วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

2553-06-13 ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ


西元二0一0年 嵗次庚寅 五月 初二日 仙佛慈悲訓
วันอาทิตย์ที่ ๑๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ ศูนย์กลางงานธรรมไท่อิน กรุงเทพฯ
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

วัชรกายฐานบัวทองในแดนฟ้า ล้วนฟันฝ่าการทดสอบในโลกนี้
ฉุดช่วยคนร่วมพายเรือให้เต็มที่ ด้วยจิตใจมุ่งมั่นมีแกร่งในธรรม
เราคือ
อรหันต์จี้กงพร้อมนำพาหลี่เอวี๋ยนเซียนจวิน ร่วมรับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานไท่อิน แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนทุกข์ยากลำบากเพียงไร

ฐันจู่ต้องเพียรศึกษารับฟังธรรม และทบทวนมาน้อมนำปฏิบัติยิ่ง
หมั่นตรวจสอบเร่งแก้ไขที่ผิดจริง อย่าเที่ยววิ่งตรวจสอบตนไม่ตรวจสอบใจ
ฐันจู่ต้องไม่เคยลืมหน้าที่ตน ด้วยเกียรติแห่งปณิธานตนอันยิ่งใหญ่
ภูมิใจในสิทธิ์และศักดิ์ที่คงไว้ กอปรด้วยจริยะเคร่งครัดในสุภาพชน
ฐันจู่ต้องดุจไม้ใหญ่เงาร่มเย็น อย่าอวดเบ่งคับที่จนคนถอยร่น
คำพูดขาดสำรวมระวังทิ่มแทงจน ขาดหัวใจคนบำเพ็ญไม่เหลือดี
ฐันจู่ต้องใบหน้าอาบอิ่มรอยยิ้ม อบอุ่นพิมพ์ประทับใจคนเยือนนี้
เป็นกันเองด้วยอ่อนน้อมธรรมพาที งานพิธีฉะฉานตรงแม่นยำ
ฐันจู่ต้องขยันส่งเสริมดูแลคน ไม่ยึดติดในผลตนหนุนนำ
อย่าลำเลิกเบิกประจานเป็นประจำ ใจฟ้าทำไม่หวังผลใดใด
ฮา  ฮา   หยุด





พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
และท่านหลี่เอวี๋ยนเซียนจวิน
พระอาจารย์จี้กง : พูดไปได้เยอะหรือยัง นิดๆ หน่อยๆ หรือ อาจารย์มาขัดจังหวะ ขัดเวลาและขัดใจไหม (ไม่ขัด)  เจอหน้าศิษย์อาจารย์ก็ดีใจ แต่อาจารย์อยากบอกความนัยอย่างหนึ่ง อาจารย์ไม่ได้มาคนเดียว จะยิ่งดีใจใหญ่ไหม
รู้ไหมว่าคนที่ได้ตั้งปณิธานเป็นฐันจู่ เบื้องฟ้ามีฐานบัวทองรองรับ แต่ศิษย์บางคนบำรุงเลี้ยงฐานบัวทองได้ไม่ค่อยดี โตแล้วก็เหี่ยว แต่อย่าให้ตายเลยศิษย์ ขอให้เหี่ยวแล้วยังกลับมาสดชื่นชูช่อใหม่ อาจารย์ก็ดีใจแล้ว เราลืมไปหรือเปล่าว่าเราเป็นอะไร ถ้าวันนี้ไม่มีผู้นำข้างหน้าบอกว่าให้จัดชั้นนี้ ศิษย์บางคนคงลืมไปแล้วว่า ศิษย์ก็มีหน้าที่นี้ด้วยหรือ ใช่ไหม (ใช่)  คิดถึงเขาไหม (คิดถึง)  เดี๋ยวอาจารย์ให้เวลาเขาอยู่กับศิษย์สักครู่หนึ่งนะ เจ้าบอกหน่อยละกันนะ เจ้าเป็นใคร เขายังไม่รู้
ท่านเฉียนเหยิน : วันนี้มองไปมองมาใครๆ ก็แก่ไปหมด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  บำเพ็ญธรรมมาตั้งแต่สาวตอนนี้แก่หมดแล้ว พออายุมากก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง เพราะฉะนั้นอุปสรรคเจอมา อย่าท้อใจ อย่าเหนื่อยง่าย อย่าอ่อนแอ ชนะใครไม่ได้ ต้องชนะตัวเอง ฐานบัวเบื้องบน รอให้ศิษย์น้องทุกคนไปไขว่คว้า วันนี้เป็นมนุษย์ก็ถือว่าเป็นโอกาส ถ้าหากวันหนึ่ง ตายไปแล้วแบบเฉียนเหยิน จะสามารถเจริญกุศลใดเล่า มีเวลาหนึ่งวัน ใช้เวลาหนึ่งวัน มีเวลาสองวัน ใช้เวลาสองวัน ใครจะรู้ว่าคนที่อยู่ตรงนี้จะเป็นอย่างไร อย่าได้ดูเบาตัวเอง อย่าได้หน่ายง่าย อย่าได้ลืมตัว ต้องรู้หน้าที่ของตัวเอง เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ปณิธานตั้งไปแล้ว ต้องเจริญให้ได้ดีที่สุด เราไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร เพียงแต่ว่าเราต้องรู้จักที่จะทำหน้าที่ให้ดีทุกๆ วัน
ไม่เจอกันนาน ทุกคนคงสบายดี ใช่หรือไม่ (สบายดี)  ครั้งนี้
เฉียนเหยินมา มีทั้งความดีใจที่ได้พบเจอ มีทั้งความเศร้าใจอยู่ลึกๆ ที่ได้เห็น หลายๆ คนดูอายุมากขึ้น สมัยก่อนก็คงรู้จักอยู่ไม่กี่คน ก็คือ
เตี่ยนฉวนซือทุกท่าน แล้วก็ปัจจุบันที่เป็นฐันจู่และเจี่ยงซือหลายๆ คน เมื่อก่อนเจอกันไม่กี่คน วันนี้วงการธรรมกว้างขวางแล้ว แต่เรื่องของ
จริยระเบียบ พุทธระเบียบ กลับหย่อนยานไปนิดหนึ่งนะ เราทุกคนลื่นไหลไปตามกระแสโลก  ไม่สามารถประคองตัวเองอยู่ได้ พุทธระเบียบที่ใช้ก็มักจะชอบพลิกแพลงไปตามสภาพตัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  พลิกแพลงไปมา แม้แต่คำว่า “จริยะ” ก็รักษาไม่อยู่ อย่างนี้จะเป็นผู้น้อยที่อยู่ข้างหลังเรา ผู้ได้รับชื่อว่า “หลี่เอวี๋ยนเซียนจวิน” ได้อย่างไร บางทีจะทำอะไรจึงต้องคิด การไหว้พระจะต้องไหว้ด้วยจิตศรัทธา สำนึกขอขมา และแก้ไขทบทวน ต้องมีระเบียบ ต้องมีวินัย โดยเฉพาะหน้าสถานธรรม หน้าพระนี้ หย่อนยานไม่ได้ ขี้เกียจไม่ได้ สกปรกไม่ได้ และก็มักง่ายไม่ได้ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  หลายๆ คน ที่อยู่ทุกวันนี้ เป็นเพราะว่ามีความรู้น้อย รู้น้อยก็เลยทำได้ผิดๆ ถูกๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  จริงๆ แล้ว ศิษย์น้องทุกคนก็รู้ว่าตัวเองบำเพ็ญธรรมผิดๆ ถูกๆ จริงหรือเปล่า (จริง)  แล้วทำไมไม่ทำให้ถูก มโนธรรมสำนึกที่อยู่ภายใน คือคุณครูคนที่สามารถสอนได้ อย่าลืมว่าเวลาเขาสอนอะไรต้องฟังด้วย เพราะว่ามโนธรรมสำนึก คือพุทธะเบื้องฟ้าในอนาคต ผู้ซึ่งศิษย์น้องนั้นต้องฝึกฝน หากว่าไม่รู้จักฟังแม้กระทั่งจิตใจของตัวเอง แล้วจะสามารถนำพาวงการธรรมต่อไปได้อย่างไร
วงการธรรมจะเจริญรุ่งเรืองหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเตี่ยนฉวนซืออย่างเดียว แต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่เป็นฐันจู่ทุกคนด้วย เพราะว่าพิธีกรรมก็เกิดขึ้นในสถานธรรม จะชวนคนรับธรรมะก็ต้องอยู่ในสถานธรรม ญาติธรรมมาก็ต้องกินข้าว ญาติธรรมจะกลับจะมา ก็ต้องมีคนรับมีคนส่งเขา ถ้าหากว่าเรายังเข้าใจผิดๆ ถูกๆ แล้วจะให้ญาติธรรมเข้าใจถูกอย่างไร เราทำได้เพียงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ญาติธรรมรุ่นหลังมาก็คงทำได้สักห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ถึงวันนี้ที่นั่งอยู่ที่นี่เหลืออยู่แปดเปอร์เซ็นต์ ความเข้าใจในทางธรรมบางคนก็เต็มร้อย บางคนก็เหลือแปดสิบ บางคนก็เหลือห้าสิบ แล้วจะบำเพ็ญธรรมจนตายนั้นจะเหลืออยู่สักกี่สิบ จะเอาอะไรไปกราบเรียนอาจารย์ว่า ศิษย์น้องทุกคนในที่นี้เหลืออยู่เท่าไหร่ จะเอายี่สิบเปอร์เซ็นต์ หรือสิบเปอร์เซ็นต์ หรือห้าสิบหรือห้าเปอร์เซ็นต์นี้ไปกราบพระอาจารย์หรือ ไม่ขายหน้าหรือ ไม่รู้สึกว่ามันน้อยเกินไปหรือ เพราะฉะนั้นต้องรู้จักที่จะขยันในการศึกษาธรรม โดยเฉพาะคนที่เป็นฐันจู่
การศึกษาธรรมก็คือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมก็คือการปฏิบัติใจ ใจเป็นเรื่องใหญ่มาก ใจเป็นเรื่องสำคัญมาก บางคนเป็นฐันจู่ วันๆ ไม่ได้ทำหน้าที่เลย มัวแต่คิดถึงเรื่องตัวตน มัวแต่คิดถึงเรื่องความลำบากความเหนื่อย มีตาก็เที่ยวมองออก ว่าคนนั้นไม่ทำคนนี้ไม่ดี เราเฉียนเหยินอยากจะบอกว่า นี่เป็นอารมณ์มนุษย์ นี่เป็นความคิดมนุษย์ เบื้องบนนั้นจดไว้ชัดเจน ใครทำใครได้ ใครไม่ทำเขาก็ไม่ได้ ฉะนั้นถ้า หากว่าคิดได้อย่างนี้ ก็คงจะไม่นั่งทะเลาะกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าได้มองคนอื่น อย่าได้ฟังมาก อย่าทะเลาะกันในสถานธรรม เข้าใจไหม (เข้าใจ)  ต้องหัดควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ดี คิดเสียว่าถ้าวันนี้เราตายไป เราจะเป็นเซียนอะไรหรือ เรามีสิ่งใดที่โดดเด่นเป็นคุณธรรม สามารถให้คนรุ่นหลังนึกถึงได้หรือ หรือว่าตายไปหนึ่งปี คนก็ลืมหมดแล้ว คงเป็นอย่างนั้นแน่เลย ใช่หรือไม่ แต่เป็นอย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตมนุษย์ ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมนุษย์ คือ ผู้ที่ขยันทำเพื่อผู้อื่น เมื่อเราจากไปคนก็อาลัยรักเสียดาย อย่างนี้จึงเรียกว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ เหมือนกับหลินสูฮว๋า ตอนนี้ใครๆ ก็คิดถึง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ต้องห่วงนะ จึงต้องทำเหมือนกัน ทุกคนก็จะต้องคิดว่าตัวเองนั้น ทำอย่างไรจึงจะสามารถที่จะอยู่แล้วมีค่ามากกว่านี้ รักษาหน้าที่มากกว่านี้ ได้หรือไม่ (ได้)  ต้องมีคนช่วยถาม ถึงจะตอบนะ เสียงก็เบาไปตามเราเลย ใช่หรือไม่
ตอนนี้เฉียนเหยินนั้นอยู่เบื้องบน ทุกคนพยายามทำงานธรรมะอย่างสุดกำลัง วันนี้เราพยายามที่จะไม่ร้องไห้ เพราะว่าร้องไห้ก็คงจะพูดอะไรไม่ออก ใช่ไหม นานๆ ได้เจอกันที ก็รักษาเวลาทุกๆ เวลา ทุกๆ วินาที ให้มีค่าที่สุด เพราะว่าเฉียนเหยินมีเวลาน้อย วันนี้เพราะว่าศิษย์น้องทุกคนไม่ลืม ทุกวันก็ยังกราบพระ ทุกวันก็ยังกราบเฉียนเหยินอยู่ ทุกคนก็ยังมีความเหนื่อยยาก ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจในความเหนื่อยยากของทุกคน แต่มรรคผลเบื้องฟ้าใครทำใครได้ ใครที่กล้าลงมือทำก่อน คนนั้นก็ย่อมได้ก่อน เบื้องบนมีงานหลงฮว๋าต้าฮุ่ย ซึ่งแน่นอนถึงวันนั้นทุกคนจะบอกว่าที่เหนื่อยมาคุ้มค่า ในวันนี้วงการธรรมในเมืองไทยรุดหน้ามากขึ้น แต่วันนี้ไม่ใช่รุดหน้า แล้ววิ่งไม่หยุดแล้ว วันนี้เป็นการรุดหน้าที่เริ่มชะลอตัว เพราะว่าทุกคนนั้นเริ่มจะอายุมากขึ้น แล้วก็เหนื่อย แล้วก็มีภาระเพิ่มมากขึ้น ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นวันนี้มาเพื่อให้กำลังใจว่า อย่ายอมแพ้ ถ้าหากว่ามือเท้ามันแก่แล้ว ผมมันหงอกแล้ว แต่ฟันกับลิ้นยังไม่แก่ ยังพูดได้ ฟันจริงหลุดไปยังมีฟันปลอม ยิ้มก็ยังสวยอยู่ เพราะฉะนั้นพูดธรรมะให้คนอื่นฟังให้มากๆ ไม่ต้องคิดว่าทำแล้วจะได้ผลตอบแทนอะไร ยิ่งทำอย่างไร้อัตตาจะยิ่งมีมรรคผลมากขึ้น วงการธรรมในเมืองไทยก็ขอให้ทุกคนทำอย่างเต็มที่ วงการธรรมที่ไต้หวัน ตอนนี้เฉียนเหยินก็ห่วงอย่างยิ่ง ห่วงตรงไหน ก็เป็นปัญหาเดียวกัน ทุกคนเริ่มชราวัย ทุกคนเริ่มที่จะหมดแรง แต่ว่าแรงอันนี้มันอยู่ข้างใน ถ้าหากว่ารู้จักที่จะพยายามขยัน ศึกษาธรรม แรงก็จะมาเอง ฉะนั้นขอฝากความระลึกถึงไปถึงวงการธรรมที่ไต้หวัน ทุกๆ คน
เฉียนเหยินไม่เคยลืมใครเลย วงการธรรมเมืองไทยเฉียนเหยินก็เฝ้ามองทุกคนอย่างเป็นห่วง ยังกราบพระให้ เฉียนเหยินก็ยังมีไฟ เหมือนกับตอนที่สมัยมีชีวิตอยู่ จึงหวังว่าทุกคนนั้นอย่าเพิ่งหมดไฟ ดีหรือไม่ (ดี)
ในวันนี้ที่เหลือคงจะให้พระอาจารย์เป็นผู้สอนศิษย์น้องทุกคน แต่ที่ลืมไม่ได้ เป็นสิ่งที่คงจะต้องบอกไว้ ก็คือ อย่าลืมเรื่องจริยระเบียบ อย่าลืมเรื่องจริยระเบียบ เป็นเตี่ยนฉวนซือแล้ว ทุกคนต้องรู้จักที่จะย้อนมองส่องตน ทบทวนตน เพราะไม่มีใครมาตี ไม่มีใครมาว่า พระอาจารย์พูดทุกครั้งก็เกรงใจศิษย์น้องทุกคนมากๆ เพราะเห็นว่าเหนื่อย เห็นว่าหนัก แต่อย่าลืมไม่ว่าเป็นใคร ก็จะต้องรู้จักตัวเองทั้งสิ้น มาอย่างคนที่ไม่รู้ทาง ทุกคนจะกลับอย่างคนที่รู้ทาง ก็จำเป็นที่จะต้องมีสติในการทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะพูด ไม่ว่าจะคิด ไม่ว่าจะทำ เพราะว่าทุกอย่างจะมีผลกระทบทั้งวันนี้และวันข้างหน้า พฤติกรรมของทุกคนในวันนี้ จะเป็นตัวกำหนดมรรคผลในวันหน้า อย่าลืมนะ พระอาจารย์เมตตา
พระอาจารย์จี้กง : ไม่ไหวก็กลับก่อนนะ
ท่านเฉียนเหยิน : เฉียนเหยินก็ขอดูหน้าทุกคนให้ชัดๆ แล้วก็อย่าลืมว่าเราเคยเจอกัน วันหน้าหวังว่ากลับไปแล้วได้ทักทายกัน อย่าได้มารับธรรมะในปัจจุบัน แล้วเป็นแค่ฐันจู่ ไม่สามารถกลับฟ้าได้ ขอให้ได้กลับฟ้าทุกคน ขอให้ได้สำเร็จธรรมทุกคน ขอให้ขยันที่จะรดน้ำพรวนดินอาสนะมรรคผลฐานบัวของตน คิดถึงทุกคนจริงๆ  ขอบคุณมากที่ทุกคนนั้นพยายาม แล้วก็พยายาม แล้วก็พยายาม
รู้ไหมว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจากมือเรา ทุกอย่างสำเร็จได้กว่านี้จากมือเรา เริ่มจากเรา ไม่เริ่มจากคนอื่น อย่าลืมนะ รักษาสุขภาพให้ดีทุกคน วิบากกรรมมีบางคนต้องเจอ แต่ว่าเวลาที่เรารักษาตัวเราให้ดี หนักก็กลายเป็นเบา อย่ามัวแต่ร้องเรียกพระอาจารย์ เพราะพระอาจารย์ท่านเหนื่อยมากจริงๆ นะ
พระอาจารย์จี้กง : ไม่เป็นไร มีเวลาน้อย อยู่กับเขาให้เต็มที่ ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบ
ท่านเฉียนเหยิน : เฉียนเหยินก็อยากจะรีบให้พระอาจารย์ได้พูดนะ แล้วก็อยากจะดูทุกๆ คนให้ชัด ๆ ความเข้าใจในธรรมะอย่าลืม อย่าบอกว่าเป็นฐันจู่มานาน แล้วเราก็ไม่ศึกษาเพิ่มเติม เพราะว่าความรู้ทางธรรมมีได้ไม่หยุด มีได้ไม่จำกัด อย่าได้ลืมว่าทุกคนนั้นต้องฟังธรรมะให้มากๆ ไม่ฟังธรรมะก็พูดไม่ได้ จริงหรือเปล่า (จริง)  ฟังธรรมะน้อยจะไปพูดอะไรกับคนอื่นได้ ถ้าทำตัวไม่ดีจะไปเป็นตัวแทนธรรมได้อย่างไร
อย่าลืมว่าต้องฝึกฝนคุณธรรมแล้วก็นำพาตัวเองไปให้ดี แต่ไม่ใช่นำพาตัวเองแล้วเอาเปรียบเห็นแก่ตัวผู้อื่นนะ เป็นฐันจู่ยิ่งต้องเสียสละ แล้วก็ยิ่งต้องลงแรง ถ้าหากว่าเราไม่เสียสละลงแรงแล้ว คงให้คนอื่นเรียกร้องผู้อื่นไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)
วันนี้ก็มีความชื่นใจที่ได้พูด เฉียนเหยินเสียไปหลายปีแล้วก็คงไม่ต้องจะร้องไห้ ใช่หรือเปล่า เฉียนเหยินก็ไม่อยากจะร้องไห้แล้ว เพียงแต่ว่าเห็นศิษย์น้องทุกคนในที่นี้ ยังอดไม่ได้ จริงหรือเปล่า ร้องเพลงส่ง
เฉียนเหยินสักเพลงหนึ่งดีไหม (ดี)  อย่าลืมว่าถ้าหากว่าไม่มีคนอื่นเข้าใจ ทุกวันนี้อยู่ด้วยเพราะว่ามีใจ ไม่มีใครเข้าใจเรา ขอให้คิดว่าเฉียนเหยินเข้าใจนะ เข้าใจทุกคนเลย ฝากธรรมะไว้ในมือทุกคนด้วย ฝากวงการธรรมไว้ในมือทุกคนด้วยนะ
(ฐันจู่ในชั้นร่วมกันร้องเพลง “ครอบครัวเดียวกัน”  เพื่อน้อมส่ง
ท่านเฉียนเหยิน)
พระอาจารย์จี้กง :  คำว่า “ครอบครัวเดียวกัน” เป็นความหมายที่ดี ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าศิษย์มีจิตสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่าเราคือครอบครัวเดียวกันจริงๆ  พี่ด่าน้อง น้องประชดประชันพี่ ถึงจะโกรธกัน ถึงจะเกลียดกัน พอผ่านไปก็เหมือนเดิม นี่คือครอบครัว ใช่ไหม (ใช่)  ยิ่งถ้าพี่กับน้องรักใคร่สมัครสมานกันมากเท่าไร ถึงโดนว่าแรงๆ ถึงโดนน้องประชดแรงๆ  ทั้งพี่ทั้งน้องก็ยังรักกันได้อยู่ ผูกพันกันได้อยู่ แต่ใจศิษย์ลึกๆ ศิษย์มักคิดอะไรเล่า ครอบครัวเดียวกันไหม ศิษย์จะบอกว่า ร้อยพ่อพันแม่ มาจากคนละที่ ถ้าคิดอย่างนั้นศิษย์ก็ต้องคิดว่าร้อยพ่อพันแม่มาคนละที่ นิสัยคนละแบบก็ต้องยอมกันได้สิ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าคิดว่าคือครอบครัวเดียวกัน ก็ยิ่งต้องยอมกันได้ใหญ่ ไม่ใช่หรือ (ใช่)  แต่ทำไมลึกๆ เรากลับเก็บฝังใจในความรู้สึกที่ไม่ดีของคนๆ นั้น แบบลืมไม่ลง จำได้แม่นยำยิ่งกว่าความรู้ทางธรรมอีก ใช่ไหม (ใช่)  อาจารย์ถามว่าความรู้ทางธรรมกับนิสัยของคน ศิษย์จำอะไรได้มากกว่า นิสัยของคนอื่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วอย่างนี้ถูกไหม (ไม่ถูก)  สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาหรือแม้กระทั่งตัวอาจารย์มา ก็พูดเรื่องเดิมๆ แต่ถึงเวลาศิษย์ก็ยังเป็นนิสัยเดิมๆ แก้กันไม่หาย ยึดทิฐิถืออารมณ์ ยึดมั่นถือมั่นในความคิดเห็นของตน อย่างนี้ยังไม่เรียกว่าบำเพ็ญนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  บำเพ็ญ ทิฐิต้องลดลง อัตตาตัวตนต้องปล่อยวาง ความยึดมั่นถือมั่นต้องไม่มี ต้องเปลี่ยนเป็นความอ่อนน้อมสุภาพ
สิ่งสำคัญของฐันจู่ที่อาจารย์อยากให้พึงมี ๓ ประการ
อย่างแรก คือ ท่าทีที่สุขุม แต่ในความสุขุมนั้น ต้องมีความแจ่มแจ้งกระจ่างในธรรม เพราะคนเป็นฐันจู่นี้ เมื่อเจอญาติธรรมมีทุกข์มา เราต้องสามารถให้ความกระจ่างในธรรมกับเขาได้ ช่วยปลดทุกข์เขาได้ไม่มากก็น้อย เพราะเขาเห็นว่าสถานธรรมเหมือนที่พึ่งอันร่มเย็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้บางคนจะมีสถานธรรมที่เป็นสถานธรรมในบ้าน แม้บางคนจะได้ดูแลสถานธรรมที่เรียกว่า สถานธรรมส่วนรวมก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ศิษย์ขาดไม่ได้คือ ท่าทีที่สุขุม แต่ภายในแจ่มกระจ่างเรื่องธรรม
อย่างที่สอง การฟังธรรม สิ่งที่สอง ศิษย์มักจะเป็นกันอยู่เสมอ คือ เกลียดการฟังธรรม ใช่ไหม (ใช่)  ตอบให้อาจารย์ได้ชื่นใจหน่อย บอกให้มาฟังธรรม ตั้งใจฟังไหม (ตั้งใจ)  ตั้งใจหรือ ให้มาฟังธรรมสองวัน โอ๊ยไม่เอา เดี๋ยวต้องหายาเยอะแยะ ใช่ไหม ทั้งที่จริงๆ แล้วการศึกษาธรรม เป็นการปลุกเร้าและส่งเสริมศักยภาพในการศึกษาธรรมให้เห็นแจ่มแจ้ง และเห็นแจ่มแจ้งธรรมในตน เราฟังธรรมะที ฟังธรรมะจากอาจารย์ หรือฟังธรรมะจากใครก็ตามที บางทีพูดไปแล้วหลายประโยค แต่มีประโยคหนึ่งประโยคเดียวที่โดนใจและจำขึ้นใจ ใช่ไหม (ใช่)  อืม คำนี้ดี กลับไปต้องจำให้ขึ้นใจ
ฉะนั้นการฟังธรรม สิ่งที่มีประโยชน์คือ ปลุกเร้าศักยภาพในการเข้าใจธรรมให้แจ่มกระจ่าง ฉะนั้นศิษย์ต้องไม่หน่ายท้อในการศึกษาธรรม ยิ่งเราเรียนรู้เข้าใจมากเท่าใด เราก็ยิ่งเข้าใจตัวตนมากเท่านั้น ปาดน้ำตาเก็บความรู้สึกได้แล้ว ชีวิตยังต้องมุ่งหน้าต่อไป อาจารย์ลืมบอกไปอีกอย่างหนึ่ง และยิ่งการที่เรารู้หลักธรรมมากเท่าไร การจะช่วยปกโปรดคน การจะนำพาเวไนยก็กว้างขวางยิ่งขึ้น บางคนรู้น้อยก็เลยพูดได้น้อย พอรู้น้อย พูดได้น้อย ก็เลยช่วยคนได้น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นยิ่งเรียนรู้ศึกษามาก ยิ่งช่วยตนมาก และช่วยคนได้มากยิ่งขึ้น ฉะนั้นอย่าดูเบาการเรียนรู้หลักธรรม เพราะการเรียนรู้หลักธรรมทำให้เราแจ่มกระจ่างในธรรมที่อยู่ภายในตัวเอง และสามารถฉุดโปรดแก้ไขปัญหาทุกข์ของมวลเวไนยได้ ถ้าศิษย์ยิ่งศึกษาธรรมให้ลึกมากเท่าไร ศิษย์ศึกษาธรรมให้กว้างมากเท่าไร ศิษย์ก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นในความรู้ความเข้าใจ การศึกษาธรรมจะทำให้เราไม่หลงกลายเป็นคนมืดบอดและหลงภูมิตัวเอง กลายเป็นคนหัวแข็งไม่ฟังใคร แต่ยิ่งศึกษากลับทำให้เรายิ่งอ่อนน้อมถ่อมตนและเปิดกว้างด้วยหัวใจที่พร้อมยอมรับทุกเรื่องทุกราว อย่าเป็นพวกที่ศึกษามาก รู้มากแต่ไม่ฟังใคร ฟังตัวเองอย่างเดียว อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง
อย่างที่สาม คือ ฉุดช่วยเวไนย มีโอกาส นำสิ่งที่รู้สิ่งที่เข้าใจไปฉุดโปรดเวไนยให้พ้นทุกข์ สามอย่างนี้เอง อาจารย์ขอจากคนที่เป็นฐันจู่ ยากไหม (ไม่ยาก)  ทำได้ไหม (ทำได้)  เขาบอกให้มาเข้าอบรมอีก จะยอมมาไหม ตั้งใจไหม จะบ่นไหม (ไม่บ่น)  ใครบ่นอาจารย์จะฟาดหัวให้เลย ดีไหม (ดี)  ดูซิว่าหัวแข็งๆ โดนอะไรมันก็เจ็บ หัวโดนโขกแล้วเจ็บไหม แล้วศิษย์หัวแข็งไหม (แข็ง)
(พระอาจารย์เมตตาให้ฐันจู่ในชั้นเรียนเคาะหัวตัวเอง)
แข็งไหม อย่าเคาะเบา เคาะแรงๆ  จะได้รู้ว่ามันเจ็บไหม หัวแข็งๆ นี้ หัวนิ่มเจอแข็งก็ยังไม่รู้สึกเจ็บ แต่หัวแข็งไม่ว่าเจอนิ่มเจออ่อน มันก็เจ็บทั้งนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นฐันจู่ต้องหัวอ่อนแต่ไม่ใช่อ่อนแอ ไม่ใช่อ่อนแอจนไม่มีความคิด ใครลากไปไหนก็ไป อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  จุดยืนก็ต้องมี อาจารย์จี้กงอยู่ด้านซ้าย ไปไหม (ไป) เห็นอาจารย์จี้กงไปวัดโน้น ไปไหม (ไม่ไป)  ยังเห็นมีคนแอบไปอีก แถมเป็นฐันจู่อีก อาจารย์ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้วนะ
เราศึกษาหลักธรรมเพื่ออะไร เรามีชีวิตบำเพ็ญธรรมเพื่ออะไรเล่า เพื่อเรียนรู้เข้าใจและใช้ช่วงชีวิตนี้ให้เต็มที่ ถึงเวลาก็ต้องรู้จักปล่อยวางอาจารย์รู้ว่าศิษย์ทุกคนหนีไม่พ้น เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีทุกข์ มีโลภ มีการพลัดพราก มีการสูญเสีย แต่สิ่งต่างๆ เหล่านั้น มีมาเพื่ออะไร อาจารย์ย้ำหลายรอบแล้วนะศิษย์ มีมาเพื่ออะไร มีมาเพื่อเรียนรู้ทุกข์ เข้าใจแจ่มแจ้งและปล่อยวาง ไม่ใช่เพื่อเรียนรู้เข้าใจแล้วยึดมั่น อย่างนั้นคือคนโง่ ใช่ไหมศิษย์  (ใช่)  เพราะถ้าเข้าใจว่าร่างกายนี้คือความทุกข์ สรรพสิ่งล้วนคือทุกข์ ถ้าศิษย์ยึดมั่น ศิษย์ก็คือคนโง่ที่อยากมีทุกข์
ฉะนั้นเราบำเพ็ญเพื่อเรียนรู้เข้าใจชีวิต เห็นกระจ่างแล้วปล่อยวาง ยิ่งเจ็บป่วยมากเท่าไร ยิ่งทำให้เราต้องรู้ต้องปล่อยมากเท่านั้น ยิ่งสูญเสียมากเท่าไร ก็ยิ่งสอนให้ศิษย์รู้ว่า ชีวิตนี้ไม่มีอะไรครอบครองได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  สามี บุตร เงินทอง ฉะนั้นศิษย์ต้องตอกย้ำความเข้าใจตรงนี้ให้แจ่มกระจ่าง เมื่อเจอข้อทดสอบใด ศิษย์จะหวั่นไหวไม่เป็น จะไม่หวั่นไหวเลย เพราะรู้ว่ามันเป็นธรรมดา ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่ารู้เยอะแต่ถึงเวลาท่าดีทีเหลว ไม่เอา อาจารย์ไม่อยากได้ศิษย์แบบนั้น
ทุกขณะจิตที่คิดพูดทำ อาจารย์ขอให้ศิษย์อย่าห่างคุณธรรม ทุกขณะจิตที่คิดพูดทำ มีสำนึกละอายเกรงกลัวต่อบาปไหม ซื่อตรงไหม เคารพให้เกียรติผู้อื่นไหม กล่อมเกลาด้วยปัญญาจึงออกมาพูด ออกมาคิดไหม ถ้าผ่านทั้งห้านี้ ทุกขณะที่คิดพูดทำ ศิษย์จะไม่เกิดกิเลส จิตศิษย์จะเป็นกุศลทุกขณะที่คิดพูดทำ เมื่อเป็นกุศล ภาวะแห่งพุทธจิตย่อมเบิกบานแจ่มใส ฟื้นฟูกลับคืนมาได้เร็วไว ฉะนั้นทุกขณะที่คิดพูดทำ เมตตาไหม ทำแล้วละอายต่อฟ้าดินไหม พูดแล้วซื่อตรงไหม พูดแล้วเคารพให้เกียรติผู้อื่นหรือไม่ แล้วกล่อมเกลาออกมาด้วยปัญญาจากใจศิษย์ไหม พูดช้าหน่อยเป็นไร ทำช้าหน่อยเป็นไร แต่ถ้าเกิดศิษย์ทำได้ขนาดนั้น ทุกขณะจิตที่คิดพูดทำ จิตจะเกิดกุศลที่ยิ่งใหญ่กว่าให้เงินทองอีก และสามารถทำตอนไหนเล่าศิษย์ อยู่บ้านก็ทำได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  คบเพื่อน พูดกับเพื่อน ทำงานกับใคร ศิษย์ก็สามารถทำได้ เมื่อทุกขณะจิตเรามีธรรมกล่อมเกลา เมื่อทุกขณะจิต ศิษย์ไม่ห่างธรรม ภาวะธรรมจะไม่บังเกิดในใจหรือ การจะน้อมนำคนให้เดินสู่หนทางธรรม ไม่ใช่เรื่องยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอาจารย์จึงอยากบอกให้ศิษย์ อย่าลืมทบทวนสิ่งเหล่านี้
ในสถานธรรมอาจารย์อยากให้ศิษย์เป็นคนขยัน ไม่ว่างานในงานนอก ขยันรับผิดชอบไม่บกพร่อง ไม่ว่างานข้างบน งานข้างล่าง ระมัดระวัง สุขุม ไม่ให้ผิดพลาด งานนอกงานในคืออะไร งานบนงานล่างคืออะไร ใครตอบอาจารย์ได้ แต่ศิษย์มักจะเป็นอย่างไร เกียจคร้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เกียจคร้านทำให้ขาดจริยะ มักง่ายทำให้มองดูไม่งดงาม อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ งานในงานนอก
งานนอก ก็คืองานที่ศิษย์รับผิดชอบในฐานะความเป็นคน
งานใน ก็คือการดูแลห้องพระ
งานบนงานล่าง คือ ข้างล่างต้อนรับญาติธรรม ข้างบนกราบไหว้พระ ดูแลโต๊ะพระ ทำหน้าที่พิธีกร สามารถพูดจาเป็นพิธีกรได้แม่นยำฉะฉาน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ศิษย์บางคนเกียจคร้าน โต๊ะพระมีกี่โต๊ะที่นี่ เอาแค่ห้องพระนี้มีกี่โต๊ะ
(พระอาจารย์เมตตาถามฐันจู่เฉพาะจำนวนโต๊ะพระในห้องพระ)
ถ้าศิษย์จะนำไหว้ แล้วตอนนั้นมีศิษย์คนเดียว ศิษย์จะทำอย่างไร บอกอาจารย์ซิ แล้วคนข้างหลังมีเยอะกว่า ศิษย์จะทำอย่างไร หัดคิดทุกขณะที่ทำ อย่ามักง่าย อย่าเกียจคร้าน เข้าใจที่อาจารย์พูดไหม ถ้าศิษย์เป็นผู้นำเขา แต่อยู่คนเดียว ศิษย์ให้ผู้น้อยปักธูป ถูกไหม หรือศิษย์ปักโต๊ะเดียว ที่เหลือให้เขาตามมาปัก ถูกไหม (ไม่ถูก)  ถ้าตั้งใจไหว้พระ ก็ต้องไหว้ให้ถึงที่สุด ถ้ากลัวลำบากอย่าตั้งหลายโต๊ะ ถูกไหม อาจารย์พูดถูกไหม (ถูก)  ถ้ามีห้องพระแล้วยังขี้เกียจอีก ตั้งทำไมหลายโต๊ะ ฉะนั้นอย่าเกียจคร้านจนขาดจริยะ อย่ามักง่ายจนเกินงาม อาจารย์ขอย้ำอย่างนี้นะศิษย์นะ แล้วก็ต้องรู้จักต้อนรับผู้คนด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นกันเอง เพราะเขาคือ โพธิสัตว์คนหนึ่ง เราช่วยเขาได้ เราฉุดโปรดเขาได้ เราก็คือผู้ที่ทำให้พระโพธิสัตว์เกิดในโลก แล้วอย่างนี้เราจะไม่ใช่พระโพธิสัตว์ด้วยหรือ ฉะนั้นไม่ใช่เห็นญาติธรรมก็หน้าบูดบึ้ง อย่างนี้ไม่ถูกต้อง
สามสิ่งในการเป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่ไม่ควรจะขาด
หนึ่ง คือ การดูแลชีวิต
สอง คือ การบำเพ็ญจิต
สาม คือ การนำพาเวไนย
งานนอกงานในไม่ได้ขาด นั่นก็คือภาระรับผิดชอบ ศิษย์เป็นอะไร ทำให้ได้ดี ถึงศิษย์จะลาเพื่อมางานธรรมะ เขาก็ไม่ว่า เพราะศิษย์ทำได้ดี ทำได้เหมาะสม ถูกหรือไม่ (ถูก)  รับผิดชอบได้งดงาม ถึงจะลาเยอะลามาก เขาก็จะรู้สึกว่าไม่โกรธเคือง เพราะเราทำเต็มที่ เมื่อมีเวลาว่างเราก็เสริมให้ดีขึ้น ฉะนั้นถึงเวลา เราจะลา เราจะหยุด เขาก็จะไม่โกรธเคืองศิษย์ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ถ้าศิษย์ งานข้างนอกศิษย์ทำไม่เต็มที่ ลาก็บ่อย หยุดก็บ่อย นี่บำเพ็ญอะไร ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นงานในการดูแลชีวิต ต้องทำให้ได้ดี ทำให้ได้เหมาะสม ทำเลี้ยงชีวิต ใช้ประโยชน์ในการมีชีวิต ให้ถูกต้องและดีงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  
บำเพ็ญจิต  บำเพ็ญอย่างไร อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ศิษย์ของอาจารย์มีหลายแบบ ใช่ไหม (ใช่)  ขยันทำงานในห้องพระ แต่ไม่ขยันทำงานนอก ขยันทำงานดูแลสถานธรรม แต่ไม่ขยันชวนคน หรือขยันทำงานในสถานธรรมแต่ไม่ขยันทำงานที่บ้าน อย่างนี้ก็ไม่ได้ แล้วเมื่อไรที่ศิษย์เป็นคนขยันทำความสะอาดในห้องพระ ศิษย์มักจะเป็นอย่างหนึ่งคือ พอทำสะอาดแล้ว ใครอย่ามาทำสกปรก อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ถ้าศิษย์คิดแบบนี้ ศิษย์จะไม่มีกุศล ศิษย์จะมีแต่บุญ แต่เป็นบุญที่ไม่บริสุทธิ์ กุศลที่แท้จริง คือ ทำเพื่อให้เขามาทำให้สกปรกอีก แล้วเราได้ทำอีก ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นทำเพื่อให้เขาทำสกปรก แล้วเราได้มีใจได้ทำสะอาดอีก นี่คือจิตเป็นกุศล ถูกไหม (ถูก)
ศิษย์นำพาคนไหม บางคนขยันทำข้างนอกเป็น แต่ไม่ขยันข้างในสถานธรรมในบ้าน ขี้เกียจทำหรือไม่ ชวนคนเก่งที่หนึ่งเลย แต่ชวนคนเก่งที่หนึ่งแล้วเป็นอย่างหนึ่ง ที่จะไม่ได้กุศล แต่ได้บุญอันไม่บริสุทธิ์ คืออะไร คนนี้ฉันก็ชวน คนนั้นฉันก็ชวน พอนานไปแล้วเขาลืมฉัน เป็นไหม (เป็น)  เขาลืมแล้วหรือว่าฉันเป็นคนชวนเขามานะ ตอนนี้เขาเป็นเจี่ยงซือแล้ว เขาลืมฉัน ถึงเวลาฉันต้องมาอยู่ต่ำกว่าเขา อย่างนี้ได้ไหม คิดแบบนี้ได้ไหมศิษย์ (ไม่ได้)  อย่างนี้เรียกว่าอะไร อย่างนี้เรียกว่ายึดติด เมื่อไรที่ยึดติด นั่นไม่เรียกว่ากุศล แต่เป็นบุญอันไม่บริสุทธิ์ เพราะบุญที่บริสุทธิ์ต้องชำระจิตให้ผ่องใส แต่ทำแล้วจิตยังขุ่นมัว ไม่เป็นกุศลเพราะอะไร มีความโลภ มีความหลง ใช่หรือไม่ ฉะนั้นทำแล้วต้องปล่อยวาง ถึงเวลาเขาเหยียบหัว เหยียบเรา เราก็ต้องปล่อย ปล่อยได้ไหม (ได้)  เขาไม่ยอมเรา ปล่อยได้ไหม (ได้)
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ กับอีกแบบ มีฐานะเป็นฐันจู่ บำเพ็ญจิตไหม ไม่เอา ทำอะไรไหม ไม่ทำ มาห้องพระไหม แทบจะไม่มา มีหัวข้อพูดเมื่อไร มาเมื่อนั้น อย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ตั้งปณิธานฐันจู่ไปทำไม ถ้าอย่างนั้นเป็นเจี่ยงซือไปอย่างเดียวพอ ฐันจู่ไม่ต้องตั้ง แต่ศิษย์จะบอกอาจารย์ว่า ก็ตั้งไปแล้วอาจารย์ ถอยไม่ได้แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อถอยไม่ได้แล้ว ความหมายคืออะไร ต้องเดินหน้าอย่างเดียว ถ้าศิษย์ไม่ลุปณิธาน แล้วกลับมา จะกลับมาเกิดใหม่ เอาไหม จนกว่าจะลุปณิธาน แล้วก็ลืมอีก ต้องกลับมาเกิดใหม่ แล้วตอนนั้นอาจารย์อาจจะไม่ปกโปรดชี้นำแล้วด้วยก็ได้ เอาไหม (ไม่เอา)  ฉะนั้นทำให้เต็มที่ มีโอกาสก็มา ไม่จำเป็นต้องลางานก็ได้ ใช่หรือไม่
กับอีกแบบหนึ่ง รู้ดีไปหมด ห้องพระ โน้นฉันก็รู้ นี่ฉันก็รู้ รู้ไปหมด พูดก็เก่ง แต่ทำอะไรไม่เคยเก่งสักที ใช้คนโน้นที ใช้ชาวบ้านเขาไปตลอด ได้ไหม (ไม่ได้)  อย่างนี้จะเรียกว่าฐันจู่ที่ดีไหม (ไม่ดี)  แล้วเป็นไหม (เป็น, ไม่เป็น)  ตอบอาจารย์สิเป็นไหม เบาเหลือเกินนะเสียง เราทำเต็มที่แล้ว นานๆ เขามาที ใช้เขาให้เต็มที่เลย ได้ไหม (ไม่ได้)  ทำไหม (ไม่ทำ)  อย่าทำ ศิษย์บางคนถือโอกาส เห็นเขามาก็ดี ศิษย์จะได้เบาๆ บ้าง ปล่อยให้เขาทำให้เต็มที่ ไม่ถูกนะ เราก็ต้องร่วมทำด้วย ร่วมเหนื่อยกับเขาด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอต่อไปมีเรื่องมีราว เขาก็จะได้อยากมาอยู่กับเราด้วย อย่าให้เขาเข็ดกับเราอีกเลย ไม่ดีไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)
นำพาเวไนย ทำไมเราจึงต้องนำพาฉุดช่วยเวไนยให้พ้นทุกข์ เพราะเราเข้าใจชีวิต เราเข้าใจยุคนี้เป็นยุคสาม ปกโปรดเวไนยให้พ้นทุกข์ ชีวิตนี้คือ กรงขังแห่งทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นวัฏฏะวนที่ไม่มีใครตัดได้ นอกจากคนที่จะรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นให้อะไรไม่ประเสริฐเท่าให้ธรรม การให้ธรรมชนะการให้ทั้งมวล รสแห่งธรรมชนะรสทั้งมวล อาบอิ่มในธรรมยิ่งกว่าอาบอิ่มใดๆ ทั้งมวลในโลกนี้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วเมื่อไรเราสามารถเอาชนะกิเลสตัณหาได้ เราคือผู้ชนะความทุกข์ในโลกได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราจึงต้องเข้าใจโดยเฉพาะยุคนี้ อาจารย์ไม่อยากพูดว่า เป็นเพราะว่าเภทภัยน่ากลัว เพราะถ้าพูดไป ศิษย์ก็จะบอกว่า เมื่อไรเล่าอาจารย์ อยากรู้กันจริงๆ อาจารย์ก็ไม่เข้าใจจะรู้ไปทำไม ให้มันไม่มานั่นดีแล้ว แต่ถามอาจารย์ วันที่เท่าไร ศิษย์จะได้เตรียมตัว ถูกไหม เขามีแต่ให้มันไปไกลๆ ศิษย์ก็อยากจะเรียกให้มันมา อะไรๆ เกิด ศิษย์ก็บอก ใช่เลยๆ มันจะเกิด เพื่ออะไร
ต้นเหตุแห่งภัยพิบัติทั้งมวลในโลก เกิดจากอะไรรู้ไหมศิษย์ เกิดจากหัวจิตหัวใจของคนที่ตอนนี้ขาดธรรม ขาดจนไม่เหลือแล้วความเป็นคน มนุษย์เมื่อไรทำอะไรโดยขาดธรรมในความเป็นคน โลกย่อมเปลี่ยนแปลง จริงไหมศิษย์ คนเดี๋ยวนี้ทำอะไรมักง่าย ขาดคุณธรรม ขาดเมตตา หนึ่งคนมักง่ายอย่างหนึ่ง เอาแค่ตัวศิษย์เอง ทิ้งขยะชิ้นเดียว มักง่ายทุกวัน โลกร้อนไหม (ร้อน)  ร้อนแล้วเกิดผลกระทบอะไร ศิษย์ก็รู้ ฉะนั้นภัยพิบัติเกิดจากอะไร เราต้องมองให้ถึงจุดต้นเหตุ เกิดจากหัวใจที่ขาดธรรม ขาดมโนธรรมสำนึก ขาดจิตเมตตา ขาดความซื่อตรง แล้วก็เป็นคนเกียจคร้าน ใช่ไหม (ใช่)  ขยันหน่อยจะเป็นอะไร เกียจคร้านกันเหลือเกิน เดินอีกนิดหน่อย ก็ถึงถังขยะแล้ว อาจารย์ถามหน่อย ชั้นนี้เป็นชั้นฐันจู่ ใช่ไหม (ใช่)  กินข้าวใครล้างจานบ้าง ใครเก็บจานตัวเองบ้าง เก็บจานไหม (เก็บ)  เก็บเก้าอี้ไหม (เก็บ)  เช็ดโต๊ะไหม (เช็ด)  เข้าห้องน้ำ เข้าเสร็จแล้วทำเลอะ ล้างไหม (ล้าง)  เห็นพูดดี แต่ทีเหลวทุกที ใช่หรือไม่ ถ้าทุกคนร่วมกันดูแล ทุกคนร่วมกันเอาใจใส่ โลกนี้จะเกิดภัยพิบัติไหมศิษย์ (ไม่เกิด)  ความน่ากลัวจะไม่เกิดได้ ถ้าทุกคนร่วมมือกันดูแล ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้ามนุษย์รู้จักดูแลจิตใจของตัวเองให้ดี มีหรือจะเกิดอันตราย เพราะเราทำอะไรด้วยสติ และผ่านการกล่อมเกลาด้วยปัญญา และดำเนินอยู่ในหนทางแห่งธรรม ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมจึงไม่ใช่เรื่องยาก การบำเพ็ญธรรมจึงไม่ควรขาดหายไปจากลมหายใจการเป็นคนและการมีชีวิต
แต่สิ่งหนึ่งที่อาจารย์เข้าไม่ถึงใจของศิษย์ แล้วแก้ไม่ถึงต้นเหตุของศิษย์ คืออะไรรู้ไหม คือ ศิษย์ทุกคนไม่เคยยอมรับว่าตัวเองผิด ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองมีนิสัยที่ไม่ดี ที่ต้องแก้ พูดกับอาจารย์ หัวดื้อไหม ดื้อ แก้ไหม ไม่เคยแก้ ใช่ไหม (ใช่)  บางคนเถรตรง ซ้ายก็ต้องซ้าย ขวาก็ต้องขวา เป็นอย่างนั้นไหม เป็นไหม (เป็น)  ยังมีคนไม่กล้าตอบอาจารย์อีกนะ ฉะนั้นศิษย์จะไม่มีวันบำเพ็ญได้ถึงที่สุด หรือเข้าถึงการบำเพ็ญได้ ถ้าศิษย์ไม่ยอมรับว่าศิษย์มีข้อผิดพลาดกัน ใช่ไหม (ใช่)  เก่งนัก การดูคนอื่นแม่น การดูคนอื่นเป็น แต่เก่งไหม ดูตัวเองเป็นหรือไม่ ใช่ไหม (ใช่)  
อารมณ์โกรธนี้เป็นอย่างแรกสุดสำหรับคนบำเพ็ญ ที่น่าจะตัดได้แล้ว แต่ยังตัดไม่ได้กันสักที ควรจะเป็นคนใจเย็น ขึ้นชื่อว่าผู้บำเพ็ญ ต้องใจเย็นเป็นอันดับหนึ่ง ใจเย็น ใจเย็น ท่องไว้ ใจเย็นไหม ไม่ เย็นชา เขาเหนื่อย เหนื่อยไป ฉันเหนื่อยพอแล้ว ถูกไหมศิษย์ (ไม่ถูก)  แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  ยังจะบอกไม่เป็นอีก ใครพูดอะไรผิดหูได้ไหม ใครทำอะไรผิดใจได้ไหม เข้าใจที่อาจารย์อยากจะให้ศิษย์รับรู้ไหม เพื่ออาจารย์หรือไม่ (ไม่ใช่)  เพื่อใคร (เพื่อตัวเราเอง)  เพื่อตัวศิษย์เองนะศิษย์รัก เวลามีไม่มาก เวลาใครเล่า (เวลาของเรา)  เราช่วยเขา เราเห็นเขาไหม เห็นชัดเจนเลยว่า การประมาทในการดำเนินชีวิต คือหนทางแห่งความตาย การไม่มองเห็นทุกข์ให้ชัดเจน จะทำให้ตัวเองทุกข์จนวันตาย แล้วศิษย์เข้าใจจนถึงขนาดนี้แล้ว ทำไม่ยังพ่ายแพ้ภัยตัวเอง บำเพ็ญเพื่อยอมจนถึงที่สุด ไม่มีอะไรให้ยอม นั่นเรียกว่าบำเพ็ญได้ถึงที่สุด ถูกกล่าวหา ถูกต่อว่า ถูกตำหนิ ถูกใส่ไคล้ นั่นก็คือการทดสอบใจ ยินดีรับด้วยใจที่แช่มชื่น ไม่โกรธ เพราะนั่นคือการขัดเกลาจิตใจของตัวเอง ถ้าเราโกรธ ถ้าเรายึดมั่น เราก็ยังมีตัวตนให้ต้องทุกข์ ศิษย์ก็ยังต้องไปรับผลกรรมอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าโกรธ ใจเย็นๆ ให้อภัยด้วยความเข้าใจ
ในโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้ ล้วนคือความทุกข์ ยึดมั่นดีก็ทุกข์ดี ยึดมั่นโชควาสนาก็เป็นทุกข์ในโชควาสนา ยึดมั่นในตัวตนก็เป็นทุกข์สารพัดสิ่ง บำเพ็ญเพื่อไม่ยึดมั่น บำเพ็ญเพื่อปล่อยวาง สัจธรรมชีวิตมีให้เราเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ดูให้เต็มตา แล้วถึงเวลาอาจารย์ก็ต้องไป ศิษย์เอ๋ย ทำถึงที่สุดกันหรือยัง (ยัง)  เต็มที่กันหรือยัง (ยัง)  ยอมจนถึงที่สุด ไม่มีอะไรยอมได้หรือยัง (ยัง)  ปล่อยวางได้บ้างหรือยัง อยากจะลืมทุกข์ ช่วยเวไนยจึงลืมความทุกข์ความเจ็บปวดของตน มุ่งมั่นแล้ว ไม่ถึงที่สุด ไม่ถึงเส้นชัย ไม่ถอยสักก้าวเดียว ทำให้ได้นะ ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าเรื่องราวใดๆ ในโลกใบนี้ อยากจับมืออาจารย์ไหม เพื่ออะไรเล่าศิษย์ อาจารย์มาเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่เพื่อศิษย์ ใช่ไหม อาจารย์ทำเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่ทำเพื่อศิษย์ ถูกหรือไม่ เหนื่อยก็ได้ แต่อย่าท้อ ท้อก็ได้แต่อย่าหยุด เข้มแข็ง มุ่งมั่นให้ถึงที่สุด มาห้องพระ มาช่วยคนนะ อาจารย์ไม่เคยท้อ เพื่อศิษย์รักอาจารย์ไม่เคยหวั่น ขอให้ทำเพื่อเวไนย เพื่อศิษย์รักอาจารย์ทำได้ทุกอย่าง แต่ศิษย์จะทำทุกอย่างเพื่ออาจารย์ได้ไหม เจ็บปวดก็เพื่อปล่อยวางนะ ยุ่งมากนักหรือ ศิษย์เอ๋ยถึงเวลาทุกสิ่งต้องเป็นไป ศิษย์ก็ได้ไม่หมดหรอก ใช่ไหม ชีวิตทุกข์มากแล้ว ที่สุดของทุกข์คือการปล่อยวาง ที่สุดของชีวิตคือการไม่ยึดมั่นถือมั่น อดทนได้ก็อดทน เต็มที่แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  มุ่งมั่นให้เต็มที่นะ เข้าใจในการช่วยคน เป็นคนดีที่ขาดไม่ได้ เข้มแข็งอย่าอ่อนแอ
(พระอาจารย์เมตตาให้ฐันจู่ในชั้นร้องเพลงพระโอวาท
“เจ้าคือธงชัยของอาจารย์และอาจารย์ก็คือธงชัยของเจ้าเช่นกัน”)

อาจารย์อยากให้เพลงนี้กับคนที่นี่ด้วยนะ ให้กับฐันจู่ ศิษย์คือธงชัยของอาจารย์ หมายความว่า อาจารย์ก็คือธงชัยของศิษย์เช่นกัน ได้หรือไม่ เดี๋ยวจะกลับบ้านดึกนะ อาจารย์ก็คงต้องกลับแล้ว ตอกย้ำเข้าไปในใจ แล้วทำให้ถึงที่สุดนะ เข้าใจนะ เพื่อศิษย์แล้วอาจารย์ไม่เคยหวั่น เพื่อศิษย์แล้วอาจารย์ไม่เคยเหนื่อย เพื่อศิษย์แล้วอาจารย์ทำได้ทุกอย่างนะ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา