西元二○○八年歲次戊子三月廿一日 仙佛慈悲訓
วันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๑ สถานธรรมเซิ่งเต๋อ จ. ประจวบคีรีขันธ์
พระโอวาทพระนาจา
ราตรีมืดมินานทอแสงใหม่ ฟ้าหลังฝนกลัวไปไยเข้มแข็งหนา
ใจที่ตกหวังท่านดึงกลับมา หรือมายาพาท่านหลงยากกลับคืน
เราคือ
ศิษย์พี่นาจา รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา ลงสู่พุทธสถาน แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์น้องทุกคนง่วงนอนไหม
เพียงหนึ่งช่วงต่างเวลาเปลี่ยนชีวิต กรรมลิขิตเรื่องคนหนึ่งพลิกผัน
ตำหนิฟ้าต่างคิดถูกหรือชีวัน ประมาทพลันก็ผิดรู้เหตุอันตราย
โชคเคราะห์เพียงช่วงหนึ่งล้วนประสบ สูงบรรพตมั่นคงยังทลายได้
มิอาจยึดยังแล้วแล้วไป เวลายากยากถึงใจลำบากจริง
น้อมถ่อมตนจึงกว้างรับอนันต์ แต่ประหวั่นกล้าเรื่องกิเลสหลงยิ่ง
ธรรมมากคุณเพียงฟังตั้งใจนิ่ง ศึกษาจริงเห็นความทุกข์คือใจ
ตกหลุมคำอบายมุขจนยากเข็ญ กว่าจะเป็นจะถึงชีวิตใหม่
สงสารตนคนนี้ลืมสงสารใคร มลายค่าฉินใครติที่ตน
เตือนตนชมมิหลงสรรเสริญไป เผื่อยามดีใจสำเร็จคือเริ่มต้น
หากคิดฝึกตนดีต้องอดทน บัณฑิตชนนี้เป็นกลางทัศนคติใด
ฮิ ฮิ หยุด
ทำดีไว้บ่อยๆ จากไม่ค่อยมากล้าทำเป็นนิจ คนไหนชอบทำสิ่งผิด แม้เพียงน้อยนิด สักวันคงร้ายใหญ่
ชื่อเพลง : ทำดี
ทำนองเพลง : แตงโม
(ขี้โมโห)
ขาเดียวก็คงไม่สามารถสมัครสมานและไปกันรอดได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่จงคิดว่าขวาก็มีดีแบบขวา ซ้ายก็มีดีแบบซ้าย และอย่าลืมพวกที่มาเหนือเมฆก็ต้องพยายามทำใจ หรือคนที่เกินคำบรรยาย ชีวิตนี้ท่านเจอไหม แล้วเราอย่าเผลอเป็นคนที่เกินคำบรรยาย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ปล่อยให้ความรัก ปล่อยให้ความหลง คอยมอมเมาจิตใจ คอยบงการจิตใจ เจ็บปวดทุกข์ เคยตรองไหม เพราะอะไร เพราะอะไร เพราะอะไร
ปล่อยให้ความรัก ปล่อยให้ความหลง คอยมอมเมาจิตใจ คอยบงการจิตใจ เจ็บปวดทุกข์ มีสุขไหม รู้ยังทำ รู้ยังทำ รู้ยังทำ
ชื่อเพลง : รู้แล้วยังทำ
ทำนองเพลง : ไก่ย่าง
พระโอวาทพระนาจา
นั่งฟังอย่างนี้เมื่อยไหม (เมื่อย, ไม่เมื่อย) เบื่อไหม (ไม่เบื่อ) นั่งฟังอย่างนี้เบื่อด้วยเมื่อยด้วยเรารู้ แต่จะยอมรับหรือเปล่าเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่) นั่งฟังอย่างนี้ก็อดทนกันไม่ใช่น้อยเลย เคยนั่งฟังนานขนาดนี้ไหม (ไม่เคย) แล้วคิดว่าความอดทนของเราได้แค่นี้หรือได้มากกว่านี้ (มากกว่านี้) ได้วันนี้หรือได้ทั้งสองวันนี้ (ได้ทั้งสองวัน) จริงหรือ (จริง)
วันนี้เรามาฟังอะไรกันรู้ไหม ฟังไปตั้งแต่ต้นจนถึงเดี๋ยวนี้ เรากำลังฟังอะไร (ธรรมะ) เรามาฟังสิ่งที่มีคนให้ท่านรับไป แล้วสิ่งที่รับไปแล้วนั้นคืออะไร ไม่ใช่ศาสนาใหม่ ลัทธิใหม่ แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวเรา ถูกหรือไม่ (ถูก) และสิ่งที่เขากำลังพูดอยู่นั้น ใช่เป็นสิ่งที่อยู่ในตัวเขาหรือตัวท่านก็มี (ตัวเราก็มี)
มนุษย์มักจะเข้าใจว่าธรรมะคือสิ่งที่อยู่ในหนังสือ อยู่ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยู่กับพระ อยู่กับวัด แต่เราลืมไปว่าจริงๆ แล้วธรรมะมีอยู่ในตัวเราทุกๆ คน มีอยู่ในทุกๆ ที่ ไม่เว้นแม้แต่คนชั่ว ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่อยู่ที่เวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เขาคิดอย่างคนที่มีธรรมะ หรือคิดอย่างคนที่มีอารมณ์ ใช่ไหม (ใช่)
ฉะนั้นธรรมะอยู่รอบข้างตัวเราและสามารถเป็นตัวเราได้ อยู่ที่ว่าเราเลือกตัดสินใจเอาอะไรมานำชีวิตเรา ใช่ไหม (ใช่) ถ้าเอาความถูกต้อง การมีเหตุมีผล มีคุณธรรมประจำใจ เราก็กำลังเลือกสิ่งดีๆ ที่มนุษย์ทั่วไปเรียกว่า “ธรรมะ” มานำชีวิต แต่ถ้าเราเลือกการเข้าข้างตน อารมณ์ตน ความถูกต้องแห่งตน อะไรๆ ก็ต้องตนก่อน เราก็กำลังเลือกที่จะมีธรรมะน้อยนิด ถูกไหม (ถูก) การรู้จักคิดถึงคนอื่นมากหน่อย แล้วคิดถึงตัวเราน้อยหน่อย จะทำให้เรานั้นมีธรรมะมากกว่า จริงหรือไม่ (จริง)
เหมือนวันนี้ท่านก็ยังไม่สามารถตัดสินใจได้ว่า เรานี้คือคนหรือว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มายืมร่างคน ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นจุดประสงค์ที่เราควรจะมอง คือมองที่รูปร่างหรือมองสิ่งที่เรากำลังจะพูด (สิ่งที่กำลังจะพูด) ท่านจะมองสิ่งที่พูดอย่างเดียว หรือน่าจะมองสิ่งที่พูดและการประพฤติปฏิบัติของเรา
(ศิษย์พี่เมตตาให้ผู้ปฏิบัติธรรมทำท่าทางต่างๆ ให้นักเรียนในชั้นดู)
เขากำลังทำอะไร เขากำลังร้องไห้ อีกสักพักหันกลับไปมองเขาใหม่ ตอนนี้เขากำลังทำอะไร เขาหัวเราะ ใช่หรือไม่ (ใช่) เราคิดว่าเขาเป็นแบบไหนกันแน่ คราวนี้หันกลับไปมองอีกครั้ง ตอนนี้เขาทำอย่างไร (ยืนเฉยๆ) ฉะนั้นท่านว่าสามครั้งที่เรามอง อะไรคือตัวตนที่แท้จริงของเขา ใครว่าเขาร้องไห้ ใครว่าเขาหัวเราะ ใครว่าเขายืนเฉยๆ (ไม่แน่ไม่นอน) อะไรคือตัวตนของเขา ความไม่แน่นอน ใช่หรือไม่ (ใช่) ถ้าเราบอกว่าร้องไห้ก็คือเขา หัวเราะก็ใช่เขา เฉยๆ ก็คือเขา ไม่แน่ไม่นอนก็คือเขา ถูกหรือไม่ (ถูก) ฉะนั้นท่านจะตอบว่าร้องไห้ก็คือเขา เฉยๆ ก็คือเขา หัวเราะก็คือเขา ล้วนตอบถูกหมดไม่มีใครผิด
ความเป็นจริงของชีวิตหรือความเป็นจริงของคน ใช่ร้องไห้อย่างเดียวไหม ใช่หัวเราะอย่างเดียวไหม และใช่อยู่เฉยอย่างเดียวไหม (ไม่ใช่) ทั้งหัวเราะ ร้องไห้ และความเป็นธรรมดานั่นแหละที่เรียกว่า (ตัวเขา) ตัวเขาอย่างเดียวหรือ ตัวเราร้องไห้ หัวเราะ อยู่เฉยๆ และตัวเราไม่แน่นอนด้วยใช่ไหม (ใช่) เขาก็คือตัวเรา เขาก็คือชีวิต เราก็คือชีวิตไม่ต่างกันเลย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นมนุษย์มองสรรพสิ่ง มองโลกหรือมองอะไรก็ตาม อย่ามองแล้วดึงแค่ส่วนเดียวมาสรุป เพราะขึ้นชื่อว่าชีวิตก็คือกระแสธารที่ไหลไปไม่หยุดนิ่ง ถ้าหยุดนิ่งคือสิ่งที่ตายแล้ว แต่มนุษย์พยายามมองโลกมองอย่างคนตาย ใช่ไหม (ใช่) มองเขา พอเห็นเขาหัวเราะก็สรุปว่าคนนี้บ้าอย่างเดียว พอเห็นเขาเดินมาทีไรเขาก็โมโหทุกทีเลย ก็เลยสรุปว่า
(ศิษย์พี่เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมสองท่านออกมาแสดงท่าทางให้ดู โดยให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมท่านที่หนึ่งผลักท่านที่สอง)
ท่านว่าคนที่ผลักหรือคนที่ถูกผลัก คนไหนดีคนไหนไม่ดี (ยังสรุปไม่ได้) ใช่ไหม (ใช่)
(ศิษย์พี่เมตตาให้ผู้ปฏิบัติงานธรรมคนที่ถูกผลักดีดหูคนที่ผลัก)
ท่านว่าใครดีกว่าใคร (พอกัน) เห็นไหมว่าเมื่อเรามองชีวิตคน มองใคร รู้จักใครหรือสิ่งที่เราคิดว่าเราเข้าใจเขาแล้ว แน่ใจหรือว่าเราเข้าใจ เรากำลังเอาสิ่งที่ตายตัวไปวัดกับสิ่งที่ไม่สามารถกำหนดได้หรือไม่ เรากำลังเอาสิ่งที่เราคิดที่เราเข้าใจไปวัดอะไรกับคนๆ หนึ่งที่กำลังเคลื่อนไหวและมีชีวิตอยู่ตลอดเวลาหรือไม่ ใช่ไหม (ใช่) คนที่ท่านบอกว่าเกลียด คนที่ท่านบอกว่าชอบ เอามาตรฐานอะไรไปวัด ถ้าเอากรอบอันเล็กๆ ไปวัดคนที่ไม่รู้เวลาอันจำกัด ท่านก็กำลังทำผิดทั้งชาติ ถูกไหม (ถูก)
เหมือนเวลาเราคิด เราเข้าใจว่าวันนี้ฟ้าสว่าง เดินไปบอกใครต่อใครว่าวันนี้ฟ้าสว่าง วันนี้ฟ้าสว่าง แต่ถ้ามีคนหนึ่งเดินมาตัวเปียกหมดเลย เขาบอกว่าท่านบ้า ฟ้าสว่างที่ไหน ดูสิตัวเปียกหมดเลย ท่านโกรธไหม โดยส่วนใหญ่โกรธ ก็เมื่อเช้าฟ้าสว่างจริงๆ ใช่ไหม แล้วเราก็มัวเถียงเพราะว่าเรายึดมั่นกับความรู้ความเข้าใจที่เราเข้าใจแค่เพียงตอนเช้า แต่คนๆ นี้เขาเห็นทั้งเช้าและกลางวัน
ฉะนั้นไม่ว่าคนที่พูดว่าฝนตกหรือคนที่พูดว่าฝนไม่ตก ผิดไหม (ไม่ผิด) ไม่มีใครผิด จริงไหม ถ้าเรามองแล้วจึงจะรู้ว่าคนนั้นก็พูดจริง คนนี้ก็พูดจริง ไม่มีใครถูกไม่มีใครผิด แต่เป็นแค่ความยึดมั่นของคนแต่ละคนเท่านั้นเอง ยึดมั่นมากเราก็ไม่สามารถเห็นโลกได้กว้าง เห็นแต่ตัวเองมากเราก็จะไม่สามารถรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นได้มาก ใช่ไหม (ใช่) เพราะฉะนั้นตอนนี้ลองเปิดใจให้กว้างหน่อยดีไหม (ดี) อยากฟังเราพูดต่อไหม (อยาก) ฟังธรรมะกับเราได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งความสนุก และก็ได้รอยยิ้มกลับไปด้วย เอาไหม (เอา)
“โชคเคราะห์เพียงช่วงหนึ่งล้วนประสบ” โชคเคราะห์ ชะตาดีหรือชะตาร้าย บางทีแค่หนึ่งชั่วเวลาก็เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ เปลี่ยนรอยยิ้มให้กลายเป็นคราบน้ำตาได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ใครเป็นผู้กำหนด ฟ้าหรือเปล่า คนอื่นหรือเปล่า (ไม่ใช่) แล้วใครล่ะ (ตัวเรา) ชี้ไปหนึ่งนิ้วแต่ชี้กลับมาตั้งสามนิ้ว ใช่หรือไม่ (ใช่) จริงๆ แล้วคือตัวเราเอง ฉะนั้นเรื่องจะดีจะร้ายบางครั้งอาจจะไม่ใช่ความทุกข์หรือความสุข ถ้าเรารู้จักวางชีวิตของเราให้เป็นถูกไหม (ถูก)
เราจะเล่านิทานให้ท่านฟังเรื่องหนึ่ง แต่ก่อนที่จะเล่าเรามีเรื่องบอกก่อน เป็นเรื่องง่ายๆ ชีวิตมนุษย์นั้นโชคดีที่สุดก็คือเมื่อมีชีวิตแล้วไม่มีปัญหา ไม่มีการสูญเสีย ถูกหรือไม่ (ถูก) แต่เมื่อเราดำเนินชีวิตจริงๆ แล้ว เราจึงได้รู้ว่าความโชคดีนี้ไม่ค่อยมาบ่อยๆ เมื่อมีชีวิตเมื่อมีการแสวงหา การสูญเสียก็ย่อมต้องมีเป็นเรื่องธรรมดา มีคำชมก็มีคำติและต่อว่าหรือด่าทอ มีคนสร้างสรรค์ก็มีคนอยากคิดทำลาย ใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นกว่าเราจะได้โชครู้สึกว่ายากเหลือเกิน แล้วจะไม่ให้สูญเสียอะไรเลยในชีวิตก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ อย่างนั้นลองมาดูว่าจริงๆ แล้วชีวิตยากที่จะโชคดีจริงหรือ
เรื่องก็มีอยู่ว่า มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนเรือแล้วอยากจะออกทะเล พอออกทะเลไปได้สักพักหนึ่งก็มีเรือจากไหนก็ไม่รู้ แล่นมาแต่ไกลด้วยความแรง มองดูไกลๆ แล้วเห็นว่าต้องชนเรือเขาแน่ เขาก็ทั้งพูดทั้งตะโกน แต่เรือนั้นหาได้หยุดไม่ แล้วยังจะมุ่งตรงมาที่เรือเขาอีก ถึงพูดดีก็แล้วเรือก็ยังไม่หยุด ก็เลยต่อว่า ว่าแล้วเรือหยุดไหม (ไม่หยุด) ผลสุดท้ายเรือนั้นก็ชนเรือของเขาอย่างแรง ท่านเป็นอย่างไรโกรธไหม (โกรธ) อารมณ์แรกที่เกิดก็คือโกรธ ถูกหรือไม่ พอโกรธแล้วต้องหาเจ้าตัวที่ทำให้เราโกรธ แต่พอมองเข้าไปในเรือ มองซ้ายก็แล้วมองขวาก็แล้ว มองไปไกลๆ ก็แล้ว มองอย่างไรก็ไม่มีคนอยู่ในเรือ เราก็เลยรู้สึกว่า บ่นไปทำไม ไม่มีใครอยู่ในเรือ บ่นไปก็ไม่มีประโยชน์ ถูกหรือไม่ (ถูก)
สักครู่หนึ่งมีคนว่ายน้ำมา พอเห็นคนอารมณ์ของเราก็เปลี่ยนเป็นโกรธทันที เราโกรธเขาเพราะอะไร แล้วตอนแรกที่ไม่โกรธเพราะอะไร เราโกรธเพราะเรือนั้นมีเจ้าของ แต่เราไม่โกรธเพราะเรามองเข้าไปเห็นว่าเรือนั้นไม่มีเจ้าของ ใช่ไหม (ใช่) เหมือนกันถ้าเราเดินๆ อยู่ กิ่งไม้ตกลงมาใส่หัว เรารู้สึกอย่างไร ตาเราเริ่มขวาง มองซ้ายมองขวา ไม่เห็นใคร คิดว่าตัวเองโชคไม่ดี ก็ได้แต่ว่าตัวเอง ว่าใครไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าเดินๆ อยู่ กิ่งไม้ตกลงมาใส่หัว ตาก็มองซ้ายมองขวา มองข้างบนแล้วเห็นว่ามีคนอยู่บนต้นไม้ รู้สึกอย่างไร (โกรธ)
ฉะนั้นถามตัวเองว่าเราทุกข์เพราะอะไร (เพราะว่ามีตัวตน) เราทุกข์เพราะมีตัวตนเขาหรือว่ามีตัวตนที่เรา (ทั้งสองอย่าง) แล้วทำไมตอนกิ่งไม้หล่น แต่เราไม่เห็นใคร เราไม่ค่อยทุกข์เท่าไร แต่พอเราเห็นคนอยู่บนต้นไม้ เรากลับรู้สึกว่าเราทุกข์กว่าเดิม ใช่หรือไม่ (ใช่)
หนึ่งคือทั้งหลาย ทั้งหลายก็คือหนึ่ง เคยได้ยินไหม หลายๆ เม็ดรวมกันเป็นหนึ่ง หนึ่งคือรวมกันเป็นหลายๆ เม็ด ใครเข้าใจก็ได้ความรู้ ใครไม่เข้าใจก็สงสัยว่าแล้วคืออะไร มีตัวตน ตัวเรา ตัวเขา มีความโกรธ มีอารมณ์เป็นใหญ่มากกว่าคิดไตร่ตรองถึงเหตุถึงผลเราจึงเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) หรือเวลาทำอะไรใช้อารมณ์ก่อนเป็นอันดับแรก ความยึดมั่นถือมั่น นี่ของเรานี่ของเขา นี่ตัวเราเจ็บแต่เขาไม่เจ็บ แบ่งแยกว่าตัวเราเสียหายแต่เขากำลังได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ความคาดหวัง) คาดหวังว่าชีวิตเดินไปต้องไม่มีอันตราย แต่จนแล้วจนรอดก็มีจนได้ โดยส่วนใหญ่มนุษย์ทุกคนอยากเกิดมาแล้วมีแต่โชคดี มีแต่ได้ไม่มีเสีย แต่จริงๆ เป็นไปได้ไหม (ไม่ได้) เราบอกไว้ตั้งแต่ต้น ก่อนที่จะเล่าเรื่องนี้แล้วว่า ขึ้นชื่อว่าชีวิตย่อมมีได้มีเสีย แต่อยู่ที่ว่าเราเสียเพื่อที่จะได้ หรือได้เพื่อจะเสีย ถูกไหม (ถูก)
ฉะนั้นสาเหตุที่ทำให้มนุษย์ทุกข์ก็คือความมีและความไม่มี มนุษย์ไม่มีก็ทุกข์ มีก็ทุกข์ การอยากได้อยากมีทำให้เราดีไหม เราควรจะอยากมีไหม ก็ไม่ควรอยาก ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่เราอยู่ในโลกเป็นธรรมดาที่เราจะต้องคลุกคลีอยู่กับสิ่งที่เรียกว่ารูปและนาม เรียกว่ามีและไม่มี เราจะอยู่ร่วมอย่างไรที่จะทำให้เราไม่เพิ่มเหตุแห่งความทุกข์ให้กับชีวิต ไม่ยากเลย ถ้าท่านอยากจะมีชีวิตอยู่แล้วต้องเกี่ยวคนโน้นเกี่ยวคนนี้ รับรองชีวิตนั้นหาความนิ่งไม่เจอ ถ้าอยากมีชีวิตแล้วต้องพึ่งคนนั้นพึ่งคนนี้ รับรองการที่คิดแต่จะพึ่งคนนั้นพึ่งคนนี้ หรือพึ่งสิ่งนั้นพึ่งสิ่งนี้ ชีวิตจะหาความสงบไม่ได้
แล้วเคยได้ยินไหมว่าหากชีวิตยึดถือสิ่งที่ไม่แน่นอนเป็นธรรมดา และความเสื่อมสลายได้ของชีวิตมาเป็นสรณะ สักวันหนึ่งหัวใจและชีวิตก็จะเสื่อมสลายดุจเดียวกัน
อะไรในโลกที่มนุษย์ชอบนักชอบหนา อยากเกี่ยวอยากพึ่ง แล้วก็อยากมีอยากได้ (กิเลส) กิเลสตัวไหนที่ยึดทีไรไม่สงบสักที (ความสุข) ชอบอะไรก็จะหัวปักหัวปำ ชีวิตวุ่นวายไม่สงบสักที แล้วความลุ่มหลงก็เป็นสิ่งที่เสื่อมสลายง่ายไหม (ง่าย) พอเราหลงอะไร เราก็ง่ายที่จะเสื่อมสลายไปตามสิ่งที่เรายึดติดเป็นที่พึ่งอีกที และอะไรในโลกที่เรายึดเกาะไว้เป็นที่พึ่งพิง เงิน ถูกไหม (ถูก) (เพศตรงข้าม, ตำแหน่งหน้าที่, เสื้อผ้า) ยิ่งเป็นเสื้อผ้าใหม่ๆ จับแล้วจับอีก ใครมาทำเปื้อน ก็รู้สึกโกรธ มีอะไรอีกไหม (ร่างกายเรา, ชื่อเรา) ใครนำชื่อเราไปเขียนล้อเลียน เรารู้สึกโกรธไหม ชื่อของเราพึ่งพิงได้ไหม (ไม่ได้) อย่าลืมว่าคนเรามียกก็ต้องมีกดและมีชมก็ต้องมีติ ชื่อเราอยู่กับเราตลอดไหม อย่าลืมว่าชื่อหนึ่งชื่ออาจจะมีซ้ำกันหลายๆ คนก็ได้ เส้นผมเรายึดไหม ผมยังยึด รถก็ยึด ใช่หรือไม่ (ใช่)
มีอะไรบ้างที่มนุษย์ไม่ยึดติดไม่พึ่งพิง เคยคิดไหมว่าสิ่งที่เรายึดเราพึ่งพิงเป็นสิ่งที่เสื่อมสลายง่าย และหาความเที่ยงไม่ได้ ในเมื่อหาความเที่ยงและความมั่นคงไม่ได้ เราก็ยังยึดติด คนที่รักเรายิ่งยึดติดจริงๆ เลย เวลาคนชมเราก็ดีใจ พอเขาบอกว่ารัก เราก็หัวใจพองโต แต่พอเขาบอกว่าเกลียด เราก็หัวใจแฟบ เราต้องวิ่งตามคนแบบนี้ไปอีกนานเท่าไร ฉะนั้นปล่อยวางดีไหม (ดี)
จำไว้อย่างหนึ่งว่าหัวใจที่อยากมี อยากได้ อยากเป็นโน่น อยากเป็นนี่ อยากให้มีคนนั้น อยากให้มีคนนี้ ยิ่งมีมากและไม่รู้จักระงับ ไม่รู้จักข่ม จะไม่สามารถหาความเมตตาและความบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ และเมื่อมีความอยากมาก ใจเราเริ่มไม่เที่ยง เมื่อใจเราไม่เที่ยง เราจะมีปัญญาที่สดใสมองเห็นสรรพสิ่งได้อย่างยุติธรรมไหม (ไม่) เมื่อใจเราลำเอียงไม่ยุติธรรมแล้ว ดวงปัญญาเห็นอะไรไม่ชัดเจนแล้ว เราจะทำอะไร เราจะมีความกล้าไหม ใจเราก็จะเต็มไปด้วยความกลัว เพราะไม่รู้ว่าทำถูกไหม กลัวว่าเราแอบทำแบบไม่ยุติธรรมแล้ว เขาจะจับได้ไหม ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นมนุษย์ถ้ามีความอยากมากเท่าไร หัวใจเขาก็จะหาความบริสุทธิ์ได้น้อยขึ้นเท่านั้น เมื่อขึ้นชื่อว่ามนุษย์แต่ไร้ความเมตตาก็หาเรียกว่ามนุษย์ไม่ มนุษย์ถ้ามีความเมตตา แต่จิตใจกลับไม่แจ่มใสหรือบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ เขาอยู่ในโลกก็ไม่ต่างอะไรกับคนเห็นแก่ตัวดีๆ นี่เอง จริงไหม (จริง) เมตตาเฉพาะกับลูก กับคนที่ชอบ แต่คนที่เกลียด เรากลับไม่เมตตาเขา ถูกหรือไม่ (ถูก)
ฉะนั้นถ้าคิดอยากจะมีรัก มีโลภ มีโกรธ มีหลง เราจะต้องรู้จักใช้ให้เป็น ไม่อย่างนั้นแล้วรัก โลภ โกรธ หลง ก็จะกลายเป็นม้าพยศที่อยู่ในตัวเราดีๆ นี่เอง แล้วเราจะควบคุมม้าพยศนี้อย่างไร
ไหนใครชอบโกรธยกมือขึ้น นักเรียนในชั้นนี้ไม่มีใครโกรธเลย เป็นคนใจเย็นมากๆ ผู้ปฏิบัติงานธรรมก็ไม่ค่อยโกรธเลยใช่ไหม ที่ไม่ยกมือแสดงว่าไม่เคยโกรธใครเลยใช่ไหม เวลาโกรธที ยิ้มแล้วพูดว่าฉันโกรธนะฉันโกรธ เป็นอย่างนี้หรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนี้อะลุ้มอล่วยให้เรียกว่าไม่โกรธจริง แต่เวลาโกรธทีไรหน้าก็แดงเลือดก็สูบฉีดมือก็สั่นใจก็เต้น ของที่อยู่ข้างหน้าสามารถเผาให้เรียบได้เลย ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราจะควบคุมม้าพยศของเราได้อย่างไรดี เคยคิดไหม มีก็ปล่อยไป ดีหรือเปล่า (ไม่ดี) ความเคยชินความชอบและความชังจะทำให้มนุษย์นั้นสูญเสียพลังธาตุจิตใจอันดีงามให้หมดไปทุกๆ วัน
ฉะนั้นถ้าเรารู้จักควบคุมความชอบ ความชัง และความเคยชินของตัวเองให้ดี ชีวิตจิตใจของเราก็จะมีแต่ความกระปรี้กระเปร่า ไม่ห่อเหี่ยวเบื่อหน่ายง่ายๆ ถูกไหม (ถูก) แต่มนุษย์ชอบปล่อยไปตามความเคยชินและอารมณ์ความชอบความชัง ใช่หรือไม่ (ใช่) พอยิ่งอยู่บนโลก เฮ้อ! เบื่อ เจอคนนั้นก็เฮ้อ! เซ็ง เฮ้อ! ไม่เอา
ฉะนั้นเราจะจัดการกับอารมณ์ร้ายๆ นี้อย่างไรดี พอมีอารมณ์โกรธกดมันไว้ข่มมันไว้ใช่ไหม (ใช่) ที่ไม่ตอบหมายความว่าอย่างไร ตีม้าที่พยศนั้นให้ตายเลยดีไหม เห็นบางคนโกรธแล้วลงกับใครไม่ได้ ทุบกำแพงอย่างนี้ถูกไหม (ไม่ถูก) ก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาไม้ตีม้าที่กำลังพยศอยู่ ยิ่งตีก็จะยิ่งเจ็บแล้วหายไหม (ไม่หาย)
ฉะนั้นวิธีแก้ม้าพยศทำอย่างไรดี (มีสติรู้เท่าทัน, หาสาเหตุ) ที่ไม่ตอบหมายความว่าไม่เคยโกรธ โลภ หลง เลยใช่ไหม หาสาเหตุได้แล้วทำอย่างไรเวลาโมโห ไปเดินหาหรือว่าใครทำให้เราโกรธ (ต้องใช้ปัญญา, สงบจิตไม่โกรธ) ไม่ต้องไปตีม้าพยศ มองดูเฉยๆ ใช่ไหม เมื่อเวลาความโกรธเข้ามา จงเลี้ยงดูด้วยความเอาใจใส่ เมื่อเราเลี้ยงดูด้วยความเอาใจใส่ การจะนำพาความโกรธให้ออกไปหรือเข้ามาก็ง่าย แต่ถ้าเมื่อไรความโกรธเข้ามา เรากลับพยายามบีบกดดันไม่ให้ออกมา ไม่ยิ่งเป็นการทำร้ายตัวเองหรือ สู้พยายามเลี้ยงดูด้วยความเอาใจใส่ไม่ดีกว่าหรือ เลี้ยงดูก็คือหันกลับเข้าไปมองว่าเราโกรธเพราะอะไร พยายามทำความเข้าใจกับตัวโกรธแล้วหาสาเหตุให้เจอ เมื่อเราเข้าใจว่าเราโกรธเพราะอะไร ตอนที่เราจะดับความโกรธก็เป็นเรื่องง่าย เหมือนกันเวลาม้าพยศ ท่านพยายามตีพยายามคุมอะไรก็ทำยาก สู้พยายามทำความเข้าใจแล้วค่อยๆ เลี้ยงให้เขาเชื่องไม่ดีกว่าหรือ พอเขาเชื่องแล้ว ท่านจะปล่อยให้เขาเดินซ้ายเดินขวาก็ง่าย ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉันใดก็ฉันนั้นเวลามีความวุ่นวายเข้ามาในชีวิต เราจึงต้องรู้จักใช้สติปัญญาคอยควบคุมกายและใจให้ดี มองเรื่องราวต่างๆ ด้วยหัวใจที่เสมอภาค แม้โลกจะเปลี่ยนซ้ายเปลี่ยนขวา เปลี่ยนจนหน้ามือเป็นหลังมือ โดนชมหรือโดนว่า กิเลสอารมณ์ก็เอาชนะใจเราไม่ได้ (ถูกไหม) ศิษย์พี่ขอแนะนำง่ายๆ เวลาเราโมโหใจเราจะเต้นเร็วใช่ไหม พยายามควบคุมลมหายใจของเรา หายใจเข้าหายใจออก พยายามสูดหายใจเข้าช้าๆ แล้วก็ปล่อยออก เพราะอารมณ์โกรธเป็นอารมณ์ที่ทำให้หัวใจเราเต้นเร็ว
อย่าเห็นว่าเป็นการทำดีเล็กๆ น้อยๆ เราก็เลยไม่ยอมทำ อย่าเห็นความชั่วเล็กๆ น้อยๆ ก็เลยผลัดวันไม่แก้ไข เดี๋ยวก็จะกลายเป็นคนที่กล้าทำเรื่องที่ไม่ดีที่ใหญ่ๆ ได้ ถูกหรือไม่ ทำดีน้อยๆ ก็ต้องหมั่นทำใช่ไหม เรื่องไม่ดีก็อย่าทำ (ใช่ไหม)
(ศิษย์พี่เมตตาให้นักเรียนในชั้นร่วมกันร้องเพลง “ทำดี”)
ฉะนั้นดีร้าย ถูกผิดก็เป็นเพียงช่วงหนึ่ง อย่าปล่อยให้อารมณ์มาบงการจิตใจ จนทำให้เราสูญเสียความเป็นคนอันดีงาม ใช่หรือไม่ (ใช่)
“ปล่อยให้ความรัก ปล่อยให้ความหลง คอยมอมเมาจิตใจ คอยบงการจิตใจ เจ็บปวดทุกข์ เคยตรองไหม เพราะอะไร เพราะอะไร เพราะอะไร”
เราชอบที่จะมีความรัก มีความหลง แต่เวลามีทุกข์เราเคยตรองไหมว่าเพราะอะไร เราจึงเจ็บปวดกับความรักและความหลงนี้
มนุษย์เรามีความทุกข์ มีความสุข มีความจำกัด แต่สิ่งที่มนุษย์ปรารถนามากที่สุดก็คือความสุขมากกว่าความทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่) แต่ขึ้นชื่อว่าชีวิตเหมือนกับที่เราบอกท่านตั้งแต่แรก เราจะมองแล้วเลือกเอาชีวิตด้านที่เขาหัวเราะอย่างเดียว ได้ไหม (ไม่ได้) ขึ้นชื่อว่าชีวิตต้องมีทั้งสุขและทุกข์เป็นธรรมดา แล้วก็ต้องมีความไม่แน่นอนเป็นธรรมดา
ฉะนั้นเราต้องกล้าที่จะยอมรับ แม้ชีวิตจะเจอทุกข์หรือเจอสุข เจอสิ่งที่สมหวังหรือเจอสิ่งที่ผิดหวัง การศึกษาธรรมไม่ใช่บอกให้มนุษย์ปิดบังตาปิดบังหู แต่การศึกษาธรรมคือการเปิดตาเปิดหูและกล้ายอมรับความเป็นจริงของชีวิต แม้ชีวิตนี้จะมีด้านดีหรือด้านร้ายก็ตาม เพราะความเป็นจริงของชีวิตไม่เคยมีด้านเดียว และความเป็นจริงของชีวิตไม่ใช่มีแต่สุขแล้วไร้ทุกข์ มีชีวิตก็ต้องไม่มีชีวิตเหมือนกัน
ฉะนั้นการศึกษาธรรมก็คือการที่ทำให้มนุษย์รู้จักกล้าเผชิญอย่างมีสติด้วยความรู้เท่าทันและไม่ยึดมั่นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพราะการยึดมั่นเป็นเหตุที่ทำให้เราทุกข์ ยากพ้นความวุ่นวายได้ ใช่หรือไม่ (ใช่) แล้วเราจะปล่อยความยึดมั่นได้ไหม (ได้) วันไหนหน้าโทรมๆ ออกไปข้างนอกกล้าไหม (กล้า, ไม่กล้า) วันไหนแต่งตัวปอนๆ ออกไปข้างนอกกล้าไหม (กล้า, ไม่กล้า) วันไหนไม่มีเงินเดินออกไปข้างนอกกล้าไหม (กล้า, ไม่กล้า)
บางครั้งเราต้องเรียนรู้ไว้ว่าวันไหนไม่มีเงินก็เดินออกไปได้ แล้วก็กลับมาได้ด้วยลำแข้งตัวเอง ชีวิตนี้อย่าเลือกที่รักมักที่ชัง ถ้าเลือกที่รักมักที่ชัง ยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป แล้วปฏิเสธสิ่งที่ตรงกันข้าม นั่นแหละเรากำลังหาเหตุที่ทำให้เราทุกข์
วันนี้สุขก็ได้ วันนี้ทุกข์ก็อดทน ใช่หรือไม่ (ใช่) ถึงจะเรียกว่า “ชีวิต” อย่ายึดกุมแบบใดแบบหนึ่งแล้วมาใส่ในชีวิต เท่ากับเรากำลังหาเหตุแห่งความตายและความลำบาก ใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะชีวิตคือกระแสที่ไร้ไม่หยุดนิ่ง มีสุขก็มีทุกข์ มีดีก็มีร้าย มีได้ก็มีเสีย จึงเรียกว่า “ชีวิต” จำไว้นะ อย่าเลือกที่รักมักที่ชัง อย่าพยายามยึดอะไรไว้ อย่าพยายามเกี่ยวอะไรไว้ เพราะยิ่งยึดยิ่งเกี่ยวท่านก็คือคนที่กำลังหาทุกข์ใส่ตัวนั่นเอง ใช่หรือไม่ (ใช่)
ฉะนั้นจงมีสติรู้เท่าทันกับสิ่งที่มากระทบตัวกระทบใจ แล้วเราจะสามารถควบคุมชีวิตเราให้เดินไปอย่างเป็นสุขได้ อารมณ์กิเลสก็ไม่สามารถเอาชนะใจของเรา ถ้าเราสามารถมองชีวิตอย่างเป็นกลาง รับความเป็นจริงอย่างซื่อๆ ตรงๆ ได้ก็ได้ เสียก็เสีย แล้วต่อไปนี้ชีวิต กิเลสและอารมณ์ก็จะไม่เป็นนายเราอีกต่อไป ดีไหม (ดี)
วันนี้ศิษย์พี่รู้สึกดีที่มีโอกาสได้มาผูกสัมพันธ์กับทุกๆ ท่าน แต่ทุกๆ ท่านจะรู้สึกดีหรือเปล่าไม่ค่อยแน่ใจ (รู้สึกดี) ไม่เป็นไรบางครั้งเราต้องรับให้ได้ แม้หน้ายิ้มหรือหน้าบึ้ง เพราะนั่นคือคน นั่นคือชีวิต อย่าเลือกที่จะมองแต่คนที่ยิ้ม คนที่บึ้งบางทีก็ให้อะไรดีๆ กับเราได้เหมือนกัน ใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่าเลือกที่จะฟังแต่คนที่ชม คนที่ติหรือคนที่ว่าก็ให้อะไรน่ารักๆ ได้เหมือนกัน ถูกไหม (ถูก)
ศิษย์พี่ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราอยู่บนโลกใบนี้ เขาก้าวซ้ายเราก็ก้าวซ้าย เขาไปขวาเราก็ไปขวา เขาตกน้ำเราก็ตกน้ำ ดีไหม (ไม่ดี) ท่านไม่ชอบคนที่มีอะไรที่เหมือนๆ กับท่านหรือ ชอบไหม แล้วถ้าบนโลกนี้ไม่มีภูเขาทุกอย่างราบเรียบไปหมด ไม่มีต้นไม้ที่สูงกว่า ไม่มีต้นไม้ที่เตี้ยกว่า ทุกอย่างเท่ากันไปหมด ดีไหม (ไม่ดี) มองแล้วดูไม่สวย ใช่ไหม (ใช่)
ถ้าเกิดศิษย์พี่สะบัดโลกพรึบหนึ่ง ให้ทุกอย่างเท่ากันหมดเอาไหม (ไม่เอา) ถ้าเอาเมื่อไรก็ตายเมื่อนั้นแหละถูกไหม ถ้าวันหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยากให้โลกเท่าเทียมกันอย่างที่มนุษย์ชอบบ่นว่า ฟ้าไม่ยุติธรรมๆ สะบัดพรึบหนึ่ง รับรองมนุษย์อยู่ไม่ได้แน่ใช่ไหม เหมือนเวลาเสื้อเราสกปรก เราสะบัดทีหนึ่ง สิ่งที่สกปรกก็จะหลุดไป ใช่ไหม (ใช่) ให้ฟ้าสะบัดสักทีเพื่อโลกจะได้กลับมายุติธรรม เอาไหม (ไม่เอา)
แม้จะมีคนที่เรียกว่า “เจ้านาย” มีคนที่เรียกว่า “ลูกน้อง” มีคนที่เรียกว่า “คนดี” มีคนที่เรียกว่า “คนไม่ดี” แม้จะมีความแตกต่างกันในสังคม แต่จงจำไว้ว่าความแตกต่างนั้นทำให้สังคมกลมและสมดุลได้ ถูกหรือไม่ (ถูก) เพราะมีสิ่งที่สูงจึงมีสิ่งที่ต่ำ เพราะมีสิ่งที่ต่ำจึงมีสิ่งที่สูง เพราะมีคนที่ดีจึงมีคนที่ไม่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างแม้จะต่างกัน แต่ก็มีอะไรที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน
เกิดเป็นคนต้องรู้จักความแตกต่าง แต่หัวใจเราต้องไม่แบ่งแยกอย่างตายตัว เพราะอย่างน้อยถ้ามีคนก้าวซ้ายแล้วอีกคนก้าวขวา โลกจะได้สมดุล
ฉะนั้นเวลาเจอคนโง่อย่าโมโหที่เราฉลาด ถูกไหม (ถูก) ไม่ใช่อย่างนั้น ศิษย์น้องกำลังจะบอกว่าเวลาเจอคนโง่เรามักจะโมโห ไม่ใช่โมโหที่เราฉลาด แต่โมโหที่เขาโง่ เราต้องใจเย็นๆ มีคนรู้ก่อนและมีคนที่รู้หลัง มีคนเข้าใจง่ายกับมีคนเข้าใจยาก เป็นเรื่องธรรมดา เพราะไม่อย่างนั้นโลกก็คงไม่สมดุล และอย่าลืมว่าบางครั้งเราก็รู้ก่อนบางครั้งเราก็รู้หลัง แต่มีอีกเรื่องหนึ่ง เขารู้ก่อนเรารู้ที่หลัง เราว่าเขาโง่ตอนนี้ แต่ตอนสุดท้ายตัวเองก็โง่ไม่ต่างกับเขา
ฉะนั้นอย่าว่าใครดีไหม (ดี) ใจเย็นๆ ดีไหม เราจะได้รู้ว่าโลกจะเกิดสันติสุขได้เพราะมีคนที่สูงๆ ต่ำๆ เป็นธรรมดา เราจึงจะสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขได้ เพราะมีคนทั้งเห็นและไม่เห็น ทั้งรู้สิ่งหนึ่งและไม่รู้สิ่งหนึ่ง ฉะนั้นอย่าหลงตน อย่าคิดว่าตนดีและมองคนอื่นต่ำหรือดูถูก ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เมื่อเจอคนมองต่างมุม เมื่อเจอคนมองต่างแบบก็จงยอมรับว่าเป็นธรรมดา นี่คือความเป็นจริงของโลก นี่คือความเป็นจริงของชีวิตทุกๆ คน อย่าเจอแต่คนที่มองมุมเดียวกัน รับรองเดินตกน้ำทั้งคู่แน่ ใช่หรือไม่ (ใช่)
(ศิษย์พี่เมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “มองต่างมุม”)
เมื่อเรามองเรื่องๆ หนึ่ง คนที่มองด้านซ้ายก็เข้าใจแบบซ้าย คนหนึ่งมองด้านขวาก็เข้าใจแบบขวา ถ้าต่างคนต่างยึดมั่น ยืนกระต่าย
หนึ่งเรื่องก็ต่างคนต่างคิด ถูกหรือผิดก็เพียงช่วงหนึ่งจะเถียงกันทำไม ถ้าเรารู้แล้วเรายังยึดมั่น เราก็คือคนที่หาเหตุแห่งทุกข์ใส่ตัว ฉะนั้นถ้ารู้แล้วว่าผิดเขายังว่าถูกก็ปล่อยเขาไป วันนี้เรายอมผิดบ้างยอมถอยบ้างก็ไม่เป็นไร ใช่หรือไม่ (ใช่) ยอมถอยเพื่อความสบายใจของเขา ดีกว่าเราสบายใจแล้วเขาคิดจะมาเอาชนะเราทีหลัง อย่าลืมว่าบางครั้งเราต้องรู้จักแพ้ให้เป็น และชนะอย่างคนที่ไม่เหยียดหยามใคร ไม่ใช่ชนะเป็นอย่างเดียวแต่แพ้ไม่เป็น ศักดิ์ศรีของความเป็นคนต้องแพ้ได้ชนะได้ ชนะได้ก็แพ้ได้ นี่คือความเป็นจริง และบางครั้งเราต้องรู้จักแพ้เพื่อให้คนอื่นชนะและมีความสุขบ้าง ถูกหรือไม่ (ถูก)
วันนี้ศิษย์พี่ก็คงมาแค่นี้ ยังมีพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน มาฟังให้ครบ อดทนให้ได้ดีไหม (ดี) มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก อย่าฟังธรรมแค่สองวันแล้วก็หายไป จงนำสิ่งที่ศิษย์พี่พูดไปคิดพิจารณา ทำไมพุทธะพูดแต่มนุษย์ไม่สามารถรู้แจ้ง เพราะว่าฟังเข้าหูแต่ไม่เคยเอาไปคิดไตร่ตรอง เราจึงได้เป็นแค่ผู้รู้ แต่จะเข้าใจและรู้แจ้งได้อย่างไร ถ้าไม่เคยเอาไปคิดไตร่ตรองและลงมือกระทำ
พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “มองต่างมุม”
หนึ่งเรื่องต่างคนต่างคิด ถูกผิดก็เพียงช่วงหนึ่ง
รู้แล้วยังยึดมั่นจึง ยากถึงใจกว้างเสรี
กล้ารับฟังทุกความเห็น ถึงจะเป็นคำติฉินนี้
ใครชมมิหลงตนดี ฝึกใจตนนี้เป็นกลาง