วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

2553-06-19 สถานธรรมเต๋อจื้อ จังหวัดกระบี่


西元二○一○年 次庚寅  月  初 仙佛慈悲
วันเสาร์ที่ ๑๙ มิถุนายน  พุทธศักราช ๒๕๕๓      สถานธรรมเต๋อจื้อ    จังหวัดกระบี่
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
ทองบริสุทธิ์ต้องหลอมด้วยไฟแรง คนจะแกร่งล้วนต้องผ่านอุปสรรคมาก
คนสำเร็จเกิดมาจากความลำบาก ความยุ่งยากเอาไว้คัดคนจริง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ในสภาพความสับสนทั้งกายใจ มรสุมใดเป็นความทุกข์ฤทัยหมอง
ปัญหาอยู่กำหนดคนกายใจฟ้อง ฝึกใจมองด้วยสติเห็นสัจธรรม
โลภะสู่อามิษแม้ผิดยังก่อ อบายมุขล้อสำนึกว่าถูกยันค่ำ
บำเพ็ญใจฝึกหมั่นหยุดสร้างกรรม รู้พูดทำระวังบาปห่างไกล
โทสะไม่ยั้งจิตถูกบังคับวิ่ง ไม่ทันนิ่งฝ่าฟันอะไรได้
จากความคิดพลิกตามอารมณ์ไป หวังผู้คุมมือใหม่ชนะตน
คนบำเพ็ญฝึกแม้วางในว่าง พึงไม่ต้องการส่วนต่างแสวงผล
ปัญหาอาจหากลึกไปในตน ใครไม่นับถือตนฟื้นฟูอะไร
ชังร้ายหน่ายความจริงนิสัยคน กว่าสามัคคีใจกลางวนร้อยไขว้
สรรพสิ่งอยู่ในมือแค่รู้จักใจ อภัยนั้นคือการให้ชีวิตคน
หวนคืนบรรยากาศทุกวันมีธรรม เพราะมีธรรมจึงมีคนกระนั้น
การถ่ายทอดมหาธรรมแสงตะวัน บำเพ็ญทันพ้นทุกข์ชั่วกาลนาน
      
ฮา ฮา  หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
รอจนคอแห้งผากเลยหรือเปล่า หรือว่ารอจนร้อนแย่เลย  ร้อนไหม มีทั้งร้อนและไม่ร้อน ปิดพัดลมเอาไหม  ร้อนไม่ร้อนขึ้นอยู่กับพัดลมหรือขึ้นอยู่กับใจ (ขึ้นอยู่กับใจ)  ร้อนไม่ร้อนจริงๆ แล้วก็ขึ้นอยู่กับใจ ถ้าใจเย็นกายก็น่าจะเย็นใช่หรือไม่ (ใช่)  ถามหน่อยนะ อยู่ในเมือง ถ้าเราพูดไปแล้วเขาย้อนคำพูดเรากลับอยากฟังเขาคุยไหม (อยากฟัง)  จริงหรือ  
ใกล้จะหมดวันแล้ว รู้สึกว่าเราทนเก่งไหม (เก่ง)  แล้วพรุ่งนี้จะทนได้อีกวันหนึ่งไหม (ได้, สู้แล้วก็ต้องสู้ให้ตลอด) ฉะนั้นปรบมือให้คนพูดหน่อยสิ  สู้แล้วต้องสู้ให้ตลอด ไปแล้วต้องไปให้ถึงที่สุดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่กลัวบางคนปากว่าตาขยิบ พูดได้แต่ทำไม่ได้ ฉะนั้นน่ากลัวกว่าใช่หรือไม่ (ใช่)  
“ความยุ่งยากเอาไว้คัดคนจริง”
รู้สึกว่ามานั่งฟังผ่านแต่ละชั่วโมงเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกินใช่ไหม พอหลับก็โดนสะกิด พอคุยก็โดนว่า ยกขาก็โดนเตือน ถูกบอกให้นั่งตรงๆ ใช่หรือเปล่า  ฉะนั้นมานั่งตรงนี้ก็เลยเหมือนทดสอบหัวใจเรา  อยู่บ้านตามใจตัวเองจนเคยชิน พอมาฟังธรรมะถูกคนขัดใจบ้าง จะรับไหวไหม (ไหว)  ลดอารมณ์ตัวเองบ้าง ดีหรือไม่ (ดี)  ไม่ใช่มาฟังธรรมะแล้วนิสัยยังพอกพูน กิเลสก็ถาโถม อย่างนี้ก็นั่งฟังธรรมะเสียเปล่า เหมือนที่มนุษย์มักจะพูดว่าใครร้ายมาเราก็ (ร้ายไป)  ใครดีมาเรา (ดีไป)  แล้วโลกวุ่นวายเพราะว่าอะไรล่ะ ก็คนคิดอย่างนี้ ถูกหรือไม่ ไม่มีใครยอมใครเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เราฟังธรรมะเพื่อเรียนรู้ที่จะรู้จักยอม เราศึกษาธรรมะเพื่อเรียนรู้ที่จะให้อภัย เราปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะเปิดใจกว้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในโลกมนุษย์สอนให้เราเป็นอย่างไร (เป็นคนดี)  ในโลกสอนให้เราต้องได้ สอนให้เราต้องมั่งมี สอนให้เราต้องชนะอย่าแพ้ สอนให้เรารวยๆ แต่ธรรมะสอนให้ท่านวาง ในโลกสอนให้เรารู้จักเข้มแข็ง เอาชนะ แต่ธรรมะสอนให้เรารู้จักแพ้และอ่อนน้อมถ่อมตน ในโลกมนุษย์สอนให้สูงส่ง ยิ่งใหญ่เหนือใคร แต่ธรรมะสอนให้มนุษย์ต่ำเตี้ยและสามัญชน บางคนยังฟังเราไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวเราพูดใหม่นะ ในโลกสอนให้มนุษย์มั่งมี ร่ำรวย แต่ธรรมะสอนให้มนุษย์ว่างเปล่า ปล่อยวาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปล่อยวางได้หรือยัง (ยัง)  ยังอีกหรือ วันนี้ถ้าไม่ปล่อยลูกปล่อยหลาน ปล่อยงาน คงมาฟังที่นี่ไม่ได้หรอกนะ ธรรมะยังสอนอีกว่าให้มนุษย์รู้จักอ่อนน้อม สุภาพ แต่ทางโลกสอนให้มนุษย์รู้จักแข็งกระด้าง ธรรมะสอนให้มนุษย์รู้จักสามัญปกติ แต่ทางโลกสอนให้ยิ่งใหญ่ ข่มคน ถูกหรือเปล่า (ถูก)  เป็นไหม ทำไมยิ่งเรียนรู้มาก มนุษย์กลับยิ่งวางตัวข่มคนอื่นมาก และเราชอบหรือไม่ ที่มีความรู้มากๆ เก่งแต่ชอบข่มคนอื่น เราชอบไหม (ไม่ชอบ)  
เวลาเราแข่งกัน เราก็อยากเป็นคนที่รู้จักแพ้รู้จักชนะบ้าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตัวเรามักจะชนะได้แต่แพ้ไม่เป็น จริงไหม ฉันต้องฉลาดห้ามโง่ ฉันต้องสูงส่ง ห้ามต่ำเตี้ย  แต่วันนี้เราจะมาบอกท่านว่าเราไม่สอนแบบนั้น เราไม่บอกแบบนั้น แต่จะบอกสิ่งที่ตรงข้ามแบบนั้น ท่านอยากฟังเราพูดไหม  ให้รู้จักไม่มี ให้รู้อ่อนน้อม และให้รู้จักต่ำเตี้ยสามัญ  เอาไหม (เอา) แต่ว่าจะฟังเรื่องของเรานั้นต้องมีองค์ประกอบสองอย่าง คือ สติปัญญา และหัวใจ  
คนบางคนทำงานด้วยหัวใจ แต่ขาดซึ่งสติปัญญา ก็ทำให้เกิดความล้มเหลวได้ แต่คนบางคนใช้สติปัญญาจนขาดหัวใจ ก็กลายเป็นดู แห้งแล้งกระด้างกระเดื่องเกินไป  พูดง่ายๆ  ก็คือถ้าทำอะไรด้วยหัวใจแต่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี คนๆ นั้นก็อาจจะล้มเหลวไม่สำเร็จ  แต่ถ้าอยู่ในความผิดชอบชั่วดี  ถูกต้องเหมาะสม ขาดหัวใจเมตตาและอ่อนโอน การกระทำนั้นก็ดูแห้งแล้งเกินไปใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้จะฟังเราจะต้องประกอบไปด้วย สติปัญญา และหัวใจ แล้วตอนนี้หัวใจ ยังอยู่กับท่านไหม  สติยังอยู่กับท่านไหม (อยู่)  ถ้ามีสติ ปัญญาก็เกิด  แต่ถ้ามีหัวใจ สติปัญญาก็มา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขอให้อยู่กับเราด้วย สติปัญญา และหัวใจ
เรายกตัวอย่างง่ายๆ  ทุกท่านชอบฟังนิทานใช่ไหม (ใช่)  ในโลกของความเป็นจริงนี้มีทั้งคนดี และคนไม่ดี ถ้าเกิดวันหนึ่งท่านเป็นพระที่อยู่ในวัด  แล้วท่านได้ยินข่าวแว่วๆ  มาว่า มีลูกวัดชอบหนีออกจากวัดไปเที่ยว ท่านจะจัดการอย่างไร  ใช้สติปัญญา หรือใช้หัวใจจัดการ ใช้สติปัญญา ใช่หรือไม่แล้วหัวใจล่ะ ใช้ไหม (ใช้)  ฉะนั้นพอพบเขา เห็นเขากระโดดจากกำแพงตุ๊บ จัดการอย่างไรดี คนส่วนใหญ่บอกว่าจัดการลงโทษเลย ใช่หรือไม่ (ใช่, ไม่ใช่)  พระองค์นี้จัดการอย่างไร รู้ไหม  ก่อนที่พระรูปนี้จะกระโดดออกมาจากกำแพง ท่านเห็นแล้วว่าที่กำแพงมีเก้าอี้พาดอยู่  เอาเก้าอี้ออก นั่งรอข้างกำแพง นั่งรอจนกว่าเขาจะกลับ พอเขากลับมา เขานึกว่าพระองค์นี้เป็นเก้าอี้ พอเป็นเก้าอี้เป็นอย่างไร  เหยียบลงมา พอเหยียบเสร็จแล้วทำอย่างไร ก็เดินไปใช่หรือไม่  แต่ความรู้สึกของคนเมื่อเหยียบกับสิ่งที่ไม่คุ้นเคยจะต้องรู้สึกแปลกแบบว่า ใช่เก้าอี้ไหม แต่ยังไงก็ต้องกระโดดข้ามมาถูกหรือไม่  เมื่อเหยียบไปเสร็จออกมาข้างๆ เก้าอี้เขาตกใจไหม เห็นอะไร  เพราะเห็นเจ้าอาวาสใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เจ้าอาวาสหันมาบอกเขาว่า ออกไปข้างนอกหนาวไหม  รีบกลับไปหาอะไรอุ่นๆดื่ม  ดีหรือเปล่า ลูกวัดที่ได้ยินแบบนี้ละอายใจไหม  อย่างแรกคือเหยียบลงไปที่ตัวเจ้าอาวาส อย่างที่สองเห็นเราผิดแล้วแต่ยัง ไม่โกรธกลับเมตตา
คนที่ผิด เมื่อไม่โดนประนามแต่ได้รับความเห็นใจและเข้าอกเข้าใจ หลังจากนั้นคิดว่าลูกวัดคนนี้จะหนีออกไปอีกไหม (ไม่หนี)  เพราะอะไร เพราะละอายใจ เราจึงอยากจะบอกท่านว่า ในโลกใบนี้ขาดคนท้องใหญ่ใจกว้าง ขาดคนใบหน้ายิ้มแย้มสลายความทุกข์ เราอยู่ด้วยกันอย่างคนท้องเล็กใจแคบ หน้าบึ้งเพิ่มทุกข์ ฉะนั้น เราศึกษาธรรมเพื่ออะไร เพื่อคอยจับผิดผู้อื่นหรือเพื่อเปิดเมตตาจิตแล้วให้อภัยผู้อื่น เพื่อเปิดเมตตาจิตและฝึกการให้อภัยผู้อื่นอยู่เป็นนิจ ไม่ใช่การศึกษาธรรมเพื่อคอยจับผิดผู้อื่น ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นเราศึกษาธรรมเพื่อ “ท้องใหญ่ใจกว้างรับได้ทุกเรื่องราว มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่เป็นนิจเพื่อสลายทุกข์ภัย” ไม่ใช่มีชีวิตเพื่อจะคอยคิดว่า “ใครผิด ใครเลว ใครไม่ดี” เพราะยิ่งคิดแบบนั้นคนก็ยิ่งไม่มีวันจะดีขึ้นได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)  มีแต่จิตใจที่รู้จักให้อภัย ยิ้มแย้มเป็นนิจนั่นแหละถึงจะสามารถสลายความทุกข์แปรเรื่องร้ายเป็นเรื่องดี
เราศึกษาธรรมเพื่อเปิดจิตใจอันดีงาม เพื่อฟื้นฟูจิตใจอันดีงามให้กลับมาสู่ตัวเราอีกใช่หรือไม่  ท่านคิดว่าตัวท่านเป็นคนดีไหม จิตใจเป็นคนจิตใจดีหรือจิตใจร้าย (จิตใจดี)  จิตใจดี อย่างนั้นแปลว่า แม้ตัวเองจะลำบากแล้วให้คนอื่นเป็นสุขก็ยอมใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นวันนี้ผู้ปฏิบัติงานธรรมยืน แล้วนักเรียนนั่งใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นถ้าสลับกันบ้างให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมนั่งได้ไหม (ได้)  กี่ชั่วโมง พูดได้แต่ทำไม่ได้น่าอายไหม (ได้)  ได้กี่ชั่วโมง ( ชั่วโมง)  แน่ใจไหม ไม่ได้ยินเสียงหัวหน้ากับรองหัวหน้าเลย แน่ใจไหม  นักเรียนในชั้นแน่ใจไหม จะยอมยืน ยอมไม่ยอม (ยอม)  กี่ชั่วโมง  พูดแล้วต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองพูดใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่อย่างนั้นแล้วจะเสียสัจจะใช่หรือไม่ (ใช่)  ผู้ปฏิบัติงานธรรมยอมไหม ถ้าผู้ปฏิบัติงานธรรมยอม นักเรียนก็ต้องยืน ชั่วโมง  ผู้ปฏิบัติงานธรรมยอมไหม (ไม่ยอม)  ไม่ยอมที่เขายืนใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเขายืนเราก็ (ยืน)  ถ้าเขานั่งเราก็ (ยืน)  
ฉะนั้นพบเราวันนี้ เราไม่สอนวิธีร่ำรวย แต่เราสอนวิธีอยู่กับความจนให้เป็นสุขเอาไม่เอา (เอา)  ฉะนั้นถ้าพบเรา ไม่ต้องขออะไร เพราะเราไม่ให้ ถ้าพบเรา เรามีแต่จะขอท่าน ให้ท่านให้เรา อยากศึกษาธรรมกับเราไหม (อยาก)  อย่างนี้ก็ยังอยากอีกรึ (อยาก)  ปกติพบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ชอบขอใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์นี้ไม่ให้ท่านขอ แต่จะขอกับท่านได้หรือไม่ (ได้)  เรายกตัวอย่างง่ายๆ มนุษย์ทุกคนอยากร่ำรวยใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราบอกท่านว่าอย่ารวยเลย เป็นคนยาจกดีกว่า เพราะอะไรเราจึงพูดเช่นนี้ ท่านเคยได้ยินนิทานเรื่องหนึ่งไหม มีเศรษฐีคนหนึ่งไปเห็นปราสาทหลังหนึ่งสูงเทียมเมฆ พอเขาเห็นแล้วเขาชอบใจ กลับมาคุยกับนายช่างว่า นายช่างช่วยสร้างปราสาทแบบที่เขาเห็นหน่อย เขาก็บอกว่าเป็นอย่างไร พาไปดูหน่อย เขาก็พาไปดู พอพาไปดูเสร็จเขาก็บอกว่า อย่าลืมนะสร้างแบบนี้ๆ นายช่างก็เริ่มก่อสร้าง แต่ช่วงที่เริ่มก่อสร้าง เขาต้องปูตั้งแต่ชั้นล่าง ชั้นหนึ่ง ชั้นสองใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วค่อยไปชั้นสี่ ชั้นห้า ชั้นหก ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ช่วงที่เขากำลังก่อสร้างจะชั้นหนึ่งชั้นสองนั้น เศรษฐีบอกว่า ไม่เอาชั้นล่าง เอาแต่ชั้นบน นายช่างงงเป็นไก่ตาแตก เขาบอกว่า ช่างนี้สร้างไม่เป็น ฉันเอาแต่ชั้นบน ชั้นล่างฉันไม่เอา เขาไปหาสิบคน เขาจะหาคนไหนสร้างได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วตัวมนุษย์เราเป็นอย่างนี้ไหม อยากรวยๆ แต่ไม่ยอมรับกับความสามัญชนใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเป็นอย่างนั้นไหม เหมือนบำรุงบำเรอแต่หน้าให้สวย แต่ลืมดูแลรักษาร่างกายหรือขานี้ให้แข็งแรงใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วมนุษย์เราเป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  อยากได้ทองก็อยากได้ เงินก็อยากได้ เกียรติยศก็อยากได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีความสุขอยู่กับความฝันใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฝันว่าถ้ามีเงินมากๆ คงสุข แต่สิบบาทยี่สิบบาทเกลียดได้ไหม (ไม่ได้)  เงินมากๆ ต้องมาจากสิบบาทยี่สิบบาทรวมๆ กันเป็นหลายๆ บาท จึงจะเกิดเป็นคนที่ร่ำรวยได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
ไม่ภูมิใจในความธรรมดาสามัญของตน แต่หวังจะสร้างวิมานในอากาศชั้นสองชั้นสาม ใช่หรือไม่ (ใช่)  จึงมีคำกล่าวคำหนึ่งว่า “ทองล้วนเกิดได้จากถ้ำหินแร่ หยกเกิดจากหินอันขมุกขมัว เวไนยสัตว์หรือพุทธะล้วนมาจากตัวมนุษย์” ถูกหรือไม่ (ถูก)  ถ้ามนุษย์รู้จักพึงพอใจในเสื่อผืนหมอนใบ ก็คงสามารถซึมซับพลังอันอ่อนโยนแห่งฟ้าดินได้ ถ้ามนุษย์สามารถเป็นสุขกับข้าวชามน้ำถ้วย มนุษย์ก็สามารถที่จะเรียนรู้เข้าใจความเป็นจริงบนโลกได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ถ้ากินข้าวเปล่ากับน้ำ ฝืดคอไหม (ฝืดคอ)  กินลงไหม (ไม่ลง)  เสื่อผืนหมอนใบ นอนหลับไหม (ไม่หลับ)  แต่สักวันหนึ่งเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะมีเสื่อผืนหมอนใบ ข้าวชามน้ำถ้วย อย่าบอกว่าตัวเองจะมีกินไปตลอด ไม่จริงหรอก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยไหม มีเงินเต็มกระเป๋าแต่หากับข้าวกินไม่ได้ ซื้อได้แต่ข้าวเปล่ากับน้ำหนึ่งถ้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือไปบางที่ ข้าวก็หาไม่ได้มีแต่น้ำกินลูบท้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้น มนุษย์เราจึงไม่ควรดูเบากับความสามัญพื้นฐาน เพราะถ้าสามารถเป็นสุขกับความสามัญพื้นฐานได้ ถึงจะก้าวไปต่อ ก้าวไปถึงสูงสุด ก็ไม่ทุกข์ใจเพราะพอใจในความธรรมดาสามัญ
ชีวิตการสูญเสียไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า ความตายไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ แต่สิ่งที่ทุกข์ที่สุดเมื่อมีชีวิตนั่นก็คือ “ไม่รู้คุณค่าของจิตใจตน” ดั่งคำกล่าวที่ว่า “ถ้าวางใจเป็น น้ำร้อนก็กลายเป็นน้ำเย็น ถ้ารู้จักควบคุมใจเป็น แม้นรกก็กลายเป็นสวรรค์” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น จะทุกข์หรือสุขไม่ได้อยู่ที่สิ่งแวดล้อม แต่อยู่ที่ใจนั้นมองเรื่องราวเช่นไร จริงไหม (จริง)  ฉะนั้น ความทุกข์เกิดภายใต้เหตุผลที่มนุษย์เป็นคนก่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรื่องราวต่างๆ ทำให้มนุษย์ทุกข์และท้อไม่ได้ ถ้ามนุษย์ไม่มีมุมมองที่ทุกข์และท้อกับเรื่องราวนั้นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรายกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเปิดโทรทัศน์เครื่องหนึ่งแล้วดูเรื่องที่ชอบ นั่งชั่วโมงหนึ่งก็ไม่เมื่อย โดยเฉพาะถ้าดูฟุตบอล ใช่หรือเปล่า (ใช่)  สองชั่วโมงก็ไม่หิว สามชั่วโมงก็ไม่อยากกิน สี่ชั่วโมงแถมลืมนอนอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง ดีร้ายทุกข์สุข ไม่ใช่เรื่องราวเป็นผู้กำหนดแต่อยู่ที่หัวใจท่านเป็นคนกำหนด จริงไหม (จริง)  ถ้ารักซะอย่างแล้ว อะไรๆ ก็ดีหมด แต่อย่าลืมว่า อย่าใช้แต่หัวใจแล้วขาดสติปัญญา เพราะบางครั้งหัวใจทำให้เรานั้นต้องทุกข์หลายๆ ครั้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอะไรต้องประกอบไปด้วยสติปัญญาและ (หัวใจ)  จริงหรือเปล่า (จริง)
สิ่งที่มนุษย์อยู่ในโลกไม่ปรารถนาอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือถูกตำหนิต่อว่า  การถูกวิพากษ์วิจารณ์ ใส่ร้ายป้ายสี  ใช่ไหม (ใช่)  (มีไหม)  การไม่ถูกนินทา การไม่ถูกเข้าใจผิด เป็นเรื่องยากในโลก  แต่การให้อภัยไม่ต่อว่าต่อขาน ไม่โกรธคนที่เข้าใจผิด นินทา  เป็นเรื่องยากยิ่งกว่า ดังที่มนุษย์เรียนรู้กันว่าความผิดพลาดเป็นวิสัยของมนุษย์ แต่จิตใจที่รู้จักให้อภัยเป็นวิสัยของเทวดา  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราเป็นคนถือยศถืออย่างถือตัวถือตนไหม (ไม่)  เราเป็นคนขี้โมโหไหม (ไม่โมโห)  ไหนในโลกนี้มีใครไม่เคยโกรธเลยยกมือขึ้น  ไหนใครโกรธจนนับไม่ถ้วนยกมือขึ้น ยกทันที อย่างนี้น่าภูมิใจหรือ ถึงว่ายังคงเป็นมนุษย์ ยังไม่มีหัวใจเทวดา สักที จึงมีคำกล่าวต่อไว้บอกว่า มนุษย์ทุกคนนั้นย่อมถูกเข้าใจผิดได้เป็นธรรมดา มีใครบ้างไม่เข้าใจผิด มีใครบ้างไม่ถูกนินทาว่าร้าย
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้นักเรียนออกมายืนหน้าชั้นและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช้มือปัดเหนือศีรษะนักเรียน)  ท่านเห็นเราทำอย่างนี้ กับท่านนี้  ท่านคิดว่าทำอะไร    ท่านเห็นไหมว่าเรากำลังปัดแมลง โดยส่วนใหญ่เวลาเรามองอะไร หัวใจเราจะคิดร้ายมากกว่าคิดดี  คิดต่ำมากกว่าคิดสูง ตอนที่ท่านไม่เห็น ขณะที่เราทำอย่างนี้  ไม่ใช่ปัญหาที่ตัวท่านแล้วแต่เป็นปัญหาที่เขา ถ้าเราทำอย่างนี้ท่านคิดว่าอย่างไร  (ดูถูก)  ไม่ได้ดูถูก แต่เราจะบอกว่าให้นั่งได้แล้ว เห็นไหมว่าบางทีเรื่องราวความเข้าใจผิด อย่าวัดที่คนอื่น ต้องถามจิตใจเราว่ามองเรื่องราวผิดหรือเปล่า มองเรื่องราวดีไม่เป็นหรือไม่  
ฉะนั้นเราเป็นผู้ศึกษาธรรม เราเป็นผู้มีหัวใจอันดีงาม เราอยากเป็นคนดี สิ่งที่ควรจะเก็บไว้ในใจและไม่ควรห่างหายเมื่อพบเรื่องราว ร้อยแปดพันเก้าเมื่อพบคนนินทา เมื่อพบเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด นั่นคือจิตใจที่รู้จักให้อภัย จิตเมตตาโอบอ้อมอารี  นิสัยอันนี้เปรียบเหมือนช่องว่าง ช่องว่างนี้ยิ่งกว้างมากเท่าไหร่ ยิ่งขยายให้เปิดกว้างและใหญ่มากเท่าไหร่ การถือสาและโกรธคนก็เป็นเรื่องยาก แต่ใจของมนุษย์ชอบมองแคบๆ  มองต่ำๆ  ดูร้ายๆ  ใช่หรือไม่ (ใช่)
จงเปลี่ยนหัวใจใหม่ เปลี่ยนเป็นหัวใจที่เปิดกว้างๆ ขยายหัวใจให้กว้างๆ แล้วเราจะสามารถแปรเปลี่ยนสิ่งที่เข้าใจผิดเป็นสิ่งที่เข้าใจถูกได้ เราอาจจะแปรเปลี่ยนคนที่คิดร้ายให้กลายเป็นคนดีได้ อย่างเช่นถ้าเราผลักเขาอย่างนี้ แต่เขาให้เรานั่ง แต่ถ้าในใจเราคิดร้าย เราเหม็นขี้หน้า เราจะรู้สึกละอายใจไหม ละอายใจที่เขาปฏิบัติกับเรา เราจะสามารถแปรเปลี่ยนจิตใจคนที่คิดร้ายให้รู้สึกสำนึกผิดว่า ดูสิเราปฏิบัติต่อเขาไม่ดี แต่เขายังสุภาพและอ่อนน้อมกับเรา ฉะนั้นเรื่องราวในโลกจะกลายเป็นทุกข์และกลายเป็นปัญหาอยู่ที่เราลงมือจัดการและคิดเห็นอย่างไร ปัญหาไม่ใช่เกิดจากผู้อื่นแต่ปัญหาสามารถหยุดและแก้ได้ด้วยตัวเราเอง
อย่างแรก คือ สามารถยอมรับกับความสามัญ
อย่างที่สอง รู้จักให้อภัย ไม่ถือโกรธ
อย่างที่สาม รู้จักสุภาพอ่อนน้อม
ถ้าเราเดินมาคุยกับท่าน แล้วพูดว่า “ไงดีไหม เออดี” ท่านชอบไหม (ไม่ชอบ)  แต่ถ้าเราถามว่าเป็นอย่างไร สบายดีไหม ท่านชอบแบบไหนมากกว่า อย่างหลังหรืออย่างแรก (อย่างหลัง)  แล้วเราเป็นอย่างหลังหรืออย่างแรก (อย่างหลัง)  อย่างแรก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่จริงๆ แล้วความอ่อนน้อมคือชีวิต ความแข็งกระด้างคือความตาย สังเกตซิว่ายิ่งเด็กน้อยๆ ตัวอ่อนไหม (อ่อน)  แต่พออายุมาก แข็งไหม (แข็ง)  ฉะนั้นเราอยากอยู่ใกล้ความมีชีวิตหรืออยู่ใกล้ความตาย (ความมีชีวิต)  และสิ่งที่มีชีวิตสามารถเข้ากับทุกชีวิตได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความตายไปที่ไหนใครๆก็ (กลัว) และเราจิตใจเป็นอย่างไร อ่อนนุ่ม สุภาพ แข็งกระด้าง เอะอะมะเทิ่ง ใช่ไหม (ใช่)  ถ้าเรายังอยากมีชีวิตจงอย่าลืมจิตใจที่สุภาพอ่อนน้อม หรือดูง่ายๆ ลิ้นกับฟันอะไรไปก่อนกัน (ฟัน) ฉะนั้น ขอให้อย่าลืมความสุภาพอ่อนน้อม แต่ไม่ใช่ปลิ้นปล้อนกระล่อนหลอกลวง
และสิ่งที่เราพูดนั้นล้วนมีอยู่ในตัวท่านไหม (มี)  แต่ไม่ค่อยจะเลือกทำ ชอบแสดงท่าทีแข็งนอกอ่อนใน  ซึ่งจริงแล้วร่างกายของเราอ่อนนอกแข็งใน นี่แหละเรียกว่าชีวิตจำไว้นะ ถ้าเมื่อเราแข็งนอกอ่อนใน เรากำลังเดินไปสู่ความตายและยื่นความตายให้กับคนในบ้าน แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม พบหน้าลูกพูดดีๆ ไหม พบหน้าสามีพูดดีๆไหม สามีพบหน้าภรรยาพูดดีๆ ไหม อยู่กับคนนอกบ้านคุยได้ทั้งวัน แต่อยู่กับคนในบ้าน ไม่คุยใช่ไหม อยู่กับคนนอกบ้าน ปากนั้นชมคนเก่ง แต่อยู่กับคนในบ้านชมใครไม่เป็นเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความสุภาพอ่อนน้อมคือชีวิต เมื่อไรที่เราเรียนรู้ที่จะสุภาพอ่อนน้อม เราเรียนรู้การมีชีวิตและการให้ชีวิต แต่เมื่อไรเราดื้อดึงแข็งกระด้าง เราก็คือความตายที่ให้ความตายกับผู้อื่น ฉะนั้นอยากมีชีวิต หรืออยากเดินไปสู่ความตาย (อยากมีชีวิต)
อย่างที่สี่ สิ่งที่มนุษย์ทุกคนไม่ปรารถนาคือ ความทุกข์
ไม่มีใครปรารถนาความทุกข์  แต่ถ้าศึกษาธรรม ท่านต้องเรียนรู้ที่จะรับความทุกข์ให้เป็น เพราะความทุกข์นั้นถ้าเรียนรู้และเข้าใจ จะนำพาให้มนุษย์พบความสุขอันนิจนิรันดร์ แต่มนุษย์ในโลกไม่ใช่อย่างนั้น มนุษย์เกลียดความสามัญ ไม่ชอบการสูญเสียและอยากหนีให้พ้นจากความทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)  ทั้งที่จริงถ้ามนุษย์เข้าใจและเรียนรู้ทุกข์ได้ถูกต้อง มนุษย์ก็สามารถพ้นทุกข์นิรันดร์ ความทุกข์เป็นสิ่งน่ากลัวไหม น่ากลัวหรือ
การเรียนรู้หลักธรรมทำให้เราเข้าใจชีวิต เพราะคนที่จะรับมือกับชีวิต และนำพาชีวิตให้พ้นทุกข์ก็คือ ตัวท่านเอง ตัวเราช่วยท่านได้แค่เป็นผู้ชี้ทาง  จำไว้ว่าเกิดเป็นคนที่ประเสริฐที่สุดก็คือ สามารถพ้นทุกข์ ลืมไปหรือเปล่า แล้วเมื่อไหร่ที่เราก้าวพ้นทุกข์ได้ เราก็พ้นการเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้ได้ จริงหรือไม่ (จริง)  หรือยังอยากเกิดอีกยกมือขึ้น ยังอยากเกิดอีกหรือ  ฉะนั้นแน่ใจหรือว่าชาติหน้าเกิดมาจะได้เป็นคน  รู้ไหมว่าเกิดชาติหน้าจะได้เป็นคนอีก ศีลห้าต้องรักษาให้ครบ ถ้าศีลห้ายังรักษาไม่ครบ โอกาสจะกลับมาเกิดเป็นคนยาก  แต่มนุษย์ศีลห้าจำได้ไหม ถือได้ครบไหม ไม่โกหกทำได้ไหม
ไม่อยากได้ของคนอื่นทำได้ไหม (ได้)  ไม่ผิดลูกผิดเมียผู้อื่นได้ไหม (ทำได้) แน่ใจนะ พอเห็นคนหน้าตาดีๆ  หล่อๆ  ชอบไหม มองไหม  (มอง)  นั้นคือผิดทางความคิดแล้ว เคยไหมบอกสามีข้างบ้านเขาดีกว่าบ้านเรา ไม่ได้รักเขาหลอก แต่อดเปรียบเทียบว่าแบบนั้นดีกว่าไม่ได้
ฉะนั้นถ้าอยากเกิดเป็นคนอีกครั้งหนึ่ง ศีลห้าต้องรักษาให้ครบ แต่ถ้าศีลห้ารักษาไม่ครบ ไม่รับประกันนะว่าจะได้เกิดมาได้เป็นคนหรือเปล่า ก่อนที่จะพูดเรื่องทุกข์เรายกตัวอย่างง่ายๆ เราดับความโกรธได้หรือยัง ถ้ายังดับความโกรธไม่ได้ ก็ง่ายที่จะตกลงสู่นรกอเวจี  ดับความโลภได้หรือยัง ถ้ายังดับความโลภไม่ได้ก็ง่ายที่จะเป็นเปรต เป็นภูตผี ใช่ไหม (ใช่)  ดับความหลงได้หรือยัง (ยัง)  ถ้ายังดับความหลงไม่ได้ก็จะต้องตกไปเกิดเป็นเดรัจฉาน  เห็นไหมว่าถ้าอยากดับความทุกข์  โลภ โกรธ หลง ยังตัดไม่ได้ ยังไม่เบาบาง ท่านก็ไม่มีวันที่จะหนีพ้นอบายภูมิ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอย่าเพิ่งไปไกลเลย เอาตอนนี้ก่อนดีกว่า เรียนรู้ที่จะเข้าใจทุกข์ให้เป็น เพราะการศึกษาธรรมไม่ให้ท่านไปควบคุมใคร แต่ให้ควบคุมอย่างเดียวคือคุมใจของตนให้ดี คิด พูด ทำให้บริสุทธิ์ ไม่มีโลภ โกรธ หลง เคลือบแฝง ถ้าทำได้เช่นนี้ท่านก็สามารถพ้นทุกข์ได้  พูดง่าย ทำง่ายไหม
ฉะนั้นเราต้องรู้จักพอใจในธรรมดาสามัญ เพราะมนุษย์ไม่รู้จักในความธรรมดาสามัญ ไม่รู้จักการยอมรับการตำหนิ ความโกรธ ความโลภ ความหลง ก็ยังคงหนีไม่พ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ามนุษย์รู้จักความสามัญ ใครตำหนิต่อว่าไม่ถือโกรธ ให้อภัย เห็นไหมตัดได้ ทั้งความโลภและความโกรธ  เรียนรู้กับผู้คนด้วยการอยู่กับทุกข์ให้เป็น นั่นก็มีปัญญาเห็นแจ้งตัดความหลง และเราจะเรียนรู้ทุกข์ให้เป็นได้อย่างไร  โลกนี้สิ่งที่น่ากลัวและสิ่งที่มนุษย์ไม่อยากเจอคือ ความสูญเสีย ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีได้ก็มีเสีย มีพบก็มีจาก มีเกิดก็มีตาย เป็นสิ่งที่ทุกคนหนีไม่พ้น  เมื่อเราหนีไม่พ้นเรายอมรับความจริงนี้ได้ไหม  ถ้าเรายอมรับความจริงนี้ได้ จิตใจเราจะหลงไหม ใครชมจะยิ้มไหม ถ้าเมื่อไหร่มีคนชม ก็มีคนด่ามีคนติ ใช่หรือไม่ เมื่อไรมีสมหวังก็มีผิดหวัง ฉะนั้นเราจะดีใจหรือไม่ (ไม่ดีใจ)
เรื่องราวในโลกไม่ว่าพลัดพราก เกิดหรือตาย แข็งแรงหรือเจ็บป่วยก็เป็นเรื่องธรรมดา แล้วหัวใจก็จะไม่หวั่นไหว นี่แหละเอาชนะความทุกข์ เราพูดง่ายนะ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้ามนุษย์ทำได้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่มนุษย์ยังอดติดดี ติดสมหวัง ติดคนชม ติดการได้ ติดความสุข ฉะนั้นสิ่งที่ตรงข้ามกับติดคือความทุกข์ แต่ถ้าตอนนี้เราไม่ติดทั้งสุขแล้วจะมีทุกข์ไหม (ไม่มี)  ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้เราติดแล้วแกะออกไม่ได้หรือ แกะได้ไหม (ได้)  เหมือนวันนี้เราแต่งงานกับเขา เราได้เขาทั้งตัวและหัวใจไหม วันนี้ของสิ่งนี้เป็นของเรา แล้วเราจะควบคุมไม่ให้มันเหี่ยวเฉา ได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วดอกไม้ต่างอะไรกับคน เขารักเราแล้ววันหนึ่งเขาจะไม่เหี่ยวเฉา เลิกรักเราไหม จริงไหม (จริง)  แล้วเราทำใจได้ไหม เขาไปมีใหม่ทนไหวไหม ต้องทนนะ เพราะถึงเวลาคนบางคนก็ต้องเจอ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีปัจจัยหนุนนำ เราบอก “รับไม่ได้ๆ” แต่ถ้าวันหนึ่งต้องเจอก็ต้องรับให้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นจำคำพูดให้ดีนะ “ท้องใหญ่ใจกว้างรองรับได้ทุกสิ่ง ใบหน้ายิ้มอยู่เป็นนิจสลายทุกข์ทุกเรื่องราว” ทำยากไหม
ไม่ใช่เรื่องยากเลยในสิ่งที่เราบอกท่านใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก่อนเคยคิดว่าการศึกษาธรรมเป็นเรื่องยาก นั่งฟังบ่อยๆ ก็ง่วงนอนใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่การศึกษาธรรมปฏิบัติธรรมคือการควบคุมลงแรงที่ใจของตัวเอง ไม่ใช่ไปควบคุมลงแรงใจของคนอื่นดูแลรักษาใจตัวเองให้บริสุทธิ์ ให้รู้จักอ่อนน้อมสุภาพ สามารถยอมรับกับความสามัญต่ำเตี้ยในโลกนี้ แล้วโลกใบนี้ก็ไม่ใช่โลกที่น่ากลัวอีกต่อไป ความทุกข์ในโลกนี้ก็จะกลายเป็นความสุขได้ฉับพลันทันใดจริงหรือไม่ (จริง)  แล้วนั่งตรงนี้เป็นทุกข์หรือเป็นสุข (เป็นสุข)  ชีวิตอยู่ในกำมือของเรา ถ้าเราควบคุมกายใจได้ เราก็ควบคุมชีวิตได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราควบคุมกายใจเราไม่ได้ ชีวิตก็ควบคุมยากใช่หรือเปล่า (ใช่)
วันนี้เรามาศึกษาธรรมกับท่านเพียงแค่นี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ถึงเวลาก็ต้องรู้จักคำว่าได้แล้ว เพราะความเป็นจริงของชีวิต ฟ้าจะเพิ่มหรือลดล้วนเป็นไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ มนุษย์ถ้าฝืนรั้งธรรมชาติ ก็หาเรื่องทุกข์ใส่ตัวใช่ไหม (ใช่)  เรารักเขาเขาไม่รักเรา เราดีกับเขาเขาไม่ดีกับเราเราฝืนได้ไหม (ไม่ได้)  แต่สิ่งที่เราทำได้คือทำใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่รักใครเลยดีไหม (ดี)  ทำได้หรือ (ไม่ได้)  เป็นเรื่องยาก เราจึงอยากให้ท่านรักทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่รักใครมาก ไม่รักใครน้อยกว่าใคร ถ้ารักอย่างเท่าเทียม คนที่ทำให้เราทุกข์ก็คือคนที่เรารักมากใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่คนที่เกลียดทำเราทุกข์ไหม ยังน้อยกว่าคนที่รักอีกใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นรักอย่างเท่าเทียม รักอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม แล้วเราจะสามารถพ้นจากความทุกข์นี้ได้อย่างแท้จริง
วันนี้เราก็คงต้องไปแล้ว พูดกับท่านเพียงแค่นี้ ขอให้อดทนอีกวันหนึ่งไหวไหม (ไหว)  รับปากแล้วอย่าคืนคำ ท่านไหนว่าจะอยู่อีกหนึ่งวันยกมือขึ้น รับปากแล้ว เสียชีพอย่าเสียสัตย์ อยากให้เป็นที่รักนับถือของผู้อื่นก็จงอย่ากลืนคำพูดของตัวเอง คนที่ไม่สามารถรักษาสัจจะวาจา ย่อมไม่เป็นที่รักของใครๆ ในโลกจริงไหม   อยากเป็นที่รักของคนอื่นพูดได้แล้วต้องทำให้ได้ เข้าใจนะ ผู้ปฏิบัติงานธรรมเหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ไม่เหนื่อยนะ กินอิ่มไหม (อิ่ม)  แล้วนอนหลับหรือเปล่า (หลับ)  นักเรียนนอนหลับไหม (หลับ) ต้องหลับนะแม้เสื่อผืนหมอนใบ เพราะนั่นคือความเป็นจริงของทุกชีวิต วันนี้เราคงต้องไปแล้ว มีโอกาสคงมาผูกบุญกันอีก


วันอาทิตย์ที่ ๒๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๓
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
งานหน้าพระคล่องแคล่วตามธรรมกระแส งานดูแลต้อนรับไม่บกพร่อง
อ่อนน้อมเรียนรู้ใหม่ไม่เป็นรอง    คนขี้เกียจหน้ามันย่องอย่าสนใจ
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานเต๋อจื้อ  แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือยัง
ทำดีถือดีหลงตน มากล้นแต่เบาคุณค่า
คิดผิดยึดมั่นหนักหนา กลับมาหลงโลภในบุญ
บุญแท้ชำระจิตใจ ผ่องใสร่มเย็นนำผล
ปล่อยวางไม่ติดบุญคุณ สร้างบุญไม่หวังผลใด
ตัณหารักโลภโกรธหลง มีคงไม่พ้นเวียนว่าย
เป็นเหตุสร้างทุกข์อบาย กี่คนตัดได้จริงจัง
คุมใจของตนให้ดี ผิดชอบดีชั่วรู้ยั้ง
กิเลสคุมคนย่อมพัง อารมณ์ขังคนทุกข์ตาย
ธรรมสอนคนตื่นรู้จริง ทุกสิ่งไม่เที่ยงเปล่าไร้
ยืมใช้ต้องคืนเขาไป สิ่งใดของเราคิดดู
สุขไหนจีรังหนักหนา หลงเที่ยวเพลินหากันอยู่
แม้ทุกข์เท่าไรไม่รู้ ขอสู้จนสิ้นหายใจ
ต้องสู้เพื่อวันข้างหน้า
(นักเรียนในชั้นร่วมแต่ง)
      ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
กินอิ่มแล้ว  ฟังธรรมะอิ่มแล้วยัง ไหนใครบอกกินไม่อิ่มยกมือขึ้น มีคนให้สัญญากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าวันนี้จะมา แต่ก็ไม่มา  ไหนใครรักษาสัญญาเมื่อวาน แล้ววันนี้มา ยกมือขึ้น จำได้ไหมที่ให้รักษาสัญญา จะมาให้ครบสองวัน  แล้วหลังจากนั้น วันที่สามวันที่สี่ไม่มาเลยใช่ไหม (ไม่)  ไม่จบแล้วจะมาได้อย่างไร แปลว่าวันที่สามและสี่จะมาไหม (ไม่มา) น่าเศร้าใจนะ เพราะว่าที่ฟังไปไม่ค่อยเข้าใจเลย ฟังธรรมะอย่างนี้เบื่อไหม (ไม่เบื่อ) เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย) เมื่อยไหม (ไม่เมื่อย) แต่ถ้าบอกว่าไม่เมื่อยก็ไม่เชื่อแล้ว ไหนใครไม่ปวดเอวบ้าง เมื่อยขาไหม ร่างนี้มีความทุกข์เป็นเบื้องต้นและมีความทุกข์เป็นที่สุดหรือเบื้องตาย หนีความทุกข์ไม่พ้นใช่หรือเปล่า  แต่ทำไมพุทธะจึงหนีพ้น ทั้งที่พุทธะก็เกิดกายมาจากมนุษย์ พระพุทธะล้วนมีอะไรก็ไม่ต่างจากมนุษย์และต่างจากศิษย์ทุกคน แถมพระพุทธะทุกคนยังมีวาสนาดีกว่าศิษย์บางคนอีกถูกไหม   
ศิษย์ว่าจนๆ  ตัดง่ายกว่า หรือรวยตัดง่ายกว่า  จนตัดง่ายกว่า แต่พระพุทธะที่ทุกคนไหว้ รวยกว่าศิษย์ไหม ฐานะใหญ่กว่าศิษย์ไหม เกียรติยศ  ทั้งศักดิ์ ทั้งทรัพย์สิน ล้วนใหญ่กว่าศิษย์ทุกคน  แต่ทำไม ท่านจึงยอมละทิ้ง เพื่อหาทางหลุดพ้น แต่มนุษย์ไม่ยอมหาทางหลุดพ้น มนุษย์กลับไม่คิด ยังอยากหลงวนอยู่ในโลกนี้  ฉะนั้นจึงบอกว่ามนุษย์เหมือนๆ กัน แต่ความประพฤติความคิดทำให้คนแตกต่างกัน  เราเกิดมาพร้อมๆ กัน พี่น้องเหมือนกัน แต่ นิสัยความประพฤติ ความคิด ทำให้คนแตกต่างกัน คนละนิดคนละหน่อย บางคนคิดดี บางคนคิดร้าย บางคนขยัน บางคนขี้เกียจ คนบางคนแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน บางคนจิตสำนึกดี  บางคนไม่คิดจะดีเลย จะดูว่าคนนั้นเป็นเช่นไร ต้องดูที่การกระทำ และผลของการกระทำนั้น
ยิ่งเราขยันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมองเห็นคนขี้เกียจมากเท่านั้นถูกหรือไม่ (ถูก)  ไหนใครขี้เกียจยกมือขึ้น  ขี้เกียจแล้วยังยกมือได้อย่างหน้าชื่นตาบานอีกนะ อย่างนี้ น่าจับมาทำงานให้เข็ดเลยใช่หรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาถามว่าทานข้าวอิ่มไหม)  อาจารย์ว่าไม่ใช่ทานข้าวอิ่มแต่ทานข้าวที่เป็นเส้นอิ่ม เรียกว่าอะไรนะ (ขนมจีน)  กินอะไรมากกว่ากัน (ขนมจีน)  แปลว่าเป็นคนชอบเส้นชอบสายใช่ไหม (ใช่) อย่างนี้แปลว่าเป็นคนไม่ซื่อตรง อาจารย์อยากจะบอกศิษย์อย่างหนึ่งว่า อะไรที่เป็นตัวกำหนดความเป็นไปของตัวคน อะไรที่เป็นตัวกำหนดความทุกข์ยากของตัวบุคคล ฟ้าเป็นคนกำหนดไหม แล้วใครเป็นคนกำหนด (ตัวเราเอง)  
อาจารย์อยากจะบอกว่ามีคำพูดคำหนึ่งที่อาจารย์อยากกล่าวไว้ก็คือจิตใจที่รู้จักใจกว้าง ให้อภัย มีเมตตา อ่อนน้อมอยู่เป็นนิจ ฟ้าย่อมไม่ทำให้คนนั้นมีชีวิตที่อับเฉา แต่คนที่คดในข้องอในกระดูก ทุจริต เกียจคร้าน เอาเปรียบคน ฟ้าย่อมยังความลำบากลงไปในสันดานและชีวิตคนๆ นั้น ใช่ไหม (ใช่)  เคยได้ยินไหมคนที่รู้จักใจกว้าง ให้อภัย มีเมตตา อ่อนน้อมสุภาพ ฟ้าย่อมไม่ทำให้คนนั้นอับเฉา ศิษย์คิดง่ายๆ เป็นคนอ่อนน้อม เป็นคนมีเมตตา เป็นคนให้อภัยคนอื่นอยู่เป็นนิจ อยู่ที่ไหนใครก็รักคนเช่นนี้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  หรือในทางกลับกันอาจารย์บอกว่าคนที่คดในข้อ ทุจริต เอาเปรียบกินแรง ขี้เกียจ ฟ้าย่อมยังความลำบากลงไปในชีวิตของคนๆ นั้น จริงไหม (จริง)  ใช่ฟ้าเป็นคนกำหนดไหม (ไม่ใช่)  แต่คนที่ทำให้ตัวเองเป็นคนทุจริต ขี้เกียจ เอาเปรียบคนอื่น กินแรงคนอื่นก็คือตัวเราเอง สันดานเกิดจากนิสัย นิสัยบ่มเพาะจึงกลายเป็นความเคยชิน จนนอนเนื่องอยู่ในจิตใจแล้วแก้ไขไม่ได้ก็เรียกว่าสันดาน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสันดอน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  สันดอนขุดได้ สันดานขุดไม่ได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
ฉะนั้น คนๆ หนึ่งจะมีชีวิตร่มเย็นเป็นสุขได้ก็ด้วยฟ้าหรือ ไม่ใช่ ฟ้าเป็นคนจัดสรรหรือ ไม่ใช่ แต่เกิดจากตัวเอง ทำตัวเองให้ดี ส่วนคนๆ หนึ่งจะยาจก ลำบาก อัตคัด อดสู ฟ้าเป็นคนยัดเยียดชะตาชีวิตให้เขาเป็นอย่างนี้หรือ ก็ไม่ใช่ แต่ล้วนเกิดจากตัวเองทั้งสิ้น ฉะนั้นคนเรานั้นจะดีหรือร้าย จะได้หรือเสีย จะสุขหรือทุกข์อยู่ที่ใครกำหนด (ตัวเราเอง)  ตัวเราเองเป็นคนกำหนด ถ้ารู้จักใจกว้าง ให้อภัย มีเมตตา อ่อนน้อม สุภาพ ไปอยู่ที่ไหนใครก็รัก แต่ถ้าขี้เกียจสันหลังยาว เอาเปรียบ ดูถูกคน ไม่มีน้ำใจ วันๆ เอาแต่นอน กิน แล้วก็เที่ยว ความลำบากย่อมหยั่งรากลึกในสันดานและกำหนดเป็น ชะตาชีวิตที่ต้องลำบากลำบน ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้ารู้มีเมตตา อ่อนน้อม ขยัน ช่วยเหลือคน

อาจารย์เคยบอกไว้ว่า “ต้นไม้บางอย่างต้องกินตอนแก่ๆ ต้นไม้บางอย่างกินตอนอ่อนๆ” แต่ต้นไม้ชีวิตกินตอนไหน คิดให้ดีๆ ถ้าคิดได้ดีคิดได้ถูกได้นั่ง คิดไม่ดีคิดผิดยืนต่อไป แล้วต้นไม้ของชีวิตควรกินตอนไหน ตอนอ่อน ตอนกลางหรือตอนแก่ (ตอนอ่อน)  ถึงว่าแก่ถึงลำบาก  ถ้าเด็กๆ หวังสบายตั้งแต่เด็ก แก่ตัวไปก็ลำบาก  ถ้าเด็กๆ เกียจคร้านตั้งแต่เด็ก แก่ตัวไปก็อัตคัดอดสู ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น เด็กๆ มีชีวิตต้องรู้จักกินตอนแก่อย่ากินตอนอ่อน (นักเรียนหญิงตอบว่า กินตอนกลาง) ตอนกลางเคยเห็นไหม ตอนกลางสำเร็จได้ไม่มั่นคงก็ยังล้มเหลวได้นะ คิดให้ดีๆ คนที่สำเร็จตอนอายุบั้นปลายนั่นแหละโชคดีที่สุด ถูกไหม (ถูก)  เพราะว่าเลือดลมปราณของคนนั้นยิ่งตอนกลางๆ ยิ่งพลุ่งพล่านไว คนที่หนุ่มฉกรรณ์สังเกตไหม อารมณ์เลือดร้อนมักจะไม่คงที่ เหมือนเราพอเป็นสาวแล้วเลือดจะไปลมจะมาคบหาไม่ค่อยได้ ใช่ไหม (ใช่)  จนกระทั่งเลือดลมปกตินั่นแหละ ถึงจะน่าคบหน่อยคุยได้ง่ายหน่อย ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้น เชื่ออาจารย์เถอะ มีชีวิตกินตอนแก่ มีความสุขตอนแก่ดีกว่ามีความสุขตอนกลางหรือตอนต้นแล้วท้ายลำบาก ใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราเกียจคร้านหรือเราขยัน (ขยัน)  ขยันอะไร (ขยันทำงาน)  ขยันทำงานหาเงินงกๆ ใช่ไหม (ใช่)  ถึงว่าตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต ก็เพราะหาเงินนี่เอง ความดีถึงไม่ค่อยมีใช่ไหม (ใช่)  
ศิษย์หลายคนมักจะตัดพ้อต่อว่าฟ้าดินว่า ในโลกนี้ทำดีไม่เห็นได้ดี จริงไหม (จริง)  จริงหรือทำดีไม่ได้ดี จริงหรือ
มนุษย์มักจะพูดว่า “ทำดีไม่เห็นได้ดีเลย” วันนี้เรามาคุยกันว่า “ทำดีได้ดีจริงหรือไม่” เราทุกคนที่ล้วนเป็นคนดีที่หมั่นทำดีทำบุญอยู่เสมอใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครบ้างที่ทำบุญอยู่เนืองนิตย์ ทำบุญอยู่ทุกๆ วัน แล้วใครบ้างนานๆ ทำสักทีหนึ่ง นานทีหรือว่านานและถี่  หลายคนชอบทำบุญสุนทานใช่หรือไม่ (ใช่)  พอทำบุญบ่อยๆ เข้า ทำบุญเยอะๆ เข้า  ศิษย์ก็บอกว่าทำแล้วไม่เห็นได้ดีเลย ฉะนั้นต้องมาดูก่อนว่า คนที่คิดว่าใช่นั้น เขาทำบุญแบบบริสุทธิ์ไหม เราเคยมองไหมว่าบุญที่เราทำนี่บริสุทธิ์ ยังมีคำพูดคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ถ้ามนุษย์รู้จักสร้างสมบุญ บุญนั้นจะสามารถผันเปลี่ยนชะตาชีวิตให้จากร้ายเป็นดี จากไม่ดีให้เป็นดี” อาจารย์อยากจะบอกว่า แล้วทำอย่างไรที่จะเรียกว่าบุญนั้นบริสุทธิ์ แล้วบุญนั้นสามารถมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้ เราเคยรู้ไหม (ไม่เคย)  อย่างนั้นอาจารย์เทียบง่ายๆ บุญนั้นบริสุทธิ์ไหม จิตที่ทำแล้วคิดจะให้และจิตหนึ่งคิดจะเอา อันไหนสบายกว่ากัน (จิตที่ให้)  จิตที่ทำแล้วคิดจะให้ ยิ่งทำไปยิ่งรู้สึกสบาย ยิ่งรู้สึกเป็นสุขใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ที่จิตที่ทำแล้วคิดจะเอาเป็นอย่างไร (เป็นทุกข์)  เมื่อไหร่จะตอบแทนบุญคุณ เมื่อไหร่ที่พูดดีๆ กลับกับเรา อย่างนั้นบริสุทธิ์หรือไม่ก็อยู่ที่ว่าตอนทำบุญนั้นหวังไหม ถ้าหวังผลตอบแทนบุญนั้นไม่บริสุทธิ์ ถ้าทำแล้วอย่างไรที่เรียกว่าบริสุทธิ์ ทำแล้วมีแต่รู้จักที่จะให้ เสียสละ ลดความตระหนี่ รู้จักเห็นอกเห็นใจ และสามารถเป็นการให้ที่ทำให้เรายิ่งเปิดใจกว้าง เผื่อแผ่เมตตา นี่แหละเรียกว่า “บุญอันบริสุทธิ์” ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ของศิษย์ส่วนใหญ่เป็นบุญที่มีเจตนาเคลือบแฝง เป็นบุญที่ทำเพื่อหวังผลใช่ไหม ทำบุญเพื่อมุ่งหวังการร้องขอใช่หรือเปล่า หรือหวังดลบันดาลให้เป็นดั่งใจใช่หรือไม่ (ใช่)  บุญอย่างนี้เรียกว่า “บุญไม่บริสุทธิ์ บุญอันมีเจตนาเคลือบแฝงไม่ผ่องใส” ใช่ไหม  เมื่อไหร่ที่ทำบุญแล้วในใจเคลือบแฝงไปด้วยอารมณ์ กิเลส ความอยาก หรือถูกโลภ โกรธ หลง ครอบงำในการทำบุญ บุญนั้นไม่อาจเรียกว่า บุญอันบริสุทธิ์ และบุญนั้นไม่อาจจะมีผลหรือพละกำลังที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้ ได้ยินชัดเต็มสองหูไหม ชัดเลยไหม (ชัด)  ถึงแม้จะทำมากขนาดไหน แต่ถ้าเกิดทำไป อันนี้ให้ลูก อันนี้ให้หลาน อันนี้ขอให้สวยๆ อันนี้ขอให้รวยๆ บุญนั้นมีเจตนาเคลือบแฝงไม่สามารถที่จะชำระล้างหนี้บาปเวรกรรมในอดีตได้ ไม่สามารถที่จะพลิกผันชะตาชีวิตได้ เพราะทำไปปุ๊บร้องขอ ทำไปปุ๊บร้องขอ อย่างนี้ไม่เรียกว่า บุญอันบริสุทธิ์ เพราะบุญอันบริสุทธิ์ต้องเป็นบุญที่สามารถทำแล้วชำระจิตใจให้ผ่องใสใช่หรือไม่ (ใช่)  
ทำไปด่าคนไป ทำไปปากบ่นไป ทำไปแอบนินทาพระไป ได้ไหม(ไม่ได้)  แบบนี้เรียกว่าบุญที่มีความอะไร(ความทุกข์)  ไม่ใช่ บุญที่มีกิเลสแอบแฝง ใช่หรือไม่(ใช่)  แล้วรู้หรือไม่ว่ากิเลสหรืออกุศลนั้นคือรากเหง้าของความชั่วร้าย แต่กุศลคือรากเหง้าของความดีงาม แล้วเราจะสามารถดำเนินชีวิต ทำบุญแล้วไปถึงซึ่งความบริสุทธิ์ได้อย่างไร คิดออกไหม อย่างนั้นอาจารย์ให้คิด เดี๋ยวตอบอาจารย์สิว่า ทำยังไงทำบุญแล้วบริสุทธิ์ผ่องใส (ทำโดยไม่หวังตอบแทน,ทำแล้วปลื้มใจ ดีใจไม่หวังผลตอบแทน,ทำเพื่อความสบายใจ,ทำด้วยใจสะอาด,ทำด้วยใจบริสุทธิ์,ทำแล้วไม่วอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์)
ทำอย่างไรล่ะ เรียกว่าบุญนั้นบริสุทธิ์ แค่บอกว่าทำไม่หวังผลแค่นี้ อาจารย์คงไม่สอนศิษย์แบบกำปั้นทุบดินเหมือนศิษย์ตอบอาจารย์หรอกนะ แต่อย่างไรล่ะ เรียกว่าทุกขณะจิตที่ทำแล้วสามารถยังความบริสุทธิ์ได้ ยังความดีงามได้อย่างแท้จริง ดึงความดีงามของจิตใจได้กลับมาอย่างแท้จริงต้องประกอบไปด้วย อะไรบ้างละ  (ทำบุญด้วยศรัทธา, ทำด้วยใจบริสุทธิ์ไม่ขอสิ่งตอบแทน, ทำดีไม่หวังผล,)  บุญที่บริสุทธ์จะต้องประกอบไปด้วย เมตตา  ปัญญา และกล้าหาญ  ใช่ไหม (ใช่)  บุญที่เกิดจากความเมตตา (ทำด้วยจิตสำนึกรู้ดีรู้ชอบ)  มีใครจะตอบอีกไหม ก่อนที่อาจารย์จะพูดมากกว่านี้ (จิตสำนึกเมตตา, ทำเพื่อหวังให้ผู้อื่นพ้นทุกข์)  บุญใดไม่ประเสริฐเท่ากับการให้ทาน ธรรมะเป็นทาน (ทำด้วยจิตใจที่แน่วแน่)  ทำด้วยจิตใจที่แน่วแน่ แม้จะโดนคนอื่นว่า ก็ยอม แต่ต้องยอมให้หมดใจได้  คนที่จะสามารถไปถึงบุญอันบริสุทธิ์นั้น ต้องประกอบด้วย  หนึ่งจิตใจที่เมตตา คิดที่จะให้ กรุณา สงสารอยากช่วยเหลือ อย่างที่สองต้องประกอบด้วยปัญญาคืออะไร คือไม่ผลีผลามคิดพูดทำอะไรด้วยความประณีตสุขุม ทำแล้วจะบังเกิดคุณ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เราทำบุญแล้ว พอเห็นพระตักแกงเราครั้งเดียว ไม่ตักอีกเลย “เลือกกินจริงๆ เลยพระองค์นี้” ได้ไหม (ไม่ได้) เมื่อตั้งใจทำแล้วและทำของเฉพาะที่เราชอบกินได้ไหม (ไม่ได้)  แล้วเราชอบเป็นอย่างนั้นไหม “เป็น” ใช่หรือไม่ (ใช่)  อะไรชอบทำไปลูก เดี๋ยวชาติหน้าจะได้มากินอันนั้น อย่างนี้เรียกว่าทำหวังผลเต็มๆ เลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้น ทำบุญที่แท้ บุญนั้นต้องบริสุทธิ์ ประกอบไปด้วยปัญญา เมตตา เมตตาต่ออะไร เมตตาต่อคน ผู้อื่น ด้วยจิตใจเอื้ออาทร ด้วยความบริสุทธิ์ไม่หวังผลตอบแทนและเมตตาต่อตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะคนที่รู้จักเมตตาต่อตนและเมตตาต่อผู้อื่นนั้น คือคนที่สามารถสร้างบุญอันบริสุทธิ์งดงามได้
คนเราถ้าเคารพตัวเอง เขาจะทำร้ายตัวเองไหม (ไม่ทำ)  คนเราถ้ารักตัวเอง จะดูถูกตัวเองได้ด้วยการทำผิดคิดร้ายไหม (ไม่ทำ)  ฉะนั้น ถ้าคนเราเมตตารักตัวเองก็จะไม่ทำร้ายตัวเองด้วยเรื่องโง่ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และอีกอย่างหนึ่งคือ ต้องประกอบไปด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว วันนี้จะไปทำบุญเจออุปสรรค แม่บ่น สามีบ่นหรือภรรยาบ่น ยังจะไปไหม (ไป) อย่างนั้นอาจารย์ถามศิษย์นะ ถ้าเขาเรียก “แม่มึงเอ๊ย” ครั้งแรกรำคาญไหม (ไม่รำคาญ)  เรียกอีก “แม่มึงเอ๊ย” ครั้งที่ส่องรำคาญไหม (ไม่รำคาญ)  เรียกอีก “แม่มึงๆ” (นักเรียนตอบว่า “เริ่มรำคาญแล้ว”)  แค่ประโยคธรรมดาๆ เอง เรียกบ่อยๆ ยังรำคาญได้ และยิ่งถ้าเราอยากไปทำบุญแล้วเราตอบไปว่า “อะไร” แล้วเขาไม่ได้ยิน แล้วเขาเรียก “แม่มึงๆ” วางขันทันที ไม่ไปแล้ว “อะไรหนักหนา” เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น  แค่เรียกคำว่า “แม่มึงเอ๊ย” แค่นี้เอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้น เมื่อเราทำแล้วต้องมีความเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ อย่าปล่อยให้อารมณ์ผลุนผลันเกิดขึ้นในใจของเรา เหมือนเวลาจะทำอะไรก็ตาม เหมือนเวลามาฟังธรรมะก็ตาม ฉะนั้นเราต้องประกอบไปด้วยเมตตา ปัญญาและความมุ่งมั่นตั้งใจ หรือแม้แต่เราจะไปทำดีแล้วบอก “โอ๊ย แกไปทำก็อย่างนั้น แกยังชอบโมโหอยู่เลย แกยังชอบบ่นอยู่เลย” ถ้าเขาว่าขนาดนี้เราจะไปไหม (ไป)  แล้วเราจะโกรธไหม (ไม่โกรธ)  จริงนะ (จริง)  บอกเขาว่า “เดี๋ยวกลับมาเถอะ เดี๋ยวจะมาชำระ” เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เป็นไหม (ไม่เป็น)  อย่าเป็น กล้าหาญแล้วยังต้องกล้าหาญรับผิด ถ้าเขาพูดจริงเราก็ปรับเปลี่ยนแก้ไข นอกจากกล้าหาญฟันฝ่าอุปสรรคให้สำเร็จแล้ว ถ้าใครบอกว่าเรามีข้อผิดพลาด เราก็ต้องแก้ไขให้ได้ดี แต่ไม่ใช่ใครชี้ผิดพลาดแล้วโกรธได้ไหม (ไม่ได้)  รู้ไหม คนที่กล้าติเรา กล้าว่าเรา กล้าดูถูกเรา คนนั้นคือคนชี้ขุมทรัพย์ แต่คนโง่มักจะมองไม่เห็นขุมทรัพย์ แล้วเราเป็นอย่างนั้นไหม (ไม่เป็น)  โดนคนว่าแล้วโกรธหรือโดนคนว่าแล้วไม่โกรธ (ไม่โกรธ)  ฉะนั้น เชื่ออาจารย์ถ้าศิษย์อยากทำดีแล้วไปให้ถึงซึ่งความดีอันบริสุทธิ์ ขอให้ทุกขณะจิตไม่ห่างเมตตา ปัญญา กล้าหาญ หรือที่ทางพุทธประกอบไปด้วย ศีล สมาธิและปัญญา หรือที่ทางพุทธเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ให้ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์”
แล้วศีล สมาธิ ปัญญา ต่างอะไรกับเมตตา ปัญญา กล้าหาญ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ต่างอะไรกับเมตตา ปัญญา กล้าหาญ พระพุทธก็คือปัญญา ความตื่นรู้ พระธรรมคืออะไร คำสอนคือข้อบังคับการปฏิบัติที่ให้ถึงซึ่งความเมตตา พระสงฆ์คือความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ทำในสิ่งที่ยากจะทำได้ ส่วนศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือสิ่งที่ทำให้คนเป็นปกติ ทำให้คนรู้จักละเว้นความชั่ว ทำความดี สมาธิคือการรักษาความปกติให้มั่นคง และเมื่อเรามั่นคงก็เดินไปสู่ความบริสุทธิ์ด้วยปัญญาแห่งการรู้แจ้ง ฉะนั้นถ้าตัวศิษย์เองอยากบำเพ็ญธรรมและไปให้ถึงคุณธรรมแห่งความดีงาม ศิษย์ก็ต้องรู้จักควบคุมกายใจของตนให้ดี เพราะว่ากายใจของตนนั้นแท้จริงแล้วบริสุทธิ์ แต่แปดเปื้อนไปด้วยความเลวร้ายและความทุกข์ยากของกิเลสนานา  
ต้นตอของความชั่วร้ายคือ  ความโลภ ความโกรธ และความหลง ฉะนั้นต้นตอของความดีคือ  การเผื่อแผ่ ความเมตตา และก็ปัญญา  มนุษย์ถ้าเกิดปล่อยให้ความโลภ เกิดขึ้นมากๆ  ก็จะกลายเป็นคนตระหนี่ เห็นแก่ได้ ทำผิดคิดร้าย และปกปิดความผิดคิดร้ายโดยไม่รู้ตัว ปกปิดความโลภนี้มากไป ก็กลายเป็นหนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด หรือที่เรียกว่าตกลงสู่ การเกิดเป็นเปรต  กินเท่าไหร่ ก็ไม่พอ  แต่ถ้าเปลี่ยนจากความโลภ เป็นความเผื่อแผ่ รู้จักให้ รู้จักพอ จะกลับกลายเป็นคนไม่มีโลภ  สามารถอุดมด้วยโภคทรัพย์ และสามารถทำให้ดำเนินได้ถึง ทิพย์วิมาน  ที่เขาบอกว่าทำบุญมากๆ  จะได้ไปเสวยสุขในสวรรค์ไง จำไม่ได้หรือ ไม่รู้เลยใช่ไหม แค่ชั่วขณะเดียวเองนะศิษย์ ความโลภ กับความไม่โลภ เมื่อไหร่ที่เราไม่โลภ เราก็รู้จักให้ รู้จักพอ รู้จักประมาณ ศิษย์ก็จะกลายเป็นคนสุขภาพดี  คนที่รู้จักกิน รู้จักประมาณในการใช้จ่าย ก็จะไร้จากโรคา พยาธิ แล้วถ้าเกิดรู้จักให้ เป็นนิจศีล ให้ด้วยความบริสุทธิ์ จะสามารถกลับไปเสวยสุขในทิพย์วิมานได้ แต่อาจารย์ต้องการให้ศิษย์ไปแค่เสวยสุขแค่นี้ไหม (ไม่)  เมื่อจะก้าวต้องก้าวให้ถึงที่สุด ถ้าก้าวเล็กๆ ก้าวน้อยๆ อย่าก้าวเลยศิษย์ ฉะนั้นก้าวไปต่อ
การที่สามารถตัดความโกรธได้ คนที่โกรธบ่อยๆ จะกลายเป็นคนที่ทุศีลและสามารถลบหลู่คุณคนได้ เพราะคนที่โมโหโกรธานั้นทำร้ายได้แม้กระทั่งพ่อแม่ตัวเอง ดูถูกได้แม้กระทั่งครูบาอาจารย์ใช่หรือไม่ (ไม่)  ฉะนั้นศีลธรรมเขาคงรักษาไม่ครบถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วคนที่ปล่อยให้ตัวเองมีไฟแห่งความโกรธ แล้วกลายเป็นคนที่ขี้อิจฉา ริษยา โมโหแล้วไม่รู้จักให้อภัย คนนั้นถึงที่สุดแล้วถูกลงไปสู่ไฟแห่งนรกเผาผลาญ คนเราเวลาโกรธมากๆ กลัวจำไม่ได้ จดใช่หรือไม่ (ใช่)  จดแล้วก็แค้น พอแค้นแล้วเหมือนไฟเผาใจไหม ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ยิ่งแค้นก็ยิ่งร้อนรุ่มใจ  นั่นแหละเราจุดไฟในกาย เมื่อไหร่ที่จุดไฟในกาย เมื่อนั้นก็พร้อมที่จะจุดไฟเดินสู่นรก อย่าปล่อยให้ความโกรธเผาใจนะ เมื่อไหร่ที่เผาใจ เมื่อนั้นก็กำลังจุดไฟแห่งการเดินสู่นรก และถ้าเกิดคนที่รู้จักไม่โกรธได้ ดับความไม่โกรธด้วยเมตตา
ฉะนั้นคนที่รู้จักเมตตาผู้อื่น ให้อภัยไม่ถือโกรธย่อมสามารถ หน้าไม่แก่ ผมไม่หงอก หนังไม่เหี่ยวย่นไวจริงไหม (จริง)  เพราะอะไร เพราะใบหน้าเขายิ้มแย้มบ่อยไม่โกรธ คนโกรธที่หน้าเหมือนอะไร (ยักษ์)  แล้วเราเหมือนไหม แล้วเรามียักษ์อยู่บ่อยไหม (ไม่)  จริงหรือ อาจารย์ไม่เชื่อเลยนะ  แล้วคนที่ไม่โกรธบ่อยๆ นั้นสามารถทำให้คนรอบข้างนั้นเป็นมิตรได้ สามารถสร้างมิตรได้ ไปอยู่ที่ใดก็ทำให้มิตรบังเกิดใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วคนที่ทำถึงที่สุดด้วยความเมตตากรุณาจะมีพรหมวิหารเป็นที่สุด เหมือนศิษย์ชอบไปไหว้พระพรหมไหม รู้จักพระพรหมสี่หน้าไหม (เมตตา, อุเบกขา, มุทิตา, กรุณา)  อุเบกขาแปลว่า วางเฉย อย่าสักแต่ได้ว่าท่องได้นะ แต่ถึงเวลาทำไม่ได้และไม่รู้ความหมาย “เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา”  ศิษย์ท่องได้ดี แต่ศิษย์กลับไม่รู้ความหมาย เมตตา คือ จิตที่คิดสงสารคน กรุณา คือ ลงมือกระทำ อุเบกขา คือ วางใจเป็นกลาง  ฉะนั้นคนที่รู้จักรักษาความเมตตาให้กับชีวิตอยู่สม่ำเสมอ ย่อมยังพรหมวิหารให้กับตัวตนได้
ส่วนคนที่สามารถตัดความหลง มนุษย์ถ้ามีความหลงแล้ว โกรธ โลภ ก็สามารถบังเกิดได้ ความหลงคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือสิ่งที่ไม่สามารถสร้างให้ศิษย์สร้างกุศลได้ ความไม่รู้แจ้งเห็นจริงในสรรพสิ่ง ทำสิ่งใดไปตามความอยากอย่างที่ใจคิด หรือใจ หลงตนว่าตัวเองสวย ทั้งที่ตัวเองนั้นอัปลักษณ์ ใครบ้างคิดว่าตัวเองไม่สวย สวยไปเพื่ออะไร อาจารย์อยากถามว่าผู้หญิงสวยไปเพื่ออะไร ศิษย์สวยเพื่ออยากให้ผู้ชายที่เป็นแมลงมาตอมหรือ ถ้ามีจุดประสงค์เพียงแค่นี้ ดูแล้วไร้คุณค่าจริงๆ  
เราสวยที่แท้จริงเพื่ออะไร แล้วเราจะสวยจะสวยที่ไหน ควรจะสวยที่ใจ  และควรจะมีใจที่รู้จักผิดชอบชั่วดี และละอายเกรงกลัวต่อบาป รู้จักเคารพนบนอบผู้ใหญ่ อย่าสวยแต่กับแมลงไม่มีประโยชน์ เพราะถ้าถึงวันหนึ่งแมลงเขาไปตอมดอกไม้อื่น เราก็กลายเป็นแค่ดอกไม้ริมทางที่เขาผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  คุณค่าของผู้หญิงควรอยู่ที่ความงดงาม งดงามที่แท้งามทั้งกายและใจ และไม่หลงตัวเองจนเกินไป ศิษย์เคยเห็นไหม ผู้หญิงสองคน อีกคนหนึ่งสวย อีกคนหนึ่งไม่สวย คนสวยถ้าหลงตัวเองจะเป็นอย่างไร ไม่น่ารัก แต่คนที่คิดว่าตัวเองไม่สวย คนนั้นจะรู้สึกว่าเขาน่ารัก เพราะเขาอ่อนน้อมถ่อมตน แต่คนที่สวยมักจะเย่อหยิ่งจองหอง ฉันสวยเสียอย่าง แล้วศิษย์เป็นอย่างนั้นไหม หลงตัวเองไหม (ไม่) แล้วตัวเองมีดีมีร้ายอะไรรู้ไหม (รู้)  คนที่ไม่หลงตัวเองคือคนที่สามารถมองเห็น สิ่งดีสิ่งร้ายในตัวเองได้ แต่คนที่หลงตัวเอง คือคนที่เห็นแต่ดี ร้ายไม่เห็น ใช่หรือไม่ ฉะนั้นถ้าศิษย์สามารถตัดความหลงด้วยปัญญารู้แจ้งได้ จะสามารถเข้าถึงอริยะวิหาร หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เข้าถึงการหลุดพ้นได้  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่า แค่ โลภ โกรธ หลง เองนะศิษย์ ถ้าศิษย์สามารถตัดขาดได้ เบาบางได้ ศิษย์ก็สามารถบำเพ็ญสู่หนทางอันแท้จริงได้
อาจารย์เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมแต่งกลอน  อาจารย์แต่งว่า ตัณหา รัก โลภ โกรธ หลงมีคงไม่พ้นเวียนว่าย เป็นเหตุสร้างทุกข์อบาย กี่คนตัดได้จริงจัง คุมใจของตนให้ดี ผิดชอบดีชั่วรู้ยั้ง กิเลสคุมคนย่อมพัง อารมณ์ขังคนทุกข์ตาย ธรรมสอนคนตื่นรู้จริง ทุกสิ่งยืมใช้ต้องคืนเขาไป สิ่งใดของเราคิดดู สุขไหนจีรังหนักหนา
นี่คือกลอนหก ศิษย์สังเกตไหมว่ามันมีหกคำหมดเลย แต่ศิษย์จะใช้คำเกิน “มิน่าให้กิเลสเป็นครู” คำมันเกิน ฉะนั้น เวลาเราทำอะไรก็ตามนะ ดูบน ดูความหมาย ดูความสัมผัส เหมือนกันเราอยู่กับคนเราจะมองแต่ตัวเองเป็นหลักไม่ได้ เราต้องมองคนรอบข้างด้วย เพราะเวลาเราทำงานเราต้องประสานกับคน ใช่หรือไม่ ถ้าถือตัวเองเป็นหลักเราก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตน แต่ถ้าเรารู้จักมองคนให้รอบข้าง แล้วนำตัวเองให้สอดประสานเราก็สามารถเอาธรรมมาใช้ร่วมกับคนได้ ฉะนั้น รู้จักใช้ปัญญา ปัญญาทำให้เราทำอะไรช้าๆ แต่ประณีต สุขุมแล้วก็ถือความกรุณาเป็นหลัก ใช่หรือไม่
มนุษย์มักจะหาความสุขให้กับชีวิต ทั้งที่จริงๆ แล้วชีวิตนี้คือความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วก็หลงเพลินอยู่กับความทุกข์ โดยเห็นว่ามันเป็นสุข
“สุขไหนจีรังหนักหนา หลงเที่ยวเพลินหากันอยู่”
จริงๆ แล้วในโลกนี้ไม่มีสุขไหนที่จีรังเลย แต่มนุษย์ก็พยายามไขว่คว้าเอามาให้ ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ธรรมะสอนให้คนตื่นรู้ว่า โลกนี้ไม่เที่ยง โลกนี้เปล่าไร้ โลกนี้คือความว่างเปล่า ทุกสิ่งที่ศิษย์ได้มาล้วนยืมเขา ถึงเวลาศิษย์ต้องคืนเขาไป แม้แต่ร่างกายนี้ใช่หรือไม่  เสื้อผ้านี้ของศิษย์ไหม (ไม่)  แต่เราก็ยังรักยังห่วงอยู่ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ไม่มีใครในโลกเป็นของเราได้ เราเพียงแค่ยืมเขามาใช้ เราเกิดมาเพื่ออะไรละศิษย์ เพื่อที่จะทุกข์แล้วกลับมาสุขและก็กลับไปทุกข์อย่างนั้นหรือ  แต่เราเพื่อทุกข์แล้วรู้แจ้งแล้วปล่อยวางใช่ไหม ไม่ใช่ทุกข์แล้วยึดมั่นถือมั่น ยิ่งมีแต่เจ็บปวดใช่หรือไม่ เราทุกข์เพื่อปล่อยวาง ทุกข์เพื่อรู้แจ้งเห็นจริงแล้วปล่อยวาง แต่มนุษย์กลับทุกข์แล้วยึดมั่นถือมั่นแล้วเจ็บปวด  
เวลาก็คืบคลานเร็วเหลือเกิน ถึงเวลาอาจารย์มาแล้ว ถึงอาจารย์ก็ต้องไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(พระอาจารย์เมตตาให้นำพระโอวาทซ้อน ซึ่งได้คำว่า “สภาวะธรรม” ให้นักเรียนดู)
สภาวะธรรม คือ ธรรมอันเดิมแท้ที่อยู่ในจิตใจของทุกๆ คน เราจะสามารถกลับคืนสภาวะธรรมอันเดิมแท้ได้อย่างไร ศิษย์เคยได้ยินไหมว่าญาณมีสี่ญาณ ญาณชั้นต้นจะเกิดได้ก็ด้วยการดู ฟัง และท่องบทคัมภีร์ ญาณชั้นกลางจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเข้าใจในสิ่งที่รู้ ญาณชั้นสูงคือนำสิ่งที่รู้มาปฏิบัติจนเป็นนิจ  จนเป็นความประพฤติประจำวัน แต่ธรรมญาณอันเดิมแท้คือการรู้แจ้งเห็นจริงในทุกสิ่งไม่ปล่อยให้จิตใจถูกกิเลสครอบงำ พ้นจากความดีร้าย ปล่อยวาง จึงสามารถพบสภาวะธรรมอันแท้จริงได้ แต่อาจารย์คิดว่าในชั้นนี้ทำได้ก็แค่บรรลุญาณชั้นต้นเท่านั้นเอง ส่วนสภาวะธรรมถ้าเกิดใครมีจิตที่ประกอบไปด้วยธรรม ไปอยู่ที่ไหนก็สามารถสร้างสภาวะธรรมให้บังเกิดบนโลกได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และจิตที่ประกอบด้วยสภาวะธรรมนั้นคือจิตประกอบไปด้วย เมตตา ปัญญา กล้าหาญ แค่นั้นเองใช่หรือเปล่า ไม่ต้องเหนื่อยไม่ต้องหมดแรง อาจารย์จะไปแล้ว อาจารย์ มาเพื่อให้ศิษย์รู้แจ้งเห็นจริง
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อสถานธรรมที่อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง ว่า “เต๋อชัง” แปลว่า มีคุณธรรมจนสามารถนำพาเจริญรุ่งเรืองมาสู่ชีวิต การมีคุณธรรมนำพาความเจริญมาสู่ชีวิต คุณธรรมในข้อใดอยู่ที่ตัวศิษย์ คือ ซื่อตรง เมตตา ปัญญา กล้าหาญ มีมโนธรรมสำนึกที่ดี)
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อสถานธรรมที่อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ว่า “เต๋อฮุ่ย”  เพราะเกิดจากความเสียสละ ต่างคนต่างเสียสละ ซึ่งบังเกิดคุณธรรมอันยิ่งใหญ่)
พระอาจารย์เมตตาประทานผลไม้ (ลองกอง)  ให้กับผู้ดูแลสถานธรรม “เต๋อจื้อ”  ถึงผลไม้จะไม่มีความหมาย แต่การรวมตัวกันที่แน่นแฟ้น ก็เกิดเป็นผลพวงที่งดงามได้  กว่างานจะเสร็จก็ต้องใช้แรงกายแรงใจ  แต่ทำไปแล้วถึงที่สุดก็ต้องปล่อยวาง”
จิตใจที่เสียสละก็เป็นจิตใจที่ไม่ต่างจากจิตใจของพุทธะโพธิสัตว์  ฉะนั้นอาจารย์ก็หวังว่าศิษย์ใหม่ที่นั่งฟังวันนี้จะรู้จักเสียสละบ้าง เสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม อย่าลืมว่าจิตที่เอาแต่โลภคิดถึงแต่ตัวเองล้วนก่อให้เกิดทุกข์ แต่จิตที่รู้จักให้ เสียสละ และปล่อยวาง คือจิตที่บังเกิดสุขอันแท้จริง สิ่งดีๆ ทำไมไม่รู้จักทำ เหล้าบุหรี่หัดเลิกบ้างนะ เป็นคนดีได้แต่ทำไมไม่ทำ อบายมุขอยู่ให้ไกล เลือกทำแต่สิ่งที่ดีงาม เป็นคนดีได้แต่ทำไม่ค่อยยอมทำ
อาจารย์ไปแล้ว แล้วกลับมาช่วยอาจารย์อีกนะ (ได้)  สัญญาแล้ว ทำให้ได้อย่างที่พูด เป็นเด็กดื้อไม่รู้จักฟังพ่อแม่หรือเปล่า  มีความรู้ความสามารถเอามาช่วยงานพระอาจารย์นะ จับมือหน่อยเด็กดื้อทั้งหลาย

ฟังธรรมะเพื่ออะไร เพื่อให้เป็นคนดื้อของพ่อแม่ หรือเป็นคนดีของคนอื่น ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีเพื่อผู้อื่น ลืมได้แม้กระทั่งความทุกข์ของตัวเองทำได้ไหม พูดให้น้อยๆ ทำให้มากๆ ยังหัวดื้ออยู่ใช่หรือเปล่า ตั้งใจเป็นคนดีนะ  รู้จักยอมบ้างใช่ไหมเด็กดื้อ ไปแล้วตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ ไม่ได้เพื่ออาจารย์ แต่เพื่อศิษย์เองนะ รู้จักบำเพ็ญเพื่อผู้อื่นบ้าง รู้จักมีชีวิตที่ช่วยเหลือชีวิตคนอื่นบ้าง อย่ามัวแต่เห็นแก่ตัว นั่นคือหนทางที่ประเสริฐที่สุด ตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ

พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “สภาวะธรรม”
       สภาพความเป็นอยู่กำหนดคน       ความสับสนกายใจสู่อามิษ
 แม้ว่าหมั่นฝึกใจระวังจิต        ยั้งไม่ทันความคิดพลิกฝ่ามือ
   ผู้บำเพ็ญไม่อาจห่างการฝึก         แม้ส่วนลึกไม่ร้ายน่านับถือ
   ความสามัคคีอยู่ในใจกลางมือ         ทุกคนคือบรรยากาศธรรมถ่ายทอดมา

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา