ไม่มี)  ไม่มีหรือ  ตอนเด็กคิดอย่างไรตอนโตก็ยังคิดอย่างนั้น  ตอนเด็กตั้งใจว่าจะทำอย่างไร  ตอนโตก็ยังมุ่งมั่นจะทำอย่างนั้นให้สำเร็จจงได้  ไม่ยอมเปลี่ยนใจ  มีไหม  (มี)  เราว่าคงมีบ้างและไม่มีบ้าง  ใช่หรือไม่  (ใช่)    บ่อยครั้งที่มนุษย์เรามุ่งมั่นจะทำสิ่งใด  เมื่อเจอความยากลำบากแล้วทำให้เราไม่สมหวัง    ใช่หรือไม่  (ใช่)  แต่ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น  เราเคยมองไหมว่าเป็นเพราะภาวะเหตุการณ์ไม่เป็นใจ  หรือว่าตัวเรามุ่งมั่นไม่พอกัน  (มุ่งมั่นไม่พอ)   หรือว่าทั้งสองอย่าง
วันนี้เรามาที่นี่มาเพื่ออะไร    มาเพื่อให้ท่านได้รู้จักชีวิตที่แท้จริง  และตื่นจากชีวิตนี้ไปสู่สิ่งที่ดีที่สุดที่เราหวัง   แต่สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์หวังอาจจะต่างจากที่เราหวังอย่างหนึ่งก็คือ  มนุษย์หวังที่จะให้มีทรัพย์สินเงินทอง    มีลาภยศ  มีชื่อเสียง  ใช่หรือไม่  (ใช่)แต่สิ่งที่พุทธะหวัง  คือการรู้ตื่นแห่งชีวิตที่แท้จริง  และมุ่งสู่ความดับหรือหลุดพ้น  ใช่หรือไม่  (ใช่)  นี่คือปฏิปทาของพุทธะ    และในตัวเมธีท่านที่นั่งอยู่ที่นี่มีไหม  (มี)   อยากกลับไปสู่ความดับหรือที่เรียกว่าหลุดพ้นบ้างไหม  ถ้าท่านไม่อยากวันนี้ท่านก็ต้องอยากในวันหน้า  จริงไหม  (จริง)   การกลับไปสู้ความดับบางคนดับแล้วหลุดพ้น    บางคนดับแล้วไม่หลุดพ้นยังต้องเวียนว่าย    วันนี้ท่านไม่ต้องการวันหน้าท่านก็ต้องเจอ      ใช่หรือไม่  (ใช่)    แต่จะดับอย่างไรแล้วหลุดพ้นไม่ต้องเวียนว่าย     ดับอย่างไรแล้วเป็นสุข    หลับตาหลับได้อย่างสบายใจ  ไม่เอาหรือ  (เอา)  เกิดเป็นคนก็ยังไม่รู้ว่าวันไหนต้องตาย  รู้แต่ว่าวันนี้ฉันกเดไม่สนใจการตาย  ไม่ได้หรอก   ใช่หรือไม่  (ใช่)     เพราะวันนี้ท่านไม่สนใจอีกไม่กี่ท่านก็รู่ว่าความดับคืออะไร    อย่างเข่นหลับตา    ดับไหม  (ไม่หลับ)   แน่ใจหรือว่าหลับตาแล้วจะไม่ดับ  เห็นไหมแค่ตอนลืมตาท่านยังตัด    ท่านยังกลัวท่านยังไม่แน่ใจ  ท่านยังพะว้าพะวงและอย่างนี้จะหลับลงไหม   การหลับตาก็คือการดับอย่างหนึ่ง  คือ  การดับการเรียนรู้ ดับการดำเนินชีวิตแต่เป็นการพักผ่อน  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ถ้ามนุษย์เราไม่ยอมรับจะต้องทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็นไม่ยอมหยุดพัก เพราะกลัวการดับจริงหรือไม่ (จริง) แต่ถ้าเมื่อใดเราหลับตานอนแล้วตื่นขึ้นมาได้อย่างสดชื่น  แปลว่าเราเข้าใจในการดับ และรู้เหตุผลของการดับ และดับอย่างถูกต้องเหมาะสม  จริงไหม   (จริง)  แต่หากวันนี้กลับไปแล้วไม่กล้าหลับ  เพราะเมื่อสักครู่สิ่งศักดิ์สิทธ์ท่านบอกว่า  หากหลับเดี๋ยวดับไปเลย  นั่นแปลว่าท่านเข้าใจไม่ถูกต้อง  ดำเนินชีวิตได้อย่างไม่เหมาะสม  ใช่หรือไม่  (ใช่) ทีนี้สนใจหรือยังว่าต้องเรียนรู้การดับไว้ก่อน  สนใจไหม  (สนใจ)
ฉะนั้นเมื่อเราเกิดเป็นคนสัจธรรมที่เราจะต้องเรียนรู่นั่นก็คือ  การเกิด  แก่  เจ็บ  ตาย  คนเราต้องเกิดแล้วก็ดับเป็นธรรมชาติ  ใช่หรือไม่  (ใช่)  นอกจากตาแล้ว  เรามีอะไรที่เกิดก็ดับอีก  (หู)  เกิดอย่างไรดับอย่างไร (การเกิดก็คือ  เริ่มรับรู้ฟังเสียงต่าง ๆที่จะเข้ามา  และการดับคือ  เราไม่รับและไม่ได้ยินเสียง ไม่ฟังเสียงอะไรทั้งสิ้น)  และหูดับเหมือนดับตาไหม  (ไม่เหมือน)  ไม่เหมือนใช่หรือไม่  (ใช่)  ปัญญาเกิดขึ้นจากประสบการณ์และการดำเนินชีวิต  แล้วทำไม่จึงไม่เหมือน  เพราะหูปิดเองไม่ได้  ใช่หรือไม่  (ใช่)  แปลว่าเมื่อเราใช้ประสาทสัมผัสแล้วใช้ชีวิตโดยการใช้อายตนะนอกแล้ว  ยังต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับภายในด้วย  เราเรียนรู้การเกิด  การดับภาวะภายนอกของร่างกายเรา  แต่ว่าภายนอกกับภายในก็ต้องประสานกันด้วยใช่หรือไม่  (ใช่)  ถ้าหูไม่อยากฟัง ที่ว่าไม่อยากฟัง  สิ่งใดไม่อยากฟัง  (จิตใจ) ใจไม่อยากฟังแปลว่าใจของมนุษย์ก็มี  (มีดับ   มีกิเลสอยู่ด้วย  คือมีเกิด  มีดับอยู่ด้วย)  แปลว่าได้หูอย่างหนึ่ง  ก็ยังได้ใจแถมท้ายมาด้วยใช่หรือไม่  (ใช่)  แปลว่าใจเราก็มีการเกิดการกับเหมือนกัน  หูสั่งใจหรือว่าใจสั่งหู  (ใจสั่งหู)  แล้วใจได้ยินหรือ  นั่นคือใจสั่งหู  แต่หูมีหน้าที่  (รับฟัง) หน้าที่ของหูคือ  รับฟัง  แต่ใจเป็นสั่งว่าหูนี้จะเปิดดี  หรือจะปิดดี  นอกจากหูกับใจแล้วมีอะไรอีก (ปาก)  ปาก  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ปากเราจะตายไหม  (ไม่ตาย)  ทำไมไม่ตาย  ยังอยากพูดก็เลยยังไม่ยอมตายง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ  แปลว่าท่านจะไม่มีวันยอมปิดปากเลย ใช่หรือไม่  (ใช่)  เราพูดในสิ่งที่เป็นสัจจะแต่ในสัจจะนั้นก็มีความสนุกสนานอยู่ด้วย  อย่ากลัวที่จะยอมรับความเป็นจริงของชีวิต  บ่อยครั้งที่มนุษย์เราต้องสัมผัสกับเกิด  แก่  เจ็บ  ตาย  แล้วเป็นทุกข์กลับหาความสุขไม่ได้  มองความสุขไม่เจอเพราะเราไม่ยอมรับ  จริงหรือไม่  (จริง)  เวลาเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต  อย่างเช่นพลัดพรากจากคนที่รัก  ต้องพลัดพรากจากสิ่งของที่ต้องประสงค์  และทำไมรับไม่ได้  ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นความถูกต้องไหม  (ถูก)  ถูกต้องตามเวลาที่มันต้องเป็น    หรือถูกต้องตามสัจจะที่ต้องเป็น  ใช่หรือไม่  (ใช่)  คือชีวิตมี เกิด แก่ เจ็บ ตาย  นอกจากชีวิตแล้วมีไหม  สิ่งขิงอยู่ในวัฏฏะของสัจจะไหม  ท่านว่าอยู่ไหม  (อยู่)  ทำไมเราจึงให้ท่านคิดว่า  เกิด ดับ มีอะไรบ้าง  ไม่ใช่แค่หู  ไม่ใช่แค่ตา  ไม่ใช่แค่ปาก    แต่ยังมีทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เราสวมใส่   ใช่หรือไม่  (ใช่)  ชื่อเสียงเรียงนามที่ปรากฏบนป้ายของท่าน  ใช่หรือไม่  (ใช่)   แล้วอะไรอีกที่เกิดขึ้นได้  คำพูดของเราเองก็อาจจะเป็นสัจจะที่ทำให้เราเรียนรู้ชีวิตได้   ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นจงยอมรับความจริงและภูมิใจที่ด้พบความจริงในชีวิตนี้   ทำได้ไหม  (ได้)  กลับบ้านไปทองหายสิบบาท   ทำใจได้ไหม  เงินหายหนึ่งพันบาท   วันนี้เพิ่งฟังมา   ทำใจลงหรือเปล่า  (ลง)  ถ้าท่านทำใจได้  นั่นก็แปลว่าเตรียมพร้อมรับความจริงของชีวิต   แต่ถ้าเมื่อใดเราพูดว่า   เราทำใจไม่ได้  ยังยากอยู่  ยังลำบากอยู่  นั่นแปลว่าท่านสร้างกำแพงกั้นความเป็นจริงของชีวิต  จริงหรือไม่  (จริง)  เมื่อเหตุการณ์มากระทบท่านก็ไม่เข้าใจและมองไม่ออก  เพราะตัวเองสร้างกำแพงป้องกัน     จบเรื่องหนึ่งดีไหม   ได้ไหม  ยังไม่ได้เพราะเรื่องของชีวิตเป็นเรื่องที่ยาวเป็นและเป็นรเรื่องที่ง่ายๆ ง่ายไหม  (ไม่ง่าย)  ทำไมไม่ง่าย    เวลาเจอจะเป็นอย่างไร  ก็สู้ได้อย่างสบาย  แต่พอเราคิดว่ามันยากเวลาเจอก็หวาดกลัวและหวั่นไหว  ใช่หรือไม่  (ใช่)  แต่ในทางกลับกัน   ถ้าคิดว่าง่ายบางทีก็ไม่ดีเหมือนกัน  เพราะเวลาเจออยากกว่าก็รับมือไม่ไหว  คิดว่ายากก็มีส่วนที่ดี  คือเวลาเจอง่ายก็ทำใจได้ทัน  ใช่หรือไม่  (ใช่)  เราพูดอย่างหนึ่ง   แต่ทำไมมันแตกเป็นสอง  แต่พูดเผื่อไว้สองก็แปลว่าเราโลเล    ไม่มั่นคงหรือก็ไม่ใช่    มีทั้งคนเข้าใจและไม่เข้าใจว่าเรากำลังพูดอะไรอยู่  หรือพูดง่ายๆ ก็คือเกิดเป็นคนต้องรู้จักปลง  หรือง่ายเข้าไปอีกก็คือเกิดเป็นคนต้องรู้จักปล่อยวาง   เราพูดเยิ่นเย้อยาวไกล    แต่จริงๆ แล้วจุดหมายหลักก็คือต้องการให้เข้าใจชีวิตว่า  มีชีวิตแล้วอย่าได้ยึดติด  ไม่ว่ารูปนาม    ทรัพย์สิน หรือว่าสิ่งของอะไรก็ตามที่เราได้ครอบครอง  จงรู้จักปล่อยวาง  แม้คนที่เรารักที่สุด    เมื่อเราเอาใจเขามาก    ยึดถือมาก    เราก็เป็นทุกข์มาก  ใช่หรือไม่  (ใช่)    เวลาเรามีชีวิต  บางครั้งเราก็พบความสำเร็จพบสิงที่สมหวัง  แต่บางครั้งก็พบความผิดพลาด    ใช่หรือไม่  (ใช่)  หลายต่อหลายคนเมื่อผิดพลาดแล้ว    ไม่กล้าที่จะยอมรับความผิดที่ตัวเองก่อ  จะใช้วิธีการหลบ  หรือบ่ายเบี่ยงหาเกตุผลให้กับตัวเองว่าเป็นคนถูกจนได้  ทั้งที่ตัวเองเป็นคนทำผิดใช่ไหม  (ใช่)  เราขอถามว่า   ตั้งแต่มีชีวิตถึงปัจจุบันนี้  ใครเคยทำผิดพลาดแล้วกล้ายึดอกรับผิดโดยไม่อายบ้าง  มีไหม  ถ้าไม่กล้าตอบเราไม่เป็นไร  แต่เราหยั่งใจถามท่าน  ว่าถ้าในสังคม  หนึ่งร้อยคนมีแค่หนึ่งคนที่กล้ายึดอกรับความผิด  สังคมจะเป็นอย่างไร    ในสังคมจะเกิดความวุ่นวาย  ใช่ไหม  (ใช่)  เพราะคนทุกคนต่างไม่กล้ารับผิด    คนทุกคนต่างไม่ยอมรับสิ่งที่ตนเองกระทำ  ไม่รับผลในสิ่งที่ตนเองก่อ    ใช่หรือไม่  (ใช่)  เมื่อไม่ยอมรับผล  ความวุ่นวายในสังคมย่อมบังเกิดขึ้น  ความละลายใจในสังคมย่องแห้งแล้งลงไปทีละเล็กละน้อย    ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนจิตสำนึกแห่งการรู้ผิดชอบจึงต้องมีไว้   เมื่อไรที่คนทำผิดแล้วกล้ายึดอกรับผิดสังคมจะมีระเบียบด้วยความสมัครใจ   โดยไม่จำเป็นต้องใช้กฎหมายหรือข้อบังคับใด ๆ   แต่เพราะอะไรสังคมถึงต้องมีกฎหมาย  เพราะว่ามนุษย์เราไม่กล้ารับผิดชอบ  รับผิดชอบต่อตนเองบางครั้งยังไม่ไหว  เลยไม่ยอมรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเองกระทำและมีผลกระทบต่อผู้อื่นด้วย  ใช่ไหม  (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนมีจิตสำนึกในการยอมรับผิด  รู้รับผิดชอบทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น  ความผาสุขและความร่มเย็นย่อมเกิดขึ้นในโลกนี้ได้  ความบริสุทธิ์ยุติธรรมย่อมมีให้เห็น     ใช่หรือไม่  (ใช่)     เราพูดเรื่องนี้เพราะเป็นสัจธรรม   ที่ทำให้เรามองเห็นได้ว่าโลกวุ่นวายไม่ใช่เพราะใคร  แต่เป็นเพราะใจของเราเอง   สังคมเสื่อมลง   ตกต่ำลง  ก็เพราะคนไม่กล้ารับผิดในสิ่งที่ตนเองกระทำ    ๑.  แยกแยะไม่ออก  ๒.  เมื่อผิดยังไม่ยอมรับผิด  ความวุ่นวายจึงบังเกิดขึ้นเป็นทวีคูณ    ใช่หรือไม่  (ใช่)    ชีวิตของจึงยากหาความผาสุขได้  จริงหรือเปล่า  (จริง)  แล้วจะมาเรียกร้องให้เราทำดีไม่มีวัน  ใช่หรือไม่  (ไม่ใช่)  ทำไมไม่  เพราะหลายคนเวลาจะทำดีมักพูดว่า   ไม่ยอมทำเด็ดขากถ้าโลกยังไม่มีดี  ไม่ยอมให้เด็ดขาด   ถ้าคนอื่นไม่ยอมให้เรา  เราจะไม่ยอมเสียสละเด็ดขาด  ถ้าคนอื่นไม่ยอมเสียสละก่อนใช่ไหม  (ใช่)
ฟังเรื่องง่ายๆ สักเรื่องหนึ่ง    เรื่องมีอยู่ว่า   “มีชายสองคนสนทนากันในเรื่องความดีและความไม่ดี  ชายคนหนึ่งถามเพื่อนอีกคนหนึ่งว่า  ท่านขยันทำงานไหทำไม  ในเมื่อพี่น้องท่านอีกเก้าคนไม่เคยขยันเลย  ท่านจะเป็นคนดีไปทำไม  ในเมื่อครอบครัวของท่านมีท่านที่เป็นคนดีอยู่คนเดียว  เฉกเช่นเดียวกัน  เราจะเป็นคนดีไปทำไม   ในเมื่อสังคมยังชั่วร้ายอยู่  คนนั้นกลับตอบว่า   ในเมื่อมีเพียงคนดีคนเดียวที่ขยัน  แล้วเราจะยอมเป็นคนดีที่พ่ายแพ้คนเกียจคร้าน  ในเมื่อโลกเหลือคนดีอยู่เพียงคนเดียว   ฉันก็จะดำรงความดีนั้นต่อไปไม่ยอมแพ้เด็ดขาด  แต่คนในสังคมกลับกาเหตุผลไม่ได้ในการที่จะทำความดีต่อไป    หรือทำอย่างไรให้ตัวเองยืนหยัดในความดีต่อไป    เมื่อหาเหตุผลไม่ได้จึงเลิกทำ  ในเมื่อมีดีแค่หนึ่งเดียว  ก็ไม่ดีเลยใช่หรือไม่  (ไม่ใช่)  นั่นก็คือแม้จะเหลือเพียงหนึ่งเดียว     แต่ยังเป็นหนึ่งเดียวที่มั่นคง   ไม่หวั่นไหว  แม้จะเคยผิดพลาดไปบ้างก็ตามแต่ยังพร้อมกลับตัวกลับใจเป็นคนดีที่สู้ต่อไป   ทำได้หรือเปล่า  (ได้)  ไม่เช่นนั้นแล้วความผิดพลาดและความชั่วร้ายก็ยังคงปรากฏในสังคม   ไม่มีวันที่จะค้นพบคนดีได้ในโลกใบนี้เมื่อยามที่เรามีชีวิตอยู่   ธรรมที่จะสามารถรักษาชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัย  ก็คือ  หนึ่งเป็นคนดี  ดีแบบปลอมหรือดีแบบถ่องแท้  ดีแบบยอมรับความชั่วร้าย  หรือดีแบบต่อสู้กับความชั่วร้ายในใจตน  ความดีจะบังเกิดได้ก็ต่อเมื่อ  ต้องมีธรรมรักษาใจ    สิ่งแรกก็คือ  อย่าโลภ   สิงที่สองอย่ารักสบาย   สิ่งที่สามก็คืออย่าเกียจคร้าน   สิ่งที่สี่ก็คือระมัดระวังคำพูดตัวเอง   หากสามารถประคับประคองสี่อย่างนี้ได้เราก็จะสามารถเป้นคนดีได้โดยพื้นฐาน    ใช่หรือไม่  (ใช่)  คนดีนั้นต้องไม่มีความโลภ   เมื่อเราไม่โลภ   เราจะไม่เห็นแก่ตนและจะไม่เบียดเบียนผู้อื่น  เมื่อเราไม่รักสบาย   ไม่เกียจคร้าน   เราจะเป็นคนขยันทำมาหากินและต่อสู้กับอุปสรรคทุกรูปแบบ  เมื่อเราเป็นคนพูดน้อยแต่ทำมาก  เราจะเป็นแบบอย่างที่ดีและทำให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม  สี่ข้อนี้พอทำไหวไหม  (ไหว)  ยังมีอีกสองข้อที่ต้องเรียนรู้ด้วย  นั่นก็คือหน้าที่  คนทุกคนต่างมีหน้าที่   แต่ถ้าโดยหน้าที่จะมี่อยู่สองอย่าง  หากเกิดเป็นคนสามารถรักษาหน้าที่นี้ได้อย่างดี  จะเป็นคนดีได้อีกก้าวหนึ่ง  นั่นก็คือเมื่อยามที่เราอยู่ในครอบครัว  เราอย่าได้เห็นแก่สุขของตนเองจนลืมนึกถึงความสุขกายสบายใจของครอบครัว  เมื่อยวามอยู่ในสังคมจะทำหน้าที่อะไรก็ตาม  เราไม่ได้นึกถึงสุขของตนเองอย่างเดียว    แต่เรายังต้องนึกถึงจิตของส่วนรวมด้วย   นี่คือก้าวที่สองของการเป็นคนดี  ทำได้ไหม  (ได้)  และสิ่งหนึ่งที่เป็นพื้นฐานของการเป็นคน  นั่นก็คือความกตัญญู   เกิดเป็นลูกถ้ามีฐานะเป็นลูก  มีสถานะหน้าที่เป็นบุตร   สิ่งสำคัญอย่างงหนึ่งที่เราอยากจะบอกไว้ก็คือ  มิทำให้พ่อแม่เจ็บช้ำน้ำใจ  หากทำได้ท่านจะเป็นคนที่มีความกตัญญู     และประกอบไปด้วยความดี  และเมื่อท่านยืนได้ดีอย่างเหมาะสมแล้ว   ลูกหลานย่อมสามารถอิงแอบได้อย่างร่มเย็น   นั่นเป็นบทธรรมที่ผู้ใหญ่ควรพึงรู้ได้   ส่วนบทธรรมของผู้น้อยหรืออายุเยาว์  นั่นก็คือความรักเกิดเป็นคนจะมีธรรมะได้อย่างไรเมื่อตนเป็นวัยรุ่น   ผู้ที่มีอายุน้อยปรารถนาความรักไหม   (ปรารถนา)  อายุมากปรารถนาความรักไหม  (ปรารถนา)  แปลว่าธรรมใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ทุกคนต่างปรารถนาความรัก  ไม่อยากให้ใครรังเกียจเรา  อยากเป็นที่รักของทุกคน  นั่นคือเราอยากมีความรักแบบไม่จำกัดอยากไหม  (อยาก)  อารมณ์ล้วนมีอยู่ในทุกคนไม่วัยเด็ก  วัยเยาว์  วัยชรา  หรือวัยกลางคน   ก็คือ  รัก  โลภ  โกรธ  หลง    ใช่หรือไม่  (ใช่)  มนุษย์เรามีสองอารมณ์คืออารมณ์คืออารมณ์ชังกับอารมณ์ชอบ  ความรักจะบังเกิดขึ้นในจิตใจได้   ต้องมีพื้นฐานมาจากความบริสุทธิ์ความรู้สึกที่ดีค่อย ๆ ก่อตัวมาเพิ่มมากขึ้น  จนกลายเป็นความเข้าใจ   เห็นใจ  และรักเขา  และเกิดเป็นมิตรภาพ    ใช่หรือไม่  (ใช่)   นี่คือความรู้สากที่เรียกว่ารัก  ส่วนความชังเกิดขึ้นมาจากอะไร  เกิดมาจากพื้นฐานของความไม่ชอบไม่ถูกชะตา   ฟังแล้วขัดหู      ใช่หรือไม่  (ใช่)  การกระทำล้วนขัดตาขัดใจเหลือเกิน  เมื่อความชังทวีตัวขึ้น  จึงเกิดเป็นความเคียดแค้นและริษยา อาฆาต    ใช่หรือไม่  (ใช่)   มนุษย์มีอารมณ์สองอย่างนี้  ความชังและความอิจฉาริษยาล้วนเป็นไฟที่เผาผลาญการมีชีวิตอยู่ในการเป็นคน  ฉะนั้นจงรักษาความรักไว้เป็นหนึ่งเดียวดีกว่า   โดยเริ่มต้นพื้นฐานที่จิตใจอันบริสุทธิ์  ถ้ามนุษย์เรามีจิตใจบริสุทธิ์  ไม่ว่าจะเห็นหน้าหรือได้ยินเสียง  ความบริสุทธิ์จะบังเกิดแก่ทุกๆ คน  เมื่อบังเกิดกับทุกคนแล้ว    เราจะมีจิตใจที่ยินดีและน้อมรับเขาได้    ใช่หรือไม่  (ใช่)  แต่เมื่อความรักบังเกิดออกมา  เป็นมิตรภาพแล้ว   เราจะรักเขาอย่างจับจองหรือว่ารักเขาอย่างเสียสละ  (เสียสละ)  แม้ว่าเขาจะทิ้งเราไปมีรักใหม่    ใช่หรือไม่  (ใช่)  ถ้ามนุษย์เราสามารถตอบว่าใช่ได้จะเป็นจะเป็นคนที่รู้จักปลงและเฝื่อใจได้    ใช่หรือไม่  (ใช่)   จะไม่มีความรักที่เป็นพิษ  ฉะนั้นเมื่อเรารัก   จงรู้จักที่จะรักให้ถูกต้องและรักให้เหมาะสม   ทำได้ไหม  (ได้)  แล้วเมื่อโกรธสามารถโกรธอย่างถูกต้อง  โกรธอย่างเหมาะสมได้ไหม  เรายกตัวอย่างง่ายๆ เมื่อลูกทำผิด  พ่อแม่ลงโทษแต่ไม่ใช่แค่ดุด่าว่ากล่าว   เมื่อลงโทษแล้วยังชี้นำให้เห็นแนวทางที่ถูกต้อง  นี่คือโกรธอย่างถูกต้อง    ใช่หรือไม่  (ใช่)   หรืออย่างเช่นเวลาท่านทำงานร่วมกัน   เพื่อนทำไม่ถูกเราปล่อยไป   ไม่โกรธไม่ได้  เราต้องบอกเขาด้วยความถูกต้อง  ใช่หรือไม่  (ใช่)  เหมือนเวลาเรารักลูก  ลูกทำผิดเราก็ทำเป็นมองไม่เห็นอย่างนี้เรียกว่าไม่ถูกต้อง   ใช่หรือไม่  (ใช่)  ถึงเรียกว่าเกิดเป็น  ต้องรู้จักใช้ทั้งพระเดชและพระคุณให้เป็น
เรื่องโลภ  ใครเคยโลภอย่างถูกต้องได้บ้าง    โลภในความดี    ใช่หรือไม่  (ใช่)  อย่าไปนึกเป็นเงินทองหรือชื่อเสียง   เพราะเงินทองหรือชื่อเสียงไม่มีทางโลภได้อย่างถูกต้อง  โลภในการทำดี  ไม่ยอมแพ้แพ้ที่จะทำดี    ทำดีหนึ่งครั้งพอไหม  (ไม่พอ)  เพราะคนเราจะเป็นคนที่ดีได้อย่างถ่องแท้ไม่ใช่เกิดจากการทำดีแค่หนึ่งหน  แต่ต้องเกิดจากกการทำอย่างสั่งสม  และมีฐานแห่งความดีรองรับอย่างหนักแน่น  เขาถึงจะเรียกคนๆ นั้นว่า    ดีที่แท้จริง  เมื่อท่านสามารถดำเนินชีวิตไม่ว่าจะมีอารมณ์ก็ยังมีอารมณ์อย่างถูกต้อง  มีธรรมรักษาใจ  เมื่อทำได้ครบทั้งสามอย่างหรือทำได้ครบอย่างที่เราบอกทั้งหมด  ก็ยืนอยู่บนพื้นฐานความดีที่ถูกต้องได้แล้ว  เมื่อสามารถดีได้อย่างถูกต้องแล้วก็สามารถก้าวขึ้นไปเป็นคนที่เหนือคนได้    แต่ถ้ามนุษย์เรายังยืนอยู่บนความดีได้ไม่ถูกต้อง  เราจะเป็นคนที่เหนือคนได้ยาก  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นพึงจำไว้
จะทำอย่างไรให้เรายืนหยัดที่จะเรียนรู้การเป็นคนดีและทำตนเป็นคนดีได้อย่างมั่นคง  นั่นก็คือ   เมื่อศึกษาเรียนรู้แล้วต้องมีใจชอบ  เมื่อชอบแล้วจงมีความสุข  หากทำได้อย่างนี้ไม่ว่าจะทำงาน  ไม่ว่าจะเป็นคนดี  หรือไม่ว่าจะมุ่งมั่นทำสิ่งใด  เราจะเดินไปได้อย่างมั่นคง   นั่นคือมีใจที่เรียนรู้  รักในการศึกษา     เมื่อรักในการศึกษาแล้วยังชอบ  เมื่อชอบแล้วยังมีความสุข  เมื่อสุขแล้วจะทำให้ท่านอยู่ตรงนั้นได้อย่างตลอดไป  ใช่หรือไม่  (ใช่)
ทำไมวันนี้เราจึงเรียกร้องให้ท่านเป็นคนดีก่อน  เพราะว่าสิ่งที่สามารถติดตัวไปกับมนุษย์   ไม่ว่าจะมีลบมหายใจหรือไม่มีลมกายใจ  นั่นคือ  ความดีความชั่ว  ใช่หรือไม่  (ใช่)  หากตอนนี้ท่านไม่สนใจเรื่องความดีความชั่ว  เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับไป  ท่านจะเอาอะไรกลับไป  แล้วอะไรที่จะช่วยผลักดันให้ท่านได้กลับไปหรือทำให้ท่านดิ่งลงไปยังสู่เบื้องล่าง   ท่านจะใช้แรงผลักแห่งความดีเสริมส่งให้ท่านกลับคืนขึ้นเบื้องบน    หรือจะใช้แรงหน่วงเหนี่ยวดึงท่านกลับลงไปสู่นรกโลกันต์  ก็อยู่ที่ว่าเราจะเลือกทำตนแบบใด  ใช่หรือไม่  (ใช่)    นี่เราพูดแค่ว่าการเป็นคนดี  ท่านยังห่อเหี่ยวขนาดนี้  อย่างนี้เรื่องบำเพ็ญจะพูดได้หรือ  รู้เพิ่มเติมอีกหน่อยว่าการบำเพ็ญคืออะไร  แล้วทำไมเกิดเป็นคนต้องมีธรรมะและต้องรู้จักบำเพ็ญตน  สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราอยากบอกท่านคือ   เพราะอะไรเราต้องบำเพ็ญเพราะว่าโบกนี้มีสุขและทุกข์   สิ่งที่ไม่สามารถเอาชนะได้คือความทุกข์  แล้วสิ่งที่พ่ายแพ้อยู่ตลอดเวลาก็คือความสุข  ใช่หรือไม่  (ใช่)  แล้วท่านทราบไหมว่า  ทุกข์กับสุขนี้มาจากใคร    (ตัวเรา)  มาจากตัวท่าน   ใช่หรือไม่  (ใช่)  แล้วทุกข์  สุขเกิดที่ไหน  (ที่ใจ)  เกิดที่ชีวิตของท่านใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นหากท่านไม่เข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้  ใจท่านจะรู้ไหม   (ไม่รู้)  แล้วจะเอาอะไรไปสู้กับชีวิต   อวิชชา  ใช่หรือไม่  (ใช่)    พอเอาอวิชชาไปสู่กับชีวิต   ซึ่งหมายความว่าไม่รู้  ก็เลยต้องทุกข์และสุข  เวียนว่ายในวัฎสงสาร  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ในเมื่อตอนนี้เรารู้จักชีวิตมาตั้งแต่ต้น    ทีนี้มาเรียนรู้ใจเราเอง  ดีหรือไม่  (ดี)  ใจมีอำนาจเหนืออิทธิพลที่แวดล้อมตัวเรายิ่งนัก  ท่านว่าเป็นจริงไหม  (จริง)  แม้อากาศจะร้อน  ใจจะเย็นหรือร้อน  (ใจเย็น)  หากอากาศร้อน  แต่ใจเย็น   อากาศก้ยากมีผลต่อจิตใจ  ใช่หรือไม่  (ใช่)   หากอากาศเย็น    ใจเป็นอย่างไร  (ใจเย็น)  ถ้าตอบเราไม่ถูก  ท่านก็ดำเนินชีวิตไม่ถูกแล้ว  ทำไมจึงพูดเช่นนี้  เพราะว่าแม้อิทธิพลภายนอกจะเป็นเช่นไร   ถ้าใจเราตั้งอยู่บนความถูกต้องและเหมาะสม  มีคุณธรรมกล่อมเกลาจิตใจ   มีคุณธรรมคอยควบคุมความประพฤติของตัวเรา  เราจะสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องและควบคุมจิตใจได้อย่าวงเป็นสุข  แต่บ่อยครั้งที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมและจับใจของตนเองได้  เพราะมนุษย์ชอบปล่อยใจไปอยู่กับสิ่งนั้นสิ่งนี้  แต่แท้ที่จริงแล้วเราลองพิจารณาให้ดีว่าเราปล่อยใจหรือเปล่า
ยกตัวอย่าง มีชายคนหนึ่งจากบ้านมาเป็นแรมปี  ได้ข่าวว่าบิดาและมารดานั้นถึงแก่กรรมแล้ว  เขาเลยต้องรีบกลับบ้าน  แต่ปรากฏว่าเขาจำบ้านไม่ได้แล้ว  เขาก็ร้องไห้ฟูมฟาย  พอเดินไปถึงหลุมศพของบิดา  มารดา    เขาก็ร้องไห้อีก  แต่ปรากฏว่า   เพื่อนเขาสะกิดบอกเขาว่า  “ที่เมื่อกี้พาไปไม่ใช่บ้านท่านหรอก   หลุมศพที่ท่านร้องไห้นั้นก็ไม่ใช่หลุมศพของพ่อ  แม่ท่าน”   เขาก็ตกใจ   น้ำตาที่ไหลอาบแก้มก็หยุดทันที  ไปถึงหลุมศพของพ่อ  แม่เขาจริงๆ   น้ำตาไม่ไหลสักหยด  เพราะอะไร  (ความเศร้าโศกได้ปล่อยไปหมดแล้ว, ควบคุมใจได้ถูกต้อง, ได้รู้ความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์, เพราะทำใจได้, ทำใจได้ว่าคนเรามีเกิด แก่ เจ็บ ตาย, เพราะเขาเห็นว่าเป็นสัจธรรมของชีวิต)  ที่ตอบมาก็ถูกเกือบหมดทุกข้อ   แต่ถ้าเราจะสรุปในเรื่องนี้เป็นเพราะว่าปล่อยไปหมดแล้ว   พอปล่อยไปหมดจนถึงที่สุด   จึงกลายเป็นความธรรมดาสามัญ  ใช่หรือไม่  (ใช่)  มนุษย์นั้นเมื่อเราโกรธ    เรารักใคร่  เมื่อปล่อยจนถึงที่สุดได้ก็กลับมาเป็นคนเดิม  ใช่หรือไม่  (ใช่)  เมื่อไรเราปล่อยอารมณ์จนถึงที่สุด   เราก็คือคนที่ไม่มีอารมณ์  แล้วที่ปล่อยออกไปนั้นที่แท้ไม่ใช่ตัวเรา  จริงหรือไม่   (จริง)  ที่ปล่อยออกไปเพราะใจเราไปยึดติดกับความรู้สึก  ใจเราไปยึดมั่นกับสภาวะแวดล้อม  แต่ถ้าเมื่อใดมนุษย์เราสามารถมองเห็นความจริงแล้วรับรู้ว่าโลกนี้คือความว่าง  ทุกสิ่งล้วนไปมาอย่างชั่วคราวนั่น  คือเราตื่นและหลุดพ้นด้วยการมีชีวิตอยู่ท่ามกลางรัก   โกรธ  โลภ    หลง  ที่เฝ้าเวียนวนเผชิญอยู่ทุกวัน    เราจะตื่นได้ทุกวัน   เราจะตื่นได้ทุกขณะที่อะไรมากระทบใจ   แต่มนุษย์กลับไม่เป็นเช่นนั้น    หมดจากความโกรธ   ก็กลายเป็นธรรมดาแล้วก็กลับไปโกรธใหม่  ใช่หรือไม่  (ใช่)  มีใครบ้างที่โกรธอย่างถ่องแท้    แล้วไม่กลับไปโกรธอีก   นั่นแปลว่าท่านยังไม่เข้าใจชีวิต  ใจยังดำเนินชีวิตอย่างผิดๆ ถูกๆ
เมื่อใดที่สามารถควบคุมกาย  ควบคุมใจได้  ยืนอยู่บนความถูกต้อง  นั่นแหละเรียกว่าบำเพ็ญตน    การบำเพ็ญธรรมจะยากขึ้นอีกหน่อยก็คือ   เสียสละความเป็นคนเองเพื่อไปช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์   เพิ่มเติมขึ้นมาหน่อย   นั่นคือไม่ได้ช่วยแค่ตัวเอง   แต่ยังช่วยผู้อื่นด้วย  ช่วยด้วยคำพูดก็ได้  ช่วยด้วยแรงก็ได้   ช่วยด้วยเงินทองก็ได้  แต่ทั้งแรง  คำพูดและเงินทองก็ไม่สู่ช่วยด้วยธรรมะ  ใช่หรือไม่   (ใช่)  เพราะธรรมะจะช่วยทั้งยามีชีวิตและยามไร้ชีวิต  เขาจะรู้จักยืนอยู่ด้วยตัวตนเองอย่างถูกต้องและดีงาม    สอนคนด้วยคำพูดก็ไม่สู้สอนคนด้วยการประพฤติปฏิบัติให้เห็น ใช่หรือไม่  (ใช่)  บำเพ็ญก็คือคนดี   เป็นคนดีและยังมีจิตใจโอบอ้อมอารี    ช่วยเหลือคนอื่น   แม้ตอนนั้นตนเองจะยังสุขบ้างทุกข์บ้าง   ก็ยังเห็นทุกข์ของผู้อื่นเป็นหลักใหญ่   มากกว่าเห็นทุกข์ของตนเองเป็นหลัก   นี่จึงเรียกว่าบำเพ็ญตน  หากบำเพ็ญได้ท่านก็คือพุทธะอริยะน้อย ๆ แต่หากยังไม่คิดจะบำเพ็ญ  ท่านก็จะกลับไปเป็นคนเดิม  แม้จะรับชี้หนึ่งจุดแล้วก็ตาม  ประตูก็ยังลั่นกลอนและปิดตาย  ตราบเท่าที่ใจของท่านไม่ยอมรับรู้  ทั้งที่จริงประตูเปิดแล้ว  แต่รอท่านก้าวข้ามผ่านชีวิต  ข้ามผ่านได้อย่างไร  ถ้าเกิดเราไม่เข้าใจถ่องแท้    แต่วันนี้เราเรียนรู้แล้ว   เราศึกษาแล้ว  ท่านจะต้องค่อยๆ ก้าวด้วยความระมัดระวัง   และทุกขณะที่ก้าวต้องมีความสุขมีความสุขในการเรียนรู้และก้าวต่อ ไ ไปจะมั่นคงอยู่นิจนิรันดร์
คนเราจะพบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อรู้จักเห็นความหวานในความทุกข์ขม   น้ำแม้จะขุ่นเน่าเหม็นอย่างไรก็ยังมีน้ำใสสะอาดเจือปนอยู่   ความทุกข์ที่เราประสบพบเจอแม้จะยากลำยากอย่างไร   แต่ถ้าเราเห็นเป็นกำไนชีวิต   และเก็บเป็นประสบการณ์ต่อสู้ชีวิตในคราวต่อไป    ความทุกข์จะเป็นบทเรียนที่ดีสอนใจใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นเข้าใจคำว่า  “สำเร็จดึงความหนาวที่ทุกข์สร้าง”  ไหม   การบำเพ็ญต้องผ่านความยากลำบาก    ต้องผ่านภาวะที่กดดันคับแค้น    เราเคยเห็นว่าสัตว์นั้นเมื่อถูกทำให้อดอยาก    เมื่อถูกทารุณ   สัตว์จะตะปบอย่างไม่เลือกหน้าท่านเคยได้ยินข่าวไหม  ที่สัตว์ทำร้ายเด็ก  หรือกัดกินผู้คน  แต่ถ้าเราสืบหาสาเหตุดี ๆ นั้นใช่ความผิดของสัตว์หรือเปล่า  (ไม่ใช่)  แล้วการลงโทษสัตว์โดยการฆ่าให้ตายตกไปตามกัน  เป็นการกระทำที่ถูกทวงไหม   (ไม่ถูก)  ฉะนั้นเวลาเราจะตัดสินโทษว่าใครเป็นคนผิด แม้จะเป็นสัตว์สี่เท้าแต่ก็มีชิตและจิตใจ  ฉะนั้นคนเราก็เช่นเดียวกัน    เมื่ออยู่ในภาวะที่ตกอับย่อมหนีจนตัวตายหรือสู้จนไม่คิดชีวิต  ใช่หรือไม่  (ใช่)   แถมไม่สนใจด้วยว่ามีคุณธรรมหรือไม่  แล้วรับประสาอะไรกับสัตว์ที่ไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรชอบ   ฉะนั้นเมตตาจงเปิดให้กว้าง  รักคนก็ต้องรักสัตว์  ดังนั้นเราเป็นมนุษย์เมื่อถึงคราวตกอับเราหนีอย่างไม่คิดชีวิต  สู้โดยไม่คิดถึงคุณธรรมได้หรือไม่   (ไม่ได้)  แปลว่าแม้จะอดตายก็ไม่ยอมทิ้งความดีหรือคุณธรรม  แม้จะถูกต่อว่าต่อขานจนไม่มีดี  เราก็จะไม่ทิ้งความดีหรือคุณธรรม    เพราะถึงแม้ว่าสู่ไม่ได้   แม้จะต้องตายเราก็ยังเหลือความดีไว้คู่ใจเรา   แต่ถ้าเกิดถึงคราวตกอับแล้วท่านไปประพฤติชั่ว   นั่นเรียกว่าก้าวผิดแล้ว  ฉะนั้นเมื่อยามตกอับอย่าทิ้งดีแล้วไปเลือกชั่วเด็ดขาด  วันนี้หน้าที่เราเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วจะเสร็จสมบูรณ์ในใจท่านหรือเปล่า   เราก็รับรู้ได้   วันนี้เราก็คงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงเท่านี้  มีโอกาสขอให้ท่านกลับมาศึกษาให้มากกว่านี้   การบำเพ็ญธรรม  บำเพ็ญที่กายและใจ  และบำเพ็ญเมื่อยามมีชีวิตอยู่  โดยส่วนใหญ่วัยรุ่นมักจะรักความสบาย   ชอบความสนุกสนาน  แม้อายุมากก็ยังรักสบาย   ชอบสนุกสนาน  อะไรที่คึกคักๆ ชอบไป    อะไรที่เงียบสงบชอบหนี  เวลาอยู่กับครอบครัวไม่คึกคักหรือ   ไม่มีความสุขหรือ  ฉะนั้นเวลาเราอยู่ในโลกใบนี้   อย่าเลือกที่รักมักที่ชัง   อยู่ได้ทุกสภาวะและจงมองเห็นทุกสภาวะล้วนมีสิ่งที่ดีแอบแฝงอยู่ให้คุณธรรม  ให้ข้อคิดวันนี้ก็คงต้องลากันเพียงเท่านี้  อยย่าคิดว่าเรามาเล่นละครตบตาวันนี้เราคงมีโอกาศผูกบุญสัมพันธ์กันเท่านี้   ศึกษาหลักธรรม   น้อมนำสู่ชีวิตที่ดีงาม


วันอาทิตย์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ สถานธรรมสกุลหง จ.ชัยนาท
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ยามโมโหให้ในใจนับหนึ่งสอง หากไม่พอให้ลองนับสามสี่ห้า
ยังไม่หายหกเจ็ดแปดเก้านับมา นับจนกว่าจะหายค่อยคิดลงมือ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาสอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทั้งหลายสบายดีหรือเปล่า

ใช้ธรรมะเป็นเหมือนเรือข้ามทะเล น้ำเหมือนเปลแกว่งไปมาสนุกสนาน
ใช้ธรรมะต่อเป็นเรือพิสดาร ใช้วันวานเป็นครูในก้าวต่อไป
จงอิดทนต่ออุปสรรคที่ขวางหน้า และจงกล้าเดินต่อไปสู่จุดหมาย
มีปัญญาอย่าเห็นแก่ความสบาย เมตตาคล้ายโพธิสัตว์โปรดเวไนย
อันสิ่งใดผ่านอย่าเฝ้าตำหนิ ปทุมผลิรอเวลาอรุณฉาย
คนไม่อาจพูดว่าไม่รู้ตลอดไป จงรักการแก้ไขเท่าชีวิน
บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญจิตเจ้าอย่าลืม ให้เจ้ายืมกายปลอมเพียรคืนถิ่น
บำเพ็ญธรรมต้องบำเพ็ญอย่างติดดิน อย่าได้ติดราคินแม้เสี้ยวใจ
ร่วมมือรวมพลังสร้างอนาคต หมั่นละลดเหล่ากิเลสลงให้ได้
หนึ่งชีวิตดั่งฝันอย่าปล่อยใจ ฟ้าแสนไกลลงมาใกล้เพียงก้าวเดิน
ฮา  ฮา  หยุด

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

มาฟังธรรมะแล้วรู้ว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ดีหรือเปล่า  (ดี)   ดีแล้วต้องทำอย่างไร  (ปฏิบัติ)  ดีแล้วต้องนำมาปฏิบัติ    แต่หากดีแค่ไหนถ้าไม่นำมาปฏิบัติก็ไม่ประโยชน์  ใช่หรือเปล่า  (ใช่)  ธรรมะจะดีแค่ไหนถ้าศิษย์ไม่นำไปปฏิบัติไม่มีประโยชน์   ใช่หรือไม่  (ใช่)    ฟังธรรมะแล้วไม่ใช่ฟังหูซ้ายทะลุออกหูขวา  แต่ฟังธรรมะแล้วให้เข้าไปในจิตใจ  เข้าไปอยู่ในตัวเรา  ใช่หรือไม่  (ใช่)  คนอื่นเขาจะเห็นธรรมะได้ดีอย่างไร  หรือจะรู้ได้อย่างไรว่าธรรมะดี  (ปฏิบัติให้เขาเห็น)  สิ่งที่ตอบก็ถูกต้อง  เพราะที่สิ่งที่จีรังที่สุดก็คือ  การทำให้เขาเห็น  ใช่หรือไม่  (ใช่)  อย่างเช่นเมื่อเช้าฟังหัวข้อกตัญญู    เราฟังมาแล้วกตัญญูนี้ดีไหม  (ดี)  ต้องทำอย่างไร  (ปฏิบัติ)  ปฏิบัติกับใคร  (พ่อ,แม่)  ปฏิบัติกับพ่อ แม่ ผู้มีพระคุณ  ใช่หรือไม่  (ใช่)   กับพ่อ แม่ของเรา     เราเอาแต่ใจไหม  (เอาแต่ใจ)  มีคำกล่าวว่า  คนยิ่งแก่ยิ่งเหมือนเด็ก  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้เราจะเริ่มทำ  ถ้าศิษย์อายุน้อยๆ แล้วพ่อแม่ของเราอายุยังไม่มาก  แล้วท่านเป็นคนที่มีความรู้ดี  จะคุยกับเด็กและรับฟังเหตุผลรู้เรื่อง   แต่ถ้าหากว่าเราอามาก  แล้วพ่อแม่ของเราก็อายุมากขึ้น  ท่านยิ่งชรา  ท่านยิ่งเหมือนเด็กมากขึ้นทุกที  เราคิดว่าเราต้องใช้ความอดทนมากหรือเปล่า  (มาก)  เราใช้ความอดทน   ความพยายาม       ระยะเวลามาพิสูจน์ตัวของเรา  ใช่หรือเปล่า  (ใช่)   การทำความดีไม่ใช่แค่ทำสามวัน  ห้าวัน   แต่ทำความดีหลายๆ  คนพอให้ทำความดีนาน ๆ เป็นอย่างไร  สามวันแรกก็ยังได้อยู่   พอนานๆ    ไปก็เหมือนการดึงเชือก  เรามีเชือกอยู่เส้นหนึ่ง  เชือกเส้นนี้    เราตึงไว้นานๆ  ตอนแรกก็ดึงได้ตึงดี  ใช่หรือเปล่า  (ใช่)   แต่ให้จับสักปีเป็นอย่างไร  (หย่อน)  เบื่อที่จะจับไหม  (เบื่อ)  เพราะเราเป็นคนที่เบื่อง่าย   เพราะว่าเรานั้นยังแพ้ต่อคามเมื่อย   ความเหนื่อย  ความล้า    การทำความดีของเราจึงไม่คงเส้นคงวา  ใช่หรือไม่  (ใช่)  เส้นที่เคยตึงๆ นี้จึงหย่อนลงเรื่อยๆ  ยิ่งถ้าไม่มีคนเห็น   อาจจะเลิกทำ  ใช่หรือเปล่า  (ใช่)  เพราะว่าคนบำเพ็ญนั้น    เวลาทำความดีก็อยากให้คนชม  เราชอบไหม  (ชอบ)  ถ้าเขาชี้แนะแบบตำหนิ  (ไม่ชอบ)    เหมือนเขาไม่เห็นใจในความพยายามของเรา   ใช่หรือเปล่า  (ใช่)  เป็นอย่างนี้ทุกคนจึงเลิกบำเพ็ญ
การที่ทำความดีแต่ละอย่างนั้น  ต้องใช้เวลา    ต้องใช้ความอดทน  อย่าบอกว่าเราทำความดีแล้ว   ทุกคนต้องเห็นใจเรา   ชมเรา    เพราะเราหมายใจว่าต้องได้อย่างนี้  ถ้าเราไม่ได้  เราจะเลิกทำหรือเปล่า  (ไม่เลิก)  ดูจะสวนทางกับคำตอบเมื่อสักครู่นี้  สวนทางหรือเปล่า   (สวนทาง)  แสดงว่ามนุษย์เป็นผู้เอาใจยาก   ใช่หรือเปล่า  (ใช่)  จะให้ทำอย่างไรตัวเราถึงจะพอใจ  มีอยู่ทางเดียวนั่นคือ  ขจัดทิฐิอัตตา    ขจัดตัวตน  ความขี้เกียจ     รู้มาก  รู้เท่าไม่ถึงการณ์    ที่สำคัญขจัดอะไร  (กิเลส)  เพราะทุกวันนี้เรามีสิ่งที่เป็นอุปสรรคกับเรามากมายก็คือ    กิเลสที่อยู่ในจิตใจของเรา  ใช่หรือไม่  (ใช่)  เสื้อผู้หญิงแขวนอยู่ตัวหนึ่งสีม่วง  ตัวนั้นสวยๆ แวบวับเป็นประกาย  ผู้ชายก็มีเสื้อหล่อๆ เท่ๆ แขวนอยู่ข้างหน้าอีกตัวหนึ่ง  สีออกเทาๆ หน่อย  เราชอบไหม  สมมติเป็นตัวที่สวยมาก    ใครเห็นใครเห็นชอบ  ศิษย์ในที่นี้ก็ชอบด้วย  แล้วกิเลสอยู่ที่ไหน    อยู่ที่เสื้อตัวนั้นหรือเปล่า  (ไม่ใช่)  อยู่ที่ไหน  (อยู่ที่ใจ)  ฟังธรรมะสองวันนี้  ชั้นเรียนนี้เขาเรียกชั้นเรียนฟื้นฟูพุทธญาณหมายความว่าฟื้นฟูจิตที่เป็นพุทธะ  ฟื้นฟูญาณที่เป็นธรรมะ   เป็นความดี  แต่นั่งฟังสองวันฟื้นฟูได้หรือเปล่า    (ไม่ได้)  ที่ฟังไปล้วนเป็นเพียงแค่เสียง  ไม่ใช่ธรรมะจริง ๆ รูปที่ตั้งนี้ก็ไม่ใช่เป็นสถานที่ที่เป็นธรรมะจริงๆ รวมทั้งอาจารย์จี้กงที่มาในตอนนี้  ก็ไม่ใช่สิ่งที่จีรังยั่งยืนที่ศิษย์จะมายึด  แต่สิงที่ศิษย์ต้องไปฟื้นฟูกลับอยู่ในตัวของเราเอง  แสดงว่าในตัวเรามีของวิเศษ  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ในตัวของเรามีของวิเศษ    เมื่อเราแผ่แสงนี้ออกไป    แสงนี้ย่อมครอบคลุมเมื่อยามมืด    เหมือนกับตอนนี้สมมติเป็นยามดึกสงัด    บ้านหลังนี้ปิดไฟมืดสนิท  มีอยู่สิ่งหนึ่งจุดขึ้นมาแล้วสว่างทันทีคือ  เทียนไข    แต่เทียนไขเล่มนี้อาจารย์เปรียบไว้เป็นจิตพุทธะของตัวเอง  สามารถที่จะจุดเทียนไขเล่มนี้  เพียงแต่ว่าเทียนไขนี้ไม่รู้ว่าจะจุดติดหรือเปล่า(ติด)
(พระอาจารย์เมตตามอบผลไม้ให้นักเรียนในชั้น)  เพื่อเป็นการบอกว่าเทียนไขเล่มนี้จุดติดคนที่รับผลไม้บอกอาจารย์หน่อยสิ  ว่าวิธีการจุดเทียนไขของตัวเองอย่างไรเพื่อพี่จะให้เทียนไขของเราไม่บอด  (ชำระล้างจิตใจ)  ชำระล้างอย่างไร  (ทำความดีงาม)   ความดีงามเป็นอย่างไร   ความดีมีตั้งมากมายพูดอะไรออกมาก็เป็นความดี  ใช่หรือไม่  (ใช่)พูดดี  คิดดี  ทำดีก็เป็นความดี  พูดก็มีตั้งหลายเรื่อง  คิดก็มีตั้งหลายอย่าง  ทำก็ทำตั้งหลายอย่างได้   ความดีคิดไม่ออกสักอย่างหรือ   (ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต)    สัตว์นี้มีสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่  มีสัตว์ที่สมควรฆ่าและไม่สมควรฆ่า  ทั้งสัตว์เล็กและสัตว์ใหญ่  แต่ถ้าเราไปฆ่าสัตว์ใหญ่  เช่น   วัวควายหรือคน   ถือว่าเป็นกรรมเป็นบาปอย่างยิ่ง    ยิ่งสัตว์ตัวใหญ่เท่าไรกรรมก็ยิ่งมากขึ้นตามเป็นเท่าตัว  แต่ถ้าเราฆ่าสัตว์น้อย  เช่น  กุ้ง  หอย  ปู    ปลา  กรรมก็น้อย  แต่ถามว่ากรรมน้อยมีกรรมไหม   (มี)  เพราะฉะนั้นกุ้ง  หอย  ปู  ปลา  ไก่  อะไรทั้งหลาย  ที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้  จะปฏิเสธว่าเราไม่มีกรรมนั้นเป็นไปไม่ได้   เพราะอย่างที่รู้แม้ว่าเขาตัวน้อย   แต่เขาก็เอาชีวิตรอดเหมือนกัน    ใช่หรือไม่  (ใช่)  เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราฆ่ากับมือต้องพิจารณาว่าต้องเลิกทันทีอย่าลังเล   แต่หากว่าเราสั่งเขาฆ่า   ก็มาทีละครึ่งๆ ในที่สุดแล้วเราคิดว่า  ถังจะใหญ่สักเท่าไรเดี๋ยวมันก็ล้น  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ทุกวันนี้คนที่เจ็บป่วย    คนที่มีเคราะห์ อยู่ดีๆ ก็เกิดเรื่องขึ้นเป็นเพราะว่าเรามีกรรม   เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะไปสะเดาะเคราะห์เหล่านั้นก่อน  ตัดด้วยอะไร  ไม่ต้องเอาเงินมาให้สถานธรรม   ไม่ต้องเรียกร้องให้อาจารย์คนไหนช่วย   ขอให้ตัวของเราช่วยตัวเอาเอง  ด้วยการที่ให้เราลด  เลิก    ถ้าเลิกไม่ได้  ลดได้ไหม  (ได้)  ไม่ใช่ลดจากสองเป็นห้า   ลดจากสองเป็นเท่าไร  (ศูนย์)  มีสัตว์ที่สมควรฆ่าและไม่สมควรฆ่า    เป็นอย่างไร    เดี๋ยวนี้เวลาคนที่เสพยาบ้า   แล้วคนประชาทัณฑ์จนตาย  ถามว่าสมควรตายไหม  อาจารย์ว่าก็ควร   แต่ไม่สมควรตายในเท้าศิษย์  ไม่ควรตายด้วยน้ำมือศิษย์  และไม่ควรตายด้วยความคิดของศิษย์  ใช่หรือไม่  (ใช่)    คนเราแค่คิดก็มีบาปแล้ว     คิดว่าจะฆ่า    คิดอิจฉา    คิดว่าเกลียด   คิดว่าโกรธ   คิดว่าโทษ    แค่นี้ก็บาปแล้ว   ถึงแม้ว่าเขาสมควรตาย   เราก็คิดว่าเราไม่ควรตาย ใช่หรือไม่  (ใช่)  เราไม่ควรแก่       และไม่ควรเจ็บ  เพราะฉะนั้นคิดไปคิดมาคนที่เราคิดว่าเขาควรตาย   เขาก็คิดว่าเขาไม่ควรเหมือนกัน
เกิดเป็นคนจึงอย่าได้ผูกเวรผูกกรรมกับใคร   วงจรชีวิตมนุษย์เป็นรูปวงกลม    เป็นเส้นเปล่า ๆ   ที่วาดไปกลมๆ แล้วก็กลับมาที่เดิม    นี่เป็นวงจรชีวิตของคน   จึงบอกว่าคนที่อายุมาก ๆ  จะกลับมาเหมือนเด็ก     เพราะว่าวงจรชีวิตของคนกลมวงจรของการเวียนว่ายตายเกิดก็กลมเช่นเดียวกัน     กลมอย่างไร  ที่นี่บอกว่าศิษย์มาจากนิพพาน   มาจากความว่างเปล่า   ก็คือมาจากตรงนี้  ไม่ว่าจะทำอะไร  ไม่วาจะเกิดอะไรขึ้นมันก็จะวิ่งวนกลับมาที่เดิม  แต่ว่าจะไปช้าหรือจะไปเร็ว    จะกลมได้เท่าไรมันขึ้นอยู่กับตัวศิษย์เอง   เชื่อไหมว่าเมื่อเราบำเพ็ญธรรม    เราสามารถหลุดพ้นได้  บางคนบอกว่าไกล  บ่นสั้นๆ แค่นี้ โอ๊ย !  ไปไม่ถึงหรอก  เรามองเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อม  จากที่เห็น  เห็นชัดๆ ว่าวงเวียนของคนนั้นเกิดมาเป็นรูปวงกลม  เพราะฉะนั้นวงเวียนของการเกิดและการตาย  ตายแล้วไปไหน  กลับมาก็ยังกลมเหมือนกัน  เมื่อบอกว่าศิษย์มาจากนิพพาน  กลับก็คือกลับนิพพาน  แต่มีช้ามีเร็ว   หากทำกรรมไว้มากกรรมก็ดึงจะถึงไหม    ฉะนั้นขึ้นอยู่กับการบำเพ็ญของเรา
สังเกตเวลาที่คนคิดสิ่งที่ไม่ดี   ก็จะมีความคิดที่ดีเข้ามาแทรก  น้อยนักที่คิดชั่วทำชั่ว  แล้วไม่มีความคิดดี ๆ เข้ามาแรก  โดยส่วนใหญ่จะมีความสำนึกรู้ความละอายเข้ามาแรก  แต่ว่าในชั่วขณะนั้นยอมให้นิพพานเป็นเจ้าหรือยอมให้นรกเป็นเจ้า  ถ้ายอมให้นิพพานยอมให้สวรรค์เป็นเจ้าศิษย์ก็คือคนดี    หากว่าโดยทั่ว ๆ ไป  ร้อยครั้ง  เจ็ดแปดสิบครั้งยอมให้นรกเป็นเจ้า   ศิษย์ก็เหมือนสัตว์ที่ยังไม่รู้ตื้น  ฉะนั้นจิตทุกๆ คนอยู่ข้างในเป็นของวิเศษที่อยู่คู่กาย  เป็นหน้าที่ของศิษย์ที่ต้องบำเพ็ญเพื่อที่จะหลุดพ้นกลับไป   หากเราไม่บำเพ็ญ  ชาตินี้เราบำเพ็ญไม่หลุดพ้น   ชาติหน้าชาติไหนๆ ก็คงต้องกลับมาบำเพ็ญอีก    ชาตินี้เราขึ้นชื่อว่ามีความกระตือรือร้น   รู้อะไรผิดอะไรชอบ   ฟังใครก็ฟังรู้เรื่อง   เกมดมาเป็นมนุษย์    หากไม่บำเพ็ญก็ถือว่าเราเสียชาติเกิด    เพราะฉะนั้นจะเกิดมาเสียชาติเกิดไหมชาตินี้   (ไม่)  แม้ว่าอายุมากแล้วก็สามารถที่จะบำเพ็ญได้เช่นเดียวกับวัยหนุ่มสาว  เพราะว่าอายุนั้นไม่ใช่อุปสรรคของการบำเพ็ญ   ความรู้ความสามารถ  ไม่ใช่อุปสรรคของการบำเพ็ญ  สิงที่เป็นอุปสรรคคือจิตใจที่สู้หรือไม่สู้ของเรา  เพราะฉะนั้นแม้ว่าตอนนี้จะจนแสนจน  ตอนนี้ผมจะขาว   แรงจะไม่มี     ก็สามารถบำเพ็ญได้เช่นเดียวกัน
สถานธรรมเปรียบเสมือนนาวาเป็นเรือ   ล่อยอยู่ที่ไหนเรือลำนี้  ล่องอยู่ในทะเลทุกข์  ทะเลทุกข์ในโลกของเราทุกวันนี้ทุกข์ไหม  ถ้าชีวิตของเราทุกวันนี้มีทุกข์เป็นส่วนใหญ่  ก็แสดงว่าศิษย์อยู่ในทะเลทุกข์  แล้วจะสุขอยู่คนเดียวได้ไหม   อยู่ในทะเลทุกข์    สุขอยู่คนเดียวก็ไม่ได้    เพราะฉะนั้นขอให้ตอนนี้   เราผลัดเปลี่ยนกันมอบความสุขให้กับผู้อื่น  แม้ว่าเราจะมีทุกข์อยู่เต็มหัวใจ  ขอให้เรายิ้มให้เรากับผู้อื่น   ขอให้เราทำให้ผู้อื่นหัวเราะได้  เมือผู้อื่นหัวเราะ    เราจะมีความสุข  เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะกลับไปที่บ้าน  ไม่ว่าจะอยู่ที่ทำงาน  ไม่ว่าจะอยู่ในไร่  ในทุ่งหรือที่ไหนก็ตามจะดูหนังฟังเพลง  จะทำอะไรก็แล้วแต่  ก็ขอให้เราทำให้ผู้อื่นมีความสุข  หากว่าศิษย์ดูหนังอยู่มีความก้าวเข้ามา   เราทำให้เขามีความสุขไม่ใช่เรื่องยากและก็ไม่เสียเวลามาก   ขอให้เราทำให้ผู้อื่นมีความสุข  เสียเวลาไม่ถึงห้านามี  ละครก็ยังเล่นต่อไป  ใช่หรือไม่  (ใช่)  เวลาไปนานแล้วเจอคน  เราพูดธรรมะให้เขามีความสุข    ในเมื่อเขามีความกลุ้มใจ  เราให้เขามีความสุข  เราเสียเวลาไม่ถึงห้านาทีสิบนาที  งานของเราก็ยังทำต่อไป  แสงอาทิตย์ก็ยังแผ่จ้าให้ศิษย์สามารถทำงานต่อไปได้  เพราะฉะนั้นการทำให้ผู้อื่นมีสุขไม่ใช่เรื่องยากเย็นเข็ญใจ    เก็บความทุกข์ของเราพับลงใส่กล่อง  บางเรื่องควรทุกข์ก็ทุกข์    บางเรื่องไม่ควรทุกข์ก็อย่าทุกข์  แม้ว่าโลกนี้บางเรื่องมีเรื่องไม่ควรทุกข์รู้หรือเปล่า  เคยเจอไหมเรื่องไม่ควรทุกข์  เคยไหม  อย่างเช่นปัญหาของลูก  ลูกเรียนไม่เก่ง  เก็บมาทุกข์ลูกจะเรียนเก่งไหม  (ไม่เก่ง)  วันนี้เศรษฐกิจไม่ดีทำการค้าก็ไม่ดี  งานการก็ทำท่าจะไปไม่รอด  ถามว่าเราทุกข์มีประโยชน์ไหม  (ไม่มี)  เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทุกข์เพราะไม่สามารถแก้ได้ในขณะนั้น  ไม่สามารถแก้ได้ในทันที เราก็อย่าไปทุกข์กับมัน  แต่พอจะมีหนทางอยู่บ้างก็ขอให้ดิ้นรนต่อไป  เพราะมนุษย์นั้นหากยังมีกายเนื้อก็หนีไม่พ้นการดิ้นรนเพียงแต่ว่าท่ามกลางความทุกข์นั้น    ให้เรารู้จักที่จะบำเพ็ญจิตของตัวเอง   นี่เป็นเรื่องสำคัญ  เมื่อเราเกิดมากรบำเพ็ญเป็นเรื่องที่อยู่คู่ชีวิต  ตายไปจะได้ในหาทางที่ดี  หากวันนี้ไม่เสียสละเวลาบำเพ็ญ  ไม่บำเพ็ญท่ามกลางความวุ่นวายนี้  แล้วเมื่อไรจะได้บำเพ็ญ  (พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร้องเพลงประกอบท่าจับไม้พาย)  บางคนก็พายถูก   บางก็พายไม่ถูก  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ถ้าหากว่าเราทำผิดทำถูกดีวกว่าไม่อะไรเลย  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ก็ดีกว่าคนที่ทำถูกแล้วไม่ยอมทำ  ใช่หรือเปล่า  (ใช่)    นี่ก็เปรียบเทียบเป็นธรรมได้เหมือนกัน  คนเราถ้าหากเหมือนกันที่ทำสิ่งใดได้  ช่วยเหลือคนอื่นได้   แต่ไม่ยอมช่วย  คนที่ช่วยไม่เป็นกลับพยายามที่จะช่วยถูกบ้างผิดบ้าง  ช่วยผิดก็ยังช่วย  ดีกว่าคนแล้งน้ำใจช่วยเป็น  ทำเป็นแต่ไม่ยอมช่วย  เวลาที่เราอยู่ร่วมกันบ้างกลังนี้ยังเป็นบ้านหลังเล็กๆ แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น  วันนี้มานั่งก็นั่งติดๆ กันอบอุ่นมาก  ใช่หรือไม่  (ใช่)   เป็นความอบอุ่นชนิดหนึ่งที่หาไม่ได้จากบ้านหลังใหญ่  สถานธรรมที่ยังเล็ก  ส่วนใหญ่คนจะยังรักและกลมเกลียวกัน    เมื่อสถานธรรมใหญ่โตสิ่งที่เราต้องรักษาไว้คือความอบอุ่น  ซึ่งเป็นความอบอุ่นที่ทุกๆ คนสัมผัสได้    เป็นความอบอุ่นที่พวกเราทุกๆ  คนร่วมกันสร้างขึ้นมิได้เกิดจากใครคนใดคนหนึ่ง  ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากใครคนใดหนึ่ง  เราอย่าโทษคนอื่น  อย่าผลักปัญหาไปให้คนอื่น  ทุกๆ คนก็ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับความแห้งแล้วในความอบอุ่นครั้งนี้  ฉะนั้นในวันนี้เมื่อกลับมาอยู่ในสภาพเช่นนี้อีก   แม้ว่าบ้านจะเล็กอาจารย์ก็ยินดี    อย่างน้อยบ้านเล็ก ๆ ก็ทำให้ศิษย์ของอาจารย์   ยืนเบียดๆ กัน  อยู่อย่างนี้  มองหน้ากันไป   มองหน้ากันมา  คนโกรธกันหรือจะโกรธกันลง   ฉะนั้นบ้านเล็กก็มีข้อดี   บ้านใหญ่ก็ดี  แต่ต้องมีความอบอุ่นเหมือนบ้านเล็ก จิตใจของคนที่รู้จักจะอภัยให้กันและกัน  เป็นสิ่งที่ทำให้บ้านอบอุ่นมากขึ้น  ใช่หรือเปล่า  (ใช่)  ความคิดที่จะสามัคคีกลมเกลียวกันเป็นหนึ่งเดียวยิ่งทำให้เรือธรรม  ทำให้บ้านหลังนั้น   ก้าวไกลและกว้างไกลมากขึ้น  เจริญก้าวหน้ามากขึ้น  ใช่หรือไม่  (ใช่)   หากบอกว่าให้เขาสองคนสามัคคีกันแล้วเดี๋ยวเราเป็นคนที่มีความสามารถค่อยไปสามัคคีกับเขาทีหลังได้ไหม  (ไม่ได้)  ต้องช่วยๆ กัน  ใช่หรือไม่   (ใช่)  คนที่บำเพ็ญธรรม  มีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ฉะนั้นยิ้มอยู่เป็นเนืองนิจ  แต่คนที่มาที่นี่หลายคนยังยิ้มไม่ออกอยู่เลย  เป็นไหม  ใจในเป็นอย่างไรอยู่  คนยิ้มแสดงว่าจิตใจเบิกบาน  คนไม่ยิ้มแสดงว่าจิตใจหมองเศร้าถูกหรือไม่  (ถูก)  คนที่อยากยิ้มก็ยังยิ้มไม่ออกแสดงว่าใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด  ใช่ไหม  ใช่หรือเปล่า   โดยปกติแล้วเป็นคนที่เศร้ามากกว่ามีความสุขใช่หรือไม่  (ใช่)  ตอนนี้เอาความสุขนั้นมาอยู่ตรงหน้าของเรา  แล้วเอาความทุกข์นั้นโยนทิ้งไปไกลๆ ลองทำมือเหมือนอุ้มอะไรไว้อย่างหนึ่ง  คนที่กอบกำใหญ่ก็จะเป็นคนที่มีความสุขมาก  คนที่กอบกำเล็กๆ ก็แสดงว่ามีความสุขอันเล็ก ๆ คนที่มีความสุขไม่มีความสุขนั้นไม่ได้อยู่ข้างหน้านี้   แต่อยู่ที่ใจของเราใช่หรือไม่  (ใช่)  เวลาคนพูดให้เราหัวเราะ  แต่เรานั่งหน้าบึ้งคนนั้นมีความสุขไหม   (ไม่มี)  เวลามีคนที่เค้าหวังดีกับเรา  แต่ว่าความหวังดีของเขาอาจจะพูดอะไรที่ขัดหูเราบ้าง   หรือเข้าทางเราไม่ถูก  หรือไม่รู้จักนิสัยของเรา  เราก็หน้าบึ้งหนักเข้าไปใหญ่  เช่นนี้เป็นคนที่เปิดใจกว้างรับฟังไหม   (ไม่รับ)  การที่จะรับความสุข   ขอให้เรานั้นรู้จักที่จะรับ  ขอให้เรารู้จักที่สร้างเป็นด้วย  สร้างความสุขจากใจของเราไปให้ผู้อื่น  และรับความสุขจากผู้อื่นมาให้กับเรา ความทุกข์ในทะเลนี้จะได้เจือจางไปบ้าง  น้ำเค็มในทะเลจะได้เจือจางลงบ้าง  ใช่หรือไม่  (ใช่)
อาจารย์ถามว่า  “คิดตะทำอะไรเพื่อเป็นการแสดงถึงการบำเพ็ญของเราเป็นอย่างแรก”  อาจารย์แจกำผลไม้  ในสองวันนี้ใครยังไม่ได้เลย  ให้ลุกขึ้นตอบดีหรือไม่  (ดี)  ผลไม้ถึงแม้ว่าจะมากมายบนโต๊ะ   แต่ถ้าหากถึงคราวแจก  ก็อาจจะหมดก็ได้  เพราะฉะนั้นต้องรู้จักคว้าโอกาส  ใช่หรือไม่  (ใช่)  กลับไปบ้านทำอะไรเพื่อแสดงถึงการแสดงเป็นอย่างแรก  (นั่งสมาธิ)  นั่งลงแล้วหลับตาสักห้านาทีเวลาเราบอกว่าเราจะลงมือปฏิบัติในสิ่งที่เราพูดเป็นแค่เพียงการทบทวน  เมื่อศิษย์จะทบทวนก็ให้ทบทวนเลย  (กลับไปเจอลูกเมียก็ยิ้มแย้ม   มีอัธยาศัยที่ดีต่อกัน  ไม่หน้าบึ้งใส่กัน  ปกติทำไหม  (ปกติก็ทำอยู่แล้ว)  แสดงว่านี้เป็นเรื่องปกติ  (ไม่ปกติคือว่าปกติเราทำ   แต่พอไปเจอความขัดแย้ง  เราจะเปลี่ยนเป็นอารมณ์โกรธ  ก็พยายามระงับความโกรธไว้)  อันนี้ทำได้ไหม  (ทำได้)  แสดงว่าสิ่งที่ศิษย์จะทำไม่ใช่การยิ้มแย้ม   แต่คือการไม่โกรธต้องพยายามทำกันให้ได้กับทุกคน  ทุกคนที่ทำหน้ายักษ์ใส่   ทุกคนที่ทำให้เราขุ่นหมอง   พวกนั้นเป็นครูของเรา  นอกจากจะโกรธเขาไม่ได้   ยังต้องขอบคุณเขาด้วย   ต้องให้คิดอย่างนี้  คนอื่นว่าอย่างไร  (กลับไปจะเลิกละเสพของที่มึนเมา,เลิกเล่นหวยใต้ดินหันมาเล่นหวยรัฐบาล)  คนบางคนรู้ว่าซื้อหวยไม่ดี  รู้ว่าซื้อหวยไม่ดี  รู้ว่าซื้อแล้วจน  ถามว่าซื้อหวยรัฐบาลกับหวยใต้ดินจนเหมือนกันไหม   (เหมือนกัน)  เหมือนกับเวลาคนที่ติดบุหรี่แล้วจะเลิกสูบเขาก็ขอว่า  เดี๋ยวสูบม้วนนี้ก่อน  ขอให้หมดซองนี้ก่อนถามว่าเขาเลิกสูบได้ไหม  (ไม่ได้)
การนั่งสมาธิหมายความว่า  การที่เราสงบท่ามกลางความวุ่นวาย  สมาธิของเรานั้นคือการตั้งจิตใจให้นิ่ง  จิตใจต้องไม่คิดอะไร  แน่นอนศิษย์อาจจะยังได้ยินเสียง   แต่ว่าการได้ยินเสียงนั้นต้องเหมือนไม่ได้ยิน     เพราะการที่เราได้ยินแล้ว  แต่เราไม่เก็บเอามาคิด  นั่นจึงเรียกว่า  นั่งสมาธิ  เป็นสมาธิที่ไม่ต้องหลับตาก็ได้  แต่ขอให้จิตของศิษย์สงบนิ่ง  เวลาเจอคนต่อว่า  ติเตียนกล่าวโทษ    ไม่คิดอะไรเวลาเจอเหตุการณ์ที่ไม่สมหวัง  เราก็ไม่รู้สึกตัดพ้อต่อว่าอะไร   ยังคงก้มหน้าก้มตาทำงาน  เรียนต่อไปใช้ชีวิตต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น   ทำได้ไหม  (ทำได้)  เวลาที่เจริญสมาธิก็เหมือนกัน  เพราะว่ายิ่งเจริญสมาธิข้อดีคือ  ทำให้ศิษย์มีปัญญา   รู้จักยั้งคิดโดยทั่วไปยิ่งนั่งแล้วยิ่งฟุ้งซ่าน   อาจารย์จึงไม่แนะนำให้นั่ง  แต่ถ้าใครจะนั่งก็ขอให้มีจิตใจที่สงบเงียบ  แม้อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายมากๆ ก็เหมือนไม่ได้ยินอะไร  โดยเฉพาะเสียงนินทา  สอดเสียด   เสียงที่มากระทบหูทำเหมือนไม่ได้ยินได้ยิ่งดี  เพราะว่าได้ยินแล้วมีแต่โมโห  มีแต่เรื่อง
สิงที่ควรทำที่สุดอย่านินทากัน  มิฉะนั้นแล้วต่อให้เป็นญาติ   เป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องหรือเป็นใครก็ตาม   เขาจะทิ้งพวกเราเมื่อเขารู้   เขารู้ได้อย่างไร   ถามว่าความลับในโลกมีไหม  (ไม่มี)  ความลับไม่มีในโลกนี้   ฉะนั้นจงอย่าว่าใคร  ให้พูดต่อหน้าและดูสีหน้าของเขาก่อน  เมื่อพูดได้ควรพูด   เข้าใจไหม  (เข้าใจ)  บางคนไม่ดูสีหน้าพอพูดไปกลับโดนเขาชกกลับมา  คุ้มไม่คุ้ม   พอพูดไปก็โดนเขาว่ากลับมาแล้ว  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ฉะนั้นการที่เราจะพูดกับใครอยู่กับมครจะต้องรู้จักนิสัยของกันและกันคนเปิดเผยจริงใจในโลกนี้มีน้อย   คนที่เปิดเผยจริงใจและรู้จักกาลเทศะยิ่งน้อย   ฉะนั้นต้องรู้จักกาลเทศะ   ต้องรู้จักมอง   รู้จักคิด  ต้องรู้จักฟัง   ฟังให้มากกว่าพูด   คิดให้มากกว่าที่จะพูด  คิดให้มากกว่าแล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง  อาจารย์ขอถามหัวหน้าว่าจะมาช่วยงานธรรมะที่นี่ได้ไหม  (ได้)  ทุกคนในที่นี่  ทั่วโลกนี้มีเวลาเท่ากัน  24  ชั่วโมง  อยู่ที่ว่าคนไหนเจียดเวลาได้แค่ไหน  และก็เบอร์สองเบอร์สามอาจารย์จะขอเช่นกัน   วันนี้ขอให้มีเวลาว่างและมาศึกษา   ร่วมคิด   ร่วมรู้   ร่วมปฏิบัติ     ดีหรือไม่   ทำได้ไหม  (ได้)
ถ้าหากว่างานประชุมธรรม  อาจารย์ไม่มาจะได้ไหม  (ไม่ได้)  ศิษย์คิดว่าถ้าวันนี้ขาดซึ่งอาจารย์ศิษย์จะอยู่ได้  ก่อนนี้เจ้าทุกำคนก็ไม่เคยมีคำว่าอาจารย์จี้กงอยู่ในชีวิตนี้เจ้าก็อยู่กันได้  เจ้าเป็นคนดี  มีปัญญามีชีวิตที่ผาสุก  เพราะยังไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรชอบ  ตอนนี้หากถ้าว่าอาจารย์ทดสอบศิษย์บ้าง  อาจารย์อยากให้เจ้าอยู่ได้ด้วยตนเอง  ฉะนั้นก็สอนมาตั้งมาด  ธรรมให้ศิษย์ตั้งเยอะบางทีอยากจะลองให้ศิษย์ยืนอยู่ได้ด้วยตัวเองไม่แน่ว่า  ตอนที่ไม่มีอาจารย์มา  เจ้าอาจเข้มแข็งกว่านี้ก็ได้
เห็นไหมว่าบางเรื่องอนอยู่ไกลจะมองเห็นชัดยิ่งกว่าคนอยู่ใกล้  เพราะฉะนั้นเวลาที่มีใครก็แล้วแต่มาเตือนเรา  มาท้วงเรา  ขอให้เราลองเชื่อเขาดู  ด้วยการลองคิดตาม  มองตาม  ใช่หรือไม่  (ใช่)  คนเราเวลาเจอปัญหา  มีปัญหามาสู่ตัว  มักจะเหมือนตาบอดคลำช้าง  เหมือนคนที่คิดไม่ออก   ฟังไม่ได้  บางคนหูหนวก   ตาบอดทีเดียว   ฉะนั้นเวลาที่คนเจอปัญหาแล้วเราเข้าไปช่วย    ต้องอาศัยความระมัดระวังเป็นอย่างมาก  ระวังนี้ระวังว่าไปช่วยเขา   แล้วเรื่องจะวกมาหาเรา  เรียกว่าช่วยเขาแล้วเราเอาตัวไม่รอด  เคยเจอไหม  ฉะนั้นคนเราขาดไม่ได้นั่นก็คือ  ความมีสติ  สติแปลไปเป็นไทยว่าอะไร  สัมปชัญญะแปลไทยเป็นไทยว่าอะไร  ปัญญาแปลไทยเป็นไทยว่าอะไร
ไตรรัตน์สำคัญให้แล้วต้องเก็บไว้กับตัว   เก็บไว้ในใจ  ถ้าหากจำไม่ได้ก็เหมือนคนยังไม่เคยรับ  เวลาเบื้องบนถามว่าเป็นศิษย์อาจารย์จี้กงนี่มีอะไรเป็นหลักฐาน   ในเมื่อยื่นหลักฐานให้ไม่ได้ก็แสดงว่าไม่ใช่ศิษย์อาจารย์  อย่าลืม   รู้ไหม   (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรม)  คราวที่แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์  สอนให้เวลาถอดเทป   ให้เอาใบหนึ่งมาไว้ข้างหน้า  ถอดไปฟังไปว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ให้พูดว่าอะไร  รู้หรือเปล่า   ถ้ายังไม่รู้  หาคนรู้  แล้วก็พูดให้เราฟังด้วย  หมายความว่า  ให้เอาแผ่นหนึ่ง  อย่างเช่นถ้าถอดเทปอาจารย์อยู่  ก็ให้เอาแผ่นหนึ่งที่เป็นโอวาทอาจารย์ที่ยังไม่ได้ผ่าน   เอามาตั้งไว้   คนถอดเทป   ฟังไปก็ดูไปด้วยว่าผิดหรือเปล่า   จะได้ไม่เกิดอาการหูไม่ดี   เหมือนอย่างนี้   บางทีอาจารย์ก็ดูให้  บางทีก็ไม่ดูให้
ครอบพระโอวาทได้คำว่า  “ความระลึกได้”  ความระลึกได้อันนี้ที่เมื่อวานท่านแปดเซียนให้ไว้แปลว่า  “สติ”  แปลว่าความระลึกได้  ความระลึกได้  แปลว่า  สติ  แสดงว่าศิษย์ที่อยู่ในชั้นนี้อาจจะเป็นคนที่อยู่ในวัยหนุ่มเยอะ  หรืออาจจะเป็นคนที่ยังมีสติในการใช้ชีวิตน้อย  หมายความว่า   เรื่องราวผ่านไปแล้วถึงค่อยมารู้ตัวว่าตัวเองทำผิด  แสดงว่าเราไม่มีสติที่จะคิดก่อนที่จะทำ   อาการของคนมีสติก็คือ  คนที่คิดก่อนทำ  คิดก็พูด  ฉะนั้นสติเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับชีวิตของศิษย์  เป็นคำสอนของพระพุทธองค์ที่ดีมาก  แต่ว่าคนมาใช้น้อย  ดดยทั่วไปเมื่อเราไม่มีสติในการยั้งคิดในการดำเนินชีวิตจะทำให้ชีวิตของเราประสบความสำเร็จได้ยาก  ความระลึกได้แปลว่าสติ
สัมปชัญญะแปลว่าอะไร (ความยั้งคิด , รู้แจ้งเห็นจริง)  สัมปชัญญะแลว่า  ความรู้ตัวอยู่เสมอ  เมื่อผนวกกันเป็นการระลึกได้คือการคิดได้  ใช่หรือไม่  (ใช่)  คนเราจะเกิดการคิดและระลึกได้ได้อย่างไร  นั่นแสดงว่าต้องมีพื้นในการรู้จักคิดขึ้นมา  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ถึงจะมีความระลึกได้   ได้ถ้าพื้นความคิดไม่มีอะไรเลย  มีแต่ขยะ  สิ่งเน่าเหม็นและปฏิกูล  คิดออกมาก็มีแต่ปฏิกูล   ใช่หรือไม่  (ใช่)  คนที่คิดและระลึกได้ก็หมายความว่า   เป็นคนที่คิดเป็น  คิดเป็นจึงระลึกได้  จึงรู้ตัวขึ้นมา  การรู้ตัวทุกคนมีได้อยู่แล้ว   เพียงแต่จะฟังจิตใจตัวเองหรือเปล่า  การให้เราทำสิ่งใดอย่างหนึ่ง   เช่น   ให้เราทำการค้า  คิดว่าเราต้องทำอย่างนี้  โกงให้ได้มากหน่อย  อีกความคิดหนึ่งก็คิดว่าอย่าไปโกงเลย  มีความคิดขี้โกงกับความสุจริตเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน  อยู่ที่เราฟังจะตรงไหน  การรู้ตัวจะเป็นแบบนี้  ถ้าหากว่าเราเชื่อฟังในสิ่งที่ถูกต้อง  เชื่อฟังตนเอง   เชื่อฟังคนอื่นท้วง   เราก็จะไม่ต้องก้าวไปในทางที่ผิด  ใช่หรือไม่  (ใช่)
เพลงธรรมะควรจะฝึกบ่อยๆ จะได้คล่อง  คนทุกคนก็มีเสียง  ใช่หรือไม่  (ใช่)  แต่อยู่ที่ว่าคนไหนร้องดี  คนไหนร้องไม่ดี  แต่ขอให้ร้องด้วยใจศรัทธาเพราะว่าความศรัทธาน่าฟังกว่าเสียงที่ไพเราะ  เข้าใจไหม  (เข้าใจ)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนช่วยกัน แต่งชื่อเพลง)  (แสงทองแห่งชีวิต)  อะไรคือแสงทองแห่งชีวิตของศิษย์  ทรัพย์สมบัติ ลูก สามี จิตใจและถ้าจิตใจที่เราหลง  เรานำชีวิตไม่ได้เราต้องเลือกสิ่งที่นำเราได้และก้าวไปตามสิ่งนั้นและเราก็คิดว่าเป็นกิเลสปลอมตัวมาเป็นทรัพย์สมบัติ  ปลอมตัวมาเป็นสิ่งทีเราผูกพัน  และกิเลสปลอมตัวมารเป็นยศฐาบรรดาศักดิ์และเราก็ยึดสิ่งนั้น  ตามกิเลสไปก็ไปอยู่แดนกิเลส  ตามสุญญตาไปก็ไปอยู่แดนสุญญตา  เลือกให้ดีสมมติว่าลูกนึ่งคือจิต  ถ้าส้มสองลูกเรียกว่าอะไร  (โลเล)  ทุกคนจำได้  ทำอะไรใช้จิตใจมีหนึ่งเดียว  หากเกิดอยากทำอะไร  ปกติแรกๆ  เราบอกว่าจะบำเพ็ญจิต  เราบำเพ็ญจิต  พอจิตขึ้นมาเป็นอันที่สองเป็นโลเล  (เป็นหลายใจ)  เป็นไม่มั่นคงแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีจิตคนละกี่ดวง (ดวงเดียว , สองดวง)  อาจารย์บอกว่าสองลูกน้อยไปหมดถามถึงจะพอ   นี่คือจิตของศิษย์  เพราะฉะนั้นรู้จักที่จะใช้จิตใจเดียวเรา  บำเพ็ญธรรม  บำเพ็ญจิต  จิตของเราขัดเกลาตัวเราเอง  ไม่มีใครรู้ว่าจิตใจของเราคิดอะไร  ก็นอกจากตัวของเราเอง  และถ้าหากว่าเราเกิดมีหลายใจขึ้นมา  คนอื่นก็ไม่รู้  ท่าทางภายนอกก็ยังเป็นผู้บำเพ็ญธรรมอยู่  แต่ว่าภายในของใจกลายเป็นสิ่งที่มีหลากหลาย  ไม่ได้เรียกว่าเป็นจิตหนึ่งไม่ได้เรียกว่าเป็นใจเดียว  แต่เรียกว่ากิเลสเป็นความหลายใจ  เป็นตัณหาความอยากได้ เข้าใจไหม  (เข้าใจ)
เพลงนี้ชื่อ  “แสงเงินแสงทอง”  จุดหมายของชีวิตแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน  การบำเพ็ญไม่ได้บอกว่าให้ศิษย์ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่มีหรือสิ่งที่ศิษย์เป็น  แต่ให้เราลงมือแก้ไขในสิ่งที่เรายังบกพร่องหรือผิดพลาด   ให้เราใช้ชีวิตอย่างผาสุกมากขึ้น  โลกทุกวันนี้หากบอกว่าไม่เกี่ยวกับศิษย์  ความวุ่นวายต่างๆ จะบอกว่าไม่เกี่ยวกับศิษย์ได้หรือ  ดูอย่างเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไปไม่นานนี้  ที่มนุษย์เรียกว่าเรื่องช็อคโลก  อยากจะถามว่า  ไกลศิษย์ไหม  ก็ไกล  จะบกว่าไม่กระทบก็ไม่ใด้เพราะเดี๋ยวนี้ทำสงครามกัน  สิ่งที่มากระทบตัวศิษย์คืออะไร       เศรษฐกิจไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องมาถึงตัวศิษย์แน่นอน   หนักหรือเบาเท่านั้น  ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้  ชะตาของโลกนี้ต้องช่วยกันกำหนด  อย่าไปกลัวอนาคตที่เกิดขึ้นข้างหน้า     อย่าไปเกลียดความโหดร้ายสิ่งที่เกิดขึ้น  แต่ขอให้เรารู้จักที่จะบำเพ็ญตัวของเรา  ไปสู่สิ่งที่ยังตามมาไม่ถึง  ศิษย์ไม่รู้อนาคต  จุดหมายปลายทางที่แสนไกลก็เริ่มตอนที่ศิษย์ก้าวไปสองก้าว  ลบร้อยก้าวก็เป็นเก้าสิบแปดก้าวแล้วศิษย์คิดว่าศิษย์จะไปไม่ถึงหรือ  ขอให้ทำในสิ่งที่เราตั้งใจทำก่อนที่ชีวิตจะหาไม่
ฉะนั้นอย่าชี้เกียจ  อย่าเกียจคร้าน  หากว่าทุกคนขี้เกียจทั้งทำงานบำเพ็ญ  หรือการทำดี  ขี้เกียจไปทุกอย่าง     แสดงว่ากำลังตกนรก  เพราะว่าคนที่ไม่ทำอะไรก็ย่อมไม่มีอะไรเลย    เมื่อศิษย์สร้างผลเกิดขึ้น  คนที่ได้รับผลก็คือตัวเราเอง  เป็นคนที่ขี้เกียจก็เหมือนตกนรก  เป็นคนขยันก็เหมือนขึ้นสวรรค์   ให้เลือกชีวิตนี้  อย่ามัวแต่บอกว่าตัวเองไม่มีเวลา  คนที่จะตายก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นคนที่อายุมากๆ ถึงจะตายได้  เพราะฉะนั้นผู้ที่อายุมากต้องรู้ว่าตัวเองมีบุญวาสนาได้อยู่ถึงอายุป่านนี้  จะไปกลัวอะไรกับสุขภาพที่ไม่ดี    จะไปกลังอะไรกับความจน  สมบัติในโลกนี้  ก็ผลัดกันชม  ใช่หรือไม่  (ใช่)  มีขึ้นมีลง  มีรวยมีจน   มีได้มีเสีย    แต่พอเราทำสิ่งที่ดี  ทำไมเราถึงกลัวจะต้องได้ผลกรรมไม่ดี  ถ้าเราทำเหตุดีทุกอย่างก็ต้องดี   ใช่หรือไม่  (ใช่)   ถ้าทำสิ่งที่ไม่ดีแล้วเราอยากจะทำสิ่งที่ดีถามว่าเราจะได้หรือเปล่า  (ไม่ได้)  ชีวิตตนนั้น    ยังต้องศึกษาเพิ่มเติม   ไม่เช่นนั้นสักวันหนึ่งศิษย์จะไม่มีแรงบันดาลใจอะไรในการบำเพ็ญ   มีเวลาขอให้เราเข้ามาสถานธรรม  มาสถานธรรมมีคนพูดดีบ้างไม่ดีบ้าง  ก็เป็นธรรมดา  ใช่หรือไม่  (ใช่)  ทุกคนไม่ได้เกิดมามีพ่อแม่ที่เหมือนกัน  ไม่ได้เกิดมามีการศึกษาที่เท่ากัน   ไม่ได้เกิดมามีสิ่งแวดล้อมที่เหมือนกัน   ไม่ได้รับเรื่องที่เป็นเคราะห์ร้ายหรือเป็นโชคดีมาเหมือนกันๆ กัน  ฉะนั้นความคิดของคนก็ไม่เหมือนกัน   มาอยู่ร่วมกัน  มีสิ่งที่ดีเก็บเป็นความประทับใจ  เจอสิ่งไม่ดีให้ขจัดไปจาดใจ  อย่าได้เก็บงำไว้  เพราะว่าศิษย์ยิ่งเก็บขยะไว้ในใจมากเท่าไร  สิ่งนั้นก็ยิ่งทำลายศิษย์มากนั้น  ขอให้ศิษย์รู้จักที่จะรักษา   ทั้งกายที่ศิษย์รักษาอยู่  รักษาทั้งใจ   คนมีสุขภาพร่างกายที่ดีจึงมีสุขภาพมาบำเพ็ญ
วันนี้ประชุมธรรมวันสุดท้าย  แต่ขอให้เป็นวันแรกแห่งการเริ่มต้นของการบำเพ็ญของเรา   ดีหรือไม่  (ดี)  โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงของเราในชีวิตนี้มีอีกมากมาย  จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือไม่ดี  ก็ขึ้นอยู่กับวันนี้จะมุ่งหน้าไปทางไหน  มุ่งหน้าไปในทางที่ผิด   ก็ย่อมจะไม่รับผลที่ถูก   มุ่งหน้าไปในทางที่ถูก  ก็ย่อมไม่รับผลที่ผิด  อาจารย์รับรองว่าอาจารย์จะไม่นำศิษย์ไปตกนรก  ขอเพียงศิษย์เดินตามอาจารย์มา  เราไม่ใช่เกิดมาอย่างคนไม่มีบุญ  เราเกิดมาอย่างคนมีบุญ  เราต้องไปอย่างคนที่รักษาบุญให้ได้และยังมีบุญที่เพิ่มมากขึ้น   หลายคนที่นี่มานั่งด้วยความงง  นั่งด้วยความมึน   เพราะว่าเพิ่งจะรับธรรมะก่อน  ให้เขามีโอกาสศึกษาและใกล้ชิด   ไม่ใช่ว่าให้เขามานั่งฟังเพราะต้องการคนจำนวนมากแต่ในที่สุดแล้วความเข้าใจกลับไม่ได้  คนที่เป็นอาจารย์ถ่ายทอกเบิกธรรมที่เป็นอาวุโสที่รับผิดชอบฟังอาจารย์ไว้ด้วย  ไม่เช่นนั้นแล้วผลที่ศิษย์ได้   จะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี     เผยแพร่ธรรม  ปฏิบัติงานธรรม  ต้องปฏิบัติด้วยความรอบคอบสุขุมและระมัดระวัง   หากไม่สามารถทำได้  งานประชุมธรรมที่เกิดผลเสียมากกว่าผลดีก็อย่าจัดจะดีกว่า  อาจารย์เห็นศิษย์เก่า ๆ ก็อยากจะพูดสักคำหนึ่งก่อนที่อาจารย์จะจากไป  การบำเพ็ญธรรมะผ่านมาหลายปี   ทุกๆ  ปียิ่งต้องมีความก้าวหน้ามากขึ้น  อย่าก้าวขึ้นมาสิบก้าว   ถอยหลังไปห้าก้าว  อาจารย์รู้ว่าศิษย์ทุกคนดูแลตัวเองได้   ดูแลผู้อื่นได้  รู้ดีในสิ่งที่อาจารย์นั้นอยากจะพูดทุกอย่าง  ดูแลจิตใจของตัวเองไม่ได้   เฝ้าพ่ายแพ้จิตใจของตนเองทุกเมื่อเชื่อวัน  ใจรักคนเมตตาก็ใกล้  ใจไม่ชอบคนเมตตาก็ไกล  ด้วยความรักดุจดังพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ขอให้อาจารย์เห็นศิษย์ทุกครั้งเป็นศิษย์ที่ก้าวหน้า ทั้งทางโลกทางธรรมมีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ขอให้อาจารย์ได้เห็นศิษย์บ่อยๆ ขอให้อาจารย์ได้เป็นอาจารย์ศิษย์ตลอดไป

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา