วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2550

2550-06-02 สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์



西元二○○七年歲次丁亥四月十七日    大眾恭求仙佛慈悲指示訓
วันเสาร์ที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๐    สถานธรรมฮุ่ยจื้อ  อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
    สาธุชนกราบขอประทานพระโอวาทชี้แนะ


    คนมีบุญมาร่วมกันจากต่างทิศ    บำเพ็ญจิตให้เป็นหนึ่งถึงคงมั่น
การอยู่ร่วมจะต้องหมายเข้าใจกัน    การรู้ทันรู้แต่เพียงบำเพ็ญอย่างไร
        เราคือ
    องค์ประธานคุมสอบสามภูมิ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่แดนโลกีย์  เคียมคัล
องค์มารดา        ถามเมธีน้องชายหญิงเกษมฤๅ
            ขอทุกคนจิตสงบตั้งใจฟัง  ฮวา ฮวา


    คุณธรรมอยู่เหนือความสามารถ    จึงจะอาจกำราบทั้งนอกในได้
การเรียนรู้ในสิ่งที่ยิ่งใหญ่    คือรู้ใจบำเพ็ญจิตสยบตน
จงได้ใช้ใจแท้ฟังธรรมะ    การลดละกิเลสต้องเพียรไม่เบื่อ
ก่อนที่จะทั้งใจศรัทธาเชื่อ    ขอทุกเมื่อศึกษาและลงมือทำ
อย่างมงายอยู่ในโลกอย่างมัวเมา    ฉุดตัวเราและเร่งไปฉุดผู้อื่น
แม้ยังมีความทุกข์อย่างกล้ำกลืน    แต่ทว่าตื่นจากภายในย่อมมีแรง
จงใส่ใจชีวิตตนสุขคืออะไร    และอะไรที่ชาวโลกเรียกว่าสุข
เมื่อได้รู้ดวงใจจะไม่ทุกข์    จะเลิกคลุกอยู่กับปัญหาเรื่องเดิมเดิม
ในชาตินี้น้องทั้งหลายมีบุญยิ่ง    ใช่ฉับพลันให้ละทิ้งก็หาไม่
ขณะที่ยังมีลมหายใจ    เลือกทิ้งไปเลือกเก็บมาเลือกเป็นคน
จงได้คิดใช้ปัญญาที่ฝึกแล้ว    ใสดั่งแก้วที่ได้เช็ดชำระล้าง
ทำจิตใจให้สงบรู้ปล่อยวาง    ใยบางบางโลกีย์และหลุดพ้นคืน
สองวันนี้จงตั้งใจฟังธรรมะ    ทุกภาระทำหน้าที่ให้ดียิ่ง
อนุสัยขอให้ฝึกหัดละทิ้ง    เป็นคนนิ่งแต่เบิกบานอย่างพร้อมเพรียง
จงรักษากฎระเบียบแห่งพุทธะ    ต่างมานะฟังธรรมให้เข้าถึงจิต
เปิดใจกว้างให้มากขึ้นอีกสักนิด    จงใช้จิตจึงเข้าใจซึ่งหลักธรรม
อย่าได้หลงเข้าใจผิดเป็นพิษร้าย    เรื่องง่ายง่ายกลายยากเพราะเข้าใจผิดผิด
คนที่รู้แต่ที่รู้เข้าใจผิด    กลับแก้ยากฝากอีกนิดละอัตตา
ศิษย์พี่รับบัญชามาคุมชั้นเรียน    หวังน้องเปลี่ยนแปลงตนเป็นคนใหม่
งานธรรมแห่งอีสานนี้จะรุ่งไกล     หากร่วมใจทุกอย่างจะไม่พลาดมือ
จรดวางพู่กันลงบันทึกคะแนน
            ฮวา  ฮวา  หยุด


วันเสาร์ที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๐    สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ


    ขยันซื่อกินไม่หมด    รู้ออมรู้อดรู้ใช้
อยู่ง่ายกินง่ายเรียบง่าย    ลำบากที่ไหนไม่มี
        เราคือ
    หนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่แดนโลก แฝงกายกราบ
องค์มารดา        ถามเมธีทุกท่านสราญฤๅ


    เข้าถึงเรื่องใดล้วนใช้ปัญญา    ใจศึกษาธรรมต้องมีไม่จำกัด
แม้หากปฏิบัติมาไม่แอบอึดอัด    ผู้ไม่หัดย่อมอาจเหลิงวิชชา
ใช้ความรู้รู้ผิดบิดเข้าใจ    เบนเข็มได้จริงอย่างฉันปรารถนา
เข็มทิศชี้ทิศเหนือเสมอมา    ความจริงใดเฉกเวหายากกำบัง
บังเกิดความตั้งใจคนต้องเข้ากัน    อารีกันเด็ดเดี่ยวเช่นแสงความหวัง
อภัยเรื่องบางเรื่องคนไม่ระวัง    รอยจางจางทุกข์เศร้ายิ้มระคน
ถวิลเป็นอย่างเราเฉยสุดกู่    วุ่นนั้นอยู่กลับเฉยเพราะสับสน
เมินเอาไม่แสบทรวงห่วงกังวล    แต่ใจนอนร้อนรนจนทรมา
หัวใจสั่นน่ากลัวเลวในดี    เมตตามีไม่ทั้งใจโดนกังขา
ได้สติอะไรนั้นก็มีค่า    สร้างชีวิตดีขานฟ้าตราบนิรันดร์
ชีวิตสั้นความหอมนานไม่อยู่    ทบทวนรู้เรื่องงานต้องขยัน
ฝนลมเพียงใจนั้นรู้อาการ    คนดีได้ต้องผ่านอุปสรรคเป็น
แม้เข้าใจแต่ก็น้อมและสำนึก    ธรรมตื้นลึกแค่ใจสัมผัสเห็น
รู้ถึงไหนการกระทำส่งชัดเจน    โดยแล้วแต่บ่มบำเพ็ญเป็นชีวิต
ลุยทบทวนลุยโคลนมากกว่าระยะ    สามารถละกิเลสตามลับหลืบจิต
จากเนื้อเดียวแก้ไขทีละนิด    พินิจเป็นปัญญาคมอย่าอ่อนแอ
            ฮา  ฮา  หยุด


**  วิชชา ความตรัสรู้ ธรรมขั้นสูงแห่งพุทธศาสนาได้แก่ วิชชา ๓ คือ  -๑. บุพเพนิวาสานุสติญาณ รู้จักระลึกชาติได้  ๒.จุตูปปาตญาณ ความรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย  ๓. อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้น; วิชชา ๘ คือ  ๑. วิปัสสนาญาณ ญาณอันนับเข้าในวิปัสสนา  ๒. มโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางใจ  ๓. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้  ๔. ทิพโสต หูทิพย์  ๙. เจโตปริยญาณ รู้จักกำหนดใจผู้อื่น  ๖. บุพเพนิวาสานุสติญาณ  ๗. ทิพจักขุ ตาทิพย์  ๘. อาสวักขยญาณ
    พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ
เกิดเป็นคนต้องขยันทำมาหากิน ถ้าไม่ขยันทำมาหากินเราก็ต้องอดตายต้องลำบาก ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นศัตรูร้ายตัวแรกในชีวิตก็คือความขี้เกียจ เกิดเป็นคนถ้าขี้เกียจแล้ว ความลำบากต้องอยู่ใกล้แน่นอน  แต่ถ้าคนเรามีความขยัน ความลำบากนั้นจะทำอะไรเราไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  ก็มีหลายคนนะอยากจะขยัน แต่พอเจอความลำบากก็กลายเป็นขี้เกียจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นขยันแล้วเราต้องไม่กลัวลำบากด้วย  เราถึงจะมีความสบายในตอนหลัง  ชีวิตนี้มีอะไรได้มาง่ายๆ ไหม (ไม่มี)  ต้องลำบากต้องขยันถึงจะได้มา ใช่หรือไม่ (ใช่)  วันนี้มาฟังธรรมะก็เฉกเช่นเดียวกัน ต้องลำบากหน่อย ต้องขยันตั้งใจฟังหน่อย เราถึงจะฟังธรรมะได้รู้เรื่องมากขึ้น ถ้าไม่ยอมลำบากไม่ขยันฟังธรรมะก็ไม่รู้เรื่อง จริงหรือเปล่า (จริง)


ขยันซื่อกินไม่หมด        รู้ออมรู้อดรู้ใช้
ไหนใครว่าเกิดมาชีวิตนี้ลำบากยกมือขึ้น ยกมือเป็นแถวเลย ลำบากมากใช่ไหมกว่าจะได้อะไรมาแต่ละอย่าง ฉะนั้นเวลาอยากแต่ละอย่างอยากน้อยๆ ดีไหม (ดี)  จริงๆ แล้วถ้าเราไม่อยาก เราจะลำบากไหม (ไม่ลำบาก)  แต่เพราะความอยากมากจึงทำให้เราต้องลำบากมาก ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นอยากน้อยๆ จะได้ไม่ลำบากดีหรือไม่ (ดี)  แล้วไม่อยากเลยได้หรือเปล่า (ไม่ได้) เพราะว่าเรายังต้องเลี้ยงชีพ ฉะนั้นการเลี้ยงชีพอย่างพอกินพอใช้ทำให้เราลำบากไหม ลำบากแต่ลำบากตอนต้น เพราะไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ทุกอย่างต้องเกิดจากการขวนขวาย ค้นคว้าและลงมือเสียก่อน จริงหรือไม่ (จริง)  
ถ้าเราปลูกผักเป็น เรายอมเสียเงินไปซื้อเมล็ดผักมาปลูก เราก็จะมีผักกินไปตลอดชีวิต ถูกหรือไม่ (ถูก)  แต่จะมีตลอดชีวิตได้อย่างไรถ้าเราไม่ขยันดูแลรดน้ำเอาใจใส่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเราขยันดูแลรดน้ำเอาใจใส่สักหน่อย ตอนนี้เราก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อผักอีกใช่ไหม ถ้าเกิดอยู่ง่ายกินง่าย ก็ไม่ลำบากใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ตอนนี้กินผักจิ้มซีอิ๊วรู้สึกไม่อร่อยใช่หรือไม่ ต้องมีอะไรมากกว่าผักอีกก็เลยต้องหาเข้าไปอีก พอหาได้มากขึ้น รู้สึกบ้านเล็กไปไหม บ้านเล็กไม่เหมาะไม่สวยกับอาหารที่กิน ก็ต้องหาบ้านใหญ่อีก เหนื่อยไหม (เหนื่อย)  พอมีบ้านใหญ่แล้วแต่งตัวมอซอได้ไหม (ไม่ได้)  ก็ต้องแต่งตัวให้ดูดีๆ แล้วหาเงินเพื่อแต่งตัวดีๆ ลำบากไหม (ลำบาก)  ฉะนั้นยิ่งอยู่ยากกินยากทำให้ชีวิตลำบากใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นอยากให้ชีวิตไม่ลำบากมากก็ต้องรู้จักอยู่อย่างเรียบๆ ง่ายๆ ขยันทำมาหากิน แล้วก็รู้จักใช้รู้จักออม แล้วสิ่งนี้ท่านรู้หรือเปล่า ก็รู้ แต่ห้ามใจตัวเองไม่ค่อยได้ใช่หรือไม่ (ใช่)  
อยู่ง่ายกินง่ายเรียบง่าย    ลำบากที่ไหนไม่มี
ถ้าเป็นคนขยัน เป็นคนซื่อตรง มีเงินก็รู้จักใช้ รู้จักออม รู้จักเก็บ หรือรู้จักลด รู้จักอดในสิ่งที่ไม่ควรฟุ่มเฟือย กินก็ง่าย อยู่ก็ง่าย ชีวิตก็คงลำบากน้อยลงใช่หรือไม่ (ใช่)  
หลายต่อหลายคนในที่นี้มักจะพูดว่า ชีวิตตัวเองเป็นชีวิตที่ไม่ค่อยจะสมบูรณ์ แม้จะมีเท่าไรก็ยังบอกว่ายังไม่สมบูรณ์สักที ถูกไหม บางทีการมีใครสักคนหนึ่ง หรือมีเรื่องอะไรสักเรื่องหนึ่ง หรือมีสิ่งใดสักสิ่งหนึ่งมาอาจจะทำให้ชีวิตนั้นเต็มขึ้นสมบูรณ์ขึ้นใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ก่อนคิดว่าเป็นคนมีเงินน้อยรู้สึกยากจน ไม่มีคุณค่า คิดว่าถ้าเกิดมีเงินเยอะแล้วเราจะมีคุณค่า มีคนนับถือ แต่พอมีเงินเยอะแล้วมีคนนับถือไหม นับถือตามเงินที่เราคิดไหม ไม่เลยใช่หรือไม่ (ใช่)  
บางครั้งเราบอกว่าชีวิตเรานั้นเหงาเปล่าเปลี่ยว ถ้ามีใครสักคนหนึ่งเข้ามาชีวิตอาจจะสมบูรณ์ขึ้น มีสุขมากขึ้น แต่พอมีแล้วสมบูรณ์ไหม (ไม่)  กลับเป็นอย่างไร มีสุขผสมกับมีทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นการจะศึกษาเข้าใจชีวิต ก่อนที่จะไปศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ต้องรู้และจำให้ขึ้นใจคือ ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่มาเติมให้เราเต็มสมบูรณ์ได้ ไม่มีใครในโลกนี้หรอกที่จะมาเติมเต็มหัวใจของเราให้มีสุขจนล้นปรี่ได้ คนที่จะทำให้ชีวิตเรามีสุข คนที่จะทำให้ชีวิตของเราสมบูรณ์ได้ก็คือ ตัวเราเองรู้จักพอใจบ้างหรือยัง ถ้าไม่พอ ใครเติมอย่างไรก็ไม่เต็ม ถ้าเรารู้สึกว่าไม่อิ่ม ใครเติมอย่างไรก็ไม่อิ่ม ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นเราอย่าลืมว่าในโลกใบนี้ไม่มีใครพร้อมสมบูรณ์ ในโลกใบนี้ไม่มีเรื่องใดที่สมบูรณ์โดยไม่มีตำหนิและในโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดที่งดงามไร้ที่ติ หรือแม้ในโลกใบนี้ตัวเราก็ใช่ว่าจะดีจนไม่มีตำหนิจริงไหม (จริง)  ถ้าเราเข้าใจพื้นฐานอันนี้ การจะกร่นโทษด่าคนอื่นก็คงไม่มี การจะคาดหวังให้คนอื่นนำความสุขมาให้ก็คงไม่หวังมาก แต่ถามจริงๆ ว่าสิ่งที่เราพูดนี้ท่านรู้ไหม (รู้)  แต่ยังหวังไหม (หวัง)  หวังว่าถ้าชีวิตมีเงิน มีบ้านใหญ่ๆ มีรถใหญ่ๆ แล้วจะทำให้มีความสุข หวังไหมว่าการมีใครสักคนที่รักเราจะทำให้ชีวิตสมบูรณ์ (หวัง)  หวังไหมว่ามีลูก ลูกจะเป็นคนดี (หวัง)  แต่ก็รู้ว่าขึ้นชื่อว่าคน สิ่งของ เรื่องราว มีอะไรสมบูรณ์พร้อมบ้าง มีไหม (ไม่มี)  อย่าลืมว่าในโลกนี้ได้อย่างต้อง (เสียอย่าง)  เสียอย่างก็อาจได้อีกอย่าง  เพราะฉะนั้นอย่าหวังอะไรในโลกนี้อย่างสมบูรณ์เพียบพร้อม แล้ววันนี้ยังหวังว่ายืนแล้วจะได้นั่งไหม (หวัง)  อย่างนั้นเราจะทำให้ท่านผิดหวังหรือสมหวังดี (สมหวัง)   ก็เราบอกแล้วว่าในโลกนี้อย่าหวังมาก หวังแล้วจะผิดหวังใช่หรือไม่ (ใช่)  อย่างนั้นตอนนี้อยากนั่งหรืออยากยืน (นั่ง)  ต้องคิดเสียว่าได้ยืนก็ดีแล้ว ดีกว่าไม่มีร่างกายให้ยืน ใช่หรือไม่ (ใช่)  นั่งไม่นั่ง (นั่ง)  หวังไม่หวัง (หวัง)  อย่างนั้นก็ผิดหวังไปก่อนนะ    
เมื่อยหรือยัง ถ้าเราไม่ให้ท่านนั่งท่านก็ว่าเราใจร้ายใจดำกับผู้สูงวัยใช่หรือไม่ เราใจร้ายจริงๆ ไหม มนุษย์ในโลกนี้วัดกันก็เพียงผิวเผิน
วัดกันเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบ ทั้งที่ยังไม่รู้จักถ่องแท้ แค่เห็นหน้าก็วัดกันแล้วว่าคนนี้ไม่ดี คนนี้ใจร้ายแน่ๆ ใช่หรือไม่ (ใช่)  เคยเห็นไหมบางคนดูร้ายตอนต้น ดีตอนปลายก็มี หรือบางคนดีตอนต้น แต่ร้ายตอนปลาย ถ้าอย่างนั้นเราให้ท่านเห็นเราร้ายตอนต้นแล้วดีตอนปลายดีไหม
เอาไหม (เอา)  อย่างนั้นอดนั่งดีหรือเปล่า
ตะกร้าดอกไม้นี้ดูสวยดีใช่หรือไม่ ถ้าเราถือตะกร้าอยู่ดีๆ แล้วปาใส่หน้าคน ตะกร้าดีไม่ดี (ไม่ดี)  อะไรที่ไม่ดี ตะกร้าไม่ดีหรือว่าการปาไม่ดี (การปาไม่ดี)  ต้องแยกให้ออก ไม่ใช่บอกว่าตะกร้านี้ดี แต่พอปาหน้าปุ๊บ เราบอกว่าตะกร้าไม่ดี ใช่หรือเปล่า (ใช่)  อะไรไม่ดี (การปา) การปาหน้าคน ถ้าถามกลับใหม่ ตะกร้านี้ดีไม่ดี (ดี)  แต่ถ้าเปลี่ยนจากปาเป็นยื่นให้คน ดีหรือไม่ดี (ดี)  เพราะอะไรถึงดี  เพราะยื่นให้คน
ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เราขอถามต่อ คำถามเราง่ายๆ ส้มลูกนี้ดีหรือไม่ดี (ดี)  ส่วนใหญ่ตอบว่าดีใช่หรือไม่ ส้มเปรี้ยวดีหรือไม่ดี สวยๆ แต่เน่าใน ดีหรือไม่ดี (ไม่ดี)  ฉะนั้นเราจะบอกว่าส้มดีไม่ดีตอนนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  ต้องลองชิมก่อนถึงจะรู้ว่าดีหรือไม่ ถูกไหม (ถูก)  แต่ถ้าเกิดของที่เรายังไม่ลองชิมเลย แต่เราปาหน้าคนทันที ดีไม่ดี (ไม่ดี) เพราะอะไร เพราะการปาหน้าคนไม่ดีใช่หรือไม่ แต่ถ้าตอนที่เราปานั้น เราเรียกชื่อแล้วเราตั้งใจจะให้ล่ะ แต่เผอิญเขาหันมารับไม่ทัน หน้าเขาโดนส้มเต็มๆ ดีหรือไม่ดี ก็ไม่ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  
เอาใหม่ ถ้าเปลี่ยนจากการปาให้เขาเป็นเลือกดีๆ แล้วยื่นให้ดีๆ ล่ะ  ดีใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำไมแบบนี้เราถึงดูออก แต่บางครั้งเรามีชีวิต เราว่าเรามีจิตใจที่ดี และเราก็ว่าเราพูดสิ่งที่ดีให้คน แต่ทำไมคนกลับบอกว่าไม่ดี บางครั้งเราบอกว่าจิตใจเราดีก็พอวิธีการช่างมันเถอะ เราให้ของคนอื่นไปวิธีไหน เราไม่สนหรอก เพราะเราให้ไปแล้วทำไมยังว่าฉันไม่ดีอีก เคยเป็นแบบนี้ไหม แล้วต่างอะไรกับส้มไหม แล้วบางที วิธีการให้ก็ดี ของที่ให้ก็ดีแต่ทำไมกลับโดนต่อว่า ว่าไม่เต็มใจ ไม่จริงใจ เคยไหม (เคย)  เราก็ทำดีก็แล้ว แต่ทำไมยังโดนคนว่าอีก ท่านเคยสังเกตไหม สมมติว่าส้มลูกหนึ่งเหมือนคำพูดคำหนึ่ง ถ้าเราพูดออกไปโดยไม่ทันคิดไม่ทันไตร่ตรองแล้วพูดโดยไม่มองหน้าคนที่รับ สิ่งที่เราไม่คิดไม่ไตร่ตรองนั่นแหละมักจะเกิดโทษเสมอ  แต่ถ้าเกิดอีกทางหนึ่ง เราพยายามดูส้ม กินส้ม อ้อ ส้มอร่อย ส้มดี ยื่นให้อย่างดีและนอบน้อม แต่บางคนกลับบอกว่าไม่เอา ไม่ชอบ เพราะอะไร เพราะมองแต่ตัวเรา มองแต่ตัวส้ม แต่ลืมมองตัวคนที่รับ เพราะสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุด บางครั้งอาจจะไม่ดีที่สุดสำหรับเขาเพราะเขาอาจจะเกลียดส้มก็ได้ จริงหรือไม่ (จริง)
คนบางคนใจดีพอ มีการให้ดีพอ แต่ลืมการขัดเกลาคำพูด หรือตรวจสอบคำพูด เวลาให้ไป เขาก็บอกว่า “มันให้ก็จริงแต่ดูเหมือนไม่จริงใจ เอาส้มเปรี้ยวๆ แถมแกนเน่าๆ มาให้” ใช่ไหม ฉะนั้นคำพูดบางครั้งเราพูดออกไปด้วยความหวังดี ด้วยความจริงใจ แต่ถ้าเกิดไม่ขัดเกลาคำพูดให้ไพเราะหน่อย คำพูดที่ให้ไปนั้นก็อาจจะฟังดูไม่ดีก็ได้ ก็เหมือนกับการให้ส้มหรือการให้ดอกไม้ สิ่งที่ดีแต่ถ้าให้ไม่ถูกวิธีการให้ก็อาจจะกลายเป็นไม่ดีได้ สิ่งที่ให้ไม่ตรวจสอบให้ดี ถึงแม้จะให้ดี ก็อาจจะกลายเป็นไม่จริงใจก็ได้ ใช่หรือไม่  (ใช่)  
ฉะนั้นเกิดเป็นคน ไม่ว่าจะพูด จะคิด จะทำอะไรก็ตามขอให้ตรวจสอบให้รอบคอบอย่ามองแต่ฝ่ายตรงข้ามว่า เราทำเต็มที่แล้วทำไมเขาถึงตอบกลับเรามาอย่างนี้ แต่บางครั้งเราต้องตรวจสอบสิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราให้ และสิ่งที่เรากระทำต่อเขาด้วยจริงหรือไม่ (จริง)  หรือเราตรวจสอบสิ่งที่พูดสิ่งที่ให้แล้ว อย่าลืมด้วยว่าภาวะของเขาเป็นอย่างไร การให้ถึงจะสัมฤทธิ์ผล เพียงการให้อย่างหนึ่งฟังแล้วยุ่งยากไหม ยุ่งยากใช่หรือไม่ แค่ให้ส้มหนึ่งผล เราก็ไม่ได้คิดอะไรในขณะที่ให้ไป ถ้าเราไม่หวังผลก็จบแล้วจบกัน แต่มนุษย์ส่วนใหญ่พอให้ไปแล้วมักหวังผล ฉะนั้นถ้าเราอยากหวังผลก็จงรู้จักตรวจสอบสิ่งที่ให้และสิ่งที่กระทำ และผลที่กระทำ จะได้ไม่ต้องเกิดปัญหา จริงหรือไม่ (จริง)
ฉะนั้นวันนี้เรามาพูดเรื่องปัญหา ดีไหม ในโลกนี้มีปัญหาร้อยแปดใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วปัญหาแต่ละอย่างบางครั้งก็ใช่จะแก้ได้ตก พอมีปัญหาก็ทำให้เราเกิดทุกข์ จริงหรือไม่ (จริง)  
ก่อนที่จะเข้าเรื่องปัญหาถามเรื่องหยุมหยิมหน่อยดีไหม (ดี)  บางทีเห็นท่านนั่งอยู่เฉยๆ เวลายุงมากัดรู้สึกเป็นอย่างไร (เจ็บ)  ตียุงให้ตายเลยไหม ยุงกัดนิดเดียวตีให้ตายไหม (ตี)  แล้วยุงไม่กัดเห็นยุงปุ๊บตีไหม (ตี)  ยุงกัดก็ฆ่าให้ตายยุงไม่กัดก็ (ตาย)  รู้สึกว่าตัวเราโหดร้ายไหม (โหดร้าย)  กัดแล้วตีเท่าไหร่ก็ตีไม่ได้ แค้นไหม (แค้น)  โมโหไหม (โมโห)  แถมยังมาวนเวียนกัดแล้วกัดอีก เราตามราวีถึงที่สุดไหม แค่ยุงตัวเล็กๆ นะสามารถดูจิตดูใจของเราได้เลย แค่กัดนิดเดียวเราก็ตีจนตาย จริงหรือเปล่า (จริง)  นับประสาอะไรกับสัตว์ที่เรากิน เราทั้งฆ่าแล้วกินทั้งตัว กระดูกก็เอา หนังก็เอา ใช่หรือไม่ แล้วอย่างนี้มันจะแค้นเราไหม (แค้น)  เอาทั้งตัว เอาทั้งชีวิต ขอไหม ไม่ขอ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ยุงมากัดเห็นๆ เรายังพอปัดได้  แต่พอมากัดเราตอนทีเผลอ เราตบมันตายเลย ใช่หรือไม่ แล้วสัตว์ล่ะ ถูกฆ่าแบบเห็นๆ ด้วย ฆ่าแล้วยังไม่ตาย ซ้ำอีกใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถามจริงๆ มันจะไม่แค้นหรือ (แค้น)  ไม่ต่างอะไรกับที่เราไล่ล่ายุงหรอกนะ จริงหรือไม่ เรารู้สึกแค้นยุงอย่างไร สัตว์ก็รู้สึกแค้นเราไม่ต่างกันหรอก ฉะนั้นอยากลดความแค้น อาฆาต พยาบาท ต้องรู้จักเบาบางเรื่องเนื้อสัตว์บ้างดีไหม
เวลาเราเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์มนุษย์มักจะขอให้ตัวเองมีสุขเยอะๆ อย่ามีทุกข์มาแผ้วพานใช่หรือไม่ (ใช่) แต่สิ่งที่เราขอเป็นสิ่งที่ฝืนธรรมชาติไหม (ฝืน) เพราะขึ้นชื่อว่ามนุษย์มีทุกข์เป็นธรรมดา ฉะนั้นอย่าขอในสิ่งที่ฝืนธรรมชาติ ถ้าขอจงขอให้ฟ้าดลบันดาลให้เรามีความอดทนเข้มแข็ง และกล้าหาญต่อสู้กับความจริงบนโลกใบนี้ไม่ดีกว่าหรือ จะบอกว่าขอให้ฟ้าให้ชีวิตนี้มีแต่สุขไม่มีทุกข์เป็นไปไม่ได้ และทุกข์ประการแรกที่เราเจอบ่อยๆ คืออะไร (ทุกข์จากการไม่รู้จักคำว่า “เพียงพอ”, พลัดพรากจากสิ่งที่รัก, ทุกข์จากเกิด แก่ เจ็บ ตาย)
ทุกข์ในโลกนี้มีหลายอย่าง บางอย่างเปลี่ยนแปลงได้บางอย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ฉะนั้นมนุษย์เราถ้าอยากจะเอาชนะทุกข์ หรือแก้ปัญหาแก้ทุกข์ให้ได้ เราจะต้องมองให้ออก มีปัญญารู้ตามให้เท่าทันว่า เรื่องที่เกิด เรื่องที่มากระทบใจนั้นเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ไหม อย่างท่านที่พูดว่าทุกข์จากเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราเปลี่ยนแปลงได้ไหม (ไม่ได้) เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้แต่เราทำให้ช้าได้ หรือทำให้ดีขึ้นแทนที่จะเป็นไวขึ้นได้ เราหยุดการเกิดได้ เราหยุดการตายได้ แต่ก่อนที่จะไปพูดเรื่องยากตรงนั้นเราขอพูดตรงนี้ให้จบก่อนนะ
มีทุกข์บางอย่างที่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้อย่างที่ท่านนี้พูดนั่นคือความคดโกง เราสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขตรงนี้ได้ เราอยู่ในโลกนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้กับคนที่ไม่โกง หรือจะหาแต่คนที่ซื่อสัตย์อย่างเดียวแล้วมาอยู่กับเรา ทำงานกับเรา บางครั้งเราก็รู้สึกรำคาญ ระหว่างฉลาดแต่โกง กับอีกคนซื่อแต่ชักช้าบางทีเราก็ยอมเลือกคนฉลาดใช่หรือไม่ (ใช่) ฉะนั้นถ้าอยากจะแก้ปัญหา เราจะต้องรู้ด้วยว่าเมื่อเราอยู่กับคน เราก็ต้องรู้จักช่วงใช้คนให้เป็น รู้ว่าเขาฉลาดและก็ง่ายที่จะโกง เราก็ต้องอุดรอยรั่วไม่ให้เขาโกง นี่แหละเรียกว่ากล้าที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งบางสิ่งที่เป็นทุกข์และเราแก้ไขได้
เราจะใช้คำว่า “อดทน” กับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในโลกนี้มีทุกข์ที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้คืออะไรบ้าง เกิดมาต้องแก่ แก่แล้วต้องเจ็บ เจ็บแล้วต้องตาย การยอมรับความจริงว่ามีเรื่องแก่เป็นเรื่องธรรมดา มีความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนและต้องเกิดกับทุกๆ คน เราจึงต้องรู้จักมีความอดทนยอมรับความจริง ฉะนั้นถ้าเราต้องฉลาดเท่าทันโลก มองออกว่าทุกข์ใดเป็นทุกข์เปลี่ยนแปลงได้ใช้ความกล้าเข้าไปเผชิญ แต่ถ้าทุกข์ใดเป็นทุกข์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราต้องรู้จักใช้ความอดทนเป็นตัวต่อกรเป็นตัวรับมือ
แต่ทุกข์มีแค่นี้เท่านั้นหรือ สิ่งที่เราจะพูดก็คือ มนุษย์มีทุกข์อีกอย่างหนึ่ง เคยได้ยินไหมว่าสามีภรรยาก็เหมือนช้าง สามีคือช้างเท้าหน้า ภรรยาคือช้างเท้าหลัง  หรือ สามีเป็นช้างเท้าซ้าย ภรรยาคือช้างเท้าขวา อันไหนถูก (อันแรก, อันหลัง)  มนุษย์มีความทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่นในบทบาทหน้าที่จนเกินไป นี่คืออย่างแรกที่เราจะบอก เกิดเป็นคนทุกคนมีหน้าที่ มีบทบาทที่ต้องรับผิดชอบแตกต่างกัน ถ้าทุกคนรับผิดชอบหน้าที่ได้สมบูรณ์ ก็ยากจะมีปัญหา แต่ถ้าเกิดรับผิดชอบหน้าที่อย่างสมบูรณ์แต่ยึดมั่นจนเกินไป ก็มีปัญหาได้เหมือนกัน ทำไมจึงมีปัญหา ถ้าในสังคมบอกว่า “ขึ้นชื่อว่าครอบครัวสามีต้องเป็นผู้นำ ภรรยาต้องเป็นผู้ตาม” ต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไปไหม  (ไม่)  บางครั้งสามีเป็นผู้ตาม ภรรยาเป็นผู้นำได้ไหม (ได้)  แต่บางคนรับไม่ได้ จริงไหม (จริง)  ขึ้นชื่อว่าผู้ชายต้องเข้มแข็งห้ามอ่อนแอ บางคนคิดว่าขึ้นชื่อว่าผู้หญิงต้องอ่อนแออย่างเดียว เข้มแข็งไม่ได้ จริงไหม (จริง)  บางทีเราเกี่ยงกับสามี “ทำไมคุณไม่นำ ทำไมต้องให้ฉันนำ”
ใช่หรือไม่ (ใช่)  “ทำไมคุณไม่ขยัน ทำไมต้องให้ฉันขยัน” จริงหรือเปล่า
เมื่อเรายึดมั่นในบทบาทของหน้าที่เกินไป ความทุกข์ก็เกิด ครอบครัวก็ไม่อบอุ่น หรือพูดอีกอย่าง ในการทำงานมีหัวหน้ากับลูกน้อง บางครั้งหัวหน้าใช้ลูกน้องไม่ผิด แต่เมื่อไรที่ลูกน้องคิดอหังการมาใช้หัวหน้า หัวหน้ารับไม่ได้ ใช่ไหม (ใช่)  แต่ถ้าเกิดหัวหน้าเป็นคนที่รู้จักอะลุ่มอล่วยในบางทีลูกน้องก็จะรักหัวหน้า จริงหรือไม่ (จริง)  หรือในอีกเหตุการณ์หนึ่ง เมื่อมีคนที่เป็นพี่กับคนที่เป็นน้อง บางครั้งคนที่เป็นน้องเล่นเกินไปลามปาม ถ้าพี่ยึดติด  แล้วว่าน้อง “รู้บ้างใครเป็นใคร แกเป็นน้องฉันเป็นพี่”  จากที่เล่นกันสนุกๆ ก็เกิดความบาดหมางเกิดปัญหา เพราะเรายึดมั่นถือมั่นในหน้าที่หรือบทบาทตัวเองจนเกินไป จริงไหม (จริง)  
ทำไมบางครั้งสามีกับภรรยาทะเลาะกันบ่อยๆ เพราะว่าภรรยาหาเงินเก่งกว่าสามี หรือสามีภรรยาหาเงินเก่งเท่ากัน แต่สามีใช้จ่ายฟุ่มเฟือยกว่าภรรยา เกิดวันนี้ช้างเดินพร้อมกันทั้งขาหน้าขาหลัง เรารับไม่ได้ เกิดการประท้วงอย่างนี้ได้ไหม (ไม่ได้)  กฎเกณฑ์มีได้แต่บางครั้งใช่ว่าเราจะฝืนกฎเกณฑ์ไม่ได้ และใช่ว่าเราจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ คนเราต้องมีทั้งเข้มแข็งและอ่อนแอเป็น เห็นสามีเข้มแข็งอย่างนี้ บางครั้งเขาก็อ่อนแอได้ ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ฉะนั้นเมื่อไรที่เขาอ่อนแอ เราต้องเข้มแข็งเพื่อประคับประคองให้ครอบครัวมีสุข  ถ้าเกิดวันหนึ่งภรรยาเข็มแข็ง วันนี้สามีจะยอมอ่อนบ้างจะเป็นอะไร เสียงเชิงชายไหม (เสีย)  ถ้าคิดว่าเสียปัญหาต้องเกิด จริงหรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราอยู่ในสังคม เราต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่และบทบาทที่เราเป็น แต่บางครั้งอย่ายึดมั่นถือมั่นจนกลายเป็นปัญหาหรือตัวเหตุให้เกิดความทุกข์ในครอบครัว หรือในสังคมระหว่างเพื่อนกับเพื่อน หรือสามีกับภรรยา หรือพี่กับน้อง วันหนึ่งพี่ไม่เป็นพี่ พี่อยากอ่อนแอแล้วมาอ้อนน้อง น้องด่าพี่ได้ไหม เราน่าจะเปลี่ยนเป็นปลอบใจ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
เคยคิดหรือไม่ว่า บางครั้งคนเราก็มีความสำคัญไม่เท่ากัน วันนี้พี่สำคัญ แต่วันหน้าพี่อ่อนแอพี่ยกให้น้องสำคัญ น้องก็น่าจะภาคภูมิใจ ไม่ใช่ถือโอกาสก็เลยกดเอาๆ ได้ไหม (ไม่ได้)  บางคนเข้มแข็งจนได้ที แล้วกดคนอื่นจนอ่อนแอ พอคนที่เข้มแข็งกลายเป็นอ่อนแอ คนอ่อนแอก็เลยถือโอกาสกดคนเข้มแข็งเลย ถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  
ฉะนั้นเราอยู่ในสังคม แม้มีบทบาทหน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบ แต่รับผิดชอบแล้วอย่ายึดมั่นจนตายตัว ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เรายึดมั่น บทบาทหน้าที่นั่นแหละอาจจะเป็นเหตุให้เกิดปัญหาได้ อย่าลืมว่าช้างอาจใช้เท้าหลังเดินบ้างก็ได้ เท้าหลังอาจมาอยู่ข้างหน้าบ้างก็ได้ หรือบางครั้งช้างอาจเดินพร้อมกันสี่ขาก็เป็นได้ (จริงไหม) จริง
ปัญหาที่สองอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนทุกคนมีความอายใช่หรือไม่ (ใช่)  มีใครอยากเป็นคนผิดไหม มีใครอยากเป็นผู้แพ้ไหม (ไม่มี)  มีใครอยากเป็นผู้ไม่รู้ไหม (ไม่มี)  ก็เพราะคำว่าไม่มีอันนี้จึงทำให้เกิดทุกข์จริงไหม (จริง)  
ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่าเราเดินผ่านโต๊ะตัวหนึ่ง แล้วเราเดินสะดุดจนแก้วบนโต๊ะนั้นตกลงที่พื้น เราจะพูดว่า “ใครนี่ไม่ระวังเลย เอาแก้วมาวางไว้ริมโต๊ะ” ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ในทางกลับกัน ถ้าไม่ใช่เราทำแต่เป็นลูกเรา ภรรยาเรา หรือเพื่อนเรา เดินชนแก้วแตกปุ๊บ เราพูดว่าอย่างไร “เธอเดินประสาอะไร ซุ่มซ่ามจริงๆ” ใช่หรือไม่ (ใช่)  เห็นไหมว่าเหตุการณ์นี้เป็นอย่างไร ถ้าเราเป็นผู้ทำ เราบอกปัดทันที แต่ถ้าเป็นคนอื่นทำ เราพยายามยัดเยียดให้เขายอมรับผิดให้จงได้จริงไหม เพราะมนุษย์ทุกคนไม่อยากผิด ไม่อยากพลาดใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เราบอกไว้ตั้งแต่ต้น ในโลกนี้มีใครไหมที่ไม่เคยผิดไม่เคยพลาดเลยในการดำเนินชีวิต (ไม่มี)  แล้วมีไหมในชีวิตที่เรารู้ทุกเรื่อง ไม่มีเรื่องใดที่เราไม่รู้เลย ไม่มีใช่หรือไม่  ฉะนั้นความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา แต่จิตใจที่รู้จักให้อภัยเป็นเรื่องของเทวดา รู้ไหม ไม่รู้ใช่หรือไม่
เรารู้แต่เพียงว่าถ้าเราทำผิดเราโทษคนอื่น เราโยนความผิดให้คนอื่น แต่พอคนอื่นทำผิด เราพยายามคะยั้นคะยอให้เขารับผิดให้จงได้ เช่นนี้แหละคือตัวที่ทำให้เกิดปัญหาจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นถ้าเกิดเราทำผิด เราละอาย เราขอโทษ และเรากล้ารับ คนนี้น่ายกย่องไหม (น่ายกย่อง)  และเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก ให้คนในครอบครัวและคนในสังคม เพราะเป็นคนที่กล้าทำและกล้ารับ แต่ถ้าเกิดว่าเราทำอะไรผิด เราเอาแต่หนี เราเอาแต่โยนให้คนอื่น เช่นนี้ถูกต้องไหม (ไม่ถูกต้อง)  แล้วลูกหลานก็จะเลียนแบบใช่หรือไม่ (ใช่)  คนที่ทำผิดแต่ไม่ยอมรับผิด คนนั้นคือคนที่น่ากลัว เมื่อเขาโยนให้คนอื่นได้หนึ่งครั้ง ต่อไปเขาก็สามารถทำผิดแล้วโยนให้คนอื่นได้จนชินเป็นนิสัยจริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นเวลาที่เห็นใครทำผิดทำพลาด ให้อภัยตัวเองได้ก็อย่าลืมให้อภัยผู้อื่นด้วย
ถ้าเกิดเรารู้จักให้อภัยและรู้จักยอมรับว่าทุกคนในโลกนี้ก็ผิดได้พลาดได้ เราก็คงไม่โกรธแค้นและไม่โทษผู้อื่น ปัญหาก็ยากเกิด อยู่ในครอบครัวในสังคมเดียวกันปัญหาที่เกิดบ่อยที่สุดก็คือ เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นไม่มีใครกล้ารับผิดชอบ ทุกคนต่างโยนความรับผิดชอบไปให้ (ผู้อื่น)
รู้สึกบรรยากาศช่างดูหงอยเหงาเสียนี่กระไร ฟังธรรมะกลับดูไม่กระปรี้กระเปร่า กลับดูหดหู่หม่นหมองขนาดนี้ อากาศร้อนเราเข้าใจ พออากาศร้อนก็เลยทำให้เวลานั่งฟังก็ดูยากลำบากใช่ไหม (ใช่) เราเคยได้ยินไหม ว่าถ้าเรามีใจ เราชอบ ร้อนอย่างไรเราก็ฟังได้สนุกสนาน แต่ถ้าตอนนี้ท่านไร้ใจเสียแล้วอากาศก็ร้อนฟังก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเลยยิ่งเบื่อใช่หรือไม่ (ใช่) เคยได้ยินไหมว่าเวลาอารมณ์ดีมองใครก็ยิ้มออกได้ มองฟ้าก็ดูสดชื่นแม้อากาศจะดูมืดมนขนาดไหน เราก็ยังสามารถเห็นได้แจ่มชัด แต่ถ้าเมื่อไหร่ใจเราขุ่นมัวห่อเหี่ยวเบื่อหน่ายท้อแท้ แม้ฟ้าจะสดใสแต่ใจมันก็มองให้สดใสไม่ออก แม้คนจะยิ้มให้ เราก็ยิ้มได้ไม่เต็มที่  ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างถึงที่สุดแล้วขึ้นอยู่กับใจของเรานะถ้าใจเราไม่เอา  ใจเราไม่รับแม้ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรดีขนาดไหนเราก็ไม่รู้เรื่อง แต้ถ้าตอนนี้ใจเรารับ ใจเราชอบ แม้ข้างหน้าจะยากลำบากขนาดไหน เราก็จะฝ่าฟันไปจนได้
ปัญหาอีกอย่างที่ทำให้มนุษย์เกิดทุกข์คืออะไรรู้ไหม “รักยากเกลียดง่าย” ถามสิว่าในตัวเรา ในหัวใจของเรามีสิ่งที่ไม่ดีของผู้อื่นมีเยอะกว่าสิ่งไม่ดีในหัวใจเรา สิ่งที่ไม่ดีของคนอื่นเราจำได้แม่นยำกว่าเรื่องที่ดีของผู้อื่นจริงหรือไม่ (จริง) เราเป็นคนที่รักอะไรยากแต่เกลียดอะไรได้ง่าย เราจึงมีทุกข์ง่ายเป็นเพราะฉะนี้แหละ เมื่อเราเกลียดใจมันก็ไม่สงบเมื่อเราไม่สงบมองอะไรมันก็ดูร้ายไปหมด เมื่อร้ายไปแล้วมันจะรู้สึกดีได้ไหม (ไม่ได้) พอมองใครก็เลยง่ายที่จะเป็นศัตรูมากกว่าเป็นมิตร แต่ในทางกลับกัน ถ้าเราเป็นคนเกลียดคนยากและพยายามมองอย่างเข้าใจ เราก็จะมีพลังแห่งความสุขคอยเติมอยู่ตลอดเวลา แล้วคนที่จะกลายเป็นศัตรูก็กลายเป็นมิตรจริงหรือเปล่า (จริง) ฉะนั้นเปลี่ยนแปลงหัวใจหน่อยนะ หัดจำแต่เรื่องดีๆ อย่าจำเรื่องไม่ดี หัดเก็บแต่สิ่งที่น่ารักอย่าเก็บสิ่งที่ไม่น่ารักไว้ในหัวใจเลย เพราะเรื่องที่เราจำได้ในหัวใจคือเรื่องไม่ดีมากกว่าเรื่องดีเสียอีกจริงไหม (จริง)
ความทุกข์อีกประการหนึ่งที่เรายังพูดไม่หมดนั่นก็คือ ทุกข์เพราะรัก  มีรักเมื่อใดมีทุกข์ที่นั่นใช่ไหม ฉะนั้นไม่รักใครเลยดีหรือไม่ (ไม่ดี)  อย่างนั้นเราจะรักอย่างไรไม่ให้ทุกข์ เคยไหมรักแล้วก็ห่วง ห่วงแล้วก็ระแวง ระแวงแล้วก็เป็นทุกข์ หรือรักแล้วห่วง ห่วงแล้วคาดหวัง คาดหวังแล้วก็กลุ้มกังวล ไหนมีใครในนี้รักถูกรักเป็นบ้าง มีไหม
คิดว่ารักอย่างไรดีที่จะทำให้เราไม่ทุกข์ (รักแบบมีสติ)  ปรบมือให้หัวหน้าหน่อยนะ แต่มีรักที่ใดก็มีหลงที่นั่นใช่ไหม ถึงสติจะมีมากขนาดไหน แต่บางครั้งความหลงก็บดบังตาใช่หรือเปล่า ยิ่งถ้าเกิดเขาน่ารักสมกับที่เรารักด้วยใช่ไหม อย่างนั้นรักอย่างไรล่ะ มีใครช่วยตอบได้อีก (รักแบบไม่เห็นแก่ตัว)  ปรบมือให้ท่านนี้หน่อยนะ บางคนพอรักแล้วอยากครอบครอง เขาต้องเป็นของเราคนเดียว เขาห้ามไปรักคนอื่น ห้ามไปห่วงคนอื่นใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นรักแล้วเราต้องใจกว้างในรัก รักแล้วเขาจะไปห่วง ไปรักคนอื่น เราก็ต้องปล่อยไป ห่วงจนหวงถึงที่สุดตามไปราวี ตามไปโวยวาย มันน่าดูไหม (รักแล้วต้องรู้จักให้อภัย)  รักแล้วจะไม่ทำให้เราเจ็บปวดก็คือ ถ้าเกิดคนรักทำในสิ่งที่เราไม่คาดคิด หรือไม่คิดว่าจะเป็น เราก็ต้องให้อภัย (รักให้พอดี)  พูดอย่างนี้เข้าใจพูดนะ แต่ทำจริงๆ ได้ไหม รักให้พอดีรักอย่างไร ไม่มากไป ไม่น้อยไปแต่กำลังดีใช่หรือเปล่า เป็นสิ่งที่ยากนะ (รักอย่างมีเหตุมีผล)  ไม่ใช่รักอย่างมืดบอดไม่รับฟังอะไรเลย
รักอย่างไรถึงจะดีและไม่ทำให้ตัวเองทุกข์ (รักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน) ทำได้หรือ ถ้าวันนี้เรารักลูก แต่ลูกไม่มาตอบแทนบุญคุณทนไหวไหม (ไม่ไหว)  ไหนบอกว่าไม่หวังผลตอบแทนไง บางครั้งก็ต้องทำใจนะ
รักอย่างไรที่ไม่ทำให้ทุกข์ มีใครตอบได้อีก (รักอย่างไม่หลง)  ฉะนั้นเวลารักเราต้องเห็นข้อดีข้อเสีย คนที่รักและมีสติก็คือมองเห็นเขามีดีและก็มีเสีย รักแล้วไม่หวังผล แม้ว่าถ้าเกิดเรารักเขาแล้ว เขาจะไม่รักตอบกลับมาเต็มอย่างที่เราเคยรักเขาก็ตาม มนุษย์ถ้าเกิดทำสิ่งใดแล้วไม่หวังผล นั่นก็คือการได้อบรมบ่มเพาะคุณธรรม ถ้าทำสิ่งใดแล้วหวังผลตอบแทนเสมอ นั่นคือคนที่ยังไม่ได้บ่มเพาะคุณธรรมในหัวใจนะ รักสามารถบ่มเพาะคุณธรรมเสียสละได้ ถ้าเกิดเรารักเขาแล้วเราไม่หวังผลว่าเขาจะรักตอบก็ไม่เป็นไร หรือเขาจะเกลียดตอบมา เราก็ยังให้อภัยและมีรักให้เสมอ ถ้าทำได้เช่นนี้นี่แหละสามารถบ่มเพาะคุณธรรมด้วยความรักได้ แล้วรักอันนี้ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเมตตากรุณาที่ยิ่งใหญ่ได้ ฉะนั้นความรักดีจริงหนอถ้ารักเป็นและรักให้ถูกทาง ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ฉะนั้นการศึกษาบำเพ็ญธรรม ขอให้รู้จักอบรมบ่มเพาะคุณธรรมด้วยการทำอะไรไม่หวังผลตอบแทน แม้สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีก็ตาม แต่ผลที่ได้แม้จะไม่ดี เราก็ยังรู้จักอดทนอดกลั้น และแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ดียิ่งขึ้น ถ้าทำได้เช่นนี้ นี่แหละคือการอบรมบ่มเพาะคุณธรรมในหัวใจ ทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ แต่เราทำได้ อดทนให้อภัยในสิ่งที่คนอื่นอดทนให้อภัยไม่ได้ แต่เราอดทนได้ แม้เรารักลูก แต่ลูกจะเกเรอย่างไรเราก็ยังมีความรักให้เสมอมา เรารักเพื่อนแม้เพื่อนจะทรยศขนาดไหน ก็ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมไม่โกรธไม่แค้น ถ้าทำได้เช่นนี้นี่แหละอบรมบ่มเพาะคุณธรรมในหัวใจนะ
ทุกข์อีกอย่างหนึ่งคืออะไรรู้ไหม เคยไหมเวลาสมหวังถูกลอตเตอรี่ หรือโชคดีแล้วเราสุขได้ไม่ตลอด เพราะว่าในหัวใจลึกๆ กังวลว่าใครจะมาขอเงินเรา ใช่หรือเปล่า (ใช่)  สุขนี้จะอยู่นานไหม นั่นก็คือเป็นคนชอบวิตกกังวลจนเกินไป และบางทีความวิตกกังวลกลัวมากจนเกินไปนี่แหละที่ทำให้เรานั้นไม่มีความสุขในชีวิตเลย เพราะมัวกังวลและหวาดกลัวจนเกินไป
วันนี้เรามาฟังธรรมเพื่ออบรมบ่มเพาะคุณธรรม ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นเราต้องรู้จักวีธีการดำเนินชีวิตให้เป็น ถ้าดำเนินชีวิตให้เป็นให้ถูกเราก็ได้บ่มเพาะคุณธรรมความดีไว้ในหัวใจ แต่มนุษย์โดยส่วนใหญ่นั้น สายตามักจะชอบจับผิดผู้อื่นมากกว่าที่จะจับผิดแก้ไขตัวเอง ชอบที่พยายามไปแก้ไขผู้อื่น มากกว่าแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวเอง ฉะนั้นถ้าเกิดมนุษย์เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง ด้วยการรู้จักเข้มงวดตัวเอง และพยายามมองหาสิ่งผิดในตัวเองอยู่ทุกๆ วัน ไม่มีเวลาที่จะไปเข้มงวดผู้อื่นหรือจับผิดผู้อื่น คนผู้นั้นความชั่วยากจะบังเกิดในหัวใจ คนผู้นั้นยากจะมีความไม่ดีฝังในจิตใจ เพราะทุกวันคอยสำรวจตรวจตราตัวเองอยู่เสมอๆ ไม่มีเวลาที่จะไปตรวจสอบวัดใครหรือเข้มงวดใคร มีสิ่งดีลบสิ่งร้าย ปัญหาจะเกิดขึ้นไหม ก็ไม่เกิดใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำอะไรรู้จักสุขุมรอบคอบและใจเย็น ปัญหาในชีวิตก็ย่อมยากเกิด ความทุกข์ที่เป็นพื้นฐานของชีวิตก็จะเบาบางและจืดจางลงได้ด้วยตัวเราเอง
วันนี้สิ่งที่ท่านได้ฟังขอให้กลับไปทบทวนบ้างนะ คนที่ไม่รู้เรื่องก็ยังไม่รู้เรื่องอยู่วันยังค่ำ จริงไหม (จริง)  งั้นเราถามท่านง่ายๆ นะ ถ้าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เราพอใจ และไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่ทำให้เราไม่พอใจ เราจะมีอะไรให้ต้องทุกข์ไหม ไม่มีใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่เพราะว่าเราอยู่ในโลกนี้มีสิ่งที่ชอบและสิ่งที่ไม่ชอบ เมื่อชอบก็ต้องมีทุกข์ เมื่อไม่ชอบก็ต้องมีทุกข์ ใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากหมดทุกข์ก็ต้องรู้จักหมดสิ่งที่ชอบและหมดสิ่งที่ไม่ชอบ ดีหรือไม่ (ดี)  ทำได้หรือเปล่า ไม่ได้ ใช่หรือไม่ ถ้าเราจะสรุปสิ่งที่เราพูดมาวันนี้ก็คือ อยากหมดทุกข์หมดโศกและหลุดพ้นจากโลกใบนี้ก็ไม่ยากเลย แค่รู้จักทำให้ไม่มีอะไรในโลกที่น่ายินดีและไม่มีอะไรในโลกที่ไม่น่ายินดี แล้วชีวิตนี้จะทุกข์อะไรเล่า ใช่ไหม (ใช่)  แต่เพราะมนุษย์เรายังรู้สึกดี ร้าย ได้ เสีย ทุกข์ สุขอยู่ในหัวใจเป็นประจำ ก็เลยเป็นธรรมดาที่ต้องมีทุกข์
ถ้าเกิดได้แอปเปิลหนึ่งลูก ดีใจไหม (ดีใจ)  แล้วได้อีกหนึ่งลูกดีใจไหม (ดีใจ)  สองลูกพอไหม (ไม่พอ)  ระหว่างไม่ได้แอปเปิลกับได้แอปเปิลอันไหนดีกว่ากัน (ได้แอปเปิล)  ระหว่างได้ลูกเดียวกับได้สองลูกอะไรดีกว่ากัน และระหว่างได้สองลูกกับไม่ได้เลยอะไรดีกว่ากัน ถึงที่สุดแล้วอย่างไรก็ยังมีความพอใจและความไม่พอใจอยู่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  
มนุษย์ทุกข์เพราะอะไรอีกเหตุหนึ่งรู้ไหม เพราะเปรียบเทียบ จริงไหม (จริง)  ถ้าเรารู้จักเปรียบเทียบเป็น การเปรียบเทียบนั้นจะไม่ทำให้เราเกิดทุกข์ แต่จะทำให้เรามีสุข เราลองคิดเสียว่าเรามีแอปเปิลก็ยังดีกว่าไม่มี ถ้าไม่มีแอปเปิลก็ดี ไม่ต้องถือให้เมื่อย มนุษย์ทุกข์เพราะเปรียบเทียบ รู้ไหม ถ้าเปรียบเทียบในสิ่งที่สูงกว่าก็จะยังทุกข์อยู่ร่ำไป แต่ถ้าเรารู้จักเปรียบเทียบสิ่งที่ต่ำกว่า เราก็จะไม่ทุกข์ บางทีจะเสมอตัวด้วยซ้ำไป จริงไหม (จริง)  
การเปรียบเทียบอะไรที่ทำให้มนุษย์ย่ำแย่ที่สุดรู้ไหม แย่ทั้งคนที่ถูกเปรียบและแย่ทั้งคนที่ถูกพูด (ความโลภ, ความรวย ความจน)  ความรวย ความจน เวลาเปรียบแล้วเรารู้สึกย่ำแย่จริงๆ หรือ (เปรียบเทียบกับคนอื่น)  ปรบมือให้ท่านนี้หน่อยนะ เขาตอบได้ถูกนะ สิ่งที่ทำให้รู้สึกแย่คือการเอาตัวเราไปเปรียบกับคนอื่น จริงไหม (จริง)  แล้วยกย่องคนอื่นมีค่ามากกว่าตัวเรา คนที่ถูกเปรียบเทียบก็แย่ คนที่พูดให้เราฟัง เราก็รู้สึกแย่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราก็ไม่รู้สึกดีด้วยว่าต้องเลียนแบบที่เขายกมา เรากลับรู้สึกต่อต้านและรังเกียจคนๆ นั้นทันที จริงไหม (จริง)  จากที่ไม่เคยเกลียดแต่พอมีคนเอามาเทียบกับเรา เราเกลียดเขาทันที และเรารู้สึกเกลียดคนพูดมากๆ เลย จริงหรือไม่ (จริง)  ฉะนั้นอยากทำให้คนย่ำแย่ ไม่ยากหรอก ไปเปรียบเขากับคนดีๆ สิ เขาจะรู้สึกแย่ทันที แล้วเกลียดคนที่พูดมากๆ ทันที ใช่ไหม (ใช่)  ฉะนั้นอย่าเปรียบเทียบ ถ้าเปรียบแล้วทำให้เกิดความร้าวฉาน เกิดปัญหา อย่าไปเปรียบเทียบ จงพอใจ คนทุกคนมีคุณค่า แต่คุณค่าต่างแบบเท่านั้นเอง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้าเปรียบเทียบเมื่อไรเราก็ช้ำใจเมื่อนั้น  แต่การเปรียบเทียบมีดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ตัวเราเองรู้จักเปรียบเทียบกับคนอื่นเอง เราจะไม่รู้สึกแย่ อย่างเช่นวันนี้เราทุกข์เพราะเราไม่มีเงิน เงินเราหาย แต่พอเราไปมองคนที่ยากจนขอทาน เปรียบเทียบแล้วเรารู้สึกดีขึ้นมาเลยว่าเราหายแค่หนึ่งร้อยเดี๋ยวเราก็หาใหม่ได้ ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้นถ้าเราเปรียบด้วยตัวเองยังรู้สึกดี แต่ถ้าเกิดคนอื่นมาเปรียบเรากับคนอื่น เรารับไม่ได้ รับไม่ไหว ใช่หรือไม่ (ใช่)  ฉะนั้น อย่าพูดเปรียบเทียบ เพราะคนพูดไม่น่าฟัง แล้วคนที่ได้รับก็รู้สึกไม่ดีด้วย จริงหรือไม่ (จริง)
การเปรียบเทียบ ถ้าตัวเรารู้จักเปรียบเทียบกับคนที่สูงกว่าและพยายามทำให้ดีเหมือนคนที่สูงกว่า เราก็มีกำลังใจ กับอีกแบบหนึ่งก็คือ ถ้าตอนนี้เรากำลังย่ำแย่ เราอย่าเอาคนสูงกว่ามาเปรียบ ไม่อย่างนั้นจะยิ่งแย่ใหญ่ เราต้องเอาคนต่ำกว่ามาเปรียบ ถ้าเปรียบแบบนี้ไม่เป็นทุกข์ แต่จะยังรู้จักสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นกับชีวิต แต่เปรียบเทียบอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมีในชีวิตและในครอบครัวก็คือ เรานั่นแหละเอาตัวเขาไปเปรียบกับคนอื่น เพราะคนฟังก็ไม่ชอบ และคนพูดก็ไม่ได้ดูดีในสายตาเขาด้วย และเขาก็ไม่ฟังการพูดในสายตาแบบนี้ จริงหรือเปล่า (จริง)  แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ชอบเปรียบเทียบ ลูกไม่ได้ดังใจ สามีไม่ได้ดังใจก็บอกว่า “ไม่เห็นเหมือนสามีบ้านนั้นเลย” “ทำไมลูกไม่ดีเหมือนบ้านนั้นเลย” ใช่ไหม (ใช่)  และลูกก็จะบอกว่า “แม่อย่าพูดเลยแค่แม่พูดหนูก็ไม่มีค่าแล้ว และแม่ก็ไม่มีค่าสำหรับหนูที่จะฟังด้วย” ฉะนั้นอย่าพูดแบบนั้นเพราะพูดแล้วทำให้เกิดปัญหาระหว่างกัน
วันนี้มาผูกบุญสัมพันธ์มาสนทนาธรรมกับท่านอาจจะยากไปสักนิดหนึ่ง บางท่านไม่เข้าใจเลยแถมไม่รู้เรื่องเลยก็มี เราว่าเรื่องที่เรามาพูดนี่เป็นเรื่องที่ง่ายแล้วนะ แต่ว่าความเมื่อย ความร้อน ความเหนื่อยอาจจะเป็นไปได้ที่เป็นตัวแปรทำให้ฟังไม่รู้เรื่อง เหนื่อยไหม (ไม่เหนื่อย)  ล้าไหม (ไม่ล้า)  ง่วงไหม (ไม่ง่วง)  รู้เรื่องไหม (รู้เรื่อง)  รู้ว่าอะไร การศึกษาธรรมหนึ่งศึกษาเพื่ออะไร เพื่อให้รู้จักนำธรรมะมาใช้ในการดำเนินชีวิตให้ถูกต้องให้พ้นทุกข์ ไม่ใช่เอาธรรมะมาใช้ในชีวิตแล้วยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่ เราศึกษาธรรมเพื่อหาวิถีทางพ้นทุกข์ให้กับตัวเอง และการศึกษาธรรมเพื่อลดกิเลส ความชั่วร้ายที่ไม่ดีที่แอบแฝงในตัวให้หมดสิ้นไป วิธีที่จะเพิ่มคุณธรรมแล้วกำจัดความชั่วร้ายได้นั้นคืออะไร ทำโดยไม่หวังผลคือการบ่มเพาะคุณธรรม รู้จักเข้มงวดตัวเองไม่เข้มงวดผู้อื่น รู้จักจับผิดตัวเองไม่จับผิดผู้อื่น นี่คือการชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีในหัวใจตัวเองมากกว่าที่จะไปคิดชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีในหัวใจใคร เป็นคนดำเนินชีวิตอย่างสุขุมเยือกเย็นแล้วก็รอบคอบไม่ว่าพูดไม่ว่าคิด รู้จักระมัดระวังเช่นนี้ปัญหาก็ยากเกิดในตัวเองและครอบครัว หากทำได้สามอย่างนี้ก็ถือว่าฟังธรรมไม่เสียเปล่าแล้ว แต่ถ้าเกิดสามอย่างนี้ยังไม่เข้าใจยังทำไม่ได้ พรุ่งนี้ตั้งใจฟังให้ดีกว่านี้ดีไหม (ดี)  ก็รู้นะว่ามันเป็นเรื่องยากแต่ชีวิตนี้ถ้าตามใจตัวเองเอาแต่รักสบายและปล่อยตัวเองเป็นอิสระโดยที่ไม่คำนึงถึงคนอื่น คนๆ นี้ก็สามารถสร้างปัญหาให้ผู้อื่นได้ ฉะนั้นเกิดเป็นคนทำอะไรขอให้สุขุมใจเย็นและรอบคอบ ความสุขุมใจเย็นและรอบคอบนี่แหละจะไม่ก่อทุกข์ให้กับตัวเองและทุกข์กับผู้อื่นใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วไม่ใช่ความโลภและความอยากที่ไม่รู้พอหรือที่ทำให้มนุษย์เราต้องวุ่นวายและลำบากไม่จบสิ้น
ถ้าวันนี้สิ่งที่เราพูดไปทำให้ท่านไม่กระจ่างชัด หรือกลับทำให้ท่านยิ่งเบื่อหน่าย เราก็ต้องขออภัยไว้ด้วย  วันนี้เราคงมาศึกษาธรรมร่วมกันแค่นี้นะ มีโอกาสคงได้มาผูกบุญสัมพันธ์กันอีก


วันอาทิตย์ที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๐    สถานธรรมฮุ่ยจื้อ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง


    วาจาเป็นเปลือกนอกของการกระทำ    การกระทำเป็นสาระของวาจา
ในศิษย์ที่สำรวมคำวาจา    ย่อมนำพาสำรวมการกระทำ
        เราคือ
    จี้กงอาจารย์เจ้า    รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดาผู้เมตตา    ลงสู่โลกมนุษย์ แฝงกายกราบ
องค์มารดาแล้ว        ถามศิษย์รักทุกคนนั่งหลับกันหรือเปล่า


    ท้าลองใจใช้ความดีกับสิ่งที่มีโดยความจริงใจ  นกรู้ไปหมด ปราบใจไม่ลดถือตนเป็นใหญ่  ช่างทุกข์หลายหนอ ไม่พอดีใจ เจียมตัวหัวใจได้พัก  สมองจะหนักยังไกลหัวใจ แต่ถึงจะเจ็บยังไกลหัวใจ  บำเพ็ญดีก็ได้ใช่ไหม  บำเพ็ญดีดีก็ได้ใช่ไหม  
    ท้าจริงใจไว้ครรลอง จะน่ามองดูเพลินเพลินไป  สังคมเป็นหมู่  กฎอยู่ร่วมรู้ถึงทำงานได้  พี่ดีมีน้อง  พี่น้อง ปรองใจ มีความเห็นใจเกื้อกูลกัน  ตอนคิดหยุดนิ่ง เมตตาสวนมา ความคิดจะนิ่ง  แกล้งทำหลงตา บำเพ็ญธรรมยุ่งยากใจไหม  จะบำเพ็ญกลัวยุ่งยากไปไหน
        เพลง : รอวันศิษย์ว่าง
        ทำนองเพลง : รอวันเธอว่าง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ในสีหน้าและท่าทางของศิษย์นั้น แสดงออกได้ถึงการที่เรามีความสุขในขณะนี้ นั่นย่อมหมายถึงตัวของทุกๆ คนนั้นมีความศรัทธาและมีใจอย่างเต็มที่ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ทว่าด้วยสภาพที่เป็นสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน ทำให้คนนั้นต่างกันอย่างมากมาย ศิษย์หลายๆ คนที่เป็นคนเก่าแล้ว ได้รับการเรียนธรรมะศึกษาธรรมะ สิ่งที่สำคัญกว่าการเรียนคือการนำไปปฏิบัติ
ศิษย์หลายคนมาจากเมืองที่เจริญ เวลามาอยู่ที่นี่ความเจริญดูเกินไปหรือเปล่า ในเมืองที่สงบๆ อย่างนี้ ความเจริญที่ศิษย์นำติดตัวมาด้วย เป็นสิ่งที่เกินหรือเปล่า (เกิน)  เพราะว่าที่นี่ไม่ต้องการ  เพราะฉะนั้นในขณะที่เราอยู่ในที่ต่างๆ ยิ่งเราไปหลายที่ เราไม่ใช่แค่ไป เราต้องไปอย่างคนที่ศึกษาและเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา สภาวะแวดล้อมต่างกัน บุคคลต่างกัน เรียนรู้ชีวิตคนอื่นเพื่อเติมเต็มชีวิตตัวเอง เข้าใจชีวิตคนอื่นเพื่อเข้าใจชีวิตตัวเอง ไม่ใช่มองชีวิตคนอื่นแล้วเกิดความสงสาร เพราะว่าคนที่สงสารคนอื่นนั้น แท้จริงแล้วตัวเองน่าสงสารที่สุด
ในเมื่อเรายังมองได้ไม่ชัดจึงจำเป็นต้องเปิดตาให้กว้างขึ้น เปิดตาให้กว้างขึ้นเพื่อมองอะไร ทุกวันนี้มองอะไรบ้าง มองทุกอย่างที่โอบกอดได้ ทุกอย่างที่เห็นได้ ทุกอย่างที่สัมผัสได้เป็นรูปธรรม  มองให้กว้าง เปิดตาให้กว้างขึ้น เพื่อมองให้ถึงข้างในตัวเอง โลกนี้มีกระจกไว้สำหรับส่องเงา ส่องภาพของเรา ใช่หรือไม่ (ใช่)  แล้วเราใช้อะไรสำหรับส่องชีวิตตัวเราเอง ในขณะที่ศิษย์ทั้งหลายมีสิ่งที่เรียกว่าเกินอยู่มากมาย แต่ในใจของศิษย์ก็มีสิ่งที่ขาดอยู่มากมายเช่นเดียวกัน ฟังแล้วขัดแย้งไหม (ขัดแย้ง)  เพราะฉะนั้นชีวิตจึงเป็นชีวิตที่สับสนและเป็นทุกข์ เพราะว่าในหนึ่งคนนั้นเกิดความขัดแย้งกันอย่างมากมาย
หลายๆ อย่าง ของคนที่นี่ ถ้าเราไปเทียบกับคนในเมืองที่เจริญทั้งหลาย เรารู้สึกว่าเรายังขาดอยู่เยอะแยะ ใช่หรือไม่ (ใช่)  แต่ในความขาดของเรานี้ เรารู้สึกว่าตัวเรามีสิ่งที่เกินไหม ในขณะที่รู้สึกเราขาดอย่างมากมาย แต่เราดิ้นรนน้อยกว่าคนที่อยู่ในเมือง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ชีวิตของเราก็เรียบง่ายและสุขสบายไปตามอัตภาพยิ่งกว่าคนเมือง
ในขณะที่เรารู้สึกว่าขาด จริงๆ แล้วเราขาดหรือเปล่า ถ้าเราขาดฟันไปซี่หนึ่ง เราขาดไหม (ขาด)  ถ้าเป็นคนเมืองรีบทำอย่างไร เขาก็รีบไปใส่ฟันปลอม ในขณะที่เราขาดฟันไปซี่หนึ่ง เรารู้สึกว่าเราขาดไหม (ขาด)  แต่เราก็ไม่ได้ใส่ เพราะว่าเราอาจจะไม่มีเงิน ใช่หรือไม่ (ใช่)  เรารู้สึกว่าเงินเป็นทุกอย่างของชีวิต เราจึงรู้สึกว่าชีวิตของเราขาดไป ใช่หรือไม่ (ใช่)  เงินให้ได้ทุกอย่างไหม (ไม่)  อย่างนั้นมีเงินเท่าที่มีอยู่ดีหรือเปล่า (ดี)  เพราะฉะนั้นเงินเท่าที่เรามีอยู่ก็อาจจะดีอยู่แล้ว จริงหรือไม่ (จริง)  ถ้าเรามีความต้องการมากเราก็อยากได้เงินมาก แต่ถ้าเรามีความต้องการน้อยเราก็ไม่อยากได้เงินมาก จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นเงินเท่าที่มีอยู่ดีหรือยัง (ดี)  ยังรู้สึกน้อยไปหน่อยหรือเปล่า  เราจนหรือเปล่า  คนที่รวยยังพูดว่าจนเลย โลกนี้ทุกคนเป็นคนจนใช่หรือไม่ (ใช่)  จนเพราะอะไร เรายิ่งอยากเราก็ยิ่งจน ถ้าหากว่าเราไม่อยาก เราก็ไม่จน  แล้วอยากจนหรือเปล่า (ไม่อยาก)  ก็เลยไม่ยอมรวยสักทีใช่หรือไม่ (ใช่)  เราต้องรู้ว่าตอนนี้เรามีอยู่เท่าไร
คนเราไม่ได้สำคัญว่าต้องทำอะไรเยอะๆ แต่ต้องรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ถ้าหากเรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ แม้ตอนนั้นเราไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เรารู้ตัวว่าทำอะไร เราย่อมไม่หายนะ ในขณะที่คนบางคนหางานทำยุ่งทั้งวันเลย เพราะถ้าว่างจะรู้สึกว่าชีวิตมันขาดอะไรไปสักอย่าง บางคนเป็นโรคชอบหางานทำทั้งวันเลย แต่ในขณะที่ทำงานเยอะๆ กลับไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เพราะฉะนั้นโลกนี้คำว่า ”พอดี” อยู่ตรงไหน (อยู่ที่ใจ)  แล้วใจอยู่ที่ไหน (อยู่ที่จิต)  แล้วจิตอยู่ที่ไหนล่ะ ใจหรือจิตก็อยู่ที่ตัวของเรา แต่ว่าอยู่ที่ตัวของเราแล้วเรามีตัวของเราหรือเปล่า ใจอยู่ที่ตัว แล้วตัวของเราอยู่ที่ไหน (อยู่ที่นี่)  ขณะที่เรานั่งฟังธรรมะ ใจลอยไปนับครั้งไม่ถ้วน ในหนึ่งชั่วโมงคิดกี่เรื่อง (หลายเรื่อง)  แสดงว่าใจเราไม่อยู่กับตัวเพราะฉะนั้นชีวิตนี้ก็เป็นชีวิตที่รู้สึกว่าเป็นทุกข์ใช่หรือไม่ (ใช่)  
ในขณะที่เรากำลังจน เราก็อยู่กับความจน ในขณะที่เรากำลังอด เราก็อยู่กับความอด ในขณะที่เรากำลังหิว เราก็อยู่กับความหิว ในขณะที่เรากำลังมี เราก็อยู่กับความมี ในขณะที่เรากำลังโกรธ เราก็อยู่กับความโกรธ ในขณะที่เราทำดี เราก็อยู่กับความดี ทำได้ไหม ทำไมอาจารย์พูดอย่างนี้ล่ะ พูดแล้วเหมือนงงๆ ไหม (งง)  ถามว่าเวลาเราโกรธเขา เราคิดอะไร ในขณะที่กำลังโกรธลูก เราไม่ได้คิดเรื่องโกรธ และเรื่องลูก แต่เรากำลังคิดไปถึงเรื่องอื่นด้วย เราอาจจะคิดไปถึงอนาคตของเขาด้วยถูกหรือเปล่า (ถูก)  ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ใจของเราก็เลยคิดไปเรื่อยๆ แม้ว่าลูกจะอยู่ตรงหน้า แต่อยู่ก็เหมือนไม่อยู่
ในขณะที่เรากำลังทำดีให้คนอื่น เรากำลังมอบสิ่งที่ดีๆ ให้คนอื่น กำลังช่วยเหลือคนอื่น ในขณะนั้นเรารู้สึกอย่างไรบ้าง ใจของเราไม่สงสัยในความดีนั้นๆ เลยใช่หรือเปล่า (ใช่)  เราให้เงินคนอื่น เราไม่รู้สึกว่าเขาจะเอาเงินของเราไปทำอะไรเลยจริงหรือเปล่า (จริง)  ให้เงินไปร้อยหนึ่ง คิดไหมว่าเขาจะเอาเงินของเราไปทำบุญหรือเปล่า คิดไม่คิด (ไม่คิด)  สมมติว่าให้เงินไปพันหนึ่งคิดไม่คิด (คิด)  แสดงว่ามนุษย์ยอมเสียหายเล็กน้อย แต่ว่าถ้าเสียเยอะๆ ยอมไม่ยอม (ไม่ยอม)  ชีวิตนี้ยิ่งกอบโกยผลประโยชน์เท่าไร ชีวิตของตัวเองข้างในก็ยิ่งพร่อง ยิ่งขาดมากเท่านั้น หากว่าเราให้คนอื่นมากเท่าไร ชีวิตของเราก็จะเติมเต็มและสมบูรณ์มากขึ้นเท่านั้น
ทุกวันนี้ถามว่าชีวิตพอดีหรือยัง (ยัง) เมื่อไม่พอดีก็ไม่พอใจ เมื่อไม่พอใจจะมีความสุขได้ไหม (ไม่ได้) อยากมีความสุขไหม (อยาก)  ทำอย่างไรดี หลังจากวันนี้กลับไปแล้วทำตัวเหมือนเดิม ถามว่าชีวิตจะพอดีขึ้นไหม (ไม่)  เพราะฉะนั้นการนั่งฟังธรรมะสองวันนี้จึงไม่ใช่ประโยชน์หลัก แต่ประโยชน์หลักอยู่ที่เรากลับไปทำ เราทำได้มากเท่าไร เราก็ย่อมได้ดีมากขึ้นเท่านั้น หากว่าเราไม่ทำ เราย่อมไม่ได้  สำหรับผู้ปฏิบัติงานธรรมหรือคนที่ทำหน้าที่บุกเบิกงานธรรม การประชุมธรรมสองวันนี้ก็ไม่ใช่ประโยชน์หลัก ประโยชน์หลักอยู่ที่นักเรียนเปิดใจบ้าง แล้วศิษย์นั้นไปส่งเสริมให้เขาศึกษาเพิ่มมากขึ้น ประโยชน์หลักอยู่ที่การทำให้เขาเข้าใจชีวิตตัวเอง แต่หลักจริงๆ คือการที่ให้ศิษย์เข้าใจชีวิตตัวเอง ต้องมองคนอื่นแล้วมาย้อนดูตัวเรา ยิ่งในบุคคลในสถานที่ที่ต่างๆ กันออกไป ยิ่งมีประโยชน์มากยิ่งขึ้น ทำให้เรานั้นเห็นชัดมากยิ่งขึ้นเพราะว่าเราได้เห็นความแตกต่างที่ต่างกับเรามากยิ่งขึ้น เหมือนสีขาวกับสีดำ เมื่อซ้อนกันจะเห็นได้ทันทีว่านี่คือความแตกต่าง ฉะนั้นเมื่อไปในสถานที่ที่แตกต่างกัน รับกับความลำบากที่เราไม่เคย เพื่อให้เรานั้นได้เข้าใจชีวิตคนอื่น สุดท้ายก็เพื่อให้เรานั้นได้เข้าใจชีวิตของตัวเอง อย่าไปเพียงเพื่อเรียนรู้งาน แต่จงไปเพื่อรู้จักตัวเอง ไม่เช่นนั้นการบำเพ็ญธรรมสิบปีผ่านไปก็อาจจะไร้ประโยชน์ได้
วาจาเป็นเปลือกนอกของการกระทำ      การกระทำเป็นสาระของวาจา
ลองนึกถึงกล้วย มีเปลือกมีเนื้อ วาจาเป็นเปลือกนอก แล้วการกระทำก็เป็นเนื้อของอะไร  การกระทำก็เป็นสาระของวาจา เวลาที่เรามีเรื่องราว เรามักจะพูด จริงหรือไม่ (จริง) ไม่ว่าจะที่บ้านมีเรื่อง เพื่อนบ้านมีเรื่องใดๆ ก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเรา เมื่อมีเรื่อง เรามักจะชอบพูด แต่ในขณะที่ในคำพูดจริงๆ ที่ควรจะพูดเรากลับไม่พูด คนที่ทำอย่างอันแรกคือพูดอยู่ตลอดเวลา ใครมีเรื่อง ใครมีอะไรก็พูดๆๆ  อย่างนี้เรียกว่าไม่สำรวม การสำรวมคำวาจา ก็ทำง่ายๆ ด้วยการพูดให้น้อยลงและพูดในสิ่งที่ดีมากขึ้น เรารู้ไหมเวลาเราพูดไม่ดีเป็นอย่างไร เวลาเราพูดไม่ดีเรามักพูดด้วยเสียงที่กระซิบและทุ้มต่ำจริงหรือเปล่า (จริง) ถ้าหากว่าให้นินทาคนอื่นออกไมค์กล้าไหม (ไม่กล้า)  ฉะนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องพูดในสิ่งที่ดีมากขึ้นพูดน้อยลงและพูดในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญ
สมมติว่า สามีที่บ้านโกรธ พ่อโกรธหรือแม่โกรธ ไม่ว่าจะโกรธกันแล้วใครผิดใครถูก สิ่งที่เราควรจะพูดมากที่สุดคือคำว่า (ขอโทษ)  พูดไม่พูด พูดอย่างอื่นเยอะแยะเลยยกเว้นคำนี้คำเดียวจริงหรือไม่ (จริง) เวลาภรรยาทำกับข้าวอร่อยๆ กว่าจะชมออกมาได้ก็พูดอย่างอื่นเยอะแยะเลย พูดคำว่าอร่อยไหม (ไม่)  เพราะฉะนั้นให้พูดสาระสำคัญแล้วน้ำพูดให้น้อยๆ ดีหรือไม่ (ดี)
บางคนอารมณ์ดีแต่ก็พูดกันจนอารมณ์เสียเลย เคยทำหรือเปล่า (เคย) แสดงว่าเราพูดกันยังไม่ดีพอใช่หรือไม่ (ใช่)  ในขณะที่กำลังพูดกันดีๆ อารมณ์ดีๆ ถึงแม้ว่าจะมีความจริงบางอย่างที่จำเป็นและสำคัญมาก จะต้องพูดให้ได้ ในขณะที่เขากำลังอารมณ์ดีอยู่นั้น เราควรพูดไหม ไหนใครว่าควรยกมือขึ้น ความจริงบางเรื่องนั้นเป็นคำพูดที่พูดแล้วโมโหทันทีเลย เราควรพูดหรือเปล่า (ไม่ควร) ถ้าหากว่ายังอยากอยู่กันอย่างมีความสุข บางทีความจริงบางเรื่องพูดได้ไหม (ไม่ได้)  มีความจริงบางอย่างในใจของศิษย์ทุกๆ คน ที่ไม่ได้พูดมาเป็นปีๆ จริงไหม (จริง)  เพราะฉะนั้นความจริงบางทีก็จำเป็นต้องเก็บ เมื่อเราจำเป็นต้องพูด เราต้องพูดอย่างไร (พูดให้เป็น)
วิธีพูดมีตั้งหลายอย่าง เคยมีใครพูดอ้อมๆ บ้าง  สมมติว่าจากตรงนี้เดินไปตรงโน้นใช้ระยะทางห้าเมตร แต่อาจารย์ก็เดินอ้อมไปกว่าจะถึงตรงโน้นประมาณแปดเมตร ถามว่าตรงไปห้าเมตรถึง แต่อาจจะถูกตีหัวไปสองครั้ง กับเดินอ้อมไปแปดเมตรแล้วไม่มีใครบาดเจ็บเลย เอาอย่างไร (เดินอ้อม)  ถึงเป้าหมายเหมือนกันหรือเปล่า (เหมือนกัน)  แต่ว่าส่วนใหญ่เรามักเป็นพวกปากตรงกับใจ มีอะไรก็พูดหมด จริงหรือเปล่า (จริง)  แล้วเจ็บตัวไหม ทุกข์ไหม เวลาเราโกรธเขา เราทุกข์หรือเปล่า (ทุกข์)  เวลาเขาโกรธเรา เราทุกข์หรือเปล่า (ทุกข์)  อะไรทุกข์กว่ากัน ในความเป็นจริงแล้วทุกข์ทั้งคู่ แต่เขาโกรธเราทุกข์กว่า จริงไหม (จริง)  ถ้าเราโกรธเขา โกรธอย่างชนิดไม่มองหน้าเขาเลย ทุกข์เหรอ เห็นคนที่ถูกเมินหน้าหนีคนนั้นทุกข์กว่า จริงหรือไม่ (จริง)  เวลาเราโกรธเรามักไม่มีความทุกข์หรอก เพราะว่าเราใช้อารมณ์ แต่คนที่เราโกรธนั้น เขาเป็นทุกข์มากกว่า ฉะนั้นเป็นคนที่เรียนธรรมะแล้ว ควรจะโกรธกันหรือเปล่า (ไม่ควร)  
ในคนที่สำรวมคำวาจา ย่อมนำพาสำรวมอะไร คำพูดเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำ เมื่อเราพูดน้อยลงและพูดดีขึ้น แสดงว่าเรานั้นได้สำรวมคำวาจาแล้ว เมื่อเราได้สำรวมคำวาจาแล้ว ก็เท่ากับเราสำรวมอะไรด้วย (การกระทำ)  เพราะฉะนั้นคนที่อยากจะมีการกระทำความพฤติกรรมที่ดีขึ้น ควรจะเริ่มต้นจากการสำรวมคำวาจา เพราะว่าคำพูดนั้นเป็นสิ่งที่เราพูดทั้งวัน พูดตลอดเวลา ดีก็พูด ไม่ดีก็พูด ถูกก็พูด ผิดก็พูด รู้ก็พูด ไม่รู้ก็พูด พูดอยู่ตลอดเวลา ถามว่าดีหรือเปล่า (ไม่ดี)  ที่กลัวคือคนที่อดพูดไม่ได้ เมื่อพูดน้ำไหลไฟดับ การกระทำของเราก็ดูเป็นคนที่ไม่สำรวม
ฉะนั้นเราต้องสำรวมคำวาจามากขึ้นทำได้ไหม สำรวมคำวาจากับเงียบเหมือนกันไหม (ไม่เหมือน)  ถ้าเราเงียบไปเลย ไม่ยอมพูด
ยอมจาเป็นคนมีปัญหาหรือเปล่า (มี)  อาจารย์ถามว่าวันนี้อาจารย์มา ถ้าอาจารย์ถามแล้วศิษย์เงียบ ศิษย์มีปัญหาหรือเปล่า เพราะฉะนั้นวันนี้เวลาอาจารย์ถามอะไร ถ้าตอบได้ต้อง (ตอบ)  ยังมีคนเงียบอยู่เลย ตอบได้ก็ต้องตอบ ตอบผิดเป็นไรไหม (ไม่เป็น)  ตอบผิดไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ตอบเป็นคนมีปัญหาใช่หรือเปล่า (ใช่)  ถ้ามีคนคุยด้วย แล้วเราไม่ยอมคุย มีปัญหาหรือเปล่า (มี)  บางคนฝึกการเงียบมานาน คนเงียบน่ากลัวไหม (น่ากลัว)  คนเงียบเวลาพูดน่ากลัวใช่หรือเปล่า (ใช่)  เพราะฉะนั้นก็พูดบ้าง ไม่พูดบ้าง พูดให้น้อยลง แต่พูดให้ดีขึ้น ไหนพูดตาม “พูดให้น้อยลง แต่พูดให้ดีขึ้น” ทำได้ไหม (ได้)  
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนในชั้นว่านั่งหลับหรือเปล่า นักเรียนตอบว่าไม่หลับ)  พูดเร็วไปก็ขาดทุนไปนิดหนึ่งใช่หรือไม่ (ใช่)  เวลาพูดว่าไม่หลับพูดความจริงหรือเปล่า คนเราจำเป็นต้องพูดความจริงหรือไม่ (จำเป็น)  ถ้าเป็นความจริงที่ทำร้ายจิตใจผู้อื่นจำเป็นต้องพูดไหม (ไม่จำเป็น)  พูดเร็วกับพูดช้าอะไรเหมาะสมกว่ากัน บางคนกลัวขาดทุนก็จะพูดช้า พูดเร็วไปก็ขาดทุนใช่หรือไม่ (ใช่) เพราะฉะนั้นพูดเร็วหรือพูดช้าดีกว่ากัน (พูดให้พอดี)
(พระอาจารย์เมตตาให้นักเรียนนั่งลงพร้อมๆ กัน)
ความพร้อมใจเป็นเรื่องทำยากหรือเปล่า (ยาก)  เราเร็วเกินไปหรือเราช้าเกินไปได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ถ้าเรารู้คนอื่นไม่รู้ได้หรือเปล่า (ไม่ได้)  ถ้าเรารู้คนอื่นไม่รู้ก็ทำได้ไม่พร้อมกัน ถ้าเราไม่รู้แต่คนอื่นรู้ก็ทำได้ไม่พร้อมเช่นกัน เพราะฉะนั้นเวลาทำอะไรถ้าอยากให้พร้อมกัน ก็จำเป็นที่จะต้องเข้าใจเหมือนกันใช่หรือไม่ (ใช่)  
การที่จะมีใครสักคนหนึ่งรู้ว่าตัวเองเป็นคนช้า หรือการที่จะให้ใครสักคนรู้ว่าตัวเองเร็วไปแล้ว ยากหรือไม่ยาก (ยาก)  การที่เราอยู่กับตัวของเราคนเดียวเป็นเรื่องง่ายมาก เราจะทำอะไรจะเร็วจะช้าก็ได้ แต่ชีวิตนั้นไม่ได้มีแค่เราคนเดียว จริงหรือไม่ (จริง)  การที่เราจะให้คนนั่งพร้อมกัน คนไหนเป็นคนช้า เขาจำเป็นต้องรู้ตัว ใช่หรือเปล่า (ใช่)  แต่ว่าคนเรานั้นรู้ตัวกันง่ายไหม (ไม่ง่าย)  ต้องอาศัยความอดทนอย่างมาก ต้องอดทนซึ่งกันและกันใช่หรือไม่ (ใช่)  การทำให้คนเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน ต้องให้เวลากับคนอื่นด้วย เพราะฉะนั้นการจะทำอะไรให้พร้อมกันจึงเป็นเรื่องยากมาก ในครอบครัวอยากจะให้คิดเหมือนกัน ให้ดีเหมือนกันทำได้ไหม (ไม่ได้)  คนเกิดมาแตกต่างกัน มาตรฐานคนไม่เท่ากัน การที่จะให้งานธรรมะดำเนินไปในทิศทางเดียวกันและพร้อมเพรียงกัน ยิ่งเป็นเรื่องที่ยาก ใช่หรือไม่ (ใช่)
บางทีเวลาเราเห็นคนอื่นนั้นไม่รู้หรือไม่เข้าใจ เขาตามไม่ทัน ถ้าหากในกรณีนี้ ลุกยืนหลายทีแล้วก็ยังไม่พร้อมกัน เราจำเป็นที่จะต้องทำเป็นแกล้งเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง ทำได้ไหม (ได้)  คนอื่นเห็นเราเป็นคนโง่ แล้วเราจะแกล้งไม่เห็นบ้างได้หรือเปล่า (ได้)  โลกนี้มีคนโง่อยู่กี่คน โลกนี้ไม่มีคนโง่เลย มีเราเป็นคนโง่อยู่คนเดียว เพราะเขาเห็นเราเป็นคนโง่  นั่นเป็นเกียรติอย่างสูง  จริงหรือเปล่า (จริง)  ถามว่าตัวเองโง่ไหม ก็ไม่โง่ แล้วใครยอมรับว่าตัวเองโง่บ้าง (ไม่มี)  เพราะฉะนั้นโลกนี้จึงมีแต่คนฉลาด ถ้ามีใครสักคนหนึ่งมาเห็นเราเป็นคนโง่ เรารู้สึกอย่างไร ทำอย่างไร เราจะไปเถียงกับเขาแล้วบอกว่าเราไม่โง่ อย่างนี้ก็โง่กันเข้าไปใหญ่เลย จริงหรือไม่ เพราะฉะนั้นถ้าคนอื่นเห็นเราเป็นคนโง่ ให้คิดไว้ในใจว่าเป็นเกียรติอย่างสูงที่เขาอุตส่าห์ให้เรานั้นเป็นแขกรับเชิญโง่ในคราวนี้ คิดได้อย่างนี้มีความสุขไหม (มีความสุข)  สามีก็ชอบเห็นภรรยาโง่ ภรรยาก็ชอบเห็นสามีโง่ จริงหรือเปล่า (จริง)  พ่อแม่ก็เห็นลูกโง่ ถูกหรือเปล่า (ถูก)  ลูกก็เห็นพ่อแม่โง่ จริงหรือเปล่า  (จริง)  เป็นอย่างนั้นจริงๆ
เพราะฉะนั้นคนในโลกนี้ทุกคนล้วนแต่คิดว่าตัวเองฉลาด คนโง่ในโลกนี้จึงมีอยู่ไม่กี่คน คนที่ยอมรับว่าตัวเองโง่ คนนั้นจึงเป็นคนที่ฉลาดอย่างแท้จริง เรามีสิทธิ์โง่ไหม (มีสิทธิ์)  ในขณะที่อยู่ในที่ๆ ต่างจากเดิมไป เราย่อมเป็นคนโง่ในทันที เช่น ถ้าหากว่าเราอยู่กรุงเทพฯ เป็นคนทำงานบริษัท แต่ให้ไปทำนาวันนี้ เราโง่ไหม (โง่)  เมื่อสถานที่เปลี่ยนไปเราจึงเป็นคนโง่ได้ในทันที ฉะนั้นจงอย่าทำตัวเป็นคนฉลาดตลอดเวลา เพราะการเป็นคนฉลาดตลอดเวลามันเหนื่อย แต่อย่าทำตัวเป็นคนโง่ พูดอะไรกันไม่รู้เรื่อง เมื่อถึงทีที่จำเป็นจะต้องรู้ ก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ การเรียนรู้จึงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในมนุษย์ทุกๆ คน เพราะว่าทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา แต่เรามักเอาใจที่หยิ่งผยองและทะนงอวดฉลาดไปเรียนรู้เสมอ จึงทำให้เรานั้นไม่รู้
ไม่รู้ศิษย์ของอาจารย์จะรู้สึกอย่างไรบ้าง เมื่ออาจารย์สอนให้ศิษย์เป็นคนโง่ ศิษย์จะมองว่าอาจารย์เพี้ยนหรือไม่  อาจารย์ถามใหม่ โลกนี้เพี้ยนหรือเปล่า (เพี้ยน)  เรื่องบางเรื่องควรที่จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่คนก็คิดไปอีกอย่างหนึ่ง ใช่หรือไม่ (ใช่)  ทำดีให้กันคนก็คิดเป็นว่าเรานั้นหวังผล เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วโลกนี้มันเพี้ยนมาก โลกเพี้ยนมากก็เพราะคนเพี้ยนมาก ในขณะที่มีความเพี้ยนอยู่ทั่วไปหมดนี้ เราจะทำตัวเป็นคนปกติดีหรือเปล่า เราจำเป็นต้องทำตัวเป็นคนที่มีธรรมอยู่เสมอ  เพราะว่าความมีธรรมทำให้อยู่ตรงกลางระหว่างความเพี้ยนและความดี ธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่ให้อะไรคนมากมาย ธรรมะมีอยู่ทั่วไปหมด ฉะนั้นในการที่เราฟังธรรมะในสองวันนี้ จริงๆ แล้วเป็นการฟังในสิ่งที่เป็นปกติและธรรมดาที่ขาดหายไปในมนุษย์ การที่เรานั้นจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราอีกสักครั้งหนึ่ง จึงจำเป็นที่จะต้องออกแรงมากกว่าปกติ ใช่หรือไม่ (ใช่)
ที่ว่า “พอดี” ในโลกนี้เป็นสิ่งที่พูดยากมาก ไม่เหมือนไม้บรรทัดที่วัดได้สิบเซนติเมตร. ห้าเซนติเมตร. ตรงกลางอยู่ตรงไหน สามารถบอกได้ทันที จริงหรือไม่ (จริง)  แต่ชีวิตของเรานั้นตรงไหนเป็นสิ่งที่พอดีบอกได้ไหม (ไม่ได้)  เวลาภรรยาโมโหมาก แล้วเรายังพูดว่าอะไรถูกต้อง ได้ไม่ได้ (ไม่ได้)  เวลาที่เราพูดแล้วเขาฟังเราไม่เข้าใจ แล้วเรายังฝืนพูดต่อไปๆ มันพอดีไหม (ไม่พอดี)  ถามว่าเขาเกินหรือเราเกิน (เราเกิน)  ใช่หรือไม่
อะไรที่บอกศิษย์ได้ว่าอะไรคือความพอดี (ตัวเราเองจะเป็นผู้ที่กำหนดได้ว่าอะไรคือความพอดี)  ทุกวันนี้มันวุ่นก็เพราะตัวเรากำหนดจริงหรือไม่ (จริง)  (การกระทำของเรา, ความรู้สึก, กาลเวลา)  ในทุกๆ ที่ที่มีปัญหามีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันเลยคืออะไร ก็คือตัวเรา จริงหรือเปล่า นอกจากต้องคุมคำพูดของเราให้น้อยลง นอกจากต้องคุมการกระทำของเรา คุมความรู้สึกของเรา คุมจิตใจของเรา ทุกๆ อย่างที่พูดมาเป็นของเราทั้งหมดเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  อยากจะพอดีมากขึ้นก็ต้องเอาคำว่า “ของเรา” ทิ้ง แปลว่าอยากจะพอดีมากขึ้นก็จำเป็นจะต้องมีตัวเราน้อยลง ในจิตใจของเรามีอะไรบ้าง ในจิตใจของเรามีความคิด มีจิตใจ มีความรู้สึกและมีอารมณ์ใช่หรือไม่ (ใช่)  ถ้าเอาสิ่งเหล่านี้ออกไปจากใจให้หมดแล้ว ใจของเรานั้นจะเป็นมโนธรรมมากขึ้น ตามทันไหม สมมติว่า วาดวงกลมไว้สักอันหนึ่ง มีความคิด จิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก รู้สึกท้อ หวั่นไหว อ่อนแอ เหนื่อย เกลียด โกรธ รัก โลภ ความคิดอันมีเหตุผลเป็นที่ตั้ง มีความคิดอันมีอวิชชาเป็นที่ตั้ง มีความคิดอันบิดเบี้ยวเข้าข้างตัวเองเป็นที่ตั้ง มีความคิดเข้าข้างพวกพ้องของตัวเอง มีความคิดเห็นแก่ประโยชน์ต่างๆ เป็นที่ตั้ง ไม่ว่าประโยชน์นั้นจะเป็นประโยชน์เพื่อเราหรือเพื่อกลุ่มก็ตามเอาสิ่งเหล่านี้ออกไปจากใจเรา เราก็จะเป็นกลางมากขึ้น ทำได้ไหม (ทำได้)
การบำเพ็ญธรรมเพื่อไปสู่ความหลุดพ้นนั้น เป็นระยะทางที่ยาวไกลมาก จะไกลมากน้อยแค่ไหนย่อมขึ้นอยู่กับบุคคลนั้นๆ จะกำหนดเอง เมื่อเราบำเพ็ญมาก ระยะทางที่ไปถึงก็ใกล้ลง เมื่อเราบำเพ็ญน้อย ระยะทางที่ไปถึงก็ยาวขึ้น แต่ทุกๆ คนย่อมมุ่งไปสู่ความหลุดพ้นทั้งสิ้น ไม่ว่าศิษย์ของอาจารย์ในชาตินี้ ในปัจจุบันนี้ คิดว่าตัวเองอยากจะหลุดพ้นหรือไม่ก็ตาม สักวันหนึ่งศิษย์ของอาจารย์ก็จำเป็นที่จะต้องไปสู่ความหลุดพ้นทั้งสิ้น แต่ว่าเมื่อเรารู้ตัว เราจำเป็นที่จะต้องกำหนดให้สั้นลงเรื่อยๆ ต้องเอาชนะตัวเองให้มากขึ้น ต้องกำจัดกิเลสของตัวเองให้มากขึ้น เพื่อให้เรานั้นได้เดินบนเส้นทางที่สั้นลง ทำไมต้องสั้นลงด้วย เพราะศิษย์ทุกๆ คนนั้น ไม่ใช่แค่มีหน้าที่ที่จะช่วยตัวเองเท่านั้น ศิษย์ยังมีหน้าที่ที่ต้องช่วยคนอื่นด้วย
ฉะนั้นเรื่องในโลก ปัญหาในโลก ความขัดแย้งในโลก ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ปัญหาปากท้องกินอยู่ ปัญหาอยากจะได้นั่น อยากจะได้นี่ ปัญหาอยากจะได้ความรักจากคนนั้นคนนี้ หรือใดๆ ก็ตาม มันแบ่งให้จิตใจของเราต้องเดินทางที่ยาวขึ้น เมื่อรู้ตัวก็จำเป็นที่จะต้องตัดทอนกิเลสเหล่านั้นให้น้อยลงเรื่อยๆ เพื่อศิษย์จะได้มีเวลาไปช่วยคนอื่นมากขึ้น อย่างนี้จึงเป็นพุทธะได้ อย่างนี้จึงไม่ใช่หลุดพ้นเพียงแต่ตัวเองเท่านั้น ฉะนั้นอุดมการณ์ที่อาจารย์มอบให้ศิษย์จึงเป็นอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่จริงหรือไม่ (จริง) เราจะมัวแต่มีปัญหาอยู่กับชีวิตของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก ปัญหาที่วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำอีก ศิษย์คิดว่าเสียเวลาไหม (เสียเวลา) ฉะนั้นจงเอาชนะจิตใจของตัวเอง ปัญหาในโลกนี้มีมากมาย ถ้าหากว่าศิษย์คิดนับจากตนออกไปกว้างครอบคลุมทั้งโลกมีแต่ปัญหาชีวิตทั้งนั้น แต่ศิษย์ของอาจารย์ต้องรู้จักที่จะเอาชนะตัวเอง เมื่อคิดได้จะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ พลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือได้ในเวลาเพียงชั่วเดี๋ยวเดียว เชื่อไหมว่าตัวเองทำได้
ชีวิตนี้มีเวลาอยู่แค่ ๗๐,๘๐,๙๐,๑๐๐ ปี หรืออาจจะอีกสามวัน ห้าวัน ฉะนั้นขึ้นอยู่กับว่า เราทำคุณค่าให้ชีวิตตัวเองมากขึ้นหรือไม่ ดำรงตนอยู่ในความไม่ประมาทได้หรือไม่ เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อไม่สบายก็ต้องรู้จักทำใจให้สบาย เพราะความเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดาไหม บำเพ็ญธรรมแล้วจะต้องไม่ป่วยหรือเปล่า (ไม่ใช่) บำเพ็ญธรรมแล้วต้องไม่ตายหรือเปล่า (ไม่ใช่) บำเพ็ญธรรมแล้วยังเจ็บไข้ได้ป่วยและตายได้เสมอ ไม่สำคัญว่าเราจะป่วยหรือเราจะตาย สำคัญอยู่ที่ว่าวันนี้ ณ เวลานี้ ขณะนี้ของชีวิต ศิษย์ได้ใช้ชีวิตอย่างคนที่รู้ทันชีวิตหรือยัง คนไม่ได้บำเพ็ญธรรมบอกว่า “ความจนเป็นเรื่องไม่ดี ป่วยก็ไม่ดี ตายก็ไม่ดี” แต่คนบำเพ็ญธรรมแล้วจนดีไหม สำหรับคนบำเพ็ญธรรม จนก็ดีจะได้ใช้ให้น้อยหน่อย เพราะถ้าหากว่าไม่จนก็ยังไม่ยอมหยุดซื้อ จริงหรือไม่ (จริง) ป่วยดีไหม (ดี) สำหรับคนบำเพ็ญธรรมแล้วดี จะได้มีอะไรมาเตือนใจอยู่เสมอ ถ้าไม่ป่วยจะคิดถึงสิ่งดีๆ ไหม (ไม่)  เราจะไม่คิดว่าเราต้องรีบไปทำดี เพราะเรายังแข็งแรงอยู่ ตายดีไหมสำหรับคนบำเพ็ญธรรม (ดี) ตายก็ดีจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ไปเร็วๆ ฉะนั้นเรื่องราวทั้งหลายในโลกดีไม่ดีอยู่ที่มุมมองและความคิด ใช่หรือไม่ (ใช่) วันนี้ศิษย์ของอาจารย์ที่นั่งอยู่ในวันนี้ทั้งจน ทั้งป่วย ทั้งเหนื่อย ฟันก็ร่วง ผมก็ขาว ดีไม่ดี (ดี) ชีวิตทุกคนที่อยู่ตรงนี้ดีทั้งนั้น เชื่อไม่เชื่อ (เชื่อ) ชีวิตของศิษย์นั้นดีแล้ว ดีกว่าอาจารย์เสียอีก เพราะอาจารย์ไม่มีร่างกายอันนี้ เพราะฉะนั้นอาจารย์ป่วยได้ไหม (ไม่ได้) อาจารย์เหนื่อยได้ไหม (ไม่ได้)  อาจารย์มีปัญหาได้ไหม (ไม่ได้)  ศิษย์ของอาจารย์มีโอกาสที่ดีกว่าอาจารย์ทั้งนั้นใช่หรือไม่ (ใช่)  
ศิษย์ทั้งหลายดีกว่าอาจารย์ทั้งนั้น ศิษย์ทั้งหลายเมื่อไม่เอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่น ศิษย์ก็ดีทั้งนั้นจริงหรือเปล่า (จริง)  วันนี้เราบอกว่าเราจนเพราะว่าเราเอาตัวไปเทียบกับคนที่รวยจริงไหม (จริง)  ฉะนั้นวันนี้ชีวิตของศิษย์ทุกคนตรงนี้ดีแล้วทั้งนั้นและสามารถดีได้มากกว่านี้ สามารถที่จะเลิศได้มากกว่านี้ สามารถบำเพ็ญได้ดีมากกว่านี้ อย่าบอกว่าเราพลาดแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ ตราบที่วันนี้ยังมีลมหายใจเข้าออกย่อมยังแก้ไขได้ทุกคน เพราะฉะนั้นในสายตาของอาจารย์ไม่มีใครที่ผิดจนเกินเยียวยา ทุกคนยังเยียวยาได้อยู่ ทุกคนยังมีชีวิตที่สวยงามและดีงามอยู่ ทุกคนยังมีคุณค่าเต็มเปี่ยมอยู่ เชื่อหรือไม่เชื่อ (เชื่อ)  ถ้าอาจารย์เชื่อศิษย์แต่ศิษย์ไม่เชื่อตัวเองก็ไม่มีประโยชน์นะ เข้าใจไหม (เข้าใจ)  
(พระอาจารย์เมตตาผู้ปฏิบัติงานธรรมฝ่ายอักษร)
เวลาอาจารย์ให้โอวาทแล้วบางทีโอวาทนั้นต้องแก้ อาจารย์อยากให้คนที่นำโอวาทไปในแต่ละที่ใส่ใจที่จะแก้ด้วยเพราะว่าในขณะที่ศิษย์นั้นอ่านโอวาทหรือขณะที่ศิษย์อธิบายโอวาท ความไม่เข้าใจก็อาจจะทำให้ไม่สามารถที่จะเปิดปัญญาได้ ในขณะที่อธิบายแล้วเกิดโอวาทนั้นผิดก็เป็นการสร้างบาปได้
กฎอยู่ร่วมรู้ถึงทำงานได้  พี่ดีมีน้องพี่น้องปรองใจ
ที่พูดว่า “พี่ดีมีน้อง พี่น้องปรองใจ”  ก็เพราะว่าบางคนถึงแม้ว่าจะคลานตามกันมา ต่อให้เป็นพี่น้องที่ร่วมสายเลือด แต่น้องไม่เคารพพี่ มีก็เหมือนไม่มี แต่ว่าในขณะที่ศิษย์ทั้งหลายอยู่ในการบำเพ็ญธรรม  ในงานธรรม แม้ว่าไม่ได้ร่วมสายเลือด แม้บางคนอายุมากกว่าน้อยกว่าอย่างไรไม่สำคัญ ถ้าหากว่าเราเป็นพี่ที่ดี เราย่อมมีน้อง แต่ถ้าหากว่าเป็นพี่ที่ไม่ดี เราย่อมไม่มีน้อง ใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นพี่น้องต้อง
ปรองใจ
ในหลักการปกครองสมัยก่อนพูดว่า การปกครองประชาก็คือการปกครองใจของประชา เพราะฉะนั้นการที่คนจะสามารถปกครองกันได้ จึงจำเป็นที่จะต้องปกครองใจของคนให้คนยอมรับนับถือ เคารพด้วยใจ ไม่ใช่ด้วยอำนาจ
คนที่อยากมีความคิดนิ่งๆ ต้องฟังท่อนนี้ “ความคิดจะนิ่งแกล้งทำหลงตา” เพราะว่าเห็นมากรู้มากก็คิดมากใช่หรือไม่ (ใช่)  เพราะฉะนั้นอยากคิดน้อยๆ ก็ทำเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง เวลาคนอื่นเขาเห็นเราโง่ก็เป็นเกียรติอย่าง (สูง)
บำเพ็ญธรรมยุ่งยากใจไหม
การบำเพ็ญธรรมไม่ยุ่ง แต่ว่ายุ่งเพราะว่าคนที่ร่วมบำเพ็ญธรรมด้วยกันนั้นมีเยอะ มีปัญหาที่ต้องแก้เยอะ แต่ศิษย์เอ๋ย ปัญหาส่วนตัวและปัญหาส่วนรวมไม่เหมือนกัน ปัญหาส่วนตัวนั้นศิษย์จะแก้อย่างไรก็ได้ แต่ปัญหาส่วนรวมนั้น เวลาแก้ต้องพยายามไม่ให้กระทบทุกฝ่ายแต่ว่าเป็นไปได้ยาก ฉะนั้นอยากที่จะแก้ให้ง่ายก็ต้องเอาอัตตาและเอาทิฐิออกให้เยอะ คนที่มีทิฐิมาก เวลาที่จะทำอะไรมันก็ยิ่งยาก แล้วคนส่วนใหญ่ก็มีทิฐิเยอะด้วย
ก่อนที่จะร้องเพลง อาจารย์มีธรรมะหนึ่งข้อจะพูดให้ฟัง คำพูดที่เรากล่าวกันมาตั้งแต่ต้น อาจารย์จะขยายความด้วยคำพูดสามประเภทดีไหม
๑. คำพูดขวานผ่าซาก ใครชอบพูดบ้าง
๒. คำพูดตรงไปตรงมา
๓. คำพูดโผงผาง
สามอย่างนี้ดูแล้วเกือบเหมือนกันเลย แต่ว่ามีความแตกต่างกันอยู่นิดหน่อย คำพูดขวานผ่าซาก คนที่ชอบพูดแบบนี้จะถูกคนเกลียดมาก เพราะฉะนั้นคำพูดนั้นควรจะต้องระวังและสำรวมหรือไม่
คำพูดอย่างที่สองเป็นคำพูดตรงไปตรงมา คำพูดประเภทนี้ ดีไม่ดี (ดี) คำพูดตรงไปตรงมาเป็นคำพูดที่สร้างปัญหาให้กับคน เพราะว่าคนไม่ใช่รับความจริงได้ทุกเรื่อง
คำพูดประเภทที่สาม คำพูดโผงผาง คนที่พูดโผงผาง มักจะตามมาด้วยใช้อารมณ์ในการพูด เมื่อมีอารมณ์ในการพูดก็แพ้ตั้งแต่เปิดปากเลยใช่หรือไม่ (ใช่)  คำพูดของคนโผงผางนั้นจึงเป็นคำพูดที่มักจะเป็นเครื่องมือของคนบางคนที่ชอบยืมปากของคนประเภทนี้มาเปิดโปงความลับคนอื่น แม้ว่าตัวเราจะได้พูดหรือพูดในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ก็อาจจะเป็นผลเสียต่อตัวเราเองได้ ถูกหรือเปล่า (ถูก)  
เราต้องพิจารณาคำพูดของเรา คำพูดสามอย่างนี้เป็นคำพูดที่ควรจะหลีกให้ไกล และอาจารย์แนะนำคำพูดแบบไหนให้ศิษย์ ครั้งนี้อาจารย์แนะนำคำพูดอ้อมค้อมให้ศิษย์ เพราะว่าในภาษาของคนฉลาดคุยกับคนฉลาดแล้ว แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ ฉะนั้นการที่พูดอะไรออกไป แม้ไม่พูดยังรู้เลย จริงหรือไม่ (จริง) คนชอบเดา ชอบคิด ชอบพูดใช่ไหม (ใช่)  แต่คนไม่ชอบปัญหาใช่หรือเปล่า (ใช่)   อาจารย์แนะนำคำพูดอ้อมค้อม คำพูดอ้อมค้อมมีไว้สำหรับการที่เรานั้นอาจจะไม่มีสิทธิหรือไม่มีเสียงในการพูด บางทีเรานั้นควรจะพูดอ้อมค้อมเพราะว่าพอได้พูดบ้าง แต่ว่าพอเราพูดตรงไปเสียหมดแล้ว เราก็ย่อมจะไม่ได้รับผลอะไรเลย อีกอย่างหนึ่งที่จะแนะนำศิษย์ เฉพาะครั้งนี้ด้วยนะ คือการเงียบ เงียบนี้ไม่ใช่เงียบเพื่อเอาชนะ  แต่การเงียบนั้นหมายถึง เมื่อเรารู้ตัวว่าเราเป็นตัวเล็กตัวน้อย เราไม่สามารถพูดให้คนอื่นฟังได้ ไม่มีปัญญาพูดให้คนอื่นเข้าใจได้ หรือเราไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะพูดหรือออกความคิดเห็นได้ ขอให้เราเงียบ เพราะการที่เราเงียบยังพอได้ฟังอยู่ตรงนั้นบ้าง แต่ถ้าเราพูดไป ถ้าไม่โดนไล่ก็แปลก จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นการเงียบเป็นสิ่งที่ดีไหม (ดี)  การที่ศิษย์พูดไปไม่มีคนฟังศิษย์ กับการที่ศิษย์เงียบแล้วมีคนมาขอความคิดเห็นศิษย์ อะไรดีกว่ากัน (เงียบ)  จงมีความอดทนในเรื่องของคำพูดด้วย
ตอนคิดหยุดนิ่งเมตตาสวนมา ความคิดจะนิ่งแกล้งทำหลงตา
เวลาเรามองอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วเกิดไม่เห็นขึ้นมา ทั้งๆ ที่เราเพ่งมอง อันนี้เรียกว่าหลงตาไป  เพราะฉะนั้นแกล้งทำหลงตา คือไม่ใช่ว่าหลงตาหรอก จริงๆ แล้วเห็นแต่แกล้งทำเป็นหลงตาไป ได้หรือเปล่า อาจารย์มาวันนี้สอนศิษย์ให้แกล้งโง่ เวลาคนมองว่าเราโง่ เราก็เป็นเกียรติอย่างสูง เพราะว่าโลกนี้ทุกคนอยากเป็นคนฉลาด ถ้าทุกคนอยากเป็นคนฉลาด มันก็ไม่มีคนโง่  โลกสมดุลไหม (ไม่สมดุล)  ในเมื่อเราเกิดเป็นคน โง่จริงหรือเปล่า  ฉลาดจริงหรือเปล่า ดีจริงหรือเปล่า เราจะเป็นอะไรนั้นไม่มีใครสามารถตอบได้ เวลาของวันนี้ ก็ต้องใช้วันนี้ให้ดีที่สุด ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เวลาของพรุ่งนี้ก็ทำพรุ่งนี้ให้ดีที่สุด อย่าได้เป็นคนที่อยู่วันนี้แต่คิดเพ้อไปถึงพรุ่งนี้ แล้วก็คิดว่าอะไรๆ เราก็จัดการได้ อะไรๆ เราก็สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว เราไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ อาจารย์มองว่าศิษย์ทุกคนก็มีปัญหาของตัวเอง และปัญหาทุกปัญหาก็อาจจะยังไม่ได้รับการแก้ด้วย แต่ถ้าหากว่าไม่มีปัญหาจะเรียกชีวิตหรือเปล่า ถ้าไม่มีปัญหาก็ไม่เรียกชีวิต ถ้าไม่มีปัญหาศิษย์ทุกคนก็ไม่รู้จักสัจธรรมชีวิต เพราะฉะนั้นมีปัญหาแล้วปัญหานั้นยังไม่ได้รับการแก้ แต่เราร่วมอยู่กับปัญหาได้ ในขณะเดียวกันถ้าหากว่ามีวิธีการแก้ ก็คือการลดอัตตาและลดทิฐิ ลดนิสัยความเคยชิน ลดความอยากได้โน่นอยากได้นี่ของตัวเองให้ลดน้อยต่ำลง เป็นสันโดษมากขึ้น คำว่า “สันโดษ” หมายถึงอะไร สันโดษ หมายถึงพอใจในสิ่งที่ตนนั้นเป็นอยู่  พอใจไหม (พอใจ)  ขอให้เป็นคนที่สันโดษมากขึ้น อย่าอยากได้ของคนอื่น อย่าอยากได้ในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เมื่อเราเป็นคนสันโดษมากขึ้น เราก็ย่อมมีความสุขมากขึ้น ใครจะว่าเราโง่เราก็ไม่สน ในเมื่อทำใจได้อย่างนี้ ย่อมมีความสุข จริงหรือไม่ (จริง)  อยากมีความสุขหรือไม่ (อยาก)  อยากมีความสุขก็ทำใจของตัวเองให้สบายๆ มากกว่านี้ ดีหรือเปล่า (ดี)  อย่าได้
กลัดกลุ้มทุกข์กังวล แล้วก็รีบร้อนแล้วก็เร่าร้อนในจิตใจ เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว หวังว่าศิษย์ทุกคนคงมีความทุกข์น้อยลง ใช่หรือเปล่า (ใช่)  
(พระอาจารย์จี้กงเมตตาประทานพระโอวาทซ้อนพระโอวาทคำว่า “เข้าใจหลักธรรมจริง” โดยให้นำไปต่อท้ายกับบทพระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เป็นคนดีมีศรัทธา” ซึ่งประทานไว้ในชั้นประชุมธรรมที่สถานธรรมเจาหยู จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๑๙-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๐ รวมเป็น “เป็นคนดีมีศรัทธา เข้าใจหลักธรรมจริง”)
โอวาทของอาทิตย์ก่อน คำว่า “เป็นคนดีมีศรัทธา”  ต่อด้วย “เข้าใจหลักธรรมจริง”  สองที่นี้ต่อกัน คำพูดสองประโยคนี้เป็นพื้นฐานของการบำเพ็ญธรรม คือนอกจากเป็นคนดีแล้วยังต้องเป็นผู้ที่มีความศรัทธา คือมีความเชื่อ มีความเข้าใจในธรรม  ไม่ใช่ศรัทธาแบบงมงายไร้ปัญญา แต่ให้ศรัทธาเพราะว่าเข้าใจในหลักธรรมจริง
วันนี้ศิษย์ของอาจารย์ที่นั่งอยู่ที่นี่ ศิษย์เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว ศิษย์เป็นคนที่ดูเฉยๆ อยู่แล้ว บางคนก็อาจจะเป็นคนที่มีความรู้น้อยบ้าง แต่อาจารย์ไม่ได้มองศิษย์เป็นผู้ที่ไม่มีปัญญา ต่อให้ศิษย์มีความรู้น้อยแต่ศิษย์ทุกคนนั้นมีปัญญา และศิษย์เป็นผู้มีบุญจริงๆ เพราะชีวิตเรียบง่ายสมถะ ชีวิตไม่ค่อยต้องเจอความพลุกพล่านของโลกโลกีย์มากนัก ฉะนั้นศิษย์เป็นคนมีบุญเป็นคนโชคดี อย่าได้เอาตัวเองไปเทียบกับใคร ฟ้ามองไม่เหมือนมนุษย์มอง มนุษย์อาจจะมองว่าต้องมีบ้านหลังใหญ่ๆ มีรถคันโตๆ มีอะไรก็อยากได้สมใจ มีเงินทองถึงเรียกว่าคนมีวาสนา แต่อาจารย์มองว่าศิษย์ในที่นี้ทุกคนก็มีบุญและมีวาสนา อย่างน้อยศิษย์ก็ไปวัดทำบุญบ่อยกว่าคนที่เป็นคนเมือง จริงหรือไม่ (จริง)  เพราะฉะนั้นศิษย์เป็นคนมีบุญ ศิษย์ต้องเชื่อว่าตัวเองมีบุญ อย่าคิดว่าตัวเองนั้นต่ำต้อยกว่าใคร เมื่อมีบุญก็หวังว่าทุกๆ คนนั้นจะสามารถบำเพ็ญได้อย่างตลอดรอดฝั่ง แต่สองวันนี้ไม่ใช่ประเด็นในการเริ่มต้น แต่การศึกษาธรรมะในครั้งต่อๆ ไป จึงจะสามารถวัดได้ว่าใครจะอยู่บำเพ็ญธรรมได้
(พระอาจารย์เมตตาถามนักเรียนในชั้นว่า กลับไปจากสองวันนี้ อยากจะไปแก้ไขอะไรในตัวเองบ้าง)
(พูดให้น้อยลง)  หรืออีกทีก็คือบ่นให้น้อยลง (จะไม่เปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น)  จะได้รู้สึกว่าเรามีค่าสูงส่ง
ผู้ชายบำเพ็ญมามากกว่าผู้หญิงห้าร้อยปี ช่วยแสดงตัวให้มากกว่าผู้หญิงหน่อยนะ เวลาเจอคนมาชวนไปทำไม่ดีทำอย่างไร ผู้ชายส่วนใหญ่จะปฏิเสธไม่ค่อยออก เวลาคนชวนทำอะไรไม่ยอมปฏิเสธใช่หรือเปล่า ยิ่งในเด็กแล้ว ยิ่งไม่ยอมปฏิเสธกันใหญ่เลย พอโตขึ้นมาควรจะรู้จักปฏิเสธบ้าง เพราะฉะนั้นการปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ดี ถูกต้องหรือเปล่า (ถูกต้อง)  แต่ถ้ามาชวนไปฟังธรรมะ เราไม่ไปถูกต้องไหม (ไม่ถูก)  
(ใจเย็นลงกว่าเดิม)  ใจร้อนมากไหม เอาอะไรไปดับ (ปัญญา)  ปัญญาอยู่ไหน (อยู่ที่ใจ)  ใจอยู่ที่ไหน (อยู่ที่กาย)  กายอยู่ที่ไหน (อยู่ที่ตัวตนนี้)  กายก็อยู่ที่นี่ ถ้าอยู่ที่ตัวตนก็ไม่ยอมดับสิ ว่าอย่างไร กลับไปทำอะไรดี (จะนำธรรมะไปแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน)  ถ้าบางปัญหาแก้ไม่ได้ ให้อยู่ร่วมกับปัญหาอย่างสันติ ทำได้ไหม
ศิษย์ทุกคนที่มาที่นี่วันนี้มีเป็นจำนวนมากที่มาจากระยะทางไกล เดินทางกลับให้ระมัดระวังด้วย อาจารย์อำนวยพรให้ศิษย์นั้นเดินทางโดยสวัสดิภาพ อาจารย์ก็รู้สึกซาบซึ้งใจที่ศิษย์ทุกคนนั้นรู้จักที่จะปฎิบัติงานธรรม แต่ว่าการทำงานธรรมะไม่ใช่เพราะว่าทำไปเพราะมีหน้าที่ ขอให้ทำเพราะว่ามีใจ แล้วก็อยากให้กำลังใจศิษย์ทุกคนที่บำเพ็ญธรรมอยู่ทางอีสาน อยากจะให้ศิษย์ทุกคนนั้นเจริญรุ่งเรืองมากกว่านี้ เพราะรู้จักที่จะสร้างโอกาส รู้จักคิด รู้จักใช้ชีวิต ทำงานธรรมะตามวาระโอกาสแต่ไม่ใช่รอโอกาส ให้สร้างโอกาสให้กับตัวเองทุกๆ คน
เวลาที่อาจารย์นั้นเจอศิษย์มักจะมีน้อยเสมอ ขอให้ศิษย์นั้นใช้ชีวิตอย่างรู้จักตัวเอง บำเพ็ญธรรมให้ดีๆ อย่าไปกลัวความเหนื่อยยาก อย่ากลัวปัญหาที่ศิษย์กำลังเผชิญ อย่าเป็นคนท้อง่าย อย่าเป็นคนคิดมาก อย่าเพิ่มความเหนื่อยยากให้กับตัวเอง เปิดใจให้กว้างๆ ให้สายลมในโลก ให้สิ่งที่ดีๆ ผ่านเข้าไปในจิตใจของศิษย์ได้ อย่าจมอยู่กับเรื่องเดิมๆ แล้วทำจิตใจของตัวเองแคบ เปิดใจให้กว้าง คนที่อยู่ตรงหน้าที่ศิษย์เคยมองว่ามีปัญหา ก็จะกลายเป็นมิตร ในเมื่ออยู่ตรงนี้ก็ต้องทำตรงนี้ให้ดีที่สุด สิ่งใดที่เป็นของเราไม่สามารถเป็นของคนอื่นได้ ฉะนั้นทำใจให้กว้างๆ ขอให้มีธรรมในทุกๆ เรื่องแล้วศิษย์จะไม่ผิดหวังกับชีวิตนี้
อาจารย์ห่วงศิษย์เป็นอย่างมาก ทุกๆ คน ต่างคนต่างมีเรื่อง แต่อาจารย์อยากให้ศิษย์รู้ ถ้าไม่มีเรื่อง ชีวิตของศิษย์ก็ว่างมากเกินไป ไม่มีเรื่อง ศิษย์ก็ไม่รู้จักการต่อสู้ แล้วก็ไม่มีวันชนะเพราะไม่มีศัตรู ศิษย์ก็อยู่อย่างคนที่ไม่รู้ว่าจะเอาชนะตัวเองได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ณ วันนี้สิ่งที่ศิษย์มองว่าเป็นสิ่งที่แย่ที่สุด อาจารย์บอกเลยว่าโชคดีที่ยังมีเรื่องแย่ๆ แบบนี้ ทำให้ศิษย์ได้เรียนรู้ชีวิตของตัวเอง เอาชนะตัวเองโดยไวเพื่อช่วยคนอื่นบ้าง ช่วยพี่ช่วยน้องก็ยังดี ช่วยคนในบ้าน หรือสามารถช่วยคนอื่นได้ก็ยิ่งดี อย่าอยู่แบบคนเอาตัวไม่รอด สามวันดีสี่วันไข้ อย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่เสมอต้นไม่เสมอปลาย อาจารย์ฝากความหวังให้ศิษย์นั้นดียิ่งขึ้น อาจารย์ฝากความหวังให้ศิษย์ทุกคนนั้นดีได้กว่านี้ ศิษย์ต้องเชื่อในตัวของศิษย์เอง เหมือนที่อาจารย์นั้นเชื่อในศิษย์มากมายแล้วไม่มีวันหมด รักษาตัวให้ดีทุกคน ๆ


พระโอวาทซ้อนพระโอวาท “เข้าใจหลักธรรมจริง”
    ศึกษาธรรมต้องมาปฏิบัติ    หากไม่หัดย่อมไม่อาจรู้จริงได้
เข็มทิศชี้ทิศเหนือเสมอฉันใด    ความตั้งใจคนเฉกเช่นเดียวกัน
ทุกข์บางเรื่องเป็นอย่างนั้นอยู่กับเรา    เฉยเฉยเอาไม่แสบร้อนนอนใจสั่น
มีสติอะไรไม่น่ากลัวทั้งนั้น    ชีวิตสั้นความดีขานหอมทวนลม
เพียงรู้เรื่องใจก็เข้าใจได้    แต่ตื้นลึกแค่ไหนแล้วแต่บ่ม
การทบทวนละกิเลสลุยโคลนตม    มาลับคมปัญญาเป็นเนื้อเดียว



หมายเหตุ   เนื่องจากบทพระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ของชั้นประชุมธรรม ณ สถานธรรมผูถี จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ ๕ - ๗  พฤษภาคม ๒๕๕๐  เกิดความผิดพลาดจากกลุ่มผู้จัดทำหนังสือพระโอวาท  พระอาจารย์จี้กงเมตตาแก้ไขดังนี้
๑. หน้าที่ ๓ บรรทัดที่ ๙
จากเดิม    พระอนุตตรธรรมารดา
แก้เป็น    พระอนุตตรธรรมมารดา
๒. หน้าที่ ๓ บรรทัดที่ ๑๕
จากเดิม    คนยิ้มเป็นพร้อมทางพลัดหลีกให้
แก้เป็น    คนยิ้มเป็นพร้อมทางผลัดหลีกให้
๓. หน้าที่ ๒๙ บรรทัดที่ ๒
จากเดิม    ความหลงมีเป็นระยะศิษย์หน้าแก่
แก้เป็น    ความหลงมีเป็นจนศิษย์หน้าแก่
๔.หน้าที่ ๒๙ บรรทัดที่ ๒
จากเดิม    ศิษย์ยังแก้ปัญญาก็ไม่เป็นศิษย์ไป
แก้เป็น    ศิษย์ยังแก้ปัญญาก็ไม่เมินศิษย์ไป
๕.หน้าที่ ๒๙  บรรทัดที่ ๔
จากเดิม    คนชอบพูดเลือนลอยล่องแสร้งวลี
แก้เป็น    คนชอบพูดเลื่อนลอยล่องแสร้งว่าดี
๖.ชื่อเพลงพระโอวาท
จากเดิม    ตรงแห่งความคิด”
แก้เป็น    กรงแห่งความคิด”

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ค้นหา