西元二〇一七年嵗次丁酉九月初二日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
พบร้ายเข้ามาสอนให้เราดี พบดีมาเป็นเพื่อนร่วมจุดหมาย
บำเพ็ญสงบให้เป็นเย็นให้ได้ สบายพาขวนขวายพลันลดลง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานฮุ่ยอวี้ แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ฟ้ามืดหม่นแต่แสงดาวผุดผ่อง แม้แสงของเทียนสิ้นไม่ขาดช่วง
ในความไร้แต่ไม่ขาดทั้งปวง ชีพจรธรรมทุกช่วงวัยใจเดียวกัน
ให้คมแฝงยังดีอยู่ในฝัก อย่าเก่งดักค้ำคอคนน่าสงสาร
กล้าหาญเมตตาจุนเจือหนุนดั่งคู่กัน บำเพ็ญนั้นกลัวใจฝึกฝนคลุมเครือ
เกิดเป็นคนน้ำใจฉ่ำชุ่มชื่น บำเพ็ญตื่นยามเย็นช่วยกันทุกเมื่อ
เวียนสุขทุกข์เราต่างวนเหม็นเบื่อ ต่างช่วยเหลือโอบเอื้อโลกงดงาม
คนบำเพ็ญอย่าขาดน้ำนี้น้ำใจ ฟังและเห็นให้ใจยังมีหนาม
ดีได้เพราะลำเค็ญไม่พ้นรูปนาม มีใจงามใจจึงเป็นพระพุทธา
ความดีเป็นแสงทองชี้นำชีวิต การฝึกจิตตนจึงได้คืนฟ้า
ทางสายกลางอยู่ที่ไหนใช้ปัญญา รู้มากมายไฉนหนาไปไม่ไกล
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
วันนี้นั่งฟังเกือบค่อนวันแล้ว หลายท่านอาจจะมีความไม่เข้าใจ มีความสงสัยอยู่ในใจว่ากำลังฟังธรรมอะไร ทุกท่านมีศาสนาใช่หรือไม่ (ใช่) เรารู้ว่าเรานับถือศาสนาอะไร แต่บางครั้งก็ลืมว่าเรามีธรรมะ
วันนี้เรามาศึกษาเรื่องหลักธรรม ธรรมอันเป็นกลาง ธรรมอันเป็นรากฐานของทุกชีวิต และเป็นหัวใจของทุกสรรพสิ่ง ฉะนั้นถ้าเราเรียนรู้ธรรม เราจะเรียนรู้ชีวิตและเข้าใจชีวิตและสรรพสิ่ง
แต่ปัจจุบันนี้เรามีศาสนา ฟังธรรมมาเยอะ ปฏิบัติมาก็เยอะ แต่เคยพบธรรมสักครั้งหนึ่งไหม อย่าบอกนะว่าพบธรรมแต่ในพระไตรปิฎก ธรรมที่แท้จริงที่ทำให้เราพ้นทุกข์ ทำให้เราเข้าใจชีวิตยิ่งขึ้น ทำให้เราไม่ทุกข์แล้วทุกข์อีกอยู่ที่ไหน หรือเราเอาแต่เน้นปฏิบัติภายนอก แต่ลืมปฏิบัติภายใน หรือเราลืมค้นหาความจริงแห่งธรรม
แล้วธรรมอยู่ตรงไหน บางท่านบอกว่าธรรมอยู่ที่ใจ แต่ทำไมใจเราบางครั้งมีกิเลสมากกว่ามีธรรม หรือว่าธรรมอยู่ที่วัด แต่พอไปถึงวัดกลับไม่ได้ธรรม
ผ่านร้อนผ่านหนาวมาตั้งเยอะ เคยไหมสักครั้งหนึ่งที่ปฏิบัติจนเห็นธรรม แล้วสามารถค้นพบทุกข์ได้ด้วยตน เราปฏิบัติผิดทางหรือเปล่า หรือเราเอาแต่เน้นภายนอกแต่ลืมลงแรงเข้าหาหลักธรรมภายใน ทำไมเราฟังธรรมตั้งมาก รู้ธรรมตั้งเยอะ แต่กลับไม่เคยพบธรรมที่แท้จริง เพราะว่าเราไม่ปล่อยวาง ใช่ไหม (ใช่)
ขอใคร่ถามผู้ที่ปฏิบัติธรรม เคยได้ยินคำพูดไหมว่า “หันหลังกลับคือฝั่งธรรม” เคยได้ยินไหมว่า “พบทุกข์จึงพบธรรม” เราเจอทุกข์
กี่ครั้ง (นับไม่ถ้วน) แล้วเราเจอธรรมไหม แทบจะไม่ค่อยเจอ เพราะยังคงเห็นทุกข์เป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)
เราจะบอกให้ว่าทำไมถึงมีคำพูดว่าหันหลังกลับคือฝั่งธรรม การที่เราไม่พบธรรมเพราะว่าเรามักเห็นอะไร คิดอะไร แล้วมักจะอยากให้เป็นดั่งสิ่งที่คิดที่หวัง ใช่หรือไม่ (ใช่) รู้ไหมว่าสิ่งที่คิดสิ่งที่เห็น ไม่ใช่ธรรม แต่เรียกว่ากิเลส อารมณ์ ผลพวงของความยึดติดแห่งตัวตน แต่ถ้าเมื่อไรเราวางสิ่งที่คิด สิ่งที่หวัง สิ่งที่ยึด แล้วหันกลับมายอมรับความจริงและเอาความจริงนั้นมาพิจารณาจะบังเกิดธรรม แต่เรากลับไม่เป็นอย่างนั้น เราหวังแต่จะให้ทุกอย่างต้องเป็นตามสิ่งที่คิด สิ่งที่หวัง สิ่งที่เป็น ตามที่ใจเรายึดติด เราจึงเป็นผลพวงของกิเลสตัวตนที่เราสร้าง
ธรรมะสอนว่า ถ้าอยากพบทุกข์แล้วเห็นธรรม จงหันหลังยอมรับความจริงและพิจารณาจนบังเกิดธรรม เคยทำแบบนี้ไหม เคยวางความคิดลงแล้วยอมรับความจริงและพิจารณาว่ามีใครบ้างไม่ทุกข์ มีใครบ้างไม่สูญเสีย มีใครบ้างไม่ถูกด่ากล่าวร้าย เราเอาแต่คิดในสิ่งที่อยาก ชีวิตเราจึงเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ความยึดติดแห่งตัวตน แต่ถ้าเมื่อไรเราวางความอยากแล้วหันกลับมายอมรับความจริง ธรรมะก็อยู่ตรงนี้เอง ลองหันกลับมา อย่าเอาแต่จมอยู่กับความคิดความอยากและไม่ยอมรับความทุกข์
ถ้าเรายอมรับ ทุกข์เราจะเบาขึ้นไหม เราจะเจ็บช้ำกับทุกข์อีกไหม พิจารณาจนบังเกิดธรรมบ้างหรือยัง หรือจมอยู่กับความคิดที่อยากมี อยากเป็น อยากได้ ผลสุดท้ายเราก็คือผลพวงของกิเลส อัตตาตัวตนที่เรายึดถือ
เราใคร่ขอถามนะว่า สิ่งที่รู้ทำให้ท่านเห็นธรรมหรือไม่เห็น โลกนี้เป็นโลกแห่งความทุกข์หรือเป็นโลกแห่งความสุข ถ้าพิจารณาให้ดี โลกนี้ไม่เคยมีทุกข์แท้ ไม่เคยมีสุขจริง แต่มนุษย์มองไม่เห็นธรรมบนโลกใบนี้ ยังเห็นเต็มไปด้วยความสุข เมื่อไรที่ท่านยังเห็นว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความสุขนั่นคือท่านยังยึดติดความอยากในใจอยู่ จริงไหม (จริง) ถ้าท่านเต็มไปด้วยความทุกข์ แปลว่าท่านได้เผชิญชีวิตแต่ยังก้าวข้ามไม่พ้นความทุกข์ ยังขบไม่แตกในเรื่องความเป็นจริงว่าทุกข์แล้วจะทำอย่างไรต่อ ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างนั้นขอถามว่าในเมื่อโลกนี้ ทุกข์ไม่จริงสุขไม่แท้ อย่างนั้นโลกใบนี้เป็นสิ่งที่เราครอบครองได้ไหม (ไม่ได้) มีอะไรเป็นของเราไหม (ไม่มี) ที่มนุษย์เราหวัง วิ่งวนดิ้นรนแสวงหาจนจมอยู่กับกิเลสตัณหาความอยากของตนจนมองไม่เห็นธรรม ก็เพราะเราคิดว่าโลกนี้ยังมีสุข ยังหวังยึดถือพึ่งพิงได้ และยังไขว่คว้าครอบครองได้ ฉะนั้นถ้าไม่อยากเจอแบบนี้ เราควรจะหยุดแล้วมองให้เห็นชัด ก่อนที่จะถามว่าทำไมฉันต้องทุกข์เช่นนี้ ทำไมชีวิตฉันต้องเจอแบบนี้ จริงไหม
ถ้าเรารู้ว่าของนี้เหมือนกองไฟ รู้ว่าจับแล้วร้อน จะจับไหม จะเล่นไหม เห็นเล่นทุกราย แต่จะเล่นอย่างไร จะจับอย่างไรให้ความร้อนไม่เผามือเผาใจ ต้องมองให้ออกตั้งแต่แรกเริ่มก่อนจะไปคว้า ก่อนจะไปยึด ก่อนจะไปคาดหวัง ฉะนั้นเริ่มต้นท่านต้องเห็นให้ชัดก่อนว่า โลกใบนี้ไม่มีสุขจริงไม่มีทุกข์แท้ ถ้าเข้าใจธรรม แล้วท่านต้องเข้าใจต่ออีกว่า โลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นของเราแม้กระทั่งตัวตน รู้ไหม (รู้) รู้อยู่เต็มอก แล้วห่วงอะไร แล้วยึดอะไร แล้วอยากอะไร ใช่ไหม (ใช่)
เพราะเราไม่เคยเอาสิ่งนี้มาพิจารณาจนแจ่มแจ้ง เราชอบรอให้เราทุกข์จนถึงที่สุด เจ็บจนถึงที่สุด แล้วค่อยๆ แกะ ค่อยๆ ปล่อย ทำไมต้องทุกข์จนถึงที่สุดแล้วค่อยปล่อยวาง ทำไมไม่เรียนรู้ให้ชัด ใช้ให้เป็น วางให้ได้ นี่ถึงจะเรียกว่า ธรรมะนำมาซึ่งปัญญาแห่งความฉลาด
อยากนั่งไหม (อยากนั่ง) ถ้าเราไม่ให้นั่งทุกข์หรือสุข วางใจเป็นทำใจได้ก็ไม่ทุกข์ วางไม่เป็นทำใจไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็ทุกข์ จริงไหม (จริง) ฉะนั้นจะยืนหรือนั่ง ทุกข์หรือสุขใช่เราผู้กำหนดหรือใจท่านยึดถือ (ใจยึดถือ) อย่างนั้นแปลว่าถ้าไม่ได้นั่งสุขหรือทุกข์ ทำไมไม่ตอบว่าไม่สุขแล้วก็ไม่ทุกข์
แท้จริงแล้วคำชมเรียกว่าสุข คำด่าเรียกว่าทุกข์ จริงหรือไม่ (ไม่จริง) แต่ทำไมส่วนใหญ่มักคิดว่าคำชมคือความสุข คำต่อว่าคือความทุกข์ แล้วจริงๆ ทุกข์หรือสุข ดีหรือไม่ดีอยู่ที่เขาหรืออยู่ที่เรา (อยู่ที่เรา) ก็ตอบได้หมด ก็รู้หมด แต่ถึงเวลาคนด่าเราโกรธหรือไม่โกรธ (โกรธ) ทุกข์ไม่ทุกข์ (ทุกข์)
การกระทำของเราดีหรือไม่ดีใครเป็นคนตัดสิน (เรา) แล้วใครรู้ดีที่สุด (ตัวเราเอง) แล้วเราห้ามคนไม่ให้พูดได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นทุกข์หรือสุข (อยู่ที่ตัวเราเอง) อยู่ที่คำชมไหม (ไม่ใช่) แต่ทำไมชมทีไรใจพองโต โดนว่าทีไรใจเป็นอย่างไร (ห่อเหี่ยว) ทุกทีเลย
ฉะนั้นทุกข์หรือสุขในโลกนี้ไม่ได้อยู่ที่คำพูด ไม่ได้อยู่ที่เหตุการณ์ แต่อยู่ที่เราวางใจเราเป็นไหม เราคุมใจเราได้ไหม ท่านก็รู้ว่าห้ามปากคนยากยิ่งกว่าอะไร ห้ามไม่ให้คนพูดยากไหม (ยาก) หยุดไม่ให้ปากเราพูดยากไหม (ยาก) ไม่ต้องคนอื่นหรอก ปากเรายังหยุดยากเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าไม่อยากทุกข์และไม่อยากสุขมาก ไม่คาดหวังอะไรแล้วยอมรับความจริงดีกว่า อะไรจะเกิดก็จงกล้ารับ เพราะโลกนี้ทุกข์หรือสุขไม่ได้อยู่ที่เขาแต่อยู่ที่เรา จำไว้นะ ถ้าเราไม่ทำหัวใจเราเหงาเปล่าเปลี่ยวจะมีใครมาบีบใจเราให้ทุกข์ไหม (ไม่มี) จะมีใครมาทำให้ใจเราชุ่มชื้นไหม ถ้าเราไม่เปิดใจรับ (ไม่มี) บางครั้งเมื่อชีวิตถึงความเป็นจริงก็ต้องยอมรับให้ได้ ถ้าวันหนึ่งยืนแล้วไม่ได้นั่งอีกต่อไป หรือนั่งแล้วไม่ได้ยืนอีกต่อไป เราก็ต้องรับความจริงนั้นให้ได้ แล้วเราจะรอให้ทุกข์จนถึงที่สุดแล้วค่อยคิดได้ หรือคิดได้แจ้งในธรรมแล้วไม่ทุกข์อีกต่อไปกันเล่า
เมื่อสักครู่คุยกันเรื่องถ้าเข้าใจในธรรมจะมองเห็นโลกแจ่มชัด แจ่มชัดในเรื่องแรกคือ โลกใบนี้ไม่มีอะไรเรียกว่าทุกข์แท้ ไม่มีอะไรเรียกว่าสุขจริง ในโลกนี้ไม่ได้อยู่ที่คนอื่นกำหนดแต่อยู่ที่เราวางใจ วางใจเป็นเราก็ไม่ทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้น วางใจไม่เป็นจะทุกข์โดยที่เราไม่คาดคิด
ถ้าอย่างนั้นเราถามต่ออีกนะว่า การได้กับการเสีย อะไรเรียกว่าสุข อะไรเรียกว่าทุกข์ การได้คือ (ความสุข) การเสียคือ (ความทุกข์) ถ้าไม่เสียเวลาจะได้เงินไหม (ไม่ได้) ถ้าไม่เสียไปจะได้มาไหม (ไม่ได้) การได้คือทุกข์หรือสุข แล้วเคยไหมได้มาแล้ว ทำไมยิ่งได้กลับยิ่งทุกข์ แต่ก่อนไม่เคยได้ แต่พอได้ดีใจไหม พอได้แล้วทำไมทุกข์ใจล่ะ ยกตัวอย่างง่ายๆ เคยถูกลอตเตอรี่สองตัวไหม (เคย) แล้วเสียดายไหม ซื้อแค่หนึ่งร้อยบาทหรือซื้อแค่ห้าสิบบาท (เสียดาย) ตกลงว่ารู้สึกได้หรือรู้สึกเสีย (รู้สึกเสีย) แล้วเคยเสียไหม (เคย) เสียแล้วเป็นสุขเคยไหม (ไม่เคย) เราเสียน้อยกว่าแต่เขาเสียมากกว่า ดีใจหรือทุกข์ใจ พอรู้ว่าเพื่อนข้างๆ เสียมากกว่าเป็นอย่างไร (ดีใจ) ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข (ทั้งทุกข์และสุข) ไม่เสียเงินจะได้ของไหม (ไม่ได้) พอได้ของมาดีใจไหม (ดีใจ) แต่ดีใจนานไหม (ไม่นาน) ฉะนั้นได้แล้วเป็นทุกข์หรือเป็นสุข (ทุกข์)
ถ้ามีคนชมว่าท่านเก่งจังเลย ท่านดีจังเลย แต่สักพักคนที่ชมไปชมอีกคนหนึ่ง คนนี้สุดยอดเลย เราจะเป็นทุกข์หรือเป็นสุข (ทุกข์) ทำไมทุกข์ล่ะ (ทุกข์เพราะเสียหน้า) ฉะนั้นคำชมดีหรือไม่ดี (ไม่ดี) ไหนบอกว่าคำชมเป็นสุขไง เราถามท่าน ในโลกนี้ใครเก่งที่สุด (ตัวเรา) ตัวเราหรือ มีคนเก่งก็ต้องมีคน (เก่งกว่า) มีคนดีก็ต้องมีคน (ดีกว่า) ฉะนั้นควรสุขหรือทุกข์ (ไม่สุขและไม่ทุกข์) เห็นแต่ไม่เคยเห็นจนบังเกิดธรรม ไม่เคยหยั่งเห็นจนถึงที่สุดแล้วได้ธรรม แต่เราเห็นแค่เพียง ได้ ไม่ได้ อารมณ์ดี อารมณ์ไม่ดี สุข ทุกข์เท่านั้นใช่ไหม (ใช่) เราเคยมองข้ามความรู้สึกแล้วหันกลับมามองความจริงไหมว่า ไม่มีอะไรในโลก สุขจริง ทุกข์แท้
เหมือนถามท่าน มีลูกคิดว่าสุขหรือทุกข์ (มีทั้งสุขและทุกข์) มีภรรยาสุขหรือทุกข์ ไม่เคยมีที่นาได้ที่นา ไม่เคยมีบ้านได้มีบ้าน ไม่เคยมีรถได้มีรถ ตอนแรกได้สุขหรือทุกข์ (สุข) แล้วตอนต้องซ่อมรถ ซ่อมบ้าน สุขหรือทุกข์ (ทุกข์) ตกลงอะไรสุข อะไรทุกข์ ฉะนั้นถ้าเข้าใจหนึ่งขั้น ท่านจะก้าวไปอีกหนึ่งขั้นว่า ไม่มีอะไรในโลกที่ควรจะอยากครอบครองจนถึงขนาดต้องสร้างกิเลสแล้วสูญสิ้นธรรมเลย เพราะอยากไปถึงที่สุด ยึดไปถึงที่สุด มีไปถึงที่สุด มีอะไรไม่ทุกข์ ใช่ไหม
ท่านเคยได้ยินคำพูดไหมว่า มีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ แล้วอะไรที่มนุษย์ควรหลงยินดียึดถือครอบครอง อะไรที่มนุษย์พยายามยึดจนถึงที่สุดแล้วปล่อยให้ตัวเองทุกข์แล้วค่อยเรียนรู้ปล่อยวาง ทำไมไม่เห็นให้ชัดก่อนจะเล่น ก่อนจะไปยึด
อยากมองอะไรด้วยตาข้างเดียวไหม อยากฟังอะไรแล้วฟังความข้างเดียวไหม อยากมองอะไรแล้วมองไม่รอบด้านไหม (ไม่) อยากมองอะไรแล้วกลายเป็นคนฉลาดตอนแรกแต่โง่ตอนท้ายไหม (ไม่) แต่ท่านเป็นทุกอย่างที่เราพูดหมดเลย มองอะไรก็มองด้านเดียว ฟังอะไรก็ฟังข้างเดียว ดูอะไรก็นึกว่าตัวเองฉลาด แต่ถึงที่สุด (โง่เขลา)
เหมือนตอนนี้ยืนฟังเรา นั่งฟังเราเมื่อยไหม (ไม่เมื่อย) ถ้าก้าวข้ามความรู้สึก ไม่จมอยู่กับความรู้สึก มองตามความเป็นจริง ชีวิตเดี๋ยวก็เมื่อย เดี๋ยวก็หาย แต่มนุษย์ไม่ใช่ ชอบเอาความเมื่อยมาสั่งสม แล้วก่อเกิดเป็นโรคภัยไข้เจ็บ มันเมื่อยตอนเรายืนสามชั่วโมงแล้ว ใช่ไหม (ใช่) แล้วเราเก็บความเมื่อยทั้งสามชั่วโมงมาทำให้เกิดโรคในใจ แล้วก็เจ็บปวดกายใช่ไหม ถ้าเราลืมมันไปมันจะมาเจ็บไหม (ไม่) ฉะนั้นใครที่ทำร้ายเรา (ตัวเอง) ใช่เราที่มายืนพูดสามชั่วโมงหรือท่านที่ไม่ยอมลืมความเจ็บ เราบอกวิธีรักษาโรคท่านอย่างหนึ่งนะ มนุษย์ที่บอกว่าเมื่อยปวดก็เพราะว่าจมอยู่กับที่ตัวเองคิดว่าตัวเองยืนนาน ตัวเองเป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ แต่สิ่งที่ผ่านมานั้นมันผ่านไปแล้วใช่ไหม (ใช่) แต่ความรู้สึกมันก่อเกิดแล้วทำให้เราทุกข์จริงหรือไม่ (จริง) แต่ถ้าเราจบมันไปแล้ว มันจะลากมาทำให้เราทุกข์ไหม แล้วทำไมถึงชอบทำให้ตัวเองเจ็บ อยากป่วยไหม อยากเจ็บไหม (ไม่) แล้วทำไมชอบจมอยู่กับสิ่งที่เจ็บที่มันผ่านไปแล้ว (ที่ทำลงไปเพราะไม่นึกว่ามันจะเจ็บ) แล้วสิ่งที่เจ็บมันจบหรือยัง (ยัง) ยังหรือ มันยังค้างอยู่ในใจใช่ไหม มันก็กลัดหนองแล้วก็ทำให้เราเจ็บไม่จบใช่ไหม แล้วเขาทำเราเจ็บหรือเราทำเราเจ็บ (เราทำ) ใช่หรือไม่ ชีวิตสอนให้เราอยู่กับขณะนี้ อย่าไปจมอยู่กับอดีต ไม่อย่างนั้นโรคภัยไม่ใช่คนอื่นทำร้ายแต่เป็นเพราะตัวเราเองทั้งสิ้น
โลกนี้เป็นโลกของเหตุปัจจัย สร้างอะไรมาก็ต้องรับผลแบบนั้น ฉะนั้นธรรมะจึงสอนว่าบุญไม่สามารถชำระล้างบาปได้ เราไม่อาจหนีทุกข์ได้แต่เราสามารถทำให้ทุกข์ไม่เพิ่มขึ้นได้ด้วยตัวเราเอง ถ้าไม่อยากมีทุกข์ก็จงอย่าสร้างบาปเพิ่มเติม เราไม่อาจหนีทุกข์ได้ แต่เรียนรู้เข้าใจแล้วนำพาให้เราพ้นทุกข์ได้ ถูกหรือไม่ (ถูก) ใครทำสิ่งใดก็ต้องได้รับสิ่งนั้น ฉะนั้นถ้าเราหยุดตั้งแต่ไม่สร้างกิเลส ไม่สร้างกรรม แล้วเราต้องมารับผลทุกข์ไหม (ไม่) แต่เพราะเราไม่เห็นชัด เราก็เลยอยาก เราก็เลยโกรธ เราก็เลยเกลียด แล้วก็ต้องมารับผลกรรมที่ตัวเองสร้าง ถูกหรือไม่ (ถูก)
มนุษย์ทำอะไรลงไปแล้ว ต่อให้ผ่านพ้นไปนานเท่าไหร่ ก็ไม่อาจหนีกรรมที่ตัวเองสร้างไว้ ดุจดั่งคนที่เขียนหนังสือ แม้จะหยุดเขียนแล้วแต่ตัวหนังสือก็ยังคงตราตรึงอยู่ เฉกเช่นเดียวกัน มนุษย์ทำบาปทำกรรม แต่ก็ทำบุญและก็สร้างกุศล ถ้าวันนี้เราขโมยกระเป๋าของท่านนี้ แล้วไปทำดีกับอีกท่านหนึ่ง ถามว่าบุญหรือบาป เอาบุญนี้มาชำระบาปของท่านท่านนี้ได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นถ้าจะชำระล้างบาปที่ดีที่สุดก็คือ ไม่เบียดเบียนเขานั่นแหละเรียกว่า “บังเกิดบุญ” แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ใช่ สร้างบุญโดยการเบียดเบียนทำร้ายชีวิตเขา แล้วก็บอกว่า ทำบุญแล้วนะใช่ไหม (ใช่) แล้วบุญจะทำให้ท่านดีได้ไหมในเมื่อบาปท่านไม่เคยละจะเรียกเราว่าคนดีได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม (เป็น) เราดีกับพระ แต่เราไปเบียดเบียนกับเพื่อนฝูง เราดีกับคนในครอบครัว แต่ไปเบียดเบียนกับคนอื่น ถูกหรือไม่ (ไม่ถูก) ฉะนั้นอย่าถามว่า อนาคตเราจะปรุงแต่งอนาคตของเราเป็นเช่นไร ก็อยู่ที่ว่าปัจจุบันท่านทำอะไร ใช่ไหม (ใช่) เราลบบาปไม่ได้ ฉะนั้นถ้าไม่อยากรับทุกข์อย่าสร้างบาปไม่ว่าที่ลับหรือที่แจ้งจริงหรือไม่ (จริง) แล้วเราหยุดบาปได้ไหม (ไม่ได้)
ถ้าอยากมีบุญก็แค่ละบาป ใช่หรือไม่ (ใช่) ใครๆ ก็อยากเป็นคนมีบุญมีวาสนา ฉะนั้นก็จงรู้จักละบาปบำเพ็ญบุญ ละอบายมุข สร้างบุญกุศล
บุญกุศลยิ่งสร้างยิ่งอุทิศให้ไม่มีวันร่อยหรอแล้วก็ไม่มีวันขาดหาย บุญรอผล บุญรอผู้นั้นไปรับผลของบุญเสมอๆ ไม่ว่าภพใดชาติใด บุญนั้นก็คงยังติดตามผู้นั้นไปยิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทอง และก็ลูกหลานอีก ท่านเคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า โลกใบนี้เป็นโลกแห่งธรรมชาติ เรายืมธรรมชาติมา
สักวันเราก็ต้องคืนธรรมชาติ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถเอาไปได้ทุกภพชาติ แล้วสามารถตัดกระแสการเวียนว่ายตายเกิดได้คือ “ดวงตาเห็นธรรม”
บุญบาปยังทำให้เราหนีไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด แต่ดวงตาและปัญญาที่แจ้งในธรรมจะทำให้เราอยู่ในโลกนี้หรือโลกไหนก็สิ้นทุกข์ได้
แต่มนุษย์มักจะดูเบาตัวเองว่า โง่เขลาเบาปัญญา ช่างน่าเสียดาย ใช่ไหม (ใช่)
อย่างนั้นวันนี้สิ่งที่เราพูดทำให้ท่านเข้าใจไม่มากก็น้อยใช่ไหม (ใช่) ส่วนคนที่ไม่เข้าใจเลยแปลว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ใช่หรือเปล่า อย่ามาเสียเวลาเปล่านะ หนึ่งชีวิตสิ่งที่ตามติดได้คือปัญญาเห็นแจ้งในธรรม
อย่าเอาแค่บุญ อย่าเอาแค่บาป บุญบาปทำให้เราไม่สามารถพ้นวัฏฏะ
เวียนว่ายได้ แต่จงไปให้ถึงซึ่งความเห็นแจ้งในธรรม เพราะความเห็นแจ้ง
ในธรรมจะก่อเกิดปัญญาที่ทำให้เราเข้าใจรากฐานแห่งชีวิตและเข้าใจความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ซึ่งธรรมที่แท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ไกล ไม่ได้อยู่ที่ตัวเรา
แต่อยู่ที่ท่าน หันกลับมาพิจารณาไหม หรือจะยอมจมอยู่กับกิเลสแห่งความยึดติดแห่งตัวตนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจงพิจารณาโลกนี้ให้ดี
ขอถามคำสุดท้าย ดอกไม้สวยไหม คิดให้ดีๆ นะ สวยจริงหรือ อะไรสวยจริงๆ สังขารนี้จริงแท้ไหม (ไม่) ของเราใช่ไหม (ไม่ใช่) แล้วสิ่งที่มีค่า
ยิ่งกว่าสังขารนั่นคืออะไร ปัญญาที่ทำให้เราแจ่มแจ้งในความเป็นจริง
อันเป็นรากฐานของชีวิตและรากฐานของทุกสรรพสิ่ง นั่นคือ “ธรรม”
ลองนำไปพิจารณาดูนะ แล้วท่านจะรู้ว่าสิ่งที่เราพูดวันนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้าท่านเข้าใจ ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แล้วท่านจะรู้ว่า
ใดๆ ในโลกไม่มีอะไรน่าครอบครอง และไม่มีอะไรเป็นของเราแท้จริง มีแต่ปัญญาที่ตื่นรู้แจ้งในความจริงเท่านั้น ที่จะทำให้เราจริงแล้วจริงตลอดกาล อย่างนั้นถามใหม่ ตะกร้าดอกไม้นี้สวยไหม (ไม่สวย) ทั้งสวยและไม่สวย
คิดแบบนี้เพื่อเตรียมใจจะได้ไม่ทุกข์ ชีวิตนี้ยาวนานไหม คิดให้เสมอ เมื่อถึงเวลาต้องเป็นไปจะได้ไม่เจ็บปวด ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญอีกนะ ให้โอกาสตัวเอง ยังเหลืออีกแค่หนึ่งวัน นั่งแล้วมีความสุขไหม ทั้งสุขและไม่สุข ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จะสุขจริงๆ หรือเปล่าต้องถามใจท่านเอง ถ้าไม่ยึดติดมันไม่สุขไม่ทุกข์ แต่คือความสงบเย็น ไปให้ถึงคำนี้ดีกว่า สุขแล้วมันก็ทุกข์ ทุกข์แล้วมันก็สุข ไม่สู้ความสงบเย็นที่กล้ารับความจริง ใช่ไหม (ใช่)
วันอาทิตย์ที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ สถานธรรมฮุ่ยอวี้ จ.ขอนแก่น
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เย็นทำให้เบิกบานใจ เย็นกายเย็นใจทุกที่
ใจร้อนมากไปบ่ดี ต่างมีหน้าที่ของตน
เรื่องเล็กอย่าทำให้ยาก หากท้ออภัยอดทน
อย่าดีแค่จำเพาะตน ช่วยคนคือช่วยตนเอง
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักอาจารย์ทุกคนสบายดีบ่
เรื่องบางเรื่องไม่ผิดแต่ไม่สง่างาม ดูเป็นกรรมแต่ไม่เรียกว่าเป็นบาป
ไม่เดือดร้อนผู้อื่นแต่ผลต้องรับ ทำตัวหยาบอาจไม่ทุกข์สุขไม่มี
สมัยนี้คนทำตัวตามสบาย ชอบง่ายง่ายยอมทิ้งได้แม้ศักดิ์ศรี
เหล่าคนดีจึงสับสนกับความดี แม้ดูมีเพื่อนมากมายเหมือนคนเดียว
น่าสงสารคนทำตัวตามสบาย ไม่อาจคิดอะไรได้แม้นิดเดียว
มัวแต่หลงความคิดตนบ่นหลายเที่ยว ท้ายก็บิดเบี้ยวเพราะตนหลงตนไป
ไม่สร้างบาปก็เรียกว่าเป็นบุญ ไม่ก่อโทษก็เป็นคุณอันยิ่งใหญ่
ทำบุญแต่ไม่ละบาปผิดมากมาย ยากหยุดทุกข์เวรภัยได้ถ้าทุกข์บาปยังมี
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
วันนี้ศิษย์มาฟังธรรม มาอบรมจิต มาควบคุมจิต แก้ไขจิตให้มีความคิดเห็นถูกต้อง นั่นก็คือการสร้างบุญ ใช่ไหม (ใช่) บุญก็คือสิ่งที่ชำระล้างใจให้สะอาด ให้สบาย แต่โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะคิดว่า บุญก็คือการให้เงิน ให้ของ แต่เราลืมไปว่าการมาฟังธรรมก็เป็นบุญ ฟังแล้วจิตโล่งจิตสบายจิตเย็นนั่นก็เป็นบุญ การมาอบรมธรรมอบรมจิตให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องนั่นก็เป็นบุญ อย่ามองว่าบุญมีค่าแค่เงินทองสิ่งของ แต่ถ้าทำบุญแล้วติดว่าฉันให้ตั้งหนึ่งร้อย อย่างนี้เรียกว่าบุญไหม อย่างนี้เรียกว่าหลงบุญ เป็นบุญที่ยังมีเชื้อแห่งกิเลสครอบงำอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งสำคัญของการทำบุญไม่ใช่อยู่ที่ตัวเงิน ไม่ใช่อยู่ที่การกระทำ แต่อยู่ที่สภาวะจิตชั่วขณะที่เราทำบุญ ถ้าจิตขณะที่เราทำบุญมันโล่ง สะอาด สงบ ทำแล้วให้ไปเลย ไม่คิดมาก ทำแล้วทำให้เราโล่ง ไม่ทำให้เราตระหนี่ ไม่
ขี้เหนียว ทำแล้วทำให้เราไม่งก รู้จักปล่อยวาง รู้จักสละ ใจเราเบาขึ้น ใสขึ้น เย็นขึ้น นั่นแหละทำไปเถอะ บุญสำคัญที่ตรงนี้ ไม่ได้สำคัญที่เงินมากเงินน้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่มีบุญอีกอันหนึ่งที่ทำแล้วก่อเกิดปัญญา นั่นคือบุญแห่งการฟังธรรม เพราะธรรมคือรากฐานของชีวิต คือหัวใจของทุกสรรพสิ่ง ถ้ารู้จักตัวเองก็จะก่อเกิดปัญญาคือการรู้แจ้งในปัญญา แต่พอถึงเวลาให้มาฟังธรรมแล้วเกิดปัญญา แล้วมีบุญ มาไหม อู้ไหม ช้าไหม
มนุษย์เรียนรู้ทุกอย่างได้ แต่เสียอย่างเดียวไม่ยอมรู้ธรรม เพราะการรู้ธรรมทำให้เรารู้จักตัวเองยิ่งขึ้น เห็นคนอื่นชัดขึ้น แต่ธรรมอะไรที่รู้แล้วจะทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น เห็นคนอื่นชัดขึ้น และแจ่มแจ้งในสรรพสิ่งชัด (มีดวงตาเห็นธรรม) แล้วทำอะไรที่ทำให้เรามีดวงตาเห็นโลกชัด เห็นคนชัด (ทำทาน) ให้ทานก็เห็นตัวเองใช่ไหม แต่ยังมีอีกหนึ่งสิ่ง ถ้าพิจารณาธรรมนี้เนืองๆ แล้วจะสามารถทำให้เราเห็นโลกชัด เห็นคนชัด และปลดปลงหลีกห่างจากกิเลสได้ไวยิ่งขึ้น ทำให้เราสามารถตัดกิเลส ตัดกรรม ตัดภพ ตัดชาติ ได้ด้วยนะ
(อริยสัจ 4) อาจารย์ว่าอริยสัจ 4 เป็นเรื่องของการดับทุกข์นะ (ให้รู้จักปล่อยวางและปลง) ศิษย์เอย ถ้าศิษย์ยังไม่เห็นชัด ศิษย์ปล่อยวางไม่ได้หรอก ศิษย์ปลงไม่ได้หรอก จริงไหม (จริง)
ถ้าอยากหยุดโลกวุ่นวาย ควรหยุดที่ตัวเราก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่) เรารู้จักโลภเพราะเรามีตัวเอง ฉะนั้นตัวเองแหละคือโรงงานผลิตโลภ โกรธ หลง ความมี ความอยาก ความสวย ความไม่สวย ทั้งมวลทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราจะรู้จักตัวเราเอง จะปล่อยวางตัวเองและปลดปลงตัวเองและผู้อื่นได้อย่างไร
พิจารณาเนืองๆ โลกนี้มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ แล้วถึงที่สุดมันก็ว่างเปล่า เราเป็นพุทธะ พุทธะมีหน้าที่แค่รู้ แต่ไม่ใช่ให้ไปเป็นทุกข์ ให้แค่รู้ว่ามันมีทุกข์ แต่ไม่ใช่ให้ต้องไปจมอยู่กับความทุกข์ เพราะถึงที่สุดที่ศิษย์ทุกข์มันก็ว่างเปล่า มันยึดไม่ได้ มันเปลี่ยนแปลง เหมือนอาจารย์ถามว่า ตอนนี้อาจารย์นั่งเมื่อย ถ้าอาจารย์ไม่รู้สึกว่าอาจารย์ทุกข์ อาจารย์จะยืนไหม ฉะนั้นทุกข์มันมีแค่ให้เรารู้ ถ้ายืนจนเมื่อยเราก็นั่งสิมันจะได้ไม่ทุกข์ ฉะนั้นทุกข์ไม่ได้มีไว้ให้เป็น แต่มีไว้ให้แค่รู้ โลกนี้มีไว้ให้เราเรียนรู้ ไม่ใช่ให้เรายึดมั่นถือมั่น
ถ้าเราพิจารณาเนืองๆ ว่าโลกมันไม่เที่ยง ใครไม่เปลี่ยนบ้าง ใครไม่
ผันแปรบ้าง วันนี้บอกรักเราพรุ่งนี้มาด่าเราใช่ไหม (ใช่) วันนี้เขาชมว่าเราสวยพรุ่งนี้บอกเราว่าน่าเกลียดใช่ไหม (ใช่) แล้วถึงที่สุดทั้งเราและเขาก็ว่างเปล่า ถูกไหม (ถูก) พอถึงเวลาเราจะเจอเขาอีกไหม บางทีก็ไม่เจอแล้ว ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นสรรพสิ่งมันล้วนแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถ้าศิษย์อยากพ้นทุกข์ ไม่อยากตกเป็นทาสของกิเลสให้พิจารณามันบ่อยๆ แล้วศิษย์จะไม่หลงใครมาก แล้วศิษย์จะไม่เกลียดใครจนชิงชังเคียดแค้น เพราะมันไม่เที่ยง ถูกไหม (ถูก) เมื่อถึงเวลาเขาแปรเปลี่ยนเรารับมือทัน เมื่อถึงเวลาชีวิตพลิกผัน เราตั้งรับได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
อาจารย์ให้คาถาเด็ดเอาไหม (เอา) ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์ ถึงที่สุดก็ว่างเปล่า เรามีหน้าที่แค่รู้ทุกข์แต่ไม่ใช่ต้องเป็นทุกข์ ทำได้ไหม (ได้)
ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง ไม่แท้ ไม่ทน อย่างนั้นแปลว่าถึงเวลามันว่างเปล่า จะไปทำเลวทำร้ายก็ช่างมันเพราะสุดท้ายเดี๋ยวมันก็ว่างเปล่าใช่ไหม แล้วเราไปทำบาป ด่ามันเลย ตบมันเลย ดีไหม (ไม่ดี) สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือว่าแม้เราจะรู้ว่าความเป็นจริงถึงที่สุดมันว่างเปล่า แต่สิ่งที่น่ากลัวที่ทำให้ชีวิตไม่ว่างเปล่าแล้วเกิดกระแสวิบากกรรมเวียนว่ายไม่จบสิ้น นั่นก็คือใจที่ชอบผูกพัน ความผูกพันความห่วงทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) อีกอย่างหนึ่งก็คือใจที่ชอบผูกความแค้น ผูกความชิงชัง โดนตบหนึ่งที จำได้แม่นไหม เขาทำบุญสิบครั้งจำไม่ได้ แต่โดนตบหนึ่งทีจำขึ้นใจ ผ่านไปสิบปีก็ยังจำได้
ทั้งที่จริงๆ สรรพสิ่งมันเป็นอย่างนี้ แต่ความยึดติดตัวตนและหลงในตัวตน หลงติดในความโกรธ เกลียด มันจึงก่อเกิดวัฏฏะการเวียนว่ายว่าสักวันต้องเอาคืน ใช่ไหม (ใช่) อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย แล้วที่ไปกินเขา ไปด่าเขา ไปโกงเขา เขาไม่เอาคืนหรือ แล้วยังไปด่าเขาอีกไหม อย่างนั้นอาจารย์จะทำอย่างไรดีล่ะ การพิจารณาธรรมเนื่องๆ นี้มันทำให้เราพ้นทุกข์ พ้นกระแสกิเลส พ้นบ่วงเวรบ่วงกรรมได้
(พระอาจารย์แจ้งพระนาม)
ยินดีต้อนรับอาจารย์ใช่ไหม (ยินดีต้อนรับ) เอาอะไรต้อนรับอาจารย์ดี เอาธรรมะหรือ ถ้าเรามาร่วมบุญกันก็ต้องยิ่งทำให้ใจเราโล่ง ยิ่งฟังธรรมใจเราต้องยิ่งปลอดโปร่ง ใช่ไหม (ใช่) อย่าได้มัวเอาแต่ยึดถือความคิดตัวเอง
เมื่อสักครู่อาจารย์ทิ้งคำถามไว้หนึ่งข้อ แต่ยังตอบไม่ค่อยจะถูก การหมั่นพิจารณาธรรมบ่อยๆ เวลาเจอเรื่องราวจะทำให้เราสามารถปลดปลงได้ เหมือนที่ศิษย์บอกอาจารย์ว่า มันไม่มีอะไรเที่ยง แล้วมันก็เป็นทุกข์ ถ้ารู้ว่ามันเป็นทุกข์จะยึดมันทำไมให้เจ็บปวด ถ้ารู้ว่ามันเปลี่ยนแปลงจะไปโกรธทำไมให้ก่อเกิดเป็นกระแสวิบากกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้ารู้ว่ามันไม่แน่นอนแล้วยังอยากจะไปหลงรักให้เกิดความโศกเศร้าเสียใจและเกิดทุกข์ตามมาไหมล่ะ
การพิจารณาบ่อยๆ จะทำให้เกิดการละ ละอะไรที่จะทำให้เราตัดกรรม ตัดกิเลส ตัดภพ ตัดชาติได้ จำที่อาจารย์บอกได้ไหม ต้นเหตุของโลภ ต้นเหตุของกิเลส ต้นเหตุของกระแสวิบากกรรมล้วนเกิดมาจากไหน (ตัวเราเอง) ศิษย์เอ๋ย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ถ้าหาเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้ มันก็ดับทุกข์แล้วก่อเกิดมรรคไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องสืบให้ถึงต้นตอแห่งกระแสทุกข์ว่าเกิดมาจากอะไร ฉะนั้นเราต้องละอะไรให้ได้ (ละโลภ โกรธ หลง) โลภ โกรธ หลง มันไม่มีตัวตน แต่มันชอบสิงสถิตในใจคน ถูกไหม (ถูก) โลภมีหน้าตาไหม (ไม่มี) โกรธมีหน้าตาไหม (ไม่มี) พอมันเข้ามาอยู่ในตัวเราเป็นอย่างไร เคยเชิญมันออกไปไหม เอาเข้ามาเอาออกเป็นไหม (ไม่เป็น) ฉะนั้นถ้าอยากละ ไม่ใช่ละแค่ โลภ โกรธ หลง แต่ต้องละต้นเหตุที่ก่อให้เกิด โลภ โกรธ หลง นั่นคือละอะไร
(ละความคิดที่เป็นเหตุทำให้เกิดทุกข์) แล้วความคิดมาจากไหนล่ะ (ละวางตัวเองที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวล) อาจารย์เทียบง่ายๆ เหมือนเวลาที่เราเดินผ่าน เจอคนสวยกว่า เราหยุดคิดได้ไหม ถ้าเป็นผู้หญิงเหมือนกันเราเจอคนสวยกว่าเราคิดอย่างไร เราแค่เห็น เราละวางตัวตนไม่ได้ ความเห็นมันก่อเกิดเป็นกระแสวิบากกรรมเลย คิดว่าสวยแค่ไหนเชียว ของปลอมทั้งนั้น สู้ฉันก็ไม่ได้ธรรมชาติล้วนๆ ก่อเกิดเป็นกระแสวิบากกรรมทันทีเลย อิจฉา ยึดมั่นถือมั่น มีมานะ มีทิฐิ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าผู้ชายเห็นผู้หญิงสวยเป็นอย่างไร แค่เห็นใจมันก็รู้สึกหวั่นไหว ตัณหามันเริ่มเกิด กิเลสมันเริ่มนอง ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นต้นเหตุของกิเลสทั้งมวล ล้วนมาจากคำว่า “ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน” และจมอยู่กับความคิดว่าตัวเองคิดถูก
เหมือนคนสองคนเวลาเดินผ่านมา คนหนึ่งด่าเราคนหนึ่งชมเรา คนหนึ่งด่าเราก็เกิดเป็นกรรมที่เรียกว่ากรรมชั่ว คนหนึ่งชมเราก่อเกิดเป็นกรรมดี แล้วเราอยากมาสนองกรรมต่อไหม เวียนรับกรรมต่อไหม คนที่มีกรรมดีก็อยากอยู่ใกล้ คนที่มีกรรมชั่วเราก็อยากด่ามันเคียดแค้นมัน ซึ่งก่อเกิดมาจากความยึดติดในตัวตนแล้วคิดว่าตัวตนเป็นบรรทัดฐานวัดทุกสิ่ง ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นถ้าศิษย์อยากพ้นทุกข์ พ้นกิเลส พ้นกระแสการเวียนว่าย ก็แค่เจอคนด่าก็เฉย เจอคนชมก็เฉย เขาสวยก็เฉย เขาน่าเกลียดก็เฉย เราน่าเกลียดก็เฉย และในความเฉยนั้น ไม่ใช่ตายด้าน แต่คือความสงบเย็น ศิษย์เอย ไม่ต้องรออาจารย์สอน ฟ้าดินสอนธรรมอยู่ทุกเมื่อ มนุษย์ยืนอยู่ท่ามกลางระหว่างฟ้า ดิน เรากลางอยู่แล้ว แต่ใจเราไม่เคยกลาง เรามีธรรมอยู่แล้วแต่เราไม่เคยเห็นธรรม ฟ้าสูงกว่าหรือ ดินแย่หรือ ไม่ใช่ แต่เราต้องอยู่ระหว่างฟ้าและดินให้ได้เหมือนกัน เราอยู่ระหว่างผู้คนที่ดีจับใจและร้ายจับใจ เราก็ต้องอยู่ให้ได้โดยที่พยายามรักษาใจให้เฉยและสงบเย็นให้ได้
จำคำนี้ไว้นะศิษย์ อยากอยู่บนโลกแล้วไม่ต้องสิ้นหวัง ไม่ต้องหมดหวังและไม่ต้องเสียใจกับใคร ให้คิดว่า “อะไรก็ได้” แต่มนุษย์เราไม่ใช่ ถ้าไม่ละวางตัวตน อยู่กับใครมันก็ทุกข์ อยู่กับพ่อก็ทุกข์เพราะพ่อ อยู่กับเพื่อนก็ทุกข์เพราะเพื่อน เพราะเราชอบเอาความหวัง ความคิดว่าเพื่อนมันต้องเป็นแบบนี้ จริงไหม (จริง) อยากพ้นทุกข์ พ้นกิเลส พ้นเวียนว่าย พ้นกรรมไม่ต้องมาเจอกันอีก ก็แค่เฉย
วันนี้มาร่วมบุญกัน และอุทิศบุญอันดีงามให้กับสิ่งที่ท่านเคารพรัก หรือสิ่งที่กำลังเป็นทุกข์และเดือดร้อนดีไหม (ดี) เวลาเราทำบุญยิ่งอุทิศให้ บุญนั้นไม่เคยลดน้อย บุญนั้นไม่เคยเสื่อมคลาย บุญของคนที่ตั้งใจทำบุญ จะยังคงรอผู้เป็นเจ้าของบุญนั้นไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติก็ตาม ทำไมพระพุทธะจึงสอนให้มนุษย์รู้จักสร้างบุญ เพราะบุญเป็นสัมภาระที่นำพาให้ดวงวิญญาณ ไม่ว่าจะเกิดกี่ภพกี่ชาติ ก็ไปสู่คติภูมิที่ดีงาม ฉะนั้นวันนี้มาฟังธรรมแล้วใจมันแช่มชื่น ดวงจิตมีความคิดเห็นที่ถูกต้อง ใจปลอดโปร่งโล่งสบาย จงรีบอุทิศใจนั้นแล้วให้กับบุคคลที่ท่านเคารพ กับสรรพสัตว์ที่ท่านรู้สึกเมตตาสงสาร เพราะบุญเมื่อมันเต็มเปี่ยม พลังจะยิ่งใหญ่และไปได้ถึง แต่ขออย่างเดียว ยิ่งทำอย่ากลัวการอุทิศให้ เพราะบุญก็เป็นของใครของมัน
พูดเรื่องบุญ คนเราส่วนใหญ่ทำบุญหรือทำบาป (ทั้งบุญทั้งบาป) มือหนึ่งบุญ อีกมือหนึ่งก็พร้อม (บาป) ฉะนั้นใครทำสิ่งใดก็ต้องได้ (สิ่งนั้น) กรรมตกแต่งให้ผู้คนแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน บางคนเกิดมาดีพร้อม บางคนเกิดมาขาดแคลนทุกสิ่งทุกอย่าง อาจารย์ถามหน่อยนะว่า ศิษย์ของอาจารย์ใครเป็นคนที่ไม่กลัวเรื่องบาปไม่เชื่อเรื่องบุญบ้าง กลัวบาปไหม (กลัว) เชื่อบุญไหม (เชื่อ) คนโดยส่วนใหญ่สมัยนี้ไม่ค่อยเชื่อเรื่องบาปเรื่องบุญ แต่การสร้างบุญบ่อยๆ มันทำให้เป็นที่รักของผู้อื่นนะ และการทำบาปบ่อยๆ มันทำให้เราโดนเกลียดโดยไม่รู้ตัว จริงไหม (จริง) ฉะนั้นเวลาสร้างบุญกับสร้างบาปอะไรง่ายกว่ากัน (สร้างบุญ) แล้วเคยทำไหม (เคย) เคยทำอะไร ถ้าคิดนานแปลว่าไม่ได้ทำบ่อยๆ ใช่หรือไม่
มนุษย์ทุกคนกลัวทุกข์ใช่ไหม (ใช่) ไม่อยากเจอทุกข์ใช่ไหม ไม่อยากมีทุกข์แล้วเราหนีทุกข์ได้ไหม (ไม่ได้) เราสามารถหยุดทุกข์ได้ไหม (ได้) และเราสามารถเพิ่มทุกข์ได้ไหม (ได้) แล้วศิษย์ตอนนี้คิดอยากหยุดทุกข์บ้างไหม (อยาก) เอาแต่คิดไม่ค่อยทำสักที ใช่ไหม
มนุษย์ทุกคนมีทุกข์ อาจารย์ขอยกเป็นสองประเภทได้ไหม ประเภทหนึ่งคือทุกข์ที่ไม่มีวันหนีพ้นและก็หยุดยั้งมันไม่ได้ นั่นคือทุกข์แห่งความเป็นจริงที่ทุกคนต้องแก่ เจ็บ ตาย กับทุกข์อีกประเภทหนึ่งคือทุกข์ที่เกิดจากการสร้างบาปกรรม
ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากมีทุกข์เราก็อย่าสร้างบาปเพิ่ม ถูกไหม (ถูก) เราหนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่คนบางคนทำไมถึงตายไว คนบางคนทำไมมีชีวิตอยู่ เจอคนเบียดเบียนแล้วเบียดเบียนอีก เจอคนทำร้ายแล้วทำร้ายอีก
อาจารย์อยากจะบอกนะศิษย์ โลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ใครทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับผลแบบนั้น อดีตเราทำอะไร ปัจจุบันเราก็ต้องได้รับแบบนั้น ปัจจุบันเราทำอะไร อนาคตเราก็จะได้รับสิ่งนั้น ใช่หรือไหม (ใช่) การเฉย สงบเย็น จะกลายเป็นกรรมที่ไม่ต้องรับผลต่อ ไม่ว่าเจอใครร้าย ไม่โกรธ ไม่ด่า ไม่เกลียด คนเราโกรธได้เดี๋ยวก็ดีได้ คนเราโดนบ่นได้เดี๋ยวก็โดนชมได้ ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเราเข้าใจ กรรมจะสิ้นสุดตรงนั้น แต่มนุษย์เรายังมีความรู้สึก ฉะนั้นเวลาโดนกระทำก็ต้องเอากลับ ใช่ไหม (ใช่) แรงมาก็ (แรงไป) ด่ามาก็ (ด่าไป) เตะมาก็ (เตะกลับ) แล้วชีวิตนี้จะจบไหม (ไม่จบ) แล้วหยุดไหม (ไม่หยุด) แล้วแค้นไหม (แค้น) จองเวรไหม (จองเวร) จองกรรมไหม (จองกรรม) แล้วไหนบอกไม่อยากเจอหน้าอีกเลย แล้วทำไมยังจองเวรจองกรรมอยู่ล่ะ ถ้าเราอยากอยู่บนโลกแล้วมีแต่คนรัก ศิษย์ควรจะเป็นคนที่ชอบยุแยงตะแคงรั่ว ศิษย์ควรจะเป็นคนที่ชอบนินทาใส่ร้ายไหม (ไม่) ถ้าศิษย์ไม่อยากเพิ่มทุกข์ศิษย์ควรจะแปรเปลี่ยนตัวเอง ด้วยการเอาคุณธรรมศีลธรรมมาน้อมนำใจตัวเอง
ถ้าอยากไปอยู่ที่ไหนใครก็รัก มือก็ต้องอ่อนหน้าก็ต้องยิ้ม แต่ถึงเวลาทำไหม ไม่อยากทุกข์เพิ่มทำไมถึงหาเรื่องให้ตัวเองทุกข์ล่ะ ถูกหรือไม่ (ถูก) อยากมีชีวิตที่ยืนนาน แข็งแรง เป็นที่รัก อยากอยู่ที่ไหนก็สงบสุข ไม่อยากถูกใครเบียดเบียนไม่อยากถูกใครทำร้าย แล้วเรามีชีวิตอยู่เพื่อเบียดเบียนชีวิตคนอื่น ใช่ไหม (ไม่ใช่)
ศิษย์เอยถ้าอยากอยู่อย่างสงบไม่ถูกใครเบียดเบียนไม่ถูกใครคิดร้าย ไม่ถูกใครปองร้าย ไม่ถูกใครทำร้ายลับหลัง ศิษย์ต้องไม่ทำร้ายใครลับหลัง ไม่เบียดใครด้วยชีวิต ใช่ไหม (ใช่) แล้วตอนนี้ล่ะเบียดเบียนไหม (ไม่) เข่นฆ่าไหม (ไม่) แน่ใจหรือ จำไว้นะศิษย์ กรรมมันเหมือนการเขียนหนังสือ แม้ศิษย์จะหยุดเขียนแต่หนังสือแห่งกรรมมันยังบันทึกไว้ในใจของศิษย์ แล้วกรรมใครก็กรรมมัน ชดเชยกันไม่ได้ ช่วยกันไม่ได้ ฉะนั้นสิ่งที่จะช่วยละลายหนี้บาปเวรกรรมคือสำนึกยอมรับผิดของกรรมที่แล้วมา แล้วเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดียิ่งขึ้น บาปมันจะลดได้ถ้าเราสำนึกผิดจริงๆ และยอมรับผิดจริงๆ เคยไปเอาเขามากี่ชีวิต เคยไปเบียดเบียนเขากี่ครั้ง เคยไปฆ่าเขากี่หน หยุดได้ไหม ถ้ายังอยากรักชีวิต
ศิษย์อยากได้ครอบครัวร่มเย็นไหม อยากได้ลูกหลานเชื่อฟังไหม (อยาก) แล้วเราทำตัวเองให้น่ารัก ทำตัวเองให้น่าเคารพ ทำตัวเองให้เป็นแบบอย่างให้ลูกหลานอยากทำตามหรือเปล่า ถ้าตื่นเช้ามาแล้วด่าเขาแล้วเขาจะรู้ไหมว่าอะไรดี ด่าเขาจนยืนติดมุม ตรงไหนที่สว่างล่ะ ด่าจนไม่รู้ว่าจะเดินตรงไหนแล้ว ใช่ไหม (ใช่) แต่ศิษย์ต้องจำไว้อย่างหนึ่งนะคนที่ด่าเพราะรักมากมันเจ็บมาก ก็เลยด่าแรง ถ้าไม่รักไม่แยแสไม่สนใจเขาก็ไม่ด่าให้เสียน้ำลายหรอก จริงไหม (จริง) ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจซึ่งกันและกัน เราจะไม่โกรธกัน เราจะไม่เกลียดกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์ก็รู้ศิษย์ทุกคนอยากอยู่บนโลกอย่างสันติสุข แต่ต้องถามก่อนนะ ไหว้พระขอพรให้ตัวเองทำตัวเองให้เป็นพรศักดิ์สิทธิ์หรือยัง ไหว้พระขอสิ่งดีๆ ตัวเรามีสิ่งดีๆ บ้างหรือยัง ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้าอยากหยุดทุกข์ก็ต้องถามตัวเองก่อนว่าเราสร้างกรรมที่ก่อให้เกิดทุกข์เพิ่มขึ้นไหม ถ้าไม่สร้างเพิ่ม สิ่งที่เหลือก็คือแก่ เจ็บ ตาย
สิ่งที่ศิษย์ต้องเรียนรู้คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เรากลัวความแก่ไหม กลัวเจ็บไหม กลัวตายไหม อาจารย์ถามหน่อยนะ มีชีวิตแล้วไม่ต้องตาย เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) แล้วเป็นไปได้ไหมว่ามีชีวิตแล้วไม่ต้องเจ็บ คนที่ทำบุญมาก และมีเมตตาจิตอยู่เนืองๆ ไม่เคยทำร้ายใครให้เจ็บปวดทั้งกาย วาจา ใจ คนนั้นจะเป็นคนที่มีชีวิตอยู่แล้วไม่เจ็บป่วยเลย แต่ศิษย์ของอาจารย์มีไหมที่ไม่เจ็บเลย ยังแอบด่าคนด้วยสายตาอยู่ ยังแอบด่าคนในใจอยู่ ใช่ไหม (ใช่) เกิดแก่เจ็บตายเราเลยหนีไม่พ้น ถ้าหากความแก่มาเรากลัวไหม (ไม่กลัว) ดีใจที่ได้แก่ เพราะถ้าไม่แก่ก็ตายตั้งแต่เด็กแล้วน่าเสียดาย ฉะนั้นได้แก่แล้วนั่นดีแล้วใช่ไหม แล้วถ้าแก่แล้วไม่เจ็บเลย ไม่มีวันได้ตายเลย ก็ทรมานจริงไหม (จริง) ถ้าแก่แล้วมันต้องตายมันก็ถึงเวลาตาย มันก็เป็นสัจธรรมใช่หรือไม่ (ใช่) เกิดมามีชีวิตหนึ่ง แก่มันก็เป็นเรื่องธรรมดา เจ็บก็เป็นเรื่องธรรมดา ตายก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถึงเวลาคิดได้แบบนี้ไหม (ไม่ได้) อาจารย์จะบอกว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันปกติแต่ความคิดของศิษย์มันผิดปกติ ห้ามแก่ ห้ามเจ็บ ห้ามตาย ปกติหรือผิดปกติ (ผิดปกติ) เหมือนเกิดเป็นคนต้องมีแต่ชมต้องมีแต่ดี ผิดปกติหรือปกติ (ผิดปกติ) แล้วโดนด่าล่ะ อาจารย์ถามว่าในโลกมีใครไม่โดนด่าบ้าง (ไม่มี) การถูกด่าเป็นเรื่องปกติ แต่เพราะรับไม่ได้มันเลยผิดปกติ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นถ้ารับได้มันก็กลายเป็นเรื่อง (ปกติ) เหมือนกันถ้าเราคิดว่าการโดนด่าเป็นปัญหามันก็เป็นปัญหาทุกวัน แต่ถ้าเราคิดว่าการโดนด่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ปัญหามันก็กลายเป็นความ (ปกติ) สวยที่สุดยังโดนตำหนิ ดีที่สุดอย่างพระพุทธเจ้ายังมีคนเข้าใจผิด แล้วนับประสาอะไรกับมนุษย์ ฉะนั้นคิดเสียว่ามัน (ปกติ) ฉะนั้นถ้าศิษย์ไม่อยากทุกข์ ลองถามตัวเองว่าสิ่งที่คิดมันปกติธรรมดาหรือกำลังคิดแบบผิดปกติ เหมือนชีวิตต้องมีสุขไม่มีทุกข์ ปกติหรือผิดปกติ (ผิดปกติ) แล้วเราก็ยังคิดว่าต้องมีสุขแต่ห้ามมี (ทุกข์) อย่างนั้นศิษย์ผิดปกติใช่ไหม อย่างนั้นอาจารย์ก็ต้องมาทำให้คนผิดปกติเป็นคนปกติสักทีนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ศิษย์เอยจำไว้นะ ในโลกนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราคิดแล้วต้องเป็นอย่างที่คิด ถึงจะเรียกว่าถูกต้อง บางครั้งสิ่งที่เราคิดมันไม่เป็นอย่างที่คิดบางทีมันก็ถูกต้องแล้ว เชื่ออาจารย์เถอะ เอาตัวเองไปแทรก เอาตัวเองไปใส่ เอาตัวเองไปยึด ไม่ยอม ไม่ยอม ใครล่ะทุกข์ ใครล่ะแบกกรรม (ตัวเอง) ฉะนั้นยอมดีกว่าไหม ใช่หรือไม่
อาจารย์ถามหน่อยนะว่าการละวางตัวตนให้ได้เป็นสิ่งที่ดี ใช่ไหม (ใช่) แล้วต้นเหตุของการที่เราไม่สามารถละวางตัวตนแล้วก่อเกิดเป็นกิเลสต่างๆ มันมาจากคำว่า “ใจ” ตัวเดียว ใช่ไหม (ใช่) ใจที่ชอบหลงยึดติด ใช่หรือไม่ (ใช่) ยังเห็นว่าบางสิ่งบางอย่างในโลกนี้ยังมีสุขอยู่ ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพราะเรายังไม่เห็นชัด เราก็เลยยังหลงอยู่ ใช่หรือเปล่า อย่างนั้นกิเลสตัวไหนหรือที่ทำให้เราชอบ หลง และตกเป็นทาสของกิเลสอยู่บ่อยๆ และเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
(ความอยาก) อย่างนั้นตอนนี้อยากแอปเปิลเป็นทุกข์ไหม อย่าให้ความอยากมันกลายเป็นกิเลสและสั่งสมกิเลส แต่จงรู้จักแปรกิเลสให้กลายเป็นบุญด้วยการให้ ได้แล้วให้ต่อ กิเลสมันก็จะกลายเป็นบุญ
(การไม่วาง) ถ้าเราไม่ยึดก่อนเราจะต้องวางไหม (ไม่) การยึดในสิ่งที่ดีมันก็ทำให้เราหลงได้เหมือนกันนะ เหมือนเราคิดว่า คบเพื่อนต้องมีเพื่อนดี พอเจอเพื่อนไม่ดีก็ด่ามันเลย นั่นแปลว่าเรายึดดีมากเกินไป รับอย่างไรไม่ต้องถือ แล้วสามารถวางได้ทันที นั่นคือไม่เอาเลย แค่เพียงบอกว่าไม่เอา ถือไหม แล้วต้องวางไหม แล้วทำไมคิดไม่ได้ แต่เราอยู่ในโลกนี้ เห็นแล้วต้องได้ เห็นแล้วต้องเอา มีไหมที่เคยเห็นแล้วไม่ได้ เห็นแล้วไม่เอาบ้าง ไม่เคยมี ฉะนั้นเราถึงทุกข์เพราะเราอยากได้ อยากมี อยากเอา ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าเจออะไรแล้วเอาตามที่ควรได้ รับตามที่ควรได้ แต่ถ้าถึงเวลามันไม่ได้ก็แค่ไม่เป็นไร ใช่ไหม
กิเลสตัวไหนทำให้เราทุกข์ ไม่รู้หรือ ความหลงไง หลงว่าตัวเองหล่อ (ความโกรธ) โกรธเกิดจากอะไรรู้ไหมศิษย์ (โกรธเกิดจากตัวเรา) โกรธเกิดจากความยินดี พอเจอสิ่งที่ยินร้ายเราจึงเกลียด โกรธเกิดจากรัก พอไม่ได้รักก็เกลียด ฉะนั้นถ้าอยากหยุดโกรธก็อย่ายินดี อย่ารักใครมาก จะได้ไม่เกลียดใครแรง จริงไหม (ความรัก) รักตัวเองหรือรักผู้อื่น (ทั้งคู่) ฉะนั้นต้องรู้จักรักให้เป็น เพราะรักที่ดีคือคนที่รักอย่างมีเมตตาไม่หวังผลตอบแทน แล้วความรักนั้นมันจะไม่ก่อให้เกิดทุกข์ แต่ถ้ารักแล้วหวังเรียกร้องตลอดเวลา ทุกข์แน่ถ้าจะรัก จริงไหม คิดให้ได้นะ (ความหลง) หลงอะไร (หลงในลาภยศ) หลงในลาภยศและหลงยึดติดในตัวตนใช่ไหม มีมากกว่าเขาหน่อยก็เหมือนตัวเองสูงกว่าคนอื่น แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้สูงกว่าใคร ใช่หรือเปล่า มีลาภมันก็เสื่อมลาภ ใช่ไหม (ความโลภ) ได้แล้วอยากได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเที่ยงไหม มันเป็นทุกข์ไหม แล้วมันก็ว่างเปล่าไหม แต่ก็ยังโลภใช่ไหม ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจึงสอนให้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ถึงเวลาได้ก็ได้ ถึงเวลาจะเป็นของเราก็เป็นของเรา ถึงเวลาไม่ใช่ของเราก็ไม่ใช่ของเรา ทำใจอย่างนี้เราจะได้ไม่โลภ ดีไหม (ดี)
(มนุษย์ไม่มีเพียงพอ) ถ้าอยากหยุดทุกข์และอยากหยุดกิเลสได้ ต้องพอ พอแล้วเราจึงสามารถให้เป็น ถ้าไม่พอก็ให้ไม่เป็นจริงไหม แล้วรู้หรือไม่ว่ายิ่งพอก็ยิ่งได้ แต่ยิ่งหามันยิ่งไม่เคยพอจริงไหม (จริง) อาจารย์อยากจะบอกว่าบางครั้งไม่โลภเลยดีกว่าจะกลายเป็นการสร้างบุญ แต่มนุษย์เราสมัยนี้ชอบโลภให้เต็มที่ อยากให้เต็มที่ อาจารย์เดี๋ยวหนูค่อยไปทำบุญ ช้าไปไหม (ช้า) สู้ไม่อยากแล้วไม่ไปเบียดเบียนใคร ไม่ทำร้ายใคร ก็เป็นการสร้างบุญแล้ว แต่มนุษย์ไม่ใช่ ไปเบียดเบียน ไปอยากเอาของเขา แล้วค่อยเอาไปทำบุญ ช้าไปไหมศิษย์ (ช้า) ฉะนั้นบุญทำได้ทุกที่ ขอเพียงไม่เอาบ้าง ก็ไม่ต้องยึด ไม่ต้องปลง ไม่ต้องปล่อยวาง แต่เพราะเอามามากก็เลยต้องเรียนรู้คำว่า “ปลดปลงและปล่อยวาง”
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า
“จูงมือกัน”)
คนที่ศิษย์อยากจะจูงมือได้ ต้องเป็นคนที่ศิษย์อยากช่วย อยากดูแล ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเมื่อไหร่ที่เราจูงมือกัน ก็แปลว่าตอนนั้นเราพร้อมจะดูแลซึ่งกันและกัน ใช่หรือไม่ ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์บำเพ็ญแบบจูงมือกัน ดูแลกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ถากถางกัน ทิ่มแทงกัน ทำร้ายกัน บำเพ็ญธรรมคือ จูงมือร่วมกันเดิน ช่วยเหลือกัน รักษาใจกัน ดูแลใจกันนะศิษย์ โลกนี้ที่ยังน่าอยู่ โลกนี้ที่ยังสดใส เพราะน้ำใจศิษย์ยังมี เพราะความดียังคงปรากฏให้เห็น ใช่หรือไม่ (ใช่) อาจารย์หวังว่าศิษย์จะรู้จักไปจูงมือช่วยคนอื่นต่อ เขาพ้นทุกข์เราก็พ้นทุกข์ เขายิ้มได้เราก็ได้ยิ้ม ถ้าเรายิ้มแต่เขาร้องไห้ เราสุขหรือ การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมคือสามารถละวางตัวตนเพื่อช่วยคนให้สำเร็จมรรคผล นี่แหละจิตพุทธะ ช่วยเหลือคนให้สำเร็จมรรคผล ช่วยเหลือคนให้พ้นทุกข์ ลืมแม้กระทั่งตัวเอง เหนื่อยไม่เป็นไร เจ็บไม่เป็นไร ท้อไม่มี มีแต่ว่าช่วยให้มากที่สุด แล้วใจศิษย์จะยิ่งใหญ่ คุณค่าคนไม่ได้อยู่แค่เพียงทำตัวเองให้มีความสุข ชีวิตไม่ได้มีค่าแค่เพียงวันนี้ฉันสุข แต่ค่าชีวิตที่ยิ่งใหญ่ และเป็นค่าที่ยิ่งใหญ่กว่าใดๆ นั่นก็คือหัวใจหรือจิตใจที่เฉกเช่นเดียวกับฟ้าและพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่าเอาแต่กราบไหว้ แต่จงเอาใจนั้นมาเป็นใจเรา อย่าเอาแต่นับถือแต่จงเอาใจนั้นมาถือเป็นใจเรา ศิษย์นับถือพระพุทธองค์ก็เอาใจพระพุทธองค์เป็นใจศิษย์ จูงมือกันร่วมกันเดินไปสู่ทางที่ดีงามและถูกต้อง เห็นใครทุกข์เราทนไม่ได้เราต้องช่วย แม้เราจะทุกข์ไม่เป็นไร เพราะพระอาจารย์สอนแล้วนี่ เพราะพุทธะสอนแล้วนี่ เรามีหน้าที่แค่รู้ทุกข์แต่ฉันจะไม่ทุกข์ มีหน้าที่แค่เห็นทุกข์ แต่ฉันจะไม่ทนทุกข์ ฉันจะก้าวข้ามความรู้สึกนั้นไป แล้ววางตัวเองให้ได้ ดีไหม (ดี) ลืมตัวเองบ้างก็ดีนะ หลงมากๆ มันก็เจ็บ มันก็ทุกข์ไม่ใช่หรือ
(พระอาจารย์เมตตาผู้ร่วมฟังที่ชั้นหนึ่ง)
ร้อนไหม (ไม่ร้อน) เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย) ไม่เป็นไรนะ ดีใจนะที่ศิษย์กลับมา ดีใจนะที่ศิษย์ยังมุ่งมั่น ดีใจนะที่ศิษย์ยังรู้จักอดทนและเข้าใจการบำเพ็ญธรรมที่แท้จริง ดีใจนะที่ศิษย์ยังฝ่าฟันความยากลำบากและมุ่งมั่นต่อ ไม่ย่อท้อ ใช่ไหม ศิษย์เอย ในโลกนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ อารมณ์แห่งความเป็นตัวตน ความคิดแห่งความยึดติดและหลงผิด ฉะนั้นจงมีสติ รู้ละวางตัวเองให้ได้ ใช่ไหม (ใช่) อย่าปล่อยให้ความคิดของตัวเองมันบดบังภาวะธรรมในใจของตนเอง ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ รู้จักมีสติ ทำอะไรคิดไตร่ตรองให้ดี เดินหน้าแล้วถอยไม่ได้ ก้าวแล้วไปให้ถึงที่สุด นี่แหละเรียกว่า “คนจริง” ทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ไม่อาจสำเร็จได้หรอกใช่ไหม ฉะนั้นมุ่งมั่นบำเพ็ญ ละวางกิเลสอารมณ์ ละวางความยึดติด มีความคิดแห่งตัวตน มนุษย์ทุกข์เพราะความคิดใช่ไหม คิดที่ชอบเข้าข้างตัวเอง เข้าข้างแล้วหลงไปตามกิเลส ฉะนั้นถ้าอยากจะพ้นทุกข์ได้เราต้องละวางตัวเองให้ได้แล้วหันไปมองความจริงใช่หรือไม่
การฟังธรรมเป็นการสร้างบุญที่ประเสริฐ บุญที่ทำให้เราอบรมจิตและทำความคิดเห็นให้ถูกต้องจนเกิดปัญญาสว่าง ศิษย์เอยไม่มีบุญใดประเสริฐเท่ากับบุญที่ทำแล้วยกจิตให้สูงขึ้น บุญที่ทำแล้วทำให้จิตเบาบางโปร่งโล่งไม่ยึดมั่น จงรักษาบุญนั้นไว้ แล้วบุญนั้นถ้าทำได้มันจะแปรเปลี่ยนเป็นกุศลที่ไม่ยึดติดผลของการกระทำ อาจารย์เทียบง่ายๆ สมมติเราทำดีกับคนๆ นี้ ทำแล้วเขาจะด่า เขาจะว่า เขาจะชม เราก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเราทำแล้วเราสบายใจ ทำแล้วละวางตัวตนได้ ทำแล้วไม่ถือไม่โกรธ นั่นแหละคือบุญที่ยกจิตให้สูงขึ้น แต่ถ้าทำแล้วโดนเขาว่านิด แล้วคิดว่าไม่น่าทำเลย ฉันไม่เอากับมันก็ได้ บุญนี้ทำไม่เห็นดีเลย เช่นนี้เรียกว่าบุญที่ยังหลงยึดติดความเป็นตัวตน ใช่ไหม (ใช่) เหมือนที่อาจารย์พูดตั้งแต่ต้น บุญไม่ได้สำคัญที่เงิน บุญไม่ได้สำคัญที่ทรัพย์ บุญไม่ได้สำคัญที่การกระทำ แต่คำว่าบุญสำคัญที่สุดคือทำแล้วสภาวะจิตเย็นไหม สงบไหม วางได้ไหม นั่นแหละถึงจะเป็นบุญที่ประเสริฐ บุญที่ถูกทาง ถ้ายังคิดว่าเราทำตั้งเยอะทำไมยังโดนแบบนี้ ทำไมยังเป็นแบบนี้ นั่นคือการหลงบุญ จริงไหม (จริง) อย่างนั้นอาจารย์ถามหน่อย ตั้งแต่ทำบุญมามันเบาบ้างไหม มันโล่งบ้างไหม (โล่ง) โกหก เห็นทำทีไรหนักทุกที ใช่ไหม เงินหนักใจก็หนักด้วย บุญคือการทำแล้วสละออก บุญคือการทำแล้วปลดเปลื้องความยึดถือ ไปให้ถึงบุญอันประเสริฐที่เรียกว่ากุศลและชำระล้างใจให้บริสุทธิ์นะ ทำให้ได้นะศิษย์เอย ดูแลกายใจตัวเองกันให้ดี มุ่งมั่นบำเพ็ญ อย่าถืออารมณ์เป็นใหญ่ เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นเรื่องหนีไม่พ้น อย่าไปกลัวมันนะ ถ้าทำแล้วทำให้เราปลดปลงปล่อยวางได้ ถ้าทำแล้วทำให้เราไม่ทุกข์ได้ก็จงทำ แต่ถ้ายังทุกข์ก็ต้องถามใจตัวเองว่ากำลังคิดผิดหลงผิดอะไรไหม รู้ว่าอะไรดีแต่เมื่อไรจะทำ ใช่หรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตานักเรียนในชั้น)
อาจารย์ไปแล้วนะ ห่วงแล้วก็ห่วงอีก รักษาใจให้ดี ดูแลใจให้ดี มันเป็นเพราะมีตัวตนมากใจมันเลยหนัก ใจมันเลยทุกข์ แต่ถ้าเมื่อไรที่เราวางตัวตนได้ เราจะรู้ว่าใจนี้มีแต่ธรรมและก็ธรรม ที่มันไม่ต้องการตัวตนให้ยึดถือเลย จริงไหม ไปให้ถึงใจนั้นนะศิษย์นะ ได้ชำระบาป ได้ชำระกรรม ทำอะไรคิดให้ดี ใจให้เย็น อาจารย์รู้ว่าศิษย์รู้ทุกอย่างที่อาจารย์อยากให้เป็น ใช่ไหม ความเก่งเป็นสิ่งที่ดีนะ แต่บางครั้งความเก่งมันก็ทำเราเหนื่อย มันก็ทำให้กดดัน บางครั้งก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันต้องเป็น เข้าไปแล้วมันทุกข์ก็ถอยมาแล้วยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ละวางตัวตนได้มันก็หมดกรรมหมดเวร แต่ถ้ายังละวางตัวตนไม่ได้ ศิษย์ก็หนีเวรหนีกรรมไม่จบ ใช่ไหม อาจารย์อยู่ข้างศิษย์ตลอดนะ
มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะศิษย์เอย อย่ามาสองวันนี้แล้วไปแล้วไปลับ ว่างก็กลับมา ทุกข์ก็กลับมาหาอาจารย์ อาจารย์ยินดีช่วยปลดปลง เราอยู่บนโลกนี้ไม่ใช่มีหน้าที่ทุกข์จนตาย แต่เราอยู่บนโลกนี้มีหน้าที่แค่เรียนรู้ทุกข์ แล้วก้าวข้ามผ่านมันให้ได้ อย่าไปจมอยู่กับความรู้สึก ลองมองสิชีวิตยังมีอะไรดีๆ อีกเยอะ โลกมันไม่เที่ยง เรากำลังทุกข์อะไรหรือ มันไม่มีหรอกนะ แต่ที่ทุกข์เพราะว่ายอมรับไม่ได้ ใช่ไหม แค่นั้นเอง รับได้มันก็จบ โดนว่าหน่อยเป็นอะไรล่ะ เสียหน่อยเป็นอะไรล่ะ หมดตัวหน่อยเป็นอะไรล่ะ ชีวิตนี้ก็มาตัวเปล่า ตายไปก็ไปเปล่า เอาอะไรไปก็เอาไม่ได้ แล้วจะทุกข์ทำไมล่ะ มันทิ้งหนู ไม่เป็นไร แต่ก่อนหนูก็อยู่ตัวคนเดียว ตอนนี้ก็อยู่ได้ ใช่ไหมศิษย์
รู้จักบำเพ็ญตัวเอง นำพาตัวเองให้ถูกทาง มนุษย์มีสิ่งประเสริฐอยู่อย่างเดียวคือปัญญาที่แจ่มแจ้งที่มองเห็นธรรมชัด ซึ่งธรรมนั้นไม่ได้อยู่ข้างนอก และเมื่อเราเข้าถึงภาวะธรรมนั้นศิษย์จะรู้ว่า แม้แต่ใจเรามันก็ไม่มีให้ยึดถือ และมันก็ไม่ต้องการใครมายึดถือด้วย
อาจารย์เป็นห่วงศิษย์นะ ดูแลตัวเองให้ดี อย่าทำผิดเพราะอารมณ์ชั่ววูบ อย่าก่อบาปกรรมเพียงเพราะความอยาก และอย่าได้เบียดเบียนคนอื่นทำร้ายคนอื่นเพียงเพราะความหลงผิด เพราะบาปเมื่อมันสร้างขึ้นมาแล้ว เราหนีไม่พ้นต้องรับ ฉะนั้นจงตั้งตนอยู่ในศีลธรรม เมตตาเข้าไว้ ใจกว้างเข้าไว้ อดทนเข้าไว้ ใครจะเป็นอย่างไรไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญอย่างเดียว ใจเราดีพอหรือยัง ใจเรายิ่งใหญ่พอหรือยัง ใจเรากว้างพอไหม ถ้าใจเรากว้างใครๆ เราก็รับได้ แต่เพราะมันกว้างไม่พอ เราเลยรักคนนั้นไม่ได้คนนี้ไม่ได้ ใช่ไหม
รักษาตัวเองให้ดี มีโอกาสกลับมาอีกนะ จับมือแล้วแปลว่าจะกลับมาอีกใช่ไหม รู้จักดูแลตัวเองนะ ควบคุมอารมณ์ให้ดี รู้เยอะแต่บางครั้งความรู้ก็ทำเราหลงผิดได้ใช่ไหม ไปแล้วนะ ตั้งใจศึกษาบำเพ็ญ ก่อเกิดปัญญานำชีวิตให้ถูกทางนะศิษย์เอย
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “จูงมือกัน”
เทียนไร้แต่ไม่สิ้นแสง ความดียังแฝงทุกหน
เมตตาค้ำจุนใจคน น้ำใจดั่งฝนฉ่ำเย็น
ยามทุกข์เราต้องช่วยเหลือ โปรดเอื้อน้ำใจให้เห็น
โลกนี้ยังไม่ลำเค็ญ เพราะใจตนเป็นแสงทอง