วันเสาร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐ สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
คนคนหนึ่งถ้าได้เป็นแบบนี้ สำนึกดีมีสติสัมปชัญญะ
มีสติเห็นตามจริงไม่ลดละ ทุกขณะมีศีลธรรมย่อมร่มเย็น
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานถงซิน แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
ในอดีตเคยรุ่งเรืองมาก่อน ตามังกรมืดมัวเทียนไม่ดับ
เพียงแค่ความมลายเพื่อพลิกกลับ เมื่อขยับตัวสิ้นอนธการ[1]สู่อรุณ
ชีพจรธรรมมาสู่ธารเชี่ยวกราก พลังจากฟ้าดินดั่งวัยรุ่น
เมื่อไรโลกสิ้นธรรมย่อมหยุดหมุน หรือยังไม่ในฝุ่นวีรบุรุษจริง
จงรักษาไม้ทองให้ผ่องใส ตั้งต้นย่อมคืนใจวิสุทธิ์ยิ่ง
ญาณมีรากความคิดสงบนิ่ง สภาวะจริงจากเสียงแท้เสียงธรรมะ
ละอองธรรมฝนสบายจากเบื้องบน ลากฉุดบ่นเบื้องแรกคนผงะ
คนช่วยคนผู้พูดมีศิลปะ อารยะทำบุญมีทำดีกัน
ทำได้ก็ให้ทำด้วยสติ อย่ารอติต้องหมุนสถานการณ์
ขึ้นไม่ได้ก็แม้เมล็ดหว่าน ฟ้าจะการุณย์ต้องการจริงใจ
ประดุจผืนฟ้ายืดไม่สิ้นสุด ทว่าตนระวังหยุ่นมากเป็นภัย
พลิกแพลงเป็นต้องมากกว่าเข้าใจ ยืดหยุ่นพลิกแพลงได้จึงต้องรู้จริง
ฮา ฮา หยุด
[1] อนธการ น. ความมืด, ความมัว, ความมืดมน; เวลาคํ่า; ความเขลา..
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
บางครั้งการอยู่ในโลกไม่พูดอะไร ไม่มีความคิดอะไรดีที่สุด บางทีแค่คิดก็ผิดแล้ว แค่พูดก็ไม่ใช่แล้ว ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องดี เรื่องที่ถูกต้อง แต่บางครั้งเราพูดสิ่งที่ถูกต้องที่สุดก็กลับกลายเป็นทำให้คนนั้นเจ็บปวดที่สุด บางครั้งเราพูดจริงที่สุดแต่ก็ทำให้คนผิดไปโดยไม่รู้ตัว บางครั้งเราแค่เสนอความคิดเห็น แต่บางทีก็ทำให้คนรอบข้างลำบากใจได้ ยิ่งอยู่ในโลกมากเท่าไร ยิ่งเข้าใจชีวิตมากเท่าไร เราก็รู้ว่าไม่พูดอะไร นิ่งๆ ไว้ อาจจะดีกว่า เพราะว่าพูดแล้วสร้างบาป สร้างกรรม สร้างทุกข์โดยไม่รู้ตัว เพียงเพราะเราคิดว่าก็ฉันคิดว่ามันเป็นแบบนี้ ก็ฉันคิดว่ามันถูก ก็ฉันพูดเรื่องจริง แต่เคยไหมจริงถึงที่สุดก็ทำให้เจ็บถึงที่สุด ดีถึงที่สุดก็ทำให้คนทุกข์ได้ที่สุด บางครั้งพูดออกไปแล้วได้แค่ความสะใจ ได้แค่ระเบิดความอัดอั้นตันใจ ได้แค่โอ้อวดว่าเราก็เก่ง จึงมีคำกล่าวว่า “สิ่งที่พูดไปถึงจะเป็นความจริง ถึงจะเป็นความถูกต้อง ถึงจะเป็นความดีงาม แต่เมื่อสร้างผลสะท้อนกลับมาแล้ว ใครจะแก้ไขได้ ใครจะเปลี่ยนแปลงได้” จริงหรือไม่ (จริง)
ความดีสร้างเป็นร้อยเป็นพันวัน แต่ความชั่วความผิดแค่เพียงนิดเดียวอย่างไม่ได้ตั้งใจ ความดีที่ทำมาทั้งหมดสูญหายในฉับพลันทันที อดทนได้มาตั้งนาน พอวันหนึ่งทนไม่ไหว พูดออกมาแล้ว ใครทุกข์ (ตัวเราเอง) แล้วมีอะไรดีขึ้นไหม (ไม่มี) เราก็เห็นรูปบ่อยๆ รูปที่เป็นอย่างไรนะ (ปิดหู ปิดตา ปิดปาก) อย่าหวังปิดตา ปิดหู ปิดปากผู้อื่นแต่ลืมปิดตา ปิดหู ปิดปากตัวเอง
เราเรียนรู้ธรรม เราเรียนรู้ชีวิตเพื่อจะปิดไม่มีวันเปิด เพื่อจะปิดไม่ต้องรับรู้ เพื่อจะหยุดไม่ต้องพูด หรือว่ารู้จักเปิดปิดให้เป็น รู้จักฟังหูไว้หู และรู้จักพูด และรู้จักหยุด จริงๆ แล้วเราอยู่ในโลกเราปิดตาตัวเองตลอดไม่ได้ เราเอาแต่ปิดหูไม่ฟังก็ไม่ได้ และเราจะหยุดปากตัวเองตลอดก็ไม่ได้ แต่จะทำอย่างไรให้ตาเรามองเห็นอย่างแจ่มชัด ให้หูเรารู้จักฟังหูไว้หู ให้ปากเรารู้จักสำรวมระมัดระวัง ไม่พูดพร่ำเกินไป เราเคยคิดบ้างไหมหนอ จึงมีบทประพันธ์บทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ในใจของมนุษย์มีบทประพันธ์ชั้นเลิศอยู่ แต่ถูกบดบังด้วยความคิด ความหลงผิดในตัวตนที่ขาดวิ่น” ในตัวมนุษย์มีบทเพลงแห่งสันติสุข ความสงบร่มเย็นอยู่ แต่ถูกบดบังด้วยความหลง ความเข้าใจผิด ที่เรียกว่า อัตตาตัวตนและกิเลสทั้งมวล ฉะนั้นก่อนที่จะคิดจะทำหรือพูดอะไร ลองถามว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตที่เรากระทำแล้วหรือ หรือเป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบ ความหลงผิด ที่เราแสดงออกมา เป็นอย่างไรหรือ เป็นความคิดที่ไตร่ตรองว่าดีแล้ว หรือว่าเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ แล้วเคยได้ยินไหม กิเลสเพียงชั่ววูบ ความหลงผิดเพียงชั่วขณะ ทำให้มนุษย์ต้องทุกข์ ต้องทนกับวิบากกรรมที่ตัวเองสร้างไม่จบไม่สิ้น ก่อนจะหยุดคนอื่น ควรหยุดที่ตัวตนเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
“จงรักษาไม้ทองให้ผ่องใส”
ใจของมนุษย์มีสิ่งมีค่าและสิ่งมีค่านี้ถ้ากระทำบ่อยๆ ก็เรียกว่าคุณธรรมความดีงาม ไม้ทองก็อาจเปรียบได้กับความซื่อตรงและมโนธรรมสำนึกอันดี มนุษย์ทุกคนมีจิตใจที่ดีงาม ไม่มีใครเกิดมาอยากประพฤติผิด อยากทำผิดพลาด อยู่ข้างนอกวิ่งจนวุ่น บางทีกลับมาสู่ความช้าๆ แต่ได้สติช้าๆ แต่รู้จักคิดอย่างคนมีปัญญาก็อาจจะดีกว่าไวๆ แล้วขาดสติ ใช่หรือไม่
โดยส่วนใหญ่มนุษย์ปรารถนาความสุข มีชีวิตทำทุกอย่างเพื่อหาความสุขแต่ยิ่งหาก็ยิ่งทุกข์ใช่หรือไม่ โดยส่วนใหญ่มนุษย์ปรารถนาความสุขแต่ยิ่งแสวงหา ถึงที่สุดแล้วความสุขอยู่ที่ใด (ใจ) พอหรือยัง ดีหรือยัง ขอบคุณบ้างได้หรือยัง แค่นี้ก็ดีบ้างได้หรือยัง ถ้าอยากหาความสุข ถามใจตัวเอง ถ้าพอได้ดีได้ก็สุขได้ แต่ถ้ายังไม่พอยังไม่ดีก็ยังไม่สุข ปรารถนาความสุขอันไกลโพ้นแต่ลืมไปว่า ถึงที่สุดคนที่กำหนดความสุขที่แท้จริงคือ ใจเราเอง ถ้าใจเราพอ ใจเราบอกขอบคุณแล้ว ดีแล้ว แค่นี้ก็สุขแล้ว ความสุขอยู่ไกลเกินเอื้อมไหม ตอนนี้มีความสุขหรือยัง (มี) ตอนนี้เริ่มมีแล้วใช่ไหม (ใช่) แต่ก่อนเคยคิดว่าความสุขอยู่ไกลโพ้นแล้ววิ่งไปหาแล้วจะได้สุข ขณะที่หาก็ทุกข์ พอได้มาถึงที่สุดแทนที่จะสุขก็กลับ (ทุกข์) จริงหรือไม่ (จริง) แล้วหยุดหาไหม (ไม่หยุด) ก็ยังไม่พอ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าอยากพบสุข พอหรือยัง ดีหรือยัง ขอบคุณได้หรือยัง ถ้าอยากพบสุข สามคำนี้ถ้าทำได้ ก็สุขได้ ก็ดีได้ แต่ถ้าสามคำนี้ยังไม่มีในชีวิต หาเท่าไรก็ไม่สุข เพราะอะไรๆ ก็ยังไม่ดี ยังไม่พอ เหมือนกับมนุษย์เราเมื่อหาแล้วแค่นี้พอไหม ไม่ ยังหาไปอีกเรื่อยๆ เพราะคิดว่าต้องมีเยอะๆ ต้องได้เยอะๆ แล้วเคยไหมยิ่งวิ่งวุ่นมากเท่าไร พอถึงเวลาความสงบที่เราปรารถนากลายเป็นความวุ่นวาย บางครั้งนั่งเฉยๆ อยู่นิ่งๆ แล้วก็มีแค่นี้พอแล้ว จริงไหม (จริง) วิ่งจนเหนื่อย หาจนทั่ว แต่ถึงที่สุดก็กลับมาพอใจแค่ได้ปล่อยใจตามสบายไม่ต้องรีบ ไม่ต้องถูกบังคับ ไม่ต้องถูกกดดัน ถึงที่สุดกลับชอบสิ่งที่ธรรมดาที่สุด แล้วตอนนี้ยังกลับไปวิ่งเหมือนเดิมไหม (ไม่) หลายคนทำงานเหนื่อยแทบแย่เพื่อจะไปพักผ่อนริมทะเล แล้วทะเลมีอะไรให้อยากได้ไหม (ไม่มี) สิ่งที่ได้จากทะเลคือความสงบอันเป็นธรรมชาติ แล้วไม่สงสัยหรือว่า วิ่งหาแทบตาย ถึงที่สุดอยากได้ธรรมชาติ แต่จนแล้วจนรอดถึงรู้ขนาดนี้ มนุษย์ก็ยังอดวิ่งวุ่นเหมือนเดิมไม่ได้ จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดฉุกคิดขึ้นมาได้ เมื่อยามตัวเองต้องเจ็บไข้ ยามตัวเองต้องทุกข์ทน วิ่งไม่ได้แล้ว ตอนนั้นจึงมาคิดได้ว่า เงินทอง บ้าน ทรัพย์ ลูกหลาน สามีภรรยา บางครั้งหามาแทบแย่ แย่งชิงมาแทบแย่ ถึงที่สุดก็ไม่สู้อะไรมีค่าเท่ากับชีวิตและร่างกายที่เข้มแข็ง จริงไหม
เคยไหมหาเงินแทบแย่แต่ซื้อความเข้มแข็งกลับมาไม่ได้แล้ว ซื้อสุขภาพดีไม่ได้ หาแทบแย่เพียงหวังว่าสิ่งนั้นคือความสุข แต่ถึงที่สุดแล้ว สิ่งที่หากลับกลายเป็นทุกข์ไม่จบสิ้น นึกว่าจะได้ความสุขแต่ถึงที่สุดกลับกลายเป็น (ความทุกข์) เมื่อความเจ็บไข้มาเยี่ยมเยือนแล้วถึงได้รู้ว่าแม้เราจะดูแลร่างกายดีขนาดไหน ถึงที่สุดเราก็หนีความจริงไม่พ้น นั่นคือความเจ็บป่วยและต้องลาจากโลกนี้ไป จนถึงที่สุดแล้วเคยคิดไหมว่า พยายามหาความสุขก็ไม่สู้หันมาเรียนรู้และเข้าใจความทุกข์ พยายามวิ่งหนีความทุกข์ พยายามไม่อยากมีทุกข์แต่ไม่สู้กลับมาเรียนรู้ความทุกข์และเข้าใจทุกข์ให้เป็น แล้ววิชาอะไรที่สอนให้เราเข้าใจทุกข์และดับทุกข์ได้สิ้นเชิง สอนให้เราอยู่กับทุกข์โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ ท่านว่าคือวิชาอะไรหรือ (วิชาแห่งธรรม) แต่มนุษย์โลกกลับไม่คิดเรียนวิชาธรรม
เหมือนที่วันนี้ท่านถามว่า ฟังธรรมทำไม การเรียนรู้ธรรมทำให้เราเข้าใจทุกข์ การเรียนรู้ธรรมทำให้เราเข้าใจชีวิตและเห็นแจ้งความเป็นจริง จนไม่มีอะไรมาลวงให้เราต้องหลงและทุกข์ได้อีกต่อไป ถามว่าถึงเวลาสนใจใคร่ที่จะเรียนธรรมไหม เราหนีไม่พ้นทุกข์ การเอาแต่วิ่งหาความสุข ไม่สู้เรียนรู้ทุกข์และเข้าใจทุกข์ และต่อไปไม่ทุกข์อีก มิใช่สุขหรือ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าธรรมสอนให้เราเรียนรู้ทุกข์ เข้าใจทุกข์ และอยู่ร่วมกับทุกข์อย่างไม่ทุกข์ได้ ไยจึงไม่ใส่ใจ ไยจึงไม่ค้นคว้า ใช่หรือไม่ (ใช่)
เมื่อรู้ว่าเรียนรู้ธรรมแล้วช่วยให้เราพ้นทุกข์ แล้วทำอย่างไรที่จะทำให้เราไม่ต้องทุกข์ในโลกใบนี้ (ศึกษา) เอาแต่ศึกษาแต่ไม่นำไปปฏิบัติก็ยังไม่พ้นทุกข์นะ
(นำธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวันให้ได้ แล้วเราก็จะสอบผ่าน) สอบผ่านความทุกข์ ต้องนำสิ่งนั้นมาปฏิบัติ อย่างนั้นถ้านำสิ่งนั้นมาปฏิบัติแต่ธรรมะมีมากมาย จะปฏิบัติอย่างไร ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน ใช่หรือไม่ (ใช่)
สมมติว่าท่านคือคนหนึ่งที่เชื่อเรื่องหลักเหตุและผล ถ้าเราสร้างเหตุดี ผลจะเป็นอย่างไร (ผลดี) ถ้ายังคิดอย่างนี้แปลว่ายังยึดติดนะ พระพุทธะกล่าวไว้ว่า ถ้าสร้างเหตุที่ดีแล้ว ผลจะเป็นเช่นไร ก็สุดแล้วแต่ฟ้าจะบันดาลดลให้เป็นไป สำคัญที่จิตใจเราก็พอ โบราณจึงมีคำสอนกล่าวไว้ว่า “ถ้ามนุษย์เรื่องเล็กๆ น้อยๆ รู้จักระมัดระวังไม่ให้เสียหาย ถ้าเรื่องที่เคยทำแล้วทำให้ท้อแท้หม่นหมอง แล้วไม่ก้าวผิด ไม่ประพฤติชั่ว ถ้าเรื่องที่ทำให้อับจนแล้วยังมีความมุ่งมั่น ขยันหมั่นเพียร สู้ไม่ถอย ใฝ่ดีตลอด และถ้ามุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีแล้วยังไม่ท้อถอย แม้จะหม่นหมองแค่เพียงชั่วขณะ แต่คิดแค่เพียงว่าเราจะไม่หม่นหมองชั่วนิจนิรันดร์ ถ้าทำได้เช่นนี้ก็ถือว่าประเสริฐ”เรื่องเล็กน้อยไม่ผิดพลาด เรื่องที่ทำให้ชีวิตมืดมนไม่ก้าวผิด ไม่ผิดศีล ไม่ขาดธรรม เรื่องที่ถูกต้องดีงามรักษาไว้ตราบชั่วชีวิตเเม้จะหดหู่บ้างเป็นบางครั้งบางโอกาส ถ้าทำได้เช่นนี้เรียกว่าดีงามพร้อม แต่ในความเป็นคน เล็กๆ ก็ผิดพลาด ท้อแท้หม่นหมองก็ประพฤติชั่ว มุ่งมั่นทำความดีเเต่เมื่อหดหู่ก็ล้มเลิก ถ้าในทางกลับกันทำได้อย่างที่เราบอกก็เรียกว่าคนดีคนหนึ่ง ถ้าหากว่าเราเป็นคนรู้จักเรื่องเหตุเเละผล ถ้าเราเป็นคนไม่ยกตนข่มท่าน ไม่อวดตัวเองว่าเก่งว่ารู้ว่าฉลาด จะมีใครดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามไหม (ไม่มี) จะมีใครว่าเราโง่เขลาเบาปัญญาไหมถ้าเราไม่อวดตัว (ไม่มี) ในทางกลับกันถ้าเราเป็นคนสุภาพอ่อนน้อมรู้จักฟังความคิดเห็นของผู้อื่น มีใครจะไม่รักไหม ก็ต้องมีคนรักไม่มีคนเกลียด ถ้าเกลียดก็คงเกลียดน้อย ในอีกทางหนึ่งถ้าเราเป็นคนมีน้อยเเต่ยังมีน้ำใจให้แบ่งปันช่วยเหลือ มีน้อยเเล้วยังรู้จักเสียสละอุทิศให้ จะมีคนในโลกแล้งน้ำใจไหม (ไม่มี) เพราะเราให้ไม่จบ มีน้อยแค่ไหนก็ยัง (ให้) ใครจะเเล้งน้ำใจเพราะทุกคนมีน้ำใจหมดใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ในความเป็นจริงเราไม่เคยให้ใช่ไหม โลกเราจึงเต็มไปด้วยคนแล้งน้ำใจ จริงไหม (จริง) เพราะเราไม่เคยให้
เราอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก ไม่ว่าเขาจะผิดขนาดไหน ไม่ว่าเขาจะแย่ขนาดไหน เราไม่เคยเหยียบย่ำซ้ำเติม เรามีแต่เมตตา ให้อภัย เข้าใจ เห็นใจ ในโลกนี้ใครจะเคืองแค้น ใครจะผูกใจเจ็บ ใครจะก่นด่าโทษเราบ้าง มีไหม (ไม่มี)แต่เราเคยเข้าใจใครไหม เราเคยให้อภัยใครจริงๆ ไหม และเราเคยเห็นใจคนไม่ซ้ำเติมใครบ้างไหม ไม่มี ใครผิดเราก็ซ้ำเติม ใครไม่ดีเราก็ประณามต่อว่า ฉะนั้นโลกนี้จะเป็นไปอยู่ที่เราหรืออยู่ที่เขา (อยู่ที่เรา) เราคือผู้สร้างโลกที่แท้จริง อยากได้คนมีน้ำใจต้องเริ่มที่น้ำใจเราก่อน อยากได้คนดีเราต้องดีให้ถึงที่สุดก่อน แม้ความดีที่เราทำจะทำให้เราต้องหดหู่ไปบ้างในชั่วขณะแต่จงรักษาความดีนั้นตราบนิจนิรันดร์ แล้วเราจะไม่โศกาตลอด
อย่างนั้นตอนนี้ที่โลกดีไม่ดีเพราะเขาหรือเพราะเรา (เพราะเรา) เราเป็นผู้สร้างเหตุล้วนๆ จริงไหม (จริง) แล้วเมื่อเรามุ่งมั่นในสิ่งที่ดี ไยต้องกังวลกับผลที่จะเกิดเล่า เมื่อเราหยัดยืนในความถูกต้อง ทำไมต้องกลัวการเข้าใจผิด ฟ้ารู้ดินรู้เรารู้เอง ใช่หรือไม่ กลัวแต่เพียงอย่างเดียว ดีจริงหรือยัง
อยากได้ชีวิตร่มเย็น ถ้าตัวเองยังไม่ซื่อตรง เรียกร้องคนอื่นให้ซื่อตรง ไม่มีหรอกนะ ถ้าตัวเองยังควบคุมใจตัวเองให้เดินในทางที่ถูกต้องแล้วไม่ประพฤติผิดไม่ได้แล้วไปหวังให้คนอื่นต้องเดินถูกต้อง ห้ามประพฤติผิดก็ยากมีแต่ทำให้ตัวเองสมบูรณ์พร้อม ถ้าเราทำได้สมบูรณ์พร้อมไยต้องกลัวกับการไม่เที่ยงของโลกใบนี้ จริงหรือเปล่า (จริง)
ธรรมะคืออะไร แล้วปฏิบัติอย่างไรเรียกว่าปฏิบัติธรรม โดยส่วนใหญ่เราก็รู้ว่า เกิดเป็นคน มีศีล มีธรรม ก็เรียกว่าปฏิบัติธรรม แล้วจริงๆ การปฏิบัติธรรมและธรรมนั้นคืออะไร ธรรมคือความเป็นจริงอันเป็นสัจจะ ถ้าเมื่อไรมนุษย์เข้าใจความเป็นจริง เมื่อนั้นมนุษย์ก็พบธรรม เมื่อไรมนุษย์เห็นชัดในความเป็นจริง มนุษย์ก็จะรู้แจ้งในธรรม แล้วถ้าเมื่อไรที่มนุษย์เห็นชัดในธรรมแท้จริง มนุษย์ก็จะสิ้นทุกข์ แต่เราจะอยู่กับทุกข์อย่างไรโดยไม่ทุกข์ อยู่ในโลกอย่างไรจนเห็นความเป็นธรรม อยู่กับความวุ่นวายอย่างไรจนพบความสงบ ไม่เคยคิดเลยใช่ไหม
โดยส่วนใหญ่เรามักจะคิดกันว่าเวลาทุกข์ไปทำบุญใส่บาตรก็หาย (ไม่หาย)เวลาทุกข์สวดมนต์นั่งสมาธิก็หาย ใช่ไหม (ไม่หาย) เวลาทุกข์ไหว้พระเก้าวัดก็หาย หายไหม (ไม่หาย) ที่เราทุกข์เพราะว่าทุกสิ่งไม่เป็นดั่งใจหวังหรือว่าทุกสิ่งไม่เป็นจริง (ไม่เป็นดั่งใจหวัง) แต่มันเป็นจริง ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเราอยากพบธรรมปฏิบัติธรรม เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับว่า ทุกสิ่งไม่ได้ดั่งใจหวังแต่มันเป็นความจริงถ้าเมื่อไหร่เราเลือกปฏิบัติตามจริงมากกว่าตามใจหวัง เราก็จะพบทางแห่งธรรม แต่ถ้าเมื่อไหร่เราเลือกที่จะตามใจหวังมากกว่าตามจริง เราก็จะพบทางแห่งความสนองกิเลสตัณหา
พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า “สิ่งใดที่ทำให้เราเห็นความจริงมากกว่าความชอบชัง นั่นเรียกว่า ธรรม
สิ่งใดที่ทำให้เราทำแล้วพบความจริงพบความบริสุทธิ์ยุติธรรม มากกว่าสนองกิเลสตัณหานั่นเรียกว่าการประพฤติปฏิบัติธรรม”
ไม่ใช่ประพฤติเพื่อตกเป็นทาสกิเลสตัณหา พอเห็นธรรมบ้างหรือยัง (เห็น) ธรรมคือสิ่งที่เรียกว่าความจริง แต่ถ้ามนุษย์ไม่ยอมรับความจริงและยืนยันในสิ่งที่ตัวเองคิด อยากมี อยากเป็น นั่นเรียกว่า ตกเป็นทาสของกิเลสอยู่ร่ำไป เมื่อไรที่มนุษย์ยังติดในชอบชังมนุษย์ก็ยังหนีไม่พ้นกิเลสบาปกรรมเเละการเวียนว่ายในโลกใบนี้ เเต่ถ้ามนุษย์ยอมรับในความจริง เกิดมาต้องทุกข์เราจะเห็นธรรมได้ และเมื่อไรที่เราเห็นความจริงมากกว่าสิ่งที่เรียกว่าชอบชังนั่นเรียกว่าธรรม ธรรมคือความเป็นธรรมดาอันเป็นเช่นนั้นมีเกิดแก่เจ็บตาย มีสุขทุกข์ มีสมหวังมีผิดหวัง สิ่งใดที่เรากระทำประพฤติปฏิบัติแล้วทำให้เราบริสุทธิ์ยุติธรรมในความเป็นจริงมากกว่าสนองกิเลสตัณหานั่นเรียกว่าการปฏิบัติ เมื่อเวลาที่เราอยู่ในโลกเเห่งความทุกข์ คนที่เข้าใจทุกข์จึงแค่รู้ทุกข์หรือเป็นทุกข์ (รู้ทุกข์) เห็นความโกรธหรือเป็นความโกรธ (เห็นความโกรธ)
ธรรมคือความจริงที่สอนให้เราเรียนรู้ไม่ได้ให้เราต้องเป็น ฉะนั้นต้องเข้าใจ เรียนธรรมเพื่อไม่ใช่จะไปมีไปเป็น เเต่เรียนธรรมเพื่อรู้เเล้วดับสิ้นทุกข์ ไม่ว่าอะไรมาให้เเค่รู้เเต่ไม่ต้องเป็น รู้ว่าทุกข์เป็นธรรมดา เเต่ใจไม่เป็นทุกข์เราจึงต้องศึกษา ปฏิบัติและเรียนรู้ให้มาก ถึงที่สุดของธรรมที่ท่านเรียนรู้ก็เป็นไปเพื่อดับทุกข์ทั้งมวล ไม่ได้ให้เป็นไปเพื่อเป็นทุกข์แล้วค่อยดับทุกข์ แต่เป็นไปเพื่อเรียนรู้ทุกข์ เข้าใจทุกข์และปลดปลงในความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วทำอย่างไรที่จะทำให้เรารู้แล้วไม่ทุกข์ (ปล่อยวาง) ตอบได้ดีนะ เราชอบคำนี้นะ แต่คนที่จะแจ้งคำนี้จริงๆ มีสักกี่คนกันเล่า ปล่อยวาง ไม่ได้แปลว่าไม่รับผิดชอบอะไร แต่ทำจนถึงที่สุดและยอมรับทุกสิ่งที่จะเป็นไป ไม่ไปคิดควบคุม ไม่ไปคิดผูกพัน ไม่ไปคิดข้องเกี่ยว ปล่อยวางเขาจะเป็นอะไรก็เป็นไป สำคัญคือใจเรามากกว่า ธรรมสอนให้ดูแลใจ ไม่ใช่ไปควบคุมใคร
ถ้าท่านเข้าใจความทุกข์ ความทุกข์เป็นธรรมดาที่เกิดขึ้นในทุกชีวิตและจริงๆ แล้วเราต้องขอบคุณทุกข์ด้วยซ้ำไป ลองมองดีๆ อย่าเพิ่งตั้งป้อมรังเกียจ มองดีๆ อย่าเพิ่งกีดกันไม่เข้าใกล้ ลองมองดีๆ แล้วเราจะรู้ว่าในความทุกข์ทำให้เราปลดปลง ในความทุกข์ทำให้เราคลายความยึดมั่นถือมั่น และในความทุกข์ทำให้เรามองเห็นความแจ้งจริงที่เรียกว่าธรรม ซึ่งไม่ได้อยู่ภายนอกแต่อยู่ในใจ อันเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้ ขอเพียงแค่เรากล้าที่จะยอมรับความทุกข์ด้วยหัวใจเข้มแข็ง ใครบ้างไม่สูญเสีย ใครบ้างไม่ผิดพลาด ใครบ้างไม่เจ็บปวด ใครบ้างดีที่สุด ใครบ้างแย่ที่สุดไม่มีใครที่ไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราเรียนรู้ทุกข์เพื่อเข้าใจทุกข์และมองเห็นสัจธรรม ค้นพบความสว่างในใจตน
ชีวิตคือการเรียนรู้ ความทุกข์ทำให้เราเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตและค้นพบสัจธรรมที่แท้จริง อย่ากลัวที่จะทุกข์ ที่ยังต้องทุกข์และเจ็บปวดก็เพราะเราเลือกที่จะยึดมั่นมากกว่าจะมองความจริง ใช่ไหม (ใช่) ลองรักษาใจให้ปกติ ไม่แบ่งแยกไม่ยึดติด ไม่เรียกว่ารักไม่เรียกว่าชัง เมื่อไหร่ที่มนุษย์ยืนหยัดอยู่ในความจริงมากกว่าสิ่งที่เรียกว่าชอบชัง มนุษย์จะสิ้นบาปสิ้นกรรมและพ้นทุกข์ได้ด้วยใจตัวเอง มองเห็นทุกอย่างด้วยความเท่าเทียมกัน ไม่มีใครดีที่สุดไม่มีใครแย่ที่สุด แล้วจริงๆ เราก็ไม่เคยสูญเสียอะไร เพราะแต่เดิมเราก็ไม่เคยมีอะไร ใช่ไหม (ใช่) เพราะธรรมทำให้มนุษย์สงบและเข้าใจความเป็นจริงที่เรียกว่าชีวิต มีโอกาสคงได้มาผูกบุญกันอีกนะ อย่ากลัวธรรม อย่ากลัวความจริง แต่สิ่งที่ควรกลัวคือกิเลสอารมณ์ของใจ
วันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐ สถานธรรมถงซิน จ.ราชบุรี
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ความดีใจอิ่มใจลำพองสุข กลับยังปลุกตัวตนหลงอัตตาใหญ่
โดนยกหูชูหางสราญใจ ยิ่งติดในตัวตนหลงอัตตา
หากไม่ยึดมั่นใดในโลกแล้ว จิตผ่องแผ้วบริสุทธิ์พิสุทธิ์หนา
หากยังหลงยึดมั่นติดอัตตา คงต้องทุกข์จมอุราเวียนว่ายวน
เราคือ
จี้กงสงฆ์วิปลาส รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนยินดีร่วมศึกษาธรรมกับอาจารย์ไหม
อยู่ที่เรากลับมีปัญหาคนอื่น ฟังอย่างไรใจมิกลืนจึงอาจรับใช้ ไม่จับตาไม่ฟังปัญหาเพื่อก้าวมิก่าย ศิษย์แค่ปลอบให้เขาคลาย ทุกข์แบบเบาเบา
* อย่าแกล้งทำอ่อนแออย่าแกล้งไม่รู้ ไม่เกี่ยวแล้ว ศิษย์ช่วยตน ช่วยคนเมตตาลึกล้ำ เรื่องที่คนแข่งขันที่เป็นจุดสนใจ ศิษย์ก็แค่ปล่อยให้เขาไป มิแก่งแย่งเขา อะไรสร้างปัญหา ยังไม่รู้ตัวเอง ศิษย์จะใช้ สิ่งสิ่งไหนออกไปช่วยคน
** ถ้าหากเจ้าวันใดไม่หายไม่มา ไม่นึกถึงใคร หากชอบจะทำ ไม่ชอบไม่ทำ ได้แค่อย่างนั้น อาจารย์ขอศิษย์เองแค่เหลือบำเพ็ญ เจ้าทิ้งใครใครไม่ทิ้งตัวเองลงแรงอย่างไรอย่างไหนพ้นกรรม ดีไหม เห็นไม่ดี ขอให้ดีหากเขาว่าดีเจ้ารู้แท้จริง ยิ่งรู้ยิ่งรู้ยิ่งทุกข์กว่าเขา จิตใจที่บำเพ็ญสิ่งที่สำคัญ ไม่มีทั้งรูปและขันธ์ ดับหมดแล้ว (ซ้ำ *,**,**)
ทำนองเพลง : หมดห่วง
ชื่อเพลง : ยังห่วงอะไร
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
เวลาโดนคนชมรู้สึกใจฟู เวลาโดนคนว่ารู้สึกใจห่อเหี่ยว ใช่หรือไม่ (ใช่) ผู้ปฏิบัติงานธรรมเป็นอย่างนี้ไหม แปลว่าคำชมเหมือนลมที่ทำให้เราใจฟูฟ่อง คำต่อว่าเหมือนการโดนสูบลมออกไปจากใจใช่ไหม (ใช่) จริงๆ แล้วถ้าเป็นคนที่ฝึกฝนบำเพ็ญ ถ้าโดนชมแล้วฟู โดนด่าแล้วแฟบ นี่ถือว่ายังไม่ได้ฝึกฝนอะไรเลยจริงไหม (จริง)
มีสิ่งใดหนอที่ทำให้มนุษย์อยู่ในโลกแล้วไม่ติด ไม่ยึด ยากใช่ไหม (ใช่) มีไหมที่เราข้องเกี่ยวแล้วเราไม่ติดยึด รู้จักแล้วเราไม่ผูกพัน เกี่ยวอะไรแล้วก็รู้สึกอยากยึดอยากครอบครอง รู้จักอะไรแล้วก็อยากผูกพันอยากเสน่หา พอเป็นแบบนั้นเราก็เลยหนีไม่พ้นทุกข์กันเสียทีใช่หรือไม่ (ใช่) เคยได้ยินประโยคนี้ไหมศิษย์เอย “สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นมีความดับ” ถ้าเรายังรู้สึกว่าต้องปล่อยวาง เรายังรู้สึกห่วง เรายังรู้สึกกังวล เรายังรู้สึกไม่ดี นั่นแปลว่า เราไม่สามารถดับได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกสิ่งมีความ (เกิด ดับ) ทันที ทุกสิ่งเกิดแล้วก็ดับ แต่เพราะอะไร มนุษย์จึงไม่สามารถเห็นความเกิดดับได้ในทันทีทุกขณะที่ศิษย์มีชีวิตศิษย์สามารถทำให้เต็มที่ที่สุด ทำให้ดีที่สุด ทำให้ถูกต้องที่สุด ศิษย์ยังต้องห่วงอะไร แต่เพราะเรายังทำไม่ถึงที่สุด เราถึงยังต้องห่วง ยังต้องกังวล ยังต้องพยายามปล่อยวาง ในเมื่อพระพุทธะล้วนสอนไว้ว่า สิ่งใดมีความเกิดสิ่งนั้นมีความดับเป็นธรรมดา ในเมื่อเกิดแล้วดับตลอดเวลาเเล้วเรายังห่วงกังวลกับอะไรจนทำให้เราไม่สามารถดับได้จริงๆ หรือบางสิ่งดับไปแล้วเเต่ใจเรายังไม่ดับ เมื่อดับไม่ได้มนุษย์จึงพยายามหาที่พึ่งทางใจ อะไรก็ได้ที่ทำให้เราสบายใจไม่ทุกข์ใจ มีใครบ้างพึ่งความถูกต้อง (พึ่ง) ใครพึ่งพระธรรมบ้าง ใครพึ่งความดีบ้าง (นักเรียนยกมือ) เราพึ่งความถูกต้องเพื่อดับทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่) เเต่ทำไมหลายๆ คนเมื่อเจอคนไม่ถูกต้องทำไมเราจึงทุกข์ใจ นั่นเเปลว่าเรากำลังพึ่งถูกหรือพึ่งผิด (พึ่งผิด) เหมือนศิษย์พึ่งความดีเเต่เมื่อทำดีแล้วไม่ได้ดี พึ่งต่อไหม (ไม่พึ่ง) ในเมื่อดับทุกข์ไม่ได้พึ่งต่อไหม (ไม่พึ่ง)
และบางทีเราอยากหาทางดับทุกข์ ก็เลยหาธรรมเพื่อดับทุกข์ แต่เมื่อพึ่งธรรมแล้วธรรมกลับไม่ช่วยชำระล้างใจให้เราพ้นทุกข์เลย พึ่งต่อไหม (พึ่ง) แล้วเราพึ่งเพื่อ (หาทางดับทุกข์) แล้วทำไมสิ่งที่พึ่งมันทำให้เราทุกข์ อย่างนั้นแปลว่า ความถูกต้องผิด ธรรมะผิด ความดีผิด หรือใจเรา (ใจเรา) อาจารย์เห็นส่วนใหญ่บอกว่า ธรรมะไม่ดี คนอื่นไม่ดี พระไม่เอาแล้ว ความถูกต้องความดีไม่เอาแล้ว พึ่งแล้วไม่ได้ดี ใช่ไหม (ไม่) ศิษย์ต้องจำไว้อย่างหนึ่งนะ ศิษย์ต้องการที่พึ่งเพื่อดับทุกข์ ถ้าพึ่งแล้วมันกลับกลายเป็นมีทุกข์ แปลว่าศิษย์ต้องมีอะไรผิดปกติ หรือว่าสิ่งที่เรากำลังศึกษาหรือนำไปปฏิบัติมันทำให้เราคิดผิดปกติ ใจปกติคือใจที่ไม่มีทุกข์ ใจผิดปกติคือใจที่มีทุกข์ ถ้ายึดมั่นกับความถูกต้อง ยึดมั่นกับความดี ยึดมั่นกับธรรม แล้วทำให้ใจผิดปกติแล้วเป็นทุกข์ แปลว่าเรากำลังยึดมั่นผิด เพราะธรรมไม่ได้ให้เรียนรู้เพื่อยึดมั่น แล้วเอาไปตรวจสอบใคร และเอาไปว่าใคร และธรรมไม่ได้ให้ ยึดมั่น ทำแล้วต้องหวังวอนขอผลบันดาลใจ ใช่ไหม (ใช่) เหมือนตอนนี้ร้อนอาจารย์หยิบพัดขึ้นมา พัดทำให้อาจารย์หายร้อน แต่ถ้าตอนนี้นั่งในห้องที่เย็นแล้ว อาจารย์จำต้องถือพัดอีกไหม (ไม่ต้อง) ก็ไม่จำเป็นต้องถือ จะถือทำไมให้ทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าเราทำตัวถูกต้องแล้ว เราทำตัวดีแล้ว ทำไมเรายังยึดถือสิ่งที่เราทำอีก ทำไมเรายังยึดถืออย่างไม่ปล่อยวาง ถ้ามันทำให้เราพ้นทุกข์แล้ว เหมือนเรือพาเราข้ามฝั่งไป เมื่อถึงฝั่งแล้ว เราจะแบกเรือไปไหม (ไม่แบก) แต่อาจารย์เห็นศิษย์แบกทุกคนเลย เราถือธรรมเป็นที่พึ่งเพื่อดับทุกข์ แต่ไม่ใช่ให้เราถือธรรมเป็นที่พึ่งเพื่อยึดติดจนเป็นทุกข์ ฉะนั้นต้องเข้าใจให้ถูก ใช้ธรรมให้ถูกทาง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ธรรมทำให้เราอยู่ร่วมกับคนในสังคมโดยที่ไม่เป็นทุกข์ ธรรมไม่ได้สอนให้เราหนีคนหนีโลกหนีความจริง แต่ธรรมสอนให้เราประพฤติหน้าที่ของตัวเองให้ถูกต้อง สมบูรณ์ที่สุด ดีงามพร้อมที่สุด แล้วต่อไปจะปฏิบัติธรรมก็ไม่มีสิ่งอะไรที่ต้องห่วงกังวลอีกแล้ว ถูกไหม (ถูก) แต่คนสมัยนี้หน้าที่ความเป็นคนยังไม่สมบูรณ์แต่อยากจะไปพ้นทุกข์ มีไหม (มี) เยอะไหม (เยอะ) นักเรียนในที่นี้ใช่ไหม (ใช่)
คงยินดีต้อนรับอาจารย์ไม่มากก็น้อย อย่าพึ่งอาจารย์เลยนะ พออาจารย์หายไปศิษย์ก็ไม่มีที่พึ่งแล้ว พึ่งความจริงแท้ที่เรียกว่าสัจธรรมดีกว่า เพราะยิ่งเราพึ่งสัจธรรมเราก็ยิ่งมองเห็นชัดเจนว่า แท้ที่จริงแล้วมันไม่มีอะไรให้เราพึ่งได้สักอย่างหนึ่งยิ่งเรียนรู้สัจธรรมก็ยิ่งรู้ความจริงว่า ใดๆ ในโลกนี้ศิษย์ไม่สามารถพึ่งได้เลย เพราะทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่เที่ยง ไม่มีความคงทน ไม่มีความแน่นอน และถึงที่สุดก็หาตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ ถ้าศิษย์อยากมีที่พึ่งจริงๆ อาจารย์ขอให้ศิษย์รู้จักพึ่งสัจธรรมความจริงดีกว่านะ
มาฟังธรรมะเพื่อศึกษาบำเพ็ญตัวเอง หาทางให้ตัวเองพ้นทุกข์ และนำพาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ศิษย์จะต้องเริ่มทำอย่างแรกคือ ทำหน้าที่ความเป็นคนให้สมบูรณ์ก่อน เพราะถ้าศิษย์ยังทำหน้าที่ของความเป็นคนได้ไม่สมบูรณ์ นับประสาอะไรกับจะฝึกฝนบำเพ็ญตนให้เป็นพุทธะ อย่างนั้นอาจารย์ขอตรวจสอบก่อนนะ เป็นลูกกตัญญูหรือยัง เป็นสามีภรรยาซื่อตรงหรือยัง ถ้ากับพ่อแม่เรายังไม่กตัญญู เรายังสามารถนินทาว่าร้ายได้ พ่อแม่ที่ทุ่มเทให้กับเราทั้งชีวิตเรายังรักไม่ลง ในโลกนี้ศิษย์ก็จะหาคนที่รักศิษย์อย่างแท้จริงไม่ได้หรอกนะ จริงไหม (จริง)
ฉะนั้นกตัญญูหรือยัง (กตัญญูแล้ว) กตัญญูด้วยการทำอย่างไร
(จุดแรกถ้าพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องดูแลเรื่องอาหารการกิน และทำให้ท่านมีความสบายใจ แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือมีโอกาสพาท่านไปทำบุญสร้างกุศล แล้ววันที่ท่านจากไปก็ทำบุญให้ท่าน มีโอกาสอุทิศบุญกุศลที่เราได้ทำ ฉะนั้นเวลาที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านอยากทำอะไร ท่านอยากไปไหน เราเป็นลูก เราพาท่านไป นี่คือหน้าที่ของลูกกตัญญู)
ตอบได้ดีไหม (ดี) แค่มีเวลาไปอยู่ข้างๆ ท่าน ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าไม่มีเวลาไปอยู่ข้างๆ เดี๋ยวนี้มีโทรศัพท์ใช่ไหม (ใช่) โทรหาท่านบ่อยๆ บอกท่านว่าคิดถึง บอกรักท่านบ่อยๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) คุณธรรมที่สำคัญที่สุดของความเป็นคนวันนี้ศิษย์ก็ได้ฟังมาแล้ว ฉะนั้นจะบำเพ็ญไม่ได้เลย ถ้าความเป็นคนยังไม่สมบูรณ์พร้อม ถูกหรือไม่
หนึ่งคือเมตตา สองคือความซื่อตรง สามคือความจริงใจ อยากเป็นคนอยู่ที่ไหนใครๆ ก็รัก จริงใจหรือยัง พูดอะไรจริงใจไหมทำอะไรจริงใจไหม พูดว่ากตัญญูแต่กตัญญูจริงใจไหม ซื่อตรงจริงใจไหม ถ้าศิษย์มีสามอย่างนี้พร้อมก็ถือว่าเป็นคนสมบูรณ์พร้อมหรือยัง (ยัง) ได้แค่นี้ใช่ไหม เมตตา ซื่อตรง จริงใจ มีเมตตาไหม (มี) เป็นคนความเห็นแก่ตัวจะหายไปได้ถ้าเรารู้จักมีเมตตา แล้วรู้จักเสียสละอุทิศให้ได้ไหม (ได้) ไม่ใช่ทำอะไรเอาก่อน แล้วเวลามีชีวิตอยู่รับก่อนให้ทีหลัง หรือให้ก่อนรับทีหลัง (ให้ก่อน) ที่เห็นมารับก่อนให้ทีหลังทุกทีใช่หรือไม่ ถ้าศิษย์อยากฝึกฝนเป็นคนที่ดี ลองให้ก่อน รับทีหลัง หรือให้แล้วไม่รับเลยดีที่สุด แล้วมนุษย์เราทำได้ดีที่สุดขนาดนี้หรือยัง (ยัง) ถ้ายังไม่สมบูรณ์พร้อมศิษย์จะไปบอกใครว่า จะไปนั่งวิปัสสนา จะไปบำเพ็ญบวชชีพราหมณ์ จะไปฟังธรรม ฉะนั้นก่อนจะมาฝึกฝนบำเพ็ญถามใจตัวเองก่อนว่าทำหน้าที่ความเป็นคนสมบูรณ์พร้อมหรือยัง
ถ้าคิดว่าเราฟังธรรมเพื่อฝึกฝนบำเพ็ญเเละเพื่อดับทุกข์ให้ได้ ถามง่ายๆ ว่าถ้าโดนเขาว่านิดหนึ่งใจเราฟูหรือใจเราแฟบ ถ้าเขาว่าเราไม่ดี จริงๆ เราไม่ดีไหม ถ้าเขาบอกว่าเราดีที่หนึ่ง ลองถามใจลึกๆ ของตัวเองว่าจริงๆ เเล้วเราดีที่สุดไหม (ไม่) เราแย่ไหม (ไม่) ถ้าเรารู้ใจตัวเองเมื่อใครมาบอกว่าเราดี ใจเราจะฟูไหม ถ้าใครมาบอกว่าเราแย่ ใจเราจะแฟบไหม (ไม่) แปลว่าที่มนุษย์ทุกข์อยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะว่าเรายังไม่เคยรู้จักตัวเอง เวลาที่คนชมเเล้วใจเรายังฟู เวลาที่คนมาว่าเเล้วใจเรายังเเฟบ นั่นเเปลว่าเรายังไม่เคยรู้จักตัวเอง ถ้าเราหันกลับมาถามตัวเองจริงๆ แล้วฉันดีไหม ก็ดี แต่ก็ยังดีไม่สุด เเล้วถ้าถามว่าเราแย่ไหม ก็ยังไม่เเย่สักเท่าไหร่ เมื่อไรที่เราโดนอะไรมากระทบหรือโดนอะไรมาว่าเเล้วเราสามารถรู้ชัดเห็นชัด รู้จริงเห็นแจ้งสิ่งไหนจะมาทำให้เราทุกข์ไหม (ไม่) และอะไรจะมาลวงให้เราหลงไหม (ไม่) ที่เราทุกข์อยู่ทุกวันนี้เพราะเราไม่รู้ชัดไม่เห็นเเจ้ง
อะไรเราก็เก่งหมด อะไรเราก็เรียนได้หมด อะไรเราก็อยากรู้ไปหมด แต่มีสิ่งเดียวที่ศิษย์ไม่เคยรู้ไม่เคยเก่งคือ เอาตัวเองให้รอด ใช่ไหม (ใช่) ฉลาดอย่างไรก็ยังทุกข์ รวยอย่างไรก็ยังทุกข์ สวยอย่างไรก็ยังทุกข์ น่าเกลียดอย่างไรก็ยังทุกข์ จนอย่างไรก็ยังทุกข์ ทุกข์หมดทุกอย่างเลยใช่ไหม (ใช่) ถ้าเรารู้จักตัวเองอย่างชัดเจน แล้วเราจะทุกข์อีกไหม เอาง่ายๆ วันนี้อาจารย์ช่วยแก้ให้ ถ้าต่อไปมีคนชมว่าศิษย์เก่งจังเลย ศิษย์จะดีใจไหม (ไม่ดีใจ) ดีที่สุดเลยดีใจไหม (ไม่ดีใจ) เพราะเริ่มเห็นตัวเองแล้วว่ายังไม่ดีพร้อม ถ้าโดนคนด่าเราว่าโง่ ไม่ดี จะเสียใจไหม (ไม่เสียใจ) เมื่อไรที่เราเจอเรื่องที่ทำให้เราทุกข์ เราสามารถหยั่งรู้จนแจ่มชัด หยั่งรู้จนสมบูรณ์พร้อม แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นเราจะคลายทุกข์ได้ ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเมื่อไรสิ่งที่ศิษย์สามารถรู้ชัด รู้สมบูรณ์พร้อม สิ่งนั้นจะทำให้ศิษย์คลายทุกข์ ไม่ทุกข์ และไม่สุข เหมือนถ้าตอนนี้ศิษย์รู้ว่าศิษย์ดีไหม ก็ไม่ค่อยดี แย่ไหม ก็ยังไม่แย่ ถ้าต่อไปใครชมดีจังเลย เราก็จะบอก ยังไม่ดีพอหรอกนะ ใช่ไหม (ใช่) พอใครว่าศิษย์แย่จังเลย ศิษย์ก็จะบอกว่า (ยังไม่แย่หรอกนะ) ศิษย์จำไว้นะ ถ้าศิษย์อยากพ้นทุกข์ ความรู้อะไรที่มันสมบูรณ์พร้อมแล้วจะทำให้เราคลายและสิ้นทุกข์ได้ ไม่เกิดกิเลสได้ นั่นคือต้องรู้แล้วชัด รู้แล้วสมบูรณ์ทั่วพร้อม สมบูรณ์ทั่วพร้อมแล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรเลย ดีไหม ก็ไม่ใช่ แย่ไหม ก็ไม่เชิง ฉะนั้นใครจะว่าดี ก็ไม่แน่ แย่ก็ไม่ใช่ ถูกไหม (ถูก) เพราะศิษย์ไม่สามารถยึดอะไรได้ ดีจริงๆ ไหม แย่จริงๆ ไหม ความรู้ที่จะดับทุกข์ได้ คือความรู้ที่รู้แล้วไม่ยึดมั่น ไม่ว่าซ้ายไม่ว่าขวา ไม่ว่าสูงไม่ว่าต่ำ ไม่ยึดมั่นอะไรเลย นั่นคือความรู้ที่สมบูรณ์พร้อม รู้แล้วสามารถทำให้มนุษย์คลายทุกข์ได้ ไม่ทุกข์อีกต่อไปได้ ถ้าเราไม่ยึดเลย แล้วลองมองให้เห็น มองให้สมบูรณ์พร้อม เราจะทุกข์กับอะไร แต่ที่ทุกวันนี้ศิษย์ทุกข์อยู่ทุกวัน เพราะศิษย์พยายามจะมี จะเป็น แล้วบอกว่าตัวเองมี ตัวเองเป็น ใช่หรือไม่
เป็นคนสวยพอใครว่าไม่สวยทุกข์ไหม (ทุกข์) เป็นคนเก่งพอใครว่าไม่เก่งทุกข์ไหม ใครว่าแก่ทุกข์ไหม แล้วรู้อะไรที่จะทำให้เรารู้สมบูรณ์พร้อมแล้วคลายทุกข์ได้ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถรู้พร้อมได้คืออะไรรู้ไหมศิษย์ ยกตัวอย่างนะ
(อาจารย์เมตตาให้ตัวแทนสามคนออกมาหน้าห้อง)
สมมติว่าคนแรกคือความทุกข์ คนที่สองคือทุกข์ทุกข์ทุกข์ แต่คนที่สามคือทุกข์จนไม่รู้จะทุกข์ขนาดไหน ศิษย์อยากเลือกคนใด (ไม่เลือกเลย) สวยขนาดนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์) ไม่สวยขนาดนี้ทุกข์ไหม (ทุกข์) อายุมากแล้วทุกข์ไหม (ทุกข์) ถ้าศิษย์อยากมีความรู้ที่สมบูรณ์และความรู้นั้นสามารถดับทุกข์ได้ ศิษย์จงอย่าเห็นแค่สิ่งที่ศิษย์เห็นและอย่าปล่อยให้สถานการณ์บีบบังคับและลวงเราให้เห็นแค่เฉพาะที่อยากเห็น แต่จงเห็นให้ได้มากกว่านั้น มนุษย์มีปัญญาอันประเสริฐ เพราะว่าดวงตาที่สามคือปัญญา แต่ปัญญามนุษย์ฝ้าฟางไปเพราะความสำคัญมั่นหมายว่ามันทุกข์ มันทุกข์ๆ และมันก็ทุกข์มากๆ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอย่าปล่อยให้หูตาฝ้าฟางเพราะใจยึดมั่นหมายว่า มันมีแต่ทุกข์แล้วมันก็ทุกข์แล้วมันก็ทุกข์ๆๆ เพราะว่าในรูปลักษณ์ทั้งปวง ลักษณะทุกลักษณะล้วนซ่อนลักษณะที่แท้จริงไว้ จำไว้นะศิษย์ ถ้าเราไม่ถูกหลอกลวงด้วยเหตุการณ์ชั่วขณะ ไม่ถูกกระทบและมองไม่เห็นความจริง ศิษย์จะเห็นในสิ่งที่มากกว่าที่ศิษย์เห็น รู้อะไรต้องรู้ให้ชัด เห็นอะไรต้องเห็นให้จริง จนไม่สามารถทำให้ศิษย์ทุกข์อีกต่อไป และไม่ลวงให้หลงอีกต่อไป ฉะนั้นตอนนี้ทุกข์ไหม (ไม่ทุกข์)
ทุกข์จนถึงที่สุดมันจะพลิกกลับมาเป็นสุข ทุกข์ถ้าคิดให้ดีๆ มันก็มีสุข ในสิ่งที่มันทุกข์แท้ที่จริงมันอาจจะมีความพ้นทุกข์ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นอย่าหลงกับเหตุการณ์ที่มาบังคับว่าต้องทุกข์ ต้องทุกข์ๆๆ ต้องทุกข์ให้ถึงที่สุด ถ้าศิษย์อยากพ้นทุกข์ จงมีปัญญาเห็นมากกว่าที่เห็น รู้แล้วต้องรู้ให้จริง อย่าทำให้ตัวเองรู้แล้วยังหนีไม่พ้นทุกข์ แบบนั้นรู้แล้วก็เปล่าประโยชน์ ถ้าศิษย์เข้าใจศิษย์จะรู้ว่า ทุกลักษณะที่เห็น ล้วนซ่อนลักษณะที่แท้จริงไว้ภายใน และในลักษณะที่ซ่อนไว้ภายในเมื่อเรามองจนถึงที่สุด เราเห็นว่ามันสมบูรณ์ แต่ในสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดกลับมีสิ่งที่บกพร่องที่สุดจริงไหม ทุกข์จนถึงที่สุดมันจะพลิกกลับเป็นสุขได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(พระอาจารย์เมตตาหยิบดอกไม้สดดอกหนึ่งขึ้นมา)
อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ในทุกลักษณะล้วนมีลักษณะที่แท้ซ่อนอยู่คิดไหมว่ามันจะเหี่ยว (คิด) แล้วรู้ไหมว่ามันจะเหี่ยว (รู้) และในสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดมันก็พร้อมที่จะเหี่ยว นั่นเรียกว่า ในลักษณะที่ซ่อนลักษณะมีความสมบูรณ์พร้อมและก็มีความพร่อง ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อดอกไม้บานจนถึงที่สุด สักวันก็ต้องร่วงโรย จึงมีคำกล่าวว่า “สิ่งที่สมบูรณ์พร้อมที่สุดก็คือสิ่งที่บกพร่องที่สุด” หล่อที่สุด สวยที่สุดแล้ว แต่ถึงที่สุดแล้วสวยจริงไหม บ้านก็พร้อม รถก็พร้อม ลูกก็พร้อม สามีก็พร้อม ภรรยาก็พร้อม หน้าที่การงานก็พร้อม ทำไมยังพร่องอยู่อีก ฉะนั้นสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดมักจะมีสิ่งที่พร่องที่สุด อย่าพยายามหาความสมบูรณ์ใดๆ ในโลกใบนี้ ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อมแม้แต่ตัวศิษย์เอง วันใดดีที่สุดวันนั้นก็บ้าได้ที่สุดใช่ไหม ดีก็ดีใจหาย ร้ายก็ร้ายเหลือเกิน เอาแต่ดีไม่เอาร้ายได้ไหม (ไม่ได้)
อาจารย์ถามง่ายๆ สมมติว่าในที่นี้มีคนชั่วร้ายอยู่ห้าคน อาจารย์ฆ่าคนชั่วร้ายทิ้ง ตอนนี้เหลือแต่คนดีทั้งหมดจริงไหม (ไม่จริง) ก็จะเริ่มมีดีกว่าและดีน้อยกว่าใช่ไหม (ใช่) และที่ดีน้อยกว่าก็พร้อมจะกลายเป็นคนไม่ดี ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเราไม่รู้จักอยู่ร่วมกันให้เป็นสุข ถึงแม้เราจะฆ่าสิ่งที่ไม่ดี แล้วสิ่งที่ไม่ดีจะหมดไปจากโลกไหม (ไม่หมด) โลกก็เป็นเช่นนี้ ถ้าศิษย์เข้าใจ ศิษย์จะพบคำว่า “ธรรม” เมื่อรู้ชัดพอเจออะไรที่บกพร่องก็ให้นึกถึงสิ่งที่อาจารย์จี้กงเคยบอก
ทุกลักษณะนั้นมีลักษณะแท้ซ่อนอยู่ ถ้าเรารู้จนชัด เห็นจนแจ่มแจ้งแท้จริง อะไรจะลวงให้ศิษย์หลง ฉะนั้นใครที่หล่อๆ มาก็ไม่หล่อจริงหรอก สิ่งใดที่ดีๆ มาก็ไม่แน่ใช่ไหม ใครที่แย่ๆ มาเราจะด่าเขาไหม ไม่ด่าใช่ไหม เมื่อรู้จนชัดทุกข์จะคลาย ต้นเหตุทางมาแห่งกรรมกิเลสจะถูกตัดสิ้น เมื่อรู้ชัดเราจะหลงไหม (ไม่หลง) อยากหลงอะไรไหม (ไม่อยาก)
อย่างนั้นอาจารย์บอกว่าถ้าใครได้ดอกไม้นี้ไปแล้วจะโชคดีที่สุดในโลกเอาไหม (ไม่เอา)ทำไมไม่เอา (ไม่หลง) เพราะสิ่งที่ดีที่สุดก็พร้อมจะร่วงโรย ถ้าศิษย์เข้าใจแบบนี้อาจารย์ดีใจ ถ้าไปเจออะไรในโลกศิษย์ก็จะไม่โกรธไม่หลงไม่เกลียดเพราะเห็นเเจ้งชัด เเละมองเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ที่ใดพบธรรม ที่นั่นก็พบพระพุทธะ เราจะก่อเกิดกิเลสเเล้วจะต้องไปโกรธเเล้วค่อยสันติไหม ต้องโกรธเเล้วค่อยให้อภัยไหม (ไม่) เราจะหยุดความโกรธได้เพราะความเห็นชัดแจ้ง ใครร้ายที่สุด (ตัวเราเอง)
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท ชื่อเพลง ยังห่วงอะไร ทำนองเพลง หมดห่วง)
อยากฟังธรรมต่อไหม (อยาก) จริงๆ ถ้ารู้แค่นั้นก็น่าจะพอดับทุกข์ได้แล้วนะ บางครั้งศิษย์รู้บ่อยๆ รู้ฟังเยอะๆ แต่หนึ่งสิ่งที่รู้แล้วไม่สามารถทำให้ดับทุกข์ได้คือ ศิษย์ขาดสติและขาดการหยั่งรู้ที่แท้จริง ศิษย์แค่รู้แต่ศิษย์ไม่เคยไปหยั่งในสิ่งที่ศิษย์รู้ ถ้าเมื่อไรศิษย์ใช้สติแล้วหยั่งในสิ่งที่ศิษย์รู้ ศิษย์จะมองเห็น ใช่ไหม แต่เวลาเจออะไรกระทบ อะไรเกิดขึ้น เราไม่เคยมองเข้า แต่เรามักจะถนัดมองออก และก็ให้สถานการณ์นั้นสภาพแวดล้อมนำพาเราไปตามสภาพนั้น อย่างสมมติสถานการณ์มันไม่ดี ศิษย์ก็รู้สึกไม่ดี สถานการณ์มันดี ศิษย์ก็รู้สึกดี ศิษย์เคยมองไปไกลกว่าสถานการณ์ที่ศิษย์เห็นบ้างไหม ถ้ามองไม่เห็นแปลว่าเรายังขาดสติ ขาดการหยั่งรู้ที่แท้จริง
อาจารย์บอกว่า ในลักษณะภายนอกยังมีลักษณะที่แท้ซ่อนอยู่ และในสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดมีความบกพร่องอยู่พิจารณาความจริงจนบังเกิดปัญญาเห็นแจ้ง เเล้วความจริงอะไรที่หมั่นพิจารณาเนื่องๆ เเล้วทำให้เราเห็นโลกเเห่งความเป็นจริงชัดเจนเเละสามารถบังเกิดธรรมได้ในตัวเรา
มีใครตอบอาจารย์ได้ อะไรที่ทำให้อาจารย์เห็นชัดว่าในโลกใบนี้มีลักษณะที่แท้ซ่อนอยู่ในลักษณะที่เราเห็น เเละอะไรที่ทำให้อาจารย์เห็นชัดว่าในทุกสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดมีบกพร่องที่สุด อะไรที่ทำให้คนเข้าใจโลกชัดขึ้นไปอีก เเละสามารถเอามาบอกศิษย์ได้ ธรรมอะไรถ้าเราพิจารณาบ่อยๆ เเล้ว เราจะเห็นโลกชัดเจน (ความจริง) ธรรมอะไรที่พิจารณาเนืองๆ เเล้วทำให้เราเกิดปัญญาเห็นความจริงจนเห็นธรรม (สัจธรรมชีวิต) สัจธรรมอะไรที่พิจารณาบ่อยๆ เเล้วทำให้เรามองเห็นคนชัด (ไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) โลกนี้เที่ยงไหม (ไม่เที่ยง) เเล้วมีทุกข์ไหม (มี) เมื่อมีทุกข์เเล้วเราควรยึดมั่นถือมั่นไหม (ไม่) เราควรโลภโกรธหลงไหม (ไม่) เเล้วที่ทุกวันนี้โลภโกรธหลงเเล้วเรายึดมั่นอยู่เพราะอะไร (ตัวเราเองไม่ปล่อย)เพราะมนุษย์ยังมีกิเลส กิเลสมีตัวตนไหม (ไม่) แล้วเราให้มาอยู่ในตัวเราทำไม รู้ไหมว่าถ้าอยู่นานๆ ไปจะสร้างปัญหาเเล้วทำให้เราต้องเวียนว่ายไม่จบสิ้น เมื่อเราพิจารณาชัดๆ ว่าทุกข์เเล้วศิษย์เอาไหม (ไม่เอา) เเต่ชีวิตจริงเอาไหม (เอา) ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจะอยู่ร่วมอย่างไรแล้วไม่ทุกข์
(อภัยให้กัน) ถ้าเมื่อไรที่ศิษย์ใช้คำว่าอภัยแปลว่า เธอมันเลว ฉันถึงต้องอภัยและอดทนอยู่กับเธอ ฉะนั้นถ้าศิษย์ใช้กับใครแล้วบอกว่า ฉันต้องอดทน แปลว่าเธอหาดีไม่เจอ ฉันถึงต้องใช้คำว่าอดทนอยู่ร่วมกับเธอ ใช่ไหม (ใช่) ยังตอบว่าใช่อีกนะศิษย์เอย
เมื่อสักครู่อาจารย์ก็บอกไปแล้วว่า ในทุกเรื่องราวมันมีลักษณะที่ซ้อนกันอยู่ต่อให้มีความสมบูรณ์ที่สุดมันก็มีความบกพร่องที่สุด เหมือนใจศิษย์ ดีที่สุดไหม ไม่ดี แย่ที่สุดไหม ไม่แย่ ฉะนั้นเขาดีที่สุดไหม (ไม่) แย่ที่สุดไหม (ไม่) แล้วควรต้องอภัยเขาไหม (ไม่) ถ้าศิษย์เห็นจนชัดแล้วจะไปอภัยทำไม มันจะกลายเป็นความเข้าใจว่า เธอเป็นแบบนี้ ฉันก็เป็นแบบนี้ไม่ต่างกันเลย แล้วยังต้องเกลียดมันไหม ไม่เกลียด เธอเป็นอย่างไร ฉันก็อย่างนั้น เธอเลวอย่างไร ฉันก็อาจจะเลวได้อย่างนั้น ใช่ไหม (ใช่) เห็นไม่ชัดหรือ เห็นไหม (เห็น) ฉะนั้นศิษย์จะไม่มีวันเห็น ถ้าหากศิษย์ไม่หยั่งในสิ่งที่ศิษย์รู้ ศิษย์จะเอาแต่รู้ไม่ได้ การเรียนรู้ธรรมอะไรก็ตาม จะแค่รู้ไม่ได้ ต้องหยั่งในสิ่งที่ศิษย์รู้ จนเห็นกระจ่างชัดจนทะลุทะลวง มีความผอมซ่อนอยู่ในความอ้วน มีความขาวซ่อนอยู่ในความมืดมน มีความน่าเกลียดซ่อนอยู่ในความน่ารัก ถ้าศิษย์มองเห็นอย่างนี้ ศิษย์จะไม่อยากได้อะไรในโลกนี้ เพราะได้มาศิษย์สามารถรู้ไหมว่ามันจะทุกข์หรือมันจะสุข ศิษย์สามารถรู้ไหมว่ามันจะดีหรือมันจะร้าย แล้วศิษย์ยังอยากยึดไหม (ไม่อยาก) อยากเอาไหม (ไม่เอา)อยากเกลียดไหม (ไม่อยาก) ศิษย์รู้ไหมถ้าศิษย์ยังเห็นไม่ชัด มันจึงก่อเกิดเป็นวิบากกรรม ถ้าชอบก็เรียกว่าทำบุญมาดี แต่ถ้าไม่ชอบก็กรรมอะไรหนอ ใช่ไหม (ใช่) แต่ถ้าเห็นชัด มันจะมีแค่บุญ แล้วมันจะมีบาปไหม มองต่อแล้วนะศิษย์ เมื่อศิษย์ยังไม่สามารถรู้ชัด มันจึงก่อเกิดคำเรียกว่า กรรม เรียกว่ากรรมดี ที่ศิษย์รู้สึกชอบ แล้วก่อเกิดกรรมชั่ว ที่ศิษย์รู้สึกไม่ชอบแล้วรังเกียจ เมื่อสร้างกรรมชั่วเยอะๆ เข้า ศิษย์ก็เลยพยายามหากรรมดีเพื่อไปชดเชยกรรมชั่ว มันไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าจะหยุดกรรมดีกรรมชั่วมันก็ต้องเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่า มันก็ไม่ได้ดี มันก็ไม่ได้ชั่ว เมื่อนั้นแหละเรียกว่า พ้นจากเวรกรรม แต่มนุษย์ไม่ใช่ เมื่อมนุษย์ยังมองไม่เห็นชัด มนุษย์ก็เลยลื่นไหลหลงไปกับสิ่งที่ชอบ แล้วก็บอกว่าอันนี้ฉันชอบ อะไรที่ตรงข้ามกับ อ้วน เตี้ย ดำ ฉันเกลียดหมด
แต่ถ้าเราเห็นชัด กระแสกรรมจะถูกตัด ศิษย์จะมีชีวิตอยู่เพื่อใช้กรรมเก่า แต่กรรมใหม่ศิษย์จะไม่สร้าง เพราะศิษย์มองเห็นแล้วว่า อะไรก็ไม่น่าเอา เพราะถ้าเอาแล้วยึดก็ทุกข์ แล้วทุกข์หาที่สิ้นสุดไม่ได้จนกว่าศิษย์จะปล่อย ทั้งที่จริงแล้วมันก็เป็นไปตามทางของมัน แต่ใจเราไม่เคยปล่อย แล้วก็สามารถหยั่งรู้ได้ชัดด้วยแต่เราก็ไม่เคยหยั่งลงไปรู้ เราเห็นแค่เพียงฉันชอบฉันเกลียด เมื่อเห็นแค่นี้ ก็เลยหนีไม่พ้นกระแสของดีร้ายได้เสีย ก่อเกิดเป็นวิบากกรรมที่เรียกว่าบุญบาป
ฉะนั้นอยากรู้ไหมว่าตัวตนเกิดมาจากไหน ศิษย์ไม่เคยเรียนวิชารู้ตัวเองเลย รู้คนอื่นหมด ตัวเองมาอย่างไรไม่รู้ จริงๆ แล้ว ตัวตนเดิมเมื่อถึงที่สุดก็ต้องกลับไปสู่ธาตุดินน้ำลมไฟ ฉะนั้นตัวเรามาจากความว่าง ในเมื่อตัวเรามาจากความว่าง แต่เราไม่เคยพอใจในความว่าง เราจึงพยายามวิ่งวุ่นไปหาความมี และถ้ามีอะไรที่เรารู้สึกเกิดอารมณ์ชอบ อารมณ์นั้นก็เป็นใหญ่ และกลายเป็นนายควบคุมเรา และถ้าอารมณ์นั้นมีบ่อยๆ ก็กลายเป็นนิสัยความเคยชินที่เรียกว่า อัตตาตัวตนของเรา ฉะนั้น ตัวเราจึงเกิดจากการปรุงแต่งที่ไม่ยอมรับความว่าง แล้วอยากจะมีแบบนั้นมีแบบนี้ พระพุทธะจึงกล่าวไว้ว่า เมื่อตัวตนเกิด จึงก่อเกิดเป็นภพ ชาติ ชรา มรณา เกิดกี่ทีก็ทุกข์ทุกที
ฉะนั้นมนุษย์ไม่ใช่เกิดแค่การเกิดเป็นสังขาร แต่เรายังเกิดใจที่บดบังจิตเดิมแท้ ใจตัวนี้เป็นใจที่ไม่อยากมีความว่าง อยากมีแบบนั้น อยากมีแบบนี้ และแบบนั้นจะเป็นนายเราก็ต่อเมื่ออารมณ์นั้นมาแรงที่สุด อย่างเช่นเดินๆ อยู่ตัวเราอาจจะไม่มี แต่ถ้าเดินๆ อยู่ เกิดเจอคนนั้นสวย อารมณ์ที่ชอบครอบงำเรา กลายเป็นอารมณ์ที่หลงความสวย แล้วมนุษย์เราเริ่มเป็นตัวตนเพราะเมื่อดำเนินชีวิตอยู่ หนูชอบแบบนั้น หนูไม่ชอบแบบนี้ หนูได้เรียนรู้ว่าคนอย่างนั้นดี คนอย่างนี้ไม่ดี ก็เริ่มสะสมๆ จนกลายเป็นคำว่าตัวตน ฉะนั้นถ้าตัวตนของศิษย์ ชอบที่จะโกรธบ่อยๆ และมีใจที่โกรธบ่อยๆ ชอบเอาปากโกรธบ่อยๆ ก็สามารถกำหนดภพภูมิได้เลยว่า ตายไปแล้วจะไม่จบแค่นั้น กลายเป็นตัวตนที่ยึดติดในความหลง ศิษย์เคยเห็นไหม เพื่อนบางคนทำอะไรก็ตาม ขอกินเป็นเรื่องแรก ใช่ไหมต้องกินอร่อย ต้องกินดี ไกลแค่ไหนขอให้ได้กิน นั่นคือการกำหนดชีวิตชะตากรรมว่าจะไปทางไหน คนบางคนเรื่องกินไว้ทีหลัง ขอดูก่อน ขอชมก่อนว่าสวยไหม ชะตาชีวิตกำหนดเลยว่า วิบากกรรมหรือภพภูมิของเราถูกกำหนดว่า เราหลงไปทางตา เราชอบอะไรก็จะเป็นตัวกำหนดภพภูมิ ทำให้เราเกิดกรรมเเล้วสร้างกรรมเเละเกิดวัฏฏะเวียนว่ายไม่จบสิ้น พระพุทธะเคยสอนว่า ในเมื่อเราสร้างกรรมไว้แล้วก็ให้รักษาศีล มีทานมากๆ อย่างที่ศิษย์รู้กัน ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ ใช่ไหม (ใช่) ศิษย์ไปสนองกิเลสมาเต็มที่เเล้ว ศิษย์ค่อยมาบำเพ็ญ ทานจะช่วยได้ไหม ชะล้างกันได้ไหม แก้กันได้ไหม สมมติว่าวันนี้อาจารย์เดินมาแล้วก็ชมทุกคน เเต่อีกวันหนึ่งอาจารย์ก็ด่าทุกคน ศิษย์คิดว่าอาจารย์ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี) วันนี้อารมณ์ดี ศิษย์ก็ทำดีหมดทุกคน เวลาศิษย์อารมณ์ร้าย ศิษย์ก็อารมณ์เสียกับทุกคน เเล้วศิษย์ดีหรือไม่ดี เเล้วเราจะหมุนวิบากกรรมหรือเราจะหยุดยั้งการสร้างกรรม ศิษย์เคยได้ยินที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ไหมว่า“จงดำเนินชีวิตให้อยู่ในทางสายกลาง ดีก็ไม่ยึด ชั่วก็ไม่เอา กลับสู่ความเป็นกลาง” ยากไหม (ไม่ยาก) ฉะนั้นเจออะไร มองให้ดี ถ้าเห็นชัดอย่าหลง อย่าเกลียด อย่าสร้างวิบากกรรมมาเต็มที่แล้วค่อยมาทำดีจะช้าไป สู้หยุดตั้งเเต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ ศิษย์ทำดีมาตลอด ตอนนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่รัก ไม่หลง มองเห็นชัดหยั่งรู้เเท้จริง แล้วเราจะก่อเกิดกรรมอีกไหม (ไม่) เราจะผูกกรรมอีกไหม (ไม่ผูก) ถ้ามีใครมาด่าเรา จงดีใจเเละขอบคุณ เพราะได้ใช้กรรมเก่า เมื่อใครมาทำเราเจ็บปวดก็ขอบคุณ จะได้หมดเวรหมดกรรมกับเขาสักที ถ้าอยากขอบคุณจริงๆ จงขอบคุณที่ทำให้เราเห็นกรรมชัด ขอบคุณที่ทำให้เราได้ชำระล้างใจ
เราเกิดมาพร้อมกับกรรม และเรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นทายาท และเราคือผลผลิตของกรรม แล้วศิษย์ยังอยากจะสร้างกรรมเพื่อรับกรรมอีกหรือ
ยังห่วงอะไรนะ โดยส่วนใหญ่มนุษย์มักจะทำดีแล้วยึดมั่นถือมั่น ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์อาจจะถามอาจารย์ว่า เมื่อทำดีแล้วทำไมไม่ให้ยึด ถ้าทำแล้วยึด แปลว่าศิษย์อยากมีตัวตนเพื่อไปรองรับผลแห่งกรรมนั้นอีก แล้วศิษย์อยากจะเกิดเพื่อไปรับผลกรรมนั้นอีกไหม (ไม่อยาก) อย่างนั้นแปลว่าทำบุญเมื่อไร ศิษย์จะขอไหม ถ้าขอเมื่อไร แปลว่าศิษย์ยังอยากจะมีตัวตนไปแบกรับบุญนั้นอีก แล้วอย่าลืมนะว่าคนเราเกิดมา เมื่อมีบุญได้ก็ต้องมีกรรมได้ ฉะนั้นพระพุทธะจึงสอนไว้ว่า “ทำดีอย่ายึดมั่นหมาย ทำดีอย่าหวังวอนขอผล จงทำดีแล้วปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน จะประเสริฐที่สุด” ดีไหม (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “ธรรมกับชีวิต”)
ในคำว่า “ธรรมกับชีวิต” ที่อาจารย์ให้วงยังมีความหมายนะ
(พระอาจารย์เมตตาอธิบายกลอนในพระโอวาทซ้อนพระโอวาท)
มังกรแค่ขยับตัว ความมืดมัวมลายสิ้น
จากฟ้ามาสู่ดิน ยังไม่สิ้นธรรมในคน
ต้นไม้ย่อมมีราก ความจริงจากเสียงสายฝน
ธรรมแท้จากเบื้องบน ฉุดช่วยคนผู้มีบุญ
ทำได้ก็ให้ทำ ทำไม่ได้ก็ต้องหมุน
แม้ฟ้าจะการุณย์ ต้องยืดหยุ่นระวังตน
ศิษย์เอ๋ย ในตัวศิษย์มีมังกรอยู่ มังกรมาจากฟ้าลงสู่ดิน และมังกรนั้นก็ไม่ใช่มังกรที่เลวร้ายจะไปคอยกัดใคร แต่เป็นมังกรที่พร้อมจะกลับคืนสู่ฟ้า กลับคืนสู่สภาวธรรม มนุษย์ทุกคนมีสภาวธรรมเดิมแท้ที่อยู่ในตัวเองอันทรงคุณค่า แต่น่าเสียดายที่บดบังไปเพราะคิดว่าตัวเองคงไม่ดีถึงขนาดนั้นหรอก ใช่ไหม (ใช่) ไม่ศรัทธาในตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่) ช่างน่าเสียดายนะ อาจารย์ยังมีเวลาอยู่กับศิษย์ไหม (มี) อยากได้ผลไม้จากอาจารย์ไหม (อยาก) แล้วถ้าผลไม้นั้นเป็นผลไม้แห่งความทุกข์ เอาไหม (เอา, ไม่เอา) เอาแล้วเก็บไว้เองหรือเอาแล้วให้คนอื่นต่อ (เอาไว้เอง) อย่างนั้นถ้าอาจารย์บอกว่าวันนี้อาจารย์จะแจกผลไม้แห่งความทุกข์ แปลว่ามีศิษย์เอาใช่ไหม (เอา)
อย่างที่อาจารย์บอกนะศิษย์เอย เรียนรู้ให้ชัด มองเห็นให้แจ้งจริง ความรู้ที่เราสามารถหยั่งจนมองเห็นชัด จะไม่ทำให้ศิษย์ทุกข์และถูกหลอกลวงในโลกใบนี้อีกต่อไป ฉะนั้นอย่าเอาแค่รู้ แต่จงเอามาปฏิบัติและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยการทำจริง ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นอยู่ในโลกก็เหมือนกัน มองให้เกิดประโยชน์ที่มีคุณค่า ถ้าทำแล้วให้เราทุกข์จงอย่าทำ ถ้าคิดแล้วทำให้เราทุกข์ก็จงอย่าคิด จงอยู่กับสติ เวลาฝึกบำเพ็ญ ทำอย่างไรที่จะห้ามไม่ให้เรามีความคิดร้าย ไม่ต้องห้าม ไม่ต้องไปบังคับ ไม่ต้องกดไว้ อยากคิดก็คิดไป แล้วก็นั่งมอง เรามีจิตเดิมแท้ที่เรียกว่าพุทธะ และมีใจที่หลงไปตามกิเลส ทำไมไม่นำจิตเดิมแท้มาเรียนรู้ใจที่เป็นมนุษย์ อยากคิดก็คิดไป อยากด่า แต่อย่าด่าออกเสียง เพราะด่าออกไปแล้วจะสร้างกรรม ใช่หรือไม่ (ใช่) เก็บไว้ในใจก่อน สิ่งที่จะช่วยยับยั้งให้เราไม่สร้างกรรมได้ก็คือ สติที่รู้เท่าทันใจ รู้เท่าทันความคิด ฉะนั้นถ้าศิษย์จะฝึกฝนบำเพ็ญอย่างแท้จริง อย่าเอาแต่ปฏิบัติภายนอก เป็นลูกศิษย์พระอาจารย์จี้กงต้องมองให้เห็นชัด ฉะนั้นถ้าเรารู้ชัดเห็นแจ้งแล้ว ฉันจะไม่สร้างวิบากกรรมอีกต่อไป เมื่อไรที่ศิษย์หวังจะไปยึด เมื่อนั้นวิบากกรรมเริ่มเกิดขึ้นทันที เมื่อไรที่ศิษย์เกิดอัตตาตัวตนว่าชอบชัง เมื่อนั้นเกิดกรรมที่เรียกว่าบุญบาป ดีร้าย ได้เสีย หนีไม่พ้นเวรกรรมแน่ ฉะนั้นจะหยุดได้ก็ต่อเมื่อกลับคืนสู่ความว่างที่มนุษย์ชอบหนีกัน ต้นเหตุแห่งตัวตนมาจากความคิดที่ไม่ยอมรับความว่าง ศิษย์รู้ไหม สิ่งที่ว่างที่สุดมีพลังอันหาที่สุดไม่ได้ ว่างจากตัวตนที่ยึดถือ อยากเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ต้องวางตัวตนออก แล้วความคิดสร้างสรรค์จะเกิดแล้วจะมีพลังมหาศาลเรียกว่าไม่มีที่สิ้นสุด แต่มนุษย์พอมีความเป็นตัวตนครอบทำอะไรก็จะติดขัด แต่ถ้าเรากลับคืนสู่ความว่าง หาที่สุดไม่ได้เมื่อโดนอะไรก็ไม่กระทบ โดนอะไรก็ไม่เจ็บ เมื่อไหร่ศิษย์จะหยั่งรู้แท้จริง
(พระอาจารย์เมตตาประทานแอปเปิลให้นักเรียน)
ฉะนั้นอยู่ในโลก จงแปรเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นสุข ด้วยความเข้าใจ ได้ไหม และรู้จักระมัดระวังควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดีด้วย อย่าตกเป็นทาสอารมณ์บ่อยๆ อย่างนั้นวันนี้อาจารย์กลับได้หรือยัง
ฉะนั้นรู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดี รู้จักศึกษาบำเพ็ญให้ดี ทำให้ได้ อย่าแค่ฟังอย่างเดียวต้องไปทำด้วย จงมีสติ ทำอะไรต้องรู้จักใช้สติอย่าปล่อยให้ใจเลื่อนลอย ไม่อย่างนั้นจะถูกแกว่งเมื่อเจออะไรเข้า ตั้งใจศึกษาให้ดีอย่าแค่ฟังแล้วปล่อยผ่าน จงเป็นแอปเปิลที่นำพาให้จิตมีแต่ความเบิกบาน
ศิษย์เอยสิ่งที่สำคัญไม่ได้อยู่ที่แอปเปิล แต่สิ่งสำคัญคืออยู่ที่ใจของเรา ทำสิ่งที่ถูกต้องมีศีลมีธรรมอะไรก็ศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าทำตัวไม่มีศีลไม่มีธรรม พูดแล้วไม่รักษาคำพูด ทำอะไรคนก็ไม่เคารพไม่เชื่อถือ ทำอะไรมีเมตตา มีความกรุณา มีใจที่รู้จักอุทิศให้ ไปอยู่ที่ไหนใครก็รัก แต่ถ้าไปอยู่ไหนเเล้วมีแต่จะเอา อยู่ไหนก็ไม่มีใครรัก อาจารย์อยากเห็นศิษย์เป็นผู้ที่ให้มากกว่าได้รับ สละให้มากกว่ายึดมั่นถือมั่น ถ้าทำได้เช่นนั้นเรียกว่าศิษย์ของพระพุทธะ คนที่มีแต่ให้จนไม่ยึดถืออะไรจึงเรียกว่าจิตที่ประเสริฐ เพราะจิตที่ยึดมั่นถือมั่นล้วนนำพาให้ต้องทุกข์ ถ้าศิษย์เข้าใจความเป็นจริงแห่งธรรมรู้ว่าใดๆ ในโลกนี้ไม่ยึดมั่นถือมั่น คือหนทางที่บริสุทธิ์เเละประเสริฐที่สุด อะไรก็ไม่ต้องการเพราะทำถึงที่สุดแล้ว ใครรชมหรือไม่ชมก็ไม่เอาแล้ว รู้ตัวเองดีที่สุดพอแล้ว
เพราะถ้ายังเอายังยึดอยู่ก็หนีไม่พ้นวิบากกรรมแล้ว ยังอยากยังยึดอีกหรือ คิดให้ดีๆ พ้นกรรมแล้วบางคนก็ยังอยากเกี่ยวกรรม พ้นทุกข์แล้วคนก็อยากหาเรื่องทุกข์ เพียงเพราะคิดไม่ได้ วางไม่ลง ปลงไม่ตก ทั้งที่ถึงเวลาจริงๆ แล้วไม่มีใครไปกับเราได้สักคน ถึงเวลาวางก็ต้องวางให้ได้ อย่าไปสร้างกรรมแล้วค่อยมาวาง ช้าไปนะศิษย์เอย จริงไหม ชีวิตหนึ่งทำดีจนรู้สึกว่าเต็มที่แล้ว คุ้มแล้ว สะใจแล้ว ตายวันตายพรุ่งไม่กลัว สั้นยาวไม่กลัว เจ็บปวดก็ไม่กลัว เพราะว่าเต็มที่แล้ว แต่ถ้ายังไม่เต็มที่จะตายวันตายพรุ่งยังกลัวอยู่ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเมื่อไรที่เจอความเจ็บไข้แค่กายป่วยตรงนี้แล้วอย่าป่วยทั้งตัว เราไม่เคยป่วยทั้งตัว เราไม่เคยเจ็บทั้งตัว บางทีเราเจ็บแค่ตรงนั้นตรงนี้ แต่เราทุกข์ทั้งตัวเลย ใช่ไหม คิดอย่างนั้นโง่นะศิษย์ เราเป็นมะเร็งเราเป็นโรคนั้นเราเป็นโรคนี้ ทำไมปล่อยให้โรคนี้ฆ่าเราทั้งตัว เราเจ็บแค่อันเดียวแต่ฆ่าเราทั้งชีวิตเลยหรือ ฉะนั้นตราบยังมีลมหายใจจงสู้ ตราบยังมีปัญญา มองให้เห็นชัด โรคภัยมาให้เราปลดปลง สังขารไม่ใช่ของฉัน แต่ใจฉันจะกลับคืนสู่ธรรมอย่างเดียว ฉันจะไม่ทุกข์กับมันอีกแล้ว ทำไมไม่นำพาให้ตัวเองพ้นทุกข์ให้ได้ จะทุกข์ทำไม ขอให้หยั่งรู้ที่แท้จริงนะศิษย์เอย อย่าแค่รู้แต่จงหยั่งให้รู้จนเห็นชัด ไม่มีอะไรทำให้ศิษย์ทุกข์อีกต่อไปแล้ว นั่นแหละคือปัญญาที่ประเสริฐที่สุด
อาจารย์คงต้องไปแล้วนะ มีโอกาสสักนิด แม้จะเป็นความหวังสักนิดก็หวังว่าศิษย์คงจะตั้งใจบำเพ็ญกันให้ถึงที่สุด แม้ความหวังของอาจารย์จะเพียงเล็กน้อยแต่ขอหวัง หวังจากใจศิษย์ทำให้ถึงที่สุดให้ได้นะ อย่าให้เกิดมาแล้วเสียชาติเกิดเลยนะ มนุษย์เราที่ดีที่สุดคือความเป็นพุทธะ ลองดูสักตั้ง ไม่ยากแต่เอาชนะใจตัวเองให้ได้ ที่เราแพ้ก็เพราะว่าแพ้แค่นี้ แพ้ใจตัวเอง ลองมองให้กว้าง มองให้ชัด เรากำลังยึดอะไรถึงทำให้เราแพ้ เรากำลังยึดอะไรถึงทำให้เราทุกข์ เรากำลังยึดอะไรถึงทำให้เราอ่อนแอ และในความอ่อนแอนั้น ในความทุกข์นั้นมันไม่มีที่สิ้นทุกข์หรือ มันไม่มีคำว่าเข้มแข็งหรือ มันต้องมีสิ หาให้เจอแล้วไปให้ถึง ได้ไหมศิษย์ (ได้)
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ธรรมกับชีวิต”
มังกรแค่ขยับตัว ความมืดมัวมลายสิ้น
จากฟ้ามาสู่ดิน ยังไม่สิ้นธรรมในคน
ต้นไม้ย่อมมีราก ความจริงจากเสียงสายฝน
ธรรมแท้จากเบื้องบน ฉุดช่วยคนผู้มีบุญ
ทําได้ก็ให้ทํา ทําไม่ได้ก็ต้องหมุน
แม้ฟ้าจะการุณย์ ต้องยืดหยุ่นระวังตน
พระอาจารย์เมตตาแก้ไขพระโอวาท สถานธรรมอิ๋งเซียน วันที่ ๒๘-๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
กลอนพระอาจารย์หน้า ๑๓ บรรทัดที่ ๓
เดิม ความจนฟุ้งยึดมั่นจนหลงมากมาย รู้ต้องทุกข์แต่ทำไมยังทำซ้ำ
แก้เป็น คิดจนฟุ้งยึดมั่นจนหลงมากมาย รู้ต้องทุกข์แต่ทำไมยังทำซ้ำ
สถานธรรมจื้อเจวี๋ย วันที่ ๑๑-๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๐
แก้เพลงพระโอวาทศิษย์พี่นาจา หน้า ๑๙
เดิม ความคิดคนไม่อาจลุล่วง แต่จะท้วงว่าแง่ลบหรือไม่ เรื่องความคิดขัดหัวใจไม่ได้ เลยคิดไปตามใจชอบ ทั้งคิดนานสั้นยาวและปลง ไม่จบลงที่ความคิดหรอก เครียดไปทุกข์ไป จิตใจจะแสนช้ำชอก ความคิดหลอกตัวเอง
ความคิดคน ไม่ขาดทิ้งช่วง กลับหลอกลวง ซึ่งคนคิดเอง กวาดจิตเข้าเจ้าโกยทิ้งไปหลายเข่ง การคิดจึงไม่ใช่ ความคิดคนอาจถูกรบกวน อาจไปสวนกับความคิดใคร ห้ามใจไม่ฟุ้งซ่านแล้วสบายใจหรือไม่ อะไรก็ดีทั้งหมด
ชื่อเพลง : อย่าคิดมาก
ทำนองเพลง : เธอรักใคร
แก้เป็น ความคิดคนไม่อาจลุล่วง แต่จะท้วงว่าลบหรือไม่ เรื่องความคิดขัดหัวมิได้ เลยคิดไปตามใจชอบ ทั้งคิดนานสั้นยาวและปลง ไม่จบลงที่ความคิดหรอก เครียดไปทุกข์ไป จิตใจจะแสนช้ำชอก ลืมใจไว้นอกตัวเอง
ความคิดคน ไม่ขาดทิ้งช่วง กับหลอกลวง ซึ่งคนคิดเอง กวาดจิตเข้าได้โกยทิ้งไปหลายเข่ง การคิดจึงไม่ใช่ ความคิดคนอาจถูกรบกวน อาจไปสวนกับความคิดใคร ห้ามใจไม่ฟุ้งซ่านแล้วสบายใจหรือไม่ อะไรก็ดีทั้งหมด
ชื่อเพลง : อย่าคิดมาก
ทำนองเพลง : เธอรักใคร