วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

2551-05-31 สถานธรรมหงหยัง จ.เชียงใหม่


西元二〇〇八年歲次戊子四月二十七日        大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑    สถานธรรมหงหยัง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ

 ในชาตินี้เกิดมาเป็นมนุษย์ ประเสริฐสุดจงรู้ค่าหาใดเหมือน
  จงชำระจิตสะอาดอย่าลางเลือน สิ่งแปดเปื้อนแห่งกิเลสขจัดไว
       เราคือ
  องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ผู้เมตตา ลงสู่แดนโลกีย์เคียมคัล
องค์มารดา ถามเมธีน้องชายหญิง เกษมฤๅ
ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง
ฮวา ฮวา

อยู่ท่ามกลางต้นไม้และใบหญ้า ทั้งผืนนาทั้งภูเขาล้วนโอบล้อม
จงอยู่อย่างธรรมชาติไม่จอมปลอม จงรู้ยอมใช้ชีวิตไร้โลกีย์
ทำจิตใจให้สะอาดและกลมเกลี้ยง ธรรมะเพียงฉุดช่วยใจผู้ยอมรับ
พากลับบ้านในคนที่อยากกลับ ต้องยอมรับเรื่องจริงแห่งชีวิต
อันความทุกข์เกิดที่ใจใช่ภายนอก ขอให้ลอกคราบกิเลสที่เกาะแน่น
สังขารคนอยู่ไม่นานกลับเมืองแมน อย่าคับแค้นไม่สมหวังช่างประไร
จงรู้ทุกลมหายใจที่เข้าออก ว่ายังบอกว่าชีวิตนี้ยังอยู่
ศึกษาธรรมเข้าใจชีวิตที่มีอยู่ การเที่ยวรู้เรื่องคนอื่นยิ่งวุ่นวาย
ในวันนี้ประชุมธรรมฟื้นฟูใจ มาแก้ไขตนเองใหม่อยู่เสมอ
เกิดเป็นคนบ่อยครั้งที่พลั้งเผลอ แต่ค้นเจอปัญญาย่อมช่วยบัญชา
ขอตั้งใจอยู่ให้ครบทั้งสามวัน น้องสำคัญตนเองอยู่หรือไม่
เรียนธรรมะเข้าใจชีวิตกว่าสิ่งใด ทั้งทรัพย์สินสมบัติใดไม่เปรียบปาน
มีเมตตาที่ขาดซึ่งปัญญา มีปัญหาพอกับความสงบสุข
ขอจงรู้เรียกตนเองล้มต้องลุก แม้มีทุกข์เพื่อตื่นทุกข์ถึงฝั่งธรรม
น้องไทยใหญ่แม้ว่าฟังได้ติดขัด ขอให้หัดคนมีใจยิ่งใหญ่กว่า
ใช้ศรัทธามากกว่าความกังขา อันปัญญามีอยู่ทั่วทุกผู้คน
ในวันนี้พี่มาคุมชั้นเรียน ธรรมะเปลี่ยนคนให้เป็นคนใหม่
อย่าดูถูกตนเองอย่าถอดใจ อันเวไนยล้วนจิตญาณเช่นพุทธา
ในวันนี้ไม่กล่าวความให้มากไป ศิษย์พี่ยืนคุมชั้นบันทึกคะแนน
ฮวา ฮวา หยุด


















วันเสาร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑    สถานธรรมหงหยัง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่

คำพูดแท้ไม่ปรากฏที่วาจา สิ่งที่เห็นอาจลวงตากว่าที่คิด
พฤติกรรมแท้ไม่เผยซ่อนปกปิด มองสิ่งหนึ่งสะท้อนคิดหลายมุมไป
เราคือ
อว๋าอวาเซียนหนวี่ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถานหงหยัง แฝงกายน้อมกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามทุกท่าน สบายดีไหม

ความสงบครอบคลุมอยู่ทั่วไป แต่กลับไร้มนุษย์ใดเข้าถึง
เพียงมีสติครองชีวิตสงบจึง นิ่งยามเคลื่อนไหวถึงผ่อนคลาย
มิปล่อยให้ผิดซ้ำย้ำชีวิต เมื่อพลั้งเผลอสู้ชีวิตลิขิตใหม่
ทุกข์กับสิ่งอนิจจังปลงทำใจ ทุกที่ก็เข้าใจชีวิตพลัน
เวลาเจอเข็ญใจกล้ายอมรับ เรื่องจะยากแม้กับบำเพ็ญนั้น
ชีพต้องอยู่จะสู้ไม่รำพัน ถึงดิ้นรนเรียนขันสำราญไป

ฮิ  ฮิ  หยุด

พระโอวาทท่านอว๋าอวาเซียนหนวี่
อยากคุยกับเราไหม (อยาก)  จริงหรือเปล่า (จริง)  ฟังภาษากลางรู้เรื่องไหม (รู้)  รู้นะ ถ้าอย่างนั้นเราพูดภาษากลางได้ไหม (ได้)  อยู่ในโลกนี้ มีทั้งเรื่องที่เรารู้ แล้วก็เรื่องที่เราไม่รู้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  เรื่องที่เรารู้ พอรู้มากๆ ก็ทำให้เราทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรื่องที่ไม่รู้ พอไม่รู้มากๆ เราก็กังวล ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อย่างเช่นเราไม่รู้อะไร คนอื่นเขารู้หมด จึงรู้สึกว่า “อยากรู้จังเลย ทำไมเราไม่ได้รู้” ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พอรู้มากๆ เราก็กลับเป็นทุกข์แล้วก็กังวลตามไปด้วย รู้ก็ทุกข์ ไม่รู้ก็ทุกข์กังวล ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นเราควรรู้ดีหรือไม่รู้ดี เอาแบบไหนดี (รู้)  อยากรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะถ้าไม่รู้เราก็ทุกข์ แต่รู้มากก็ทุกข์มาก รู้น้อยก็ทุกข์น้อยไม่ใช่หรือ  ถ้าเรายอมอดทนอดกลั้น รู้น้อยหน่อย บางทีเราอาจจะกลุ้มน้อยหน่อยก็ได้ไม่ใช่หรือ แต่เดี๋ยวนี้มีอะไร เราก็อยากรู้ไปหมด เลยทุกข์เต็มไปหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  

ท่านเคยได้ยินไหมว่า “ความงมงายทำลายทุกสิ่ง ความไม่รู้จริงทำลายทุกอย่าง”  ถ้ารู้แล้วยึดมั่นกับสิ่งที่รู้ก็กลายเป็นคนงมงาย   ใช่หรือไม่ (ใช่)  หนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสอง พอหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสามขึ้นมาก็รับไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เสียเงินไปต้องได้เงินกลับมา แต่ปรากฏว่าเสียเงินไปไม่ได้เงินกลับมา รับไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นถ้าเรารู้แล้วเรายึดมั่นอย่างงมงาย ความรู้ที่ยึดมั่นอย่าง    งมงายก็จะทำลายเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเกิดว่าเราเป็นคนที่เอาแต่ปิดหูปิดตา ไม่รับรู้อะไรเลย ก็จะทำลายใจเราได้เหมือนกัน ทำลายชีวิตเราได้เหมือนกัน ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างที่เราบอกว่า “ความงมงายทำลายทุกสิ่ง ความไม่รู้จริงทำลายทุกอย่าง”  ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าอย่างนั้นวันนี้เราควรจะรู้ดี หรือไม่รู้ดี (รู้)  เราควรจะรู้ยังไงดี   ตอบได้ไหม รู้อย่างไรดี
(รู้แล้วต้องทำใจ, ต้องรู้เพราะถ้าไม่รู้ก็จะไม่รู้อะไร)  ก็อย่างที่เราบอกว่า ถ้ารู้ก็อย่ายึดมั่น ต้องเป็นความรู้ที่พร้อมจะเปิดกว้าง  
ถ้าเป็นคนไม่รู้ ก็ต้องไม่เป็นคนที่บอกว่าฉันโง่ และฉันก็ไม่คิดจะศึกษา  
แม้จะไม่รู้แต่ก็พร้อมที่จะเรียนรู้ต่อไป รู้แล้วก็ยังต้องศึกษาไปตลอด  เคยได้ยินไหมว่า ไม่มีใครแก่เกินเรียน  แต่ว่าอย่าแก่เกินแกง อายุมากยิ่งเรียนยิ่งดี  การเรียนรู้โดยเฉพาะการเรียนรู้ธรรมะ หรือรู้จักรับฟังจะเป็นการช่วยถ่ายเทความคิด และปรับความคิดเราให้ถูกต้องและชัดเจนยิ่งขึ้น
ฉะนั้นยิ่งศึกษาเรายิ่งได้เปิดกว้าง และรู้โลกที่ควรจะเป็นได้มากยิ่งขึ้น  แต่ต้องเป็นความรู้ที่ไม่ยึดมั่น  เป็นความรู้ที่พร้อมจะเรียนรู้ต่อไป  รู้หนึ่งก้าวก็พร้อมจะรู้ก้าวที่สอง ก้าวที่สามต่อไป และไม่ใช่คนที่เรียนรู้อย่างปิดหูปิดตา ใช่ไหม (ใช่)  
คนที่รู้จักเรียนรู้ชีวิตได้เป็น เมื่อเวลามีปัญหา มีความกลุ้มกังวลใจ เขาจะสามารถละปัญหาและความกลุ้ม แล้วเปลี่ยนเป็นความเบิกบานใจได้  การเรียนรู้แบบนี้เป็นสิ่งที่ดีไหม (ดี)  แต่ทำไมมนุษย์เรียนรู้โลกภายนอกมากมาย  แต่พอมีปัญหา มีความกลุ้มกังวล เรากลับเบิกบานไม่เป็น นั่นแปลว่าเราเรียนรู้อะไรที่ผิดหรือเปล่า  
ฉะนั้นวันนี้เราลองมาตรวจสอบความคิด ตรวจสอบสิ่งที่เรากำลังเรียนรู้อยู่ในสมอง ในใจเราว่าถูกหรือไม่ ดีไหม (ดี)  เวลามีปัญหา          มีความกลุ้มกังวล เราจะได้ละไว้แล้วเปลี่ยนเป็นความเบิกบานใจ  แต่จะมีใครในที่นี้ ที่มีปัญหาแล้วสามารถละไว้ก่อน ตอนนี้ขอสุขก่อน ทำอย่างนั้นได้ไหม (ไม่ได้)  พอมีทุกข์ มีปัญหา เราละได้ไหม (ไม่ได้)
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับทุกท่านก็คือความตายใช่ไหม (ใช่)  แต่ว่ามีคนแก่บางคน แม้จะอายุเก้าสิบปี แต่เขาก็มีชีวิตอย่างเบิกบานใจ เพราะเขาถือว่าความตายเป็นสิ่งที่เขาละไว้ก่อน ขอสุขใจก่อน ท่านคิดว่าทำยากไหม (ยาก)  ยากหรือ  
เหมือนวันนี้ท่านนั่งทั้งวันเมื่อยไหม (เมื่อย)  แต่ถ้าเราบอกว่า ความเมื่อยละไว้ก่อน ตอนนี้ฉันขอตั้งใจฟังก่อน พอฟังเรื่อยๆ ก็ลืมความเมื่อย  เคยนั่งดูทีวีตั้งหนึ่งชั่วโมงแล้วลืมเมื่อยไหม (เคย)  เพราะสุขกับทีวีจนลืมความเมื่อยที่ตัวไม่ใช่หรือ  ท่านละความเมื่อยไว้ก่อน ใช่ไหม (ใช่)  อย่าคิดว่าปัญหาหรือความทุกข์ เราจะละไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าตอนนี้ปัญหาหรือความทุกข์มา เราเห็นอะไรสำคัญกว่า ถ้าเห็นรอยยิ้มสำคัญกว่า ปัญหาหรือความทุกข์ก็อาจมลายหายไปโดยไม่ต้องแก้อะไรเลยก็มี ใช่ไหม (ใช่)
อย่างนั้นเรามาคุยกันเพิ่มดีไหม (ดี)  เพราะว่าในโลกนี้แปลกอยู่อย่างหนึ่ง วาจาที่พูดอาจไม่ปรากฏคำที่แท้จริง สิ่งที่มนุษย์ประพฤติปฏิบัติอาจจะไม่สามารถแสดงสิ่งแท้จริงที่อยู่ในใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)
“คำพูดแท้ไม่ปรากฏที่วาจา สิ่งที่เห็นอาจลวงตากว่าที่คิด
พฤติกรรมแท้ไม่เผยซ่อนปกปิด มองสิ่งหนึ่งสะท้อนคิดหลายมุมไป”
ดังคำกล่าวที่ว่า “วาจาที่แท้จริงไม่ปรากฏในคำพูด พฤติกรรมที่แท้จริงอาจจะไม่ปรากฏลงที่การกระทำ” ใช่หรือไม่ (ใช่)  สิ่งที่เรามองเห็นอาจไม่เป็นอย่างที่ใจเขาคิด และสิ่งที่ใจท่านคิดอาจไม่เป็นอย่างภาพที่มองเห็น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นในโลกมายาใบนี้ มีความรู้มากมายเท่าไร แต่บางครั้งก็ใช่ว่าจะตีเรื่องราวทุกเรื่องได้อย่างแจ่มชัด เพราะคนในโลกมักชอบเป็นแบบนี้ พูดอย่างหนึ่งคิดอย่างหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอย่างหนึ่งแต่ใจคิดอย่างหนึ่ง แล้วเราเป็นแบบนั้นไหม ถามว่าเมื่อยไหม ตอบไม่เมื่อย  ฉะนั้นวาจาที่แท้จริงมักไม่ปรากฏในคำพูด พฤติกรรมที่แท้จริงมักไม่สามารถเห็นได้ด้วยการกระทำเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
อยู่บนโลกนี้เราต้องฝึกอะไรหลายๆ แบบ มีหลายเรื่องราวที่เราต้องประสบพบเจอ หากเรากระจ่างในความเข้าใจชีวิต กระจ่างในความเข้าใจผู้คน กระจ่างในความเข้าใจเรื่องราวของโลกนี้ ไม่ว่าทุกข์หรือปัญหาจะเข้ามา เราก็ปล่อยวางได้แล้วเปลี่ยนเป็นความเบิกบานใจ แต่กระจ่างแบบไหนที่จะทำให้เราสามารถละเรื่องราวที่เป็นปัญหา วางความกลุ้มกังวล แล้วกลับมาเป็นเบิกบาน อยากรู้ไหม (อยากรู้)  ไม่ได้อยู่ไกลเลย อยู่ใกล้ๆ เราเอง ใช่หรือไม่  ท่านเคยเห็นเด็กเวลาที่เพิ่งจากคลานแล้วจะเริ่มเดินสองขาไหม (เคย)  เคยเห็นไหม (เคย)  เด็กที่คลานสี่ขานั้น กว่าจะเดินสองขา เขาต้องล้มกี่ครั้ง ท่านว่าล้มกี่ครั้ง (หลายครั้ง)  หลายครั้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่มนุษย์ที่โต นี่แปลกนะ พอล้มซ้ำกันเหมือนเดิม เรื่องเดิมสองครั้งก็นอนพังพาบ ไม่ลุกอีกเลย จริงไหม (จริง)  ทำไมท่านสู้เด็กไม่ได้ ใช่ไหม  แล้วท่านลืมตัวเองตอนเด็กๆ ไปแล้วหรือว่า ล้มเป็นสิบครั้งในเรื่องเดิม ถึงจะสามารถยืนได้แข็งแกร่ง แล้วเดินได้มั่นคงไม่ใช่หรือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมหนอ ชีวิตเจอปัญหาเรื่องเดิม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมถึงยอมแพ้ อย่างนั้นก็เท่ากับท่านจะไม่มีวันเดินสองขาได้ด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อเราเจอปัญหาอย่างหนึ่ง เมื่อเราเจอความทุกข์อย่างหนึ่ง สิ่งสำคัญคือใจเรานี่เอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ปัญหาเกิดอยู่ ใจเราสู้ไม่สู้ ถ้าปัญหาเกิดอยู่ ใจเรายอมแพ้ เราก็จะต้องยืนอยู่ตรงนี้ ไปไหนต่อไปไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าใจเราสู้ สิ่งที่เราเห็นตรงนี้ เราก็จะสามารถข้ามได้ แล้วเราก็จะก้าวหน้าไปได้ และสิ่งที่เป็นทุกข์ มันอาจจะกลายเป็นสุขได้ เมื่อเราผ่านปัญหานี้ไป ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นเราต้องตัดความคิดที่มนุษย์เป็นกันอยู่
อะไรที่จะช่วยปรับความคิดเรา อะไรที่ทำให้เราคิดแล้วเป็นปัญหาอยู่บ่อยๆ  อย่างเช่นเวลาเรามองคนหรือมองเรื่อง ถ้าเรามองเรื่องนี้ทีไรเป็นปัญหาทุกที มองแบบนี้ไม่ชอบทุกที พอไม่ชอบก็เกิดปัญหา พอเกิดปัญหาก็รับไม่ได้และเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทั้งที่ในโลกนี้มีทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี แล้วเรื่องไม่ดีจะให้ผลไม่ดีเสมอไปไหม (ไม่เสมอ)  เวลามองคนยิ้มกับมองคนหน้าบึ้งท่านชอบมองแบบไหนมากกว่ากัน ส่วนใหญ่จะชอบคนยิ้ม ระหว่างเรื่องที่ดีและเรื่องไม่ดีชอบเรื่องไหนมากกว่ากัน (เรื่องดี) เรื่องไม่ดีไม่เอาเลยใช่ไหม (ใช่)  ถามท่านว่าส่วนใหญ่เวลาคนเลี้ยงลูกถ้าเลี้ยงตามใจ อะไรๆ ก็ยอมหมด อะไรๆ ก็ดีหมด ลูกโตมานิสัยไม่ดี เพราะว่าถูกตามใจจนเคยตัว อะไรดีๆ ที่ลูกอยากได้พ่อแม่ก็ให้หมด ลูกเกิดมาก็จะไม่เข้มแข็งไม่สู้ชีวิต เอาแต่ใจตัวและเห็นแก่ตัว ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเมื่อสักครู่ท่านเลือกอะไร (เรื่องดี) พฤติกรรมสะท้อนหัวใจ เรามักจะเลือกแต่สิ่งที่ดี ซึ่งมักจะทำให้เราเสียนิสัยและเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง ถูกหรือไม่ (ถูก)
อย่าลืมว่า “ในคำชมและคำติถ้ารู้จักวิเคราะห์รู้จักใช้จะก่อให้เกิดปัญญา” ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ถ้าเราไม่รู้จักวิเคราะห์คำชมเดินตามไปเรื่อยๆ จากปัญญาก็กลายเป็นปัญหา ถูกหรือไม่ (ถูก)  เช่นเมื่อมีคนชมเราว่าสวย แต่เราไม่ได้มองตัวเองเลยว่าเราสวยจริงไหม เราก็อาจจะกลายเป็นคนที่หลงตัวเอง  ฉะนั้นในโลกนี้มีสิ่งเรียกว่าดีและสิ่งที่เรียกว่าไม่ดี มนุษย์อย่าพยายามเรียนรู้แต่ด้านดีแล้วไม่ยอมศึกษาด้านที่ไม่ดี มนุษย์อย่าพยายามหันไปมองคนที่เอาแต่ยิ้ม แต่คนที่บึ้งไม่มอง ฉะนั้นหากเรารู้จักมองคนที่ยิ้มก็ต้องกล้ามองคนไม่ยิ้ม เราจึงจะมีความสุข แต่บางครั้งต้องกล้าสู้กับความทุกข์ แล้วจะทำให้เรานั้นกลายเป็นคนไม่เคยตัวและเอาแต่ใจ มองโลกอย่างผิดๆ เพี้ยนๆ ไป
วันนี้ท่านมาศึกษาธรรมเพื่อเดินสู่ทางที่ตรง ปรับความคิดที่บิดเบี้ยวให้เป็นความคิดที่ถูกต้อง และแปรความสับสนในใจให้กลายเป็นความสงบใจบ้าง เพราะมนุษย์เลือกแต่ทางที่เคยชินแต่อีกทางหนึ่งไม่เอา เดินแต่ทางนี้ทางเดียวอีกทางหนึ่งไม่เคยเดิน เราก็จะไม่มีวันเข้าใจชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการศึกษาธรรมก็คือนำชีวิตเดินสู่ทางตรง แปรความคิดที่บิดเบี้ยวให้เป็นความคิดที่ถูกต้อง นำชีวิตที่วุ่นวายสับสนให้กลับมาสู่ความสงบ แล้วเราจะแปรสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้เป็นอย่างที่เราพูดได้อย่างไร ง่ายๆ คนที่ไม่รู้จักพอ ทุกวันย่อมมีแต่แก่งแย่ง แข่งขัน วุ่นวาย ใฝ่หา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเมื่อไรมนุษย์รู้จักพอบ้างในแต่ละวัน หาได้เท่านี้บอกตัวเองว่าพอแล้วนะ ทุกขณะที่รู้จักพอ การรู้พอทำให้เรารู้จักแบ่งปันเป็น  การรู้หยุดจะทำให้เรารู้จักให้เป็น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เมื่อให้เป็นเราจะเรียนรู้ความการุณ เห็นคนไหนน่าสงสารเราจะรู้จักให้  เห็นไหมว่าการรู้จักพอจะทำให้เรารู้จักความการุณ ความเมตตา  แล้วมองออกว่า คนนี้น่าสงสาร คนนี้กำลังลำบาก เพราะการรู้จักหยุดและการรู้จักพอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  และนอกจากการรู้จักหยุด รู้จักพอจะทำให้เราเห็นความเมตตาการุณแล้ว ยังทำให้เรารู้จักบริสุทธิ์ยุติธรรม  เราให้คนนั้น คนนี้ก็น่าสงสาร แล้วให้คนนั้นมาก แต่ให้คนนี้น้อยได้ไหม (ไม่ได้)
ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมคือการสอนให้มนุษย์แสวงหาแล้วต้องรู้จักพอ เมื่อรู้จักพอเราจะรู้จักให้ เมื่อรู้จักให้เราจะรู้จักอบรมบ่มเพาะคุณธรรมความเมตตา ความบริสุทธิ์ยุติธรรม และจิตใจเกื้อการุณ  แต่คนที่ไม่รู้จักพอ คนที่หาไม่รู้จักจบสิ้น คนนั้นจะไม่มีวันกลับคืนสู่ใจที่เมตตา หัวใจที่เที่ยงธรรมได้  ฉะนั้นพอเข้าใจหรือยังว่า วันนี้มาฟังธรรมะเพื่ออะไร
การศึกษาธรรมก็คือ ปรับชีวิตให้เดินไปสู่ความตรง แก้ไขความคิดที่บิดเบี้ยว ให้เป็นความคิดที่ถูกต้อง  ชีวิตเต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสน การศึกษาธรรมก็คือการคืนความสงบให้กับชีวิต มากกว่าจะนำความวุ่นวายมาให้ชีวิตเพิ่มขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  มนุษย์เราอยู่ในโลกนี้เต็มไปด้วยหนทางลัดเลาะ มากกว่าที่จะเดินตรง ถูกไหม (ถูก)  นำพาความคิดให้บิดเบี้ยว มากกว่าที่จะเป็นความคิดที่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเวลาเรามองสิ่งหนึ่ง เราก็มักจะยึดมั่นต่อสิ่งที่เรามองเห็น ทั้งที่จริงๆ แล้วในโลกนี้มีหลายแง่ มีหลายมุม เหมือนคนๆ หนึ่ง เราเห็นเขาดีเราก็ชมว่าเขาดี ทั้งที่จริงๆ แล้วมีดีอาจจะมีร้าย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วในคนๆ หนึ่งที่ท่านเห็นว่าเขาร้าย เขาอาจจะมีดี ฉะนั้นอย่าได้มองมุมเดียว แล้วข้ามอีกมุมหนึ่งไป ไม่อย่างนั้นเราจะไม่สามารถเห็นคุณค่าของคนในโลกได้อย่างแท้จริง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ท่านเคยได้ยินคำกล่าวคำหนึ่งไหมว่า “ต่อให้เป็นพิษร้ายแรงขนาดไหน ก็สามารถมีประโยชน์ได้ ถ้าอยู่ในมือของผู้ชำนาญในการใช้การ” ถูกไหม (ถูก)  ฉันใดก็ฉันนั้น ต่อให้คนจะเลวร้าย ต่อให้ปัญหาจะทุกข์ยากขนาดไหน ถ้ามนุษย์รู้จักควบคุมความเลวร้ายนั้นให้เป็น ความเลวร้ายนั้นก็อาจจะเกิดเป็นประโยชน์ก็เป็นได้
พระพุทธเจ้าสำเร็จสู่ความเป็นพระพุทธเจ้า ท่านเดินไปสู่ความสุข หรือเดินไปสู่ความทุกข์ (ความทุกข์)  พระพุทธเจ้า ยอมทิ้งความสบาย แล้วเดินไปหาความทุกข์ จนเข้าใจแจ้งในทุกข์ จึงพบความสุขอันนิรันดร์ ใช่ไหม (ใช่)  ไม่ใช่ท่านบำเพ็ญอยู่ในพระราชวังอันรโหฐาน แล้วท่านก็สำเร็จในสุขอันนิรันดร์
ฉะนั้นการศึกษาหลักธรรม ก็คือการที่จะทำให้มนุษย์กล้าเผชิญความทุกข์ยาก แล้วหาความสุขอันแท้จริงบนความทุกข์นั่นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะความสุขในโลก ชวนให้มนุษย์หลงใหล และทำให้มนุษย์กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว และรับความจริงไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ลองถามท่านว่า ถ้าในสิบวันมีแต่คนชม แต่มีหนึ่งวันถูกคนด่า เจ็บไหม (เจ็บ)  แล้วที่สิบวันชมมามีประโยชน์ไหม (ไม่มี)  ทำไมล่ะ เพราะสิบวันที่เขาชมนั้น กลายเป็นยิ่งสร้างกำแพงให้เรายิ่งเจ็บมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในทางกลับกัน มีสิบวันคนด่า แต่หนึ่งวันคนชม เจ็บไหม (เจ็บ,ไม่เจ็บ)  เจ็บตอนแรก แต่รู้สึกว่า ที่เจ็บมาสิบวันนั้นก็คุ้มแล้วที่ได้ชมหนึ่งครั้ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ท่านลองดูสิ เกิดมาก็รู้จักแต่คำว่าเสีย เกิดมาก็เจอแต่ความทุกข์ แต่ทำไมหัวใจกลับแข็งแกร่ง แต่คนที่เกิดมาก็มีแต่เรื่องดีๆ เกิดมาก็โชคดี เกิดมาอะไรก็ดีหมด แต่ทำไมหัวใจกลับอ่อนแอง่าย ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เห็นคนยิ้ม ไม่ต้องไปมอง หันไปมองคนไม่ยิ้มบ้าง จะทำให้เราอดทนยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครเดินไปหาความสบาย เราไม่ไป เราจะเดินไปหาความทุกข์ ดีไหม (ดี,ไม่ดี)  ไม่เอาหรือ ไม่เคยได้ยินหรือ “ทุกข์ตอนต้น สบายตอนท้าย สบายตอนต้น ทุกข์ตอนท้าย” รู้อยู่ แล้วทำไมไม่ทำ ใช่ไหม (ใช่)  
ฉะนั้นอะไรที่ลำบากเราต้องกล้าเผชิญ เพราะการที่เราเผชิญตอนนี้เราจะสบายตอนท้าย ถูกหรือไม่ (ถูก)  อย่าลืมว่า บทเรียนที่ร้ายแรงกลับให้คุณค่าชีวิตที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่
ชีวิตในโลกนี้มีทั้งสิ่งที่แตกต่างและสิ่งที่เหมือน มีทั้งสิ่งที่หยาบและสิ่งที่ละเอียด แต่เราจะปฏิเสธสิ่งที่หยาบแล้วเลือกสิ่งที่ละเอียด เราจะเลือกแต่สิ่งที่ชอบแล้วรังเกียจสิ่งที่น่ารังเกียจได้ไหม (ไม่ได้) เพราะแท้ที่จริงแล้วไม่ว่าจะน่ารังเกียจหรือสวยงามล้วนมีคุณค่าที่ไม่ควรปฏิเสธ และไม่ว่าจะสูงหรือต่ำล้วนมีคุณค่าแตกต่างกัน ฉะนั้นถ้าเราเรียนรู้และเข้าใจชีวิตอย่างกระจ่าง ท่านจะรู้ว่าคนทุกคน เรื่องทุกเรื่อง ของทุกแบบ ล้วนมีคุณค่าที่ไม่ควรปฏิเสธ เพราะล้วนมีคุณค่าที่เรามองไม่เห็นทั้งสิ้นแต่รอท่านไปค้นพบให้เจอ ใช่ไหม (ใช่)  แต่เพราะอะไรเราไม่สามารถไปได้ถึง เพราะท้องเราไม่ใหญ่ ใจเราไม่กว้าง ใช่ไหม (ใช่)  ดั่งคำกล่าวที่ว่า มีบ่อน้ำใหญ่แต่เชือกสั้นเลยบอกว่าน้ำไม่มี จริงไหม (จริง)  มีบ่อน้ำใหญ่แต่มีกาละมังเล็กจึงบอกว่าบ่อน้ำแห้งแล้ง ใช่ไหม  (ใช่)  เหมือนกันมนุษย์ที่บอกว่าคนโน้นใจดำ คนนี้ใจแคบ ถามว่าใจเรากว้างพอที่จะรับเขาไหม ถ้าเขาว่าเราใจแคบใจดำ แล้วใจเราจะสะอาดพอไหม ถูกไหม (ถูก)  
เหมือนกันท่านไปตักน้ำในบ่อ ถ้าเชือกยาว บ่อลึกเท่าไรก็ตักถึงได้ ถ้ากะละมัง กระป๋อง หรือถังท่านใหญ่พอ ท่านจะตักได้เยอะไหม (เยอะ)  แต่หัวใจของมนุษย์ท้องเล็ก ใจแคบ และก็ชอบคิดร้ายมากกว่าคิดดี และเรื่องดีๆ ไม่จำ จำเรื่องร้ายๆ และจำแบบตายตัวไม่พลิกแพลง เห็นว่าเขาร้ายอย่างไรก็คิดว่าเขาร้ายแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่าบอกคนอื่นใจดำ ฟ้าไม่ยุติธรรม แต่ต้องถามว่าใจของเรากว้างพอรับความเป็นจริงของฟ้าได้ไหม  แล้วหัวใจของเราบริสุทธิ์พอจะรับความเป็นจริงของคนทุกคนในโลกได้หรือเปล่า ถูกไหม (ถูก)  ดั่งคำกล่าวว่า “เรื่องระแวงนำมาซึ่งภัย” คนที่เอาแต่คิดระแวงนำมาซึ่งภัย  ชีวิตนี้มีเรื่องราวน้อยที่นำความสุขมาให้ จริงไหม (จริง) อยากรู้เรื่องคนโน้น คนนี้ พอรู้มากๆ ปวดหัว คนโน้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ได้เรื่อง  รู้มากก็กลุ้มมาก ฉะนั้นรู้น้อยหน่อยเอาความสงบมาใส่ไว้ในใจบ้างดีไหม (ดี)  ถามจริงๆ ในหัวใจท่านมีช่องว่างบ้างไหม เราเห็นอัดแน่นเต็มไปด้วยความคิดเรื่องงาน เงิน ลูก ตัวเอง เมื่อไรเราจะละให้ว่างบ้าง เมื่อไรเราละใจว่างเมื่อนั้นเราก็พบความสงบ แต่เมื่อไรเราอัดใจให้แน่นก็คือความทุกข์ จริงไหม (จริง)  
“ชีพต้องอยู่จะสู้ไม่รำพัน”
ฉะนั้นวันนี้ฟังไปแล้วเจอบทเรียนทุกข์ก็ต้องกล้าที่จะรับ เจอบทเรียนสุขยอมถอยที่จะให้คนอื่นได้รับ ดีไหม (ดี)  เรื่องสุขๆ ยกให้คนอื่นไป เรื่องทุกข์ๆ เรากล้าแบกรับ คนเช่นนี้ไปอยู่ที่ใดใครก็คบ ถูกไหม (ถูก)  ไม่ใช่เรื่องสุขๆ ฉันรับ เรื่องทุกข์เธอเอาไป คนอย่างนี้ไปไหนใครก็รังเกียจ ถูกหรือไม่ (ถูก)
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาให้เล่นเกมส์ ส่งผลไม้ และถ้าผลไม้อยู่ที่ใครต้องออกมาเต้นเป็ด สุดท้ายมีนักเรียน ๔ คนที่ต้องออกมาเต้นเป็ด แต่เมื่อมีนักเรียนได้ผลไม้และต้องออกมาเต้นเป็ด ท่านจึงเมตตาว่า) เรื่องที่ร้าย อาจจะกลายเป็นดี คนที่ออกมาไม่ต้องเต้นเป็ดแต่ออกมาแล้วได้มะม่วงแทน
วันนี้เราให้สั้นๆ แค่นี้ก่อนดีกว่า  เพราะรู้สึกว่ายิ่งให้เยอะๆ ท่านกลับฟังไม่เข้าใจ ใช่ไหม  อย่างนั้นเอาแค่นี้ก่อน ยังเหลืออีกสองวันเราก็ยังสามารถเติมได้  เติมน้อยๆ แต่บ่อยๆ ดีกว่าเติมครั้งเดียวแล้วอิ่มไม่เอาอีกเลย ถูกไหม (ถูก)
อย่างนั้นวันนี้เอาสั้นๆ แค่นี้ก่อน กลอนให้แค่นี้ก่อนได้ไหม (ได้) หากอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อ พรุ่งนี้มาดูตอนต่อไปดีไหม (ดี)  อย่างนั้น พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรขอให้พยายามมาติดตามดีหรือไม่ (ดี)  เห็นท่านเหนื่อย ท่านง่วง เราอยากมาเรียกความกระปรี้กระเปร่า สดชื่น ในการฟังธรรม น้ำแห่งพระธรรมเป็นเหมือนน้ำอันร่มเย็น ยิ่งเติมเราต้องยิ่งสดชื่นแจ่มใส  ไม่ใช่ยิ่งเติมกลับยิ่งเหี่ยวเฉา ห่อเหี่ยว ใช่ไหม (ใช่)  อย่างนั้นปลุกความกระปรี้กระเปร่ากลับคืนมาสู่จิตใจ เพราะธรรมะนำชีวิตเดินไปสู่ความร่มเย็น และเป็นสุข  ธรรมะสอนให้มนุษย์ว่างเพื่อเติมความสงบ ไม่ใช่ว่างเพื่อเติมความวุ่นวาย ธรรมะสอนให้มนุษย์ปรับความคิดที่บิดเบี้ยวให้เป็นความคิดที่ถูกต้อง และเดินไปสู่หนทางที่เที่ยงตรงและตรงทาง  วันนี้แค่นี้ล่ะนะ มีโอกาสค่อยติดตามตอนต่อไป

วันอาทิตย์ที่ ๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๑  
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ

ความเรียบง่ายอยู่บนไม้บรรทัด มรรคผลจัดอยู่เป็นแนวเป็นแถว
มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างรู้แกว คงยากแล้วที่จะถึงซึ่งฝั่งธรรม
เราคือ
หนึ่งในแปดเซียนหันเซียงจื่อ รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่แดนโลก  แฝงกายอัญชุลี
องค์มารดา ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ

อยากรู้ไปทุกข์กลับยิ่งทวี พอจะก้าวสุขฤดีอยู่ไหน
คิดสูงให้อะไรมีสุขง่าย คิดร้ายใดดีไหมยังระแวง
ใดเที่ยงแท้ละทิฐิยึดมั่น ลดตัวตนสูงนั้นสันโดษแฝง
ความสามัญคืนสุดท้ายชีวิตแกร่ง เพียรลุล่วงยืมแจ้งแสดงจริง
ถึงวันกิเลสพ้นเพราะพอได้ ในมายาจริงปลอมไซร้กระจ่างยิ่ง
กล้าอุทิศตนบำเพ็ญเพื่อบรรลุจริง พูดทำวิ่งแทนฟ้าโปรดเวไนย
สาระไปประโยชน์ทำใช่เพื่อตน ฝึกฝนใจอดทนทวนกิเลสไหว
กระทำด้วยว่างไป่หวังผลใด เพื่อละยึดมั่นหมายเหตุทวี
ใจสัตย์ซื่อละอายเกรงบาปกรรม ทำสิ่งใดหวังทำเสมอชีวี
ชีวิตสุขพอนี้ทำให้ดี มีใจจะเรื่องดีรีบกระทำ
โลภโกรธหลงใดมีระวังไว้ ใจเย็นเริ่มก็ง่ายรอบคอบทำ
ดำรงชีพตรองสักนิดง่ายคุณธรรม อารมณ์นำทำสิ่งใดย่อมจาบัลย์

ฮา  ฮา  หยุด
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
ทานอาหารเจเป็นอย่างไร (อร่อย)  อิ่มไหม (อิ่ม)  บางทีทานเนื้อสัตว์หรือไม่ทานเนื้อสัตว์ก็เป็นแค่ความเคยชินของลิ้นที่รับรสเอง     ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนเมื่อก่อนท่านทานรสเปรี้ยวไหม ทานรสจัดไหม ทานรสเค็มไหม  เมื่อก่อนเวลาเรากินก๋วยเตี๋ยว ถ้าไม่มีเครื่องปรุงเราจะรู้จักปรุงไหม (ไม่)
แท้จริงแล้วเมื่อก่อนเราคงไม่ได้กินรสจัดตั้งแต่เด็ก ใช่ไหม (ใช่)  รสที่เรารู้จักตั้งแต่เด็กก็คือรสจืด ถูกหรือเปล่า (ถูก)  แต่พอโตแล้วเราถึงได้รู้จักปรุงแต่งรส ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วถ้าเกิดว่าตอนเด็กๆ เราไม่ได้รู้จักเนื้อสัตว์ล่ะ ถ้าสมมติว่าตอนเด็กๆ เรารู้จักแต่ผัก แล้วเมื่อเติบโตมา ท่านคิดว่าเราจะอยากกินเนื้อสัตว์ไหม (ไม่อยาก)  จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นรสชาติอยู่แค่ลิ้นเท่านั้นเอง ถ้าทุกท่านต่างมีจิตเมตตา มีจิตสงสาร เราเจ็บเขาก็เจ็บ เราทุกข์เขาก็ทุกข์ การเบียดเบียนทำร้ายก็คงไม่มี ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ตอนนี้บางคนคิดแค่เพียงว่า ฉันสุขคนอื่นทุกข์ไม่เป็นไรใช่ไหม แล้วอย่างนี้ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  ถ้าเกิดว่าเราสุขแต่คนอื่นทุกข์ ดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  ถ้าเราอิ่มแต่คนอื่นต้องสละชีวิตเอาไหม (ไม่เอา)  ถ้าเอาเนื้อท่านให้คนอื่นกินจนอิ่ม เอาไหม (ไม่เอา)  ท่านก็ไม่เอา ถ้าท่านต้องสละชีวิต ท่านยอมไหม (ไม่ยอม)  คนส่วนใหญ่ก็ไม่ยอม ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วมีสัตว์ตัวใดล่ะ ที่เวลาท่านเอามีดเฉือนเขาสักนิดหนึ่ง แล้วเขาจะยอมให้ท่านเฉือนจนตายก็ไม่มี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แค่โดนเฉือนนิดเดียวมันก็วิ่งและก็ร้องแล้ว ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วทำไมตอนนั้นจิตแห่งเมตตาของเราหายไปไหน เราหลงลืมไปหรือเปล่า แล้วต่อไปถ้าเรารู้อย่างนี้แล้วเราจะกินหรือไม่กิน (ไม่กิน)  แต่ก่อนไม่รู้ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้รู้แล้วจะลดได้หรือไม่ (ได้)  หลังจากนี้ไป ขอให้เริ่มต้นง่ายๆ ก็คือ พยายามไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ด้วยน้ำมือของเราเอง ดีหรือไม่ (ดี)  พอเริ่มไม่ฆ่าสัตว์ได้แล้ว ต่อไปก็เริ่มไม่กินสัตว์
เราขอท่านไม่กินสัตว์สามประเภทได้ไหม (ได้)  สามอย่างเองที่ท่านไม่ต้องกิน ได้ไหม (ได้)  ได้ใช่ไหม (ได้)
  1. สัตว์บนฟ้า ท่านจะ (ไม่กิน)
  2. สัตว์บนดิน ท่านจะ (ไม่กิน)
  3. สัตว์ในน้ำ ท่านจะ (ไม่กิน)
แค่นั้นเอง ได้ไหม (ได้)  เกิดเป็นคน เสียชีพอย่าเสียสัตย์ รับปากอะไรแล้วต้องทำให้ได้ ไม่มากก็น้อยก็ยังดี
อย่างแรกก็คือพยายามไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อย่างที่สองลดได้ ละได้ก็พยายามลดพยายามละ เพื่อฝึกจิตเมตตา เพื่อฝึกจิตสงสารผู้อื่นให้เป็น ถ้าเราอยู่ในสังคม หรืออยู่ในโลก ถ้าทุกคนไม่เคยคิดสงสารใคร แม้สัตว์เล็กๆ ก็ไม่สงสาร แล้วสัตว์ใหญ่ๆ คนตัวโตๆ จะมีใครสงสาร จริงไหม (จริง)  เล็กๆ เขายังไม่สงสาร แล้วตัวโตๆ อย่างท่าน เขาจะสงสารไหม จริงไหม (จริง)  เล็กๆ เขายังฆ่าให้ตาย ทรมานให้ตาย แล้วคนโตๆ คิดว่าเขาจะไม่คิดอยากทำบ้างหรือ ดูตอนไหนล่ะ ดูตอนเขาโมโห เขาก็อยากฆ่าให้ตายเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  บางคนยังไม่ทันคิด มือไปเรียบร้อยแล้วก็มี ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ฉะนั้นการฝึกจิตเมตตาก็ต้องเริ่มจากสิ่งที่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก่อน ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ความเรียบง่ายอยู่บนไม้บรรทัด  มรรคผลจัดอยู่เป็นแนวเป็นแถว
ในสังคมสิ่งที่หัวใจของมนุษย์ทุกคนปรารถนาก็คืออยากอยู่ร่วมกับคนดี อยากอยู่ในสังคม ครอบครัว และอยากพบสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่ดีนั้นจำเป็นไหมว่าจะต้องตรง ไม่มีแนวเฉียงไม่มีแนวคด คนดีนั้นจะต้องดีแบบที่ท่านวางไว้เป็นมาตรฐาน ห้ามเกินหรือต่ำกว่ามาตรฐาน อย่างนี้ไม่อาจเรียกคนดีใช่ไหม (ใช่)  ท่านคิดว่าคนดีคือคนที่ต้องตรงตามมาตรฐาน จะเหนือ ใต้ ขึ้น ลง ก็ไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  คนดีคือคนที่ท่านวางกรอบไว้อย่างไรก็ต้องเดินตามกรอบแบบนั้นถึงเรียกว่าดี ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เหมือนลูกหลานจะดีได้ต้องเดินตามกรอบที่แม่วางไว้เท่านั้น นอกกรอบลูกไม่ใช่คนดีสำหรับแม่ใช่ไหม (ไม่ใช่,ใช่)  บางคนบอกว่าการจะเป็นคนดีได้ต้องเดินตามแนวที่เราคิด ถ้าออกนอกแนวที่เราคิด เราก็ไม่อาจเรียกเขาว่าคนดี คนจะดีได้และดีถึงที่สุดต้องเป็นไปตามขั้นตอนที่ฉันวางไว้ ถ้านอกเหนือขั้นตอนบางทียากจะเรียกว่าดี ใช่หรือไม่ (ใช่) ใช่ แต่แท้ที่จริงแล้ว คนดีที่แท้จริงอาจจะนอกเหนือจากแนวหรือกรอบที่เรากำหนดก็เป็นได้ ถูกไหม (ถูก)  
คนดีสำหรับหัวใจท่าน ในความคิดของทุกท่านเป็นอย่างไร
(คนดีต้องเป็นผู้นำที่ดี ต้องซื่อสัตย์และอดทน)  แค่คำว่าซื่อสัตย์คำเดียวบางครั้งก็ตอบยาก อย่างสมมติว่าเขาทำอาหารเค็มไป แล้วเราจะชมเขาว่าอย่างไร  ถ้าพูดตรงเกินไปก็กลายเป็นว่าไม่รักษาน้ำใจคนทำเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าปรับปรุงคำพูดให้สวยหรูหน่อยก็เหมือนประจบเอาใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่งคำให้สวยหรูบอกเขาว่าก็อร่อยนะแต่ถ้าเติมน้ำเปล่านิดหน่อยจะอร่อยยิ่งขึ้น ฟังดูดีไหม (ดี)  แต่ถ้าเขาคิดมากเขาก็คิดว่าเราแอบว่าเขาเล็กๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าเขาพูดตรงไปตรงมา ท่านก็ว่าเขาขวานผ่าซาก พอเขาเอาอกเอาใจท่านมากเกินไปท่านก็พูดว่าประจบเอาใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) เป็นคนดีในโลกยากไหม (ยาก) จึงทำให้มนุษย์ในโลกจึงไม่อยากเป็นคนดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  พอรู้ว่าทำยากเลยไม่ทำเลย ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  เมื่อสักครู่ก็ตอบเราเองว่า อยากเจอคนดี อยู่ร่วมกับใครก็อยากอยู่ร่วมกับคนดี มีของอะไรใช้ก็อยากได้ของดีๆ ใช้  แต่ถึงเวลาเป็นคนดีเป็นยาก ก็ไม่เป็นเสียเลย ดีไหม (ไม่ดี)  พอตัวเองเป็นไม่ได้ก็เลยไปเรียกคนอื่นเป็นแทน  เมื่อตัวเองเป็นคนดีได้ยาก เรียกคนอื่นเป็นคนดีจะง่ายกว่า ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)  กลายเป็นเรียกคนอื่นเป็นก็ยาก เรียกตัวเองก็ยาก เลยปล่อยให้ชีวิตเลยตามเลย ถูกหรือไม่ (ถูก)
ขอถามท่านหน่อยว่า สะสมเงินทองช่วยได้แค่ตอนมีร่างกาย แต่สะสมซึ่งบุญกุศลความดีงามโดยไม่หวังผล ช่วยได้ทั้งตอนมีกายเนื้อและตอนสิ้นร่างกาย ถูกไหม (ถูก)  แต่ทำไมมนุษย์เราจึงขยันสะสมเงินมากกว่าสะสมความดีงาม  ถามว่าหาเงินเหนื่อยไหม (เหนื่อย)  หาเงินโดนคนว่าไหม (โดน)  ขยันมากเกินไป เขาก็หาว่างกเงิน แต่ต้องหาไหม (ต้องหา)  แต่ทำดีมากๆ เขาหาว่าเรางกความดีไหม (ไม่)  แล้วทำไมไม่ทำดีมากๆ ล่ะ  แต่กลับบอกว่าทำดีแล้วเหนื่อยใจ ไม่ทำดีกว่า  ถามว่าทำงานแล้วเหนื่อยใจไหม (เหนื่อย)  เหนื่อยทั้งใจเหนื่อยทั้งกาย แต่ก็ยังทำไหม (ทำ)  แต่ทำไมทำดีเหนื่อยแค่ใจ เหนื่อยแค่กายเล็กน้อยกลับไม่ทำ แปลกไหม
เคยได้ยินไหมว่า ทำดีบ่อยๆ ความดีก็หนุนส่งทำให้เราได้กลับคืนเบื้องฟ้า  แต่ถ้าความดีไม่ค่อยทำ แต่ความชั่วขยันทำ  ความชั่วนั้นก็หนุนส่งให้เราลงสู่เบื้องล่าง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ระหว่างขึ้นฟ้ากับลงดิน อันไหนดูสบายกว่า ดูดีกว่า (ขึ้นฟ้า)  เหมือนถามท่านว่าขึ้นที่สูงกับลงเหวต่ำ อะไรดูน่ากลัวกว่ากัน (ลงเหวต่ำ)  แล้วทำไมมนุษย์ไม่เลือกทำดี แต่กลับเลือกทำชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกท่านมีความสุขกันดีไหมหรือว่ามีแค่ตามอัตภาพ ตามอัตภาพ ใช่หรือไม่ (ไม่ใช่)
(นักเรียนเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั่ง)  ถ้าเราไม่นั่งท่านจะนั่งไหม (ไม่นั่ง)  อย่างนั้นถ้าเรายืนท่านจะ (ยืน)  ถ้าเรานั่งท่านจะ (นั่ง)  สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาแต่ละพระองค์มาแต่ละครั้งไม่เคยนั่งเลย ตั้งแต่มาเราไม่เคยบังคับท่านเลยใช่ไหม เราอะลุ่มอล่วยท่านตลอดใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นเราถามท่านอีกครั้งนะ ถ้าเรายืนท่านจะ (ยืน)  อุตส่าห์ให้โอกาสแล้ว มนุษย์นั้นถ้าเป็นเด็กผิดบ่อยๆ คนก็ยังมองว่าน่ารัก แต่ถ้าอายุมากแล้วผิดบ่อยๆ เขามองว่าน่ารักไหม (ไม่น่ารัก)  ไม่น่ารักแล้ว จะกลายเป็นน่าตีจริงๆ เลย (ใช่หรือไม่)
ส่วนใหญ่ถ้าถามมนุษย์ว่าอย่างไรเรียกว่าคนดี อย่างไรเรียกว่าคนพาล มนุษย์ก็จะบอกว่าคนที่จิตใจกว้างขวาง รู้จักให้อภัย ถ้อยทีถ้อยอาศัย มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เรียกว่าคนดี  คนไม่ดีก็คือคนที่จิตใจคับแคบ ทำอะไรคิดถึงแต่ตัวเอง ไม่สนใจส่วนรวม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าอย่างนั้นลองตรวจสอบดูว่าเราเป็นคนดี หรือยังเป็นคนไม่ค่อยดี (ไม่ดี)
ใครคิดว่าตัวเองเป็นคนดีไม่มีที่ติยกมือขึ้น ใครคิดว่าตนเองเป็นคนดีแต่มีที่ติมากยกมือขึ้น ใครคิดว่าตนเองเป็นคนไม่ดียกมือขึ้น คนที่ไม่ยกมือแปลว่าเป็นคนอะไรเอ่ย อย่างนั้นลองฟังสิ่งที่เราถามนะ ดูว่าท่านอยู่ระหว่างเป็นคนดีหรือคนไม่ดีกันแน่
อย่างแรกถามว่า เวลามีโอกาสที่จะได้สร้างสิ่งที่ดี แต่ไปทำไม่เคยทันสักที ถึงเวลามีโอกาสไปสร้างสรรค์สิ่งที่ดี หรือช่วยเหลือคนให้มีดี แต่พอถึงเวลาทำไม่เคยทันสักที ถึงเวลามีโอกาสทำบุญสุนทานอุทิศช่วยเหลือผู้อื่น แต่ถึงเวลาทำบุญนั้นก็ทำไม่ทัน เขาเลิกไปก่อนทุกที เป็นไหม (เป็น)
คนที่มีใจจะทำดีแต่ทำดีไม่เคยทันสักทีเรียกว่าเป็นคนดีจริงไหม คนดีจริงๆ ต้องสามารถทำดีได้ทุกโอกาส แม้ไม่มีโอกาสก็สามารถทำดีได้ทุกที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่บางคนมักจะคิดว่า ทำไม่ทันทุกทีเลย เสียดาย เอาไว้ทอดกฐินครั้งหน้าเราทำได้ทันแน่ แต่พอกฐินงวดหน้ามาบอกว่าวันสุดท้ายถึงจะทำ พอถึงวันสุดท้ายก็ไม่ได้มาร่วมงาน อย่างนี้เรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี)  อย่างนี้เรียกว่าคนเกือบจะดี
อย่างที่สอง ถามว่าถ้ามีเงินจำนวนมากพอ และตัวเองก็สบาย แต่ปล่อยให้คนอื่นเดือดร้อนแต่ตัวเองสบายเรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี)  ตัวเองสบาย มีกินอิ่มทุกวัน แล้วเคยคิดจะเอาสิ่งที่ตัวเองสบายไปช่วยเหลือคนอื่นไหม คนที่ปล่อยตัวเองสบายแล้วให้คนอื่นลำบากเรียกว่าคนดีไหม (ไม่ดี)  สองอย่างนี้ท่านเป็นแบบนั้นไหม ถ้าเป็นก็ยังไม่ค่อยดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  ในเมื่อความดียังทำไม่ค่อยได้ อย่างนี้จะศึกษากับเราต่อได้ไหม
การศึกษาบำเพ็ญธรรมต้องเริ่มจากการเป็นคนดีก่อน แล้วจากการเป็นคนดีจึงค่อยบ่มเพาะคุณธรรมและชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีให้หมดไปจากใจ นี่จึงเรียกว่าศึกษาธรรมและบำเพ็ญธรรมอย่างถูกทาง แต่ถ้าเริ่มต้นเรายังไม่ค่อยอยากดี แล้วจะบ่มเพาะคุณธรรมและชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีในตัวตนก็คงเป็นเรื่องยาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)
แต่คนในโลกยังพูดอีกว่า “ถ้าสิ่งไม่ดีไม่เคยกำจัด เรื่องดีๆ ไม่เคยปรากฏ ก็ยากจะเรียกว่าคนดีได้” ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นมนุษย์ถ้าจิตใจยังไม่กระจ่างก็ยากที่จะส่องสว่างให้กับตนเองหรือผู้ใดได้ มนุษย์ถ้าใจยังไม่สงบก็ยากที่จะยืนหรือทำอะไรได้อย่างคงมั่นและแน่วแน่ได้จริงไหม
ฉะนั้นวันนี้เรามาศึกษาธรรม สิ่งที่ไม่ควรหายไปจากหัวใจนั่นก็คือคุณธรรมของการเป็นคนดีโดยพื้นฐาน
คุณธรรมของการเป็นคนดีโดยพื้นฐานมีอะไรบ้าง
(มีความกตัญญูรู้คุณ, พูดแต่สิ่งดีมีความจริงใจ, มีความซื่อสัตย์, มีความเมตตากรุณา, ช่วยเหลือผู้อื่น,มีระเบียบวินัย รับผิดชอบต่อหน้าที่, ไม่เบียดเบียนผู้อื่น, รักคุณธรรม, ทำโดยไม่หวังผล, คิดดีทำดี ) ลืมไปแล้วหรือเวลาไปวัดแล้วได้กลับมาทุกที มีห้าข้อ คืออะไร (อทินนาทานา อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต, ไม่ลักทรัพย์ ไม่มุสา, ไม่ผิดในกาม, ไม่ดื่มสุรา)
ข้อแรกคือปาณา ใช่หรือไม่ ปาณาคือ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
ข้อต่อไปคือไม่ลักทรัพย์ ไม่มุสา ไม่ผิดในกาม ไม่ดื่มสุรา
คุณธรรมพื้นฐานของความเป็นมนุษย์   คือพยายามรักษาศีลห้าให้ครบ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะในศีลห้าได้บ่งบอกคุณธรรม
ไม่ฆ่าสัตว์ คือ เมตตา
ไม่ลักทรัพย์ คือ มโนธรรม
ไม่พูดปด คือ มีสัจจะ ความซื่อตรง
ไม่ผิดลูกผิดเมียผู้อื่น คือ จริยะ
ไม่ดื่มสุราเมรัย คือปัญญา
คุณธรรมพื้นฐานของความเป็นคนซึ่งท่านรู้กันอยู่แล้วใช่หรือไม่ แต่สิ่งที่เราอยากบอกท่านเพิ่มอีกหน่อยคือ การอยู่ร่วมกันทำอย่างไรให้เป็นที่รักของผู้อื่น มีอยู่ไม่กี่ข้อ
อย่างแรกคืออย่าเป็นคนที่เล็กๆ น้อยๆ ก็จับผิด ใครผิดพลาดก็ไม่ให้อภัย ถ้าเป็นคนที่ละเอียดถี่ถ้วนจนเกินไป น้ำใสย่อมไม่มีปลาอยู่ คนที่เจ้าระเบียบจู้จี้จุกจิกมักไม่มีใครอยากคบด้วย แม้จะดีขนาดไหนก็ตาม
น้ำสะอาดมีสิ่งมีชีวิตอยู่ไหม (ไม่มี)  คนที่จู้จี้จุกจิก คอยจับผิด ใครผิดนิดผิดหน่อย ก็บ่นตั้งแต่เช้าถึงเย็น รักยังไงก็อยู่ร่วมไม่ลง ใช่หรือไม่ (ใช่)
อย่างที่สอง อยากเป็นที่รักของคนอื่น อยากให้คนอื่นชอบ ไม่รังเกียจเรา ก็คืออย่าพูดสิ่งไม่ดีของคนอื่นออกจากปากเรา ถูกไหม (ถูก)  เราอยู่ร่วมกัน เขาไม่เคยเอาสิ่งไม่ดีของคนอื่น หรือคนที่รักที่สุดมาพูด ไปอยู่ที่ไหนใครก็รัก เพราะเขาไม่เคยว่า ไม่เคยเอาสิ่งที่ไม่ดีของเรามาเผาใจเราให้เจ็บปวดใจสักครั้ง ทำอย่างนี้มีไหมใครจะไม่รัก ถูกหรือไม่ (ถูก)
อย่างที่สามก็คือ แม้จะรู้ว่าเขามีอะไรไม่ดี หรือแม้จะรู้ว่าเขาเคยทำผิดพลาดอะไรก็ตาม แต่เราจะไม่เป็นคนบ่นซ้ำบ่นซาก แล้วจำไม่ลืม
ถ้าสามอย่างนี้ท่านมีอยู่ในชีวิต ในสังคม ในหน้าที่การงาน หรือในสถานที่ใดก็ตาม ล้วนย่อมเป็นที่รักของทุกๆ คน ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่คนในสังคมกลับกัน ความดีไม่เคยออกพ้นประตูบ้าน แต่ความชั่วยังไม่ทันพ้นประตูบ้านก็เริ่มประจานตั้งแต่อยู่บ้านจนถึงนอกบ้านเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นคนที่ดีคือคนที่รู้จักพูดแต่สิ่งที่ดี และให้กำลังใจสิ่งที่ดีกัน ส่วนสิ่งไม่ดีพยายามลืมๆ ไปเสีย เพราะยิ่งพูดสิ่งที่ไม่ดี เขายิ่งไม่คิดจะทำดี ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้าเราพูดสิ่งที่ดีให้แก่กัน คนเขาจะดีใจ อยากจะทำเรื่อยๆ ถูกหรือเปล่า (ถูก)
ฉะนั้นความเป็นคนพื้นฐาน หรือความเป็นมนุษย์พื้นฐานที่ทุกท่านควรจะมีไว้นอกจากศีลห้า ก็คือ
  1. อย่าจู้จี้จุกจิกขี้บ่น คอยจับผิดคนอื่น
  2. อย่าเปิดโปงความไม่ดีของคนอื่น รู้แล้วก็จบแล้วจบกัน
เหมือนถ้ามีปัญหาขึ้นมา แต่เราสามารถหยุดปัญหาไว้ด้วยตัวเราเอง แล้วไม่ต้องให้คนอื่นรับผลปัญหานี้ คนๆ นี้ไม่ได้เรียกว่าคนดีหรือ ถูกหรือไม่ (ถูก)
แม้มีเรื่องไม่ดีอะไร แต่สิ่งที่ออกจากปากเราล้วนเป็นสิ่งที่ดี ไปอยู่ที่ไหน เชื่อไหมว่าจะมีแต่คนรัก แล้วไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีอันตรายเนื่องจากตนเองเป็นคนพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นการอบรม ศึกษาธรรม สิ่งสำคัญก็คือบ่มเพาะคุณธรรม ชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีในหัวใจ  การอบรมบ่มเพาะคุณธรรมก็คือ หนึ่ง มีความซื่อตรง รู้จักสุขุมรอบคอบ ไม่ว่าจะพูด ทำ หรือเวลาอยู่ร่วมปฏิบัติกับใคร ถือความใจเย็นเป็นหลัก และสุภาพอ่อนน้อมเป็นรอง เช่นนี้ถ้าทำได้โดยที่ไม่เคยหวังคำชม ไม่เคยหวังผลเกียรติยศ ไม่เคยหวังผลว่าจะต้องได้คำชมว่าดีเป็นการตอบแทน คนๆ นี้ชื่อว่าบ่มเพาะคุณธรรมในหัวใจ
ทำไมเราถึงต้องชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีในใจ ท่านเคยเห็นไหมว่า ของไม่ดีแม้จะอยู่แต่ในใจก็สามารถทำให้เราไม่สงบสุขได้ จริงไหม (จริง)  แล้วท่านคิดว่าของไม่ดีอะไรในใจที่อยู่ในตัวเราแล้ว แม้จะไม่ออกฤทธิ์ออกโรง แม้ยังไม่ได้พูดออกมา แต่อยู่ในใจเมื่อไหร่ก็ไม่เป็นสุข พอรู้ไหม
มีคำกล่าวคำหนึ่งกล่าวว่า “ปราบโจรภายนอกปราบง่าย แต่ปราบโจรที่อยู่ภายในปราบยาก ชนะผู้อื่นชนะง่าย แต่ชนะใจตัวเองชนะยาก” ถูกหรือไม่ (ถูก)  แล้วโจรห้าร้อยอะไรบ้างที่ชอบอยู่ในหัวใจของเรา มีเมื่อไหร่ก็ไม่เคยสงบสุขสักที
อย่างแรกคือ ใจที่ไม่เคยยอมรับความผิด เอาแต่โทษผู้อื่นอยู่ร่ำไป จริงไหม (จริง)  มีปัญหา มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็โทษบอกว่า “คนอื่นๆ ไม่ใช่ฉันๆ”
คนที่ถือแต่ดีไม่ยอมรับความผิด ไม่ยอมรับความร้าย “ฉันดี แกนั้นแหละที่ร้าย ที่พูดมาของแกทั้งนั้นไม่ใช่ของฉันเลย” ร้ายไหมโจรตัวนี้ (ร้าย)  รักเป็นคนดี ชอบที่จะเป็นคนดี พอใครมาว่าเป็นคนร้ายรับไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ขึ้นต้นว่ารับผิดชอบก็ต้องยอมรับผิดก่อนใช่ไหม (ใช่)  ถึงจะรับชอบเป็น ใช่หรือไม่ (ใช่) อย่าเป็นคนที่รับชอบเป็น แต่รับผิดไม่เป็น
อย่างที่สองคือ โจรอีกคนหนึ่งที่ชอบเอาชนะไม่เคยยอมแพ้ใคร อ้าปากขึ้นมาแล้วคนอื่นต้องเงียบแล้วฉันต้องเป็นคนพูด ใช่หรือไม่ (ใช่)  มีโจรกี่คนแล้ว (สองคน)  โจรสองคนนี้ร้ายไหม (ร้าย)  
มีเรื่องๆ หนึ่ง มีครอบครัวหนึ่ง เขามีลูกสาวสามคนแต่ลูกสาวสามคนนี้ สอนอย่างไรก็ไม่เคยเลือกที่จะทำสิ่งที่ดี ชอบทำสิ่งที่ทำให้พ่อแม่กลุ้มใจตลอดเวลา
ลูกสาวคนแรกเจ้าชู้ ลูกสาวคนที่สองเห็นของๆ ใครก็อยากได้ ขี้ขโมย  ลูกสาวคนที่สามไม่เจ้าชู้ ไม่ขี้ขโมย แต่เสียอย่างเดียวอ้าปากเมื่อไรที่นั่นต้องมีเรื่องทุกที จากที่เขาสงบก็กลายเป็นร้อนรุ่ม พูดที่ไหนก็ทำให้แตกแยกที่นั่น  เลี้ยงเท่าไรก็ไม่ดี จึงนำลูกทั้งสามคนไปปล่อยทิ้งที่เกาะๆ หนึ่ง
วันหนึ่งบังเอิญมีโจรสลัดมาเห็นสาวสามนางเข้า สนใจไหม (สนใจ)  แต่โจรนี่ฉลาดจะเอาใครขึ้นเรือ ต้องขอถามเหตุผลก่อนว่า ทำไมหน้าตาก็ดี เป็นผู้หญิงด้วย จึงมาถูกทิ้งที่เกาะกลางทะเลแบบนี้
คนแรกก็ยอมอธิบายโดยตรงว่าเป็นอะไร (เจ้าชู้)
คนที่สองยอมอธิบาย ไหม (ยอม)  ก็บอกว่า เพราะตนขี้ขโมย
คนที่สามยอมอธิบายไหม (ไม่ยอม)  คนช่างพูดมีหรือจะไม่ยอมพูด อยู่ที่ไหนก็ต้องพูดออกมาให้เขาเห็นวันยังค่
ถามท่านว่าโจรจะเอาขึ้นเรือทั้งสามคนไหม (ไม่)  ท่านคิดว่า โจรจะเอาใครขึ้นเรือ ไม่เอาใครขึ้นเรือ ถ้าโจรบอกว่าไม่เอาคนเดียว
ท่านคิดว่าโจรจะไม่เอาใครขึ้นเรือ   (ไม่เอาคนขโมย, ไม่เอาคนเจ้าชู้, ไม่เอาคนปากไม่ดี)
เขาไม่เอาคนปากไม่ดีขึ้นเรือ เพราะว่าอะไรรู้ไหม
คนที่เจ้าชู้เอามาเป็นภรรยาหัวหน้าโจร เมื่อเป็นภรรยาหัวหน้าโจรก็ต้องรักศักดิ์ศรี จะไปกะลิ้มกะเหลี่ยกับลูกน้องโจรก็ไม่ได้ จึงเริ่มอายเป็น และไม่เจ้าชู้
ส่วนคนที่ชอบขโมย โจรก็รับขึ้นเรือเพราะว่าการเป็นโจรก็ขโมยของคนอื่นอยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไร ไม่ให้หญิงคนนี้ขโมยของๆ โจร โจรจึงให้เขาถือกุญแจตู้เก็บสมบัติ  พอคนอื่นขโมยของมาเขาก็เป็นคนเก็บ เขาจะอยากไปขโมยของคนอื่นอีกไหม (ไม่)
แต่คนที่ปากไม่ดีไปอยู่เรือลำไหนเรือลำนั้นก็ทั้งแตกและล่ม เขาจึงไม่เอาคนนี้ไป
มีตำนานเล่าว่ามนุษย์สมัยนี้ทำไมถึงปากร้ายก็เพราะมาจากผู้หญิงคนนี้  เมื่อผู้หญิงคนนี้ถูกทิ้งไว้ มีพญานกบินมาสองตนเห็นแล้วสงสาร เพราะผู้หญิงขอความช่วยเหลือ พญานกก็บอกว่าได้ แต่ขณะที่พาท่านข้ามจากเกาะห้ามชวนเราพูดคุย เพราะเมื่อไรที่เราพูด ท่านจะตกลงไปทันที แล้วพญานกจึงคาบกิ่งไม้สองด้านโดยให้เขาเกาะตรงกลาง แต่คนเคยชินกับการพูดพอถึงเวลา เขาก็พูดยุแหย่พญานกสองตัว นกฝั่งนี้ก็โมโหฝั่งนั้น นกฝั่งนั้นก็โมโหฝั่งนี้ แล้วก็ไม่มีอารมณ์อยากจะแบกผู้หญิง แต่กลับเอาปีกไปตีนกข้างๆ ตีกันไปตีกันมา ทำให้ผู้หญิงตกลงมาตายทันที  พระมาเห็นสงสารศพไม่ได้ทำการฌาปนกิจ สงสัยจะเป็นคนมีบาปถึงไม่มีใครทำบุญสงเคราะห์ ก็เลยเอาไปเผา เก็บกะโหลกมาเคาะสวดมนต์แผ่ส่วนกุศลให้  แต่ไม่นานพระในวัดก็แตกแยกทะเลาะกันเป็นแถว  สงสัยศพนี้จะเป็นกาลกิณี  แม้จะเอากระดูกมาทำบังสุกุล แต่ก็ยังมาทำให้พระแตกแยกกัน  พระจึงโยนกะโหลกทิ้งลงแม่น้ำ แล้วคนก็เอาน้ำนั้นมาดื่ม กิน ใช้ จนถึงปัจจุบันนี้ ปัจจุบันมนุษย์ก็เลยเป็นคนปากร้าย ยอมรับไหม  ฉะนั้นโจรที่น่ากลัวของมนุษย์คือ พูดอะไรไม่รู้จักคิด ทำอะไรไม่รู้จักสำรวมระมัดระวัง นี่คือโจรร้ายที่อยู่ในใจของเรา
ฉะนั้นเกิดเป็นคน สิ่งที่ทุกท่านต้องควรจำไว้อยู่เสมอคือทบทวนตรวจสอบความไม่ดีของตน อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ใคร เข้มงวดกวดขันแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีของตน อย่าไปเข้มงวดกวดขันตรวจสอบใคร เช่นนี้เรียกได้ว่าชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีในหัวใจ  บ่มเพาะความดีในใจให้บังเกิด  เมื่อเราไม่มีเวลาไปตรวจสอบความผิดของใคร ทุกวันมีแต่ตรวจสอบความผิดของตัวเองเรา จะว่าใครได้ไหม (ไม่ได้)  ทุกวันก็จะคิดว่าตัวเองยังดีไม่พอ จะเอาปากเอาใจของเราไปวัดใครได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคุณธรรมของผู้บำเพ็ญธรรม นอกจากการเป็นคนดีแล้วยังต้องรู้จักอบรมบ่มเพาะคุณธรรมในใจและขัดเกลาสิ่งที่ไม่ดีในใจให้หมดสิ้นด้วย ยากไหม (ไม่ยาก)
มีสิ่งใดที่ไม่ดีในหัวใจเราที่อยากจะขจัดปัดทิ้งไปบ้าง
(ความขี้น้อยใจ)  น้อยใจบ่อยๆ ก็ไม่ดีใช่หรือเปล่า (ใช่)  ให้คนอื่นยิ้มกว้างหน่อย เรายิ้มน้อยหน่อยก็ไม่เป็นไรนะ
(ความโกรธ)  ถ้าเราคิดถึงผลของการโกรธแล้ว เราจะโกรธคนไม่ลง เพราะเวลาโกรธ เกิดผลเสีย เจ็บทั้งตัว เจ็บทั้งคนรอบข้าง แล้วยิ่งเก็บไว้ก็ยิ่งเจ็บทั้งหัวใจ  เคยได้ยินไหมโกรธหนึ่งครั้งก็เหมือนตอกตะปูลงไปในหัวใจครั้งหนึ่ง แล้วเราตอกตะปูกี่ตัว โกรธคนกี่ครั้ง แล้วถอนออกมาเจ็บไหม (เจ็บ)  อย่าโกรธดีกว่า เปลี่ยนเป็นให้อภัย
(ความโกรธความแค้น)  ความแค้นยุติได้ด้วยใจให้อภัย บางทีไม่มีใครอยากพูดให้เราเจ็บ แต่หัวใจเราเจ็บไปเอง  เรารักเขา เขารักเรา ก็คงไม่มีใครทำให้เจ็บ  แต่บางทีที่เขาพูดให้เราเจ็บก็เพราะเขารักและห่วงใช่หรือไม่ (ใช่)
(มีทิฐิที่ไม่ค่อยยอม)  ฉะนั้นยอมหน่อยไม่ดีหรือ ถอยหนึ่งก้าว ฟ้ากว้างทะเลไกล ถ้าถือไว้ รั้งไว้บางทียิ่งเจ็บไม่ใช่หรือ  ปล่อยเมื่อไรก็ไม่เจ็บ ชีวิตคือสิ่งที่ยึดได้ปล่อยได้ ไม่ใช่คือสิ่งที่ยึดแล้วปล่อยไม่ได้
(ไม่อิจฉาผู้อื่น)  ใครได้ฉันก็ดีใจด้วย
(ขจัดความแค้นในใจ)  แล้วตอนนี้ยังเก็บไว้อยู่ไหม หรือปล่อยแล้ว เคยได้ยินไหม “ให้อภัยได้สันติ”  ความแค้นเก็บไว้ก็มีแต่เจ็บปวดใจ ใช่หรือไม่ (ใช่) แผ่เมตตาให้เขามากๆ แล้วเราจะเป็นสุขใจ ใช่หรือเปล่า (ใช่)
กิเลสตัวใดที่อยู่ในใจแล้วทำร้ายเราให้เจ็บที่สุด
(ความอยาก)  ความอยากในสิ่งที่ไม่ควรอยากจะทำร้ายใจให้เราเจ็บปวดที่สุด แล้วอะไรอีกที่ควรตัดออกจากใจ
(ความทุกข์)  ความทุกข์ขจัดได้หรือ ทุกข์เป็นสิ่งที่เกิดก็มี ตายก็ต้องมี เราหนีความทุกข์ไม่พ้น ต้องอยู่จนเป็นเพื่อนกับความทุกข์ และสามารถเอาทุกข์นี้แปรเป็นสุขได้
สิ่งที่มนุษย์ทุกคนกลัวที่สุดคือความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ความทุกข์คือสิ่งที่เริ่มต้นก็มีและจุดสุดท้ายก็ต้องมี  ฉะนั้นเราต้องอยู่กับความทุกข์ให้เป็น และเอาชนะทุกข์ให้ได้
(ความใจร้อน)  โจรที่น่ากลัวที่สุดในมนุษย์อีกอย่างหนึ่งนอกจากปากร้ายคือความใจร้อน  ทำอะไรก็ใจร้อนต้องให้ได้ดั่งใจตลอด พอใครไม่ได้ดั่งใจรับไม่ได้ โกรธ ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นใจเย็นเข้าไว้คิดให้รอบคอบ คิดสักสามครั้งก่อนที่จะทำดีหรือไม่ (ดี)
(ความโลภ)  ขยันทำมาหากินอย่างนี้เรียกว่าโลภไหม (ไม่โลภ)  แต่ขยันแล้วต้องรู้จักพอใช่ไหม เมื่อมีแล้วรู้จักแบ่งปันอย่างนี้ไม่เรียกว่าโลภ
(ผัดวันประกันพรุ่ง) จะทำอะไรก็ผัดวันประกันพรุ่งเป็นจิตใจที่เกียจคร้าน ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ชอบทะเลาะ)  ที่ทะเลาะเพราะมีนิสัยที่ไม่ค่อยยอมใคร ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นรู้จักยอมบ้างดีไหม
(คิดถึงอดีตที่ไม่สามารถกลับคืนมา เช่นพ่อเสียชีวิตไปแล้ว)  อย่างนั้นพยายามทำให้ดีเพื่อสร้างกุศลอุทิศให้พ่อดีกว่าไหม เพราะว่าการจมอยู่กับอดีตแล้วไม่ทำปัจจุบันให้ดี  ปัจจุบันทุกขณะก็จะกลายเป็นอดีตที่น่าเสียใจตลอดเวลา  ฉะนั้นทำปัจจุบันให้ดี และเอาสิ่งที่ดีนี้อุทิศส่วนกุศลให้พ่อ เราก็จะไม่มีอดีตที่น่าเสียใจอีกต่อไป เพราะทุกขณะคือปัจจุบันเท่านั้นใช่หรือไม่ (ใช่)
ในโลกมนุษย์แบ่งเป็นสามกาลคือ อดีต ปัจจุบันและอนาคต ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่พุทธะถือเป็นกาลเดียวคือมีแต่ปัจจุบันเท่านั้น  ถ้าวันนี้ทำได้ดี อดีตก็คือสิ่งที่ไม่น่าจะเสียใจเลย และอนาคตก็คือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างน่าจะเป็นไป  ฉะนั้นมีชีวิตจงอยู่กับปัจจุบัน อดีตล่วงไปแล้ว เราแก้ไขไม่ได้ ต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เมื่อเราทำปัจจุบันให้ดี อนาคตย่อมสดใสใช่หรือไม่ (ใช่)  
(ขจัดความใจร้อน เอาแต่ใจตัวเอง)  คนที่รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา จะไม่ถือใจตัวเองเป็นหลัก แต่จะรู้จักถือใจผู้อื่นเป็นหลักบ้าง
(กลัวความไม่สบาย, ความวิตกกังวล)  ความวิตกกังวล เรียนก็กลัวสอบได้ไม่ดี เรียนจบแล้วก็กลัวจะไม่ได้งาน ได้งานแล้วก็กลัวทำไม่ได้  เราจะกลัวทำไม ถ้าทำดีแล้วอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ไม่ต้องสนใจ  แต่ถ้าเราทำไม่ดีอนาคตเป็นอย่างไรนี่สิต้องสนใจ ว่ากันไปถึงที่สุดแล้ว ชีวิตนี้อยู่ในกำมือเรา เมื่อเราทำเต็มที่แล้วไม่ได้ดี เราก็ต้องก้มหน้ารับความเป็นไป นี่ถึงจะเรียกว่าผู้องอาจกล้าหาญในการมีชีวิต
สิ่งที่มนุษย์กลัวที่สุดในการดำรงชีวิตนั่นก็คือความทุกข์ ทุกข์จากความเจ็บปวด ทุกข์จากการพลัดพราก และเราหนีพ้นไหม (ไม่พ้น) เราอยากบอกท่านว่ามีกายให้เจ็บดีกว่าไร้กายให้เจ็บ คนบางคนมีขาให้ปวดก็บ่น  แต่ท่านยังโชคดีกว่าคนไม่มีขาให้ปวดนะถูกไหม (ถูก) มีใจให้เจ็บยังดีกว่าไร้ใจให้เจ็บ ฉะนั้นตอนนี้มีกาย มีแรง จงพยายามสร้างสรรค์ทำสิ่งที่ดี เมื่อไรที่ไร้กาย ไร้แรง ตอนนั้นอยากทำดีก็ไม่ทันแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นความเจ็บปวดเป็นเรื่องธรรมดาของทุกๆ คน มีบ้านไหนไม่เคยมีคนเจ็บ ไม่เคยมีคนป่วยบ้าง ไม่มีใช่หรือไม่ แต่เมื่อเจ็บป่วยก็ต้องรู้จักเข้มแข็งและต่อสู้กับความเจ็บปวด ป่วยกายได้แต่อย่าป่วยใจ ไม่อย่างนั้นจะเจ็บหนัก ใช่หรือเปล่า (ใช่)
เคยเห็นบางคนไหมนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลแต่หน้ายังยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะเขาป่วยแค่กายแต่ใจเขาไม่ได้ป่วย แต่ถ้าเมื่อไรตัวป่วยและใจป่วยด้วย ทรมานไหม (ทรมาน)  แล้วเคยได้ยินไหม ร่างกายดี แต่ใจป่วย หาหมอที่ไหนก็หาไม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นตัวป่วยยังดีอย่าให้ใจป่วย แล้วใจที่มีโจรนั้นมักจะทำให้ตัวป่วยบ่อย อย่างเช่น คิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด คิดฟุ้งซ่าน คิดเล็กคิดน้อย คิดไม่ให้อภัย คิดถือทิฐิ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ควรที่จะคิดไหม (ไม่)  บางอย่างไม่ควรคิดเลย ควรเลิกคิดเสีย คิดแล้วไม่มีความสุข ถึงบอกว่าปราบโจรภายนอกไม่เท่ากับปราบโจรภายใน อยากควบคุมสถานการณ์ภายนอก ต้องรู้จักควบคุมหัวใจตัวเองให้เป็นก่อน ถ้าใจเรานิ่ง ใจเราสงบ ใครก็มาทำร้ายเราให้เจ็บปวดไม่ได้ แต่ถ้าใจเราฟุ้งซ่าน กระเจิดกระเจิงคิดร้าย คิดระแวงคิดไม่ไว้ใจ แม้ไม่มีเรื่องก็เกิดเรื่องได้ ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นเกิดเป็นคนควรมีจิตใจกว้างไว้แล้วมองในแง่ดีทำจิตใจให้เบิกบานแล้วจะอยู่ที่ไหนก็ย่อมเป็นสุข แต่ถ้าเป็นคนใจแคบคิดร้าย จิตใจขุ่นมัว หน้าตาขมวดคิ้ว ใบหน้าบึ้งตึง แม้ฟ้าสว่าง แม้ใครจะยิ้มเราก็ไม่เป็นสุข ถูกหรือไม่ (ถูก)  ฉะนั้นเกิดเป็นคนใจกว้างเข้าไว้ ยิ้มแย้มเข้าไว้ เบิกบานเข้าไว้ แล้วความสุขจะอยู่ใกล้ตัวเราเอง ความทุกข์แม้มาก็ทำอะไรเราไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นวันนี้พอเท่านี้ สงสารปั้นซื่อยืนจนเมื่อยแล้วใช่หรือเปล่า (ไม่เมื่อย)  จิตใจที่รู้จักอุทิศเสียสละย่อมไม่มีวันเหนื่อย ไม่มีวันเมื่อยนะ
(สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทเป็นสาลินีคำฉันท์ ๑๑)
คำฉันท์จะแตกต่างกับคำกลอนตรงที่มีสัมผัสครุ ลหุ จะมีเสียงหนัก เสียงเบา รู้ไหม (ไม่รู้เลย)  ฉะนั้นถึงเราจะให้ลึกขนาดไหน แต่ถ้าท่านมีความรู้จำกัดก็มองได้เพียงตื้นๆ ถูกหรือเปล่า (ถูก)  เมื่อวานเซียนน้อยบอกว่าอย่างไรนะ บ่อน้ำลึกแต่เชือกสั้น น้ำมีมากแต่ถังที่ตักน้ำเล็กนิดเดียว  ฉะนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แม้จะให้ลึกขนาดไหน แต่ถ้าหัวใจของท่านไม่เคยเรียนรู้เรื่องคุณธรรมก็จะมองเห็นได้แค่เพียงตื้นเขิน  พุทธะให้สิ่งที่รู้แจ้งขนาดไหน แต่ถ้ามนุษย์ยังเต็มไปด้วยไอหมอกของกิเลสตัณหาและความอยากก็ยากที่จะเข้าถึงความรู้แจ้งได้อย่างถ่องแท้
ได้คำว่าอะไร (ธรรมกลางมายา)  ธรรมเป็นเหมือนดอกไม้ในป่า ผลไม้ในป่าที่แม้จะไม่ได้ติดโลกีย์วิสัยมาก แต่ก็อย่าได้เป็นคนที่มีใจแปดเปื้อนใฝ่หาในด้านโลกีย์หรือมายามากนะ เพราะดอกไม้ในป่าก็ยังคงงดงามได้ในป่าเขาใช่หรือไม่ (ใช่)  แม้ไม่เปื้อนฝุ่นกิเลสมายาก็ตาม ส่วนหน้าคำว่า “ธรรมกลางมายา” เป็นอะไร อันนี้เป็นอะไร อยากรู้ไหม ยังเหลือพรุ่งนี้อีก อย่างนั้นเราขอยืมคำพูดของเซียนน้อย “โปรดติดตามตอนต่อไป”
(นักเรียนในชั้น ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาที่ประทานพระโอวาท)
เราต้องขอบคุณท่านมากกว่าที่ตั้งใจฟังจนครบสองวัน เหลือพรุ่งนี้อีกวันหนึ่ง ขอให้ความอดทนนั้นไปให้ถึงที่สุด เหมือนการจะทำดี หรือจะบำเพ็ญธรรมก็ตาม ขอให้ไปให้ถึงที่สุด เริ่มต้นแล้วต้องมีวันสิ้นสุดนะ อย่าได้เป็นคนเริ่มต้นแล้วไปไม่ถึงสิ้นสุด น่าเสียดาย ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นวันนี้เราคงมาผูกบุญสัมพันธ์กับท่านเพียงแค่นี้  การศึกษาธรรมไม่ใช่มีแค่สามวันนะ ยังมีไปเรื่อยๆ เรียนรู้ชีวิตสามวันไม่มีวันจบ เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)  ยิ่งท่านเป็นผู้ที่รู้ชีวิตอย่างตื้นเขินด้วย ฉะนั้นมีโอกาสต้องศึกษาให้มากๆ อย่ามัวหลงระเริงในโลกเลย โลกนี้มีทั้งทุกข์ทั้งสุข ดิ้นรนไปก็มีแต่เจ็บปวด มีแต่ธรรมะเท่านั้นแหละที่จะนำความสงบสุขมาสู่หัวใจเราได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เติมช่องว่างให้ชีวิตบ้าง ดีหรือเปล่า (ดี)


วันจันทร์ที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๑  
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ข้อคิดข้อธรรมจะสั้น ขวนขวายทุกวันก็อิ่มเอมหัวใจ
ท่าทางเห็นได้ว่าผึ่งผาย คำพูดเหมือนจะง่ายฟังแล้วหยุดโลกหมุน
เราคือ
จี้กงอาจารย์เจ้า รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตา ลงสู่โลกมนุษย์  แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทุกคนทานข้าวอิ่มหรือเปล่า

ข้อคิดข้อธรรมจะสั้น  ขวนขวายทุกวันก็อิ่มเอมหัวใจ   ท่าทางเห็นได้ว่าผึ่งผาย  คำพูดเหมือนจะง่าย  ฟังแล้วหยุดโลกหมุน
หัดรู้หัดฟังเงียบเงียบ  รักยุติธรรม  พูดเกินไปขวางทาง  เหตุผลขนกันมากลับขวาง  ใจที่ใช้ธรรมสร้าง  งามสมกับทุกคน
น่าคิด  ชีวิตเหมือนทาส  มักทางง่ายทางลัดดู  พลิกผัน  ยากเข็ญพันตู  จิตใจยิ่งสู้  ยิ่งจะเป็นทุกข์
เรื่องทุกเรื่องพาฝันเฟื่อง  แม้คิดเขื่องไป  เหนื่อยใจทุกที  เกลียดกลัวทุกข์ขายาวก้าวหนี  ให้ไปคิดเต็มที่  สุขไม่เปรียบละวาง
ตอบทุกข์ด้วยการสู้หน้า  รับมาย่อมเบาทุกที  คิดหา แต่ละวิธี  ต่อเติมสามสี่  ต้องเหนื่อยจนพับ
ข้อคิด ข้อธรรมจะช่วย  ขวนขวายอำนวย  เก็บเอาไปสอนใจ  ใช่ใครเขามาช่วยศิษย์ไหว  อย่าได้ท้อใจ  ขับขานโลกใช้ธรรม
ทำนองเพลง : น่ารัก
ชื่อเพลง : อย่าเป็นทาสชีวิต
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ว่าไปจริงๆ แล้วฐันจู่ เจี่ยงซือ ผู้ปฏิบัติงานธรรมทางเหนือ จะว่ามากก็ไม่มาก จะว่าน้อยก็ไม่น้อย ใช่หรือไม่ (ใช่)  เป็นครอบครัวที่ใหญ่กำลังดี มีทั้งคนรู้มาก แล้วก็มีทั้งคนรู้น้อย มีทั้งคนฉลาดและคนไม่ฉลาด ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนฉลาดเวลาที่พูด พูดออกมาก็รู้ว่าฉลาด แต่ว่าเวลาคนฉลาดขาดสติ น่ากลัวยิ่งกว่าการเป็นคนโง่อีก ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นการที่เราจะมัวมาระวังผู้อื่น ระแวงผู้อื่น แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงผู้อื่น ย่อมไม่สู้เราหันมามองตัวเองและเปลี่ยนแปลงตัวเอง จริงหรือไม่ (ใช่)  ไม่ว่าเป็นคนโง่หรือคนที่ถูกจัดว่าเป็นคนชั้นต่ำก็ตาม แต่ในสัตว์ทุกผู้ทุกคนย่อมมีจิตเป็นเช่นพุทธะเฉกเช่นเดียวกันทั้งสิ้น
ฉะนั้นคนที่ถูกคนอื่นเรียกว่าโง่ แต่นานๆ เขาพูดมาทีฉลาดหรือเปล่า (ฉลาด)  ส่วนใหญ่คนที่ไม่ค่อยพูด เวลาพูดออกมาแต่ละที คนฉลาดยังเจ็บเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนไม่ฉลาดก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ฉลาด หรือเขาไม่มีปัญญา คนไม่ฉลาดย่อมมีปัญญาทุกผู้ทุกคน เพราะฉะนั้นคนที่เฝ้าดูถูกคนอื่น คนที่เฝ้าตัดสินมองว่าใครโง่ใครฉลาด ถามว่าใครโง่กันแน่ คนที่ชอบตัดสิน ชอบคิดเอาเองว่าคนนั้นหรือคนนี้เป็นคนดี คนนี้เป็นคนไม่ดี ทำอย่างนี้เรียกว่าไม่ดี ทำอย่างนี้เรียกว่าไม่ถูก ทำอย่างนี้เรียกว่าไม่ใช่ ทำอย่างนี้เรียกว่าไม่ได้ คนนี้ต่างหากที่เป็นคนที่โง่ที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนไปทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เช่น สีของเสื้อผ้าในสมัยก่อนถ้าหากจะทำสีขาวมา ถามว่าสีขาวจะขาวใสขนาดนี้ไหม  สีขาวก็ออกจะดูหม่นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ว่าในปัจจุบันนี้ ด้วยเป็นยุควิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้นสีผ้าสีขาวก็ทำให้ดูสีขาวใสขึ้น  แต่ในขณะเดียวกัน กลับกันคือว่า ในสมัยก่อนจิตใจของคนนั้นขาวบริสุทธิ์ แต่ใส่เสื้อผ้าสีไม่ดูสดใส  คนปัจจุบันนี้ใส่เสื้อผ้าสีดูสดใส แต่จิตใจกลับไม่ได้สดใส ฉะนั้นถามว่าเสื้อผ้าสำคัญหรือว่าจิตใจสำคัญ (จิตใจ)  จิตใจจึงเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า  คนหนึ่งใส่เสื้อผ้าตัดแขนตัดขาดูไม่งาม กับอีกคนหนึ่งใส่เสื้อผ้าปะๆ ขาดๆ  แต่นั่นเป็นเพราะว่าเขาเป็นคนมัธยัสถ์ หรือเป็นคนประหยัด หรือเป็นคนที่ใส่เสื้อผ้าไว้เพื่อปกปิดร่างกายเท่านั้น แต่ชุดเขามีแขนมีขาดูเรียบร้อยดี ถามว่าคนไหนที่เป็นคนเรียบร้อยจริง คนใส่ผ้าใหม่ดูเรียบร้อยหรือคนที่ใส่ผ้าเก่าแล้วดูเรียบร้อยกว่ากัน  ถึงขาดก็ปะ อย่างนี้เรียบร้อยไหม (เรียบร้อย)  คนสมัยนี้ถ้าเสื้อผ้าขาด ถามว่าปะหรือเปล่า (ไม่ปะ)  ก็อยากจะปะบ้างแต่ปะแล้วก็ไม่ค่อยใส่ จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะว่ามันถูกปะแล้ว  ถ้ามีเงินซื้อก็ต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เสื้อปะเก็บไว้ใส่ตอนนอนกับตอนไปทำสวน ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แสดงว่าการใส่เสื้อผ้าปะๆ ทำให้คนขายหน้า ใช่หรือไม่  แต่ถามว่ากับการที่เราไปทำหน้าโกรธใส่คนอื่น อะไรน่าขายหน้ากว่ากัน (ทำหน้าโกรธ)  เราไปทำหน้ายักษ์ใส่คนอื่น แต่เราใส่เสื้อผ้าสะอาด กับการที่เราไปทำหน้าสวยใส่คนอื่น ถามว่าอะไรดีกว่ากัน (หน้าสวย)
ใส่เสื้อปะทำหน้าใจดีกับใส่เสื้อใหม่ทำหน้ายักษ์ อะไรดีกว่ากัน (ใส่เสื้อปะทำหน้าใจดี)  ใส่เสื้อปะทำหน้าใจดี ดีกว่า ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้น คนเวลามองกัน มองที่เสื้อผ้าหรือมองที่หน้าตา (หน้าตา)  แต่จริงๆ ในความเป็นจริงของยุคปัจจุบันก็ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไร เพราะว่าอาจารย์เห็นคนยุคปัจจุบันนี้มองที่ไหน (เสื้อผ้า)  และยังคิดว่าถ้ามองทะลุไปถึงกระเป๋าสตางค์ได้จะดีมากเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ไม่ใช่ว่ามองแค่หน้าตาเท่านั้น แต่มองเสื้อผ้าด้วย ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าหากว่าเสื้อผ้าสะอาด เขาเรียกคนชั้นอะไร (ชั้นสูง)  แสดงว่าเป็นคนชั้นสูง ถ้าเกิดใส่เสื้อผ้าปะๆ เขาเรียกคนชั้นอะไร (ชั้นต่ำ)  แต่จริงๆ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า (ไม่เป็น)  สูงหรือต่ำต้องมองที่ไหน (ที่ใจ)  สูงหรือต่ำต้องมองที่ใจ
ถามว่าดูหน้ารู้ใจไหม (ไม่รู้)  แล้วคนอื่นเขาไม่รู้ว่าเราเป็นคนดี เป็นเรื่องธรรมดาหรือเปล่า (เรื่องธรรมดา)  มองหน้าแล้วรู้ใจไหม (ไม่รู้)  มองหน้าไม่มีทางจะรู้ใจ  เพราะฉะนั้นเวลาคนอื่นเขามองเรา แล้วเขาตัดสินว่าเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เราโกรธไหม (ไม่โกรธ)  เราต้องรู้จักให้เวลาผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  เราเองก็อาจจะทำผิดได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  เผลอได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  พลาดได้ใช่หรือเปล่า (ใช่)  คนอื่นทำได้ไหม (ได้)  คนอื่นก็เผลอผิดพลาดได้เช่นเดียวกับเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)
เพราะฉะนั้นการอยู่ร่วมกันหากคนนั้นทำผิด เราจะบอกว่าเขาผิดเลยไหม (ไม่ได้)  หากว่าคนใดทำผิด เราอย่ามองว่าเขาผิด แต่ถ้าเป็นคนที่ใกล้ตัวเรา แฟนเรา ลูกเรา พวกเขาทำผิด เราอภัยให้เขาได้ไหม (ได้) โกรธเขาหรือเปล่า (ไม่โกรธ)  อันว่าการอภัยคนอื่นทำง่ายไหม (ง่าย) อภัยคนในบ้านอภัยยากไหม (ยาก)  คนอื่นขอโทษทีเดียวเราก็ยอมแล้ว คนในบ้านเรา เขาง้อห้าครั้งแล้วยอมไม่ยอม (ยอม)  คนใกล้อภัยกันยากเย็นกว่าคนไกล  แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าข้างคนใกล้มากกว่าคนอื่น เพราะฉะนั้นเราก็เป็นคนที่จิตใจมีความลำเอียงใช่หรือไม่ (ใช่)  หากว่าเราลำเอียงเข้าข้างใครมาก  คนนั้นก็จะถูกเราตามใจมาก ยิ่งถูกเราตามใจมาก  ถามว่าเขาจะดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  เป็นผลดีกับเขาไหม (ไม่ดี) แล้วชีวิตนี้เราชอบตามใจใครมากที่สุด (ตัวเอง)  ถามว่าเราตามใจตัวเองอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ เป็นผลดีต่อตัวเองไหม (ไม่ดี)  เราสามารถมองคนอื่นออกว่าถ้าเราตามใจลูกของเราอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ลูกของเราต้องไม่ได้ดีแน่ ถ้าเราตามใจแฟนของเราให้กินเหล้าไปเรื่อยๆ แฟนเราก็ต้องไม่ดีแน่  แต่เรามองออกไหมว่า  ถ้าเราตามใจตัวเองไปเรื่อยๆ แล้วมันจะดีหรือไม่ (ไม่ออก)  ถามว่าเราเป็นคนดีหรือไม่ (ดี) เราเป็นคนดีแต่เราก็ตามใจตัวเองจริงหรือไม่ (จริง) แล้วเราตามใจตัวเราเองไปเรื่อยๆ อย่างนี้ดีไหม (ไม่ดี) ถ้าหากว่าหวังดี จะหวังดีต่อใครดีที่สุด
สมมติว่ามีก๋วยเตี๋ยวมาหนึ่งชามตรงหน้า มีน้ำส้ม ซีอิ้ว น้ำตาล พริกป่นสี่ถ้วยมา เราเป็นคนชอบกินเผ็ดกับกินเค็ม เราก็จะใส่อะไร (พริกป่น,ซีอิ้ว)  เราก็จะใส่พริกป่นกับซีอิ้วมาก แต่เรารู้ไหมว่าถ้าเรากินแบบนี้ทุกวัน เกิดอะไรขึ้นกับเรา เราต้องเป็นโรคใดโรคหนึ่งสักวันใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง เราต้องฝืนใจตัวเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใครเป็นคนตักพริก (เราเอง)  ใครเป็นคนตักซีอิ้ว (เราเอง)  เราเป็นคนตามใจตัวเองที่สุด เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นคนฝืนใจตัวเองด้วยตัวเองใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครสามารถที่จะช่วยเราได้ไหม (ไม่ได้)  เราต้องช่วยตัวเราเอง
ถ้าเรากินอย่างไร เมื่อเราชอบอะไร เราก็กินอย่างนั้นไปเรื่อยๆ เราก็จะเป็นโรค  แต่ถ้าหากว่าเรามีนิสัยอะไร แล้วเราทำตามใจตัวเองอย่างนั้นไปเรื่อยๆ เราก็จะเป็นคนที่ติดกับความเคยชิน แล้วอะไรที่ทำร้ายเราจนเรานั้นสู้กับตัวเองไม่ได้
ฉะนั้นวันนี้แก่หรือยัง (แก่)  วันนี้ยังไม่แก่ สังเกตว่าผมบนศีรษะยังไม่ขาว ถ้าใครยังมีใจไปย้อมมาก็แสดงว่ายังไม่แก่ ถูกหรือเปล่า (ถูก)  เพราะถ้าแก่แล้วต้องยอมปล่อยให้ผมขาว แต่เราก็ยังไม่ยอมปล่อย เพราะฉะนั้นถึงแม้ตัวเราจะแก่ลงนิดหนึ่ง แต่ใจของเราแก่ไหม (ไม่แก่)  ใจเราไม่แก่
ฉะนั้นเมื่อไม่แก่ก็อย่าเพิ่งยอมแพ้ชีวิต เมื่อเราไม่ยอมแพ้ชีวิตเราต้องสู้กับตัวเราเอง ไม่ใช่ไปสู้กับคนอื่น เลิกสู้กับสามีและลูกเรา เลิกสู้กับการได้เงินมามากๆ เลิกสู้กับการให้คนชมเราเยอะๆ เลิกสู้กับคนที่ด่ากับเรา เลิกสู้กับอะไรก็แล้วแต่ที่เราพอใจ แต่ให้หันกลับมาสู้กับตัวเอง ตอนนี้ตัวเราที่ยืนอยู่หน้ากระจกเป็นคู่ต่อสู้ของเราแล้ว
เหมือนตอนนี้ถ้าตั้งชามก๋วยเตี๋ยวไว้ตรงหน้าเราคิดออกไหมว่าจะปรุงอย่างไร ถ้าเราปรุงเหมือนเดิม แสดงว่าเรานั้นมีความเคยชิน ถ้าเราเลือกที่จะปรุงรสอีกอย่างหนึ่งที่เราไม่เคยปรุงเลย แสดงว่าเราชนะตัวเองได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ถ้ากิน พริก ซีอิ๊ว น้ำตาล น้ำส้มครบทุกอย่างคงเป็นทุกโรค ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นตอนนี้ตัวเราคือคู่ต่อสู้ของตัวเราเอง เลิกต่อสู้กับคนรอบตัวเรา ทั้งที่เรารู้จักและไม่รู้จัก ทั้งคนใกล้ชิดและแปลกหน้า ทั้งคำพูดในปากคนอื่น ทั้งความคิดในหัวคนอื่น ทั้งการกระทำในมือผู้อื่น ขอให้หันกลับมาสู้กับตัวเราเอง เพราะเชื่อแน่ว่าถ้าต่อให้สู้ไปตลอดชีวิตนี้ ศิษย์ก็อาจจะชนะบ้างและไม่ชนะบ้างกับตัวเอง มีแต่คนที่เอาจริงเอาจัง มีแต่คนที่ใส่ใจจิตใจตัวเอง ใฝ่หาโพธิญาณอย่างแท้จริง จึงจะสามารถบรรลุตัวเอง ก็คือการบรรลุธรรมได้ แต่หากว่าใครไม่ใส่ใจตัวเองจริงๆ ไม่รู้จักตัวเองจริงๆ ถามว่าไม่รู้จักตัวเองจริงๆ  จะไปรู้จักคนอื่นได้ไหม (ไม่ได้)  ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักคนอื่น ไม่รู้ว่าตัวเองคิดว่าอะไร ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไร ไม่รู้และไม่เข้าใจว่าตัวเองพูดอะไรอยู่ คนๆ นี้ก็ไม่อาจบำเพ็ญธรรม ไม่บรรลุถึงไหน ใช่หรือไม่ (ใช่). อยากจะไปนิพพาน อยากจะหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิด อยากจะบรรลุธรรม หลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดจำเป็นต้องหลุดพ้นที่ไหน  หลุดพ้นที่สวรรค์ หรือไปหลุดพ้นที่นิพพาน หลุดพ้นที่ไหน (ใจตัวเอง)  หลุดพ้นที่ใจตัวเอง ที่นี่และเดี๋ยวนี้
เคยโกรธใครไหม (เคย)  เคยเกลียดใครไหม (เคย)  เคยทะเลาะกับใครไหม (เคย)  เคยหัวเสียไหม (เคย)  เคยดีใจไหม (เคย)  เคยรักไหม (เคย)  เคยโลภไหม (เคย)  เคยมีกิเลสไหม (เคย)  เคยเบื่อไหม (เคย)  เคยรำคาญไหม (เคย)  อารมณ์ที่พูดมาทั้งหมดนี้ต้องวาง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าอาจารย์ให้ยกมือขึ้นค้างไว้ห้านาที เมื่อยไหม (เมื่อย)  มือนี้เป็นของใคร (ของเรา)  ห้านาทีเมื่อยไหม (เมื่อย)  หนึ่งชั่วโมงเมื่อยไหม (เมื่อย)  ครึ่งวันเมื่อยไหม (เมื่อย)  มือนี้เป็นของใคร (ของเรา)  ตอนนี้อาจารย์อยากให้ศิษย์ทุกคน หาวิธีวางมือลง ทำได้ไหม (ทำได้)  แล้วทำไมไม่ทำล่ะ บางทีก็รู้วิธีอยู่ แต่ไม่ทำ เดี๋ยวเสียรู้คนอื่น เดี๋ยวเสียเหลี่ยม เดี๋ยวเสียหน้า เดี๋ยวเสียชื่อ เดี๋ยวเสียเวลา โมโหกันมาตั้งนานแล้ว เดี๋ยวจะเสียศักดิ์ศรี ใช่หรือเปล่า (ใช่)
การปล่อยวางทำได้ง่าย อันที่จริงแล้วทุกคนรู้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้แต่ว่ายังไม่ทำ น่าเสียดาย กลัวว่าทะเลาะกับคนนี้อยู่ แล้วอยู่ดีๆ เลิกทะเลาะกัน  กลัวว่าถ้าเกิดทะเลาะกับคนนี้อยู่ อยู่ดีๆ เลิกทะเลาะ จะถูกเขาตามรังควาญจนอยู่ไม่สุข ทั้งสองคนก็คิดอย่างนี้ เลยไม่มีใครยอมใครก่อน ถามว่าถ้าสู้กันจะให้เขายอมก่อน หรือให้เรายอมก่อน (เรายอมก่อน)  ถ้าหากว่าสองคนสู้กัน สู้ๆ อยู่ คนหนึ่งถือหอก คนหนึ่งถือดาบ  ถามว่าหากเราวางดาบลงเดี๋ยวนี้ หอกเขาจะทิ่มเราไหม (ทิ่ม,ไม่ทิ่ม)  ถ้าไม่ทิ่มแสดงว่าไม่ใช่ศัตรู คนหนึ่งถือหอก คนหนึ่งถือดาบ สองคนสู้กันอยู่ ไม่มีใครกล้าวางมือ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าวางมือแสดงว่าแพ้ ถูกหรือเปล่า (ถูก)  แต่เรานั้นยอมชนะในสนามรบ แต่ไม่ยอมชนะใจตัวเอง  เพราะฉะนั้นคนที่วางลงก่อน คือคนที่ชนะ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าหากว่าชนะมาแล้วสูญเสียทุกสิ่ง กับเราแพ้มาแล้วเราได้ชนะใจตัวเอง ถามว่าอะไรมีค่ากว่ากัน (ชนะใจตัวเอง)  การชนะใจตัวเองจึงประเสริฐยิ่งกว่า แม้ว่าในการต่อสู้บนสนามการเงิน การงาน ความคิด
การต่อสู้บนสนามใดๆ ก็ดี เพียงแต่แค่เราได้วางลง แล้วชนะใจตัวเอง แม้ในชีวิตนี้จะไม่เหลืออะไรเลย ยังคุ้มค่ายิ่งกว่า เพราะฉะนั้นการชนะใจตัวเองนั้นมีค่าเหนือสิ่งอื่นใด ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้พร้อมที่จะมาชนะใจตัวเองหรือยัง (พร้อม) ใจอยู่ไหน ใจอยู่ไหนไม่รู้ มือก็มี แขน ขา เนื้อหนัง กระดูก เลือด ก็มีใจอยู่ทั้งนั้นใช่ไหม (ใช่)  หยิกตรงไหนก็เจ็บ กรีดตรงไหนก็เจ็บ ตีตรงไหนก็เจ็บ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ใจของเราอยู่ในทุกอณูของร่างกายของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่) ใจของเราอยู่ที่กายของเรานี่เอง ไม่ต้องไปแสวงหา ไม่ต้องไปไขว่คว้า ไม่ต้องไปเพรียกหาสิ่งใดจากภายนอก เพียงเราอยู่นิ่งๆ ใจก็อยู่กับเราแล้ว  เราเคยนิ่งไหม (ไม่ค่อยนิ่ง)  ใจของเราก็ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวใช่หรือไม่ หลังจากวันนี้ไปเมื่อทะเลาะกับใครก็ดี ให้เรานั่งเฉยๆ เมื่อเราถูกใครด่าก็ดี ให้เรานั่งเฉยๆ ถ้านั่งไม่ได้ก็ยืนเฉยๆ ให้เขาด่า นั่งนิ่งๆ ยืนนิ่งๆ นอนนิ่งๆ ให้ตัวของเรานั้นนิ่งก่อน  แล้วค่อยทำอย่างอื่นดีไหม (ดี)  ไม่ใช่เขาว่ามาแล้วเราก็สวนกลับทันที  ด้วยความไวเท่าเสียง แสดงว่าเราไม่ได้คิดอะไรเลยใช่หรือไม่ (ใช่) เมื่อเราไม่คิด เราแพ้หรือไม่แพ้ (แพ้)  เมื่อเราคิดจะแพ้คนอื่นเราก็ชนะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาโดนด่าคิดเสียว่าเราเป็นท่อนไม้ ทำได้ไหม (ได้)  เดี๋ยวเขาเตะท่อนไม้ เจ็บไหม (เจ็บ)  เดี๋ยวเขาตบท่อนไม้ เจ็บไหม (เจ็บ)  อะไรเจ็บล่ะ มือเขาก็เจ็บ เท้าเขาก็เจ็บ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ส่วนของเราเจ็บ  แต่เราเป็นท่อนไม้นี่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
สามวันนี้มานั่งฟังธรรมะเป็นวันที่สามแล้วใช่หรือไม่ (ใช่)  รู้สึกสบายใจขึ้น เบาขึ้น จิตใจของเรา สะอาดมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะว่าอะไร เพราะเราไกลจากเสียงรบกวน เราไกลจากเรื่องไร้สาระ  ทั้งในบ้านและนอกบ้าน เราไกลจากการรบกวนของคนรอบข้าง เราไกลจากเรื่องสวยงาม ไกลจากเรื่องเงินทอง ไกลจากเรื่องชื่อเสียง หรือคนว่านินทา เราไกลจากการทานเนื้อสัตว์อันเป็นเหตุให้จิตของเรานั้นขุ่นมัว เราไกลจากเรื่องต่างๆ นานา ทำให้เรานั้นมีจิตใจที่เบามากขึ้น เมื่อศิษย์กลับไปจากสามวันนี้ศิษย์ก็ต้องไปอยู่ในสังคมเดิม ไปใช้ชีวิตแบบเดิม ศิษย์เตรียมตัวรับมือกับชีวิตแบบเดิมของศิษย์หรือยัง เรามีชีวิตแบบเดิมๆ แต่ว่าให้เอาใจที่ไม่เหมือนเดิมเข้าไปรับมือ ใจของเราที่สะอาดมากขึ้น จงอย่าถูกความชั่ว จงอย่าถูกความไม่ดีมาบอกว่า คนทำไม่ดีไม่เห็นเขาจะเสียหายอะไร ทำไมเราต้องทำดีด้วย อย่าถูกจิตใจประเภทนี้มาครอบงำ
คนทำไม่ดีแล้วเราทำไม่ดีเหมือนกันไหม คนอื่นทำไม่ดีเราทำไม่ดีย่อมไม่เหมือนกันแน่นอน เพราะเมื่อคนอื่นทำไม่ดีเขาสบายใจหรือลำบากใจเราไม่รู้ แต่เวลาเราทำไม่ดีเราลำบากใจมากๆ  ฉะนั้นเรากับเขาย่อมไม่เหมือนกันจริงหรือไม่ (จริง)
ตา หู ปากของเรา สามอย่างนี้สำคัญมาก จงทำตา หู ปากของเราให้ดับท่ามกลางเสียงที่มารบกวน ท่ามกลางคนที่จะงัดปาก หรือจะให้เราพูดบางอย่าง หาคำพูดมาใส่ปากเราก็แล้วแต่ พาเราไปมองอะไรแล้วพยายามให้เราเกิดอกุศลอะไรด้วยตาก็แล้วแต่ ขอให้เราพยายามมีตาแต่ไม่มอง มีหูแต่ไม่ฟัง มีปากแต่ไม่พูด ทำได้ไหม
มีปากก็อย่าคาบบุหรี่อย่ากินเหล้าดีหรือไม่ (ดี)  ผู้ชายต้องเพิ่มอีกนิด  กันไว้ก่อน สังเกตว่าทั้งตา หู ปาก อยู่ที่หัวของเรา อยู่ที่หน้าของเรา ใช่หรือเปล่า  ฉะนั้นสามอย่างนี้จึงมีพิษร้ายแรงมากเพราะว่าตั้งอยู่ที่หัวของเรา เพราะว่าคนชอบใช้หัว ใช่หรือไม่ (ใช่)  คนชอบใช้หัว เวลาที่พูดก็เลยพูดแบบใช้หัว ฟังก็ฟังแบบใช้หัว คิดก็คิดแบบใช้หัว มองก็ใช้หัว ก็เลยยากไปหมด ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลามอง ฟัง ก็ไม่ต้องใช้หัว เวลาถูกคนเขาเหน็บแนมจะไม่เจ็บเลย เพราะฟังไม่ได้ใช้หัว ถ้าเคยพูดแบบใช้หัว ทีนี้เราต้องพูดโดยไม่ใช้หัว  ทุกวันนี้ก็มีคนตายจำนวนมากที่พูดโดยไม่ใช้หัว
อาจารย์ก็อยากจะพูดว่า ให้พูดแบบไม่ใช้หัว แต่หากพูดแบบไม่ใช้หัวมากกว่านี้จะยิ่งแย่กันไปใหญ่ เพราะฉะนั้นขอให้พูดแบบไม่ใช้หัว แต่ขอให้เรานั้นพูดแต่สิ่งที่ดี ได้หรือไม่ (ได้)  ถ้าหากจะพูดอะไรที่สลับซับซ้อนก็ต้องใช้หัว อันนี้เป็นเงื่อนไขพิเศษเพราะปากเป็นเหวลึก  คนอื่นเดินมาก็ตกเหว ส่วนตัวเราเองถ้าพูดไปแล้วลืมว่าตัวเองพูดยังตกเหวตัวเองเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเวลาพูดก็ให้รู้จักระมัดระวัง หากว่ายังคิดไม่เสร็จยังไม่ต้องพูด ถ้าคิดเสร็จแล้วก็ให้พิจารณาว่าดีหรือไม่ดีแล้วค่อยพูด ดีหรือไม่ (ดี)
(พระอาจารย์เมตตาให้วาดรูปบนกระดาน)

อันนี้รูปอะไร (สามเหลี่ยม)  อันนี้ตา อันนี้ปาก อันนี้หู  อาจารย์ให้ใช้ตั้งแต่ยอดแหลมลงมาเบื้องล่าง ให้ใช้แบบมากลงมาหาน้อย แปลว่าใช้หัวมาก  ใช้ตาน้อยลงมาหน่อยหนึ่ง  ใช้หูน้อยลงแล้วใช้ปากน้อยที่สุด  
ทุกวันนี้ที่ศิษย์ใช้เป็นแบบจากมากขึ้นไปหาน้อย ใช้ปากมากที่สุด ใช้ตาก็มาก ใช้หูก็มาก แล้วใช้อะไรน้อยสุด (หัว)  ใช้หัวน้อยที่สุด
ฟังอะไรมาถ้ารู้สึกสะใจ ก็รีบกระจายข่าวต่อโดยไม่นำพาว่าคำพูดนั้นจะจริงหรือเปล่า
เพราะฉะนั้นใช้อะไรมากสุด (หัว)  คนคิดมากไม่ใช่เขาคิดเรื่องไร้สาระมากนะ แต่หมายความว่าคนที่ใช้ความคิดมากมักจะพูดน้อยลง ถ้าหากว่าเรานั้นอยากเป็นปัญญาชนให้เราใช้หัวมากขึ้นนิดหนึ่ง แล้วพูดน้อยลงนิดหนึ่ง
อยากจะนั่งไหม รู้วิธีนั่งหรือเปล่า ถ้าไม่รู้วิธีนั่ง เดี๋ยวจะทวนวิธีการเอามือลงดีไหม ง่ายเหมือนกันหรือเปล่า (เหมือน)  จริงๆ แล้วการจะลุกก็ง่าย การจะนั่งก็ง่าย เราอยากจะทำอะไรมันก็ง่ายไปหมด โดยเฉพาะคนสมัยนี้มีเงินก็ทำได้ทุกอย่างถูกหรือเปล่า (ถูก)  ในสมัยโบราณ มนุษย์ในอดีตไม่เหมือนมนุษย์ในปัจจุบันก็ตรงนี้ จะบอกว่าคนโบราณเชย คนโบราณมีพิธีการมากมายเกินไป หรือว่าอย่างไรก็สุดแล้วแต่คนในโลกปัจจุบันจะคิด
แต่คนในสมัยก่อนจะนั่ง ก็นั่งไม่ได้ง่ายๆ ต้องไปดูรอบข้างก่อนว่ามีใครนั่งหรือยัง มีคนที่สมควรให้นั่งก่อนหรือเปล่า  จะลุกขึ้นยืน ก็ไม่ใช่จะลุกขึ้นยืนง่ายๆ จะทำอะไรก็ไม่ใช่จะทำไปเลย ทำไปเลยก็ไม่ได้ เพราะว่าคนในสมัยก่อนมีคำว่า “จริยธรรม”  
คำว่า “จริยธรรม” หมายถึงกฎระเบียบ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากจิตใจ หมายความว่าจิตใจเป็นผู้มีระเบียบ เป็นผู้มีจริยะ จึงจะสามารถที่จะรู้ว่าเมื่อไหร่ควรยืน เมื่อไหร่ควรนั่ง เพราะฉะนั้นจริยะจึงมาจากจิตใจ เหมือนกัน เวลาศิษย์มาสถานธรรม ควรทำอะไรก่อน และไม่ควรทำอะไร เขาสอนเราว่าอย่างไร แล้วเวลานี้ทำได้หรือเปล่า ขอให้ศิษย์นั้นใช้ใจมอง และตัดสิน แต่เราต้องย้อนกลับมาถาม ก่อนที่เราจะใช้ใจไปตัดสินว่า   จริยะนั้นควรทำและจริยะนี้ไม่ควรทำ  ศิษย์ต้องมองก่อนว่า ตัวเองเป็นผู้มีวินัยไหม ตัวเองเป็นผู้มีศีลไหม เพราะฉะนั้นศีลและวินัยจึงเป็นเบื้องต้นของผู้ที่จะฝึกฝนตน ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยากหรือเปล่า ศีลและวินัยเป็นเรื่องยากหรือไม่ (ไม่ยาก)  จริงๆ แล้วทุกๆ อย่าง ทั้งศีล วินัย จริยธรรมนั้น ไม่มีสิ่งใดยากเกินกว่าสิ่งที่ศิษย์นั้นทำอยู่ทุกวันนี้  คนมีศีล วินัย และจริยธรรม ยังกินข้าว ยังเดินอยู่ ยังวิ่งอยู่ ยังลุกนั่ง และยังทำสิ่งใด เพียงแต่จะต่างกับในสมัยนี้ก็คือพวกเขาไม่ได้มองเงินมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่มองความเหมาะสมมาเป็นอันดับหนึ่ง  ฉะนั้นศิษย์ของอาจารย์ คนที่เข้มงวดกับตัวเอง คนที่ไม่เข้มงวดกับตัวเอง จึงมีเป้าหมาย จึงมีวิธีการทำตนที่ไม่เหมือนกัน เราอย่าเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ขอเพียงแต่ว่าเราตั้งอยู่ในความดีก็พอ
คนเหนือชอบให้พูดจาดีๆ ด้วย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  นี่เป็นนิสัยของคนทางเหนือ ฉะนั้นก็อย่าเอ็ดกัน รู้ว่าชอบอะไรก็ให้ทำแบบนั้น ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง
บางทีคนที่พูดตรงเกินไปก็ไม่ดี คนเขาหาว่าเราขวานผ่าซาก เมื่อเป็นคนขวานผ่าซากมีคนอยากฟังเราไหม ทุกวันนี้มีคนที่ไม่อยากฟังเราใช่หรือไม่ ถ้าเขาเห็นเราอ้าปาก เขาก็เดินหนีเลย ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ใครพบเหตุการณ์อย่างนี้บ้าง ถ้าเขารู้ว่าเราอ้าปากจะพูดแล้วเขาเดินหนี แสดงว่าเราเป็นคนที่บุคคลอื่นไม่ต้องการ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อาจารย์จะบอกว่า จริงๆ แล้วศิษย์ไม่ได้ใช้วิธีการพูดกันหรอก แต่ใช้การบ่น ถ้าหากว่าศิษย์พูด จริงๆ แล้วใครๆ ก็อยากฟัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราไม่ได้ใช้การพูด แต่เราใช้การบ่น  พูดครั้งหนึ่งก็พูดยาว พูดมากและพูดแต่น้ำๆ ส่วนใหญ่เป็นการว่าคนอื่น ฉะนั้นการบ่นดีหรือไม่ (ไม่ดี)  คำว่า “การบ่น” เกี่ยวกับผู้บำเพ็ญหรือไม่ (เกี่ยว)  คนชอบบ่นไม่อยากจะเรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญเลย เพราะการบ่นเป็นการพูดอย่างขาดสติที่สุด ใช่หรือไม่ (ใช่)  เราก็ต้องมีสติมากหน่อย แต่ถ้าบ่นยาวนี่เรียกว่าอะไร (ขาดสติ)  ยิ่งคนที่เป็นคนเก่ง คนฉลาด บ่นคนอื่นน่าฟังไหม (ไม่น่าฟัง)  ถ้าเป็นคนโง่บ่นคนอื่นน่าฟังไหม (ไม่น่าฟัง)  ก็ไม่น่าฟังทั้งคู่ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นคนฉลาดหรือเป็นคนโง่ก็อย่าเป็นคนขี้บ่นคนอื่นใช่หรือไม่ (ใช่)

คำว่าบ่นมาจากอารมณ์ไหน (ไม่พอใจ) รัก โลภ โกรธ หลง ถามว่าบ่นมาจากอารมณ์ไหน (โกรธ)  ฉะนั้นเวลาเราบ่นแสดงว่าเรากำลังโกรธ  เรากำลังไม่พอใจใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นคนที่บ่นอยู่บ่อยๆ แสดงว่าตัวเองนั้นมีอารมณ์ขุ่นมัวอยู่บ่อยๆ อย่างนั้นแล้วเราเป็นคนขี้บ่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทุกคนที่อยู่ตรงนี้มีกี่คนที่ไม่เป็นคนขี้บ่นมีไหม ไม่ค่อยมีเลยใช่หรือไม่ เราบ่นเพราะว่าอะไร (โมโห) เคยบ่นไหม
อาจารย์ว่าศิษย์ที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นศิษย์ที่มีประสบการณ์ในการบ่นทั้งนั้นเลย  คำถามง่ายอย่างนี้ยังตอบไม่ได้เลย หรือเอาคนที่ถูกบ่นมากที่สุดมาตอบดี
(บ่นเพราะอารมณ์เสีย, อารมณ์โกรธ, ไม่พอใจที่เขาทำ) เพราะฉะนั้นการบ่นเป็นเรื่องของอารมณ์แท้ๆ เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เวลาเราเกิดอารมณ์ไม่พอใจ หงุดหงิด รำคาญใจ ไม่พอใจ เวลาเจอหน้าเจ้าทุกข์ก็บ่น เมื่อเราบ่น เขาฟังรู้เรื่องไหม (ไม่รู้เรื่อง)  คนที่ถูกเราบ่นมักจะฟังเราไม่รู้เรื่องเพราะเราพูดยาว แล้วเราก็พูดมากเกินไป  เมื่อพูดไม่รู้เรื่อง บ่นก็กลายเป็นโมโหของแท้เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นอาจารย์จะบอกให้เวลาที่เราไม่พอใจ ไม่ถูกใจอะไร จงอย่าพูด ให้ศิษย์นั้นเก็บคำพูดไว้ห้านาที นับจากตอนเจอหน้าคนที่เราจะบ่น ดูสิว่าหลังจากห้านาทีแล้วเรายังอยากบ่นไหม (ไม่อยาก)  บางคำพูดถ้ากลืนไปได้ก็กลืนไปเลย บางคำพูดกลืนไม่ได้หาคำพูดให้ดีๆ ทำได้ไหม ง่ายไม่ง่าย (ง่าย)  เวลาเจอคนที่อยากบ่น สมมติว่าคนนั้นทำแก้วใบสวยของเราแตก ด้วยความไม่ระวังแถมทำแตกแล้วยังไม่เก็บให้เราอีก กะว่าจะให้เรามาเห็นหลักฐาน เราก็รู้สึกโมโหแล้ว  เวลาเราเจอหน้าคนที่ทำแก้วแตกให้เราจับเวลาห้านาที สมมติว่าคนที่ทำแก้วแตกเป็นคนไม่เต็มล่ะ  ถ้าเราบ่นเขา แสดงว่าเราเป็นคนไม่เต็ม  สมมติว่าคนๆ นั้นเป็นคนมักจะทำของเสียหายเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ว่าเราไปบ่นเขาเรื่องแก้วแตก ถามว่าเขาแก้หายไหม (ไม่หาย)  อาจารย์สมมุติอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่คนที่ไม่เต็มที่มักทำของเสียอยู่แล้ว เผอิญวันนั้นเขาทำแก้วเราแตกอีก ซึ่งเขาอาจจะมองเหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามักทำเสียหาย แล้วเราไปบ่นเขาเรื่องทำแก้วของเราแตกแค่ใบเดียว ถามว่าเขาจะหายจากการเป็นคนที่ทำของเสียหายไหม (ไม่หาย)  เขาก็ไม่หาย
ฉะนั้นเราต้องหาวิธีที่จะบอกเขา เมื่อเราจะรักษาคน เมื่อมั่นใจว่าที่เราจะบ่นเขา ที่เราจะพูดให้เขาฟัง เป็นการรักษาเขา ขอให้อย่าบ่นแต่เรื่องแก้วของเราใบเดียว  แต่เราต้องพูดให้เขาเป็นคนรู้จักระมัดระวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ทุกวันนี้ปัญหาของเด็กที่ถูกพ่อแม่บ่นมีมากมาย เพราะว่าพ่อแม่ยิ่งเครียด ก็ยิ่งบ่นลูก  อยู่ในสังคมที่แก่งแย่งมากเท่าไร ก็ยิ่งบ่นเก่งมากขึ้นเท่านั้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  เหมือนกับว่าชีวิตนี้ สิ่งใดที่เป็นทรัพย์สินเงินทอง วัตถุที่หามาได้ทุกอย่าง สิ่งไหนก็ทำเสียหายไม่ได้เลย เพราะถ้าทำเสียหายไป ต้องทำงานหนักมากขึ้น ทำให้พ่อแม่เกิดความเครียด พอเครียดก็ยิ่งบ่นมากขึ้น แล้วตอนนี้เราก็เป็นคนหนึ่งในนั้น ที่มักจะบ่นเป็นประจำ ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่ว่าเรายิ่งบ่นเท่าไร ลูกเรายิ่งจะกลายเป็นคนที่พูดไม่รู้เรื่อง เพราะเรานั้นชอบบ่น  
เพราะฉะนั้นจงอย่าใช้วิธีการบ่น ให้ใช้วิธีการรักษาที่ราก ที่ต้นเหตุ ให้อบรมเป็นเรื่องเป็นราว ด้วยการใช้ธรรมะเข้ามาฉุดคนให้ขึ้นมา เพราะว่าคนย่อมผิดพลาดได้ เราต้องอภัยได้ เราต้องอดทนได้ เพียงแต่ว่าเราต้องรู้จักใช้วิธีการพูดด้วยเหตุผล และเราต้องใช้สติของเราในการที่จะเยียวยา  ไม่เช่นนั้นแล้ว เราเองก็พัง เพราะกลายเป็นคนขี้บ่น  ส่วนคนที่เราบ่น ก็จะเป็นคนนิสัยเสีย  ยิ่งคนที่ถูกบ่นบ่อยๆ ไม่ใช่ว่าเขาจะรู้เรื่อง แต่จะกลายเป็นคนที่ด้านกับการถูกบ่น ใช่หรือไม่ (ใช่)  
(พระอาจารย์ถามว่ารูปดอกบัวในพระโอวาทครอบสวยหรือไม่) ไม่ใช่แค่สวยอย่างเดียว เราไม่มองสิ่งใดที่ความสวยเพียงอย่างเดียว เราต้องมองแล้วเห็นความหมายด้วย ดอกบัวสีแดงดอกนี้ก็มีความหมายเช่นเดียวกัน ดอกบัวสีแดงกลางโคลนตมนี้ หมายถึง พุทธภาวะ คือ ภาวะอันบริสุทธิ์สะอาด เพราะว่าดอกบัวเป็นดอกไม้ที่ใช้ในศาสนา หมายถึงพุทธะตลอดมาอยู่แล้ว อันว่าดอกบัวนั้นหมายถึงพุทธะ พุทธภาวะ เพราะว่าดอกบัวนั้นขึ้นมาจากโคลนตมอันดำสนิทแต่สามารถงอกงามขึ้นมาเป็นบัวที่งดงามได้ใช่หรือไม่ (ใช่) เช่นเดียวกับศิษย์ทุกๆ คนในที่นี้ก็เช่นเดียวกัน ทุกคนนั้นอยู่ในทุกข์ใช่หรือเปล่า ทุกคนในที่นี้ไม่ว่าจะยืนจะนั่งทุกคนนั้นมีทุกข์อยู่ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ถูกหรือไม่ (ถูก)  ไม่มีคนใดที่อยู่ในโลกนี้โดยไม่มีทุกข์ ทุกข์มาก ทุกข์น้อย ระคนกันไปตามกรรมที่สร้างมา ทุกคนย่อมมีทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น ความทุกข์นี้ กิเลสนี้ สังคมนี้ ปัญหาที่แก้ไม่ออกก็ดี ปัญหาที่แก้ออกแต่เวลายังไม่ถึงก็ดี ทุกอย่างเปรียบเสมือนโคลนตม แล้วศิษย์นั้นจะเป็นดอกบัวสีแดงที่พ้นออกมาจากน้ำโคลนนี้ได้หรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับพลังของเรา ถ้าหากว่าเรามีพลังภายในมาก ถ้าเรามีกำลังใจมาก ถ้าเรารู้จักเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง เราย่อมเป็นดอกบัวที่พ้นจากโคลนได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่หากว่าเรานั้นยอมแพ้ทุกๆ เรื่อง ยอมแพ้ความทุกข์ ยอมแพ้ทุกๆ อย่างในชีวิตเราจะพ้นจากความทุกข์นี้ได้หรือไม่ (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นอันนี้จึงชื่อว่า “พุทธธรรมกลางมายา”
วิธีการเอาชนะทุกข์ต้องทำอย่างไร เดินหนีใช่ไหม (ไม่ใช่)  ถามว่ามีความทุกข์ชนิดไหนให้เราเดินหนีไหม (ไม่มี)  คนที่เราคุยด้วยยังไม่มีใครยอมให้เราเดินหนีด้วยใช่ไหม (ใช่)  เพราะฉะนั้นเราจะต่อสู้ทุกข์ เราต้องเข้าไปหาความทุกข์นั้น และเราต้องรับทุกข์นั้นให้หมดจึงจะหมด ไม่มีวิธีการล้างกรรมใดดีกว่าวิธีนี้อีกแล้ว แต่ในขณะที่ศิษย์นั้นดิ้นขลุกขลักอยู่ในความทุกข์ศิษย์ก็จะทรมานนะ แต่ว่าความทรมานนี้บางทีก็เป็นเรื่องที่สมควรที่จะทรมาน แต่บางเรื่องเป็นเรื่องของคนที่ต้องทำใจ
ทำใจเป็นไหม ทำใจนั้นเปรียบเสมือนอะไร ใจนั้นควักออกมาเช็ดออกมาล้างไม่ได้ แต่เพียงเราสงบนิ่ง เราคิดว่าอะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด อะไรเป็นของเราก็ต้องเป็นของเรา อะไรใช่ก็ใช่ อะไรได้ก็ได้ อะไรไม่ได้ก็ได้ คิดอย่างนี้แล้วจะสบายใจยิ่งขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าหากว่ามีความคิดว่าอยากได้ๆ เราก็จะเกิดความเครียด อยากได้ในสิ่งที่ตนไม่ควรได้  ยิ่งเครียดใหญ่เลย แม้ว่าเราจะหามาวุ่นวายใหญ่โตมากมาย ถ้าสิ่งใดไม่ใช่ของเรา เราก็ย่อมไม่ได้ แต่หากสิ่งใดเป็นของเรา แม้เราไม่ดิ้นรนเราก็ยังจะได้มาในมือ
(พระอาจารย์บอกว่า “ข้อคิดข้อธรรมจะสั้น” แต่ผู้เขียนกระดานเขียนว่า “ข้อคิดข้อธรรมอัดแน่น”)
อันนี้ก็ข้อคิดข้อธรรมเหมือนกัน เห็นไหมว่าคนเราน่ากลัวขนาดไหน ขนาดมีไมค์จอใส่ปาก คนฟังยังฟังผิดเลย  แต่เวลาเราพูดไม่มีไมค์ คนอื่นฟังเราผิดได้ไหม (ได้)  เป็นความผิดของเราที่เป็นคนพูด หรือเป็นความผิดของคนฟัง (คนฟัง)  ถ้าต้องโทษคนอื่นก็ต้องโทษคนอื่นตลอดไป หากเรารู้จักโทษตัวเองบ้างเราจะเป็นคนพูดชัดขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
ถ้าหากว่าเขายังฟังไม่รู้เรื่องเพราะว่าหูตึง เราต้องตะคอกหรือเปล่า (ตะคอก)  ถ้าคนอื่นที่ไม่รู้ว่าคนที่เราพูดด้วยหูตึง เขาก็ว่าเรามารยาทไม่ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดให้เราอีก  ฉะนั้นเราต้องใช้ปัญญาว่าจะทำอย่างไร อย่าให้คนอื่นเขามามองเห็นว่าเราตะคอกคนนี้อยู่  เพราะเขาไม่รู้ว่าคนที่เราพูดด้วยนั้นหูตึง นอกจากว่าเราจะต้องเจ็บคอเพราะตะโกน แล้วเรายังถูกคนอื่นมองว่าเราเป็นคนไม่ดีอีก  ฉะนั้นการทำอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ ที่เราทำตรงนี้ เรื่องทุกๆ เรื่องก็ต้องพูด คิด และทำอย่างระวัง ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ละคนกลัวคนเข้าใจผิดที่สุด ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่คนที่ถูกเข้าใจผิดมีกี่คนที่ได้โอกาสแก้ตัว เวลาเราไปแก้ตัวเขาก็หาว่าเราแก้ตัวให้ตัวเอง เพราะฉะนั้นสู้ไม่ทำ ไม่พูด แล้วเราจะได้ไม่ต้องมีบาป
เวลาคนอื่นมาทำร้ายเราเพราะเราทำผิดไปนิดเดียว แต่เราก็ตอบเขาด้วยมโนกรรม คือการคิดไปในทางที่ไม่ดีต่อเขา ฉะนั้นกรรมก็เกิดขึ้นได้ในทุกลักษณะ ในทุกเรื่องราว ถ้าหากว่าเราไม่อยากทำกรรมสร้างกรรม เราจำเป็นที่ต้องพูด ฟัง ให้น้อย แล้วคิดให้เป็นบวกมากขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“คำพูดที่ออกไปจากปากของเราแล้ว ไม่สามารถหยุดได้ในปากของคนอื่น”  ฉะนั้นพูดอะไรก็ต้องรู้จักระมัดระวัง พูดธรรมะจำเป็นต้องมีวาทศิลป์ไหม (มี)  แต่ขงจื่อตอบว่าไม่ ขงจื่อบอกว่าพูดธรรมะไม่จำเป็นต้องใช้วาทศิลป์แต่ต้องใช้ความระมัดระวังในคำพูด เมื่อเราระมัดระวังในคำพูดเสมอๆ เราก็จะเป็นคนที่ไม่พูดผิดใช่หรือไม่ (ใช่)  วาทศิลป์ย่อมเกิดจากคนที่เป็นผู้ใช้ภาษาได้อย่างคล่องแคล่ว  
ในปัจจุบันนี้ยุคสามวาระปลายการฉุดโปรดไม่สามารถเลือกเฟ้นนักปราชญ์ เพราะว่าศิษย์ทุกคนนั้นมีสิทธิ์ที่จะเป็นนักปราชญ์ได้ทุกคน ไม่เลือกเฟ้นคนฉลาด ไม่เลือกเฟ้นคนโง่ แต่เลือกเฟ้นผู้ที่มีจิตใจบำเพ็ญ มีจิตใจศรัทธาและปฏิบัติจริง ผู้ที่สร้างกุศล รู้จักที่จะปรับปรุงและแก้ไขตนเอง บำเพ็ญตนเอง บำเพ็ญจิตใจออกมาจากภายในอยู่ท่ามกลางโลกได้อย่างไม่แปดเปื้อน ฉะนั้นปัจจุบันนี้จึงไม่สามารถที่จะคัดเลือกผู้ที่มีวาทศิลป์ได้ อาจารย์ขอแค่ศิษย์นั้นเป็นผู้ที่รู้จักพูดอย่างระมัดระวัง ไม่ว่าจะคุยเล่น ไม่ว่าจะคุยจริง ขอให้พูดอย่างระมัดระวัง อย่าพูดโกหก อย่าพูดกลับกลอก อย่าพูดแล้วพูดเชื่อไม่ได้ เพราะว่าเรื่องบางเรื่องนั้นย้อนกลับมาไม่ได้ หากศิษย์เป็นคนพูดเชื่อไม่ได้ศิษย์ก็จะกลายเป็นคนที่ไม่มีความน่าเชื่อถือเลย เมื่อนั้นศิษย์จะเติบโตมาเป็นผู้นำไม่ได้ เมื่อศิษย์นำใครไม่ได้ศิษย์ก็ต้องนำตัวเองเท่านั้น แต่อาจารย์เห็นศิษย์หลายคนอยากจะเป็นแต่ผู้นำ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นยังนำตัวเองไม่ได้เลย ใช่หรือเปล่า
(พระอาจารย์เมตตาประทานชื่อเพลง อย่าเป็นทาสชีวิต ทำนองเพลงน่ารัก)
“อย่าเป็นทาสชีวิต” หมายความว่าอย่างไร  คนเรานั้นต้องใช้ชีวิต ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทุกวันนี้ศิษย์ของอาจารย์ไม่ได้ใช้ชีวิต แต่ว่าถูกชีวิตใช้ คือใช้ให้ศิษย์ไปหาเงิน ชีวิตใช้ให้ศิษย์ไปหาคู่ ชีวิตใช้ให้ศิษย์ไปหาความสบาย ชีวิตใช้ให้ศิษย์ไปหาเพิ่ม เพิ่มโน่นเพิ่มนี่ แล้วศิษย์ก็ไปหามา เรียกว่าศิษย์นั้นกำลังใช้ชีวิตหรือถูกชีวิตใช้ (ถูกชีวิตใช้)  ฉะนั้นอาจารย์จึงบอกว่าอย่าเป็นทาสชีวิต
อันที่จริงแล้วคนเราเกิดมา มีลมหายใจก็ถือว่าเป็นชีวิต ทุกอย่างที่มีขอให้มีแค่พอประมาณ ถ้าหากว่ามีน้อยลง มีทรัพย์สมบัติน้อยลง จะมีความสุขมากขึ้น บางคนบอกว่าต้องมีทรัพย์สมบัติก่อนจึงจะมีสุข แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่  หากว่าศิษย์มีทรัพย์สมบัติน้อยลง ศิษย์จะมีความสุขมากขึ้น  ศิษย์ลองดูว่าความอยากในตัวเรามีเยอะมาก  มีวันไหนที่เราหยุดอยากไหม (ไม่มี)  ไม่มีเลย  เพราะฉะนั้นต่อให้ศิษย์นั้นอยากน้อยลงหนึ่งวัน ความอยากก็ไม่ได้น้อยลงไป ศิษย์ก็ไม่ได้มีความไม่สะดวกมากขึ้นแต่อย่างใด  ฉะนั้นของที่จำเป็นก็หามาใช้ ของที่ไม่จำเป็นก็ขอให้เพลาๆ ลงบ้าง ดีหรือไม่ (ดี)  
คนเสียเงินไปกับเรื่องกินเยอะที่สุด  ฉะนั้นอาจารย์ก็ไม่อยากให้ศิษย์นั้นเสียเงินไปกับเรื่องกินเยอะมากเกินไป เพราะว่ากินเท่าไหร่ก็ออกมาเท่านั้น เพราะฉะนั้นไม่มีประโยชน์ ขอให้กินแต่พอประมาณ อย่ากินจนอิ่ม ให้รู้จักที่จะรู้ว่าตัวเองนั้น กินเท่าไหร่ ตัวเองกินไม่มีค่าเท่าไหร่ แต่ถ้าให้คนอื่นกินมีค่า
ฉะนั้นอย่าได้ติดกิเลสในเรื่องของการกินมาก เพราะยิ่งกินมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งป่วยมากขึ้นเท่านั้น ใช่หรือไม่ (ใช่)  เหมือนที่อาจารย์พูดตั้งแต่ต้นคือกินอะไรมาก ก็ป่วยเป็นอันนั้นมาก ถ้าหากว่ากินหลากหลายออกไป กินแตกต่างออกไป ศิษย์ก็จะกระจายความป่วยออกไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่าไปตามใจ “ปาก”  อย่าไปตามใจ “ใจ”  อย่าไปเห็นว่าชีวิตนี้ ตอนนี้ยังไม่ป่วย ไม่ไข้ ไม่เป็นอะไร ถึงตอนป่วยก็ไม่ทันแล้ว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถึงตอนนั้นก็สะสมอะไรมา มันก็เป็นอย่างนั้นไป ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นตอนนี้จะสะสมอะไร ก็ให้พิจารณาดูให้ดีแล้วกันนะ อะไรที่ไม่ควร อะไรที่ต้องเลิก ก็รีบๆ เลิก อะไรที่ต้องแก้ไข ก็รีบๆ แก้ไข ผัดวันประกันพรุ่งเป็นดินพอกหางหมู เข้าใจหรือไม่ (เข้าใจ)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนร้องเพลง “อย่าเป็นทาสชีวิต”)
ในเมื่อเพลงนี้พูดถึงเรื่องข้อคิด ข้อธรรมอาจารย์ก็จะให้คติข้อธรรมไว้สั้นๆ ไว้สำหรับศิษย์ จำอะไรไม่ได้ จำอาจารย์ไม่ได้ จำเพลงไม่ได้ จำธรรมะสั้นๆ ดีหรือไม่ (ดี)

“ไม่อยากให้คนอื่นทำอย่างไรกับเราก็จงอย่าทำอย่างนั้นกับคนอื่น”อันนี้คงชัดเจนอยู่ในตัวแล้วนะ
ถ้าวันนี้เรากลับไป แล้วทำไมแฟนเรา ลูกเรา เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน คนอื่นทำอย่างนี้กับเรา เราก็จงอย่าทำอย่างนี้กับใคร แล้วเราก็จะไม่เจอผลกรรมนั้นๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
“คำพูดหลุดจากปากเราไม่อาจหยุดได้จากปากของคนอื่น”
อาจารย์จะเล่านิทานให้ฟัง มีนักศึกษาหนุ่มคนหนึ่ง ต้องการจะไปเป็นข้าราชการต่างจังหวัด ก็ไปร่ำลาอาจารย์ของตัวเอง  ด้วยความเป็นห่วง อาจารย์ก็บอกว่า ไปเป็นข้าราชการต่างจังหวัดไม่ใช่เรื่องง่ายนะ ทำอะไรต้องรู้จักระมัดระวังๆ  นักศึกษาหนุ่มคนนี้ เพื่อคลายความกังวลใจของอาจารย์ ก็จึงบอกอาจารย์ว่า อาจารย์ไม่ต้องห่วง เขาได้เตรียมหมวกสูงไปร้อยใบ หมวกสูงในความหมาย แฝงไว้ในภาษาจีนคือ การประจบเอาใจซึ่งหน้า อาจารย์ได้ยินอย่างนั้นก็โกรธ บอกว่า เราเป็นบัณฑิต การจะกล่าวชมใครโดยไม่นำพาความเป็นจริงนั้นไม่ได้  ลูกศิษย์เมื่อได้ฟังดังนี้ ก็รู้สึกว่า ไม่รู้จะทำสีหน้ายังไง บอกกับอาจารย์ไปว่า ในโลกนี้คนที่ไม่ชอบยกยอปอปั้น มีความประพฤติบริสุทธิ์เช่นอาจารย์นั้น จะหาได้น้อยยิ่งกว่าน้อย จะหาได้ที่ไหนเล่า  เมื่ออาจารย์ฟังเช่นนี้ อาจารย์ก็พยักหน้า แล้วก็พูดกับศิษย์ว่า มันก็จริงของเจ้า เรื่องนี้เกือบจบแล้ว ฟังออกหรือยังว่าหมายถึงอะไร  ศิษย์คนนี้ เมื่อเดินแยกจากอาจารย์มา ก็พูดว่า “หมวกร้อยใบของข้า ตอนนี้เหลือเก้าสิบเก้าใบแล้ว หมายความว่า อาจารย์ได้รับหมวกสูงอีกหนึ่งใบโดยไม่รู้ตัว  
ฉะนั้นขอให้เราชมใครๆ ด้วยความจริงใจ อย่าชมใครอย่างปะเหลาะหรือเอาใจ  ถ้าศิษย์ของอาจารย์อยากจะมีความสุข อาจารย์อยากให้ศิษย์ชมคนอื่นทุกวัน อย่าชมคนเดิมซ้ำทุกวัน ขอให้ชมทุกคน แต่ต้องมาจากความจริงใจนะ  เมื่อทำเช่นนี้ คนรอบข้างเราก็มีความสุข ตัวเราก็มีความสุขด้วย  แต่ถ้าศิษย์ชมคนเดิมซ้ำทุกวัน โดยไม่ได้ออกมาจากใจ ก็แปลว่าเราทำให้ความไม่จริงใจเกิดขึ้น ใช่หรือไม่ (ใช่)
วันนี้อาจารย์มานานแล้ว หวังว่าศิษย์ทุกคนที่มานั่งฟังในที่นี้ ที่มีหลากหลาย ไม่ว่าจะรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ขอให้วันหลังยังกลับมาศึกษาธรรม  ธรรมะเมื่อเข้าใจแล้ว จะไม่เหมือนตอนที่ยังไม่เข้าใจ
อาจารย์ต้องกลับ กลับคืนเบื้องบนไปด้วยความจำใจ ใจอาจารย์หม่นเศร้ากังวลร้องไห้ ไม่มีน้ำตาจะไหล ห่วงศิษย์หลายๆ  คน  บันไดอีกหลายก้าว ที่ศิษย์นั้นต้องก้าวเดิน กลัวว่าศิษย์จะเดินไปไม่ถึง ใจศิษย์ที่ฟูๆ แฟบๆ มีเรื่องดีใจมาศิษย์ก็ดีใจ มีเรื่องเสียใจมาศิษย์ก็ใจแฟบไป ใจอย่างนี้ยังเป็นใจที่ไม่มีคุณภาพ ยังเป็นใจที่ศิษย์ยังห่างไกลกันมาก ขอให้ศิษย์ทุกคน รู้จักรักษาตัวเอง รู้จักตัวเอง เอาตัวให้รอดจากกิเลส ก้าวเดินไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ถึงฝั่งธรรม อย่าหันหลัง  ให้เดินหน้าไปเรื่อยๆ ธรรมะเมื่อเข้าใจแล้ว ไม่เหมือนกับตอนไม่เข้าใจ ให้คนนั้นอดทนได้มากขึ้น ให้คนนั้นต่อสู้ได้มากขึ้น หวังว่าศิษย์ไปได้ถึงวันนั้น  ไปให้ถึงนะศิษย์นะ  ไว้เราเจอกันใหม่นะศิษย์นะ



โอวาทซ้อนพระโอวาท “ ธรรมกลางมายา”

มีสติยามเคลื่อนไหว มิปล่อยให้ผิดพลั้งเผลอ
สู้กับสิ่งที่เจอ จะยากเข็ญก็เข้าใจ
แม้ต้องดิ้นรนอยู่ จะเรียนรู้จะก้าวไป
ทุกข์สุขดีร้ายให้ ใดเที่ยงแท้ละตัวตน
สูงสุดคืนสามัญ ลุล่วงวันกิเลสพ้น
ยืมปลอมบำเพ็ญตน อุทิศทำประโยชน์ไป
ทำไปด้วยใจว่าง ละยึดมั่นละหวังใด
สิ่งนี้พอสุขใจ จะเรื่องใดก็ร่มเย็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา