วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

2551-05-24 สถานธรรมฮุ่ยจื้อ จ.บุรีรัมย์


西元二○○八年歲次戊子四月二十日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมฮุ่ยจื้อ จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง

ตัวอยู่ใกล้แต่ใจกลับไกลห่าง ตัวอยู่ห่างแต่ใจใฝ่ถวิล
กายใจห่างแต่ใจฝันโบยบิน ลืมแม้ถิ่นอันเดิมไม่อยากคืน
เราคือ
เสี่ยวผีเซียนถง (小皮仙童) รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามทุกท่านฟังธรรมะเบื่อหรือยัง

ใช้เข้มแข็งอดทนและเข้าใจ มองออกไปไกลกว้างได้เสรี
พลัดพรากจากหรือพบประสบมี เรื่องเพียงถึงใกล้นี้สงบใจ
สูงสุดแต่ไหนคืนสามัญหนา วัฏฏะเวียนท้ายมาหนีพ้นไม่
สังขารต้องกลับคืนตามเหตุปัจจัย สว่างมายังสงบไปห่างอนธการ
คืนสู่บ้านบ้านของกายาไม่ ศาลาใช่ของใจชั่วคราวผ่าน
เฝ้ายึดมั่นนานต้องร้าวชีวัน จากบ้านสังขารสิ้นยังห่วงอะไร
สิ่งเดิมอยู่ต้องเห็นคุณาจริง กระนั้นสิ่งที่ประหวั่นคือพอไม่
คนไหนกันสักคนสมถะใจ เติมว่างจนวางใจไม่วุ่นวาย

อย่าไปหลงอบายมุขบาปเจือจุน เดินตามทางบุญนั้นประจำไว้
ขาดศีลธรรมหากยังคะนองใจ เริ่มแล้วจบใช่ง่ายสนองคืน
ต่างทุกข์กันจวบจนเป็นชีวิต เหนื่อยลำบากสิ่งลิขิตใช่ฟ้ายื่น
เวรตามกรรมตนก่อสนองคืน พลิกชีวิตผันคืนตนกำหนดเอง
ฮิ ฮิ หยุด




หวั่นกลัว  ใจหมองมัวร้องไห้

สู่ความเห็นจริง  โปรดอย่าทิ้งบำเพ็ญ  (ซ้ำทั้งเพลง,       )
ไม่เอาหรอก เสียเวลาเปล่าๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
แต่เคยไหมว่า ถ้าเผอิญมีรถผ่านมาคันหนึ่งจะมาเฉี่ยวเราพอดี แต่มีต้นไม้ต้นนี้อยู่ ในตอนนั้นเราจะรู้สึกอย่างไร แต่ถ้าตอนนี้เราถอนทิ้งไปแล้ว
รถผ่านมา จะมาเฉี่ยวเราพอดี ไม่มีต้นไม้นั้นอยู่ เราก็ต้องหลบ แต่ถ้าหลบไม่ทันล่ะ เราก็โดนรถชนใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งของบางสิ่งบางอย่างอย่าวัดแค่ได้กับไม่ได้  หรือเพียงแค่มีคุณหรือมีโทษ บางทีเราต้องมองให้นานๆ ไม่อย่างนั้นแล้ว เราจะสูญเสียสิ่งที่บางทีเราคิดว่าได้กลับกลายเป็น (ไม่ได้) คิดว่าไม่ได้แต่แท้จริงอาจจะ (ได้)
บ่งบอกให้เห็นถึงจิตใจของคนเราได้ไม่มากก็น้อย ใครเป็นคนยิ้มเก่งอารมณ์ดี แปลว่าใจลึกๆ เขาก็ต้องมีความสุข มีความเย็นใจ  แต่ใครที่เป็นคนหงุดหงิดง่าย ขี้บ่น โมโหง่าย แปลว่าใจลึกๆ เป็นคนที่อารมณ์ไม่ดี ไม่มีความสุขใช่หรือไม่ (ใช่)
พูดทันทีเลยว่ามีความสุขใจ จริงหรือ (จริง)  ตอนนี้ใครคิดถึงบ้านบ้าง แปลกนะอยู่บ้านก็อยากออกข้างนอก พอออกข้างนอกก็อยากอยู่บ้าน เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  อยู่บ้านคิดว่าเมื่อไรจะได้ออกข้างนอกเสียที อยากออกจะแย่อยู่แล้ว นั่งไม่ติดก้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอออกตะลอนๆ ไปได้สักพักหนึ่ง กลับคิดว่าเมื่อไรจะถึงบ้านสักที อยากกลับบ้านแล้ว
ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์นี่เอาใจยากนะ เที่ยวไปไกลเที่ยวจนเหนื่อยสักพักหนึ่งก็คิดถึงบ้าน แต่พออยู่บ้านกลับไม่คิดอยากอยู่
ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น ใจเป็นตัวคิด เป็นตัวเริ่มต้น และเป็นตัวสิ้นสุด
ใจเป็นตัวนำพาปัญหา ฉะนั้นทุกสิ่งเริ่มต้นที่ใจและก็สามารถจบลงได้ด้วยใจ ถ้าเรารู้จักตัวตนเองเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ที่เรียกว่าธรรมะเป็นบ้านของหัวใจ ยังตอบไม่ได้  เพราะมนุษย์รู้จักธรรมะคือธรรมะแค่นั้น ใช่ไหม (ใช่)  มนุษย์รู้จักบ้านที่เป็นหลังที่ใช้อาศัยอยู่
แต่ถามว่าบ้านของหัวใจคืออะไร บางทีมนุษย์กลับไม่รู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถึงที่สุด เมื่อสังขารนี้ไม่สามารถอยู่ต่อได้ แล้วเราจะกลับบ้านไหนล่ะ ก็ไม่รู้อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นก่อนที่จะรู้อะไรมากกว่านี้ ลองมาคุยกับเราก่อนดีไหม (ดี)
รู้ให้หมด รู้ให้ครบ ไม่อย่างนั้นแล้วความรู้ที่เรารู้นั้นแหละ จะทำให้เรากลายเป็นคนโง่ที่ด่วนสรุปเอาเองอยู่เสมอๆ ฉะนั้นอย่าเพิ่งคิดหรือมั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองรู้นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป เพราะบางครั้งสิ่งที่เรารู้เราเข้าใจอาจจะรู้ไม่หมดรู้ไม่ครบหรือรู้อย่างไม่เท่าทัน  เหมือนเรามองเห็นคนคนหนึ่ง ถ้าเขาเดินมาอย่างนี้นะ (สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาเดินให้ดู)  ท่านว่าเป็นอย่างไร (นักเลง, เมา)  ดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมคนเดินแบบนี้ต้องบอกว่าไม่ดีด้วยหรือ แล้วถ้าเดินแบบนี้ (สิ่งศักดิ์เมตตาเดินให้ดูอีกแบบ)  อย่างนี้ดีไหม (ดีมาก)  ดีมากเลยหรือ เราแค่เห็นแบบนี้เราก็ด่วนสรุปได้หรือ ต้องบอกว่ายังไม่รู้  จะมองแค่ท่าทาง จะมองแค่การเดินหรือจะมองแค่สิ่งที่เห็นไม่ได้ เพราะหลายคนเดินตรงแต่หัวใจคดงอ และหลายคนเดินคดงอ แต่หัวใจซื่อตรง ถูกหรือไม่ (ถูก)  บางคนเดินอย่างคนเมาหยำเปแต่จิตใจไม่เสเพล ฉะนั้นอย่างที่เราบอก เวลามองอะไรจึงอย่าได้เป็นคนด่วนสรุป รู้ต้องรู้ให้เท่ารู้ให้ทันรู้ให้หมดและรู้ให้รอบคอบ ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เราเห็นอาจจะลวงหลอกตาและหัวใจเรา
รู้ไม่ครอบ (ความประมาทในการใช้ชีวิต)  ความประมาทในการใช้ชีวิต ตอบได้ดีนะ
ใครตอบได้  ความโกรธก็มีส่วน คนเราถ้าใช้อารมณ์เป็นใหญ่ เวลาทำอะไรก็ย่อมยากลำบาก  แล้วอารมณ์อะไรที่เกิดขึ้นกับตัวเราบ่อยที่สุด (การพูดที่ไม่มีเหตุผล)  รักโลภโกรธหลง เขาตอบได้ดีนะ หนีไม่พ้น นั่นก็คือความอยากหรือความหิว  ใจของมนุษย์หิวบ่อยไหม (บ่อย)  แล้วหิวอะไรที่สร้างปัญหามากที่สุด (หิวเงิน)  หิวเงินแล้วถ้าเกิดเอาแต่ได้ถ่ายเดียว หรือปลูกผักผลไม้ปลูกข้าวหวังจะโลภเอาประโยชน์โดยไม่นึกคำนึงถึงผลเสียที่ตามมา คนนั้นก็เป็นคนหิวที่น่ากลัวใช่หรือไม่ (ใช่)  โดยเฉพาะถ้าอยากจนกระทั่งตาลายแยกไม่ออกว่าอะไรดีอะไรชั่ว เวลาเราอยากมีความรักมากๆ เคยตาลายไหม เคยไหมฝ่ายชาย (เคย)  แล้วฝ่ายหญิงล่ะเป็นไหม (เป็น)
สิ่งนั้นก็จะทำร้ายเราโดยไม่รู้ตัวใช่หรือไม่ (ใช่)
๑ ตัว เด็ก ๑ คน พ่อ ๑ คน และชาวบ้านอีกสัก ๔ คน
อันนี้ชมว่าดีแต่อันนั้นไม่ดีเลย
เจ็บแสบ กระทำออกมาทีก็กระแทกกระทั้นตึงตัง  ฉะนั้นควรพูดด้วยการถ้อยทีถ้อยอาศัย
ให้เขาชอบ แต่คนในบ้านไม่ต้องคิดหรอกเดี๋ยวเขาก็ให้อภัยเรา ใช่ไหม (ใช่) ยิ่งกับคนในบ้านต้องรู้จักค่อยๆ พูด ค่อยๆ จา พูดอย่างมีความเอื้อเฟื้อจริงใจต่อกัน
การกระทำที่ดีต่อกันได้ แต่เรามักจะไม่ค่อยยอมทำ และเรามักจะบอกว่า เราจะเป็นคนดีได้ เราจะมีคุณค่าได้ก็ต่อเมื่อเขาเป็นคนดีให้เราเห็นก่อน เขาสร้างคุณค่าให้เรารู้สึกภูมิใจเสียก่อน ใช่หรือไม่
จงพยายามมองหา ค้นหาสิ่งที่ดีๆ ให้แก่กัน และพยายามแจกความรู้สึกที่ดีนั้นออกไปให้เขาได้รับรู้ เหมือนการที่เรามานั่งฟังตรงนี้ อย่าเอาแต่รอที่จะได้ แต่จงพยายามหา หาดูสิมีอะไรดี แล้วพยายามบอกให้เขารู้ว่า คุณยิ้มอย่างนี้ดีมากๆ  เห็นทีไรก็รู้สึกชอบ นี่คือการกระจายความสุข อย่ารอความสุขจากภายนอก เขาสร้างความสุขมาแล้วเราถึงจะสุข
อย่างนี้เราต้องรออีกเมื่อไหร่ ใช่ไหม (ใช่)
หมอดูนะ ชีวิตนั้นอยู่ที่กำมือเราเป็นผู้กำหนดเองได้  ถ้าฟ้าจะให้เราทุกข์ แต่หัวใจฉันจะมีสุข ฟ้าก็ทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าคนเขาจะด่าให้เราเจ็บปวด แต่เรากลับคิดว่าก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้เข้มแข็งสักทีหนึ่ง ฉะนั้นไม่มีใครกำหนดชะตาชีวิตของเราได้ นอกจากตัวเราเอง อย่าเอาชะตาชีวิตไปฝากไว้กับผู้อื่น อย่าสร้างคุณค่าด้วยการที่ต้องให้คนอื่นสร้างคุณค่าก่อนแล้วเราถึงจะคิดสร้างคุณค่า เช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่ากระทำเลย ใช่หรือไม่
(ศีล ๕)  เกิดเป็นคน ถ้าศีล ๕ ยังรักษาไม่ครบ ก็ไม่สามารถเรียกว่าคนดีได้ เพราะการปฏิบัติศีล ๕ ได้ครบ ก็คือการลด ละ สิ่งที่ชั่ว และ
หล่อเลี้ยงบ่มเพาะความดีงามให้ปรากฏ แต่ทำอย่างไรล่ะ เมื่อเกิดเป็นคนก็ยังโกหกเก่ง ฆ่าสัตว์ก็ยังชอบฆ่าสัตว์อยู่ ฉะนั้นจึงมีแค่ศีล ๕ อยู่ที่วัด หาใช่อยู่ที่หัวใจและการปฏิบัติไม่ สิ่งง่ายที่สุดคือ อย่าโกหก แต่มนุษย์ยังรักษาไม่ได้ คำพูดที่ซื่อตรง ยังรักษาไม่ได้ แล้วใครจะเชื่อใจ
ไม่ออกว่าอะไรควร อะไรไม่ควร
ใช่ไหม (ใช่)  แล้วคนเรา พอโกหกครั้งหนึ่งก็ต้องมีสอง พอมีสองก็ต้องมีสาม จบสิ้นไหม (ไม่จบสิ้น)  จนกว่าจะสำนึกยอมรับว่าฉันผิดไปแล้วที่โกหก เพราะเราโกหกคนนี้ได้ เราก็ต้องโกหกคนอื่นต่อไปอีก พอโกหกครั้งที่หนึ่งแล้ว ก็ต้องโกหกเป็นครั้งที่สอง แล้วยังต้องโกหกเป็นครั้งที่สามที่ยากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนการที่คนเราทำผิด ขโมยของเล็กๆ ได้หนึ่งอย่างแล้ว ต่อไปก็ขโมยของที่ใหญ่ขึ้น และใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ได้อีก ใช่หรือไม่
อันประเสริฐแห่งความเป็นคนยังคงอยู่ นั่นย่อมประเสริฐยิ่งกว่า อย่าเห็นว่าเงินสำคัญ อย่าเห็นว่าเกียรติยศสำคัญ พระพุทธะล้วนมองว่า คุณค่าทางจิตใจสำคัญยิ่งกว่าคุณค่าของเงินทองและทรัพย์สินเสียอีก
บนแดนดิน หรือการปูทางเดินไปสู่ความเป็นคนอันประเสริฐที่มนุษย์กำลังจะทอดทิ้งและมองข้ามไป  มนุษย์มักจะมองว่าเราเป็นคนที่ดีไม่ได้หรอก ทั้งที่จริงๆ แล้วดีได้ ถ้ารู้จักพยายามขวนขวายทำ  แล้วการทำความดีก็ไม่ใช่เรื่องยาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)
พลัดพราก ทุกข์จากการสูญเสีย ทุกข์จากสิ่งที่รักไม่เป็นดั่งใจหวัง เราควบคุมตัวเองก็ยากแล้ว การจะควบคุมผู้อื่นให้เป็นดั่งใจเราทั้งหมดย่อมเป็นไปไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
นั่นแหละทำให้เราเจ็บปวด มีรักก็มีทุกข์ ไม่มีรักจะทุกข์หรือ แต่บางทีอาจจะสุขก็ได้ ถ้ารู้จักทำใจให้เป็น เพราะแต่ก่อนเราไม่มีรัก ตัวคนเดียวเราก็อยู่ได้ แต่ก่อนเราไม่ร่ำรวย เรามีเงินแค่สิบบาท ยี่สิบบาท เราก็เป็นสุขได้ แต่ทำไมตอนนี้พอเงินร้อยบาทกลับมาเป็นสิบบาท กลับทำใจไม่ได้ แต่ก่อนเราไม่มีคนที่เรียกว่าคนรัก เราก็อยู่ได้นี่ เราก็ยังหายใจได้นี่
แต่ทำไมตอนนี้พอมีคนรักแล้วเขาเปลี่ยนเป็นไม่รัก ทำไมเราถึงทำใจไม่ได้ หายใจได้ไม่คล่อง เพราะเรากำลังยึดมั่นเกินไปหรือเปล่า แล้วในโลกนี้พูดกันไปให้ถึงที่สุด ว่ากันไปให้ถึงที่สุด เรากำลังทุกข์กับสิ่งที่มีไม่ใช่หรือ
มีตัวตน มีหัวใจ บางครั้งสำหรับคนที่มีใจรักเขามากเกินไป ทำตัวไร้หัวใจบ้างดีไหม (ดี)  ไร้หัวใจให้เป็นนะไม่ใช่ไร้แบบตายด้านไม่รักไปเลย
เราต้องยืนอยู่ระหว่างการได้และการสูญเสียให้เป็น ระหว่างทุกข์กับสุข เราต้องครองสติให้มั่นคง อย่าปล่อยให้ความทุกข์ลากเราไปจนลืมความสุข และอย่าปล่อยให้ความสุขนำพาเราหลงระเริงจนลืมความทุกข์ เพราะโลกนี้มีสองด้านเสมอนะ แล้วตอนนี้เราวิ่งไปสู่ด้านอะไร อย่าหลงกับมัน สักวันหนึ่งต้องกลับมาสู่อีกด้านหนึ่งให้เป็นด้วย
อยู่ที่ว่าเรื่องราวมุมไหนจะหันมาให้เราเจอเท่านั้นเอง และหัวใจเราชอบ
สิ่งไหนมากกว่ากันเท่านั้นเอง พอชอบสิ่งนี้ สิ่งที่ไม่ชอบก็คือความทุกข์
ใช่หรือไม่ พอเรารับสิ่งนี้ได้ สิ่งที่ตรงข้ามเราก็รับไม่ได้ ฉะนั้นไม่มีอะไร
รับได้และไม่มีอะไรรับไม่ได้ ดีหรือไม่ แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องน่างงเลย เพราะมนุษย์แบ่งแยก คนสวย ๆ ผอม ๆ คือคนที่ฉันชอบ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คนสวยกลายเป็นอ้วนคือคนที่ฉันเกลียด ฉะนั้นถ้าเราไม่กำหนด จะมีอะไรที่ทำให้เราต้องทุกข์
รู้หรือเปล่า  ธรรมะพาชีวิตเรากลับบ้านเดิมไหม  หรือว่าความประพฤติที่ไม่รู้จักรับผิดชอบ  นำพาเรากลับสู่บ้านที่ไม่ใช่บ้านของเรา คนที่ปฏิบัติดี
มีคุณธรรมจะเป็นแรงหนุนที่นำพาเราคืนสู่บ้าน แต่คนที่เลือกปฏิบัติชั่วประพฤติผิดประพฤติร้าย แรงหนุนนั้นจะทำให้ท่านตกต่ำลงไปสู่ที่ที่ไม่ใช่บ้านของท่านที่จากมา มนุษย์เรารู้จักกลับบ้านของเรา แล้วใจล่ะ บ้านอยู่ที่ไหน บ้านเดิมของใจอยู่ที่ไหน เคยหาบ้างไหม
(ไม่คุ้ม)  ไม่คุ้มเลยด้วยซ้ำไป วันนี้ถ้ากินอะไรเหม็นๆ ก็ยังหาอะไรแก้ให้หายเหม็นได้ ทานส้มตำเหม็นๆ ก็ให้อมลูกอม หรือไม่ก็แปรงฟันล้างให้สะอาดใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเคยดมหัวใจเราบ้างไหม ว่าหอมหรือเหม็น เคยดูไหม (ไม่เคย)  อย่างนั้นไม่ต้องดมหัวใจก็ได้ แล้วลองถามสิว่า

ชื่อเราหอมหรือเหม็น (หอม)  เวลาใครพูดถึงชื่อเราปุ๊บ เขาพูดอย่างไรมากกว่ากัน เหมือนกันเวลาหน้าเราไปอยู่ที่ไหน เขายิ้มหรือเขาเมิน
(เห็นแก่ตัว) หรือเปล่านะ
ทุกที่น่ะสะอาด แต่ตัวของสุนัขเองนั่นแหละที่สกปรก ฤๅษีจะช่วยรักษาให้” ตอนแรกเขาก็ยังไม่เชื่อฤๅษี เขาก็นึกว่าเพราะว่าที่มันสกปรก จนกระทั่งฤๅษีรักษาจนหาย คราวนี้ไปนอนที่ไหนก็ไม่คันแล้วก็รู้สึกเป็นสุข
คนก็กลัว ฤๅษีก็บอกว่าได้ แต่เจ้าต้องประพฤติดี เมื่อไหร่ที่ทำตัวผิดคุณธรรมเมื่อนั้นจากสิงโตจะกลายเป็นหมาขี้เรื้อนที่คันทั้งตัวและใจเหมือนเดิม หมาเป็นอย่างไรตบปากรับคำทันที ไม่มีบิดพริ้ว พอได้เป็นสิงโตก็ดีใจ  ไปอยู่ที่ใดใครก็กลัว ใครก็เกรง ใครก็เคารพ แต่พอมีอำนาจมากๆ มีใครบ้างไม่หลง มีใครบ้างไม่เหลิง มีใครบ้างไม่ลืมตัว วันหนึ่งสิงโตตัวนี้ก็ไปเจอสิงโตตัวเมีย เลยอยากแต่งงานด้วย สิงโตตัวเมียก็เลยบอกว่า ต้องพาเธอไปหาพ่อแม่ฉันก่อน  พอพาไปหา พ่อแม่ของสิงโตตัวเมียก็อยากรู้ว่า สิงโตตัวนี้มีกำพืดมาอย่างไรล่ะ เอาล่ะสิ
สักวันหนึ่งต้องจับได้ เขาเลยคิดฆ่าฤๅษีเลย น่ากลัวไหม (น่ากลัว)  ทำให้คืนนั้นเขาก็เลยแอบย่องไปหาฤๅษี แต่ฤๅษีฉลาดไหม (ฉลาด)  อย่างน้อยมีอิทธิฤทธิ์เสกให้เขาเป็นสิงโตได้ แล้วจะไม่มีญาณทิพย์ที่สามารถหยั่งรู้ใจเขาได้หรือถูกไหม (ถูก)  พอสิงโตย่องเข้ามาใกล้ฤๅษี แตะตัวฤๅษีเท่านั้นแหละ จากสิงโตก็กลับกลายเป็น (หมาขี้เรื้อน)  ทันทีเลย แปลว่าเขาแพ้อะไร (แพ้ใจตัวเอง)
ที่พยายามหาความสุขมาใส่ตัวเอง ก็เพราะว่าไม่พึงพอใจในสิ่งที่ตัวเอง
พึงมี พึงได้ ไม่รักในสิ่งที่ตัวเองควรมีควรได้ แต่ไปรักในสิ่งที่ตัวเองยังไม่มีแล้วอยากได้ แล้วผลสุดท้ายเราจะต่างอะไรกันไหมกับนิทานเรื่องนี้ ไม่ต่างเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วพอเราแพ้ใจตัวเอง กลับเดินไปสู่หนทางที่ผิด ก็ยิ่งเท่ากับฆ่าตัวเองให้ตายทั้งเป็นไวยิ่งขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉันเมาคนเดียวนี่ คนอื่นไม่ได้เมาด้วย คนอื่นเดือดร้อนไหม (เดือดร้อน)  แต่กินไหม (กิน)  เหล้าก็ไม่เคยมีมือกวัก บุหรี่ก็ไม่เคยมีมือเรียก แต่ทำไมมนุษย์ช่างขยันเดินไปหา  กินแล้วดีกับตัวเองไหม (ไม่ดี)  รักตัวเองไหม (รัก)  แต่ยังกินไหม (กิน)  อย่างนี้อย่าบอกว่ารักตัวเองเลยนะ
(ไม่ดี)  แล้วยังมีไหม (มี)  เวลาโกรธแค้น เวลาไม่พอใจ เวลาที่เขาเป็นไม่ได้ดั่งใจเรานั้น สิ่งที่เราจะสามารถเอาชนะใจตัวเองได้ ก็คือเปลี่ยนความโกรธเป็นการให้อภัย เปลี่ยนความชิงชังไม่ชอบใจเป็นพยายามทำความเข้าใจดีกว่า เก็บความแค้นไว้ก็เหมือนเราเก็บแอปเปิ้ลไว้กับตัว
ทุกวันเก็บไว้ แอปเปิ้ลเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเก็บไว้แล้วไม่กินเลยดีไหม (ไม่ดี)  ทำไมล่ะ (เน่า)  เน่าแล้วยังเก็บไหม (ไม่เก็บ)  พอมันเหม็นแล้วก็ต้อง (ทิ้ง)  แต่ความโกรธเก็บไว้นานๆ เน่าไหม (เน่า)  พอนึกทีไรก็ทำให้โกรธทุกทีแล้วหน้าก็บึ้งตึงทุกที  ฉะนั้นในหัวใจอย่าเก็บสิ่งที่ไม่ดีไว้ แต่รู้จักเลือกเก็บสิ่งที่ดีที่งามไว้ไม่ดีกว่าหรือ แล้วในหัวใจเราเก็บอะไรไว้มากกว่าความดีหรือความไม่ดีของคนอื่น
ดินเป็นความหนักแน่นและขุ่นมัว ทำไมใสกับขุ่นมัวเมื่อประสานกันได้
ลงตัวก็กลายเป็นมนุษย์  เหมือนกันเราอยู่ในสังคมมีทั้งคนที่ (ดี, ไม่ดี)  ในโลกนี้ต้องมีคนที่ (แข็ง)  กับคนที่ (อ่อน)  ฉันใดก็ฉันนั้น โลกใบนี้ย่อมมีคนที่แข็งกร้าวและมีคนที่อ่อนโยน  คนบางคนก็แข็งยิ่งกว่าอะไรดี คนบางคนก็อ่อนเสียจนไม่เป็นตัวของตัวเอง เช่นนี้ก็ไม่ดี ฉะนั้นถ้าจับสองคนมารวมกันแล้วหารได้ก็ย่อมดี  แต่เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้)  ฉะนั้น อ่อนจึงช่วยเสริมแข็ง แข็งจึงช่วยธำรงค์ความอ่อนให้มั่นคง ถูกหรือไม่ (ถูก)
ก็ตอบได้ดีแต่จริงๆ แล้วเมตตาเป็นความอ่อนนะ ตอบอะไรคิดให้ดีๆ ก่อนนะ ในตัวท่านอะไรแข็งอะไรอ่อน (ส่วนที่อ่อนก็คืออ่อนแอต่อสิ่งยั่วยุภายนอกรอบข้าง)  สิ่งยั่วยุภายนอกทำให้ใจเราอ่อนแอ แต่จริงๆ แล้วถ้าใจไม่แพ้นะมองอย่างไรก็ไม่แพ้ อย่างที่เขาเรียกว่าบำเพ็ญธรรมต้องรู้จักเปิดปิดตาหูให้เป็น เรารู้จักเปิดปิดตาและใจเราให้ได้ (ความอ่อนโยน, ความดื้อไม่ฟังใคร)  เคยเห็นความอ่อนโยนชนะความแข็งไหม  สตรีที่อ่อนหวานมักทำให้ชนะหัวใจผู้ชาย แล้วเราล่ะมีอะไรที่อ่อนไหวง่าย (ความรัก)  ถ้าอย่างนั้นรักอย่างมีสตินะ อย่ารักอย่างเห็นแก่ตัว แต่ก่อนจะรักคนอื่นเป็นต้องรักพ่อแม่ตัวเองให้เป็นก่อน มีที่ไหนรักคนอื่นเป็นแต่รักพ่อแม่ตัวเองไม่เป็น ไม่ถูกต้องนะ  รักคนอื่นได้แต่รักพ่อแม่ตัวเองไม่ลงนี่หาเรียกว่าคนกตัญญูไม่
แต่ถ้าเกิดเมื่อไหร่ กระทบปุ๊บหันมอง ตอนนี้ใครรู้สึกอย่างไร พอโกรธอย่าผสมโรง มองแล้วบอกว่าเย็นเข้าไว้ อดทนไว้ให้อภัยได้ไหม
หันกลับมามอง เวลามีอะไรมากระทบ ปัญหาจะบานปลายไหม แล้วสิ่งที่เป็นปัญหาจะเรียกว่าปัญหาอีกต่อไปไหม (ไม่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่มีอะไรมากระทบกระแทกกระเทือนใจ หรือบีบคั้นให้เจ็บปวดใจ อย่าเพิ่งหันไปมองออกแต่หันมองเข้า มองเข้าดูว่าใจตัวนี้อภัยได้ไหม แล้วอย่าสร้างกรงขังตนเองในใจ ขังความรู้สึกอย่างนั้นให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วคอยทิ่มแทงใจให้เจ็บปวด ไม่ดีเลย ปล่อยไป อภัยไป ใช่ไหม (ใช่)  คำพูดเขาลอยมาจะมาอยู่ในใจเราได้ไหม ถ้าใจเราไม่ไปรองรับ
ไม่ต่างกันเลย
ไม่เหมือนให้เงินให้ทอง เหมือนเลี้ยงลูกก็เลี้ยงได้แต่ตัวแต่หัวใจเลี้ยงไม่ได้ แต่ถ้าเลี้ยงด้วยธรรมเลี้ยงได้ทั้งตัวและหัวใจนะ
คุณงามความดีที่คนคนหนึ่งประพฤติต่อคนคนหนึ่งอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ความดีอะไรในใจล่ะที่เราจะเอาชนะเขาได้ และเป็นโซ่ที่ล่ามให้เขาคิด
ไม่อยากคิดทำร้ายใคร และเป็นคนดีของคนในสังคม
ใช่หรือไม่  จิตใจที่เข้มแข็งเอาชนะกิเลส อบายมุขได้ ใช่ไหม (ใช่)  ความดีอยู่ใกล้แต่ความชั่วอยู่ไกล แต่มนุษย์มีหัวใจที่กลับตาลปัตรกลับกลายเป็นมองเห็นความชั่วอยู่ใกล้ ความดีอยู่ไกล เพราะความไม่รู้และความหลงผิดไป ถูกหรือไม่ (ถูก)  ใครซื่อสัตย์เราก็จงซื่อสัตย์ตอบ ใครคดโกงเราก็จงให้อภัยตอบ ใครดีมาเราดีตอบ ใครร้ายมาเราอดทนดีตอบไม่ได้หรือ วันนี้ก็คงแค่นี้ เกิดเป็นคนจิตสำนึกคุณอย่าได้หายไปจากหัวใจนะ วันนี้ขอบคุณทุกๆ คนที่ทำให้ท่านได้มานั่งฟังสบายๆ อย่างนี้สักคำหนึ่งดีไหม (ดี)  ขอบคุณผู้ปฏิบัติงานธรรมทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์บรรยายธรรม อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม คนที่ยืนข้างๆ คนที่ทำครัว ล้วนเป็น
ผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน ฉะนั้นเราขอบคุณมาจากใจดีไหม (ดี)  ขอบคุณผู้ปฏิบัติงานธรรมทุกท่านได้ไหม (ได้)  (ขอบคุณผู้ปฏิบัติงานธรรม
ทุกท่าน)  ขอบคุณจากใจเรานะ วันนี้เราได้รับสิ่งที่ดีๆ จากผู้อื่น ต่อไปเราจะเป็นผู้หนึ่งที่ยอมเสียสละสิ่งดีๆ ให้ผู้อื่นบ้าง ดีไหม (ดี)  จะได้ฟังธรรมสองวันแล้วไม่เสียเปล่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงวันนี้เราก็คงต้องกลับแล้ว เสียเวลามาเยอะแล้วนะ

ดั่งใบไม้ต้องลมพัดพา สุดเหว่ว้าไม่อาจฝืนตน ร่วงหล่นไร้ทิศทางดิ้นรน  ดั่งเมฆฝนเลื่อนลอย
มีชีวิตไม่อาจบงการหัวใจ  สุดแก้ไขกับตัวของตัว ค่ำย่ำเช้าทุกวัน
วางปัญหาเรื่องราวฝังใจ หากสิ่งไหนต้องทำรู้จริง ตื่นจากฝัน

ทำนองเพลง : สิ่งสุดท้ายคือเธอ
พระโอวาทท่านเสี่ยวผีเซียนถง
ดูทีวีได้ความสนุกสนาน แต่ฟังธรรมะได้อะไร (ได้ความรู้)  แล้วฟังธรรมะรู้สึกเป็นอย่างไร ดีไหม (ดี)  ส่วนใหญ่มนุษย์เคยชินกับการได้รับมากกว่าการให้  ฉะนั้นเวลาจะทำอะไร หรือจะออกไปไหน ไปทำสิ่งใดก็ตาม มักจะถามตัวเองก่อนเสมอ ออกไปแล้วได้อะไร ถ้าไปแล้วไม่ได้อะไร ออกไหม (ไม่ออก)  ส่วนใหญ่คิดว่าอยู่บ้านเฉยๆ ดีกว่า ถ้าไปแล้วเสีย
เพราะมนุษย์เราอยู่ด้วยกันมักคิดว่าเธอต้องมีประโยชน์กับฉัน  ฉันถึงอยากจะออกไปพบเธอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเช่นนั้นสมมติว่า ท่านมีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง เดินออกมาก็เจอต้นไม้ต้นนี้ มองแล้วเกะกะจัง ดูแล้วต้นไม้นี้ไม่มีประโยชน์ใดเลย สิ่งที่ท่านทำเป็นอย่างแรกคือถอนทิ้ง ใช่หรือไม่
ในชีวิตเราเพราะอะไรหนอที่ทำให้เราเสียโอกาสดีๆ ไปหลายรอบ เพราะความคิดแค่เพียงได้กับไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างเช่น ฟังธรรมะแล้ว เรารู้สึกว่าไม่เห็นได้อะไรเลย กลับบ้านดีกว่า ถูกไหม (ไม่ถูก)  ธรรมะวัดกันแค่หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมงได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องวัดกันนานๆ เหมือนการที่เรามองต้นไม้ มองครู่เดียวได้ไหม ทำไมมองครู่เดียวไม่ได้ล่ะ ต้นไม้เราถ้าปล่อยนานๆ ก็มีร่มไม้ให้อยู่
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนมีคุณประโยชน์ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น แต่ดวงตาของเราจะมองเห็นคุณประโยชน์หรือโทษมากกว่าเท่านั้นเอง เคยไหมว่าใจคิดอย่างไรตาก็เห็นเป็นอย่างนั้น ถ้าเรารู้สึกชอบ มองอะไรก็ดูดีไปหมด แต่ถ้าใจไม่ชอบแล้วมองอย่างไรก็ไม่ดี เกะกะลูกหูลูกตา ฟังธรรมะวันนี้ก็จะรู้สึกเบื่อ เมื่อไรจะจบสักที ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นการแสดงออกของนิสัย ของคำพูด หรือการกระทำล้วน
วันนี้ฟังแล้วรู้สึกเป็นอย่างไร อารมณ์ไม่ดี ไม่มีความสุขใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  อย่างนั้นแปลว่าวันนี้ฟังแล้วรู้สึกเป็นอย่างไร (มีความสุข)  
มีอีกแบบหนึ่งที่ทั้งตัวและหัวใจไม่เคยคิดอยากกลับบ้านเลย เคยเป็นไหม (เคย)  ทำไมถึงเป็นล่ะ (อยากตัดจากทางโลก)  อยากตัดจากทางโลกจริงๆ หรือ  (แต่ก็เป็นไปได้ยากเพราะเรายังมีความรับผิดชอบอยู่)  มีความรับผิดชอบ ก็ตอบได้ดีนะ ใช่ คนบางคนเบื่อกับความจำเจของบ้านตัวเอง อยากไปหาที่ที่ดีกว่า แต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองฝันอยู่นี้จะมีจริงในโลกหรือไม่
มนุษย์ทุกคนผู้หญิงมักฝันถึงอัศวินม้าขาว ผู้ชายมักจะฝันถึงนางฟ้าแสนสวย และก็จะฝันเหมือนกันคือต้องมีบ้านอันร่มเย็นและเป็นสุข แต่ถามว่าบ้านที่ตัวเองอยู่นั้นรู้สึกร่มเย็นเป็นสุขไหม ในบ้านมีนางฟ้าไหม แล้วในบ้านเรามีอัศวินไหม ไม่มี เพราะมองคุณพ่อเป็นเหมือนพญามัจจุราช มองคุณแม่เหมือนนางยักษ์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในบ้านจึงเป็นเหมือนอย่างที่มีคนบอกไว้คือเหมือนเป็นนรก เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า
ในโลกนี้มีอัศวินขี่ม้าขาวสมบูรณ์แบบเพียบพร้อมให้เราไหม (ไม่มี)  มีคนดีพร้อมไม่มีที่ติไหม (ไม่มี)  มีนางฟ้าที่บันดาลทุกสิ่งทุกอย่างที่เราคิดปุ๊บก็ให้ปั๊บมีไหม มีแต่คิดอย่างหนึ่งแต่ให้อีกอย่างหนึ่งใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นมนุษย์เราเมื่อเริ่มต้นก็ไม่พอใจ พอไม่พอใจก็เฝ้าหวัง พอเฝ้าหวังแล้วเราจะได้สมดั่งใจไหม บางทีไปถึงแล้วกลับรู้สึกว่าไม่เห็นดีเลย อยากจะกลับก็กลับไม่ได้ ใช่หรือไม่
เคยเห็นผีเสื้อไหม ผีเสื้อเวลาดูดเกสรดอกไม้ ดอกนี้น้ำหวานเยอะดี แต่พอมองไปอีกดอกหนึ่ง ดอกนั้นใหญ่กว่าก็บินไปดูดน้ำหวานจากดอกนั้น แต่ปรากฏว่าเป็นอย่างไร ยิ่งใหญ่ยิ่งสวยน้ำหวานยิ่งเยอะ กลับทำให้ตายไวก็มี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้น มนุษย์เราควรพอใจสิ่งพื้นฐานที่ตัวเองมีอยู่ก่อน ไม่อย่างนั้นแล้วจะเฝ้าแต่ปรารถนาฝันโน่นฝันนี่ จะหาอย่างไรก็แทบจะไม่มีความสุข ถ้าเรายังไม่สามารถยืนอยู่บนพื้นฐานแล้วมีความสุขได้ เราอยากหาความสงบ แต่ถ้าใจเราไม่สงบไปอยู่ที่ใดมันก็ไม่สงบ
พอฝันไปไกลมากๆ อยากทำสิ่งนั้นอยากทำสิ่งนี้มากๆ ถามว่าบ้านเดิมอยู่ที่ไหน บางทีก็ตอบไม่ได้ อยากกลับบ้านเดิมของตัวเองบ้างไหม ร่างกายนี้มีบ้านหลังเป็นบ้านใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วใจเรามีอะไรเป็นบ้านที่อยู่แล้วทำให้เรามีความสงบสุข (มีธรรมะครอบครองจิตใจ)  มีธรรมะครอบครองจิตใจไว้ เรามีธรรมะครอบครองใจทำให้เรามีความสุข แล้วธรรมะข้อไหนล่ะที่ใจกลับมาอยู่แล้วเรามีความสุข บ้านก็คือที่ที่ทำให้เรามีความสุข แล้วใจเรามีอะไรเป็นบ้านที่ทำให้เรามีความสุข (ความว่างเปล่า)  แล้วท่านอยู่กับความว่างเปล่าได้มีความสุขไหม (ไม่มี)
คำถามนี้ไม่ใช่ว่าให้ตอบเราทันที ความหมายของเราก็คือว่า มนุษย์เรารู้ว่าตัวเรามีบ้านหลังเป็นบ้านของเรา อย่างนั้นถามท่านว่าหัวใจของเราหรือจิตใจของเรามีอะไรเป็นบ้านที่ทำให้เราหลบจากที่วุ่นวายมาหาความสงบได้ (ธรรมะ, มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ)  เวลามีธรรมะแล้วใจสงบไหม (สงบ)  มีธรรมะเป็นบ้าน ใช่ไหม แต่ถามว่าธรรมะที่มีคืออะไรล่ะ
สิ่งที่ทำให้มนุษย์เรามีปัญหาบ่อยๆ และเมื่อเกิดปัญหาก็ทำให้เราต้องเสียใจ และเสียดายกับสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นคืออะไร
อย่างที่หนึ่ง ก็คือความใจร้อน  เวลาทำอะไร ขอให้เสร็จไว้ก่อน มัวแต่มุ่งถึงความสำเร็จ จนลืมระยะทางที่จะเดินไปให้ถึงความสำเร็จว่าจะต้องใช้ความอดทน ใช้ความพยายามมากน้อยแค่ไหน  เหมือนการที่เราเรียนหนังสือ สิ่งที่เรามุ่งหวังที่สุดและก็อยากจะไปให้ถึงที่สุดก็คือ เมื่อไหร่จะจบการศึกษาเสียที คิดถึงแต่อย่างนี้ จึงทำให้เรานั้น บางทีก็สอบได้ดี บางทีก็สอบไม่ได้ดี ใช่หรือไม่ เวลาเรียนบางทีก็ฟังรู้เรื่อง บางทีก็ฟังไม่รู้เรื่อง เพราะมัวแต่คิดถึงเป้าหมายจนลืมหนทางที่ควรจะก้าวด้วยความพากเพียรพยายาม ด้วยความระมัดระวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเวลาเราทำงานหรือเมื่อเรามีชีวิตอยู่ ถ้าเรามัวแต่หวังผลประโยชน์แต่เราลืมคิดความระมัดระวังในทุกก้าวขณะที่เดิน ก็อาจจะทำให้ผลประโยชน์ที่เรามัวแต่มุ่งหวังไปไม่ถึงก็เป็นได้ เพราะทำอะไรด้วยความใจเร็วและด่วนอยากจะได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
มีอะไรอีกไหม ที่เวลามีชีวิตอยู่แล้วสร้างปัญหาให้กับตัวเรา อย่างที่สอง ที่มนุษย์ชอบเป็นกัน คือ ความไม่รู้เท่าทัน เวลารู้อะไรจากใครมาก็รู้ไม่หมดแล้วชอบด่วนสรุป ฟังคนโน้นพูด คนโน้นเขาว่า จำได้ว่า “เขาว่า” แต่ถามว่า “ให้ไปถามจนชัดเจนก่อนดีไหมว่า เขาว่าอะไร” ก็มักจะตอบว่า “ไม่” ก็โกรธแล้ว ใช่ไหม (ใช่)  เวลาเราฟังอะไรนั้น จึงต้องรู้จักฟังหูไว้หู แต่เวลามองเราก็ต้องรู้จักฟังแล้วก็ต้องรู้จักคิดด้วย อย่าเอาแต่มองโดยที่ไม่ฟังแล้วก็ไม่ (คิด)  หรืออย่าเอาแต่คิดโดยที่ไม่มองแล้วไม่ฟัง
ฉะนั้นเวลาเราอยากรู้อะไร หรือได้รับรู้อะไรจึงต้องรู้ให้เท่าทัน
มีอีกอย่างหนึ่งที่มนุษย์ชอบเป็นคืออะไร ที่เกิดขึ้นทีไรก็สร้างปัญหาให้มนุษย์ทุกรอบ ความเห็นแก่ตัว ใช่ไหม ที่เวลาคิดอะไรแล้วเอาตัวเองมากไว้ก่อน เอาตัวเองเป็นใหญ่ไว้ก่อนซึ่งมักจะนำความเดือดร้อนมาสู่เราเป็นนิจศีล หรือทำความเสียใจให้เราบ่อยๆ ไป ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีอะไรอีกไหม ความใจร้อน ความรู้ไม่เท่า รู้ไม่ทัน รู้ไม่ครบ
มีอะไรอีกที่เวลาเกิดขึ้นทีไร ถ้าไม่ระมัดระวังอาจจะสร้างผลเสียหายได้ทั้งต่อตัวเราและต่อผู้อื่น มีบ่อยๆ (ความโกรธ) อะไรอีก
อย่ารักจนตาลาย หรืออย่าโกรธจนตาลาย หรืออย่าโลภจนตาลาย เพราะว่าถ้าเราโกรธจนลายหรือรักจนตาลาย จะทำให้เรามองไม่เห็นว่าอะไรควรอะไรไม่ควร อะไรถูกอะไรผิดแยกไม่ออก เมื่อแยกไม่ออกก็มีโอกาสที่จะทำผิดง่ายกว่าที่จะทำถูกใช่ไหม (ใช่)  แล้วเราหิวบ่อยไหม (บ่อย)  สามมื้อแล้วบางทีเติมแล้วยังอยากเป็นสี่มื้อด้วยใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วยังมีรอบพิเศษคือของหวานด้วยใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ก็คือความหิวที่เติมเท่าไรก็ไม่มีวันอิ่ม กินเท่าไรก็ไม่มีวันพอ หัวใจของมนุษย์เป็นเหมือนถังที่ไร้ก้นบึ้ง ฉะนั้นบางครั้งเราต้องรู้จักเติมก้นบึ้งให้หัวใจรู้สึกหยุดเสียบ้าง เพราะไม่อย่างนั้นความหิวของเราจะทำให้เราท้องอืดหรือท้องแตกตาย อยากอะไรมากเกินไปความอยากของ
ข้างนอกฝนตกหนัก หัวใจของท่านก็มีฝนตกหนักด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  หัวใจเลยวุ่นวายหาความสงบไม่ได้เลย แม้ตัวนั่งอยู่ที่นี่แต่ใจมัวคิดว่า บ้านเราจะเป็นอย่างไรบ้าง ตอนอยู่บ้านก็ไม่ค่อยห่วงหรอก พอออกมาข้างนอกถึงจะห่วงบ้าน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  รู้สึกว่าฟังมากๆ ท่านจะเบื่อ เราเล่านิทานให้ท่านฟังดีกว่า เล่าแบบมีภาพให้ดูด้วยดีไหม ต้องมีม้า
เคยได้ยินนิทานเรื่องนี้ไหม มีพ่อกับลูกอยากออกไปข้างนอกบ้านก็เลยขี่ม้าไปด้วยกัน ลูกก็นั่ง พ่อก็นั่งด้วยพอไปได้สักพักหนึ่ง มีคนบอกว่า “พ่อลูกคู่นี้ใจร้ายจริงๆ ๒ คนรวมกัน ม้าก็รับน้ำหนักไม่ไหวอยู่แล้ว ยังจะให้ม้าต้องเดินไปไกลๆ อีก” พ่อและลูกต่างก็ได้ยิน พ่อก็เลยลงจากม้า ให้ลูกนั่ง ปรากฏว่าพอพ่อจูงม้าไปอีกสักพักหนึ่งก็มีคนพูดว่า “ไอ้ลูกนี่มันไม่กตัญญูเลยจริงๆ ปล่อยพ่อเดินจูง ตัวเองนั่งสบายใจเฉิบ” คราวนี้พ่อทำอย่างไร อุ้มลูกลง พ่อนั่งเอง ใช่ไหม ลูกจึงลงไปจูงม้าให้พ่อนั่ง แต่พอเดินไปได้สักพักหนึ่งมีคนเห็นก็พูดอีกว่า “พ่อใจร้ายปล่อยลูกตัวกระจิ๊ดเดียวจูงทั้งม้าจูงทั้งพ่อ” คราวนี้เขาทำอย่างไร ลงจากรถทั้งคู่เลย แล้วก็เดินจูงม้าไป พอเดินไปอีกก็เจอคนพูดว่า “โง่จริงๆ เลยมีม้าแล้วไม่รู้จักขี่” จบแล้ว
ได้อะไรจากเรื่องนี้หรือไม่  สิ่งหนึ่งที่เวลาเราอยู่ในโลกแล้วยากที่เราจะทำตัวเป็นคนที่ดีแล้วถูกใจทุกคนก็คือ “นานาจิตตัง” คนมีหลากความคิด ถ้าเราขลาดกลัวที่จะเผชิญกับปัญหา ขลาดกลัวที่จะเผชิญกับอุปสรรคเราก็จะไม่ต่างอะไรกับพ่อลูกที่กำลังขี่ม้า ทำนิดหนึ่งโดนคนว่าก็เปลี่ยน ทำอีกนิดหนึ่งโดนคนด่าอีกก็เปลี่ยนอีก แล้วอย่างนี้ชีวิตเราต้องเปลี่ยนกี่รอบล่ะ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีใครบ้างในโลกนี้ที่ทำอะไรแล้วไม่โดนคนด่าเลย (ไม่มี)  อยู่เฉยๆ ก็โดนว่า “ขี้เกียจ”  พอทำมากเกินไปก็โดนหาว่า “งก”  เธอนะขยันเกินไป บ้างาน  ทำบ้างไม่ทำบ้างก็โดนว่า “ฉลาดนะ เข้าใจอู้เป็นระยะๆ”  ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้อย่าเป็นคนขลาดกลัว เพราะถ้าเราขลาดกลัวแล้วเราจะเป็นคนที่ไม่กล้าทำอะไรเลย ต้องยอมรับว่ามีคนจึงมีปัญหา มีชีวิตก็ต้องมีอุปสรรคเป็นธรรมดา เอาแต่กลัวคนว่า กลัวคนติ กลัวคนบ่น ท่านก็คงทำอะไรไม่ได้ดีหรอก แล้วก็จะกลายเป็นคนที่ปล่อยเวลาผ่านไปโดยที่ไม่สามารถสร้างสรรค์อะไรได้เลย เพราะความ “ขลาดกลัว”  แล้วเราเป็นแบบนี้ไหม
เคยไหมว่าปกติเขาก็ทำดี แต่เผอิญวันหนึ่งเขาทำดีแล้วได้รับผล เราถึงค่อยชม แปลว่าสิ่งที่เขาทำมามันไม่ดีเลยหรือ ฉะนั้นเวลาจะชมหรือจะยกย่องใคร เราต้องรู้จักทำให้ดี ไม่อย่างนั้นสิ่งที่ชมก็จะกลายเป็นว่า
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้พี่เลี้ยงแสดงละครประกอบนิทานที่ท่านเล่า)
เคยเห็นไหมว่าบางครั้งสิ่งที่รู้ เห็นเหมือนกัน พอเวลาถ่ายทอดออกมากลับเป็นเพี้ยน กลับผิดพลาดไป ฉะนั้นถึงวันนี้เราฟังในสิ่งเดียวกัน รับรู้สิ่งเดียวกันแต่บางทีพอเวลาถ่ายทอดต่อๆ กัน ก็อาจจะเกิดความผิดพลาดหรือเพี้ยนได้ เหมือนเวลาใจเราคิดอย่างหนึ่งแต่ปากเรามักจะพูดอีกอย่างหนึ่ง เป็นอย่างนั้นไหม (เป็น)  ฉะนั้นท่านลองคิดดูนะ คนโดยส่วนใหญ่ชอบความชุ่มชื่นใจ ฟังอะไรก็อยากฟังแล้วชื่นใจ เหมือนกันต้นไม้หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยง ถ้าเกิดว่าพื้นดินแห้งแล้งเกินไป แม้สัตว์หรือต้นไม้ก็ไม่ค่อยอยากอยู่ อยากได้ความชุ่มชื่น ฝนตกทีหนึ่งก็ทำให้เราชุ่มชื่นใจใช่หรือเปล่า (ใช่)  แล้วท่านคิดว่าหัวใจของมนุษย์ล่ะ ชอบความแห้งแล้งหรือชอบความชุ่มชื่น (ชุ่มชื่น)  ใครๆ ก็ชอบความชุ่มชื่นใช่หรือไม่
แล้วอะไรล่ะที่ปฏิบัติต่อกันแล้วเรียกว่านำความชื่นใจมาสู่กัน ไม่ใช่ความแห้งแล้ง เจ็บปวดและร้าวรานใจ มนุษย์รู้ว่าต้นไม้ถ้าแห้งก็เติมน้ำ สัตว์ถ้าเกิดผอมโซก็รู้จักบำรุงเลี้ยง แล้วถ้าเกิดจิตใจเรารู้สึกแห้งแล้ง เราเติมอะไรให้แก่กัน (น้ำใจและรอยยิ้ม)  นั่นก็คือแค่คำพูดดีๆ ต่อกัน ไม่ใช่อ้าปากพูดออกมาก็ถากถาง พูดออกมาอีกทีก็วิจารณ์เสียดสี
พูดอย่างไรให้เราฟังแล้วชื่นใจ (พูดด้วยความรัก ความเมตตา)  พูดด้วยความรัก ความเมตตา แล้วเคยพูดกับพ่อแม่จริงๆ ไหม (เคยบ้าง)  เคยบ้าง แล้วส่วนใหญ่เป็นรักหรือไม่รักมากกว่ากัน ไม่รักมากกว่าใช่ไหม เรามักจะปฏิบัติกับคนใกล้ตัวด้วยความที่พูดไม่ค่อยคิด ทำอะไรไม่ค่อยระมัดระวัง แต่กลับไปปฏิบัติกับคนอื่น พูดทีคิดแล้วคิดอีก ว่าพูดอะไรดี
แล้วมีอะไรอีก โดยส่วนใหญ่เรามักจะบอกว่า เขาพูดดีมา เราถึงจะ (ดีตอบ)  เขามีความเคารพต่อเรามา เราถึงจะเคารพเขาตอบ แปลว่าสิ่งดี คุณค่าดีๆ ที่จะออกจากตัวเราได้ต้องเกิดขึ้นต่อเมื่อมีคนทำภายนอก แล้วเราถึงจะนำออกสู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แปลว่าความสุขของเราและความรู้สึกดีๆ ของเราต้องขึ้นอยู่กับคนตรงกันข้ามเสมอเลยใช่ไหม (ไม่ใช่)  ส่วนใหญ่มนุษย์บอกว่าตอนนี้ไม่ใช่ แต่ถึงเวลามนุษย์ก็บอกว่า ให้เขาดีกับฉันก่อนสิ ฉันถึงจะดีตอบ ให้เขาให้ฉันก่อนสิ ฉันถึงจะให้ตอบ เขาต้องเห็นคุณค่าฉันก่อนสิ ฉันถึงจะสร้างคุณค่าให้เขาเห็น ถูกหรือเปล่า (ไม่ถูก)  แต่ส่วนใหญ่มนุษย์มักจะเลือกที่จะเป็นเช่นนั้น ทั้งที่จริงๆ แล้วเราสามารถสร้างน้ำหล่อเลี้ยงความผูกสัมพันธ์ที่ดีงามด้วยกัน ปูพื้นฐานคำพูด
ฉะนั้นสิ่งที่เราอยากบอกอีกเรื่องหนึ่งก็คือ อยู่ร่วมกัน
เหมือนการที่มนุษย์มักเก็บรอยยิ้มไว้ให้เฉพาะคนที่ฉันรัก คนที่ฉันไม่รู้จักฉันไม่ต้องแจกรอยยิ้ม ทั้งที่จริงๆ แล้วการแจกรอยยิ้มเป็นสิ่งที่เป็นเรื่องง่ายที่สุดที่เราสามารถแจกจ่ายให้กับทุกคนได้ แต่มนุษย์กลับเก็บไว้ รอยยิ้มของฉันมีไว้สำหรับคนที่ฉันอยากยิ้ม และรักที่จะยิ้มให้เท่านั้น
เคยไหมหัวเราะกับคนนี้ พอเห็นหน้าอีกคนหนึ่ง (ทำหน้าบึ้ง)  ทำไมเราแจกรอยยิ้มเพิ่มอีกหน่อยจะเป็นอะไร ไม่รู้จะหวงยิ้มไปทำไม ทั้งที่การให้รอยยิ้มเป็นสิ่งที่ให้ได้ง่ายที่สุด ให้ไปแล้วคนก็รู้สึกว่าแปลกดีนะที่คนนั้นเขายิ้มให้ เคยไหมเด็กไม่รู้จักกันอยู่ๆ มายิ้มให้ จนผ่านไป เราก็รู้สึกว่าดีมีเด็กคนหนึ่งมายิ้มให้ ถามว่ารู้จักไหม ไม่รู้จักหรอกแต่ยิ้มให้เราหวานมากๆ
ฉะนั้นอยากให้บ้านมีความสุข อยากให้อยู่ที่ไหนก็มีความสุขอย่าเอาแต่รอ แต่เราต้องเป็นผู้กระจายและแจกจ่ายความสุขให้ด้วยการค้นหาความสุขของเขาให้เจอ ค้นหาสิ่งดีๆ ของเขาให้เจอ แล้วชมด้วยใจจริง เขาก็จะรู้สึกดี แล้วเขาก็จะพยายามกระจายสิ่งที่ดีของเขาเพื่อคนอื่นต่อไป
เหมือนวันนี้ถามว่าได้อะไรที่ดีบ้าง ไม่รู้หรอก ฟังไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่ากับข้าวอร่อยมาก ฉะนั้นเราจะกระจายความสุขได้อย่างไร เราก็เดินไปบอกแม่ครัวว่า วันนี้ส้มตำแซ่บหลาย  เชื่อไหมว่าคืนนี้แม่ครัวนอนยิ้มทั้งคืน ฉะนั้นเรารู้อะไรดีๆ จากเขา พยายามชมให้เขาเห็น เขาจะได้รู้ว่าเขามีดีอันนี้นะ พอเขารู้ว่าเขามีดีอันนี้เขาก็จะพยายามที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีนี้ต่อไป แต่มนุษย์เราอยู่ในโลกชอบจับผิดมากกว่าจับถูก ชอบเป็นผู้รับมากกว่าเป็นผู้ให้ เราอยู่ในสังคม จึงมีแต่สังคมที่คอยแต่จะมองกันในแง่ร้ายมากกว่าจะมองกันในแง่ดี คอยเห็นกันแต่สิ่งที่มีแต่ทุกข์มากกว่าสิ่งที่มีสุขใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นสิ่งสุดท้ายที่เราอยากบอกก็คือ อยู่ร่วมกันพยายามกระจายความสุขแล้วก็เผื่อแผ่ความสุขให้มากๆ หาให้เจอว่าคนนี้มีอะไรดีที่เราชอบที่สุด ชมเขาด้วยความใจจริง แล้วเขาก็จะจำได้ แล้วเขาก็จะมีใจที่จะทำสิ่งนั้นต่อไปเรื่อยๆ เริ่มต้นที่ตัวเราก่อนนะยากไหม (ไม่ยาก)  
มนุษย์ทุกคนอยู่ร่วมกันก็อยากได้คนที่ปฏิบัติต่อเราดีๆ มีใครไหม อยากให้คนอื่นมาประจานความไม่ดีของเรา (ไม่มี)  แต่ทำไมเราชอบประจานความไม่ดีของคนอื่นล่ะ อย่าลืมนะว่าการประจานสิ่งที่ไม่ดีของคนอื่นให้ผู้อื่นฟัง ผู้อื่นก็ใช่ว่าจะเกิดจิตสำนึกที่อยากจะทำดี ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนเวลาเรารู้สึกแย่ๆ แล้วเราพยายามกระจายสิ่งแย่ๆ ให้กับคนอื่น มีใครจะรู้สึกดีกับเรา แล้วช่วยให้เราดีขึ้นไหม (ไม่มี)  แต่กลับกันนะ ถ้าเรารู้สึกดีๆ แล้วเราพยายามพูดสิ่งดีๆ ให้คนอื่นฟัง คนอื่นก็รู้สึกชุ่มชื่นใจและอยากที่จะทำดีต่อไปเรื่อยๆ ไม่เหมือนการนินทาว่าร้าย ยิ่งนินทา ยิ่งพูดมากๆ เข้า ไม่มีใครที่ไหนหรอกที่ฟังแล้วเกิดความรู้สึกดี แล้วอยากทำดีไม่ทำชั่วตามที่คนนั้นนินทา มีแต่ฟังเสร็จแล้วเอาไปประจานต่อ ฉะนั้นอยู่ร่วมกันพยายามหาสิ่งที่ดีๆ แล้วสร้างสรรค์สิ่งที่ดีๆ ให้บังเกิดขึ้นมากๆ
เรายิ้มให้ เขายิ้มตอบ เราด่าเขา เขาก็ด่าตอบ สิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ คือ อดีตชาติที่เราเคยทำมา ฉะนั้นอนาคตเราจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับปัจจุบันนี้เราทำเช่นไร ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่ามัวแต่เอาชีวิตไปฝากไว้กับ
ความดี คุณค่าและความงามเกิดได้ด้วยตัวเราเองเป็นผู้กำหนดนะถูกไหม (ถูก)  ฉะนั้นเวลาเกิดอะไรขึ้น อย่ามองฟ้าแต่ต้องหันกลับมาถามตัวเองว่าทำอะไรไว้จึงได้เป็นเช่นนี้ และเมื่อเป็นเช่นนี้จะยอมแย่ลงไปเรื่อยๆ หรือจะพลิกตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเก่าใช่ไหม (ใช่)  และสิ่งที่บอกต่อเพิ่มเติมอีกนิดนั่นก็คือการศึกษาบำเพ็ญธรรม วันนี้เรามาฟังธรรมเพื่อศึกษาบำเพ็ญธรรม แล้วการศึกษาบำเพ็ญธรรมคืออะไร คือการขัดเกลาตัวตนของตนเองเพื่อกลับคืนจิตเดิม เพื่อค้นหาจิตเดิมหรือฟื้นฟูจิตเดิมให้ปรากฏ แต่ว่าเราจะกลับคืนจิตเดิมหรือฟื้นฟูจิตเดิมให้ปรากฏได้อย่างไร ถ้ามนุษย์ยังไม่รู้จักการประพฤติปฏิบัติที่ดีที่ชอบ
การปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นพื้นฐานที่มนุษย์ควรรู้ ควรปฏิบัติ นั่นคืออะไร อย่างแรกๆ เมื่อเราอยากเป็นคนดี สิ่งที่เราต้องรักษาให้ได้คือ
ไหนมือซ้าย มือขวา  รู้นะ ใช่ไหม ถ้าเช่นนั้น เราบอกว่าให้ท่านโกหกตัวเอง โดยคิดว่ามือขวาเป็นมือซ้าย มือซ้ายเป็นมือขวา ดูว่าท่านจะยกมือได้คล่องไหม เห็นไหมว่าการฝืนใจตัวเองยังยากขนาดนี้  แต่ถามว่า ยังโกหกเก่งไหม เก่ง ฉะนั้นอย่าโกหกจนเคยชิน ไม่อย่างนั้นจะแยกแยะ

(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ปรบมือ แต่สลับว่าบอกให้ปรบมือ ๑ ครั้ง ต้องปรบมือ ๒ ครั้ง เมื่อบอกว่าให้ปรบมือ ๒ ครั้งต้องปรบมือ ๑ ครั้ง)
การโกหกมันยากนะ แล้วอย่าลืมนะว่า คนเราพอโกหกเรื่องหนึ่งแล้ว ต้องมาโกหกอีกเรื่องหนึ่งจะจำไม่ได้ว่าโกหกเรื่องแรกไว้ว่าอะไร
เกิดเป็นคนแค่รู้จักรักษาศีลอย่างเดียวไม่พอ แต่เรายังต้องรู้จักที่จะ “ให้” มีศีลธรรมแต่เป็นคนที่เอาแต่ได้ ใครจะเรียกว่าคนนี้มีศีลธรรม เพราะการรู้จักให้จะช่วยลดความตระหนี่ถี่เหนียว และความยึดมั่นถือมั่นในวัตถุสิ่งของมากเกินไป
ฉะนั้นเกิดเป็นคนให้ได้ก็จงให้ และอีกอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของความเป็นคนดีคือความอ่อนน้อมถ่อมตน เพราะคนที่แข็งกระด้างคือคนที่ใกล้กับความตาย แต่คนที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนกับผู้อื่นเป็นคนที่สามารถอยู่ร่วมกับใครก็ย่อมมีความสุข การรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนจะช่วยลดอัตตาและความยึดมั่นถือมั่นในตัวเราให้ลดน้อยลง ใช่หรือเปล่า (ใช่)
แค่นี้พอหรือไม่สำหรับการเป็นคนดี มีอีกไหม (มี)  สิ่งนี้สำคัญและควรที่ผู้ปฏิบัติธรรม หรือผู้ฟังธรรมวันนี้ต้องพยายามมีก็คือการรู้จักฟังธรรมให้มาก ฟังให้มาก เพราะการฟังช่วยปรับความรู้ ความคิด ความเข้าใจของเราให้เหมาะสม ถูกต้อง ถ้าเราไม่รู้จักรับฟังคนอื่นเลย ความรู้ความเข้าใจของเรา อาจจะกลายเป็นความรู้ความเข้าใจที่ผิดๆ หรือเพี้ยนๆ หรือเห็นแก่ความคิดตัวเองเป็นหลักจนไม่ฟังใครก็เป็นได้ และการรู้จักรับฟังจะช่วยพัฒนาปัญญา ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนต้องรู้จักรับฟัง ไม่ว่าจะเป็นที่การพูดเรื่องธรรมะ หรือเรื่องอะไรก็ตาม
สิ่งที่มนุษย์ทุกคนปรารถนาคือความมั่งมีและครอบครัวที่เป็นสุข แต่ปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า “ถ้าให้ด้วยการดูถูกเหยียดหยาม แม้เงินนั้นจะมากค่าก็ไม่รับ ถ้าได้ตำแหน่งใหญ่โตและเงินอันสูงเกียรติ แต่ถ้าเกิดภูมิปัญญาหรือความสามารถเขาไม่ถึงเขาก็ไม่รับ” แต่คนปัจจุบันนี้หาเป็นเช่นนี้ไม่ แม้จะถูกดูถูกเหยียดหยาม หากเป็นเงินก้อนโต เขาก็ก้มหน้าที่จะรับ ยิ่งตำแหน่งใหญ่โตมีเกียรติสูง แต่ความสามารถไม่ถึง เขาก็พยายามดั้นด้นที่จะเอาและก็ยังจะทำ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถ้ามีอยู่ในตัวหรือในหัวใจของคนผู้ใด คนผู้นั้นก็เป็นคนที่ดูถูกคุณค่าของตัวเองให้ต่ำเตี้ยติดดินมากยิ่งนัก ใครดูถูกก็ดูถูกได้แต่อย่าดูถูกตัวเอง คุณค่าของตัวเองสามารถสร้างสรรค์ได้ อย่างอมืองอเท้าถ้าได้มาแล้วไม่ถูกกับหลักคุณธรรม ไม่ถูกกับความสามารถ อย่าได้รับเลย รับเมื่อไหร่ก็เป็นการดูถูกคุณค่าของตัวเองเท่านั้น
เกิดเป็นคนอย่าเอาแต่ได้ เพราะการที่ได้มาแล้วไม่ถูกต้องตามหลักคุณธรรมของความเป็นคน คนๆ นั้นก็เรียกว่า “ไม่ใช่ผู้ประเสริฐแล้ว” ในโลกนี้ไม่มีใครดูถูกให้เราเจ็บปวดได้เท่ากับตัวเราดูถูกหัวใจเราเอง ตัวเราประพฤติตัวเราให้ด้อยคุณค่าไปเอง มีเงินสูงแต่คุณธรรมในจิตใจต่ำก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะ สู้มีเงินน้อยแต่ความเป็นคนหรือคุณธรรม
ตื่นจากฝันสู่ความเห็นจริง  โปรดอย่าทิ้งบำเพ็ญ
ฉะนั้นการฝึกฝนบำเพ็ญก็คือการปูทางเดินไปสู่ความเป็นพุทธะ
ท่านว่าวันนี้มาฟังธรรมะ สิ่งที่ท่านได้ขัดเกลาออกมากที่สุดคืออะไร (กิเลส)  กิเลสอะไรล่ะ หัวหน้าจะตอบว่าอะไร (ความโกรธ กับความโลภ ความร้อนรุ่ม)  เป็นคนใจเย็นขึ้น ใช่ไหม (ความอยากได้อยากมี)
ชีวิตของมนุษย์นั้นไม่ใช่มีบทสุขอย่างเดียว ย่อมมีทั้งสุขและมีทั้งทุกข์ และสิ่งที่ทำให้มนุษย์เจ็บปวดที่สุดนั่นก็คือความสุขที่ไม่เป็นความสุขแต่กลายเป็นความทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  และสิ่งที่มนุษย์กลัวกันมากที่สุดก็คือความทุกข์ ทุกข์อะไรกันบ้างที่มนุษย์ไม่อยากจะเจอ ทุกข์จากการ
ชะตาชีวิตมีขึ้นมีลง คนที่เรารักก็ไม่ต่างกับชะตาชีวิตหรอก สามวันดี สี่วันร้าย วันนี้อยู่กับเรา แต่ไม่แน่หัวใจเขาอาจจะไม่อยู่กับเรา ฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้เปรียบเหมือนยืมของเขาใช้ เคยเห็นศาลาที่พักไหม ร่างกายเราก็ไม่ต่างอะไรกับศาลา เรามาพักบนศาลานี้สักวันหนึ่งเราก็ต้องออกจากศาลานี้ไป ฉะนั้นอย่าไปยึดมั่นกับสิ่งที่มีมากนักเลย เพราะความมี
ฉะนั้นอยู่ในโลกนี้ระหว่างความมีกับความไม่มี แล้วเราต้องยืนอยู่ตรงกลางให้ได้สมดุลเป็นสิ่งที่ยาก ระหว่างการได้กับการสูญเสีย
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานเพลงพระโอวาท
ทำนองเพลง : สิ่งสุดท้ายคือเธอ)
เหมือนเพลง ๆ นี้ ชีวิตเราก็เหมือนใบไม้ใบหนึ่ง ที่วันหนึ่งก็อาจต้องร่วงหล่นไป โดยที่ไม่มีใครจะฉุดรั้งได้ เหมือนหัวใจของเรา บางครั้งก็มีจิตใจที่กระตือรือร้น แต่บางครั้งจิตใจก็อ่อนล้าโรยแรง เราต่างอะไรกับพระอาทิตย์ล่ะ วันนี้มีขึ้นสักวันมีตก ถ้าขึ้นอย่างเดียวไม่ตกก็ผิดปกติแล้ว ฉะนั้นมีขึ้นมีตกนั่นแหละเรียกว่าชีวิต แต่ถ้าขึ้นแล้วไม่มีตกนั่นแหละเรียกว่าผิดปกติ มีได้ก็ต้องมีเสีย มีสุขก็มีทุกข์ มีสมหวังก็ต้องมีผิดหวัง นั่นคือความเป็นธรรมดาและเรียกว่าชีวิต ฉะนั้นอย่ายึดติดฝั่งนี้และไม่รับฝั่งนี้ เรียกว่าหลอกลวงตัวเอง มีได้ดั่งใจก็ต้องมี (ไม่ได้ดั่งใจ)  มีคนน่ารักก็ต้องมี (คนไม่น่ารัก)
แต่ถ้าเราอยากไปให้ถึงที่สุดคือ ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าสุข และไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าทุกข์ ไม่มีคนไหนที่ดีและไม่มีคนไหนที่เลว ใช่หรือไม่
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “คนไกลบ้าน”)
ท่านเป็นคนไกลบ้านไหม  สิ้นร่างกายนี้แล้วบ้านเราอยู่ไหน
เราทุกข์กับความรัก ทุกข์กับความมี ทุกข์กับคำพูดของคน แต่ถึงที่สุดแล้วสิ่งที่ท่านทุกข์ช่วยอะไรท่านไม่ได้ นอกจากบุญกรรมของความเป็นคน การประพฤติปฏิบัติของความเป็นคน ถ้าเราเลือกที่จะปฏิบัติดีมีเวลารู้จักช่วยเหลือผู้อื่น เอาเวลาที่เห็นแก่ตัวนั้นให้ลดน้อย และเอาเวลาไปเห็นแก่ผู้อื่นให้มาก แรงของการกระทำสิ่งที่ดีนั้นจะหนุนส่งให้เรากลับคืนสู่บ้าน บ้านที่ท่านทิ้งมานาน กลับบ้านได้แล้วนะ
เราบำเพ็ญธรรมเพื่อกลับคืนสู่บ้านเดิม บ้านที่ไม่ใช่ของกาย แต่เป็นบ้านของหัวใจดวงเดิม วันนี้เราก็จากบ้านมานานแล้ว เราจะกลับบ้านแล้วนะ วันนี้เราคงต้องจากลาท่านก่อน มีโอกาสเราก็คงได้ผูกบุญสัมพันธ์กันอีก มาศึกษาบำเพ็ญธรรมหาสิ่งที่ดีๆ ต่อกันนะ ไม่ใช่หาสิ่งที่เลวร้ายมาพูดกัน


วันอาทิตย์ที่ ๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมฮุ่ยจื้อ จ.บุรีรัมย์


พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
เห็นคนดีแปรเปลี่ยนไป หลงในสิ่งผิดยึดมั่น
หากชนะใจตนได้พลัน ดีนั้นกลับดีเหมือนเดิม
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

คำพูดทำร้ายใจตน พูดจนไม่อาจทำได้
นานเข้าค่อยนึกเสียใจ ทำไปขอให้คิดดี
ทุกวันหมั่นสร้างคุณงาม สามทานกอปรไว้ใจนี้
ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยดี จงมีเมตตาด้วยใจ
ชำระกิเลสอารมณ์ ยอมขมจึงกินหวานได้
อย่ากลัวลำบากเพียงใด ฝึกใจให้ได้อดทน
บำเพ็ญช่วยตนช่วยคน เพื่อชนยอมเสียเพื่อได้
ปล่อยวางความมีในใจ เพื่อไปสู่ว่างเสรี
ฮา ฮา หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
ก่อนเราจะมานั้น เห็นคนบางคนแอบสูบบุหรี่ เห็นคนบางคนหยิบสิ่งของที่ไม่ใช่ของตัวเองมาเป็นของตัวเอง  รู้จักเราก่อนดีไหมแล้วค่อยคุยกัน ดีหรือไม่ (ดี)
เราคือหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ ถามท่านว่าในน้ำขุ่นมีน้ำใสไหม (มี)  มีโดยทำอย่างไร บางทีแค่ปล่อยให้นิ่ง น้ำใสๆ ก็จะขึ้นมาเอง ส่วนตะกอนสกปรกก็จะตกลงไปอยู่เบื้องล่าง ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นที่มนุษย์พูดว่าตัวเองไม่สามารถเป็นคนดีได้ ตัวเองไม่สามารถทำดีได้ นั่นเป็นเพราะอะไร เพราะกำลังวุ่นวายใจอยู่ หรือกำลังยึดติดอยู่กับสิ่งที่ผิดๆ อยู่ ใช่หรือไม่ ถ้าให้ปล่อยวางสิ่งที่ผิดสิ่งที่วุ่นวายนั้นให้ลงด้วยใจที่สงบ เราก็จะมองเห็นว่าในน้ำขุ่นก็มีน้ำใส ในจิตใจที่หมองมัวก็ยังมีจิตใจที่ดีงดงามอยู่ ฉะนั้นในหัวใจของมนุษย์ทุกผู้ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี้ เราเชื่อว่าแม้จะทำผิดพลาดไปขนาดไหนแต่ถ้าสำนึกแก้ไขได้ ก็กลายเป็นคนดีดั่งเดิมได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่อยู่ที่ว่าทุกท่านที่อยู่ในที่นี้เลือกที่จะทำสิ่งใดให้กับชีวิต ใจเป็นผู้กำหนดความประพฤติปฏิบัติ ถ้าใจคิดดี หมั่นคิดดีไว้เสมอๆ การประพฤติปฏิบัติมีหรือจะผิดพลาด ก็คงไม่มี  แต่เป็นไปได้ยากตรงที่ว่า การทำดีเหมือนปีนที่สูง การใฝ่คิดร้ายหรือทำชั่วร้ายเป็นเหมือนการลื่นไหลลงสู่ที่ต่ำ เคยขึ้นไปมองบนเขาสูงๆ บ้างไหม (เคย)  เขาสูงเป็นอย่างไร (สวย)  และเหวที่ต่ำวิวเป็นอย่างไร (น่ากลัว)  มีแต่ความมืด มีแต่ความหมองมัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมยิ่งปีนไปที่สูงเท่าไหร่กลับมีแต่ความสดใสงดงามน่ามอง แต่ทำไมมนุษย์เราถึงเลือกที่จะลื่นลงต่ำมากกว่าพยายามปีนขึ้นสู่ที่สูงกัน
ท่านรู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี มานั่งฟังธรรมะรู้ว่าดี แต่ทำไมความพยายามในการอดทนจึงมีจำกัด มนุษย์เคยชินกับการปล่อยตัวปล่อยใจมากกว่าหักห้ามใจ แล้วอะไรที่ทำให้เรามีปัญหา ไมใช่การปล่อยตัวปล่อยใจหรือ แต่การรู้จักหักห้ามใจยับยั้งใจ กลับทำให้เรามีปัญหาน้อย แต่ถ้าเราจะปล่อยตัวปล่อยใจไม่ยับยั้งชั่งใจ รอไปแก้ปัญหาทีหลังคุ้มไหม
หากว่าให้ท่านเลือกระหว่างเป็นดอกไม้กับเป็นดิน ท่านเลือกเป็นอะไร (ดอกไม้, ดิน)  เพราะอะไรจึงยอมเป็นดิน (เพราะดินไม่ร่วง ดอกไม้ร่วง)  เข้าใจตอบนะ แน่ใจว่าดินไม่ร่วงหรือ ถ้าดินแห้งเป็นฝุ่นเมื่อไหร่ก็สามารถโดนลมพัดไปได้เมื่อนั้นนะ ถูกหรือไม่ (ถูก)  มีใครที่ตอบเป็นดินอีก ทำไมจึงเลือกเป็นดิน คนโดยส่วนใหญ่อยากเลือกเป็นดอกไม้ เพราะ (ดินรองรับได้ทุกสถานการณ์)  ตอบได้ดีนะ ทำไมจึงอยากเลือกเป็นดิน (ดินไม่มีวันสูญสลาย)  ดินมีวันสูญสลายไหม (มี, ไม่มี)  มีทั้งท่านที่บอกว่ามีและที่บอกว่าไม่มี แล้วดอกไม้ล่ะ ท่านมองว่าดอกไม้อายุสั้นแต่ดินอายุยืนนานกว่าถูกหรือไม่ (ถูก)
จริงๆ แล้วทั้งดินและดอกไม้ก็มีคุณค่าแตกต่างกันออกไป ถ้าเรามองคุณค่าอย่างสั้นๆ เราก็บอกว่าดอกไม้ก็ดี แต่ถ้าถามว่าแล้วดินล่ะ มีดีไหม ก็ดี เพราะมีดินจึงมีดอกไม้ แต่ถ้าไปเยี่ยมคนหรือให้กำลังใจคนเราจะเอาดินไปให้กำลังใจหรือเอาดอกไม้ไปให้กำลังใจ (ดอกไม้)  อ้าว ทำไมไม่เอาดินปั้นเป็นดอกไม้ล่ะ แล้วบอกว่าให้เธอแข็งแกร่งเหมือนดินที่เป็นดั่งดอกไม้  ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องรู้จักประยุกต์ รู้จักพลิกแพลงสิ ทำไมเราจึงมั่นใจว่าดินมีค่ากว่าดอกไม้ ก็แปลว่าเราเห็นคุณค่าในดิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เวลาเรามองดินเราก็อย่ามองอย่างตายตัว เราต้องรู้จักแปรสภาพดินให้เป็นดั่งใจเรานึกได้ด้วย แล้วดินก็จะมีคุณค่าอันเอนกอนันต์ เหมือนกันดอกไม้ถ้าเรารู้จักถนอมรู้จักรักษา เราก็สามารถทำดอกไม้นี้เป็นดอกไม้อันอมตะได้ มนุษย์มีวิธีรักษาดอกไม้ให้สดชื่นตลอดมิใช่หรือ เรายังรู้จักวิธีถนอมดิน รู้จักวิธีรักษาความสดชื่นของดอกไม้หรือความคงทนของดอกไม้ไม่ให้โรยราได้ แล้วทำไมหัวใจเราจึงรักษาความดีให้คงทนไม่ได้เล่า อยากนั่งหรือยัง (อยาก)
เมื่อครู่เราบอกว่าใจเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากรู้ว่าใจเราหอมหรือใจเราเหม็นก็ให้ดูที่ (หน้าตา)  หัวหน้าตอบหน้าตานะ อย่างนั้นลองดูหน้าหัวหน้าเราหน่อยได้ไหม หัวหน้าหน้าตาแบบนี้เป็นอย่างไร ลองทำหน้าเฉยๆ สิ ปกติหัวหน้ายิ้มอย่างนี้หรือเปล่า ดูหัวหน้าแล้วลองดูรองหัวหน้าหน่อยดีไหม เป็นอย่างไร (หน้ายิ้ม)
เวลาที่เรามีความสุขอย่าลืมนึกถึงคนอื่นด้วย อย่าให้ตัวเองสุขแล้วคนอื่นลำบาก อย่างนี้เรียกว่าคนเห็นแก่ตัว เราอยู่ในโลกเราสุขสบายบ่อยไหม วันนี้ได้กินสบายๆ โดยที่ไม่ต้องทำ ไม่ต้องล้าง แล้วเคยคิดจะเดินไปขอบคุณคนทำอาหารหรือคนล้างจาน บ้างไหม (เคย)  ได้แต่เคยแล้วเดินไปทำให้ถึงหรือยัง (ยัง)  ไม่ได้ทำเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนี้เรียกว่า
แล้วกลับไปได้ส่งยิ้มให้ใครบ้างหรือเปล่า (ส่ง)  ส่งยิ้มเฉพาะคนในบ้านใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เห็นบางคนก็ยังยิ้มไม่ค่อยจะออกนะ ก็น่าเสียดายนะที่ฟังธรรมแล้วยังกลับเป็นเหมือนเดิม หาได้สำนึกหรือว่าคิดจะแก้ไขปรับปรุงตนเองไม่ ถามท่านในที่นี้หน่อยว่า ท่านคิดว่าตัวท่านเองเป็นคนดีหรือเป็นคนที่ยังไม่ค่อยจะดี (ไม่ค่อยจะดี) ถามผู้ปฏิบัติงานธรรมนะ ท่านคิดว่าตัวท่านเองเป็นคนดีหรือเป็นคนที่ยังไม่ค่อยจะดี (ไม่ค่อยจะดี)  พูดไม่ค่อยจะเต็มปาก แปลว่ายังไม่ยอมรับนะ แล้วนักเรียนล่ะ ท่านว่าเป็นคนดีหรือเป็นคนที่ยังไม่ค่อยจะ (ไม่ค่อยจะดี)
การฝึกฝนบำเพ็ญธรรมก็คือ การฝึกฝนเพื่อเป็นคนดีหรือกลับคืนสู่ความเป็นคนดีที่มีอยู่ในใจดั่งเดิม หัวใจของมนุษย์นั้นมีความงดงามกันอยู่ทุกผู้ทุกคน แต่เพราะอารมณ์ของกิเลส อบายมุข หรือความชั่วร้ายบางอย่างบดบัง จึงทำให้เรามองไม่เห็นใจเดิมของเรา และอะไรล่ะที่มาบดบังใจทำให้เรากลายเป็นคนร้ายได้ ทั้งที่น่าจะดี มีหลายอย่างใช่ไหม (ใช่)  อย่างเช่น เป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง, โมโหร้าย, เป็นคนดื้อ, เป็นคนที่ห่วงแต่ตัวเองไม่ห่วงใคร สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถ้ามีอยู่ในหัวใจเรามาก ก็ง่ายที่จะทำให้เราคิดร้ายมากกว่าคิดดี จริงหรือเปล่า (จริง)  จริงหรือ คนห่วงตัวเองจะทำร้ายตัวเองไหม (ไม่ทำ)  พอเราพูดก็คล้อยตาม ไม่มีสติเลยนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  พยายามมีสติอยู่กับตัว สิ่งที่ทำให้เรานั้นง่ายที่จะเผลอไผลกลายเป็นคนไม่ดี นั่นก็คือ
ไม่มีสติสัมปชัญญะ
ไม่รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาป
ไม่มีคุณธรรมประจำใจ
ถ้าไม่มีสติก็ง่ายที่จะทำอะไรพลั้งผิดพลั้งพลาด ถ้าไม่มีคุณธรรมประจำใจก็ไม่มีอะไรเป็นเกราะคอยป้องกันความคิด ใช่หรือเปล่า (ใช่)
ใจของมนุษย์มีใจดวงเดียวหรือมีใจหลายดวง (ดวงเดียว)  ใครว่าดวงเดียวยกมือขึ้น ใครว่าหลายดวงยกมือขึ้น ก็ไม่ผิดนะ อย่างนั้นลองถามคนที่มีดวงเดียวนะ เวลาคนชมเรารู้สึก (ดีใจ)  เวลาคนว่าเรารู้สึก (เสียใจ)  ไหนบอกมีใจเดียว ทำไมเปลี่ยนจากดีใจเป็นเสียใจ ตกลงมีกี่ใจ (ใจเดียว, หลายใจ)  เริ่มเป็นสองแล้วนะ เวลาทำดีแล้วทำดีไม่ขึ้นรู้สึก (ท้อใจ)  อย่างนี้เรียกว่า (หลายใจ)  ไหนใครยังบอกมีใจเดียวอีก มีใจเดียวแต่รู้สึกหลายๆ อย่างใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นคนที่เวลาทำอะไรพอมีหลายๆ ใจแล้วทำได้ดีไหม (ไม่ดี)  ไม่ค่อยดีเท่าไรใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะมีชมด้วย แล้วหลายใจ แล้วเวลาตัดสินใจอะไรก็ยากลำบาก เหมือนตอนแรกมีคนชมเราก็ดีใจ แต่พอเขาบอกว่า โง่จริงๆ เลย รู้สึกว่าอย่างไร เสียใจทันทีเลยใช่หรือไม่ แต่ถ้าเกิดเขาชมด้วยแล้วบอกว่า “ไม่น่าโง่เลย” ในความรู้สึกเสียใจนั้นมีความรู้สึกละอายใจใช่ไหม แต่จริงๆ ถ้าเราฟังลึกๆ จากน้ำเสียงนั้น เขาอาจจะมีคำปลอบประโลมใจเราอยู่นะ คำว่า “ไม่น่าโง่เลย” ฟังให้ดีๆ อย่าฟังแค่คำว่า “โง่” อย่างเดียว เหมือนเวลาเราฟังคำพูดอะไรสักประโยคหนึ่ง พอคำๆ หนึ่งติดหูที่เหลือเราฟังไหม ท่าทางหรือน้ำเสียงก็ไม่ได้สนใจเลย ขัดหูคำเดียวที่ดีทั้งหมดฟังไม่ขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นก่อนที่เราจะพ่ายแพ้กับหัวใจตัวเอง เราลองถามใจตัวเองดูก่อนนะ ว่าอะไรที่เป็นอุปสรรคที่ทำให้เราจากคนดีนั้นเปลี่ยนเป็นคนร้ายได้ ก็เพราะใจที่พ่ายแพ้ใช่หรือไม่ (ใช่)  พ่ายแพ้ต่ออารมณ์ พ่ายแพ้ต่อคำพูด พ่ายแพ้ต่อเสียงที่ขัดหู พอเราพ่ายแพ้อะไรๆ เราก็ฟังไม่เข้าหูแล้ว อย่างนั้นสิ่งที่มนุษย์แพ้บ่อยๆ แพ้อะไรกันบ้างนะ (แพ้ใจตัวเอง)  แพ้อะไรบ่อยๆ (แพ้ความลำบาก) พ่ายแพ้ต่อความยากลำบาก ตอบได้ดีนะ  ออกดอกก่อนแล้วค่อยตกผลดีไหม อดทนหน่อยนะ แพ้อะไร (อุปสรรคขัดขวาง)  แพ้อุปสรรคที่ขัดขวาง เมื่อสักครู่ฝ่ายหญิงท่านไหนตอบนะ  แพ้หนทางที่ยาวไกล ยังไม่ทันเริ่มต้น พอเห็นทางไกลก็ไม่เอาแล้วหรือ เคยได้ยินไหมว่าหนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ถ้าเจออุปสรรคเจอความยากลำบาก แล้วอย่างนี้จะทำอะไรได้สำเร็จ
ในโลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรได้มาได้ง่ายๆ นะ ส่วนใหญ่เรื่องที่ได้มาง่ายๆ มักเป็นเรื่องที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรมเสมอ  มีอะไรอีกที่เราชอบแพ้กันบ่อยๆ (แพ้ความคิดตัวเอง, แพ้ต่อคำพูด)  แพ้ต่อคำพูดของคน เขาพูดแบบนี้ทีไร เราอารมณ์ขึ้นทุกทีเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ไม่มีดอกไม้เอาเป็นใบไม้ได้หรือไม่ (ได้)  น่าสงสารนะ  ให้แอปเปิ้ลก็ได้นะ  เขาออกดอกกันไปแล้ว ท่านเลยได้ตกผลนะ (แพ้ต่อความหิว)  แพ้ต่อความหิว จริงหรือ แน่ใจว่าอดทนไม่ได้หรือ เมื่อไรที่แพ้ เมื่อนั้นเราก็ง่ายที่จะลื่นไหลไปกับสิ่งที่เราแพ้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
มนุษย์ทุกคนถ้าไม่สามารถเอาชนะสิ่งที่แพ้ เราก็ตกเป็นทาสและถูกอำนาจนั้นบงการอยู่เสมอๆ และสิ่งที่มนุษย์แพ้บ่อยที่สุดก็คือ แพ้หัวใจตัวเอง ถ้าเราเอาชนะหัวใจตัวเราเองได้เมื่อไร เราก็จะสามารถเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้เมื่อนั้น
หัวใจเราแพ้อะไรอีกบ้าง (แพ้ความอดทน)  แต่วันนี้นั่งฟังมาได้เกือบสองวันก็ไม่น่าจะเรียกว่าแพ้นะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครแพ้อบายมุขบ้างยกมือขึ้น เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ แพ้ไหม ตอนนี้ยังไม่แพ้ แต่ต่อไปจะแพ้ไหม จะเล่าเรื่องให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง ดูนะว่าตอนนี้เขาแพ้เพราะอะไร  มีสุนัขตัวหนึ่งอยู่กับฤๅษี สุนัขตัวนี้เป็นโรคเรื้อน แต่ด้วยความที่เขาเป็นสุนัขที่ดี ฤๅษีให้เขาทำอะไรเขาก็ช่วยทุกอย่างจนกระทั่งฤๅษีอดสงสารไม่ได้ เพราะเขาไปไหนก็คัน ย้ายกี่ทีก็รู้สึกคัน เขาก็ถามฤๅษีว่าทำไมเขาถึงคันอย่างนี้นะ เขาว่าตรงนี้ไม่สะอาดเขาก็เลยย้ายไปอีกที่หนึ่ง  พอย้ายไปอีกที่หนึ่งคันไหม (คัน)  เขาก็บอกฤๅษีว่า ตรงนั้นก็ไม่สะอาด  เดี๋ยวเขาลงไปแช่น้ำสักครู่หนึ่ง แล้วขึ้นมาใหม่
ตอนแรกแช่น้ำก็ไม่รู้สึกคัน พอขึ้นมาอีกก็ยังคัน คราวนี้ก็เลยลงไปแช่น้ำทั้งตัว พอแช่ไปได้สักพักก็ยังอดคันไม่ได้  ก็เลยถามฤๅษีว่าทำไมทุกๆที่มีแต่ที่สกปรก ไม่มีที่ไหนที่สะอาดเลย ฤๅษีก็หัวเราะแล้วบอกว่า
พอเป็นสุขแล้วตอนนี้เริ่มคันอะไรต่อ เป็นอย่างเดิมอีก ไม่คันตัวแล้วแต่ใจมันคัน อยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่ คราวนี้นอนตรงไหนก็รู้สึกกายสบายแล้วแต่ว่าใจไม่หลับ แล้วก็บอกฤๅษีว่า เป็นหมาใครๆ ก็ดูถูก ใครๆ ก็ว่าด้อยค่า ฤๅษีมีอิทธิฤทธิ์ช่วยเสกให้เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ ใครๆ ก็กลัวไม่ดูถูกได้ไหม ฤๅษีก็บอกว่าได้ เจ้าอยากเป็นอะไรล่ะ
สุนัขบอกว่า “สิงโต”  สิงโตเป็นใหญ่ในป่า แล้วพออยู่ในหมู่คน
พ่อแม่สิงโตตัวเมียบอกว่า “อย่าลืมพาพ่อแม่ของเจ้ามาแนะนำให้ข้ารู้จักด้วยนะ” คนที่รู้จักเขาและคนที่ทำให้เขาเป็นสิงโตคือ (ฤๅษี)  ถ้าพาฤๅษีมาเขาก็จะรู้ทันทีเลยว่า เขามีกำพืดเป็น (สุนัขขี้เรื้อน)  ทำอย่างไรดี (โกหก)  นั่นไงเริ่มคันใจแพ้ใจตัวเองแล้ว เขาไม่แค่โกหก เพราะโกหก
ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นใช่เกิดจากภายนอกไหม (ไม่ใช่)  แต่เกิดจากหัวใจที่ไม่ยอมรับความเป็นตัวของตัวเองถูกหรือไม่ (ถูก)
มนุษย์ทุกคนก็เหมือนกันที่พยายามดิ้นรนที่พยายามแสวงหา
ฉะนั้นถ้าจะแพ้ก็แพ้ให้ถูกทาง ถ้าจะเลือกเดินทางก็ขอให้เลือกทางที่ดีและถูกต้อง ชีวิตของมนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกัน หัวใจกำหนดความประพฤติ ถ้าใจคิดดีอยู่เสมอ มีคุณธรรมเป็นที่ตั้ง รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาปมีหรือที่จะทำผิดคิดร้าย แล้วมีหรือจะพ่ายต่ออบายมุขได้บ่อยๆ แต่เพราะเราไม่เคยเอาคุณธรรมมาเป็นคติประจำใจ แค่ขอให้เอาศีลห้ามาประจำใจยอมไหม (ยอม)
เราจะไม่ฆ่าสัตว์ แต่ยุงกัดเราจะ (ตบ)  เราจะไม่กินเนื้อเขา แต่เราจะจ้างเขา (ฆ่า)  เราเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการฆ่าไหม (เป็น)  เด็กๆ ชอบยิงนกไหม (ชอบ)  ชอบเหยียบมดไหม (ชอบ)  ชอบฆ่าแมลงไหม (ชอบ)  เราว่าท่านเป็นศัตรูที่ขี้ขลาด เพราะฆ่ามันลับหลัง ทำมันตอนทีเผลอ และฆ่าตอนมันไม่มีหนทางสู้ ไม่ให้เห็นตัวต่อตัว แต่พอมันยิ่งหนีไป ก็เหยียบทันที พอนกเผลอก็ยิง อย่างนี้เรียกว่ายุติธรรมไหม (ไม่)  ท่านทำแบบนี้ ทำไปบ่อยๆ สักวันหนึ่งเวรย่อมสนองคนทำ เมื่อไรที่ไม่ได้รับความยุติธรรม อย่าว่าฟ้าดิน แต่ต้องว่าตัวเองที่ไปทำเขามา
อย่ามองเห็นเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ผิดไม่บาป แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ สะสมนานเข้าก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ เหมือนการที่เราเห็นดอกไม้ข้างบ้านเขาสวยไหม (สวย)  อยากได้ไหม (อยากได้)  พอเห็นว่าไม่มีเจ้าของอยู่ก็ “เก็บมาเถอะ ไม่เป็นไร” อย่างนี้เรียกว่าขโมยไหม (ขโมย)  ฉันสูบบุหรี่แล้วก็ไม่ดีกับตัวเองเท่านั้น คนอื่นไม่เดือดร้อนด้วย ใช่ไหม (ไม่ใช่)  แน่ใจไหมว่าตัวเองเดือดร้อนคนเดียว คนอื่นไม่เดือดร้อน ตัวเองเดือดร้อนแล้วคนอื่นเดือดร้อนไหม (เดือดร้อน)  เหมือนเรากินเหล้า
การโมโหคนอื่นแล้วเก็บไว้ฝังใจดีไหม (ไม่ดี)  แต่ยังโมโหไหม (โมโห)  แค้นไหม (แค้น)  โกรธไหม (โกรธ)  จำไหม (จำ)  แล้วดีไหม
ดอกไม้นี้ก็เหมือนตัวแทนของความอ่อน ความนุ่ม ผู้ชายเป็นส่วนที่แข็ง ถึงจะแข็งแกร่งอย่างไรก็ขาดความอ่อนนุ่มไม่ได้ถูกหรือไม่ (ถูก)  ในตัวฝ่ายสตรีถึงจะอ่อนนุ่มอย่างไร ก็ยังขาดความแข็งแกร่งไม่ได้ สองสิ่งนี้ต้องเอื้อเกื้อกูลกันอยู่เสมอ ถ้าคิดว่าเป็นชายต้องแข็งอย่างเดียวเช่นนี้ก็ไม่ถูกต้อง ถ้าคิดว่าเป็นหญิงต้องมีอ่อนแต่ไม่มีแข็งเช่นนี้ก็ไม่ได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะในโลกของความเป็นจริงขึ้นชื่อว่าผู้หญิงแล้ว ในความอ่อนก็ยังมีความอดทนและเข้มแข็ง ในฝ่ายชายจะงดงามได้ ถ้าในเข้มแข็งไม่มีอ่อนก็ดูไม่งดงาม
ฉะนั้นบางครั้งสิ่งที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ถ้าประสานกันได้กลมกลืนก็เรียกว่างดงาม เหมือนท้องฟ้ากับผืนดิน ฟ้าเป็นความใส
แล้วอะไรในใจเราที่ควรแข็ง อะไรในใจเราที่ควรจะอ่อนโยน ถามเป็นคำถามสุดท้ายก่อนจะจากกันดีไหม  (ถ้าเมตตามีอยู่ในใจเราเสมอ ถ้ามีอยู่ด้วยความเข้มแข็งอะไรก็คงมาทำให้ใจเราล้มเลิกเมตตาไม่ได้)  
(มีความเมตตา มีความอ่อนโยน พูดไพเราะ หวานซึ้ง ความอ่อนโยนที่ไม่ดีก็คือ เอนไหวตามพวกเขาแต่ตัวเองไม่รู้อะไรและไม่ยอมศึกษาอะไร)  อย่างน้อยการฟังธรรมวันนี้เขาก็เริ่มที่จะเข้าใจตัวเองได้มากยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์นั้นรู้จักผู้อื่นได้มาก แต่ไม่ค่อยรู้จักใจตัวเอง แต่จริงๆ แล้วการรู้ใจตัวเองไม่ยากเลย แค่หันมองและชำเลืองมองใจอยู่ทุกขณะ เวลามีอะไรมากระทบกระทั่ง เวลามีอะไรมากระแทกกระทั้นบีบเค้นหัวใจ เราเคยหันไปมองใจไหม เรากลับเอาแต่มองออก ใช่หรือไม่ (ใช่)  กระทบปุ๊บเจ็บปั๊บรีบมองออกว่าเขาผิดทันที
เมื่อเรามีอะไรมากระทบแล้วหันมองใจตนเองอยู่เสมอ เราก็จะเห็นตัวเองมากขึ้น เห็นใจตัวเองมากขึ้น พอเห็นใจตัวเองมากขึ้น การที่จะจัดการกับหัวใจเราให้ไปซ้ายไปขวาก็ง่ายขึ้น แต่เมื่อไรมีอะไรมากระทบ เรามักจะปล่อยออกทันที ไม่ยอมหันกลับมามอง ถูกไหม (ถูก)
สมมติว่า วันนี้มีคนด่าคำไม่ดีกับท่าน ท่านจะทำอย่างไร ยอมแพ้หรือเอาชนะใจตัวเอง (เอาชนะ)  ก่อนที่มองออกไป หันมามองก่อนว่าตอนนี้ใจเป็นอย่างไร โกรธ เกลียด ชิงชัง หันมามองสักนิดหนึ่ง แล้วถามว่าตอนนี้ใจเป็นอย่างไร พอโกรธ เกลียดแล้ว อภัยได้ไหม เกลียดแล้วดีไหม ด่ากลับไปมีผลประโยชน์อะไรที่ดีขึ้น  ถ้าเรามีสติ ทุกขณะ
ฉะนั้นเมื่อมีคำพูดลอยมาให้นึกในใจ “ใจฉันจะไม่เป็นกระโถน ฉันจะไม่เป็นกระโถนท้องพระโรงที่รับทุกเรื่องทุกราว” มนุษย์ทุกคนมีใจเหมือนกระโถนท้องพระโรง ใครพูดอะไรไม่ดีมาก็รับเก็บไว้ ใครมีเรื่องไม่ดีมาก็รับเก็บไว้ เก็บมากๆ ก็มองโลกแง่ร้าย เห็นใครก็ดูแย่ไปหมด ฉะนั้นอย่าเปิดใจรับดีหรือเปล่า (ดี)  มองก่อนรับไหม ไม่รับตัดทิ้ง ปล่อยวางให้อภัย ทำได้ไหม ไม่ยากใช่หรือไม่ (ใช่)  หัวใจเราก็เหมือนไข่ โดนอะไรนิดหนึ่งก็ร้าวได้ง่าย แต่แตกไหม บางทียังไม่แตกหรอก แต่เวลาร้าวแล้ว มองใครก็มองได้ไม่ติดใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นอภัยได้อภัย อดทนอดกลั้นได้ก็อดทนอดกลั้น พยายามทำความเข้าใจ เพราะมนุษย์ทุกคนมีความร้ายอยู่ในตัว แต่ในความร้ายก็มีดีอยู่ในตัวเฉกเช่นเดียวกัน ถ้าเรายอมอะลุ่มอล่วยได้ สองสิ่งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องต่างกันเท่าใด เหมือนที่ตอนแรกเราบอกว่า ดอกไม้กับดิน บางคนบอกอยากเป็นดอกไม้ บางคนบอกอยากเป็นดิน แต่แท้ที่จริงแล้วดอกไม้ก็คือดิน ดินก็คือดอกไม้ เราเทียบง่ายๆ ดินทำให้ดอกไม้เติบโต พอดอกไม้ร่วงหล่นก็กลายเป็นปุ๋ยของดินใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อปุ๋ยของดินส่งผลให้ต้นไม้เจริญเติบโตก็กลับมาเป็นดอกไม้
ฉะนั้นมองในโลกนี้แล้ว คนร้ายก็คือคนดี ความสุขก็คือความทุกข์ ดอกไม้ก็คือดิน มนุษย์ยึดมั่นจึงเห็นความแตกต่าง ทั้งยึดมั่นทั้งแบ่งแยกโลกจึงมีดีมีร้ายมีทุกข์มีสุข แต่ถ้าเรามองให้ดีๆ แล้ว สรรพสิ่งในโลกล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน ต่างกันแค่เปลือกนอกเท่านั้นเอง แต่แก่นแท้ภายใน
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมสองท่าน ออกมายืนเป็นตัวอย่าง)
ถ้าเรายึดมั่นว่าคนอีสานต้องเป็นผิวเข้มๆ หน้ามีเหลี่ยม จมูกไม่มีดั้ง ท่านนี้คงไม่เหมือนคนอีสาน ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็น (คนอีสาน)  ฉะนั้นอย่าได้ยึดมั่นอยู่แค่เปลือกนอกจนมองไม่เห็นแก่นแท้ มนุษย์เราอย่าแบ่งแยกจนเกินไป เพราะแท้ที่จริงเรื่องราวในโลกนี้จะทุกข์หรือสุขขึ้นอยู่กับมนุษย์เป็นผู้กำหนด มีความทุกข์ก็มีสุขได้ ในความสุขก็อาจจะมีทุกข์ได้ ในสิ่งที่สวยก็มีความอัปลักษณ์ได้ และในความอัปลักษณ์ก็หาใช่จะไม่สวยนี่ ใช่ไหม (ใช่)  เหมือนในความชราวัยก็มีความอ่อนเยาว์ได้ และในคนอ่อนเยาว์ก็มีอะไรที่ชราวัยได้เหมือนกัน
ถึงที่สุดแล้วมนุษย์กำลังค้นหาอะไรกันแน่ หาทุกข์ในความสุขหรือหาความสุขในความทุกข์ หรือไม่ควรจะหาอะไรเลย เพราะแท้ที่จริงแล้วเรากำลังเดินไปสู่ความว่างเปล่า ใช่ไหม (ใช่)  แล้วทำไมเราจะต้องปล่อยให้ความมีมาทำให้เราเจ็บปวด และต้องรู้จักสูญเสีย ถึงเวลาต้องปล่อยวาง จริงไหม (จริง)  เพราะเดินไปถึงที่สุดชีวิตของทุกคนคือกลับไปสู่ความว่างนะ ถ้ายังปลงไม่ได้ ความมีก็ทำให้ท่านต้องเจ็บปวด
วันนี้เราก็ขอมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงเท่านี้ ถ้าพูดจนถึงขนาดนี้แล้วยังกลับไปเหนือนเดิมก็หมดทางแล้วนะ อะไรดีจงหมั่นรักษาให้ดีอยู่เสมอ อะไรที่ไม่ดีจงหลีกไปให้ไกล อย่าไปพยายามคิดใฝ่เลย ฝ่ายชายง่ายที่จะประพฤติผิด ถ้าไม่มีคุณธรรมประจำใจ หรือไม่มีศีลธรรมครองใจ ตอนนี้ยังไม่มี หรือมีแต่ยังไม่แก้ก็จนปัญญาแล้ว ฉะนั้นหนทางบำเพ็ญธรรมก็คือหนทางที่อยากให้ท่านกลับคืนสู่ความเป็นคนดีอันประเสริฐ แล้วรู้จักเอาความดีอันประเสริฐนี้ไปช่วยเหลือผู้อื่น ให้เงินทองให้ทรัพย์สินก็ไม่สู้ให้คุณธรรม ให้เขารู้จักเป็นผู้คิดเป็น คิดได้ แล้วนำพาคนอื่นเป็นนำพาคนอื่นได้ ให้ธรรมทำให้คนรู้จักคิดแล้วมีชีวิตที่ดีงาม
ใช้คุณธรรม ความดีในหัวใจเลี้ยงเขาสิ ท่านจะเลี้ยงได้ทั้งตัวและหัวใจ เขาจะไปไหนก็ไปได้ไม่ไกล เพราะรู้สึกสำนึกในบุญคุณของความดีของพ่อแม่ที่ทำกับเขา โซ่ที่ล่ามใจคนได้ยึดเหนี่ยวมากที่สุดก็คือโซ่
จิตใจที่อดทน จิตใจที่รู้จักให้อภัย จิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ยาก


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  “คนไกลบ้าน”
จากออกไปไกลหรือใกล้ถึงเพียงไหน แต่สุดท้ายยังต้องกลับคืนสู่บ้าน
บ้านของกายหาใช่ของใจนาน สิ้นสังขารบ้านเดิมอยู่ที่ไหนกัน
สักวันต้องวางจนว่าง ไปตามทางบุญบาปนั้น
หาใช่จบแล้วจบกัน ทุกสิ่งผันตามกรรมตน



แก้ไขพระโอวาท
ท่านเสี่ยวผีเซียนถงเมตตาแก้ไขเพลงพระโอวาทงานประชุมธรรมที่สถานธรรมผูถี จ.พิษณุโลก  วันที่ ๓-๕ พฤษภาคม ๒๕๕๑ (ละทิฐิอภัยคน)
แก้ไขจากเดิม:  จะรับรู้เรื่อง แก้ไขเป็น:  จะรับจะรู้

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา