西元二〇〇八年歲次戊子三月二十八日 大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ
ฟังธรรมะชำระใจให้สะอาด จึงสามารถเล่าเรียนเป็นปราชญ์ได้
ใช้ธรรมะบิดเบือนซึ่งอุปนิสัย ดุจดั่งส่งอาวุธให้เหล่าผองโจร
เราคือ
องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์ เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิง เกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง ฮวา ฮวา
หมดอาลัยตายอยากในชีวิต ในความคิดดั่งไร้ความรู้สึก
ในอารมณ์ดั่งคนตกเหวลึก มองลึกลึกที่ว่านิ่งแท้วุ่นวาย
คืนซึ่งความสดใสให้ชีวิต อย่าไปคิดมากมายเรื่องกลัดกลุ้ม
จงเป็นคนรอบคอบและสุขุม ปัญหารุมพิจารณาเป็นเรื่องไป
ใช้ความดีปลูกความดีภายในตน ไม่ท้อบ่นคนมีกรรมร่วมเนืองนิจ
จงรู้ตนกำหนดทางอย่าใจปิด ต่างมีสิทธิ์พ้นวุ่นวายแค่ตื่นใจ
คนไม่มีปัญหาไม่ใช่คน คนไม่ทนไม่อาจรอดแม้เรื่องหนึ่ง
อยู่บนพื้นแต่จิตใจต้องเข้าถึง สภาวะซึ่งไร้ตัวตนพ้นทุกข์ภัย
สามวันนี้คนมีบุญมาฟังธรรม ขอจดจำปฏิบัติเป็นข้อใหญ่
รู้สิ่งใดทำได้ให้ทำไป รู้สิ่งใดทำไม่ได้ต้องพยายาม
รู้สิ่งใดควรปลงควรถือสา อย่าได้หาเรื่องใส่ตัวศิษย์น้องเอ๋ย
ละกิเลสอารมณ์ความชินเคย ไม่ละเลยความตั้งใจในปณิธาน
จงตั้งใจอยู่ให้ครบทั้งสามวัน คนสำคัญเพราะเห็นตนสำคัญหนา
รักผู้อื่นก็คือความเมตตา ส่วนปัญญาก็คือเข้าใจผู้อื่น
ใช้เที่ยงตรงนำพาคนทางย่อมเที่ยง อย่าได้เสี่ยงใช้อารมณ์นำพาหนา
ทุกทุกคนทำงานแค่หนึ่งช่วงเวลา ใช้เวลาทุกนาทีมีค่าเอย
ศิษย์พี่รับบัญชาคุมชั้นเรียน หวังน้องเรียนธรรมะชำระใจ
ในคนที่ฉลาดฉลาดไป อย่าได้ใฝ่กังขาโดยไม่ศึกษาธรรม
จงรักษาพุทธระเบียบให้เคร่งครัด จงวางจัดยืนนั่งให้เหมาะสม
เหล้าบุหรี่งดเว้นจึงน่าชม ขอให้บ่มเพาะพุทธะภายในตน
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป หวังศิษย์น้องตั้งใจไม่คลาดคลา
ฮวา ฮวา หยุด
วันเสาร์ที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมผู่ถี จ.พิษณุโลก
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
บรรพตสูงสักวันคงเปลี่ยนแปลงได้ ธารน้ำใสยังมีวันกลายขุ่นข้น
ชีวิตนี้มีหัวใจสู้อดทน และคงทนในปณิธานไม่เปลี่ยนแปลง
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา แฝงกายประณตน้อม
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ
พระพุทธะสำเร็จไปจากกายคน การฝึกตนนั้นคุ้มประเสริฐยิ่ง
หากเวลาคือชีวิตคือความจริง จิตเที่ยงไหมคุ้มหากนิ่งพิจารณา
ต่างเกิดมาใช้ชีวิตจนกระทั่ง วุ่นก็ว่างเหนื่อยทุกทางปรารถนา
อย่าเที่ยวหลงจนติดวันเวลา ห่วงคิดหาไม่เคยหยุดกังวล
คนวิ่งตามอยากพอต้องตั้งใจ ทุกข์ทางกายยังรักษาเป็นผล
เมื่อใจทุกข์รู้รักษาวินัยตน ทางแก้ทางปัญหาพ้นเป็นสะพาน
หน้าในแต่งแพ้ความอยากโลกีย์ หมองใจที่ยังข้นโทสะฉาน
โมหะก่อเวียนวนอกุศลดวงญาณ มาเริ่มวันนี้ฝึกใจบำเพ็ญ
เพียงเพื่อต่อตนแล้วเข้มงวดตน กับเพื่อนเวไนยอดทนรู้อดทนข่ม
ปัจจุบันมีชีวิตอยู่เท่าทันอารมณ์ สิ่งทันอารมณ์ไหวคือสติแกร่ง
ล้วนความคิดสรรพสิ่งหนึ่งหรือต่าง หากต่างกันไปบ้างไม่ขัดแย้ง
ธรรมวันเดียวเห็นสู่ใจสำแดง ในมีในแจ้งมีแจ้งสารพัน
บำเพ็ญเพื่อว่างไร้ใจยึดติด นำธรรมสู่ใจพิชิตอัตตานั่น
มีสติใช้ปัญญาอยู่กับปัจจุบัน อย่าห้ำหั่นด้วยความเห็นแก่ตน
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย) เรารู้ว่านั่งฟังอย่างนี้ ลำบากไม่ใช่น้อย เหนื่อยไม่ใช่เล่น แต่อดทนได้ก็เก่งไม่เบา แล้วอดทนได้ถึงสามวันไหวไหม (ไหว) นั่งเฉยๆ ถ้าอดทนไม่ได้ก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว ถูกหรือไม่ (ถูก) อยู่บ้าน บางคนให้ทำอะไรแทบจะไม่ยอมทำ บอกว่าขออยู่เฉยๆ ดีกว่า แต่พอมาอยู่ที่นี่ ได้นั่งอยู่เฉยๆ กลับไม่ชอบ
เราถามท่านว่า ตอนนี้สิ่งที่ท่านกำลังมองเห็นอยู่ อะไรนิ่ง อะไรเคลื่อน (กายนิ่ง แต่ใจไม่นิ่ง) ถูกไหม (ถูก) แล้วมีอะไรอีก อะไรนิ่ง อะไรเคลื่อน ร่างเรา(สิ่งศักดิ์สิทธิ์) เคลื่อนหรือร่างท่านเคลื่อน (ร่างของสิ่งศักดิ์สิทธิ์) แต่เมื่อสักครู่ท่านนั่งแล้วก็ยืนไม่ใช่หรือ เรา(สิ่งศักดิ์สิทธิ์)ว่าเราก็เคลื่อนท่านก็เคลื่อน ใช่หรือไม่ (ใช่) มองข้างนอกต้องมองให้ออก ถ้ามองข้างนอกไม่ออก แล้วจะมองข้างในชัดเจนไหม (ไม่ชัด) ตอนนี้ถามคำถามง่ายๆ นะ มองออกไหมว่า อะไรที่อยู่รอบตัวเราเคลื่อนที่ และอะไรที่อยู่รอบตัวเราที่นิ่ง ไม่เคลื่อนไหว
คำถามยากหรือไม่ ไม่ยากแต่ก็ลองภูมิปัญญาไม่น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่) กระดานเคลื่อนหรือกระดานนิ่ง (นิ่ง) คนในที่นี้ใครเคลื่อนใครนิ่ง มองรวมๆ เหมือนตัวเรา(สิ่งศักดิ์สิทธิ์)กำลังเคลื่อนแต่ตัวท่านกำลังนิ่งใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้ามองให้ดีอะไรเคลื่อน เรา(สิ่งศักดิ์สิทธิ์)คนเดียวที่เคลื่อนหรือเปล่า (จิต) จิตเคลื่อนแล้วอะไรนิ่ง จิตเคลื่อนกายนิ่ง ใช่ไหม (ใช่) จิตเคลื่อนไหวมองตามเรา แล้วก็คิดว่าเราใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ใช่ จริงหรือไม่จริง แต่มองจากภายนอกตัวเราอยู่นิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกเวลาทุกนาทีคือเวลาแห่งชีวิตและเดินไปสู่ความตายใช่ไหม (ใช่) หมดลมหายใจเมื่อใดชีวิตก็หมดสิ้นเมื่อนั้น แล้วชีวิตที่เราบอกว่านิ่งที่จริงแล้วนิ่งหรือเปล่า (ไม่นิ่ง) ทุกขณะชีวิตของคนทุกคนที่มองว่านิ่ง จริงๆ แล้วก็มีความเคลื่อนไหวซ่อนอยู่ กระดานที่มองเห็นว่าคงที่แท้จริงแล้วก็รอการเคลื่อนไหวอยู่ แต่จิตมนุษย์ที่บอกว่ากำลังเคลื่อนไหวอยู่นั้นแท้จริงแล้วมีความนิ่งอยู่ได้ ถูกหรือไม่ (ถูก) เหมือนสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าเคลื่อนไหวอยู่ แท้จริงมีสิ่งที่นิ่งคงตัวอยู่ อะไรในตัวเราคือสิ่งที่เคลื่อนไหว อะไรคือนิ่ง ความไม่เที่ยงคืออะไร ความไม่เที่ยงคือสิ่งที่เคลื่อนไหวแต่มีความเที่ยงความแน่นอนอยู่ ถูกหรือไม่ (ถูก) ตัวเรามีเกิด แก่ เจ็บตาย แล้วตัวเราก็วนอยู่กับเกิดแก่เจ็บตาย และการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่เที่ยง นิ่ง และแน่นอนในทุกๆ คน
กระทั่งแม้ชั่วขณะที่คิด วันนี้คิดดี เดี๋ยวสักพักก็กลายเป็นคิดไม่ดี แค่ความคิดก็ยังเคลื่อนได้ แต่ในความเคลื่อนก็มีความนิ่ง ความนิ่งที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนการที่เรามองสรรพสิ่ง บางครั้งเราก็มองอย่างเคลื่อนไหว บางครั้งเราก็มองอย่างหยุดนิ่ง ถ้าเมื่อไรเรานิ่ง เราจะเห็นทุกอย่างเคลื่อนไหว แต่ถ้าเมื่อไรเราเคลื่อนไหว เราเห็นทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) แท้ที่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นรูปหรือนาม คน สัตว์ สิ่งของ ล้วนเป็นสิ่งที่เป็นอย่างไร
(ท่านหลันต้าเซียนเมตตาให้นักเรียนสองท่านลงไปดูข้างล่างว่า มีอะไรเคลื่อน และอะไรนิ่ง)
ท่านคิดว่าคนสองคนเมื่อมองสิ่งเดียวกันจะเห็นเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน) ทำไมถึงเห็นไม่เหมือนกัน เพราะความรู้และความเข้าใจทำให้เราไม่สามารถที่จะมองโลกได้เหมือนกันทุกๆ คนใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้ามองสิ่งหนึ่ง บางคนเห็นอีกด้านหนึ่ง แต่พอให้อีกคนหนึ่งมองก็เห็นอีกด้านหนึ่ง แล้วถามว่าทั้งสองท่านนั้นใครถูกใครผิด ไม่มีใครถูกไม่มีใครผิดใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกคนล้วนตอบได้ถูกต้องหมด ฉะนั้นเหมือนกันเมื่อสักครู่ถ้าท่านจะตอบอย่างไรก็ถูกหมด แต่ทำไมถึงไม่มีใครกล้าตอบ ท่านเห็นอะไรเคลื่อน อะไรอยู่นิ่ง สิ่งของอยู่นิ่ง แต่มนุษย์กำลัง (เคลื่อนไหว) ปรบมือให้ท่านนี้หน่อยนะ
เราถามท่านอีกว่า ในห้องนี้อะไรเคลื่อน อะไรอยู่นิ่ง
(สิ่งที่เคลื่อนไหวก็คือจิตใจของเรา และสิ่งที่หยุดนิ่งก็คือใจที่มีธรรมะ) แปลว่าใจของมนุษย์เราสามารถจะเคลื่อนก็ได้นิ่งก็ได้ สามารถจะหวั่นไหวก็ได้ จะมั่นคงก็ได้ ถูกหรือไม่ (ถูก) ท่านเคยได้ยินไหมว่า แม้อะไรจะเคลื่อนไหว แม้อะไรจะเปลี่ยน แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถเคลื่อนไหว และเปลี่ยนได้ นั่นคือความมุ่งมั่นในหัวใจ มนุษย์ทุกคนสามารถมีจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวไม่เปลี่ยนแปลงได้
มนุษย์ทุกคนสามารถมีปณิธานความมุ่งมั่นที่ไม่ท้อถอยได้ และมนุษย์ทุกคนสามารถมีไฟที่สว่างโชติช่วง แม้ตราบที่ลมหายใจหมดสิ้นไฟนั้นก็ยังคงอยู่ได้ นั่นคือไฟแห่งการประพฤติปฏิบัติอันดีงามอย่างไม่ยอมแพ้ หรือความมุ่งมั่นที่จะเป็นคนดีที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไม่กลัวตาย ถูกหรือไม่ (ถูก) อะไรจะเปลี่ยนก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราอยากให้ท่านคงรักษาให้อยู่กับชีวิตตราบจนลมหายใจหมดสิ้นนั่นก็คือคุณงามความดีในหัวใจ ซึ่งแม้ตายแล้วใครก็เอาไปไม่ได้ แม้ยังมีชีวิตอยู่ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถ้าเรามุ่งมั่นจะทำ ถูกหรือไม่ (ถูก)
แม้วันนี้เราจะบอกว่าให้ท่านมาเป็นคนชั่วร้าย มาตกนรก เป็นพญามารกัน ถ้าใจท่านบอกไม่ เราพูดอย่างไรท่านก็ไม่ไป ใช่หรือไม่ (ใช่) เอาตัวไปได้ แต่เอาใจไปได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นเราต้องมองให้ออก รู้ให้ชัด ภายนอกจะทำให้เราเปลี่ยนแปลงอย่างไร ก็ไม่สู้หัวใจที่มั่นคงและแข็งแกร่ง ฉะนั้นอย่าให้ภาวะภายนอกมาเปลี่ยนแปลงความดีงามในหัวใจ ที่คนจะต้องพึงมีและพึงรักษาให้ได้ ยากไปไหม (ไม่ยาก) ไม่ยากใช่ไหม (ใช่) อายุมาก การทำความดีก็พลอยหมดเรี่ยวหมดแรงไปด้วย ได้หรือไม่ (ไม่ได้)
คงยังไม่เบื่อที่จะฟังธรรมะ การศึกษาธรรมบำเพ็ญธรรมไม่ใช่ให้ท่านหนีโลก หนีความจริง แต่การศึกษาบำเพ็ญธรรมต้องการให้ท่านกล้าที่จะเผชิญสู้กับโลกและความเป็นจริง แม้จะยากในการอดทนนั่งฟังสักหน่อย แม้จะต้องต่อสู้กับความเมื่อยล้าบ้าง แต่คิดว่าทุกท่านคงสู้ครบสามวัน อะไรก็เปลี่ยนได้ แต่ไม่รู้ว่าหัวใจท่านเปลี่ยนง่ายหรือเปล่านะ ฟ้ายังเปลี่ยนสีแต่ใจของมนุษย์คงไม่ (เปลี่ยนแปลง)
เชื่อหรือไม่ไม่เป็นไรลองค่อยๆ ศึกษาพินิจพิจารณาไปดีไหม (ดี) ถึงที่สุดเมื่อเรากลับแล้วท่านตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่ท่าน จบลงที่ไม่เชื่อก็ไม่ว่า แต่ดีกว่าไม่ได้คุยอะไรกันเลยใช่หรือไม่ (ใช่) อยากคุยกับเราสักนิดหนึ่งไหม (อยาก) การฟังธรรมะหรือการเรียนรู้โลกใบนี้ควรมีใจที่เปิดกว้างและอิสระ ไม่ใช่คับแคบอย่างยึดติดใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าหัวใจที่บอกว่าเปิดกว้างนี้แท้จริงแล้วเปิดกว้างหรือคับแคบ ถามว่าในที่นี้มีใครบ้างที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนใจแคบ คงไม่มีถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นเวลามองสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่าเอาความรู้ความคิดที่เคยผ่านมา มาตัดสินทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่าง เรายกตัวอย่างเรื่องๆ หนึ่งให้ท่านฟังดีหรือไม่ (ดี) เรื่องก็มีอยู่ว่า มีนายช่างคนหนึ่งทุกวันต้องเดินเท้าเปล่าออกไปทำงาน แล้วรู้สึกว่าการเดินเท้าเปล่ามีโอกาสที่เท้าจะสัมผัสกับอันตรายได้ง่าย
ฉะนั้นเขาก็เลยคิดว่าลองหาอะไรมาทำเพื่อเป็นตัวรองรับเท้าน่าจะดี พอหาไปหามาเขาก็เลยคิดวิธีสานรองเท้าจนสำเร็จ ทันทีที่สานได้ เขาก็คิดว่า การเดินด้วยการมีรองเท้าใส่ แม้ว่าจะเดินไกลขนาดไหน ลำบากขนาดไหนก็ยังเดินได้ไหว เท้าก็บรรเทาความเจ็บได้ ทำไมรองเท้าดีๆ เช่นนี้ เราไม่รู้จักเอาไปแบ่งปันผู้อื่นบ้าง แต่ว่าทุกอย่างที่จะแบ่งปันได้ก็ต้องแลกเปลี่ยนเป็นเงินทองสักเล็กน้อย เพราะให้ฟรีๆ ก็ดูไม่มีคุณค่าถูกหรือเปล่า (ถูก) เขาก็เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นทำรองเท้าแบบที่เขาชอบ แบบที่เขาถนัด และแบบที่เขารู้สึกว่าใส่แล้วดี ใส่แล้วทน ออกไปขาย ท่านคิดว่าขายได้กี่คู่ แบบที่ตัวเองเห็นว่าใส่แล้วพอดี มองแล้วเห็นว่าสวย ใส่แล้วรู้สึกทนทาน ท่านว่าพอเอาไปวางขายตั้งแต่เช้าจรดเย็นจะมีคนที่ใส่ได้พอดีเท้าสักกี่คู่กัน จะมีสักกี่คนที่พอใจในแบบที่เขาคิดว่าสวย แล้วบอกว่าดีเหมือนเขา ท่านว่ามีไหม (ไม่มี, มี)
ท่านที่ตอบว่าไม่มี แปลว่าเคยทำแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ แต่คนที่ตอบว่ามี แต่มีน้อย แปลว่าทำแล้วยังมีผลบ้าง ยังมีความหวังบ้างใช่หรือไม่ (ใช่) พอทำไปจริงๆ ครั้งแรกที่เขาออกขายไปตั้งแต่เช้าถึงเย็นมีอยู่แค่คนหรือสองคนที่ใส่ได้พอดีและชอบเหมือนเขา แต่มีคนที่ชอบแล้วบอกว่าเสียดายใส่ไม่ได้อยู่หลายคนใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้น ถ้าเขาพบแบบนี้แล้วเขาก็คิดว่า ไม่ทำรองเท้าแล้ว ทำแทบแย่ มีที่ใส่ได้จริงๆ แค่คนเดียว เลิกทำเลยดีไหม (ไม่ดี) ชายคนนี้คิดว่า เป็นอย่างนี้ยิ่งต้องทำใหม่ เพราะยิ่งวิพากษ์วิจารณ์มากเท่าไร ยิ่งมีคำติมากเท่าไร เขายิ่งได้ความคิด ได้ประสบการณ์ว่า เขาจะไปทำรองเท้าแบบที่คนแต่ละคนพูด และให้มีหลายขนาดมากยิ่งขึ้น และในหลายขนาดก็ยังมีหลายแบบด้วย เช่นกัน มนุษย์ทุกคนมีความคิด มีความเข้าใจ มีความเชื่อมั่นว่า การทำแบบนี้เรียกว่าดี แต่เราเอาแบบที่เราดีนั้นไปให้ทุกๆ คน ใช่ว่าทุกคนจะชอบ และเห็นดีเหมือนที่เราเห็นดีด้วย ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้น เมื่อไรทำดีหนึ่งครั้ง แล้วถูกติถูกว่า ถูกกระแนะกระแหนว่า “ทำอย่างนี้หวังผลใช่ไหม” “อยากจะขออะไรก็พูดมาเถอะ” ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นพอทำไปแล้ว เราพบแบบนี้ เราต้องคิดที่จะเอามาปรับปรุงและพัฒนาให้เข้ากับทุกคน ทุกแบบ
เหมือนทำรองเท้าไหม (เหมือน) เหมือนกัน ใครเป็นช่างเย็บเสื้อผ้ายกมือขึ้น ใครเป็นช่างตัดผมยกมือขึ้น ถามว่าคนเย็บเสื้อผ้าให้เหมาะกับแต่ละคนได้เป็น อย่างนั้นเขาไม่รู้วิธีการที่จะอยู่กับแต่ละคนให้เป็นสุขหรือ ถูกไหม (ถูก) แล้วใครบ้างที่ต้องทำกับข้าวทุกวัน ยกมือขึ้น อย่างนั้นท่านก็รู้ว่า ทำรสไหนถูกปาก แล้วทำไมไม่รู้วิธีที่ทำอย่างไรให้ถูกใจคน แปลกไหม (แปลก) เรารู้วิธีที่ทำให้ถูกปาก แต่บางครั้งพูดอย่างไรให้ถูกหู เรากลับบอกว่าพูดดีไม่เป็น ถูกไหม (ถูก) น่าแปลกนะ ทำอาหารทำเก่งมาก ทำออกมาทีไร จานนี้แม้ไม่หมด จานนั้นก็หมด ใช่หรือไม่ (ใช่) พอจานนั้นหมด ก็รู้ทันทีว่าทำอย่างไรถึงจะอร่อย ทำอย่างไรคนจะติดใจ แต่ทำไมเวลาพูด เวลาทำกลับทำไม่ได้
ฉะนั้น เราต้องรู้จักมองออกแล้วสะท้อนเข้าสู่ภายใน มองภายในแล้วรู้จักสะท้อนกลับไปสู่ภายนอก เหมือนเราเห็นวิธีการหนึ่ง เราสะท้อนกลับมาสอนใจได้ไหม แล้วสามารถมองเห็นใจตนเองได้ไหม เมื่อเห็นใจตนแล้ว พลิกแพลงใจอย่างไรให้กลับไปสู่เขาได้
เคยได้ยินคำพูดคำหนึ่งไหมว่า “ในโลกนี้มีทั้งสิ่งที่เรียกว่ามีคุณ และสิ่งที่มีโทษ มีทั้งสิ่งที่เรียกว่าดี และสิ่งที่เรียกว่าไม่ดี” ถ้าเรามองเห็นว่า สิ่งนี้ก็มีคุณ สิ่งนั้นก็มีคุณ ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีคุณ แต่ถ้าเรามองว่าสิ่งนี้ก็ไม่ดี สิ่งนั้นก็ไม่ได้เรื่อง คนโน้นก็ขี้บ่น คนนั้นก็ช่างพูด อะไรๆ มองไปก็เป็นโทษไปหมด คุณหรือโทษอยู่ที่ว่า เมื่อไรที่เรามองคนอื่นไม่ดี เราก็ไม่ดี ถูกหรือไม่ (ถูก)
ใครที่ว่าคนอื่นยึดมั่นถือมั่นเราก็คือ (ยึดมั่นถือมั่น) ใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกันเวลาอารมณ์ดีมองอะไรก็ดีไปหมด ฉะนั้นมองภายนอกสะท้อนถึงภายใน เมื่อมองภายนอกแล้วเห็นไม่ดี อย่าลืมหันมามองภายในด้วยว่าตัวเองก็ไม่ดีต่างจากที่เห็นหรือไม่ เวลาอารมณ์ดีใครว่าอย่างไรก็ยิ้ม
ฉะนั้นอย่าให้ภายนอกมองไม่เห็นภายใน อย่าเป็นคนที่เหมือนตาบอดคลำช้าง รู้ภายนอกแต่ไม่สามารถมองถึงภายใน ตามองเห็นแจ่มชัดกับคนภายนอกแต่กลับตาบอดภายในหัวใจตัวเอง ถูกไหม (ถูก) แปลว่ายอมรับกันทุกคน เช่นกันเราเห็นคนโกรธเป็นพุทธะหรือพญามาร ถ้าเราเห็นคนโกรธเป็นพุทธะ เราก็จะสามารถมองเห็นพุทธะในตัวตนเขาได้ แต่ถ้าเห็นคนโกรธเป็นพญามารเราก็กำลังอยู่ร่วมกับพญามารนั่นเอง เราอยากจะบอกท่านว่าอย่าสนใจว่าคนภายนอกดีหรือเลวเพียงไร สำคัญที่ตัวเรา ถ้าตัวเราทำได้ดี ทำได้งาม ทำได้เหมาะสม ไปอยู่ที่ไหนเขาก็ต้องอยากดี อยากงาม อยากเหมาะสมเหมือนกับเรา ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นไม่ต้องสนใจคนภายนอกว่าเขาจะดี เลว หรือร้าย แต่สำคัญที่ตัวเรา ถ้าตัวเราไม่ดีแล้วไปชี้นิ้วว่าคนอื่นไม่ดีเขาก็หัวเราะเยาะเรา ถูกหรือไม่ (ถูก)
นั่งฟังธรรมะไม่เหมือนนั่งดูทีวีใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าดูทีวีทั้งวันอย่างไรก็ไม่ (เบื่อ) ไม่พอใจช่องนี้ก็เปลี่ยนเป็นอีกช่องได้ แต่ฟังธรรมะเปลี่ยนได้ไหม (ไม่ได้)
ท่านรักตัวเองไหม (รัก) รักจริงหรือ (จริง) อย่างนั้นคนที่บอกว่ารักตัวเองควรเป็นคนที่ตามใจตัวเองหรือแย้งตัวเองบ้าง (แย้งตัวเองบ้าง) ถ้าเช่นนั้นวันนี้พร้อมจะแย้งหรือพร้อมจะตาม
มนุษย์เราถ้ารักตัวเองจริงๆ ต้องรู้จักที่จะขัดฝืนอารมณ์ตัวเองบ้าง เพราะการตามใจตัวเองบ่อยๆ มักจะได้รับผลไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนเวลาที่รู้สึกหิวมากๆ ถ้าตามใจตัวเองกินอย่างไม่บันยะบันยัง ผลก็คือท้องอืด เพราะกินมากเกินแล้วไม่ย่อยใช่หรือไม่ (ใช่) อากาศร้อนๆ รู้สึกคอแห้งเหลือเกิน แล้วรีบดื่มน้ำเย็นเจี๊ยบที่ออกมาจากช่องแช่แข็ง เข้าไปดีไหม (ไม่ดี) เพราะการกลับมาจากข้างนอกร้อนๆ แล้วเอาน้ำเย็นๆ ราดเข้าไปโครมหนึ่ง ร่างกายยังปรับไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้น แม้จะร้อนขนาดไหนก็ต้องรอ ใจเย็นๆ อย่าเอาน้ำเย็นสาดทีเดียว แม้จะรักตัวเองขนาดไหน แต่เวลากินก็ต้องรู้จักบันยะบันยัง
มนุษย์ทุกคนต่างรักตัวเอง แต่เคยถามตัวเองไหมว่าที่ตัวเองดำเนินชีวิตอยู่นั้นใช่รักตัวเองหรือทำร้ายตัวเอง ทำลายมากกว่าหรือรักมากกว่า (ทำลายมากกว่า) ท่านที่ว่าทำลายเคยนึกไหมว่ามีอะไรที่มีค่ามากกว่าชีวิต เราจึงยอมเหนื่อยสายตัวแทบขาดได้ขนาดนี้ ลำบากยังไงก็อดทนไหว รักมากกว่าชีวิตด้วย เงินใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วผลสุดท้ายหาเงินมาแล้วเพื่อ (รักษาตัว) ถ้าอย่างนั้นอย่ารักษาตัวสิ ในเมื่อรักเงินมากว่าชีวิต ถึงเวลาป่วยห้ามเอาเงินไปรักษาดีหรือไม่ เพราะยอมเหนื่อยแทบตายเพื่อให้ได้เงิน แล้วตอนนี้ทำไมเอาเงินนี้มาเพื่อ (รักษาตัว) ตกลงว่าท่านรักเงินหรือรักชีวิต (รักชีวิต) แต่ถึงเวลาเงินหมดยอมพักหรือยอมเหนื่อย (ยอมเหนื่อย) วนอยู่อย่างนี้เราไม่เข้าใจท่านจริงๆ นะ ท่านเหมือนหนูติดจั่นไหม แล้วท่านก็มองว่าหนูที่วิ่งในจั่นนั้นตลกดีนะ วิ่งอยู่ได้ สนุกตรงไหน อย่างนั้นเราถามกลับบ้างว่า ท่านกำลังสนุกไหม (ไม่) เด็กวัยรุ่นมีความสุขกับการรักผู้อื่นใช่ไหม (ใช่) แต่พอเขาไปรักผู้อื่นแล้วไม่รักเรา เราเป็นอย่างไร (เสียใจ) แล้วยังรักเขาไหม (รัก) อย่างนั้นตกลงว่าท่านรักเขา หรือรักตัวเอง (รักตัวเอง) รักตัวเองแล้วไปรักเขาทำไม ถึงเวลาพอเขาไม่รักตัวเองก็เจ็บ แล้วก็ยังรักเขา ไม่ต่างอะไรกับคนที่กำลังวิ่งหาเงิน แต่ท่านกำลังหาความรัก
ท่านเคยได้ยินไหมว่า เมื่อไรที่พยายามให้คนอื่นมารักเรา นั่นแปลว่าตอนนั้นท่านกำลังขาดแคลนความรัก ไม่มีใจที่จะรักใคร แม้แต่ตัวเองก็ไม่ได้รัก ถูกไหม (ถูก) แต่ถ้าเมื่อไรที่เราไม่ต้องการความรักจากใคร แต่พยายามที่จะให้ความรักกับคนอื่นทุกๆ วัน ไม่แบ่งแยก คนนี้ก็ให้ คนนั้นก็ให้ เราจะมีรักที่ไม่จำกัด แล้วความรักเราจะเป็นความรักที่สบายใจ ไม่ยึดติด ไม่ยึดมั่น อย่างนั้นแล้วเรารักชีวิตหรือยัง
ฉะนั้นเราจึงอยากบอกว่า มนุษย์ผู้ใดที่รู้จักพอ ก็จะไม่พบความอัปยศในชีวิต มนุษย์ผู้ใดรู้จักหยุด ก็จะไม่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างอันตราย แต่มนุษย์เรากลับเป็นผู้ที่วิ่งไม่เคยหยุด หารักไม่เคยพอ ถ้ารู้จักให้ ท่านก็จะได้ความรักไม่มีวันหมด ถ้าเอาแต่ขอท่านจะไม่มีวันได้ในสิ่งที่ท่านแสวงหาเลย ถูกไหม (ถูก)
เคยเห็นคนมีเงินไหม มีเงินมากๆ แล้วดีไหม มีเงินในกระเป๋าแต่ใจกลับไม่มีสุข เพราะมีแล้วเหมือนไม่มี ใช่ไหม (ใช่) แล้วอะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่าไม่มีเงิน ทั้งที่มีเงินอยู่เต็มกระเป๋า อะไรคือสิ่งที่ขาดไป เมื่อก่อนบอกมีเงินสิบบาท ดีใจไหม (ดีใจ) ตอนนี้มีสิบบาท ดีใจไหม (ไม่ดีใจ) เมื่อก่อนเด็กๆ บาทเดียวก็ดีใจจะแย่แล้ว แต่เดี๋ยวนี้บาทเดียวไม่พอ ต้องให้สิบบาท เพราะอะไร เพราะขาดความรู้สึกที่ตัวเองว่า “มี” มีแต่รู้สึกอยู่อย่างเดียวว่า “ไม่พอๆ” เมื่อมีคนรักแล้วพอไหม (ไม่พอ) ต้องรักมากกว่านี้ ต้องดีกว่านี้ ใช่หรือไม่ (ใช่) พ่อแม่รักพอไหม (ไม่พอ) มนุษย์จึงขาดความรู้สึก “มี” มีทุกๆ อย่างแต่ถ้าในใจไม่รู้สึกว่ามีอย่างไรเสียก็เหมือน (ไม่มี)
ฉะนั้นภัยภายนอกจึงไม่น่ากลัวเท่ากับ (ในใจ) ถ้าหัวใจเข้มแข็งปัญหามาแปดด้านสิบด้าน ท่านก็รับมือได้อย่างสนุกสนาน แต่ถ้าหัวใจอ่อนแอ ปัญหาแม้เพียงเล็กน้อยเหมือนมดกัด ก็รู้สึกเหมือนจะตายมิตายแหล่ ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ตัวเราสร้างศัตรูขึ้นมาเอง เป็นผู้ที่ก่อปัญหาให้กับชีวิตเราเอง
เคยได้ยินไหมว่า ความอยากที่ไม่มีวันสิ้นสุด ความอยากที่จบลงด้วยการสมอยาก มักจะนำภัยมาสู่มนุษย์ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะวันนี้อยากได้หนึ่งอย่าง วันต่อไปมนุษย์ก็อยากได้ต่อไปอีกไม่จบไม่สิ้น แล้วจะมีวันที่สมใจไหม (ไม่มี) เพราะแม้จะสมใจวันนี้ แต่พออีกวันก็ยังอยากได้ต่อไปอีก
เหมือนเรารู้วิธีแต่งตัวภายนอกให้สวย แต่เราไม่รู้วิธีแต่งใจเราให้สวย ตะกร้านี้ท่านยังรู้จักเอาดอกไม้มาแต่งให้ดูสดชื่น ถามว่าใจห่อเหี่ยวหมดแรงทำอย่างไรให้สดชื่น เหมือนการที่ท่านนั่งอยู่ตรงนี้แล้วคิดว่าเบื่อ เหนื่อย เมื่อไรจะจบสักที ถ้าคิดแบบนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่ง (เหนื่อย) แต่ถ้าคิดเสียว่าข้างหน้าเป็นทะเล มีเสียงเราเป็น (คลื่น) มีคนเดินไปเป็นลมพัดพา นั่งแล้วรู้สึกสบายใจบ้างไหม จะสบายก็ต่อเมื่อคิดคล้อยตามเรานะ
อารมณ์ตกแล้วดึงไม่ขึ้นหรืออย่าปล่อยให้ใจ (เหี่ยว) ใจเหี่ยว มองแล้วไม่สดชื่นเลย หน้าตึงแต่ใจเหี่ยวก็ไม่มีประโยชน์ หน้าตึงแต่ใจยิ้มแย้มไม่เป็น ใจคิดดีไม่ได้ มองอย่างไรก็ไม่สดชื่น ไปดึงหน้าก็เสียเงินเปล่าใช่ไหม (ใช่) แม้หน้ามีรอยเหี่ยวๆ แต่ถ้ารู้จักยิ้มบ่อยๆ ใครๆ ก็ (ชอบ) ดีกว่าหน้าตึงๆ แล้วไม่เคยยิ้มเลย ใครๆ ก็ไม่อยากมองถูกหรือไม่ (ถูก) เมื่อไม่อยากมองแล้วจะเดินเฉียดใกล้ไหม (ไม่) ตอนนี้ท่านก็เหมือนกัน หน้าตึงแต่ใจ (เหี่ยว) ยิ่งกว่าดอกไม้เราอีกใช่หรือไม่ (ใช่) ดอกไม้เหี่ยวๆ ดอกไม้เฉาๆ มนุษย์ยังคิดเด็ดทิ้ง แล้วตอนนี้ใจเหี่ยวใจเฉาทำอย่างไรดี (ปรับใจให้สดชื่น) ปรับใจให้มีความสดชื่นด้วยการคิดดีเข้าไว้ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นต้องรู้จักทำใจให้สดชื่น ดังคำกล่าวที่ว่า คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ (ยาก) ใช่หรือไม่ (ใช่)
ที่นี่คับแคบไหม (ไม่แคบ) แต่ใจของท่านรู้สึกแคบเหลือเกิน ใจของท่านไม่กว้างเหมือนสถานที่เลย รู้สึกคิดอย่างแคบๆ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นมีแต่ใจที่รู้จักคิดกว้าง และเปิดกว้าง และเป็นอิสระเท่านั้น จึงจะสามารถรับฟังทุกเรื่องราวได้
อย่างนั้นเราจะดำเนินชีวิตอย่างไรล่ะ ถึงจะเรียกว่ารักตัวเอง ต้องเป็นคนที่
- ไม่เรียกร้อง
- ไม่ระแวง
- รู้จักสุขุม ไม่ประมาท
ถ้าทำสามอย่างนี้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็สามารถเข้าใจ ยินดี และเป็นสุข จิตใจที่ไม่เรียกร้อง ไม่ระแวง ไม่ประมาท และรู้จักสุขุม จะสามารถสร้างสรรค์ เสียสละ และเบิกบานได้ ทำได้ไหม (ได้) ก็ไม่ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่มนุษย์พอเกิดมาก็เรียกคนโน้น เรียกคนนี้ คนนั้นต้องเป็นอย่างนั้น คนนั้นต้องเป็นอย่างนี้ พออยู่ด้วยกันก็อยู่ด้วย (ความหวาดระแวง) อย่างนี้ไม่ดี เพราะเริ่มต้นชีวิตก็แคบ ไม่ยอมเปิดกว้าง เมื่อมองแคบๆ จะเห็นอะไรได้ไม่ชัด ใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อไม่เปิดกว้างจะสามารถรับฟังทุกเรื่องทุกราวได้อย่างอิสระไหม (ไม่) ก็ไม่อิสระ
ฉะนั้นชีวิตที่แท้จริงคือชีวิตที่กล้ารับผิดชอบ และรู้จักรักในการดำเนินชีวิต คนที่รักในการดำเนินชีวิตนั้นจะไม่หวังผลตอบแทน เพราะมีสุขที่ได้ดำเนินชีวิตด้วยความรักทุกๆ ขณะ คนที่กล้ารับผิดชอบในการดำเนินชีวิต ทุกอย่างที่ทำไปนั้นทำด้วยใจรัก ทำด้วยใจที่เสียสละ ทำด้วยใจที่ไม่เรียกร้อง ไม่ว่าจะดีจะร้าย ก็สามารถรักษาความเป็นปกติสุขในหัวใจได้ หากทำได้เช่นนี้ เรียกว่า “รักชีวิตจริง” เมื่อรักชีวิตจริง รักผู้อื่นจะยากอะไร แต่ตอนนี้เรารักชีวิตไหม (ไม่) อยู่กับเขา ก็ไม่มีความสุข พูดดีๆ ไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่) อยู่กับใครก็เรียกร้องว่า เขาต้องดีกว่านี้ เขาต้องเป็นอย่างนั้น เขาต้องเป็นอย่างนี้ ไม่รักสิ่งที่ตัวเองเป็น กลับเรียกร้องว่าต้องดีกว่าเดิม ถูกหรือไม่ (ถูก) เมื่อไม่รักในสิ่งที่ตัวเองมี แล้วจะไปรักใครได้ไหม (ไม่ได้)
ฉะนั้นผู้ที่รักชีวิตแท้จริงคือยอมรับทุกๆ สภาพอย่างไม่เรียกร้อง และไม่กังขา และไม่ระแวงสงสัย ทำดีไปถึงที่สุดแม้เขาจะไม่ดีกับเรา สักวันเขาก็ต้องเห็นใจเรา ถูกไหม (ถูก) แต่ถ้าอยู่ด้วยกันอย่างหวาดระแวง แล้วเอาแต่เรียกร้อง เธอต้องดีกว่านี้สิ ฉันถึงจะดีกับเธอ คุณต้องดีกว่านี้สิ ฉันถึงจะดีกับคุณ ต่างคนต่างเรียกร้องกันไปเรียกร้องกันมา จะมีอะไรดีขึ้นไหม (ไม่ดี) แล้วใครรักใครจริงบ้างไหม “คุณก็ไม่รักตัวเอง แล้วทำไมผมต้องรักคุณ คุณก็ไม่ดีแล้วทำไมผมต้องดี” เกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมา จนสุดท้ายไม่มีใครดีสักที ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้น รักตัวเองให้เป็น แล้วเราจะรักผู้อื่นได้ไม่ยากเลย แล้วการรักคนอื่นให้เป็น คือคิดว่าทุกอย่างที่ทำไปคือการให้ แต่ถ้าเมื่อไรคิดว่าทุกอย่างทำไปคือการเสีย เมื่อนั้นสิ่งที่เสียจะได้ไม่คุ้มเลย แต่ทุกอย่างที่ทำไปคิดว่าให้ ก็จะได้รับอย่างไม่มีวันหมด เมื่อไรที่คิดว่าสิ่งที่ให้นั่นคือการเสีย เมื่อนั้นจะเสียไม่มีวันได้ เหมือนวันนี้เสียใจไม่น่ามาเลย ยิ่งคิดยิ่งเสีย เสียแล้วมีอะไรชดเชยได้ไหม (ไม่ได้) แต่ยิ่งถ้าคิดว่าลองให้เวลา ก็คือให้เวลาเรา ให้โอกาสเขาก็คือให้ (โอกาสเรา) ให้อภัยเขาก็คือ (ให้อภัยเรา) ฉะนั้นจำไว้ว่าร่างกายกับจิตใจเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ยิ่งคิดให้กลับยิ่งได้ แต่เมื่อไรที่คิดว่าเสียจะไม่มีวันได้อะไรในชีวิต แต่ทุกท่านจะคิดได้หรือเปล่า อย่างนั้นวันนี้มาคิดให้หรือคิดเสียดี เพื่อให้อะไร (ให้เวลารับฟัง, เสียกายแต่ไม่เสียใจ)
วันนี้ใครคิดว่าตัวเองได้ให้หรือได้เสียอะไร (เสียสละเวลาของตัวเอง) แล้วจะให้อะไรต่อไป ได้เสียสละอีกต่อๆ ไป ใช่ไหม (ใช่) คำพูดเรามีความหมายนะ แต่ไม่รู้ท่านจะเข้าใจหรือเปล่า เหมือนท่านนั่งที่นี้ยอมเสียสละเวลาตัวเอง แต่ต่อไปจะรู้ว่าจะเสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่นบ้างไหม นั่นคือจุดประสงค์ที่สามวันนี้ที่ท่านจะต้องเอาไปทำ เสียสละตัวเองได้ก็สามารถที่จะเสียสละเพื่อผู้อื่นได้
ถ้ามนุษย์ในโลกนี้ไม่มีใครยอมเสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่นเลย โลกนี้คงหาความสันติสุขไม่ได้ ฉะนั้นเราจึงหวังว่าท่านจะเป็นหน่อเล็กๆ ที่จะไปสืบทอดส่งต่อให้กับผู้อื่น ขยายจิตใจอันดีงามนี้ให้ไปตกที่ใดก็มีคนอยากจะแบ่งปันและเบ่งบานความตั้งใจอันนี้ให้ยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น อย่าลืมนะว่ารูปงามภายนอกไม่งามเท่ากับจิตใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นไม่ว่าสิ่งที่เรากำลังจะกระทำดีขนาดไหน แม้ว่าคนที่เรายื่นให้นั้นไม่ดีหรือดีอย่างไร ก็ขอให้มองอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมเพราะคนในโลกก็เหมือนคนที่กำลังสวมรองเท้าที่ยื่นให้ ธรรมะก็เหมือนรองเท้าที่ให้เขาเอาไปใช้เดินในชีวิตเพื่อให้เขาเดินได้อย่างเป็นสุขไม่เจ็บปวด แล้วก็เป็นธรรมดาที่รองเท้าที่เรายื่นให้จะมีคนรับและปฏิเสธ มีทั้งคนที่เลือกเอาและไม่เอา ขออย่าได้ท้อถอยจงเอาปัญหาและอุปสรรคนั้นมาเป็นแนวทาง หนทางต่อไปที่เราจะพัฒนาให้ตัวเองดียิ่งๆ ขึ้น ได้หรือไม่ (ได้) เป็นธรรมดาที่เรามีทั้งคนรักและคนเกลียด ใช่หรือไม่ (ใช่) กับคนที่เกลียด เจอคนด่า เจอคนบ่น เราทำอย่างไรดี (ทำความดีเข้าหา, ยิ้มให้) ดีไหม (ดี) ถูกเขาเกลียด ถูกเขาว่า ยิ้มเข้าไว้ ได้ไหม (ได้) นี่แค่ยิ้มได้เมื่อภัยมา แต่ถ้าถูกคนเกลียด เราไม่ต้องยิ้มก็ได้ ไม่ต้องขอบคุณก็ได้ แต่ในใจตอนที่ถูกคนเกลียด รู้สึกให้อภัย ไม่ถือโกรธได้ไหม สามารถมองคนที่เกลียดกับคนที่รักได้ไม่ต่างกัน ทำได้ไหม เพราะเมื่อไรที่มองต่าง เมื่อนั้นเราจะปฏิบัติต่อเขาได้ไม่ปกติ เมื่อไรที่เรารู้สึกไม่ให้อภัย เมื่อนั้นในใจเราจะรู้สึกไม่ชอบ และค่อยๆ กลายเป็นชิงชังและเกลียดตามมา ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นบางสิ่งบางอย่างที่เราเรียกว่ารัก เรียกว่าเกลียด เป็นเพราะว่าเราชอบในแบบที่เราชอบมากเกินไปหรือเปล่า จึงเกิดสิ่งที่น่ารังเกียจ ถูกไหม (ถูก) เพราะเรารู้สึกชอบในสิ่งที่ชอบจึงเกิดสิ่งที่ตรงกันข้าม แล้วเราเรียกว่าน่ารังเกียจ
ฉะนั้นถ้าเราไม่ได้ชอบอะไรมากเกินไป จะมีอะไรให้น่ารังเกียจอีกไหม (ไม่มี) เมื่อมีสิ่งที่ชอบมากๆ ก็กลายเป็นมีสิ่งที่ชังมากๆ ฉะนั้นเมื่อเราอยู่ในโลก ไม่มีอะไรที่เราตอบรับ และไม่มีอะไรที่เราปฏิเสธ แล้วอะไรในโลกที่เรียกว่าสุข-ทุกข์กันเล่า แต่พอมีสิ่งที่เราเรียกว่ารัก ก็เลยมีสิ่งที่เราเรียกว่าชัง มีสิ่งที่เราคิดว่าเราจะตอบรับ ก็เลยมีสิ่งที่เราต้องตอบปฏิเสธ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นถ้าในใจของเราสามารถมองทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นปกติ ก็ไม่มีอะไรในโลกจะเรียกว่าทุกข์-สุข หรือคนน่ารัก-คนที่น่ารังเกียจ ไม่ใช่หรือ (ใช่) ฉะนั้นสืบให้ถึงที่สุด ก็จะพบว่าหัวใจของเรานั่นเองที่สร้างปัญหาให้ตัวเราเอง ใจที่ชอบเปรียบเทียบ ใจที่ชอบยึดมั่น ถือเขาถือเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้น ถึงที่สุดแล้วถ้าใจนี้สามารถมองทุกสิ่งได้อย่างเป็นกลาง ก็จะไม่มีอะไรที่น่ารังเกียจและไม่มีอะไรที่น่ารัก เหมือนวันนี้จะไม่มีอะไรที่น่าเบื่อ ถ้าเราไม่ชอบนั่งดูทีวีมากๆ เพราะถ้าชอบดูทีวีมากๆ เมื่อไม่ได้นั่งดูทีวี วันนั้นก็สร้างเหตุแห่งทุกข์ให้กับตัวเอง เมื่อใดที่สุดของความอยาก จุดสุดท้ายคือความสมปรารถนาเพื่อตัวเอง นั่นคือหนทางแห่งทุกข์ ใช่ไหม (ใช่)
เราพูดตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ฟังได้ใจความอะไรบ้าง ย่อมมีทั้งได้และไม่ได้เป็นธรรมดา เราจะบีบคอให้ท่านต้องได้ทุกคนได้ไหม (ไม่ได้) คุณต้องเป็นให้ได้ จะเป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) ฉะนั้นอย่าลืมหันกลับไปมองตัวเองมากๆ แล้วเราจะได้รู้ว่า อะไรในหัวใจที่เราควรจะเอาออกและควรจะรักษา ใช่ไหม (ใช่)
(นักเรียนกล่าวขอบคุณท่านหลันต้าเซียนเมตตา)
ไม่ต้องขอบคุณหรอก ถ้าสิ่งที่ได้ฟังไม่เคยนำไปคิดไตร่ตรองปฏิบัติ สิ่งที่ได้ฟังก็เปล่าประโยชน์ใช่ไหม (ใช่) แม้แต่พระพุทธองค์ถึงท่านจะสั่งสอนเวไนยสัตว์อย่างไร แต่คนที่รับฟังไม่รู้จักนำเอาสิ่งที่สั่งสอนไปไตร่ตรองพินิจพิจารณาเขาก็ไม่มีวันรู้แจ้งได้ ฉะนั้นแม้วันนี้เราจะพูดมากขนาดไหนแต่ถ้าท่านไม่เคยเอาไปคิดไตร่ตรองและลงมือกระทำจริงก็เปล่าประโยชน์ ถูกหรือไม่ (ถูก)
วันนี้เราก็มาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงแค่นี้ได้หรือเปล่า
เรื่องสุดท้ายขอให้จำไว้นะ ภายนอกยิ่งให้มากเท่าไรจะยิ่งได้รับ หัวใจที่รู้จักให้อภัยมากเท่าไร หัวใจนั้นจะยิ่งเปิดกว้าง แต่ถ้าหัวใจและภายนอกเอาแต่คิดว่าทำไมฉันต้องเสีย ทำไมฉันต้องสละ เมื่อนั้นท่านจะไม่ได้อะไร ยิ่งเสียจะยิ่งเจ็บ ยิ่งเสียก็ยิ่งผิดหวัง ฉะนั้นมีโอกาสให้ได้ก็จงให้ มีสติ ใช้ปัญญาอยู่กับปัจจุบัน
มีอีกเรื่องหนึ่งที่เรานึกได้ แต่เราไม่พูดดีกว่านะ ถึงเวลาให้ฟังไม่ฟังทีตอนนี้จะกลับแล้วอยากฟังสายไปหรือเปล่า (ไม่สาย) ใครที่ชอบดูดวงยกมือขึ้น แล้วดวงจะแม่นเวลาที่เคราะห์ร้ายใช่ไหม (ใช่) แต่ดูดวงแล้วบอกว่าจะเคราะห์ดี ได้สมบ้างไหม (ไม่ได้) ไม่เคยสม
ฉะนั้นจำไว้ว่าเมื่อไรที่ไปดูดวงและเชื่อในดวง เมื่อนั้นเคราะห์ร้ายจะเป็นเคราะห์ร้ายจริงๆ แต่เคราะห์ดีจะไม่มีวันเป็นเคราะห์ดี เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่ท่าน ฉะนั้นมีแต่หัวใจของผู้อ่อนแอและหวั่นไหวง่ายจึงมักเชื่อกับคำทำนายอันลวงหลอกใช่หรือไม่ (ใช่)
ชีวิตอยู่กับปัจจุบันแค่นั้น อนาคตจะเป็นอย่างไร ถ้าเขาบอกว่าดี แต่ชีวิตนี้เอาแต่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยจะดีไหม (ไม่ดี) ถ้าหมอดู บอกว่าเราจะโชคร้ายแล้วบังเอิญเราไปจับมีด แล้วถูกมีดบาด “โชคร้ายจริงๆ” ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่างนั้นไม่ต้องดู เราก็เดาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) โชคดี โชคร้ายอยู่ที่เราเป็นผู้กำหนด ทำวันนี้ให้ดีที่สุด อนาคตก็ย่อมเป็นสุข ถ้าวันนี้ไม่มีความสงบใจ ไม่มีความสุขใจ อนาคตจะไม่มีสุขใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้เราคงมีโอกาสมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านแค่นี้ คนบางคนมีบุญมีโอกาส แต่ไม่รักษาบุญไม่รักษาโอกาส กลับทำลายบุญทำลายโอกาสด้วยการปล่อยจิตปล่อยใจ น่าเสียดาย ชีวิตนี้มีแค่ชีวิตเดียว อย่าประมาท คิดให้ดีๆ จะทำอะไร เพราะเสียไปแล้วเรียกกลับคืนมาไม่ได้ คนเรากว่าจะได้ชื่อว่าเป็นคนดีทำแทบตาย แต่พอเผลอหน่อยเดียว เขาก็มองชั่วไปแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นขอให้รักษาความดีและทำปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุด สิ่งที่เราพูดก็เหมือนกับเรากำลังชี้ไปสู่ฟ้า แต่ท่านจะมัวสนใจนิ้วที่ชี้ หรือพยายามที่จะเดินไปให้ถึงฟ้า อย่ามัวสนใจว่านิ้วที่ชี้นั้นจริงหรือเท็จ ควรจะสนใจวิถีทางที่จะขึ้นเบื้องฟ้าจริงหรือเท็จมากกว่ามาสนใจสิ่งที่เราพูด ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะถึงเวลาร่างกายนี้ก็เชื่อไม่ได้ สิ่งที่เชื่อได้คือความเป็นจริง ที่เรากำลังเป็นกระจกสะท้อนให้ท่านเห็นตัวตนที่แท้จริงภายใน ว่าทุกๆ คนมีความเป็นพุทธะอยู่ในตัวตน แต่เพราะกิเลส นิสัย ความเคยชิน และการปล่อยเนื้อปล่อยตัวจึงทำให้เรามองไม่เห็นค่าความดีในตัวเราใช่ไหม (ใช่) วันนี้ก็คงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านแค่นี้ มีโอกาสคงมาผูกสัมพันธ์กันอีกนะ
วันอาทิตย์ที่ ๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ธรรมยุคสามโปรดไปทั้งสามโลก โปรดทั้งโลกยกเว้นแต่คนชั่ว
ศิษย์รักเอยจึงต้องพิจารณาตัว อย่าได้มืดมัวมามืดมัวไป
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่แดนโลกแฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนง่วงนอนหรือเปล่า
สุขุมคือรู้ลดอารมณ์ชุมชุก ก่อนรู้สุขละสุขจึงเห็น
ให้สละเพราะวิธีนี้ช่วยบำเพ็ญ แบ่งเวลามีพอเป็นน่านิยม
เพลง ละทิฐิอภัยคน
อภัยกันได้ไหม ใครพลาดผิดเราทนได้ไหม จุดเดียวในหัวใจเผาผลาญความดีที่มี ผิดที่กล้ายอมรับ ย่อมยืนขึ้นมาได้ดี ด้วยความคิดดี ช่วยตนหมดสิ้นเคราะห์ภัย
โกรธเกลียดกันตรงไหน ลองค่อยปรับใจดูได้ไหม ให้อภัยแม้ใครหวังร้าย เรายิ่งกว่านี้ เปิดใจมองให้เห็น ใช่มองตรงความไม่ดี ใช้ความดีต่อลมหายใจ
เพราะคนดีที่เห็นนั้น พร้อมไม่ดีได้ทั้งนั้น ขอเพียงศิษย์เท่าทัน และไม่เป็นเสียเอง ขืนมองใครจะทุกข์ร้อน คนไม่รู้ตัวเองน่าหนักใจ จะรับจะรู้เรื่องใหญ่ แอบมิชอบอะไรเป็นซะเอง
ทำนองเพลง : สิ้นสุดสักที
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
นั่งฟังธรรมะก็เพลินๆ เหมือนหลับใน ใช่หรือไม่ (ใช่) ส่วนดูทีวีมักจะเพลินจนไม่หลับเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่) คนส่วนใหญ่ชอบดูทีวี ชอบฟังเพลง แต่ไม่ชอบที่จะฟังธรรมะ เพราะธรรมะนั้นราบเรียบ ไม่มีอะไรกระตุ้นมากนัก ส่วนทีวีนั้นภาพก็เคลื่อนไหวกระตุ้นอารมณ์ให้เคลื่อนไหวรุนแรง ใช่หรือไม่ (ใช่) ยิ่งดูก็ยิ่งตื่นเต้น ใช่หรือเปล่า (ใช่) เคยไหมดูละครแล้วย้อนดูตน (เคย) คิดว่าตัวเองเป็นนางเอก หรือคิดว่าเป็นพระเอกท่าเดียว เห็นเศรษฐีในทีวี เราก็คิดอยากจะเป็นเศรษฐีเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) เห็นคนล้มละลาย เห็นคนตายในทีวี แล้วทำไมเราไม่คิดว่าเราเป็นอย่างนั้นบ้าง คนเราดูทีวีก็เพราะว่าอยากที่จะได้ความสุขจากทีวี ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ทีวีนั้นจะกระตุ้นอารมณ์ให้เคลื่อนไหวรุนแรง ยิ่งดูแล้วยิ่งฟุ้งซ่าน ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ส่วนธรรมะเป็นอย่างไร ธรรมะก็เรียบง่ายเหมือนอาหารที่มีรสจืดไม่เผ็ด ไม่เปรี้ยว ไม่เค็ม ไม่หวาน กินนานแล้วเบื่อไหม (ไม่เบื่อ) กินอาหารรสจืดนานก็เบื่อ แต่ถามว่ากินเปรี้ยว กินเผ็ด กินเค็มมากๆ แล้วป่วยหรือเปล่า (ป่วย) ส่วนกินอาหารรสจืด ป่วยหรือไม่ป่วย (ไม่ป่วย) ตอนนี้ฟังธรรมะ ถ้าเทียบกับการดูทีวีแล้ว ฟังธรรมะก็ดูจืดชืด ทำให้เรานั่งสัปหงก ส่วนการกินอาหารก็เหมือนกัน การฟังธรรมะเหมือนการกินอาหารรสจืด ซึ่งน่าเบื่อ ไม่เหมือนการใส่พริกลงไป ใส่เปรี้ยว ใส่หวาน ใส่เค็มลงไป ไม่มีอะไรกระตุ้นเรา นอกจากเราจะต้องกระตุ้นตัวเองเท่านั้น เราถึงจะสามารถตื่นได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ในโลกนี้มีหนังสือดีๆ มากมาย มีคำพูดของคนทั้งที่เรารู้จักและไม่รู้จักมากมายคอยเตือนสติให้เราตื่น แต่เวลาเราอ่านหรือฟังแล้วรู้สึกคล้อยตามไหม (คล้อยตาม) เวลาที่คนพูดแรงไป แทนที่จะตื่นกลายเป็นแตกตื่น เวลาที่คนพูดเรียบเกินไปหรือเขาเตือนสติดีๆ ก็ไม่ค่อยได้ผล ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราจะต้องตื่นด้วยตัวของเราเอง ทุกคนมีตา มีหู มีปากไว้พูดกับคนอื่น แต่เวลาพูดกับคนอื่นทำไมเขาไม่ชอบเรา เพราะเราพูดไม่ถูกหู พูดไม่ดี สุดท้ายคือพูดไม่เป็น บางทีเราหวังดีเต็มอกแต่เวลาพูดออกไปแล้วคนฟังรู้สึกว่าไม่เข้าหู ใช่หรือเปล่า (ใช่) ฉะนั้นเราจึงต้องพิจารณาตัวเอง สิ่งใดที่นำออกจากข้างในต้องดี ส่วนใหญ่ความปรารถนาดีอยู่ข้างในแต่เวลาพูดออกไปมักใช้อารมณ์ไปด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเราต้องเปลี่ยนใหม่ อารมณ์เป็นส่วนเกินของชีวิตไหม (เป็น) แต่ก็มีบางครั้งที่คนเขาว่าเราไร้อารมณ์เหลือเกิน แสดงว่าอารมณ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่อารมณ์ก็เป็นส่วนเกินของชีวิต เพราะทุกวันนี้เราใช้อารมณ์มากเกินไปเช่นกัน ถ้าเราใช้อารมณ์เราก็เป็นส่วนเกินของผู้อื่น เพราะไม่มีใครอยากที่จะฟังคำพูดที่ใส่อารมณ์ของเรา การที่เรามีอารมณ์อยู่ข้างในก็เพราะว่าเรามีความรัก ความปรารถนาดีอยู่ข้างใน เวลาพูดออกมาจึงใช้อารมณ์ เพราะฉะนั้นรักอยู่ข้างใน ความปรารถนาดีอยู่ข้างใน เวลาพูดต้องพูดด้วยคำพูดที่ไม่ใส่อารมณ์ เป็นคำพูดที่ราบเรียบให้สติ ใช่หรือไม่ (ใช่) สติคืออะไร
“ธรรมยุคสามโปรดไปทั้งสามโลก โปรดทั้งโลกยกเว้นแต่…”
(พระอาจารย์เมตตาให้กลอนนำ พร้อมกับหันมาถามนักเรียนในชั้น)
ยกเว้นแต่อะไรรู้หรือไม่ โปรดหมดทั้งเทพเทวาและภูติผี ยกเว้นแต่อะไร (คนที่มีกิเลส) ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ต้องโปรดใคร เพราะทุกคนก็ล้วนแต่มีกิเลสตัณหาครอบงำอยู่
“โปรดทั้งโลกยกเว้นแต่คนชั่ว”
ผีกับคนใครน่ากลัวกว่ากัน (คน) แล้วเราเป็นอะไร (คน) แล้วเราน่ากลัวหรือเปล่า (น่ากลัว) อย่างนี้อาจารย์ก็เข้าไปในดงคนน่ากลัว ใช่หรือไม่
“ศิษย์รักเอยจึงต้องพิจารณาตัว อย่าได้มืดมัวมามืดมัวไป”
บางคนยังมีความหวังที่ยังไม่ได้สัมฤทธิ์ผล เป็นทุกข์ซ่อนเร้นอยู่ในใจอย่างนี้เรียกว่ามืดมัวหรือไม่ (มืดมัว) รู้สึกว่าชีวิตเริ่มมืดหรือยัง มีบางคนที่เราอยากให้เขาดีขึ้น มีบางคนเราอยากให้เขาออกไปจากชีวิตเรา มีบางคนที่เราอยากให้เขาเข้ามาในชีวิตเรา แต่ก็ยังไม่ได้เข้ามาสักที อย่างนี้มืดมัวหรือไม่ (มืดมัว) บางคนมองเฉพาะชาติปัจจุบันของตัวเอง ก็รู้สึกว่าแย่แล้ว แต่หารู้ไม่ว่าชาติก่อน ก็แย่แบบนี้เหมือนกัน แต่ยังดีที่ชาตินี้กลับมาเกิดใหม่ก็ยังได้เป็นคน เพราะฉะนั้นท่ามกลางความมืดนี้ก็ยังมีความสว่างอยู่หรือไม่ (สว่าง) สว่างอยู่ที่ไหน (ใจ) แล้วใจศิษย์สว่างหรือไม่ ใจเราก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสว่างเท่าไร ใจเราก็ยังไม่สว่างแปลว่าอะไร แปลว่าเรานี้ยังไม่รู้ตัวเองเลยใช่หรือไม่ (ใช่) คำตอบมันก็ตีไปตีมาเหมือนฟันบนกระทบฟันล่างอยู่เรื่อย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นเมื่อเรายังไม่รู้ตัว ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ จะสำเร็จได้ไหม (ไม่ได้) ถ้าบอกว่า “เราไม่รู้ตัว” แล้วหยิกเจ็บหรือเปล่า (เจ็บ) หยิกตัวก็เจ็บแต่ทำไมถึงบอก “เราไม่รู้ตัว” เพราะรู้จักแต่ตัวนอก รู้ว่าตัวนอกหิวแล้ว ตัวนอกเบื่อแล้ว ตัวนอกอยากจะเดินแล้ว ตัวนอกเมื่อยแล้ว แต่เรา “ไม่รู้ตัวในเลย” ใช่หรือไม่ (ใช่) บ้านของเราสกปรกหยากไย่ขึ้น ฝุ่นเกาะพื้นเราก็ปัดกวาดเช็ดถู ถามว่าใจของเรา เราเคยปัดกวาดเช็ดถูไหม ส่วนใหญ่ถ้าเกิดทะเลาะกับคนอื่นใครผิด (คนอื่นผิด) คนอื่นผิดเราจะมาปัดใจเราไหม (ไม่) เราจะมาเตือนตัวเองไหม (ไม่) คนอื่นเตือนเรา เราฟังไหม (ไม่) นี่คือการไม่ได้ทำความสะอาดใจของตัวเราเลย
ฉะนั้นเวลาเราทะเลาะกับคนอื่นใครผิด (เราผิด) ถ้าเราคิดว่าเราผิดวันไหน เราผิดครั้งไหน เราผิดเมื่อใด เราจะย้อนกลับมามองตัวเองทันที เวลาศิษย์ของอาจารย์รำลึกได้ รู้สึกได้ว่าตัวเองผิดเมื่อไร อารมณ์แรกที่เข้ามาในใจของศิษย์ทันทีคืออารมณ์เศร้า ถูกไหม (ถูก) ทุกคนเคยเศร้าหมดเลย มีทั้งตัวเองทำให้ตัวเองเศร้า คนอื่นทำให้เศร้า เราทำให้คนอื่นเศร้า มีหมดทุกประการเลยใช่หรือไม่ (ใช่) แต่หลังจากเราเศร้าเสร็จแล้วเราทำอย่างไร ส่วนใหญ่ก็หาทางระบาย ไปหาความบันเทิงเริงใจ ไปหาทางผ่อนคลาย ไปพักผ่อน ไปดูทีวี แต่จริงๆ แล้วเป็นทางที่ถูกไหม (ไม่ถูก) หลังจากความเศร้าหายไปเราควรจะพิจารณาว่าเราผิดอะไร เราถูกอะไร ใช่หรือไม่ (ใช่) เอากระดาษขึ้นมาใบหนึ่งเขียนดูว่าเราผิดอะไร เราถูกอะไร ถ้าเราเขียนได้แต่สิ่งที่เราถูก ไม่มีความผิดเลย แสดงว่าเราเข้าข้างตัวเอง ถ้าเราเขียนแต่ผิด แล้วเราถูกข้อเดียว สองข้อ สามข้อ แสดงว่าเรา(แย่มาก) เราไม่ได้เขียนข้อเสียของเราออกมาเพื่อว่าตัวเองว่าแย่ แต่เราเขียนออกมาเพื่อแก้ผิดให้เป็นถูก การแก้ไขใช้เวลาหรือเปล่า ฉะนั้นเวลาเศร้าเสียใจอย่ามัวแต่ไปพักผ่อนนอนหลับดูทีวีให้มากไป เพราะยิ่งเสียเวลาไปพักผ่อนเท่าไร ศิษย์ยิ่งต้องจ่ายค่าพักผ่อนมากเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ลองสังเกตดูว่าวันนี้ศิษย์ใช้เวลาพักผ่อนมากหรือเปล่า เช่น การดูทีวี การนอนหลับ การกินข้าวก็ได้พักผ่อนหน่อยหนึ่ง การที่เราหาอะไรสบายมาใส่ตัวเราก็พักผ่อน หาความสบายใจก็พักผ่อน เราอยากพักผ่อนตลอดเวลา ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันหนึ่งยี่สิบสี่ชั่วโมงเราหาความลำบากใส่ตัวกี่นาที ถามว่าทุกวันนี้เราหาความลำบากมากให้ตัวไหม ไม่มีเลยเราพยายามที่จะหลีกเลี่ยง แต่เราก็ยังต้องลำบากไปตามชะตากรรมของเราเอง อยากสบายมากก็เลยกลายเป็นลำบากมาก เพราะฉะนั้นวันนี้เราสบายมากเกินไป ชีวิตของเราโดยส่วนใหญ่ก็ยังต้องลำบากมากเกินไป ความลำบากกับความสบายอะไรดีกว่ากัน สบายถึงที่สุดแล้วเป็นลำบาก ลำบากถึงที่สุดแล้ว (สบาย) ฉะนั้นคนที่เรียนหนังสือต้องลำบากในการดูหนังสือมาก แต่ยิ่งดูหนังสือมากเวลาสอบก็ย่อมสบาย แต่ถ้าไม่ดูหนังสือให้มากพอเวลาสอบก็ตก ลำบากไหม (ลำบาก)
ฉะนั้นในชีวิตของเราก็เหมือนกันสมมติเรากินก๋วยเตี๋ยวชามหนึ่ง เราตามใจตัวเองก็ปรุงเครื่องอย่างที่เราเคยกิน เช่นบางคนกินหวานมากเกินไป กินเผ็ดมากเกินไป กินเค็มมากเกินไป ก็ปรุงตามใจตัวเอง สามวันห้าวันผ่านไปยังไม่มีผล แต่เมื่อสิบปีผ่านไปมีผลไหม (มี) โรคถามหา เราจึงต้องหัดฝืนใจตัวเองในการกินรสชาติที่พอดีเพื่อเราจะได้ไม่เป็นโรคทีหลัง ถูกหรือไม่ (ถูก)
วันนี้ทำงานลำบากไหม ทำงานเพื่อหาเงินไว้ใช้หาหมอ แค่ลำบากในการฝืนใจตัวเองไม่ให้กินในสิ่งที่ตัวเองอยากกิน ยังทำได้ยากเลยใช่หรือไม่ (ใช่) ขนาดในชีวิตประจำวันเรื่องกินเรื่องอยู่ยังฝืนใจตัวเองไม่ได้ นับประสาอะไรกับกิเลสต่างๆ ที่มาขัดขวางเราไม่ให้บรรลุธรรม มีอีกตั้งมากมายใช่หรือไม่ (ใช่)
เพราะฉะนั้นเรื่องกิน เรื่องเล็ก เรื่องตายยิ่งเป็นเรื่องเล็ก ถามหน่อย คนเกิดมาในโลกนี้มีใครไม่ตายไหม (ไม่มี) แล้วเราล่ะ (ต้องตาย) เรายืนไม่ติดพื้นโลกหรือเปล่า ใช่หรือเปล่า (ไม่ใช่) หรือว่าเรายืนอยู่บ้านชั้นสอง แล้วเราไม่ต้องตาย เราก็ยืนอยู่ติดพื้นโลกเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเราก็เข้าไปสู่วังเวียนชีวิตที่เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเจ็บ คนอื่นเจ็บ เราหิว คนอื่นหิว เราอยาก คนอื่นก็อยาก ทำไมคนอื่นทำได้ แต่เรากลับทำไม่ได้ นั่นเป็นเพราะว่าเราไม่ได้ตั้งสติ เราไม่ได้ตั้งใจที่จะเปลี่ยนตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) เราก็ยังเป็นเราอยู่ ทะเลาะกับใคร ก็ยังคงทะเลาะกับเขาอยู่อย่างนั้น เกลียดใคร โกรธใคร ก็เกลียดโกรธกันอยู่อย่างนั้น ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกข์หรือไม่ทุกข์ (ทุกข์)
เพราะฉะนั้นมาวันนี้ ขอให้รู้ว่าชีวิตนี้ เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องเล็ก เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องเล็กปล่อยไว้ก็ใหญ่ เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องใหญ่แต่ปล่อยไว้แล้วกลายเป็นเรื่องเล็ก เราต้องแยกแยะให้ออก แต่การที่จะแยกแยะออกได้นี้ ต้องเป็นผู้ฟังมาก ต้องเป็นผู้รู้มาก ต้องเป็นผู้อ่านมาก ต้องเป็นผู้มีประสบการณ์มาก แต่ไม่ต้องเป็นผู้คิดมาก ทุกวันนี้เราเป็นคนคิดมาก แต่เราเป็นคนรู้มากไหม (ไม่มาก) เราเป็นเพียงผู้ที่คิดมาก และเราเป็นผู้ไม่รู้มาก ไม่อ่านมาก ไม่ฟังมาก ไม่มีประสบการณ์มาก
เพราะฉะนั้น ณ วันนี้มาที่นี่แล้ว ให้มองชีวิตใหม่ มองชีวิตตัวเองอย่างลึกซึ้ง ไม่ได้มองว่าผมขาวขึ้นตรงไหน หรือว่าเวลาทาหน้าแล้วข้างไหนไม่สวย ไม่ใช่มองให้ลึกซึ้งแบบนั้น มองนี้ไม่ได้มองกายสังขารภายนอก แต่ให้มองทะลุไปถึงข้างใน อารมณ์เราอยู่ที่ผิวหนังไหม (ไม่อยู่) อารมณ์เราอยู่ที่สังขารไหม (ไม่อยู่) อารมณ์เราอยู่ที่ไหน (ใจ) ใจเราอยู่ที่ไหน (ข้างใน) ใจเราอยู่ข้างใน เราจะเห็นใจได้อย่างไร ใช้วิธีการมอง เห็นไหม (ไม่เห็น) ใช้วิธีการฟังเห็นไหม ใช้วิธีอะไร ทำอย่างไรจึงจะเห็นใจของตัวเอง หลับตา ดับหู ดับจมูก ดับปาก ดับลิ้น กาย แล้วเปิดไว้แต่ใจ อายตนะภายนอกปิดให้หมด แล้วเหลือไว้แต่ใจของเราเอง เมื่อเราหลับตาเราเห็นใจ สมมติเวลาที่เราชอบคิดมากคือเวลาก่อนนอน ทันทีที่นอนใจก็เริ่มคิด เรื่องอะไรที่วนเวียนก็วนเวียนอยู่อย่างนั้น ตอนนั้นใจของเราอยู่ไหน ตอนนอนต้องหลับตาหรือไม่ (หลับ) หลับตาแล้วรู้สึกไหมว่าใจเราคิดอยู่ ตอนนั้นเจอใจหรือยัง (เจอแล้ว) บางคนก็เจอใจไว บางคนกว่าจะเจอใจนาน จนหลับไปเลย ปิดอายตนะภายนอกทั้งหมด แล้วเจอใจของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาที่เราคิดให้เราคิดไปในแง่ดีหรือไม่ดี (ดี) แล้วทุกวันนี้เวลาหลับตาคิดไปในแง่ดีหรือเปล่า (ดี, ไม่ดี) อย่าพูดว่าดีบ้างไม่ดีบ้าง เวลาพูดคำนี้จริงๆ แล้วแปลว่าไม่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์เป็นคนอย่างไร เป็นคนดีบ้าง ไม่ดีบ้าง สรุปว่าเราเป็นคนดีหรือไม่ เป็นคนสามวันดีสี่วันไข้ เรียกว่าเป็นคนดีไหม (ไม่ดี) เป็นคนไม่ดี
เราทุกคนมีลมหายใจหรือไม่ (มี) แม้รูปร่างหน้าตาของคนเราไม่เคยมีใครเหมือนกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน คือลมหายใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) บางคนบอกว่ารังเกียจตัวเอง เกลียดมือ เกลียดขา เกลียดร่างกายตัวเอง เกลียดความไม่สวยงามของตัวเอง เกลียดความอ้วน ความผอม ผมดำ ผมขาว สายตาสั้น สายตายาว ความจน เราเกลียดตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) เราเกลียดตัวเอง แต่ว่าตัวเราเองมีพรสวรรค์อันฟ้าประทานมาให้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคือ ลมหายใจ ลมหายใจอยู่ คน (อยู่) ลมหายใจมอด คนก็ม้วยมรณา ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเรามีโอกาสเท่ากับที่เรามีลมหายใจอยู่ ทุกวันนั้นเรามีบางเรื่องที่ไม่ดี แต่ถามว่าเรามีโอกาสหรือไม่ (มี) ผู้ชายติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดผู้หญิง ติดการพนัน ติดเกมส์ ติดเพื่อน ถามว่าเรามีโอกาสที่จะดีหรือไม่ (มี) โอกาสมีอยู่ตราบที่เรานั้นยังมีลมหายใจ เราก็ยังเปลี่ยนตนเองได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ในที่นี้มีใครบอกว่าไม่มีโอกาสบ้าง ทุกคนจึงมีโอกาส อยู่ที่ว่าเราจะเห็นค่าของตนเอง เห็นความสำคัญของตนเอง หรือไม่ นั่งอยู่ที่นี่มีใครที่ไม่มีค่าบ้าง (ไม่มี) หากไม่มีค่าก็ให้เอาไปฆ่าทิ้ง แต่ก็ไม่มีใครยอมให้ใครหิ้วเอาไปฆ่าตายจริงหรือไม่ (จริง)
มีใครที่ทุกข์จนอยากตายเลยมีไหม (ไม่มี) แต่อาจารย์ได้ฟังอยู่บ่อยๆ บางคนทุกข์จนอยากตายแต่ถ้าอาจารย์จะให้ใครมาหิ้วไปฆ่าทิ้งเอาหรือไม่เอา (ไม่เอา) ก็ไม่เอา แสดงว่าเราเป็นผู้ที่มีค่าพอที่จะอยู่ในโลกนี้ มีประโยชน์ มีสติ และเราเป็นผู้ที่ยังมีโอกาส ฉะนั้นเวลาพูดต้องคิดก่อนว่าทำได้ไหม ขณะที่ศิษย์ตอบว่าได้เป็นเพราะศิษย์เป็นผู้มีใจ เช่นคนบางคนกินเจอยู่ดีๆ พอกินนานๆ ไปเลิกกินเจ ถามว่าเขาเลิกกินเจหรือว่าใจเขาหดหายลง จริงๆแล้วที่เลิกกินไม่ใช่เลิกกินที่ปากอย่างเดียวแต่ว่าใจก็น้อยถอยลงไปด้วย ฉะนั้นใจมีความสำคัญมาก การที่เราทำร้ายจิตใจใคร คนผู้นั้นถึงเจ็บยิ่งกว่าถูกทำร้ายร่างกาย ใช่หรือไม่
คนทำให้คนเจ็บที่สุด ที่ใจด้วยคำพูด ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจำเป็นมากที่เราต้องรู้จักที่จะคิดก่อนพูด ถ้าคิดแล้วไม่พูดหรือถ้าพูดแล้วไม่คิด ล้วนแล้วแต่เป็นภัยทั้งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่) คิดแล้วไม่พูดเป็นอย่างไรบ้าง ทำหน้าเบี้ยวๆ ทำหน้าบึ้งๆ ทำหน้าไม่พอใจอยู่อย่างนั้น คือคิดแล้วไม่พูด ทำไมถึงไม่พูด เพราะว่าพูดไปแล้วเขาคงไม่ฟัง เราก็เลยไม่พูด แต่ถามว่าเขาผิดหรือเราผิด (เราผิด) เราผิดตรงไหนลองทดสอบวิธีการหาความผิดตัวเอง
(พระอาจารย์เมตตานับหนึ่ง สอง สาม แล้วให้ทุกคนนั่งลงพร้อมกัน)
เป็นคนเมื่อยแต่ว่านั่งช้าเหลือเกิน คนนี้ก็เร็วไปใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเร็วไปเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี) ช้าไปเรียกว่าดีไหม (ไม่ดี) ต้องพอดีถึงจะเรียกว่ามีสติ แต่ถ้าหากว่าจะมีใครนั่งรอเลยนี่เรียกว่าเร็วไปหรือเปล่า (เร็วไป) เร็วไปอันนี้เขาเรียกว่าเสือนอนกินใช่หรือไม่ (ใช่)
ผู้หญิงเป็นคนที่ฉลาดกว่าผู้ชายถูกหรือเปล่า (ถูก) สงสัยสมองจะโตกว่า เวลาคิดก็คิดมากกว่า เวลาบ่นก็บ่นได้มากกว่า เวลาผลสะท้อนกลับมาน้อยไหม (ไม่น้อย) ถ้าอยากที่จะรับผลกรรมน้อยๆ ถูกทำร้ายจิตใจน้อยๆ ต้องบ่นน้อยๆ ถึงจะถูกทำร้ายจิตใจน้อยๆ ใช่หรือไม่
เวลาคนอื่นเขาทำเหมือนกับว่าเราเป็นคนที่โง่ๆ แล้วเราเงียบแปลว่าเราโง่หรือเปล่า (ไม่) เราเงียบได้ไหม ที่ผ่านมาเคยทำได้ไหม ทำยากสักนิดหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาที่คนอื่นทำเหมือนเราโง่ แล้วเราก็แสดงตัวว่าเราเป็นคนที่ฉลาด เราเลยต้องตอบโต้ เพราะสมองเราโตกว่าเขา เวลาที่คนอื่นเขาทำเหมือนเราโง่เราก็ลองโง่ดูสักหน่อยหนึ่งเป็นอะไรไหม (ไม่เป็น) ถ้าเราโง่เป็น คือเราฉลาด ถ้าเราอวดฉลาดเราก็กลายเป็นคน (โง่)
ผู้หญิงปัจจุบันนี้บำเพ็ญธรรมมากกว่าผู้ชาย สนใจฟังธรรมะมากกว่าผู้ชาย แต่ผู้หญิงก็มีเรื่องนินทากาเลมากกว่า บ่นมากกว่า ใส่ใจเรื่องหยุมหยิม และผู้หญิงมีปัญหามากกว่าผู้ชาย หรือจะบอกว่าเป็นผู้หญิงมีปัญหาเยอะแยะไปหมด ฉะนั้นถ้าเราอยากมีปัญหาน้อยๆ เราต้องรู้จักเงียบให้เป็น อย่าบอกว่าเงียบคือโง่ อย่าพยายามที่จะฉลาดให้คนอื่นเห็น เพราะถ้ายิ่งอวดฉลาดก็ยิ่งกลายเป็น (โง่)
ศิษย์นั่งอยู่ที่นี่เป็นคนดีหรือเปล่า (ดี) ศิษย์นั่งอยู่ที่นี่เป็นคนชั่วหรือเปล่า (ไม่ชั่ว) จริงๆ แล้วการที่ศิษย์มารับธรรมะ อาจารย์ไม่มีทางเลือก อาจารย์ก็หวังพึ่งศิษย์ในการพิจารณาว่าธรรมะนี้ดี บางคนก็ใช้เวลาพิจารณาแทบจะสามชาติ ผ่านการพิจารณาด้วยตาศิษย์ อาจารย์ไม่มีทางเลือกว่าจะเลือกศิษย์คนไหน แต่อาจารย์ก็เชื่อมั่นว่าศิษย์ทุกคนที่มารับวิธีธรรมมีบุญสัมพันธ์กับอาจารย์และพุทธะเบื้องบน อาจารย์ไม่มีทางเลือกแต่ศิษย์มีทางเลือกหรือไม่ (มี) ศิษย์อยู่บนโลกเป็นคนผู้มีทางเลือก เลือกเป็นคนดีก็ได้ เลือกเป็นคนชั่วก็ได้ แต่ละชั่วโมงสามารถเลือกเป็นคนชั่วหรือคนดีก็ได้
แต่ในทางที่แตกแขนงไปบนเส้นทางนี้ สมมติว่ามีทางแยกให้ศิษย์เลือกเรื่อยๆ ทางที่ทอดยาวไปมีทางแยกทางหนึ่งเป็นทางแห่งคนดี อีกทางเป็นทางแห่งคนชั่ว ถามว่าศิษย์จะแยกไปทางไหน (ทางคนดี) ศิษย์ของอาจารย์เดินแยกไปทางคนดี แต่ใจอยากได้ประโยชน์ของคนชั่ว หมายความว่า ตัวดำเนินไปในทางที่ดี แต่จิตใจไปฝักใฝ่ประโยชน์คนชั่ว รอเวลา เพราะตัวเองไม่อยากแปดเปื้อนให้ได้ชื่อว่าเป็นคนชั่ว จึงไม่ได้เดินไปในทางคนชั่ว ไม่ได้ทำชั่ว มีพฤติกรรมดี แต่ใจเรายังอยากได้ประโยชน์จากคนชั่ว ยกตัวอย่างเช่น เขาได้เงินมากมายจากการทำแบบนั้น เราก็รู้ว่าทำแบบนั้นแล้วได้เงินมากมาย แต่เราไม่กล้า เราก็เดินไปในทางคนดี แต่หากมีวันไหนที่เราสามารถจะได้เงินมาก โดยที่เราไม่ต้องเสียชื่อในการเป็นคนดีไป เราทำหรือไม่ (ไม่ทำ) แต่หลายๆ คนทำ เพราะอยากได้พฤติกรรมของคนดี แต่ใจไปฝักใฝ่ทำชั่ว หวังจะได้สิ่งที่เป็นประโยชน์ได้แก่เงินทอง ชื่อเสียง ผลประโยชน์ต่างๆ ที่ได้จากสิ่งชั่วนั้นมาเป็นของเรา เพราะฉะนั้น ณ วันนี้ เราเป็นคราบของคนดี แต่เรามีใจของคนชั่ว ถามว่าเราเป็นคนดีหรือคนชั่ว (คนชั่ว) คนที่มองเราด้วยสายตา มองเฉพาะพฤติกรรมเรา ก็บอกว่าเราเป็นคนดี คนที่เป็นคนสนิท รู้จักนิสัยของเรา รู้ว่าเรากำลังคิดอะไร เขาก็บอกว่าเราเป็นคนไม่ดี เพราะฉะนั้นคนหนึ่งคนจึงเป็นทั้งคนดีและคนไม่ดีในขณะเดียวกัน หลายๆ คนจึงบอกว่าศิษย์เป็นคนไม่ดี ทั้งๆ ที่บางทีศิษย์ยังไม่รู้ตัวใช่หรือไม่ (ใช่) ในขณะที่เราเกิดมาจนตายละสังขารนี้ไป ถามว่าเราเอาร่างกายนี้ไปด้วยไหม (ไม่) เราไม่ได้เอาไปด้วย แต่เราเอาเพียงจิตใจของเราไป แล้วจิตใจของเราในอดีตครั้งหนึ่งที่เคยก่อกรรมทางมโนกรรม คือกรรมทางใจ ด้วยการที่เราไปฝักใฝ่กรรมชั่ว ไปฝักใฝ่ประโยชน์แห่งคนชั่ว ถามว่าเราต้องรับกรรมนั้นไหม (รับ) ทุกวันนี้เรารู้สึกว่า เราได้รับทุกขเวทนา มีความทุกข์แบบที่คนอื่นมองไม่เห็นเลย เรารู้อยู่คนเดียว เรารับอยู่คนเดียว เราทรมานอยู่คนเดียว เป็นอย่างนั้นไหม เหมือนอย่างที่เราก่อกรรมทางใจขึ้นหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่) เวลาเจอหน้ากัน สวัสดีทักทายกันอย่างคนที่มีนิสัยดี อย่างคนดีทำด้วยมารยาทสูงสุด เขาไม่รู้เลยว่าเราเกลียดเขา แต่เรารู้ว่าจริงๆ แล้วเราเกลียดเขา แล้วรู้ไหมว่าที่เราทักไป เราทักตามมารยาทรู้ไหม (รู้) ก็รู้เช่นเดียวกัน แต่เราก็เลือกจะทำตามมารยาทใช่ไหม (ใช่) แต่ถามว่าเราทำตามใจของเราได้ไหม (ไม่ได้) เราทำตามมารยาทไป จึงได้ชื่อว่าเป็นคนดี คนอื่นเขามองว่าเราเป็นคนมีมารยาท แต่ถามว่ามารยาทจริงๆ อยู่ที่ไหน
มารยาทจริงๆ ความเป็นคนดีจริงๆ จึงไม่ได้อยู่ที่มารยาท แต่อยู่ที่ไหน (ที่ใจ) อยู่ที่ใจของเราซึ่งเราเป็นผู้ตอบได้แต่เพียงผู้เดียวว่า ใจของเรารักเขาหรือเกลียดเขา จริงหรือไม่ (จริง) แต่มนุษย์ก็แปลก เรามักจะรักคนที่ไม่รักเรา มักจะเรียกร้องความรักจากสามีซึ่งปัจจุบันนี้รักเราน้อยลง ใช่หรือไม่ (ใช่) มักอยากได้ความรักจากลูกซึ่งมีแฟน เขาไปรักคนอื่นแล้ว เพราะอยากได้ความรักจากคนที่ไม่ได้รักเรา เราเลยเกิดความทุกข์ทรมานใจอย่างยิ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราควรต้องทำอย่างไรดี เราต้องปรับใจของเรา ทำตัวอยู่กับปัจจุบัน อดีตเราเคยสวยงาม สามีภรรยาก็รักเรามาก ปัจจุบันนี้เราอายุมากแล้ว คนที่เป็นสามีภรรยาเรา เคยรักเราแต่เปลือกนอก ปัจจุบันก็รักเราแต่เปลือกนอก เพราะฉะนั้นความงามที่อยู่ภายนอกจึงไม่จีรังยั่งยืน ความงามที่อยู่ภายในต่างหากที่จีรังยั่งยืนใช่หรือไม่ (ใช่)
การเอาชนะคนจึงไม่ใช่เอาชนะด้วยรูปร่างหน้าตา หรือด้วยคำพูดหวานๆ แต่เราต้องเอาชนะใจคนด้วยความดีที่เรามี ถามว่าเรามีความดีไหม แล้วความดีที่เรามีให้เขาคนเดียวเรียกว่าความดีไหม ก็ยังไม่ใช่ ฉะนั้นจึงต้องรู้จักที่จะเอาชนะใจคนด้วยความดี เป็นความดีที่มอบให้กับคนทุกคน อันนี้เรียกว่าเมตตา แค่เราขยับเข้ามาใกล้ความเมตตา เราก็ขยับเข้ามาใกล้พระ ใกล้พุทธะ แค่เราให้ความเมตตา ปกติเราแค่เพียงรักลูก สามี ญาติ เพื่อนของเรา ขอให้เรากระจายความรักให้กว้างออกไปอีกสักนิด แทนที่จะรักอยู่ที่คนไม่กี่คนเท่านี้ หมายความว่าคนที่เดินเข้ามาหาเราทุกคน มองไป ไม่มีใครเลยสักคนหนึ่งที่เรารู้สึกเกลียด ทำได้ไหม นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป คนทุกคนที่เดินเข้ามาภายในหนึ่งร้อยแปดสิบองศาเบื้องหน้าเรา คนที่เดินเข้ามาไม่มีใครสักคนเดียว ที่เรารู้สึกเกลียดเลย แค่เปลี่ยนจากความรักส่วนบุคคลเป็นความเมตตาที่กว้างใหญ่ไม่จำกัด เราก็ขยับเข้ามาใกล้พระ ใกล้พุทธะ เข้ามาสู่การบำเพ็ญธรรมและก้าวขึ้นสู่การบรรลุธรรมได้ในวันข้างหน้า ทำได้ง่ายนิดเดียวใช่หรือไม่ ขอให้ทำนะ
วันนี้รีบกลับบ้านไหม บ้านมีความสุขหรือเปล่า (ไม่ค่อยมี) บ้านไม่มีความสุข ถ้าอยากให้บ้านมีความสุขมากขึ้น ต้องหันมามองตัวเราอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่มองตัวเองเพื่อเข้าข้างตัวเอง แต่เราต้องมองตัวเองเพื่อปรับปรุงตัวเอง โลกนี้มีคนได้เปรียบไหม มีคนเอาเปรียบไหม (มี) ถ้าโลกนี้มีทั้งคนเอาเปรียบและมีคนที่ได้เปรียบ แล้วถ้าเราไม่ยอมเป็นคนเสียเปรียบถามว่าใครจะได้เปรียบ ถ้าเรารู้จักเสียเปรียบอย่างมีความสุข ภายในบ้านเราก็จะมีความสุข เพราะว่าบ้านก็เปรียบเหมือนตัวต่อ เขายื่นยาวมาเราก็หดสั้นลง เวลาเรายื่นยาวไป เราก็ต้องการให้ผู้อื่นหดสั้นลง ไม่อย่างนั้นจะไม่พอดี เพราะโลกนี้มีแต่ความเห็นแก่ตัว โลกนี้มีคนที่เอาเปรียบ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเป็นคนที่เสียเปรียบและต้องยอมเสียเปรียบอย่างมีความสุขด้วย เวลาที่คนอื่นยาวมาเราทำอย่างไร (หดสั้น) หดสั้น เวลาที่คนอื่นหดลง ท้อแท้แล้วเราต้องเติมให้เต็ม ถ้าทำได้อย่างนี้บ้านก็ย่อมมีความสุข
(พระอาจารย์เมตตาประทานเพลง “ละทิฐิอภัยคน” ทำนองเพลง “สิ้นสุดสักที”)
ผู้ชายร้องเพลงได้ไหม หรือร้องเป็นแต่เพลงเพื่อชีวิต เป็นผู้ชายก็ต้องหัดร้องเพลงเหมือนกัน เพราะว่าการร้องเพลงจะขัดเกลาความหยาบที่มีในตัวเราให้ลดลง
คนนำพาร้องเพลงเพี้ยนๆ ก็ให้มองเป็นน่ารัก เพราะว่าอย่างน้อยเขาก็กล้า ในขณะที่เราไม่กล้า วันนี้มาที่นี่เป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว อาจารย์จะกลับแต่ก็ยังห่วงว่ายังไม่ได้แจกผลไม้ให้ใครเลย ไม่รู้ว่าศิษย์คนไหนอยากจะได้ผลไม้บ้าง ยกมือขึ้น (มีนักเรียนยกมือจำนวนมาก) อาจารย์ก็เห็นว่านั่งเงียบกัน ก็คิดว่าไม่อยากจะได้อะไรเลย อาจารย์สอนให้นั่งเงียบก็เลยเงียบหมดเลย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่) เราต้องรู้ว่าเข้าถ้ำเสือเราต้องได้ (ลูกเสือ) เรามาแล้วเราต้องได้ลูกแอปเปิ้ลกลับไปบ้าน หากว่ามาแล้วจับเสือไม่ได้สักตัวน่าขายหน้าหรือไม่ (ขายหน้า) อย่างนั้นตอบคำถามที่ง่ายมากๆ ของอาจารย์ ใครอยากตอบก็ยกมือขึ้น
วันนี้เรามาฟังธรรมะที่นี่แล้ว ได้ฟังสิ่งที่ดีๆ ไปมากมาย สิ่งที่อาจารย์พูดมีตั้งมากมาย ใช่หรือไม่ (ใช่) ศิษย์ของอาจารย์ตอนนี้เป็นคนดีหรือเปล่า (ดี) ฉะนั้นกลับไปบ้าน เรายังต้องเป็นคนดี คนดีก็มีข้อเสียข้อผิดเหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่) เราต้องหัดมามองตัวเองว่าเราผิดอะไร ในหน้ากระดาษที่อาจารย์บอกว่าให้กลับไปทำ เวลาที่ทะเลาะกับใครสักเรื่อง ขัดใจกับใครสักคน หรือแม้กระทั่งคนจะโทษหรือไม่โทษเรา เราลองเขียนบนกระดาษสิว่าเราผิดอะไร เขาผิดอะไร หากเราเห็นว่าเขาผิดมากกว่าแสดงว่าเราเข้าข้างตัวเองหรือเปล่า ในเรื่องทุกเรื่องอาจารย์ไม่ได้บอกว่าศิษย์จะต้องเป็นคนผิดตลอดไป แต่ในเรื่องทุกเรื่องเรามีข้อผิดที่สมควรจะได้รับการแก้ไข ใช่หรือไม่ (ใช่) ในตอนนี้ศิษย์คิดว่ามีอะไรที่จะต้องกลับไปแก้ไขตัวเอง ให้ลุกขึ้นตอบ
(ความโกรธ) จริงๆ แล้วศิษย์ของอาจารย์ไม่ใช่คนขี้โกรธ แต่เราถูกคนยั่ว เพราะฉะนั้นเวลาคนอื่นยั่วไม่ใช่โทษว่าเพราะเขายั่วเราเลยโกรธ เรายังจะต้องแก้ไขความโกรธของเราอยู่ดี ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ความอดทน) เวลาที่เขาใช้อารมณ์เราต้องยอม ไม่ใช่ทน เพราะถ้าใช้คำว่าทน ต่อไปจะทนไม่ได้
(ประหยัด) ตอนนี้ยุคข้าวยากหมากแพง เพราะฉะนั้นการประหยัดถือว่าเป็นคุณธรรมข้อหนึ่ง คนที่ใช้ฟุ่มเฟื่อยไม่ว่าจะเรื่องของกิน ของใช้ เสื้อผ้า ซื้อของที่ไม่จำเป็น ถือว่าเป็นคนฟุ่มเฟื่อย และทำให้เราใจแตก แล้วเราก็บำเพ็ญได้ไม่ดี ฉะนั้นเกิดในยุคนี้เขาบีบให้เราประหยัด มองในแง่ดีคือเขาบีบให้เรารู้จักจำกัดตัวเอง ถ้าข้าวไม่แพง เราก็ไม่เคยรู้สึกว่าต้องกินข้าวให้หมดจาน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นตอนนี้เราถูกสถานการณ์บีบขอให้เรารู้จักบีบใจของเราให้มีคุณธรรมมากยิ่งขึ้น เพราะว่าคนไม่มีอุปสรรคย่อมไม่เกิดคุณธรรม ถ้าหากว่าคนมีอุปสรรค คุณธรรมก็จะมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าเราจะถูกบีบด้วยท่าไหน กลยุทธ์ใด เราก็สามารถเป็นดอกบัวที่พ้นน้ำได้ ฉะนั้นการประหยัดคือคุณธรรม ธรรมให้คุณ ธรรมข้อนี้คือการประหยัด
(ความรับผิดชอบ, การพูดจา) จริงๆ แล้วหลายๆ คำตอบของศิษย์ ณ วันนี้เป็นคำตอบที่ไม่ใช่เพิ่งจะมีขึ้นในวันนี้ หลายคำตอบเป็นคำตอบที่มีมานานแล้ว ใช่หรือเปล่า (ใช่) เพียงแต่วันนี้อาจารย์กระตุ้นหน่อย คำตอบนี้ก็ผุดขึ้นมาอีกใช่หรือเปล่า (ใช่) ตลอดมาไม่เคยเอาจริงกับตัวเอง หมายความว่าเรานั้นไม่สามารถที่จะตั้งต้น ไม่สามารถตั้งลำ ไม่สามารถตั้งตัว ไม่สามารถตั้งใจของเราได้ วันนี้ขอให้อย่าเพียงแต่ตอบเหมือนที่เรานั้นเคยตั้งใจมาตลอดชีวิต ขอให้ตั้งใจแล้วตั้งตัวให้ได้ด้วย ตั้งสติให้ได้
(ความใจร้อน) ความใจร้อน เห็นหน้าตาน่ารักก็ใจร้อนใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่าเป็นคนใจร้อนบ่อยๆ เป็นคนขี้หงุดหงิดบ่อยๆ วันนี้เราหน้าตาดี ต่อไปอีกสิบปีข้างหน้า หน้าตาเราจะเปลี่ยนเป็นคนที่ดูไม่ได้ แล้วต้องใช้วิธีการแต่งหน้ากลบอย่างเดียว ส่วนคนที่หน้าตาไม่สวยเลย ณ วันนี้ แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักที่จะเปลี่ยนแปลงใจของเรา หน้าตาของเราจะเปลี่ยนแปลง อีกสิบปีข้างหน้าเราไม่ต้องแต่งหน้า แต่ว่าหน้าเราจะดูเป็นผู้มีคุณธรรม ดูอิ่มบุญ เคยเห็นบางคนอายุมากแล้วไม่แต่งหน้าไหม (เคย) แล้วเราตอนนี้อายุมากแล้วเราแต่งหน้าหรือยัง (แต่งแล้ว) เริ่มแต่งหน้าแล้วแสดงว่าสิบปีที่แล้วทำผิด
(พระอาจารย์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “ใช้ชีวิตอย่างผู้รู้ค่า”)
อาจารย์บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า “ศิษย์เป็นผู้มีค่า” ใช่หรือไม่ (ใช่) แสดงว่าศิษย์เป็นผู้มีคุณค่าในตัว ขอให้ศิษย์ของอาจารย์เพียงแต่ย้อนมองส่องตน กลับมาเห็นคุณค่าในตัว ให้เรารู้ว่าเรามีค่า แล้วใช้คุณค่าที่เรามี เพื่อทำประโยชน์ต่อผู้อื่น ไม่ใช่เห็นเราเป็นคนมีค่า รู้ค่าชีวิตเรา แล้วไม่เห็นคุณค่าคนอื่น อย่างนี้ไม่ดี
ขอให้เรารู้ว่าเรามีคุณค่าแล้วใช้คุณค่าในตัวเราเพื่อเป็นประโยชน์แก่คนจำนวนมาก ใครก็แล้วแต่ที่เรารู้จักและไม่รู้จัก ใครที่สนิทกับเรา และไม่สนิทกับเรา ใครที่เราเคยโกรธเขา และไม่เคยโกรธเขา เราก็ให้คุณค่าของเราแก่เขาได้ วิธีการให้ง่ายๆ ที่สุดคือรอยยิ้ม วิธีการให้ที่ทำให้คนนั้นเสียหายมากที่สุด เสียคนมากที่สุด คือการให้เงิน ทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ถนัดที่สุดคือการให้เงิน แต่ยิ่งให้ถามว่าคนรับยิ่งพอไหม (ไม่พอ) การให้เงินไม่เคยพอ ฉะนั้นจงให้น้ำใจ ให้คุณค่าที่มีของเรา ให้รอยยิ้มของเรา ให้เกียรติเขา ทำได้หรือไม่ (ทำได้) หากศิษย์ทำได้ศิษย์ก็เป็นคนที่ทรงคุณค่า ทรงคุณค่าในตน และให้คุณค่าในตนแก่ผู้อื่นมากมาย เพราะคุณค่าในตัวเราเหมือนบ่อน้ำที่ไม่มีวันหมด อย่ากลัวว่าให้แล้วจะหมด รู้ไว้ว่าคุณค่าในตัวเรา ยิ่งให้ยิ่งทวีคุณค่ามากขึ้น การที่เรามีสุขแล้วแบ่งความสุขให้คนอื่น ถามว่าความสุขของเราสิบส่วนแบ่งให้คนอื่นห้าส่วน แล้วความสุขของเราลดลงหรือไม่ (ไม่ลด) ความสุขของเราให้เขาไปแล้ว ความสุขก็ยังอยู่ที่เราไม่ได้ลดลง เรามีความสุขสิบส่วน ยกให้คนอื่นสิบส่วน เรายังเหลือความสุขหรือไม่ เหลือกี่ส่วน (สิบส่วน) สิบส่วนเท่าเดิม หรืออาจจะกลายเป็นสิบห้าก็ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าเมื่อให้ไปแล้วจะหมด แต่การให้เงินให้ไปแล้วหมด ให้แล้วคนเสียคน ฉะนั้นจงให้สิ่งที่อยู่ภายในคือให้ใจ ของตัวเองออกไป เวลาให้คนอื่นอย่ากลัวเหนื่อย เราเหนื่อยเรานอนแล้วเราก็หาย แต่ถ้าเราไม่ให้คนอื่น แล้วเราอยู่เฉยๆ เหมือนการที่เราคิดว่าเราจะแก้โน่น แก้นี่ แก้นั่น แต่ก็คิดมานานแล้ว ยิ่งคิดยิ่งเหนื่อยเพราะเราไม่ยอมลงมือทำสักที ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ศิษย์ของอาจารย์มาที่นี่อาจารย์ขอให้ศิษย์เปลี่ยนมุมมองความคิดของศิษย์เอง เมื่อศิษย์เปลี่ยนความคิดที่อยู่ในหัวของศิษย์เอง ศิษย์ก็จะเป็นคนใหม่ เพราะทุกวันนี้ถามว่าความคิดเป็นคุณหรือเป็นโทษ ความคิดที่ต้องการทำให้ตัวศิษย์เองได้กำไร มีเงินและทรัพย์สินมากมาย มียศฐาหน้าที่ตำแหน่งสูงๆ ความคิดที่ต้องการทำให้คนรักศิษย์มากๆ เป็นความคิดที่มีแต่ทุกข์ เมื่อเรายิ่งคิดเราก็ยิ่งเป็นทุกข์ แต่ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองความคิดซึ่งมีแต่การให้ ศิษย์ก็จะเป็นคนที่มีความสุขมากยิ่งขึ้น และความสุขนี้ไม่ใช่ความสุขที่ศิษย์เอาเงินไปซื้อมา ไม่ใช่เครื่องเสียง บ้าน เสื้อผ้าสวย หรือสิ่งของใดๆ แต่เป็นความสุขที่อยู่ภายในซึ่งมีอยู่แล้ว เพียงแต่ปกติเราไม่เคยมอง เพราะว่าเราใช้ตาของเรามองออกไปที่อื่น เราเห็นทุกอย่าง แต่เราไม่เห็นใจของเราเอง เพราะฉะนั้นถ้าอยากเห็นใจของตนเองต้องหลับตาของเราลง ใจของเรามีทั้งความสุข ความดี ความเข้มแข็ง และความอ่อนโยน ถ้าหากว่าใครหลับตา แล้วมองย้อนเข้าไปถึงภายในใจ เห็นแต่ทิฐิ ความโกรธ ความเกลียด ความไม่ชอบนั่นไม่ชอบนี่ ถ้าใจของเราเป็นอย่างนี้ถือว่ายังใช้ไม่ได้ ต้องมองลึกเข้าไปกว่านั้นอีก ศิษย์ก็จะได้เห็นใจเดิมแท้ของศิษย์ที่สะอาด เป็นใจเดียวกับพุทธะ ขอให้เปลี่ยนความคิด โชคชะตาของศิษย์ก็จะเปลี่ยน อยากเปลี่ยนดวงไหม ดวงตกกับดวงขึ้นต่างกันอย่างไร อาจารย์ก็เห็นศิษย์แค่ลำบากมากกับลำบากน้อยเท่านั้นเอง ดวงตกลำบากมาก ดวงขึ้นก็ลำบากน้อย ถ้าอยากเปลี่ยนดวงก็ต้องเปลี่ยนความคิดของเราเอง คนสองคนเวลาโกรธกันเสร็จแล้ว ผลกระทบจะเป็นวงกว้างมาก เหมือนปกติเราโกรธคนที่บ้าน เราโกรธอยู่คนเดียว แต่เขาไม่รับรู้ว่ายังเราโกรธเขาอยู่ เราก็บึ้งไม่ยิ้ม ไม่พูด จนคนสองคนโกรธกัน วันนั้นมีข้าวกินไหม (ไม่มี) เห็นไหมว่าสะเทือน เวลาที่คนสองคนไม่ชอบอะไรขึ้นมาก็จะมีผลกระทบกระเทือน ฉะนั้นวันนี้เราโกรธอยู่คนเดียวโดยที่คนอื่นไม่รู้ถามว่าดีกว่าไหม
วันนี้เราบอกว่าฉันชักสีหน้าขนาดนี้ คนที่ฉันโกรธยังไม่รู้เรื่อง มันน่าเจ็บใจ รู้สึกรับไม่ได้ ทนไม่ได้ ต้องไปแสดงสีหน้าบึ้งๆ ใกล้ๆ เขา อาจารย์บอกว่าวันนี้ศิษย์โกรธอยู่คนเดียว ศิษย์ก็ย้อนมองส่องตน เก็บความโกรธ ละลายความโกรธให้เป็นอากาศไปด้วยตนเอง แล้วอย่าโกรธบ่อย ตราบนั้นความโกรธก็ยังไม่มีโทษ แต่ถ้าหากว่าศิษย์หน้าบึ้ง หน้าตึง โกรธ ทะเลาะกับใคร เมื่อศิษย์หายโกรธแล้วแต่คนอื่นยังไม่หายโกรธ ศิษย์ยังต้องรับผลต่อไป เข้าใจไหม (เข้าใจ)
เพราะฉะนั้น วันนี้เรามาอยู่ที่นี่ฟังธรรมะ ขอให้ธรรมะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเราให้ดีขึ้น ขอให้เอาความดีที่เรามีเอาชนะใจคนอื่นให้มากขึ้น ขอให้ทุกอย่างนั้นดีขึ้น พร้อมๆ กับตัวเราที่ดีขึ้นดีหรือไม่ (ดี) บางทีเราไม่ใช่ว่าจะโกรธจริง แค่อยากได้คำว่า “ขอโทษ” แค่อยากให้เขามาเอาใจเราเท่านั้น จริงๆ สิ่งที่ศิษย์อยากได้นั้นมันนิดเดียว ทุกอย่างก็คือ ใจของศิษย์ที่มันพร่องเหมือนตัวต่อที่มันพร่องไป แล้วอยากจะให้คนเติมเท่านั้น อาจารย์บอกเลยว่าให้ละทิฐิในตนลง เมื่อละทิฐิได้ศิษย์ก็เป็นคนที่อ่อนโยนมากขึ้น ไม่ว่าเจอหน้าใคร ศิษย์ก็จะไม่เรียกร้องอะไรจากใครเลย เมื่อไม่มีอารมณ์จะเรียกร้องอะไรจากใครเลย ศิษย์ก็จะมีความสุข ณ บัดนั้น แต่ถ้าใจยังอยากเรียกร้องให้คนอื่นเห็นความสำคัญ มันก็จะมีความทุกข์ร่ำไป เพราะฉะนั้นละทิฐิ แล้วจะอภัยคนได้ การให้อภัยเป็นการให้ที่ประเสริฐสุด เป็นการให้ที่ดีที่สุด
นับตั้งแต่โบราณกาลมา การให้อภัยก็ทำได้ยากที่สุด การให้อภัยก็ทำง่ายที่สุด คือเป็นทั้งความยากและเป็นทั้งความง่าย เพียงคิดได้การให้อภัยบังเกิดขึ้นได้ง่าย แต่คนคิดไม่ได้ การให้อภัยนั้นเกิดขึ้นได้ยาก ฉะนั้นพูดไปพูดมา ตั้งแต่ชั่วโมงนี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่แค่ใจ ขอให้ศิษย์นั้นสามารถรับรู้เรื่องปัญหาที่เกิดขึ้น มองปัญหาที่เกิดขึ้น รู้ว่าตอนนี้ไม่มีเงินแล้ว รู้ว่าตอนนี้มีปัญหาแล้ว รู้ว่าตอนนี้ใครเป็นอย่างไรแล้ว แต่ขอให้รับรู้ไว้เฉยๆ อย่าไปดิ้นรน อย่าไปร้อนเร่า รับรู้ไว้เฉยๆ อันนี้เรียกว่ามีสติ เปรียบประหนึ่งการนั่งสมาธิเช่นเดียวกัน คือรู้ก็สักแต่ว่ารู้ ส่วนทางแก้นั้น ย่อมมีขึ้นหลังจากที่เรามีสติใช่หรือไม่
วันนี้อาจารย์มาที่นี่ ด้วยความรักในตัวศิษย์ แม้ว่าศิษย์จะไม่รู้จักอาจารย์ แม้ว่าวันนี้ศิษย์ไม่ได้รักอาจารย์ แต่อาจารย์นั้นรักศิษย์ ห่วงในตัวศิษย์ที่สุด คือห่วงว่าศิษย์ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้ได้ ซึ่งนี่เป็นความทุกข์ที่ไม่ใช่ความทุกข์แรก และไม่ใช่ความทุกข์สุดท้าย
ถ้าหากศิษย์นั้นมีเยื่อใย รักอาจารย์บ้าง ขอให้ฟังที่อาจารย์พูด แก้ไขปรับปรุงตนเอง ไม่ต้องแก้ไขมาก แก้ไขทีละน้อย เป็นน้ำหยดลงหิน ให้แม้แต่หินผาก็กร่อนได้ บางคนแก้ไขมากเกินไป เหมือนกับการที่กินข้าวอิ่มมากเกินไป แก้ไขทีละมากๆ แล้วก็หมดกำลังใจ แล้วก็ทำไม่ได้ อาจารย์ไม่ประสงค์อย่างนั้น อาจารย์รักศิษย์ที่ศิษย์เป็นศิษย์ ให้อภัยศิษย์ทุกอย่าง พร้อมจะฟังศิษย์ทุกเรื่อง ขอให้ศิษย์อย่าได้มีแต่ความโลภ ความโกรธ อย่าตัดพ้อต่อว่ากับชีวิตของตนเอง คนเกิดมามีใครไม่เหนื่อย คนเกิดมามีใครไม่โง่ เกิดมาแล้วทุกคนก็เหมือนกัน เกิดมาก็แก่เฒ่าชราไป ขอให้ใช้ชีวิตอย่างรู้ค่า อย่าแค่ประหยัดเงิน ขอให้ประหยัดเวลาของตนเองในการทำเรื่องใดๆ เพื่อเก็บเวลาที่เหลือไว้สร้างประโยชน์บ้าง เป็นคนอย่าเห็นแก่ตน อย่าขี้เกียจ อย่าเบื่อหน่ายง่าย หวังว่าศิษย์นั้นทำได้
จำลาศิษย์ทุกคนด้วยการจับมือ ไล่ไปทีละคน อาจารย์รู้สึกสงสารเห็นใจศิษย์ จับขั้วหัวใจ หนาวยะเยือกสะท้านใจ ศิษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกรรม กรรมที่กำหนดให้ศิษย์ของอาจารย์ต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้ บนหนทางของกรรมหากเดินไม่สุดสายย่อมไม่มีวันหมดสิ้น ไม่สามารถหมดสิ้นได้ด้วยวิธีอื่น แม้ว่าศิษย์สร้างกุศลมากมายเท่าไร แต่กรรมก็ยังต้องชดใช้ด้วยการเดินผ่านกรรมนั้นๆ ไป หากศิษย์เป็นคนที่ ทำใจได้ กรรมที่ศิษย์ผ่านนั้น ศิษย์ก็จะรู้สึกสบาย ไม่รู้สึกหนักหนามาก แต่หากศิษย์เป็นผู้ที่ทำใจไม่ได้ ศิษย์จะเดินผ่านกรรมนั้นๆ ของตนด้วยความลำบากยากยิ่ง ฉะนั้นอาจารย์อยากให้ศิษย์ของอาจารย์ทำใจได้กับชีวิตตัวเอง มีความทุกข์ค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณา อย่าคิดทีเดียวหลายๆ เรื่อง ซ้อนๆ กัน ปนๆ กัน ขอให้ค่อยๆคิดทีละเรื่อง ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ตอนนี้ยังไม่มีอะไรดีขึ้น สักวันหนึ่งก็ดีขึ้น พระอาทิตย์ตกแล้ว พระอาทิตย์ก็ขึ้นใหม่ วันนี้ยังไม่ดี ไม่ได้แปลว่าวันหน้าจะไม่ดี เพียงแต่ศิษย์รอหน่อย รอให้กรรมของศิษย์นั้นมาให้สุดสายปลายทางแล้ว ถึงตอนนั้นบุญก็ตอบสนอง อย่าเพิ่งท้อ อย่าเพิ่งเสียใจ คนไม่มีรุ่งตลอดเวลา มีรุ่งบ้าง มีลงบ้าง มีขึ้นบ้าง มีร่วงบ้างเป็นธรรมดา อาจารย์อยากให้ศิษย์คิดได้เหลือเกิน
ขอให้ศิษย์ทุกคนรักษาตัว ศิษย์ไม่สามารถยึดอาจารย์เป็นสรณะได้ อันว่าอาจารย์นั้นมีแค่เพียงวิญญาณ เป็นแค่เพียงพุทธะที่ลงมาโปรดแล้วใช้ร่างของมนุษย์เท่านั้น อาจารย์จึงไม่ใช่แบบที่ศิษย์เห็นขณะนี้ อาจารย์ไม่ยินดีให้ศิษย์ยึดติดในร่างที่อาจารย์ใช้ อาจารย์จะยินดีมากถ้าศิษย์จะยึดการฟังธรรมะเป็นสรณะ การฟังธรรมะช่วยศิษย์ได้ แม้ฟังธรรมะจากผู้ที่ศิษย์คิดว่าเขาไม่ดี แม้ฟังธรรมะข้อที่ศิษย์รู้อยู่แล้ว แม้ฟังธรรมะข้อใดๆ ก็ตามย่อมเป็นประโยชน์ อาจารย์หวังวอนให้ศิษย์รู้จักที่จะฟังธรรมะ มากกว่าการที่จะยึดติดในตัวอาจารย์ เพราะว่าคนก้าวหน้าขึ้นด้วยการศึกษาธรรม ศึกษาทุกวันก็เติมเต็มชีวิตของศิษย์ได้ ขอให้ศิษย์นั้นรักษาตัว ไว้วันหลังเราเจอกันใหม่นะ
วันจันทร์ที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
พระโอวาทพระนาจา
จากต้นกล้ากลายต้นใหญ่ที่แข็งแกร่ง คนเข้มแข็งล้วนต้องผ่านโลกมาหนา
อย่าดูถูกคนเพิ่งเริ่มต้นชีวา คลื่นลูกหลังแซงลูกหน้านั้นมากมี
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามศิษย์น้องทุกคนหายง่วงหรือยัง
ความเรียบง่ายธรรมดาและสามัญ เป็นความจริงอันนิรันดร์ที่ต่างมี
จะปรารถนาลาภยศถาบรรดามี อย่าลืมว่าต้องมีความสามัญ
คนไม่รักความเป็นตนย่อมยากสุข ที่ว่าสุขก็ยังทุกข์อยู่อย่างนั้น
ใครทำร้ายมิเท่าตนคิดร้ายกัน เปลี่ยนความคิดรู้ตนทันไม่สายไป
เตือนระวังความคิดอันตายตัว ชอบเอาตัววัดค่าตีกรอบใคร
ถึงหวังดีแต่ยึดมั่นก็คือร้าย พอไม่ได้ดั่งใจพาลเกลียดโกรธา
รักโลภหลงชักนำให้ขาดสติ ต้องเสียใจเพราะทิฐิอัตตาหนา
คนรู้พอยอมรับสิ่งพึงได้มา ถึงดีร้ายไม่นำพาใจเปลี่ยนแปลง
น้ำยังมีวันขึ้นและลงได้ ไม่ต่างชีวิตไปเป็นสัจธรรมแท้
ฝึกรับความเป็นจริงไม่เปลี่ยนแปร มีสู่ไร้ชนะสู่แพ้ไม่สำคัญ
ฮิ ฮิ หยุด
พระโอวาทพระนาจา
วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ใช่ไหม (ใช่) ตอนนี้อิ่มใจหรือว่าอิ่มท้อง (อิ่มใจ, อิ่มท้อง) อิ่มใจด้วย อิ่มท้องด้วย ก็แปลว่าถ้าอิ่มแล้วต้องรับรู้อะไรมากๆ ก็ไม่ดี ใช่หรือเปล่า รับมากๆ จะเกิดอาการตึง ตึงเสร็จแล้วก็หย่อนคล้อย ใช่ไหม (ใช่) ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่ารับอะไรไม่ได้แล้ว ใช่หรือเปล่า อย่างนั้นถามท่านว่าระหว่างดอกไม้ที่โรยแล้วกับดอกไม้ที่กำลังเริ่มจะ ผลิบาน เอาแบบไหน (ผลิบาน) ฝ่ายชายเอาแบบไหน (เริ่มผลิบาน) เริ่มผลิบาน ฝ่ายหญิง (เริ่มผลิบาน) ดอกไม้ที่ใกล้ร่วงโรยไม่มีใครเลือกหรือ น่าสงสารคนแก่นะ ในที่นี้ถึงไม่มีใครสนใจ แต่ก็มีบางคนที่แก่แล้วก็ยังไม่ยอมเลือกแบบดอกไม้ที่ใกล้ร่วงโรยด้วย ใช่ไหม (ใช่)
เมื่อสักครู่ ไหนคนที่บอกว่าอายุมากแล้วขอเลือกดอกไม้เต่งตึง ดอกไม้เพิ่งผลิ ไม่ยอมเลือกดอกไม้บาน แท้จริงแล้วดอกไม้ที่ร่วงโรยไปแล้ว หรือบานจนถึงที่สุดแล้วใกล้ร่วงโรย คนส่วนใหญ่กลับไม่ชอบ ใช่ไหม (ใช่) เพราะดอกไม้ที่บานถึงที่สุดก็คือดอกไม้ที่ใกล้จะร่วงโรย ถูกหรือไม่ (ถูก) กินอิ่มมากเกินไปก็ใกล้กับภาวะเสื่อมถอย ถูกหรือไม่ (ถูก) แล้วมีใครกินจนอิ่มเกินไปบ้างไหม (มี) มีคนยกมือแปลว่ากล้ายอมรับใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเรารู้อย่างนั้นแล้ว เราก็ต้องตั้งตนในความไม่ประมาท ทำอะไรก็ต้องให้พอดิบพอดี เพราะไม่อย่างนั้นแล้วสิ่งที่เราเลือกก็จะกลายเป็นสิ่งที่กลับมาทำร้ายตัวเองถูกไหม (ถูก)
แต่คนโดยส่วนใหญ่เวลาอยากได้เงินส่วนหนึ่งแล้วก็ยังอยากได้อีกใช่ไหม (อยาก) และอยากได้มากขึ้นอีกไหม (อยาก) อยากได้มากที่สุดไหม (อยาก) แล้วต่างอะไรกับที่ท่านเลือกดอกไม้บาน อยากจนถึงที่สุดก็ถึงเวลาที่ต้องลดลงมาถูกหรือไม่ ฉะนั้นอยากแบบพอดีไม่ดีกว่าหรือ เพราะถ้าเราอยากมากก็ไม่ต่างกับเวลาที่เรากินอิ่มมาก ยิ่งอิ่มมากเราก็ยิ่งเสื่อมถอยหมดสภาพ แต่ถ้าอยากแบบพอดี หวังอย่างพอเหมาะ ต้องการอย่างไม่มากเกินไป ความหวัง ความต้องการ ความอยากนั้นก็จะไม่ย้อนกลับมาทำร้ายเราใช่หรือไม่ (ใช่) เหมือนกับการที่ท่านทำไมเลือกซื้อดอกไม้ที่ไม่บานเต็มที่ แต่ทำไมเวลาอยาก ต้องอยากสุดๆ อยากเต็มที่ แล้วถึงจะมา แล้วถึงจะทำ ถูกไหม เวลาอยากสุดๆ แล้วไม่ใกล้กับความหมดอยากหรือ
การที่บอกว่าโลกกว้างๆ แต่ทำไมกลายเป็นคับแคบ ฟ้าสว่างแต่ทำไมหัวใจเรากลับหม่นหมอง แปลกไหม (แปลก) ง่ายๆ สมมติว่าเราเดินตัวเปล่า เดินก้าวไปซ้าย ขวา หน้าหลัง ก็สบาย แต่ว่าก่อนที่เราจะเดิน เราคิดว่าบ้านจะเป็นอย่างไร ลูกจะดีหรือเปล่า แล้วสามี พรุ่งนี้จะกินอะไร แล้วกลับไปเจออะไร คิดอย่างนี้แล้วเดินง่ายไหม (ยาก) ทำไมยาก (เพราะห่วง, คิด) ทางกว้างแต่เดินได้แคบ เป็นไหม (เป็น) บางทีบอกว่าบ้านโน้นไม่ดี บ้านนั้นก็ไม่ดี เดินแค่นี้ก็พอจริงไหม อยู่ในที่ทำงานเดียวกัน โต๊ะนั้นขี้บ่น โต๊ะนั้นขี้นินทา โต๊ะนั้นชอบขายของ ไปเดินข้างหลังดีกว่าอย่าไปเดินด้านหน้าเลย ฉะนั้นฟ้ากว้างทางก็กว้าง แต่อะไรทำให้แคบลง (ใจเรา) ถ้าใจเราคิดอันนี้ก็น่ามอง อันนี้ก็น่าดู ไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี บางทีตาของเราชอบแบ่งมากเกินไป ใจเลยไม่รู้ว่าจะเลือกด้านซ้ายหรือด้านขวาดี (จิตใจไม่คิดไปทางเดียวกัน) จิตใจไม่เป็นหนึ่งใช่ไหม ชอบแบ่งเป็นหนึ่ง เป็นสอง เป็นสาม เป็นสี่ ใช่หรือไม่ (ความคิดทำให้แคบ) คิดอย่างไรทำให้แคบ คิดอย่างไรทำให้กว้าง ถ้าคิดแบบเดียวทำให้แคบใช่ไหม แต่ถ้าคิดดีๆ จากแคบก็กลายเป็นกว้าง
เวลาเราอยู่คนเดียว ชีวิตก็ลำบากแล้ว ใช่ไหม (ใช่) แต่เราก็อดไม่ได้ เราก็คิดที่จะแบกคนนั้น แบกคนนี้ไปกับเราด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)
สิ่งหนึ่งที่ทำให้แม้ทางจะกว้าง แต่เราก็กลายเป็นคนที่เดินแคบ แม้โลกจะสดใส แต่ทำไมจิตใจเราถึงหม่นหมอง ก็เพราะว่าเรากำลังแบกความคิดอะไรบางอย่าง อยู่ในตัวเราหรือเปล่า ใช่ไหม (ใช่) อะไรที่เราชอบแบกกันบ่อยๆ แบกตัวเองคนเดียวก็หนักแล้ว การแบกคนอื่นไปร่วมด้วยกับชีวิตยากขนาดไหน เพราะต้องแบกคนที่สอง คนที่สามอีกยากขึ้นอีก
มนุษย์ทุกคนชอบเป็นผู้นำ เมื่อคิดจะเป็นผู้นำก็ต้องนำผู้อื่นให้รอด ไม่ใช่นำเขาแล้ว ไปเกี่ยวข้องกับเขาแล้วกลับยิ่งกลายเป็นยิ่งพาเขาล่ม ฉะนั้นใครคิดจะเป็นคนนำชีวิตผู้อื่นก็ต้องรู้จักคิดให้ดีๆ ก่อนที่จะไปเกี่ยวให้ใครมาเป็นภาระ ดีไหม (ดี) ครั้งนี้ลองไม่เกี่ยวกับใคร เป็นตัวของตัวเองแล้วเอาให้รอด
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเล่นเกมกับนักเรียนในชั้น โดยให้นับเลขคี่ เลขคู่ และให้สลับกันยืนนั่งเป็นแถวตามที่ท่านบอกว่าเลขคู่หรือเลขคี่)
เห็นกินอิ่ม เลยอยากให้เล่นเกม ก่อนที่จะฟังธรรมะ แต่คุยกับเราก็ได้ความเข้าใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่) ชีวิตเราเองเรายังดูแลไม่ค่อยรอด แต่เราก็ยังอดไม่ได้ที่จะห่วงคนนั้น ห่วงคนนี้ แบกเรื่องคนนั้น แบกเรื่องคนนี้ คิดเรื่องคนนั้น คิดเรื่องคนนี้ ใช่ไหม (ใช่) แบกมาแล้ว คิดแล้ว ห่วงแล้วได้อะไร เปลี่ยนแปลงอะไรเขาก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) มุ่งกังวลไปก็เท่านั้น ถึงเวลาอะไรจะเกิดก็ต้อง (เกิด) เพราะฉะนั้นเราอยู่บนโลก แบกเรื่องให้น้อยได้ไหม (ได้) ถือสาคนให้น้อยได้ไหม (ได้) ถือมากๆ ก็หนักนะ เหมือนเวลาถือลูกอมเม็ดเดียวมันก็เบานะ แต่ถ้าถือเม็ดเดียวนี้ตลอดไปทั้งชีวิตก็ไม่ไหวหรอก ถือเรื่องนั้น เรื่องนี้ จนกลายเป็นหาเรื่องให้ตนเองทุกข์เปล่าๆ ใช่ไหม (ใช่) แล้วมองโลกให้เป็นเรื่องเล็กบ้างได้ไหม บางคนเห็นอะไรก็เป็นเรื่องใหญ่หมด ถือไปหมด เรื่องคนอื่นเป็นเรื่องเล็ก แต่พอเป็นเรื่องตัวเองเป็นเรื่องใหญ่ ใช่ไหม (ใช่) เวลาเราว่าใครไม่เจ็บหรอก หัวเราะได้ แต่พอใครมาว่าเรานิดเดียว ก็เจ็บ ถูกไหม (ถูก) ฉะนั้น เรื่องของตัวเองทำให้เป็นเรื่องเล็กบ้างได้ไหม พอเล็กแล้ว เจ็บช้าไหม (ช้า) แต่พอเห็นตัวเองใหญ่ โดนนิดเดียว เราก็เจ็บ เพราะใหญ่คับที่ ใช่ไหม (ใช่)
อยากให้ท่านไม่ง่วงนอน อยากให้ท่านฟังธรรมะมีความสุข ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเป็นธรรมะได้ถ้าเรารู้จักคิด หรือแม้กระทั่งสิ่งที่ดีๆ อาจจะกลายเป็นสิ่งที่ร้ายได้ถ้าเราคิดไม่เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นเวลาอยู่ในห้องพระทำไมคนบางคนฟังแล้วไม่เข้าใจ บางคนฟังได้เข้าใจ ใช่โทษที่ภาวะแวดล้อมร้อนจนตับจะแตกไหม (ไม่ใช่) เป็นเพราะใจที่คิดได้ หรือไม่ได้เท่านั้นเอง แล้วความคิดที่เสียกลับมาดีได้ไหม (ได้)
ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในตัวมนุษย์คือความคิดใช่หรือไม่ (ใช่) มนุษย์ทุกคนมีใจแต่ถ้าใจคิดดีก็เป็นกุศล คิดชั่วก็เป็นอกุศลและนำพามาซึ่งความทุกข์ อันนี้เรารู้กันอยู่ แต่คิดแบบไหนที่ทำให้บางทีเราหาเหตุแห่งทุกข์ให้เพิ่มโดยไม่รู้ตัว คิดอยากได้นั่น อยากได้นี่ทำให้ทุกข์ ใช่ไหม (ใช่) ก่อนที่ศิษย์พี่จะบอกว่าคิดแบบไหนยิ่งเพิ่มทุกข์ (คิดชั่ว, คิดไม่ดี, คิดเข้าข้างตัวเอง, คิดฟุ้งซ่าน, คิดในแง่ลบ, โลภโกรธหลง, คิดกังวล, คิดมาก, คิดผิด, คิดวนไปวนมา, คิดเห็นแก่อยากได้ลูกอม, คิดระแวง, คิดสั้น, คิดแล้วไม่ทำ) แต่ถ้าเป็นบุหรี่ ยาเสพติด เหล้า คิดแล้วไม่ทำดีกว่านะ
(คิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้) เช่นถามว่า ดวงจันทร์มีสัตว์อยู่ไหม
(คิดแล้วจะเอา) คิดแล้วต้องให้ได้ ใช่ไหม (ใช่)
(คิดไม่เป็น, คิดมาก, คิดอาฆาตมาดร้าย ริษยา, คิดว่าฟังแล้วจะได้อะไรกลับไปบ้าง, คิดอยากทำ) คิดอยากทำสิ่งที่ดีนะ
(คิดโดยไม่ไตร่ตรอง) คิดโดยไม่ตรองก็มีเหตุทำให้เกิดทุกข์ได้
(คิดไม่รอบคอบ, คิดอยากได้ของคนอื่น, คิดในสิ่งที่เลวร้าย, คิดเห็นแก่ตัว, คิดแล้วไม่สมหวัง, คิดมาก)
คิดอย่างไรที่เป็นทุกข์ นั่นคือคิดอย่างตายตัว บอกว่าได้ก็ต้องได้ บอกไม่ได้ก็อย่ามาให้ใช่ไหม (ใช่) ความคิดที่ตายตัวและไม่รู้จักพัฒนาความคิด ไม่รู้จักถ่ายเทและเปลี่ยนความคิดตัวเองให้มีความคิดใหม่ๆ หรือปรับปรุงความรู้ความเข้าใจความคิดให้ดียิ่งขึ้น นั่นเป็นความคิดที่มีเมื่อไรก็ฆ่าเราให้ทุกข์ตายเมื่อนั้น ถูกหรือไม่ (ถูก) เช่นแม่บอกลูกว่าต้องไปทางซ้าย แต่วันหนึ่งลูกไปทางขวาก็รับไม่ได้ สามีต้องเดินตรงแต่วันนี้สามีเดินอ้อมก็รับไม่ได้ อย่างนี้คือคิดอย่างตายตัวและเป็นทุกข์
แม้สิ่งนั้นจะเป็นความหวังดีแต่ถ้าเรายึดมั่นตายตัวว่าต้องเป็นอย่างนี้ๆ แบบนี้ก็คิดอย่างฆ่าตัวเองตาย เพราะถึงแม้ว่าทางที่เราบอกว่าดี และแนะนำผู้อื่น ก็ใช่ว่าคนอื่นจะชอบในสิ่งที่เราบอกว่าดี เหมือนวันนี้ที่เราพูดมาคนบางคนบอกว่าดี แต่คนบางคนบอกว่าไม่เอา เราจะไปบีบบังคับเขาให้เชื่อหรือไม่เชื่อย่อมไม่ได้ เพราะถ้าเราทำแบบนี้เราก็เป็นคนบ้าแล้ว เรารู้ว่าทุกท่านมีแนวความคิดมีความเข้าใจและมีความรู้ที่เรารู้สึกว่าดีและอยากส่งมอบให้กับคนอื่น แต่สิ่งที่เราว่าดีนั้นก็ใช่ว่าคนเขาอยากจะเดินตามเราเสมอ ฉะนั้นเราแค่บอกและทำให้ดีที่สุด ถึงเวลาเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ปล่อยไปตามทางของเขา และถึงเวลาเขาจะไม่ทำในสิ่งที่น่าจะเป็นมาตรฐานของคนที่เรียกว่าดี หรือทำในสิ่งที่ต่ำกว่าดี เราก็ต้องทำใจ ใช่ไหม (ใช่)
สุขกับทุกข์เกิดจากไหน สุขเกิดขึ้นเพราะได้ในสิ่งที่เราหวัง หรือได้มากกว่าสิ่งที่เราหวัง คิดว่าอย่างน้อยเราต้องได้ลูกอม แต่ปรากฏว่าได้แอปเปิ้ลก็ยิ่งดี ความสุขก็คืออย่างน้อยให้สมปรารถนาในสิ่งที่เราต้องการ ถ้าได้มากกว่าสิ่งที่ปรารถนาเราก็เรียกว่าสุข ความทุกข์คือสิ่งที่ต่ำกว่ามาตรฐาน หรือน้อยกว่ามาตรฐานไปนิดหนึ่ง คนบางคนก็ทุกข์แล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นสุขกับทุกข์จึงเกิดอยู่แค่สลับขั้วกันเอง แท้จริงแล้วทุกข์กับสุขเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ถ้าเราปรับความคิดเราให้เป็นกลางและใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด และเมื่อเขาไม่ได้ดั่งหวังก็เป็นธรรมดา เมื่อใดที่เขาดีกว่าหวังก็เป็นธรรมดา ปรับความคิดได้ไหม (ได้) คงยากเพราะเรายังมีความหวังอยู่ เรายังยึดมั่นในความหวังว่า ความสุขของมนุษย์คือ มีบ้าน เงิน ทอง มีคนที่รัก แล้วเคยไหมหามาจนครบแต่ไม่สุข ถามว่าตอนนี้ มีบ้าน มีทอง มีเงิน มีคนรักไหม (มี)
ทุกคนมีคนที่รักหมด แต่สุขไหม แล้วแน่ใจได้อย่างไรว่าถ้าไปหาคนใหม่มาแล้วจะสุข ในเมื่อสิ่งที่มีอยู่พื้นฐานท่านยังสุขไม่เป็น แล้วคิดหรือว่าหาใหม่แล้วจะสุขยิ่งขึ้น คนที่รักเราอยู่ เรายังรักเขาไม่เป็นเลย เรายังทำให้เขาทุกข์เลย แล้วยังบอกว่าเราไม่เห็นรักเขาเลย ใช่ไหม (ใช่) เขารักเรา แต่เราไม่รักเขา ใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่างนั้นน่าจะบอกว่า สิ่งที่มีอยู่พื้นฐานนี้ท่านยังรักไม่เป็น ท่านยังสุขไม่ได้ แล้วไปหาพื้นฐานมาใหม่ แน่ใจหรือว่าจะรักเป็นและสุขได้ หรือบางคนบอกว่า เท่านี้ก็สุข แต่ว่าต้องมีตำแหน่งใหญ่โต มีเกียรติสูงๆ หน้าสวยๆ หุ่นดีๆ อ้วนๆ อย่างนี้ยังรักไม่เป็นเลย แล้วจะไปรักหุ่นดีๆ เป็นไหม (ไม่เป็น) เราต้องรักความเป็นตัวเรามี ให้ได้ก่อน แล้วจะไปเพิ่มอะไรก็ไม่ยาก เพราะเรามีสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ได้
ฉะนั้นอย่าไปหาความสุขไกลตัว จงพอใจในสิ่งที่ตัวเรามี มนุษย์มีความสุขเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ว่ามนุษย์จะรักสุขที่เป็นพื้นฐานนี้ไหม ฉะนั้นอย่ามัวแต่ไปกำหนดสุขไกลเลย สุขใกล้ๆ ทำให้ดีก่อน และอีกอย่างหนึ่งคือตัวเองยังควบคุมตัวเองไม่ได้ ยังชอบไปควบคุมคนอื่น เช่นนี้เป็นการหาเหตุให้ตัวเองทุกข์ไหม หาเรื่องไหม แล้วเราเป็นไหม (เป็น) เห็นใครไม่อยู่ในระเบียบ หรือความเป็นจริงที่เรากำหนด เราก็จะทนไม่ได้ หงุดหงิด ไม่พอใจ ไม่ชอบ สาเหตุของมนุษย์มีทุกข์อยู่สองอย่าง หนึ่งคือความยึดมั่นตายตัว ว่าเขาจะต้องมีมาตรฐานอย่างนี้ แล้วโลกจะต้องเป็นมาตรฐานอย่างนี้ แล้วคนทุกคนในสายตาเราก็ต้องเป็นมาตรฐานอย่างนี้ พอใครต่ำกว่ามาตรฐาน เราก็ไม่พอใจ จริงไหม (จริง)แล้วพยายามอีกแบบหนึ่งไม่ต่างกันคือชอบควบคุมเขา คุมตัวเองยังไปไม่รอดเลย แต่อยากจะคุมคนนั้น คุมคนนี้ พอคุมไม่ได้ก็เอะอะพาลเกลียด และก็มองโลกอย่างติดลบว่าโลกนี้มีแต่คนเลว เป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่ (ใช่) พอผิดหวังกับคนรัก ผิดหวังกับคนที่ตัวเองชอบก็รู้สึกเกลียด เบื่อหน่ายโลกเพราะคิดแต่ว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรดีเลย ใช่ไหม (ใช่)
จำไว้นะระวังความคิดที่ตายตัว หรือการที่ชอบวัดค่าและตีกรอบไว้ เวลาที่รู้สึกเป็นทุกข์ อย่าพยายามมานั่งข่มจิตให้ทรมานเลย เวลาเป็นทุกข์พยายามทำความเข้าใจสาเหตุของทุกข์ในใจ ค้นให้พบว่าเราทุกข์เพราะอะไร แล้วพยายามทำความเข้าใจให้ได้ อย่าไปพยายามกด อย่าไปพยายามไล่ ไม่ว่าจะโกรธ ไม่ว่าจะเกลียด ไม่ว่าจะแค้น เมื่อใดที่มีอารมณ์หรือความรู้สึกนี้อยู่ในใจ พยายามทำความเข้าใจ ยิ่งเข้าใจมากเท่าไรเราก็สามารถที่จะไกล่เกลี่ย จะเอาออกหรือจะข่มมันไว้ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่พอไม่ใช่อารมณ์โกรธ แล้วเราจะคิดอย่างเดียว กดมันไว้ กดลงไป ก็จะมีแต่ทรมานใช่ไหม (ใช่) สู้พยายามทำความเข้าใจ ทำไมฉันถึงโกรธเขา ทำไมฉันถึงเกลียดเขา ทำไมฉันถึงโลภขนาดนี้ โลภเกินไปไหม โลภจนเหนื่อยขนาดนี้ หยุดบ้างได้ไหม พยายามทำความเข้าใจกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองแล้วพยายามปรับให้อยู่ในความสมดุล แล้วโลภ โกรธ หลง หรือเกลียดก็จะไม่มาทำร้ายหัวใจ แต่เราจะรู้จักใช้ความโกรธ ความโลภให้ถูกทิศถูกทางยิ่งขึ้น ไม่ใช่พอโกรธขึ้นมา ข่มไว้ ข่มไว้ ยิ่งข่มมันก็ยิ่งเจ็บใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้ศิษย์พี่มาแค่นี้ดีไหม (ไม่ดี) ไม่ดีหรือ เห็นฟังแล้วแต่ไม่เคยเอาไปปฏิบัติเลย จะฟังไปทำไมใช่หรือไม่ มีคนทิ้งเปลือกลูกอมไว้ที่พื้นห้อง ใครทิ้งเปลือกลูกอมนี้ไว้ ส่วนใหญ่พอเวลาผิดแล้วเราไม่ค่อยจะยอมรับใช่ไหม บางทีกล้ารับสิ่งที่ผิดแทนคนอื่นบ้างก็ดีนะ เพราะในโลกนี้มีแต่คนถูกเต็มไปหมด ขาดคนผิดใช่หรือไม่ (ใช่) มีแต่คนดีไปหมด ขาดคนร้าย ใช่หรือเปล่า (ใช่) ถึงเราจะร้ายแต่เราพร้อมจะดีให้ยิ่งขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) ในคนร้ายไม่มีความดีอยู่หรือ และในคนที่ดีแน่ใจหรือว่าเขาไม่มีความร้ายใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอย่ามั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองเรียกว่าดีนั้นจะดีหมดจด ยังเป็นดีที่พร้อมจะเปลี่ยนเป็นร้ายได้เสมอ ใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้นเหมือนกัน เราเห็นผู้ใหญ่ เราเห็นผู้สูงวัย อย่ามองว่าเห็นท่านแล้วมีแต่ความไม่สดใส ไม่ร่าเริง จริงๆ แล้วเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ถึงจะอายุมาก ถึงจะดูเหี่ยวย่นก็มีความสดใสได้ เห็นไหมว่าในความเหี่ยวย่นก็มีความสดใส และรู้ไหมว่าว่าในความสดใสก็อาจมีความเหี่ยวย่นก็ได้ เพราะถ้าทำหน้าบึ้ง ฉะนั้นอย่าไปรังเกียจด้านที่ตรงกันข้าม อย่าไปมองเห็นว่าทุกข์ก็ต้องเป็นทุกข์ ไม่แน่ในความทุกข์ที่สุดถ้าเรารู้จักพลิกความคิดได้ ในทุกข์นั้นจะมีสุข ในสิ่งที่เราว่าร้ายถ้าเรารู้จักพลิกความคิดให้เป็น ในร้ายนั้นอาจจะมีดี เหมือนความยากจน ความลำบาก ถ้ารู้จักพลิกตัวเองให้ขยัน ในความยากจนลำบากก็ทำให้เราร่ำรวยได้ แต่คนที่รวยแล้วพลิกไม่เป็นต้องจนแน่ๆ ความเป็นจริงของโลกไม่ว่าจะดีจนถึงที่สุด หรือร้ายจนถึงที่สุด แท้จริงแล้วก็สามารถพลิกกลับได้เสมอถ้าเรารู้จักพลิกกลับความคิดของเราให้เป็น
มนุษย์เรา ถึงที่สุดจากคนธรรมดาคิดอยากไปเป็นเจ้าคนนายคน แต่พอได้เป็นเจ้าคนนายคนแล้วอย่าพยายามดูถูกใคร เพราะเวลาที่เป็นเจ้าคนนายคนก็แค่ช่วงเวลาหนึ่ง สักวันหนึ่งเขาก็ต้องกลับมาเป็นคนธรรมดา ฉะนั้นเมื่อเราเป็นคนธรรมดา ก่อนที่จะขึ้นไปแล้วอยู่ตรงนั้น จงอย่าดูถูกเหยียดหยามหรือดูแคลนความรู้ใคร เพราะคนทุกคนถึงที่สุดแม้จะดิ้นไปสูงเท่าใด อย่างไรก็ต้องกลับมาเป็นสามัญชน ฉะนั้นต้องยอมรับความเป็นสามัญชนของตนเองให้ได้ แล้วเราจะตะเกียกตะกายไปถึงไหน เราก็มีความสุข แต่ถ้าแค่ความเป็นธรรมดาเรายังรับไม่ได้ ยิ่งตะเกียกตะกายไปเรายิ่งทุกข์ใจ เหมือนคนที่นั่งอยู่ที่นี่ถ้าคิดว่าจะต้องรวย เพื่อที่ใครๆ จะได้นับหน้าถือตาฉัน เขาต้องเคารพฉันก่อนนะ ฉันถึงจะเคารพเขา ฉันต้องมีเงินก่อนฉันถึงจะเป็นคนดี ทำดี และรู้จักทำดียิ่งๆ ขึ้น ศิษย์น้องชอบเป็นอย่างนี้ใช่ไหม ใครพูดดูถูกนิดหนึ่ง ไม่เอาแล้วไม่ทำความดีแล้ว ใครด่าก็บอกว่าไม่เอาแล้วไม่ทำดีกับเขาแล้ว ทำไมจะต้องปล่อยความดีของเราให้ถูกครอบงำด้วยอารมณ์ความคิด พออารมณ์ครอบงำจะไปไหนก็ไปไม่ได้ เพราะติดอยู่กับความคิดของตัวเอง อันนี้ฉันไม่ชอบ ไม่เอา พอจะทำอะไรก็เลยทำไม่ได้ เพราะติดขัดไปหมด รู้สึกขัดหู ขัดตา ขัดใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นทำดีทำไปเถอะ อย่ากำหนดว่าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้ากำหนดเมื่อใดก็กลายเป็นการสร้างกรงขังครอบกายและใจเราเอง แล้วเราสร้างบ่อยไหม บ่อย ขอมีเงินก่อนแล้วค่อยมาไหว้พระ ขอทำธุระให้เสร็จก่อนค่อยมาฟังธรรม แล้วเมื่อใดจะได้ฟังธรรมะ เมื่อไรจะวางลงสักที มีเท่านี้ก็ยังไม่พอ บางคนบอกว่าขอให้ถูกลอตเตอรี่แล้วจะทำบุญมากๆ แบบนี้แม้บาทเดียวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เอา สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยากได้คนที่มีใจที่จะให้ การที่จะให้ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเงิน แรงก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นแรงก็ได้ เอาแค่พูดดีๆ แล้วคำพูดอะไรที่ช่วยคนได้ทั้งชีวิตและจิตใจ และทำให้เขามีแนวทางของชีวิตและจิตใจ ช่วยให้เขามีธรรมะดีไหม (ดี) และมีธรรมะอย่างไรเรายังมีไม่พอ มาฟังที่นี่ก็ได้ รู้สึกที่นี่มีธรรมะเยอะ ใช่ไหม (ใช่) มีธรรมะพร้อมจะแจกจ่ายเอาไปเลย เขาให้ ดูซิใครเขาจะมาไหมใช่หรือเปล่า บอกเขาไป โลกนี้เงินซื้อความสุขไม่ได้นะ ใช่หรือไม่ (ใช่) มีแต่ธรรมะที่สอนให้เรารู้จักหล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้เต็ม เหมือนการนั่งอยู่ที่นี่สามวัน ยังคิดไม่ได้ คิดไม่เป็น คิดตายตัว เมื่อไรจะจบเสียทีเล่า คิดอย่างนี้ทั้งปีก็ไม่มีความสุข เพราะว่าอะไร แล้วใครเล่าไปตีกรอบความคิดเราอยู่เพียงแค่นี้ ไม่ใช่ความรู้สึกเราเองที่ขังเราไว้หรือ ใช่ไหม (ใช่)
“คนรู้พอยอมรับสิ่งพึงได้มา ถึงดีร้ายไม่นำพาใจเปลี่ยนแปลง
น้ำยังมีวันขึ้นและลงได้ ไม่ต่างชีวิตไปเป็นสัจธรรมแท้”
ไม่ต่างกับชีวิตเราใช่หรือไม่ (ใช่) ยอมรับเถอะมีสุขก็มีทุกข์ มีได้ก็มีเสีย มีคนที่รักเราก็ต้องมีคนที่เกลียดเรา ฉะนั้นวันไหนโดนคนเกลียดก็อย่าโกรธ เป็นธรรมดาใช่หรือไม่ (ใช่) มีใครรักเราก็อย่าหลง ความไม่หลง ความมีสติและไม่ประมาทอยู่เสมอจะทำให้เรามีชีวิตอย่างเป็นสุขได้ใช่ไหม (ใช่)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานผลไม้ให้ผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่าหกสิบห้าปี)
รู้เรื่องบ้างไหมผู้อาวุโส นั่งฟังอย่างลำบากเรารู้นะ ใครอายุมากกว่าหกสิบห้า อยากได้ผลไม้ไหมเพราะอุตส่าห์นั่งทนฟังนานขนาดนี้ใช่ไหม
วันนี้เรารีบมาแล้วรีบไปดีกว่า เดี๋ยวท่านกลับดึก เพราะหลายท่านมาจากต่างจังหวัดใช่ไหม (ใช่) ขับรถขับรากันดีๆ แล้วก็ดูแลตัวเองกันดีๆ
“ฝึกรับความเป็นจริงไม่เปลี่ยนแปร มีสู่ไร้ชนะสู่แพ้ไม่สำคัญ”
ถึงที่สุดของชีวิตเดินไปสู่ความไม่มี ก็จงก้มหน้ายอมรับ แม้ชีวิตบางครั้งจะให้บทเรียนที่กลืนยากก็ตาม ใช่หรือไม่ (ใช่) บางครั้งเจ็บต้องรู้จักตัดทิ้ง บางครั้งหวานอมขมกลืนก็ต้องกลืนมันลงไปใช่หรือไม่ (ใช่) ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ยอมรับทุกบทเรียนของชีวิต ต้องดูแลตัวเองให้ดี กลับมาศึกษาบำเพ็ญอีก เสียสละมาช่วยคนอื่น ดีไหม (ดี) อย่ามัวแต่หาเงิน เมื่อถึงเวลาก็เอาอะไรไปไม่ได้ ฉะนั้นสู้เอาเวลาของชีวิตไปสร้างกุศล ด้วยการไปช่วยเหลือคน ไม่ดีกว่าหรือ อย่าปล่อยให้บนฟ้าไม่มีพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่าปล่อยให้นรกเต็มไปด้วยคนที่อยากเดินลงไปเลย ขึ้นไปสวรรค์บ้าง สวรรค์ขึ้นได้ถ้าท่านยอมขึ้นและยอมฟันฝ่าอุปสรรค กิเลส ความอยาก อยากให้น้อย แล้วเอาเวลาที่อยากนี้ไปช่วยคน ลองดูนะ ไปแล้วนะ
โอวาทซ้อนพระโอวาท “ใช้ชีวิตอย่างผู้รู้ค่า”
เวลาคือชีวิตคือความประเสริฐ คุ้มไหมที่เกิดมาใช้ชีวิต
หาจนเหนื่อยว่างก็เที่ยวหลงจนติด ทุกวันคิดวิ่งตามอยากไม่เคยพอ
ทุกข์ทางกายยังรู้หาทางแก้ แต่ในใจที่ยังแพ้วนเวียนก่อ
เริ่มวันนี้ฝึกลดละสุขรู้พอ มีเวลาสละตนต่อเพื่อเวไนย
มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน รู้เท่าทันความคิดอารมณ์ไหว
สรรพสิ่งล้วนคือหนึ่งเดียวต่างกันไป เห็นแจ้งในมีสู่ไร้ใจสู่ธรรม
พระอาจารย์เมตตาให้แก้บทเพลงพระโอวาท ที่ได้ในวันอาทิตย์ที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๑ ณ สถานธรรมฉือฮุ่ย ต.จันดี จ.นครศรีธรรมราช
โอบภาระเต็มบ่าดวงตาอิดโรยเหงา แก้เป็น รับภาระเต็มบ่าดวงตาอิดโรยเหงา
รับปัญหาเสียเหนื่อยจำความสุขได้ไหม รออยู่ภายในแต่ไม่เจอ แก้เป็น รับปัญหาเสียเหนื่อยจำความสุขได้ไหม รออยู่ข้างในแต่ไม่เจอ
ใช่เป็นทุกข์เพราะขัดสนใด แต่เพราะครองใจทนไม่เป็น แก้เป็น ใช่เป็นทุกข์เพราะขัดสนใด แต่เพราะครองใจแทบไม่เป็น
แม้ชีวิตที่จริงนั้นแสนจะสับสน ปัญญาของตนอยู่ข้างใน แก้เป็น แม้ชีวิตที่จริงนั้นแสนจะสับสน ปัญญาของตนซ่อนข้างใน
เพลง เข้มแข็งเข้าไว้
รับภาระเต็มบ่าดวงตาอิดโรยเหงา คนที่แบ่งเบานั้นอยู่ไหน ถือตนนี้ว่าถูกทำตัวอย่าบอกใคร จึงไร้มิตรเยื่อใยกับตน
รับปัญหาเสียเหนื่อยจำความสุขได้ไหม รออยู่ข้างในแต่ไม่เจอ คอนภาระก้มหน้ายอมทนจนพร่ำเพ้อ ใจไม่เจอหลักธรรมไม่ทนทาน
*จงรู้ปัญหาจริงของตัว ปัญหาจริงอันน่ากลัวคือหลงไป ใช่เป็นทุกข์เพราะขัดสนใด แต่เพราะครองใจแทบไม่เป็น ชีวิตมองหาธรรมะเสริม ชีวิตเดิมแข็งแรงจนรู้ได้ คนนั้นมักเข้าข้างตนจนไปใหญ่ มองออกได้สุขในความทุกข์เคยมี
แม้ชีวิตที่จริงนั้นแสนจะสับสน ปัญญาของตนซ่อนข้างใน ทุกข์ช่างเถอะระมัดระวังตนเข้าไว้ สงสารตนมากไปไม่ดีหรอก ( ซ้ำ * จนจบ)
ทำนองเพลง : ทะเลใจ
(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรมที่มายืนรอพระอาจารย์ด้านนอกห้องพระ ก่อนที่พระอาจารย์จะเข้าห้องพระ)
มายืนทำอะไรกัน (รอพระอาจารย์) ถ้าอาจารย์ไม่มาจะผิดหวังกันแย่ไหม สงสัยอาจารย์จะใจดีไปหน่อย ต้องดุ ๆ กว่านี้หน่อย ถึงจะไม่รู้สึกอยากจะรอใช่ไหม (รอพระอาจารย์ตลอด) ถ้าเกิดวันหนึ่งอาจารย์ดุกว่านี้จะรอหรือไม่ (รอ) สงสัยต้องลองจัดงานประชุมธรรมแบบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มาเลยสักสามวัน ดูซิว่าจะเป็นอย่างไรกันบ้าง (ไม่ได้) พอปีหนึ่งผ่านไป นักเรียนเหลือนิดเดียวหรือเปล่า อย่ายึดติดมาก อาจารย์มาก็ด้วยความจำเป็น อาจารย์พูดบ่อย ๆ ใช่หรือเปล่า แต่ศิษย์ต่างหากคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโลกของแท้แน่นอน เมตตาคนให้เยอะ ๆ ยิ่งเมตตาเรายิ่งเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือเปล่า แต่ว่าเรายังโดนว่าบ้าง โดนติบ้าง โดนชมบ้าง ถามว่าระหว่างคำชม คำติ คำอะไรที่เราต้องรู้สึกประทับใจ แล้วเก็บมามากที่สุด คำชมนั้นศิษย์บอกว่าน่าประทับใจมากที่สุดใช่ไหม แต่จริงๆ คำชมไม่น่าประทับใจเลย เพราะคำชมไม่ค่อยทำให้คนก้าวหน้า เป็นคำติต่างหากที่ทำให้เราก้าวหน้า คำอะไรที่เจ็บที่สุดเลย (คำติ) คำว่ากับคำตินี่ฟังแล้วมันเจ็บกระดองใจที่สุดเลยใช่หรือเปล่า แต่ว่ามันเป็นยาขนานเอกที่สุดที่เราต้องเก็บมาจำมาเตือนตนและเก็บมาทำให้มีประโยชน์ให้ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)
a